Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_77

tripitaka_77

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_77

Search

Read the Text Version

พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 451 เบ้ืองหนาแตนีไ้ ป คาํ ใดท่ีตรัสไวใ นประโยคมอี าทวิ า ส ขารปจจฺ ยาวิฺ าณ (วญิ ญาณเกิด เพราะสังขารเปนปจ จยั ) ดงั น้ี คาํ นั้น พงึ ทราบโดยนัยทกี่ ลาวแลวนั่นแหละ สว นในคาํ ทยี่ ังมิไดก ลา วน้ัน พงึ ทราบวินิจฉยัตอ ไปนี้ วชิ ชานาตตี ิ วิฺาณ ชื่อวา วญิ ญาณ เพราะอรรถวา ยอ มรแู จง . นมตีติ นาม ชอื่ วา นาม เพราะอรรถวา ยอมนอ มไป. รุปปฺ ตตี ิ รูป ช่อื วา รปู เพราะอรรถวา ยอมสลาย. อาเย ตโนติ อายตฺจ นยตตี ิ อายตน ท่ชี ่ือวา อายตนะเพราะอรรถวา ยอมแผไปซง่ึ กาย (นามรปู ) อันเปน บอ เกดิ แหง ทกุ ข และยอ มนาํ ไปสสู งั สารอนั ยาวนาน. ผสุ ตีติ ผสโฺ ส ชอื่ วา ผัสสะ เพราะอรรถวา ถูกตอ ง. เวทยตีติ เวทนา ชื่อวา เวทนา เพราะอรรถวา เสวยอารมณ. ปริตสสฺ ตตี ิ ตณหฺ า ช่ือวา ตณั หา เพราะอรรถวา ทะยานอยาก. อุปาทิยตตี ิ อปุ าทาน ช่ือวา อปุ าทาน เพราะอรรถวา ยดึ มั่น. ภวติ ภาวยติ จาติ ภโว ชือ่ วา ภพ เพราะอรรถวา ยอมเปนและยอมใหเ ปน. ชนน ชาติ ความเกดิ ชอื่ วา ชาต.ิ ชิรณ ชรา ความคร่าํ ครา ชื่อวา ชรา. มรนตฺ ิ เอเตนาติ มรณ ช่อื วา มรณะ เพราะอรรถวา เปนเหตตุ ายของสตั วท ้ังหลาย. โสจน โสโก ความเศรา ชอื่ วา โสกะ ปรเิ ทวน ปรเิ ท-โว ความรอ งคร่ําครวญ ชอ่ื วา ปรเิ ทวะ ทุกขฺ ยตตี ิ ทุกขฺ  ช่ือวา ทกุ ข

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 452เพราะอรรถวา ทาํ ใหลาํ บาก อีกอยา งหน่งึ ช่ือวา ทุกข เพราะอรรถวายอมขุด ๒ อยาง ดวยอาํ นาจแหงอุปปาทะและฐตี ิ. ทมุ ฺมนสสฺ ภาโว ภาวะแหงทมุ นสั ช่อื วา โทมนสั . ภูโส อายาโส อปุ ายาโส ความดับแคนใจอยางมาก ชือ่ วา อุปายาส. บทวา สมฺภวนฺติ แปลวา ยอมเกดิ บัณฑติ พึงทําการประกอบศัพทสมฺภวนฺติ ดวยบทมคี วามโศกเปน ตน อยา งเดยี วเทานัน้ หามไิ ด โดยทแ่ี ทควรทาํ ประกอบดวยบททั้งหมด เพราะเมื่อกลา ววา อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา ส ขารานอกจาก สมฺภวนตฺ ิ ศพั ทน้ี ธรรมคอื อวชิ ชาและสังขารก็ไมพ ึงปรากฏวา.ยอมกระทําซง่ึ กจิ อะไรกัน แตเมือ่ มกี ารประกอบดวยบทวา สมฺภวนตฺ ิ ศพั ทกเ็ ปน อนั กาํ หนดธรรมท่เี ปน ปจ จัยและธรรมทเ่ี กิดขึ้นเพราะปจ จัย* วา อวิชชานัน้ ดวย เปน ปจจัยดว ย ช่ือวา อวิชชาเปนปจ จยั เพราะฉะนั้น สังขารทงั้ หลายจงึ เกดิ เพราะอวชิ ชาเปนปจจยั ดังน.้ี ในบททง้ั หลายก็นัยน้.ี บทวา เอว (ดวยประการฉะนี)้ นเ้ี ปน บทอธบิ ายนยั แหง ปฏิจจสมปุ -บาททพี่ ระองคทรงแสดงแลว อธบิ ายวา ดว ยบทวา เอว นนั้ พระผมู ี-พระภาคเจายอ มทรงแสดงวา ธรรมทเ่ี ปน ปจจยาการเหลานนั้ ยอ มเกิดเพราะเหตุทง้ั หลายมีอวิชชาเปน ตน เทา น้ันมิใชเกดิ ขึน้ ดวยเหตุมีพระอิศวรเนรมติ เปน ตน. บทวา เอตสฺส (น)้ี ไดแ ก ตามท่กี ลาวแลว . บทวา เกวลสฺส ไดแ ก (กองทุกข) ท่ไี มป ะปนกนั หรือวาท้ังมวล.* คอื ทเ่ี ปน ปจจัยธรรม และปจจยปุ บนั นธรรม.

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 453 บทวา ทกุ ฺขกฺขนธฺ สฺส (กองทกุ ข) ไดแ ก ประชุมแหง ทกุ ขมิใชป ระชุมแหงสตั ว มใิ ชประชมุ แหงวิปลลาสมคี วามสุขและความงามเปนตน บทวา สมทุ โย ไดแก ความเกดิ . บทวา โหติ ไดแก ยอมเกดิ . พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั โดยอรรถในปฏจิ จสมปุ บาทนี้ ดวยประการฉะนี้วาดว ยวนิ จิ ฉัยโดยลกั ษณะเปนตนขอวา โดยลักษณะเปน ตน ไดแ ก โดยธรรม ๔ มลี กั ษณะเปน ตนแหง ปฏิจจสมปุ บาทมีอวชิ ชาเปน ตน อยางไร ? คอื อวิชชา๑. อาณลกณฺ า มีความไมรเู ปนลกั ษณะสมโฺ มหนรสา มีความหลงเปนกิจฉาทนปจฺจุปฏานา มีความปกปด สภาวะแหง อารมณ เปนปจ จุปฏฐานอาสวปทฏ านา มีอาสวะเปน ปทฏั ฐาน๒. อภสิ  ขรณลกขฺ ณา สังขารทั้งหลายมีการปรงุ แตงเปน ลักษณะอายหู นรสา มคี วามขวนขวายเปน กิจเจตนาปจจฺ ุปฏานา มเี จตนาเปน ปจ จุปฏ ฐานอวิชชฺ าปทฏานา มีอวชิ ชาเปน ปทฏั ฐาน๓. วิชานนลกฺขณ วิญญาณมีการรูอ ารมณเ ปน ลกั ษณะปพุ พฺ งคฺ มรส มกี ารเปนประธานเปน กิจ

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 454ปฏิสนฺธิปจฺจุปฏ าน มีการเกดิ สือ่ เปนปจจปุ ฏ ฐานส ขารปทฏ าน มสี ังขารเปนปทฏั ฐานหรอืวตถฺ ารมมฺ ณปทฏาน มวี ตั ถุและอารมณเ ปน ปทัฏฐาน๔. นมนลกฺขณ นามมกี ารนอ มไปเปนลักษณะสมปฺ โยครส มกี ารประกอบพรอมกนั เปนกจิอวนิ ิพโฺ ภคปจจฺ ุปฏาน มีการไมแ ยกจากจติ เปน ปจ จปุ ฏ - ฐานวิฺญาณปทฏาน วญิ ญาณเปน ปทัฏฐาน๕. รปุ ฺปนลกขฺ ณ รูปมกี ารแปรปรวนเปน ลกั ษณะวิกิรณรส มีการกระจัดกระจายไปเปนรสอพฺยากตปจฺจปุ ฏาน มคี วามเปนอพั ยากตธรรมเปน ปจจุปฏฐานวิ ญฺ าณปทฏ าน มีวิญญาณเปนปทฏั ฐาน๖. อายตนลกฺขณ สฬายตนะมกี ารทําวัฏฏะใหย าวนาน เปน ลกั ษณะทสฺสนาทริ ส มีการทาํ ความเห็นเปน ตน เปนรสวตถฺ ุทวฺ ารภาวปจจิ ุปฏ าน มคี วามเปน วัตถุและทวารเปน ปจ จปุ ฏ ฐานนามรปู ปทฏ าน มีนามรปู เปนปทัฏฐาน๗. ผสุ นลกฺขโณ ผสั สะมกี ารกระทบอารมณเ ปน ลกั ษณะ

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 455ส ฆฏฏ นรโส มีการประสานอารมณกับจิตเปน รสสงคฺ ตปิ จฺจปุ ฏ าโน มกี ารประชุม (วัตถุ อารมณ จติ ) เปนปจ จุปฏ ฐานสฬายตนปทฏาโน มสี ฬายตนะเปนปทฏั ฐาน๘. อนภุ วนลกฺขณา เวทนามีการเสวยอารมณเปนวิสยรสสมโฺ ภครสา มกี ารบริโภครวมกนั ซง่ึ รสแหง อารมณเปน รสสขุ ทุกฺขปจจฺ ปุ ฏ านา มสี ขุ และทกุ ขเปนปจจปุ ฏฐานผสสฺ ปทฏานา มผี ัสสะเปน ปทฏั ฐาน๙. เหตุ ุลกฺขณา ตัณหามีความเปนเหตุเปน ลักษณะอภินนฺทนรสา มีความบันเทิงใจเปนรสอติตฺติภาวปจฺจุปฏานา มคี วามไมอ ิ่มในอารมณเปน ปจ จุ- ปฏ ฐานเวทนาปทฏ านา มีเวทนาเปน ปทฏั ฐาน๑๐. คหณลกขฺ ณ อปุ าทานมกี ารยึดไวเปนลักษณะอมุฺจนรส มีการไมปลอยเปน รสตณฺหาทฬฺหตฺตทฏิ  ิปจจฺ ุปฏ านา มคี วามมน่ั คงดว ยตณั หา และเหน็ ผิดในอัตตาเปนปจจุปฏ - ฐานตณฺหาปทฏาน มตี ณั หาเปนปทัฏฐาน๑๑. กมฺมกมฺมผลลกฺขโณ ภพมกี รรม และผลของกรรมเปน ลกั ษณะ

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 456 ภาวนภวนรโส มีความทําใหเกิดขน้ึ และความ เกิดขน้ึ เปน รส กุสลากสุ ลาพยฺ ากตปจจฺ ปุ ทฏ าโน มคี วามเปนกุศล อกุศล และอพั ยากตะเปน ปจจปุ ฏ ฐาน อปุ าทานปทฏาโน มีอุปาทานเปนปทัฏฐาน. ธรรมมลี กั ษณะเปน ตน แหงปจ จยาการมชี าตเิ ปน ตน พึงทราบโดยนัยที่กลาวแลวในสจั จวภิ ังคนัน้ แล. พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในปจจยาการน้ี แมโดยลกั ษณะเปน ตน ดวยประการฉะนี้. วา ดว ยวินิจฉัยโดยมีอยา งเดยี วเปนตน ในขอวา โดย มีอยางเดียวเปนตน นี้ พงึ ทราบวา อวิชชา ชอ่ื วามอี ยางเดียว เพราะเปน อัญญาณ (ไมร )ู อทสั สนะ (ไมเห็น) และโมหะ(ความหลง) เปน ตน. ท่ชี ือ่ วา มี ๒ อยาง เพราะความไมป ฏบิ ัติ และความปฏิบตั ิ อนงึ่ เพราะเปน สงั ขาร และอสังขาร ทช่ี อ่ื วา มี ๓ อยา ง เพราะสัมปยตุ ดวยเวทนา ๓ ท่ชี ือ่ วา มี ๒ อยาง เพราะไมแ ทงตลอดสัจจะ ๔ ทช่ี ื่อวามี ๕ อยา ง เพราะปกปดโทษแหง คติ ๕๑ อนง่ึ วา โดยทวารและอารมณอวิชชานน้ั พงึ ทราบวา มี ๖ อยา ง ในอรปู ธรรมแมท ง้ั หมด. สงั ขาร ชือ่ วา มีอยา งเดยี ว เพราะเปน สาสววิปากธมั มธรรมเปนตน ท่ีชือ่ วา มี ๒ อยา ง เพราะเปน กุศลและอกุศล อน่ึง เพราะเปนปรติ ตธรรมและมหัคคตธรรม เพราะเปน หีนธรรมและมชั ฌิมธรรม และเพราะเปนมจิ ฉตั ตนยิ ตธรรม และมจิ ฉัตตอนยิ ธรรม ทีช่ ื่อวา มี ๓ อยา ง เพราะเปนปุญญาภสิ งั ขารเปนตน ช่ือวา มี ๔ อยา ง เพราะเปนไปในกําเนิด ๔ ชื่อวามี ๕ อยาง เพราะเปน ทางแหง คติ ๕.๒๑-๒ ปกปด คติ ๕ คือ ทางไปเกิดเปนสัตวนรก สตั วเ ดรจั ฉาน ปต ติวสิ ัย มนษุ ย และเทวดา

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 457 วญิ ญาณ ชอื่ วา มอี ยา งเดียว เพราะเปนโลกยิ วิบากเปน ตน ช่อื วามี ๒ อยา ง เพราะเปน สเหตุกะ และอเหตกุ ะเปนตน ชอ่ื วา มี ๓ อยางเพราะนับเนื่องดวยภพ ๒ เพราะประกอบพรอ มดวยเวทนา ๓ และเพราะเปนอเหตกุ ะ ทเุ หตุกะ และตเิ หตกุ ะ ชอื่ วา เปน ๔ อยา ง และเปน ๕ ดว ยอาํ นาจกาํ เนดิ และอาํ นาจคติ. นามรูป ชอ่ื วา มอี ยางเดยี ว เพราะอาศยั วิญญาณและโดยมีกรรมเปน ปจ จยั ชื่อวา มี ๒ อยา ง เพราะเปน สารัมมณะและอนารัมมณะ ชือ่ วามี ๓ อยา ง เพราะเปนอดีตเปนตน ชื่อวา มี ๔ และ ๕ อยา ง ดว ยอํานาจกําเนิด ๔ และคติ ๕. สฬายตนะ ชอื่ วา มอี ยางเดียว เพราะเปน ที่เกิดและประชุม ช่ือวามี ๒ อยาง เพราะภตู รปู ประสาทรปู และวญิ ญาณ* เปนตน ช่อื วามี ๓ อยาง เพราะเปนอารมณทเี่ ปน สัมปต ตะ อสัมปตตะ และไมใชท ัง้ ๒(คือทางมโนทวาร) ชอื่ วา มี ๔ และ ๕ อยา ง เพราะนบั เน่ืองดวยกาํ เนดิ ๔และคติ ๕ แล. บัณฑติ พงึ ทราบธรรมแมม ผี ัสสะเปนตนวาเปนธรรมอยา งเดยี วเปนตนโดยนัยน.ี้ พึงทราบวนิ จิ ฉัยในปจ จยาการนแี้ มโดยเปนธรรมมอี ยา งเดียวเปนตนอยา งน.้ี วาดวยวินิจฉยั โดยการกาํ หนดองค ช่อื วา โดยการกาํ หนดองค ความวา ก็ในปจ จยาการน้ี ความโศกเปนตน พระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวเ พอ่ื ทรงแสดงความไมขาดตอนของภวจกั รเพราะความโศกเปนตน นนั้ ยอ มเกิดแกค นพาลผถู กู ชราและมรณะเบียดเบียน* ทวปี ญ จวิญญาณ

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 458แลว เหมือนอยางทีต่ รัสไวว า ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ปถุ ชุ นผูไ มไ ดส ดบัอันทกุ ขเวทนาทางกายถกู ตองแลว ยอมเศราโศก ยอ มลาํ บาก ยอมคร่ําครวญ ยอ มตีอกรอ งไห ยอ มถึงการหลงใหล* ดังนีเ้ ปนตน . อนง่ึ อวิชชายงั เปน ไปตราบเทาทคี่ วามโศกเปนตนเหลานนั้ ยังเปน ไปอยู เพราะเหตุนน้ั การเก่ยี วเน่อื งกันวา อวิชชาปจจฺ ยา ส ขารา (สงั ขารเกิดเพราะอวิชชาเปนปจจัย) ดงั นี้ แมอ กี จึงเปนภวจักรทีเดยี ว เพราะฉะนนั้พงึ ทราบองคแ หง ปฏจิ จสมุปบาทมี ๑๒ เทาน้นั เพราะประมวลความโศกเปนตนแมเหลาน้นั เขา ดวยกันกับชรามรณะนน่ั เอง พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในปจจยาการน้ีแมโดยการกาํ หนดองคท้ังหลายไว ดว ยประการฉะนี้. กถาวาโดยยอในปจจยากรนีด้ ว ยสามารถอุเทศวารเพียงเทานี้ วรรณนาอเุ ทศวาร จบ วา ดว ยนเิ ทศอวชิ ชาเปน ปจจยั (บาลขี อ ๒๔๖) บดั น้ี เปน กถาวา โดยพิสดาร ดว ยสามารถแหง นิเทศวาร จริงอยูพระผูม ีพระภาคเจา ตรสั วา อวชิ ชฺ าปจฺจยา ส ขรา ดังน้ี ในพระบาลีนัน้เม่ือจะทรงแสดงสังขารทง้ั หลายอันมอี วิชชาเปน ปจจยั เพราะบคุ คลเม่อื จะพดูถงึ บตุ รก็ยอมกลา วถงึ บดิ ากอน ดว ยวา เมื่อเปนเชน น้ี บตุ รก็เปนคําพดู ไดดีวาบตุ รของนายมิต บุตรของนายทตั ตะ ดงั น้ี ฉะน้ัน พระศาสดาทรงเปนผฉู ลาดในเทศนา เพอ่ื ทรงแสดงอวิชชาเชน เปนบิดาดว ยอรรถวายงั สังขารทง้ั หลายใหเ กิดกอน จงึ ตรสั คําวา ตตถฺ กตมา อวิชฺชา ทกุ เฺ ข อฺ าณ(ในปจจยาการเหลา น้ัน อวชิ ชาเปน ไฉน ? ความไมรูทกุ ข) เปน ตน.* ส . สฬายตน. เลม ๑๘ ๓๖๙/๒๕๗

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 459 ในพระบาลีนัน้ เพราะอวิชชาน้ยี อมไมใ หเพอ่ื อนั รู เพือ่ อนั เห็นเพอื่ อันแทงตลอดลกั ษณะพรอ มทั้งกิจรสตามความเปนจรงิ ของทกุ ขสจั จะ จงึปกปด หุมหอ ยดึ ถือไวอ ยู ฉะน้ัน จงึ ตรสั วา ทุกฺเข อฺาณ (ความไมรูในทุกข) ดังน้.ี อนึง่ เพราะอวชิ ชายอมไมใ หเ พื่อรู เพ่ือเหน็ เพ่ือแทงตลอดซึง่ ลกั ษณะพรอ มทงั้ รสตามความเปน จรงิ แหงทกุ ขสมทุ ยั แหง ทกุ ขนโิ รธ แหงทุกขนโิ รธคามินีปฏปิ ทา ปกปดแลว หมุ หอ แลว ยึดถอื ไวอยู ฉะนั้นจึงตรัสวาความไมรูในทุกขสมุทยั ความไมรูใ นทกุ ขนโิ รธ ความไมรใู นทุกขนโิ รธคามินีปฏิปทา ความไมรู (อญั ญาณ) ตรสั วา อวชิ ชา ในฐานะ๔ เหลาน้ี โดยปรยิ ายแหง พระสูตร. แตโดยปรยิ ายแหงพระอภิธรรมในนกิ เขปกัณฑ ทรงถือเอาอญั ญาณ(ความไมร ู) ในฐานะ ๔ แมอน่ื อกี วา ปพุ พฺ นเฺ ต อฺาณ (ความไมรูในอดตี ) เปนตน . ในพระบาลนี น้ั คําวา ปุพพฺ นฺโต ไดแ ก อดีตอัทธาคอื ขันธ ธาตุ อายตนะทัง้ หลายทีล่ ว งแลว . บทวา อปรนฺโต ไดแกอนาคตอัทธา คอื ขันธ ธาตุ อายตนะทั้งหลายท่ียงั ไมมาถงึ . บทวาปพุ พฺ นตฺ าปรนฺโต ไดแ ก กาลท้งั ๒ แหงขนั ธ ธาตุ อายตนะท่ีลว งแลวและยังไมนาถงึ น้ัน. บทวา อิทปฺปจฺจยตา (ความมีธรรมน้เี ปนปจ จัย)ไดแก องคทัง้ หลายมีอวิชชาเปน ตน ซงึ่ เปนเหตแุ หงธรรมท้ังหลายมสี ังขารเปน ตน . บทวา ปฏิจจฺ สมปุ ปฺ นนฺ ธมฺมา (ธรรมท่อี าศยั กันและกนั เกดิ ขึ้น)ไดแกธรรนทงั้ หลายมีสงั ขารเปน ตน ซึ่งเกิดขนึ้ แตธรรมท้งั หลายมีอวชิ ชาเปน ตนในธรรมเหลานน้ั เพราะอวชิ ชาน้ี ยอมไมใ หเ พื่อรู เพื่อเหน็ เพอื่ แทงตลอดซึ่ชงลกั ษณะพรอมทง้ั กจิ รสตามความเปนจริง แหง ขนั ธเ ปนตน ทีเ่ ปน อดตี ยอม

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 460ปกปด หุมหอ ยึดถือเอาไว ฉะน้ัน พระผูมีพระภาคเจาจึงตรสั วา ปุพพฺ นฺเตอฺ าณ (ความไมร ูในอดตี ). อน่ึง เพราะอวชิ ชาน้ี ยอมไมใ ห เพอื่ รูเพอื่ เห็น เพื่อแทงตลอดซึ่งลักษณะพรอมทัง้ รสตามความเปน จรงิ แหงขันธเปน ตนอนั เปน อนาคต ฯลฯ แหงขนั ธเ ปนตน ทเี่ ปนทัง้ อดตี และอนาคต ฯลฯยอมไมใ ห เพอ่ื รู เพือ่ เห็น เพอ่ื แทงตลอดซ่งึ ลักษณะพรอ มท้งั รสตามความเปนจริงแหง ความท่ีธรรมนี้เปน ปจ จยั และธรรมทอี่ าศัยกนั และกนั เกิดขนึ้ยอมปกปด หมุ หอ ยดึ ถอื เอาไว ฉะน้ัน พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรัสวาความไมรใู นความทธ่ี รรมน้ีเปนปจจัย ในธรรมทงั้ หลายทอ่ี าศยั กันและกันเกดิขึ้นดังนี้. ตรสั ความไมรโู ดยปริยายแหงพระอภธิ รรมในฐานะทัง้ ๘ เหลา นว้ี าเปน อวิชชา. ถามวา ดวยลกั ษณะอยา งนี้ ยอ มเปน อนั พระองคตรัสถึงอะไร ?ตอบวา ช่ือวา เปนอันตรสั อวิชชา โดยกจิ และโดยชาติ. อยางไร ?ก็อวชิ ชานี้ยอมไมให เพื่อรู เพอ่ื เหน็ เพอื่ แทงตลอดฐานะท้งั ๘ เหลานี้เพราะฉะนั้น จึงตรสั โดยกิจ และอวิชชานแ้ี มเ ม่ือเกิดกย็ อ มเกิดในฐานะ ๘เหลา นั้น เพราะฉะนัน้ จึงตรสั โดยชาติ คร้ันตรสั อยา งน้แี ลวทรงถือเอาบท๒๕ มีอาทวิ า ย เอวรปู  อฺ าณ อทสฺสน (ความไมร ู ความไมเ ห็นอนั ใดเห็นปานนี้ ) อกี เพื่อทรงแสดงลกั ษณะอวชิ ชา ตอไป. อธกิ ารนี้ เพราะอวิชชานแี้ มต รสั แลว ดวยบททง้ั ๘ เหลา น้ี เม่อื ยังไมต รสั ถึงลกั ษณะดวยบท ๒๕ อีก ชอ่ื วาเปน อันตรัสดีแลวยังไมได แตเมอ่ืตรสั ถงึ ลักษณะดวยบท ๒๕ แลว ยอมช่อื วา เปนอันตรสั ดีแลว เหมอื นบุรุษเมื่อกําลังแสวงหาโคที่หายไป พึงถามพวกมนษุ ยว า เจานาย ทา นเหน็ โคขาว

พระอภธิ รรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 461ทานเห็นโคแดงบา งไหม ดังน้ี พวกมนุษยเ หลา นัน้ ก็พึงพูดอยา งน้ีวา ในแควนนี้มโี คสขี าวสแี ดงมากมาย โคของทานมลี ักษณะอยางไรเลา ลําดบั น้ัน เมอ่ื บรุ ษุน้นั พดู วา เปน รปู ผาพาด หรือเปน รปู คันไถ ดังน้ี โคจงึ ช่ือวาเขาบอกดีแลวฉนั ใด อวิชชานี้กฉ็ นั น้นั เหมือนกนั แมตรสั ดวยบททงั้ ๘ ยังมไิ ดตรัสถึงลกั ษณะดวยบท ๒๕ อกี ยอ มชอื่ วาตรัสดีแลวกห็ าไม แตเ มื่อตรัสถึงลักษณะแลว น่ันแหละ จึงชือ่ วา ตรสั ไวดแี ลว เพราะฉะน้นั เพอ่ื แสดงลกั ษณะแหงอวิชชานั้น พึงทราบดวยอํานาจแมบท ๒๕ ท่พี ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไวแ ลวเหลานั้น. ขอ นี้เปนอยา งไร ? อวชิ ชามีลักษณะ ๒๕ คือ ปญญา ชื่อวา ญาณ ปญญานน้ั ยอ มกระทาํ สจั จธรรม ๔ซง่ึ เปนผลและเปนผล ซึ่งเปนเหตุและเปนเหตุ ท่รี แู ลวใหปรากฏ แตอวิชชาน้เี กิดขนึ้ แลว ยอมไมใ หเพอ่ื อันกระทาํ สจั จธรรม ๔ นนั้ ใหร ู ใหปรากฏเพราะฉะนัน้ จงึ ชือ่ วา อัญญาณ (ความไมร ู) เพราะเปนขาศกึ ตอญาณ. ปญญา ชอื่ วา ทสั สนะ (ความเหน็ ) ก็มี ปญ ญาแมน ้นั ยอมเห็นซ่งึ อาการแหง สจั จธรรม ๔ ตามทกี่ ลา วนัน้ แตอวชิ ชาเกดิ ขึน้ แลว ยอ มไมใหเพอ่ื เหน็ สัจจธรรม ๔ น้ัน เพราะฉะน้นั จงึ ช่ือวา อทสั สนะ. ปญ ญา ชอ่ื วา อภสิ มยั (ความตรสั รู) ก็มี ปญ ญาน้ัน ยอ มตรัสรูอาการแหงสัจจธรรม ๔ ตามท่ีกลาวนัน้ แตอวชิ ชาเกิดขน้ึ แลว ยอมไมใ หเพ่ือตรสั รูอรยิ สัจจะ ๔ นนั้ เพราะฉะนั้น จงึ ชือ่ วา อนภสิ มยั .

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 462 ปญ ญา ชอ่ื วา อนโุ พธะ (ความตรสั รตู าม) สัมโพธะ (ความตรัสรูพรอ ม) ปฏเิ วธะ (การแทงตลอด). กม็ ี ปญ ญานัน้ ยอ มตรสั รูต ามยอมตรัสรพู รอม ยอ มแทงตลอดอาการแหงสัจจธรรม ตามทกี่ ลาวแลว น้ันแตอ วชิ ชาเกดิ ขน้ึ แลว ยอ มไมใ หเพื่อตรัสรตู าม เพอื่ ตรสั รพู รอ ม เพอ่ื แทงตลอดสจั จธรรมน้นั เพราะเหตุน้นั จงึ ชอ่ื วา อนนุโพธะ อสมั โพธะ และอัปปฏิเวธะ. ปญ ญา ชื่อวา สงั คาหณา (ความถือเอาถูก) ก็มี ปญ ญาน้นัถือเอาแลว ทดลองแลว ยอมถือเอาอาการน้ัน แตอ วชิ าเกดิ ขึน้ แลว ยอมไมใ หเพอ่ื ถือเอา ทดลองแลว ถือเอาอาการน้ัน เพราะฉะนัน้ จึงชอื่ วา อสงั -คาหณา. ปญ ญา ช่ือวา ปริโยคาหณา (ความหยง่ั โดยรอบ) กม็ ี ปญญาน้ันหย่งั ลงแลว ชําแรกแลวซ่ึงอาการนั้น ยอมถือเอา แตอวิชชาเกิดข้ึนแลวไมไหเ พอ่ื หยัง่ ลง ชําแรกแลวถอื เอา เพราะฉะน้ัน จงึ ชอ่ื วา อปริโยคาหณา. ปญ ญา ช่อื วา สมเปกขนา (ความพินิจ) ก็มี ปญ ญานั้น ยอมเพง อาการนน้ั โดยสม่ําเสมอและโดยชอบ แตอวิชชาเกิดขน้ึ แลว ยอ มไมใหเ พอ่ือนั เพง อาการน้นั โดยสม่าํ เสมอและโดยชอบ เพราะเหตนุ ้ัน จงึ ชอ่ื วา อสม-เปกขนา. ปญญา ชอื่ วา ปจ จเวกขณา (ความพิจารณา) ก็มี ปญ ญาน้นัยอมพจิ ารณาอาการนัน้ แตอวิชชาเกดิ ข้นึ แลวยอมไมใ หเ พื่ออันพิจารณาอาการนนั้ เพราะฉะน้ัน จงึ ถอื วา อปจจเวกขณา.

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 463 กรรม อยางใดอยางหน่งึ อันประจกั ษ ยอมไมมีแกอวชิ ชานี้ และกรรมทต่ี ัวเอง (คอื อวชิ ชา) ไมพจิ ารณาแลวกระทํา มอี ยู เพราะเหตนุ ัน้อวชิ ชานจี้ งึ ชอื่ วา อัปปจ จักขกรรม (มีกรรมอันไมพ ิจารณากระทาํ ใหประจกั ษ) . อวิชชานี้ ชอ่ื วา ทมุ มชิ ฌะ (ความทรามปญ ญา) เพราะความโฉดเฉา. อวชิ ชาน้ี ชื่อวา พาลยะ (ความโงเขลา) เพราะความเปน ธรรมชาติโงเ ขลา. ปญญา ช่ือวา สมั ปชัญญะ (ความรทู ว่ั พรอ ม) ก็มี ปญญานน้ัยอ มรทู ่ัวซ่งึ สจั จธรรม ๔ เปน ผลและเปนผล ทีเ่ ปน เหตุและเปน เหตุโดยชอบแตอ วชิ ชาเกิดขึ้นแลว ยอ มไมใ หเพือ่ อนั รทู ว่ั ซ่ึงอาการนั้น เพราะฉะนน้ั จงึ ชื่อวาอสัมปชัญญะ. อวชิ ชา ช่ือวา โมหะ (ความหลง) ดวยอาํ นาจแหงความโง. อวิชชา ชื่อวา ปโมหะ (ความลมุ หลง) ดวยอาํ นาจความหลงท่ัว. อวิชชา ชอื่ วา สมั โมหะ (ความหลงใหล) ดวยอาํ นาจความหลงพรอม. อวชิ ชา ชอ่ื วา อวชิ ชา ดวยอาํ นาจอรรถมีอาทวิ า ยอ มรูสิง่ ทไ่ี มควรร.ู อวชิ ชา ชอื่ วา อวชิ โชฆะ (โอฆะคืออวชิ ชา) เพราะยอ มนําลงคือ ใหจมลงในวัฏฏะ.

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 464 อวชิ ชา ชอื่ วา อวชิ ชาโยคะ (โยคะคืออวิชชา) เพราะประกอบไวในวฏั ฏะ. อวชิ ชา ช่อื วา อวชิ ชานุสยั (อนุสัยคืออวชิ ชา) ดวยอาํ นาจการละยงั ไมได และเพราะเกิดขึ้นบอย ๆ. อวิชชา ช่อื วา อวิชชาปรยิ ุฏฐาน (การกลุม รมุ จิตคืออวิชชา)เพราะยอมกลุมรมุ ยอ มจับ ยอมปลนกศุ ลจติ เหมือนพวกโจรซมุ ในหนทางปลน คนเดนิ ทางฉะนั้น. อวชิ ชา ชอื่ วา อวิชชาลังคี (กลอนเหล็กคอื อวชิ ชา) เพราะอรรถวาเมือ่ ลิ้มคือกลอนเหล็กท่ปี ระตเู มอื งตกไปแลว ยอมตดั ขาดซึ่งการออกไปภายนอกเมอื ง ของพวกคนภายในเมืองบา ง ซ่ึงการเขาไปภายในเมอื งของพวกคนภายนอกเมืองบา ง ฉันใด อวชิ ชาน้ีตกไปในกายนครของตนแหง บุคคลใดยอมตดั ขาดการดาํ เนนิ ไป คอื ญาณอันใหถึงพระนพิ พานของบคุ คลน้นั ฉนั นัน้ . อวิชชา ช่ือวา อกุศลมลู เพราะอรรถวา อกุศลน้นั เปน มลู หรือเพราะอรรถวา อวิชชาเปนมูลแหงอกุศลท้งั หลาย. กอ็ กศุ ลมลู นั้น มิใชอ ื่นในที่น้ที รงประสงคเ อา โมหะ เพราะฉะนั้น จงึ ชือ่ วา อกศุ ลมลู คอืโมหะ. บทวา อย วจุ จิ ติ (นเ้ี รยี กวา) ความวา พระผมู ีพระภาคเจาตรัสเรยี กวา นี้ ชอื่ วา อวชิ ชามลี ักษณะอยา งน้ี. พึงทราบลักษณะอวิชชาดวยอาํ นาจบท ๒๕ ดว ยประการฉะน.้ี อนึ่ง อวชิ ชานมี้ ลี ักษณะอยา งนี้ แมต รัสวา ความไมรใู นทุกขเปน ตน กย็ อมเปน สว นหนงึ่ แหง ทุกขสจั จะ เปน ธรรมเกิดพรอ มกนั ยอ ม

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 465กระทําทกุ ขสัจจะนน้ั ใหเ ปน อารมณ ยอมปกปด ทกุ ขสัจจะนน้ั . มใิ ชเ ปนสวนหนึ่งของสมทุ ยสจั จะ เปน ธรรมเกิดพรอ มกนั ยอ มกระทําสมทุ ยสจั จะน้นัใหเ ปน อารมณ ยอ มปกปดสมทุ ยสจั จะน้นั . ไมเ ปน สวนหนงึ่ ของนิโรธสัจจะไมเกดิ พรอ มกนั ไมทาํ นโิ รธสจั จะน้นั ใหเปน อารมณ ยอ มปกปด อยา งเดยี ว.ไมเ ปน สวนหนงึ่ แมแหง มรรคสัจจะ ไหเกิดพรอ มกนั ไมท าํ มรรคสัจจะนั้นใหเ ปน อารมณ ยอ มปกปดอยา งเดยี ว. อวิชชายอ มเกดิ ข้ึนเพราะความมที ุกขเ ปนอารมณ และยอมปกปดทกุ ขทีเ่ ปน อารมณนน้ั อวชิ ชายอ มเกดิ ข้นึ เพราะความมสี มุทยั เปนอารมณ และยอมปกปด สมุทัยที่เปน อารมณน ้ัน อวชิ ชายอมไมเ กดิ ข้นึ เพราะความมนี ิโรธเปนอารมณ และยอมปกปดนโิ รธน้นั อวิชชายอ มไมเกดิ ขนึ้ เพราะความมมี รรคเปนอารมณ แตยอ มปกปดมรรคน้นั . สจั จะ ๒ ชื่อวา ลกึ ซ้ึง (คัมภีระ) เพราะเห็นไดโ ดยยาก สจั จะ ๒ชอ่ื วา เหน็ ไดโดยยาก เพราะความเปน ของลกึ ซง้ึ . อกี อยา งหนงึ่ อริยสจั คอืทุกขนิโรธ เปน สภาพลกึ ซึง้ และเห็นไดโ ดยยาก. บรรดาสจั จะเหลา นนั้ ข้นึชอ่ื วา ทุกข เปน สภาพปรากฏ แตทช่ี อื่ วา ลึกซึ้ง เพราะเปนลักษณะไดย าก.แมในสมุทยั กน็ ยั นีเ้ หมอื นกนั เปรยี บเหมือนหนงึ่ ธรรมดาวา การกวนมหาสมทุ รแลว นําเอาโอชะออกมาเปน ภาระ (ของหนกั ) ธรรมดาวา การขนทรายจากเชงิ เขาสิเนรุ ก็เปนภาระ ธรรมดาวา การบบี คน้ั ภูเขาแลวนาํ รสออกมาก็เปน ภาระ ฉันใด สจั จะทง้ั ๒ ก็ฉันน้ันเหมือนกัน ชื่อวา เห็นไดย ากเพราะความเปน ภาวะลึกซง้ึ โดยแท แตน โิ รธสจั จะท้ังลึกซง้ึ อยา งย่งิ และเห็นไดยากอยา งยง่ิ เพราะฉะนนั้ ความบอดคอื โมหะซึ่งปกปด อรยิ สจั ๔ ทชี่ ื่อวา

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 466ลกึ ซ้งึ เพราะเหน็ ไดยาก และชอื่ วา เห็นไดยาก เพราะความลกึ ซึง้ดว ยประการฉะน้ี จงึ ตรสั เรยี กวา อวิชชา. บทวา ดว ยนิเทศอวิชชา จบ วาดวยนิเทศสงั ขาร (บาลขี อ ๒๕๗) พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในบทแหงสังขาร ตอ ไป พระผมู ีพระภาคเจาเมอื่ จะทรงแสดงเฉพาะสังขารท่ีมีอวิชชาเปน ปจ จัยเทา นัน้ ไมท รงพาดพงิ สังขารที่มาดวยสังขารศัพท ในสังขารตามทต่ี รัสไวในหนหลัง จึงตรสั คําวา ตตถฺ กตเม อวชิ ฺชาปจฺจยา ส ขารา ปุ ฺ ภ-ิส ขาโร บรรดาปจจยาการเหลา นั้น สังขารเกิดเพราะอวชิ ชาเปน ปจจัยเปน ไฉน ? ปญุ ญาภสิ ังขาร ดังนเี้ ปนตน . ในพระบาลนี ้นั สภาวะทีช่ ื่อวา บุญ เพราะอรรถวา ยอมชําระกรรมอนั เปนการทําของตน คือ ยอมยงั อัชฌาศยั ของผกู ระทําตนน้นั ใหบริบูรณและยงั ภพอันนาบชู าใหเกดิ ข้ึน. ท่ีชอ่ื วา อภสิ ังขาร เพราะอรรถวา ยอ มปรุงแตง วบิ าก และกฏตั ตารูป. อภสิ ังขาร (สภาพท่ีปรงุ แตง ) คือ บญุช่อื วา ปุญญาภสิ งั ขาร. สภาพที่ช่ือวา อปุฺโ (อบญุ ) เพราะเปนปฏิปก ษต อ บุญ. อภิสงั ขารคอื อบญุ ชอื่ วา อปุญญาภสิ ังขาร. ทชี่ ื่อวาอาเนญชะ เพราะอรรถวา ยอ มไมห ว่ันไหว. ท่ชี อ่ื วา อาเนญชาภสิ งั ขารเพราะอรรถวา อภิสังขารคืออาเนญชะ (ความไมห ว่ันไหว) และสภาพทีป่ รุงแตงภพอันไมห ว่ันไหว. ทช่ี อ่ื วา กายสงั ขาร เพราะอรรถวา เปนสงั ขาร(การปรุงแตง ) อนั กายใหเ ปน ไป หรือเพราะกาย หรอื เปนไปแกกาย แมใ นวจสี ังขารและจติ สังขาร กน็ ัยนเ้ี หมือนกนั .

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 467 ในสงั ขารเหลา นนั้ สังขาร ๓ แรก ทรงถอื เอาดว ยอาํ นาจแหงปรวิ มิ ังสนสตู ร จริงอยู ในสตู รนั้น พระผูม พี ระภาคเจาตรสั ไววา หากวาบุคคลยอมปรุงแตงสังขาร (สภาพปรุงแตง ) ท่ีเปน บญุ วิญญาณกเ็ ขาถงึ ความเปนบุญ หากวา บคุ คลยอมปรงุ แตง สงั ขารท่เี ปนอบญุวญิ ญาณกเ็ ขา ถึงความเปน อบุญ (บาป) หากวา บคุ คลยอ มปรุงแตงสังขารท่ีเปนอาเนญชะ วิญญาณกเ็ ขาถงึ ความเปนอาเนญชะ ดังน.้ีสังขาร ๓ ทส่ี อง ทรงถือเอาดวยอาํ นาจแหงวิภังคสตู รอนั เปน ลําดับแหงปริวมิ ัง-สนสตู รนนั้ แมก ลาววา ทรงถือเอาโดยปริยายแหง สัมมาทฏิ ฐสิ ูตร ดงั นี้ กค็ วรเหมอื นกนั . เพราะในวิภงั คสตู รนั้น ตรัสไวว า ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย สงั ขาร๓ เหลาน้ี สงั ขาร ๓ เปน ไฉน ? กายสังขาร วจีสังขาร จติ ตสงั ขารดังน.ี้ ถามวา ก็เพราะเหตุไร จงึ ทรงถือเอาสังขารเหลาน้นั ดวยอํานาจแหงสตู รเหลาน้ันเลา. ตอบวา เพอ่ื แสดงบทนวี้ า ธรรมดาพระอภธิ รรมน้ี พระผมู -ีพระภาคเจามไิ ดทรงกระทําไวในบดั น้ี พวกฤาษภี ายนอก หรอื พวกพระสาวก หรอื พวกเทวดามไิ ดภาษิตไว กพ็ ระอภิธรรมน้เี ปน ภาษิตของพระชนิ เจา ผูเปนสพั พญั ูพุทธะ เพราะในพระอภิธรรมก็ดีในพระสูตรก็ดี เปนพระบาลีแบบแผนที่ยกข้นึ แสดงออกเปนเชนเดยี วกันทั้งน้ัน ดงั น.้ี

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 468 วาดว ยปญุ ญาภสิ งั ขาร บดั น้ี เพ่ือทรงแสดงสังขารเหลาน้ันโดยชนิดตาง ๆ จงึ ตรสั คาํ มีอาทิวาคติถ กตโม ปุ ฺาภสิ  ขาโร ในสังขารเหลา นน้ั ปญุ ญาภสิ ังขารเปนไฉน ? ในพระบาลนี ้ัน แมเจตนาท่ีเปนไปในภมู ิ ๔ ตรัสโดยไมก าํ หนดไวว า เจตนาท่ีเปนกุศล แตเพราะทรงกาํ หนดวา กามาวจร รูปาวจรดงั น้ี เจตนา ๑๓ ดวง คอื กามาวจรกศุ ลเจตนา ๘ ดวง และรูปาวจรกุศล-เจตนา ๕ ดวง ชื่อวา ปญุ ญาภิสังขาร. ดวยบททงั้ หลายวา ทานมยา(ทานมยั ) เปน ตน ทรงแสดงความเปน ไปดว ยสามารถแหง บุญกิริยาวัตถแุ หงเจตนาเหลาน้นั นัน่ เอง. ในพระบาลีนัน้ เจตนา ๘ ดวงเปนกามาพจรยอ มสาํ เรจ็ ดวยทานและศลี เทา น้นั แตเจตนาแมท ้ัง ๑๓ ดวง สาํ เร็จดว ยภาวนา เปรยี บเหมอื นบคุ คลสาธยายธรรมคลอ งแคลว ยอ มไมร ูซ่งึ ธรรมที่เปน ไปแมส นธหิ นึ่ง แมส นธิสอง เมอ่ื นกึ ถึงจึงรูในภายหลัง ฉนั ใด เม่อื พระโยคาวจรกระทํากสณิ บรกิ รรมพจิ ารณาฌานทีเ่ กดิ คลอ งแคลว และเมื่อมนสิการกรรมฐานทชี่ ํานาญกฉ็ นั นนั้เหมอื นกัน เจตนาแมปราศจากญาณ ก็ยอมสาํ เรจ็ เปน ภาวนา ดวยเหตุนัน้ขา พเจาจงึ กลาววา เจตนาแมท ง้ั ๑๓ ดวง สาํ เรจ็ ดวยภาวนา ดังนี.้ ในเทศนานนั้ เทศนาน้เี ปนเทศนาโดยยอในบุญกิริยาวัตถมุ ีทานเปน ตนวา เจตนา สญั เจตนา (ความตงั้ ใจ) ความคิดปรารภทาน ทาํ ทานใหเปนใหญ อนั ใด ยอ มเกดิ ขึ้น นี้เรยี กวา ปญุ ญาภิสงั ขารสําเร็จดว ยทานเจตนา ความตงั้ ใจ ความคิด ปรารภศลี ฯลฯ ปรารภภาวนาทาํ ภาวนาใหเปนใหญอ นั ใด นเ้ี รยี กวา ปญุ ญาภสิ ังขารสําเร็จดว ยภาวนา ดังน้ี.

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 469 สวนกถานเ้ี ปน กถาโดยพสิ ดารวา บรรดาปจจยั ๔ มีจีวรเปนตน หรือบรรดาอารมณ ๖ มรี ูปารมณเปน ตน หรือทานวตั ถุ ๑๐ มีการใหข าวเปน ตนเจตนาของบุคุคลผใู หวัตถนุ ัน้ ๆ ท่เี ปนไปในกาลทัง้ ๓ คือ ในบุรพภาค (สวนเบือ้ งตน ) จําเดิมแตก ารเกิดขึน้ แหงของนน้ั ๆ ๑ ในเวลาบริจาค ๒ ในการระลึกถงึ ดวยจิตโสมนสั ในภายหลงั ๑ ชอ่ื วา ทานมัย. สวนเจตนาท่ีเปนไปแกบ คุ คลผไู ปสูวิหารผูต ้งั ใจวา เราจกั บวชเพื่อบําเพญ็ ศลี ดังน้ี บวชแลว ยงัมโนรถใหถึงท่สี ุดแลว รําพึงอยวู า เราบวชแลวเปน การดีหนอ ๆ ดงั นี้สาํ รวมพระปาฏโิ มกข พิจารณาอยูซึ่งปจ จัยทง้ั หลายมจี วี รเปนตน ระวงั อยซู ึง่จักขทุ วารเปนตน ในอารมณม รี ปู เปนตน ทม่ี าสูคลอง และชําระอาชวี ะใหหมดจดอยู ช่ือวา ศลี มยั . เจตนาท่เี ปนไปแกพ ระโยคาวจรผเู จรญิ อยซู ่ึงจักษุโดยความเปน ของไมเ ทย่ี ง เปนทกุ ข เปน อนตั ตา เจริญรูปทั้งหลาย ฯลฯเจรญิ ธรรมทั้งหลาย เจรญิ จักขวุ ญิ ญาณ ฯลฯ เจริญมโนวญิ ญาณ เจริญจกั ขุสมั ผัส ฯลฯ เจรญิ มโนสมั ผสั เจริญจกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา ฯลฯ เจรญิ มโนสมั ผสั สชาเวทนา ฯลฯ เจรญิ รปู สญั ญา ฯลฯ เจริญชรามรณะ โดยความเปนของไมเ ท่ียง เปนทุกข เปนอนตั ตา โดยทางแหง วปิ สสนาท่กี ลาวไวในปฏิสมั -ภิทามรรค ชอื่ วา ภาวนามัย ดังน้ี. วา ดวยอปุญญาภสิ ังขาร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในนิเทศอปุญญาภสิ งั ขาร ตอ ไป บทวา อกุสลา เจตนา (อกุศลเจตนา) ไดแ ก เจตนาสัมปยุตดวยอกศุ ลจิต ๑๒ ดวง. บทวา กามาวจรา (เปน กามาพจร) ความวา

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 470บรรดาอกศุ ลเจตนา ๑๒ ดวงเหลานน้ั เวน เจตนาที่สหรคตดวยโทมนสั ๒ ดวงที่เหลือ ยอ มเกิดขนึ้ แมใ นรปู ภพและอรปู ภพ แมก จ็ รงิ ถึงอยางนั้น ก็ไมชกัปฏิสนธมิ าในรปู ภพและอรูปภพนน้ั ยอ มยงั วบิ ากใหท องเทีย่ วไปในกามาวจรดว ยอํานาจปฏสิ นธนิ ่ันแหละ เพราะฉะน้ัน จงึ ตรสั วา เปนกามาพจรเทา นั้นดงั นี.้ วา ดว ยอาเนญชาภสิ งั ขาร พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในนเิ ทศอาเนญชาภสิ ังขาร ตอไป บทวา กุสลา เจตนา อรปู าวจรา (กศุ ลเจตนาเปน อรปู าวจร)ไดแ ก กุศลเจตนาเปนอรปู าวจร ๔ จริงอยู กุศลเจตนาเปนอรปู าวจร ๔เหลานน้ั ตรัสเรยี กวา อาเนญชาภิสังขาร เพราะอรรถวา ไมห ว่ันไหวและเพราะอรรถวา ปรงุ แตงความไมหวัน่ ไหว ดว ยวา ธรรม ๑๕ คือ เจตนาทเี่ ปนกศุ ล วิบาก กริ ิยาที่เกิดแตจตตุ ถฌานทีเ่ ปนรปู าวจร ๓ ดวง เจตนาท่เี ปนอรูปาวจร ๑๒ ดวง ชื่อวา อาเนญชา เพราะอรรถวา มน่ั คง เพราะอรรถวาไมห ว่นั ไหว. บรรดาเจตนา ๑๕ เหลานน้ั รปู าวจรกศุ ลเจตนา แมเปนสภาพไมห วนั่ ไหว แตกใ็ หเกดิ รปู และอรูปทเ่ี หมือนกับตนบา ง ไมเหมือนกับตนบางใหม ีความหวน่ั ไหวบาง ไมม คี วามหวัน่ ไหวบา ง เพราะฉะนัน้ จึงไมชอ่ื วาอาเนญชาภสิ งั ขาร สวนรปู าวจรวบิ ากเจตนาและรูปาวจรกริ ิยาเจตนา ยอมปรุงแตงวบิ ากไมไ ด เพราะไมม วี ิบาก จึงชื่อวา เปนอาเนญชาภิสังขารไมไดเจตนาที่เปนอรปู าวจรวบิ ากและกริ ยิ า กเ็ ปน อาเนญชาภสิ ังขารไมไดเหมอื นกนัเพราะฉะนน้ั เจตนาเหลานน้ั แมทง้ั ๑๑ ดวง จึงเปน อาเนญชา (ความไม

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 471หว่ันไหว) เทา นัน้ ไมเ ปน อภสิ งั ขาร. แตอรปู าวจรกศุ ลเจตนา ๔ ดวงเทาน้นั ตรสั เรียกวา อาเนญชาภสิ งั ขาร เพราะอรรถวา ยอ มใหเกิดอรูปอนั ไมห ว่นั ไหวเชน กบั ตน เหมอื นเงาของสตั วมีชา งมา เปนตน ก็เปนเชน เดยี วกบัสัตวม ีชา งมาเปน ตน ฉะน้ัน เจตนาเหลาน้นั แมท งั้ หมด คอื กามาวจรกศุ ลเจตนา๓ ดวง ดวยอาํ นาจแหงปญุ ญาภิสังขาร อกุศลเจตนา ๑๒ ดวง ดว ยอาํ นาจแหงอปญุ ญาภสิ งั ขาร อรูปกศุ ลเจตนา ๔ ดวง ดว ยอํานาจอาเนญชาภิสงั ขารประมวลมาเปน เจตนา ๒๙ ดวง ดวยประการฉะน้ี. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงกําหนดเจตนาทีเ่ ปน กศุ ลและอกศุ ลทเี่ กิดข้ึนแกเหลา สัตวห าประมาณมิได ในจักรวาลอนั ประมาณมไิ ด ดวยพระสรรพัญตุ -ญาณ ทรงแสดงเจตนาไว ๒๙ ดวงเทา น้นั เหมอื นทรงชั่งอยดู ว ยคันชั่งอนัใหญ และเหมือนทรงตวงใสไ วใ นทะนานนนั่ แหละ ดว ยประการฉะน้.ี วาดว ยทวารแหงกรรม บดั นี้ พระผูมีพระภาคเจา เม่อื จะทรงแสดงทวารแหงกรรม ๓ ที่เหลา สตั วซ ง่ึ หาประมาณมไิ ด ในจักรวาลอนั นับประมาณมไิ ด ผปู ระกอบอยซู ่งึกุศลกรรมและอกุศลกรรม ยอมประกอบดว ยทวารเหลาน้ัน จงึ ตรัสคําวาตตฺถ กตโม กายส ขโร กายสเฺ จตนา ในสังขารเหลานน้ั กายสงั ขารเปนไฉน ? คือ กายสญั เจตนา ดังนี้เปนตน. ในพระบาลีนั้น คาํ วา กายสัญเจตนา ไดแ ก เจตนา ๒๐ ถวนคอื กามาวจรกศุ ลเจตนา ๘ ดวง อกุศลเจตนา ๑๒ ดวง ที่เปน ไปโดยกายทวารซ่งึ ยงั กายวิญญัตตใิ หต งั้ ขนึ้ แมจะกลาววา เจตนาท่ีเปนกุศลและอกุศล ๒๐ ที่เกิดขน้ึ ใหถ ึงการไหวไปดวยการยดื และการถือเอาในกายทวาร ดงั นี้ก็สมควร.

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 472 คาํ วา วจีสัญเจตนา ไดแก เจตนา ๒๐ ดวงนนั้ นน่ั เองเปนไปทางวจที วารยังวจวี ญิ ญัตตใิ หต้ังขึน้ แมจะกลาววา เจตนา ๒๐ ดวงท่เี กดิ ข้ึนใหคงหวนั่ ไหวถงึ เปลงวาจา ในวจีทวารดงั นก้ี ค็ วร. แตในอธกิ ารน้ี อภิญญา-เจตา ยอ มไมเปน ปจจัยแกวิญญาณขางหนา เพราะฉะนั้น ทา นจึงไมถ ือเอาแมอ ุทธจั จเจตนาก็ไมเปน ปจจัยเหมอื นอภญิ ญาเจตนา เพราะฉะน้ัน แมอ ทุ ธัจจ-เจตนาน้นั ก็พงึ นําออกจากความเปน ปจ จัยของวญิ ญาณ ก็เจตนาแมทง้ั หมดเหลา น้ัน ยอมท่ีเพราะอวิชชาเปน ปจจัย. คําวา มโนสญั เจตนา ไดแก เจตนา ๒๙ ดวงแมท้งั หมดท่ีเกิดข้นึในมโนทวาร ไมย งั วิญญตั ตแิ มทัง้ ๒ ใหตง้ั ขน้ึ . พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงทวารแหงกรรมท่ีสตั วพยายามไววา สตั วท้งั หลายในจักรวาลซง่ึ นับประมาณมิได เมอ่ื ประกอบกุศลและอกศุ ลกรรม ยอ มประกอบดวยทวาร ๓ เหลานี้ ดวยประการฉะน้ีแล. วา ดว ยสมั ปโยคะแหงอภสิ งั ขาร อนง่ึ พงึ ทราบสัมปโยคะ (การประกอบพรอ มกนั ) แหง หมวด ๓ท้ัง ๒ เหลา นน้ั ตอ ไป. สัมปโยคะกนั อยา งไร ? คอื ปุญญาภิสงั ขารพึงเปน กายสงั ขารแกบ คุ คลผูงดเวนจากกายทุจรติ ก็มี พึงเปนวจสี งั ขารแกบ ุคคลผงู ดเวนจากวจที จุ รติ กม็ ี ดงั นัน้ กศุ ลเจตนา ๘ ดวง จึงเปนกามาพจรเปนปญุ ญาภสิ งั ขาร เปนกายสังขาร และวจีสงั ขาร. สวนเจตนา ๑๓ ดวงที่เกดิ ในมโนทวารเปนปุญญาภิสงั ขาร และจติ ตสังขาร.

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 473 แมอปุญญาภิสงั ขาร พงึ เปน กายสงั ขารในเวลาเปน ไปดวยอํานาจกายทุจรติ นั่นแหละกม็ ี พงึ เปนวจสี งั ขารในเวลาเปน ไปดว ยอํานาจวที จุ ริตกม็ ีพงึ เปน จติ ตสังขารในเวลาเปน ไปในมโนทวารยกเวนทวาร ๒ กม็ ี ดังนั้นอปญุ ญาภสิ ังขารจึงเปนกายสงั ขารบา ง เปน วจีสงั ขารบาง เปนจิตตสงั ขารบาง.ก็กายสังขาร พงึ เปนปญุ ญาภสิ งั ขารก็มี เปนอปญุ ญาภสิ ังขารกม็ ี ไมเปนอาเนญชาภิสังขาร. วจีสังขารก็เหมือนกัน (คอื เปนปญุ ญาภสิ งั ขารก็มีอปญุ ญาภิสังขารกม็ ี ไมเ ปนอาเนญชาภสิ งั ขาร) แตจิตตสังขาร พงึ เปนปญุ ญาภิสงั ขารกม็ ี เปนอปญุ ญาภสิ ังขารก็มี เปน อาเนญชาภิสังขารก็มี เพราะฉะนัน้ ช่อื วา สงั ขารทั้งหลายจึงมี เพราะอวชิ ชาเปนปจจัย. วา ดวยสงั ขารมีอวชิ ชาเปนปจจัยอยางไร ถามวา ก็ขอ นี้ จะพึงทราบไดอยางไรวา สังขารทง้ั หลายเหลา นนั้ยอมมีเพราะอวชิ ชาเปนปจ จัย. ตอบวา รไู ดเพราะความที่อวชิ ชามีสังขารจึงมีจริงอยู บคุ คลใดยังละอญั ญาณ (ความไมร)ู กลา วคืออวชิ ชาในสจั จะ ๔ มีทุกขเ ปนตนไมได บุคคลน้ันก็ยดึ ถอื สังสารทกุ ข โดยความสาํ คญั วาเปนสขุดว ยความไมรูธ รรมมีขันธเปนอดตี เปนตน กอ น แลวยอ มปรารภสงั ขารแมท ง้ั ๓(มปี ุญญาภสิ งั ขารเปนตน ) อนั เปน เหตุแหง สงั สารทุกขนน้ั . ดวยความไมรใู นทุกขสมุทยั เม่อื เขาสาํ คญั กย็ อ มปรารภสงั ขารทงั้ หลายท่เี ปนบริวารของตณั หาแมเปน เหตุแหง ทุกข โดยความเปนเหตแุ หง สขุ . อนึง่ เพราะความท่ไี มร ูในนโิ รธและมรรค บุคคลจงึ มคี วามสําคญั ในทุกขนโิ รธ (ความดบั ทกุ ข) ในคติพเิ ศษแมม ิใชค วามดบั ทุกข และมีความสําคญั ในพธิ ีกรรมทัง้ หลายมีการ

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 474บูชายัญ และบาํ เพญ็ ตบะเพ่ือใหเปนเทวดาเปน ตน แมมใิ ชท างแหงความดบั ทกุ ขวา เปนทางดบั ทุกข เมือ่ ปรารถนาทุกขนโิ รธ (ความดับทุกข) ก็ยอมปรารภสงั ขารแม ๓ อยาง โดยมุง หนาพธิ กี รรมมีการบูชายญั และทาํ ตบะเพอื่ ความเปน เทวดาเปนตน . อกี อยา งหนงึ่ เพราะบคุ คลนั้น ยงั ไมไ ดล ะอวิชชาในสจั จะ ๔ น้ัน จึงไมร ูอยซู ่ึงทุกขก ลาวคอื ผลแหงบุญแมระคนดว ยโทษเปนอเนกมชี าติ ชรา และมรณะเปน ตน โดยความเปนทกุ ขพิเศษ ยอมปรารภปญุ ญาภิสงั ขารอนั ตางดว ยกายสังขารและวจีสงั ขาร เพ่อื บรรลุทุกขน ั้น เหมือนผูตอ งการนางฟา(เทพอปั สร) ปรารถนาเกดิ เปน เทพบตุ รฉะน้นั และเมือ่ บคุ คลนัน้ แมไ มเ ห็นผลบญุ นั้น แมส มมตวิ าเปน สขุ ซงึ่ ถงึ ความเปน ทุกขเพราะแปรปรวนอันยังความเรา รอนใหญใ หเกิดขน้ึ ในบ้ันปลาย และความที่ผลบุญนัน้ มีความสําราญนอ ยยอมปรารภปญุ ญาภสิ งั ขารมปี ระการตามที่กลาวแลวน่ันแหละ ซ่งึ มผี ลบุญนั้นเปน ปจ จยั เหมือนต๊กั แตนบายหนาตกลงสูเปลวประทปี และเหมอื นบุคคลผูติดใจในหยดนาํ้ ผง้ึ ถงึ กับเลียคมศัสตราท่เี ปอ นนํ้าผง้ึ ฉะน้นั . อน่งึ เม่อื ไมเห็นโทษในธรรมท่ีมวี ิบากมกี ารเสพกามเปนตน ยอมปรารภอปุญญาภสิ ังขาร แมเปนไปดว ยทวาร ๓ เพราะสาํ คัญวา เปน สุขและเพราะความเปนผถู ูกกเิ ลสครอบงําแลว ดจุ ทารกเลนอยซู งึ่ คถู อนั ปฏกิ ลูดจุ ผูต อ งการตายเคี้ยวกนิ ยาพษิ ฉะน้นั และเมอื่ ไมหย่ังรคู วามทกุ ขอันมีความแปรปรวนแหง สงั สาร แมในวมิ ากของความเปน อรปู กย็ อมปรารภ อาเน-ญชาภสิ งั ขาร อันเปนจิตตสังขารโดยวิปลาสมคี วามเทยี่ งเปนตน ดุจคนหลงทิศ เรม่ิ เดนิ ทางมุงหนาไปสูน ครปศาจฉะน้นั . เพราะความท่อี วชิ ชามอี ย.ู

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 475น่นั แหละสงั ขารจึงมี มใิ ชเ พราะความไมม ี ฉะนน้ั ขอ นี้จึงทราบไดวา สังขารเหลา นีย้ อมมี เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จยั ดวยประการฉะน้ี แมคาํ นีพ้ ระผูมพี ระภาคเจา กต็ รัสไววา ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย คนเขลาตกอยใู นอวิชชาแลว เพราะความไมร ู ยอ มปรุงแตง ปุญญาภิสังขารบาง ยอ มปรงุ แตงอุปุญญาภิสงั ขารบาง ยอมปรุงแตง อาเนญชาภสิ ังขารบา ง ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแลภิกษลุ ะอวชิ ชาเสยี แลว วชิ ชาก็เกิดขนึ้เพราะการสํารอกอวชิ ชา เพราะความเกดิ ข้ึนแหง วชิ ชา ภิกษนุ ้นั ยอมไมปรงุ แตงปุญญาภสิ งั ขาร ดงั นี้.วาดวยอวชิ ชาเปนปจ จยั แกสังขารอยา งไรถามวา ในอธกิ ารน้ี หากมผี ูกลาววา พวกเรายอมรบั วา อวชิ ชาเปนปจ จยั แกสังขารทัง้ หลาย นไี้ วก อ น แตคาํ ทที่ า นกลาววา อวิชชาเปนปจจัยอยา งไรแกสังขารเหลา ไหนเลา ?ในปญหากรรมน้ี ทา นยอมกลา วคํานี้วาปจจฺ โย โหติ ปุ ฺ าน ทุวิธาเนกธา ปนปเรส ปจฉฺ มิ าน สา เอกธา ปจฺจโย มตาอวชิ ชานัน้ เปนปจ จัยแกปุญญาภิสัง-ขาร ๒ อยา ง เปน ปจ จัยแกอ ปุญญาภิสังขารซึง่ มขี างหนาหลายอยา ง เปน ปจ จัยแกอาเนญชาภสิ ังขารสดุ ทายอยา งเดียว ดงั น้ี.ในการกลาวแกปญหานน้ั ขอ วา อวิชชาเปนปจ จัยแกป ุญญาภิ-สังขาร ๒ อยาง ไดแ ก เปนปจ จยั ๒ อยาง คอื ดว ยอารัมมณปจจยั

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 476และอปุ นสิ สยปจ จัย จรงิ อยู อวิชชานั้นเปนปจจัยแกปุญญาภิสงั ขารท่เี ปนกามาพจร ในการพจิ ารณาสังขารโดยความสิ้นไปเสอ่ื มไป และเปนปจจัยแกปญุ ญาภสิ ังขารที่เปน รูปาวจรในกาลรูจิตมีโมหะดวยอภญิ ญาจิต ดวยอารัมมณปจจยั . อนึง่ เมอ่ื บุคคลบาํ เพ็ญซ่งึ บญุ กริ ิยาวัตถุท่ีเปนกามาพจร มกี ารใหทานเปนตน และเมอื่ บุคคลยังรปู าวจรฌานทงั้ หลายใหเกดิ ขึ้นอยูเพอ่ื กาวลวงอวชิ ชากเ็ ปนปจ จยั แกป ญุ ญาภิสงั ขารเหลา นั้น แมทัง้ สองดว ยอุปนิสสยปจจยั และเมื่อบคุ คลปรารถนาสมบตั ิในกามภพและรปู ภพ กระทําซ่ึงบญุ เหลานน้ั แหละกย็ อ มเปน ปจ จัยดวยอุปนิสสยปจจัยเหมือน เพราะความหลงใหลดว ยอวิชชา. อนง่ึ ขอ วา อวชิ ชาเปนปจ จัยแกอปญุ ญาภสังขารซึ่งมีขา งหนาหลายอยา ง ไดแก อวิชชาเปนปจ จัยแกอปุญญาภสิ ังขารหลายอยา ง อยา งไร ?คอื อวิชชานป้ี รารภอวิชชา ในกาลเกดิ กเิ ลสมรี าคะเปน ตน ก็เปน ปจ จยั ดว ยอารัมมปจ จัย ในเวลาท่ยี นิ ดกี ารทาํ ใหห นักกเ็ ปน ปจจยั ดวยอารัมมณา-ธปิ ตปิ จ จัย และอารัมมณูปนสิ สยปจ จัย. เมอื่ บคุ คลหลงใหลดวยอวชิ ชาไมเ ห็นโทษกระทําอยซู ึง่ ปาณาติบาตเปนตน กเ็ ปนปจ จยั ดว ยอุปนสิ สยปจ จยัเปนปจ จัยแกชวนะที่ ๒ เปน ตน ดวยอนันตระ สมนนั ตระ อุปนสิ สยะอาเสวนะ นตั ถิ และวิคตปจจยั . เมื่อทาํ อกศุ ลอยางใดอยา งหนึ่ง กเ็ ปนปจ จยั หลายอยาง คือ ดวยเหตุ สหชาตะ อัญญมญั ญะ นิสสยะ สมั ปยตุ ตะอัตถิ และอวคิ ตปจจยั . ขอ วา อวิชชาเปนปจจยั แกอ าเนญชาภสิ ังขารสดุ ทายอยางเดียวความวา อวิชชาเปนปจจัยแกอาเนญชาภิสงั ขาร ดว ยอปุ นสิ สยปจ จยั อยา ง

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 477เดยี วเทา นนั้ ก็ความที่อวิชชาเปน อุปนสิ สยปจ จยั นน้ั พงึ ทราบโดยนัยท่กี ลา วในปุญญาภสิ งั ขารน่นั แหละ. ก็ในทนี่ ม้ี ีผูสงสัยกลา ว ถามวา อวิชชาอยา งเดียวเทานั้นเปนปจจัยแกส งั ขารทั้งหลาย หรอื วา แมธรรมเหลา อื่นเปนปจ จยั กม็ ีอย.ู พึงเฉลยวา ในขอน้ีจะมคี ํากลาวอะไรเลา ? ถา มอี วิชชาอยางเดียวเทานัน้ ลัทธวิ า เหตสุ าํ หรบักระทาํ มอี ยา งเดียวก็จะปรากฏ ถาธรรมแมอืน่ เปนปจจยั มีอยู การอธิบายถงึเหตุอยางเดยี ววา สังขารทงั้ หลายยอ มมเี พราะอวิชชาเปนปจ จยั ดงั น้ีก็ไมเ กิดขน้ึ ยอ มไมเ กดิ ขน้ึ เพราะเหตไุ ร ? เพราะวา เอก น เอกโต อธิ นาเนกมเนกโตป โน เอก ผลมตถฺ ิ อตฺถิ ปน เอก เหตุผลทีปเน อตโฺ ถ ในโลกนี้ ผลอยางเดียว ยอ มมเี พราะ เหตุอยางเดยี วก็หาไม ผลหลายอยาง ยอ มมี เพราะเหตอุ ยา งเดียวกท็ าไม ผลอยา งเดียว ยอมมเี พราะเหตุหลายอยางก็หาไม แตวา ประโยชนในการแสดงเหตุ และ แตล ะ- อยา งมีอยู. อธบิ ายวา โนโลกนี้ ผลอยางเดียวยอมมีเพราะเหตอุ ยา งเดยี วกห็ าไมผลหลายอยางยอ มมเี พราะเหตุอยางเดียวก็หาไม ผลอยางเดียวยอ มมี แมเ พราะเหตหุ ลายอยา งก็หาไม แตว า ผลมากอยางเทา นั้น ยอมมีเพราะเหตมุ ากอยา งจรงิ อยางน้นั ผล (พชื พันธไุ ม) กลาวคอื หนอมรี ูป (สี) กล่ินรสเปน ตนซ่ึงเกิดข้นึ มใิ ชน อยเลย ยอมปรากฏได เพราะเหตทุ ัง้ หลายเปนอเนก คือ อตุ ุ

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 478แผน ดนิ พืชและน้าํ . ก็แตวา การแสดงเหตุและผลแตล ะอยา งอันใดน้วี าอวชิ ชฺ าปจฺจยา ส ขารา ส ขารปจฺจยา วิ ฺาณ (สังขารทั้งหลายเกดิเพราะอวชิ ชาเปน ปจ จยั วิญญาณเกดิ เพราะสังขารเปนปจจยั ) ที่ทรงทาํ ไวแ ลวความตองการคอื ประโยชนในการอธิบายเหตุผลแตล ะอยา งเหลา นน้ั มอี ยู.เพราะวา พระผมู พี ระภาคเจา ยอมทรงแสดงเหตหุ รอื ผลอยางเดียวเทานนั้ โดยสมควรแกเ ทศนาวิลาส (ความไพเราะแหงเทศนา) และแกเ หลาเวไนยสัตวเพราะในทีบ่ างแหงมเี หตุและผลเปน ประธาน เพราะในท่บี างแหงมีเหตแุ ละผลปรากฏแลว เพราะในท่บี างแหง มเี หตุและผลเปนอสาธารณะ. จรงิ อยู ในขอวา ผสฺสปจจิ ยา เวทนา (เวทนายอ มเกิด เพราะผัสสะเปนปจจยั ) น้ี พระองคตรัสเหตุและผลอยา งเดียวเทา นนั้ . เพราะผัสสะเปนปธานเหตุ (เหตุอันเปนประธาน) ของเวทนา เพราะทรงกําหนดเวทนาตามผสั สะ และเวทนากเ็ ปนปธานผล (ผลท่ีเปน ประธาน) ของผสั สะเพราะทรงกําหนดผสั สะตามเวทนา. ในขอวา เสมฺหสมฏุ  านา อาพาธา (อาพาธท้ังหลายยอ มเกิดเพราะเสมหะเปนสมุฏฐาน) นี้ พระองคตรัสเหตุอยา งเดียว เพราะเปน ของปรากฏ (ชัดเจน) แลว ก็ในอธกิ ารนีเ้ สมหะปรากฏ มิใชกรรมเปน ตน ปรากฏ. ในขอวา เยเกจิ ภิกฺขเว อกุสลา ธมฺมา สพเฺ พ เตอโยนิโสมนสิการ มลู กา (ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย อกุศลธรรมเหลาใดเหลา-หนง่ึ มอี ยู อกศุ ลธรรมเหลาน้นั ทั้งหมด มอี โยนโิ สมนสกิ ารเปน มลู ) ดังน้ีตรัสเหตอุ ยางเดยี ว เพราะเปน เหตุไมท ว่ั ไป. จรงิ อยู อกุศลธรรมทั้งหลายมีอโยนโิ สมนสกิ ารเปนอสาธารณเหตุ แตมวี ัตถแุ ละอารมณเปน ตน เปนสาธารณ-เหตุ ฉะน้ีแล.












































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook