Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_02

tripitaka_02

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:33

Description: tripitaka_02

Search

Read the Text Version

พระวนิ ยั ปฎก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 351 ปลโิ พธ (ความกงั วล) ๑๐ อยา งน้ัน คือ อาวาส ๑ ตระกลู ๑ ลาภ (คอื ปจ จัยส)่ี ๑ คณะ (คอื หม)ู ๑ การงาน (คอื การ กอ สรา ง) เปน ทค่ี าํ รบหา ๑ อทั ธานะ (คอื เดินทางไกล) ๑ าู ติ ๑ อาพาธ ๑ คณั ฐะ (คือการเรยี นปริยัติ) ๑ อทิ ธฤิ ทธิ์ ๑.กุลบุตรผูตัดปลิโพธไดอ ยางนนั้ แลว จงึ ควรเรียนกรรมฐาน. [กรรมฐาน ๒ พรอมทง้ั อธิบาย] กรรมฐานนั้น มีอยู ๒ อยาง คือ สัพพตั ถกกมั มัฏฐาน (กรรมฐานมปี ระโยชนใ นกุศลธรรมทงั้ ปวง) ๑ ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน (กรรมฐานควรบริหารรักษา) ๑. บรรดากรรมฐาน ๒ อยางนนั้ ที่ช่อื วา สัพพัตถกกมมัฏฐานไดแ ก เมตตา (ท่เี จริญไป) ในหมูภ กิ ษุเปน ตน และมรณัสสติ (การระลกึถงึ ความตาย). พระอาจารยพวกหนง่ึ กลา ววา อสภุ สัญญา บา ง. จรงิ อยู ภิกษุผจู ะเจรญิ กรรมฐาน ครัง้ แรกตองตัดปลิโพธเสยี กอน แลวจึงเจรญิ เมตตาไปในหมภู กิ ษผุ อู ยใู นสมี า, ลาํ ดบั นัน้ พึงเจริญไปในเหลา เทวดาผอู ยใู นสมี า,ถดั จากนน้ั พงึ เจริญไปในอิสรชนในโคจรคาม, ตอจากน้นั พึงเจรญิ ไปในเหลาสรรพสัตวกระท่งั ถึงขาวบานในโคจรคามนัน้ . แทจ รงิ ภิกษนุ นั้ ทําพวกชนผูอ ยูรว มกันใหเกดิ มจี ิตออ นโยน เพราะเมตตาในหมูภกิ ษ.ุ เวลาน้นั เธอจะมคี วามอยูเปนสขุ . เธอยอ มเปน ผอู ันเหลา เทวดาผูมีจิตออนโยน เพราะเมตตาในเหลา เทวดาผูอยใู นสมี าจดั การอารกั ขาไวเ ปน อยา งดี ดว ยการรกั ษาทชี่ อบธรรม. ท้งั เปน ผูอันอิสรชนทงั้ หลาย ผมู ีจติ สนั ดานออนโยน เพราะเมตตาในอสิ รชนในโคจรคาม จัดรักษาระแวดระวงั ไวอ ยา งดี ดวยการรกั ษาทชี่ อบ

พระวินัยปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 352ธรรม. และเปน ผูอ นั ชาวบานเหลาน้นั ผูมีจิตถูกอบรมใหเลือ่ มใส เพราะเมตตาในพวกชาวบา นในโคจรคามนั้น ไมด ูหม่ินเทย่ี วไป. เปน ผูเท่ียวไปไมถกูอะไร ๆ กระทบกระทั่งในที่ทกุ สถาน เพราะเมตตาในเหลา สรรพสตั ว. อนงึ่เธอเมื่อคดิ วา เราจะตองตายแนแ ท ดว ยมรณัสสติ ละการแสวงหาทไี่ มสมควรเสีย เปน ผูมีความสลดใจเจรญิ สงู ข้ึนเปนลําดับ ยอ มเปน ผูม คี วามประพฤติไมยอหยอ น. ตณั หายอมไมเ กดิ ข้นึ แมในอารมณท ่เี ปนทิพย เพราะอสุภสัญญา.เพราะเหตุน้นั คุณธรรมท้งั ๓ (คือ เมตตา ๑ มรณสั สติ ๑ อสุภสญั ญา ๑)นั้น ของภกิ ษนุ ้นั ทานเรียกวา สัพพตั ถกกมั มัฏฐาน เพราะทําอธิบายวาเปน กรรมฐานอนั กุลบตุ รพึงปรารถนา คอื พงึ ตองการในทที่ กุ สถาน เพราะเปนธรรมมีอปุ การะมาก และเพราะความเปน ปทฏั ฐาน แหง การหมัน่ ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียร ตามทป่ี ระสงคไป โดยนยั ดงั พรรณนามาฉะน.ี้ กบ็ รรดาอารมณ ๓๘ ประการ กรรมฐานใด ทคี่ ลอ ยตามจรติ ของกุลบุตรใด กรรมฐานนัน้ ทานเรียกวา ปารหารยิ กรรมฐาน เพราะเปนกรรมฐานทก่ี ุลบุตรนนั้ ควรบรหิ ารไวเปน นิตย โดยนยั ตามทีก่ ลาวแลว นั่นเองแตใ นตติยปาราชกิ น้ี อานาปานกรรมฐานนแี้ ล ทา นเรยี กวา ปาริหารยิ -กรรมฐาน. ในอธิการวาดวยอานาปานกัมมัฏฐานน้ี มคี วามสงั เขปเทา น.้ี สวนความพสิ ดารนักศึกษาผูตองการกถาวาดว ยการชําระศลี ใหห มดจด และกถาวาดวยการตดั ปลิโพธ พึงถือเอาจากปกรณวิเสสช่ือวสิ ทุ ธิมรรคเถิด. [ควรเรียนกรรมฐานในสํานักพุทธโอรสกระทัง่ ถงึ ทา นผไู ดฌ าน] อนง่ึ กุลบุตรผมู ศี ีลบริสุทธิ์ และตัดปลโิ พธไดแ ลวอยา งนั้น เม่ือจะเรยี นกรรมฐานน้ี ควรเรียนเอาในสาํ นักพุทธบตุ ร ผใู หจ ตุตถฌานเกิดขึ้นดว ยกรรมฐานน้แี ล แลว เจริญวปิ สสนา ไดบ รรลคุ วามเปน พระอรหันต. เมือ่ ไม

พระวนิ ัยปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 353ไดพ ระขณี าสพน้นั ควรเรยี นเอาในสํานกั พระอนาคามี เม่อื ไมไ ดแมพ ระ-อนาคามีน้ัน ก็ควรเรียนเอาในสํานักพระสกทาคามี เมอ่ื ไมไ ดแ มพระสกทาคามีนั้น ก็ควรเรยี นเอาในสํานกั พระโสดาบนั , เมอื่ ไมไ ดแ มพระโสดาบันนน้ั ก็ควรเรยี นเอาในสาํ นักของทานผไู ดจ ตุตถฌาน ซง่ึ มอี านาปานะเปน อารมณ,เมอื่ ไมไดท านผูไ ดจตตุ ถฌานแมน ั้น ก็ควรเรยี นเอาในสาํ นกั ของพระวนิ จิ -ฉยาจารย ผูไมเลอะเลือนทั้งในบาลแี ละอรรถกถา. จริงอยู พระอริยบคุ คลทัง้ หลายมพี ระอรหนั ตเ ปนตน ยอมบอกเฉพาะมรรคทตี่ นไดบ รรลแุ ลว เทานน้ั .สว นพระวนิ ิจฉยาจารยน เ้ี ปน ผูไมเลอะเลอื น กําหนดอารมณเปน ทสี่ บายและไมสบาย ในอารมณท ้ังปวงแลวจึงบอกให เหมอื นผนู ําไปสทู างชางใหญ ในปาทร่ี กชฏั ฉะนน้ั . [กรรมฐานมสี นธิคอื ท่ตี อ ๕ อยา ง] ในอธกิ ารวาดว ยการเรยี นกรรมฐานนัน้ มอี นบุ ุพพีกถาดงั ตอไปน้:ี -ภกิ ษุนั้นควรเปน ผูมีความพระพฤติเบา สมบรู ณด ว ยวินยั และมรรยาทเขา ไปหาอาจารยซ ง่ึ มีประการดังกลาวแลว พึงเรียนกรรมฐาน มีสนธิ ๕ ในสาํ นกั ของอาจารยนน้ั ผมู ีจิตอนั ตนใหย ินดี ดว ยวัตรและขอ ปฏบิ ัติ. ในคาํ วา กรรมฐานมีสนธิ ๕ นัน้ สนธมิ ี ๕ อยางเหลา น้ี คอื อคุ คหะ การเรียน ๑ ปริปุจฉาการสอบถาม ๑ อปุ ฏฐานะ ความปรากฏ ๑ อปั ปนา ความแนน แฟน ๑ลกั ษณะ ความกาํ หนดหมาย ๑. ในอคุ คหะเปนตนนัน้ การเรียนกรรมฐาน ชอื่ วา อุคคหะ. การสอบถามกรรมฐาน ชอ่ื วา ปรปิ ุจฉา. ความปรากฏแหงกรรมฐาน ชอื่ วาอุปฏ ฐานะ. ความแนว แนแหงกรรมฐาน ชือ่ วา อปั ปนา. ลักษณะแหงกรรมฐาน ชื่อวา ลกั ษณะ. มีคําอธิบายวา ความใครค รวญแหงสภาพกรรม-

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 354ฐานวา กรรมฐานนี้ มลี ักษณะอยางน้นั . ภกิ ษเุ ม่อื เรียนกรรมฐาน ซึง่ มีสนธิ๕ อยา งน้ี แมตนเองก็ไมล าํ บาก ทง้ั ไมตอ งรบกวนอาจารยใ หลําบาก. เพราะฉะนัน้ ควรเรยี นอาจารยใหบ อกแตน อย สาธยายตลอดเวลาเปน อันมาก ครน้ัเรียนกรรมฐาน ซึ่งมสี นธิ ๕ อยา งนัน้ แลว ถาในอาวาสน้นั มเี สนาสนะเปนตน เปนทสี่ บายไซร ควรอยูในอาวาสนน้ั น่ันแล ถา ในอาวาสนนั้ ไมมีเสนาสนะเปน ท่สี บายไซร ควรบอกลาอาจารย ถาเปนผมู ีปญ ญาออน ควรไปสิ้นระยะ-โยชนหน่ึงเปนอยา งย่ิง ถา เปน ผมู ปี ญญากลากค็ วรไปแมไ กล (กวาน้นั ) ไดแลว เขา ไปยงั เสนาสนะทีป่ ระกอบดว ยองคแหง เสนาสนะ ๕ อยาง เวน เสนาสนะทม่ี ีโทษ ๑๘ อยาง แลว พักอยูในเสนาสนะนนั้ ตัดปลิโพธหยมุ หยมิ เสีย ฉัน-ภัตตาหารเสรจ็ แลว บรรเทาความเมาอาหาร ทําจติ ใหร า เริง ดวยการอนสุ รณถึงคณุ พระรัตนตรยั ไมหลงลืมกรรมฐานแมบทหนึ่ง แตท ีเ่ รยี นเอาจากอาจารยพงึ มนสกิ ารอานาปานสั สติกรรมฐานน.ี้ ในวสิ ัยแหงตติยปาราชกิ น้ี มีความสังเขปเทาน้ี. สวนความพิสดาร นักศกึ ษาผตู องการกถามรรคนี้ พึงถือเอาจากปกรณวเิ สสชือ่ วิสุทธิมรรคเถิด. [วธิ มี นสกิ ารอานาปานัสสตกิ รรมฐาน ๘ อยาง] กใ็ นคําที่ขาพเจา กลาววา พงึ มนสกิ ารอานาปานัสสตกิ รรมฐานน้ี มีมนสิการวธิ ีดงั ตอ ไปนี:้ - คอื การนับ การตามผูก การถูกตอง การหยดุไว การกําหนด การเปลีย่ นแปลง ความหมดจด และการเหน็ ธรรมเหลา นน้ัแจม แจง . การนับนัน่ แล ช่ือวา คณนา. การกําหนดตามไปชื่อวา อนพุ นั ธนา.ฐานท่ลี มถูกตอ ง ชอื่ วา ผสุ นา. ความแนว แนชื่อวา ฐปนา. ความเห็นเหน็ แจง ชอื่ วา สัลลักขณา. มรรค ชือ่ วา วิวัฏฏนา. ผลชอ่ื วา ปารสิ ทุ ธิ.การพจิ ารณา ชอ่ื วา เตสญั จ ปฏิปสสนา.

พระวนิ ัยปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 355 [อธิบายวิธนี ับลมหายใจเขา ออก] บรรดามนสกิ ารวิธี มกี ารนบั เปน ตนนัน้ กลุ บุตรผเู ร่มิ บาํ เพญ็ น้ีควรมนสิการกรรมฐานนโี้ ดยการนบั กอ น. และเม่ือจะนับไมค วรหยุดนับตา่ํ กวา๕ ไมค วรนับใหเกนิ กวา ๑๐ ไมค วรแสดง (การนบั ) ใหขาดในระหวา ง.เพราะเมือ่ หยุดนับตํ่ากวา ๕ จิตตปุ บาทยอมดิน้ รนในโอกาสดับแคบ ดจุ ฝงู โคท่ีรวมขังไวในคอกทีค่ บั แคบฉะนั้น. เม่ือนับเกินกวา ๑๐ ไป จติ ตปุ บาทก็พะวงยูดวยการนับเทา น้นั . เม่อื แสดง (การนับ) ใหขาดในระหวา ง จิตยอมหวัน่ ไปวา กรรมฐานของเราถงึ ทสี่ ุดหรือไมหนอ. เพราะฉะน้ัน ตอ งเวนโทษเหลา นเี้ สียแลว จงึ คอยนับ. เม่ือจะนบั ครงั้ แรก ควรนับโดยวธิ ีนับชา ๆคือนับอยา งวิธีคนตวงขาวเปลือก. จรงิ อยู คนตวงขาวเปลือก ตวงเต็มทะนานแลว บอกวา ๑ จึงเทลง เม่ือตวงเตม็ อกี พบหยากเยือ่ บางอยา ง เก็บมันทิ้งเสยีจงึ บอกวา ๑-๑. ในคําวา ๒-๒ เปนตน ก็นัยนี้. กลุ บุตรแมนี้ กฉ็ นั นัน้ เหมือนกนั บรรดาลมหายใจเขา และหายใจออก สวนใดปรากฏ พึงจับเอาสวนนั้นแลว พึงกําหนด ลมทีก่ ําลังผา นไป ๆ ตัง้ แตตน วา ๑-๑ ไป จนถงึ วา ๑.๑๐เมอ่ื กุลบตุ รนัน้ นับอยโู ดยวิธีอยางนี้ ลมอสั สาสะปส สาสะ ที่กําลงั ผานออกและผานเขา ยอมปรากฏ. ลาํ ดบั นั้น กุลบุตรน้ีควรละวธิ ีนับชา ๆ คือนบั อยางวธิ คี นตวงขา วเปลือกน้นั เสยี แลวพึงนบั โดยวิธีเร็ว ๆ คือนับอยา งวิธนี ายโคบาล. แทจ ริงนายโคบาลผูฉ ลาด เอากอ นกรวดใสพก มือถอื เชอื กและไมต ะพูดไปสูคอกแตเชา ตรู ตโี คทหี่ ลงั แลว นง่ั อยูบนเสาล่ิมสลกั นับแมโ คตัวมาถงึ ประตูแลว ๆใสก อนกรวดลงไปวา ๑-๒ เปนตน. ฝูงโคที่อยลู าํ บากในโอกาสทค่ี ับแคบตลอดราตรี ๓ ยาม เมื่อออก (จากคอก) เบยี ดเสยี ดกนั และกันรีบออกเปน

พระวินยั ปฎ ก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 356หมู ๆ. นายโคบาลน้ัน ยอมนบั อยา งรวดเรว็ ทเี ดียววา ๓ - ๔- ๕- ๑๐ เปนตน.แมเมอ่ื กุลบุตรน้ี นับอยโู ดยนัยกอนอยางวามาแลว น้ี ลมอสั สาสะและปส สาสะยอมปรากฏสญั จรไปมา อยางรวดเรว็ . ลาํ ดับนัน้ เธอรูอ ยูว า ลมอสั สาสะและปสสาสะ ยอมสัญจรไปมา อยา งรวดเรว็ แลวไมถอื เอาลมภายในและภายนอกพงึ่ กําหนดเฉพาะลมทีม่ าถึงชอง ๆ เทา นน้ั นบั อยางเรว็ ๆ ทเี ดียววา ๑-๒-๓-๔-๕- ๑-๒-๓-๔-๕-๖ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๑๐ เพราะวา ในกรรมฐานทีเ่ น่ืองดวยการนับ จิตยอมมีอารมณเปนหนึ่งไดดว ยกาํ ลงั แหงการนับเทานั้น ดจุ การหยดุ เรอื ไวใ นกระแสนาํ้ เช่ยี ว ดวยอํานาจท่ีเอาถอค้ําไวฉะนัน้ . เมือ่ เธอนับอยเู รว็ ๆ อยา งนีก้ รรมฐานยอ มปรากฏเปนดุจวา ดาํ เนนิ ไปไมขาดสาย. เวลาน้ัน ครน้ั เธอรวู า กรรมฐานดาํ เนินไปไมขาดสาย แลว อยากาํ หนดลมท้งั ภายในและภายนอก พงึ นบั เรว็ ๆ ตามนัยกอ นนั่นแล. เมื่อเธอสง จติ เขา ไปพรอมกบั ลมทเ่ี ขาไปภายใน ฐานภายใน ถกู ลมกระทบแลว ยอมเปน เหมอื นเตม็ ดวยมันขน ฉะน้ัน. เมอ่ื นําจติ ออกมาพรอ มกบัลมท่อี อกมาภายนอก จิตยอ มสายไปในอารมณมากหลายในภายนอก. แตภาวนายอมสาํ เรจ็ แกผตู ัง้ สตไิ ว ในโอกาสท่ีลมถูกตอ ง เจรญิ อยูเทานั้น. เพราะเหตุน้ัน ขา พเจาจึงกลาววา อยา กําหนดลมทง้ั ภายในและภายนอก พงึ นับเร็ว ๆตามนัยกอนนน่ั แล.

พระวินยั ปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 357 ถามวา จะพงึ นับลมอัสสาสะและปสสาสะนั่น นานเทา ไร ? แกว า พงึ นบั ไปจนกวา สติทีเ่ วนจากการนับ จะตง้ั ม่ันอยใู นอารมณคอื ลมอัสสาสะและปสสาสะ. เพราะวาการนับ ก็เพ่ือจะตัดวิตกท่ีพลา นไปในภานอก แลว ต้งั สตไิ วในอารมณ คอื ลมอสั สาสะและปส สาสะ..เทา นนั้ . [อธิบายเบอ้ื งตนทา มกลางและที่สดุ ลมหายใจเขาออก] พระโยคาวจร ครน้ั มนสกิ ารโดยการนับอยา งน้ันแลว พึงมนสกิ ารโดยการตามผกู . กริ ิยาท่หี ยุดพกั การนับ แลว สง สตไิ ปตามลมอัสสาสะและปส สาสะติดตอกันไป ชอ่ื วา การตามผกู . ก็แลการสงสตไิ ปตามนั้น. หาใชด วยอํานาจการไปตามเบอื้ งตน ทามกลาง และท่ีสุด (แหงลมอสั สาสะ) ไม. จริงอยู นาภี (สะดือ) เปน เบอ้ื งตน แหง ลมออกไปภายนอก หทยั (หัวใจ) เปนทา มกลาง นาสกิ (จมกู ) เปนท่สี ดุ ปลายนาสิก เปนเบื้องตน แหงลมเขาไปภายใน หทัย เปนทามกลาง นาภี เปน ท่สี ุด. ก็เมื่อพระโยคาวจรนน้ั ไปตามเบือ้ งตน ทา มกลาง และท่ีสดุ (แหงลมอัสสาสะและปส สาสะ) นั้น จติท่ถี ึงความฟงุ ซาน ยอมเปน ไปเพ่ือความกระวนกระวาย และเพ่ือความหว่นั ไหว.เหมือนอยา งท่ที า นพระธรรมเสนาบดสี ารบี ตุ รกลา วไววา เมอื่ พระโยคาวจรสงสติไปตามเบื้องตน ทา มกลางและทีส่ ดุ แหง ลมหายใจวา กายกด็ ี จิตกด็ ี ยอมความระส่ําระสาย หว่ันไหว และด้นิ รน เพราะจิตถงึ ความฟงุ ซานไปภายในเม่ือพระโยคาวจรสง สตไิ ปตามเบ้ืองตน ทามกลางและท่ีสดุ แหง ลมหายใจออกกายก็ดี จิตกด็ ี ยอ มมีความระสํา่ ระสาย หวั่นไหว และดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟง ซา นไปภายนอก*. เพราะฉะน้นั พระโยคาวจร เม่อื มนสกิ ารโดยการตามถกู ไมพงึ มนสกิ ารดวยอํานาจแหงเบื้องตน ทามกลางและทส่ี ดุ อนงึ่ แล* ขุ. ปฏิ. ๓๑/๒๙.

พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 358พึงมนสิการดว ยอํานาจการถูกตอ ง และดว ยอาํ นาจการหยดุ ไว เพราะวาไมม ีการมนสิการเปนแผนกหนงึ่ ดวยอาํ นาจแหง การถกู ตอ งและหยดุ ไว เหมือนกบัดวยอาํ นาจแหงการนับและการตามผกู . แตพ ระโยคาวจรเมอ่ื นบั อยใู นฐานท่ีลมถกู ตอ งแลว ๆ น่ันแหละชอื่ วา มนสกิ ารดว ยการนบั และการถกู ตอง. พระโย-คาวจร เมอ่ื หยดุ พกั การนบั ในฐานะทีล่ มถกู ตอ งแลว ๆ นนั้ น่นั แล ใชส ตติ ามผกู ลมอสั สาสะและปส สาสะน้ัน และตั้งจิตไวดวยอาํ นาจอัปปนา ทา นเรียกวามนสกิ ารดว ยการตามผกู การถูกตอ งและการหยุดไว. ใจความน้นี ้นั พึงทราบดวยขออุปมาเหมอื นคนงอ ยและคนรักษาประตู ที่ทานกลาวไวในอรรถกถาและดวยขอ อปุ มาเหมอื นเลอื่ ยท่ที า นพระธรรมเสนาบดีสารบี ุตรกลาวไวใ นปฏ-ิสัมภิทา. [ขออปุ มาเหมอื นคนงอยโลชงิ ชา] บรรดาขอ อปุ มา ๓ อยางนน้ั ขอ อปุ มาเหมอื นคนงอ ยโลชิงชามีดงั ทอไปนี้:- เปรยี บเหมือนคนงอ ยไกวชงิ ชา ใหแ ก มารดาและบุตรผเู ลน ชิงชาอยูแลวนั่งอยทู โ่ี คนเสาชิงชา ในทน่ี ้นั นน่ั เอง เมอื่ กระดานชิงชาไกวไปอยูโ ดยลําดบัยอ มเหน็ ทสี่ ุดท้งั สองขา งและตรงกลาง แตมไิ ดขวนขวายเพอ่ื จะดทู ส่ี ุดทงั้ สองขา งและตรงกลาง แมฉ นั ใด ภิกษนุ ีก้ ฉ็ นั นน้ั เหมือนกัน ยืนท่ใี กลโ คนเสาอันเขาไปผูกไวดวยอํานาจสติแลวโลชงิ ชาคอื ลมหายใจเขาและหายใจออก นงั่ อยูดวยสติ ในนมิ ติ นั้นน่ันเอง สงสตไิ ปตามเบ้ืองตน ทามกลางและทีส่ ุดแหงลมหายใจเขาและหายใจออก ในฐานะทล่ี มถูกตอ งแลว ซึง่ พดั ผานมาและผานอยโู ดยลาํ ดับ และตัง้ จิตเฉยไวในนิมิตน้นั และไมข วนขวายเพื่อจะแลดูลมเหลานน้ั . น้ีเปน ขออปุ มาเหมือนตนงอย.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 359 [ขออปุ มาเหมือนคนรักษาประตู] สว นขอ อปุ มาเหมือนคนรักษาประตมู ดี งั ตอไปนี้ :- คนรักษาประตูจะไมส อบสวนบุรษุ ทัง้ หลายท้ังภายในและภายนอกพระนครวา ทานเปน ใคร ?มาแตไหน ? จะไปไหน ? หรือวา ในมือของทานมอี ะไร ? ความจรงิ พวกมนษุ ยผ เู ดินไปท้ังภายในและภายนอกพระนครเหลาน้นั ไมใชห นา ที่ของคนรักษาประตนู นั้ แตเขายอ มสอบสวนเฉพาะคนผูมาถงึ ประตแู ลว ๆ เทา นั้น แมฉันใด ลมเขาไปขางในและลมท่ีออกไปขา งนอก ยอ มไมเ ปน หนาท่ีของภกิ ษุนี้ฉันน้นั เหมอื นกัน จะเปน หนา ทกี่ เ็ ฉพาะแตล มทมี่ าถงึ ชอ งแลว ๆ เทานน้ั . น้ีเปนขออุปมาเหมอื นคนรักษาประตู. [การกําหนดลมหายใจเปรียบเหมอื นเลอ่ื ย] สวนขออุปมาเหมือนเลือ่ ย ควรทราบจําเดิมแตตนไป. สมดงั คาํ ทที่ า นพระธรรมเสนาบดสี ารีบุตร กลาวไววา นิมติ ลมหายใจเขา และลมหายใจ ออก มิใชเปน อารมณแหง จติ ดวงเดียว และ เมอ่ื บุคคลไมร ธู รรมทัง้ ๓ ประการ ยอ มไม ไดภ าวนา (ภาวนายอ มไมส าํ เรจ็ ). นิมติ ลม หายใจเขา และลมหายใจออก มิใชเปน อารมณแ ตง จิตดวงเดยี ว และเมอ่ื บคุ คลรูซ ึง่ ธรรม ๓ ประการ ยอมไดภ าวนา. ถามวา ธรรม ๓ ประการเหลานี้ จะไมเ ปน อารมณแ หง จิตดวงเดียวและธรรม ๓ ประการเหลาน้ี จะไมปรากฏกห็ ามิได จิตจะไมถึงความฟงุ ซา นประธาน (ความเพียร) ยอ มปรากฏ แลพระโยคาวจรจะทําประโยคใหส าํ เร็จไดบรรลุคุณวเิ ศษอยางไร.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 360 แกวา เปรยี บเหมอื นตน ไมท เี่ ขาวางไวบนภาคพน้ื ทเ่ี รียบเสมอ บรุ ุษเอาเลอ่ื ยเลอ่ื ยตน ไมนัน้ สตขิ องบรุ ุษ ยอมปรากฏ ดวยอํานาจแหงฟน เลื่อยที่ถกู ตนไม และเขายอมไมไดใฝใ จถึงฟน เลื่อยทีผ่ านมาหรอื ผานไป ทั้งฟนเลอื่ ยท่ผี านมาหรือผา นไป จะไมปรากฏก็หามิได ประธาน (ความเพียรในการตดั ตนไม) ยอ มปรากฏ และเขายอมใหประโยค (กิรยิ าทตี่ ัดตน ไมน้ัน)สาํ เรจ็ ได*. นิมติ คือสตเิ ปนเคร่อื งเขาไปผกู ไว เปรยี บเหมอื นตนไมที่เขาวางไวบนภาคพนื้ ที่เรยี บเสมอ. ลมหายใจเขาและลมหายใจออก เปรยี บเหมือนฟนเล่อื ย. ภิกษุน่ันตั้งสตไิ วมน่ั ทปี่ ลายจมูกหรอื ท่รี ิมผปี าก ยอมไมใฝใ จถึงลมหายใจเขา และหายใจออกทผี่ า นมาหรือท่ผี า นไป ลมหายใจเขาและลมหายใจออกที่ผา นมาหรือผา นไป จะไมปรากฏก็หามิได ประธาน ยอ มปรากฏและภิกษุนน้ั ยอมใหป ระโยคสําเร็จได ทงั้ บรรลคุ ุณพเิ ศษดวย เหมือนบุรุษตั้งสติไว ดวยอาํ นาจแหง ฟนเลอ่ื ยซ่งึ ถูกตน ไม เขายอ มไมไดใ ฝใ จถึงฟนเล่ือยที่ผา นมาหรือท่ีผา นไป ทง้ั ฟน เลอ่ื ยทผี่ า นมาหรือผานไป จะไมปรากฏกห็ ามิไดประธานยอมปรากฏ และเขายอมทําประโยคใหสําเรจ็ ได ฉะนนั้ . คําวาประธาน ความวา ประธานเปนไฉน ? กายกด็ ี จิตกด็ ี ของภิกษผุ ูปรารภความเพียรยอ มควรแกการงาน, น้ีเปนประธาน. ประโยค เปน ไฉน ? ภกิ ษุผูปรารภความเพียร ยอ มละอปุ กเิ ลสได วติ กยอ มสงบไป, น้เี ปน ประโยค. คุณพิเศษเปน ไฉน ? ภกิ ษุผูป รารภความเพยี ร ยอ มละสงั โยชนได อนุสัยยอมหมดสิ้นไป, นเี้ ปน คุณพิเศษ. ธรรม ๓ ประการเหลานี้ ยอ มไมเปนอารมณแ หงจิตดวงเดียว และธรรม ๓ ประการเหลาน้ี จะไมปรากฏกห็ ามไิ ด, จิตยอ มไมถ ึงความฟงุ ซาน, ประธาน (ความเพยี ร) ยอ มปรากฏ, และพระโยคาวจร ทาํใหป ระโยค (การหมน่ั ประกอบภาวนา) สาํ เรจ็ ได ทัง้ ไดบ รรลคุ ณุ พเิ ศษดว ย.* บาลที ี่มาเดมิ มศี ัพทวา วิเสสมธจิ ฺฉติ. ขุ. ปฏิ. ๓๑/๒๕๗.

พระวินัยปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 361 ภิกษุใด เจริญอานาปานสั สตใิ ห บริบรู ณด ี อบรมมาโดยลําดบั ตามที่พระ พุทธเจาทรงแสดงไวแลว , ภิกษุนั้นยอ มทํา โลกนี้ใหส วา งได เหมอื นพระจนั ทรพนแลว จากหมอก ฉะนนั้ แล.*ขอน้อี ุปมาเหมอื นเลือ่ ย. กใ็ นขออปุ มาเหมือนเลอ่ื ยนี้ พึงทราบวา เหตเุ พียงไมใฝใ จดวยอํานาจสมหายใจเขา และลมหายใจออก ท่ีผา นมาแลว ๆ เทานนั้ เปน ประโยชนแกภิกษุนัน้ . กรรมฐานนเี้ มอ่ื ภิกษบุ างรูป มนสกิ ารนมิ ติ ยอมเกดิ ขึน้ โดยไมชักชา เลย และฐปนา กลา วคอื อปั ปนา ซ่ึงประกอบดวยองคฌานท่เี หลอื ก็ยอ มสําเรจ็ . แกสําหรับภกิ ษุบางรปู มจี ําเดิมแตเวลามนสกิ ารโดยอาํ นาจการนบัน่นั แล คือตั้งแตเวลาทาํ ไวใ นใจดว ยอํานาจการนบั เมื่อความกระวนกระวายทางกายสงบไป ดว ยอํานาจลมหายใจเขา และหายใจออกท่ีหยาบดับไปโดยลาํ ดบั กายกด็ ี จติ ก็ดี ยอ มเปน ของเบา รา งกายยอ มเปน ดจุ ถงึ อาการลอยขน้ึไปในอากาศเหมอื นภกิ ษผุ มู ีกายกระสับกระสา ย เม่ือนงั่ ลงบนเตียงหรือต่ังเตยี งและตงั่ ยอ มโอนเอน คดงอไป เคร่อื งปลู าดยอ มยนเปน เกลียว, แตเ ม่ือเธอมีกายไมกระสบั กระสาย นน่ั ลง เตยี งและต่ังยอ มไมโอนเอน ไมค ดงอเคร่ืองปูลาดก็ไมย น เปน เกลยี ว, เตียงตัง่ เปน เหมอื นเตม็ ดว ยปยุ นุน, เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุวา กายไมก ระสบั กระสาย ยอ มเปนของเบาฉะน้ัน. เมอื่ลมอสั สาสะและปส สาสะทหี่ ยาบดบั ไปแลว จติ ของภกิ ษุนัน้ มีนมิ ิต คือ ลมดบั ไปแลว จติ ดวงตอ ๆ ไป ซึ่งมีอารมณค ือนิมติ ทล่ี ะเอยี ดจนละเอยี ดกวาจิต* ขุ. ปฏิ. ๓๑/๒๕๗-๒๕๘.

พระวินัยปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 362 ถามวา จติ ควงตอ ๆ ไป ยอมเปนไปอยางไร ? แกว า เปรยี บเหมือนบุรษุ พงึ เอาชเี่ หล็กทอ นใหญตีกังสดาล ดว ยการตเี พียงคร้งั เดียว เสียงดัง พึงเกดิ ขึน้ , จติ ของบุรุษนั้น ซ่งึ มีเสียงดงั(หยาบ) เปน อารมณ พงึ เปนไป, เมอื่ เสยี งดงั ดบั ไป ตอ จากนัน้ ภายหลงัจิตซง่ึ มเี สียงละเอียดเปนอารมณ พงึ เปนไป, แมเ ม่อื จิตซ่งึ มีนมิ ิต คอื เสยี งละเอยี ดเปน อารมณน นั้ ดับไปแลว จิตดวงตอ ๆ ไป ซึ่งมอี ารมณคอื นมิ ิตที่ละเอยี ดจนละเอียดกวา จิต ซึง่ มีนมิ ติ คอื เสียงละเอียด เปน อารมณนั้น ยอมเปน ไปทเี ดยี ว ฉนั ใด, จติ ซงึ่ มีนมิ ิตคือลมอสั สาสะและปส สาสะเปนอารมณน ั้นบัณฑติ พงึ ทราบวา ยอ มเปนไปฉนั นั้น. แมข อ น้ีสมจริงดังคาํ ท่พี ระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รกลาวไวว า เปรยี บเหมอื นบคุ คลตีกงั สดาล (เสยี งดงั คอื เสยี งหยาบ ยอมกระจายไปกอ น)* ดงั น้ี เปนตน . ควรใหพ ิสดาร. เหมอื นอยา งวากรรมฐานเหลาอื่น ยอมปรากฏชัดในชัน้ สูง ๆ ขนึ้ ไป ฉนั ใด, อานาปานสั สติกรรมฐานนี้จะเปน ฉันน้นั กห็ ามิได. แตอ านาปานัสสตกิ รรมฐานน้ี เมือ่ ภิกษุเจรญิ ๆ ในชั้นสูงขึน้ ไป ยอมถึงความเปนของละเอียด คือจะไมถ งึ แมความปรากฏ. ก็เมื่อกรรมฐานนัน้ ไมป รากฏอยอู ยา งนั้น ภกิ ษนุ ้ันไมควรลุกขน้ึจากอาสนะ ตบทอ นหนังไปเสยี . ไมค วรลกุ ขึ้น ดว ยคดิ วา จะพึงทาํ อยางไร ?เราจกั ถามพระอาจารย หรือวา บดั นก้ี รรมฐานของเราเสอื่ มแลว . จริงอยูเม่อื เธอใหอ ิริยาบถกาํ เรบิ เดนิ ไป กรรมฐานยอ มปรากฏเปนของใหม ๆ เร่ือยไป; เพราะเหตนุ ั้น ควรนง่ั อยตู ามเติมนนั่ แหละ นํากรรมฐานมาจากทถี่ ูกตอ งตามปกติ.* ขุ. ปฏิ. ๓๑/๒๗๙.

พระวินยั ปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 363 [อบุ ายเปนเหตนุ าํ อานาปานัสสตกิ รรมฐานมา] ในอธิการวา ดวยอานาปานัสสตกิ รรรมฐานนนั้ มีอุบายเปน เคร่อื งนาํ มาดังตอไปนี้:- จรงิ อยู ภิกษุน้ัน รวู ากรรมฐานไมปรากฏ ควรพจิ ารณาสาํ เหนียกอยางน้ีวา ชอ่ื วา ลมหายใจเขาและหายใจออกนี้ มอี ยใู นท่ีไหน ? ไมมใี นทไ่ี หน ของใครมี ? ของใครไมมี ? ภายหลงั เมือ่ ภกิ ษุนัน้ พจิ ารณาดอู ยอู ยางนี้ ก็รูไ ดว า ลมหายใจเขาและหายใจออกน้ี (ของทารกผอู ยู) ภายในทองของมารดา ไมมี พวกชนผูดาํ นา้ํ ก็ไมม.ี พวกอสญั ญีสตั ว คนตายแลว ผเู ขาจตตุ ถฌาน ทา นผพู รอ มเพรียงดว ยรูปภพและอรูปภพ ทา นเขา นโิ รธ ก็ไมม ีเหมอื นกัน แลว พึงตกั -เตือนตนดว ยตนเองอยา งน้วี า แนะ บณั ฑิต ! ตวั เธอไมใชผ อู ยใู นทองของมารดาไมใชผ ูดํานํ้า ไมใ ชเปนอสญั ญีสัตว ไมใชคนตาย ไมใ ชผูเ ขาจตุตถฌานไมใ ชผ พู รอ มเพรยี ง ดวยรปู ภพ และอรปู ภพ ไมใ ชผเู ขานิโรธ มิใชหรอื ?ตวั เธอยังมีลมหายใจเขาและหายใจออกอยแู ท ๆ, แตต ัวเธอก็ไมสามารถจะกาํ หนดได เพราะยังมปี ญญาออ น. ภายหลัง เธอนน้ั ควรตัง้ จติ ไวดว ยอํานาจทล่ี มถูกตองโดยปกตินนั่ เองใหม นสิการเปนไป. จรงิ อยู ลมหายใจเขาและหายใจออกนี้ กระทบโครงจมูกของผมู ีจมกู ยาวผานไป, กระทบริมฝปากขา งบนของผูม จี มูกสัน้ ผา นไป. เพราะฉะนั้น เธอนั่น จงึ ควรตัง้ นมิ ิตไววา ลมหายใจเขาและหายใจออก ยอ มกระทบฐานช่อื น้.ี ความจรงิ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงอาศยั อาํ นาจประโยชนน้แี ล จงึ ตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ! เราไมกลาวการเจรญิ อานาปานสั สติแกภ ิกษุผูห ลงลืมสติ ไมร สู กึ ตวั อย.ู ** ม. อุป. ๑๔/๑๙๖-๗.

พระวินัยปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 364 จริงอยู กรรมฐานอยา งใดอยางหน่งึ ยอมสาํ เรจ็ แกผมู สี ติ มคี วามรูตัวเทาน้นั แมก็จริง, ถึงกระนนั้ กรรมฐานอยางอ่ืน นอกจากอานาปานัสสติกรรมฐานน้ี ยอมปรากฏไดแ กผทู ม่ี นสิการอย.ู แตอ านาปานสั สติกรรมฐานนี้เปนภาระหนกั เจรญิ สาํ เรจ็ ไดย าก ทั้งเปน ภูมแิ หง มนสกิ าร ของมหาบรุ ษุทงั้ หลาย คอื พระพทุ ธเจา พระปจ เจกพทุ ธเจา และพุทธบุตรเทานั้น,ไมใชเปน กรรมฐานตํา่ ตอย, ทัง้ มไิ ดเ ปน กรรมฐานที่สัตวผ ูตํา่ ตอ ยซองเสพ,เปนกรรมฐานสงบและละเอยี ด โดยประการทีม่ หาบรุ ษุ ทงั้ หลายยอ มทาํ ไวใ นใจ ; เพราะฉะนนั้ ในอานาปานสั สติกรรมฐานน้ี จําตองปรารถนาสตแิ ละปญญาอนั มกี ําลัง. เหมือนอยางวา ในเวลาชุนผา สาฎกเนอ้ื เกลี้ยง แมเขม็ ก็จาํ ตอ งปรารถนาอยา งเล็ก, แมด า ยซึง่ รอยในบวงเข็ม ก็จาํ ตองปรารถนาเสน ละเอยี ดกวา นั้น ฉันใด, ในเวลาเจรญิ กรรมฐานนี้ ซ่ึงเปนเชน กับผา สาฎกเนื้อเกลี้ยงกฉ็ นั นัน้ เหมือนกัน สตมิ สี ว นเปรียบดวยเขม็ ก็ดี ปญ ญาทสี่ ัมปยตุ ดวยสตนิ ัน้มีสว นเปรียบดวยดายรอ ยบว งเข็มก็ดี จาํ ตองปรารถนาใหมีกําลงั . ก็แล ภกิ ษุผูป ระกอบดว ยสติและปญ ญานั้นแลว ไมจาํ ตองแสวงหาลมหายในเขาและหายในออกนั้น นอกจากโอกาสที่ลมถกู ตอ งโดยปกติ. เปรียบเหมือนชาวนาไถนาแลวปลอ ยพวกโคถกึ ใหบ า ยหนาไปสทู ่หี ากนิ แลว พึงน่ังพกั ท่รี ม ไม, คราวนัน้ พวกโคถกึ เหลา นน้ั ของเขาก็เขาดงไป โดยเรว็ . ชาวนาผฉู ลาด ประสงคจ ะจับโคถึกเหลานน้ั มาเทยี มไถอีก จะไมเดินคามรอยเทาโคถึกเหลา น้ันเขาไปยังดง, โดยทแ่ี ท เขาจะ ถอื เอาเชอื กและประตกั เดินตรงไปยังทาน้าํ ซึ่งโคถึกเหลานนั้ ลงทีเดยี ว นง่ั หรอื นอนคอยอย.ู เวลานน้ั เขาไดเ ห็นโคเหลาน้นั ซึ่งเท่ียวไปสิ้นท้ังวัน แลวลงไปสทู านาดื่มอาบและกนิ นํ้าแลวข้นึ มายนื อยู จงึ เอาเชือกผูกแลว เอาประตักทิ่มแทง นําไปเทยี ม (ไถ) ทําการ

พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 365งานอกี ฉนั ใด ภิกษุนนั้ ก็ฉันนนั้ เหมอื นกนั ไมจ าํ ตอ งแสวงหาลมหายใจเขาและหายใจออก นอกจากโอกาสท่ลี มถกู ตองโดยปกติ แตพึงถือเอาเชือก คือสติ และประตกั คือปญญาแลว ตัง้ จิตไวใ นโอกาสที่ลมถูกตองโดยปกติ ยังมนสกิ ารใหเ ปนไป. เพราะวา เมอื่ เธอมนสิการอยูอยางนั้น ตอ กาลไมน านเลยลมหายใจเขา และหายใจออกน้ัน จะปรากฏดุจพวกโคปรากฏท่ีทาลงด่มื ฉะน้นั .ในลําดับน้นั เธอพึงเอาเชอื กคอื สติผูกประกอบไวในท่นี นั้ นัน่ แหละ แลวแทงดว ยประตักคือปญญาตามประกอบกรรมฐานอีก. เมอื่ เธอหมน่ั ประกอบอยูอยางนน้ั ตอ กาลไมน านเลย นมิ ิตจะปรากฏ. อาจารยบางพวกกลา วไววา ก็นมิ ิตนนี้ น้ั ยอ มไมเปนเชน เดยี วกันแกพ ระโยคาวจรทุกรูป. อนึ่งแล นมิ ติ น้นั ยอมปรากฏแกพระโยคาวจรบางรปูดุจปุยนนุ ดจุ ปุยฝา ย และดุจสายลม ใหเ กดิ สุขสมั ผัส. สว นวนิ ิจฉยั ในอรรถกถา มีดังตอไปน้ี :- จริงอยู นมิ ติ นี้ ยอ มปรากฏแกพ ระโยคาวจรบางรปู ดจุ ดวงดาว ดจุ พวงแกว มณี และดจุ พวงแกวมกุ ดา บางรูปปรากฏเปนของมสี ัมผสั หยาบ ดจุ เมล็ดฝา ย และดจุ เสยี้ นไมแ กน ,บางรปู ปรากฏเปน ของสายสังวาลท่ยี าว ดจุ พวงแหงดอกคาํ และดุจเปลวควันไฟ, ปางรปู ดจุ ใยแมลงมมุ ท่กี วา ง ดจุ ชอกลบี เมฆ ดุจดอกปทุม ดุจลอรถดจุ มณฑลจันทร และดจุ มณฑลพระอาทิตย ฉะนั้น. ก็แล กรรมฐานนีน้ ้นั เปนอนั เดยี วกนั แท ๆ แตป รากฏโดยความตางกนั เพราะมีสญั ญาตางกนั เหมือนบรรดาภกิ ษุหลายรปู ดวยกัน นั่งสาธยายพระสตู รอยู เมอื่ ภิกษุรูปหนง่ึ พูดวา พระสตู รนี้ ยอ มปรากฏแกพ วกทานเปนเชน ไร ? รูปหนง่ึ พูดวา ยอมปรากฏแกผม เปน เหมือนแมน ้ําไหลตกจากภูเขาใหญ, อีกรูปอ่นื พดู วา ยอ มปรากฏแกผ ม เปนเหมอื นแนวปา แหงหน่งึ ,

พระวนิ ยั ปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 366รูปอื่นพูดวา ยอ มปรากฏแกผม เปนเหมอื นรกุ ชาตทิ ี่เพยี บพรอมดวยภาระคือผลไม ซึง่ มีรมเงาเยน็ สมบรู ณดวยกิ่ง. จรงิ อยู พระสูตรของเธอเหลานัน้กเ็ ปน สตู รเดียวกันนนั่ เอง แตป รากฏโดยความเปนของตางกัน เพราะมีสญั ญาตางกัน ฉะน้ัน. ความจรงิ กรรมฐานน้ี เกิดแตส ัญญา มสี ัญญาเปน ตนเหตุมีสญั ญาเปน แดนเกดิ ; เพราะฉะนน้ั พงึ ทราบวา ยอมปรากฏโดยความตา งกันเพราะมสี ญั ญาตา งกัน. [ธรรม ๓ อยา งมีบรบิ ูรณกรรมฐานจึงถึงอัปปนา] ก็ บรรดาลมหายใจเขา หายใจออก และนมิ ติ นี้ จติ ทมี่ ลี มหายใจเขาเปน อารมณ ก็อยา งหน่งึ ตา งหาก จติ ทมี่ ีลมหายใจออกเปน อารมณ ก็อยา งหน่งึจิตทม่ี นี ิมิตเปน อารมณ ก็อยา งหน่ึง. จรงิ อยู กรรมฐานของภกิ ษผุ ูไมม ธี รรม๓ อยา งนัน้ ยอ มไมถึงอปั ปนา ไมถงึ อุปจาระ. สวนกรรมฐานของภกิ ษุผูมีธรรม ๓ อยางน้ี ยอ มถึงอัปปนาและอปุ จาระดวย. สมจริงดงั คาํ ท่ีทานพระ-ธรรมเสนาบดีสารบี ตุ รกลา วไววา นิมติ ลมหายใจเขา และลมหายใจ ออก มิใชเปนอารมณแ หงจิตดวงเดยี ว, และ เม่ือภกิ ษุไมรธู รรม ๓ ประการ ยอมไมได ภาวนา (ยอมไมส ําเร็จ), นิมติ ลมหายใจเขา และลมหายใจออก มิใชเ ปนอารมณแหงจิต ดวงเดียว, และเมื่อภกิ ษุรซู งึ่ ธรรม ๓ ประการ ยอมไดภาวนา.* พระอาจารยท ้งั หลาย ผูก ลาวทฆี นกิ าย ไดก ลาวไวอ ยา งน้ีกอ นวา ก็เม่อื นมิ ติ ปรากฏแลวอยางน้ัน ภิกษนุ ั้นควรไปสํานกั ของอาจารย แลว บอกวา* ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/๒๕๗.

พระวินยั ปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 367นมิ ิตชอื่ เห็นปานนี้ ยอมปรากฏแกผมขอรบั สว นอาจารยไมค วรพดู วา นั่นเปนนิมิต หรือวา ไมใชนมิ ติ ควรพูดวา ยอมเปน อยา งนน้ั ละ คณุ ! แลวพึงพดู วา คณุ จงมนสิการบอย ๆ. จริงอยเู มื่ออาจารยพ ูดวา เปน นิมิต เธอจะพงึ ถึงความถอยหลัง, เม่ืออาจารยพ ดู วา ไมใชน ิมิต เธอก็จะเปนผหู มดหวังจมอยู, เพราะเหตนุ ั้น ไมค วรพูดแมท ้ังสองอยางนั้น. ควรประกอบเธอนั้นไวใ นมนสกิ ารน่ันแล. สวนอาจารยทัง้ หลายผูกลา วมชั ฌิมนิกายไดก ลาวไวว าเธอ อันอาจารยพึงพูดวา น้ีเปนนมิ ติ คณุ ! ขอใหค ณุ จงมนสิการกรรมฐานบอ ย ๆ เถิดสตั บรุ ุษ ! ภายหลงั เธอรูปนน้ั พงึ ตัง้ จิตไวใ นนมิ ติ น่ันเอง. จําเดิมแตป ฏิภาค-นมิ ติ เกดิ ขนึ้ นี้ ภาวนานี้ของเธอรูปนน้ั ยอ มมไี ดด ว ยอาํ นาจการตัง้ ไวดวยประการอยางน.้ี สมจรงิ ดังคําที่พระโบราณาจารยท ง้ั หลายกลาวไวว า พระโยคผี ูเปนธรี ชน เมื่อต้ังจิตไว ในนิมติ เจรญิ ลมหายใจเขา และหายใจออก ซงึ่ มีอาการตาง ๆ อยชู ื่อวา ยอ มผูกจติ ของ ตนไว. จําเดมิ ตงั้ แตนมิ ิตปรากฏ โดยนยั ดังกลา วแลว น้ัน นวิ รณท้งั หลายยอมเปนอนั พระโยคนี ้ันขม ไดโ ดยแท กเิ ลสทง้ั หลาย สงบน่งิ สติเขาไปต้ังมั่นทีเดียว จิตกต็ ง้ั ม่ัน เชนกนั . [จิตยอ มตัง้ มน่ั เปนสมาธดิ ว ยองค] จริงอยู จิตน้ี ยอ มชอื่ วา เปนธรรมชาตติ ้งั ม่ัน ดว ยองค ๒ คือ ดว ยการละนิวรณในอปุ จารภมู ิ หรือดว ยความปรากฏแหงองคใ นปฏลิ าภภูม.ิบรรดาภูมิ ๒ อยา งน้ัน ทช่ี อ่ื วา อุปจารภูมิ ไดแ ก อปุ จารสมาธ.ิ ทชี่ อื่ วาปฏิลาภภมู ิ ไดแก อัปปนาสมาธิ.

พระวินยั ปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 368 ถามวา สมาธทิ ้ังสองน้ัน มีการทําตา งกันอยา งไร ? แกวา อุปจารสมาธิ แลนไปในกุศลวถิ แี ลว ก็หยง่ั ลงสูภวังค.อัปปนาสมาธิ เมื่อพระโยคนี ง่ั แนบสนทิ ตลอดท้ังวัน แลนไปในกุศลวถิ แี มตลอดทัง้ วนั กไ็ มหยงั่ ลงสูภวังค. บรรดาสมาธิ ๒ อยา งเหลา น้ี จติ ยอมเปนธรรมชาติตั้งมัน่ ดวยอุปจารสมาธิ เพราะนิมิตปรากฏ. ภายหลัง ภกิ ษุน้ีไมพ ึงมนสิการนิมิตนั้นโดยสี ทั้งไมพงึ พจิ ารณาโดยลกั ษณะ. ก็อกี อยา งหนึง่ แลเธออยาประมาท ควรรักษานมิ ติ ไว ดุจพระมเหสีของกษตั ริย ทรงรกั ษาครรภแหง พระเจา จักรพรรดิ และดุจชาวนารกั ษารวงแหงขา วสาลแี ละขา วเหนยี วฉะนนั้ . จริงอยู นมิ ิตที่รกั ษาไวได ยอมจะอาํ นวยผลแกเธอ. เมื่อพระโยครี ักษานิมิตไวไ ด จะไม มคี วามเสือ่ ม จากอุปจารฌานที่ตนไดแ ลว เมอื่ ไมมกี ารอารกั ขา (นมิ ติ ) ฌานทตี่ นได แลว ๆ กจ็ ะพนิ าศไป ฉะน้แี ล. [อุบายสาํ หรับรักษาอานาปานสั สตกิ รรมฐานไมใหเ ส่อื ม] ในอธกิ ารแหง อานาปานสั สตกิ รรมฐานนั้น มอี บุ ายสาํ หรับรักษาดังตอ ไปน:้ี - ภกิ ษนุ ้นั ควรเวน อสปั ปายะ ๗ อยา งเหลาน้ี คือ อาวาส ๑โคจร ๑ การสนทนา ๑ บุคคล ๑ โภชนะ ๑ ฤดู ๑ อิริยาบถ ๑ แลวเสพสปั ปายะ ๗ อยา งเหลานน้ั นนั่ แล มนสิการนิมติ น้ันบอ ย ๆ. พระโยคนี ั้น ครัน้ ทํานิมิตใหม ่ันคงดว ยการเสพสปั ปายะอยางน้ันแลวควรรอคอยความเจรญิ งอกงามไพบลู ย บาํ เพ็ญความเพยี รไมล ะท้ิงอัปปนาโกศล๑๐ อยางเหลา นนั้ คือ ทําวตั ถใุ หสละสลวย ๑ ประคองอนิ ทรียใหเ ปนไปเสมอ ๑ฉลาดในนมิ ิต ๑ ขมจิตในสมัยทคี่ วรขม ๑ ประคองจติ ในสมัยทีค่ วรประคอง ๑

พระวินยั ปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 369ปลอบจติ ใหรา เรงิ ในสมัยทีค่ วรปลอบจติ ใหราเรงิ ๑ เพง ดูจติ ในสมยั ทคี่ วรเพงดู ๑ เวน บคุ คลผมู ีจิตไมต งั้ ม่ัน ๑ เสพบคุ คลผูมีจิตตง้ั ม่ัน ๑ นอมไปในสมาธนิ ั้น ๑. เม่อื พระโยคีน้ันหมัน่ ประกอบโดยนยั ดงั กลา วมาอยางนอี้ ยู มโนทวารา-วัชชนะ ซึง่ มนี มิ ติ เปนอารมณ ตดั ภวังคแ ลว ก็เกิดข้ึนขณะที่ควรกลา ววาอปั ปนา จักเกิดข้ึนในบดั น้.ี ก็เม่ือมโนทวาราวชั ชนะนัน้ ดับไป บรรดาชวนะทงั้ หลาย ๔ หรือ ๕ ควง ยดึ เอาอารมณน นั้ นัน่ แลแลนไป ซงึ่ ชวนะดวงแรกช่อื บรกิ รรม ท่ี ๒ ช่อื อุปจาระ ที่ ๓ ชอื่ อนโุ ลม ท่ี ๔ ช่อื โคตรภู ท่ี ๕ ชื่ออัปปนาจิต อีกอยา งหน่ึง ควงแรกเรยี กวา บริกรรมและอปุ จาระ ที่ ๒ เรียกวาอนุโลม ที่ ๓ เรียกวา โคตรภู ท่ี ๔ เรียกวา อปั ปนาจิต. จริงอยู ชวนะดวงที่ ๔ เทา นน้ั บางทที ี่ ๕ ยอ มเปน ไป* ไมถึงดวงท่ี ๖ หรอื ท่ี ๗ เพราะอาสนั นภวงั ค (ภวงั คใ กลอ ปั ปนา) ตกไป. สวนพระโคทตั ตเถระ ผูชํานาญอภิธรรม กลา วไวว า กุศลธรรมท้ังหลาย ยอ มเปน ธรรมมีกําลงั โดยอาเสวนปจ จยั เพราะฉะนั้น ชวนะยอมถึงท่ี ๖ หรือที่ ๗. คาํ นนั้ ถกู คัดคา นในอรรถกถาท้ังหลาย. ในชวนจติ เหลาน้ันจติ ทีเ่ ปน บุรพภาค เปน กามาวจร สว นอปั ปนาจติ เปนรูปาวจร. ปฐมฌานซึ่งละองค ๕ ประกอบดวยองค ๕ สมบูรณด ว ยลักษณะ ๑๐ มคี วามงาม ๓ยอ มเปนอนั พระโยคีน้ีบรรลแุ ลว โดยนยั ดงั กลาวมาฉะน.ี้ เธอยงั องคฌานทงั้ หลาย มีวิตกเปนตน ใหส งบราบดาบในอารมณน้ันนนั่ เอง ยอมบรรลฌุ านที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔. และดวยเหตุมีประมาณเพยี งนี้ เธอยอ มเปน ผถู ึงท่ีสุดแหงภาวนา ดวยอํานาจแหง การหยดุ ไว. ในอธกิ ารนี้ มีสงั เขปกถาเทา นี้ สวน* โยชนา ๑/๓๓๘ แก อปเฺ ปติ เปน ปวตฺตติ

พระวินัยปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 370นักศกึ ษาผูตองการความพสิ ดาร พึงถือเอาจากปกรณว เิ สส ช่อื วสิ ทุ ธมิ รรคเถดิ . สวนในกายานปุ สสนาน้ี ภิกษุผูบ รรลจุ ตุตถฌานแลวอยางนนั้ มีความประสงคที่จะเจริญกรรมฐาน ดว ยอาํ นาจการกําหนดและการเปลย่ี นแปลง แลวบรรลคุ วามหมดจด กระทําฌานนน้ั นนั่ แล ใหถงึ ความชาํ นิชํานาญ (วสี)ดว ยอาการ ๕ อยาง กลาวคอื อาวัชชนะ การราํ พึง สมาปช ชนะ การเชาอธิฏฐานะ การทั้งใจ วฏุ ฐานะ การออก และ ปจจเวกขณะ การพจิ ารณาแลว กาํ หนด รูปและอรปู วา รูป มีอรูปเปนหัวหนา หรอื อรปู มรี ปู เปนหัวหนาแลว เริม่ ตงั้ วปิ ส สนา. ถามวา เร่มิ ตง้ั วปิ สสนาอยา งไร ? แกว า จรงิ อยู พระโยคีนน้ั ครั้นออกจากฌานแลว กาํ หนดองคฌานยอ มเหน็ หทัยวตั ถุ ซึ่งเปนทีอ่ าศยั แหง องคฌ านเหลานนั้ ยอมเห็นภูตรูป ซ่งึเปน ที่อาศัยแหงหทยั วตั ถุน้นั และยอมเหน็ กรชั กายแมท ั้งสน้ิ ซง่ึ เปน ท่ีอาศยัแหง ภูตรูปเหลาน้ัน. ในลําดับแหงการเหน็ นัน้ เธอยอ มกําหนดรูปและอรปู วาองคฌ านจดั เปนอรูป, (หทยั ) วัตถุเปน ตนจดั เปนรปู . อกี อยางหนึ่ง เธอนน้ัคร้นั ออกจากสมาบตั ิแลว กาํ หนดภูตรูปทั้ง ๔ ดว ยอาํ นาจปฐวธี าตุเปนตน ในบรรดาสวนท้งั หลายมีผมเปน อาทิ และรปู ซึ่งอาศยั ภูตรปู นั้น ยอ มเหน็ วิญญาณพรอ มทั้งสมั ปยุตธรรมซึ่งมีรปู ตามท่ตี นกําหนดแลวเปน อารมณ หรอื มีรปู วัตถุและทวารตามท่ตี นกาํ หนดแลว เปนอารมณ. ลาํ ดบั น้ัน เธอยอ มกาํ หนดวาภตู รปู เปนตน จัดเปน รปู , วิญญาณที่มสี ัมปยุตธรรม จัดเปนอรูป. อีกอยา งหนง่ึเธอครนั้ ออกจากสมาบตั แิ ลว ยอ มเห็นวา กรัชกายและจิตเปนท่เี กิดข้ึนแหงลมอัสสาสะและปสสาสะ. เหมือนอยางวา เม่อื สูบของชา งทองยงั สบู อยู ลมยอ มสัญจรไปมา เพราะอาศัยการสูบ และความพยายามอันเกิดจากการสูบน้ัน

พระวินัยปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 371ของบุรุษ ฉันใด, ลมหายใจเขาและหายใจออก ยอมเขา ออก เพราะอาศยักายและจติ ฉนั นนั้ เหมอื นกันแล. ลําดบั น้นั เธอกาํ หนดลมหายใจเขา หายใจออกและกายวา เปนรปู , กําหนดจิตนั้นและธรรมที่สมั ปยตุ ดว ยจิตวา เปน อรปู .ครนั้ เธอกําหนดนามรปู ดว ยอาการอยา งนัน้ แลว ยอมแสวงหาปจ จยั แหงนามรปูน้ัน. และเธอเมื่อแสวงหาอยู ก็ไดเ หน็ ปจ จัยมอี วชิ ชาและตัณหาเปนตนนน้ั แลวยอ มขามความสงสัยปรารภความเปน ไปแหงนามรูปในกาลท้งั ๓ เสยี ได. เธอนนั้ ขามความสงสยั ไดแ ลว ยกไตรลักษณขนึ้ ดวยอํานาจพิจารณากลาป ละวปิ สสนูปกิเลส ๑๐ อยา ง มีโอภาสเปน ตน ซึ่งเกิดข้นึ แลว ในสว นเบื้องตน ดวยอทุ ยพั พยานุปสสนา (การพิจารณาเหน็ ความเกดิ และความดบั )กาํ หนดปฏิปทาญาณท่ีพนจากอุปกเิ ลสวา เปน มรรค ละความเกิดเสีย ถึงภังคานปุ สสนา (การพิจารณาเหน็ ความดบั ) เบอื่ หนายคลายกาํ หนดั พนไปในสรรพสงั ขาร ซึง่ ปรากฏโดยความเปน ของนากลวั ดวยพจิ ารณาเหน็ ความดับติดตอ กันไป ไดบ รรลอุ ริยมรรคท้งั ๔ ตามลําดับ แลวตั้งอยใู นพระอรหัตผลถึงทส่ี ดุ แหงปจ จเวกขณญาณ ๑๙ อยาง เปน อัครทักขิไณยแหง โลก พรอมทงั้เทวดา. ก็การเจริญอานาปานสั สตสิ มาธิ ของภกิ ษผุ ูประกอบในอานาปาน-กรรมฐานนนั้ ตั้งตน แตการนับ จนถึงมรรคผลเปน ท่ีสดุ จบบรบิ รู ณเพยี งเทา น้แี ล. นี้พรรณนาปฐมจตุกกะโดยอาการทุกอยา ง ก็เพราะใน ๓ จตุกกะนอกน้ี ข้นึ ช่อื วานัยแหงการเจรญิ กรรมรานแผนกหน่งึ ยอ มไมม,ี เพราะฉะนน้ั ผูศ กึ ษาควรทราบเนอื้ ความแหง ๓ จตกุ กะเหลา นน้ั โดยนัยแหงการพรรณนาตามบทนัน่ แล.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 372 บทวา ปติปฏิสเวที ความวา เธอยอมสําเหนยี กวา เราจักทําปติใหรูแจง คือทําใหป รากฏหายใจเขา หายใจออก. บรรดาปตแิ ละสุขเหลา นัน้ปต ิ ยอมเปนอันภิกษรุ แู จง แลว โดยอาการ ๒ อยา ง คือ โดยอารมณ และโดยความไมงมงาย. ถามวา ปติ ยอมเปนอนั ภกิ ษุรูแจงแลว โดยอารมณอยา งไร ? แกวา ภิกษุน้ันยอมเขาฌานท้งั ๒ (ปฐมฌานและทตุ ิยฌาน) ซึ่งมีปติ,ปต ิชอื่ วา เปนอนั ภกิ ษนุ ั้นรูแจง แลว โดยอารมณ ดวยการไดฌ านในขณะเขาสมาบัติ เพราะอารมณเปน ธรรมชาตอิ นั ภกิ ษนุ นั้ รแู จงแลว. ถามวา ปต ิ ยอมเปน อันภกิ ษุรูแ จง แลว โดยความไมง มงายอยางไร ? แกว า ภิกษนุ ั้นเขา ฌานทัง้ ๒ ซ่ึงมปี ติ ออกจากฌานแลวยอมพจิ ารณาปตทิ สี่ มั ปยตุ ดวยฌาน โดยความส้ิน ความเสือ่ ม, ปต ชิ ื่อวา เปนอันภิกษุรูปน้นัรแู จง แลว โดยความไมงมงาย เพราะแทงตลอดลักษณะ ในขณะแหงวิปสสนา.ขอ นี้ สมจริงดงั คําท่ีทา นพระธรรมเสนาบดสี ารบี ุตร กลาวไวในปฏสิ มั ภิทาวาเมือ่ ภกิ ษรุ คู วามทจ่ี ิตมอี ารมณเ ดียว ไมฟ งุ ซาน ดวยอํานาจลมหายใจเขา ยาวสตยิ อมทง้ั ม่นั , ปต นิ นั้ ยอมเปนอนั เธอนน้ั รูแ จงแลว ดว ยสติน้ัน ดวยญาณนน้ั , เมอ่ื ภกิ ษุรคู วามทจี่ ิตมีอารมณเดียว ไมฟ งุ ซาน ดว ยอาํ นาจลมหายใจออกยาว สตยิ อ มต้งั มัน่ , ปต ิน้ัน ยอมเปนอันเธอรแู จง แลว ดว ยสตนิ น้ั ดว ยญาณนนั้ , เมอื่ ภกิ ษุรูความที่จติ มอี ารมณเ ดียว ไมฟงุ ซาน ดว ยอํานาจลมหายใจเขา สน้ั สตยิ อมต้ังมัน, ปต นิ น้ั ยอมเปนอนั เธอนั้นรูแจงแลว ดวยสติน้นัดว ยญาณนั้น, เมือ่ ภกิ ษุรูค วามทจ่ี ติ มีอารมณเ ดียวไมฟ งุ ซา น ดว ยอํานาจลมหายใจออกส้นั สตยิ อ มตัง้ ม่ัน, ปต นิ ้นั ยอ มเปน อันเธอน้นั รแู จงแลว ดวยสติน้นัดวยญาณน้นั , เมื่อภิกษุรคู วามทีจ่ ติ มอี ารมณเ ดียว ไมฟงุ ซา น ดวยอาํ นาจ

พระวินยั ปฎก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 373ความเปน ผรู แู จง กองลมท้ังปวง หายใจเขา และหายใจออก สตยิ อมตั้งมนั่ปตนิ ั้น ยอ มเปนอนั เธอนัน้ รแู จง แลว ดว ยสตนิ น้ั ดว ยญาณน้ัน, เมอ่ื ภิกษุรูความทจี่ ติ มีอารมณเดียว ไมฟ งุ ซา น ดว ยอาํ นาจความเปน ผูระงบั กายสงั ขารหายใจเขาและหายใจออก สติยอมตง้ั มนั่ , ปต นิ ้นั ยอ มเปนอันเธอน้นั รูแ จง แลวดวยสตินัน้ ดวยญาณน้ัน, เม่ือราํ พงึ ถึง ปต นิ นั้ ยอมเปน อนั เธอนน้ั รแู จง แลว ,เม่อื รู เม่ือเห็น เมอื่ พิจารณา เม่ืออธษิ ฐานจติ เมือ่ นอ มใจไปดวยศรทั ธาเม่อื ประคองความเพียร เมอ่ื เขาไปต้งั สตไิ ว เมื่อตงั้ จติ ไวมัน่ เม่ือรูชัดดว ยปญ ญา เมือ่ รยู งิ่ ซงึ่ ธรรมท่ีควรรยู ิง่ เมื่อกาํ หนดรูธรรมท่คี วรกาํ หนดรู เมือ่ละธรรมทค่ี วรละ เมอ่ื เจรญิ ธรรมทคี่ วรเจรญิ เมือ่ ทาํ ใหแ จงซ่งึ ธรรมทค่ี วรทําใหแ จง ปตนิ ัน้ ยอมเปนอันเธอน้ันรูแจง แลว , ปต นิ นั้ เปนอนั ภกิ ษุรแู จงแลวดว ยอาการอยา งน*้ี . แมบ ทที่เหลอื กพ็ งึ ทราบโดยเนอ้ื ความตามนัยนี้น่นั แล. แตใ นสองบทน้มี คี วามสักวาแปลกกนั ดงั ตอ ไปนี้ :- พึงทราบความเปนผรู ูแจงสขุ ดว ยอาํ นาจแหงฌาน ๓, พึงทราบความเปน ผูร ูแจงจิตสงั ขาร ดว ยอาํ นาจแหง ฌานทั้ง ๔. ขันธ ๒ มเี วทนาเปนตน ช่อื วาจิตสังขาร. ก็บรรดาสองบทนี้ ในสุขปฏสิ งั เวทบิ ท ทา นพระสารบี ตุ รเถระกลา วไวในปฏสิ ัมภิทา เพ่อื แสดงภูมิแหง วิปส สนาวา คาํ วา สขุ ไดแกส ุข ๒ อยา ง คือ กายิกสขุ ๑ เจตสกิ สขุ ๑. สองบทวา ปสสฺ มภฺ ย จิตตฺ สงขฺ าร ความวา ระงบั คือดบั จิต-สงั ขารที่หยาบ ๆ เสยี . ความคับจิตสังขารน้ัน พงึ ทราบโดยพสิ ดารตามนัยดังท่กี ลาวแลว ในกายสังขารน้นั แหละ. อกี อยางหนงึ่ บรรดาบทเหลาน้ี ในปติบท ทานกลาวเวทนาไวดว ยปต ิเปนประธาน, ในสุขปฏสิ งั เวทบิ ท ทานกลา วเวทนาไวโดยสรุปทเี ดียว, ใน* ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/ ๒๘๑-๒.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 374จิตสงั ขารบททัง้ สอง เปนอนั ทานกลา วเวทนาท่สี มั ปยุตดว ยสัญญาไว เพราะพระบาลวี า สัญญาและเวทนา เปน เจตสกิ ธรรมเหลานีเ้ น่ืองดวยจติ เปนจิตสงั ขาร* ดังน.้ี จตกุ กะน้ี บณั ฑติ พึงทราบวา พระผูม พี ระภาคเจาตรสัโดยเวทนานุปสสนานยั ดวยประการอยางนี.้ แมใ นจตกุ กะท่ี ๓ มวี ินิจฉยั ดงั นี้:- บณั ฑิตพงึ ทราบความเปนผูรูแจงจิต ดว ยอาํ นาจแหง ฌาน ๔. สองบทวา อภิปฺปโมทย จิตตฺ  ความวา ภกิ ษุยอมสําเหนยี กวาเราจกั ยังจติ ใหบ ันเทิง คือใหร า เรงิ ไดแ ก ใหเบกิ บานหายใจเขา หายใจออก.ในสองบทนนั้ ความบันเทงิ ยอมมีไดด ว ยอาการ ๒ อยา งคอื ดวยอาํ นาจสมาธิ และดวยอํานาจวปิ สสนา. ถามวา ความบนั เทงิ ยอมมีไดด ว ยอํานาจสมาธอิ ยางไร ? แกว า ภกิ ษยุ อมเขา ฌานท้งั ๒ (ปฐมฌานและทุตยิ ฌาน) ซง่ึ มปี ต.ิเธอน้นั ยอมใหจ ติ รน่ื เริง ดว ยปต ิที่สมั ปยตุ ในขณะแหง สมาบัติ. ถามวา ความบันเทิง ยอ มมีไดด ว ยอํานาจวิปส สนาอยา งไร ? แกวา ภกิ ษุครัน้ เขาฌานทง้ั ๒ ซ่ึงมีปติ ออกจากฌานแลว พจิ ารณาอยูซ ึง่ ปต ิท่ีสัมปยุตดวยฌาน โดยความสนิ้ ความเสื่อม. เธอทําปตสิ มั ปยตุ ดว ยฌานใหเปน อารมณ ในขณะแหงวิปส สนาอยางน้นั แลว ใหจ ิตรน่ื เรงิ บันเทงิอย.ู ผปู ฏบิ ัติอยา งนน้ั ทา นเรยี กวา ยอ มสําเหนยี กวา เราจกั ยังจิตใหบนั เทงิหายใจเขาหายใจออก. สองบทวา สมาทห จิตตฺ  ความวา ดํารงจิตไวเ สมอ คือ ทงั้ จิตไวเ สมอในอารมณ ดวยอาํ นาจแหงฌานมีปฐมฌานเปน ตน . ก็หรอื วา เม่ือเธอเขาฌานเหลา นน้ั แลว ออกจากฌาน พิจารณาอยซู ึง่ จติ ที่สัมปยุตดวยฌาน* ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/๒๘๓-๔.

พระวนิ ัยปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 375โดยความสน้ิ ความเสือ่ ม ความทจี่ ติ มีอารมณเ ดียวชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ)ยอ มเกดิ ขึน้ เพราะการแทงตลอดลักษณะ ในขณะแหงวปิ ส สนา ภิกษุผูดาํ รงจิตไวเ สมอ คอื ตงั้ จิตไวเสมอในอารมณ แมด ว ยอาํ นาจแหงความที่จติ มีอารมณเ ดียวชวั่ ขณะ ซง่ึ เกิดขน้ึ แลว อยา งนนั้ ทา นกเ็ รยี กวา ยอ มสาํ เหนยี กวาเราจักตัง้ จิตไวม่นั หายใจเขาหายใจออก. สองบทวา วิโมจย จิตตฺ  ความวา เมอ่ื เปลือ้ ง เมอ่ื ปลอ ยจิตใหพน จากนวิ รณท้งั หลาย ดวยปฐมฌาน คือ เมอ่ื เปลือ้ ง ปลอยจิตใหพ น จากวติ กวจิ าร ดวยทุติยฌาน จากปต ดิ วยตติยฌาน จากสุขและทุกขดวยจตตุ ถฌาน. ก็หรอื วา เธอเขา ฌานเหลานัน้ แลวออกมาพจิ ารณาอยซู งึ่ จติ ท่ีสัมปยตุ ดวยฌาน โดยความส้นิ ความเสอื่ ม ในขณะแหง วิปส สนา เธอนั้นเปลือ้ ง คอื ปลอ ยจิตใหพน จากนจิ จสัญญา (ความสําคัญวา เที่ยง) ดว ยอนจิ จานุปสสนา (ความพิจารณาเห็นวา ไมเทยี่ ง) เปล้อื ง คือ ปลอยจิตใหพนจากสขุสญั ญา (ความสาํ คญั วาเปน สุข) ดวยทุกขานปุ สสนา (ความพิจารณาเหน็ วาเปนทกุ ข) จากอตั ตสัญญา (ความสําคญั วา เปน ตวั ตน) ดวยอนัตตานุปสสนา(ความพจิ ารณาเห็นวา ไมใ ชตวั ตน) จากนนั ทิ (ความเพลิดเพลนิ ) ดวยนพิ พทิ านุปส สนา (ความพจิ ารณาเหน็ ความเบือ่ หนาย) จากราคะ (ความกําหนดั ) ดว ยวิราคานุปส สนา (ความพิจารณาเหน็ ธรรมเคร่ืองคลายความกําหนดั ) จากสมทุ ัย (ตณั หาทีย่ ังทกุ ขใ หเกิด) ดวยนโิ รธานุปสสนา (ความพิจารณาเหน็ ธรรมเปน เครือ่ งคับ) จากอาทาน (ความยึดถือ) ดวยปฏ-ินิสสคั คานปุ สสนา (ความพิจารณาเหน็ ธรรมเปน เครื่องสละคืนซ่ึงอปุ ธิ) หายใจเขา และหายใจออกอย.ู เพราะเหตนุ นั้ พระผูม พี ระภาคเจา จึงตรสั วา ยอ มสาํ เหนียกวา เราจกั ปลอยจติ หายใจเขา หายใจออก. จตุกกะนี้ บณั ฑิตพงึทราบวา พระผูมีพระภาคเจา ตรสั ดวยอํานาจแหง จติ ตานุปส สนาอยา งน้ี.

พระวินยั ปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 376 สว นในจตุกกะท่ี ๔ มีวนิ ิจฉยั ดงั นี้ :- ในบทวา อนจิ ฺจานปุ สฺสี นี้พงึ ทราบ อนจิ จงั (ของไมเ ทยี ง) พึงทราบ อนจิ จตา (ความเปน ของไมเท่ียง) พึงทราบ อนจิ จตานปุ ส สนา (การพิจารณาเหน็ ของไมเทย่ี ง) พงึทราบ อนิจจานุปสสี (ผูพิจารณาเหน็ ของไมเทีย่ ง) เสียกอ น. ในลกั ษณะ ๔ อยาง มีอนิจจงั เปนตนน้ัน ทชี่ ่ือวา อนิจจัง ไดแ กเบญจขันธ เพราะเหตุไร ? เพราะเหตวุ า เบญจขันธมคี วามเกดิ ขึน้ มคี วามเส่ือมไป และมคี วามเปนไปโดยประการอน่ื . ทีช่ ื่อวา อนจิ จตา ไดแก ขอ ทเ่ี บญจขันธเหลา นัน้ นั่นเอง มีความเกิดขน้ึ มคี วามเสอื่ มไป และมคี วามเปน ไปโดยอาการอื่น หรอื มีแลว กลบัไมม ี อธิบายวา เบญจขันธเ หลานั้น เกิดขึ้นแลว ไมตัง้ อยโู ดยอาการน้นั น่ันแล แตกดับเพราะความแตกดับไปชั่วขณะ. ท่ชี อ่ื วา อนิจจานปุ สสนา ไดแก การพิจารณาเหน็ ในเบญจขันธทั้งหลาย มีรูปเปน ตน วา ไมเ ทีย่ ง ดว ยอาํ นาจแหงความเปนของไมเทยี่ งน้นั . ท่ีชอ่ื วา อนจิ จานุปส สี ไดแก พระโยคาวจรผปู ระกอบดว ยอนุปสสนานนั้ . เพราะเหตนุ ้นั พระโยคาวจรผูเ ปนแลว อยา งนั้นหายใจเขา และหายใจออกอยู บัณฑิตพงึ ทราบในอธิการน้วี า ยอ มสําเหนยี กวา เราจักพิจารณาเห็นวาไมเท่ียง หายใจเขา หายใจออก. สว นวิราคะ ในบทวา วริ าคานุปสสี นี้ มี ๒ อยา ง คือ ขยวริ าคะคลายความกาํ หนัด คอื ความสิน้ ไป ๑ อัจจันตวิราคะ คลายความกําหนัดโดยสวนเดยี ว ๑ บรรดาราคะ ๒ อยางนนั้ ความแตกดบั ไปชว่ั ขณะแหงสังขารทั้งหลาย ช่อื วา ขยวิราคะ. พระนพิ พาน ชือ่ วา อัจจนั ตวริ าคะ. วปิ สสนาและมรรคท่เี ปนไปดวยอาํ นาจแหงการเห็นวริ าคะท้งั ๒ อยา งนั้น ชอ่ื วาวิราคานุปสสนา (การพิจารณาเห็นการคลายความกาํ หนัด). พระโยคาวจร

พระวินัยปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 377เปน ผปู ระกอบดว ยอนุปสสนาแมท้ัง ๒ อยา งนน้ั หายใจเขา และหายใจออกอยูบณั ฑติ พึงทราบวา ยอ มสาํ เหนยี กวา เราจักพจิ ารณาเหน็ วิราคะหายใจเขาหายใจออก. แมใ นบทวา นิโรธานุปสสี ก็มนี ัยเหมือนกันน.้ี ปฏินิสสัคคะ (ความสละคืนอุปธิ) แมในบทวา ปฏินสิ ฺ-สคฺคานุปสฺสี นกี้ ็มี ๒ อยางคือ ปรจิ จาคปฏนิ สิ สัคคะ ความสละคืนคือความเสยี สละ ๑ ปก ขนั ทนปฏนิ ิสสคั คะ ความสละคืน คอื ความแลน ไป๑. การพิจารณาเหน็ คอื ความสละคืนนั่นเอง ชือ่ วา ปฏนิ ิสสัคคานปุ สสนา.คาํ วา ปฏนิ ิสสัคคานปุ สสนา นน่ั เปนช่ือแหง วิปส สนาและมรรค. จรงิอยู วิปส สนา พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสเรยี กวา การสละคืน คือการละ เพราะยอมละกิเลสทงั้ หลายพรอมท้ังขันธาภสิ งั ขาร ดว ยอํานาจตทงั คปหาน และวาการสละคืนคือการแลน ไปเพราะยอ มแลน ไปในพระนิพพาน ซงึ่ ผิดจากสงั ขารนนั้ เหตทุ ่นี อ มไปในพระนพิ พานนัน้ เพราะเหน็ โทษแหง สงั ขตธรรม.มรรคพระผูม ีพระภาคเจา ตรสั เรยี กวา การสละคนื คือการละ เพราะยอ มละกิเลสพรอมทง้ั ขันธาภสิ งั ขาร ดวยสามารถสมุจเฉทปหาน และวา การสละคนืคอื การแลน ไป . เพราะยอ มแลนไปในพระนพิ พาน ดว ยการกระทาํ ใหเ ปนอารมณ. ก็ วิปสสนาญาณและมรรคญาณแมทงั้ ๒ พระผูม พี ระภาคเจาตรัสเรยี กวา อนปุ ส สนา เพราะเล็งเหน็ ญาณตน ๆ ในภายหลัง. ภิกษุเปน ผูประกอบดว ยปฏนิ ิสสคั คานุปสสนา ทง้ั ๒ อยางนน้ั หายใจเขาและหายใจออกอยู บัณฑิตพึงทราบวา สาํ เหนยี กอยวู า เราจกั เปนผมู ีปกติเล็งเหน็ ญาณชื่อปฏินสิ สคั คะ ในภายหลัง หายใจเขา หายใจออก ดังน้ี. คาํ วา เอว ภาวโตความวา เจรญิ แลวดวยอาการอยางนี้ คือดว ยอาการ ๑๖ อยาง. คําท่ีเหลือมนี ัยดังกลาวแลวน่นั แล. กถาวาดว ยอานาปรานัสสติสมาธิ จบ

พระวินยั ปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 378 ประชมุ สงฆทรงบัญญัตติ ติยปาราชิกสกิ ขาบท ก็ ในคําวา อถโข ภควา เปน ตน มีความสงั เขปดงั ตอไปนี้:-พระผมู ีพระภาคเจา ครั้นทรงปลอบภิกษุท้งั หลายใหเ บาใจ ดว ยอานาปานัสสต-ิสมาธิกถา อยา งนี้แลว ในลําดบั นัน้ ตรสั ใหป ระชมุ ภกิ ษุสงฆ เพราะเกิดเรอ่ื งท่ีภิกษุท้งั หลายปลงชวี ติ กนั และกัน อนั เปนเหตกุ อใหเกดิ ผล และเปนเหตเุ รมิ่ แรกแหง การบญั ญตั ติ ตยิ ปาราชกิ สิกขาบทนแี้ ลว ตรัสสอบถามและทรงตเิ ตียนแลว เพราะในการปลงชวี ิตนน้ั การปลงชวี ิตตนเอง และการใชใหมิคลัณฑิกสมณกุตกป ลงชวี ติ ตน ยอมไมเปน วัตถุแหง ปาราชกิ ; ฉะนัน้ จงึทรงเวนการปลงชีวติ ๒ อยางนั้นเสยี ทรงถอื เอาการปลงชีวติ กันและกนั อนัเปน วตั ถแุ หง ปาราชิกอยา งเดยี ว ทรงบญั ญตั ปิ าราชิกสกิ ขาบท ตรสั พระพุทธพจนมีคําวา อน่ึง ภกิ ษใุ ด แกลง พรากกายมนุษยจ ากชวี ติ ดังนี้ เปนตน.*กใ็ นพระบาลนี ้ี พระผูมีพระภาคเจา ไมต รสั วา โมฆปรุ สิ า ตรัสวา เตภิกฺขู เพราะภิกษุเหลานน้ั เจือดวยพระอริยบคุ คล. [ภกิ ษฉุ พั พัคดียพ รรณนาคณุ แหงความตาย] ครั้งเม่อื ตตยิ ปาราชิก อันพระผมู พี ระภาคเจาทรงบัญญตั ทิ าํ ใหม่นั ดว ยอาํ นาจแหง ความขาดมลู ดวยประการฉะนัน้ แลว เร่ืองพรรณนาคณุ แหงความตายแมอื่นอีก ก็ไดเ กิดขึน้ เพอ่ื ประโยชนแ กอ นุบญั ญตั ิ. เมื่อแสดงความเกดิขน้ึ แหง เรอ่ื งนั้น ทา นพระอุบาลเี ถระ จึงกลาววา เอวจฺ ิท ถควตา เปนอาทิ.* ว.ิ มหา. ๑/๑๓๔.

พระวินัยปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 379 บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา ปฏิพทธฺ จิตตฺ า มคี วามวา ผมู จี ิตรกัใครด วยฉนั ทราคะ อธิบายวา เปน ผูมีความรกั มาก คอื มคี วามเพง เล็ง. สองบทวา มรณวณณฺ  สวณเฺ ณม มคี วามวา เราจะชี้โทษในความเปนอยู แลวพรรณนาคณุ คือแสดงอานิสงสแ หงความตาย . ในบทวา กตกลฺยาโณ เปน อาทิ มีเนอ้ื ความเฉพาะบทดังตอ ไปน้ี:-กรรมอนั งาม คือสะอาดอันทานทําแลว ; เพราะเหตนุ ้ันทานยอมเปนผชู ื่อวามีกรรมงามอันทาํ แลวแล. อน่งึ กศุ ล คอื กรรมอันหาโทษมิได อนั ทา นทําแลว ; เพราะเหตนุ ้นั ทานชือ่ วาผมู ีกุศลอันทาํ แลว . ความเปน ผูขลาด กลา วคอื ความกลวั อันใด ยอมเกิดข้ึนแกสัตวทงั้ หลาย ในเมอ่ื มรณกาลมาถงึ เขา.เครอื่ งตา นทาน คือกรรมเครือ่ งปอ งกัน จากความเปนผูขลาดนน้ั อันทานทาํแลว , เพราะเหตุน้นั ทา นชอื่ วา ผมู เี คร่ืองตานทานจากความเปนผูขลาดอนักระทําแลว. กรรมทีเ่ ปนบาป คอื ลามกอนั ทา นมไิ ดท ําแลว ; เพราะเหตนุ ัน้ทานชื่อวาผูไมไ ดทาํ บาป. กรรมของผลู ะโมบ คอื กรรมทารุณ ไดแกกรรมเคร่ืองเปน ผูท ุศลี อนั ทา นมิไดทําไว ; เพราะเหตนุ น้ั ทานชือ่ วาผูม ีไดทํากรรมของผูละโมบ . กรรมหยาบชา คือกรรมเลวทรามเปน ทห่ี นาขึ้นแหงกิเลสมโี ลภะเปนตน อนั ทานมไิ ดทําไว ; เพราะเหตนุ ้นั ทา นชอ่ื วา ผมู ิไดทาํ กรรมที่หยาบชา. คําวา ทา นมีกรรมงามไดท ําแลว เปนตน น้ี เราทงั้ หลายยอ มกลาวเพราะเหตไุ ร ? เพราะกรรมงามแมทุกประการอนั ทา นทําแลว กรรมอันเปนบาปแมท ุกประการอนั ทา นมไิ ดท าํ แลว ; เพราะเหตนุ นั้ เราท้งั หลาย จึงกลาวกะทานวาจะประโยชนอะไรของทา น ดว ยชีวิตอันชอ่ื วา เลวทรามคอื ตาํ่ ชา เพราะถูกโรคครอบงํา อันชอ่ื วา เปนทุกข เพราะมากไปดว ยทกุ ขน ี้, ความตายของทา นประเสริฐกวาความเปนอยู. เพราะฉะนั้น จึงมอี ธบิ ายวา ความตายของ

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 380ทาน ดีกวา ความเปน อย.ู เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุวา ทา นเปนผทู ํากาละแลวคือมกี าละอนั ทําแลว อธิบายวา ทาํ กาลกิริยา คอื ตายแลวจากโลกนี้ ตอ จากตายเพราะกายแตก จักเขาถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค และทานเขาถงึ แลว อยางนั้น จกัเอบิ อ่ิม พรั่งพรอ มดว ยกามคุณ ๕ คอื สว นแหงวตั ถกุ าม ๕ มรี ูปเปนท่นี าชอบใจเปนตน อนั เปนทพิ ยซ่ึงเกดิ ข้นึ ในเทวโลกน้ัน ยังอัตภาพใหเทีย่ วไป ; อธิบายวา จกั เปนผูประกอบพรอ ม คอื ถงึ ความพร่ังพรอ ม (ดวยกามคณุ ๕ คอื สวนแหงวัตถกุ าม ๕ อนั เปน ทพิ ยซ ่ึงเกดิ ขน้ึ ในเทวโลกน้นั ) จักเทยี่ วไปขา งนี้และขา งน้ี คือจักอยู หรือจกั อภริ มย. บทวา อสปฺปายานิ ความวา โภชนาหารเหลาใด ยงั ตนใหถ งึความสิ้นไปแหงชีวิตอยางเรว็ พลัน โภชนาหารเหลานน้ั จักวาไมเ กือ้ กูล คือไมทําความเจริญให. [อธิบายสัญจิจจศพั ท] ศัพทว า สจฺ ิจฺจ นี้ เปนศพั ทหนนุ สัญจจิ จบท ที่พระผูม-ีพระภาคเจาตรัสแลว ในมาติกาวา สจฺ จิ จฺ มนุสสฺ วคิ ฺคห ศพั ทว า สในบทวา สจฺ จิ ฺจ นน้ั เปนอุปสรรค . คาํ วา สฺจิจจฺ นี้ เปนคาํ บง ถึงบุพกาลกิรยิ า รวมกับ ส อุปสรรคน้ัน. ใจความแหงบทวา สจฺ ิจฺจ น้ันวา จงใจ คอื แกลง . ก็ภกิ ษใุ ดแกลงปลง, ภิกษุนน้ั เปน ผรู อู ยู คือรพู รอ มอยูและการปลงนั้นของภกิ ษนุ ั้น เปน ความแกลง คือฝาฝนละเมดิ ; เพราะเหตุน้ัน เพ่อื จะไมทําความเออื้ เฟอ ในพยญั ชนะ แสดงแตใจความเทานน้ั ทา นพระอบุ าลีเถระ จงึ กลา วบทภาชนะแหงบทวา สจฺ ิจฺจ นัน้ อยา งน้วี า รูอ ยูรูพรอ มอยู แกลง คือฝา ฝน ละเมดิ . บรรดาบทเหลน้นั บทวา ชานนโฺ ต คอื รอู ยวู า สตั วมปี ราณ.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 381 บทวา สฺชานนโฺ ต คอื รูพรอมอยวู า เราจะปลงเสียจากชวี ิต.อธิบายวา รูอยพู รอ มกบั อาการทรี่ ูวา สัตวม ปี ราณนน้ั นั่นเอง. บทวา เจจฺจ ความวา จงใจ คือ ปกใจ ดวยอาํ นาจเจตนาจะฆา . บทวา อภิวติ รติ ฺวา ความวา สง จติ ทหี่ มดความระแวงสงสัยไปยา่ํ ยีดวยอํานาจความพยาบาท. ดว ยบทวา วติ ิกฺกโม มคี าํ อธบิ ายทที่ า นกลาวไวว า ความลวงละเมิดแหงจิตหรือบุคคล ซงึ่ เปน ไปแลวอยา งน้ัน นี้เปน ความอธบิ ายสุดยอดแหงสัญจิจจ ศัพท. [อธิบายปฐมจิตของมนุษยผ เู ริ่มลงสคู รรภ] บดั น้ี ทา นพระอบุ าลีเถระ กลาวคาํ เปนตนวา ชอ่ื วากายมนษุ ยเพอื่ จะแสดงอตั ภาพของมนุษย ท่พี ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ไว ในคําวา ปลงกายมนษุ ยเสยี จากความเปนอยู น้ี ตัง้ แตแ รก. บรรดาบทเหลาน้นั หลายบทวา (ปฐมจติ ) อนั ใด (เกิดข้ึนแลว)ในทอ งแหง มารดา ทา นพระอบุ าลีเถระกลาว เพ่ือแสดงอัตภาพอันละเอียดท่สี ดุดว ยอํานาจแหง เหลา สตั วผ นู อนในครรภ. ปฏสิ นธจิ ติ ชอ่ื จิตดวงแรก. บทวาผดุ ขน้ึ ไดแกเ กิด. คําวา วิญญาณดวงแรก มปี รากฏ น้ี เปน คาํ ไข ของคําวา จติ ดวงแรก ท่ีผุดข้นึ นนั้ นั่นแหละ. บรรดาคาํ เหลานี้ ดวยคําวาจติ ดวงแรก (ทผ่ี ุดข้ึน) ในทองมารดา นัน่ แหละ เปน อันทา นแสดงปฏสิ นธิของสตั วผ ูมขี นั ธ ๕ แมท้ังส้ิน. เพราะเหตนุ นั้ กายมนุษยอนั เปนท่ีแรกที่สดุ นี้คือ จติ ดวงแรกนน้ั ๑ อรปู ขนั ธ ๓ ทเ่ี กี่ยวเกาะดว ยจติ น้ัน ๑ กลลรปู ที่เกดิพรอมกบั จิตนัน้ ๑. บรรดาอรูปขันธ และกลลรปู แหง จิตดวงแรกนัน้ รูป๓ ถว น ดวยอํานาจแหงกาย ๑๐ วัตถุ ๑๐ และภาวะ ๑๐ แหง สตรีและบรุ ุษ,

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 382รูป ๒๐ ดว ยอาํ นาจแหง กาย ๑๐ และวัตถุ ๑๐ แหง พวกกะเทย ชือ่ วา กลลรูป.บรรดาสตรี บรุ ษุ และกะเทยน้ัน กลลรูปของสตรีและบุรษุ มีขนาดเทาหยาดนา้ํ มันงาทชี่ อนขึน้ ดว ยปลายขางหน่ึง แหง ขนแกะแรกเกดิ เปนของใสกระจา ง จริงอยู ในอรรถกถาทา นกลา วคาํ นีว้ า หยาดนา้ํ มันงา หรอื สปั ปใส ไมข ุน มวั ฉนั ใด, รปู มสี วนเปรียบดว ยสี ฉนั นัน้ เรียกวากลลรปู . อัตภาพของสัตวม อี ายุ ๑๒๐ ปต ามปกติ ที่ถึงความเติบโตโดยลําดับในระหวา งน้ี คอื ต้งั ตน แตเ ปนวตั ถเุ ลก็ นดิ อยา งนั้น จนถึงเวลาตาย นี้ ช่ือวากายมนษุ ย. สองบทวา ปลงเสียจากชวี ิต ความวา พงึ พรากเสียจากชวี ิตดว ยการนาบ และรีด หรือดวยการวางยา ในกาลที่ยังเปนกลละกด็ ี หรอื ดว ยความพยายามทีเ่ หมาะแกร ูปนั้น ๆ ในกาลถัดจากเปนกลละนั้นไปก็ด.ี กข็ ึ้นช่ือวา ปลงเสียจากชวี ติ โดยความ ก็คือการเขาไปตัดอนิ ทรีย คือชีวิตเสยี นนั่เอง ; เพราะฉะน้ัน ในวาระจําแนกบทแหง สองบทวา ปลงเสยี จากชีวติ น้ันทาน (พระอบุ าลี) จงึ กลาววา เขา ไปตัด คือเขาไปบ่นั อินทรยี  คอื ชีวิตเสีย(ไขความวา) ทําความสืบตอใหขาดสาย. เมอ่ื เขาไปตดั และเขา ไปบั่นความสืบตอเชื้อสาย แหง อนิ ทรียค ือชวี ิตเสยี ทานกลาววา ยอมเขา ไปตัด เขา ไปบน่ั อินทรยี  คอื ชีวติ เสีย ในบทภาชนะนั้น. เนอ้ื ความน้ีนั้น ทา นแสดงดว ยบทวา ทําความสืบตอ ใหขาดสาย. บทวา ใหข าดสาย คอื พรากเสยี . ในบทวา อนิ ทรีย คือชีวิต น้ันอินทรียค อื ชีวิต มี ๒ อยาง คอื รปู ชีวิตนิ ทรยี  ๑ อรูปชีวติ ินทรีย ๑. ใน

พระวินยั ปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 383๒ อยา งนัน้ ในอรปู ชวี ติ นิ ทรยี  ไมม ีความพยายาม ใคร ๆ ไมสามารถปลงอรปู ชีวติ ินทรยี นนั้ ได. แตในรูปชีวิตนิ ทรีย มี, บคุ คลอาจปลงได. ก็เมือ่ปลงรูปชีวติ นิ ทรยี น ัน้ ชือ่ วา ปลงอรูปชวี ติ ินทรียดว ย. จริงอยู อรูปชีวติ ินทรียนน้ั ยอ มดับพรอมกับรปู ชีวิตนิ ทรียน ้ันนน่ั เอง เพราะมพี ฤตกิ ารณเ นือ่ งดว ยรปู ชวี ติ ินทรยี นนั้ . ถามวา ก็เม่อื ปลงชวี ิตนิ ทรยี น้ัน ยอ มปลงท่ีเปนอดีต หรอื เปน อนาคตหรือปจ จบุ ัน ตอบวา ไมใชอดตี ไมใชอนาคต. ก็ในชีวิตนิ ทรยี  ๒ ประการนั้นประการหนึง่ ดับไปแลว ประการหนึ่งยังไมเกิดขนึ้ ; เพราะฉะนัน้ ช่อื วา ไมม ีทงั้ ๒ ประการ เพราะเปน ส่ิงทไี่ มม ี ความพยายามจึงไมม ี ; เพราะความพยายามไมมี จึงไมอ าจปลงได แมประการหนง่ึ . จรงิ อยู แมค าํ นที้ านพระ-ธรรมเสนาบดสี ารีบตุ รก็ไดกลาวไวว า สตั วเ ปน อยูแลว ในขณะจติ ทเ่ี ปน อดีตไมใชกาํ ลงั เปน อยู ไมใชจักเปนอยู, จักเปน อยู ในขณะจิตทเ่ี ปนอนาคตไมใชเปน อยแู ลว ไมใชก ําลังเปน อยู, กาํ ลังเปน อยู ในขณะจิตทเี่ ปนปจ จบุ ันไมใ ชเปนอยูแลว ไมใชจกั เปนอย*ู เพราะฉะนัน้ ชวี ติ ยอมเปน อยู ในขณะจิตใด, ความพยายามเปน ของสมควรในขณะจิตน้นั ; เพราะเหตุนั้น บุคคลชือ่ วายอมปลงชีวติ นิ ทรยี ท ีเ่ ปน ปจ จบุ นั . [ชวี ติ นิ ทรียป จจบุ ันมี ๓ ขณะ] ก็ข้ึนชื่อวา ชีวิตนิ ทรียท่เี ปนปจจุบันนี้ มี ๓ อยา ง คอื ขณปจจุบัน ๑สนั ตตปิ จจุบนั ๑ อทั ธาปจจุบัน ๑. ใน ๓ อยางนน้ั ปจ จุบนั ท่ีพรอ มเพรียงดวยความเกิด ความเสื่อมและความสลาย ช่ือขณปจ จุบัน, ใครๆไมสามารถ* ข.ุ มหา. ๒๙/๔๘.

พระวนิ ัยปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 384จะปลงขณปจจุบนั นัน้ ได. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุวา ดับไปเองทเี ดยี ว.(ขณะจิต) ช่วั ๗ - ๘ ชวนวาระ ทเ่ี ปน ไปดวยอํานาจสภาคสันตติแลวดับไปช่อื สนั ตตปิ จจบุ ัน, เมื่อบุคคลมาจากทีร่ อน เขาสหู องนอยแลว นัง่ อนั ธการยงั มี เพียงใด หรอื วา เม่ือบุคคลมาจากทเี่ ยน็ นั่งในหองนอย ฤดทู มี่ ีอยูกอ นยังไมระงับไปดวยความปรากฏแหงฤดทู ่เี ปน วสิ ภาคกันเพียงใด, ในระหวางน้ีทา นเรยี กวา สนั ตตปิ จจบุ ัน เพยี งนน้ั . สวนตง้ั แตปฏิสนธไิ ปจนถึงจุติ นีช้ อื่วาอัทธาปจจบุ นั . บุคคลอาจปลงหมวดสองแหง ชวี ิตินทรยี ท เ่ี ปน สันตติปจจุบนั และอทั ธาปจจุบันนน้ั ไดบ า ง. ถามวา อาจปลง ไดอยางไร แกวาจริงอยู เมอื่ บคุ คลทําความพยายามในหมวด ๒ แหงสนั ตติปจ จุบัน และอทั ธา-ปจ จุบันนั้น. หมวดแหง รปู ๑๐ ประการ ซึ่งกาํ หนดดวยชวี ิต ไดความพยายามแลว เมอ่ื ดบั ยอ มเปนปจ จัยแหง สนั ดานที่ทุรพล มีกาํ ลังเสอื่ มสนิ้ ไปแลว,ตอจากนน้ั สันตตปิ จ จุบนั หรืออทั ธาปจ จบุ นั ยังไมท ันถึงกาล ท่กี ําหนดไวยอ มดับไปในระหวา งเทยี ว ดวยประการใด, บคุ คลอาจปลงแมซงึ่ หมวดสองแหงชวี ิตนิ ทรียท ่ีเปนสนั ตติปจ จบุ นั และอทั ธาปจ จบุ นั น้ันไดบ าง ดว ยประการนนั้ . เพราะเหตนุ น้ั บัณฑิตพงึ ทราบสนั นิษฐานวา คาํ วา ทาํ ความสบื ตอใหขาดสาย น้ี ทานกลา วหมายเอาหมวดสองปจ จบุ นั นั่นเอง. กแ็ ล เพื่อประกาศเนื้อความนัน้ ควรทราบปาณะ, ควรทราบปาณาติ-บาต, ควรทราบปาณาตปิ าตี, ควรทราบประโยคแหง ปาณาตบิ าต. บรรดาปาณะเปนตน เหลา นน้ั ท่ชี ่อื วา ปาณะ โดยโวหารไดแกสตั วโดยปรมัตถ ไดแ กช วี ิตนิ ทรยี . จรงิ อยู บุคคลผยู งั ชวี ติ ินทรยี ใ หตกลวงไปทา นกลาววา ยังสัตวม ีชีวติ ใหตกลว งไป. ชีวิตนิ ทรียน ้ัน มปี ระการดังกลา วแลว น้นั แล. ปาณาตบิ าตนัน้ คือ บุคคลยังประโยคอันเขาไปตัดเสยี ซงึ่

พระวินัยปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 385ชีวติ ินทรยี  ใหต้ังข้ึนดวยเจตนาใด เจตนานนั้ ช่อื วา วธกเจตนา ทา นเรียกวาปาณาตบิ าต (เจตนาธรรมเปนเหตุลางผลาญชวี ิตสตั วม ีปราณ). บคุ คลผพู รอมเพรียงดว ยเจตนาดังกลา วแลว พงึ เห็นวา ผูล างผลาญสัตวมีปราณ. [ประโยคแหงการฆา ๖ อยาง] ท่ีชื่อวา ประโยคแหงปาณาตบิ าตนัน้ ไดแก ประโยคแหงปาณาตบิ าท๖ อยา ง คอื สาหตั ถกิ ประโยค ๑ อาณัตตกิ ประโยค ๑ นสิ สัคคยิ -ประโยค ๑ ถาวรประโยค ๑ วชิ ชามยประโยค ๑ อิทธิมยประโยค ๑.บรรดาประโยคเหลา นัน้ การประหารดวยกาย หรือของทเ่ี น่ืองดว ยกาย แหงบุคคลผฆู าใหต ายเอง ชื่อวา สาหัตถิกประโยค. การส่งั บงั คับวา ทานจงแทงหรือประหารใหต าย ดว ยวธิ อี ยางน้ัน ของบคุ คลผใู ชคนอ่นื ชอื่ วาอาณตั ตกิ ประโยค. การซดั เคร่ืองประหารมลี ูกศร หอกยนตแ ละหนิ เปนตนไป ดว ยกาย หรอื ของทเี่ นอื งดวยกาย แหง บคุ คลผมู ุงหมายจะฆา บุคคลซึง่ อยูในทไี่ กล ชอ่ื วา นสิ สคั คยิ ประโยค. การขุดหลุมพรางวางกระดานหก วาง(เคร่อื งประหาร) ไวใกล และการจัดยา (พิษ) แหงบคุ คลผมู ุง หมายจะฆาดวยเครอ่ื งมืออนั ไมเคลื่อนที่ ชอื่ วา ถาวรประโยค. ประโยคแมทงั้ ๘ นนั้จกั มีแจงโดยพิสดารในอรรถกถาแหงบาลีขา งหนาน่ันแล. สว นวิชชามยประโยคและอทิ ธมิ ยประโยค ไมไ ดม าในบาลี. พึงทราบประโยคทง้ั ๒ นัน้ อยางน้ีกโ็ ดยสงั เขป การรา ยมนตเพื่อจะใหเขาตาย ช่อื วา วชิ ชามยประโยค. แตในอรรถกถาทัง้ หลาย ทานแสดงวชิ ชามยประโยคไวอยางนีว้ า วชิ ชามยประโยคเปนไฉน ? พวกหมออาถรรพณ ยอมประกอบอาถรรพณ เมือ่ เมอื งถูกลอมหรือเมอื่ สงความเขาประชิตกันยอมกอ ความจญั ไร ความอุบาทว โรค ความไขใหเกิดขึ้นในพวกปจจามิตรผูเปน ขา ศึก ยอมทาํ ใหเ ปนโรคจกุ เสยี ด ใหเปน

พระวนิ ยั ปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 386โรคปว ง เพื่อจะปองกนั , พวกหมออาถรรพณยอ มประกอบอาถรรพณอ ยาน้ีพวกทรงวชิ าคณุ รา ยเวทแลว เมอ่ื เมืองถกู ลอมหรอื ฯ ล ฯ ยอมใหเปนโรคปว ง ดงั นแี้ ลว กลา วเรือ่ งเปน อนั มากของตนท้งั หลายทถี่ กู พวกหมออาถรรพณ และพวกทรงวชิ าคุณฆาเสยี จะมีประโยชนอะไรดวยเรื่องเหลา นน้ัก็ลักษณะในวิชชามยประโยคนี้ มดี งั น้ี:- คือการรายมนตเ พื่อจะใหเขาตายช่ือวา วชิ ชามยประโยค. การประกอบฤทธอ์ิ ันเกิดแตผ ลแหง กรรม ชอ่ื วาอิทธิมยประโยค. จรงิ อยู ขน้ึ ชอื่ วา ฤทธิ์อันเกิดแตผลแหง กรรมนี้ มีมากอยางเปน ตนวา ฤทธิน์ าคของพวกนาค ฤทธสิ์ บุ รรณของพวกสุบรรณ ฤทธิย์ กั ษของพวกยักษ เทวฤทธ์ขิ องพวกเทพ ราชฤทธข์ิ องพวกพระราชา. บรรดาฤทธิ์นาค เปนตน นน้ั พงึ ทราบฤทธิน์ าคของพวกนาค ซงึ่ มพี ษิ ในขณะเหน็ ขบกัดและถูกตอง ขณะทําการเบียดเบียนสตั วอืน่ เพราะเห็น ขบกดั ถูกตอ งพงึ ทราบฤทธ์สิ บุ รรณของพวกสุบรรณ ในการฉุดนาคยาวประมาณ ๑๓๒ วาขน้ึ จากมหาสมุทร. สวนพวกยักษเมือ่ มาไมปรากฏ เม่อื ประหารก็ไมปรากฏ,แตส ัตวทพี่ วกยกั ษเหลานน้ั ประหารแลวยอมตายในท่นี น้ั นน่ั เอง พงึ ทราบฤทธ์ิยักษของพวกยักษเ หลา นัน้ ในเพราะเหตนุ ้นั พงึ ทราบเทวฤทธิ์ในเพราะความตายของพวกกมุ ภัณฑ ที่ทา วเวสสุวรรณมองดดู ว ยนยั นาวุธ ในกาลกอน แตกาลเปน พระโสดาบัน และในเพราะฤทธานุภาพของตน ๆ แหง พวกเทวดาเหลาอนื่ . พงึ ทราบราชฤทธิ์ ในเพราะความเหาะไปได ในอากาศเปนตนของพระเจาจกั รพรรดิพรอมทั้งบริษัท ในเพราะความแผพ ระราชอํานาจไปเปน ตน ในท่โี ยชนหน่งึ ทง้ั เบ้ืองต่ําและเบ้อื งบนของพระเจาอโศก และในเพราะการฆาเสียซงึ่ กฎุ ม พชี ื่อวาจฬู สมุ นะดว ยการตอกเข้ียวแหง จอมนระชาวสิงหลพระนามวา ปตรุ าช ดงั นี้แล.

พระวินัยปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 387 สว นพระอาจารยบางพวก แสดงพระสูตรท้งั หลายเปนตน วา ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เรื่องอนื่ ยังมีอยูอีก สมณะหรอื พราหมณ ผูม ีฤทธ์ิ ถึงความเปนผูมีความชาํ นาญแหง จิต ยอมเปน ผเู พงเล็งทารกทอี่ ยใู นทอ งของหญิงอืน่ดวยใจอนั ลามกวา ทําไฉนหนอ หญงิ คนนไี้ มพ ึงตลอดทารกทีอ่ ยูใ นทอ งนนั้โดยความสวัสดี ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย แมอยา งนีก้ เ็ ปนการเบียดเบยี นสัตวท ่ีอยูในครรภ ดังนี้ แลวกลาวถงึ กรรม คอื การเบยี ดเบยี นสัตวอ่ืน แมด ว ยภาวนามยฤทธิ์, และปรารถนาความพินาศไปแหง ฤทธิ์ พรอมกับการเบียดเบียนสัตวอนื่ เหมือนการแตกแหงหมอน้าํ ทีเ่ ขาโยนข้ึนไปบนเรือนที่ถูกไฟไหมฉะน้นั . คาํ ทก่ี ลา วมานัน้ เปน แคเ พียงความปรารถนาของเกจิอาจารยเหลา น้ันเทานนั้ . เพราะเหตไุ ร ?. เพราะไมสมดวย กุสลัตตกิ ะ เวทนตั ติกะวติ ักกัตตกิ ะ และปริตตัตติกะ, ขอน้ีอยางไร ?. ก็ช่อื วา ภาวนามยฤทธิน์ ้ีในกุสลทั ตกิ ะ เปนทงั้ กุศลดว ย เปนทงั้ อัพยากฤตดว ย, ปาณาตบิ าตเปนอกุศล,ในเวทนัตติกะ สมั ปยตุ ดว ยอทุกขมสขุ ; ปาณาติบาตสัมปยตุ ดว ยทุกข ในวติ กั กัตตกิ ะ เปนอวิตกั กอวิจาร, ปาณาตบิ าตเปน สวิตักกสวจิ าระ, ในปรติ -ตตั ติกะเปน มหัคคตะ, ปาณาตบิ าต เปน ปรติ ตะ [อธบิ ายวตั ถุท่ีเปน เคร่อื งประหาร] พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในคาํ วา สตถฺ หารก วาสฺส ปริเยเสยยฺ น้ีดงัตอ ไปน้ี:- เคร่อื งประหารใด ยอมนําเสยี ; เหตุนน้ั เครอ่ื งประหารนั้นชอื่ วา สิ่งนําเสีย. ถามวา นําเสียซึง่ อะไร ? ตอบวา นาํ เสยี ซ่งึ ชวี ติ . อกีอยา งหน่ึง เคร่ืองประหารใด อนั บคุ คลพึงนําไป ; เหตุน้ัน เคร่ืองประหารนัน้ช่ือวาส่งิ อนั บุคคลพึงนาํ ไป อธิบายวา ; เครือ่ งประหารอนั บคุ คลพึงจดั เตรียมไว ศสั ตราน้นั ดว ย เปนสง่ิ นาํ เสียดวย ; เหตนุ ้ัน ชอื่ ศสั ตราอันนําเสีย.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 388 บทวา อสฺส ไดแก กายของมนุษย. บทวา ปรเิ ยเสยฺย มคี วามวา พึงทาํ โดยประการท่ีตนจะได. อธิบายวา พึงจดั เตรยี มไว. ดวยคาํ วา สตถฺ หารก สตถฺ หารก วาสฺส ปริเยเสยฺยน้ี พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงถาวรประโยค. เมอื่ จะถอื เอาเนือ้ ความแมโ ดยประการอืน่ จากนี้แลว ภกิ ษจุ ะพึงเปน ปาราชกิ ดวยเหตุสกั วา ศสั ตราอนั ตนแสวงหามาแลว เทาน้ัน. อันที่จรงิ ขอนัน้ ไมถ กู แตในพระบาลี ทานพระอบุ าลีเถระ ไมเอือ้ เฟอ พยัญชนะท้งั ปวง เพอื่ จะแสดงเฉพาะศัสตราทสี่ งเคราะหเ ขาในถาวรประโยค ในคาํ วา สตถฺ หารก นี้ เทา นน้ั จงึ กลาวไวใ นบทภาชนะวา อสึ วา ฯ เป ฯ รชฺช วา ดงั นี้. บรรดาเครอื่ งประหารเหลาน้นั เครือ่ งประหารทม่ี ีดมชนิดใดชนิดหน่งึ ซง่ึ นอกจากท่กี ลา วแลว พงึ ทราบวาเปน ศัสตรา. และพงึ ทราบวา สงเคราะหไ มค อ น กอ นหิน ยาพษิ และเชอื กเขา เปนศัสตราดวย เพราะเปนเครอื่ งผลาญชวี ติ ใหพินาศ. พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในคาํ วา มรณวณณฺ  วา น้ี ดังตอ ไปน้ี:- ภิกษุแมแสดงโทษในความเปนอยู โดยนัยมีคําวา จะมีประโยชนอะไร ดวยความเปนอยอู ันช่วั ชาลามกเชนน้ี ของทา นผูไมไดเ พ่ือบรโิ ภคโภชนะอนั ดี ดังนีเ้ ปนตน แมกลาวสรรเสริญคณุ แหงความตาย โดยนยั มีคาํ วา อุบาสก ! ทา นแลเปนผูทํากรรมงามไวแ ลว ฯลฯ บาปทา นไมไ ดทําเลย ความตายของทา นดกี วาความเปนอยู ทานทาํ กาละจากอตั ภาพน้ีแลว ฯลฯ จกั ยังตนใหเทยี่ วไป คือจักมีนางอัปสรแวดลอม ถึงความสุข อยใู นสวนนันทวัน ดังน้ี เปนตน ช่อื วาพรรณนาคณุ แหง ความตายทีเดียว. ฉะน้ัน ทา นพระอบุ าลเี ถระ จงึ กลา วบท-ภาชนะแยกออกเปน ๒ สวนวา ชี้โทษในความเปนอยู ๑ สรรเสริญคณุ ในความตาย ๑.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 389 คําวา มรณาย วา สมาทเปยฺย มีความวา พึงแนะนําใหฉวยเอาอุบาย เพ่อื ประโยชนแ กความตาย. สวนคําวา ทานจงตกบอ ตายหรือวาจงตกเหวตาย เปน ตน แมท่พี ระอบุ าลเี ถรมิไดก ลา วไว ในคาํ มอี าทิวา สตฺถวา อาหร ดังนี้ ทัง้ หมด กพ็ งึ ทราบวา ทา นกลาวไวแ ลว โดยใจความนั้นเอง เพราะเปน คาํ ซ่งึ มนี ัยดงั กลา วแลวขางหนา . จรงิ อยู ใคร ๆ กไ็ มสามารถกลาวคาํ ชกั ชวนทกุ อยางโดยส้นิ เชิงได. บทวา อิติ จติ ตฺ มโน มคี วามวา เธอมจี ิตอยางนี้ มใี จอยา งน้ันอธบิ ายวา เธอมีจติ หมายความตาย มใี จหมายความตายดงั กลา วแลวในคาํ น้ีวาความตายของทา นดกี วา ความเปนอยู ก็เพราะในบทวา จิตตฺ มโน นี้ มนศพั ททานกลาวแลว เพอ่ื แสดงใจความแหง จติ ตศพั ท แตจ ิตและใจ แมท ง้ั ๒ นี้โดยใจความ กเ็ ปน อนั เดยี วกนั น่ันเอง ; เพราะฉะน้นั เพ่ือแสดงความไมตา งกัน โดยใจความแหงจติ และใจนั้น ทานพระอุบาลีเถระจึงกลา วไววา ธรรม-ชาติอันใด เปน จติ ธรรมชาติอนั นนั้ กค็ อื ใจ, ธรรมชาติอนั ใดเปน ใจ ธรรม-ชาตอิ ันนัน้ กค็ อื จิต. สว นเน้อื ความยงั ไมไดกลาวกอ น แมเ พราะถอนอิตศิ พั ทออกเสยี . อติ ศิ พั ท พงึ ชักมาดวยอํานาจเปนเจาหนา ทใ่ี นบทวา จติ ดฺ สงฺกปฺโปน้.ี จริงอยู บทวา จิตตฺ สงฺกปโฺ ป น้ี แมไ มไดต รัสอยางนีว้ า อิต-ิจิตฺตสงกฺ ปฺโป ก็พงึ ทราบวา เปน อันตรสั แลวโดยความเปน เจาหนา ทนี่ ั่นเอง.จริงอยา งน้นั เมอ่ื ทานจะแสดงเฉพาะเน้อื ความนั้น แหงบทวา จติ ฺตสงฺกปฺโปนน้ั จงึ กลาววาคาํ วา มรณสฺี (มคี วามหมายในอนั ตาย) เปนอาทิ. แตค ําวา สงกฺ ปโฺ ป นี้ ในบทวา จติ ฺตสงฺกปโฺ ป นน้ั มิไดเ ปน ชือ่ ของวิตก อันที่แท คํานั้นเปนคําเรยี กกรรมเพียงการจดั แจง และการจัดแจงนนั้ ยอ มถึงความ

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 390สงเคราะหดว ยความหมาย ความจงใจ และความประสงคใ นอรรถนี้ ; เพราะเหตุนนั้ ผูศ กึ ษาพงึ เหน็ เนื้อความอยางนี้วา ชอื่ วา ผูมีจิตตสังกปั ปะ เพราะอรรถวิเคราะหว า เธอมีความจัดแจงแปลก คอื มปี ระการตา ง ๆ. จริงอยางนนั้แมบทภาชนะแหง บทวา จิตตฺ สงกฺ ปฺโป นั้น ทานพระอุบาลีเถระ ก็กลาวดวยอาํ นาจแหงความหมาย ความจงใจ และความประสงค. แตใ นอธิการน้ีวติ ก พึงทราบวา เปนความประสงค. สองบทวา อจุ ฺจาวเจหิ อากาเรหิ มีความวา ดว ยอุบายทง้ั หลายท่ีใหญแ ละใหญโดยลาํ ดบั . บรรดาการพรรณนาคุณความตายและการชักชวนในความตายเหลานนั้ ในการพรรณนาคณุ ความตายกอน อวจาการตา พงึทราบ ดว ยอาํ นาจการชโี้ ทษในความเปนอยู อจุ จฺ าการตา พึงทราบ ดว ยอํานาจการสรรเสริญคณุ แหงความตาย. สว นในการชักชวน อุจฺจาการตา พงึทราบ ดวยอาํ นาจการชกั ชวนในความตาย เพราะเหตทุ ง้ั หลาย มีกาํ มอื และปรบเขาเปน ตน อวจาการตา พงึ ทราบ ดวยอํานาจการใสยาพษิ เขา ในเล็บมอื ของบุคคลผบู ริโภครว มกัน แลวชกั ชวนในความตายเปน ตน . ในคาํ วา โสพฺเภ วา นรเก วา ปปาเต วา น้มี วี นิ จิ ฉัยดงั นี:้ -บอท่ีลกึ ซึ่งมีตลิ่งชนั โดยรอบชอื่ วา โสพภะ. ที่ชื่อวา นรก ได แก ชอกใหญทเี่ กิดเองโดยแท ในเมอื่ พ้นื ดนิ แตกระแหงในท่นี ัน้ ๆ อันเปนทซ่ี ึง่ ชางตกไปบา ง พวกโจรแอบซอนอยูบาง. ทีช่ อ่ื วา ปปาตะ ไดแ ก ประเทศที่ขาดแหวงขางเดียว ในระหวางภูเขา หรือในระหวา งบนบก. สองบทวา ปรุ เิ ม อุปาทาย ความวา ทรงเทยี บเคยี งบุคลผูเสพเมถนุ ธรรมและผูถ อื เอาสงิ่ ของท่เี จาของไมไดใ ห แลวตองอาบตั ปิ าราชิก. คําทเ่ี หลือ ปรากฏชดั แลว แล เพราะมีนัยดังกลา วแลว ในกอ น และเพราะมเี นื้อความตื้น ฉะนแ้ี ล.




















Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook