Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_77

tripitaka_77

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_77

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 268 ตกิ มาตกิ าปจุ ฉา - ทกุ มาตกิ าปจุ ฉา บรรดาธาตุ ๑๘ ธาตุไหนเปนกุศล ธาตุไหนอกุศล ธาตไุ หนเปนอพั ยากฤต ฯลฯ ธาตไุ หนเปน สรณะ ธาตุไหนเปนอรณะ. ติกมาตกิ าวิสชั นา [๑๓๒] ธาตุ ๑๖ เปนอัพยากฤต ธาตุ ๒ เปนกุศลกม็ ี เปนอกศุ ลก็มี เปนอัพยากฤตกม็ ี ธาตุ ๑๐ กลา วไมไ ดว า แมเ ปน สขุ เวทนาสปั ยตุ แมเปนทุกขเวทนาสัมปยุต แมเ ปน อทกุ ขมสขุ เวทนาสัมปยุต ธาตุ ๕ เปนอทุกขมสุขเวทนาสมั ปยตุ กายวิญญาณธาตุ เปนสขุ เวทนาสัมปยตุ ก็มี เปนทกุ ขเวทนาสมั ปยุตก็มี มโนวญิ ญาณธาตุ เปนสขุ เวทนาสมั ปยุตก็มี เปน ทกุ ข-เวทนาสัมปยุก็มี เปน อทกุ ขมสุขเวทนาสัมปยุตกม็ ี ธรรมธาตุ เปนสขุ เวทนา-สมั ปยุตก็มี เปน ทุกขเวทนาสมั ปยุตกม็ ี เปน อทกุ ขมสุขเวทนาสัมปยตุ กม็ ี กลา วไมไดว า แมเปนสุขเวทนาสมั ปยุต แมเปนทกุ ขเวทนาสัมปยตุ แมเปนอทกุ ขมสุขเวทนาสมั ปยุตกม็ ี ธาตุ ๑๐ เปน เนววปิ ากนวิปากธัมมธรรม ธาตุ ๕เปนวบิ ากมโนธาตุ เปน วบิ ากกม็ ี เปนเนววปิ ากนวิปากธัมมธรรมกม็ ี ธาตุ ๒เปน วบิ ากก็มี เปนวปิ ากธมั มธรรมกม็ ี เปนเนววปิ ากนวิปากธัมมธรรมก็มีธาตุ ๑๐ เปนอปุ าทินนปุ าทานิยะ สทั ทธาตุ เปน อนปุ าทินนปุ าทานยิ ะ ธาตุ ๕เปนอปุ าทินนุปาทานิยะก็มี เปนอนุปาทนิ นุปาทานิยะก็มี ธาตุ ๒ เปน อปุ าทิน-นปุ าทานิยะกม็ ี เปน อนปุ าทนิ นุปาทานยิ ะก็มี เปน อนุปาทนิ นานุปาทานิยะกม็ ีธาตุ ๑๖ เปนอสังกลิ ิฏฐสงั กเิ ลสกิ ะ ธาตุ ๒ เปนสงั กลิ ิฏฐสังกเิ ลสกิ ะกม็ ี เปนอสังกลิ ฏิ ฐสงั กเิ ลสิกะก็มี เปน อสงั กิลิฏฐาสงั กเิ ลสกิ ะกม็ ี ธาตุ ๑๕ เปนอวิตัก-

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 269กาวจิ าระ มโนธาตุ เปน สวติ กั กสวิจาระ มโนวญิ ญาณธาตุ เปนวติ ักกสว-ิจาระก็มี เปน อวิตกั กวจิ ารมตั ตะก็มี เปน อวิตักกาวิจาระกม็ ี ธรรมธาตุ เปนสวติ ักกสวจิ าระกม็ ี เปน อวติ ักกวจิ ารมตั ตะก็มี เปน อวติ กั กวิจาระกม็ ี กลา วไมไ ดว า แมเปน สวติ กั กสวจิ าระ แมเ ปนอวิตักกวจิ ารมตั ตะ แมเ ปนอวติ กั กา-วจิ าระกม็ ี ธาตุ ๑๐ กลาวไมไดวา แมเปนปต สิ หคตะ แมเ ปนสขุ สหคตะ แมเปนอุเปกขาสหคตะ ธาตุ ๕ เปนอเุ ปกขาสหคตะ กายวิญญาณธาตุ เปน นปติ-สหคตะ เปน สขุ สหคตะ เปนอเุ ปกขาสหคตะ กลาวไมไดว า เปนสขุ สหคตะก็มี ธาตุ ๒ เปน ปติสหคตะกม็ ี เปน สขุ สหคตะก็มี เปนอเุ ปกขาสหคตะกม็ ีกลาวไมไดวา แมเปน ปต ิสหคตะ แมเปนสขุ สหคตะ แมเปนอเุ ปกขาสหคตะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะ ธาตุ ๒ เปน ทสั สนปหาตัพพะ-กม็ ี เปนภาวนาปหาตัพพะก็มี เปน เนวทสั สนนภาวนาปหาตพั พะกม็ ี ธาตุ ๑๖เปน เนวทสั สนนภาวนาปหาตัพพเหตกุ ะ ธาตุ ๒ เปน ทสั สนปหาตัพพเหตุกะกม็ ีเปนภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี เปน เนวทัสสนภาวนาปหาตัพพเหตกุ ะกม็ ี ธาตุ๑๖ เปน เนวาจยคามนี าปจยคามี ธาตุ ๒ เปนอาจยคามีก็มี เปนอปจยคามีก็มีเปนเนวาจยคามีนาปจยคามกี ม็ ี ธาตุ ๑๖ เปน เนวเสกขนาเสกะ ธาตุ ๒ เปนเสกขะก็มี เปนอเสกขะกม็ ี เปนเนวเสกขนาเสกขะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนปริตตะธาตุ ๒ เปนปริตตะก็มี เปนมหคั คตะก็มี เปน อัปปมาณะก็มี ธาตุ ๑๐ เปนอปั ปมาณะก็มี ธาตุ ๑๐ เปน อนารมั มณะ ธาตุ ๖ เปน ปรติ ตารมั มณะ ธาตุ ๒เปนปริตตารมั มณะก็มี เปนมหัคคตารัมมณะก็มี เปน อัปปมาณารัมมณะกม็ ีกลาวไมไ ดว า แมเ ปนปรติ ตารัมมณะ แมเ ปนมหัคคตารัมมณะ แมเ ปนอปั ป-มาณารัมมณะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนมัชฌมิ ะ ธาตุ ๒ เปน หนี ะกม็ ี เปนมัชฌมิ ะก็

พระอภธิ รรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 270มี เปน ปณตี ะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนอนิยตะ ธาตุ ๒ เปนมจิ ฉตั ตนิยตะกม็ ี เปนสมั มตั ตนยิ ตะก็มี เปนอนยิ ตะก็มี ธาตุ ๑๐ เปนอนารัมมณะ ธาตุ ๖ กลา วไมไ ดว า แมเปนมัคคารัมมณะ แมเ ปนมัคคเหตกุ ะ แมเ ปน มัคคาธปิ ติ ธาตุ๒ เปน มคั คารมั มณะก็มี เปน มัคคเหตุกะก็มี เปน มคั คาธปิ ติกม็ ี กลา วไมไ ดวาแมเปน มคั คารัมมณะ แมเปน มคั คเหตุกะ แมเ ปน มัคคาธปิ ติก็มี ธาตุ ๑๐เปน อุปปน นะก็มี เปนอุปปาทกี ม็ ี กลา วไมไดว า เปนอนุปปนนะ สทั ทธาตุเปนอุปปนนะกม็ ี เปน อนปุ ปน นะก็มี กลา วไมไ ดว า เปน อปุ ปาที ธาตุ ๖ เปน-อปุ ปนนะก็มี เปนอนุปปน นะกม็ ี เปนอุปปาทกี ็มี ธรรมธาตุ เปน อปุ ปนนะก็มีเปนอนุปปนนะก็มี เปน อุปปาทกี ็มี กลา วไมไ ดวา แมเปน อุปปนนะ แมเ ปนอนุปปน นะ แมเปน อปุ ปาทีก็มี ธาตุ ๑๗ เปน อดตี ก็มี เปนอนาคตกม็ ี เปนปจจุบนั กม็ ี ธรรมธาตุ เปน อดตี กม็ ี เปน อนาคตก็มี เปน ปจจบุ ันกม็ ี กลา วไมไดวา แมเปน อดตี แมเปน อนาคต แมเปน ปจจุบันกม็ ี ธาตุ ๑๐ เปนอนารัมมณะ ธาตุ ๖ เปนปจ จุปน นารมั มณะ ธาตุ ๒ เปนอตตี ารมั มณะกม็ ีเปนอนาคตารัมมณะกม็ ี เปนปจจปุ ปนนารมั มณะกม็ ี กลาวไมไดวา แมเปนอตีตารัมมณะ แมเ ปนอนาคตารมั มณะ แมเ ปน ปจ จปุ ปน นารมั มณะกม็ ี ธาตุ๑๘ เปนอัชฌัตตะก็มี เปนพหทิ ธากม็ ี เปน อชั ฌตั ตพหทิ ธาก็มี ธาตุ ๑๐ เปนอนารัมมณะ ธาตุ ๖ เปนพหทิ ธาก็มี เปนอชั ฌตั ตพหทิ ธารัมมณะก็มี เปนอัชฌัตตพหิทธารมั มณะก็มี ธาตุ ๒ เปน อชั ฌัตตารัมมณะก็มี เปน พหิทธา-รมั มณะก็มี เปนอชั ฌัตตพหทิ ธารัมมณะก็มี กลาวไมไดวา แมเ ปนอัชฌัตตา-รมั มณะ แมเปนพหิทธารมั มณะ แมเปนอัชฌตั ตพหิทธารมั มณะก็มี รปู ธาตุเปนสนิทสั สนสัปปฏิฆะ ธาตุ ๙ เปน อนทิ สั สนสัปปฏิฆะ ธาตุ ๘ เปนอนทิ สั สนอัปปฏิฆะ.

พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 271 ทกุ มาตกิ าวิสัชนา ๑. เหตโุ คจฉกวสิ ัชนา [๑๓๓] ธาตุ ๑๗ เปน นเหตุ ธรรมธาตุ เปนเหตุกม็ ี เปนนเหตกุ ม็ ีธาตุ ๑๖ เปน อเหตกุ ะ ธาตุ ๒ เปน สเหตุกะก็มี เปนอเหตุกะกม็ ี ธาตุ ๑๖เปน เหตวุ ปิ ปยุต ธาตุ ๒ เปน เหตสุ ัมปยตุ กม็ ี เปนเหตวุ ปิ ปยุตก็มี ธาตุ ๑๖กลา วไมไ ดว า แมเปนเหตุสเหตกุ ะ แมเปน สเหตกุ นเหตุ มโนวิญญาณธาตุกลา วไมไ ดว า แมเ ปน เหตุสเหตกุ ะ เปน สเหตุกนเหตกุ ม็ ี กลาวไมไดวา เปนสเหตุกนเหตุก็มี ธรรมธาตุ เปน เหตสุ เหตุกะก็มี เปน สเหตุกนเหตุกม็ ีกลา วไมไ ดวา แมเปน เหตสุ เหตุกะ แมเปนสเหตุกนเหตกุ ม็ ี ธาตุ ๑๖ กลา วไมไดว า แมเ ปนเหตุเหตสุ มั ปยุต แมเปนเหตุสัมปยุตตนเหตุ มโนวิญญาณธาตุกลา วไมไดวา เปนเหตเุ หตสุ มั ปยตุ เปนเหตุสัมปยตุ ตนเหตกุ ม็ ี กลาวไมไ ดว าเปนเหตุสมั ปยตุ ตนเหตกุ ม็ ี ธรรมธาตุ เปน เหตุเหตสุ มั ปยตุ กม็ ี เปนเหตุ-สัมปยตุ ตนเหตกุ ็มี กลา วไมไ ดวา แมเปนเหตเุ หตุสมั ปยุต แมเ ปนเหตุสัมป-ยุตตนเหตุกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนนเหตุอเหตุกะ มโนวิญญาณธาตุ เปน นเหต-ุสเหตกุ ะกม็ ี เปน นเหตอุ เหตุกะกม็ ี ธรรมธาตุ เปนนเหตสุ เหตกุ ะก็มี เปนนเหตอุ เหตุกะก็มี กลาวไมไ ดว า แมเ ปน นเหตุสเหตุกะ แมเ ปน นเหตอุ เหตุกะก็ม.ี ๒. จูฬันตรทุกวสิ ัชนา [๑๓๔] ธาตุ ๑๗ เปน สัปปจ จยะ ธรรมธาตุ เปนสปั ปจ จยะกม็ ีเปน อัปปจ จยะก็มี ธาตุ ๑๗ เปนสังขตะ ธรรมธาตุ เปนสังขตะก็มี เปนอสงั ขตะกม็ ี ธาตุ ๑๗ เปน อหทิ สัสนะ รปู ธาตุ เปน สนทิ สั สนะ ธาตุ ๑๐

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 272เปนสปั ปฏฆิ ะ ธาตุ ๘ เปนอัปปฏิฆะ ธาตุ ๑๐ เปน รูป ธาตุ ๗ เปน อรูปธรรมธาตุ เปนรูปกม็ ี เปน อรปู ก็มี ธาตุ ๑๖ เปน โลกิยะ ธาตุ ๒ เปน โลกิยะกม็ ี เปนโลกตุ ระกม็ ี ธาตุ ๑๘ เปนเกนจิวญิ เญยยะ เปน เกนจินวญิ เญยยะ. ๓. อาสวโคจฉกวสิ ชั นา [๑๓๕] ธาตุ ๑๗ เปนโนอาสวะ ธรรมธาตุ เปน อาสวะกม็ ี เปนโนอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนสาสวะ ธาตุ ๒ เปนสาสวะก็มี เปนอนาสวะกม็ ีธาตุ ๑๖ เปนอาสววปิ ปยุต ธาตุ ๒ เปนอาสวสัมปยุตก็มี เปน อาสววปิ ปยุตก็มีธาตุ ๑๖ กลา วไมไดวา เปนอาสวสาสวะ เปน สาสวโนอาสวะ มโนวิญญาณธาตุกลาวไมไ ดวา เปน อาสวสาสวะ เปนสาสวโนอาสวะกม็ ี กลาวไมไ ดวา เปนสาสวโนอาสวะกม็ ี ธรรมธาตุ เปน อาสวสาสวะก็มี เปนสาสวโนอาสวะกม็ ีกลา วไมไดวา แมเปน อาสวสาสวะ แมเ ปน สาสวโนอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖กลาวไมไ ดวา แมเ ปน อาสวอาสวสมั ปยุต แมเ ปนอาสวสมั ปยุตตโนอาสวะมโนวิญญาณธาตุ กลา วไมไ ดว า เปน อาสวอาสวสมั ปยุต เปนอาสวสัมปยตุ ต-โนอาสวะก็มี กลาวไมไดวา เปนอาสวสมั ปยตุ ตโนอาสวะก็มี ธรรมธาตุเปน อาสวอาสวสัมปยตุ กม็ ี เปน อาสวสมั ปยุตตโนอาสวะก็มี กลาวไมไ ดว าแมเ ปน อาสวอาสวสมั ปยุต แมเ ปนอาสวอาสวสมั ปยุต แมเ ปนอาสวสัมยตุ ตโนอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนอาสววิปปยุตตสาสวะ ธาตุ ๒ เปน อาสววปิ ปยุตต-สาสวะก็มี เปนอาสววปิ ปยุตตอนาสวะกม็ ี กลาวไมไดวา แมเปนอาสววปิ ป-ยตุ ตสาสวะ แมเปนอาสววปิ ปยุตตอนาสวะก็ม.ี

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 273 ๔. สญั โญชนโคจฉกวสิ ชั นา [๑๓๖] ธาตุ ๑๗ เปนโนสญั โญชนะ ธรรมธาตุ เปนสญั โญชนะก็มีเปน โนสญั โญชนะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนสญั โญชนยิ ะ ธาตุ ๒ เปน สัญโญชนยิ ะกม็ ี เปนอสัญโญชนิยะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนสญั โญชนวิปปยุตก็มี ธาตุ ๒ เปนสญั โญชนสมั ปยตุ กม็ ี เปน สญั โญชนวิปปตุ ก็มี ธาตุ ๑๖ กลาวไมไดวา เปนสัญโญชนสัญโญชนิยะ เปน สัญโญชนิยโนสญั โญชนะ มโนวญิ ญาณธาตุกลาวไมไดวา เปน สญั โญชนสญั โญชนิยะ เปนสญั โญชนยิ โนสัญโญชนะก็มีกลา วไมไดวา เปน สญั โญชนิยโนสญั โญชนะก็มี ธรรมธาตุ เปน สัญโญชน-สัญโญชนิยะก็มี เปน สญั โญชนยิ โนสญั โญชนะก็มี กลาวไมไดว า แมเ ปนสัญโญชนสัญโญชนิยะ เเมเปนสญั โญชนยิ โนสญั โญชนะก็มี ธาตุ ๑๖ กลา วไมไดว า แมเปนสัญโญชนสัญโญชนสมั ปยุต แมเปนสญั โญชนสัมปยตุ ตโนสัญโญชนะ มโนวิญญาณธาตุ กลาวไมไดว า เปนสญั โญชนสัญโญชนสมั ปยตุเปน สัญโญชนสมั ปยตุ ตโนสญั โญชนะกม็ ี กลา วไมไ ดวา เปน สัญโญชนสมั ปยตุ ต-โนสญั โญชนะก็มี ธรรมธาตุ เปนสญั โญชนสัญโญชนสมั ปยตุ กม็ ี เปนสัญโญชนสัมปยตุ ตโนสญั โญชนะกม็ ี กลา วไมไ ดว า แมเ ปน สญั โญชนสัญโญชนสมั ปยุตแมเปน สญั โญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนสัญโญชนวิปปยตุ ต-สญั โญชนิยะ ธาตุ ๒ เปน สัญโญชนวปิ ปยุตตสัญโญชนิยะก็มี เปนสัญโญชนวิปปยตุ ตอสญั โญชนยิ ะก็มี กลา วไมไดวา แมเ ปน สญั โญชนวิปปยตุ ตสัญโญช-นยิ ะ แมเ ปน สัญโญชนวปิ ปยุตตอสัญโญชนิยะก็มี. ๕. คนั ถโคจฉกวสิ ชั นา [๑๓๗] ธาตุ ๑๗ เปน โนคนั ถะ ธรรมธาตุ เปน คนั ถะกม็ ี เปนโนคนั ถะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนคันถนยิ ะ ธาตุ ๒ เปน คันถนยิ ะก็มี เปนอคันถ-

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 274นิยะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนคันถวิปปยตุ ธาตุ ๒ เปนคนั ถสมั ปยุตกม็ ี เปน คนั ถ-วิปปยตุ กม็ ี ธาตุ ๑๖ กลา วไมไดว า เปน คนั ถคนั ถนิยะ เปน คันถนยิ โนคันถะมโนวญิ ญาณธาตุ กลาวไมไ ดว า เปน คนั ถคันถนิยะ เปนคนั นิยโนคันถะก็มีกลา วไมไดวา เปน คันถนยิ โนคนั ถะก็มี ธรรมธาตุ เปนคนั ถคนั ถนยิ ะก็มีเปน คันถนิยโนคนั ถะกม็ ี กลาวไมไดว า แมเ ปน คนั ถคันถนยิ ะ แมเปนคนั ถ-นยิ โนคนั ถะก็มี ธาตุ ๑๖ กลา วไมไดวา แมเปนคันถคันถสมั ปยตุ แมเ ปนคันถสัมปยุตตโนคันถะ มโนวิญญาณธาตุ กลาวไมไดว า เปน คนั ถคนั ถสัมปยตุเปนคนั ถสัมปยุตตโนคันถะกม็ ี กลา วไมไ ดว า เปนคนั ถสมั ปยุตตโนคันถะก็มีธรรมธาตุ เปน คันถคันถสมั ปยตุ กม็ ี เปนคันถสมั ปยตุ ตโนคนั ถะกม็ ี กลาวไมไดว า แมเปน คันถคนั ถสัมปยตุ แมเปนคนั ถสมั ปยตุ ตโนคนั ถะก็มี ธาตุ ๑๖เปน คันถวปิ ปยตุ ตคนั ถนิยะ ธาตุ ๒ เปน คนั ถวปิ ปยุตตคันถนิยะก็มี เปนคันถวิปปยตุ ตอคนั ถนยิ ะก็มี กลาวไมไ ดว า แมเ ปนคนั ถวปิ ปยตุ ตคนั ถนิยะแมเปน คนั ถวปิ ปยุตตอคันถนิยะก็ม.ี ๖.๗.๘ โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา [๑๓๘] ธาตุ ๑๗ เปนโนโอฆะ ฯลฯ ธาตุ ๑๗ เปน โนโยคะ ฯลฯธาตุ ๑๗ เปน โนนีวรณะ ธรรมธาตุ เปน นวี รณะก็มี เปน โนนวี รณะก็มีธาตุ ๑๖ เปนนีวรณยิ ะ ธาตุ ๒ เปน นีวรณยิ ะก็มี เปนอนวี รณิยะกม็ ี ธาตุ ๑๖เปน นวี รณวปิ ปยตุ ธาตุ ๒ เปนนีวรณสัมปยุตกม็ ี เปน นวี รณวิปปยุตก็มีธาตุ ๖ กลา วไมไ ดว า เปน นวี รณนีวรณยะ เปนนีวรณิยโนนวี รณะ มโน-วญิ ญาณธาตุ กลา วไมไดวา เปนนวี รณนีวรณิยะ เปน นวี รณยิ โนนวี รณะก็มีกลา วไมไดวา เปน นวี รณยิ โนนวี รณะก็มี ธรรมธาตุ เปนนีวรณนวี รณิยะกม็ ี

พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 275เปน นีวรณิยโนนีวรณะกมี กลาวไมไดว า แมเ ปน นีวรณนวี รณยิ ะ แมเ ปนนวี รณิยโนนวี รณะกม็ ี ธาตุ ๑๖ กลาวไมไดว า แมเปน นีวรณนวี รณสัมปยุตแมเ ปนนวี รณสมั ปยุตตโนนีวรณะ มโนวิญญาณธาตุ กลาวไมไดว า เปนนวี รณนวี รณสมั ปยตุ เปนนวี รณสมั ปยตุ ตโนนีวรณะกม็ ี กลาวไมไ ดวา เปนนีวรณสมั ปยตุ ตโนนีวรณะก็มี ธรรมธาตุ เปนนวี รณนวี รณสัมปยุตกม็ ี เปนนีวรณสมั ปยตุ ตโนนีวรณะกม็ ี กลา วไมไ ดว า แมเปนนวี รณนีวรณสัมปยตุแมเ ปนนวี รณสัมปยุตคตโนนวี รณะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนนีวรณวิปปยุตตนวี รณิยะธาตุ ๒ เปน นวี รณวิปปยุตตนวี รณยิ ะก็มี เปน นวี รณวิปปยตุ ตอนวี รณยิ ะกม็ ีกลา วไมไดว า แมเปน นวี รณวิปปยุตตนวี รณยิ ะ แมเปนนวี รณวปิ ปยุตตอนวี ร-ณิยะก็ม.ี ๙. ปรามาสโคจฉกวิสชั นา [๑๓๙] ธาตุ ๑๗ เปน โนปรามาสะ ธรรมธาตุ เปนปรามาสะก็มีเปน โนปรามาสะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนปรามฏั ฐะ ธาตุ ๒ เปน ปรามัฏฐะก็มีเปนอปรามัฏฐะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปน ปรามาสวิปปยตุ มโนวญิ ญาณธาตุ เปนปรามาสสมั ปยุตกม็ ี เปน ปรามาสวิปปยุตกม็ ี ธรรมธาตุ เปน ปรามาสสมั ปยุตก็มี เปนปรามาสวิปปยตุ กม็ ี กลาวไมไ ดวา แมเปน ปรามาสสัมปยุต แมเ ปนปรามาสวปิ ปยตุ ก็มี ธาตุ ๑๖ กลา วไมไ ดวา เปนปรามาสปรามัฏฐะ เปนปรามฏั ฐโนปรามาสะ มโนวญิ ญาณธาตุ กลาวไมไ ดวา เปน ปรามาสปรามฏั ฐะ.เปน ปรามฏั ฐโนปรามาสะก็มี กลาวไมไดว า เปน ปรามัฏฐโนปรามาสะกม็ ีธรรมธาตุ เปนปรามาสปรามฏั ฐะกม็ ี เปนปรามฏั ฐโนปรามาสะก็มี กลา วไมไดว า แมเปน ปรามาสปรามัฏฐะ แมเปน ปรามัฏฐโนปรามาสะก็มี ธาตุ ๑๖

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 276เปนปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐะ ธาตุ ๒ เปนปรามาสวปิ ปยุตตปรามฏั ฐะก็มีเปน ปรามาสวิปปยุตตอปรามฏั ฐะก็มี กลา วไมไ ดว า แมเปน ปรามาสวปิ ปยุตต-ปรามฏั ฐะ แมเปน ปรามาสวปิ ปยุตตอปรามฏั ฐะกม็ ี. ๑๐. มหันตรทุกวสิ ัชนา [๑๔๐] ธาตุ ๑๐ เปนอนารมั มณะ ธาตุ ๗ เปน สารัมมณะ ธรรมธาตุเปนสารัมมณะก็มี เปนอนารัมมณะกม็ ี ธาตุ เปน โนจติ ะ ธาตุ ๗ เปนจติ ะ ธาตุ ๑๗ เปนอเจตสกิ ะ ธรรมธาตุ เปน เจตสกิ ะก็มี เปนอเจตสกิ ะกม็ ีธาตุ ๑๐ เปน จิตตวิปปยตุ ธรรมธาตุ เปนจิตตสัมปยตุ ก็มี เปน จติ ตวปิ ปยตุกม็ ี ธาตุ ๗ กลา วไมไดวา แมเปน จิตตสมั ปยุต แมเปน จติ ตวปิ ปยุต ธาตุ ๑๐เปนจติ ตวิสังสัฏฐะ ธรรมธาตุ เปนจิตตสังสฏั ฐะกม็ ี เปน จติ ตวิสังสฏั ฐะก็มีธาตุ ๗ กลา วไมไ ดวา แมเปน จติ ตสงั สฏั ฐะ แมเปนจิตตวิสังสฏั ฐะ ธาตุ ๑๒เปนมโนจติ ตสมุฏฐานะ ธาตุ ๖ เปนจิตตสมุฏฐานะก็มี เปน โนจติ ตสมฏุ ฐานะกม็ ีธาตุ ๑๗ เปนโนจิตตสหภุ ธรรมธาตุ เปนจติ ตสหภูก็มี เปนโนจติ ตสหภูกม็ ีธาตุ ๑๗ เปนโนจติ ตานปุ ริวัตติ ธรรมธาตุ เปน จิตตานุปรวิ ตั ตกิ ม็ ี เปน โน-จิตตานุปรวิ ตั ตกิ ม็ ี ธาตุ ๑๗ เปนโนจิตตสังสฏั ฐสมฏุ ฐานะ ธรรมธาตุ เปนจติ ตสงั สฏั ฐสมุฏฐานะก็มี เปนโนจิตตสงั สัฏฐสมุฏฐานะก็มี ธาตุ ๑๗ เปนโนจติ ตสงั สัฏฐสมฏุ ฐานสหภู ธรรมธาตุ เปน จิตตสังสัฏฐสมฏุ ฐานสหภกู ม็ ีเปน โนจิตตสงั สฏั ฐสมฏุ ฐานสหภกู ม็ ี ธาตุ ๑๗ เปน โนจิตตสังสฏั ฐสมุฏฐานสหภกู ม็ ีปรวิ ัตติ ธรรมธาตุ เปนจติ ตสงั สัฏฐสมุฏฐานานุปริวตั ตกิ ม็ ี เปน โนจิตตสังสัฏฐ-สมฏุ ฐานานุปรวิ ตั ตกิ ็มี ธาตุ ๑๒ เปนอชั ฌตั ตกิ ะ ธาตุ ๖ เปน พาหิระ ธาตุ ๙

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 277เปนอุปาทา ธาตุ ๘ เปนนอปุ าทา ธรรมธาตุ เปน อุปาทาก็มี เปน นอุปาทาก็มี ธาตุ ๑๐ เปนอุปาทินนะ สทั ทธาตุ เปนอนปุ าทินนะ ธาตุ ๗ เปน อุปาทินนะกม็ ี เปนอนปุ าทนิ นะกม็ .ี ๑๑. อปุ าทานโคจฉกวสิ ชั นา [๑๔๑] ธาตุ ๑๗ เปน นอุปาทานะ ธรรมธาตุ เปน อุปาทานะกม็ ีเปน นอปุ าทิานะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนอปุ าทานยิ ะ ธาตุ ๒ เปน อปุ าทานิยะกม็ ีเปนอนปุ าทานยิ ะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนอุปาทานวปิ ปยุต ธาตุ ๒ เปน อปุ าทาน-สัมปยุตก็มี เปน อปุ าทานวปิ ปยตุ กม็ ี ธาตุ ๒ กลาวไมไ ดว า เปนอุปาทานอปุ าทานยิ ะ เปน อปุ าทนยิ โนอปุ าทานะ มโนวญิ ญาณธาตุ กลาวไมไดวาเปน อุปาทานอุปาทานิยะ เปนอุปาทานิยโนอุปาทานะกม็ ี กลาวไมไดวา เปนอุปาทานยิ โนอปุ าทานะก็มี ธรรมธาตุ เปนอปุ าทานอุปาทานยิ ะกม็ ี เปนอปุ าทานิยโนอุปาทานะก็มี กลาวไมไ ดว า แมเปนอปุ าทานอุปาทานยิ ะ แมเ ปนอปุ าทานยิ โนอุปาทานะกม็ ี ธาตุ ๑๖ กลาวไมไ ดว า แมเปน อปุ าทานอปุ าทานสัมปยตุ แมเ ปน อุปาทานสัมยุตตโนอปุ าทานะก็มี มโนวญิ ญาณธาตุ กลาวไมไ ดวา เปน อุปาทานอุปาทานะสัมปยตุ เปนอุปาทานสมั ปยุตตโนอุปาทานะก็มีกลาวไมไ ดว า เปนอปุ าทานสัมปยุตตโนอปุ าทานะก็มี ธรรมธาตุ เปนอปุ าทานอุปาทานสมั ปยตุ กม็ ี เปน อุปาทานสมั ปยตุ ตโนอปุ าทานะก็มี กลาวไมไดว าแมเปน อปุ าทานอุปาทานสัมปยตุ แมเปน อุปาทานสมั ปยตุ ตโนอุปาทานะก็มีธาตุ ๑๖ เปนอปุ าทานวปิ ปยตุ ตอุปาทานิยะ ธาตุ ๒ เปนอุปาทานวิปปยตุ ต-อปุ าทานิยะกม็ ี เปนอปุ าทานวปิ ปยตุ ตอนปุ าทานยิ ะก็มี กลาวไมไ ดว า แมเ ปนอุปาทานวิปปยุตตออปุ าทานิยะ แมเปนอปุ าทานวปิ ปยุตตอนุปาทานยิ ะกม็ ี

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 278 ๑๒. กเิ ลสโคจฉกวิสัชนา [๑๔๒] ธาตุ ๑๗ เปน โนกเิ ลสะ ธรรมธาตุ เปน กิเลสะก็มี เปนโนกิเลสะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนสงั กเิ ลสกิ ะ ธาตุ ๒ เปนสงั กเิ ลสิกะกม็ ี เปนอสงั กิเลสกิ ะก็มี ธาตุ ๑๖ เปน อสงั กิลฏิ ฐะ ธาตุ ๒ เปน สังกิลฏิ ฐะก็มี เปนอสงั กิลิฏฐะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนกเิ ลสวปิ ปยุต ธาตุ ๒ เปน กเิ ลสสัมปยุตก็มี เปนกเิ ลสวิปปยุตกม็ ี ธาตุ ๑๖ กลา วไมไดวา เปน กเิ ลสสังกเิ ลสิกะ เปนสงั กเิ ล-สกิ โนกิเลสะ มโนวญิ ญาณธาตุ กลา วไมไ ดวา เปนกเิ ลสสังกิเลสิกะ เปนสงั กิเลสิกโนกิเลสะกม็ ี กลา วไมไดว า เปน สังกิเลสิกโนกิเลสะกม็ ี ธรรมธาตุเปนกิเลสงั กิเลสกิ ะกม็ ี เปนสังกเิ ลสกิ โนกิเลสะก็มี กลาวไมไ ดว า แมเ ปนกิเลสสงั กิเลสิกะ แมเปนสงั กเิ ลสิกโนกิเลสะกม็ ี ธาตุ ๑๖ กลา วไมไดว า แมเ ปนกเิ ลสสังกิลิฏฐะ แมเ ปนสงั กิลฏิ ฐโนกเิ ลสะ มโนวญิ ญาณธาตุ กลาวไมไดว าเปนกิเลสสังกลิ ิฏฐะ เปน สงั กลิ ฏิ ฐโนกเิ ลสะก็มี กลา วไมไดว า เปนสังกลิ ฏิ ฐ-โนกิเลสะกม็ ี ธรรมธาตุ เปน สังกิเลสสังกลิ ิฏฐะกม็ ี เปน สังกิลิฏฐโนกเิ ลสะกม็ ีกลา วไมไดวา แมเ ปน กิเลสสังกลิ ิฏฐะ แมเ ปน สงั กลิ ฏิ ฐโนกเิ ลสะกม็ ี ธาตุ ๑๖กลา วไมไ ดว า แมเปนกเิ ลสกิเลสสัมปยตุ แมเปน กเิ ลสสมั ปยตุ ตโนกเิ ลสะมโนวิญญาณธาตุ กลา วไมไ ดว า เปน กิเลสสมั ปยตุ เปน กิเลสสัมปยุตต-โนกเิ ลสะกม็ ี กลาวไมไ ดวา เปน กิเลสสัมปยตุ ตโนกิเลสะกม็ ี ธรรมธาตุเปนกิเลสกิเลสสัมปยุตกม็ ี เปนกเิ ลสสัมปยุตตโนกิเลสะก็มี กลา วไมไ ดว าแมเ ปน กิเสสกิเลสสัมปยตุ แมเปน กเิ ลสสมั ปยตุ ตโนกเิ ลสะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนกเิ ลวิปปยตุ ตสงั กเิ ลสกิ ะ ธาตุ ๒ เปนกิเลสวิปปยุตตสังกเิ ลสิกะกม็ ี เปนกิเลสะวิปปยตุ ตอสังกิเสสกิ ะก็มี กลาวไมไ ดวา แมเปน กเิ ลสวปิ ปยุตตสังกเิ ลสิกะแมเปน กิเลสวิปปยุตตอสงั กิเลสิกะกม็ .ี

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 279 ๑๓. ปฏฐิทกุ วสิ ัชนา [๑๔๓] ธาตุ ๑๖ เปนนทสั สนปหาตพั พะ ธาตุ ๒ เปนทสั สนปหา-ตพั พะกม็ ี เปน นทัสสนปหาตพั พะกม็ ี ธาตุ ๖ เปนนภาวนาปหาตัพพะ ธาตุ ๒เปน ภาวนาปหาตพั พะกม็ ี เปน นภาวนาปหาตพั พะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนนทสั สน-ปหาตพั พเหตุกะ ธาตุ ๒ เปนทัสสนปหาตัพพเหตุกะกม็ ี เปนนทัสสนปหา-ตพั พเหตุกะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนนภาวนปหาตพั พเหตกุ ะ ธาตุ ๒ เปนภาวนา-ปหาตพั พเหตกุ ะก็มี เปนนภาวนาปหาตพั พเหตุกะก็มี ธาตุ ๑๕ เปนอวิตกั กะมโนวญิ ญาณธาตุเปน สวิตกั กะ ธาตุ ๒ เปนสวิตักกะกม็ ี เปน อวิตักกะก็มีธาตุ ๑๕ เปนอวิจาระ มโนธาตุ เปนสวิจาระ ธาตุ ๒ เปนสวิจาระกม็ ี เปนอวิจาระก็มี ธาตุ ๑๖ เปน อปั ปต ิกะ ธาตุ ๒ เปนสัปปต ิกะก็มี เปน อัปปตกิ ะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปน นปติสหคตะ ธาตุ ๒ เปน ปต ิสหคตะกม็ ี เปน นปต สิ หคตะก็มี ธาตุ ๑๕ เปนนสุขสหคตะ ธาตุ ๓ เปน สขุ สหคตะกม็ ี เปน นสุขสหคตะก็มี ธาตุ ๑๑ เปนนอเุ ปกขาสคหคะ ธาตุ ๕ เปนอุเปกขาสหคตะ ธาคุ ๒ เปนอเุ ปกขาสหคตะก็มี เปน นอุเปกขาสหคตะกม็ ี ธาตุ ๖ เปน กามาวจร ธาตุ ๒เปน กามาวจรก็มี เปนนกามาวจรก็มี ธาตุ ๑๖ เปร นรปู าวจร ธาตุ ๒ เปนรปู าวจรก็มี เปนนรปู าวจรกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปน อรูปาวจร ธาตุ ๒ เปนอรปู าวจรกม็ ี เปนนอรปู าวจรก็มี ธาตุ ๑๖ เปน ปริยาปนนะ ธาตุ ๒ เปนปริยาปน นะกม็ ี เปนอปริยาปน นะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปนอนยิ ยานิกะ ธาตุ ๒ เปนนยิ ยานกิ ะก็มี เปนอนิยยานกิ ะก็มี ธาตุ ๑๖ เปนอนยิ ตะ ธาตุ ๒ เปนนิยตะกม็ ี

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 280เปนอนิยตะกม็ ี ธาตุ ๑๖ เปน สอุตตระ ธาตุ ๒ เปนสอตุ ตระกม็ ี เปนอนุตตระก็มี ธาตุ ๑๖ เปน อรณะ ธาตุ ๒ เปน สรณะกม็ ี เปนอรณะก็มี ฉะน้แี ล. ปญ หาปจุ ฉกะ จบ ธาตุวิภังค จบบริบูรณ วรรณนาปญหาปุจฉกะ๑ กใ็ นปญหาปจุ ฉกะ บณั ฑติ พึงทราบความทธี่ าตทุ งั้ ๑๘ เปนเปนตน โดยทาํ นองแหงนยั ทกี่ ลาวไวใ นหนหลงั นัน่ แหละ สวนในอารัมมณตกิ ะทง้ั หลาย คาํ วา ฉ ธาตุโย ปรติ ฺตารมฺมณา (ธาตุ ๖ เปนปริตตารมั มณะ)น้ี พระผมู ีพระภาคเจาตรสั หมายเอาความเปน ไปของวญิ ญาณ ๕ มีจักขุวญิ ญาณเปน ตน และมโนธาตุ ในอารมณ มรี ปู ารมณเ ปนตน โดยสวนเดยี ว แตพึงทราบความที่ธรรมธาตุและมโนวญิ ญาณธาตุท่ตี รัสวา เทวฺ ธาตุโย (ธาตุ๒) ดงั น้ี เปนปรติ ตารัมมณะเปนตน โดยนัยท่ีกลา วไวใ นมนายตนะและธรรมายตนะนน่ั แหละ ในปญ หาปุจฉกะแมน ี้ พระผมู ีพระภาคเจากต็ รสั ธาตุท่ีเปนกามาพจร ๑๖ เปนไปในภูมิ ๔ ปนกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ ๒ อยางดังพรรณนามาฉะน้ี ธาตวุ ิภงั คน ้ี พระผมู พี ระภาคเจาก็ทรงนําออกจาํ แนกแสดงไว ๓ ปริวรรค (คอื โดยสตุ ตันตภาชนีย อภิธรรมภาชนีย และปญ หาปจุ ฉกะ) ดวยประการฉะนแี้ ล. วรรณนาปญ หาปุจฉกะ จบ ธาตวุ ภิ งั คนิเทศที่ ๓ จบ เพียงเทา น้ี๑ พระบาลีขอ ๑๓๒ หนา ๑๑๔

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 281 ๔. สัจจวิภังค สุตตนั ตภาชนยี  [๑๔๔] อรยิ สัจ ๔ คือ ๑. ทกุ ขอริยสัจ ๒. ทุกชสมทุ ัยอรยิ สัจ ๓. ทุกขนโิ รธอรยิ สจั ๔. ทกุ ขนโิ รธคามินีปฏิปทาอริยสจั . ทุกขอริยสจั [๑๔๕] ในอริยสจั ๔ น้ัน ทุกขอริยสัจ เปน ไฉน ? ชาติทกุ ข ชราทกุ ข มรณทุกข โลกปริเทวทุกขโทมนสั สอปุ ายาสทกุ ขอปั ปเยหสิ มั ปโยคทุกข ปเยหิวปิ ปโยคทกุ ข ยมั ปจฉงั นลภติตมั ปท กุ ข โดยยออุปาทานขันธ ๕ เปน ทกุ ข. [๑๔๖] ในทกุ ขอรยิ สจั นนั้ ชาติ เปน ไฉน ? ความเกิด ความเกิดพรอ ม ความหยั่งถงึ ความเกดิ จาํ เพาะ ความปรากฏแหงขันธ ความไดเ ฉพาะอายตนะ ในหมูสัตวน ัน้ ๆ ของเหลา สตั วนนั้ ๆอันใด นเ้ี รียกวา ชาต.ิ [๑๔๗] ชรา เปน ไฉน ? ความคร่ําครา ภาวะทค่ี รําครา ความที่ฟนหลดุ ความทผี่ มหงอกความท่ีหนังเห่ียวยน ความเส่ือมส้นิ แหงอายุ ความแกห งอ มแหงอนิ ทรยี  ในหมูสัตวน ัน้ ๆ ของเหลาสตั วน ้นั ๆ อนั ใด นี้เรยี กวาชรา.

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 282 [๑๔๘] มรณะ เปนไฉน ? ความเคลือ่ น ภาวะที่เคล่ือน ความทําลาย ความหายไป มฤตยูความตาย ความทํากาละ ความแตกแหง ขันธ ความท้งิ ซากศพไว ความขาดแหงชีวติ นิ ทรยี  จากหมสู ัตวน ้ัน ๆ ของเหลา สัตวน ้นั ๆ อันใด นเี้ รยี กวามรณะ. [๑๔๙] โสกะ เปน ไฉน ? ความโศกเศรา กิรยิ าโศกเศรา สภาพโศกเศรา ความแหง ผากภายในความแหงกรอบภายใน ความเกรียมใจ ความโทมนัส ลกู ศรคอื ความโศกของผูท่ถี ูกกระทบดวยความเสื่อมญาติ ความเสอื่ มโภคทรพั ย ความเสือ่ มเกยี่ วดวยโรค ความเสื่อมศีล หรอื ความเสอื่ มทิฏฐิ ของผปู ระกอบดวยความเสอื่ มอยางใดอยางหนึง่ ของผูท่ีถูกกระทบดวยเหตุแหงทกุ ขอยา งใดอยา งหนึ่งนเี้ รียกวา โสกะ. [๑๕๐] ปริเทวะ เปน ไฉน ? ความรองไห ความครํา่ ครวญ กิรยิ ารอ งไห กริ ยิ าครํ่าครวญสภาพรอ งไห สภาพคราํ่ ครวญ ความบนถึง ความพูดพร่ํา ความพร่ําเพอความพิไรร่าํ กิรยิ าพไิ รรา่ํ สภาพพไิ รราํ่ ของผูท่ถี กุ กระทบ ดวยความเส่ือมญาติ ความเส่ือมโภคทรพั ย ความเสอ่ื มเก่ยี วดว ยโรค ความเสือ่ มศลีหรือความเสอ่ื มทิฏฐิ ของผูประกอบดวยความเส่ือมอยางใดอยางหนง่ึ ของผทู ี่ถูกกระทบดว ยเหตแุ หง ทกุ ขอยางใดอยา งหนึง่ นี้เรียกวา ปริเทวะ. [๑๕๑] ทกุ ข เปน ไฉน ? ความไมสบายกาย ความทุกขก าย ความเสวยอารมณท ีไ่ มส บายเปนทกุ ข อนั เกดิ แตกายสัมผสั กริ ิยาเสวยอารมณท ไ่ี มสบายเปน ทกุ ขอ ันเกดิ แตกายสัมผสั อันใด นเ้ี รยี กวา ทกุ ข.

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 283 [๑๕๒] โทมนสั เปน ไฉน ? ความไมสบายใจ ความทุกขใ จ ความเสวยอารมณท ่ไี มสบายเปน ทกุ ขอนั เกิดแตเ จโตสมั ผสั กิริยาเสวยอารมณท ไ่ี มส บายเปน ทุกขอนั เกิดแตเ จโตสัมผัสอนั ใด นีเ้ รยี กวา โทมนสั . [๑๕๓] อปุ ายาส เปน ไฉน ? ความแคน ความขุนแคน สภาพแคน สภาพขนุ แคน ของผทู ถี่ กูกระทบดว ยความเส่อื มญาติ ความเสือ่ มโภคทรัพย ความเส่ือมเกย่ี วดวยโรคความเส่ือมศลี หรอื ความเสื่อมทิฏฐิ ของผูประกอบดวยความเสอ่ื มอยา งใดอยา งหนึง่ ของผทู ีถ่ ูกกระทบดวยเหตุแหง ทุกขอยางใดอยา งหน่งึ น้ีเรียกวาอปุ ายาส. [๑๕๔] อัปปเ ยหสิ ัมปโยคทกุ ข เปนไฉน ? ความไปรวม ความมารวม ความประชุมรว ม ความทํารว ม กบัอารมณอนั ไมเปนทปี่ รารถนา ไมเ ปนที่รกั ใคร ไมเปน ท่ชี อบใจของเขาในโลกไดแก รูป เสยี ง กลิน่ รส โผกฐัพพะ หรือกับบุคคลผูที่มุง ตอความพินาศมงุ ทาํ ประโยชน มงุ ทาํ ลายความผาสุก มงุ ทาํ อันตรายความเกษมจากโยคะของเขา น้ีเรียกวา อปั ปเยหสิ มั ปโยคทุกข. [๑๕๕ ] ปเ ยหิวิปปโยคทกุ ข เปนไฉน ? ความไมไ ปรว ม ความไมม ารวม ความไมประชมุ รว ม ความไมอยูรวมกบั อารมณ อนั เปนท่ีปรารถนา เปนทร่ี กั ใคร เปน ทช่ี อบใจของเขาในโลกไดแก รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ หรือกบั บุคคลผทู ี่ใครแ ตค วามเจริญ

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 284ใครแตประโยชน ใครแ ตค วามสําราญ ใครแตความเกษมจากโยคะของเขาไดแ ก มารดา บดิ า พช่ี าย นอ งชาย พีห่ ญงิ นองหญงิ มิตรอาํ มาตยญาติ สาโลหิต นเี้ รียกวา ปเยหิวปิ ปโยคทกุ ข. [๑๕๖] ยมั ปจฉังนลภติตมั ปท ุกข เปนไฉน ? ความปรารถนายอมเกิดขน้ึ แกเ หลาสตั วผ ูค วามเกิดเปน ธรรมดาอยางน้วี า เออหนอ ของเราท้งั หลายอยาไดเ ปน ผูมคี วามเกิดเปน ธรรมดา หรือความเกิดอยาไดมาถึงเราทัง้ หลายเลยหนา ขอน้ไี มพ งึ สาํ เร็จตามความปรารถนาน้เี รยี กวา ยมั ปจ ฉังนลภติตัมปท กุ ขประการหนึ่ง. ความปรารถนายอมเกดิ ข้นึ แกเหลา พวกสตั วผ ูมีความแกเปน ธรรมดา ฯลฯความปรารถนายอ มเกิดขึน้ แกเ หลา สตั วผมู ีความเจ็บไขเปนธรรมดา ฯลฯ ความปรารถนายอมเกดิ ข้นึ แกเ หลา สัตวผ มู คี วามตายเปน ธรรมดา ฯลฯ ความปรารถนายอมเกดิ ขน้ึ แกเหลาสัตวผ ูมีโสกะปริเทวะทกุ ขะโทมนัสอุปายาสเปนธรรมดาอยางน้วี า เออหนอ ขอเราทง้ั หลายอยาไดเปน ผมู ีโสกะปริเทวะทุกขโ ทมนสั -อุปายาสเปน ธรรมดา หรือโสกะปรเิ ทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสอยา ไดม าถึงเราทงั้ หลายเลยหนา ขอน้ไี มพงึ สาํ เรจ็ ตามความปรารถนา น้เี รียกวา ยมั ปจฉงั -นลภตติ มั ปท กุ ขประการหนึง่ . [๑๕๗] โดยยอ อปุ าทานขนั ธ ๕ เปนทกุ ข เปนไฉน ? รปู ปู าทานขันธ เวทนูปาทานขนั ธ สญั ปู าทานขันธ สงั ขารูปาทานขนั ธ วญิ ญาณูปาทานขนั ธ เหลาน้ีเรียกวา โดยยอ อปุ าทานขันธ ๕ เปนทุกข สภาวธรรมน้เี รยี กวา ทกุ ขอริยสจั .

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 285 ทุกขสมทุ ยอริยสัจ [๑๕๘ ] ทกุ ขสมทุ ยอริยสจั เปร ไฉน ? ตณั หานีใ้ ด อันเปน เหตเุ กดิ ในภพใหม ประกอบดวยความกาํ หนัดยนิ ดี เพลิดเพลินอยูใ นอารมณน นั้ ๆ คอื กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. [๑๕๙] กต็ ัณหานีน้ ัน้ แล เมอ่ื เกิด ยอ มเกดิ ท่ีไหน เม่อื ตั้งอยู ยอมต้งั อยทู ีไ่ หน ? ปย รูปสาตรูปใดมีอยใู นโลก ตณั หานี้ เมือ่ เกิดกเ็ กดิ ทจ่ี กั ขุนี้เมอ่ื ตัง้ อยูก ต็ ้งั อยูทีป่ ยรปู สาตรูปนี้ กอ็ ะไร เปน ปยรูปสาตรูป ในโลก ? จกั ขุ เปนปยรปู สาตรูปในโลก ตัณหาน้ี เมอื่ เกดิ กเ็ กดิ ทีจ่ ักขุนี้เมือ่ ตง้ั อยกู ต็ ้งั อยูทจี่ ักขุน้ี โสตะ ฯลฯ ฆานะ ฯลฯ ชิวหา ฯลฯ กายะ ฯลฯมโน เปนปย รูปสาตรูปในโลก ตัณหาน้ี เมื่อเกดิ กเ็ กดิ ท่ีมโนน้ี เม่อื ตั้งอยูกต็ ้งั อยทู ม่ี โนนี.้ รูป เปนปยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมอ่ื เกิดก็เกดิ ทร่ี ูปน้ี เม่ือต้งัอยกู ต็ ัง้ อยทู ี่รปู นี้ สัททะ ฯลฯ คนั ธะ ฯลฯ รสะ ฯลฯ โผฏฐพั พะ ฯลฯธมั มารมณเ ปน ปย สาตรปู ในโลก ตณั หาน้ี เมอื่ เกดิ ก็เกดิ ที่ธมั มารมณนี้เม่อื ตั้งอยกู ต็ ั้งอยูท่ีธมั มารมณนี้ จักขวุ ญิ ญาณ เปนปยรปู สาตรปู ในโลก ตณั หานี้ เม่ือเกิดก็เกดิ ที่จกั ขวุ ญิ ญาณน้ี เม่ือตง้ั อยกู ต็ ั้งอยทู ี่จักขุวญิ ญาณนี้ โสตวญิ ญาณ ฯลฯ ฆาน-วิญญาณ ฯลฯ ชวิ หาวญิ ญาณ ฯลฯ กายวญิ ญาณ ฯลฯ มโนวญิ ญาณเปน ปย รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานี้ เมอ่ื เกดิ กเ็ กิดที่มโนวญิ ญาณน้ี เมอ่ื ตง้ั อยูกต็ ั้งอยทู มี่ โนวญิ ญาณน้ี

พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 286 จกั ขุสัมผสั เปน ปยรูปสาตรปู ในโลก ตัณหานี้ เมื่อเกิดกเ็ กดิ ท่ีจักขสุ ัมผสั น้ี เมื่อตั้งอยูก ็ตั้งอยูท จี่ ักขสุ ัมผสั นี้ โสตสมั ผสั ฯลฯ ฆานสมั ผัส ฯลฯชวิ หาสัมผสั ฯลฯ กายสมั ผสั ฯลฯ มโนสัมผสั เปนปย รูปสาตรปู ในโลกตณั หานี้ เมอ่ื เกดิ กเ็ กดิ ที่มโนสมั ผสั น้ี เม่ือตง้ั อยกู ต็ งั้ อยูท ี่มโนสมั ผัสนี้ จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา เปนปย รูปสาตรปู ในโลก ตัณหาน้ี เมื่อเกิดก็เกดิ ท่จี ักขสุ มั ผสั สชาเวทนาน้ี เมื่อต้งั อยกู ็ต้ังอยูท่จี ักขสุ ัมผสั สชาเวทนาน้ี โสต-สมั ผสั สชาเวทนา ฯลฯ ฆานสมั ผสั สชาเวทนา ฯลฯ ชิวหาสัมผสั สชาเวทนาฯลฯ กายสัมผสั สชาเวทนา ฯลฯ มโนสัมผสั สชาเวทนา เปนปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้ เม่ือเกดิ ก็เกิดทม่ี โนสัมผัสสชาเวทนาน้ี เมื่อต้งั อยูกต็ ัง้ อยูท ่ีมโนสมั ผสั สชาเวทนานี้. รปู สญั ญา เปนปย รูปสาตรปู ในโลก ตณั หาน้ี เมอ่ื เกดิ ก็เกดิ ท่ีรูปสัญญาน้ี เมือตง้ั อยกู ็ตั้งอยูที่รูปสญั ญานี้ สัททสญั ญา ฯลฯ คันธสญั ญา ฯลฯรสสัญญา ฯสฯ โผฏฐพั พสัญญา ฯลฯ ธมั มสัญญา เปน ปยรปู สาตรปู ในโลกตัณหาน้ี เมือ่ เกดิ กเ็ กดิ ทธี่ ัมมสญั ญาน้ี เมือ่ ต้งั อยกู ็ต้งั อยทู ี่ธัมมสัญญาน้ี รปู สญั เจตนา เปน ปยรูปสาตรปู ในโลก ตัณหาน้ี เม่อื เกิดก็เกิดที่รปู สญั เจตนาน้ี เม่ือตั้งอยูก็ต้งั อยทู รี่ ูปสัญเจตนานี้ สทั ทสญั เจตนา ฯลฯคนั ธสัญเจตนา ฯลฯ รสสัญเจตนา ฯลฯ โผฎฐพั พสญั เจตนา ฯลฯ ธัมมสัญ-เจตนา เปนปย รูปสาตรูปในโลก ตัณหาน้ี เมอ่ื เกดิ ก็เกดิ ทธี่ มั มสัญเจตนาน้ีเม่ือต้ังอยกู ต็ ัง้ อยูท่ธี มั มสัญเจตนานี้. รปู ตณั หา เปน ปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้ เม่ือเกดิ ก็เกิดท่ีรปู ตัณหานี้ เมอ่ื ตง้ั อยูกต็ ั้งอยูท่ีรปู ตัณหาน้ี สัททตณั หา ฯลฯ คันธตณั หา ฯลฯ รสตัณหา

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 287ฯลฯ โผฏฐัพพตณั หา ฯลฯ ธัมมตณั หา เปน ปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้เมื่อเกิดก็เกดิ ท่ธี ัมมตณั หาน้ี เม่อื ต้งั อยูก ็ต้งั อยทู ธี่ มั มตัณหานี้ รปู วติ ก เปน ปย รูปสาตรปู ในโลก ตณั หาน้ี เม่อื เกดิ ก็เกิดทีร่ ปู วิตกน้ีเมื่อตง้ั อยูกต็ ้ังอยูท ่รี ูปวติ กนี้ สัททวติ ก ฯลฯ คันธวิตก ฯลฯ รสวติ ก ฯลฯโผฎฐัพพวติ ก ฯลฯ ธัมมวิตก เปน ปย รูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เมอื่ เกิดก็เกิดท่ธี ัมมวิตกนี้ เมอื่ ตั้งอยกู ต็ ัง้ อยูทธ่ี มั มวิตกน้ี รปู วจิ าร เปน ปยรปู สาตรปู ในโลก ตณั หานี้ เมอ่ื เกดิ กเ็ กิดที่รูปวจิ ารน้ีเมื่อต้ังอยูก ็ตั้งอยทู ี่รปู วิจารนี้ สัททวจิ าร ฯลฯ คันธวิจาร ฯลฯ รสวจิ าร ฯลฯโผฏฐัพพวจิ าร ฯลฯ ธมั มวิจาร เปนปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้ เมอ่ื เกิดกเ็ กดิ ทธ่ี ัมมวจิ ารน้ี เม่อื ตงั้ อยูก็ตง้ั อยูทธี่ ัมมวจิ ารน้ี สภาวธรรมนเี้ รยี กวา ทุกขสมทุ ยอรยิ สัจ. ทุกขนโิ รธอริยสจั [๑๖๐] ทุกขนิโรธอรยิ สจั เปนไฉน ? ไดแกค วามสํารอกและความดบั โดยไมเหลือ ความปลอ ยวาง ความสง คนื ความพน ความไมติดอยู แหง ตณั หาน้นั น่ันเทยี ว. [๑๖๑] กต็ ัณหาน้ีนัน้ แล เม่อื จะละ ละท่ีไหน ? เม่ือดบั ดบั ท่ไี หน ? ปยรปู สาตรูปใดมีอยูใ นโลก ตัณหานี้ เมอ่ื จะละกล็ ะที่ปยรปู สาตรปู น้ีเม่ือดับก็ดับท่ปี ยรูปสาตรปู นี้ กอ็ ะไร เปนปยรปู สาตรูปในโลก ?

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 288 จกั ขุ เปน ปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้ เมอื่ จะละก็ละท่จี กั ขุน้ี เมื่อดบั ก็ดับท่จี ักขนุ ี้ โสตะ ฯลฯ ฆานะ ฯลฯ ชิวหา ฯลฯ กายะ ฯลฯ มโนเปนปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้ เม่อื จะละกล็ ะทีม่ โนนี้ เม่อื ดบั ก็ดบั ท่ีมโนน้ี รปู เปน ปยสาตรปู ในโลก ตณั หานี้ เมอ่ื จะละกล็ ะทร่ี ปู นี้ เม่อื ดบั ก็ดบั ทร่ี ูปน้ี สทั ทะ ฯลฯ คันธะ ฯลฯ รสะ ฯลฯ โผฏฐพั พะ ฯลฯ ธัมมารมณเปน ปย รูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เม่อื จะละก็ละทธ่ี มั มารมณ เมื่อดบั ก็ดับที่ธมั มารมณน .้ี จักขวุ ิญญาณ เปนปย รูปสาตรปู ในโลก ตัณหาน้ี เมื่อจะละก็ละที่จกั ขวุ ญิ ญาณน้ี เมื่อดับก็ดบั ทจ่ี ักขวุ ิญาณน้ี โสตวิญญาณ ฯลฯ ฆานวิญญาณฯลฯ ชิวหาวญิ ญาณ ฯลฯ กายวญิ ญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ เปน ปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้ เม่ือจะละก็ละทีม่ โนวญิ ญาณน้ี เม่ือดบั ก็ดบั ที่มโนวิญญาณน้ี จักขุสัมผัส เปนปยรูปสาตรูปในโลก ตณั หานี้ เมื่อจะละจกั ขุสัมผัสน้ี เมอื่ ดบั ก็ดบั ทจ่ี กั ขุสัมผสั น้ี โสตสมั ผัส ฯลฯ ฆานสมั ผัส ฯลฯชิวหาสมั ผัส ฯลฯ กายสมั ผัส ฯลฯ มโนสมั ผัส เปน ปยรูปสาตรูปในโลกตณั หานี้ เมอื่ จะละทีม่ โนสมั ผัสน้ี เมื่อดบั ก็ดบั ที่มโนสมั ผัสนี้ จักขสุ มั ผัสสชาเวทนา เปน ปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เม่อื จะละก็ละท่จี ักขุสมั ผสั สชาเวทนาน้ี เมื่อดบั ก็ดับท่ีจักขสุ ัมผสั สชาเวทนานี้ โสตสัมผสัสชาเวทนา ฯลฯ ฆานสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ ชิวหาสัมผสั สชาเวทนา ฯลฯกายสมั ผสั สชาเวทนา ฯลฯ มโนสมั ผสั สชาเวทนา เปนปย รปู สาตรปู ในโลกตัณหานี้ เมื่อจะละก็ละทมี่ โนสัมผัสสชาเวทนาน้ี เมื่อดบั กด็ ับท่มี โนสมั ผัสชา-เวทนานี้

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 289 รูปสญั ญา เปนปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หานี้ เม่ือจะละก็ละท่ีรูปสญั ญานี้ เม่ือดบั กด็ ับทร่ี ูปสญั ญาน้ี สทั ทสัญญา ฯลฯ คนั ธสญั ญา ฯลฯรสสญั ญา ฯลฯ โผฏฐพั พสัญญา ฯลฯ ธัมมสญั ญา เปนปย รูปสาตรปู ในโลกตัณหานี้ เมอ่ื จะละก็ละท่ธี มั มสัญญาน้ี เมื่อดับกด็ บั ทธี่ มั มสญั ญานี้. รูปสัญเจตนา เปน ปย รูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เม่อื จะละก็ละที่รูปสญั เจตนาน้ี เม่ือดบั กด็ บั ทรี่ ูปสญั เจตนานี้ สทั ทสัญเจตนา ฯลฯ คนั ธสญั -เจตนา ฯลฯ รสสญั เจตนา ฯลฯ โผฏฐพั พสญั เจตนา ฯลฯ ธมั มสญั เจตนาเปน ปยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อจะละก็ละที่ธัมมสญั เจตนาน้ี เม่ือดบักด็ ับที่ธัมมสัญเจตนาน้ี รูปตัณหา เปนปย รปู สาตรปู ในโลก ตัณหานี้ เมื่อจะละกล็ ะทรี่ ปู -ตัณหาน้ี เมอ่ื ดบั ก็ดับทรี่ ปู ตัณหานี้ สัททตณั หา ฯลฯ คนั ธตัณหา ฯลฯรสตณั หา ฯลฯ โผฏฐพั พตัณหา ฯลฯ ธมั มตณั หา เปนปย รูปสาตรปู ในโลกตัณหา เมอ่ื จะละกล็ ะท่ธี ัมมตัณหาน้ี เม่อื ดับก็ดบั ทธ่ี มั มตณั หาน้.ี รปู วติ ก เปน ปยรปู สาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เมื่อจะละก็ละทรี่ ูปวติ กน้ีเมอื่ ดบั กด็ บั ท่รี ปู วิตกน้ี สัททวิตก ฯลฯ คนั ธวติ ก ฯลฯ รสวติ ก ฯลฯโผฏฐัพพวติ ก ฯลฯ ธมั มวิตก เปนปย รปู สาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมอ่ื จะละกะละท่ีธมั มวติ กน้ี เมื่อดับก็ดบั ทธี่ มั มวติ กน้ี รปู วิจาร เปน ปย รปู สาตรปู ในโลก ตณั หานี้ เม่ือจะละก็ละทีร่ ปู วิจารน้ี เม่ือดบั กด็ ับทร่ี ปู วจิ ารนี้ สทั ทวิจาร ฯลฯ คนั ธวิจาร ฯลฯ รสวจิ าร ฯลฯโผฏฐัพพวจิ าร ฯลฯ ธัมมวิจาร เปน ปย รปู สาตรปู ในโลก ตณั หาน้ี เมอื่ จะละก็ละทธ่ี มั มวจิ ารน้ี เมอื่ ดบั กด็ บั ท่ีธมั มวจิ ารนี้ สภาวธรรมนี้เรยี กวา ทุกขนิโรธอริยสัจ

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 290 ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทาอริยสัจ [๑๖๒] ทกุ ขนิโรธคามินปี ฏปิ ทาอรยิ สจั เปนไฉน ? อรยิ มรรคมอี งค ๘ นีเ้ ทานั้น คอื สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กปั ปะ สมั มาวาจาสมั มากัมมนั ตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธ.ิ [๑๖๓] ในอริยมรรคมีองค ๘ นนั้ สมั มาทฏิ ฐิ เปนไฉน ? ความรูในทุกข ความรูใ นทกุ ขสมุทัย ความรูใ นทุกขนิโรธ ความรูในทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา นีเ้ รยี กวา สัมมาทฏิ ฐิ. [๑๖๔] สมั มาสงั กปั ปะ เปนไฉน ? ความดาํ ริในการออกจากกาม ความดาํ รใิ นการไมพ ยาบาท ความดําริในการไมเบยี ดเบยี น นเ้ี รยี กวา สมั มาสงั กปั ปะ. [๑๖๕] สัมมาวาจา เปน ไฉน ? ความงดเวนจากการพูดเท็จ ความเวนจากการพูดสอ เสียด ความงดเวน จากการพูดหยาบ ความงดเวน จากการพดู เพอเจอ นี้เรยี กวา สัมมาวาจา. [๑๖๖] สมั มากมั มันตะ เปนไฉน ? ความงดเวน จากการฆา สตั ว ความงดเวนจากการลกั ทรพั ย ความงดเวน จากการประพฤติผิดในกาม นเ้ี รียกวา สัมมากัมมันตะ. [๑๖๗] สมั มาอาชวี ะ เปนไฉน ? บคุ คลผูอ ริสาวกในศาสนาน้ี ละมิจฉาอาชวี ะแลวเลยี้ งชีวติ อยดู วยสัมมาอาชีวะ นีเ้ รยี กวา สัมมาอาชวี ะ. [๑๖๘] สัมมาวายามะ เปน ไฉน ? ภิกษใุ นศาสนานี้ ทําฉันทะใหเ กิด พยายาม ปรารภความเพยี รประคองจติ ไว ต้ังจติ ไว เพ่อื ปองกนั อกศุ ลบาปธรรมทย่ี ังไมเกิดมิใหเ กิด ฯลฯ

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 291เพ่ือละอกศุ ลบาปธรรมท่เี กิดแลว ฯลฯ เพอ่ื สรางกศุ ลธรรมท่ยี งั ไมเ กดิ ใหเกิดทาํ ฉนั ทะใหเกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจติ ไว ตง้ั จติ ไว เพ่อืความดํารงอยู ความไมสาบสูญ ความภิยโยย่ิง ความไพบูลย ความเจริญความบรบิ ูรณ แหง กศุ ลธรรมทเ่ี กิดแลว น้เี รียกวา สมั มาวายามะ. [๑๖๙] สัมมาสติ เปน ไฉน ? ภกิ ษุในศาสนานี้ ผูประกอบดว ยความเพียรมสี มั ปชญั ญะ มสี ติพิจารณาเห็นกายในกายเนอื ง ๆ อยู กาํ จดั อภิชฌาและโทมนัสเสียไดใ นโลก ผปู ระกอบดวยความเพียร มีสมั ปชญั ญะ มีสติ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนอื งๆ อยูฯลฯ ผูประกอบดวยความเพียร มีสัมปชญั ญะ มสี ติ พิจารณาเหน็ จติ ในจติเนือง ๆ อยู ฯลฯ ผูประกอบดวยความเพียร มีสัมปชญั ญะ มสี ติ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู กําจดั อภิชฌาและโทมนสั เสยี ไดในโลก นเี้ รียกวาสัมมาสต.ิ [๑๗๐] สัมมาสมาธิ เปน ไฉน ? ภิกษุในศาสนานี้ สงดั จากกามสงดั จากอกศุ ลธรรมท้งั หลายแลว บรรลุปฐมฌาน ที่มวี ติ กมวี จิ าร มปี ตแิ ละสขุ อันเกิดแตวเิ วกอยู บรรลุทตุ ยิ ฌานอนั ยังใจใหผอ งใส เพราะวิตกวจิ ารสงบ เปนธรรมเอกผดุ ขนึ้ ภายใน ไมมวี ิตกไมม ีวจิ าร มีแตปต ิและสขุ อันเกิดแตส มาธิอยู เพราะคายปต ไิ ดอ ีกดว ย จึงเปน ผูมจี ิตเปนอเุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะอยู และเสวยสขุ ดวยนามกาย บรรลุตตยิ ฌาน พึงเปน ฌานที่พระอรยิ ทั้งหลายกลาวสรรเสรญิ ผูไดบรรลุวา เปน ผมู ีจติ เปน อเุ บกขา มสี ตอิ ยูเปน สขุ อยู บรรลจุ ตุตถฌาน ท่ีไมมีทกุ ขไ มมสี ขุ

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 292เพราะละสขุ ละทกุ ขได เพราะโสมนัสและโทมนสั ดับสนทิ ในกอน มีสตบิ รสิ ุทธ์ิเพราะอเุ บกขาอยู น้เี รียกวา สมั มาสมาธิ สภาวธรรมนีเ้ รียกวา ทุกขนิโรธคามินปี ฏทิ าอรยิ สัจ. สุตตันตภาชนยี  จบ ๔. สจั จวิภังคนิเทศ๑ วรรณนาสตุ ตันตภาชนยี  วา ดวยอเุ ทศวาร บดั นี้ พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในสัจจวภิ ังคในลาํ ดบั แหง ธาตุวภิ ังคตอ ไปบทวา จตฺตาริ (๔) เปนคาํ กําหนดจาํ นวน. บทวา อรยิ สจฺจานิ (อรยิ สัจ)เปน คาํ แสดงไขธรรมท่ีกําหนดไว. กพ็ งึ ทราบวินิจฉยั ในอเุ ทศวารมีคําวาทกุ ฺข อริยสจจฺ  (ทุกขอริยสจั ) เปน ตน . วิภาคโต นิพฺพจน ลกขฺ ณาทปิ ฺปเภทโต อตถฺ ตฺถทุ ธฺ ารโต เจว อนูนาธกิ โต ตถา กมโต อรยิ สจเฺ จสุ ย ญาณ ตสสฺ กจิ ฺจโต อนโฺ ตคธาน ปเภทา อุปมาโต จตุกกฺ โต สุฺเตกวธาทหี ิ สภาควิสภาคโต วนิ จิ ฉฺ โย เวทิตพฺโพ วิ ฺนุ า สาสนกฺกเม๑ บาลขี อ ๑๔๔

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 293 บัณฑติ ผูรแู จง พงึ ทราบวินิจฉยั ใน ลําดบั คําสอน โดยวภิ าค ๑ โดยวิเคราะห ศพั ท ๑ โดยประเภทมีลกั ษณะเปน ตน ๑ โดยอรรถ ๑ โดยถอดความ ๑ โดยไมห ยอ น ไมย ่ิง ๑ โดยลาํ ดบั ๑ โดยกิจแหงญาณใน อริยสจั ๑ โดยประเภทแหง ธรรมท่หี ย่ังลง ภายใน ๑ โดยอปุ มา ๑ โดยจตุกะ (หมวด๔) ๑ โดยสญุ ญตา (วาง) ๑ โดยเปน ธรรมอยา งเดียว กันเปนตน ๑ โดยสภาคะและวิสภาคะ ๑. วาดว ยวนิ ิจฉยั โดยวภิ าค บรรดาอเุ ทศเหลา น้นั คาํ วา โดยวิภาค ไดแ ก อรรถแหงอรยิ สจั ๔มีทกุ ขเปน ตน พระองคทรงจําแนกไวสัจจะละ ๔ ประการ เปน ของแทเปน ของไมผ ดิ ไมเปนอยา งอนื่ ทีก่ ลุ บตุ รผจู ะตรสั รทู ุกขเ ปน ตน พึงตรสั รูเหมอื นอยางทีต่ รัสไววา* ทกุ ข มอี รรถวาบบี คัน้ มอี รรถวา อันปจ จัยปรุงแตงมีอรรถวาใหเรา รอน มีอรรถวาปรวนแปร อรรถ ๔ แหงทุกขน ้ี เปน อรรถของทุกข เปน ของแท เปนของไมผิด ไมเ ปนอยา งอน่ื สมุทยั มีอรรถวาประมวลมา มีอรรถวา เปน เหตุมอบใหซ่งึ ผล มอี รรถวาประกอบไว มอี รรถวาเปน เครือ่ งกังวล ฯลฯ นิโรธ มีอรรถวาสลัดออก มอี รรถวา สงัด มีอรรถวาอันปจ จยั ปรงุ แตงไมไ ด มีอรรถวา เปนอมตะ ฯลฯ มรรค มอี รรถวาการนําออกมอี รรถวา เปน เหตุ มีอรรถวา เปน ทสั สนะ (เห็น) มอี รรถวาเปนอธิบดี อรรถ ๔* ขุ. ป. เลม ๓๑ ๕๔๕/๔๔๙

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 294แหง มรรคนีเ้ ปน อรรถของมรรค เปนของแท เปนของไมผ ิด ไมเปนอยางอื่นดงั น.้ี อนง่ึ พระบาลีมอี าทิอยางน้ีวา ทกุ ข มอี รรถวาบบี ค้นั มอี รรถวาอันปจจยั ปรงุ แตง มีอรรถวา ใหเรารอ น มีอรรถวาปรวนแปร เปน อรรถท่คี วรตรัสรู ดงั นี้ พงึ ทราบสจั จะมที กุ ขเปน ตน ดว ยอํานาจแหง อรรถสจั จะอยางละ ๔ตามท่ที รงจาํ แนกไวอยางน้ี ดว ยประการฉะนี้แล. พึงทราบวินจิ ฉยั ในสจั จะนี้โดยวิภาคกอ น. วา ดวยวนิ ิจฉยั โดยวเิ คราะหศพั ท กใ็ นขอ วา โดยวเิ คราะหศัพท และประเภทมลี ักษณะเปนตนน้ี พึงทราบสัจจะโดยวิเคราะหศพั ทก อน. ในบทวา ทกุ ขฺ  นี้ ศพั ทวา ทุ นย้ี อมแสดงความนา เกลยี ด จริงอยูชาวโลกเรยี กบตุ รทนี่ า เกลียดวา ทปุ ุตฺโต (บตุ รนาเกลยี ด) สวนศพั ทว า ขยอมปรากฏในความวา งเปลา เพราะอากาศที่วา งเปลา เรยี กกนั วา ข กส็ จั จะท่ีหน่งึ น้ี ชือ่ วา กุจฉฺ ติ  (นา เกลียด) เพราะเปน ทต่ี ้งั แหง อปุ ท วะมิใชนอ ยชอ่ื วา ตจุ ฺฉ (วา งเปลา) เพราะเวนจากความยั่งยืน ความงาม ความสุขและเปน อตั ตาทชี่ นพาลคดิ กัน๑ เพราะฉะนน้ั พระผูมพี ระภาคเจาจงึ ตรสั วา ทุกฺข ๒(ทกุ ข) เพราะเปนของนา เกลยี ด และเปน ของวา งเปลา . ศพั ทวา ส นี้ ในคําวา สมทุ ย นี้ ยอมแสดงการประกอบพรอมเชนในคําเปน ตน วา สมาคโม สเมต (การประชมุ กัน รวมกัน) ศพั ทวา๑. คนพาลคิดเหน็ วา ...เปนของเทีย่ ง สวยงาม เปน สุข และเปนอตั ตา๒. คําวา ทุกข น้ี อีกนัยหนง่ึ แยกศพั ทเปน ทุ บทหนา และขมธาตุ ลบทสี่ ดุ ธาตุ สาํ เรจ็ รปูตามไวยากรณเปน ทุกฺข แปลวา ทนไดย าก

พระอภธิ รรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 295อทุ นี้ ยอมแสดงความเกิดขึ้น เชนในคําเปนตน วา อปุ ปฺ นฺน อุทิต(เกดิ ขึ้นแลว ตั้งขึน้ แลว ). แตศ ัพทว า อย ยอ มแสดงถงึ เหต๑ุ กเ็ ม่ือมกี ารประกอบดว ยปจจยั ท่ีคงอยู สจั จะทสี่ อง นี้ ก็เปน เหตุคือการเกิดขน้ึ แหงทกุ ขเพราะฉะนั้น พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา ทุกฺขสมุทย (ทุกขสมุทยั ) เพราะสจั จะทส่ี องน้ีเปน เหตุเกิดทกุ ข. อนง่ึ สจั จะท่ีสาม เพราะศพั ทว า นิ ยอ มแสดงความไมมี และศพั ทวาโรธ ยอ มแสดงถึงผทู อ งเท่ียว๒ เพราะฉะน้ัน ในสัจจะทสี่ าม (นิโรธ) น้ีจงึ ไดแกความไมม ีความทอ งเที่ยวไปแหง ทกุ ข กลาวคอื การทอ งเทยี่ วไปในสังสารเพราะวา งจากคติทง้ั ปวง อกี อยา งหนึ่ง เมอ่ื พระโยคาวจรบรรลสุ ัจจะทสี่ ามนน้ั แลว ความไมม ีการทองเท่ยี วไปแหง ทุกขกลาวคอื การทอ งเทีย่ วไปในสังสาร พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสวา ทุกฺขนิโรธ (ทุกขนโิ รธ) เพราะเปนปฏปิ ก ษต อ การทองเทย่ี วไปนั้น อีกอยา งหน่งึ เรยี กวา ทุกขนิโรธ เพราะเปน ปจ จยั แกค วามไมเ กดิ คอื ความดับสนิทแหงทุกข. อนง่ึ สัจจะท่ี ๔ น้ี ยอ มดําเนินไปสูความดับทกุ ข เพราะมงุ หนา ตอพระนพิ พานนั้นดว ยอํานาจแหงอารมณ และเปน ปฏิปทาเพอ่ื ถึงความดบั ทกุ ขเพราะฉะน้นั จงึ ตรัสวา ทกุ ขนโิ รธคามินีปฏปิ ทา. กเ็ พราะพระอรยิ ะมีพระพทุ ธเจาเปนตนยอ มแทงตลอดสัจจะเหลานนั้ฉะนน้ั สัจจะเหลา น้ัน จึงตรัสเรียกวา อรยิ สัจจะ เหมือนอยา งพระดาํ รสั ที่ตรสั ไววา จตตฺ าริมานิ ภิกขฺ เว อรสิ จจฺ านิ กตมานิ ฯ เป ฯ อิมานิโข ภิกขฺ เว จตตฺ าริ อรสิ จฺจานิ อริยา อิมานิ ปฏิวิชฌฺ นตฺ ิ ตสมฺ า๑. สมุทย ในที่นี้ก็คอื ส + อุท + อย สําเรจ็ รูปเปน สมทุ ย๒. ศพั ทน โิ รธ อกี อยา งหนึง่ ศัพทวา นิ หมายถงึ ความไมม ี ศัพทว า โรธ หมายถึงเรอื นจาํสงั สาร นิโรธ จึงแปลไดอ กี วา ไมม เี รอื นจาํ ในสังสาร

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 296อรยิ สจฺจานตี ิ วจุ ฺจนฺต๑ิ ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย อริยสัจ ๔ ประการน้ี๔ ประการเปน ไฉน ? คอื ทกุ ขอรยิ สจั . . . ทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทาอรยิ สัจดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย อรยิ สัจ ๔ ประการเหลา นแี้ ล พระอริยะทัง้ หลายยอ มแทงตลอดอริยสัจเหลาน้ี เพราะฉะนัน้ เราจงึ เรยี กวา อรยิ สจั ดังน.ี้ อีกอยา งหนง่ึ ทีช่ ือ่ วา อริยสจั เพราะอรรถวา เปน สัจจะของพระอริยะดงั นีบ้ า ง เหมือนอยางที่ตรัสไววา สเทวเก ภกิ ขฺ เว โลเก ฯ เป ฯสเทวมนสุ ฺสาย ตถาคโต อรโิ ย ตสมฺ า อริยสจฺจานตี ิ วุจจฺ นฺติดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตถาคตเปน อรยิ ะในโลกพรอมทง้ั เทวโลก มารโลกพรหมโลก ในหมสู ัตวพรอ มทั้งสมณพราหมณเ ทวดาและมนษุ ย เพราะฉะนั้นจงึ เรยี กวา สัจจะของพระอริยะ๒. อกี อยางหนงึ่ ชอื่ วา อริยสัจ เพราะความท่อี รยิ สจั เหลาน้ันอันพระ-อริยะตรัสรแู ลวบาง เพราะความสาํ เรจ็ โดยความเปนอริยะบา ง เหมอื นอยางที่ตรัสวา อเิ มส โข ภิกขฺ เว จตุนฺน อริยสจฺจาน ยถาภตู  อภสิ มฺพทุ ธฺ ตฺตาตถาคโต อรห สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธ อริโยติ วุจจฺ ติ ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลายตถาคตเปนอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา ชาวโลกเรยี กวา อรยิ ะ เพราะตรสั รูอรยิ สัจ ๔ เหลานี้แลตามความจรงิ . อีกอยางหนงึ่ แล ชื่อวา อริยสัจ เพราะอรรถวา เปนสจั จะอันประเสริฐคําวา อริยะนี้มอี ธิบายวา เปน ของแท เปน ของไมผิด ไมเ ปนของคลาดเคลือ่ นเหมอื นอยางที่ตรสั ไวว า อมิ านิ โข ภกิ ฺขเว จตฺตาริ อริสจจฺ านิ ตถานิอวิตถานิ อนฺญกานิ ตสมฺ า อริยสจฺจานตี ิ วุจฺจนฺติ ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย๑. ๒. ส . มหาวาร เลม ๑๙ ๑๗๐๘/๕๔๕

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 297อริยสจั ๔ เหลาน้แี ล เปน ของแทไมแ ปรผนั ไมเปน อยา งอื่น เพราะฉะน้นัจงึ เรียกวา อรยิ สจั (สจั จะอนั ประเสรฐิ ) ดงั น.้ี พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในสัจจะนโี้ ดยวิเคราะหเ พยี งเทาน.ี้ วาดวยวนิ จิ ฉัยโดยประเภทมลี กั ษณะเปนตน พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั โดยประเภทมลี ักษณะเปน ตน อยา งไร จริงอยู ในสัจจะ ๔ เหลาน้ี ทกุ ขสัจจะมกี ารเบยี ดเบียนเปน ลกั ษณะ มคี วามใหเ รารอนเปนรส มปี วตั ติเปน ปจจปุ ฏ ฐาน. สมทุ ยสัจจะ มเี หตเุ ปนแดนเกดิ เปนลักษณะ มกี ารไมเ ขาไปตดั เปนรส มปี ลโิ พธเปนปจจปุ ฏฐาน. นิโรธสัจจะมีความสงบเปนลักษณะ มีการไมจ ตุ เิ ปนรส มกี ารไมมนี ิมติ เปน ปจ จปุ ฏฐาน.มรรคสจั จะ มกี ารนําออกเปนลกั ษณะ มีการประหาณกิเลสเปนรส มวี ฏุ ฐานะ(คือการออก) เปน ปจจปุ ฏฐาน. อกี อยา งหน่ึง สัจจะ ๔ น้มี ีปวัตติ (การเปนไป) มปี วตั ตนะ (เหตุใหเ ปนไป) มีนิวตั ติ (ความกลับ) มนี ิวตั ตนะ (เหตใุ หก ลับ) เปนลกั ษณะโดยลาํ ดบั * และมสี งั ขตะ (คือธรรมชาติอนั ปจ จัยปรุงแตง ) มตี ัณหา มอี สงั ขตะ(คือธรรมชาตอิ ันปจ จยั ไมป รุงแตง ) มที ัสสนะ (การเห็น) เปน ลักษณะตามลําดบั เหมอื นกันแล. พงึ ทราบวินจิ ฉยั โดยประเภทมีลกั ษณะเปนตนในท่นี ้ดี วยประการฉะน้ี. วา ดว ยวนิ ิจฉัยโดยอรรถ กใ็ นขอวา โดยอรรถและโดยถอดความ นี้ พงึ ทราบโดยอรรถกอน หากมคี ําถามวา อะไรเปน อรรถของสจั จะ ก็จะพงึ มีคําตอบอยา งพสิ ดาร๑ คําวา ประวัติหมายถงึ ทกุ ขสัจจะ ปวตั ตนะหมายถึงสมทุ ัย นิวตั ติหมายถึงนิโรธ นิวัตตนะหมายถงึ มรรค (ผูแ ปล)

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 298วา ภาวะใด เมือ่ บุคคลเพง อยดู วยปญ ญาจกั ษุ ยอ มไมว ิปรติ เหมอื นมายากลไมลวงตาเหมือนพยับแดด ไมเ ปนสภาวะที่ใคร ๆ หาไมไดเหมือนอัตตาของพวกเดยี รถยี  โดยที่แทเ ปน โคจร (อารมณ) ของอริยญาณ โดยประการมีการเบยี ดเบียน (ทกุ ขสัจ) มเี หตุเปน แดนเกดิ (สมทุ ัยสจั ) มคี วามสงบ(นิโรธสัจ) มีการนาํ ออก (มรรคสจั ) ซงึ่ เปน ของแท ไมวปิ รติ เปนของจรงิทีเดยี ว ภาวะท่สี จั จะเปน ของแท ไมวปิ รติ เปน ของจรงิ เปนดังลักษณะไฟและเปน ดังธรรมดาของสตั วโลก (ตองเกิดแกเจบ็ ตาย) น้นั บัณฑติ พึงทราบวาเปนอรรถของสัจจะ เหมือนอยางท่ตี รัสไวว า อิท ทกุ ฺขนตฺ ิ โข ภกิ ฺขเวตถเมต อวิตเมต อนญฺ ถเมต ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย คาํ วา นีท้ กุ ขดงั นี้แล นัน่ เปน ของแทจริง นัน่ เปนของไมผิด นน่ั ไมเ ปนไปโดยประการอ่ืนเปน ตน. อีกอยางหน่ึงนาพาธก ยโต ทุกฺข ทกุ ขฺ า อฺญ น พาธกพาธกตตฺ นยิ าเมน ตโต สจฺจมิท มตนอกจากทุกขแลว ตัวเบียดเบยี นยอ มไมมตี ัวเบยี ดเบียนอนื่ นอกจากทกุ ขก ห็ ามไี มเพราะฉะนน้ั ทุกขน ี้ บัณฑติ จงึ รูวาเปนสัจจะ โดยกาํ หนดอรรถวา เปน ตัวเบยี ด-เบยี น.ต วินา นาฺญโต ทุกฺข น โหติ น จ ต ตโตทุกฺขเหตุนยิ าเมน อติ ิ สจฺจ วิสตฺตกิ าเวน จากตณั หาน้นั แลวทุกขย อมไมมีแตเหตุอน่ื และทุกขน้ันยอมไมมีจากตัณหา

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 299นนั้ กห็ าไม เพราะฉะนั้น ตัณหาตัวซดั ซายไปในอารมณตาง ๆ นน้ั บัณฑติ จึงรูวาเปน สัจจะ โดยกาํ หนดอรรถวา เปน เหตุแหงทกุ ข.นาฺ า นิพฺพานโต สนตฺ ิ สนตฺ  น จ น ต ยโตสนตฺ ภาวนยิ าเมน ตโต สจจฺ มิท มตความสงบอื่นนอกจากพระนพิ พานแลว ยอ มไมมี และพระนพิ พานนัน้ เวน จากความสงบก็หามไี ม เพราะฉะนน้ั พระ-นพิ พานนี้ บัณฑติ จึงรูว า เปนสัจจะ โดยกําหนดอรรถวา เปน ความสงบ.มคฺคา อฺ  น นยิ ฺยาน อนิยยฺ าโน น จาป โสตจฺฉนิยยฺ านภาวตฺตา อิติ โส สจฺจสมฺมโตนอกจากมรรคแลว เครื่องนําออกอยา งอนื่ ยอ มไมม ี แมม รรคนั้นมใิ ชเ คร่ืองนําออกกห็ าไม เพราะฉะนั้น มรรคน้ันบณั ฑติ จงึ รวู า เปน สจั จะ เพราะอรรถวาเปนเครื่องนําออกอยางแทจ ริง.อติ ิ ตจฺฉาวิปลลฺ าส ภตู ภาว จตูสปุ ทกุ ขฺ าทสี ฺววิเสเสน สจฺจตฺถ อาหุ ปณฺฑติ า

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 300 บัณฑิตทั้งหลายกลา วภาวะอนั แทไ ม แปรผนั เปนของจรงิ ในสจั จะท้ัง ๔ มีทุกข เปนตน โดยไมแ ปลกกนั วา เปน อรรถแหง สจั จะ ดว ยประการฉะนีแ้ ล. พึงทราบวนิ ิจฉัยสจั จะโดยอรรถ ดงั พรรณนามาฉะน้.ี วา ดวยวินจิ ฉยั โดยถอดความ พงึ ทราบวินจิ ฉัย โดยถอดเอาความ อยางไร ? สัจจศัพทในอธิการน้ี ยอมปรากฏในอรรถมิใชนอย อยางไร คือสัจจศพั ท ยอมปรากฏในวาจาสัจจะ(พูดจริง)เหมอื นในประโยคมีอาทิวา สจจฺ  ภเณ น กชุ เฺ ฌยฺยบุคคลพึงกลา วคําสัตย ไมพ งึ โกรธ. ที่ปรากฏในวิรติสจั จะ (มุสาวาทวิรัต)ิเหมือนในประโยคมีอาทิวา สจฺเจ ติ า สมณพรฺ าหฺมณา สมณพราหมณผูต้งั อยูใ นสจั จะ. ทปี่ รากฏใน ทฏิ สิ ัจจะ (จริงโดยทิฏฐ)ิ เหมือนในประโยคมีอาทิวา กสมฺ า นุ สจจฺ านิ วทนตฺ ิ นานาปวาทยิ าเส กุสลาวทานาเพราะเหตุไรหนอ พวกสมณพราหมณจ ึงกลา วสจั จะไปตา ง ๆ คอื เปนผูอางตนวา เปน ผูฉลาดกลาวยนื ยนั สัจจะหลายอยา ง. ท่ีปรากฏใน ปรมตั ถสจั จะ คือนพิ พานและมรรค เหมอื นในประโยคมีอาทวิ า เอก หิ สจฺจ น ทุตยิ มตฺถิสัจจะมอี ยางเดียวไมมอี ยา งท่ีสอง. ทปี่ รากฏใน อรยิ สัจจะ เหมอื นในประโยคมีอาทวิ า จตุนนฺ  สจจฺ าน กติ กุสลา บรรดาสัจจะ ๔ สัจจะท่ีเปนกุศลมีเทาไร. แมใ นทนี่ ้ี สัจจศัพทนีน้ ั้นยอมเปนไปในอรยิ สัจจะ (สัจจะอนั ประเสรฐิ )ดงั นี้. พึงทราบวินจิ ฉัยโดยถอดความในสัจจะนี้ ฉะน้ี.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook