Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_77

tripitaka_77

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_77

Search

Read the Text Version

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 651 พระองคท รงต้ังวาระทห่ี นึ่งอยางน้แี ลว ตอไปกท็ รงแสดงปจจยาการในวาระท่ี ๒ โดยวาระท่ี ๑ ในสมยั นนั้ แหละ เพอื่ ทรงแสดงปจจยาการโดยนัยแมอ นื่ อกี จึงไมตรสั วาระกาํ หนดสมัยไวตางหากแลวทรงทาํ เทศนาโดยนยั มอี าทิวา ตสมฺ ึ สมเย อวิชชฺ าปจจฺยา ส ขาโร (สงั ขารเกิดเพราะอวชิ ชาเปนปจจยั ในสมยั นน้ั ). บรรดาคาํ เหลาน้นั คําวา เวนผัสสะ นต้ี รสั ไวเพ่ือทรงนําผัสสะออกจากนาม เพราะแมผ สั สะก็นับเน่อื งดว ยนาม. ในวาระท่ี ๓ วิญญาณเปน ปจจยั แกรปู ท่มี ีจิตเปนสมฏุ ฐาน เมื่อรปู มจี ติเปน สมฏุ ฐานกาํ ลงั เปนไปอยู เพราะความที่จกั ขายตนะเบือ้ งตน อนั รูปมจี ิตเปนสมุฏฐานน้ันค้ําจนุ แลวยอมปรากฏ ฉะน้ัน จงึ ตรัสวา จกขฺ ฺวายตนสฺสอุปจโย (ความเกดิ ขึน้ แหง จักขายตนะ) เปน ตน. อน่งึ เพราะวิญญาณเปนปจ จัย ดวยปจจฉาชาตปจ จยั แมนกก็ รรมชรูปซึ่งกําลังเปน ไปในสมัยนน้ั แมเพราะเหตนุ ้ัน จงึ ตรสั อยา งนี้ ในวาระท่ี ๓ นน้ั ทรงถอื เอาสนั ตติ ๒ คอืสนั ตติรูปเกดิ แตก รรม และสันตตริ ปู ทม่ี ีจติ เปนสมฏุ ฐานแมกจ็ ริง ถงึ อยา งนัน้สนั ตติ ๒ แมนอกนกี้ ็พงึ ถอื เอา เพราะวิญญาณกเ็ ปน ปจจยั แกส ันตติ ๒ นอกนี้เหมือนกัน. สวนในวาระที่ ๔ กเ็ พราะแมใ นขณะจิตเดยี วกนั จกั ขวายตนะเปนตน มีมหาภูตรูปเปน ปจ จยั อายตนะที่ ๖ มหี ทยรูปเปน ปจจัย และอายตนะแมท ั้งหมด มเี พราะนามเปนปจจยั เปน ไปดว ยอาํ นาจปจฉาชาตปจ จัย และสหชาตปจจัยเปนตน ตามควรฉะนั้น จงึ ตรสั คาํ มอี าทวิ า ตตฺถ กตฺม นามรปู ปจฺจยาสฬายตน จกฺขวายตน ในปจจยาการนัน้ สฬายตนะเกิดเพราะนามรูปเปนปจจยั เปนไฉน ? คอื จักขวายตนะ. ปฐมจตกุ นเิ ทศ จบ

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 652 นิเทศจตกุ ะท่ี ๒ คาํ ทงั้ หมดในจตุกะท่ี ๒ ตน้ื ทง้ั นน้ั . นเิ ทศจตกุ ะท่ี ๓ ในจตุกะท่ี ๓ ความเปนสัมปยุตตปจจยั ไมมีแกปจจัยใด ปจ จยาการใดมี เพ่ือทรงแสดงปจจยาการนนั้ ๆ ไวแผนกหนึ่ง จงึ ตรสั วา อทิ  วุจฺจติวิฺาณปจฺจยา นามรูป วิ ฺาณสมฺปยตุ ตฺ  นาม น้เี รยี กวานามรปูเรยี กวา นามสมั ปยตุ ดวยวญิ ญาณ เกิดขึ้นเพราะวญิ ญาณเปน ปจจัย ตติยจตุกนเิ ทศ จบ นิเทศจตุกะท่ี ๔ นิเทศแหง นามเกิดเพราะผัสสะเปน ปจจยั ในจตุกะท่ี ๔ แมม ไิ ดต รัสวา\"เวทนาขันธ ฯลฯ วิญญาณขนั ธ เวนผสั สะ น้เี รยี กวา นามเกดิ เพราะผสั สะเปน ปจ จยั \" ดังน้ี ก็จรงิ ถึงอยางนน้ั เพราะไดต รสั วา \"เวทนาขนั ธ ฯลฯวญิ ญาณขนั ธ เวน ผสั สะ\" ดงั น้ี ในนิเทศบทอดตี โดยลาํ ดับ น้ันแมม ไิ ดตรัสก็นบั วาเปน อนั ตรัสแลวโดยแท เพราะนามใดเปน ปจจัยแกผสั สะนัน้ แหละ แมผสั สะก็เปนปจจยั แกน ามนน้ั เหมือนกันฉะนแ้ี ล. จตุตถจตกุ นเิ ทศ จบ อนึง่ พึงทราบนัย ๘ แมม ีสงั ขารเปน มลู เปน ตน เหมือนนยั ท่หี น่ึงมอี วชิ ชาเปน มูลซงึ่ จําแนกไว ๑๖ วาระ ในจตุกะ ๔ ทีท่ รงประกาศในอกศุ ลจิต

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 653ดวงท่ี ๑ น้ี สวนพระบาลที รงยอ ไว และพึงทราบวา ในอกุศลจิตดวงทีห่ นง่ึน้นั แหละ มี ๙ นัย ๓๖ จตกุ ะ และ ๑๔๔ วาระ ดว ยประการฉะนี้. บดั น้ี เพือ่ จะทรงแสดงปจ จยาการแมในอกศุ ลจิตที่เหลอื โดยนยั น้ีแหละ จงึ เรม่ิ คาํ มีอาทวิ า กตเม ธมมฺ า อกุสลา (ธรรมเปน อกศุ ล เปนไฉน). ในพระบาลีน้นั เพราะในจติ ท่พี รากจากทฏิ ฐิ ไมมอี ปุ าทานเกดิ เพราะตัณหาเปนปจ จัย ฉะนนั้ จึงทรงเพมิ่ อธโิ มกขซึ่งเปนนิบาตกระทาํ ใหมัน่ คง เปนดจุ อุปาทานเกดิ ในที่แหง อปุ าทาน. และเพราะในจติ ที่สหรคตดวยโทมนัส แมตัณหาที่มีเวทนาเปนปจ จยั กไ็ มมี ฉะนัน้ จงึ ทรงเพ่ิมบทปฏฆิ ะทีเ่ ปนกิเลสมกี ําลังเปน ดุจตัณหาเกิดในทตี่ ัณหา ทรงเพิ่มบทอธิโมกขน่นั แหละ ในท่ีแหงอุปาทาน. สวนในอกศุ ลจติ ท่ีสัมปยุตดวยวจิ ิกจิ ฉา ยอมไมม แี มอ ธโิ มกข เพราะไมมีการตดั สิน ฉะน้ัน จึงทรงเพมิ่ บทดว ยวิจกิ จิ ฉาซ่ึงเปนกเิ ลสมีกําลังไวใ นท่ีแหงตณั หาลดฐานะแหงอุปาทานเสยี แตในอกุศลจติ ทสี่ มั ปยุตดว ยอทุ ธจั จะมอี ธ-ิโมกขฉ ะนน้ั จงึ ทรงเพิม่ บทดว ยอทุ ธจั จะซ่งึ เปนกเิ ลสมกี าํ ลงั ในทแี่ หง ตณั หาทรงเพ่มิ บทอธิโมกขน่นั แหละไว ในทอี่ ปุ าทาน. ก็พระผพู ระภาคเจาทรงแสดงเหตสุ กั วา ความตา งกันในอกศุ ลทัง้ หมด แลว ทรงยอ พระบาลไี ว ก็ความตา งกนั นี้ ทรงแสดงไวใ นนิเทศอธโิ มกขนน้ั เปนนเิ ทศอธิโมกขทยี่ งั มิไดเคยแสดงมากอน. คาํ ที่เหลอื มาในภายหลงั ทง้ั น้ัน. ก็ในนเิ ทศแหงอธโิ มกข มีวนิ จิ ฉัยวา ทช่ี อ่ื วา อธโิ มกข เพราะอาํ นาจการตัดสินอารมณ. อกี อยา งหนึง่ท่ีชือ่ วา อธิโมกข (การตัดสนิ ใจ) เพราะอรรถวา นอมใจไปใหอารมณน้นั คือ

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 654ถงึ ความตกลงใจ เพราะไมมคี วามสงสัย. อาการทต่ี ัดสินอารมณ ชอื่ วาอธมิ จุ จฺ นา (กิรยิ าท่ีตดั สนิ ใจ) ที่ช่ือวา ตทธมิ ุตตฺ ตา (ความตดั สินใจในอารมณน ้ัน) เพราะอรรถวา ความนอมใจไปในอารมณน ้นั กใ็ นจติ ทกุ ดวงพึงทราบประเภทแหงนยั จตกุ ะโดยนัยทก่ี ลาวในปฐมจติ (อกศุ ล) นน่ั แหละก็เพราะในอกศุ ลจิตท่ีสัมปยุตดวยวจิ กิ ิจฉาไมมีนัย มีอุปาทานเปน มลู อยางเดยี วจงึ มี ๘ นยั ๓๒ จตกุ ะ และเปน ๑๒๘ วาระ ฉะนแ้ี ล. อกุศลนเิ ทศ จบ

พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 655 กศุ ลนเิ ทศ กามาวจรกศุ ลจิต ๘ กามาวจรกุลจิตดวงท่ี ๑ [๓๕๘] ธรรมเปนกุศล เปน ไฉน ? กามาวจรกศุ ลจติ สหรคตดวยโสมนสั สัมปยตุ ดว ยวญิ ญาณ มรี ูปเปนอารมณ หรือมีเสยี งเปนอารมณ มกี ล่ินเปนอารมณ มรี สเปนอารมณ มโี ผฏ-ฐพั พะเปน อารมณ มธี รรมเปน อารมณ หรอื ปรารภอารมณใด ๆ เกิดข้ึนในสมยั ใด ในสมัยนนั้ สงั ขารเกิดเพราะกศุ ลมลู เปนปจ จัย วญิ ญาณเกดิ เพราะสังขารเปน ปจ จยั นามเกดิ เพราะวิญญาณเปนปจจัย อายตนะที ๖ เกิดเพราะนามเปน ปจจยั ผสั สะเกิดเพราะอายตนะที่ ๖ เปนปจจัย เวทนาเกดิ เพราะผสั สะเปนปจจยั ปสาทะเกดิ เพราะเวทนาปจ จยั อธโิ มกขเ กิดเพราะปสาทะเปนปจจยั ภพเกิดเพราะอธิโมกขเปนปจ จยั ชาตเิ กดิ เพราะภพเปน ปจ จัย ชรามรณะเกดิ เพราะชาติเปนปจ จัย ความเกิดขึน้ แหงกองทุกขท ง้ั มวลน้ี ยอมมดี วยประการอยางน.ี้ [๓๕๙] ในปจ จยาการเหลา นน้ั กุศลมลู เปนไฉน ? อโลภะ อโทสะ อโมหะ ในกศุ ลมลู น้ัน อโลภะ เปน ไฉน ? การไมโ ลภ กิรยิ าทจี่ ะไมโ ลภ ความไมโลภ ความไมกําหนัดนกักิริยาทไ่ี มก ําหนัดนกั ความไมกําหนดั นกั ความไมเ พง เล็งที่เอาทรพั ยส มบตั ิของผูอนื่ กุศลมูลคอื อโลภะ อนั ใด นีเ้ รียกวา อโลภะ

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 656 อโทสะ เปน ไฉน ? การไมคดิ ประทษุ ราย กริ ิยาทไ่ี มค ดิ ประทุษราย ความไมคดิ ประทษุราย ความไมคดิ พยาบาท ความไมค ดิ เบยี ดเบยี น กุศลมูลคืออโทสะ อนั ใดน้ีเรยี กวา อโทสะ อโมหะ เปน ไฉน ? ปญ ญา กิรยิ าทร่ี ชู ดั ฯลฯ ความไมห ลง ความวจิ ยั ธรรม สัมมา-ทฏิ ฐิ อันใด นเ้ี รียกวา อโมหะ สภาวธรรมเหลา นนั้ เรยี กวา กศุ ลมลู สงั ขารเกิดเพราะกศุ ลมูลเปนปจ จยั เปนไฉน ? การคดิ อาน กิริยาท่ีคิดอา น ความคิดอา น อนั ใด น้เี รยี กวา สงั ขารเกิดเพราะกศุ ลมูลเปนปจจัย ฯลฯ เวทนาเกดิ เพราะผัสสะเปนปจ จัย เปน ไฉน ? ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณทสี่ บายเปนสุขอนั เกดิ แตเจโตสมั ผสั กริ ิยาเสวยอารมณท่สี งบ เปนสุขอนั เกดิ แตเจโตสมั ผัสอนั ใด นี้เรียกวา เวทนาเกิดเพราะผสั สะเปนปจ จยั ปสาทะเกดิ เพราะเวทนาเปนปจจัย เปน ไฉน ? ศรทั ธา กริ ยิ าท่เี ช่ือ กริ ิยาทป่ี ลงใจเช่ือ ความเลือ่ มใสยง่ิ อันใด น้ีเรียกวา ปสาทะเกิดเพราะเวทนาเปน ปจจัย อธิโมกขเกดิ เพราะปสาทะเปน ปจ จัย เปนไฉน ? การตดั สินใจ กริ ยิ าทีต่ ัดสนิ ใจ ความตัดสินใจในอารมณน น้ั อันใดน้เี รียกวา อธิโมกขเ พราะปสาทะเปน ปจจัย
























































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook