พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 357อนาลโย (ความไมม อี าลยั )ราคกฺขโย (ความส้นิ ราคะ)โทสกฺขโย (ความสนิ้ โทสะ)โมหกขฺ โย (ความสน้ิ โมหะ)ตณหฺ กขฺ โย (ความสน้ิ ตัณหา)อนปุ ฺปาโท (ความไมเกิดขึ้น)อปปฺ วตฺต (ความไมเ ปน ไป)อนิมติ ตฺ ( ความไมมเี ครอื่ งหมาย)อปปฺ ณิหิต (ความไมม ที ตี่ ั้ง)อนายหู น (ความไมพ ยายาม)อปฺปฏิสนฺธิ (ความไมม ีปฏิสนธ)ิอปฺปฏิวตตฺ ิ (ความไมกลับเปน ไป)อคติ (ความไมม ีคต)ิอชาต (ความไมเกดิ )อชร (ความไมแ ก)อพยฺ าธิ (ความไมเจ็บ)อมต (ความไมต าย)อโสก (ความไมมีโศก)อปรเิ ทว (ควานไมม ปี รเิ ทวะ)อนปุ ายาส (ความไมม ีอุปายาส)อส กฏิ (ความไมเศรา หมอง).
พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 358 บัดนี้ พระผูมีพระภาคเจาเพ่อื ทรงแสดงความไมมแี หงตณั หาอนั มรรคตดั แลว แมอาศยั พระนพิ พานแลว ก็ถงึ ความไมเปน ไปในวตั ถุเปนที่ต้งั อนั ใดท่ีพระองคท รงแสดงความเกิดของมันไวในท่นี น้ั นัน่ แหละ จงึ ตรัสคําวา สา โขปเนสา (ก็ตณั หานีน้ ้นั แล) เปนตน . ในพระดํารสั น้ันมวี นิ ิจฉัยดังตอ ไปน้ี. บุรษุ เห็นเถาบวบขมเกดิ ในนา แลวพึงแสวงหารากไปตัง้ แตยอดแลวก็ตดั เสีย บวบขมนนั้ กจ็ ะเห่ียวแหง ถงึ ความไมม ีบญั ญตั ิ แตน น้ั เถาบวบขมในนานน้ั บุคคลก็พงึ กลา วไดวา อนั ตรธานไปแลว ถกู ทาํ ลายแลว ฉนั ใดตณั หาในอารมณท้งั หลายมจี ักษุเปน ตนก็ฉันนน้ั เหมอื นกนั ดุจเถาบวบขมในนาตัณหาน้นั ถูกอริยมรรคตัดรากแลว เพราะอาศยั พระนพิ พานจงึ ถงึ ความเปนไปไมได กต็ ณั หาน้นั ถึงความเปนไปอยางน้ี ก็ยอ มไมปรากฏในวัตถทุ ่ตี ัง้ เหลานนั้ดจุ เถาบวบขมในนาไมป รากฏอยู ฉะนัน้ . อนึง่ พวกราชบุรษุ นําพวกโจรมาจากดงแลว พงึ ประหารชวี ิตท่ีประตูดา นทักษิณของพระนคร ตอ จากน้นั ใคร ๆ ก็พงึ กลาววา โจรในดงตายแลวหรือโจรถูกราชบรุ ษุ ฆา แลว ฉนั ใด ตณั หาในจกั ษเุ ปนตน อนั ใดเปน เหมือนพวกโจรในดงกฉ็ ันน้ันเหมือนกนั ดบั ไปแลวเพราะอาศัยพระนพิ พาน ชื่อวาดับไปในพระนพิ พาน ดจุ พวกโจรถูกประหารทีป่ ระตดู า นทกั ษิณ ก็ตัณหาน้ันดบั แลว อยางนี้ จึงไมป รากฏในวัตถทุ ่ีตั้งเหลาน้นั ดุจพวกโจรไมปรากฏในดงฉะนั้น ดวยเหตุนนั้ พระผูม ีพระภาคเจาเมือ่ จะทรงแสดงความดบั ตัณหานน้ั ในท่อี ารมณมจี ักษเุ ปนตน เหลาน้นั นั่นแหละ จงึ ตรสั คํามีอาทิวา จกฺขุ โลเกปยรูป สาตรปู เอตเฺ ถสา ตณฺหา ปหยี มานา ปหียติ เอตถฺ
พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 359นริ ุชฌฺ มานา นริ ุชฺฌติ ( จกั ษเุ ปนปย รูป สาตรปู ในโลก ตัณหาน้เี มอื่ จะละยอมละท่จี กั ษนุ ี้ เมื่อจะดบั ยอ มดบั ทจ่ี กั ษนุ ้)ี . คาํ ท่เี หลือในท่ที ัง้ หมดมเี น้ือความตืน้ ท้ังนน้ั แล. กถาวาดวยนิเทศแหง นิโรธสัจจะ จบ วรรณนานเิ ทศวาร วาดวยมรรคสจั จะ (บาลีขอ ๑๖๒) พงึ ทราบวินิจฉัยในนเิ ทศแหงมรรคสจั จะ ตอ ไป. บทวา อยเมว (นี้เทานน้ั ) เปน คํากําหนดแนน อน เพื่อปฏิเสธมรรคอืน่ . บทวา อรโิ ย (อรยิ ะ) ความวา ทช่ี อ่ื วา อริยะ เพราะไกลจากกเิ ลสท้งั หลายทฆี่ า ดวยมรรคน้นั ๆ เพราะทาํ ความเปน อริยะ และเพราะทาํ การไดเฉพาะซึง่ อริยผล. องค ๘ ของมรรคนั้นมีอยู เพราะเหตนุ ้ัน มรรคน้ันจึงชื่อวา อฏงฺคโิ ก (มีองค ๘) องค ๘ ของมรรคนี้นน้ั เปน เพยี งองคเทานนั้เหมือนเสนามีองค ๔ และดนตรีมีองค ๕ พนจากองคม ไิ ดมี. ท่ชี ื่อวา มรรคเพราะอรรถวา อันผตู องการพระนพิ พานยอ มแสวงหา หรือยอมแสวงหาพระนพิ พาน หรอื เปนสภาพฆากเิ ลสท้ังหลายไป. ศัพทว า เสยยฺ ถที ความวาถามีผูถามวา องคม รรคนนั้ เปนไฉน ดังน.ี้ บัดน้ี พระผูมพี ระภาคเจา เมอื่ จะทรงแสดงวา มรรค คือ องคมรรคนน่ั เอง นอกจากองคม รรคยอมไมมจี งึ ตรัสวา สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ ลมั มาสมาธิดงั น้.ี บรรดาองคม รรค ๘ เหลา นน้ั สมั มาทิฏฐิ สมฺมาทสสฺ นลกขฺ ณามีปญญาเห็นโดยชอบเปน ลักษณะ สมั มาสังกปั ปะ สมมฺ า อภินโิ รปน-
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 360ลกฺขโณ มกี ารยกสมั ปยตุ ธรรมขึน้ โดยชอบเปน ลกั ษณะ สมั มาวาจา สมฺมาปรคิ ฺคหลกขฺ ณา มกี ารกําหนดถือโดยชอบเปน ลักษณะ สมั มากมั มันตะสมมฺ า สมุฏาปนลกฺขโณ มกี ารงานดโี ดบชอบเปน ลักษณะ สมั มา-อาชีวะ สมฺมา โวทานลกฺขโณ มีอาชวี ะที่ผอ งแผว โดยชอบเปนลักษณะสมั มาวายามะ สมมฺ า ปคคฺ หลกฺขโณ มีความเพียรประคองไวโ ดยชอบเปน ลกั ษณะ สัมมาสติ สมมฺ า อปุ ฏานลกขฺ ณา* มกี ารปรากฏโดยชอบเปน ลกั ษณะ สมั มาสมาธิ สมมฺ า สมาธานลกขฺ โณ มีการตั้งใจมัน่โดยชอบเปน ลกั ษณะ. บรรดาองคม รรค ๘ เหลาน้ัน แตล ะองคมีกจิ คอื หนาทีอ่ งคละ ๓.อยา งไร คือ สมั มาทิฏฐกิ อน ยอมละมจิ ฉาทฏิ ฐิกบั กิเลสที่เปนขาศึกของตนแมอ นื่ ๆ ได ๑ ยอมทํานโิ รธใหเปน อารมณ ๑ ยอมเห็นสัมปยตุ ตธรรมทัง้ หลายเพราะไมฟน เฝอ ดว ยอาํ นาจกาํ จดั โมหะอันปกปด สัมปยุตตธรรมนนั้ ๆได ๑ แมส ัมมาสงั กัปปะเปนตนก็เชนนั้นเหมอื นกัน ยอมละมิจฉาสงั กัปปะเปน ตน ยอมกระทํานโิ รธใหเ ปนอารมณ แตในสมั มาสงั กปั ปะเปนตนน้ีวา โดยความแปลกกนั สัมมาสังกัปปะยอ มยกขน้ึ ซง่ึ สหชาตธรรม สมั มาวาจายอมกําหนดถอื ไวโ ดยชอบ สัมมากมั มนั ตะยอมยังการงานใหต ง้ั ขน้ึ ดีโดยชอบสมั มาอาชวี ะยอ มใหอ าชวี ะผองแผวโดยชอบ สมั มาวายามะยอมประคองไวโดยชอบ สมั มาสติ ยอ มปรากฏโดยชอบ สมั มาสมาธิ ยอ มตั้งมนั่ โดยชอบ. อีกอยางหนงึ่ ธรรมดาสัมมาทิฏฐินี้ ในสวนเบ้อื งตน (โลกียมรรค)มขี ณะตางกัน มีอารมณตางกนั ในกาลแหง มรรคมขี ณะเดยี วกัน มีอารมณ* คําวา อุปฏานลกฺขณา น้ี เฉพาะคาํ วา อุปฏาน มคี ําแปลหลายอยา งคือแปลวา มกี ารปรากฏบา ง มีการบํารงุ บาง มีการปฏิบตั บิ าง มีการตั้งมน่ั บา ง.
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 361เดยี วกนั ก็วาโดยกิจ (หนา ที)่ ยอ มไดชอ่ื ๔ อยางมคี ําอาทิวา ทกุ เฺ ข าณ(ญาณในทกุ ข) . แมส ัมมาสังกัปปะเปน ตน ในสว นเบื้องตน กม็ ีขณะตางกนั มีอารมณต า งกนั ในกาลแหง มรรค มีขณะเดียวกัน มีอารมณเดยี วกัน บรรดาองคมรรค ๗ มสี ัมมาสังกัปปะเปนตนเหลา นนั้ วา โดยกจิ (หนาท่)ี สมั มาสงั กปั ปะยอ มไดชื่อ ๓ อยา ง วา เนกขัมมสงั กัปปะเปนตน . องคม รรค ๓ มีสมั มาวาจาเปนตน ในสว นเบื้องตน มีขณะตางกนั มอี ารมณตางกนั คือ ยอ มเปน วริ ตีบาง เปนเจตนาบาง ในขณะแหงมรรคเปน วิรตีอยา งเดยี ว. องคม รรค ๒ แมนี้คอื สัมมาวายามะ สมั มาสติ วา โดยกิจยอมไดช ื่อ ๔ อยาง ดว ยอาํ นาจแหงสมั มัปปธาน และสติปฏ ฐาน สว นสัมมาสมาธิ ในสวนเบ้อื งตนก็ดี ในขณะแหง มรรคกด็ ี ก็ช่อื วา สมั มาสมาธินั่นแล. วาดวยธรรม ๘ โดยล าดับ ในธรรม ๘ ตามทีแ่ สดงมาน้ี พระผูม ีพระภาคเจาทรงแสดงสัมมาทฏิ ฐิกอ นเพราะเปนธรรมอปุ การะมากแกพ ระโยคีผูป ฏบิ ัตเิ พอ่ื บรรลุพระนพิ พานเพราะสมั มาทิฏฐนิ ้พี ระองคต รสั เรียกวา \"ประทีปอันโพลงทัว่ คือปญ ญา ศสั ตราคอื ปญ ญา เปน ตน ฉะนนั้ พระโยคาวจรผูทําลายความมืดคอื อวิชชา ดว ยสัมมาทิฏฐิ กลาวคอื วปิ สสนาญาณในกาลเบ้ืองตน น้ีแลวฆา โจรคือกเิ ลสอยู ยอ มบรรลุพระนิพพานไดโ ดยปลอดภัย ดวยเหตนุ นั้ ขา พเจา จงึ กลาววา \"พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงสัมมาทฏิ ฐกิ อน เพราะเปน ธรรมมอี ุปการะมากแกพ ระ-โยคผี ปู ฏิบตั ิเพ่อื บรรลุพระนพิ พาน ดังน้ี. อนง่ึ สมั มาสงั กปั ปะเปนธรรมมอี ุปการะมากแกส ัมมาทฏิ ฐินนั้ เพราะฉะน้นั จงึ ตรสั ไวในลําดับสมั มาทิฏฐนิ น้ั เปรยี บเหมอื นเหรญั ญกิ (ผดู เู งิน)
พระอภธิ รรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 362ใชมอื พลิกเงนิ กลบั ไปมาแลวตรวจดูกหาปณะดว ยตา ยอมรวู า กหาปณะน้เี กกหาปณะน้ีดี ฉันใด แมพ ระโยคาวจร กฉ็ นั น้นั ใชว ติ กตรกึ แลว ๆ ในกาลสว นเบื้องตนแลวตรวจดูอยดู ว ยวิปส สนาปญ ญา ก็จะทราบไดวา ธรรมเหลานี้เปนกามาพจร ธรรมเหลานนั้ เปน รูปาพจรเปน ตน กห็ รือวา เปรยี บเหมอื นชา งถากใชม ีดถากทอ นไมใหญ อันบรุ ษุ จบั ตรงปลายพลิกกลบั ไปมาโดยรอบ ใหแลว ยอ มนําไปในการงานได ฉนั ใด พระโยคาวจรก็ฉันนน้ั กาํ หนดธรรมทง้ั หลายอันวติ กตรึกแลว ๆ ใหแ ลว โดยนยั มีอาทิวา ธรรมเหลา นี้เปนกามาพจรธรรมเหลา น้ัน เปนรปู าพจร ดว ยปญ ญา ดงั น้ีแลว ยอ มนอ มไปในการงานไดดวยเหตนุ ัน้ จึงกลา ววา กส็ มั มาสังกปั ปะเปนธรรมมอี ุปการะมากแกสัมมาทฏิ ฐิน้ัน เพราะฉะนนั้ พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรสั สมั มาสงั กปั ปะในลําดับแหง สมั มา-ทฏิ ฐินัน้ . สัมมาสังกปั ปะน้ีเปน ธรรมมอี ุปการะมากแมแกส ัมมาวาจา ดุจมีอปุ การะมากแกส มั มาทิฏฐิ เหมือนอยา งท่ตี รัสไวว า \" ดกู อนคหบดี บคุ คลตรกึ แลว ตรองแลว กอ นแล ยอมเปลง วาจาภายหลงั เพราะฉะนน้ั พระองคจงึ ตรัสสัมมาวาจาในลําดับของสัมมาสงั กปั ปะน้นั . อนงึ่ เพราะชนทงั้ หลายจดั แจงดวยวาจากอนวา พวกเราจะทําส่ิงนี้ ๆ \" แลว จงึ ประกอบการงานในโลก ฉะน้นั วาจา จึงเปนธรรมมอี ปุ การะแกก ายกรรม เพราะเหตนุ น้ั จึงตรสั สัมมากัมมันตะในลาํ ดับแหงสัมมาวาจา. อน่งึ เพราะอาชวี ัฏฐมกศีล (ศลี มีอาชีวะเปนที่ ๘) ยอ มเตม็ แกบคุ คลผลู ะวจีทจุ ริต ๔ กายทจุ ริต ๓ ยงั สจุ รติ ทั้ง ๒ ใหบริบรู ณน น่ั แหละ มใิ ชเ ตม็ แกบคุ คลนอกจากนี้ ฉะนน้ั จงึ ตรัสสมั มาอาชวี ะในลาํ ดบั สจุ ริตทง้ั ๒ น้ัน.
พระอภิธรรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 363 พระผูมพี ระภาคเจา เพื่อจะทรงแสดงวา \"บคุ คลผมู ีอาชีวะบรสิ ุทธิ์แลว อยา งนี้ ไมสมควรจะพอใจเพยี งเทา นว้ี า อาชีวะของเราบรสิ ุทธิแ์ ลว เปนประมาทดังคนหลบั โดยทีแ่ ท ควรเรม่ิ ความเพียรนใ้ี นทุกอิรยิ าบถ ดังนี้จึงตรสั สมั มาวายามะในลําดบั สัมมาอาชีวะนั้น. ตอ จากนั้น เพ่ือจะทรงแสดงวา พระโยคาวจรแมม คี วามเพยี รเร่ิมแลวกพ็ ึงทําสตใิ หต ัง้ ม่นั อยา งดีในวัตถุ มกี าย* เปนตน \" ดงั น้ี จึงทรงแสดงสมั มา-สตใิ นลาํ ดับแหง สมั มาวายามะนั้น. อน่งึ เพราะสติต้ังมนั่ ดีอยางนี้แลว กจ็ ะตรวจดคู ติท้งั หลายแหงธรรมท้งั หลาย ที่มอี ปุ การะและไมมอี ปุ การะของสมาธิ จึงเพียงพอเพื่อต้ังจติ มนั่ ในอารมณมีความเปนหน่ึงได ฉะนน้ั พึงทราบวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงสัมมาสมาธไิ วใ นลาํ ดบั แหงสมั มาสติ ดังนี้. วา ดวยนิเทศแหงสมั มาทฏิ ฐิ (บาลีขอ ๑๖๓) พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในนิเทศแหงสมั มาทิฏฐิ ตอไป กรรมฐานในสจั จะ ๔ พระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงดว ยพระดํารัสมีอาทิวา ทกุ ฺเข าณ (ความรูในทกุ ข) ดังน้.ี บรรดาสจั จะ ๔ เหลานน้ัสจั จะ ๒ ขา งตนเปน วัฏฏะ สัจจะ ๒ หลงั เปนวิวฏั ฏะ ในสจั จะท่เี ปน วัฏฏะและวิวัฏฏะเหลา น้ัน ภิกษยุ อ มมคี วามยดึ มนั่ กรรมฐานในสจั จะท่ีเปนวฏั ฏะ. ไมมีความยึดม่นั ในสัจจะทีเ่ ปนวิวัฏฏะ. จรงิ อยู พระโยคาวจรเรยี นสัจจะ ๒ ขางตนในสาํ นกั อาจารยโ ดยยออยางนว้ี า ขันธ ๕ เปน ทุกข ตัณหาเปน สมทุ ัย ดังนี้ และโดยพสิ ดารมนี ัยอาทิวา \"ขนั ธ ๕ เปน ไฉน คอื รปู ขันธ ดังนี้ แลว ทบทวนดว ยวาจาอยบู อ ย ๆยอมทาํ กรรม. แตในสัจจะ ๒ นอกนี้ พระโยคาวจรยอ มทํากรรมดว ยการฟง* คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 364อยา งนว้ี า \"นิโรธสัจจะนาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ มรรคสัจจะนา ปรารถนานาใคร นา พอใจ\" ดงั น้ี เมื่อเธอทํากรรมอยอู ยางนี้ ยอมแทงตลอดสจั จะท้งั๔ ดวยการแทงตลอดคราวเดยี วกัน ยอมตรสั รดู ว ยการตรัสรูคราวเดียวกัน คือแทงตลอดทกุ ขดว ยการแทงตลอดคอื การกาํ หนดรู (ปริญญากจิ ) ยอมแทงตลอดสมทุ ัยดวยการแทงตลอด คอื การละ (ปหานกจิ ) ยอ มแทงตลอดนโิ รธดวยการแทงตลอดคอื การทาํ ใหแจง (สจั ฉิกริ ิยากิจ) ยอ มแทงตลอดมรรคดวยการแทงตลอดคอื การเจริญ ยอมตรสั รทู ุกขดวยการตรัสรูคือการกาํ หนดรู ฯลฯยอ มตรัสรูมรรคดวยการตรสั รูค อื การเจรญิ . การแทงตลอด (ปฏิเวธ) ดวยการเรยี น การสอบถาม การฟง การทรงจาํ และการพจิ ารณาในสจั จะ ๒ ในสว นเบอ้ื งตน ของภกิ ษุน้นั ยอมมีดว ยประการฉะนี้ ในสัจจะ ๒ หลงั มกี ารแทงตลอดไดดวยการฟงอยางเดยี ว. ในการสวนอน่ื อีก ยอ มมกี ารแทงตลอดในสจั จะ ๓ โดยกจิ การแทงตลอดดวยอารมณ ยอมมใี นนิโรธ ในการแทงตลอดโดยกิจและอารมณเหลานั้น ความรดู ว ยปฏเิ วธะ(ปฏิเวธญาณ) แมท้ังหมดเปน โลกตุ ระ ความรูดว ยการฟง การทรงจาํ และการพิจารณาเปน โลกิยะฝา ยกามาพจร ก็มรรคสจั จะยอ มมีปจจเวกขณะ และพระ-โยคาวจรน้ีเปน อาทกิ ัมมกิ บุคคล เพราะฉะนั้น ปจจเวกขณะ (คือการพจิ ารณา)นน้ั ขา พเจาจึงไมกลา วไวใ นทนี่ .ี้ อนึ่ง การผกู ใจ การใสใ จ การมนสกิ าร เละการพิจารณา ยอ มไมม ีแกภกิ ษนุ ี้ ผูถอื เอาในเบื้องตน \"วา เราจะกาํ หนดรูทกุ ข จะละสมทุ ัย จะทาํ นิโรธใหแจง จะเจริญมรรค\" แตยอมมจี าํ เดิมแตก ารกําหนดถอื เอา สว นในกาลอ่นื อกี ทุกขยอมเปน อนั เธอรแู ลว โดยแท ฯลฯ มรรคก็ยอ มเปน อนั เธอเจรญิ แลว เหมือนกนั .
พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 365 บรรดาสัจจะ เหลา นน้ั สองสัจจะเปนธรรมลกึ ซง้ึ เพราะสัตวเห็นไดย าก สัจจะ ๒ ทชี่ ื่อวา เหน็ ไดโดยยาก เพราะลกึ ซง้ึ จรงิ อยู ทุกขสจั จะเปนของปรากฏเพราะเกดิ ข้ึนแลว ยอ มถึงแมค ําอนั บุคคลพงึ กลาววา ทกุ ขห นอ ในเวลาทถ่ี ูกคอ หรือหนามทม่ิ แทงเปนตน . ถงึ สมุทัยก็ปรากฏโดยการเกิดขนึ้ ดว ยอํานาจแหง บุคคลผูประสงคจ ะเคี้ยวจะบริโภค ก็สจั จะทัง้ ๒ แมน นั้ เปน ของลกึโดยการแทงตลอดลักษณะ กส็ จั จะ ๒ เหลานั้น ช่ือวา ลกึ ซ้ึง เพราะสตั วเ ห็นไดย าก ดว ยประการฉะนี้. การประกอบความเพยี รเพอื่ จะเห็นสัจจะ ๒ นอกน้ี(นโิ รธ มรรค) ยอมดจุ การเหยยี ดมอื ไปเพื่อจับภวตั รพรหม ดุจการเหยียดเทาเพื่อถกู ตอ งอเวจนี รก และเปน ดุจเอาปลายขนทรายจดปลายขนทรายทแ่ี บงแลวรอยสวน* สจั จะ ๒ เหลา นั้น ช่ือวา เหน็ ไดยาก เพราะลกึ ซ้ึงดว ยประการฉะน.้ี คาํ ท่ีพระผูม พี ระภาคเจาตรสั วา ทุกเฺ ข าณ นี้ ทรงหมายเอาความเกิดขนึ้ แหง ญาณในบุพภาค ดว ยสามารถแหงการเรยี นเปนตน ในสจั จะ ๔ ช่อื วาลึกซึ้ง เพราะเหน็ ไดยาก และชื่อวา เหน็ ไดยาก เพราะความลกึ ซงึ้ ดวยประการฉะน้ี แตใ นขณะแหงการแทงตลอด ญาณนัน้ ยอ มมคี ร้งั เดียวกนั แล. วา ดวยนเิ ทศแหงสมั มาสังกัปปะ (บาลขี อ ๑๖๔) พงึ ทราบวินจิ ฉัยในนิเทศแหงสมั มาสังกปั ปะ ตอไป. สงั กปั ปะ (ความดําร)ิ ใด ออกจากกาม เพราะเหตนุ ั้น สังกัปปะนน้ัจงึ ชือ่ วา เนกขมั มสงั กปั ปะ (ความดํารใิ นการออกจากกาม). สงั กปั ปะใดออกจากพยาบาท เพราะเหตนุ ้นั สังกปั ปะนนั้ จงึ ช่อื วา อัพยาปาทสังกปั ปะ* บางแหงแสดงวา เอาปลายขนทรายยินปลายขนทรายที่แบง แลว ๗ สว น.
พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 366(ความดาํ ริในการไมพ ยาบาท). สงั กปั ปะใดออกจากความเบียดเบียน เพราะเหตนุ นั้ สังกัปปะน้นั จงึ ชอื่ วา อวหิ งิ สาสังกปั ปะ (ความดําริในการไมเบียดเบียน). บรรดาสงั กปั ปะท้ัง ๓ เหลานั้น เนกขัมมวติ กเกดิ ขนึ้ ทาํ การตัดทางคอื ทาํ ลายทางเปน เครือ่ งดําเนนิ ของกามวติ ก อพั ยาบาทวติ กเกดิ ข้ึนทาํ การตดั ทางคอื ทําลายทางเปนเครื่องดาํ เนินของพยาบาทวติ ก อวหิ งิ สาวิตกเกิดขึ้นทาํ การตดั ทาง คือทาํ ลายทางเปนเคร่ืองดาํ เนินของวหิ ิงสาวติ ก. อนึ่ง เนกขัมมวิตกเกดิ ขึน้ เปน ขา ศกึ ตอ กามวิตก อัพยาบาทวติ กและอวหิ งิ สาวิตกเกดิ ขนึ้ เปน ขา ศกึตอพยาบาทวติ กและวหิ ิงสาวิตก. ในวิตกเหลานัน้ พระโยคาวจรยอมพจิ ารณากามวติ ก ก็หรอื สงั ขารไร ๆ อ่นื เพื่อทํานายทางของกามวิตก ตอจากนั้น ความดาํ รขิ องเธอซึ่งสัมปยุตดวยวิปสสนาในขณะแหง วปิ ส สนากจ็ ะเกิดขึ้นทาํ การตัดทาง คือทําลายทางของกามวติ ก ดวยสามารถแหงองคของวิปสสนานัน้ (ตทังคปหาน) เธอขวนขวายวิปสสนาก็จะบรรลมุ รรคได ลําดับนน้ั สังกปั ปะ (ความดําร)ิ ซ่ึงสมั ปยุตดวยมรรคในขณะแหงมรรคของเธอก็จะเกดิ ขน้ึ ทําการตัดทาง คอื ทําลายเครอ่ื งดําเนนิ ของกามวติ ก ดว ยสามารถแหง สมุจเฉท. อนง่ึ พระโยคาวจรยอมพิจารณาพยาบาทวติ ก หรอื สังขารอน่ื เพือ่ ทําลายทางของพยาบาทวติ ก หรอืยอมพิจารณาวหิ งิ สาวติ ก หรอื สงั ขารอืน่ เพ่ือทาํ ลายทางของวิหิงสาวติ ก ตอจากนนั้ พงึ ประกอบคาํ ทง้ั ปวงในขณะแหงวิปสสนาของเธอ โดยนยั มีในกอนน่ันแล.
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 367 กรรมฐานทีเ่ ปน ขา ศกึ ตออกศุ ลวติ ก ๓ อนง่ึ ในอารมณก รรมฐาน ๓๘ ทท่ี รงจาํ แนกไวในพระบาลี แมกรรมฐานหนงึ่ ชื่อวา ไมเปน ขาศึกตอ อกุศลวติ ก ๓ มกี ามวิตกเปน ตน หามีไม.ก็ปฐมฌานในอสุภะทั้งหลายท้ังหมดทเี ดยี ว เปน ขา ศึกตอกามวิตกโดยสว นเดียวกอ น ฌานหมวด ๓ หมวด ๔ (ปญ จกนยั ) ในเมตตาภาวนาเปน ปฏิปกษตอพยาบาทวติ ก ฌานหมวด ๓ และหมวด ๔ ในกรุณาเปน ปฏิปก ษตอวหิ งิ สา-วติ ก เพราะฉะนนั้ เมอ่ื พระโยคาวจรกระทาํ บริกรรมในอสภุ ะเขาฌานสงั กัป-ปะ (ความดาํ ร)ิ ทีส่ ัมปยุตดวยฌานในขณะแหงสมาบตั ิ ก็จะเกดิ เปนขา ศกึ ตอกามวติ ก ดวยสามารถแหงวิกขมั ภนะ เม่อื พระโยคาวจรทําฌานใหเ ปน บาทเรมิ่ ต้งั วิปส สนา สงั กัปปะอันสัมปยตุ ดว ยวปิ ส สนาในขณะแหง วิปส สนาก็ยอมเกิดเปน ขาศึกตอ กามวติ กดว ยสามารถแหงองคข องวิปส สนา (ตทังคปหาน) นั้นเมอื่ เธอขวนขวายวปิ สสนาบรรลุมรรคแลว สงั กัปปะทส่ี ัมปยุตดวยมรรคในขณะแหง มรรคก็เกดิ ข้ึนเปนขา ศกึ ตอ กามวิตก ดว ยสามารถแหง สมุจเฉทปหานสังกปั ปะ (ความดาํ ริ) อนั เกดิ ขน้ึ อยางน้ี พึงทราบวา ตรัสเรียกวา เนกขัมม-สังกปั ปะแล. อนง่ึ บัณฑติ พึงประกอบคําท้ังปวงวา \"พระโยคาวจรทําบริกรรมในเมตตาภาวนา ทา บริกรรมในกรุณาภาวนาเขาฌาน\" เปนตน โดยนัยกอ นนน่ั แหละ พงึ ทราบวา สังกปั ปะอันเกิดข้ึนแลว อยางน้ี ตรัสเรยี กวา อัพยาปาท-สงั กัปปะ และอวหิ ิงสาสังกปั ปะ สังกัปปะเหลา นีม้ เี นกขมั มสงั กัปปะเปนตน ดวยอาการอยางนี้ ชอ่ื วา มีอารมณตา ง ๆ ในสวนเบื้องตน เพราะความที่สงั กัปปะเหลาน้นั เกิดข้ึนมีอารมณตางกันดว ยอํานาจแหง วปิ สสนาและฌาน แตใ นขณะ
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 368แหง มรรค กุศลสังกปั ปะ (ความดําริทเ่ี ปนกศุ ล) ยอ มเกดิ ขน้ึ เปนอันเดยี วกนัทาํ องคแหงมรรคใหบรบิ รู ณ เพราะตัดทางดาํ เนนิ แหง อกุศลสังกัปปะท่ีเกิดข้นึในฐานะ ๓ เหลา นี้ ดว ยสามารถแหงการไมเ กิดข้นึ ไดส ําเรจ็ . นี้ ชือ่ วา สัมมาสงั กัปปะ. วา ดว ยนิเทศแหงสัมมาวาจา (บาลขี อ ๑๖๕) พึงทราบวินจิ ฉัยแมใ นนิเทศแหงสัมมาวาจา ตอไป อนง่ึ เพราะบุคคลยอ มงดเวน มุสาวาทดวยจติ ดวงหน่ึง ยอ มงดเวนปสุณาวาจาเปน ตน ดว ยจติ ดวงหน่งึ ฉะนัน้ เจตนาเปน เครือ่ งงดเวนทง้ั ๔เหลา นัน้ จึงตา ง ๆ กนั ในสว นเบ้ืองตน แตใ นขณะแหง มรรค ยอ มเกิดเจตนางดเวนเปน กุศลกลาวคือสมั มาวาจาอยา วเดยี วเทา นน้ั อนั ยงั องคม รรคใหบรบิ ูรณเพราะตัดทางดาํ เนินแหง เจตนาความเปน ผทู ศุ ลี ในอกุศล ๔ อยาง กลาวคือมจิ -ฉาวาจาดวยสามารถไมเ กิดข้นึ ไดส าํ เร็จ. นี้ ชือ่ วา สมั มาวาจา. วาดว ยนเิ ทศสัมมากมั มนั ตะ พงึ ทราบวินจิ ฉัยแมใ นนิเทศแหงสัมมากมั มันตะ ตอไป อน่งึ เพราะบคุ คลยอมงดเวนปาณาตบิ าตจติ ดวงหนึ่ง ยอมงดเวนอทินนาทานดวยจติ ดวงหนึง่ ยอมงดเวน กาเมสมุ จิ ฉาจารดวยจิตดวงหน่งึ ฉะน้ันเจตนาเปนเครอื่ งงดเวน ทั้ง ๓ เหลา นี้ จึงตา ง ๆ กันในสวนเบอ้ื งตน แตในขณะแหง มรรค ยอมเกิดกศุ ลเจตนาเปน เคร่ืองงดเวน กลาวคอื สัมมากมั มนั ตะ
พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 369วงเดยี วเทา นัน้ อนั ยงั องคม รรคใหบรบิ ูรณ เพราะตดั ทางดําเนินของเจตนาเปนเหตศุ ีลในอกศุ ล ๓ อยาง กลา วคือมิจฉากมั มนั ตะ ดว ยสามารถแหงความไมเ กิดขน้ึ ไดสาํ เรจ็ . น้ี ชอื่ วา สัมมากัมมันตะ. วา ดว ยนิเทศสัมมาอาชีวะ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในนิเทศสมั มาอาชวี ะ ตอไป บทวา อิธ ไดแ ก ในพระศาสนานี้. บทวา อริยสาวโก ไดแ กสาวกของพระพทุ ธเจา ผูเปน อริยะ. บทวา มจฉฺ าอาชีว ปหาย (ละมิจฉาอาชีวะแลว) ไดแก ละขาดซงึ่ อาชวี ะอันลามก. บทวา สมมฺ าอาชีเวน(ดว ยสัมมาอาชีวะ) ไดแ ก อาชีวะอนั เปนกุศลทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสรรเสริญแลว.บทวา ชวี ิต กปฺเปติ (เลี้ยงชวี ติ อยู) ไดแก ยังความเปนไปแหงชีวติ ใหดาํ เนนิ ไป. แมใ นสมั มาอาชวี ะนี้ เพราะบุคคลยอมงดเวน จากการกาวลว งกายทวารดวยจติ ดวงหน่งึ ยอ มงดเวน จากการกา วลว งทางวจีทวารดว ยจติ ดวงหน่ึง ฉะน้นั ในสวนเบือ้ งตนจึงเกดิ ขน้ึ ในขณะตา ง ๆ แตใ นขณะแหง มรรคยอมเกิดกุศลเจตนาเครื่องงดเวน กลาวคือสัมมาอาชีวะดวงเดียวเทา นัน้ อนั ยังองคมรรคใหบรบิ ูรณ เพราะตัดทางดาํ เนนิ ของเจตนาเปน เครื่องทุศลี ในมจิ ฉาอาชีวะทเ่ี กดิ ข้นึ ดวยอํานาจกรรมบถ ๗ ในทวารทง้ั ๒ ดวยสามารถไมใหเ กิดข้ึนไดส ําเร็จ. นี้ ชือ่ วา สมั มาอาชีวะ. วาดวยนเิ ทศสมั มาวายามะเปนตน นเิ ทศแหงสมั มาวายามะจกั แจมแจงดวยสามารถการพรรณนาตามบทในสมั มปั ปธานวิภังค. กส็ มั มาวายามะนย้ี อมไดในจติ ตาง ๆ ในกาลเบอ้ื งตน
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 370เพราะบุคคลยอมทําความเพียรเพือ่ ความไมเ กิด แหงอกศุ ลธรรมอันลามกทั้งหลายที่ยังไมเกิดขนึ้ ดว ยจิตดวงหนง่ึ เพื่อละอกศุ ลธรรมอนั ลามกที่เกิดขึ้นแลวดวยจิตดวงหนึง่ และเพอื่ ความเกดิ ขึน้ แหงกุศลธรรมทยี่ งั ไมเกิดขนึ้ ดว ยจติ ดวงหน่ึง เพือ่ ความดาํ รงอยูแหง กุศลธรรมท่เี กดิ ข้นึ แลวดว ยจติ ดวงหนึ่ง แตในขณะแหง มรรค ยอมไดในจติ ดวงเดียวเทานัน้ เพราะความเพียรอนั สมั ปยุตดว ยมรรคอนั เดยี วเทานั้น ยอ มไดช ือ่ ๔ อยาง ดว ยอรรถวา ยังกิจ ๔ อยา งใหส ําเรจ็ . แมน ิเทศแหงสมั มาสติกจ็ กั มีแจงดวยสามารถการพรรณนาตามบทในสตปิ ฏฐานวิภงั ค. อนึง่ สัมมาสตแิ มน ้ีกย็ อ มไดใหจิตตา ง ๆ ในสว นเบ้ืองตนจริงอยู บคุ คลยอ มกาํ หนดกายเปน อารมณด ว ยดวงหนึง่ ยอ มกําหนดเวทนาเปนตน ดว ยจติ ดวงหน่ึง ๆ แตในขณะแหง มรรคยอ มไดใ นจิตดวงเดยี วเทา นน้ัเพราะสตทิ ี่สัมปยตุ ดว ยมรรคดวงเดยี วเทานน้ั ยอมไดช่ือ ๔ อยา ง ดว ยอรรถวาใหสาํ เร็จกจิ ๔ อยา ง. วาดว ยนเิ ทศสมั มาสมาธิ (บาลีขอ ๑๗๐) พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในนเิ ทศสัมมาสมาธิ ตอ ไป ฌาน ๔ มีความตา งกันแมใ นสวนเบอื้ งตน แมในขณะแหงมรรค ในสวนเบื้องตนตางกันดว ยอํานาจสมาบตั ิ ในขณะแหง มรรคตางกนั ดวยอํานาจแหง มรรค. ความจริง ปฐมมรรคของบุคคลคนหนึง่ ยอ มเปน ธรรมประกอบดวยปฐมฌาน แมมรรคดวงท่ี ๒ เปนตนก็เปน ธรรมประกอบดว ยปฐมฌานหรอื ประกอบดวยฌานใดฌานหนง่ึ มที ุตยิ ฌานเปนตน. ปฐมมรรคของบคุ คลคนหนง่ึ ก็ประกอบดวยฌานใดฌานหนง่ึ มที ตุ ิยฌานเปนตน. แมท ุติยมรรคเปน ตน กเ็ ปน ธรรมประกอบดวยฌานใดฌานหนึ่งแหงทุติยฌานเปนตน หรอื วา
พระอภธิ รรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 371ประกอบดว ยปฐมฌาน. ดวยอาการอยา งน้ี มรรคแมทงั้ ๔ ยอ มเปน เชน เดียวกนับา ง ไมเ ปน เชน เดยี วกันบาง หรือเปน เชนเดียวกนั บา งอยาง ดวยอํานาจฌาณ. สว นความแปลกของมรรคนนั้ ดว ยกําหนดฌานเปนบาทมดี งัตอไป วา ดว ยนิยาม (การกาํ หนด) มรรคท่ีมฌี านเปนบาทกอ น เม่ือบุคคลผูไดปฐมฌานออกจากปฐมฌานแลวเหน็ แจง อยู มรรคเปนธรรมประกอบดวยปฐมฌานกเ็ กิดขึน้ และในมรรคนี้ องคม รรคและโพชฌงค ยอมเปนธรรมบริบรู ณทเี ดยี ว เมอื่ บุคคลไดท ุติยฌานออกจากทุตยิ ฌานพิจารณาเหน็ แจง อยูมรรคประกอบดวยทุตยิ ฌานกเ็ กดิ ขน้ึ แตใ นมรรคน้ี องคม รรคยอ มมี ๗ องคเม่ือไดตติยฌานออกจากตตยิ ฌานแลวพจิ ารณาเหน็ แจง อยู มรรคประกอบดวยตตยิ ฌานกเ็ กิดข้นึ แตใ นมรรคน้ี องคม รรคมี ๗ โพชฌงค ๖. นับต้งั แตจตุตถฌานจนถงึ เนวสัญญานาสัญญายตนฌานกน็ ยั น.ี้ ฌานทเ่ี ปนจตุกนยั และปญ จกนยั ยอมเกดิ ข้ึนในอรูปภพ. ก็ฌานน้นั แลตรสั เรียกวา โลกุตระมิใชโลกิยะถามวา ในอธกิ ารนเี้ ปน อยา งไร ตอบวา ในอธกิ ารน้ี พระโยคาวจรออกจากณานใด บรรดาปฐมฌานเปนตน ไดเ ฉพาะซง่ึ โสดาปตตมิ รรคแลวเจริญอรปู -สมาบตั เิ กิดข้ึนในอรปู ภพ มรรค ๓ (เบอื้ งตน) ของเขาประกอบดว ยฌานนนั้ แหละ ยอมเกดิ ขนึ้ ในภพน้นั ดวยอาการอยา งน้ี ฌานทเี่ ปนบาทนนั้ เองยอ มกําหนดมรรค. แตพ ระเถระบางพวกยอมกลา ววา ขนั ธทง้ั หลายที่เปน อารมณข องวิปสสนายอมกาํ หนด บางพวกกลาววา อชั ฌาสัยของบคุ คลยอมกาํ หนดบางพวกกลาววา วิปส สนาท่ีเปน วุฏฐานคามนิ ียอมกําหนด บณั ฑิตพงึ ทราบวินิจฉยั วาทะของพระเถระเหลานั้น โดยนัยทขี่ าพเจากลาวไวในการวรรณนาบทภาชนยี วา ดวยโลกรตุ ระในจิตตุปปาทกัณฑในหนหลังน่นั แล.
พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 372 คาํ วา อย วุจฺจติ สมฺมาสมาธิ (นี้เรียกวาสัมมาสมาธ)ิ ความวาเอกกัคคตา (สมาธจิ ติ ) ในฌาน ๔ เหลา นน้ั เราเรียกชอื่ วา สมั มาสมาธิ เปนโลกยิ ะในสว นเบ้อื งตน แตในกาลภายหลังเปน โลกุตระ. พระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงมรรคสจั จะดว ยสามารถเปน โลกยิ ะและโลกตุ ระ ดวยประการฉะนี้ วา ดวยมรรคท่ีเปน โลกียแ ละโลกุตระ บรรดามรรคที่เปน โลกยี แ ละโลกตุ ระเหลา น้นั ในโลกยิ มรรค องค-มรรคทงั้ หมด ยอมมอี ารมณอ ยา งใดอยา งหน่ึง ในอารมณ ๖ ตามสมควรแตใ นโลกตุ รมรรค ปญญาจักษุ (จกั ษคุ ือปญ ญา) มีนิพพานเปน อารมณ อันถอนเสียซง่ึ อวิชชานุสยั ของพระอรยิ สาวกผปู ระพฤตเิ พื่อแทงตลอดสัจจะ ๔ เปนสมั มาทฏิ ฐ.ิ อนงึ่ การยกจิตขน้ึ สูแนวทางพระนพิ พานซึง่ สัมปยตุ ดวยสมั มา-ทิฏฐินนั้ แลว ถอนเสยี ซ่ึงมิจฉาสังกปั ปะ ๓ อยาง ของบคุ คลผถู งึ พรอมดวยทฏิ ฐิเปน สัมมาสังกปั ปะ. อนึ่ง เจตนาเปน เคร่อื งงดเวนมิจฉาวาจา ท่สี มั ปยตุดวยสัมมาสงั กปั ปะนนั้ แหละ ถอนขน้ึ ซง่ึ วจีทจุ รติ ๔ อยา ง ของบคุ คลผูเ หน็ อยูและตรกึ อยู เปน สมั มาวาจา. เจตนาเปน เครือ่ งงดเวน กายทจุ รติ ๓ อยางท่ีสมั ปยตุ ดว ยสัมมาวาจาน้นั แหละตัดขาดมิจฉากัมมันตะ ของบุคคลผงู ดเวนอยูเปน สมั มากมั มนั ตะ. เจตนาเปนเครือ่ งงดเวน มจิ ฉาอาชวี ะ ที่เปนธรรมชาติผองแผวของสมั มาวาจาและกัมมนั ตะ. เหลานั้นนน่ั เอง เปน ธรรมสมั ปยตุ ดว ยสัมมาวาจาและกัมมันตะน้นั ๆ แหละตดั ขาดอกศุ ลมกี ารหลอกลวงเปน ตน เปนสัมมาอาชีวะ. อน่ึง วิริยารัมภะ (ปรารภความเพยี ร) ของบคุ คลผูต้งั มั่นในภมู ศิ ีล กลาวคือ สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ นีส้ มควรแก
พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 373ศลี น้นั สมั ปยตุ ดวยศีลนัน้ แลตดั ขาดความเกยี จคราน ใหส ําเร็จความไมเ กดิอกศุ ลทยี่ งั ไมเกดิ ละอกศุ ลทเี่ กดิ ขึน้ แลว ยังกศุ ลทีย่ ังไมเกดิ ใหเ กดิ ขน้ึ ท่ีเกดิแลวใหด าํ รงอยู เปน สมั มาวายามะ. ความท่จี ติ ไมห ลงลืมของผูพยายามอยูอยางน้ี สัมปยตุ ดวยสมั มาวายามะนนั้ ถอนขน้ึ ซงึ่ มิจฉาสติ ใหส ําเร็จเปนกายา-นุปสสนาเปน ตน ในอารมณมีกายเปน ตน เปน สมั มาสต.ิ ความทจ่ี ิตมีอารมณเปน หนง่ึ ของผรู กั ษาจิตอันอนุตรสตจิ ัดแจงดีแลว สัมปยตุ ดวยสัมมาสตแิ ละถอนขึ้นซ่ึงมจิ ฉาสมาธิ เปนสัมมาสมาธิ ดว ยประการฉะน้ีแล. น้ี เปนอริยมรรคมอี งค ๘ เปนโลกุตระ. วา ดว ยมรรคเปน ทั้งวชิ าและจรณะเปน ตน อนงึ่ โลกุตรมรรคใด พรอมทงโลกยิ มรรค ถึงซึง่ การนบั วาเปนทุกฺขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา (ปฏปิ ทาใหถงึ ความดับทุกข) มรรคนนั้ แลเปนทง้ั วิชชาและจรณะ เพราะสมั มาทฏิ ฐแิ ละสัมมาสังกปั ปะทรงสงเคราะหไ วด ว ยวิชชา ธรรมที่เหลือสงเคราะหไวด ว ยจรณะ อนึง่ มรรคน้นั เปน ทง้ั สมถะและวปิ ส สนา เพราะความทสี่ ัมมาทิฏฐิและสัมมาสงั กัปปะท้ัง ๒ เหลาน้นั ทรงสงเคราะหไวดว ยวปิ ส สนาญาณ. ธรรมนอกจากนี้ สงเคราะหไวด วยสมถญาณ.อกี อยางหนง่ึ มรรคน้นั เปนทงั้ ขันธ ๓ และสิกขา ๓ เพราะความทีส่ ัมมาทิฏฐิและสัมมาสงั กัปปะทง้ั ๒ เหลา นนั้ ทรงสงเคราะหดว ยปญญาขันธ ธรรม ๓ในลาํ ดบั ตอ จากสัมมาทิฏฐิและสัมมาสงั กัปปะน้ันสงเคราะหด ว ยศีลขันธ ท่เี หลอืสงเคราะหด วยสมาธิขนั ธ และธรรมเหลา นั้นแหละสงเคราะหด วยอธิปญญาสิกขาอธศิ ีลสิกขา อธจิ ติ ตสิกขา. พระอรยิ สาวกประกอบดวยมรรคใด เปนผูถ ึงพรอมดวยวชิ ชาและจรณะดุจบุคคลผูเดนิ ทางไกลประกอบดว ยจักษุท้ัง ๒ อนั สามารถในการเห็น
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 374และเทา ทง้ั ๒ อนั สามารถในการเดิน เวนที่สุด ๒ อยาง คือกามสุขัลลกิ านุโยคดวยวิปส สนาญาณ และอตั ตกิลมถานุโยคดว ยสมถญาณ ดาํ เนินไปสมู ชั ฌิม-ปฏิปทา ทาํ ลายอยซู ่ึงกองโมหะดวยปญญาขันธ ซ่งึ กองแหงโทสะดว ยศีลขนั ธซึง่ กองโลภะดว ยสมาธิขันธ บรรลสุ มบัติ ๓ คอื ซ่งึ ปญญาสัมปทาดว ยอธปิ ญญา-สิกขา ซง่ึ ศลี สัมปทาดวยอธศิ ลี สิกขา ซึ่งสมาธสิ มั ปทาดว ยอธิจติ ตสกิ ขา ยอมกระทําใหแ จงซ่งึ อมตะคอื พระนิพพาน ชื่อวา หยงั่ ลงสอู ริยภูมิ กลา วคอื สัมมตั ต-นยิ าม (นยิ ามอันชอบ) ซ่ึงวิจติ รดวยรัตนะคอื โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการอนั งามในเบื้องตน ทามกลางและปริโยสาน แล. วรรณนาสุตตันตภาชนยี จบ
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 375 อภธิ รรมภาชนีย อัฏฐงั คิกวาร [๑๗๑] สจั จะ ๔ คอื ๑. ทกุ ข ๒. ทุกขสมทุ ยั ๓. ทกุ ขนโิ รธ ๔. ทกุ ขนิโรธคามินีปฏปิ ทา. [๑๗๒] ในสัจจะ ๔ น้นั ทุกขสมทุ ัย เปนไฉน ? ตัณหา นเี้ รียกวา ทุกขสมุทัย. [๑๗๓] ทกุ ข เปน ไฉน ? กิเลสท่เี หลือ อกศุ ลธรรมที่เหลอื อกุศลมลู ๓ ที่เปนอารมณข องอาสวะอกุศลธรรมอันเปน อารมณข องอาสวะท่ีเหลือ วบิ ากแหง กศุ ลกรรม และอกุศล.ธรรมทเ่ี ปนอารมณของอาสวะ ธรรมเปนกริ ิยามใิ ชก ุศล อกุศลและกรรมวบิ ากรูปท้งั หมด นีเ้ รียกวา ทุกข. [๑๗๔] ทุกขนโิ รธ เปน ไฉน ? การประหาณตณั หา นีเ้ รียกวา ทุกขนโิ รธ. [๑๗๕] ทกุ ขนิโรธคามินปี ฏปิ ทา เปน ไฉน ? ภิกษุในศาสนาน้ี เจรญิ โลกุตรฌาน อันเปน เคร่ืองนาํ ออกไปจากโลกใหเ ขาสูน พิ พาน เพือ่ ประหาณทิฏฐิ เพ่ือบรรลุปฐมภมู ิ [โสดาปตติผล]สงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมท้ังหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ทม่ี วี ิตกมี
พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 376วจิ ารมปี ติ และสุขอันเกดิ แตวิเวก เปน ทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภญิ ญา อยูในสมยัใด มรรคมีองค ๘ คอื สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ยอมมีในสมัยนัน้ . [๑๗๖] ในมรรคมีองค ๘ นั้น สัมมาทฏิ ฐิ เปน ไฉน ? ปญญา กิรยิ าทร่ี ชู ัด ฯลฯ ความไมหลง ความวิจัยธรรม ความเหน็ชอบ ธมั มวจิ ยั สัมโพชฌงค อันเปนองคแหงมรรค นับเนอ่ื งในมรรค อนัใด น้เี รยี กวา สมั มาทิฏฐ.ิ [๑๗๗] สมั มาสงั กัปปะ เปนไฉน ? ความตรึก ความตรึกอยางแรง ฯลฯ ความดําริชอบ อนั เปนองคแหงมรรค นบั เน่ืองในมรรค อนั ใด นเ้ี รียกวา สัมมาสงั กัปปะ. [๑๗๘] สมั มาวาจา เปน ไฉน ? การงด การเวน การเลกิ ละ เจตนาเครื่องเวน จากวจีทจุ ริต ๔ กิริยาไมท าํ การไมทํา การไมลวงละเมดิ การไมลาํ้ เขต การกาํ จดั ตน เหตุวจีทจุ รติ ๔ วาจาชอบ อันเปน องคแ หงมรรค นบั เนอ่ื งในมรรค อนั ใด นเ้ี รยี กวา สัมมาวาจา. [๑๗๙] สัมมากัมมันตะ เปนไฉน ? การงด การเวน การเลกิ ละ เจตนาเคร่ืองเวน จากกายทจุ รติ ๓กิรยิ าไมท ํา การไมทํา การไมลวงละเมิด การไมล้าํ เขต การกําจัดตน เหตุกายทจุ ริต ๓ การงานชอบ อันเปน องคแหงมรรค นบั เนอื่ งในมรรคอันใดนี้เรยี กวา สมั มากัมมันตะ. [๑๘๐] สัมมาอาชวี ะ เปนไฉน ? การงด การเวน การเลิกละ เจตนาเครื่องเวน จากมิจฉาอาชวี ะกริ ิยาไมทาํ การไมท ํา การไมลวงละเมดิ การไมลาํ้ เขต การกําจดั ตน เหตุ
พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 377มจิ ฉาอาชวี ะ การเลย้ี งชพี ชอบ อนั เปน องคแหงมรรค นับเนื่องในมรรคอนั ใด น้ีเรยี กวา สมั มาอาชวี ะ. [๑๘๑] สมั มาวายามะ เปนไฉน ? การปรารภความเพยี รทางใจ ฯลฯ ความพยายามชอบ วิรยิ สมั โพชฌงคเปนองคแหงมรรค นับเนื่องในมรรค อนั ใด นีเ้ รยี กวา สัมมาวายามะ. [๑๘๒] สมั มาสติ เปนไฉน ? สติ ความตามระลึก ฯลฯ ความระลกึ ชอบ สตสิ ัมโพชฌงค อนั เปนองคแหงมรรค นบั เน่ืองในมรรค อันใด น้ีเรียกวา สมั มาสต.ิ [๑๘๓] สัมมาสมาธิ เปน ไฉน ? ความตั้งอยูแหง จิต ฯลฯ ความต้ังใจชอบ สมาธิสัมโพชฌงค อันเปนองคแ หงมรรค นบั เน่ืองในมรรค อนั ใด น้เี รยี กวา สมั มาสมาธ.ิ นีเ้ รยี กวา ทุกขนิโรธคามินีปฏปิ ทา ธรรมทัง้ หลายทเี่ หลือสัมปยุตดว ยทกุ ขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทา. [๑๘๔] ในสัจจะ ๔ น้นั ทุกขสมุทยั เปนไฉน ? ตณั หาและกเิ ลสท่เี หลือ นี้เรียกวา ทกุ ขสมุทยั [๑๘๕] ทุกข เปน ไฉน ? อกุศลธรรมที่เหลือ กศุ ลมลู ๓ ทเี่ ปน อารมณข องอาสวะ กุศลธรรมท่ีเปน อารมณข องอาสวะท่ีเหลือ วิบากแหง กุศลธรรมและอกุ ุศลกรรมทเ่ี ปนอารมณของอาสวะ ธรรมเปน กริ ิยามิใชก ศุ ลอกุศลและกรรมวิบาก รปู ทง้ั หมดนีเ้ รียกวา ทกุ ข.
พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 378 [๑๘๖] ทุกขนโิ รธ เปน ไฉน ? การประหาณซึง่ ตณั หาแสะกเิ ลสที่เหลอื นเี้ รียกวา ทุกขนโิ รธ. [๑๘๗] ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา เปน ไฉน ? ภิกษใุ นศาสนาน้ี เจรญิ โลกตุ รฌาน อนั เปน เคร่ืองนาํ ออกไปโลกใหเ ขา สนู ิพพาน เพื่อประหารทฏิ ฐิ เพ่ือบรรลุปฐมฌาน สงดั จากกามสงัดจากอกุศลธรรมท้ังหลาย บรรลปุ ฐมฌาน ทม่ี ีวติ กมวี ิจารมปี ตแิ ละสขุอันเกดิ แตว ิเวก เปนทกุ ขาปฏปิ ทาทนั ธาภญิ ญาอยูในสมยั ใด มรรคมีองค ๘คือ สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ยอ มมีในสมัยนนั้ นี้เรยี กวา ทุกขนโิ รธ-คามีนิปฏปิ ทา. ธรรมท้ังหลายทเี่ หลอื สมั ปยุตดว ยทุกขนโิ รธคามีนปี ฏปิ ทา. [๑๘๘] ในสัจจะ ๔ น้ัน ทกุ ขสมทุ ยั เปน ไฉน ? ตณั หา กเิ ลสทเ่ี หลอื และอกุศลกรรมท่ีเหลือนเี้ รยี กวา ทุกขสมทุ ยั [๑๘๙] ทกุ ข เปน ไฉน ? กศุ ลมลู ๓ ท่ีเปนอารมณของอาสวะ กุศลธรรมท่ีเปน อารมณของอาสวะท่เี หลอื วบิ ากแหงกุศลธรรมและอกศุ ลธรรมทีเ่ ปนอารมณข องอาสวะธรรมเปน กริ ิยามใิ ชก ศุ ลอกุศลและกรรมวบิ าก รปู ท้งั หมด นเี้ รยี กวา ทุกข. [๑๙๐] ทุกขนิโรธ เปนไฉน ? การประหาณซงึ่ ตณั หากเิ ลสท่ีเหลอื และอกุศลธรรมท่ีเหลอื นี้เรียกวาทุกขนโิ รธ. [๑๙๑] ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทา เปนไฉน ? ภกิ ษุในศาสนานี้ เจรญิ โลกตุ รฌาน อนั เปน เคร่อื งนาํ ออกจากโลกใหเ ขาสนู พิ พาน เพอ่ื ประหาณทิฏฐิ เพ่ือบรรลปุ ฐมภมู ิ สงัดจากกาม สงัด
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 379จากอกศุ ลธรรมทัง้ หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ท่ีมวี ิตกมวี จิ ารมีปต แิ ละสุขอนัเกดิ แตวิเวก เปน ทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภญิ ญาอยูในสมยั ใด มรรคมีองค ๘ คือสมั มาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ ยอมมีในสมัยนั้น นเ้ี รียกวา ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทา. ธรรมทัง้ หลายท่ีเหลือ สัมปยุตดวยทกุ ขนิโรธคามินปี ฏปิ ทา. [๑๙๒] ในสัจจะ ๔ นน้ั ทกุ ขสมทุ ัย เปนไฉน ? ตัณหา กิเลสทีเ่ หลอื อกุศลธรรมทเี่ หลอื กุศลมลู ๓ ท่ีเปนอารมณของอาสวะ น้ีเรยี กวา ทุกขสมทุ ยั . [๑๙๓] ทุกข เปนไฉน ? กุศลธรรมอันเปนอารมณข องอาสวะทเี่ หลอื วบิ ากแหง กศุ ลธรรมและอกศุ ลธรรมทเ่ี ปนอารมณของอาสวะ ธรรมเปนกริ ยิ ามใิ ชก ศุ ลอกศุ ลและกรรมวิบาก รปู ทง้ั หมด นเ้ี รียกวา ทกุ ข. [๑๙๔] ทกุ ขนิโรธ เปน ไฉน ? การประหาณซง่ึ ตณั หา กิเลสทเี่ หลอื อกศุ ลธรรมที่เหลอื และกศุ ล-มลู ๓ ทเ่ี ปนอารมณของอาสวะ นี้เรยี กวา ทุกขนิโรธ. [๑๙๕] ทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา เปนไฉน ? ภิกษใุ นศาสนาน้ี เจริญโลกุตรฌาน อนั เปน เครื่องนําออกไปจากโลกใหเ ขา สนู ิพพาน เพื่อประหาณทฏิ ฐิ เพ่อื บรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทงั้ หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ท่มี วี ติ กมีวจิ ารมีปต ิและสขุ อันเกิดแตว เิ วกเปนทกุ ขาปฏิปทาทนั ธาภิญญา อยใู นสมยั ใด มรรคมอี งค ๘ คือสัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธยิ อ มมีในสมยั น้นั นเ้ี รยี กวา ทุกขนโิ รธคามนิ -ีปฏปิ ทา. ธรรมทั้งหลายทเ่ี หลือ สัมปยุตดวยทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา.
พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 380 [๑๙๖] ในสจั จะ ๔ นั้น ทุกขสมุทยั เปนไฉน ? ตัณหา กเิ ลสทเ่ี หลอื อกศุ ลธรรมทีเ่ หลอื กศุ ลมลู ๓ ท่เี ปน อารมณของอาสวะ กศุ ลธรรมทเ่ี ปนอารมณข องอาสวะทเ่ี หลือ นีเ้ รียกวา ทกุ ขสมทุ ัย. [๑๙๗] ทกุ ข เปน ไฉน ? วิบากแหง กุศลธรรมและอกศุ ลธรรมทเ่ี ปนอารมณข องอาสวะ ธรรมที่เปน กิริยามใิ ชก ศุ ลและกรรมวิบาก รปู ทง้ั หมด น้ีเรียกวา ทุกข. [๑๙๘] ทุกขนิโรธ เปน ไฉน ? การประหาณซึง่ ตัณหา กิเลสท่เี หลอื กุศลธรรมทเ่ี หลือ กศุ ลมลู ๓ท่เี ปนอารมณของอาสวะ และกศุ ลธรรมอนั เปน อารมณของอาสวะท่เี หลอื น้ีเรียกวา ทุกขนิโรธ. [๑๙๙] ทกุ ขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทา เปนไฉน ? ภิกษใุ นศาสนาน้ี เจริญโลกุตรฌาน อันเปนเครือ่ งนาํ ออกไปจากโลกใหเขา สนู พิ พานเพ่อื ประหาณทฏิ ฐิ เพ่อื บรรลุปฐมภมู ิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ทีม่ ีวิตกมีวิจารมีปต ิและสขุ อนั เกิดแตวเิ วกเปนทกุ ขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยใู นสมยั ใด มรรคมอี งค ๘ คือ สมั มาทฏิ ฐิฯลฯ สัมมาสมาธิ ยอมมีในสมัยนัน้ น้เี รียกวา ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา.ธรรมท้ังหลายท่เี หลือ สมั ปยตุ ดวยทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา. ปญ จังคกิ วาร [๒๐๐] สจั จะ ๔ คือ ๑. ทกุ ข ๒. ทกุ ขสมุทัย
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 381 ๓. ทุกขนิโรธ ๔. ทุกขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา. [๒๐๑] ในสจั จะ ๔ นน้ั ทุกขสมุทยั เปน ไฉน ? ตัณหา น้เี รยี กวา ทกุ ขสมทุ ยั . [๒๐๒] ทกุ ข เปนไฉน ? กเิ ลสท่เี หลือ อกุศลธรรมทเี่ หลอื กุศลมูล ๓ ท่เี ปนอารมณข องอาสวะ กศุ ลธรรมอนั เปน อารมณข องอาสวะที่เหลอื วบิ ากแหงกศุ ลธรรมและอกุศลธรรมทเี่ ปน อารมณของอาสวะ ธรรมท่เี ปนกริ ยิ ามใิ ชกศุ ล อกศุ ล และกรรมวิบาก รปู ทัง้ หมด น้เี รียกวา ทุกข. [๒๐๓] ทกุ ขนิโรธ เปนไฉน ? การประหาณตณั หา นี้เรียกวา ทุกขนิโรธ. [๒๐๔] ทกุ ขนิโรธคามินปี ฏิปทา เปน ไฉน ? ภิกษใุ นศาสนาน้ี เจริญโลกตุ รฌาน อนั เปน เครื่องนาํ ออกไปจากโลก ใหเขาสูนิพพาน เพ่ือประหาณทิฏฐิ เพอื่ บรรลุปฐมภมู ิ สงัดจากกามสงดั จากอกุศลธรรมท้งั หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ทม่ี ีวติ กมีวิจารมีปติสขุ อันเกิดแตว เิ วก เปน ทุกขาปฏิปทาทันธาภญิ ญาอยู ในสมัยใด มรรคมอี งค ๕ คือสัมมาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กัปปะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ ยอมมีในสมัยนน้ั . [๒๐๕] ในมรรคมอี งค ๕ น้ัน สมั มาทฏิ ฐเิ ปนไฉน ? ปญญา กิริยาท่รี ูช ัด ฯลฯ ความไมห ลง ความวจิ ัยธรรม ความเหน็ ชอบธรรมวจิ ยสมั โพชฌงค อนั เปนองคแหง มรรค นับเนอ่ื งในมรรค อันใดน้เี รยี กวา สมั มาทฏิ ฐ.ิ
พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 382 [๒๐๖] สัมมาสังกปั ปะ เปน ไฉน ? ความตรึก ความตรึกอยา งแรง ความดําริ ฯลฯ อันเปน องคแ หงมรรคนับเนอ่ื งในมรรค อันใด นีเ้ รียกวา สัมมาสังกัปปะ. [๒๐๗] สัมมาวายามะ เปนไฉน ? การปรารภความเพยี รทางใจ ฯลฯ ความเพยี รชอบ วริ ิยสมั โพชฌงคอนั เปน องคแ หง มรรค นบั เน่ืองในมรรค อันใด น้ีเรยี กวา สมั มาวายามะ. [๒๐๘] สมั มาสติ เปนไฉน ? สติ ความตามระลึก ฯลฯ ความระลึกชอบ สติสัมโพชฌงค อนั เปนองคแ หงมรรค นบั เนอ่ื งในมรรค อันใด นเ้ี รียกวา สมั มาสต.ิ [๒๐๙] สัมมาสมาธิ เปน ไฉน ? ความตง้ั มน่ั แหงจิต ฯลฯ ความตง้ั ใจชอบ สมาธิสมั โพชฌงค อนั เปนองคแ หง มรรค นับเนือ่ งในมรรค อันใด น้เี รียกวา สมั มาสมาธิ. นเ้ี รยี กวา ทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา ธรรมท้งั หลายท่ีเหลอื สมั ปยุตดว ยทกุ ขนิโรธคามินปี ฏิปทา ฯลฯ [๒๑๐] ในสจั จะ ๔ นน้ั ทุกขสมทุ ยั เปนไฉน ? ตัณหา กเิ ลสที่เหลอื อกุศลธรรมที่เหลอื กุศลมูล ๓ ที่เปน อารมณของอาสวะ กศุ ลธรรมทเ่ี ปน อารมณข องอาสวะท่เี หลือ นี้เรยี กวา ทุกขสมุทยั . [๒๑๑] ทุกข เปน ไฉน ? วิบากแหงกุศลธรรมและอกุศลธรรมท่ีเปนอารมณข องอาสวะ ธรรมเปน กริ ยิ ามใิ ชก ุศล อกุศล และกรรมวิบาก รปู ทัง้ หมด นีเ้ รยี กวา ทุกข.
พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 383 [๒๑๒] ทกุ ขนิโรธ เปนไฉน ? การประหาณซ่ึงตณั หา กิเลสทเี่ หลือ อกศุ ลธรรมทเ่ี หลอื กุศลมลู ๓ที่เปนอารมณของอาสวะ และกศุ ลธรรมอนั เปน อารมณของอาสวะทเี่ หลือ นี้เรยี กวา ทุกขนโิ รธ. [๒๑๓] ทกุ ขนิโรธคามินปี ฏปิ ทา เปนไฉน ? ภกิ ษใุ นศาสนานี้ เจรญิ โลกุตรฌาน อนั เปนเครื่องนาํ ออกไปจากโลก ใหเ ขาสูน ิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพอื่ บรรลปุ ฐมภูมิ สงดั จากกามสงัดจากอกศุ ลธรรมทั้งหลายแลว บรรลุปฐมฌาน ทม่ี ีวติ กมวี ิจารมีปต ิและสุขอันเกิดแตว เิ วก เปน ทุกขาปฏิปทาทันธาภญิ ญาอยู ในสมัยใด มรรคมอี งค ๕คือ สัมมาทิฏฐิ สมั มาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ยอมมีในสมัยนั้น น้เี รยี กวา ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา ธรรมทง้ั หลายทเี่ หลือ สมั ปยุตดวยทกุ ขนโิ รธคามินีปฏปิ ทา. สัพพสังคาหิกวาร [๒๑๔] สจั จะ ๔ คอื ๑. ทุกข ๒. ทกุ ขสมทุ ัย ๓. ทุกขนโิ รธ ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏปิ ทา. [๒๑๕] ในสจั จะ ๔ นัน้ ทุกขสมทุ ัย เปน ไฉน ? ตณั หา นเ้ี รียกวา ทุกขสมทุ ัย.
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 384 [๒๑๖] ทกุ ข เปน ไฉน ? กเิ ลสท่เี หลือ อกุศลธรรมที่เหลือ กุศลมลู ๓ ทเ่ี ปนอารมณของอาสวะกุศลธรรมอนั เปนอารมณของอาสวะทเี่ หลอื วบิ ากแหงกุศลธรรมและอกศุ ลธรรมทเ่ี ปน อารมณข องอาสวะ ธรรมเปน กิริยามใิ ชกศุ ล อกศุ ล และกรรมวิบาก รปู ท้งั หมด นเี้ รียกวา ทกุ ข. [๒๑๗] ทุกขนโิ รธ เปน ไฉน ? การประหาณตัณหา น้เี รยี กวา ทุกขนิโรธ. [๒๑๘] ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทา เปนไฉน ? ภิกษุในศาสนานี้ เจรญิ โลกุตรฌาน อนั เปน เครื่องนาํ ออกไปจากโลกใหเขา สนู ิพพาน เพอ่ื ประหาณทิฏฐิ เพอื่ บรรลปุ ฐมภูมิ สงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมทงั้ หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ทมี่ วี ติ กมีวจิ ารมปี ติและสขุ อันเกดิแตวเิ วกเปนทกุ ขาปฏปิ ทาทันธาภญิ ญา อยูใ นสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะยอมมใี นสมยั นั้น นเี้ รียกวา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ฯลฯ [๒๑๙] ทกุ ขสมทุ ยั เปน ไฉน ? ตณั หา กิเลสทเ่ี หลอื อกุศลธรรมทเ่ี หลือ กศุ ลมลู ๓ ท่เี ปน อารมณของอาสวะ กศุ ลธรรมอนั เปนอารมณข องอาสวะทเ่ี หลอื นี้เรยี กวา ทุกขสมุทยั . [๒๒๐] ทุกข เปน ไฉน ? วบิ ากแหงกุศลธรรมและอกศุ ลธรรมท่ีเปนอารมณของอาสวะ ธรรมเปนกิรยิ ามิใชก ุศล อกุศล และธรรมวบิ าก รปู ทัง้ หมด นเ้ี รยี กวา ทุกข. [๒๒๑] ทกุ ขนิโรธ เปนไฉน ? การประหาณซึ่งตัณหา กเิ ลสทเี่ หลอื อกุศลธรรมทเ่ี หลือ กุศลมูล ๓ท่ีเปน อารมณของอาสวะ และกศุ ลธรรมอนั เปน อารมณของอาสวะทีเ่ หลือน้เี รียกวา ทุกขนิโรธ.
พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 385 [๒๒๒] ทุกขนโิ รธคามินปี ฏทิ า เปน ไฉน ? ภกิ ษใุ นศาสนาน้ี เจริญโลกตุ รฌาน อันเปนเครื่องนาํ ออกไปจากโลกใหเ ขาสูนพิ พาน เพอื่ ประหาณทิฏฐิ เพอ่ื บรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ที่มีวิตกมวี จิ ารมีปติและสุขอันเกิดแตวิเวก เปน ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาอยู ในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวิกเขปะยอมมีในสมยั น้นั น้เี รียกวา ทกุ ขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทา. อภิธรรมภาชนยี จบ วรรณนาอภธิ รรมภาชนีย บัดน้ี เปนอภิธรรมภาชนีย ในอภธิ รรมภาชนียน น้ั พระผมู ีพระภาค-เจาไมต รสั วา อริยสัจจะทัง้ หลาย ตรสั วา จตฺตาริ สจจฺ านิ (สัจจะ ๔) ดังนี้เพ่อื ทรงแสดงสมทุ ัย กลาวคอื ธรรมเปน ปจจยั โดยส้ินเชงิ (นปิ ปเทสะ). จรงิ อยู เม่ือพระองคต รสั วา อริยสัจจะ ดังนี้ กเิ ลสทเ่ี หลอื กศุ ลธรรมท่ีเหลือ กุศลมลู ๓ ที่มีอาสวะ กศุ ลธรรมที่เหลือซึ่งมอี าสวะ ยอมสง-เคราะหไมไ ด ดวยวาตัณหาอยางเดียวเทานั้น ยอมใหทุกขต ั้งขึน้ ก็หาไม แมธรรมเหลานัน้ ท่ีเหลือมีกเิ ลสเปนตน เปนปจจัยก็ยอ มยงั ทกุ ขใ หตง้ั ขน้ึ ได เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ทรงแสดงสมุทัยกลา วคือธรรมเปน ปจ จัย โดยสิน้ เชิงวา แมธรรมที่เปน ปจจัยเหลานั้น ยอ มใหทกุ ขตง้ั ข้ึนเหมือนกัน จงึ ตรัสวา จตฺตาริ สจฺจานิดงั น้.ี
พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 386 วาดว ยวินิจฉัยในนเิ ทศวาร ก็ในนิเทศวารแหงสจั จะทง้ั ๔ เหลาน้นั พระองคมิไดท รงแสดงทุกขกอ น เพื่อตอ งการแสดงทกุ ขน้นั นนั่ แหละใหเ ขาใจโดยงา ย จึงทรงยกทกุ ข-สมทุ ยั ขึ้นแสดง. เพราะเมอ่ื พระองคทรงแสดงทุกขสมุทัยแลว ทกุ ขสัจจะโดยนัยมีอาทวิ า \"กก็ ิเลสทัง้ หลายทีเ่ หลือ\" ดงั นี้ ยอ มเปนการแสดงไดงาย. นโิ รธ-สจั จะในนิเทศวารนี้ ทรงแสดงโดยอาการ ๕ ดวยอํานาจแหง การละสมุทยั ตามทต่ี รัสไวอยา งน้ีวา \"การละตัณหา และการละกิเลสท่เี หลอื นอกจากตัณหา\"เปน ตน. สว นมรรคสจั จะในนิเทศวารนี้ พระองคเมือ่ จะทรงแสดงก็ทรงแสดงเพยี งเปน หวั ขอแหงนยั เทศนาที่จาํ แนกไวในธรรมสงั คณี ดว ยอํานาจโสดาปตติ-มรรคที่ประกอบดว ยปฐมฌาน ในมรรคสัจจะน้ัน บัณฑติ พงึ ทราบความแตกตางกนั แหง นัย ท่ขี าพเจาจักประกาศขา งหนา . วาดว ยปฏปิ ทาท่ีประกอบดวยองคมรรค ๕ เปนตน อนึง่ มรรคประกอบดวยองค ๘ เปนปฏิปทาอยางเดียวเทา น้ันก็หาไมแตเ พราะพระบาลวี า ปพุ เฺ พว โข ปนสสฺ กายกมมฺ วจีกมมฺ อาชีโวสปุ ริสทุ โฺ ธ โหติ (ก็กายกรรม วจีกรรม อาชวี ะของบคุ คลน้นั บริสุทธ์ดิ แี ลวในกาลกอ นทีเดยี ว) ดงั นี้ มรรคแมประกอบดว ยองค ๕ ยอมเปน ทรงแสดงวาเปน ปฏปิ ทาเหมือนกัน ดว ยอํานาจอธั ยาศยั ของบุคคล เพราะฉะน้ัน เพื่อจะทรงแสดงนยั น้นั จึงทรงแสดงแมปญจังคิกวาร (วาระวาดว ยองคมรรค ๕)อนึง่ เพราะมรรคประกอบดวยองค ๘ และองค ๕ เปน ปฏปิ ทาเทาน้นั กห็ าไมถึงสัมปยตุ ตธรรมทง้ั หลายเกิน ๕๐ ก็เปน ปฏปิ ทาเหมือนกนั ฉะน้ัน เพ่ือทรงแสดงนยั นน้ั จึงทรงแสดงแมสัพพสงั คาหกิ วาร (วาระวาดว ยธรรมทส่ี งเคราะหเขา ดวยกันทัง้ หมด) ที่ ๓. ในสัพพสังคาหิกวารนั้น ยอ มขาดคําวา \"ธรรมที่
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 387เหลอื สมั ปยุตดวยทุกขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา\" นไี้ ป. คําทเ่ี หลอื เปนเชน เดยี วกนัทง้ั นั้น ในวาระทัง้ ปวงแล. วาดวยปฏปิ ทา ๖๐,๐๐๐ นยั ในวาระทง้ั ๓ (ปญ จงั คิกวาร อฏั ฐังคกิ วาร สพั พสังคาหิกวาร) เหลาน้ัน พงึ ทราบโกฏฐาสแรกในโกฏฐาส ๕ ของอฏั ฐงั คิกวารมคี ําวา การละตัณหาและการละกิเลสท้ังหลายทเี่ หลอื จากตัณหา ดงั นก้ี อ น. ในการอาศัยฌานในโส-ดาปตตมิ รรคมี ๑๐ นัย ดวยอํานาจฌานท่เี ปนจตุกนัยและปญจกนัยอยางละ ๒ในฐานะ ๕ เหลา นัน้ คอื สทุ ธกิ ปฏิปทา สทุ ธิสญุ ญตา สญุ ญตปฏิปทา สทุ ธกิ -อัปปณหิ ติ ะ อัปปณิหติ ปฏปิ ทา. แมในการอาศัยฌานทเ่ี หลือก็อยา งนี้ เพราะฉะนน้ั ในการอาศยั ฌาน ๒๐ นยั จงึ เปน ๒๐๐ นยั . ๒๐๐ นยั นัน้ คณู ดวยอธบิ ดี ๔ เปน ๑๐,๐๐๐ นัย รวมนัยแมทงั้ หมดคอื สทุ ธกิ นยั ๒๐๐ สาธิปตนิ ยั๘๐๐ เปน ๑,๐๐๐ นยั ดวยประการฉะน้.ี อนง่ึ ในโสดาปตตมิ รรคฉันใด แมในมรรคทเี่ หลือกฉ็ ันนน้ั เพราะฉะน้นั จึงรวมเปน ๔,๐๐๐ นยั . อนึง่ ในโกฏฐาสแรก มี ๔,๐๐๐ นยั ฉันใด แมใ นโกฏฐาสท่เี หลอื กฉ็ นั น้ัน เหตนุ ัน้ในโกฏฐาสทง้ั ๕ ในอฏั ฐงั คกิ วารจึงเปน ๒๐,๐๐๐ นยั ในปญ จังคกิ วาร และในสัพพสงั คาหิกวารก็เหมือนกัน เพราะฉะน้ัน นยั แมท ง้ั หมด พระศาสดาจงึทรงจาํ แนกไว ๖๐,๐๐๐ นยั แตใ นพระบาลมี าแลวโดยยอ บณั ฑติ พึงทราบวาชอื่ วา อภิธรรมภาชนยี นี้ มีมหาวาระ ๓ มีโกฏฐาส ๑๕ ประดับดว ยนัย๖๐,๐๐๐ นัย เปน ธรรมอันพระผมู พี ระภาคเจานําออกแสดงแลว ดว ยประการฉะนี้. วรรณนาอภิธรรมภาชนยี จบ
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 388 ปญหาปุจฉกะ [๒๒๓] อริยสัจ ๔ คอื ๑. ทุกขอริยสจั ๒. ทุกขสมทุ ยั อรยิ สจั ๓. ทุกขนโิ รธอรยิ สัจ ๔. ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทาอรยิ สัจ. ติกมาติกาปจุ ฉา ทุกมาตกิ าปจุ ฉา บรรดาอริยสจั ๔ อรยิ สัจไหนเปน กุศล อรยิ สัจไหนเปนอกศุ ล อริยสจัไหนเปนอพั ยากฤต ฯลฯ อรยิ สัจไหนเปนสรณะ อริยสจั ไหนเปนอรณะ ? ตกิ มาตกิ าวสิ ัชนา [๒๒๔] สมทุ ยสจั เปน อกศุ ล มคั คสัจเปนกศุ ล นิโรธสัจเปนอัพยากฤตทุกขสัจเปนกศุ ลกม็ ี เปนอกุศลกม็ ี เปนอัพยากฤตก็มี สัจจะ ๒ เปน สุขเวทนา-สมั ปยุตกม็ ี เปน อทุกขมสขุ เวทนาสมั ปยุตกม็ ี นิโรธสจั กลาวไมไดวา แมเ ปนสุขเวทนาสัมปยุต แมเปนทกุ ขเวทนาสัมปยุต แมเปน อทกุ ขมสุขเวทนาสัมปยุตทุกขสัจ เปนสขุ เวทนาสัมปยตุ ก็มี เปนทุกขเวทนาสมั ปยุตกม็ ี เปนอทุกขม-สขุ เวทนาสัมปยตุ กม็ ี กลาวไมไ ดว า แมเ ปนสุขเวทนาสัมปยุต แมเ ปน ทกุ ขม-เวทนาสัมปยตุ แมเปนอทกุ ขมสขุ เวทนาสมั ปยตุ สัจจะ ๒ เปน วปิ ากธัมมธรรมนิโรธสัจ เปน เนววปิ ากนวปิ ากธัมมธรรม ทุกขสจั เปน วบิ ากก็มี เปน วปิ าก.ธัมมธรรมกม็ ี เปนเนววิปากนวิปากธัมมธรรมกม็ ี สมุทยสัจ เปนอนปุ าทนิ น-ุ
พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 389ปาทานิยะ สัจจะ ๒ เปนอนปุ าทนิ นานปุ าทานยิ ะ ทกุ ขสัจ เปนอปุ าทินน-ุทานยิ ะกม็ ี เปนอนุปาทินนุปาทานยิ ะก็มี สมุทยสจั เปน สงั กลิ ฏิ ฐสงั กเิ ลสิกะสจั จะ ๒ เปนอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะ ทกุ ขสัจ เปน สังกิลิฏฐสงั กเิ ลสิกะก็มีเปน อสงั กลิ ฏิ ฐสงั กเิ ลสิกะกม็ ี สมทุ ยสัจ เปน สวิตกั กสวจิ าระ นิโรธสัจเปนอวติ ักกาวิจาระ มคั คสัจ เปนสวติ ักกสวจิ าระกม็ ี เปน อวิตกั กวิจารมตั ตะกม็ ีเปน อวติ ักกาวจิ าระก็มี ทกุ ขสจั เปน สวิตักกสวิจาระก็มี เปนอวติ ักกวจิ ารมัตตะกม็ ี เปนอวิตกั กาวิจาระก็มี กลา วไมไดวา แมเ ปนสวิตกั กสวิจาระ แมเปนอวติ ักกวิจารมตั ตะ แมเ ปน อวิตักกาวิจาระก็มี สัจจะ ๒ เปนปต ิสหคตะก็มีเปนสขุ สหคตะกม็ ี เปนอุเปกขาสหคตะกม็ ี นิโรธสจั กลา วไมไ ดวา แมเ ปนปต ิสหคตะ แมเปนสขุ สหคตะ แมเ ปนอเุ ปกขาสหคตะ ทุกขสจั เปนปต ิสหคตะกม็ ี เปนสุขสหคตะก็มี เปนอุเปกขาสหคตะกม็ ี กลา วไมไดวา แมเปนปตสิ หคตะ แมเปน สุขสหคตะ แมเ ปนอเุ ปกขาสหคตะกม็ ี สจั จะ ๒ เปนเนวทสั สนนภาวนาปหาตพั พะ สมุทยสัจ เปนทัสสนปหาตัพพะก็มี เปนภาวนาปหาตพั พะกม็ ี ทุกขสจั เปน ทัสสหปหาตพั พะก็มี เปน ภาวนาปหาตัพพะก็มี เปน เนวทสั สนนภาวนาปหาตัพพะกม็ ี สจั จะ ๒ เปน เนวทัสสนนภานา-ปหาตัพพเหตกุ ะ สมุทัยสัจ เปน ทสั สนปหาตัพพเหตุกะก็มี เปน ภาวนาปหา-ตัพพเหตุกะกม็ ี ทุกขสจั เปน ทัสสนปหาตพั พเหตกุ ะก็มี เปนภาวนาปหาตัพพ-เหตุกะกม็ ี เปน เนวทัสสนนภาวนาปหาตพั พเหตุกะก็มี สมุทยั สจั เปนอาจยคามีมคั คสจั เปนอปจยคามี นิโรธสจั เปนเนวาจยคามนี าปจยคามี ทุกขสจัเปนอาจยคามกี ็มี เปน เนวาจยคามนิ าปจยคามีกม็ ี มัคคสัจ เปนเสกขะ สจั จะ๓ เปนเนวเสกขหาเสกขะ สมุทยสจั เปน ปริตตะ สจั จะ ๒ เปนอปั ปมาณะ
พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 390ทกุ ขสัจ เปนปริตตะกม็ ี เปน มหัคคตะก็มี นโิ รธสจั เปน อนารมั มณะมคั คสัจ เปน อัปปมาณารมั มณะ สมุทยสัจ เปน ปริตตารมั มณะก็มี เปนมหคั คตารมั มณะก็มี ไมเ ปน อปั ปมาณารมั มณะ กลา วไมไดว า แมเปนปรติ ตารัมมณะ แมเ ปนมหัคคตารมั มณะกม็ ี ทุกขสัจ เปน ปริตตารัมมณะก็มีเปน มหคั คตารมั มณะก็มี เปนอัปปมาณารัมมณะก็มี กลาวไมไ ดว า แมเปนปรติ ตารัมมณะ แมเปน มหคั คตารัมมณะ แมเปน อปั ปมาณารมั มณะกม็ ีสมุทยสัจ เปนหีนะ สจั จะ ๒ เปนปณีตะ ทกุ ขสัจ เปนหีหะก็มี เปน มชั ฌิมะก็มี นโิ รธสัจ เปนอนยิ ตะ มคั คสจั เปน สมั มตั ตนยิ ตะ สัจจะ ๒ เปนมจิ ฉัตตนยิ ตะกม็ ี เปน อนยิ ตะก็มี นโิ รธสจั เปนอนารมั มณะ สมทุ ยสัจ กลาวไมไดวา แมเปน มคั คารัมมณะ แมเปน มคั คเหตุกะ แมเปน มคั คาธิปติ มคั คสัจไมเ ปน มคั ั คารัมทณะ. เปน มคั .คเหตกุ ะ.ก็มี เปน มัคคาธิป กม็ ี กลา วไมไดว าแมเปน มคั คเหตุกะ แมเ ปนมคั คาธปิ ติกม็ ี ทุกขสัจ เปนมัคคารมั มณะก็มีไมเ ปน มคั คเหตุกะ เปนมัคคาธปิ ติก็มี กลาวไมไดวา แมเ ปนมัคคารัมมณะแมเปน มัคคาธปิ ติกม็ ี สัจจะ ๒ เปน อุปปน นะกม็ ี เปน อนปุ นนะก็มี กลา วไมไ ดวา เปน อุปปาที นิโรธสจั กลาวไมไดวา แมเปนอปุ ปนนะ แมเปนอนปุ ปนนะ แมเปนอปุ ปาที ทุกขสจั เปนอปุ ปน นะกม็ ี เปนอนุปปนนะกม็ ีเปนอปุ ปาทกี ม็ ี สจั จะ ๓ เปน อดตี กม็ ี เปน อนาคตกม็ ี เปนปจจบุ ันกม็ ีนโิ รธสัจ กลา วไมไดว า แมเ ปนอดีต แมเ ปน อนาคต แมเปนปจ จบุ นันิโรธสจั เปน อนารมั มณะ มคั คสัจ กลา วไมไ ดวา แมเปน อตีตารมั มณะแมเ ปนอนาคตารมั มณะ แมเปนปจจุปปนนารมั มณะ สจั จะ ๒ เปนอตีตารัมมณะกม็ ี เปน อนาคตารมั มณะก็มี เปน ปจ จุปปน นารัมมณะก็มี กลา วไมไ ดวา
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 391แมเปน อตตี ารมั มณะ แมเปน อนาคตารัมมณะ แมเ ปน ปจ จุปปน นารมั มณะก็มีนโิ รธสจั เปน พหทิ ธา สัจจะ ๓ เปน อัชฌัตตะกม็ ี เปน พหิทธาก็มี เปนอัชฌัตตพหิทธาก็มี นิโรธสจั เปนอนารมั มณะ มคั คสจั เปน พหิทธารัมมณะสมทุ ยสัจ เปนอชั ฌัตตารัมมณะกม็ ี เปน พหิทธารัมมณะก็มี เปน อชั ฌตั ต-พหิทธารมั มณะกม็ ี ทกุ ขสัจ เปน อชั ฌตั ตารมั มณะกม็ ี เปน พหิทธารัมมณะกม็ ี เปน อัชฌัตตพหทิ ธารมั มณะก็มี กลาวไมไดวา แมเ ปนอชั ฌตั ตารัมมณะแมเ ปนพหิทธารัมมณะ แมเ ปน อัชฌัตตพหทิ ธารัมมณะกม็ ี สัจจะ ๓ เปนอนทิ ัสสนอปปฏฆิ ะ ทุกขสัจ เปน อนทิ ัสสนสปั ปฏฆิ ะกม็ ี เปนอนิทสั สนสป-ฏฆิ ะกม็ ี เปน อนทิ สั สนอัปปฏิฆะกม็ ี. ทุกมาติกาวสิ ชั นา ๑. เหตโุ คจฉกวสิ ชั นา [๒๒๕] สมุทยสจั เปนเหตุ นโิ รธสัจ เปน อเหตุ สัจจะ ๒ เปนเหตกุ ็มี เปนนเหตกุ ม็ ี สัจจะ ๒ เปนสเหตกุ ะ นโิ รธสจั เปนอเหตุกะทุกขสจั เปน สเหตุกะกม็ ี เปนอเหตุกะกม็ ี สัจจะ ๒ เปน เหตสุ ัมปยตุ นิโรธสจัเปนเหตวุ ปิ ปยุต ทุกขสัจ เปนเหตุสมั ปยตุ กม็ ี เปน เหตุวปิ ปยุตก็มี สมทุ ยสัจเปนเหตุสเหตุกะ นิโรธสจั กลา วไมไ ดว า แมเ ปน เหตุสเหตุกะ แมเปนสเหตกุ นเหตุ มคั คสัจ เปนเหตุสเหตกุ ะก็มี เปนสเหตุกนเหตกุ ม็ ี ทกุ ขสจัเปน เหตสุ เหตุกะก็มี เปนสเหตุกนเหตุกม็ ี กลาวไมไ ดว า แมเปน เหตุสเหตุกะแมเ ปน สเหตกุ นเหตุ สมทุ ยสจั เปนเหตุเหตุสัมปยตุ นโิ รธสจั กลา วไมไ ดวาแมเปน เหตเุ หตสุ มั ปยุต แมเ ปน เหตสุ ัมปยุตตนเหตุ มคั คสัจ เปน เหตุเหต-ุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 705
Pages: