Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_77

tripitaka_77

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_77

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 535 ก็บรรดาเวทนา ๘๙ ประเภทเหลาน้ี ตรัสเวทนาท่ีประกอบดวยวบิ ากจิต ๓๒ ดวง เทา น้นั วาทรงประสงคเ อาในขอวา ผสสฺ - ปจจฺ ยา เวทนา นี.้ ผสั สะเปน ปจจัย ๘ อยา งแกเวทนา ๕ ในปญ จทวารนั้น เปน ปจ จยั อยา งเดยี วแก เวทนาทีเ่ หลือ แมใ นมโนทวาร ผัสสะนน้ั ก็ เปนปจจัยเหมือนอยางนน้ั . จริงอยู ในปญจทวารนั้น ผสั สะเกิดแตจักขุสัมผสั เปน ตน เปน ปจ จยั๘ อยาง แกเวทนา ๕ ท่มี ีจกั ขปุ ระสาทเปน ตนเปนวตั ถทุ เ่ี กดิ ดว ยอาํ นาจสหชาตปจจัย อญั ญมัญญปจ จัย นสิ สยปจ จัย วปิ ากปจจัย อาหารปจ จัยสมั ปยุตตปจ จัย อัตถปิ จจยั และอวิคตปจจยั กผ็ สั สะมจี กั ขสุ มั ผสั เปนตนเปนปจ จัยอยางเดยี วเทานน้ั ดว ยอํานาจอุปนิสสยปจจัย แกก ามาวจรวบิ ากเวทนาท่ีเหลือ ซงึ่ เปนไปดว ยอาํ นาจสัมปฏิจฉันนะ สนั ตีรณะ และตทารัมมณะในทวารแตละทวาร. ขอวา แมในมโนทวาร ผัสสะน้นั ก็เปนปจจยั เหมอื นอยางนน้ัความวา ผสั สะนนั้ คือสหชาตมโนสัมผัส เปน ปจ จยั ๘ อยา ง เหมือนกนั นน่ัแหละ แกกามาวจรวบิ ากเวทนาทีเ่ ปนไปดวยอาํ นาจแหง ตทารมณแมในมโน-ทวาร และเปน ปจ จัย แมแกว บิ ากเวทนาในภมู ิ ๓ ท่เี ปน ไปดว ยอํานาจปฏิสนธิภวงั คแ ละจตุ ิ. อนงึ่ มโนสมั ผสั ท่สี ัมปยตุ ดว ยอาวชั ชนะ เปน ปจจยั อยางเดยี ว

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 536ดว ยอํานาจอปุ นิสสยปจจยั ในมโนทวาร แกก ามาวจรเวทนาซึ่งเปน ไปดว ยอํานาจตทารมั มณะในมโนทวารนั้น ฉะนี้แล. นิเทศเวทนาเกิดเพราะผัสสะเปนปจจยั จบ วาดวยนเิ ทศตัณหา (บาลีขอ ๒๖๓) พึงทราบวนิ ิจฉัยนิเทศตัณหาเกิดเพราะเวทนาเปน ปจจัย ตอ ไป ตนั หา ๖ อยา ง พระองคทรงแสดง ไวใ นนิเทศนี้ โดยความตา งแหงรูปตณั หา เปนตน ในตณั หา ๖ เหลา นั้น แตละตัณหา ตรสั ไว ๓ อยาง โดยอาการที่เปน ไป. ก็ในนเิ ทศตัณหาเกิดเพราะเวทนาเปน ปจ จัยนี้ มอี ธบิ ายวา ตณั หา ๖อยา งเหลา น้นั พระองคท รงแสดงแลว คือ ประกาศแลว ตรัสแลว ดวยอาํ นาจแหงชือ่ โดยอารมณวา รูปตณั หา สทั ทตัณหา คันธตณั หา รสตัณหา โผฏฐัพพ-ตัณหา ธรรมตณั หา ดงั น้ี เหมอื นบุตรท่เี ขาประกาศช่อื ตามบิดาวา เสฏ-ิปตุ ฺโต ( บตุ รเศรษฐ)ี พฺราหมฺ ณปุตฺโต (บุตรพราหมณ) ฉะน้นั . บรรดาตัณหา ๖ เหลานั้น พงึ ทราบอรรถแหงคาํ โดยนยั นี้วา รเู ป ตณฺหา รปู ต-ณหฺ า ตัณหาในรปู ชอื่ วา รูปตณั หา ดังน้.ี วา ดว ยตัณหา ๑๘ อยา ง กแ็ ล บรรดาตณั หาเหลา นัน้ ตณั หาแตละอยาง ตรัสไว ๓ อยา งน้ีคอื กามตณั หา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตามอาการทเ่ี ปนไป จรงิ อยู

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 537ในกาลใดรูปตณั หาแหละยนิ ดรี ปู ารมณท่ีมาสคู ลองจกั ษดุ วยอาํ นาจความยินดีในกามเปน ไป ในกาลนนั้ ช่อื วา กามตัณหา ในกาลใดรปู ตณั หาเปนไปพรอ มกับทฏิ ฐิทีเ่ ปน ไปวา รูปารมณน ้นั น่ันแหละเท่ยี ง ย่ังยนื ดังนี้ ในกาลน้ันช่อื วาภวตณั หาเพราะราคะเกิดรว มกับสัสสตทิฏฐิ ตรสั เรยี กวา ภวตัณหา แตใ นกาลใด รปู ตัณหาน้ันเปน พรอ มกับอจุ เฉททฏิ ฐิที่เปนไปวา รูปารมณนน้ั นน่ั แหละขาดสญู ยอ มพนิ าศ ดังน้ี ในกาลนัน้ ชื่อวา วิภวตณั หา เพราะราคะเกิดรวมกับอจุ เฉททิฏฐิ ตรัสเรยี กวา วิภวตัณหา. แมใ นสทั ทตณั หาเปนตน ก็นยั น้ีเหมอื นกัน เพราะฉะนน้ั ตณั หาเหลานี้ จึงรวมเปน ๑๘. ตณั หาเหลา นัน้ ในรปู ภายในเปน ตนมี ๑๘ อยา ง ในภายนอกมี ๑๘อยา ง เพราะฉะนั้น จงึ เปน ตัณหา ๓๖ อยาง ตัณหาเหลานัน้ เปนอดตี ๓๖อนาคต ๓๖ เปนปจจบุ ัน ๓๖ รวม ตณั หา ๑๐๘ ดว ยประการฉะน้ี. ก็ตัณหา ๑๐๘ เหลา นน้ั เม่ือยอ ลง พงึ ทราบวา เปน ตัณหา ๖ ดวยสามารถแหง อารมณม รี ปู เปนตน หรอื เปนตณั หา ๓ เทาน้นั ดวยอํานาจกามตณั หาเปน ตน . กเ็ พราะสัตวเหลานี้ ยนิ ดเี วทนาอันเกดิ ขึ้นดวยอาํ นาจอารมณม รี ปูเปนตน จงึ ทําสกั การะใหญแ กจติ รกร (ชางเขียน) คนธรรพ (นกั ดนตรี)ผปู รุงแตง ดว ยของหอม พอครัว ชางทอ และแพทยผ ูทําวิธตี า ง ๆ ใหเ กดิความยนิ ดเี ปนตน อันใหซ ึ่งอารมณม รี ปู เปนตน ดว ยยึดเวทนาวาเปนของเราเหมอื นบคุ คลผรู ักใครบุตรดวยความยึดถือบุตรเปนของเรา กระทําสักการะใหญแกนางนม ฉะนนั้ ตณั หาเหลา น้นั แมท ้ังหมด พงึ ทราบวา เกดิ เพราะเวทนาเปน ปจ จยั แล.

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 538 วาดวยสขุ เวทนาทเ่ี ปนวิบากเปนปจ จัย แตเพราะในนเิ ทศวา เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา ทรงประสงคเอาสุขเวทนาที่เปน วิบากอยา งเดยี วเทาน้ัน ฉะนั้น เวทนาน้ีจึง เปนปจ จยั ตา งเดยี วเทา นั้นแกตณั หา.คําวา เปนปจ จัยอยา งเดียว คือเปนปจ จัยดว ยอปุ นิสสยปจ จัย. วาดวยเวทนา ๓ เปน ปจจัยอกี อยา งหนึ่ง เพราะวา คนมที ุกข ยอมปรารถนาสุข คนมี สุข กย็ อ มปรารถนาสขุ แมย ิ่งขึน้ ไป สวน อุเบกขาตรสั วา สุขนัน่ แหละ เพราะเปน ธรรมสงบ. ฉะนนั้ เวทนาแมทัง้ ๓ จงึ เปนปจจัย แกต ณั หา พระมหาฤาษี จึงตรสั วา ตณั หา เกิดเพราะเวทนาเปน ปจจัย. อน่งึ เพราะเวน อนสุ ยั เสีย แลว ตณั หายอมไมเ กิด เพราะเวทนาเปนปจ จัย ฉะน้ัน ตณั หานนั้ จงึ ไมม ีแกพ ราหมณผ จู บ พรหมจรรยแล. นเิ ทศตณั หาเกดิ เพราะเวทนาเปน ปจ จัย จบ

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 539 วาดว ยนิเทศอุปาทาน (บาลีขอ ๒๖๔) พึงทราบวนิ ิจฉัยนเิ ทศอปุ าทานเกิดเพราะตณั หาเปน ปจจัยตอไป. บณั ฑิตพึงช้แี จงอปุ าทาน ๔ เหลา นั้น โดยการจําแนกโดยอรรถ โดยยอและพสิ ดาร แหง ธรรม และโดยลาํ ดับ. จรงิ อยู ในพระบาลี ทรงยกอุปาทาน ๔ เหลานนั้ ขนึ้ ดว ยพระดํารัสท่ตี รัสวา คําวา อปุ าทาน ไดแ ก กามปุ าทาน ทฏิ ุปาทาน สีลัพพตุปาทานอัตตวาทุปาทาน. วา ดว ยการจาํ แนกโดยอรรถ การจาํ แนกโดยอรรถแหง อุปาทาน ๔ เหลาน้ัน ดังน้ี ธรรมที่ชื่อวา กามปุ ทาน เพราะอรรถวา ยึดม่ันกามกลาวคือวตั ถกุ าม. อนง่ึ กามนน้ั ดว ย เปนอปุ าทานดว ย เพราะฉะนัน้ จึงชื่อวากามุปาทาน. คําวา อปุ าทาน ไดแกก ารยดึ ม่นั เพราะอปุ ศพั ทในคําวา อุปาทานนี้ มีอรรถวา มั่น เหมอื นในศพั ทมีคาํ วา อปุ ายาส (ความดบั แคน ใจ)อปุ กัฏฐะ (เวลาใกลเ ขามาแลว ) เปนตน. อนึ่ง ทิฏฐนิ นั้ ดว ยเปน อุปาทานดว ย จึงชอ่ื วา ทิฏุปาทาน อีกอยางหนงึ่ ท่ีชอ่ื วา ทิฏุปาทาน เพราะอรรถวา ยึดม่นั ทฏิ ฐิ เพราะทฏิ ฐหิ ลังยอ มยดึ ม่นั ทิฏฐแิ รก เหมือนในประโยคมอี าทวิ า \"อตั ตาและโลกเทย่ี ง\" เปน ตน. อน่ึง ทชี่ ือ่ วา สลี พั พตปุ าทานเพราะอรรถวา ยึดม่นั ศีลและพรต. ศีลและพรตนน้ั ดวย เปนอุปาทานดว ยดงั นก้ี ช็ ื่อวา สีลพั พตุปาทาน เพราะโคศีล (ปรกตขิ องโค) โควัตร

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 540(การปฏิบัติของโค) เปน ตน เปนตวั อปุ าทานเองทเี ดียว เพราะยดึ ม่ันวา\"ความบรสิ ทุ ธ์มิ ีดว ยอาการอยางน\"้ี ดงั นี้. อน่ึง ทช่ี ่ือวา วาทะ เพราะเปนเหตุกลา วของคนท้ังหลาย ที่ชื่อวา อุปาทาน เพราะเหตุยืดมน่ั ของคนทัง้ หลายถามวา ยอมกลา วอะไร หรือยึดม่ันอะไร ? ตอบวา กลาวอตั ตา ยดึ มน่ั อตั ตาคอื การยึดมัน่ วาทะของตน ช่อื วา อัตตวาทปุ าทาน. อีกอยา งหน่ึง อัตตากเ็ ปนเพียงกลาวถงึ คนเทานัน้ เพราะฉะนนั้ จึงชอื่ วา อัตตวาทุปาทาน เพราะอรรถวา เปนเหตยุ ดึ มน่ั ของคนทง้ั หลาย นเี้ ปน การจาํ แนกโดยอรรถแหง อปุ า-ทาน ๔ เหลา นัน้ กอ น. วาดว ยความยอและพสิ ดารแหง ธรรม ก็พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในความยอ และพิสดารแหงธรรม ตอไป กามปุ าทานกอน วา โดยยอ ตรัสวา ความยึดมั่นดวยตัณหา เพราะบาลีมาแลววา บรรดาอปุ าทาน ๔ น้ัน กามปุ าทานเปน ไฉน ความพอใจคือความใคร ความกาํ หนดั คอื ความใคร ความเพลดิ เพลินคือความใคร ตัณหาคือความใคร สเิ นหาคือความใคร ความเรา รอ นคือความใคร ความสยบคือความใคร ความหมกมุนคอื ความใคร ในกามทัง้ หลาย อนั ใด น้ีเรยี กวา กามปุ าทาน* ดังน้ี ตณั หาหลังเกดิ ขน้ึมัน่ คงดวยอปุ นสิ สยปจ จยั เพราะตณั หาแรกนน่ั เอง ชือ่ วา ความยดึ มนั่ ดว ยตณั หา. มติ ขิ องอาจารยบางพวก แตอ าจารยบ างพวกกลา ววา \"ความปรารถนาอารมณทีย่ ังไมม าถงึชื่อวา ตณั หา เหมอื นโจรเหยียดมอื ไปเพอื่ ขโมยของในทีม่ ืด การรับอารมณ*อภ.ิ ส . เลม ๓๔. ๗๘๑/๓๐๖

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 541ทมี่ าถึงแลว ช่อื วา อุปาทาน เหมอื นโจรนั้นแหละจบั ภัณฑะไว กธ็ รรม (คอืตัณหาอปุ าทาน) เหลานั้น เปน ปฏิปกษตอความมกั นอยและความสนั โดษ อน่งึธรรมเหลาน้ี ยงั เปนมูลเหตแุ หง ทกุ ขเพราะตอ งแสวงหา และรกั ษา\" ดงั นี้ ก็อปุ า-ทาน ๓ ท่เี หลือโดยยอกเ็ ปน เพยี งทฏิ ฐเิ ทา น้ัน. แตเ มือ่ วาโดยพิสดาร ความยดื ม่ันดวยตัณหาทง้ั ๑๐๘ ประเภทตามท่ีกลาวไวในอารมณมีรปู เปน ตน ในกอน ชือ่ วา กามปุ าทาน. มจิ ฉาทฏิ ฐมิ วี ตั ถุ ๑๐ ชอ่ื วา ทฏิ ปฺ าทาน เหมือนอยา งทต่ี รัสไวว าบรรดาอปุ าทาน ๔ เหลา นี้ ทฏิ ุปาทานเปนไฉน ? ความเหน็ วาทานท่ใี หแ ลว ไมมผี ล การบชู าไมมผี ล ฯลฯ สมณพราหมณทีท่ าํใหแ จง ซ่ึงโลกน้แี ละโลกอ่นื ดว ยปญญาอนั ยิ่งเองแลว ประกาศใหคนอนื่ รไู ด ไมม ใี นโลก ดังนี้ ทิฏฐิ ฯลฯ การถอื โดยวปิ ลาส เห็นปานนอี้ ันใด นเี้ รียกวา ทฏิ ปุ าทาน* ดังน้ี. อนึง่ การยึดมั่นวาความบรสิ ุทธิ์มดี วยศีลและพร ช่ือวา สีลัพพตุ-ปาทาน เหมือนอยา งท่ตี รัสไววา บรรดาอปุ าทาน ๔ เหลานัน้ สีลพั พต-ุปาทาน เปนไฉน ? ความเหน็ ผิด ฯลฯ การถือโดยวปิ ลาส โดยลักษณะนว้ี า ความบริสทุ ธย์ิ อมมดี ว ยศีล ดวยพรต ดว ยศลี และดว ยพรตเหน็ ปานนี้ อันใด น้เี รียกวา สีลพั พตปุ าทาน ดังนี้. สักกายทฏิ ฐิมวี ัตถุ ๒๐ ชอ่ื วา อัตตวาทุปาทาน เหมือนอยา งที่ตรสั วา บรรดาอปุ าทาน ๔ เหลา น้นั อตั ตวาทปุ าทาน เปนไฉน ?ปุถุชนในโลกนผี้ ไู รก ารศกึ ษา ไมไ ดเห็นสัตบรุ ุษทง้ั หลาย ไมฉลาด* อภิ. ส . เลม ๓๔. ๗๘๒/๓๐๖

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 542ในธรรมของสัตบุรุษ ไมไ ดฝก ในธรรมของสัตบุรุษ ยอมเห็นรูปโดยความเปน อัตตา ฯลฯ การถอื โดยวิปลาส นี้เรียกวา อัตตวาทปุ าทาน ดังน้ี. น้ีเปนความยอ และความพิสดารแหง ธรรมในอธกิ ารนี้. วา โดยลาํ ดบั ก็ในขอวา โดยลําดับ น้ี ลาํ ดบั มี ๓ อยาง คือ อปุ ฺปตฺติกกฺ โม ลาํ ดับแหงการเกิด ปหานกฺกโม ลําดบั แหงการละ และ เทสนากกฺ โม ลาํ ดับแหง เทศนา. บรรดาลําดบั ทัง้ ๓ น้ัน ลําดับแหงการเกดิ ข้นึ ของกิเลสท้ังหลายไมตรัสไวโดยนิปปรยิ าย (โดยตรง) เพราะไมม คี ําวา อปุ าทานน้ีเกิดขนึ้ กอ นในสังสารมีเบอ้ื งตนและท่ีสดุ อันบุคคลรูไมไ ดแลว แตก ต็ รสั ไวโดยปริยาย (โดยออ ม) วา เปน ความยดึ มน่ั ในสสั สตะและอจุ เฉทะซ่ึงมคี วามยึดถอื อตั ตาเปน ใหญในภพหน่ึงโดยมาก ตอจากนนั้ เมอ่ื ยดึ ถอื วา \"อัตตาน้ีเทยี่ ง\" ดังน้ี จึงเกิดสีลพั พตปุ าทาน เพื่อความปฏิบัติอันบรสิ ุทธแิ์ หงอัตตา เมอ่ื ยึดถือวา \"อตั ตายอมขาดสญู \" ดังนี้ กจ็ ะเกดิ กามปุ าทานแกบคุ คลผูไ มม คี วามอาลัยในโลกอ่นืเพราะฉะนนั้ อัตตาทุปาทานจงึ เกิดขึน้ กอน ตอจากนนั้ กเ็ กดิ ทิฏปุ าทานสีลัพพตปุ าทานและกามุปาทาน ดงั น้ี เปนลําดบั แหงความเกดิ ข้ึนของอปุ าทานเหลา นน้ั ในภพหนงึ่ ดว ยประการฉะน.ี้ กใ็ นขอวา ลาํ ดบั แหงการละน้ี ทฏิ ุปาทานเปนตน อนั บคุ คลยอ มละกอ น เพราะเปนกเิ ลสอนั โสดาปตตมิ รรคพงึ ประหาณ ภายหลังจงึ ละกาม-ุ

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 543ปาทาน เพือ่ เปนกเิ ลสอันอรหตั มรรคพึงประหาณ นล้ี ําดบั การละอปุ าทานเหลานั้น ดว ยประการฉะนี้. ก็บรรดาอปุ าทาน ๔ เหลานี้ ทรงแสดงกามปุ าทานกอ น เพราะเปนกิเลสมอี ารมณม าก และเพราะกิเลสปรากฏแลว จรงิ อยู กามปุ าทานนั้น ชอ่ื วามอี ารมณมาก เพราะประกอบดว ย (โลภมลู ) จิต ๘ ดวง อปุ าทานนอกจากน้ีมีอารมณน อย เพราะประกอบดวย (โลภมลู ทีส่ ัมปยุตดว ยทฏิ ฐ)ิ จติ ๔ ดวง.อน่งึ กามปุ าทานปรากฏแกหมสู ัตว เพราะความอาลัยและยนิ ดีโดยมาก อปุ าทานนอกนไี้ มเ ปน เชนนนั้ อกี อยา งหนึ่ง กามปุ าทานเปนของมีมากแกบ ุคคลผถู ือมงคลตืน่ ขาวเปน ตน เพอ่ื บรรลวุ ตั ถุกามทง้ั หลาย สสั สตทิฏฐิหาเปนเชนน้นั ไมเพราะฉะนนั้ จึงทรงแสดงทฏิ ุปาทานในลาํ ดบั ตอ จากกามปุ าทานนนั้ ทฏิ -ุปาทานน้ัน เม่อื จาํ แนกก็เปน ๒ อยาง ดว ยสามารถแหงสีลพั พตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน. ในอุปาทาน ๒ น้นั ทรงแสดงสีลพั พตปุ าทานมอี ารมณอนั หยาบกอ น เพราะบุคคลแมเ ห็นกริ ิยาของโค หรอื กิริยาของสนุ ัขแลว กร็ ไู ด แลวทรงแสดงอตั ตวาทปุ าทานในที่สดุ เพราะเปนธรรมมอี ารมณละเอียด. น้ลี ําดับแหง เทศนาของอุปาทานทั้งหลาย ดวยประการฉะน.้ี ตณั หาเปน ปจ จัยแกอุปาทาน ก็บรรดาอุปาทานเหลานี้ ตัณหาเปน ปจ จยั อยางเดียวแกอปุ าทานแรก ตัณหาแม- นน้ั เปนปจ จยั ๗ อยางบาง ๘ อยางบาง แก อปุ าทาน ๓ ทเี่ หลอื .

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 544 ก็ในอุปาทาน ๔ ทท่ี รงแสดงไวในนเิ ทศนี้ ดวยอาการอยางน้ี กาม-ตณั หายอ มเปนปจจยั อยางเดียว ดว ยอํานาจอปุ นิสสยปจจยั แกก ามุปาทานแรกเพราะเกดิ ในอารมณทงั้ หลายที่พอใจดวยตณั หา แตต ัณหานนั้ ยอ มเปน ปจจยั๗ อยา ง ดว ยอาํ นาจสหชาตปจ จัย อัญญมัญญปจ จยั นิสสยปจ จัย สัมปยตุ ต-ปจจยั อัตถิปจ จัย อวคิ ตปจจัย และเหตปุ จจยั หรือเปน ปจ จยั ๘ อยา ง พรอมดว ยอปุ นสิ สยปจ จยั แกอุปาทาน ๓ ทเี่ หลือ อนึ่ง เม่อื ใดตณั หานั้นเปนปจจัยดว ยอํานาจอุปนิสสยปจจยั เมอื่ น้ันตัณหานั้น ยอ มเกิดพรอ มกันทเี ดียว. นเิ ทศอปุ าทานเกิดเพราะตณั หาเปนปจจยั จบ วาดวยนิเทศแหงภพ (บาลขี อ ๒๖๕) ในนเิ ทศแหง ภพเกิดเพราะอุปาทานเปน ปจ จยั พึงทราบวินิจฉยั โดยอรรถโดยธรรม โดยทบทวนบทที่มปี ระโยชน โดยการแยก ภพและรวมภพ และโดยอปุ าทานใดเปน ปจจัยแกภ พใด. ในพระบาลนี ้นั พึงทราบวนิ จิ ฉยั วา ทช่ี ือ่ วา ภพ เพราะอรรถวาม.ีบทวา ทวุ เิ ธน (ภพ ๒) มีอธบิ ายวา กําหนดโดยอาการ ๒ อยา ง อีกอยา งหนง่ึบทวา ทุวเิ ธน เปนตตยิ าวภิ ตั ติ ใชใ นปฐมาวิภัตติ อธบิ ายวา เทา กับ ทวุ โิ ธแปลวา ๒ อยา ง. บทวา อตถฺ ิ แปลวา มอี ยูพรอม. ภพคอื กรรม ชอื่ วา กรรมภพ. ภพคอื ความเกิดข้ึน ชอ่ื วาอุปปต ติภพ. ในกรรมภพและอปุ ปตตภิ พน้ี ความเกิดข้นึ ชอ่ื วา ภพเพราะอรรถวา ยอ มมี สว นกรรม พงึ ทราบวา ชื่อวา ภพ โดยโวหารวา

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 545เปน ผล เพราะกรรมเปนเหตุของภพ เหมือนอยางทีต่ รสั ไวว า สโุ ข พทุ ธฺ านอปุ ฺปาโท ความบังเกดิ ข้นึ แหงพระพุทธเจาทั้งหลายเปน สุข เพราะเปนเหตุนาํ มาซง่ึ ความสุข. คาํ วา ตตฺถ กตโม กมฺมภโว (ในภพ ๒ นัน้ กรรมภพเปนไฉน)ความวา บรรดาภพท้งั ๒ น้นั กามภพที่ตรสั แลว นั้นเปนไฉน. ปญุ ญาภสิ ังขารเปน ตน มีเน้ือความตามทีก่ ลาวแลว นัน่ แหละ บทวา สพฺพ (ทงั้ ปวง) ไดแก ไมม ีสวนเหลือ. กรรมทชี่ ่อื วา ภวคามี เพราะอรรถวา ยอมไป คอื ยอ มใหสัตวถงึ ภพ ดว ยบทวา กรรมเปนเหตุใหถ งึ ภพน้ี ทานปฏิเสธโลกตุ ระ เพราะกถาน้ีเปนวฏั ฏกถา (กถาที่แสดงถงึ วฏั ฏะ) ก็โลกุตระน้นั ทานกลาววา เปน ธรรมอาศัยววิ ัฏฏะ. ทช่ี อ่ื วา กรรม เพราะอรรถวา เปนสง่ิ ทีเ่ ขาทาํ . บรรดากามเทพเปน ตน ภพกลา วคือกาม ชอ่ื วา กามภพ. ในรปู ภพและอรูปภพก็นัยน้ี. ที่ช่อื วา สัญญาภพ เพราะอรรถวา เปนภพของเหลาสัตวผ มู สี ญั ญา หรือสญั ญามีอยใู นภพน้.ี ทชี่ ื่อวา อสญั ญาภพ โดยปริยายท่ีตางกนั . ที่ช่อื วาเนวสญั ญานาสญั ญาภพ ดว ยอรรถวา มีสัญญาก็ไมใ ชไมม ีกไ็ มใ ช เพราะไมม สี ัญญาหยาบ และเพราะมสี ัญญาละเอียดในภพนี้. ภพทเี่ กล่อื นกลน ดว ยรูปขันธอ ยา งเดียว ชือ่ วา เอกโวหารภพ. อีกอยา งหนึ่ง ช่อื วา โวการภพเพราะอรรถวา ภพนม้ี ีขนั ธเดยี ว. ในจโุ วการภพและปญจโวการภพกน็ ยั น้ี. บทวา อย วุจจฺ ติ อุปฺปตตฺ ภิ โว (นี้เรียกวา อปุ ปต ติภพ) ไดแ กภพน้ที ัง้ ๙ อยาง ตรสั เรียกช่ือวา อุปปตตภิ พแล. พงึ ทรามวนิ ิจฉยั โดยอรรถในอธกิ ารนอี้ ยางนกี้ อน.

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 546 สว นขอ วนิ ิจฉยั โดยธรรม กใ็ นนิเทศน้ี วาโดยธรรม ปญุ ญาภิสังขารไดแ ก เจตนา ๓ ดวง อปุญญาภิสังขาร ไดแ ก เจตนา ๑๒ ดวงอาเนญชาภสิ งั ขาร ไดแ ก เจตนา ดวง. ดว ยบทวา สพฺพมปฺ  ภวคามกิ มมฺ  (กรรมทเี่ ปนเหตุใหไ ปสูภ พทั้งหมด) นี้ ทรงสงเคราะหธ รรมเหลานี้ แมทั้งหมดท่สี มั ปยุตดว ยเจตนา หรือธรรมที่เปนอาจยคามี กลาวคือกรรมเขาดว ย อธบิ ายวา ทรงสงเคราะหอปุ าทนิ นขนั ธ ๕ ทีเ่ ปน กามภพ รปู ภพก็เหมอื นกนั ขนั ธ ๔ ทเ่ี ปนอรปู ภพขนั ธ ๔ และ ๕ ท่เี ปนสญั ญาภพ อุปาทินนขันธหน่งึ ทเ่ี ปน อสัญญาภพ ขนั ธ ๔ท่ีเปนเนวสญั ญานาสัญญาภพ ขนั ธ ๑ ขนั ธ ๔ ขันธ ๕ ท่ีเปนเอกโวการภพเปน ตน ดวยอปุ าทินนขนั ธท้ังหลายแล. พงึ ทราบวนิ ิจฉยั แมโดยธรรมในนเิ ทศนี้ดว ยประการฉะน้ี. ขอ วา โดยทบทวนบทที่มปี ระโยชน น้ี ความวา ปุญญาภสิ งั ขารเปน ตนนนั่ เองตรสั ไวในนเิ ทศแหง สังขาร คือ กรรมเหมือนในนิเทศแหงภพน่ันแหละ แมเมอื่ เปนเชนนน้ั ปุญญาภิสงั ขารเปนตน ซึง่ เกิดกอ นตรัสไวเพราะความเปน ปจจยั แกปฏสิ นธใิ นอธกิ ารน้ี ดว ยอดีตกรรม ปญุ ญาภสิ งั ขารเปน ตน เหลานี้ ตรสั ไวเพราะความเปน ปจ จยั แกปฏสิ นธติ อ ไป ดวยอํานาจกรรมในปจจุบนั เพราะฉะนนั้ การตรสั ยา้ํ จึงชอื่ วา มีประโยชนท เี ดยี ว. อีกอยา งหนึ่ง ในเบื้องตน ตรัสเจตนาเทานั้นวา เปนสงั ขาร โดยมีอาทอิ ยางนวี้ า ในอภิสังขารเหลานน้ั ปญุ ญาภิสังขาร เปนไฉน ?กศุ ลเจตนา กามาวจร ดงั นี้ แตในนิเทศแหงภพเกิดเพราะอปุ าทานเปนปจ จยั น้ี ธรรมแมส มั ปยตุ ดว ยเจตนา ก็ตรัสวา สงั ขาร เพราะพระบาลีวา

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 547สพพฺ มปฺ  ภวคามกิ มฺม (กรรมทเ่ี ปน เหตใุ หไ ปสูภ พท้ังหมด) ดงั นี้ อนง่ึในตอนตน ตรสั วา กรรมเฉพาะทมี่ ีวญิ ญาณเปนปจ จยั เทานั้นวาเปนสงั ขารในบดั น้ี แมกรรมที่มีวิญญาณเปน ปจ จัย อันใหเ กดิ ข้นึ ในอสญั ญาภพ กต็ รสั วาสงั ขาร กก็ ารพดู มากจะมปี ระโยชนอะไร เพราะกรรมทเี่ ปนกุศลและอกุศลคือ ปญุ ญาภิสังขารเปน ตนนนั่ เอง ตรัสไว ในขอวา อวชฺชาปจจฺ ยา ส ขาราน้ี อนึ่ง ตรัสธรรมท้ังหลายที่เปน กศุ ล อกศุ ล อพั ยากฤต เพราความทแี่ มอุปปตติภพกท็ รงสงเคราะหในบทวา อุปาทานปจจฺ ยา ภโว (ภพเกิดเพราะอุปาทานเปน ปจจัย) น้ี ฉะน้นั การตรสั ซา้ํ น้ี จึงชื่อวา มปี ระโยชนโดยประการท้งั ปวงแล. พึงทราบวนิ จิ ฉัยแมโดยทบทวนบททีม่ ปี ระโยชนใ นอธกิ ารนี้ ดวยประการฉะนี้. ขอ วา โดยการแยกออกและรวมกนั ไว คอื โดยการแยกและการรวมแหงภพเพราะอุปาทานเปน ปจ จยั . จรงิ อยู กรรมที่สตั วก ระทําใหเ กดิขน้ึ ในกามภพเพราะกามปุ าทานเปนปจ จัยนั้น ชอ่ื วา กรรมภพ. ขันธทงั้ หลายที่เกิดขน้ึ แตก รรมนนั้ ชอื่ วา อปุ ปต ตภิ พ. ในรปู และอรูปภพกน็ ัยนี้เหมือนกัน. ดว ยประการฉะน้ี กามภพมีอปุ าทานเปนปจจัยจงึ มี ๒ อยาง สัญญาภพและปญ จโวการภพรวมอยภู ายในกามภพนัน้ แหละ รปู ภพมกี ามปุ าทานเปนปจจยั ก็มี ๒ อยา ง สัญญาภพ อสญั ญาภพ เอกโวการภพ ปญ จโวการภพรวมอยภู ายในรปู ภพนั้นแหละ อรูปภพมีกามปุ าทานก็มี ๒ อยา ง สัญญาภพเนวสญั ญานาสญั ญาภพ จตุโวการภพรวมอยภู ายในอรูปภพเหมือนกัน เพราะฉะน้ัน ภพทีม่ ีกามปุ าทานเปน ถงึ ปจจัยจึงมี ๖ ภพ พรอมกับภพทั้งหายทีผ่ นวกเขา ดวยกนั . กภ็ พ ๖ ทม่ี ีกามุปาทานเปนปจจยั พรอ มท้ังภพท้งั หลายที่ผนวกเขา

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 548ดวยกนั ฉันใด แมภ พทง้ั หลายที่มีอุปาทาน (๓) ท่เี หลือเปน ปจจยั ก็ฉันน้ันภพท้งั หลายจงึ เปน ๒๔ พรอ มกับภพท่ีผนวกเขาดว ยกนั โดยการแยกออกเพราะอปุ าทาน (๔) เปนปจ จัยอยา งน้ี ดวยประการฉะน้ี. สวนโดยการรวมกนั มีอธิบายวา รวมกรรมภพและอปุ ปต ตภิ พพรอ มกับภพทผ่ี นวกเขาดวยกันเกดิ เพราะกามปุ าทานเปน ปจจัยเปน กามภพหนึง่รูปภพและอรปู ภพก็เหน็ เหมือนกัน เพราะฉะนัน้ จึงเปน ๓ ภพ แมภ พทม่ี ีอปุ าทาน ๓ทเี่ หลือก็เหมอื นกนั จงึ เปน ๑๒ พรอ มกบั ภพทผี่ นวกเขา ดวยกนั โดยสงเคราะห(คอื รวมกัน ) เพราะอปุ าทาน (๔) เปน ปจ จยั อยา งนี้ ดว ยประการฉะน้ี. อกี นัยหน่ึง วาโดยไมตางกัน กรรมท่ใี หส ตั วเ ขา ถึงกามภพเพราะอปุ าทานเปน ปจ จยั ช่ือวา กรรมภพ ขนั ธท ัง้ หลายที่เกดิ ขึน้ ในกามภพนัน้ชื่อวา อุปปต ติภพ. ในรปู ภพและอรปู ภพกเ็ หมอื นกนั ดว ยประการฉะน้ีจึงเปน ๖ ภพ โดยการสงเคราะห (การรวมกนั ) อกี ปริยายหนึง่ คือกามภพ ๒รปู ภพ ๒ อรูปภพ ๒ พรอ มกับภพทผ่ี นวกเขา ดวยกนั มี เพราะอุปาทานเปนปจจยั . อกี อยางหน่งึ จดั เปน ๓ ภพ ดวยอาํ นาจกามภพเปน ตน พรอมกบั ภพที่ผนวกเขาดวยกันโดยไมแยกกรรมภพและอุปปต ติภพออกจากกนั และจดั เปน ๒ภพ ดวยอํานาจกรรมภพและอุปปตติภพ โดยไมแยกกามภพเปน ตน และจัดเปน ภพ ๑ ดวยอํานาจแหงภพวา ภพทเี่ กิดเพราะอุปาทานเปนปจ จัย โดยไมอาศยั แยกกรรมและอุปปตติ. พงึ ทราบวินิจฉัยในอธิการนี้ แมโ ดยการแยกและรวมกนั แหง ภพมีอุปาทานเปนปจ จัย ดว ยประการฉะน.้ี ขอวา โดยอปุ าทานใดเปน ปจจัยแกภ พใด อธบิ ายวา กใ็ นนเิ ทศนี้พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยแมโดยอปุ าทานใดเปนปจ จยั แกภ พใดนัน้ กใ็ นนเิ ทศน้ี อุปาทาน

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 549เปนปจ จัยแกภ พใด อยา งไร ? คืออปุ าทานอยางใดอยา งหนงึ่ ยอมเปนปจจยัแกภพใดภพหนึง่ ไดท้งั น้ัน เพราะปุถุชนเปรียบเหมือนคนบา ปุถุชนนัน้ มิไดพิจารณาวา \"สิง่ นค้ี วร สงิ่ นไี้ มค วร\" ดงั น้ี ปรารถนาภพอยา งใดอยางหน่งึดว ยอํานาจอปุ าทานอยา งใดอยา งหนึ่ง ยอมทาํ กรรมอยา งใดอยางหนง่ึ เพราะฉะน้นั คาํ ท่ีอาจารยบ างพวกกลา ววา \"รูปภพและอรปู ภพยอมไมมีเพราะสีลัพพตปุ าทาน\" นนั้ บัณฑติ ไมควรถอื เอา แตคําวา \" ภพท้ังหมดยอ มเกิดเพราะอปุ าทานทง้ั หมด ดงั นี้ ควรถือเอา. อยางไร ? คือคนบางคนในโลกนี้คดิ วา ข้นึ ช่ือวากามเหลา นีเ้ ปนของสําเรจ็ แลว ในตระกูลกษตั ริยมหาศาลเปนตนในมนุษยโลก และในเทวโลกกามาพจร ๖ ช้นั \" ดังนี้ ดว ยสามารถทไ่ี ดฟ งมาหรือโดยทาํ นองท่เี หน็ มา ถกู ลวงโดยใหเ สพอสัทธรรมเปน ตน เพอื่ บรรลกุ ามเหลานนั้ จงึ สําคญั อยูวา \"กามทงั้ หลายยอมสาํ เรจ็ ดวยกรรมนี้\" ดังน้ี จงึกระทาํ แมก ายทุจรติ เปนตน ดวยอาํ นาจแหงอปุ าทานคอื กาม บุคคลน้นั จงึ เกดิขน้ึ ในอบุ ายเพราะบริบรู ณด ว ยทุจริต. ก็ เม่อื ปรารถนากามท้งั หลายทคี่ นเหน็แลว หรอื เม่ือจะรักษากามทไี่ ดมาแลว ยอ มทํากายทจุ รติ เปนตน ดว ยอาํ นาจกามปุ าทาน บคุ คลนนั้ ยอมเกิดในอบายเพราะความสมบูรณด ว ยทุจรติ กรรมทีเ่ ปน เหตุใหบุคคลนั้นเกิดในอบายน้นั ชือ่ วา กรรมภพ ขันธท ่ีเกิดข้นึ แตกรรมนน้ั ช่ือวา อุปปต ติภพ สว นสัญญาภพและปญ จโวการภพก็รวมเขา ในกรรมภพและอุปปต ติภพนนั้ น่ันแหละ. สว นอกี คนหนงึ่ มคี วามรอู ันการฟง พระสทั ธรรมเปน ตน พอกพนู แลวสาํ คัญอยวู า \"กามทง้ั หลายยอ มสําเรจ็ ดวยกรรมนี\"้ ดงั นี้ จงึ ทํากายสจุ รติเปน ตน ดวยอํานาจกามปุ าทาน บคุ คลนนั้ ยอมเกิดขึน้ ในสวรรคทงั้ หลาย

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 550หรอื ในมนษุ ยทง้ั หลาย เพราะความบริบูรณด วยสุจรติ . กรรมทเ่ี ปนเหตใุ หเ ขาเกดิ ในสุคตมิ ีเทวดาเปนตนนน้ั ชอ่ื วา กรรมภพ ขนั ธทง้ั หลายทีเ่ กดิ แตกรรมชอื่ วา อปุ ปต ตภิ พ กส็ ญั ญาภพและปญ จโวการภพกร็ วมอยูใ นกรรมภพและอุปปตตภิ พน้นั เหมือนกนั กามุปาทานเปน ปจ จยั แกก ามภพพรอมทง้ั ประเภทพรอ มทั้งผนวกเขา ดว ยกัน ดว ยประการฉะนี้. อกี คนหนง่ึ ฟงมาหรอื คิดเอาเองวา ในรูปภพและอรปู ภพ กามท้ังหลายสาํ เรจ็ ดกี วากามภพน้ัน จงึ ยงั รูปและอรปู สมาบตั ิใหเกดิ ขนึ้ ดว ยอํานาจกามุปาทานแลวบงั เกิดข้ึนในโลกแหง รปู พรรณหรอื อรูปพรหมดวยกาํ ลังแหงสมาบตั ิ. ในการเกดิ ข้ึนในรปู พรหมหรอื อรปู พรหมนน้ั กรรมท่เี ปน เหตใุ หบุคคลน้นั เกดิ ช่อื วา กรรมภพ ขนั ธท้งั หลายทีเ่ กดิ แตกรรม ชือ่ วา อุปปตตภิ พสว นสญั ญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสญั ญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพและปญ จโวการภพก็รวมอยภู ายในรปู ภพหรอื อรปู ภพนัน้ . กามปุ าทาน เปนปจจยั แมแ กร ูปภพและอรูปภพ พรอ มทั้งประเภท พรอ มท้งั ภพที่ผนวกเขาดว ยกม็ ี ดวยประการฉะนี้. อีกบุคคลหนึ่ง อาศัยอุจเฉททฏิ ฐวิ า \"ที่ชอื่ วา อตั ตานี้ ขาดสญู แลวในภพอนั เปน สมบัตขิ องกามาพจร หรือวาบรรดารูปภพหรืออรูปภพ ภพใดภพหน่งึ ยอมขาดสูญโดยแท\" ดงั นี้ จึงทาํ กรรมอนั เขาถึงภพน้ัน. กรรมน้ันของบคุ คลน้นั ชอ่ื วา กรรมภพ ขันธท้งั หลายอันเกดิ แตกรรม ชอ่ื วาอุปปตตภิ พ สว นภพมีสญั ญาภพเปนตนกร็ วมอยูภายในกรรมภพและอุปปต ติภพนน้ั น่นั แหละ ทิฏปุ าทานเปน ปจ จยั แกกามภพ รปู ภพ และอรูปภพท้งั ๓พรอ มท้ังประเภท พรอ มท้งั ภพท่ีผนวกเขา ดว ยกนั ดว ยประการฉะน้ี.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook