Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_77

tripitaka_77

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_77

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 551 อีกบุคคลหน่งึ กําหนดเอาวา \"ช่อื วา อตั ตานี้ ยอ มมคี วามสุขปราศจากความเรา รอนในภพอนั เปน สมบตั ิในกามาพจร หรอื บรรดารปู ภพและอรูปภพ ภพใดภพหนึง่ \" จงึ ทาํ กรรมอันเขา ถึงภพนัน้ ดว ยอัตตวาทุปาทานกรรมน้ันของบุคคลนั้น ช่ือวา กรรมภพ ขนั ธทง้ั หลายที่เกดิ ขน้ึ แตก รรมภพนัน้ ชอื่ วา อปุ ปต ตภิ พ สว นสัญญาภพเปนตน กร็ วมอยูใ นกรรมภพและและอุปปต ตภิ พน้นั นั่นแหละ อตั ตวาทปุ าทานเปน ปจจัยแกภพ ๓ พรอ มท้งัประเภท พรอ มท้งั ภพท่ผี นวกเขาดว ยกนั ดวยประการฉะน.ี้ อกี บุคคลหนง่ึ มคี วามเห็นวา \"ชือ่ วา ศลี และพรตนี้ ยอ มถึงความสุขอันบริบรู ณแกบ คุ คลผูบาํ เพญ็ ในภพอันเปนสมบัติของกามาพจร หรอื บรรดารปู ภพ หรอื อรปู ภพ ภพใดภพหน่ึง\" ดังนี้ จงึ ทํากรรมอนั เขา ถงึ ภพน้ันดวยอาํ นาจสลี ัพพตุปาทาน. กรรมน้ันของบคุ คลนนั้ ชอ่ื วา กรรมภพ ขนั ธทง้ั หลายท่เี กิดแตกรรมภพน้นั ชอื่ วา อปุ ปตตภิ พ สว นสญั ญาภพเปน ตนกร็ วมอยูภายในกรรมภพและอปุ ปตติภพนน้ั แหละ. สลี พั พตปุ าทาน ยอ มเปนปจ จยั แกภ พ ๓ พรอ มท้ังประเภท พรอมทง้ั ภพทผ่ี นวกเขาดว ยกนั ดงั นี้แล.พึงทราบวินจิ ฉยั แมโ ดยอุปาทานใด เปน ปจ จัยแกภ พใด ในนิเทศน้นี น้ัดว ยประการฉะน้.ี หากมีผูสงสัย ถามวา \"กใ็ นนเิ ทศนี้ อปุ าทานอะไร เปน ปจจัยอยางไรแกภ พไหน\" ดังนไ้ี ซร. ตอบวา ปญ หากรรมน้ัน พงึ ทราบวา อุปาทาน เปนอปุ นสิ สยปจจัยแกรปู ภพ และอรปู ภพ อุปาทานนน้ั เปน ปจจยั แกก ามภพ แมด วย ปจจยั มีสหชาตะเปน ตน.

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 552 จรงิ อยู ก็อุปาทานทง้ั ๔ น้ี เปน ปจ จัยแกรูปภพ อรูปภพ และอุปปต ติภพท่ีเปน กศุ ลกรรมในกรรมภพอันนบั เนือ่ งดว ยกามภพ ดว ยอปุ นสิ สย-ปจจัยอยางเดยี ว. อปุ าทาน ๔ นนั้ เปน ปจ จยั แกอกุศลกรรมภพทีส่ มั ปยุตดวยตนในกามภพโดยสหชาตปจจัยเปน ตน คือ สหชาตปจ จยั อัญญมญั ญปจจัยนสิ สยปจจัย สัมปยตุ ตปจจัย อตั ถปิ จ จยั อวคิ ตปจจยั และเหตุปจจยั แตเปนปจจยั แกภ พทเี่ ปนวปิ ปยตุ กนั ดว ยอปุ นสิ สยปจ จัยเดยี วเทา นั้นแล. นเิ ทศแหงภพเกิดเพราะอปุ าทานเปนปจจัย จบ วา ดว ยนิเทศแหงชาติ (บาลีขอ ๒๒๖) พึงทราบวินิจฉัยปจ จยาการมีชาติเปนตน ในนเิ ทศแหงชาตเิ กดิ เพราะภพเปน ปจจยั เปนตน โดยนัยท่ีกลาวไวใ นสัจจวิภงั คน่นั แหละ. แตค าํ วา ภพในท่นี ้ี ทรงประสงคเอากรรมภพเทา น้ัน เพราะกรรมภพนนั้ เปน ปจจัยแกชาติอุปปตติภพหาเปน ปจ จยั แกช าติไม กแ็ ลกรรมภพน้นั เปนปจ จัย ๒ อยางเทา น้ัน ดว ยอํานาจกรรมปจจัย และอุปนิสสยปจ จยั . หากมี ผถู ามวา ขอน้ี จะพงึ รไู ดอ ยา งไรวา ภพเปน ปจจยั แกช าติ. ตอบวา รไู ด เพราะแสดงความตางกนั แหง ภาวะมคี วามเลวและประณีตเปนตน ในเหตุแมสักวาเปน ปจ จัยภายนอก. จรงิ อยู เม่อื ปจจัยภายนอกมีบดิ ามารดา นํา้ สุกกะ ประจาํ เดอื นและอาหารเปนตน ของสตั วผแู มฝาแฝดแมในอัตภาพทเ่ี หมอื นกนั มีอยู กย็ ังปรากฏตางกันดวยภาวะมคี วามเลวและประณีตเปนตน กค็ วามตางกนั โดยเปน

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 553หนี ะและประณีต มิใชไมมเี หตุ เพราะสภาวะท้งั ปวงไมม อี ยูในกาลทั้งปวงแกพ วกสตั วท้ังหมด และทัง้ มิใชเหตุอันนอกจากกรรมภพ เพราะไมมีเหตอุ ่ืนในสนั ดานอันมใี นภายในของเหลา สัตวผเู กดิ แตก รรมภพนนั้ เพราะฉะน้ันสัตวนัน้ จึงมีกรรมภพเปนเหตุโดยแท แทจริง กรรมกเ็ ปนเหตทุ ่แี ปลกกนั ในความเลวและประณีตเปนตน ของสตั วท้ังหลาย ดว ยเหตุนั้น พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรสั วา กมฺม สตเฺ ต วิภชติ ยททิ  หนี ปณตี ตาย กรรมยอมจําแนกสตั วทัง้ หลาย ใหเลวและประณตี ดังนี้ เพราะฉะนั้น ขอ นี้พึงทราบไดวาภพเปนปจ จยั แกชาต.ิ อนึ่ง เมื่อชาตไิ มม ี ขึ้นช่อื วา ชรามรณะกห็ ามไี ม และธรรมมคี วามโศกเปนตนกห็ ามไี ม แตเ ม่อื ชาตมิ ี ชรามรณะและธรรมมีความโศกเปนตน อันเกย่ี วเนอ่ื งดวยชรามรณะ ของคนพาลผูถกู ทกุ ขธรรม คอื ชรามรณะถกู ตอ งแลวหรอื ไมเน่อื งดวยชรามรณะ. ของคนพาลผอู ันทุกขธรรมนั้น ๆ ถกู ตอ งแลวเพราะฉะนั้น บัณฑติ พึงทราบวา ชาตนิ ี้ เปนปจ จัยแกชรามรณะ และแกธรรมทคี่ วามโศกเปน ตน แล. กช็ าตินัน้ เปน ปจจัยอยา งเดียวเทา นน้ั โดยเง่ือนแหงอุปนสิ สยปจจัย ดงั นแ้ี ล. นิเทศแหง ชาตเิ กิดเพราะภพเปนปจจยั เปน ตน จบ อธิบายภวจักร ๑๒ (บาลีขอ ๒๗๓) พงึ ทราบอรรถแหง บทมอี าทวิ า เอวเมตสฺส (ความเกิดขึ้น. . .นี้ยอ มมดี ว ยประการฉะน้นี ้ัน) โดยนัยท่ีกลาวแลว ในอทุ เทสวาร. บทวา สงฺคติ(ความไปรว ม) เปนตน * เปน คําไวพจนข อง บทวา สมุทโย (ความเกิดข้นึ ) ท้งั หมด.* สงฺคติ สมาคโม สโมธาน ปาตภุ าโว แปลวา ความไปรวม ความมารว ม ความประชุมควานปรากฏ.

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 554 ก็เพราะในปจจยาการวภิ ังคน้ี กรรมมีโสกะเปน ตน ตรัสไวสุดทา ยฉะนั้น อวชิ ชาน้ันใด ทีต่ รสั ในเบอ้ื งตนแหง ภวจักรนี้ อยา งนีว้ า อวชิ ฺชาปจฺจยาส ขารา (สงั ขารทัง้ หลายเกดิ เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จยั ) ดงั น้ี อวชิ ชานั้น สาํ เรจ็แลวแตธรรมมีโสกะเปนตน. ภวจักรนมี้ เี บอื้ งตน มิไดปรากฏ เวนจากผสู ราง และผเู สวยวา งเปลา จากความวางเปลา ๑๒ อยา ง บัณฑติ พึงทราบวา เปนไปรวมกันดงั นี.้ หากมผี ูสงสยั ถามวา กใ็ นภวจกั รนี้ อวิชชาสาํ เรจ็ แตธ รรมมโี สกะเปน ตน อยา งไร ? ภวจกั รหรอื เบือ้ งตน มไิ ดป รากฏอยางไร ? เวน จากผสู รา งและผูเสวยอยางไร ? วางเปลา จากความวา งเปลา ๑๒ อยาง อยา งไร ? กค็ าํ ตอบในท่นี ้ี คอื โสกะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาสและปริเทวะเหลาไปจากอวิชชา และขน้ึ ชือ่ วา ปรเิ ทวะ (ความครํ่าครวญรําพัน) ยอมมแี กคนหลง เพราะฉะนนั้ เมอื่ โสกะ ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาสและปริเทวะเหลานัน้ สาํ เร็จแลว อวชิ ชาก็เปน อันสาํ เร็จแลวโดยแท. อีกอยา งน้ี ก็คําทต่ี รสั ไววา\"เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจงึ เกิด\" ดังน้ี และขอ วา ธรรมมีโสกะเปน ตนนี้ยอมมเี พราะอาสวะเกิด ขอ น้ีเปนอยา งไร ? คอื โสกะ ในเพราะขัดการพลดั พรากจากกาม ยอ มมีเพราะอาสวะเกิดเทา นน้ั เหมือนอยา งที่ตรสั ไวว า ตสฺส เจ กามยมานสฺส ฉนฺทชาตสฺส ชนฺตุโน เต กามา ปริหายนฺติ สลลุ วทิ ฺโธว รุปปฺ ติ

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 555 ถาเม่อื สัตวนั้นปรารถนาอยู เกดิ ความอยากไดแ ลว กามเหลานน้ั ยอ มเสอ่ื ม ไปไซร สตั วนั้น ยอมซบเซา เหมอื นถกู ศร แทง ฉะนั้น.๑ และเหมือนอยางที่ตรสั วา กามโต ชายติ โสโก (ความโศกยอมเกิดแตก าม) ก็ความโศกเปน ตน เหลานัน้ แมท้งั หมด ยอ มเกิดแตทฏิ ฐาสาวะเหมอื นอยา งทต่ี รสั วา เมื่อเขายดึ ถืออยูวา เราเปน รูป รปู เปน ของเราดังน้ี ยอมเกิดโสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อุปายาส เพราะความท่ีรูปนนั้ แปรเปล่ียนไป.๒ อน่งึ ธรรมมโี สกะเปนตนยอมเกดิ แมเพราะภวาสวะเกดิ เหมือนทิฏฐาสวะเกิด เหมือนอยางท่ตี รัสวา ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย แมพวกเทวดาท่ีมอี ายุยืน มีวรรณะ มากดวยความสุข ดํารงอยกู าลนานในวิมานสงู แมเ ทวดาเหลานัน้ ไดสดบั พระธรรมเทศนาของตถาคตแลว โดยมากพากนั ถงึ ความกลัว ความสะดุง ความสลดใจ ดงั น๓ี้ เหมือนพวกเทวดาเปน บพุ นิมติ ๕ พากันสะดงุ เพราะกลัวแตค วามตาย ฉะนนั้ . อนง่ึ ธรรมมีโสกเปน ตน ยอมเกิดขน้ึ แมเพราะความเกดิ ข้นึ แหงอวชิ ชา เหมอื นภวาสวะเกิดข้ึนฉะน้ัน เหมอื นอยา งทีต่ รสั ไวว า ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นแล ยอมเสวยทกุ ขโ ทมนสั (เพราะคดิ ชวั่ พูดชว่ัทาํ ชวั่ ) ๓ อยา ง ในทฏิ ฐธรรมน๔้ี ดงั นี้ เพราะธรรม (มโี สกะเปนตน )เหลา นี้ ยอมมีเพราะอาสวะเกดิ ฉะนน้ั ธรรมเหลา นนั้ เมอ่ื สาํ เร็จจึงยงั อาสวะ๑. ขุ. สุตฺต. เลม ๒๕. ๔๐๘/๔๘๔ ๒. ส . ขนธฺ วาร. เลม ๑๗. ๔/๔๓. ส ขนฺธวาร. เลม ๑๗. ๑๕๖/๑๐๔ ๔. ม. อ.ุ เลม ๑๔. ๔๖๘/๓๑๑

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 556ท้งั หลายอนั เปนเหตุแหงอวชิ ชาใหส าํ เรจ็ และเมือ่ อาสวะท้งั หลายสําเรจ็ แลวแมอวิชชากเ็ ปน อนั สําเรจ็ ทีเดียว เพราะเมอ่ื มีปจ จยั จงึ มไี ดแ ล. ในท่นี ้ีพึงทราบวา อวชิ ชาสําเร็จแลวดวยธรรมมโี สกะเปนตนอยางนกี้ อ น. ก็เพราะเมื่ออวชิ ชาสําเร็จแลว เพราะเมื่อปจ จยั มีจงึ มอี ยางนี้ ความสืบตอ กันไปแหง เหตแุ ละผลอยางนี้วา \"สังขารทัง้ หลายเกดิ เพราะอวชิ ชาเปนปจ จยั วญิ ญาณเกดิ เพราะสังขารเปนปจ จัย เปนตน มไิ ดม สี ิ้นสุด ฉะนนั้ภวจักรมอี งค ๑๒ ท่ีเปนไป ดวยอํานาจความเกย่ี วเน่ืองกันแหง เหตแุ ละผลนัน้จึงสาํ เร็จวา มเี บื้องตนมิไดป รากฏ. หากมีผสู งสัยถามวา เมือ่ มเี บอื้ งตน มิไดปรากฏเชนน้ี การกลา วคาํ วาอวชิ ชาเปนธรรมขอตน วา \"เพราะอวิชชาเปน ปจจัยจงึ มีสงั ขารทั้งหลาย\"ดังนี้ กผ็ ิดไป มใิ ชหรือ ? ตอบวา ขอนี้ มใิ ชการกลา วอวิชชาเปนเพยี งธรรมเบ้ืองตน แตขอ น้ีเปนการกลาวธรรมทเี่ ปนประธาน. จรงิ อยู อวชิ ชาเปนประธานแหงวัฏฏะ ๓* เพราะวา ดวยการยึดถอือวิชชา กิเลสวฏั ฏะทเ่ี หลอื และกรรมวฏั ฏะเปน ตน ยอ มผกู พันคนพาลไวเหมอื นการจับศีรษะงู สรรี ะงทู เี่ หลือก็จะพันแขนอยู แตเม่อื ตัดอวชิ ชาขาดแลว ยอมหลุดพน จาววฏั ฏะเหลานนั้ เหมอื นบุคคลตัดศรี ษะงูแลว กจ็ ะพน จากการถกู พนั แขน ฉะนนั้ เหมอื นอยางท่ตี รสั วา \"เพราะสาํ รอกอวิชชา โดยไมเหลือ สังขารจึงดับ\" ดังนเ้ี ปนตน . เม่ือบุคคลยึดธรรมใด ความผกู พนั ยอ มมีและเม่อื ปลอ ยธรรมใด ความหลดุ พน ยอ มมี การกลา วนเ้ี ปนการกลา วธรรมทเี่ ปน* คอื กเิ ลสวฏั กรรมวัฏ และริปากวฏั

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 557ประธาน (คอื อวิชชา) นั้น มิใชก ารกลาวธรรมสักวาเปนเบื้องตน พึงทราบภวจกั รนวี้ า \"มีเบื้องตนมไิ ดป รากฏ ดว ยประการฉะนี.้ ภวจกั รนี้น้ัน เพราะเหตทุ งั้ หลายมอี วชิ ชาเปนตนเปน ปจจัยแกธ รรมมสี งั ขารเปนตน ฉะนน้ั จงึ เวนจากผสู รา งสงั สารนอกจากอวิชชาเปน ตนนัน้เชน พรหมเปน ตน ทีเ่ ขาคาดคะเนเอาอยา งนี้วา \"พรหม มหาพรหมเปนผูประเสริฐสดุ เปน ผูจัดสรร ดังน้ี หรือวา เวนจากอัตตาผูเ สวยสุข และทุกข ทเ่ี ขาสมมติกันอยา งน้วี า \" ก็อตั ตาของเราน้แี ลเปน ผูกลาวเปน ผเู สวย\"บัณฑติ พงึ ทราบวา \"เวน จากผูสรา งและผูเ สวย\" ดวยประการฉะน.้ี อน่ึง เพราะในภวจกั รน้ี อวชิ ชาช่อื วา วา งจากความยั่งยนื เพราะเปน ธรรมเกิดขนึ้ และมีเสือ่ มไปเปน ธรรมดา ชอ่ื วา วางจากความงามเพราะเปน ธรรมเศรา หมองและเพราะประกอบดวยสังกิเลส ชอ่ื วา วางจากความสขุเพราะถกู ความเกดิ และความเสอื่ มบีบคน้ั ชือ่ วา วา งจากอตั ภาพผคู รองอํานาจเพราะมคี วามเปน ไปเนื่องดวยปจ จัย. องคทั้งหลายแมมีสังขารเปนตนก็เหมอื น-กัน. อีกหยั หน่ึง เพราะอวิชชา ไมใชอ ตั ตา ไมใชข องอัตตา ไมใชม ีในอตั ตา ไมใ ชมอี ัตตา องคท ้ังหลายแมมีสงั ขารเปน ตนกเ็ หมือนกนั ฉะนั้นพึงทราบวา ภวจักรนว้ี างเปลา โดยครามวา ง ๑๒ อยาง ดวยประการฉะนี้ กค็ ร้ันทราบอยางน้ีแลว พึงทราบอกี วา ภวจักรนน้ั มอี วิชชา และตณั หา เปนมลู มกี าล ๓ มอี ดีตกาลเปนตน ในกาล เหลา นั้น โดยสงั เขปไดอ งค ๒ (อวชิ ชาและ สงั ขาร) องค (มีวญิ ญาณเปน ตน) และ องค ๒ (ชาตแิ ละชรามรณะ) เทานนั้ .

พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 558 อธิบายวา ธรรม ๒ คอื อวิชชา และตณั หา พงึ ทราบวา เปน มลูแหง ภวจักรน้ีนน้ั แล. ภวจักรน้นี ั้นจึงมี ๒ อยาง คือ อวชิ ชาเปนมูลมีเวทนาเปน ทสี่ ดุ เพราะนาํ มาแตส วนเบอ้ื งตน ตัณหาเปน มูลมีชรามรณะเปน ทีส่ ุดเพราะสืบตอ ในสว นเบ้ืองปลาย บรรดาภวจกั รท้งั ๒ น้นั ภวจกั รแรก ตรัสดว ยอาํ นาจแหงบุคคลผูมีทฏิ ฐิจรติ ภวจกั รหลงั ตรสั ดวยอาํ นาจบคุ คลผมู ตี ณั หาจริต.เพราะวา บคุ คลท้ังหลายผูม ที ิฏฐจิ รติ อวิชชาเปนตัวนาํ ไปสสู ังสาร แตบุคคลผูมีตัณหาจริต ตณั หาเปน ตวั นําไปสสู งั สาร. อีกนยั หน่งึ ภวจักรแรกตรัสไวเพอ่ื ถอนอจุ เฉททฏิ ฐิ เพราะทรงประกาศการไมตดั ขาดแหงเหตุท้งั หลายของความเกดิ ข้นึ แหงผล ภวจกั รที่ ๒ ตรสั เพื่อถอนสสั สตทิฏฐิ เพราะทรงประกาศชรามรณะของพวกสัตวท ี่เกิดขนึ้ . อีกนยั หน่ึง ภวจักรแรกตรสั ดวยอํานาจแหง สตั วผูเกิดในครรภ เพราะทรงแสดงความเปน ไปโดยลาํ ดบั (อายตนะท่ีเกิด) ภวจักรหลงั ตรสั ดวยอาํ นาจแหงสตั วผ เู ปนโอปปาตกิ ะ เพราะทรงแสดงความเกดิ ข้นึ พรอ มกนั (แหงอายตนะ). อธิบายกาล ๓ อน่ึง กาลของภวจกั รนัน้ มี ๓ คืออดีต ปจจุบนั และอนาคตในกาลเหลา นน้ั วาดวยอํานาจกาลที่มาในพระบาลีโดยสรุป พงึ ทราบวา มอี งค๒ คอื อวิชชาและสังขาร เปน อดีตกาล. องค ๘ มีวิญญาณเปน ตน มภี พเปนทส่ี ดุ * เปนปจจุบนั กาล. และองค ๒ คือ ชาติ และชรามรณะ. เปนอนา-คตกาล และพึงทราบอกี วา* อรรถกถาวา ภวาสวานิ. แตฉ บบั ม. วา ภวาวสานานิ

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 559 อธิบายสนธิ ๓ กภ็ วจกั รนมี้ สี นธิ ๓ คือ เหตุผล- สนธิ ๑๑ ผลเหตุสนธิ ๑ เหตุ ๓ เหตปุ พุ พกผลสนธิ ๑ และมีสงั คหะ ๔ ประเภท คอื อาการ ๒๐ มีวฏั ฏะ ๓ ยอ มหมนุ ไปไมมกี าํ หนด ดงั นี้. บรรดาภวจักรเหลานัน้ ในระหวางสังขารท้งั หลายและปฏสิ นธิวิญญาณเปน สนธหิ น่งึ ช่อื วา เหตุผลสนธ.ิ ในระหวา งเวทนาและตณั หา เปนสนธหิ น่ึงช่ือวา ผลเหตสุ นธิ. ในระหวางภพและชาติ เปนสนธิหนึง่ ชื่อวา เหตปุ พุ พกผลสนธิ. เพราะฉะน้นั ภวจักรนี้ บณั ฑติ พงึ ทราบวา มสี นธิ ๓ คอื เหตุผลสนธิ ๑ ผลเหตุสนธิ ๑ และเหตุปพุ พกผลสนธิ ๑ ดังน้ี ดวยประการฉะน.้ี อธบิ ายสังคหะ ๔๒ อนึง่ ภวจักรนี้ มีสงั คหะ ๔ ซ่งึ กาํ หนดถอื เอาภวจักรต้งั แตเ บ้อื งตน(คอื อวชิ ชา) และทสี่ ดุ (คอื ชรามรณะ) แหงสนธิทัง้ หลาย. ขอนีเ้ ปน อยา งไร ?คือ อวชิ ชาและสังขาร เปน สังคหะที่ ๑ วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะและเวทนา เปนสงั คหะที่ ๒ ตัณหา อุปาทาน และภพ เปนสงั คหะท่ี ๓ชาตชิ รามรณะ เปนสังคหะที่ ๔ พงึ ทราบวา ภวจักรนมี้ สี งั คหะ ๔ ประเภทดว ยประการฉะน.ี้๑ เหตผุ ลสนธอิ ันแรก ไดแ ก สงั ขารเปน เหตอุ ดีตตอ กับวิญญาณซ่ึงเปนผลในปจ จุบัน ผลเหตุสนธทิ ี่ ๒ ไดแก เวทนาซึ่งเปน ปจจบุ ันผลตอกับตณั หาในปจ จบุ ันเหตุ และเหตุผลสนธิสดุ ทายไดแ ก ภพเปน ปจ จุบนั เหตุตอ กับชาตอิ นั เปนอนาคตผล.๒ คาํ วา สงั คหะ ๔ ในอภธิ มั มตั ถสังคหะ ทา นเรียกวา สงั เขป ๔

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 560 อธิบายอาการ ๒๐ อนง่ึ พึงทราบวา ภวจกั รมอี าการ ๒๐ ดว ยอาการ ๒๐ เหลาน้ัน คอื ในอดตี มเี หตุ ๕ ในปจจบุ นั มี ๕ ในปจ จบุ นั มีเหตุ ๕ ในอนาคตมีผล ๕. บรรดาภวจักรเหลานนั้ คาํ วา ในอดตี มเี หตุ ๕ ความวา องค ๒เหลานี้คอื อวิชชา และสังขาร ตรัสไวก อ นทเี ดยี ว แตเพราะบุคคลผูโ งเขลายอมสะดงุ บคุ คลผสู ะดงุ ยอมยดึ ม่นั ภพจงึ เกิดเพราะอปุ าทานเปนปจ จัยแกบุคคลนั้น ฉะนนั้ จงึ ทรงถือเอาแมต ณั หา อปุ าทาน และภพดวย เพราะเหตุนน้ั พระธรรมเสนาบดสี ารบี ุตรจงึ กลาววา โมหะคืออวิชชา กรรมที่ประกอบคอื สงั ขาร ความใครค ือตัณหา การเขาถงึ คืออปุ าทาน เจตนาคือภพ ธรรมท้ัง ๕ เหลาน้ใี นกรรมภพกอ น เปนปจจัยแกป ฏสิ นธิในภพน.้ี ในคําเหลาน้นัคําวา ในกรรมภพกอ น ไดแ ก กรรมภพทีเ่ กดิ กอ น คือ กรรมภพทีท่ าํไวใ นอดีตชาติ. คําวา โมหะคืออวิชชา อธิบายวา โมหะ (ความหลง)ในสัจจะมีทกุ ขเปน ตน ในกาลนนั้ อันใด สตั วน ้นั หลงแลวยอมทํากรรมดวยโมหะใด น้ันเปนอวชิ ชา. คาํ วา กรรมทป่ี ระกอบคือสงั ขาร ไดแ กเจตนาแรกของบคุ คลผทู ํากรรมน้ัน เหมอื นการยงั จติ ใหเกิดข้ึนดวยอนั คิควาเราจกั ถวายทาน แลว จัดแจงอยูซง่ึ อุปกรณแ หงการใหทานหนง่ึ เดอื นบา งหน่ึงปบ า ง ก็เจตนาของบุคคลทีย่ ังทกั ษิณาใหต ั้งขึน้ ในมอื ของปฏคิ าหกทง้ั หลายทานเรยี กวา ภพ. อีกอยา งหนึง่ เจตนาในชวนะ ๖ ซ่งึ มอี าวัชชนะเดยี วกันชือ่ วาอายหุ นสังขาร (กรรมที่ประกอบคอื สงั ขาร) เจตนาดวงที่ ๗ ชอ่ื วา ภพอน่งึ เจตนาอยา งใดอยางหน่ึง ชอื่ ภพ ธรรมท่ีสัมปยุตดว ยเจตนานั้น ชือ่ วา

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 561อายหุ นสงั ขาร. คําวา ความใคร คือตัณหา ความวา ความใคร คอืความปรารถนาในอุปปตตภิ พซ่งึ เปนผลของบุคคลผูท าํ กรรมอยูน้นั ชื่อวาตัณหา. คําวา ความเขาถงึ คืออุปาทาน ความวา การเขา ถึง การยึดการถือ ทเ่ี ปน ไปโดยนัยมอี าทวิ า \"เราทํากรรมน้ใี หเ ปนปจ จัยแกภ พแลว จกัเสพกามในฐานะชือ่ โนน จักขาดสูญ\" ดงั นี้ อนั ใด นช้ี อื่ วา อุปาทาน.คําวา เจตนาคอื ภพ ไดแก เจตนาทีเ่ ปนไปในทสี่ ดุ แหงกรรมที่ประกอบชือ่ วา ภพ พึงทราบเน้อื ความน้ีดวยประการฉะน้ี. คําวา ในปจ จุบนั มีผล ๕ ไดแก ภวจักรมีวญิ ญาณเปนตนมีเวทนาเปนทีส่ ุดมาในพระบาลนี นั้ แหละ เหมือนอยา งที่พระธรรมเสนาบดสี ารีบตุ รกลา ววา ในอุปปต ติภพน้ี ปฏสิ นธคิ ือวิญญาณ ๑ ความกา วลงคือนามรปู ๑ประสาทคืออายตนะ ๑ ความถูกตองคือผัสสะ ๑ ความเสวยอารมณค ือเวทนา ๑ธรรมท้งั ๕ เหลา นี้ เปนปจจัยแกก รรมทีท่ าํ แลว กอ นในอปุ ปต ตภิ พน้ี ดวยประการฉะน.ี้ ในธรรม ๕ นน้ั คาํ วา ปฏสิ นธคิ ือวิญญาณ ทีท่ า นกลา ววาช่อื วา ปฏิสนธิ เพราะความเกดิ ขึน้ ดวยอาํ นาจความสืบตอ ในภพอื่น ดังนี้อนั ใด นนั้ ช่อื วา วิญญาณ. คําวา การกา วลงคอื นามรปู ความวา การหยั่งในครรภของรูปธรรมและอรปู ธรรมเปนเหมอื นมาแลวเขา ไป อันใดน้ีเรยี กวา นามรูป. คาํ วา ประสาทคืออายตนะ น้ี กลา วไวด ว ยอํานาจอายตนะ ๕ มีจักขวายตนะเปนตน. คําวา การถูกตองคือผัสสะ ไดแ กการถูกตอ งแลว หรอื กาํ ลงั ถกู ตอ งซง่ึ อารมณ อนั ใด นีเ้ รยี กวา ผัสสะ.คําวา ความเสวยอารมณ คือเวทนา ไดแ ก การเสวยวิบากซง่ึ เกดิ ข้ึนพรอมกบั ปฏิสนธวิ ญิ ญาณ หรือผสั สะทม่ี สี ฬายตนะเปน ปจจยั อันใด น้ันเรยี กวาเวทนา พึงทราบเนือ้ ความน้ี ดวยประการฉะน้ี.

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 562 คําวา ในปจจบุ ันมีเหตุ ๕ ไดแ ก เหตทุ ้ังหลายมตี ณั หาเปน ตนมาแลวในพระบาลีน้ันแหละ คอื ตัณหา อุปาทาน และภพ ก็เมอ่ื ถอื เอาภพแลวก็เปน อนั ถอื สังขารอันเปน บพุ ภาคแหง ภพนัน้ หรอื ธรรมอันสมั ปยุตดวยภพนน้ัเหมอื นกัน และดว ยการถอื เอาตัณหาและอปุ าทาน กเ็ ปนอนั ถอื เอาอวชิ ชาอันสมั ปยุตดวยตัณหาและอปุ าทานนั้น หรือวาเปน เหตุใหค นผูห ลงทาํ กรรมน้นัเพราะฉะนัน้ องคแ หงภวจักรนั้น จงึ เปน ๕ ดว ยประการฉะน้ี ดวยเหตุน้ันพระธรรมเสนาบดสี ารีบตุ รจงึ กลาววา เพราะความทีอ่ ายตนะทงั้ หลายในโลกน้ีแกห งอ มแลว โมหะคืออวิชชา กรรมทีป่ ระกอบคอื สังขาร ความใครค อื ตณั หาการเขาถงึ คืออุปาทาน เจตนาคือภพ ธรรม ๕ ประการเหลาน้ี ดังกลาวนีใ้ หภพนีเ้ ปนปจ จยั แกปฏิสนธวิ ิญญาณในอนาคต ดงั น้.ี ในบรรดาคําเหลา นน้ั คาํ วาเพราะความท่อี ายตนะทัง้ หลายในโลกน้แี กห งอมแลว นัน้ แสดงบคุ คลผหู ลงใหลในเวลาทํากรรมของสตั วผูมอี ายตนะหงอมแลว. คาํ ทีเ่ หลือมีเนือ้ ความตน ทง้ั น้ัน. คําวา ในอนาคตมีผล ๕ ไดแก ผล ๕ มวี ญิ ญาณเปน ตน. ผล ๕มวี ญิ ญาณเปนตนนัน้ ขาพเจา กลาวไวดวยศพั ทวา ชาติ สว นชรามรณะก็เปน ชรา-มรณะของผล ๕ มีวิญญาณเปนตนเหลา นน้ั แหละ ดวยเหตนุ น้ั พระธรรมเสนาบดสี ารีบุตรจึงกลาววา ในอนาคต ปฏิสนธคิ ือวิญญาณ ความกาวลงคอืนามรูป ประสาทคืออายตะ การถูกตอ งคอื ผสั สะ การเสวยอารมณคอื เวทนาธรรมท้ัง ๕ เหลา นี้ ดงั กลา วนีใ้ นอปุ ปต ตภิ พในอนาคตเปน ปจจัยแกกรรมท่ที าํไวแลวในภพน้ี ดงั น้ี. ภวจกั รน้ีมีอาการ ๒๐ ดวยประการฉะนี.้

พระอภธิ รรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 563 บรรดาภวจกั รมีอาการ ๒๐ เหลานัน้ ในภพกอนมีองคประกอบ คอืกรรม (ท่เี ปน เหตุ) ๕ อยาง ในปจ จบุ ันมีธรรมท่ีเปนวิบาก ๕ อยาง ในปจ จบุ ันมอี งคป ระกอบคอื กรรม ๕ อยาง ในอนาคตมีธรรมทีเ่ ปนวบิ าก ๕ อยา งเพราะฉะน้ัน จงึ รวมเปน ธรรมทเ่ี ปนกรรม ๑๐ อยาง เปนวิบาก ๕ อยางดว ยอาการท่กี ลา ว กรรมในฐานะทั้งสองจงึ ช่อื วา กรรม วบิ ากในฐานะทง้ั สองชื่อวา วบิ าก ภวจักรแมท้ังหมดนเี้ ปนท้ังกรรมเปนท้งั วบิ ากของกรรม หมนุ ไปโดยปจ จยาการ ดว ยประการฉะน้.ี อนึง่ กรรมในฐานะทั้ง ๒ ช่อื วา กรรมสังเขป (ยอกรรม) วิบากในฐานะทั้ง ๒ น้ี ช่อื วา วปิ ากสงั เขป (ยอ วิบาก) เพราะฉะน้นั ภวจกั รท้ังหมดน้ี จึงเปน ทง้ั กรรมวฏั และวปิ ากวัฏ. อน่ึง กรรมในฐานะท้ัง ๒ชื่อวา กรรมภพ วบิ ากในฐานะทั้ง ๒ ชื่อวา วิปากภพ เพราะฉะน้ันภวจักรทั้งหมดน้ี จึงเปน ทง้ั กรรมภพ และวปิ ากภพ. กรรมในฐานะทงั้ ๒ชอ่ื วา กรรมปวัตตะ วิบากในฐานะทัง้ ๒ ชื่อวา วปิ ากปวัตตะ เพราะฉะน้นั ภวจักรท้ังหมดน้ี จึงเปน ทั้งกรรมสนั ตติและวิปากสนั ตติ อนึ่ง กรรมในฐานะทงั้ ๒ ช่อื วา กรรมสนั ตติ วิปากในฐานะทัง้ ๒ ช่อื วา วิปากสนั ตติเพราะฉะน้ัน ภวจักรทั้งหมดน้ี จึงเปน ทัง้ กรรมสนั ตติและวปิ ากสนั ตติ อน่ึงกรรมในฐานะท้งั ๒ ช่อื วา กิริยา วบิ ากในฐานะท้ัง ๒ ช่ือวา ผลของกิริยาเพระฉะนนั้ ภวจักรท้งั สิน้ น้ี จงึ เปน ทัง้ กิริยาและผลของกริ ิยา ดว ยประการฉะน้ี.

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 564 ภวจักรน้เี กดิ ขึ้นพรอมแลวประกอบ ดว ยเหตุ เปน ทกุ ข ไมเ ทย่ี ง มคี วามหวน่ั ไหว เปลีย่ นแปลง ไมยง่ั ยนื ธรรมท้ังหลาย ยอ ม เกดิ แตธรรมทงั้ หลาย โดยความเปนเหตุ เพราะในธรรมเหลา น้ีหาตวั ตน และคนอืน่ มไิ ด. ธรรมและอธรรม ยอมยงั ธรรมและ อธรรม ใหเกดิ ข้นึ เอง เพราะปจ จยั คอื เหตุ เปน องคป ระกอบ กพ็ ระธรรมอันพระพุทธ- เจา ทรงแสดงไว เพอื่ ความดบั ซ่งึ เหตุ ทัง้ หลาย. เม่ือเหตุท้ังหลายดับแลว วฏั ฏะกข็ าด ไมห มุนเวยี น ผูประพฤติพรหมจรรยใน พระธรรมวินยั นี้ ยอ มมเี พ่ือทําซึ่งทีส่ ุดแทง ทุกข ดวยประการฉะน้ี อนึ่ง เม่ือคน หา ความเปนสัตวไมไ ด ความขาดสญู และความ ยงั่ ยนื ก็ยอ มไมมี. ก็ในคาํ วา วฏั ฏะ ๓ ยอมหมุนไปไมมกี าํ หนด นี้ อธบิ ายวาภวจักรนม้ี ีวฏั ฏะ ๓ ดว ยวัฏฏะ ๓ เหลาน้ัน คือ \"สงั ขารและภพ เปนกรรมวัฏอวิชชา ตณั หา อุปาทาน เปนกิเลสวัฏ วิญญาณ นามรปู สฬาตนะผัสสะ และเวทนา เปนวิปากวฏั \" พึงทราบวา ยอมหมุนไปโดยการหมนุ ไป

พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 565รอบบอย ๆ ชอื่ วา ไมม ีกาํ หนดเพราะมีปจ จยั ไมข าดสายตลอดเวลาท่กี เิ ลสวฏัยังไมขาดทีเดียว. ภวจักรน้ี เมือ่ หมนุ อยางนี้ พึงทราบ โดยความเปน สัจจะ และ เปนแดนเกดิ แหงสจั จะ ๑ โดยกิจ ๑ โดยการ หา ม ๑ โดยการอุปมา โดยประเภทแหง ความ ลกึ ซึง้ ๑ โดยประเภทแหง นยั ๑ ตามควร. พงึ ทราบโดยความเปน สัจจะและเปน แดนเกดิ ในคาถานัน้ เพราะคาํ ทีต่ รัสไวใ นสจั จวิภงั คว า \" กุศลและอกุศลกรรมเปน สมทุ ยสัจจะ โดยไมแ ปลกกัน \" ดงั น้ี ฉะนน้ั คาํ วา อวชิ ฺชาปจจฺ ยาสงขฺ ารา ดังนี้ ไดแก สงั ขารทงั้ หลายเกดิ เพราะอวิชชา จดั เปน สัจจะที่ ๒ มีสัจจะท่ี ๒ เปนแดนเกดิ . วญิ ญาณเกิดแตสังขารท้ังหลาย จัดเปนสัจจะที่ ๑มีสัจจะ ๒ เปนแดนเกดิ . นามรปู เปนตนมวี ปิ ากเวทนาเปน ที่สดุ เกิดเพราะวญิ ญาณเปน ตน จดั เปนสัจจะที่ ๑ มีสัจจะท่ี ๑ เปน แดนเกดิ ตัณหาเกดิแตเ วทนา จดั เปนสจั จะท่ี ๒ มสี จั จะที่ ๑ เปน แดนเกดิ . อปุ าทานเกิดแตตณั หา จัดเปน สัจจะท่ี ๒ มสี ัจจะท่ี ๒ เปน แดนเกดิ . ภพเกดิ แตอุปาทานจดั เปน สัจจะท้งั ๒ คอื ท่ี ๑ และท่ี ๒ เกดิ แตสจั จะท่ี ๒ เปนแดนเกดิ . ชาตเิ กดิแตภ พ จดั เปน สจั จะท่ี ๑ เกิดแตสัจจะท่ี ๒. ชรามรณะเกิดแตชาติ จดั เปนสจั จะท่ี ๑ มีสจั จะที่ ๑ เปนแดนเกดิ . ภวจกั รน พงึ ทราบโดยเปนสัจจะและเปน แดนเกดิ ตามควร ดังพรรณนามาฉะน้ีกอ น.

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 566 พึงทราบภวจกั รโดยกิจ อน่งึ เพราะในภวจกั รนี้ อวิชชายอ มยงั เหลาสัตวใหห ลงใหลในวัตถุท้ังหลาย และยอมเปนปจจัย เพราะความปรากฏแหงสงั ขารทงั้ หลาย อน่ึงสงั ขารท้งั หลายยอ มปรุงแตงสังขตธรรม และยอ มเปนปจ จยั แกว ญิ ญาณ. แมวิญญาณก็ยอ มรูชัดซงึ่ วตั ถุ และยอมเปน ปจ จัยแกนามรปู . แมนามรูปก็อุปถัมภซง่ึ กนั และกนั และยอมเปน ปจ จัยแกส ฬายตนะ. แมส ฬายตนะกย็ อ มเปน ไปในวิสัยของตน และยอ มเปนปจ จัยแกผสั สะ. แมผ ัสสะกถ็ ูกตอ งซง่ึ อารมณ และยอ มเปนปจจัยแกเวทนา. แมเวทนากเ็ สวยซง่ึ รสอารมณ และยอมเปน ปจ จัยแกต ณั หา. แมต ณั หากก็ ําหนัดในธรรมอนั เปนที่ต้งั แหงความกําหนดั และยอมเปนปจ จยั แกอ ุปาทาน. แมอ ุปาทานกย็ ึดถือธรรมอนั เปน ท่ตี ้งั แหงความยดึ ถือ และยอ มเปน ปจจยั แกภพ. แมภ พก็สบั สนไปในคติตา ง ๆ และยอมเปนปจ จัยแกช าต.ิ แมช าตกิ ย็ งั ขันธทง้ั หลายใหเ กิด เพราะขันธเหลานัน้ เปน ไปดว ยภาวะคือความเกดิ โดยเฉพาะ และยอมเปนปจ จัยแกช รามรณะ. แมชรามรณะก็ต้ังอยูเ ฉพาะซึ่งความแกแ ละความแตกแหงขนั ธทั้งหลาย และยอมเปนปจจยั แกความปรากฏในภพอ่นื เพราะความทีข่ นั ธท้ังหลายเปนที่รองรบั ความโศกเปน ตนฉะน้ัน ภวจกั รนี้ บัณฑิตพงึ ทราบแมโ ดยกิจอนั เปนไป ๒ อยา ง ในบทท้ังปวงตามสมควร. พงึ ทราบภวจักรโดยการหาม อนงึ่ เพราะในภวจักรนี้ ค ววา \"สังขารท้ังหลายเกดิ เพราะอวิชชาเปน ปจจยั \" ดงั น้ี เปน การหา มความเหน็ วามผี ูส ราง. คําวา วญิ ญาณ

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 567เกดิ เพราะสงั ขารเปนปจ จัย นเ้ี ปน การหา มความเหน็ วาอัตตาเคล่ือนจากท่ี(หนึ่งไปทหี่ นึ่ง) ได. คําวา นามรูปเกิดเพราะวญิ ญาณเปน ปจ จัย นี้เปน การหามความสําคัญวา เปน กอย เพราะเหน็ การแตกไปแหงวัตถทุ กี่ าํ หนดกนั วา มีอัตตา. ในคําวา สฬายตนะเกิดเพราะนานรปู เปนปจ จัย ดังน้ีเปนตน เปนการหามความเหน็ มีอาทิอยา งนวี้ า อัตตายอมเหน็ ฯลฯ ยอ มรูยอมถูกตอ ง ยอ มเสวย ยอมยึด ยอ มถอื ม่นั ยอ มมี ยอมเกิด ยอ มแกยอ มตาย\" ดงั นี้ ฉะน้นั พงึ ทราบภวจักรแมน โ้ี ดยการหามความเหน็ ผดิตามควรเถิด. พงึ ทราบภวจกั รโดยการอปุ มา กเ็ พราะในภวจกั รนี้ อวิชชาเปรยี บเหมอื นคนบอด เพราะไมเ หน็ ธรรมทงั้ หลาย ดว ยสามารถแหงสภาวลักษณะและสามญั ลักษณะ. สังขารทัง้ หลายทีเ่ กิดเพราะอวชิ ชาเปน ปจ จยั เปรียบเหมือนการล่ืนถลาของของคนบอด. วญิ ญาณท่ีเกดิ เพราะสังขารเปนปจ จัย เปรยี บเหมอื นการลม ของคนบอดผลู น่ื ถลานามรูปท่เี กดิ เพราะวญิ ญาณเปนปจ จัย เปรยี บเหมือนความปรากฏแผลฝของคนบอดท่ลี มแลว . สฬายตนะท่เี กิดเพราะนามรปู เปนปจ จัย เปรยี บเหมือนตอ มทแี่ ตกของหวั ฝ. ผัสสะทเี่ กิดเพราะสฬายเปน ปจ จยั เปรียบเหมือนการกระทบกบั หวั ฝ . เวทนาทเ่ี กิดเพราะผัสสะเปนปจจัย เปรยี บเหมือนความไมส บาย (ทกุ ข) เพราะการกระทบ. ตัณหาทเ่ี กิดเพราะเวทนาเปนปจจัยเปรยี บเหมอื นผตู อ งการบําบดั ทกุ ข. อปุ าทานท่เี กิดเพราะตณั หาเปน ปจ จยัเปรยี บเหมอื นการถือเอาเภสชั ทเ่ี ปน อสัปปายะมาโดยปรารถนาจะบาํ บัดโรค.


































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook