Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_77

tripitaka_77

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_77

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 446อยางนว้ี า กเ็ มือ่ เปนเชน นั้น ภวตณั หามีขอ น้ีเปนปจจยั จึง ปรากฏ*ดังน.้ี ถามวา เพราะเหตไุ ร พระผูมพี ระภาคเจาเมือ่ ตรสั วัฏฏกถา จึงตรัสธรรม ๒ น้ี ทําใหเปน ประธาน. ตอบวา เพราะอวิชชา เปนเหตพุ ิเศษแหง กรรมใหสัตวถ งึ สคุ ติหรอื ทคุ ต.ิ จริงอยู อวิชชาเปน เหตุพิเศษแหงกรรมอนั ใหสัตวถึงทุคต.ิ เพราะเหตไุ ร เพราะปุถุชนผอู นั อวิชชาครอบงาํ แลว ยอมเริม่ ทํากรรมอันใหต นถงึ ทุคตอิ เนกประการมปี าณาตบิ าตเปนตน อันไมม ีความชื่นใจเพราะความเรารอ นดวยกิเลสบา ง อันนาํ ความพินาศแกต นเพราะตอ งตกไปสูท คุ ติบา งเหมือนแมโคที่จะถูกฆาถูกความบอบชํา้ ครอบงํา เพราะเรา รอนดว ยไฟและถูกตีดว ยคอน และเหมือนการตมนํ้ารอนอนั ไมมคี วามชนื่ ใจ เพราะความเปน ผูกระหายดวยการบอบชํา้ นน้ั แมน าํ มาซง่ึ ความพนิ าศแกตน. สวนภวตัณหาเปน เหตพุ เิ ศษแหง กรรมอนั ยงั สตั วใ หถึงสคุ ติ เพราะเหตุไร ? เพราะปุถุชนผอู นั ภวตัณหาครอบงาํ แลว ยอ มเรม่ิ ทาํ กรรมอันใหถ งึสุคตอิ เนกประการมีเจตนาเปนเคร่อื งงดเวน จากปาณาติบาตเปน ตน ซึง่ มแี ตสาํ ราญใจ เพราะเวนจากความเรารอ นดว ยกิเลส และบรรเทาความบอบชาํ้ ดว ยทุกข ในทคุ ตขิ องคน เพราะลุถงึ สุคติ เหมอื นแมโคมปี ระการตามท่ีกลา วแลวเริม่ ด่ืมนํา้ เยน็ ซง่ึ มีแตค วามสําราญดว ยความอยากในนํา้ เยน็ และบรรเทาความบอบชํา้ ของตน ฉะนน้ั . ก็บรรดาธรรมทเี่ ปนประธานแหงวัฎฏกถาเหลา นี้ ในทบี่ างแหง พระ-ผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงเทศนาอนั มีธรรมอยางเดียวเปนมลู อยางไร คือ* องฺ ทสก. เลม ๒๔. ๖๒/๑๒๔

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 447เหมือนอยางท่ตี รสั ไววา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย ดวยเหตุดงั นี้แล สงั ขารทง้ั หลายมอี วิชชาเปน ทีอ่ ิงอาศยั วญิ ญาณมสี ังขารเปน ทีอ่ ิงอาศัยเปนตน ๑ อกี อยางหนึ่ง ไดต รัสวา ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เมือ่ ภิกษุเหน็ความพอใจเนอื ง ๆ ในธรรมท้งั หลายอันเปน ปจ จยั แหงอปุ าทานอยูตณั หายอมเจรญิ เพราะตณั หาเปน ปจจัย อปุ าทานจงึ ม๒ี เปนตน.ในทบ่ี างแหง ทรงแสดงธรรมแมท ้ัง ๒ เปนมลู คอื อยา งท่ีตรัสวา ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กายของคนพาลผูม ีอวชิ ชานวิ รณ ประกอบพรอ มดว ยตัณหาเกิดขึน้ แลว อยางน้ี และกายนี้ดว ย นามรูปภายนอกทง้ั นย้ี อ มมีดว ยประการฉะนี้ เพราะอาศยั กายและนามรปู ภายนอกท้ัง ๒ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะท้ังหลาย คนพาลผอู นั ผัสสะและสฬายตนะท้ัง ๒เหลา ใด ถูกตอ งแลว กย็ อ มเสวยเฉพาะสขุ หรอื ทกุ ข ดงั นีเ้ ปน ตน . บรรดาเทศนาเหลา นั้น ๆ เทศนาน้ันอธิการน้ี ดวยอาํ นาจอวชิ ชาวาสงั ขารทั้งหลายยอ มเกิด เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จัย ดงั น้ี บณั ฑติ พึงทราบวาเปนธรรมอนั หน่ึงที่เปน มลู (เอกธมมฺ มูลิกา). พึงทราบวนิ ิจฉัยโดยความตางแหงเทศนาในปฏจิ จสมปุ บาทน้ี ดว ยประการฉะน้ีกอ น. วา ดว ยวินิจฉัยโดยอรรถ ขอวา โดยอรรถ ไดแก โดยอรรถ (เนื้อความ) แหงบททั้งหลายมีอวชิ ชาเปน ตน คืออยางไร คือ กายทุจรติ เปน ตน ชอื่ วา อวนิ ทฺ ยิ (ธรรมชาตไิ มควรได) เพราะอรรถวาไมค วรบําเพญ็ คือส่งิ ทไี่ มควรได(วเิ คราะหว า) ต อวินทฺ ยิ  วนิ ฺทตีต อวิชฺชา ท่ีชือ่ วา อวิชชา เพราะอรรถวา ยอมไดส ิ่งท่ไี มค วรไดน นั้ .๑. ส . นิทาน. เลม ๑๖. ๖๙/๓๗ ๒. ส . นิทาน เลม ๑๖. ๑๙๖/๑๐๒

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 448กายสจุ รติ เปน ตน ชอ่ื วา ธรรมชาตทิ คี่ วรได เพราะเปน ภาวะตรงกนั ขามกับกายทุจรติ เปน ตน นน้ั . (วิเคราะหวา ) ต วินฺทิย น วินฺทตีตอวิชฺชา ท่ชี ่อื วา อวชิ ชา เพราะอรรถวา ยอมไมไดส่งิ ทีค่ วรไดน ้ัน.ท่ีชอ่ื วา อวิชชา เพราะอรรถวา ยอ มกระทาํ (ปญ ญา) ไมใหรแู จงซ่งึ อรรถ (เน้ือความ) แหง กองขนั ธทั้งหลาย ซึง่ อรรถแหงการเกดิ ของอายตนะท้งั หลาย ซ่งึ อรรถแหงความวา งเปลาของธาตุทง้ั หลาย ซ่งึ อรรถอนั แทจ รงิ ของสจั จะทั้งหลาย ซึ่งอรรถแหง ความเปน อธบิ ดีของอนิ ทรยี ท ง้ั หลาย.ทีช่ ื่อวา อวชิ ชา แมเพราะอรรถวา ยอมกระทําอรรถอยางละ ๔*ตามทต่ี รัสไวด วยอาํ นาจการบีบคน้ั เปน ตน ของทกุ ขเปน ตน .* ในวิสุทธิมรรคบาลตี อนญาณทัสสนวสิ ุทธิ หนา ๓๔๖ แสดงวาทุกฺขสฺส บฬี นฏโ  ทกุ ขม คี วามบีบค้นั เปน อรรถสงขฺ ตฏโ  มีความปรงุ แตง เปนอรรถสนตฺ าปฏโ มคี วามใหเ รา รอนเปนอรรถวิปริณามฏโ มีความแปรปรวนเปนอรรถสมุทยสฺส อายหู นฏโ  สมทุ ยั มอี ันประมวลมาเปน อรรถนทิ านฏโ  มเี หตุเปนแดนเกดิ เปน อรรถส โยคฏโ  มีอันประกอบไวเ ปนอรรถปสิโพธฏโ มีความกงั วลใจเปนอรรถนโิ รธสสฺ นสิ สฺ รณฏโ นิโรธมอี ันสลัดออกเปน อรรถวิเวกฏโ  มีความสงัดจากทุกขเ ปนอรรถอสงขฺ ตฎโ มสี ภาวะไมป รุงแตงเปนอรรถอมตฏโิ  มอี มตะเปน อรรถมคฺคสฺส นยิ ฺยานฏิโ มรรคมกี ารนาํ ออกเปนอรรถเหตวฏโ  มีอันเปนเหตุเปนอรรถทสสฺ นฏโ  มกี ารเหน็ นิพพานเปน อรรถอธปิ เตยยฺ ฏโ  มีความเปนอธิบดใี นการสําเรจ็ กิจเปน อรรถ.

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 449 ท่ชี อ่ื วา อวชิ ชา เพราะอรรถวา ยอ มยงั สตั วใหแ ลนไปในสงสารอนั ไมมีทส่ี ดุ คอื ในกําเนิด คติ ภพ วิญญาณฐิติ และสัตตาวาส. ที่ชอ่ื วา อวิชชา เพราะอรรถวา ยอมแลน ไปในหญิงชายเปน ตนอัน ไมม อี ยูโดยปรมัตถ ยอ มไมแลนไปในธรรมมขี นั ธเ ปนตน แมอนั เปน ของมีอยู. อีกอยา งหน่งึ ที่ช่ือวา อวชิ ชา แมเ พราะปกปดธรรมซ่งึ อาศัยกนั และกนั เกิดขึน้ แหงปฏิจจสมปุ บาทดวยอํานาจวตั ถุและอารมณม จี กั ขวุ ญิ ญาณเปน ตน ย ปฏจิ จฺ ผลเมติ โส ปจฺจโย ผลอาศยั ธรรมใดเกดิ ขึ้นเปนไป เพราะเหตนุ นั้ ธรรมนั้น จงึ ช่ือวา ปจ จัย. คําวา ปฏจิ ฺจ (อาศัย)ไดแ ก ไมเ วนธรรมน้นั คอื เวน ธรรมนนั้ แลว กไ็ มปรากฏ. คําวา เอต*ิไดแก ยอมเกดิ ข้นึ และยอมเปน ไป. อกี อยา งหน่ึง อรรถแหง ปจจัยมีความหมายถงึ อุปการธรรม. อวิชชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโย อวิชชาน้ันดว ยเปน ปจ จัยดวย เพราะเหตนุ ้ัน จงึ ช่อื วา อวิชชาปจฺจโย (อวชิ ชาเปนปจจยั ).เพราะอวชิ ชาเปน ปจจัยนั้น. ส ขตมภสิ  ขโรตฺ ตี ิ ส ขารา ธรรมทช่ี อื่ วาสงั ขารทงั้ หลาย เพราะอรรถวา ยอมปรงุ แตง สังขตธรรม. อีกนัยหนง่ึ สงั ขาร มี ๒ อยา ง คอื สังขารท่ีมเี พราะอวิชชาเปน ปจจัย ๑ สังขารทม่ี าดวยศพั ทวา สังขาร ๑ บรรดาสังขารทั้ง ๒ นั้น สงั ขารทีม่ เี พราะอวชิ ชาเปน ปจจัย ๖เหลาน้ี คือ สงั ขาร ๓ ไดแก ปญ ญาภิสังขาร อปุญญาภสิ งั ขาร* คําวา เอติ แยกมาจากบทวา ผลเมติ

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 450อาเนญชาภิสังขาร และสงั ขาร ๓ กายสังขาร วจสี งั ขาร จิตตสังขารสังขารเหลานัน้ แมท ัง้ หมดสกั วา เปน โลกยิ กศุ ล และอกศุ ลเทานน้ั . กส็ ังขาร ทม่ี าแลว โดยสงั ขารศัพทเ หลา นั้น คอื สังขตสงั ขารอภิสงั ขตสังขาร อภิสังขรณกสังขาร ปโยคาภสิ งั ขาร. บรรดาสังขารเหลาน้ัน ธรรมพรอมทัง้ ปจ จยั ทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจา ตรัสในประโยคมีอาทวิ าอนจิ จฺ า วต ส ขารา แมท้ังหมด ชื่อวา สงั ขตสังขาร. รปู ธรรมอรูปธรรมเปน ไปในภูมิ ๓ ทีเ่ กดิ แตกรรมซ่ึงกลา วไวในอรรถกถา ชื่อวาอภิสงั ขตสังขาร. รปู ธรรมและอรปู ธรรมแมเหลาน้ัน ยอ มสงเคราะหใ นบาลีนี้วา อนิจจฺ า วต ส ขารา ดังนท้ี ั้งหมด แตอาคตสถานแหง ธรรมเหลา น้ัน ไมป รากฏสว นหนงึ่ กเ็ จตนาทีเ่ ปน กศุ ลและอกศุ ลทีเ่ ปน ไปในภูมิ ๓ทา นเรียกวา อภิสงั ขรณกสงั ขาร. อาคตสถานแหงอภิสังขรณกสงั ขารนัน้ยอ มปรากฏในประโยคมคี าํ วา \"ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย บุคคลตกอยูในอวชิ ชาถา อภสิ ังขารคือบุญ ยอมปรงุ แตง ดังนเ้ี ปนตน. อน่งึ ความเพียรอันเปนไปทางกายและจิต ทา นเรยี กวา ปโยคาภิสงั ขาร. ปโยคาภสิ ังขารน้นั มาในประโยควา \"ลอ นนั้ เม่ือนายชางรถหมุนไป กห็ มุนไปไดเทา ท่ีนายชา งรถหมุนไปแลว ตงั้ อยูเหมือนอยูในเพลา ฉะนน้ั ๒\" เปน ตน . อน่งึ มใิ ชแ ตส งั ขารเหลา นนั้ อยา งเดยี วเทาน้นั แมสงั ขารเหลา อ่ืนเปนอเนก ทมี่ าโดยศพั ทสงั ขาร โดยนัยมอี าทวิ า \"ดูกอ นวสิ าขะผมู อี ายุ เมอื่ ภกิ ษุเขาสัญญาเวทยติ นิโรธ วจสี ังขารยอมดบั กอ น ตอจากนน้ั กายสังขารกด็ ับ ตอจากน้ัน จติ สังขารก็ยอ มดบั ๓\" ดังนี้ บรรดาสังขารเหลา นัน้ สงั ขารท่ไี มสงเคราะหเขา ใหส งั ขตสงั ขาร ยอ มไมม .ี๑. อ ติก. เลม ๒๐. ๔๕๔/๑๔๑ ๒. อ ตกิ เลม ๒๐. ๔๕๔/๑๔๑๓. ม. มูล เลม ๑๒. ๕๑๐/๕๕๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook