Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_02

tripitaka_02

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:33

Description: tripitaka_02

Search

Read the Text Version

พระวินัยปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 601 ครง้ั นั้น พระผูมีพระภาคเจารับส่งั กะภิกษุทง้ั หลายวา ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย . . . สามเณรเปรตนน้ั เคยเปนสามเณรผลู ามก ในศาสนาของพระกสั สปสัมมาสัมพุทธเจา . . . เรอื่ งสามเณรีเปรต โดยสมัยนน้ั พระผูม ีพระภาคพทุ ธเจาประทบั อยู ณ พระเวฬุวนั -วหิ าร อันเปน สถานทีพ่ ระราชทานเหยือ่ แกกระแต เขตพระนครราชคฤห ครงั้ นน้ัทานพระลกั ขณะกับทา นพระมหาโมคคัลลานะ... ทา นพระมหาโมคคัลลานะกลาววา อาวโุ ส ผมลงจากคชิ ฌกฏู บรรพตเขตพระนครราชคฤหน้ี ไดเ หน็ สามเณรีเปรต ลอยไปในเวหาส สงั ฆาฎิ บาตรประคดเอว และรา งกายของมัน ถกู ไฟติดลกุ โชน เปรตนน้ั รอ งครวญคราง. . . ครงั้ น้ัน พระผมู พี ระภาคเจา รบั ส่งั กะภิกษุทงั้ หลายวา ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย . . . สามเณรเปรตนน้ั เคยเปนสามเณรผูลามก ในศาสนาของพระ-กัสสปสมั มาสัมพุทธเจา. . . เรื่องแมนํ้าตโปทา [๒๙๖] ครง้ั นั้นแล ทา นพระมหาโมคคัลลานะเรยี กภกิ ษุทงั้ หลายกลาววา ดูกอนอาวุโสทั้งหลาย แมนํา้ ตโปทานี้ ไหลมาแตห วงใด หว งน้ันมีน้ําใสเยน็ จดื สนทิ สะอาดสะอา น มีทาเรียบราบ นารนื่ รมย มปี ลาและเตามาก อนึ่ง ดอกบวั ประมาณเทากงเกวยี นแยมบานอยู แตถงึ อยา งนนั้ แมน ้าํตโปทาน้กี เ็ ดือดพลา นไหลไปอยู

พระวินยั ปฎ ก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 602 ภิกษุทัง้ หลายพากนั เพง โทษ ติเตยี นโพนทะนาวา ไฉนทานพระมหาโมคคัลลานะจึงกลาวอยางน้วี า ดกู อนอาวุโส แมนํา้ ตโปทานีไ้ หลมาแตหว งใดหว งนนั้ มีนํา้ ใส เย็น จืดสนทิ สะอาดสะอาน มีทาเรียบราบ นารืน่ รมย มีปลา และเตา มาก อนง่ึ ดอกบวั ประมาณเทากงเกวยี นแยมบานอยู แตถงึ อยางนั้น แมน ้ําตโปทาน กเ็ ดือดพลานไหลไปอยู ทา นพระมหาโมคคัลลานะกลา วอวดอุตรมิ นสุ ธรรม แลวกราบทูลเรอื่ งนน้ั แดพระ ผมู ีพระภาคเจา ๆ ตรสั วาดกู อนภิกษุทง้ั หลาย แมน ้ําตโปทานไี้ หลมาแตห วงใด หว งน้ันมีนา้ํ ใส เย็น จืดสนทิ สะอาด สะอาน มที า เรียบราบ นารน่ื รมย มปี ลาและเตา มาก อน่งึดอกบัวประมาณเทากงเกวียนแยม บานอยู ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย แตแมนา้ํ ตโปทาน้ี ไหลผานมาในระหวา งมหานรกสองขมุ เพราะฉะน้ัน แมน ํ้าตโปทาน้จี ึงเดอื ดพลานไหลไปอยู ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย โมคคัลลานะพูดจรงิ โมคคลั ลานะไมต อ งอาบัต.ิ เรอ่ื งรบ ณ พระนครราชคฤห [๒๙๗] ก็โดยสมัยนน้ั แล พระเจาพมิ พิสารจอมเสนามาคธราช ทําสงคราม พา ยแพพ วกเจา ลิจฉวี ตอ มาภายหลัง ทา วเธอทรงระดมพลยกไปรบพวกเจาลิจฉวีไดชยั ชนะ และตีกลองนันทิเภรปี ระกาศในสงครามวา พระราชาทรงชนะพวกเจาลจิ ฉวแี ลว ครั้งนัน้ ทานพระมหาโมคคัลลานะพูดกะภิกษุทง้ัหลายวา อาวุโสท้ังหลาย พระราชาทรงปราชัยพวกเจาลิจฉวแี ลว แตเขาตีกลองนันทเิ ภรี ประกาศในสงความวา พระราชาทรงไดชยั ชนะพวกเจาลิจฉวีแลว .

พระวินัยปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 603 ภิกษุท้ังหลายพากนั เพงโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา ไฉนทา นพระมหาโมคคลั ลานะจงึ กลา วอยางน้วี า อาวโุ สทั้งหลาย พระราชาทรงปราชยั พวกลจิ ฉวแี ลว แตเ ขาตีกลองนนั ทิเภรปี ระกาศในสงครามวา พระราชาทรงไดช ยัชนะพวกเจา ลจิ ฉวแี ลว ทานพระมหาโมคคลั ลลานะกลา วอวดอตุ ริมนุสธรรรมแลวกราบทูลเรอื่ งน้นั แดพระผมู พี ระภาคเจา ๆ ตรสั วา ดกู อนภิกษุทัง้ หลายครง้ั แรกพระราชาทรงปราชัยพวกเจาลจิ ฉวี ตอมาภายหลังทา วเธอทรงระดมพลยกไปรบพวกเจา ลิจฉวีไดชัยชนะ ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย โมคคัลลานะพดู จริงโมคคัลลานะ ไมต อ งอาบัติ. เรื่องชา งลงนํ้า [ ๒๙๘ ] ครง้ั นนั้ ทานพระมหาโมคคลั ลานะ เรยี กภกิ ษทุ ง้ั หลายมากลาววา ดูกอ นอาวุโสทั้งหลาย เราเขาอาเนญชสมาธใิ กลฝ งแมนํ้าสัปปน กิ า ณตาํ บลน้ี ไดยินเสียงโขลงชางลงน้ํา เวลาขน้ึ จากน้ํา เปลงเสยี งดงั ดจุ นกกระเรียน. ภกิ ษทุ ง้ั หลายพากัน เพง โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา ไฉนทานพระมหาโมคคัลลานะจึงกลาวอยา งน้ีวา ดกู อนอาวโุ สทงั้ หลาย เราเขาอาเนญชสมาธิใกลฝ ง แมนํา้ สปั ปน ิกา ณ ตาํ บลน้ี ไดย ินเสยี งโขลงชางลงนาํ้ เวลาขน้ึ จากนํา้เปลงเสยี งดงั ดจุ นกกระเรียน ทา นพระมหาโมคคัลลานะ กลาวอวดอตุ ริมนุส-ธรรม แลวกราบทลู เรอื่ งนั้นแดพ ระผมู ีพระภาคเจา ๆ ตรสั วา ดกู อนภิกษุทง้ัหลาย สมาธิน้นั มีอยู แตไมบริสทุ ธ์ิ โมคคัลลานะพูดจริง โมคคัลลานะไมตอ งอาบัติ. เรอ่ื งพระโสภิตะอรหันต [๒๙๙] ครัง้ น้ัน ทานพระโสภติ ะเรยี กภกิ ษุท้งั หลายมากลาววา ดูกอ นอาวุโส ทั้งหลาย เราระลกึ ชาตไิ ดหา รอยกลั ป ภกิ ษุทง้ั หลายพากนั เพงโทษ

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 604ตเิ ตียนโพนทะนาวา ไฉนทา นพระโสภติ ะ จึงกลา วอยา งน้วี า ดูกอ นอาวุโสทัง้ หลาย เราระลกึ ชาตไิ ดหารอยกลั ป ทานพระโสภติ ะกลา วอวดอตุ ริมนสุ -ธรรม แลวกราบทลู เรื่องนั้นแดพ ระผูม ีพระภาคเจา ๆ ตรสั วา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ชาตินขี้ องโสภิตะมอี ยู แตม ชี าติเดียวเทานัน้ แล ดกู อนภิกษทุ ั้งหลายโสภติ ะพดู จริง โสภติ ะไมต อ งอาบตั .ิ ปาราชกิ สกิ ขาบทที่ ๔ จบ [๓๐๐] ทา นทัง้ หลาย ธรรมคือปาราชกิ ๔ สกิ ขาบท ขาพเจา ยกขน้ึแสดงแลว ภกิ ษตุ องอาบตั ปิ าราชกิ อยางใดอยางหนึ่งแลว ยอ มไมไดสงั วาสกบัภิกษุท้งั หลาย ภิกษเุ ปนปาราชกิ ยอมเปน ผหู าสังวาสมไิ ดใ นภายหลังเหมอื นในกาลกอน ขาพเจา ขอถามทา นท้ังหลายในธรรม คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนั้นวา ทานทั้งหลายบริสุทธ์ใิ นธรรม คอื ปาราชกิ ๔ สกิ ขาบทนแ้ี ลว หรอื ขาพเจาขอถามแมครง้ั ทีส่ องวา ทา นทัง้ หลายบริสุทธ์ิ ในธรรม คือ ปาราชกิ ๔ สกิ ขาบทนีแ้ ลวหรือ ขา พเจา ขอถามแมครงั้ ทส่ี ามวา ทานทงั้ หลาย บรสิ ทุ ธ์ใิ นธรรมคอื ปาราชิก ๔ สิกขาบทนแี้ ลวหรือ ทานทั้งหลายเปนผบู ริสุทธิใ์ นธรรม คอืปาราชิก ๔ สกิ ขาบท แลว เพราะฉะนน้ั จงึ เปนผูน่ิง ขา พเจา ทรงความนไี้ วดวยอยา งนแี้ ล. ปาราชิกกัณฑ จบ หวั ขอ ประจําเรอ่ื ง ปาราชิก ๔ สิกขาบท คอื :- เมถนุ ธรรม ๑ อทนิ นาทาน ๑ มนุสสวคิ คหะ ๑ อตุ ริมนุสธรรม ๑เปนวัตถุแหงมลู เฉท หาความสงสัยมไิ ด ดังน้แี ล

พระวนิ ัยปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 605 จตตุ ถปาราชิกวรรณนา พระศาสดา ผูทรงรูแ จงสจั จะท้ัง ๔ ทรงประกาศ จตุตถปาราชิกใดไวแ ลว, บดั นี้ มาถงึ ลาํ ดับสงั วรรณนาแหง จตตุ ถปารา- ชกิ น้ันแลว ; เพราะเหตุน้ัน คําใดท่จี ะพงึ รู ไดงาย และคาํ ที่ขาพเจาไดป ระกาศแลว ใน เบอื้ งตน, สังวรรณนานี้ แหง จตตุ ถปาราชกิ แมน ้นั จะเวน คํานัน้ ๆ เสีย. [เร่ืองภกิ ษุพวกจาํ พรรษารมิ ฝงแมน าํ้ วัคคุมทุ า] คําวา เตน สมเยน พทุ ฺโธ ภควา เวสาลิย วิหรติ ฯ เป ฯคหิ นี  กมมฺ นตฺ  อธฏิ เม ความวา พวกเราจงชว ยกันอาํ นวยกจิ การทค่ี วรทาํ ในนาและในสวนเปนตน ของพวกคฤหัสถเถิด. มีคําอธิบายวา พวกเราจงบอก และจงพราํ่ สอนวา พวกทา นควรทาํ อยา งนี้ ไมควรทาํ อยางนี้ บทวา ทูเตยฺย ไดแก การงานของทูต. บทวา อตุ ฺตรมิ นุสฺสธมมฺ สสฺ ไดแ ก ธรรมทีล่ วงเลยพวกมนุษยไป. อธบิ ายวา ธรรมที่ลว งเลยพวกมนษุ ยไปใหลถุ งึ ความเปนพรหม หรอืพระนิพพาน. อีกอยางหนง่ึ ไดแก ธรรมของมนษุ ยผ ยู วดยงิ คือ บุรุษผูประเสรฐิ สุด ซึ่งเปน ผูไ ดฌาน และเปนพระอรยิ เจา . ในคาํ วา อสโุ ก ภิกขฺ ุ เปนตน มวี นิ จิ ฉยั ดงั น้ี :- ภกิ ษทุ ้งั หลายปรกึ ษากบั ตนอยางน้นั แลว ภายหลัง เม่ือกลา วแกพ วกคฤหัสถพ ึงทราบวา

พระวินัยปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 606ไดกลาวสรรเสรญิ ดว ยอาํ นาจแหงช่อื ทีเดียว อยา งน้ีวา ภกิ ษุช่ือพุทธรักขติไดป ฐมฌาน ชอ่ื ธรรมรกั ขติ ไดท ุตยิ ฌานดังน้ีเปน ตน บรรดาบทเหลาน้ัน ขอ วา เอโสเยว โข อาวุโส เสยโฺ ยความวา การชวยอาํ นวยกจิ การ และการนําขา วสาสนไปดว ยความเปน ทตู มีขา ศึกมาก มกี ารแขง ดีกนั มาก ท้งั เปน ของไมส มควรแกสมณะ , สว นขอ ทีพ่ วกเราพากนั กลา วชมอตุ รมิ นุสธรรมของกนั และกนั แกพวกคฤหสั ถน ้นั แล เปน ส่งิ ท่ีนา สรรเสรญิ กวา คอื ยอดเยีย่ มกวาไดแ ก ดีกวา กิจทัง้ สองน้นั เปนไหนๆ. ทานกลาวอธบิ ายไวอ ยางไร ? กลาวไววา ขอทพี่ วกเราจักพากันกลา วชมอุตรมิ นสุ -ธรรมของกนั และกันแกพวกคฤหัสถ ผถู ามถงึ หรอื ผูม ไิ ดถามถึงภิกษุผูน่ังพักอริ ิยาบถอยหู รือโดยมอี าทิอยา งน้วี า ภิกษุช่อื โนน น้ี ไดปฐมฌาน นี้แลประเสรฐิ ทส่ี ุด. [อธบิ ายศัพทก ริ ิยาอนาคต] ก็ เม่ือความสัมพันธด ว ยกริ ิยาอนาคต ไมมี ภกิ ษุเหลา นั้น จกั กลา วชมคณุ น้นั ในขณะน้ันไมไ ดเ ลย, เพราะเหตนุ ัน้ เนื้อความท่ที า นมิไดแตงปาฐะทเ่ี หลอื กลา วไววา ภาสโิ ต ภวิสสฺ โต จึงไมถกู ; เพราะฉะน้นั ในบทวา ภาสโิ ต น้ี บณั ฑิตควรทาํ ไหม ีความสัมพันธดวยกิริยาอนาคต แลวพงึ ทราบอรรถอยา งนวี้ า คณุ อยา งใด จักเปนส่ิงทพี่ วกเรากลา วชมอยางน้นัคุณอยา งนน้ั ตองประเสรฐิ ทส่ี ดุ . แตน กั ศกึ ษา ควรแสวงหาลกั ษณะจากคัมภรี ศพั ทศาสตร. สองบทวา วณณฺ วา* อเหสุ ความวา วรรณะแหงสรีระท่ีใหมเ อย่ี มอยา งอนื่ นน่ั แล เกดิ ขน้ึ แกภกิ ษุเหลานนั้ . ภิกษเุ หลานน้ั ไดเ ปนผูมนี ้าํ นวลดว ยวรรณะนั้น* บาลีเปน วณฺณวนโฺ ต

พระวินัยปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 607 บทวา ปน นิ ทฺ ฺรยิ า ความวา ชือ่ วา เปน ผมู ีอินทรียอม่ิ โดยความท่อี นิ ทรยี ท ั้งหลายมีใจเปนที่ ๖ ไมเ ห่ียวแหง เพราะโอกาสท่ีประสาททง้ั ๕ตั้งม่นั เปน ของบรบิ รู ณ. บทวา ปสนฺนมุขวณณฺ า มีความวา เปนผมู ีนํา้ นวลโดยไมแปลกกนั แมก จ็ ริง, ถงึ กระนัน้ สหี นาของภิกษเุ หลานั้น กผ็ องใสเกินไป กวาวรรณะแหงสรรี ะ. อธิบายวา ผองใสไมห มนหมอง คอื บริสุทธ์ิ. บทวา วิปฺปสนฺนจฉฺ วิวณฺณา มีความวา กภ็ ิกษุเหลา นน้ั เปน ผมู ีน้าํ นวลดวยวรรณะใด ซ่ึงเปน เชน กับดอกกรรณิการ, วรรณะเชน นัน้ ของมนุษยท้งั หลายแมเ หลาอ่ืน ก็มอี ยู,* เหมอื นอยา งวา (วรรณะเชน นั้น ) ของมนุษยเหลานเี้ ปนฉนั ใด, ของภกิ ษุเหลานัน้ ไมเปน ฉนั น้ัน คอื ผิวพรรณของภิกษุเหลา นัน้ ผุดผอ ง. เพราะเหตนุ นั้ พระธรรมสงั คาหกาจารยท ั้งหลายจงึ กลาวไววา มีผิวพรรณผุดผอง. ดว ยประการอยางนแ้ี ล ภกิ ษเุ หลาน้ันไมห มัน่ ประกอบอเุ ทศและปริปุจฉาเลย ท้งั ไมห มน่ั ประกอบกรรมฐานดวย.โดยทีแ่ ท ครน้ั ฉนั โภชนะที่ประณีต ซง่ึ ไดม าดว ยการพรรณนาคุณทไ่ี มเ ปนจรงิเปน การหลอกลวง แมต ามประกอบอย,ู ซึง่ ความเปน ผูยินดใี นความหลับตามสบาย และความเปน ผูย นิ ดีในการคลุกคลดี วยหมู จึงถงึ ความโสภาทางสรรี ะน้ีมสี วนเปรียบเหมอื นพวกพาลมฤคคึกคะนอง ฉะนีแ้ ล. พระผูม พี ระภาคเจาตรสั ถามพวกภกิ ษทุ อ่ี ยูฝ ง แมน าํ้ วคั คมุ ทุ า บทวา วคคฺ ุมทุ าตรี ยิ า ไดแก พวกภิกษผุ อู ยูท่ีฝง แมน าํ้ วคั คุมุทา. ขอวา กิจฺจิ ภิกขฺ เว ขมนยิ  ความวา พระผมู พี ระภาคเจา ตรสัถามวา ดูกอนภิกษุท้งั หลาย . สรีรยนตน ้ีของพวกเธอ ซ่งึ มีจักร ๔ มีทวาร ๙* นา จะเปน กตฺถิ ตามในอัตถโยชนา ๒/๔๑๙ เพราะรปู เรื่องกเ็ ปนเชน นั้น คอื พวกภกิ ษุมสี หี นา ผองใส แตพวกมนษุ ยไมผอ งใสเหมือนพวกภิกษ.ุ

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 608ยงั พอทนไดแลหรือ ? คือ พวกเธอยงั อาจเพือ่ อดทนอดกลนั้ เพือ่ บรหิ ารไดละหรือ ? สรีรยนตของพวกเธอ ไมใหทุกขอ ะไร ๆ เกิดข้ึนบางหรอื ? ขอวา กจจฺ ิ ยาปนิย ความวา พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสถามวาพวกเธอยงั อาจเพ่อื ใหสรีรยนตเปนไป คอื ใหด าํ เนินไปในกิจทงั้ ปวงบา งหรอื ?สรรี ยนต ของพวกเธอไมแสดงอันตรายอะไร ๆ บางหรอื ? สองบทวา กจุ ฉฺ ิ ปรกิ นโฺ ต ความวา ทอ งอันพวกเธอควา นแลวพงึ เปนของดกี วา . ปาฐะวา กจุ ฺฉิ ปริกตฺโถ บาง ก็ใชไ ด. [โจรภายนอกศาสนาเทยี่ วปลนบา นชายแดนเปนตน ] ครง้ั นัน้ แล พระผูมพี ระภาคเจา คร้ันทรงตเิ ตยี นพวกภิกษุผูอยูรมิ ฝงแมนาํ้ วคั คมทุ า โดยอเนกปรยิ าย อยางนแี้ ลว บดั น้ี จึงตรัสเรยี กภกิ ษุทงั้ หลายมา. ก็แล ครัน้ ตรัสเรยี กมาแลว จึงตรสั วา ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ! มหาโจร๕ จาํ พวกเหลาน้ี เปน ตน เพอ่ื มิใหภิกษแุ มเ หลา อืน่ กระทํากรรมเหน็ ปานนน้ัตอ ไป เพราะกรรมทีภ่ กิ ษผุ อู ยูริมฝง แมน ้ําวัคคุมทุ าเหลา น้ันกระทาํ จัดเปนโจรกรรม. บรรดาบทเหลา นนั้ สองบทวา สนฺโต สวชิ ชฺ มานา มคี ําอธิบายวา มีอยู และหาไดอ ยู. บทวา อธิ คอื ในสัตวโลกน้ี. สองบทวา เอว โหติ ความวา ความปรารถนาในสว นเบอื้ งตนยอมเกิดขึน้ อยา งน.ี้ ศพั ทว า สุ ในคําวา กทาสุ นามาห น้ี เปน นิบาต.ความวา ช่อื เม่อื ไรหนอ ? ขอวา โส อปเรน สมเยน ความวา มหาโจรน้ัน ครัน้ คิดในสวนเบ้อื งตนอยา งนั้นแลว กเ็ พิม่ พนู บริษัทขึน้ โดยลาํ ดบั กระทาํ กรรมมอี าทิ

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 609อยา งนั้น คือ กรรมเปนเหตุประทษุ รา ยคนเดนิ ทาง ปลนสดมภชาวบา นทต่ี ั้งอยูชายแดน เปนบรุ ษุ ผถู งึ ความเจรญิ ไพบูลยข ้นึ แลว ทําบา นมไิ หเปน บา นบา งทําชนบทมิใหเปนชนบทบา ง ฆาเอง ใหผ อู ืน่ ฆา ตัดเอง ใหผ อู ่นื ตดั เผา-ผลาญเอง ใหผ อู ืน่ เผาผลาญ. [มหาโจรในพระศาสนาเท่ียวยาํ่ ยีสิกขาบทนอ ยใหญ] พระผมู พี ระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงโจรภายนอกอยา งนีแ้ ลว จงึ ตรสัพระดาํ รัสวา เอวเมว โข เปน ตน เพอื่ ทรงแสดงมหาโจร ๕ จําพวกในพระศาสนา ผูเ ชนกับโจรภายนอกนั้น. บรรดาบทเหลา นั้น บทวา ปาปภิกฺขโุ น ความวา ในท่อี ื่นๆภิกษผุ ูต องปาราชกิ มีมูลขาดแลว ทา นเรยี กวา ภกิ ษุผเู ลวทราม. สวนในสิกขาบทน้ี ภกิ ษผุ มู ไิ ดต อ งปาราชิก แตตั้งอยูในอจิ ฉาจารเที่ยวย่ํายีสกิ ขาบทนอ ยใหญ ทา นประสงคเอาวา ภิกษผุ ูเลวทราม ความปรารถนาในสว นเบือ้ งตน ยอ มเกิดขึน้ แมแ กภกิ ษุผเู ลวทรามนัน้ เหมือนเกดิ ขึ้นแกมหาโจรภายนอกอยา งนี้วา เม่ือไรหนอ ? เราจงจักเปน ผูอ นั ภิกษรุ อ ยหนง่ึ หรือพันหน่งึแวดลอ มแลว เทีย่ วจารึกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถและบรรพชิตสักการะ เคารพนบั ถอื บชู า ยาํ เกรง ไดจีวร บิณ -ฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจ จยั เภสัช ปริขาร. * บรรดาบทเหลานน้ั บทวา สกฺกโต ไดแก ผปู ระสบสกั การะ. บทวา ครุกโต ไดแก ผูไดรับความเคารพ. บทวา มานิโต ไดแ ก ผอู ันเขารักดวยนาํ้ ใจ. บทวา ปชู ิโต ไดแ ก ผอู ันเขาบูชาแลว ดว ยการบชู า คอื นาํ มาเฉพาะซงึ่ ปจจัยทั้ง ๔.* วิ. มหา. ๑/๑๔.๑๖๙ - ๑๗๐

พระวนิ ยั ปฎก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 610 บทวา อปจิโต ไดแก ผูลถุ งึ ความยําเกรง. บรรดาบคุ คลเหลา น้ันชนท้งั หลายสักการะปจ จัย ๔ คอื ทําปจ จัย ๔ ที่ตกแตง ไวอ ยา งดใี หประณตี ๆแลว จงึ ถวายแกทา นผใู ด, ทานผูนัน้ ช่ือวา อนั เขาสักการะแลว . ชนทัง้ หลายใหความเคารพเขา ไปตง้ั อยเู ฉพาะในทานผใู ด แลว จงึ ถวาย , ทานผนู ้นั ชือ่ วาอันเขาเคารพแลว. ชนทัง้ หลาย ยอ มรักใครท านผใู ด ดว ยนํ้าใจ. ทานผนู น้ัชอ่ื วาอันเขานบั ถอื แลว . ชนท้ังหลาย ยอมทาํ กจิ มีการสักการะเปนตน นนั้ แมทง้ั หมด แกท า นผใู ด, ทา นผูนั้น ชอ่ื วา อนั เขาบูชาแลว . ชนทั้งหลายยอ มทาํ ความนบนอบอยางยง่ิ ดวยอาํ นาจแหงกิจ มีการกราบไหวล กุ รับ และประนมมือไหวเ ปนตน แกทา นผใู ด, ทานผูน ้นั ชื่อวา อนั เขายําเกรงแลว.กค็ วามปรารถนาอยางนี้ ยอ มมแี กภ ิกษผุ เู ลวทราม ผปู รารถนาอยู ซ่งึ โลกามิสแมท ง้ั หมดน.้ี ขอ วา โส อปเรน สมเยน มคี วามวา ภกิ ษุผเู ลวทรามน้นัครน้ั คดิ ในสวนเบอ้ื งตน อยางนน้ั แลว สงเคราะหพ วกภกิ ษุเลวทรามผูไมมีความเคารพกลาในสกิ ขา ฟงุ ซาน จองหอง หลกุ หลกิ ปากจัด พูดพราํ่ เพรื่อหลงลมื สติ ไมมสี มั ปชัญญะ มอี นิ ทรยี เปด (ผูไมส ํารวมอนิ ทรีย) ที่พระอาจารยแ ละอปุ ช ฌายสละทิง้ แลว ผหู นักในลาภ โดยลําดับ แลว ใหสําเหนยี กธรรมเนียมของคนหลอกลวงทัง้ หลาย มีการวางกิริยาทา ทางเปนตน เปน ผูม ีคณุ อันพวกภิกษเุ ลวทราม ผูทําความสัง่ สม ในนิทานชาดกเปนตน สมบรู ณดวยกระแสเสียง สามารถเพอ่ื ลวงตมชาวโลก สรรเสริญอยู ดว ยอบุ ายท้งั หลายมีการพรรณนาถงึ เสนาสนะทช่ี าวโลกสมมุตเิ ปน ตน อยางนนั้ วา พระเถระรูปนี้เขา จาํ พรรษาอยใู นเสนาสนะชือ่ โนน บําเพญ็ วตั รปฏบิ ตั ิอยอู อกพรรษาแลวกจ็ ะออกไป เปนผูอ ันภิกษุรอ ยหนงึ่ หรือพันหนึ่งแวดลอม เท่ียวจารกิ ไปใน

พระวนิ ัยปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 611คานนิคม และราชธานี อนั คฤหสั ถแ ละบรรพชติ สกั การะ เคารพ นับถอืบูชา ยําเกรง ไดจวี ร บิณฑบาตเสนาสนะ และคลิ านปจจยั เภสชั บรขิ าร. [มหาโจรในพระศาสนามี ๕ จาํ พวก] ขอ วา อย ภิกฺขเว ปโม มหาโจโร มคี วามวา ภิกษุผูเลวทรามเปนเหมอื นโจรผตู ดั ทีต่ อ เปน ตน นี้ พึงทราบวา เปนมหาโจรจําพวกท่ี ๑เพราะมิใชจ ะหลอกลวงตระกูลหนึ่ง หรอื สองตระกลู เทา นนั้ กห็ าไม , โดยท่ีแทยังหลอกลวงมหาชน ถอื เอาปจ จัย ๔ ดวย. สวนภิกษเุ หลา ใด ผเู ช่ียวชาญในพระสูตร เชีย่ วชาญในพระอภิธรรม หรอื ทรงพระวนิ ัย เมือ่ ภิกษาจารไมส มบรู ณเท่ยี วจารกิ ไปตามชนบทบอกบาลี กลาวอรรถกถา ยังชาวโลกใหเลือ่ มใสดวยอนุโมทนาดวยธรรมกถา และดวยความเรียบรอยแหงกริ ิยาทา ทาง , ภกิ ษเุ หลา น้ันเขาสักการะ เคารพ นบั ถอื บูชา ยําเกรงแลว พึงทราบวา เปนผูย งั พระ-ศาสนาใหร ุงเร่ือง สืบตอแบบแผนและประเพณไี ว. บทวา ตถาคตปฺปเวทิต ความวา อันพระตถาคตแทงตลอดแลวคอื กระทาํ ใหประจกั ษแลว หรือยงั ผอู นื่ ใหรแู ลว. สองบทวา อตตฺ โน ทหติ มีความวา ภกิ ษุผเู ลวทราม เทียบเคยี งบาลีและอรรถกถา อยใู นทา มกลางบริษทั กลา วพระสูตรอนั เปนทตี่ ง้ั แหง ความเล่ือมใส ดว ยเสยี งอันไพเราะ ถูกวญิ ชู นผเู กิดมีความอศั จรรยใ จไตถามในที่สุดแหง ธรรมกถาวา โอ ! ทา นผเู จรญิ บาลีและอรรถกถา บริสทุ ธ์ิ , พระคุณเจาเรียนเอาในสํานักของ ใคร ? ดังนี้ กลา ววา ใครจะสามารถใหค นเชน เราเรียนแลวไมแสดงอาจารยประกาศธรรมวินัยทีต่ นแทงตลอดเอง คือ ที่คนไดบรรลุดว ยสยัมภญู าณ. ภกิ ษุผขู โมยธรรมท่พี ระตถาคตทรงบาํ เพญ็ บารมี สิ้น ๔ อสงไขยยิ่งดวยแสนกัป ไดตรัสรูโ ดยแสนยากลาํ บาก นี้ จัดเปน มหาโจรจาํ พวกที่ ๒.

พระวินยั ปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 612 ขอ วา สุทธฺ  พฺรหฺมจารึ ไดแก ภิกษุผสู ้ินอาสวะแลว. ขอ วา ปริสทุ ธฺ  พรฺ หฺมจริย จรนฺต ไดแก เพ่ือนพรหมจารีผูประพฤตจิ รยิ าทปี่ ระเสรฐิ อันหาอปุ กเิ ลสมิได. อกี อยา งหนง่ึ ไดแ กผ ปู ระพฤติพรหมจรรยท่บี รสิ ุทธิ์ อนั เปน ที่ตง้ั แหง ความไมเดือดรอ นเปนตนแมอืน่ ตง้ั ตนแตพ ระอนาคามตี ราบเทาถงึ ปุถุชนผูม ีศีล. ขอวา อมูลเกน อพรฺ หฺมจริเยน อนุทธฺ เสติ มคี วามวา ภกิ ษุผเู ลวทราม ยอ มกลาวหา คอื โจท ดว ยอันติมวัตถุ ซงึ่ ไมมอี ยใู นบุคคลน้ัน.ภกิ ษุผูลบหลคู ณุ ทีม่ ีอยู ขโมยอริยคณุ นี้ จดั เปน มหาโจรจาํ พวกท่ี ๓. ในสองบทวา ครุภณฺฑานิ ครปุ ริกขฺ ารานิ นี้ พงึ ทราบวนิ ิจฉยัดงั นี้:- ในอทนิ นาทานสกิ ขาบท ภัณฑะมรี าคา ๕ มาสก ทานจัดวา ครภุ ณั ฑในคาํ วา ชน ๔ คน ชวนกันลักครภุ ณั ฑ๑ น้ีฉันใด , ในสกิ ขาบทน้ี จะไดจัดฉันนั้น หามิได, โดยทแ่ี ท ภัณฑะทจ่ี ดั เปน ครุภณั ฑ ก็เพราะเปน ของท่ีไมควรจําหนา ย โดยพระบาลีวา ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ! ภัณฑะ ๕ หมวดนี้ไมควรจําหนา ย อยาจําหนา ย, สงฆ หรือคณะ หรือบคุ คล แมจําหนา ยไปก็ไมเ ปน อันจาํ หนา ย ; ภิกษใุ ดพึงจําหนา ย ปรับอาบัติถุลลจั จยั แกภิกษุน้นั ;ภัณฑะ ๕ หมวด คอื อะไรบา ง ? คือ อาราม อารามวัตถุ ฯลฯ ภัณฑะไมภัณฑะดนิ ๒ บริขารทีจ่ ดั เปนครุบรขิ าร โดยความเปน บริขารสาธารณะ เพราะเปนของไมค วรแจก โดยพระบาลวี า ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ! บริขาร ๕ หมวดนี้ก็ไมควรแจก อยา แจก , สงฆหรือคณะ หรอื บคุ คล แมแ จกไปแลว ไมเปนอันแจก, ภิกษุ ใดพึงแจกปรบั อาบัติถลุ ลจั จัยแกภกิ ษนุ ัน้ ; บริขาร ๕ หมวดคืออะไรบาง ? คืออาราม อารามวตั ถุ ฯลฯ ภัณฑะไม ภณั ฑะดิน.๓ คําใด๑ วิ. ปริวาร. ๘/ ๕๓๐ ๒ - ๓ วิ จุล. ๗/ ๑๓๓-๔.

พระวินัยปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 613ทค่ี วรกลาวในบทวา อาราโม อารามวตฺถุ เปนตน ขา พเจาจักกลา วคํานั้นท้งั หมดในวรรณนาแหง สูตร ซึง่ มาในขันธกะวา ปฺจิมานิ ภิกขฺ เว อวิสชฺ-ชยิ านิ นนั่ เทยี ว. ขอวา เตหิ คิหี สงฺคณหาติ มีความวา ใหค รุภัณฑ ครบุ ริขารมีอารามเปนตนเหลาน้นั สงเคราะห คืออนเุ คราะหพ วกคฤหัสถ . บทวา อุปลาเปติ มคี วามวา ทาํ ใหพวกคฤหสั ถบน ถงึ คอื ใหเ ปนผตู ิดใจ ไดแก ใหม ีความรกั ใคร อยา งนี้วา ดีจรงิ ! พระผเู ปน เจา ของพวกเรา.ภิกษุผูล กั ครบุ รขิ าร ที่ไมค วรจําหนาย และไมค วรแจกโดยความเปนอยา งน้นัสงเคราะหค ฤหสั ถนี้ จดั เปน มหาโจรพวกที่ ๔. ก็แล ภกิ ษุน้ัน เมือ่ จําหนายครภุ ณั ฑนี้ เพอ่ื สงเคราะหสกุล ยอ มตองกลุ ทสู กทกุ กฏดวย ยอมเปน ผคู วรแกป พพาชนียกรรมดวย , เมอ่ื จาํ หนายดวยความเปนผมู ีความเปนใหญเ หนือภิกษสุ งฆ ยอมตอ งถุลลจั จยั , เม่อื จาํ หนายดวยไถยจติ พงึ ใหต ีราคาสง่ิ ของปรบั อาบัติแล. ขอ วา อย อคฺโค มหาโจโรมีความวา ภกิ ษนุ ท้ี ลี่ ักฉอโลกตุ รธรรมซึง่ สุขุมละเอียดนัก เปน ไปลว งการถือเอาดวยอนิ ทรีย ๕ นี้ จดั เปนโจรใหญที่สดุ ของมหาโจรเหลาน้นั , ขึน้ ชอ่ื วาโจรผูเ ชนกับภกิ ษนุ ี้ ยอมไมมี. ถามวา ก็โลกตุ รธรรม บคุ คลอาจลวง คือลกั ฉอ เอา เหมอื นทรัพยมเี งนิ และทองเปนตน หรือ ?. แกว า ไมอาจ , ดว ยเหตนุ น้ั นน่ั แล พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั วาภิกษุใด กลา วอวดอตุ รมิ นุสธรรม ที่ไมมอี ยู ไมเ ปน จริง. แทจ รงิ ภกิ ษุน้ียอ มกลาวอวดธรรมทไ่ี มมีอยใู นตนอยา งเดียววา ธรรมนี้ของเรา มอี ยู. แตไ มอาจใหอตุ ริมนุสธรรมน้ันเคล่อื นไปจากท่ีได หรอื ไมอ าจทาํ ใหมอี ยใู นตนได.

พระวนิ ัยปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 614 ถามวา เมอื่ เปนเชนนน้ั เพราะเหตไุ ร จงึ กลา ววา เปนโจรเลา ?. แกวา เพราะวา ภกิ ษุนี้ กลา วอวดอุตริมนุสธรรมน้ันแลว ถือเอาปจ จยั ทเี่ กิดข้นึ เพราะการอวดคณุ ท่ไี มมอี ยู ; เพราะเหตนุ ้นั ปจ จยั เหลานั้นยอ มเปน อันเธอผถู ือเอา (ดว ยการอวดธรรมทีไ่ มมีอยู) อยางนนั้ ลอ ลวง คอืลักฉอ เอาดวยอบุ ายอันสุขมุ . ดว ยเหตุน้นั แล พระผูม พี ระภาคเจา จึงตรัสวาขอนนั้ เพราะเหตุไร ? ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เพราะเหตทุ ี่กอนขา วของชาวแวนแควน อันภกิ ษุนั้นฉนั แลว ดวยความเปนขโมย. อันเน้ือความในคําวา ต กสิ ฺส เหตุ นี้ พึงทราบดงั ตอ ไปนี้.เราไดกลาวคาํ ใดวา ภิกษุใด กลาวอวดอตุ ริมนสุ ธรรมที่ไมมี ไมจริง, ภิกษุนี้-เปนยอดมหาโจร; ถาจะมผี โู จทกทว งวา ขอนนั้ เพราะเหตุไร ? คือ เราไดกลา วคําน้นั ดวยเหตุอะไร ? เราพงึ เฉลยวา เพราะเหตทุ กี่ อนขาวของชาวแวน แควน อนั ภกิ ษุน้นั ฉนั แลว ดวยความเปนขโมยแล ภิกษุท้ังหลาย.อธิบายวา ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เพราะกอนขา วของชาวแวน แควน เปนอนัภกิ ษนุ นั้ ฉนั แลว ดวยไถยจิต ; เพราะเหตุนั้น เราจงึ ไดกลา วคํานน้ั . จริงอยู โว ศัพท ในคําวา เถยยฺ าย โว น้ี เปน นิบาตลงในอรรถสักวาเปน เครอื่ งทําบทใหเ ตม็ เหมอื น โว ศพั ท ในคําวา เย หิ โวอรยิ า อรฺ วนปฏานิ เปนอาทิ แปลวา จริงอยู พระอริยเจา ทงั้ หลายแลยอ มเสพราวไพรในปา. เพราะเหตุน้นั ผศู กึ ษาไมพ งึ เห็นเนอ้ื ความแหง โวศัพทนัน้ อยา งน้วี า ตุมเฺ หหิ ภุตโฺ ต แปลวา อันทา นทง้ั หลายฉนั แลว ดงั นี.้ [แกอรรถนคิ มคาถา] บดั น้ี พระผูม พี ระภาคเจา เม่ือจะทรงทาํ เนื้อความนนั้ นนั่ แล ใหแจมแจง ขึ้นโดยคาถา จงึ ตรสั พระคาถาวา อฺ ถา สนตฺ  เปนตน .

พระวนิ ัยปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 615 บรรดาบทเหลา นน้ั สองบทวา อฺถา สนตฺ ความวา อันมีอยโู ดยอาการอื่น ซง่ึ มีกายสมาจารไมบรสิ ทุ ธ์ิ เปนตน . บาทคาถาวา อฺ ถา โย ปเวทเย ความวา ภิกษรุ ปู ใด พึงประกาศดวยอาการอยางอ่นื ซ่งึ มกี ายสมาจารบรสิ ุทธิเ์ ปนตน คอื ใหช นชาติอืน่เขา ใจอยางน้วี า เราเปนผูบรสิ ุทธอ์ิ ยา งยง่ิ โลกตุ รธรรมมอี ยใู นภายในของเรา.ก็แล ครั้นประกาศแลว (แสดงตน) ดุจพระอรหันต ฉันโภชนะท่ีเกดิ ขนึ้เพราะการประกาศนน้ั . บทวา นิกจฺจ ในสองบาทคาถาวา นิกจฺจ กิตวสฺเสว ภตุ ตฺ เถยฺเยน ตสฺส ต น้ี แปลวา ลอลวง คอื แสดงตนอนั มอี ยูโดยอาการอื่นดวยอาการอยา งอื่น ไดแ ก แสดงตนซงึ่ ไมใ ชพ ุมไม และไมใ ชกอไมเ ลยใหเ ปนเหมอื นพมุ ไมแ ละใหเ หมอื นกอไม เพราะเอาก่งิ ไม ใบไม และใบออนเปนตน ปดบงั ไว. บทวา กิตวสเฺ สว ความวา ดุจพรานนก ผลู วง คือ หลอกจับนกตัวทมี่ าแลว ๆ ในปา ดว ยมีความสาํ คัญวา เปนพุม ไมแ ละกอไมแ ลว เลีย้ งชวี ติฉะน้ัน. บาทคาถาวา ภตุ ตฺ  เถยเฺ ยน ตสสฺ ตความวา เมือ่ ภิกษแุ มน้นัผูไมใชพระอรหันตเลย แสดงวาเปน พระอรหันต ฉันโภชนะที่ตนไดม า,โภชนะทเี่ ธอฉัน ชือ่ วาเปนอนั เธอฉันแลว ดวยความเปนขโมย เพราะเธอฉนั โภชนะท่ีตนลอลวงมนษุ ยท ง้ั หลายแลว ไดมา เปรียบเหมอื นนายพรานนกผูมเี ครอ่ื งปกปด ลอ คือ ลวงจับนก ฉะน้นั . กภ็ ิกษเุ หลา ใด เมอ่ื ไมรอู าํ นาจแหง ประโยชนน ี้ ยอ มฉนั ดวยอาการอยา งน้ัน, ภกิ ษเุ ปน อันมาก เมือ่ ผากาสาวะพันคอ มธี รรมเลวทรามไมส าํ รวมแลว , ภิกษุผเู ลวทรามเหลา น้นั ยอ มเขา ถงึซง่ึ นรก เพราะกรรมท้ังหลายทเ่ี ลวทราม.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 616 บทวา กาสาวกณฺา ไดแ ก ผูมีคอท่พี นั ดวยผากาสาวะ. มีคําอธบิ ายวา คณุ เครื่องเปน สมณะ คือ พระอรหัตผล ยอมไมม ีแกบุคคลเหลา ใดบคุ คลเหลานัน้ มีแตการทรงไวซ่งึ ธงชัยแหงพระอรยิ ะเพียงนเ้ี ทานั้น. คําวาผูมผี า กาสาวะพนั คอ นี้ เปนช่ือแหงบรรพชิตผูท ศุ ลี ทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาตรัสไวอยางน้ีวา ดูกอนอานนท ! ก็แล โคตรภูสงฆท ้ังหลาย ผูม ผี า กาสาวะพนั คอ จกั มีในกาลอนาคต. บทวา ปาปธมมฺ า ไดแก ผูมธี รรมลามก. บทวา อสฺ ตา ไดแก ผูไ มส าํ รวมทางกายเปนตน . บทวา ปาปา ไดแ ก บุคคลลามก. สองบทวา ปาเปหิ กมเฺ มหิ ความวา เพราะกรรมท่เี ลวทรามทั้งหลาย มกี ารลอลวงผูอ่นื เปนตนเหลาน้ัน อนั ตนทาํ แลว เพราะไมเ หน็ โทษในเวลากระทํา บาทคาถาวา นริ ยนเฺ ต อุปปชชฺ เรความวา ภกิ ษุผูเลวทรามเหลา นน้ัยอ มเขาถงึ ทคุ ติ ท่ีหมดความแชมชืน่ เพราะเหตนุ ัน้ พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสพระคาถาวา เสยฺโย อโยคุโฬเปนตน. พึงทราบเน้ือความแหงพระคาถานน้ั วา ถาบคุ คลผูท ศุ ลี ไมสาํ รวมตงั้ อยูใ นอิจฉาจาร เปน ผูล วงโลกดวยกิรยิ าหลอกลวงนี้ พงึ บรโิ ภค คอื พงึกลนื กินกอนเหลก็ แดงดงั เปลวไฟ, การที่ผูทศุ ีลพงึ ฉนั กอนขาวของชาวแวน แควน น้ี ๑ การท่บี ุคคลพงึ กินกอ นเหลก็ แดงนี้ ๑ ใน ๒ อยางนัน้ กอ นเหล็กเทียว อนั ภกิ ษนุ ้นั บรโิ ภคแลว พงึ เปนของประเสรฐิ กวา คอื ดกี วาและประณตี กวา ; เพราะวา ภกิ ษุน้นั จะไมเสวยทกุ ขซ ง่ึ มกี ารกาํ หนดรไู ดย ากแมดว ยสพั พญั ุตญาณ ในสัมปรายภพ เพราะบรโิ ภคกอนเหลก็ แดง, แตจะ

พระวินัยปฎก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 617ไดเ สวยทุกขมปี ระการดงั กลาวแลวในสมั ปรายภพ เพราะเธอบรโิ ภคกอ นขาวของชาวแวนแควน ซงึ่ ตนไดม าแลวดว ยอาการอยา งนน้ั . จริงอยู อาชพี น้ีจัดเปนมจิ ฉาชพี ขน้ั สดุ ยอด. [ปฐมบัญญัติจตุตถปาราชิก] คร้งั น้ันแล พระผูม ีพระภาคเจา ครั้นทรงแสดงโทษแกพวกภกิ ษุผไู มเห็นโทษในการกระทาํ ความชว่ั อยา งนัน้ แลว จึงทรงตเิ ตียนพวกภกิ ษผุ ูอยรู ิมฝงแนน ้าํ วคั คุมทุ า โดยอเนกปริยาย แลว ตรัสโทษแหงความเปน ผเู ล้ยี งยาก ความเปนผบู าํ รุงยาก ฯลฯ แลวทรงรับส่งั วา ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย! ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทน้ขี ้ึนอยา งนี้ . . . ดงั น้แี ลว เมอ่ื จะทรงบัญญัตจิ ตตุ ถปาราชกิจึงตรัสวา โย ปน ภกิ ขฺ ุ อนภชิ าน เปนอาทิ แปลวา อนึ่ง ภกิ ษุใดไมร เู ฉพาะ ดงั นี้ เปน ตน . [อนุบญั ญัติจตุตถปาราชิก] ครน้ั เมอื่ พระผูมพี ระภาคเจา ทรงบญั ญตั ิจตตุ ถปาราชิก ทาํ ใหหนกั -แนน ข้นึ ดวยอาํ นาจความขาดมูลอยางนน้ั แลว เรือ่ งสาํ คัญวา ไดบ รรลุแมอน่ื อกีก็เกดิ ข้ึน เพ่ือประโยชนแ กอนุบัญญัต.ิ เพอื่ แสดงความเกดิ ขึ้นแหง เรื่องสาํ คัญวา ไดบรรลนุ ัน้ พระธรรมสังคาหกเถระทงั้ หลาย จึงไดกลา วไวอยา งน้วี า ก็สิกขาบทนี้ ยอมเปน อนั พระผมู ีพระภาคเจา ทรงบญั ญัตแิ ลวแกภ ิกษทุ ้งั หลายดวยประการอยางน.้ี บรรดาบทเหลา นั้น สองบทวา อทิฏเ ทฏิ  สฺิโน ความวา(ภิกษุท้งั หลาย) เปน ผูมีความสาํ คัญในพระอรหัตผล อันตนมไิ ดเ ห็นดวยญาณจกั ษเุ ลยวา ไดเหน็ ดว ยคําวา พระอรหัตผล อนั เราทั้งหลายเห็นแลว .ในพระอรหัตผลท่ีตน ยงั มิไดถงึ เปน ตน กน็ ัยน.ี้ แตม ีความแปลกกันดังตอไปน:ี้ -

พระวินัยปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 618 บทวา อปปฺ ตเฺ ต ความวา ท่ตี นยังมิไดถ ึง ดว ยอาํ นาจความเกิดขึ้นในสนั ดานของตน. บทวา อนธิคเต ไดแก ทตี่ นยังมไิ ดบ รรลุ ดว ยมรรคภาวนา. ความวาอันตนยังไมไ ด บา ง. บทวา อสจฺฉกิ เต ไดแ ก ทีต่ นยังมไิ ดแทงตลอด หรือยงั มไิ ดทาํใหประจกั ษ ดวยอาํ นาจการพจิ ารณา. บทวา อธิมาเนน ไดแ ก ดว ยความสาํ คญั วา ตนไดบ รรลุ. อธิบายวาดวยความสําคัญทเี่ กิดขึ้นอยางนว้ี า เราไดบ รรลุแลว อีกอยา งหน่ึง ความวาดวยความถือตวั ยงิ่ คือ ดว ยมานะท่ีแข็งกระดา ง. สองบทวา อฺ พฺยากรึสุ ความวา ไดพยากรณพระอรหตั ผลคือ ไดบ อกแกภิกษทุ ัง้ หลายวา อาวโุ ส ! พวกเราไดบรรลุพระอรหัตผลแลวกจิ ท่คี วรทํา พวกเราไดทาํ เสร็จแลว. เพราะยังละกิเลสไมไดด ว ยมรรค จติของเธอเหลา น้นั ผูข มกเิ ลสไวไ ด ดวยอาํ นาจสมถะและวปิ ส สนาอยางเดียวโดยสมัยตอมา คอื ในเวลาประกอบพรอมดว ยปจจัยเห็นปานน้นั ยอ มนอ มไปเพ่อื ความกาํ หนัดบาง อธิบายวา ยอ มนอมไปเพื่อตอ งการความกําหนัด. ในบทท้งั หลายนอกน้ี ก็นยั นี้ . ขอวา ตฺจ โข เอต อพฺโพหาริก มีความวา กแ็ ล การพยากรณ พระอรหัตน้ีนั้น ของเธอเหลา นั้น เปน อพั โพหารกิ ยงั ไมถงึ โวหารในการเปน เหตใุ หบัญญัติอาบัติ, อธิบายวา ยงั ไมเ ปน องคแ หง อาบัต.ิ ถามวา ก็ ความสําคญั วาไดบรรลุนี้ ยอมเกิดขน้ึ แกใคร ? ไมเกดิข้ึนแกใคร ?

พระวินยั ปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 619 แกว า ยอ มไมเกดิ ขึ้นแกพ ระอรยิ สาวกกอ น. จริงอยู พระอริยสาวกนัน้ มีโสมนัสเกดิ ขนึ้ แลว ดวยญาณเปนเครอื่ งพิจารณา มรรค ผล นิพพานกิเลสทล่ี ะไดแลว และกิเลสทย่ี งั เหลอื เปน ผไู มม คี วามสงสยั ในการแทงตลอดอรยิ คุณ ; เพราะเหตนุ น้ั มานะ (ความถอื ตวั ) จงึ ไมเกิดขึน้ แกพ ระอรยิ สาวกทง้ั หลาย มพี ระโสดาบนั เปนตน ดวยอาํ นาจความถอื วา เราเปน พระสกทาคามีเปน ตน . และไมเกดิ ข้ึนแมแกบ คุ คลผทู ศุ ลี . เพราะวา บุคคลผทู ุศลี นน้ั เปนผหู มดความหวงั ในการบรรลุ อรยิ คุณทเี ดียว. ท้งั ไมเ กิดขึน้ แมแ กผ ูมศี ีล ซ่ึงสละกรรมฐานเสีย แลว ตามประกอบเหตแุ หงความเกยี จครา น มคี วามเปนผยู นิ ดีในความหลบั นอนเปนตน . แตจะเกดิ ขนึ้ แกทานผูเร่ิมเจรญิ วิปสสนา มีศลีบรสิ ทุ ธดิ์ ี ไมป ระมาทในกรรมฐาน ขา มพน ความสงสัยแลว เพราะกาํ หนดนามรูป จับปจ จัยได ยกไตรลักษณขนึ้ พจิ ารณาสงั ขารทง้ั หลายอย.ู และความสําคัญวาไดบรรลุเกดิ ข้ึนแลว ยอมพักบุคคล ผไู ดสมถะลวน ๆ หรือผูไดวิปสสนาลว น ๆ เสยี ในกลางคัน. จรงิ อยู บคุ คลน้นั เมือ่ ไมเ ห็นความฟุงขน้ึ แหง กิเลสตลอด ๑๐ ปบ าง ๒๐ ปบ าง ๓๐ ปบ าง ยอ มเขาใจวา เราเปนพระโสดาบนัหรือวา เราเปนพระสาทกคามี หรอื วา เราเปนพระอนาคามี. แตค วามสาํ คัญวาไดบ รรลุน้นั ยอมตง้ั บุคคลผูไดทั้งสมถะ และวิปส สนาไว ในพระอรหตั ผลทเี ดียว. จรงิ อยู บคุ คลนั้นขมกิเลสทงั้ หลายไดด ว ยกาํ ลังสมาธิ กําหนดสงั ขารทงั้ หลายไดด ดี วยกําลังวิปส สนา; เพราะฉะนัน้ กิเลสท้ังหลายจงึ ไมฟุงขน้ึ ตลอด๖๐ ปบ าง ๘๐ ปบ าง ๑๐๐ ปบาง, ความเที่ยวไปแหง จิต เปน เหมอื นของพระขณี าสพฉะน้ัน. บุคคลนั้น เมื่อไมเห็น ความฟุงขึน้ แหงกเิ ลสตลอดราตรีนานดว ยอาการอยางน้นั ไมห ยุดในกลางคนั เลย จึงสําคญั วา เราเปนพระ-อรหนั ต ฉะนแี้ ล.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 620 บทวา อนภชิ าน ไดแก ไมรูเฉพาะ. ก็เพราะเหตุทภ่ี ิกษนุ ้ี ไมรูจริง กลา วอวดอยู, อุตรมิ นสุ ธรรมนน้ั ไมเกิดขึ้นในสนั ดานของเธอ ทั้งเธอก็มไิ ดทําใหแจง ดว ยญาณ จงึ ชอ่ื วา ไมมจี รงิ ; เพราะฉะน้ัน ในวาระแจกบทวา อนภชิ าน นัน้ ทา นพระอุบาลีกลาววา (อุตรมิ นุสธรรม) ไมม ีจรงิ ไมเปน จรงิ หาไมไดแลว จึงกลา ววา (ภกิ ษ)ุ ไมรูอยู ดงั น.ี้ บทวา อุตฺตรมิ นุสฺสธมมฺ  แปลวา ธรรมของมนุษยผ ยู วดยง่ิ คือทา นผูไดฌ าน และพระอริยเจาทัง้ หลาย. บทวา อตตฺ ปู นายกิ  มอี รรถวิเคราะหว า ภิกษุยอ มนอมอุตริมนุส-ธรรมน้นั เขา มาในตน หรอื วา ยอมนอ มตนเขา ไปในอุตรมิ นสุ ธรรมนั้น ;เพราะเหตนุ ัน้ อตุ ริมนุสธรรมนัน้ จึงชื่อวา อตั ตูปนายิกะ. (ภกิ ษุกลาวอวด)อุตริมนสุ ธรรมน้ัน เปน ทน่ี อ มเขา มาในตน หรือวา เปนที่นอมตนเขาไปหา.เช่อื มความวา ภกิ ษทุ ําอยา งนก้ี ลาวอวด แตใ นวาระแจกบท เพราะเหตุที่ทานพระอุบาลีกลาวธรรมหลายประการ มฌี านเปน ตน ไว อยางนว้ี า ฌาน วิโมกขสมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ ฯลฯ ( การยังมรรคใหเ จรญิ การทาํ ใหแ จง ซึง่ ผลการละกเิ ลส ความท่ีจติ ปราศจากนวิ รณ ) ความยนิ ดยี ิ่งในเรือนวางเปลา ช่อืวา อุตรมิ นุสธรรม. ดงั น้ี ; เพราะฉะน้ัน เม่อื ทานจะแสดงความท่ี อตุ ริมนสุ -ธรรมน้ัน เปนธรรมท่ีนอมเขามาในตน ดวยอาํ นาจแหงธรรมเหลา นั้นทงั้ หมดจงึ ไดกระทํานิเทศเปนพหวุ จนะวา ภิกษยุ อมนอมกุศลธรรมเหลานั้นมาในตน, ก็ด.ี ในบรรดาการนอม ๒ อยา งนั้น เมอื่ ภิกษุอวดวา ธรรมเหลาน้ียอมปรากฏในขา พเจา พงึ ทราบวา ชอ่ื วา นอ ม (ธรรมเหลานนั้ ) เขามาในตน. เมอื่ อวดวา ขา พเจา ยอ มปรากฏในธรรมเหลา น้ี พงึ ทราบวา ชอื่ วานอ มตนเขา ไปในธรรมเหลา นนั้ .

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 621 พงึ ทราบความเชื่อมอรรถแหงบทในคําวา อลมริยาณทสฺสน นี้อยางน้ี คอื ปญ ญาท้งั ที่เปนโลกยิ ะและโลกุตระ ชื่อวา ญาณ เพราะอรรถวาร,ู ชอื่ วา ทัสสนะ เพราะอรรถวา เหน็ เพราะกระทําซ่งึ ธรรมใหเ ปนประดุจเหน็ ดว ยจกั ษุ ; เพราะฉะน้ัน จึงช่ือวา ญาณทสั สนะ. ญาณทัสสนะ อยางประเสรฐิคือ อยา งบรสิ ุทธ์อิ ยางสงู สดุ ; เพราะฉะนนั้ จึงช่ือวา อรยิ ญาณทัสสนะ.ญาณทสั สนะอยา งประเสรฐิ อยา งสามารถ คอื แกลวกลา สามารถกําจดั กเิ ลสมีอยูในอตุ ริมนสุ ธรรมตา งประเภท มีฌานเปน ตนนี้ หรือวา ญาณทัสสนะอยา งประเสริฐ อยางสามารถ เปน ของแหงอุตรมิ นสุ ธรรมนน้ั ; เพราะเหตุนนั้อตุ รมิ นสุ ธรรมนน้ั จงึ ชอ่ื วา มีความรูเ หน็ อยา งประเสริฐ อยา งสามารถ. ภกิ ษุไมร จู ริง กลา วอวดอตุ รมิ นุสธรรม อันมคี วามรเู หน็ อยางประเสริฐ อยา งสามารถนั้น. ในบทภาชนะนัน้ อตุ ริมนสุ ธรรมนั้น ทา นเรยี กวา อลมรยิ ญาณ-ทัสสนา ดว ยญาณทสั สนะใด, เพือ่ แสดงญาณทัสสนะนนั้ นนั่ แล ทานพระอุบาลีจึงกลาวบทภาชนะ ดว ยวิชชาเปนใหญว า ญาณ น้ัน ไดแ ก วชิ ชา ๓.ทัสสนะ นน้ั คือ ญาณอันใด ทัสสนะก็อนั นนั้ ทัสสนะอันใด ญาณกอ็ ันนั้น. แตในบทวา าณ น้ี ปญ ญาแมท ั้งหมดทเี่ ปนมหัคคตและโลกุตระ พึงทราบวา ญาณ. บทวา สมทุ าจเรยฺย ความวา พึงอวดอตุ ริมนุสธรรม มีประการดังกลาวแลว ทาํ ใหนอ มเขา มาในตน. สว นบทวา อิตฺถิยา วา เปน ตน ชี้ถึงบคุ คลที่ภิกษจุ ะพึงอวด. จรงิ อยู เมอ่ื อวดอุตรมิ นสุ ธรรมแกบ ุคคลเหลา นี้ ยอ มเปน อนั อวด. เม่อื อวดแกเทวดา มาร พรหมหรอื แมแ กเ ปรต ยักษ และสัตวดิรจั ฉาน หาเปน อนั อวดไม แล.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 622 คําวา อติ ิ ชานามิ อติ ิ ปสฺสามิ นี้ แสดงอาการอวด. แตใ นบทภาชนะแหงบทวา อิติ ชานามิ อติ ิ ปสฺสามิ น้นั คาํ วา ขาพเจา รูธรรมเหลาน้ี ขา พเจา เหน็ ธรรมเหลาน้ี น้ี แสดงถงึ ความเปน ไปแหง ความรูและความเหน็ ในธรรมมีฌานเปนตนเหลา นั้น. คาํ วา และธรรมเหลา น้ี มีแกข าพเจา เปน ตน แสดงความนอ มเขามาในตน. คําวา โดยสมัยอื่นแตส มัยนั้น นี้ แสดงถงึ สมยั ทีป่ ฏิญญาวา เปนอาบัต.ิแตภกิ ษุน้ีตอ งปาราชกิ ในขณะท่ีอวดทีเดียว. และเธอตอ งอาบตั แิ ลว ถกู ภกิ ษุอ่ืนโจทก็ตาม ไมถกู โจทกต็ าม ยอมปฏญิ ญา; เพราะฉะนนั้ ทา นจงึ กลาววาเธออันผูใ ดผูห นงึ่ เชื่อกต็ าม ไมเชอ่ื กต็ าม. [เหตุทใ่ี หเชอ่ื ถอื มีฐานะ ๖ อยาง] บรรดาความเชอ่ื และไมเช่ือ นั้น ในความเช่อื พงึ ทราบวินิจฉัยกอนคือ :- ๑. ขอ วา ทา นไดบรรลอุ ะไร. ? คอื เปน คาํ ถามถงึ ธรรมท่ไี ดบ รรล.ุมคี ําอธบิ ายวา บรรดาคณุ ธรรมมีฌานและวิโมกขเ ปนตน หรือบรรดามรรคมโี สดาปตติมรรคเปนตน ทานไดบรรลุอะไร ? ๒. ขอ วา ทานไดบ รรลดุ ว ยวธิ อี ะไร ? คือ เปน คาํ ถามถงึ อุบาย.ความจริงในขอนี้ มีอธบิ ายดงั ตอ ไปน้ี คอื ทานทาํ อนจิ จลกั ษณะใหเปนธรุ ะแลว จงึ ไดบรรลุ ? หรอื ทานทําบรรดาทกุ ขลักษณะแลอนตั ตลกั ษณะ อยางใดอยางหนง่ึ ใหเปนธุระแลว จึงไดบ รรลุ ? ทานต้งั มั่นแลวดวยอํานาจสมาธิ หรอืต้งั มน่ั แลวดว ยอาํ นาจวปิ ส สนาจงึ ไดบ รรลุ ? อนง่ึ ทานตั้งมน่ั แลวในรูปธรรมหรือต้ังมน่ั แลว ในอรูปธรรม จึงไดบรรลุ ? ทา นตัง้ ม่นั แลว ในกายเปน ภายในหรือต้ังมั่นแลว ในกายเปนภายนอก จึงไดบ รรลุ. ?

พระวนิ ยั ปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 623 ๓. ขอวา ทา นไดบ รรลุเมื่อไร ? คอื เปน คาํ ถามถงึ กาล. มคี ําอธิบายวา ในบรรดากาลเชาและเทยี่ งเปนตน กาลใดกาลหนง่ึ ?. ๔. ขอวา ทานไดบรรลุที่ไหน ? คอื เปนคําถามถึงโอกาส. มีคําอธิบายวา ในโอกาสไหน? คือในท่ีพกั กลางคนื ในที่พกั กลางวนั ท่ีโคนตนไม ที่มณฑป หรอื ในวหิ ารหลงั ไหน ? ๕. ขอวา ทา นละกเิ ลสเหลา ไหนได ? คอื เปน คาํ ถามถงึ กเิ ลสท่ีละไดแลว. มคี าํ อธิบายวา กเิ ลสทั้งหลายทีม่ รรคจําพวกไหนฆาทานละไดแลว. ๖. ขอวา ทา นไดธรรมเหลา ไหน ? คอื เปนคาํ ถามถึงธรรมที่ไดแลว มคี าํ อธิบายวา บรรดามรรคมีปฐมมรรคเปนตน ทานไดธ รรมเหลาไหน ?. [อรรถาธบิ ายฐานะ ๖ อยาง] เพราะฉะน้นั ในบดั นี้ ถาแมภิกษุรูปไรๆ พึงพยากรณการบรรลุอุตรมิ นสุ ธรรม, เธออันใคร ๆ ไมค วรสกั การะ ดว ยคาํ พยากรณมปี ระมาณเพียงเทา น้กี อ น. แตเ ธอควรถูกทกั ทวง เพือ่ สอบสวนใหขาวสะอาด ในฐานะทง้ั ๖ เหลา นีว้ า ทานไดบรรลอุ ะไร ? คอื วาทา นไดบรรลฌุ าน หรือไดบรรลุบรรดาวิโมกข เปนตน อยา งใดอยางหน่ึงหรือ ? จรงิ อยู ธรรมท่ีบุคคลใด ไดบรรลแุ ลว ยอมเปน ของปรากฏแกบคุ คลนั้น. ถา เธอกลาววา ขาพเจาไดบรรลธุ รรมชอ่ื น้ี ลาํ ดับนน้ั ควรสอบถามเธอวา ทา นไดบ รรลุดวยวิธีไร ?. คือควรซกั ถามวา ทานทาํ อะไร ในบรรดาไตรลักษณ มอี นจิ จลกั ษณะเปนตนใหเปน ธุระ หรือตั้งมนั่ อยดู วยหัวขอ อะไร ในบรรดาอารมณ ๓๘ อยาง หรือในบรรดาธรรมอันตา งดว ยรปู ธรรม อรูปธรรม กายเปน ภายใน และกายเปนภายนอกเปน ตน จงึ ไดบ รรลุ ? แทจรงิ ความตงั้ มัน่ ใดของบคุ คลใดมี ความต้ัง

พระวินยั ปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 624มั่นน่ันยอ มปรากฏก็บคุ คลนัน้ . ถาภกิ ษกุ ลา ววา ความต้งั มัน่ ช่อื นขี้ องขา พเจามีอย,ู ขาพเจาไดบรรลดุ วยวธิ ีอยา งนี้ ดังนี้, ลําดับนนั้ ควรสอบถามเธอดวู าทา นไดบรรลเุ ม่อื ไร ? คือ ควรซกั ถามเธอวา ทา นไดบ รรลุในเวลาเชา หรือในบรรดาเวลาเท่ียงเปน ตน เวลาใดเวลาหน่งึ หรือ ? ความจรงิ กาลทีต่ นไดบ รรลุยอ มเปนของปรากฏแกชนทุกจําพวก. ถาภกิ ษกุ ลา ววา ขาพเจา ไดบ รรลุในกาลช่อื โนน , ลําดบั น้นั ควรสอบถามเธอดูวา ทา นไดบ รรลทุ ไ่ี หน ? คือ ควรซักถามเธอวา ทานไดบ รรลุในท่พี กั กลางวนั หรอื ในบรรดาทีพ่ ักกลางคนื เปนตน โอกาสใดโอกาสหนงึ่ หรอื ? ความจริง โอกาสที่ตนไดบ รรลุ ยอมปรากฏแกชนทกุ จําพวก. ถาภิกษกุ ลาววา ขาพเจา ไดบรรลุในโอกาสชอ่ื โนน, ลําดับนนั้ ควรสอบถามเธอดวู า ทานละกิเลสเหลา ไหนได คอื ควรซักถามเธอวากเิ ลสทงั้ หลาย ที่ปฐมมรรคพงึ ฆา หรอื ทท่ี ตุ ิยมรรคเปนตนพงึ ฆา ทา นละไดแลว ? ความจริง กเิ ลสอันมรรคท่ีตนไดบ รรลลุ ะไดแ ลว ยอมปรากฏแกช นทกุ จาํ พวก. ถา ภิกษกุ ลาววา กิเลสชอ่ื เหลานี้ ขา พเจา ละไดแ ลว, ลาํ ดับนัน้ควรสอบถามเธอดวู า ทา นไดธรรมเหลาไหน ? คอื ควรซกั ถามเธอดวู า ทานไดโสดาปต ตมิ รรค หรือไดบรรดามรรคมีสกทาคามิมรรคเปน ตน อยางใดอยางหนงึ่ หรือ ? ความจรงิ ธรรมท่ตี นไดบรรลุแลว ยอมปรากฏแกชนทุกจําพวก. ถาภิกษุกลาววา ขาพเจา ไดธรรมชือ่ เหลา นี,้ ไมค วรเชอื่ ถือคาํ พดู ของเธอ แมดวยคําพยากรณ มีประมาณเพียงเทาน้.ี จรงิ อยู ภิกษุทงั้ หลาย ผูพหสู ตูเปน ผฉู ลาดในการเรียนและการสอบถามยอ มสามารถสอบสวนฐานะทั้ง ๖ เหลานี้ ใหขาวสะอาดได.

พระวินัยปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 625 [เรือ่ งสอบสวนดูปฏิปทาของภกิ ษุผูอา งตนวา ไดบรรลธุ รรม] สวนอาคมนปฏปิ ทา (ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตุมาแหง มรรค) ของภิกษนุ ้ีควรสอบสวนใหขาวสะอาด. ถาอาคมนปฏิปทา ไมบ ริสทุ ธิ์ ภิกษทุ ั้งหลายควรกลา ววา ข้นึ ชื่อวา โลกุตรธรรม ทานจะไมไ ดดวยปฏิปทานี้ แลว นาํ เธอออกไปเสยี . แตอ าคมนปฏปิ ทาของภิกษุนั้นบริสทุ ธ์ิ ถา ภกิ ษ*ุ น้ันปรากฏในปฏปิ ทานนั้ วา เปนผไู มป ระมาทในไตรสกิ ขา ท้ังหมน่ั ประกอบธรรมเปน เครื่องต่นื อยู ตลอดราตรีนาน ไมข อ งอยใู นปจจยั ท้งั ๔ อยู ดว ยใจเสมอดว ยฝายมือในอากาศคาํ พยากรณข องภิกษนุ น้ั ยอ มเทยี บเคียงกับขอปฏบิ ตั ไิ ด คือ เปนเชนกับพระพทุ ธพจนท่ีตรสั ไวว า นาํ้ แมน ้าํ คงคากับน้าํ แมน้าํ ยมนุ า เทยี บเคยี งกันได เขา กันได ชอื่ แมฉ นั ใด , ปฏิปทาทใี่ หถ งึ พระนพิ พาน อันพระผมู พี ระ-ภาคเจาน้ัน ทรงบญั ญตั ิดแี ลว แกส าวกทงั้ หลาย ก็ฉันน้นั เหมือนกัน, ท้ังพระ-นพิ พานและปฏปิ ทาเทียบเคียงกนั ได. อกี อยางหนงึ่ แล สกั การะอันใคร ๆ ไมควรทาํ แมดวยคาํ พยากรณม ปี ระมาณเพยี งเทานี้. เพราะเหตุไร ? เพราะวาแมภกิ ษุผเู ปนปถุ ชุ นบางรปู ก็มีปฏิปทาเปนเหมอื นขอ ปฏบิ ัติของพระขีณาสพ.เพราะฉะนน้ั ภิกษุรปู นั้น อนั ใครๆ พงึ ทําใหหวาดสะดงุ ไดดวยอุบายนน้ั ๆ.ธรรมดาพระขีณาสพ แมเ ม่ืออสนีบาต ผาลงมาบนกระหมอ ม กห็ ามคี วามกลวัความหวาดสะดงุ หรอื ขนพองสยองเกลา ไม. ถา ความกลวั กด็ ี ความหวาดสะดุงก็ดี ขนพองสยองเกลา ก็ดี เกดิ ขนึ้ แกภ ิกษนุ น้ั , เธออันภิกษุทง้ั หลาย พงึ กลาวเตือนวา ทา นไมใ ชเปนพระอรหันต แลวพงึ นําออกเสีย. แตถา ภิกษนุ ัน้เปน ผไู มก ลัว เปนผูไมหวาดเสียว เปน ผไู มส ะดงุ ยอมนัง่ น่งิ เหมอื นราชสหี ฉะน้นั , ภกิ ษุนี้ ช่ือวา เปน ผูมกี ารพยากรณอ ยา งสมบรู ณ ยอ มควรรบั สกั การะทพี่ ระราชาและราชมหาอาํ มาตยเ ปนตน สง ไปถวายโดยรอบ ฉะนแ้ี ล.* แปลตามสารัตถทปี นี ๒/๔๔๑.

พระวนิ ัยปฎก มหาวภิ ังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 626 บทวา ปาปจฺโฉ ไดแก ภกิ ษผุ ูประกอบดว ยความเปนผปู รารถนาลามก ซึ่งพระผมู ีพระภาคเจาตรัสไว โดยนัยเปน ตนวา ภิกษุบางรปู ในศาสนานี้เปน ผูทศุ ลี แล ยอ มปรารถนาวา ขอชนจงรูเราวา เปนผูมีศลี ๑ ดงั นี้. บทวา อจิ ฺฉาปกโต ไดแ ก ภกิ ษุผเู ปน ปาราชกิ ถกู ความปรารถนาลามกน้ันครอบงาํ คือย่ํายี. บทวา วิสทุ ธฺาเปกโฺ ข ไดแก ผมู ุง คอื ตองการ ปรารถนาความบริสทุ ธิ์เพอ่ื ตน. จริงอยู เพราะเหตุท่ภี กิ ษุน้ี ตอ งปาราชกิ แลว ; ฉะน้นั เธอยงั ดํารงอยใู นความเปนภกิ ษุ เปน ผูไมควร เพื่อบรรลุคณุ ธรรมมฌี านเปนตน.แทจ ริง ความเปน ภกิ ษุของเธอ ยอ มเปน อนั ตรายตอสวรรคดว ย เปนอันตรายตอ มรรคดว ย. สมจรงิ ดังพระดาํ รัสที่พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไวว า คุณเคร่ืองเปน สมณะ ทบี่ ุคคลลบู คลาํ ไมด ี ยอมฉุดคราเขาไปในนรก.๒ แมพระดํารัสอน่ื อีกก็ตรสั วา เพราะวา สมณธรรมเครื่องละเวน ท่ียอ หยอน ย่ิงเกล่ียธุลีลง๓ดังน้ี ความเปน ภิกษุของเธอ ยอ มชื่อวาเปนของไมบ ริสุทธ์ิ ฉะนแี้ ล. อน่งึ ภกิ ษผุ ูตองปาราชกิ น้นั (ละภกิ ษุภาวะ) เปน คฤหสั ถ หรือเปนอบุ าสก เปนอารามกิ ะ หรือเปน สามเณร ยอ มเปน ผคู วร เพ่ือยังทางสวรรคใหส ําเร็จ ดว ยคุณธรรมทงั้ หลาย มี ทาน สรณะ ศีล และสังวรเปนตน หรอืยังทางพระนิพพานใหสาํ เรจ็ ดวยคุณธรรมทง้ั หลาย มฌี านและวิโมกขเปนตน;เพราะเหตนุ ัน้ ความเปน คฤหัสถเปนตน ของเธอ จงึ ชอ่ื วาเปนความบริสทุ ธิ.์เพราะฉะนนั้ พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรัสเรียกเธอวา ผูมุง ความบรสิ ทุ ธ์ิเพราะเพง ถงึ ความบริสทุ ธน์ิ ้นั . กด็ ว ยเหตนุ นั้ นั่นแล ในบทภาชนะแหงบทวาวิสทุ ฺธาเปกฺโข น้นั ทา นพระอบุ าลีเถระ จงึ กลาวคาํ เปน ตน วา ประสงคจ ะเปนคฤหสั ถ.๑. อภ.ิ ว.ิ ๓๕/ ๔๗๓. ๒ - ๓. ข.ุ ธ. ๒๕ / ๖๕.

พระวินยั ปฎ ก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 627 สองบทวา เอว วเทยยฺ แปลวา พงึ กลาวอยา งนี้. ถามวา พึงกลา วอยางไร ? แกว า พงึ กลาววา แนะ ทา น! ขาพเจา ไมรูอยางน้ัน ไดกลา ววารูไมเ ห็นอยางนนั้ ไดก ลาววาเหน็ . สวนในบทภาชนะ ทา นพระอุบาลีเถระมิไดยกบทวา เอว วเทยยฺ นี้ขนึ้ เลย ไดกลา วคาํ เปนตน วา ขาพเจาไมร ูธรรมเหลานน้ั ดงั น้ี เพ่อื แสดงอาการที่ภกิ ษผุ ูกลา วเปนเหตุใหทานเรียกชื่อวา ยอมกลา ววา แนะทาน ! ขา พเจาไมรูอยางนั้น ไดกลา ววา รู ไมเหน็ อยางน้นัไดกลาววาเหน็ ขอวา ตจุ ฺฉ มุสา วลิ ป มีคาํ อธิบายวา ขา พเจาไดพ ูด คือไดกลา วพลอย ๆ โดยเวนจากประโยชนแ หง คําพูด เปน เทจ็ เปลา ๆ โดยความประสงคจะลวง. สว นในบทภาชนะ แหงบทนั้น ทา นพระอุบาลีเถระ กลาวคาํ เปนตน ไววา ขา พเจา พูดพลอย ๆ ดงั ใน ก็เพ่อื แสดงเพียงเนอ้ื ความ ดวยบทและพยัญชนะอยา งอนื่ . สองบทวา ปุริเม อปุ าทาย ความวา เทยี บบุคคลผูตองปาราชกิทง้ั ๓ กอ น ๆ. คาํ ท่ีเหลอื ชอื่ วา ปรากฏชัดแลว แล เพราะมีนัยดังกลาวแลวในเบ้ืองตน และเพราะมเี น้ือความชัดเจน ฉะนี้แล. [อธบิ ายบทภาชนยี ] พระผูมีพระภาคเจา คร้นั ทรงจําแนกสิกขาบทที่ทรงอเุ ทศไวต ามลําดบับทอยา งน้นั แลว บดั น้ี มพี ระประสงคจ ะทรงต้งั บทภาชนะนน้ั แลในฐานเปนมาตกิ าอกี แลว แสดงอุตรมิ นสุ ธรรมโดยพิสดาร แสดงประเภทอาบัติ เพอื่ ถอืเอาใจความโดยอาการท้ังปวง จงึ ตรัสคําวา ฌานนัน้ ไดแ ก ปฐมฌาน ทตุ ิยฌานเปน อาทิ เพราะเหตุวา ในบทภาชนียในหนหลงั ไดทรงแสดงอุตริมนสุ ธรรมไวแตโดยยออยางนีว้ า ฌานวโิ มกข สมาธิสมาบตั ิ ญาณทัสสนะ ฯลฯ ความ

พระวินยั ปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 628ยนิ ดเี ฉพาะในสญุ ญาคาร ไมไ ดทรงยกอาบัตเิ ปนแบบไวโ ดยพิสดาร. และเมอื่ แสดงเนอ้ื ความไวแ ตโดยยอ แลว ผูศึกษาทง้ั หลายไมอาจถือเอาใจความไดโดยถถ่ี วน. ในคาํ วา ปมชฌฺ าน เปนตน นน้ั มีวนิ ิจฉยั ดงั น้ี:- อปั ปมัญญา-ฌาน มีเมตตาฌานเปน ตน ก็ดี อสภุ ฌานเปนตน กด็ ี อานาปานัสสตสิ มาธิฌานก็ดี โลกิยฌานก็ดี โลกุตรฌานก็ดี สงเคราะหเ ขาดวยปฐมฌานเปนตน น่นั แล :เพราะเหตุน้นั เม่ือภิกษุอวดวา ขาพเจาเขา ปฐมฌานแลว กด็ ี . . .ขาพเจา เขาจตุตถฌานแลวกด็ ี อวดวา ขา พเจาเขาเมตตาฌานก็ดี . . . ขา พเจา เขาอุเบกขาฌานกด็ ี ขา พเจาเขาอสุภฌานแลว ก็ดี ขา พเจาเขา อานาปานัสสตสิ มาธิฌานแลวกด็ ี ขาพเจาเขา โลกิยฌานแลว ก็ดี ขาพเจา เขาโลกุตรฌานแลว ก็ดี พงึทราบวา เปน ปาราชิกทั้งนน้ั . อริยมรรค ทพ่ี น ดวยดี หรือท่พี น จากกิเลสมีอยางตา ง ๆ เพราะฉะนนั้อรยิ มรรคนั้น จึงชอื่ วา วิโมกข. กแ็ ล วิโมกขน ้นี ัน้ ทา นเรียกวา สญุ ญตวิโมกข เพราะเปลา จากราคะ โทสะ และโมหะ, ทานเรียกวา อนมิ ติ ตวิโมกขเพราะไมม ีนิมิตดว ยนมิ ติ คือ ราคะ โทสะ และโมหะ, ทา นเรยี กวา อัปป-ณหิ ิตวิโมกข เพราะไมม ที ี่ต้ัง คอื ราคะ โทสะ และโมหะ. ธรรมชาติที่ชื่อวาสมาธิ เพราะอรรถวา ต้ังจติ ไวเ สมอ คือ ตง้ั จติ ไวใ นอารมณ. ทช่ี ่อื วาสมาบตั ิ เพราะเปน ธรรมชาติ ทีพ่ ระอรยิ เจา ท้ังหลายพงึ เขา. บททีเ่ หลอื ในคําเหลา น้ี มนี ยั ดงั กลาวแลว นนั่ แล. กอ็ รยิ มรรคเทียว พระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวในตกิ ะเหลานั้น ดวยหมวด ๓ แหงวโิ มกข และดว ยหมวด ๓ แหงสมาธ-ิผลสมาบตั ิ ตรัสไวด วยหมวด ๓ แหง สมาบตั .ิ ในบทเหลา นัน้ ภิกษถุ ือเอาบทอันใดอนั หนึ่งเพยี งบทเดยี ว กลาววา ขาพเจา มปี กติไดธ รรมนี้ ยอมเปนปาราชกิ แท.

พระวินัยปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 629 ทช่ี ื่อวา วิชชา ๓ ไดแ ก บพุ เพนิวาสานสุ ติ ทิพยจกั ษุ อาสวักขย-ญาณแล. ในวิชชา ๓ นน้ั เมือ่ ภกิ ษถุ อื เอาช่อื แมแ หง วชิ ชาอันหนงึ่ อวดวา -ขาพเจา มปี กตไิ ดว ิชชานี้ ยอมเปนปาราชิกแท. แตใ นสังเขปอรรถกถาทานกลาววา เมื่อภิกษุกลา ววา ขาพเจามีปกติไดว ิชชาท้งั หลาย ดังน้กี ็ดีกลาววา ขา พเจา มีปกตไิ ดวิชชา ๓ ดงั นี้กด็ ี ยอมเปนปาราชิกเหมอื นกนั .มรรคภาวนา ไดก ลา วแลว ในบทภาชนะ. โพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ ประการ ท่ีสมั ปยุตดว ยมรรค เปนโลกุตระแท ทา นประสงคเอาในบทวา มรรคภาวนานี้ เพราะเหตุนัน้ ในมหาอรรถกถา ทานจึงกลา ววา เปน ปาราชิกแกภ กิ ษุผกู ลาววา ขาพเจา มีปกติไดสตปิ ฏ ฐานทเี่ ปน โลกตุ ระ ขาพเจา มีปกตไิ ดสมั มปั ปธาน. . . อทิ ธบิ าท . . . อนิ ทรยี  . . . พละ . . .โพชฌงค. . . อรยิ มรรคมอี งค ๘ ทีเปนโลกตุ ระ. สวนในมหาปจ จรีเปน ตน ทานกลา วไววา เมอื่ ภกิ ษุกลา วดวยอาํ นาจสวนอนั หนง่ึ ๆ อยางนั้นวา ขาพเจา เปน ผมู ีปกตไิ ดสติปฏ ฐาน ดงั นก้ี ด็ ี ดวยอาํ นาจธรรมอยา งหน่งึ ๆ ในสวนเหลาน้นั อยางนีว้ า ขา พเจา เปนผูมปี กติไดก ายานปุ ส สนาสตปิ ฎ ฐาน ดังนกี้ ด็ ี เปน ปาราชิกเหมือนกนั . แมค ําท่ีทานกลา วไวใ นมหาปจ จรี เปนตน นนั้ ยอมสมกนั . เพราะเหตไุ ร? เพราะเหตุท่ที านกลาวหมายเอาสตปิ ฏฐาน ทีเ่ กิดขึน้ ในขณะแหงมรรคเหมอื นกัน. แมในการทาํ ใหแ จง ซึง่ ผล กพ็ ึงทราบวา เปน ปาราชกิ ดวยอาํ นาจแหง ผลอนั หนง่ึ ๆ.เฉพาะความละกิเลส พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ในหมวด ๓ มคี าํ วา ราคสสฺปหาน เปนตน . กก็ ารละกเิ ลสนัน้ เวน มรรคเสียแลว ยอมไมมี, จริงอยู การละราคะ และโทสะ ยอมมีดวยมรรคที่ ๓, การละโมหะ ยอ มมดี วยมรรคท่ี ๔ ;เพราะเหตนุ นั้ จึงเปนปาราชกิ แมแกภกิ ษผุ ูกลาวคาํ เปน ตน วา ราคะ ขา พเจา

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 630ละไดแ ลว. เฉพาะโลกตุ รจติ กบั สมาบตั ิ พระผมู ีพระภาคตรัสในหมวด ๓มีคําวา ราคา จติ ต วินีวรณตา เปน อาท.ิ เพราะเหตนุ ั้น แมเมื่อภิกษุกลาวคาํ เปน ตนวา จติ ของขาพเจา พรากออกจากราคะ. กเ็ ปนปาราชกิ เหมอื นกนั . สวนในบทภาชนะแหง บทสญุ ญาคาร ทานไมประสงคป าราชกิ ดว ยเพยี งคําท่ีไมเ นอื่ งดว ยฌานวา ขาพเจา ยินดีเฉพาะในสญุ ญาคาร ; เพราะฉะนน้ัทา นจงึ กลาวคาํ เปนตนไวว า ขาพเจา ยินดีเฉพาะในสญุ ญาคาร ดว ยปฐมฌาน.เพราะเหตุน้ัน ภกิ ษใุ ด กลาวเน่อื งดวยฌานวา ขา พเจา ยนิ ดีเฉพาะในสญุ ญาคารดวยฌานชือ่ นี้ ภกิ ษนุ แี้ หละ พึงทราบวา เปนปาราชิก. ก็ บรรดาวชิ ชา ๘ ที่ตรัสไวในพระสูตรทัง้ หลาย มีอัมพฏั ฐสูตรเปน ตน วชิ ชา ๕ เหลา ใด ตา งโดยวิปสสนาญาณ มโนมยทิ ธิ อิทธิวิธีทิพโสต และเจโตปรยิ ญาณ ไมไดมาแลวในบทภาชนะ แหง บทวา าณน.ี้ บรรดาวิชชา ๕ เหลานัน้ เฉพาะวปิ สสนาอยางเดียว ยอมไมเปนวตั ถแุ หงปาราชกิ วชิ ชาที่เหลอื พงึ ทราบวา เปนวตั ถุแหง ปาราชกิ . เพราะเหตุนั้นเม่อื ภิกษุกลา ววา ขาพเจา เปน ผมู ปี กติไดวปิ สสนา กด็ ี วา ขา พเจาเปนผมู ีปกติไดว ิปส สนาญาณ ก็ดี ยงั ไมเ ปน ปาราชิก. แตพระปสุ สเทวเถระ กลา ววาวิชชา ๔ แมนอกจากนี้ ไมสบื เนอ่ื งดวยญาณ ยอมไมเ ปนวตั ถุแหง ปาราชกิเพราะเหตุนน้ั จงึ ไมเ ปนปาราชิกแมแกภกิ ษผุ กู ลาวอยวู า ขา พเจาเปน ผูม ปี กติไดมโนมยั , ขา พเจาเปน ผมู ีปกติไดอ ิทธิวิธ,ี ขาพเจา เปนผมู ีปกติไดทิพโสดธาตุ, ขาพเจาเปนผูมปี กตไิ ดเ จโตปรยิ าย. คาํ น้ัน ถกู พวกอนั เตวาสิกของทา นนน้ั นนั่ เอง คานแลว วา ทานอาจารย ไมใชผชู ํานาญในอภิธรรม ยอ มไมทราบธรรมเปน ภมู ิอ่ืน, ขึ้นชอ่ื วาอภญิ ญามีจตตุ ถฌานเปนบาท ทงั้ เปนมหัคคตธรรมดวย ยอมสาํ เร็จไดด ว ยฌานเทา นนั้ เพราะเหตุนน้ั ภกิ ษจุ ะ

พระวินยั ปฎ ก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 631กลาววา ขา พเจา เปน ผมู ีปกติไดมโนมัย, หรอื วา ขาพเจา เปน ผมู ีปกตไิ ดมโนมยญาณ หรือจะกลาวโดยประการตามท่ตี นมงุ จะกลา วก็ตามที, เธอยอมตองปาราชิกเหมอื นกัน. จริงอยู ในจตุตถปาราชกิ นพี้ ระนิพานไมไ ดม าในพระบาลี แมโดยแท, ถงึ กระนนั้ เมอื่ ภกิ ษุ กลาววา พระนิพพาน ขา พเจาบรรลแุ ลว หรือวา พระนิพพาน ขาพเจา ทําใหแ จงแลว ยอ มเปนปาราชิกเหมือนกัน. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุวา พระนพิ พานเปนโลกตุ รธรรมซ่ึงมีวฏั ฏะอันปลอ นออกแลว. อน่ึง แมเม่ือภกิ ษุกลา ววา ขา พเจาแทงตลอดสัจจะ ๔ (หรือวา )สัจจะ ๔ อันขาพเจา แทงตลอดแลว คงเปน ปาราชกิ เหมือนกนั . เพราะเหตไุ ร ?เพราะเหตวุ า คาํ วา แทงตลอดสจั จะ เปน คํายักเรียกมรรค. อนึ่ง ทานกลา วไวใ นวิภงั คว า ปฏสิ ัมภทิ า ๓ ยอ มเกดิ ขึ้นในจติ ตปุ บาทที่สมั ปยตุ ดว ยญาณ ฝา ยกามาวจรกุศล ๔ ดวง ยอ มเกดิ ขน้ึ ในจิตตุปบาททสี่ มั ปยุตดวยญาณฝา ยกริ ิยา๔ ดวง, อตั ถปฏสิ ัมภิทา ยอ มเกดิ ขึน้ ในจติ ตปุ บาทเหลา นดี้ ว ย ยอมเกดิ ข้ึนในมรรค ๔ ผล ๔ ดวย* เพราะเหตนุ น้ั เมื่อภิกษุกลาวคําวา ขา พเจาเปนผมู ีปกติไดธัมมปฏิสมั ภิทา หรอื วา ขาพเจา เปนผูม ปี กตไิ ดน ิรตุ ตปิ ฏิสัมภิทาหรอื วา ขา พเจา เปนผูมปี กตไิ ดปฏภิ าณปฏสิ ัมภทิ า หรอื วา ขาพเจาเปน ผูม ีปกติไดโลกิยอัตถปฏิสมั ภิทา ดงั นี้ ยงั ไมเ ปน ปาราชกิ . แมเ มื่อภกิ ษุกลาวคาํ วาขา พเจา เปนผูมีปกติไดปฏิสมั ภิทาท้ังหลาย อาบัตยิ ังไมถึงที่สดุ กอน แตเม่อืเธอกลา ววา ขาพเจา เปนผมู ีปกติไดโ ลกุตรอัตถปฏสิ ัมภทิ า ยอมเปนปาราชกิ . สว นในสงั เขปอรรถกถา ทานกลาวไวว า เมื่อภิกษกุ ลา วแมดวยความไมแปลกกนั วา ขา พเจา เปนผูไดบรรลอุ ัตถปฏสิ มั ภิทา กเ็ ปนปาราชกิ . แมในกรุ นุ ที ทา นก็กลา ววา ยอ มไมพ น . แคใ นมหาอรรถกถาทานกลาวไววา* อภิ . วิ . ๓๕/๔๑๔ -๔๑๕.

พระวินยั ปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 632ปาราชิก ยอ มไมมีดว ยเหตเุ พยี งเทานี้ อาบตั ยิ งั ไมถงึ ท่สี ุดดวยเหตุเพียงเทา น,ี้ใคร ๆ ไมอาจทาํ อรรถกถาอ่นื ใหเ ปนประมาณได เพราะทา นไดว จิ ารณไ วแ ลววา ภกิ ษยุ ังไมต อ งปาราชิก ดวยเหตุเพียงเทานี้ . แมเมือ่ ภกิ ษกุ ลาววา ขาพเจาเขานิโรธสมาบตั ิ หรือวา ขา พเจา เปน ผมู ีปกติไดน ิโรธสมาบตั ินน้ั ก็ไมเ ปนปาราชิก. เพราะเหตไุ ร ? เพราะเหตวุ า นิโรธสมาบัตไิ มใชโลกิยะ ทง้ั ไมใชโลกตุ ระ ฉะน้ันแล. ในมหาปจ จรีและสังเขปอรรถกถา ทา นกลาวไวว า ก็ถาบคุ คลนนั้ มีความราํ พงึ อยางน้ีวา พระอนาคามี หรอื พระขีณาสพ ยอมเขา นโิ รธได, จงึพยากรณด วยทําไวใ นใจวา ชนจักรเู ราวา เปนผูใดผหู น่งึ แหงบรรดาพระอนาคามี และพระขณี าสพเหลา น้ัน. และเขาก็เขาใจเธออยางนั้น, เปน ปาราชิก.คาํ น้นั ควรพจิ ารณาเสยี กอน จึงถือเอา. แมเมอื่ ภกิ ษกุ ลาววา ในภพท่ีลวงไปแลว คอื ในกาลแหง พระกัสสปสัมมาสัมพทุ ธเจา ขาพเจา เปนพระโสดาบัน,ไมเ ปน ปาราชิก, จริงอยู อาบตั ยิ งั ไมถ ึงท่สี ดุ เพราะเธออางถงึ ขนั ธท่ีลวงไปแลว แล สว นในสงั เขปอรรถกถา ทานกลาวไววา บางอาจารยกลาววา เมื่อภิกษกุ ลาววา ขา พเจา เปน ผมู ีปกติไดสมาบัติ ๘ ในอดตี ; ไมเปน ปาราชิกเพราะสมาบัติ ๘ ในอดีตเปน กุปธรรม, แตเ ม่ือกลา ววา ขาพเจา เปนผูมปี กติไดสมาบัติ ๘ ในภพน้ี ดงั น.้ี ยอ มเปนปาราชิก เพราะสมาบตั ิ ๘ ในภพน้ีเปน อกุปธรรม. แมคาํ ทกี่ ลา วไวใ นสังเขปอรรถกถานน้ั ทานก็คา นไวในสงั เขปอรรถกถานัน้ นน่ั เอง เม่อื ภกิ ษกุ ลาวหมายเอาอัตภาพในอดีต ไมเ ปน ปาราชิกตอเม่อื กลาวหมายเอาอัตภาพในปจ จุบันนัน่ แหละ จงึ เปน . พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงยงั บทมาตกิ า ๑๐ มฌี านเปน ตน ใหพิสดาร อยางน้แี ลว บดั น้ี ภกิ ษผุ ูอวดอตุ ริมนุสธรรม ยอ มกลาวสัมปชาน

พระวินยั ปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 633มสุ าวาทใด, เม่อื จะทรงแสดงองคแ หงสมั ปชานมุสาวาทนั้นแลว ผูกจักรเปยยาลดว ยอาํ นาจแหง ความพสิ ดารน้ันนน่ั เอง และเพื่อแสดงอาการแหง การอวด และประเภทแหงอาบัติ จงึ ตรัสวา ตีหากาเรหิ ดงั นี้ เปนอาท.ิ [กถาวาดวยสุทธิกมหาวาร] ในคําน้ัน มีวนิ ิจฉยั ดังตอ ไปนี้ :- มหาวาร ๓ คอื สุทธกิ วาร(วารกาํ หนดวยการอวดลวน) ๑ วตั ตุกามวาร (วารกาํ หนดดวยภิกษผุ ูประสงคจะอวด) ๑ ปจ จยั ปฏสิ งั ยุตตวาร (วารกาํ หนดดว ยการอวดอันเก่ียวดว ยปจจยั ) ๑ บรรดามหาวาร ๓ เหลาน้ัน ในสทุ ธิกวาร ๖ บทเหลาน้ี คอืสมาปชฺชึ สมาปชชฺ ามิ สมาปนโฺ น ลาภมิ ฺหิ วสิมฺหิ สจฉฺ ิกต มยาทรงประกอบบทอันหน่งึ ๆ ๕ คร้งั อยางนีว้ า ดว ยอาการ ๓ ดวยอาการ ๔ดวยอาการ ๕ ดวยอาการ ๖ ดวยอาการ ๗ ในบทอนั หนึง่ ๆ ตั้งตนแตปฐมฌาน จนถงึ บทวา เปล้ืองจิตจากโมหะ ตรสั ชอ่ื วา สุทธกิ นัย. ลาํ ดบั นัน้เมือ่ ทรงตอ บทอันหนง่ึ ๆ กบั ดวยปฐมฌาน อยา งนีว้ า ซ่ึงปฐมฌาน ซึง่ทตุ ยิ ฌาน ดังนี้ ทรงตอ ทุก ๆ บท ตรัสช่อื วา ขณั ฑจกั ร โดยอรรถอนั พสิ ดารนน้ั เทยี ว. อธิบายวา ขัณฑจักรนัน้ ตรัสวาขัณฑจกั ร เพราะไมทรงนาํ มาประกอบกับฌานมีปฐมฌานเปนตน อกี . ลําดบั นน้ั ทรงตอบทอันหนึ่ง ๆ กับดว ยทตุ ยิ ฌาน อยางนีว้ า ซึง่ ทตุ ิยฌาน ซ่ึงตตยิ ฌาน ดังน้ี แลว ทรงนาํ มาเชือ่ มกบั ปฐมฌานอกี ตรสั ช่อื วาพทั ธจักร โดยอรรถอันพิสดารน้นั เทียว.ลาํ ดับนนั้ ทรงตอ บทอันหนง่ึ ๆ กบั ดวยฌาน มตี ตยิ ฌานเปน ตน อยางเดยี วกับตอ บทหน่ึงๆ กบั ทุติฌาน แลวทรงนํามาเช่อื มกับฌานมีทตุ ยิ ฌานเปนตนอกี ตรสั พัทธจักร ๒๙ แมอ่ืน โดยอรรถอันพิสดารน้นั เทียว ใหสําเร็จเปนเอกมลู กนยั แลว

พระวนิ ัยปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 634 อนึ่ง ปาฐะ พระองคก ็ทรงแสดงไวโ ดยสงั เขป. ปาฐะนนั้ อันนกั ศกึ ษาผไู มห ลงงมงาย ควรทราบโดยพิสดาร. แมท มุ ลู กนยั เปน ตน พระองคก็ตรัสเหมือนเอกมลู กนยั แลว ไดต รสั นัย ๔๓๕ นยั ซงึ่ มมี ลทกุ อยา งเปน ท่ีสุด. คอือยา งไร ? คือ ตรัสทวิมูลกนยั ไว ๒๙ ตรสั ติมลู กนัยไว ๒๘ ตรสั จตุมลู กนยัไว ๒๗. แมปญ จมูลกนัย เปน ตน ผูศกึ ษาก็กค็ วรลดลงอยา งละหนึ่งนยั แลวทราบจนกระทั่งถึงตงิ สมลู กนยั อยางนี้ แตในปาฐะ ทานยอ แมชอ่ื ของนยัเหลา นน้ั เขา แลว แสดงเฉพาะติงสมูลกนัยอันเดยี ววา น้ีเปน มูลกนัยทงั้ หมดก็เพราะภกิ ษไุ มต อ บทสุญญาคารเขา กับฌาน, (อาบตั )ิ จงึ ไมถงึ ที่สดุ . เหตนุ ั้นการประกอบความในบททัง้ ปวง มบี ทวาเปลื้องจติ จากโมหะเปนทสี่ ุด นนั่ แลพึงทราบวา ทา นแสดงแลว เพราะไมแ ตะตองบทสุญญาคารน้ัน. ก็แล ในสุทธกิ มหาวารตอนหนงึ่ ท่ีทานพระอุบาลีกลา วไว ดวยอํานาจการแสดงเน้ือความนีว้ า เมื่อภกิ ษุตอกด็ ี ไมต อกด็ ี ซง่ึ ปฐมฌานเปน ตน กบั ทุตยิ ฌาน เปน ตนตามลาํ ดบั กด็ ี ผดิ ลําดับก็ดี อวดอยู โดยนยั วา เราเขาแลว เปนตน อยางนี้ความพน ยอ มไมม ี ยอ มตองปาราชิกแทท เี ดียว น้ีเปน การพรรณนาเน้อื ความโดยสงั เขป. บทวา ตีหากาเรหิ คือ ดว ยเหตุ ๓ อยาง อันเปน องคแ หงสัมปชานมุสาวาท คําวา ปพุ เฺ พวสฺส โหติ ความวา ในสว นเบอื้ งตนทีเดยี ว บุคคลนนั้ยอ มมคี วามคดิ อยา งนวี้ า เราจกั กลาวเท็จ. คําวา ภณนตฺ สสฺ โหติ ความวา บคุ คลน้ัน กําลังกลา ว ยอมมีความรอู ยางนว้ี า เรากําลังกลาวเทจ็ .

พระวินยั ปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 635 คาํ วา กณิตสสฺ โหติ ความวา เมอ่ื กลา วคําเทจ็ แลว บคุ คลนน้ัยอมมีความรอู ยางน้วี า เรากลา วคําเทจ็ แลว . อธิบายวา เม่ือเธอกลาวคาํ ท่พี งึกลาวนน้ั แลว ยอ มมีความรอู ยา งนี.้ อกี อยา งหนึง่ บทวา ภณติ สฺส ความวา ความรอู ยางนน้ั ยอมมีแกบ ุคคลน้นั ผูม คี ําพดู อนั พดู แลว คือ มคี ําพดู สําเร็จแลว . ในองคแหงสัมปชานมสุ าวาทน้ี ทา นแสดงอรรถไวดงั นว้ี า ภิกษใุ ด แมใ นเบอ้ื งตนก็รูอยา งนี้ แมกาํ ลงั กลาว ก็รูอย,ู แมในภายหลงั ก็รอู ยวู า เรากลาวเทจ็ แลวภิกษนุ ั้น เมอื่ กลา ววา เราเขาปฐมฌาน ดงั นี้ ยอ มตองปาราชกิ . แมท านแสดงอรรถไวแลวก็จรงิ ถงึ อยา งน้นั ในองคแ หงสัมปชานมุสาวาทน้ี ยงั มีความแปลกกัน ดงั นี้ :- มคี ําถามกอนวา เบอ้ื งตน วา เราจกั พดู มุสา มีอย,ู สวนภายหลังวาเราจะพดู มสุ าแลว ไมม ,ี จริงอยู คนบางคนยอ มลมื คําพูดทีพ่ อพูคออกไปทีเดยี วภิกษุนัน้ จะเปน ปาราชกิ หรือไมเปน ? คําถามนน้ั ทา นแกไวแลว ในอรรถกถาทั้งหลาย อยางน้ี วา ภกิ ษุคดิ วาเราจักพูดเท็จ ในช้นั ตน , และเมอ่ื พดู อยางก็รวู า เรากาํ ลังพูดเทจ็ การไมรวู าเราพดู เท็จแลว ในชน้ั หลัง ไมอาจจะไมม ี ถงึ หากจะไมม ี ก็เปน ปาราชิกเหมือนกนั . เพราะ ๒ องคเบือ้ งตนนน่ั แลเปนสําคัญ แมภกิ ษใุ ด ในชั้นตนไมมีความผกู ใจวา เราจกั กลาวเทจ็ แตเ มื่อกลาว ยอ มรวู า เรากลาวเทจ็ ,แมเม่อื กลาวแลว ก็รอู ยวู า เรากลา วเท็จแลว ภิกษุนัน้ พระวนิ ัยธรไมพงึปรับอาบตั .ิ เพราะสว นเบอ้ื งตน สําคัญกวา , เม่ือเบ้ืองตน น้นั ไมม ี ยอ มเปนอนัพดู เลน หรอื พดู พล้ังไปกไ็ ด ดงั นแ้ี ล. กแ็ ล ในคาํ วา มุสา ภาณิสสฺ  เปน ตน นี้ ควรละความมคี วามรูอันน้ันและความประชมุ พรอมแหง ความรูเสีย.

พระวินัยปฎก มหาวภิ งั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 636 ขอ วา ควรละความมคี วามรอู ันนน้ั เสีย ไดแก พึงละความมคี วามรูอันน้ันน้ีวา ยอ มรูไดใ น ๓ ขณะ ดวยจิตดวงเดียวเทานน้ั อยางนว้ี า ภิกษรุ ูอยวู า เราจักกลา วเท็จ ดงั นี้ ดวยจิตดวงใด ยอ มรูวา เรากําลังกลาวเทจ็ และวาเรากลา วเทจ็ แลว ดังนี้ ดว ยจติ ดวงนน้ั น่ันแล. จริงอยู ใคร ๆ ไมอ าจจะรูจติ ดวยจิตดวงน้ันนั่นเองได เหมือนบคุ คลไมอ าจเอาดาบเลม น้นั ตดั ดาบเลม น้ันนั่นเองได ฉะน้นั แล. ก็จิตรดวงทเ่ี กิดข้นึ กอ น ๆ เปน ปจจยั แหง ความเกิดขึน้อยางนนั้ ของจติ ดวงหลัง ๆ แลวยอมดับไป. ดวยเหตุนนั้ บัณฑิตจงึ กลา วคําน้ไี ววา สวนเบอ้ื งตนเทา นั้น เปนประมาณ เมื่อสวนเบือ้ งตนน้ันมอี ยู คําวา สองบท ที่เหลอื จักไมม ี ดังนน้ี ้ัน ยอ มไมม ี; เพราะ ฉะนน้ั วาจา จงชือ่ วามอี งค ๓. ขอวา ควรละความประชุมพรอมแหง ความรู ความวา จิต ๓ ดวงเหลา น้ี ไมควรถือเอาวา เกดิ ข้ึนในขณะเดียวกนั . จริงอยู ธรรมดาจติ น้ี ยอมปรากฏเหมือนเปน ดวงเดียว เพราะเกิดขึ้นติดตอกนั เมื่อดวงแรกยังไมด ับ ดวงหลงั กย็ งั ไมเกดิ ขนึ้ ดงั นแ้ี ล. ก็แล ขา พเจาจกั กลา วคํา ทีถ่ ัดจากนตี้ อไป :- บุคคลนี้ใดยอมกลา วสัมปชานมสุ าวาทวา ขา พเจาเขา ปฐมฌาน บุคคลนนั้ ยอ มเปน ผูมคี วามเห็นอยา งน้ีวา ปฐมฌานของเรา ยอ มไมมี, จรงิ อยู ลทั ธนิ ี้ ของบุคคลนัน้ มอี ยูแ ท.อน่งึ ลัทธิอยางน้ีวา ปฐมฌานของเรา ยอมไมม ี ดังน้ี ยอ มพอใจ และชอบใจแกบคุ คลน้นั , และบุคคลน้ัน มีจติ มสี ภาพอยางนีน้ ั่นเทยี ววา ปฐมฌาน

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 637ของเรา ยอมไมมี, กแ็ ล ในกาลใด ตนเปน ผใู ครจะกลา วเท็จ, ในกาลนน้ับุคคลน้ันละ คือ ท้งิ ปด บงั ความเห็นนนั้ หรือความพอใจกับความเห็น ความพอใจกบั ความเห็นและความพอใจ หรือความเปนกับความเหน็ ความพอใจและความชอบใจ แลว กลา วทําใหเปน คําเทจ็ ; เพราะเหตุนั้น พระผมู ีพระ-ภาคเจาจงึ ตรสั คําวา จตหู ิ อากาเรหิ เปน อาทิ เพอ่ื แสดงความตา งแหงองคดวยอาํ นาจความเหน็ เปนตน แมเหลา นน้ั . กเ็ พราะในคัมภีรปรวิ าร ทา นกลา ววามุสาวาทมอี งค ๘ ในอธิการนี้ จึงควรประกอบนยั อันหนึง่ วา อฏหากาเรหิเปนอกี นยั หนึ่งผสมกบั สญั ญาทท่ี านประสงค ในคัมภรี ป รวิ ารนน้ั . กแ็ ล บรรดาบทเหลา น้ี บทวา วินธิ าย ทิฏ ึ ตรัสดว ยอาํ นาจการละธรรมอนั มกี าํ ลังเสีย. บทวา วินิธาย ขนฺตึ เปนอาทิ ตรสั ดว ยอํานาจการละธรรมทัง้ หลายท่ที รามกาํ ลัง และที่หยอนกาํ ลังกวา ธรรมทีม่ กี าํ ลงั น้นั . สว นบทวา วนิ ธิ าย สฺ  น้ี ชือ่ วาแมเปน เพยี งสัญญาทีเ่ ปน ไปดวยอาํ นาจการละธรรมทท่ี รามกาํ ลงั กวาธรรมท้งั ปวงในทน่ี ี้ . ฐานะวา ไมล ะ จกั กลาวสัมปชานมุสาวาท นจ้ี ะไมม .ี ก็เพราะไมเ ปนปาราชกิ ดวยคําท่บี งอนาคต เปนตน วา ขา พเจา จักเขา เหตุฉะน้นั บททีบ่ งอดีต และปจ จุบนั วา ขา พเจาเขาแลว เปนตนเทาน้นั พึงทราบวา ตรัสไวในพระบาล.ี เบือ้ งหนา แตนไี้ ป คาํ แมทง้ั หมดในสุทธิกมหาวารน้ี มเี น้ือความต้นืทัง้ น้ัน. จรงิ อยู ในสุทธกิ มหาวารนี้ ไมม คี าํ ทไ่ี มอาจรูไดด ว ยวินจิ ฉยั น้ี เวนแตเนื้อความแหงบทวา ราโค เม จตฺโต วนฺโต เปนตน ในบทภาชนะแหงบทวา การละกิเลส. เนอ้ื ความนน้ี น้ั ขาพเจาจักกลาวตอ ไป :-

พระวนิ ยั ปฎก มหาวิภงั ค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 638 ก็บรรดาบทเหลานี้ บทวา จตฺโต นี้ พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ดวยอํานาจการสละภาวะแหง ตน บทวา วนฺโต นี้ ตรสั ดว ยอํานาจแสดงภาวะทรี่ าคะยึดถอื ไมไดอ กี . บทวา มุตโฺ ต น้ี ตรสั ดวยอํานาจความพน จากสนั ตต.ิ บทวา ปหโี น นี้ ตรัสดว ยอาํ นาจแสดงความตงั้ ลงไมไ ด ในทไี่ หนๆแมแ หง ราคะทหี่ ลุดไปแลว. บทวา ปฏนิ สิ ฺสฏโ  น้ี ตรัสดวยอํานาจแสดงความสละคืนราคะท่ีเคยยดึ ถือไวในหนหลังเสยี . บทวา อุกฺเขฏโิ ต นี้ ตรัสไวด วยอํานาจแสดงภาวะทก่ี ลบั แอบแนบไมไดอกี เพราะถูกอริยมรรคถอนขึ้นเสยี แลว . เน้ือความนน้ี ั้น ผูศึกษาทง้ั หลายพึงคน ดจู ากคมั ภีรศ ัพทศาสตร. บทวา สมกุ ฺเขฏโิ ต นี้ ตรัสไวด ว ยอํานาจแสดงภาวะท่ีกลับแอบแนบไมไดอ ีก แมแ หง ราคะท่สี หรคตเพียงเล็กนอ ย เพราะถอนข้นึ เดด็ ขาดดว ยประการฉะนี.้ สุทธิกวารกถา จบ

พระวนิ ัยปฎก มหาวิภังค เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 639 กถาวาดวยผมู ีความประสงคจะกลาว เนอื้ ความแหงบทวา ตหี ากาเรหิ เปนอาทิ และประเทศแหงวารเปยยาลทง้ั ปวง แมใ นวตั ถกุ ามวาร พงึ ทราบตามนยั ท่ีกลาวแลว ในสทุ ธิกวารน้ีแล. กว็ ตั ตุกามวารนพี้ ระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวเพ่ือกันโอกาสของบาปบุคคลท้งัหลายอยา งเดยี ว ผูแ สวงหาชองอยางน้ีวา คาํ น้ีใดเลา เราประสงคจ ะกลา วคําอื่น กลา วผิดเปนคําอน่ื ; เพราะฉะน้ันอาบัติจงึ ไมม ีแกเ รา. เหมือนอยา งวาภกิ ษปุ รารถนาจะกลา ววา พทุ ธ ปจฺจกฺขามิ เมือ่ กลา วบทใดบทหนึง่ บรรดาบทสาํ หรบั บอกลาสกิ ขามีวา ธมฺม ปจฺจกขฺ ามิ เปน ตน ยอ มเปน ผบู อกลาสิกขาแลว แท เพราะบทเหลา นัน้ หยัง่ ลงในเขต ฉนั ใดแล, ขอน้ีกฉ็ นั นน้ัภกิ ษผุ ใู ครจ ะกลาวบทใดบทหนึ่งบทเดียว บรรดาบทอุตริมนสุ ธรรมมปี ฐมฌาน-เปน ตน แมเ มือ่ กลาวบทใดบทหน่ึงอยางอ่นื จากบทน้นั ยอมเปน ปาราชิกทีเดียว เพราะบทนน้ั หย่งั ลงในเขต. แมถ าเธอกลา วแกผใู ด, ผูน ้ัน ยอ มรูความน้นั ในขณะนัน้ ทนั ท.ี ก็แล ลกั ษณะแหง การรใู นการอวดอตุ รมิ นุสธรรมที่ไมมจี รงิ น้ี พงึ ทราบตามนยั ที่กลาวแลว ในการบอกลาสกิ ขานั่นแล. แตความแปลกกนั มีดงั ตอ ไปน้ี :- การบอกลาสิกขา ยอมไมถ งึ ความสําเรจ็ ดวยหตั ถมทุ ธา(ไมสําเรจ็ ไดด ว ยการกระดิกหัวแมมือ) การอวดอตุ ริมนุสธรรมทีไ่ มมีจรงิ น้ียอมหยั่งลง (สูค วามสาํ เร็จ) แมด ว ยหัตถมุทธา. จริงอยู ภกิ ษุใดอวดดอตุ รมิ -นุสธรรมทีไ่ มมีจรงิ ดว ยความเคล่ือนไหวแหง อวยั วะนอยใหญ มหี ัตถวิการ(แกวง มือ) เปนตน แกบ ุคคลผยู ืนอยใู นคลองแหง วญิ ญัติ. และบุคคลน้ันรูใจความน้ันได, ภิกษนุ นั้ เปน ปาราชกิ แท. แตถา เธอบอกแกผ ูใ ด, ผนู น้ัไมเขาใจ หรือถึงความสงสัยวา ภิกษุน้ี พดู อะไร ? หรอื พจิ ารณานานจงึ รใู น






















Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook