พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 1 พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตตรนิกาย ทสก - เอกาทสกนิบาต เลม ท่ี ๕ ขอนอบนอมแดพระผมู ีพระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจาพระองคน ้ัน อังคตุ ตรนกิ าย ทสกนิบาต ปฐมปณ ณาสก อานิสังสวรรคที่ ๑ ๑. กิมตั ถิยสตู รวาดวยศีลทีเ่ ปนกุศล มีอะไรเปน ผลเปนอานสิ งส [๑] ขา พเจาไดสดบั มาแลวอยา งนี้ :- สมยั หนึง่ พระผูมพี ระภาคเจาประทบั อยู ณ พระวิหารเชตวัน อารามของทานอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี ใกลพระนครสาวตั ถี ครง้ั น้ันแล ทานพระอานนทเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา ถึงท่ปี ระทับ ถวายบงั คมแลว น่งัณ ที่ควรสว นขา งหนง่ึ ครนั้ แลวไดก ราบทลู ถามพระผูมีพระภาคเจาวาขาแตพ ระองคผูเจรญิ ศลี ที่เปน กศุ ลมอี ะไรเปน ผล มอี ะไรเปน อานสิ งสพระผมู ีพระภาคเจา ตรัสตอบวา ดกู อ นอานนท ศีลทีเ่ ปน กุศล มีอวปิ -ปฏสิ ารเปนผล มีอวิปปฏิสารเปน อานิสงส.
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 2 อา. ขาแตพระองคผ เู จริญ ก็อวิปปฎสิ ารมอี ะไรเปนผล มีอะไรเปนอานสิ งส. พ. ดูกอนอานนท อวิปปฎิสารมปี ราโมทยเ ปน ผล มีปราโมทยเปนอานสิ งส. อา. ขา แตพระองคผ เู จริญ ก็ปราโมทยมอี ะไรเปน ผล มีอะไรเปนอานสิ งส. พ. ดูกอ นอานนท ปราโมทยมปี ต เิ ปนผล มีปต ิเปนอานิสงส. อา. ขาแตพระองคผ ูเ จริญ ก็ปต มิ อี ะไรเปนผล มีอะไรเปน อานสิ งส. พ. ดูกอนอานนท ปต ิมปี ส สทั ธิเปน ผล มปี สสัทธเิ ปน อานสิ งส. อา. ขา แตพระองคผ ูเจรญิ กป็ ส สทั ธิมอี ะไรเปน ผล มีอะไรเปนอานิสงส. พ. ดกู อ นอานนท ปสสทั ธมิ ีสุขเปน ผล มสี ุขเปนอานิสงส. อา. ขา แตพระองคผ เู จรญิ กส็ ุขมอี ะไรเปน ผล มีอะไรเปนอานิสงส. พ. ดูกอนอานนท สขุ มีสมาธเิ ปนผล มีสมาธิเปนอานสิ งส. อา. ขาแตพ ระองคผ ูเ จริญ กส็ มาธิมีอะไรเปนผล มีอะไรเปนอานสิ งส. พ. ดกู อนอานนท สมาธมิ ยี ถาภตู ญาณทัสสนะเปน ผล มียถาภตู -ญาณทัสสนะเปนอานสิ งส. อา. ขาแตพระองคผ เู จรญิ ก็ยถาภูตญาณทสั สนะมีอะไรเปนผล มีอะไรเปนอานสิ งส. พ. ดกู อ นอานนท ยถาภตู ญาณทัสสนะมนี ิพพทิ าวริ าคะเปนผลมีนพิ พิทาวิราคะเปน อานสิ งส.
พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 3 อา. ขา แตพระองคผ เู จริญ ก็นพิ พทิ าวิราคะมีอะไรเปนผล มีอะไรเปนอานสิ งส. พ. ดกู อ นอานนท นิพพทิ าวิราคะ มีวิมุตติญาณทสั สนะเปน ผลมวี มิ ุตตญิ าณทัสสนะเปน อานิสงส ดูกอนอานนท ศีลทเี่ ปนกศุ ล มีอวิป-ปฏสิ ารเปนผล มอี วิปปฏิสารเปน อานสิ งส อวิปปฏิสารมีปราโมทยเปน ผลมปี ราโมทยเ ปนอานิสงส ปราโมทยม ีปติเปน ผล มปี ตเิ ปนอานิสงส ปต ิมปี สสทั ธเิ ปน ผล มปี ส สทั ธเิ ปน อานสิ งส ปส สัทธิมีสขุ เปน ผล มีสขุ เปนอานิสงส สขุ มีสมาธิเปนผล มีสมาธิเปน อานิสงส สมาธมิ ยี ถาภตู ญาณ-ทัสสนะเปน ผล มยี ถาภตู ญาณทสั สนะเปน อานิสงส ยถาภูตญาณทัสสนะมีนพิ พิทาวริ าคะเปน ผล มนี ิพพทิ าวริ าคะเปนอานิสงส นิพพิทาวิราคะมวี มิ ุตติญาณทัสสนะเปนผล มีวิมตุ ตญิ าณทัสสนะเปนอานสิ งส ดว ยประการดังนี้ ดกู อนอานนท ศีลทีเ่ ปนกศุ ล ยอ มถึงอรหัตโดยลําดับดว ยประการดังน้แี ล. จบกิมัตถยิ สตู รท่ี ๑
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 4 มโนรถปรู ณี อรรถกถาอังคตุ ตรนกิ าย ทสกนิบาต ปฐมปณ ณาสก อานสิ ังสวรรคท่ี ๑ อรรถกถากมิ ตั ถยิ สตู รที่ ๑ กมิ ัตถยิ สตู รท่ี ๑ พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยดงั ตอ ไปนี.้ บทวา กสุ ลานิ สลี านิ ไดแก ศลี ท่ีไมม ีโทษ. ศลี ชือ่ วามีความไมรอนใจเปนประโยชน ก็เพราะเปนไปเพอื่ ประโยชนแกค วามเปนผไู มเกอ เขิน ความไมร อนใจ ช่ือวามีความไมรอนใจเปนอานสิ งส คอื ผลดีกเ็ พราะศลี เหลานัน้ มีความไมรอนใจน้ันแลเปน อานิสงส ในคําวายถาภูตาณทสฺสนตฺโถ เปนตน วปิ สสนาอยา งออน ชอ่ื วายถาภตู ญาณ-ทสั สนะ วิปสสนามกี าํ ลงั ชื่อวานพิ พิทา, มรรค ชื่อวา วิราคะ, อรหัตผลช่อื วา วิมุตต,ิ ปจ จเวกขญาณ ชอื่ วา ญาณทัสสนะ, บทวา อรหตตฺ ตถฺ ายปเรนตฺ ิ ไดแ ก ยอมดาํ เนินไปเพอ่ื ประโยชนแกพ ระอรหตั . จบอรรถกถากิมัตถยิ สตู รที่ ๑ ๒. เจตนาสตู ร วา ดวยผมู ศี ลี สมบูรณไ มต อ งตั้งเจตนาใหเ กดิ อวปิ ปฏิสาร [๒] พ. ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย บุคคลผูมศี ลี สมบูรณดวยศลีไมต อ งทาํ เจตนาวา ขออวิปปฏสิ ารจงเกดิ ขน้ึ แกเ รา ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลายขอ ท่อี วปิ ปฏสิ ารเกิดข้นึ แกบุคคลผูมีศีล สมบูรณด ว ยศีลเปน ธรรมดา ดู
พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 5กอนภกิ ษทุ งั้ หลาย บุคคลผไู มม ีวปิ ปฏิสารไมตอ งทาํ เจตนาวา ขอปราโมทยจงเกิดขึน้ แกเรา ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ขอท่ีปราโมทยเ กดิ ข้นึ แกบคุ คลผไู มม วี ปิ ปฏิสารน้ี เปนธรรมดา ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย บุคคลผปู รา-โมทยไ มต อ งทําเจตนาวา ขอปตจิ งเกดิ แกเ รา ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ขอท่ปี ติเกิดขน้ึ แกบ ุคคลผูปราโมทยน ี้ เปน ธรรมดา ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย บุคคลผมู ีใจปตไิ มตอ งทําเจตนาวา ขอกายของเราจงสงบ ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ขอ ท่ีกายของบคุ คลผูมีใจมีปติสงบน้ี เปนธรรมดา ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย บุคคลผูมกี ายสงบไมต อ งทําเจตนาวา ขอเราจงเสวยความสขุ ขอทบี่ คุ คลผมู ีกายสงบเสวยสขุ น้ี เปน ธรรมดา ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย บคุ คลผมู คี วามสุขไมต อ งทําเจตนาวา ขอจติ ของเราจงตงั้ ม่ัน ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ขอทจ่ี ิตของบคุ คลผมู ีความสุขต้งั มน่ั นี้ เปน ธรรมดา ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย บคุ คลผูมีจิตตัง้ มน่ั ไมต อ งทําเจตนาวา ขอเราจงรูจงเห็นตามความเปน จริง ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ขอ ท่บี คุ คลผูมจี ติ ต้ังม่นั รูเ ห็นตามความเปนจริงน้ี เปนธรรมดา ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย บคุ คลผูร ูเห็นตามความเปนจริงไมตอ งทาํเจตนาวา ขอเราจงเบื่อหนาย จงคลายกําหนัด ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ขอท่ีบุคคลผูรูผูเ ห็นตามความเปนจรงิ เบื่อหนายคลายกําหนดั น้ี เปน ธรรมดาดูกอนภิกษุทง้ั หลาย บุคคลผเู บื่อหนา ยคลายกาํ หนัดไมตองทาํ เจตนาวาขอเราจงทาํ ใหแจง ซ่ึงวมิ ตุ ติญาณทัสสนะ ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ขอ ทีบ่ คุ คลผเู บอื่ หนายคลายกําหนดั ทาํ ใหแจง ซ่ึงวิมุตตญิ าณทัสสนะ นเี้ ปนธรรมดาดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย นิพพิทาวริ าคะมีวิมตุ ติญาณทสั สนะเปนผล มวี มิ ุตติ-ญาณทัสสนะเปน อานิสงส ยถาภูตญาณทสั สนะมีนพิ พทิ าวริ าคะเปนผล มีนพิ พิทาวิราคะเปน อานสิ งส สมาธมิ ยี ถาภูตญาณทสั สนะเปนผล มียถา-
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 6ภูตญาณทสั สนะเปน อานิสงส สขุ มสี มาธเิ ปน ผล มีสมาธเิ ปน อานสิ งสปส สัทธมิ สี ุขเปนผล มสี ขุ เปนอานสิ งส ปติมีปส สัทธเิ ปนผล มปี สสทั ธิเปน อานิสงส ปราโมทยม ีปต ิเปน ผล มปี ตเิ ปน อานิสงส อวปิ ปฎิสารมปี ราโมทยเปนผล มปี ราโมทยเปนอานสิ งส ศีลท่เี ปนกุศลมอี วิปปฏิสารเปนผล มอี วิปปฏสิ ารเปนอานสิ งส ดวยประการดงั นี้ ดกู อนภกิ ษทุ ั้ง-หลาย ธรรมทง้ั หลายยอมหลั่งไหลไปสูธ รรมทง้ั หลาย ธรรมท้ังหลายยอ มยงั ธรรมทงั้ หลายใหบรบิ ูรณ เพื่อจากเตภมู กิ วฏั อนั มใิ ชฝง ไปถึงฝงคือนพิ พาน ดวยประการดงั นีแ้ ล. จบเจตนาสูตรท่ี ๒ อรรถกถาเจตนาสตู รที่ ๒ เจตนาสตู รที่ ๒ พึงทราบวนิ ิจฉัยดังตอไปน.้ี บทวา น เจตนาย กรณยี ไดแกไมคิด กะ กาํ หนดกระทํา. บทวาธมมฺ ตา เอสา ไดแก นน่ั เปน สภาวธรรม นี้เปน นยิ มแหงเหตุ. บทวาอภิสนฺเทนตฺ ิ ไดแกใหเปน ไป. บทวา ปริปเู รนิติ ไดแก ทําใหบรบิ ูรณ.บทวา อปราปร คมนาย ไดแ ก เพอื่ ประโยชนแกการไปยงั ฝง โนนคือพระนิพพาน จากวัฏฏะท่เี ปน ไปในภูมิ ๓ ซ่งึ เปน ฝง นี้. จบอรรถกถาเจตนาสูตรท่ี ๒ ๓. สีลสตู ร วาดวยอวปิ ปฏสิ ารไมม ีแกผ ทู ศุ ลี มแี กผมู ศี ีลสมบรู ณ [๓] พ. ดูกอนภิกษุท้ังหลาย อวิปปฏิสารชอื่ วา มีเหตอุ ันบคุ คลผทู ุศีลมศี ีลวิบตั ขิ จัดเสยี แลว เมื่ออวปิ ปฏิสารไมม ี ปราโมทยไ มม ี ปตชิ ือ่ วา
พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 7มีเหตุอันบุคคลผูมีปราโมทยว ิบตั ิขจัดเสยี แลว เม่ือปติไมม.ี ปสสทั ธิชอื่วา มีเหตอุ นั บุคคลผูมีปติวบิ ัตขิ จดั เสียแลว เมอื่ ปส สัทธิไมม ี สขุ ชื่อวามีเหตอุ ันบคุ คลผมู ปี สสัทธิวิบตั ิขจดั เสยี แลว เม่อื สุขไมม ี สมั มาสมาธชิ อ่ื วามีเหตอุ นั บคุ คลผมู ีสขุ วบิ ตั ขิ จัดเสยี แลว เมอื่ สัมมาสมาธิไมม ี ยถาภตู ญาณ-ทสั สนะช่ือวามเี หตุอนั บคุ คลผมู สี มาธิวิบตั ขิ จัดเสยี แลว เม่ือยถาภูตญาณ-ทัสสนะไมมี นพิ พทิ าวิราคะชือ่ วามีเหตุอันบคุ คลผูมียถาภตู ญาณทสั สนะวบิ ัตจิ ดั เสยี แลว เมือ่ นพิ พทิ าวริ าคะไมมี วมิ ตุ ติญาณทัสสนะช่ือวา มีเหตุอนั บคุ คลผูม ีนิพพิทาวิบตั ขิ จดั เสยี แลว ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เปรียบเหมอื นตน ไมมีกิง่ และใบวิบตั ิแลว แมก ะเทาะของตน ไมน ัน้ ยอมไมบ ริบรู ณแมเ ปลอื ก แมกระพี้ แมแ กน ของตนไมน นั้ ยอมไมบรบิ ูรณฉันใด ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย อวปิ ปฏิสารชอ่ื วา มีเหตุอันบุคคลผทู ศุ ีล ผมู วี บิ ตั ิขจัดเสียแลวเมื่ออวปิ ปฏสิ ารไมมี ปราโมทยชือ่ วามเี หตุอันบุคคลผมู อี วปิ ปฏิสารวบิ ัติขจัดเสียแลว ฯลฯ เมือ่ นิพพทิ าวริ าคะไมม ี วมิ ุตตญิ าณทสั สนะชื่อวามีเหตอุ ันบุคคลผมู ีนิพพิทาวริ าคะวบิ ัตขิ จดั เสยี แลว ฉนั นัน้ เหมอื นกันแล. ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย อวิปปฏสิ ารมีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบ ุคคลผูมีศีล ผูสมบรู ณด วยศลี เมื่ออวปิ ปฏิสารมอี ยู ปราโมทยช ื่อวามีเหตุสมบรู ณยอมมีแกบ ุคคลผูส มบรู ณดว ยอวิปปฏสิ าร เมือ่ ปราโมทยมีอยู ปตชิ ือ่ วามีเหตุสมบูรณ ยอ มมแี กบุคคลผูสมบูรณดว ยปราโมทย เม่อื ปต ิมอี ยู ปส สทั ธิชอ่ื วา มเี หตุสมบรู ณ ยอ มมแี กบ ุคคลผูสมบรู ณดวยสขุ เม่อื ปส สทั ธิมีอยูสุขชื่อวามีเหตุสมบูรณ ยอ มมีแกบคุ คลผสู มบรู ณด ว ยปสสัทธิ เมอ่ื สุขมีอยูสมั มาสมาธิชอื่ วา มีเหตุสมบรู ณ ยอมมแี กบุคคลผูสมบูรณดวยสุข เม่ือสัมมาสมาธิมอี ยู ยถาภูตญาณทสั สนะช่ือวา มเี หตุสมบูรณ ยอ มมแี กบ ุคคล
พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 8สมบูรณด วยสมั มาสมาธิ เมื่อยถาภตู ญาณทัสสนะมีอยู นพิ พทิ าวิราคะชอ่ืวามเี หตุสมบรู ณ ยอ มมแี กบ คุ คลผสู มบรู ณดว ยถาภตู ญาณทัสสนะ เม่อืนิพพทิ าวริ าคะมีอยู วิมตุ ติญาณทัสสนะชอื่ วา มีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบคุ คลผูสมบูรณดว ยนพิ พิทาวริ าคะ ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย เปรียบเหมือนตน ไมม กี ง่ิ และใบสมบรู ณ แมก ะเทาะของตน ไมน ้นั ยอมบริบูรณ แมเปลือก แมก ระพ้ี แมแ กนของตน ไมน ั้น ยอมบริบูรณ ฉนั ใด ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย อวิปปฏิสารมีเหตสุ มบูรณ ยอมมีแกบคุ คลผูมีศีล ผูส มบรู ณดว ยศีล เมอื่ อวปิ ปฏิสารมอี ยู ปราโมทยชอื่ วามีเหตุสมบรู ณ ยอ มมแี กบคุ คลผสู มบูรณดวยอวปิ ปฏิสาร ฯลฯ เมอื่ นิพพทิ าวิราคะมีอยู วิมตุ ตญิ าณ-ทสั สนะชอ่ื วา มีเหตุสมบรู ณ ยอมมแี กบคุ คลผสู มบรู ณดวยนพิ พิทาวริ าคะฉันน้ันเหมอื นกนั แล. จบสลี สูตรที่ ๓ อรรถกถาสีลสตู รที่ ๓ สลี สตู รท่ี ๓ พึงทราบวินจิ ฉยั ดังตอ ไปน.้ี บทวา หตูปนิโส แปลวา นพิ พิทาและวิราคะ มีเหตุถกู กาํ จดั เสยีแลว . จบอรรถกถาสีลสตู รท่ี ๓ ๔. อปุ นิสาสตู ร๑ วา ดว ยอวิปปฏสิ ารอันบคุ คลผทู ศุ ลี ขจัดเสียแลว [๔] ณ ทีน่ ั้นแล ทานพระสารีบุตร เรียกภกิ ษทุ ้ังหลายมากลา ววา ดูกอนทา นผมู ีอายุ อวปิ ปฏิสารมีเหตุอนั บุคคลผทู ุศีลผูทศุ ีลวิบัตขิ จดั เสีย๑. อรรถกถาสตู รที่ ๔ แกร วมอยูท า ยพระสตู รท่ี ๕.
พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 9แลว เม่ืออวิปปฏสิ ารไมม ี ปราโมทยช ื่อวา มีเหตอุ นั บคุ คลผมู อี วิปปฏิสารวิบตั ขิ จดั เสยี แลว เมอ่ื ปราโมทยไมมี ปติชอ่ื วามเี หตอุ นั บุคคลผมู ีปราโมทยว บิ ัติขจดั เสยี แลว เมอื่ ปติไมม ี ปส สัทธชิ อ่ื วามีเหตุอันบคุ คลผูมีปติวบิ ัติขจัดเสยี แลว เมื่อปสสทั ธไิ มม ี สขุ ชอ่ื วา มเี หตอุ ันบุคคลผูม ีปสสัทธิวบิ ตั ขิ จดั เสียแลว เม่ือสขุ ไมมี สัมมาสมาธิชอื่ วามีเหตอุ ันบคุ คลผูมสี ุข-วิบัติขจดั เสยี แลว เมอ่ื สมั มาสมาธไิ มมี ยถาภตู ญาณทัสสนะช่ือวามีเหตุอันบคุ คลผมู ีสมั มาสมาธิวบิ ตั ิขจดั เสียแลว เม่ือยถาภูตญาณทัสสนะไมม ี นพิ -พิทาวิราคะ ช่ือวามเี หตุอันบุคคลผูมียถาภูตญาณทสั สนะวิบัติขจัดเสยี แลวเมอื่ นพิ พิทาวิราคะไมม ี วิมตุ ติญาณทสั สนะชื่อวา มเี หตอุ นั บุคคลผมู ีนิพ-พิทาริราคะวบิ ัตขิ จดั เสียแลว ดกู อนทานผูมอี ายุ เปรียบเหมือนตนไมมกี ิง่และใบวิบัติแลว แมกะเทาะของตนไมน ัน้ ก็ยอมไมถ งึ ความบรบิ รู ณแมเปลอื ก แมก ระพ้ี แมแ กน ของตน ไมน ้ัน ก็ยอ มไมถึงความบริบูรณฉนั ใด ดกู อ นทา นผูม อี ายุ อวิปปฏิสารมเี หตอุ นั บุคคลผูท ศุ ีลมศี ลี วิบตั ขิ จดัเสียแลว เม่อื อวปิ ปฏสิ ารไมมี ปราโมทยช ่อื วา มเี หตุอนั บุคคลผมู ีอวิปปฏสิ ารวบิ ัตขิ จดั เสียแลว ฯลฯ เม่อื นิพพทิ าวิราคะไมม ี วมิ ตุ ตญิ าณ-ทัสสนะ. ช่อื วามเี หตอุ ันบุคคลผูมนี พิ พิทาวริ าคะวบิ ัติขจดั เสียแลว ฉันนั้นเหมือนกนั แล. ดูกอ นทานผมู ีอายุ อวปิ ปฏิสารมีเหตสุ มบรู ณ ยอ มมแี กบ ุคคลผูมีศีลผูสมบูรณด วยศลี เมอ่ื อวปิ ปฏสิ ารมีอยู ปราโมทยชอ่ื วาเหตุสมบรู ณยอมมแี กบคุ คลผสู มบูรณดวยอวปิ ปฏสิ าร เม่อื ปราโมทยมอี ยู ปต ชิ อ่ื วา มีเหตุสมบรู ณ ยอ มมีแกบ ุคคลผูส มบูรณดวยปราโมทย เม่อื ปติมีอยูปสสทั ธิช่อื วามีเหตุสมบรู ณ ยอมมแี กบ ุคคลผูสมบรู ณด ว ยปติ เม่ือปส สัทธิ
พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 10มีอยู สุขช่ือวา มเี หตสุ มบรู ณ ยอมมแี กบคุ คลผูส มบูรณดว ยปส สทั ธิ เมื่อสขุ มีอยู สัมมาสมาธิช่อื วามเี หตสุ มบูรณ ยอมมีแกบ คุ คลผูสมบรู ณดวย สุขเม่อื สัมมาสมาธิมีอยู ยถาภตู ญาณทสั สนะชอ่ื วา มีเหตุสมบรู ณ ยอมมีแกบุคคลผสู มบรู ณดว ยสัมมาสมาธิ เมื่อยถาภตู ญาณทสั สนะมีอยู นพิ พทิ า-วิราคะช่ือวามเี หตสุ มบูรณ ยอ มมีแกบ คุ คลผูสมบูรณดว ยยถาภูตญาณ-ทสั สนะ เมื่อนิพพทิ าวิราคะมอี ยู วิมตุ ตญิ าณทัสสนะช่อื วามีเหตุสมบรู ณยอ มมีแกบ คุ คลผสู มบูรณดวยนิพพทิ าวิราคะ ดูกอนทา นผูมอี ายุ เปรียบเหมอื นตน ไมมกี ิง่ และใบสมบูรณแ ลว แมก ะเทาะของตน ไมนน้ั กย็ อมถงึความบริบรู ณ แมเปลอื ก แมก ระพี้ แมแ กน ของตนไมน้ัน กย็ อมถงึความบริบรู ณ แมฉ นั ใด ดูกอ นทานผมู ีอายุทง้ั หลาย อวิปปฏิสารมีเหตุสมบูรณ ยอ มมีแกบุคคลผูมศี ีลผสู มบูรณด วยศีล เมื่ออวิปปฏิสารมอี ยูปราโมทยช อ่ื วา มเี หตุสมบรู ณ ยอมมีแกบคุ คลผูสมบรู ณดว ยอวปิ ปฏิ-สาร ฯลฯ เม่อื นพิ พิทาวริ าคะมอี ยู วิมุตตญิ าณทัสสนะชอ่ื วา มีเหตสุ มบรู ณยอ มมีแกบ คุ คลผสู มบูรณดวยนพิ พิทาวริ าคะ ฉันนน้ั เหมอื นกันแล. จบสตู รท่ี ๔ ๕. อานนั ทสตู ร วาดว ยอวิปปฏิสารไมมีแกผูท ุศีล มแี กผ มู ศี ลี สมบูรณ [๕] ณ ที่น้ันแล ทา นพระอานนทเรยี กภิกษทุ งั้ หลายมากลา ววาดกู อนทานผมู อี ายทุ ั้งหลาย อวิปปฏสิ ารมีเหตอุ ันบุคคลผูทศุ ีลผมู ศี ลี วิบัติขจัดเสียแลว เมอ่ื อวิปปฏสิ ารไมม ี ปราโมทยช ื่อวามเี หตุอนั บุคคลผูมีอวปิ -ปฏสิ ารวิบัติขจดั เสยี แลว เมอ่ื ปราโมทยไมม ี ปติชื่อวา มีเหตอุ ันบุคคล
พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 11ผูมปี ราโมทยว ิบัติขจัดเสียแลว เมื่อปต ไิ มม ี ปส สัทธชิ ื่อวามเี หตอุ นั บุคคลผูมปี ต ิวิบัตขิ จัดเสยี แลว เมอ่ื ปสสัทธไิ มมี สขุ ชอ่ื วามเี หตุอนั บคุ คลผูมีปส สทั ธิวิบตั ิขจดั เสียแลว เมือ่ สุขไมมี สัมมาสมาธชิ ื่อวามเี หตุอันบุคคลผมู สี ขุ วิบัติขจัดเสียแลว เมอื่ สัมมาสมาธไิ มม ี ยถาภตู ญาณทัสสนะชื่อวามีเหตอุ นับคุ คลผมู ีสมั มาสมาธิวิบตั ขิ จัดเสียแลว เมื่อยถาภตู ญาณทสั สนะไมม ีนพิ พิทาวริ าคะชอื่ วา มีเหตุอันบุคคลผูมยี ถาภูตญาณทัสสนะวิบัตขิ จัดเสยี แลวเมือ่ นพิ พิทาวิราคะไมมี วิมตุ ตญิ าณทสั สนะช่อื วามเี หตุอันบุคคลผูม นี พิ -พิทาวิราคะวิบัตขิ จัดเสียแลว ดกู อนทานผมู อี ายทุ ง้ั หลาย เปรียบเหมือนตน ไมม ีกิง่ และใบวิบตั แิ ลว แมก ะเทาะของตน ไมน นั้ ยอ มไมถึงความบรบิ รู ณ แมเ ปลอื ก แมก ระพี้ แมแ กน ของตนไมน ้ัน ก็ไมถึงความบรบิ ูรณ แมฉนั ใด ดกู อ นทา นผมู อี ายุทั้งหลาย อรปิ ปฏสิ ารมีเหตอุ นับคุ คลผทู ศุ ีลผมู ศี ีลวบิ ัตขิ จดั เสยี แลว เมอ่ื อวปิ ปฏิสารไมมี ปราโมทยช่อื วา มีเหตุอันบุคคลผูมีอวิปปฏิสารวบิ ัติขจดั เสยี แลว ฯลฯ เมอ่ื นพิ พทิ า-วริ าคะไมมี วมิ ุตติญาณทสั สนะชือ่ วา มีเหตอุ ันบคุ คลผูมีนิพพิทาวริ าคะวิบัติขจัดแลว ฉนั นนั้ เหมือนกันแล. ดกู อนทา นผมู ีอายุทั้งหลาย อวปิ ปฏสิ ารมเี หตุสมบูรณ ยอ มมแี กบคุ คลผมู ีศีลสมบูรณด วยศลี เมือ่ อวปิ ปฏิสารมอี ยู ปราโมทยชอ่ื วา มเี หตุสมบรู ณ ยอ มมแี กบ คุ คลผูส มบรู ณดวยอวิปปฏิสาร เมอ่ื ปราโมทยม อี ยู ปต ิชื่อวา มีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบ ุคคลผสู มบรู ณด วยปราโมทย เม่อื ปติมีอยูปสสัทธชิ อ่ื วามีเหตุสมบรู ณ ยอมมีแกบุคคลผูสมบรู ณดว ยปต ิ เมื่อปส สัทธิมอี ยู สุขช่อื วา มเี หตสุ มบรู ณ ยอ มมแี กบคุ คลผสู มบูรณด ว ยปส สัทธิ เมอ่ืสุขมีอยู สมั มาสมาธชิ ่ือวา มีเหตุสมบูรณ ยอมแกบคุ คลผสู มบูรณด วยสขุ
พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 12เม่อื สัมมาสมาธิมีอยู ยภาภตู ญาณทสั สนะช่อื วามเี หตสุ มบรู ณ ยอมมีแกบคุ คลผูส มบูรณดว ยสัมมาสมาธิ เม่อื ยถาภูตญาณทสั สนะมอี ยู นพิ พิทา-วริ าคะช่อื วา มีเหตุสมบรู ณ ยอมมีแกบ คุ คลผูสมบรู ณด วยถาภูตญาณทสั สนะเมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู วมิ ตุ ติญาณทัสสนะชื่อวา มีเหตสุ มบูรณ ยอ มมีแกบคุ คลผูส มบรู ณดวยนิพพทิ าวิราคะ ดูกอนทานผมู ีอายุเปรยี บเหมอื นตนไมมีกง่ิ และใบสมบูรณแลว แมกะเทาะของตน ไม ยอมถงึ ความบรบิ รู ณแมเปลอื ก แมก ระพ้ี แมแกน ของตน ไมนนั้ กย็ อ มถึงความบริบรู ณแมฉันใด ดูกอนทา นผูมอี ายุท้ังหลาย อวปิ ปฏสิ ารมีเหตุอันสมบรู ณ ก็ยอมมีแกบุคคลผูมีศลี ผูสมบรู ณดวยศีล เมื่ออวปิ ปฏสิ ารมอี ยู ปราโมทยชื่อวา มีเหตสุ มบรู ณ ยอมมีแกบ คุ คลผูสมบรู ณดว ยอวปิ ปฏิสาร ฯลฯเมอ่ื นิพพิทาวริ าคะมอี ยู วมิ ุตตญิ าณทสั สนะชื่อวา มีเหตุสมบรู ณ ยอมมแี กบคุ คลผูสมบูรณดวยนิพพทิ าวิราคะ ฉันนน้ั เหมอื นกนั แล. จบอานันทสูตรที่ ๕อรรถกถาอปุ นสิ าสูตร๑ท่ี ๔ อานนั ทสูตรท่ี ๕ ในอุปนิสาสูตรที่ ๔ และอานนั ทสูตรที่ ๕ ตางกันตรงทถี่ อยคาํอันพระเถระท้ังสอง [คอื พระสารีบุตรและพระอานนท] กลา วไว. ๖. สมาธสิ ตู ร๑ วา ดว ยไมพึงสําคญั ปฐวธี าตุวาเปนปฐวธี าตเุ ปนตน [๖] ครง้ั นน้ั แล ทา นพระอานนท เขา ไปเฝา พระผูมพี ระภาคเจา ถงึที่ประทับ ถวายบังคมพระผมู ีพระภาคเจา แลว นั่ง ณ ทคี่ วรสวนขางหน่ึง๑. สูตรที่ ๖-๗-๘ ไมม อี รรถกถาอธบิ าย.
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 13ครัน้ แลว ไดกราบทลู ถามวา ขา แตพระองคผ เู จริญ ตนไมพ ึงมคี วามสําคญัในปฐวีธาตวุ าเปนธาตุเปน อารมณ ไมพ ึงมคี วามสําคัญในอาโปธาตวุ าเปนอาโปธาตเุ ปนอารมณ ไมพ ึงมีความสาํ คัญในเตโชธาตุวาเปน เตโชธาตุเปน อารมณ ไมพงึ มีความสําคญั ในวาโยธาตุวา เปนวาโยธาตเุ ปน อารมณไมพึงมีความสาํ คัญในอากาสานญั จายตนฌานวาเปน อากานัญจายตนฌานเปนอารมณ ไมพงึ มีความสาํ คัญในวิญญาณัญจายตนฌานวาเปน วิญญาณัญ-จายตนฌานเปนอารมณ ไมพ ึงมีความสําคญั ในอากจิ จัญญายตนฌานวาเปนอากญิ จญั ญายตนฌานเปน อารมณ ไมพ ึงมคี วามสาํ คญั ในเนวสญั ญานา-สญั ญายตนฌานวา เปน เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌานเปนอารมณ ไมพงึ มีความสาํ คัญในโลกน้วี าเปน โลกนเี้ ปน อารมณ ไมพงึ มีความสาํ คัญในโลกหนาวา เปน โลกหนาเปนอารมณ ก็แตว าพึงเปน ผูมสี ัญญา การไดสมาธิเห็นปานนน้ั พงึ มีแกภิกษุหรือหนอแล. พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา ดกู อ นอานนท ตนไมพ งึ มีความสําคญัในปฐวธี าตุวาเปน ปฐวธี าตุเปน อารมณ ไมพึงมคี วามสําคญั ในอาโปธาตุวา เปน อาโปธาตเุ ปนอารมณ. .. ไมพงึ มีความสาํ คัญในโลกหนา วาเปนโลกหนาเปนอารมณ กแ็ ตว า พึงเปน ผมู สี ญั ญา การไดส มาธิเห็นปานนนั้พึงมีแกภ ิกษุ. อา. ขาแตพ ระองคผเู จริญ ตนไมพงึ มคี วามสําคัญในปฐวธี าตวุ าเปน ปฐวธี าตุเปนอารมณ ไมพ ึงมคี วามสาํ คัญในอาโปธาตุวาเปนอาโป-ธาตเุ ปน อารมณ. .. ไมพ ึงมีความสําคัญในโลกหนา วาเปนโลกหนาเปนอารมณ ก็แตวา พงึ เปน ผมู ีสัญญา กก็ ารไดส มาธเิ ห็นปานนน้ั พึงมีแกภิกษุไดอยา งไร.
พระสตุ ตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 14 พ. ดกู อนอานนท ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เปนผูมีความสาํ คญัอยา งน้วี า นัน่ สงบ นน่ั ประณีต คือ ความระงับสังขารทง้ั ปวง ความสละคืนอปุ ธกิ ิเลสท้ังปวง ความสิ้นแหงตัณหา ความปราศจากความกาํ หนัดความดับ นพิ พาน ดังน้ี ดกู อ นอานนท ตนไมพึงมีความสําคญั ในปฐวี-ธาตุวา เปนปฐวธี าตเุ ปน อารมณ ไมพงึ มคี วามสําคัญในอาโปธาตวุ าเปนอาโปธาตเุ ปนอารมณ... ไมพึงมคี วามสําคัญในโลกหนา วาเปน โลกหนาเปน อารมณ กแ็ ตว าพงึ เปน ผมู สี ญั ญา การไดสมาธเิ หน็ ปานนน้ั พงึ มแี กภิกษไุ ดอยา งน้แี ล. จบสมาธสิ ตู รท่ี ๖ ๗. สาริปุตตสตู ร วาดว ยไมพึงสําคัญปฐวีธาตุวาเปนปฐวีธาตุเปนตน [๗] คร้งั นนั้ แล ทา นพระอานนทไ ดเขา ไปหาทานพระสารบี ตุ รถงึทอ่ี ยู ไดปราศรยั กบั ทา นพระสารบี ุตร ครนั้ ผานการปราศรัยพอใหระลึกถงึกันไปแลว นัง่ ณ ทค่ี วรสว นขา งหนง่ึ คร้ันแลว ไดถ ามทา นพระสารบี ตุ รวาดูกอนทานสารบี ุตรผมู อี ายุ ตนไมพงึ มคี วามสําคญั ในปฐวธี าตวุ าเปนปฐวีธาตเุ ปนอารมณ ไมพ ึงมีความสําคัญในอาโปธาตวุ าเปน อาโปธาตุเปนอารมณ... ไมพ งึ มคี วามสําคัญในโลกหนา วา เปนโลกหนาเปน อารมณก็แตว าพงึ เปน ผูมสี ัญญา การไดสมาธิเห็นปานนน้ั พึงมีแกภ กิ ษหุ รือหนอ. ทานพระสารีบุตรกลาววา ดกู อ นทา นอานนท ตนไมพ ึงมคี วามสาํ คัญในปฐวีธาตวุ า เปน ปฐวีธาตุเปนอารมณ ฯลฯ ไมพ งึ มคี วามสําคญัในโลกหนา วา เปน โลกหนาเปนอารมณ ก็แตว าพึงเปน ผมู สี ัญญา การได
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 15สมาธเิ หน็ ปานน้ัน พงึ มแี กภกิ ษุ. อา. ดกู อ นทา นสารบี ุตร ตนไมพงึ มีความสาํ คัญในปฐวธี าตุวาเปนปฐวีธาตุเปนอารมณ ฯลฯ ไมพ ึงมคี วามสาํ คัญในโลกหนา วา เปน โลกหนา เปนอารมณ กแ็ ตวา พึงเปน ผูม ีสัญญา กก็ ารไดสมาธิเหน็ ปานนัน้พึงมีแกภกิ ษไุ ดอ ยา งไร สา. ดกู อนทา นอานนท สมัยหนึ่ง ผมอยู ณ ปาอมั ธวัน ใกลพ ระ-นครสาวัตถีนแ้ี หลพ ณ ทนี่ ้นั ผมเขาสมาธิ โดยประการท่ีผมมไิ ดม ีความสําคญั ในปฐวธี าตวุ า เปน ปฐวธี าตุเปน อารมณ มไิ ดม คี วามสาํ คัญในอาโปธาตวุ าเปน อาโปธาตเุ ปนอารมณ มิไดมคี วามสําคญั ในเตโชธาตุวาเปน เตโชธาตุเปนอารมณ มิไดม ีความสาํ คญั ในวาโยธาตวุ าเปน วาโยธาตุเปนอารมณ มิไดม คี วามสาํ คญั ในอากาสัญจายตนฌานวา เปนอากาสา-นัญจายตนฌานเปนอารมณ มไิ ดมคี วามสาํ คญั ในวิญญาณัญจายตนฌานวาเปน วิญญาณัญจายตนฌานเปน อารมณ มไิ ดม คี วามสาํ คญั ในอากิญ-จญั ญายตนฌานวา เปนอากญิ จญั ญายตนฌานเปน อารมณ มิไดมคี วามสําคญั ในเนวสัญญานา สัญญายตนฌานวาเปนเนวสัญญา นาสญั ญายตนฌานเปนอารมณ มิไดม คี วามสําคญั ในโลกน้ีวาเปน โลกน้ีเปนอารมณ มไิ ดม ีความสําคัญในโลกหนา วา เปนโลกหนา เปนอารมณ กแ็ ตว า ผมเปนผูมีสัญญา. อา. กใ็ นสมัยนนั้ ทา นสารีบุตรเปน ผูมสี ัญญาอยา งไร. สา. ดกู อนทานผูม ีอายุ สญั ญาอยางหนง่ึ ยอมเกดิ ขึน้ แกผมวา การดบั ภพเปน นพิ พาน การดบั ภพเปน นพิ พาน ดงั น้แี ล สญั ญาอยางหนงึ่ยอมดบั ไป ดูกอนทานผูมีอายุ เมอ่ื ไฟมีเชอ้ื กําลงั ไหมอยู เปลวอยางหนึ่ง
พระสุตตันตปฎก อังคุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 16ยอมเกดิ ขึ้น เปลวอยา งหนง่ึ ยอ มดับไป แมฉันใด ดูกอ นทานผูม อี ายุสญั ญาอยา งหนึง่ ยอมเกดิ ขนึ้ แกผมวา การดับภพเปนนิพพาน การดบั ภพเปนนพิ พาน ดังนี้ สญั ญาอยา งหนง่ึ ยอมดบั ไป ฉันน้ันเหมือนกันแลดูกอนทา นผมู อี ายุ กแ็ ลในสมัยนัน้ ผมไดมีสัญญาวา การดบั ภพเปนนิพพาน ดงั นี.้ จบสารปิ ุตตสูตรท่ี ๗ ๘. สทั ธาสูตร วาดวยภกิ ษมุ ศี รัทธาเปน ตน ยอมกอใหเ กิดความเลือ่ มใสโดยรอบ [๘] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย ภิกษเุ ปนผมู ีศรทั ธา แตไมมศี ีลอยางน้ีเธอชื่อวา เปนผูไ มบริบูรณดว ยองคน น้ั เธอน้ันพึงบําเพญ็ องคนนั้ ใหบรบิ รู ณด ว ยคิดวา ไฉนหนอ เราพึงเปนผมู ีศรัทธาและศีล ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย เมือ่ ใดแล ภิกษุเปนผมู ีศรทั ธาและศลี เมอื่ น้ัน เธอช่ือวา เปนผูบรบิ ูรณด วยองคนั้น ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษุเปน ผูมีศรทั ธา มศี ลีแตไมเ ปนพหูสตู ฯลฯ เปน พหสู ตู แตไ มเ ปน ธรรมกถกึ ฯลฯ เปนธรรมกถึก แตไมเ ขา สูบ ริษทั ฯลฯ เขาสูบรษิ ทั แตไมแกลว กลาแสดงธรรมแกบรษิ ัท ฯลฯ แกลวกลา แสดงธรรมแกบรษิ ทั แตไ มทรงวินยั ฯลฯทรงวินยั แตไ มอยูปาเปน วตั ร อยใู นเสนาสนะอนั สงดั ฯลฯ อยปู าเปนวตั ร อยูในเสนาสนะอันสงัด แตไมไดตามความปรารถนา ไมไดโ ดยไมย าก ไมไดโดยไมล าํ บาก ซึ่งฌาน ๔ อนั มีในจิตยงิ่ เปนเครือ่ งอยูเปนสขุ ในปจจบุ นั ฯลฯ ไดตามความปรารถนา ไดโดยไมย าก ไดโดยไมลาํ บาก ซึง่ ฌาน ๔ อนั มใี นจิตยง่ิ เปนเครอ่ื งอยูสุขในปจจุบัน แต
พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 17ไมไดทําใหแจงซ่ึงเจโตวมิ ุตติ ปญ ญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทั้งหลายส้ินไป ดวยปญญาอันยิ่งเองในปจจบุ นั เขาถึงอยอู ยางน้ี เธอช่ือวาเปนผไู มบริบูรณดว ยองคน้นั เธอพึงบําเพญ็ องคน้ันใหบริบูรณด วยคดิ วาไฉนหนอเราพงึ เปนผมู ีศรทั ธา มีศลี เปน พหูสูต เปนธรรมกถึก เขาสูบริษทั ได แกลวกลาแสดงธรรมแกบรษิ ทั ทรงวนิ ยั อยปู า เปนวตั ร อยใู นเสนาสนะอันสงัด ไดต ามความปรารถนา ไดโดยไมยาก ไดโดยไมล ําบากซ่ึงฌาน ๔ อนั มีในจิตย่งิ เปน เครื่องอยเู ปนสขุ ในปจจุบนั กระทําใหแ จงซ่งึ เจโตวิมุตติ ปญ ญาวิมุตติ อนั หาอาสวะมิได เพราะอาสวะทง้ั หลายสิน้ ไปดว ยปญ ญาอันย่งิ เองในปจ จบุ ันเขาถึงอยู ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย เม่อื ใดแลภิกษเุ ปนผูม ศี รัทธา มีศีล... กระทําใหแ จงซ่ึงเจโตวมิ ุตติ ปญ ญาวมิ ตุ ติอนั หาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะท้งั หลายสน้ิ ไป ดว ยปญ ญาอันย่ิงเองในปจจบุ นั เขา ถงึ อยู เมื่อนน้ั เธอชือ่ วาเปน ผบู รบิ รู ณด วยองคนน้ั ๆ ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุผูประกอบดว ยธรรม ๑๐ ประการนี้แล ยอ มเปน ผูก อใหเ กดิ ความเลอื่ มใสโดยรอบ และเปน ผบู ริบรู ณดวยอาการทัง้ ปวง. จบสทั ธาสตู รที่ ๘ ๙. สนั ตสตู ร วาดวยภกิ ษผุ ูประกอบดวยธรรม ๑๐ ยอมกอ ใหเ กิดความเลื่อมใสโดยรอบ [๙] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษุเปน ผูมศี รทั ธา แตไ มม ศี ีล เปน ผูมีศีลแตไมเปน พหสู ูต เปนพหสู ูต แตไ มเ ปน ธรรมกถกึ เปน ธรรมกถกึ แตไมเขาสบู รษิ ทั เขาสูบ รษิ ัทได แตไมแกลวกลา แสดงธรรมแกบ ริษทั เปนผู
พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 18แกลว กลาแสดงธรรมแกบรษิ ทั แตไมทรงวินัย ทรงวนิ ัย แตไมอยปู า เปนวัตร อยูใ นเสนาสนะอันสงัด อยปู าเปนวัตร อยูในเสนาสนะอนั สงดั แตไมถูกตองวโิ มกขอันสงบ ไมมีรูป เพราะลวงรูปเสียได ดว ยกายอยู ถูกตอ งวิโมกขอ นั สงบ ไมม รี ูป เพราะลวงรปู เสียได ดวยกายอยู แตไมทําใหแจง ซงึ่ เจโตวิมุตติ ปญ ญาวมิ ตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทั้งหลายสนิ้ ไป ดวยปญ ญาอันยงิ่ เองในปจ จบุ นั เขาถึงอยู อยา งนี้ เธอช่ือวาเปนผไู มบรบิ รู ณดวยองคนั้น เธอพึงบําเพญ็ องคน ั้นใหบรบิ ูรณ ดวยคิดวาไฉนหนอ เราพงึ เปน ผมู ีศรทั ธา มศี ลี . . . กระทาํ ใหแ จงซ่งึ เจโตวิมุตติปญญาวิมตุ ติ อันหาสวะมิได เพราะอาสวะทั้งหลายส้ินไป ดวยปญ ญาอันยิง่ เองในปจ จบุ นั เขา ถึงอยู ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย เม่อื ใดแล ภิกษุเปนผมู ศี รทั ธา มศี ีล . . . ทาํ ใหแ จง ซ่งึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญ ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมิได เพราะอาสวะท้งั หลายสิน้ ไป ดวยปญ ญาอันยิ่งเองในปจจบุ นั เขาถึงอยู เมอ่ื น้นั เธอชอื่ วาเปนผบู รบิ ูรณด วยองคนั้น ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลายภิกษผุ ปู ระกอบดวยธรรม ๑๐ ประการนแี้ ล ยอ มเปน ผกู อ ใหเ กิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเปน ผบู รบิ รู ณดวยอาการทั้งปวง. จบสันตสูตรที่ ๙ อรรถถาสนั ตสูตรท่ี ๙ สนั ตสตู รท่ี ๙ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้. บทวา สนฺตา ไดแ ก สงบ เพราะมีอารมณสงบบาง เพราะมีองคส งบบาง ท่ีไดชอื่ อยา งนว้ี า วโิ มกข ก็เพราะพน ไปจากธรรมที่เปนขา ศกึ และเพราะเหตุหลดุ พน ดวยดี โดยปราศจากสงสัยในอารมณ. บทวา
พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 19อตกิ กฺ มฺม รเู ป ไดแก ลว งรูปฌานเปนไป. คาํ ทเ่ี หลือในทีท่ ุกแหง มีความงายทง้ั นน้ั แล. จบอรรถกถาสนั ตสูตรท่ี ๙ จบอานสิ งั สวรรคที่ ๑ ๑๐. วชิ ชยสูตร๑ วาดวยภกิ ษผุ ปู ระกอบดว ยธรรม ๑๐ ยอมกอ ใหเ กิดความเลือ่ มใสโดยรอบ [๑๐] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษุเปนผูมศี รัทธา แตไมมศี ลี อยา งนี้เธอช่ือวาเปนผูไ มบ รบิ รู ณด ว ยองคน ัน้ เธอพงึ บําเพ็ญองคนนั้ ใหบ รบิ ูรณดวยคิดวา ไฉนหนอ เราพึงเปนผมู ศี รัทธา มีศีล ดูกอนภิกษุทัง้ หลายเมอื่ ใดแล ภิกษุเปน ผมู ีศรทั ธา มศี ีล เมอื่ นน้ั เธอช่อื วา เปนผบู ริบรู ณดว ยองคน ั้น ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษเุ ปน ผมู ศี รทั ธา มีศีล แตไมเ ปนพหูสูต ฯลฯ เปนพหสู ูต แตไมเ ปน ธรรมกถกึ ฯลฯ เปน ธรรมกถึกแตไ มเขาสูบริษทั ฯลฯ เขาสบู ริษัท แตไ มแ กลวกลาแสดงธรรมแกบริษทั ฯลฯ แกลว กลาแสดงธรรมแกบ ริษัท แตไมท รงวนิ ัย ฯลฯทรงวินยั แตร ะลกึ ไมไดถงึ ชาติกอนเปนอันมาก คือระลึกไมไดถ งึ ชาติหนึง่ บาง สองชาติบา ง สามชาตบิ าง สี่ชาติบาง หาชาติบาง สบิ ชาตบิ า งสบิ ชาตบิ า ง สามสบิ ชาติ สี่สบิ ชาติบาง หา สิบชาติบา ง รอ ยชาตบิ า งพนั ชาตบิ า ง แสนชาตบิ าง ตลอดสังวัฏกปั เปนอนั มากบา ง ตลอดวิวัฏ-กปั เปนอนั มากบาง ตลอดสังวัฏวิวัฏกปั เปน อนั มากบางวา ในภพโนนเรามีช่ืออยางน้นั มีโคตรอยางนั้น มผี วิ พรรณอยา งน้นั มอี าหารอยา ง๑. สูตรที่ ๑๐ ไมมอี รรถกถาอธิบาย.
พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 20นั้น เสวยสุขเสวยทุกขอยา งนน้ั ๆ มีกําหนดอายเุ พยี งเทา นน้ั ครั้นจุตจิ ากภพน้นั แลว ไดไ ปเกิดในภพโนน แมในภพนัน้ เรากไ็ ดมชี ื่ออยางนนั้ มีโคตรอยางนัน้ มีผิวพรรณอยา งน้นั มีอาหารอยางนั้น เสวยสขุเสวยทกุ ขอ ยางนน้ั ๆ มกี าํ หนดอายเุ พียงทา น้ัน คร้นั จุติจากภพนั้นแลวไดมาเกิดในภพน้ี เธอยอมระลึกไมไ ดถงึ ชาติกอ นเปนอนั มาก พรอมทง้ัอาการ พรอ มทัง้ อุเทศ ดว ยประการฉะนี้ ระลกึ ถึงชาตกิ อนไดเปนอันมากคือ ระลึกไดชาตหิ นึง่ บาง สองชาตบิ าง ฯลฯ เธอยอมระลกึ ถงึ ชาติกอนไดเ ปนอนั มาก พรอ มทงั้ อาการ พรอ มท้ังอุเทศ. ดว ยประการฉะนี้ แตไมเหน็ หมสู ัตวท ก่ี ําลงั จตุ ิ กาํ ลงั อปุ บัติ เลว ประณีต มผี ิวพรรณดีมผี วิ พรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดวยทพิ ยจักษอุ นั บรสิ ุทธิ์ ลวงจกั ษขุ องมนษุ ย ไมรชู ัดซ่งึ หมสู ตั วผเู ปน ไปตามกรรมวา สตั วเ หลานป้ี ระกอบดว ยกายทจุ รติ วจีทุจริต มโนทจุ ริต ติเตียนพระอริยเจา เปน มิจฉาทฏิ ฐิยึดถอื การกระทําดว ยอํานาจมจิ ฉาทิฏฐิ เม่อื ตายไปเขาเขา ถงึ อบาย ทุคติวินิบาต นรก สว นสัตวเหลา นี้ ประกอบดวยกายสจุ รติ วจสี ุจรติ มโน-สจุ รติ ไมตเิ ตยี นพระอรยิ เจา เปน สัมมาทฏิ ฐิ ยึดถือการกระทําดว ยอํานาจสัมมาทฏิ ฐิ เมื่อตายไปเขาเขา ถึงสุคตโิ ลกสวรรค ดังนี้ ไมเหน็ หมูสัตวก ําลงัจุติ กําลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผวิ พรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดด ีตกยาก ดว ยทพิ ยจกั ษอุ นั บรสิ ุทธ์ิ ลวงจักษขุ องมนุษย ไมร ูช ัดซ่งึ หมสู ัตวผเู ปน ไปตามกรรม ดว ยประการฉะน้ี เห็นหมสู ัตวท่กี าํ ลงั จุติ กําลังอปุ บัติ เลว ประณตี มีผวิ พรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดดี ตกยากดวยทพิ ยจักษุอันบรสิ ุทธิ์ ลว งจกั ษุของมนษุ ย ฯลฯ ยอมรชู ัดซง่ึ หมสู ตั วผเู ปน ไปตามกรรม ดวยประการฉะนี้ แตไ มท าํ ใหแจง ซ่งึ เจโตวมิ ตุ ติ
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 21ปญ ญาวมิ ตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทงั้ หลายสน้ิ ไป ดวยปญ ญาอนั ยิง่ เองในปจจุบัน เขา ถึงอยู อยางน้ี เธอวา เปน ผไู มบ ริบรู ณด ว ยองคนั้น เธอพึงบาํ เพญ็ องคน ั้นใหบริบรู ณ ดว ยคิดวา ไฉนหนอ เราพงึ เปนผมู ศี รัทธา มีศีลเปนพหูสตู เปนธรรมกถึก เขา สบู รษิ ัท แกลว กลาแสดงธรรมแกบ รษิ ัท ทรงวนิ ัย ระลึกถึงชาตกิ อนไดเปนอนั มาก คอืระลกึ ไดหนง่ึ ชาตบิ า ง ฯลฯ ระลึกถึงชาติกอ นไดเปนอนั มาก พรอมท้งัอาการ พรอมท้ังอุเทศ ดวยประการฉะนี้ เห็นหมสู ัตวท กี่ ําลังจตุ ิ กาํ ลังอปุ บัติ เลว ประณตี มผี ิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวยทิพยจกั ษุอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ลวงจักษขุ องมนุษย ฯลฯ รูชัดซึ่งหมสู ัตวผเู ปน ไปตามกรรม ดว ยประการฉะนี้ กระทาํ ใหแจง ซึง่ เจโตวมิ ุตติ ปญ ญาวิมตุ ติอันหาอาสวะมิได เพราะอาสวะทง้ั หลายส้ินไป ดวยปญ ญาอนั ยิง่ เองในปจจบุ ัน เขา ถงึ อยู ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย เมอื่ ใดแล ภิกษุเปนผูม ศี รัทธามศี ีล เปนพหูสตู เปน ธรรมกถกึ เขาสูบรษิ ัท แกลว กลาแสดงธรรมแกบ รษิ ทั ทรงวนิ ยั ระลึกถึงชาติกอ นไดเ ปนดนั มาก คือ ระลึกไดช าติหน่ึงบาง สองชาตบิ า ง ฯลฯ ระลึกถึงชาตกิ อนไดเปน อนั มาก พรอมทงั้ อาการ พรอมทั้งอุเทศ ดว ยประการฉะนี้ เห็นหมสู ตั วทกี่ ําลังจตุ ิกาํ ลังอุปบัติ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดด ีตกยาก ดว ยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ลว งซงึ่ จักษุของมนษุ ย ฯลฯ รูชดั ซ่งึหมสู ัตวผ เู ปนไปตามกรรม ดวยประการฉะน้ี กระทาํ ใหแ จง ซึ่งเจโตวมิ ตุ ติปญ ญาวิมตุ ติอันหาอาสวะมิได เพราะอาสวะทั้งหลายสิน้ ไป ดว ยปญ ญาอันย่งิ เองในปจจบุ ัน เขา พงึ อยู เมอ่ื นัน้ เธอชื่อวาเปน ผสู มบูรณด ว ยองคน้ันดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภิกษผุ ูประกอบดว ยธรรม ๑๐ ประการนแี้ ล ยอมเปน
พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 22ผูกอ ใหค วามเสือ่ มใสโดยรอบ และเปน ผบู รบิ รู ณด วยอาการทั้งปวง. จบวชิ ชยสูตรที่ ๑๐ จบอานิสังสสูตรที่ ๑ รวมพระสตู รท่มี ใี นวรรคนี้ คอื ๑. กิมัตถิยสตู ร ๒. เจตนาสตู ร ๓. สลี สตู ร ๔. อุปนิสาสตู ร๕. อานนั ทสตู ร ๖. สมาธิสตู ร ๗. สารปิ ตุ ตสตู ร ๘. สทั ธาสตู ร๙. สันตสูตร ๑๐. วชิ ชยสูตร.
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาที่ 23 นาถกรณวรรคที่ ๒ ๑. เสนาสนสตู รวา ดว ยภิกษผุ ูป ระกอบดวยองค ๕ เสพเสนาสนะประกอบดว ยองค ๕ พงึ สิน้ อาสวะในเวลาไมน าน [๑๑] ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุผปู ระกอบดว ยองค ๕ เสพอยูคบอยูซ่ึงเสนาสนะอนั ประกอบดว ยองค ๕ ไมน านนัก พึงทาํ ใหแ จง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปญญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมิได เพราะอาสวะท้ังหลายสน้ิ ไปดวยปญ ญาอนั ยิง่ เองในปจ จบุ นั เขา ถงึ อยู ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย กภ็ กิ ษุผูประกอบดวยองค ๕ อยางไร. ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เปน ผูมีศรัทธาคือ เชอื่ พระปญ ญาตรสั รูข องตถาคตวา แมเ พราะเหตนุ ี้ ๆ พระผมู ี-พระภาคเจา พระองคนนั้ เปน พระอรหนั ต ตรสั รูเ องโดยชอบ ทรงถงึพรอ มดว ยวิชชาและจรณะ เสดจ็ ไปดแี ลว ทรงรแู จงโลก ทรงเปน สารถีฝก บุรษุ ทีค่ วรฝก ไมมีผูอ นื่ ยง่ิ กวา เปน ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยทัง้ หลาย เปนผูเบิกบานแลว เปน ผจู าํ แนกธรรม ๑ เปนผูมีอาพาธนอ ยมโี รคเบาบาง ประกอบดวยไฟธาตุสําหรับยอยอาหารสม่ําเสมอ ไมเย็นจัดไมร อนจดั เปนปานกลาง ควรแกการบําเพญ็ เพียร ๑ เปนผไู มโ ออ วดไมม มี ารยา ทําตนใหเ ปด เผยตามความเปน จริง ในศาสดาหรือในเพือ่ นพรหมจรรย เปนวิญู ๑ ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพ่อื ยังกศุ ลธรรมใหถ ึงพรอ ม เปนผมู กี าํ ลงั มคี วามบากบ่นั มน่ั คง ไมทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ๑ เปน ผูมีปญญา คือ ประกอบดว ยปญ ญาที่เห็นความเกิดและความดับ เปน อรยิ ะ เปน เคร่อื งชาํ แรกกเิ ลสใหถ งึ ความส้ิน
พระสตุ ตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 24ทกุ ขโดยชอบ ๑ ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษุช่ือวาเปนผปู ระกอบดวยองค ๕ อยางนแี้ ล. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เสนาสนะอนั ประกอบดวยองค ๕ อยา งไร.ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เสนาสนะในธรรมวินยั น้ี อยไู มไกลนกั ไมใ กลนักสมบรู ณดวยทางไปมา กลางวันไมเ กล่อื นกลน กลางคืนเงยี บเสียงปราศจากเสียงอึกทกึ มเี หลอื บ ยุง ลม แดด และสมั ผัสแหงสัตวเ ล้ือยคลานนอย ๑ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั บรขิ ารอันเปน ปจ จัยแหงคนไข ยอมเกิดขึ้นโดยไมฝดเคอื งแกภ กิ ษุผูอ ยใู นเสนาสนะนน้ั ๑ภิกษุทัง้ หลายผเู ปน พระเถระ เปน พหูสตู ชํานาญคัมภีร ทรงธรรมทรงวินยั ทรงมาตกิ า อยูใ นเสนาสนะนนั้ ๑ ภกิ ษนุ ้นั เขา ไปหาพระเถระเหลานนั้ ตามกาลอนั สมควร แลวยอ มสอบถาม ไดถามวา ขา แตท า นผูเจรญิ ขอน้ีเปน อยางไร เน้ือความของขอ นเ้ี ปน อยา งไร ๑ ทา นพระเถระเหลา นน้ั ยอ มเปด เผยขอ ทยี่ งั ไมไ ดเปดเผย ยอมทําใหง า ยซง่ึ ขอทย่ี งั ไมไ ดทําใหงา ย ยอ มบรรเทาความสงสัยในธรรมเปนทีต่ ้งั แหง ความสงสัยแกภิกษุน้นั ๑ ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย เสนาสนะอนั ประกอบดวยองค ๕ อยางนี้แล. ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ภกิ ษุผปู ระกอบดวยองค ๕ เสพอยู คบอยูซง่ึ เสนาสนะอนั ประกอบดว ยองค ๕ ไมนานนัก กพ็ งึ ทาํ ใหแจงซงึ่ เจโต-วมิ ุตติ ปญ ญาวมิ ุตติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะท้งั หลายส้ินไป ดวยปญญาอนั ยง่ิ เองในปจ จุบันเขา ถึงอยู. จบเสนาสนสูตรท่ี ๑
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 25 นาถกรณวรรคที่ ๒ อรรถกถาเสนาสนสตู รท่ี ๑ วรรคที่ ๒ เสนาสนสูตรท่ี ๑ พงึ ทราบวินจิ ฉัยดังตอ ไปน.้ี บทวา ปจฺ งฺคสมนนฺ าคโต ไดแก ผูประกอบดว ยองคคุณ ๕.บทวา นาติทรู โหติ นาจฺจาสนฺน ความวา สถานทแี่ หงใดไกลเกินไปภิกษเุ ท่ยี วบิณฑบาตไปในสถานทแ่ี หง นั้น กม็ คี วามลําบากกายและจติ เธอกท็ าํ สมาธทิ ่ยี ังไมเกิดใหเ กดิ ไมไ ด หรือทาํ สมาธิท่เี กิดแลวใหมน่ั คงไมไ ดสถานท่ใี กลเกินไปก็เกลือ่ นกลนดว ยคนเปน อนั มาก. ก็แลสถานทีพ่ น จากโทษทัง้ สองน้ัน ในประเทศประมาณ ๔๐ อุสภะ ก็ช่ือวา ถงึ พรอ มดวยการคมนาคม. บทวา ทิวา อปปฺ กณิ ฺณ ไดแ ก ไมเกลอื่ นกลนดวยคนเปนอันมาก ในเวลากลางวัน. จบอรรถกถาเสนาสนสตู รท่ี ๑ ๒. อังคสูตร วาดวยภกิ ษผุ ลู ะองค ๕ ประกอบดว ยองค ๕ เปน อดุ มบรุ ุษ [๑๒] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษุผลู ะองค ๕ ไดแลว เปน ผูประกอบดวยองค ๕ บัณฑิตเรียกวา ผปู ระกอบคุณท้งั มวล ผูอยจู บพรหมจรรย เปน อดุ มบุรษุ ในธรรมวนิ ยั นี.้ ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ภกิ ษุเปนผลู ะองค ๕ ไดแลวอยางไร. ภกิ ษใุ นธรรมวินัยน้ี เปน ผลู ะกาม-ฉันทะไดแลว ๑ ละพยาบาทไดแลว ๑ ละถีนมิทธะไดแ ลว ๑ ละอทุ -ธัจจกกุ กจุ จะไดแลว ๑ ละวิจิกิจฉาไดแลว ๑ ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษุละองค ๕ ไดแลว อยางนี้แล. ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษุเปน ผปู ระกอบ
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 26ดว ยองค ๕ อยางไร. ภกิ ษใุ นธรรมวินัยน้ี เปนผปู ระกอบดว ยศลี ขนั ธอนั เปนของพระอเสขบุคคล ๑ ประกอบดว ยสมาธิขันธอ ันเปนของพระ-อเสขบคุ คล ๑ ประกอบดวยปญ ญาขนั ธอ ันเปนของพระอเสขบุคคล ๑ประกอบดว ยวิมุตติขนั ธอนั เปน ของพระอเสขบคุ คล ๑ ประกอบดวยวิมุตติ-ญาณทสั สนขันธอ ันเปน ของพระอเสขบคุ คล ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ภิกษุเปนผูประกอบดว ยองค ๕ อยา งน้ีแล. ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย ภกิ ษผุ ูละองค ๕ ไดแ ลว ผูป ระกอบดว ยองค ๕ บณั ฑิตเรยี กวา ผปู ระกอบดว ยคุณทัง้ มวล ผอู ยจู บพรหมจรรย เปน อดุ มบรุ ษุ ในธรรมวินัยน.้ี กามฉนั ทะ พยาบาท ถนี มิทธะ อุทธัจจกกุ กุจจะ และวจิ กิ จิ ฉา ยอมไมมีแกภ กิ ษุโดยประการทั้งปวง เทียว ภกิ ษุผูเชน นน้ั สมบูรณด ว ยศลี อันเปน ของพระ- อเสขะ ดว ยสมาธิอนั เปนของพระอเสขะ ดว ยปญ ญา อันเปนของพระอเสขะ ดว ยวมิ ตุ ตอิ ันเปนของพระ- อเสขะ และดวยวมิ ุตตญิ าณทสั สนะ อนั เปนของพระ- อเสขะ ภิกษนุ น้ั แล เปน ผูละองค ๕ สมบูรณแลว ดวยองค ๕ ภิกษนุ ้ันแล บัณฑติ เรยี กวา ผปู ระกอบ ดว ยคุณทัง้ มวลในธรรมวนิ ยั น.้ี จบองั คสตู รที่ ๒ อรรถกถาองั คสตู รที่ ๒ อังคสตู รที่ ๒ พึงทราบวนิ ิจฉยั ดงั ตอ ไปน้ี. บทวา เกวลี ไดแ ก ผูป ระกอบดว ยคณุ หมดทง้ั สนิ้ . บทวา วสุ ติ วาแปลวา ผอู ยจู บพรหมจรรยแ ลว. บทวา อเสกฺเขน ไดแก โลกุตรธรรม
พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 27ทีน่ บั เนื่องในอเสกขธรรม. บทวา สลี กฺขนฺเธน แปลวา ดวยกองศลี .ในบทวา วิมตุ ตฺ กิ ฺขเฺ ธน นี้ เวนศีลเปนตนเสยี ผลธรรมท่ีเหลือท้ัง ๓ชือ่ วาวมิ ตุ ต.ิ วิมุตติญาณทสั สนะ ช่อื วา ปจ จเวกขณญาณ ปจ จจเวกขณ-ญาณนั้น เปน โลกียะอยา งเดียว. จบอรรถกถาอังคสตู รที่ ๒ ๓. สังโยชนสูตร วาดวยสังโยชน ๑๐ ประการ [๑๓] ดูกอนภกิ ษุทง้ั เหลา สงั โยชน ๑๐ ประการน้ี ๑๐ ประการเปน ไฉน คือ สงั โยชนเปนไปในสวนเบอ้ื งตาํ่ ๕ ประการ สงั โยชนเปนไปในสวนเบ้อื งบน ๕ ประการ สังโยชนเปน ไปในสว นเบอื้ งตา่ํ ๕ ประการเปนไฉน คือ สกั กายทฏิ ฐิ ๑ วิจกิ ิจฉา ๑ สลี พัตตปรามาส ๑ กามฉนั ทะ ๑พยาบาท ๑ สงั โยชนเปน ไปในสวนเบื้องต่ํา ๕ ประการน้.ี สังโยชนเ ปนไปในสวนเบ้ืองบน ๕ ประการเปนไฉน คือ รปู ราคะ ๑ อรปู ราคะ ๑มานะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อวชิ ชา ๑ สังโยชนเปนไปในสวนเบื้องบน๕ ประการนี้. ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย สงั โยชน ๑๐ ประการนแ้ี ล. จบสงั โยชนสตู รท่ี ๓ อรรถกถาสงั โยชนสตู รท่ี ๓ สงั โยชนสูตรท่ี ๓ พึงทราบวินิจฉยั ดงั ตอไปน.้ี บทวา โอรมฺภาคยิ านิ แปลวา เปนสวนเบือ้ งตา่ํ . บทวา อุทฺธมภฺ า-คิยานิ แปลวา เปนสว นเบอ้ื งบน. ในสูตรน้ี ทา นกลา ววฏั ฏะอยา งเดยี ว. จบอรรถกถาสงั โยชนสตู รท่ี ๓
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 28 ๔. ขีลสูตร วา ดวยตะปตู รงึ ใจ ๕ เครื่องผกู พนั ใจ ๕ ประการ [๑๔] ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ตะปูตรงึ ใจ ๕ ประการ อันบคุ คลผูใดผหู น่ึงเปนภิกษุหรอื ภกิ ษณุ ีก็ตาม ยังละไมไดแ ลว เคร่ืองผกู พนั ใจ ๕ ประ-การ อันบคุ คลผใู ดผูหนง่ึ เปนภิกษหุ รือภิกษุณีกต็ าม ยังตดั ไมขาดแลวกลางคืนหรอื กลางวันทผ่ี า นมาถึงบุคคลน้ัน บคุ คลน้นั พงึ หวงั ความเส่อื มอยางเดยี วในกศุ ลธรรมท้งั หลายไมม คี วามเจรญิ เลย ตะปตู รึงใจ ๕ ประการทีบ่ คุ คลนัน้ ยังละไมไดแลว เปนไฉน. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษุในธรรม-วนิ ยั นี้ ยอมเคลอื บแคลงสงสัย ไมน อมใจเชอื่ ไมเ ลอื่ มใสในศาสดาจิตของภกิ ษุน้ัน ยอ มไมนอ มไปเพอ่ื ความเพยี ร เพอ่ื ประกอบเนือง ๆเพอ่ื การกระทาํ ติดตอ เพอื่ บําเพญ็ เพยี ร ตะปตู รงึ ใจประการท่ี ๑ น้ีอนั ภกิ ษุผมู จี ติ ไมน อมไปเพอื่ ความเพียร เพ่อื ประกอบเนือง ๆ เพอ่ื กระทําตดิ ตอ เพือ่ บาํ เพ็ญเพยี ร ยงั ละไมไ ดแ ลว ดวยประการฉะน.ี้ อีกประการหน่งึ ภิกษุยอมเคลอื บแคลงสงสัย ไมน อ มใจเชอื่ ไมเลอื่ มใสในพระธรรม ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย จติ ของภกิ ษุนน้ั ยอ มไมน อ มไปเพอื่ ความเพียร เพอ่ื ประกอบเนอื ง ๆ เพื่อการทําติดตอ เพือ่ บาํ เพ็ญเพียร ตะปูตรึงใจประการท่ี ๒ นี้ อันภกิ ษผุ ูม จี ติ ไมนอมไปเพือ่ ความเพียรเพ่อื ประกอบเนือง ๆ เพ่อื บําเพ็ญเพียร ยงั ละไมไ ดแลว ดว ยประการฉะนี้. อกี ประการหนึ่ง ภิกษุยอ มเคลือบแคลงสงสัย ไมนอมใจเชือ่ ไมเลอื่ มใสในพระสงฆ ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย จติ ของภกิ ษนุ ้ัน ยอ มไมน อ มไปเพื่อความเพียร เพื่อประกอบเนอื ง ๆ เพ่ือกระทําตดิ ตอ เพ่อื บาํ เพญ็เพียร ตะปูตรึงใจประการท่ี ๓ นี้ อันภิกษผุ ูท่ีมจี ิตนอมไปเพอื่ ความเพยี ร
พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 29เพอ่ื ประกอบเนอื ง ๆ เพ่ือกระทําติดตอ เพ่อื บาํ เพญ็ เพยี ร ยงั ละไมไดแลวดวยประการฉะน้.ี อกี ประการหน่งึ ภกิ ษยุ อมเคลือบแคลงสงสยั ไมนอ มใจเชือ่ ไมเลื่อมใสในสิกขา ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย จิตของภกิ ษุน้ัน ยอ มไมน อ มไปเพ่ือความเพียร เพอ่ื ประกอบเนือง ๆ เพ่อื กระทาํ ตดิ ตอ เพือ่ บําเพ็ญเพียรตะปตู รึงใจประการท่ี ๔ น้ี อันภิกษุผมู จี ิตไมน อ มไปเพอื่ ความเพียรเพอ่ื ประกอบเนือง ๆ เพื่อกระทําติดตอ เพื่อบาํ เพ็ญเพียร ยังละไมไดแลวดวยประการอยา งน.้ี อีกประการหนึง่ ภกิ ษยุ อมโกรธ ไมพอใจ มจี ิตอันโทสะประทุษรา ยมีจติ กระดา ง ในเพือ่ นพรหมจรรยท ้งั หลาย ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย จิตของภกิ ษุนัน้ ยอ มไมนอ มไปเพอื่ ความเพยี ร เพ่ือประกอบเนอื ง ๆ เพอื่ กระทาํตดิ ตอ เพ่ือบําเพญ็ เพียร ตะปตู รึงใจประการท่ี ๕ นี้ อนั ภิกษุผูมีจิตไมนอมไปเพอื่ ความเพียร เพือ่ ประกอบเนือง ๆ เพือ่ กระทําตดิ ตอ เพอื่ บําเพ็ญเพียร ยังละไมไดแลว ดว ยประการอยา งน้ี ตะปตู รึงใจ ๕ ประการน้ีอนั บุคคลนั้นยังละไมไดแ ลว. เครอ่ื งผูกพันใจ ๕ ประการ อันบุคคลนนั้ ยงั ตัดไมขาดแลวเปน ไฉนดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี เปน ผูย ังไมปราศจากความกําหนัด ไมป ราศจากความพอใจ ไมป ราศจากความรกั ไมปราศจากความกระหาย ไมปราศจากความเรา รอ น ไมปราศจากความอยาก ในกามทั้งหลาย จติ ของภิกษุน้นั ยอมไมนอ มไปเพือ่ ความเพียร เพ่อื ประ-กอบเนือง ๆ เพือ่ กระทาํ ติดตอ เพือ่ บาํ เพ็ญเพยี ร เครื่องผกู พนั ใจประการท่ี ๑ น้ี อันภิกษผุ มู ีจติ ไมน อมไปเพอื่ ความเพียร เพื่อประกอบ
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 30เนือง ๆ เพื่อกระทําตดิ ตอ เพื่อบําเพ็ญเพยี ร ยงั ตดิ ไมขาดแลว ดว ยประการอยางน้ี. อีกประการหนึง่ ภิกษุผูย งั ไมปราศจากความกาํ หนัด ไมปราศจากความพอใจ ไมป ราศจากความรกั ไมปราศจากความกระหาย ไมปราศจากความเรา รอ น ไมปราศจากความอยาก ในกาย ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั -หลายจิตของภกิ ษนุ น้ั ยอ มไมนอมไปเพอื่ ความเพียร เพือ่ ประกอบเนืองๆเพ่ือกระทําติดตอ เพ่อื บาํ เพญ็ เพยี ร เครอ่ื งผูกพนั ใจประการท่ี ๒ นี้ อันภิกษุผูม จี ิตไมน อมไปเพื่อความเพียร เพ่ือประกอบเนอื ง ๆ เพอ่ื บําเพ็ญเพียร ยงั ตัดไมข าดแลว ดว ยประการอยางน้.ี อกี ประการหนึง่ ภกิ ษยุ ังเปนผูไ มปราศจากความกําหนัด ไมปราศ-จากความพอใจ ไมป ราศจากความรัก ไมป ราศจากความกระหาย ไมปราศจากความเรา รอน ไมป ราศจากความอยาก ในรูป จติ ของภิกษุน้ันยอ มไมนอมไปเพอื่ ความเพยี ร เพ่อื ประกอบเนือง ๆ เพือ่ กระทําตดิ ตอเพอื่ บาํ เพญ็ เพียร เครอ่ื งผูกพนั ใจประการที่ ๓ น้ี อันภิกษผุ ูม ีจิตไมนอ มไปเพอื่ ความเพยี ร เพ่อื ประกอบเนอื ง ๆ เพอ่ื กระทาํ ตดิ ตอ เพอื่ บําเพญ็เพยี ร ยังตัดไมขาดแลว ดว ยประการอยา งน.ี้ อีกประการหน่ึง ภิกษุฉนั อาหารเต็มทอ งตามตองการแลว ยอ มประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการหลับอยู จติ ของภกิ ษุนนั้ยอมไมนอ มไปเพอื่ ความเพยี ร เพ่ือประกอบเนอื ง ๆ เพ่อื กระทําตดิ ตอเพือ่ บําเพ็ญเพียร เครอื่ งผกู พันใจประการท่ี ๔ นี้ อนั ภกิ ษผุ ูมจี ิตไมนอมไปเพ่ือความเพยี ร เพ่อื ประกอบเนือง ๆ เพอ่ื กระทําติดตอ เพอื่บําเพ็ญเพียร ยงั ตดั ไมข าดแลว ดวยประการอยา งน.้ี
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 31 อีกประการหนงึ่ ภิกษปุ ระพฤติพรหมจรรยด ว ยความปรารถนาเปนเทพนิกายหมูใดหมหู นึง่ วา เราจักเปน เทพเจาหรอื เปนเทพองคใ ดองคห นึง่ดวยศลี พรต ตบะ หรอื พรหมจรรยนี้ จติ ของภกิ ษนุ ้ัน ยอ มไมนอมไปเพื่อความเพยี ร เพ่อื ประกอบเนือง ๆ เพ่ือกระทาํ ตดิ ตอ เพ่อื บําเพญ็ เพยี รเครือ่ งผกู พนั ใจประการที่ ๕ น้ี อันภกิ ษผุ ูมีจิตไมนอ มไปเพอ่ื ความเพียรเพ่อื ประกอบเนอื ง ๆ เพ่อื กระทาํ ติดตอ เพ่อื บาํ เพ็ญเพยี ร ยังตัดไมขาดแลว ดว ยประการอยางน้ี เครือ่ งผกู พนั ใจ ๕ ประการน้ี อนั บคุ คลนั้นยังตัดไมข าดแลว. ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย ตะปูตรงึ ใจ ๕ ประการน้ี อนั บุคคลผใู ดผูหนึ่งเปน ภิกษหุ รือเปน ภิกษุณกี ต็ าม ยงั ละไมไ ดแ ลว เคร่อื งผูกพันใจ ๕ประการนี้ อันบคุ คลผใู ดผูหน่ึงเปนภิกษุหรือภิกษณุ ีกต็ าม ยังตัดไมข าดแลว กลางคนื หรือกลางวนั ทผี่ านมาถงึ บคุ คลนัน้ บุคคลนั้นพงึ หวงัความเสื่อมอยางเดยี วในกุศลธรรมทง้ั หลายไมม ีความเจรญิ เลย ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เปรยี บเหมอื นกลางคนื หรือกลางวนั ทผี่ า นมาถึงพระจนั ทรในกาฬปกษ พระจนั ทรน นั้ ยอมเสอ่ื มไปจากสี ยอมเสื่อมจากมณฑล ยอมเส่อื มจากแสงสวาง ยอ มเสอ่ื มจากความยาวและความกวาง แมฉันใดตะปตู รึงไว ๕ ประการนี้ อันบคุ คลผใู ดผูห น่งึ เปน ภกิ ษุหรอื ภิกษุณกี ็ตามยงั ละไมไ ดแลว เครอื่ งผูกพันใจ ๕ ประการน้ี อนั บคุ คลผใู ดผหู นึง่ เปนภิกษุหรือภิกษณุ ีกต็ าม ยังตัดไมข าดแลว กลางคนื หรอื กลางวนั ท่ีผานมาถงึ บคุ คลนัน้ บุคคลน้ันพึงหวังความเสือ่ มอยา งเดียวในกุศลธรรมทั้งหลายไมมีความเจริญเลย ฉันน้นั เหมือนกันแล. ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ตะปตู รงึ ใจ ๕ ประการ อนั บคุ คลผใู ดผูหน่ึง
พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 32เปนภิกษหุ รือภิกษณุ กี ต็ าม ละไดแ ลว เครอื่ งผูกพันใจ ๕ ประการ อนับุคคลผใู ดผหู น่ึง เปนภกิ ษหุ รอื ภิกษณุ ีก็ตาม ตัดไดขาดแลว กลางคืนหรอื กลางวนั ที่ผานมาถงึ บคุ คลน้นั บคุ คลนน้ั พงึ หวังความเจรญิ อยา งเดียวในกุศลธรรมท้งั หลาย ไมม คี วามเส่ือมเลย. ตะปูตรึงใจ ๕ ประการ ท่บี ุคคลนนั้ ละไดแลว เปน ไฉน ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ภิกษใุ นธรรมวินยั นี้ ยอ มไมเคลอื บแคลงสงสยั ยอ มนอมใจเชอื่ เล่ือมใสพระศาสดา จติ ของภกิ ษุน้ัน ยอ มนอ มไปเพือ่ ความเพียรเพือ่ ประกอบเนือง ๆ เพือ่ กระทําติดตอ เพ่อื บําเพ็ญเพยี ร ตะปูตรึงใจประการท่ี ๑ อนั ภิกษผุ ูม จี ติ นอมไปเพ่ือความเพียร เพอ่ื ประกอบเนือง ๆเพือ่ กระทําติดตอ เพอ่ื บําเพญ็ เพียร ละไดแลว ดว ยประการอยางนี.้ อกี ประการหนง่ึ ภิกษยุ อมไมเ คลอื บแคลง ไมสงสยั ยอ มนอ มใจเช่ือ ยอ มเลอ่ื มใสในพระธรรม ฯลฯ อีกประการหนงึ่ ภิกษุยอ มไมเ คลือบแคลง ไมส งสัย ยอ มนอมใจเชอ่ื ยอมเล่ือมใสในพระสงฆ ฯลฯ อกี ประการหนง่ึ ภิกษยุ อมไมเ คลือบแคลง ไมสงสยั ยอมนอมใจเช่อื ยอ มเลือ่ มใสในสกิ ขา ฯลฯ อกี ประการหน่งึ ภิกษยุ อ มไมโ กรธ พอใจ มจี ติ อันโทสะไมประ-ทษุ ราย มจี ติ ไมก ระดา ง ในเพ่ือนพรหมจรรยทั้งหลาย จติ ของภกิ ษนุ ั้นยอมนอ มไปเพื่อความเพียร เพือ่ ประกอบเนอื ง ๆ เพือ่ กระทาํ ติดตอ เพอ่ืบาํ เพญ็ เพียร ตะปตู รงึ ใจ ๕ ประการน้ี อันภิกษุมีจติ นอ มไปเพ่อื ความเพียร เพ่อื ประกอบเนือง ๆ เพือ่ กระทาํ ตดิ ตอ เพ่ือบาํ เพ็ญเพียร ละได
พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 33แลว ดว ยประการอยางนี้ ตะปูตรึงใจ ๕ ประการน้ี อันบคุ คลน้ันละไดแ ลว . เคร่อื งผูกพันใจ ๕ ประการ อนั บคุ คลน้ันตดั ไดขาดแลว เปนไฉนดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ี เปน ผปู ราศจากความกําหนดัปราศจากความพอใจ ปราศจากควานรัก ปราศจากความกระหาย ปราศ-จากความเรารอน ปราศจากความอยาก ในกามทงั้ หลาย ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย จติ ของภกิ ษุนัน้ ยอมนอ มไปเพ่ือความเพยี ร เพอ่ื ประกอบเนือง ๆ เพอ่ื กระทําตดิ ตอ เพือ่ บาํ เพญ็ เพยี ร เคร่อื งผกู พนั ใจประการที่ ๑ น้ี อนั ภกิ ษุผมู ีจติ นอ มไปเพื่อความเพยี ร เพือ่ ประกอบเนอื ง ๆ เพ่อืกระทําตดิ ตอ เพื่อบําเพญ็ เพยี ร ตัดไดข าดแลว ดว ยประการฉะน้.ี อีกประการหน่งึ ภิกษเุ ปนผปู ราศจากความกาํ หนดั ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเรารอนปราศจากความอยาก ในกาย ฯลฯ อกี ประการหนึง่ ภกิ ษุเปน ผูปราศจากความกาํ หนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเรารอนปราศจากความอยาก ในรูป ฯลฯ อกี ประการหน่ึง ภกิ ษฉุ ันอาหารเตม็ ทอ งตามตอ งการแลว ไมประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเลน ความสขุ ในการหลบัอยู ฯลฯ อกี ประการหนึ่ง ภิกษุไมป ระพฤตพิ รหมจรรยด วยความปรารถนาเปนเทพนิกายหมใู ดหมูห นงึ่ วา เราจักเปนเทพเจา หรอื เทพองคใดองคหนึ่งดว ยศลี พรต ตบะ หรอื พรหมจรรยน ้ี จิตของภกิ ษุนัน้ ยอมนอมไป
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาที่ 34เพอ่ื ความเพยี ร เพ่ือประกอบเนอื ง ๆ เพ่ือกระทําตดิ ตอ เพอ่ื บาํ เพญ็ เพียรเครอื่ งผกู พนั ใจประการที่ ๕ นี้ อนั ภิกษผุ มู จี ิตนอ มไปเพือ่ ความเพียรเพอื่ ประกอบเนอื ง ๆ เพื่อกระทาํ ติดตอ เพอื่ บาํ เพ็ญเพียร ตัดไดข าดแลวดวยประการอยา งน้ี เครอ่ื งผกู พนั ใจ ๕ ประการนี้ อันบุคคลน้ันตดั ไดขาดแลว . ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ตะปูตรงึ ใจ ๕ ประการนี้ อันบคุ คลผูใดผหู นง่ึเปนภิกษุหรือเปนภิกษณุ ีกต็ าม ละไดแลว เครอ่ื งผกู พันใจ ๕ ประการนี้ อันบุคคลผใู ดผหู น่ึง เปนภกิ ษุหรือภกิ ษณุ กี ็ตาม ตัดไดข าดแลวกลางคืนหรือกลางวันท่ีผา นมาถึงบุคคลนั้น บคุ คลน้นั พึงหวงั ความเจริญอยา งเดยี วในกศุ ลธรรมทง้ั หลายไมมีความเสื่อมเลย ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลายเปรยี บเหมอื นกลางคนื หรอื กลางวนั ท่ีผานมาถึงพระจนั ทร ในชณุ หปก ษพระจนั ทรน นั้ ยอมเจรญิ ดว ยสี ยอ มเจรญิ ดว ยมณฑล ยอ มเจรญิ ดวยแสงสวา ง ยอมเจรญิ ดว ยสวนยาวและสว นกวาง แมฉันใด ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลายตะปูตรงึ ใจ ๕ ประการน้ี อันบุคคลผใู ดผูหน่ึง เปนภิกษหุ รือเปน ภกิ ษุณีกต็ าม ละไดแ ลว เครอ่ื งผูกพนั ใจ ๕ ประการนี้ อันบุคคลผูใดผหู น่งึเปน ภกิ ษหุ รือภิกษุณีก็ตาม ตัดไดขาดแลว กลางคืนหรอื กลางวนั ที่ผา นมาถงึ บคุ คลนัน้ บคุ คลนั้นพึงหวังความเจริญอยา งเดียวในกศุ ลธรรมท้งั หลายไมมีความเสอ่ื มเลย ฉนั นัน้ เหมือนกันแล. จบขลี สตู รที่ ๔ อรรถกถาขลี สูตรที่ ๔ ขลี สูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังตอไปน.ี้
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 35 กิเลสเครอื่ งตรึงจิตดจุ ตะปู กลา วไวพิสดารแลวในปญ จกนบิ าต.บทวา อาโรหปริณาเหน ไดแก โดยสว นสงู และกวาง จบอรรถกถาขลี สตู รที่ ๔ ๕. อัปปมาทสูตร วา ดวยความไมประมาทเปนยอดของกุศลธรรมทง้ั หมด [๑๕] ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย สัตวทัง้ หลายมปี ระมาณเทา ใด ไมมเี ทากด็ ี ๒ เทากด็ ี ๔ เทาก็ดี มเี ทา มากก็ดี มีรูปกด็ ี ไมม รี ูปกด็ ี มสี ญั ญากด็ ี ไมมสี ญั ญาก็ดี มสี ญั ญากไ็ มใช ไมมีสัญญาก็ไมใ ชกด็ ี พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา บัณฑติ กลา ววา เปน ยอดของสัตวเหลา นนั้ ฉันใดดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย กศุ ลธรรมเหลาใดเหลา หนึ่ง ก็ฉนั น้ันเหมอื นกันแลกุศลธรรมเหลานนั้ ท้ังหมด มคี วามไมประมาทเปนมูล ประชุมลงในความไมป ระมาท ความไมประมาท บณั ฑิตกลา ววา เปน ยอดของกศุ ล-ธรรมเหลาน้ัน. ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย รอยเทาของสตั วท ั้งหลายทเ่ี ท่ยี วไปบนแผนดนิเหลาใดเหลาหนง่ึ รอยเทาเหลา นน้ั ทงั้ หมด ยอ มถงึ ความรวมลงในรอยเทา ชา ง รอยเทาชา ง โลกกลา ววา เปน ยอดของรอยเทา เหลานน้ั เพราะความเปนของใหญ แมฉ นั ใด ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย กุศลธรรมเหลาใดเหลา หนึง่ ก็ฉนั นน้ั เหมือนกันแล กศุ ลธรรมเหลานนั้ ทงั้ หมด มีความไมป ระมาทเปนมูล ประชุมลงในความไมป ระมาท ความไมป ระมาทบัณฑิตกลา ววา เปนยอดของกุศลธรรมเหลา นัน้ .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ท่ี 36 ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย กลอนเหลาใดเหลาหนึง่ ของเรอื นยอด กลอนเหลา นน้ั ทง้ั หมด ไปหายอด นอ มไปสยู อด รวมทีย่ อด ยอด โลกกลาววา เปน ยอดของกลอนเหลาน้ัน แมฉันใด ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย กุศลธรรมเหลาใดเหลาหน่ึง กฉ็ นั นัน้ เหมือนกันแล ฯลฯ ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย กลิน่ หอมท่เี กิดแตร ากชนดิ ใดชนดิ หน่งึ กฤษณาโลกกลา ววา เปนยอดแหงกลนิ่ หอมทเ่ี กิดแตร ากเหลานนั้ แมฉนั ใด ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย กศุ ลธรรมเหลาใดเหลา หนึ่ง ก็ฉนั น้ันเหมอื นกนั แล ฯลฯ ดูกอนภิกษุท้ังหลาย กล่ินหอมท่เี กิดแตแกน ชนดิ ใดชนิดหนงึ่จนั ทนแดง โลกกลาววา เปนยอดของกลิ่นหอมท่เี กดิ ขน้ึ แตแ กนเหลานนั้แมฉันใด ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย กุศลธรรมเหลาใดเหลาหนง่ึ ก็ฉนั นน้ัเหมือนกนั แล ฯลฯ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย กล่ินหอมทีเ่ กดิ แตดอกชนิดใดชนดิ หนงึ่ ดอกมะลิ โลกกลาววา เปน ยอดแหงกลิ่นหอมเกิดแตด อกเหลา นน้ั แมฉ ันใดดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย กศุ ลธรรมเหลา ใดเหลาหนงึ่ ก็ฉันน้ันเหมอื นกนัแล ฯลฯ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พระราชานอยเหลา ใดเหลาหนึง่ พระราชาเหลานั้นทั้งหมด ยอ มเปน อนุยนตไปตามพระเจา จักรพรรดิ พระเจา จักร-พรรดิ โลกกลาววา เปน ยอดของพระราชาเหลานั้น แมฉันใด ดูกอนภิกษุท้ังหลายกศุ ลธรรมเหลา ใดเหลาหนง่ึ กฉ็ ันนนั้ เหมือนกนั แล ฯลฯ ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย แสงสวา งแหง ดวงดาวเหลา ใดเหลา หนึ่ง แสงสวางเหลา นั้นทั้งหมด ยอ มไมถ งึ เสีย้ วท่ี ๑๖ อันบัณฑติ แบง ออกแลว ๑๖ครั้งของแสงสวางแหง ดวงจันทร แสงสวางแหงดวงจนั ทร โลกกลา ววา
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 37เปน ยอดแหง แสงสวา งเหลานั้น แมฉนั ใด ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กศุ ลธรรมเหลา ใดเหลา หน่ึง กฉ็ ันนัน้ เหมอื นกันแล ฯลฯ ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ในสรทฤดู เม่อื ฝนขาดปราศจากเมฆแลวดวงอาทติ ยโ ผลข น้ึ สทู อ งฟา กําจัดความมืดทม่ี ใี นอากาศทง้ั หมดแลว ยอ มสองแสง แผดแสงและแจม กระจาง แมฉนั ใด ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลายกุศลธรรมเหลาใดเหลาหนงึ่ กฉ็ นั น้นั เหมือนกันแล ฯลฯ ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย แมนํ้าใหญ ๆ สายใดสายหน่งึ คอื แมนาํ้ คงคายมุนา อจิรวดี สรภู มหี แมน ํา้ เหลานั้นทง้ั หมด ยอมเปนสายน้ําไหลไปสูส มทุ ร โนม ไปสสู มุทร นอมไปสสู มทุ ร มหาสมทุ ร โลกกลา ววา เปนยอดแหง แมน ํ้าเหลานั้น แมฉ ันใด ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย กศุ ลธรรมเหลาใดเหลา หน่งึ ก็ฉันนั้นเหมือนกนั แล กุศลธรรมเหลานนั้ ท้ังหมด มคี วามไมป ระมาทเปน มูล ประชมุ ลงในความไมป ระมาท ความไมป ระมาทบณั ฑติ กลา ววา เปน ยอดของกุศลธรรมเหลานนั้ ฯลฯ จบอปั ปมาทสูตรที่ ๕ อรรถกถาอัปปมาทสตู รท่ี ๕ อปั ปมาทสูตรที่ ๕ พึงทราบวินจิ ฉัยดงั ตอไปน.ี้ บทวา เอวเมว โข ความวา การาปกอัปปมาท ความไมป ระมาทเหตุใหทาํ กุศล พึงเหน็ วาเปนยอดแหงกศุ ลธรรมทกุ อยา ง เหมือนพระ-สมั มาสัมพุทธเจา ทรงเปน ยอดแหง สตั วทงั้ ปวงฉะน้ัน. ถามวา ก็ การา-ปกอัปปมาทนั้น เปนโลกิยะ ฝายกศุ ลธรรมท้งั หลาย เปน โลกตุ ระกม็ ีก็การาปกอัปปมาทน้เี ปนกามาวจรอยา งเดยี ว ฝา ยกศุ ลธรรมทัง้ หลาย เปน
พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 38ไปในภูมิ ๔ มิใชห รอื กก็ าราปกอปั ปมาทนเ้ี ปนยอดแหงกุศลธรรมเหลาน้นั ไดอ ยา งไร. ตอบวา เพราะอรรถวาเปนเหตุใหได. จรงิ อยู กุศลธรรมเหลานน้ั บุคคลยอ มไดด วยความไมป ระมาท เพราะฉะนัน้ ความไมประ-มาทน้นั จงึ ชอ่ื วา เปน ยอดแหง กศุ ลธรรมเหลาน้ัน ดวยเหตุนน้ั จงึ ตรัสวากศุ ลธรรมเหลาน้นั ทงั้ หมด มีความไมประมาทเปนมลู . บทวา ชงฺคลานแปลวา ผสู ญั จรไปตลอดพ้ืนแผน ดิน. บทวา ปาณาน ไดแก สตั วมีเทา .บทวา ปทชาตานิ แปลวา รอยเทา . บทวา สโมธาน คจฉฺ นตฺ ิแปลวา ยอ มรวมลง ใสลง. บทวา อคคฺ มกฺขายติ แปลวา ทา นกลา ววาประเสรฐิ . บทวา ยทิท มหนตฺ ตเฺ ตน ความวา ทานกลา ววา เลิศเพราะเปน รอยเทา ใหญ ไมใชกลา วโดยคุณ. บทวา วสสฺ ิก ไดแ ก ดอกมะลิเขาวา พระเจา ภาติยมหาราชทรงสดบั พระสูตรนีแ้ ลว ทรงประสงคจะทดลอง จงึ ใหเ อาดอกไมห อมมาอบดว ยของหอม ๔ ชนดิ ณ หอ ง ๆ หน่งึวางกําดอกมะลิไวก ลางหอ ง ๆ หนึง่ ทาํ ดอกไมท ่เี หลือเปนกาํ วางไวร อบ ๆกําดอกมะลนิ น้ั ทรงปดพระทวารเสียแลวเสดจ็ ออกไปขางนอก เมือ่ ทรงพกั อยูขางนอกครหู น่ึงแลว เปด พระทวารเสดจ็ เขาไป กล่นิ ดอกมะลิกระทบพระนาสิกกอ นดอกไมท งั้ หมด. ทาวเธอลงบรรทม ณ พ้นื แทนใหญนน้ั แล ผินพระพักตรไ ปทางพระมหาเจดยี ทรงไหวพ ระเจดีย ดว ยทรงยอมรับวา พระสัมมาสัมพุทธเจาเมื่อตรัสวา ดอกมะลเิ ปน ยอดแหง บปุ ผ-คันธชาตเิ หลา นน้ั ชอื่ วา ตรสั ไวชอบแลว. บทวา กฑุ ฺฑราชาโน ไดแ กพระราชานอ ย. ปาฐะวา กฏุ ราชาโน ดังน้กี ม็ ี. จบอรรถกถาอัปปมาทสูตรที่ ๕
พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ท่ี 39 ๒. อาหเุ นยยสูตร วา ดว ยอาหุเนยยบุคคล ๑๐ จาํ พวก [๑๖] ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย บุคคล ๑๐ จําพวกนี้ เปนผูควรของคํานับ เปน ผคู วรของตอ นรับ เปนผคู วรของทําบญุ เปน ผูควรทําอัญชลีเปนนาบญุ ของโลก ไมมีนาบุญอน่ื ย่งิ กวา ๑๐ จาํ พวกเปน ไฉน คอืพระตถาคตอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจา ๑ พระปจเจกสมั พทุ ธเจา ๑ ทา นผเู ปนอุภโตภาควิมตุ ๑ ทา นผูเปน ปญญาวิมตุ ๑ ทานผเู ปน กายสักขี ๑ทา นผเู ปนทฏิ ฐิปตตะ ๑ ทานผูเ ปนสัทธาวิมุต ๑ ทา นผเู ปนธัมมานุสารี ๑ทา นผูเปนสัทธานสุ ารี ๑ ทานผเู ปนโคตรภู ๑ ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลายบุคคล ๑๐ จําพวกนแ้ี ล เปนผูค วรของคาํ นบั ฯลฯ เปนนาบญุ ของโลกไมมีนาบญุ อืน่ ยิง่ กวา . จบอาหเุ นยยสตู รที่ ๖ อรรถกถาอาหุเนยยสูตรท่ี ๖ อาหุเนยยสตู รท่ี ๖ พงึ ทราบวินิจฉยั ดงั ตอ ไปนี้. บทวา โคตฺรภู ไดแก ผปู ระกอบดว ยโคตรภูญาณ ทมี่ นี พิ พานเปนอารมณ ซ่งึ เปนวิปสสนาที่ถึงท่สี ดุ ยอดแลว. จบอรรถกถาอาหุเนยยสตู รที่ ๖ ๗. ปฐมนาถสตู ร วา ดวยธรรมอันกระทาํ ทพี่ ึง่ ๑๐ ประการ [๑๗] ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย เธอทั้งหลายจงเปนผูท ่พี งึ่ อยเู ถิด อยาเปนผูไมม ีท่พี ง่ึ อยเู ลย (เพราะ) บคุ คลผไู มมีทพ่ี ่งึ ยอมอยเู ปน ทกุ ข ดูกอ น
พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนา ที่ 40ภกิ ษุทง้ั หลาย ธรรมอันกระทาํ ที่พึ่ง ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเปนไฉนดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยน้ี เปน ผูมศี ลี สาํ รวมในปาฎิโมกข-สังวร ถึงพรอมดว ยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษมปี ระมาณนอย สมาทานศึกษาอยูในสิกขาบททัง้ หลาย ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ขอท่ีภิกษเุ ปน ผูมีศลี ฯลฯ สมาทานศึกษาอยูในสิกขาบทท้งั หลาย น้ีเปนธรรมกระทําท่ีพ่ึง. อกี ประการหนึ่ง ภิกษเุ ปนพหูสูต ทรงสุตะ ส่งั สมสตุ ะ เปน ผูสดบั มาก ทรงจาํ ไว คลอ งปาก ขึน้ ใจ แทงตลอดดวยดีดว ยทฏิ ฐิ ซึ่งธรรมอันงามในเบื้องตน งามในทามกลาง งามในทีส่ ดุ ประกาศพรหม-จรรย พรอมท้งั อรรถ พรอมท้ังพยญั ชนะ บรสิ ุทธิ์บริบรู ณส นิ้ เชิง ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ขอท่ภี กิ ษเุ ปน พหสู ูต ฯลฯ แทงตลอดดวยดดี ว ยทฏิ ฐิ น้ีเปน ธรรมกระทาํ ทพี่ งึ่ . อกี ประการหนงึ่ ภิกษุเปนผมู มี ิตรดี มีสหายดี มเี พอื่ นดี ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ขอที่ภิกษุเปน ผูมีมติ รดี มีสหายดี มีเพ่ือนดี น้เี ปนธรรมกระทาํ ทพี่ ึ่ง. อกี ประการหน่งึ ภิกษุเปน ผูวางา ย คอื ประกอบดวยธรรมเคร่ืองกระทําความเปนผูวางา ย เปนผอู ดทน รับอนุสาสนโี ดยเคารพ ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ขอ ที่ภกิ ษเุ ปน ผูวางาย คือ เปน ผูประกอบดวยธรรมเครอื่ งกระทําความเปนผวู า งา ย เปนผูอดทน รับอนสุ าสนโี ดยเคารพ นเี้ ปนธรรมกระทาํ ทีพ่ ่งึ . อกี ประการหนงึ่ ภิกษุเปน ผูขยัน ไมเกียจครา นในกจิ ท่ีควรทาํอยา งไร ทั้งสงู ทงั้ ตํ่า ของเพ่อื นพรหมจรรยท ้ังหลาย ประกอบดวยปญ ญา
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 41เปน เครอื่ งพิจารณา อนั เปน อุบายในกจิ น้นั อาจทํา อาจจัดได ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ขอ ท่ีภิกษุเปนผขู ยัน ไมเ กยี จครานในกิจท่คี วรทาํ อยา งไรทงั้ สงู ท้งั ต่าํ ของเพือ่ นพรหมจรรยทงั้ หลาย ฯลฯ อาจทํา อาจจัดไดนเ้ี ปนธรรมกระทําทพี่ ่งึ . อกี ประการหน่ึง ภิกษุเปนผูใครใ นธรรม เปน ผฟู งและแสดงธรรมอันเปน ท่รี ัก มคี วามปราโมทยอ ยางย่ิงในธรรมอนั ยิ่ง ในวนิ ยั อนั ยงิ่ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ขอทภี่ กิ ษเุ ปน ผใู ครใ นธรรม เปนผฟู ง และแสดงธรรมอันเปนทรี่ กั มีความปราโมทยอยางยิ่งในธรรมอันย่งิ ในวินยั อนัยง่ิ น้ีเปนธรรมกระทาํ ทพ่ี ง่ึ . อกี ประการหน่งึ ภกิ ษเุ ปน ผูป รารภความเพียร เพอ่ื ละอกศุ ลธรรมท้งั หลาย เพอื่ ความถงึ พรอ มแหงกศุ ลธรรมทง้ั หลาย เปน ผมู ีกําลงั มีความบากบน่ั ม่ันคง ไมทอดธรุ ะในกุศลธรรมท้ังหลาย ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ขอทีภ่ ิกษเุ ปน ผูปรารภความเพียร เพอ่ื ละอกุศลธรรมทั้งหลายเพอ่ื ความถึงพรอ มแหง กศุ ลธรรมทั้งหลาย เปนผูมีกําลัง มีความบากบ่ันม่ันคง ไมท อดธุระในกุศลธรรมทง้ั หลาย นเ้ี ปน ธรรมการทาํ ทพ่ี ึ่ง. อกี ประการหนึ่ง ภกิ ษุเปนผสู นั โดษดวยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะและเภสชั บรขิ ารอนั เปนปจจยั ของคนไข ตามมีตามได ดกู อนภิกษุทง้ั -หลาย ขอทภี่ กิ ษุเปนผสู ันโดษดว ยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั -บริขารอนั เปนปจ จยั ของคนไข ตามมีตามได นีเ้ ปนธรรมกระทําทพ่ี ึง่ . อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษุเปนผูมีสติ คอื ประกอบดว ยสติเปนเครือ่ งรกั ษาตนอยางยิ่ง ระลึกได ตามระลึกไดซ ่ึงส่ิงทที่ ําคําทพี่ ูดแลวแมน านไดดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ขอ ท่ีภกิ ษเุ ปนผมู ีสติ คือ ประกอบดวยสติเปน เคร่อื ง
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 42รกั ษาตนอยางยงิ่ ระลึกได ตามระลกึ ไดซง่ึ ส่งิ ทที่ ําคาํ ท่พี ูดแลวแมนานไดนีเ้ ปน ธรรมกระทําทพ่ี ่งึ . อีกประการหนึ่ง ภกิ ษุเปน ผูมีปญ ญา คอื ประกอบดวยปญญา อันเห็นความเกดิ ความดบั เปนอรยิ ะ ชําแรกกิเลส ใหถงึ ความส้นิ ทุกขโดยชอบ ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ขอ ท่ภี กิ ษเุ ปน ผมู ปี ญ ญา คอื ประกอบดวยปญญาอนั เหน็ ความเกิดความดับ เปน อรยิ ะ ชาํ แรกกเิ ลส ใหถึงความส้ินทุกขโดยชอบ น้เี ปน ธรรมกระทาํ ทพ่ี ่ึง. ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เธอทั้งหลายจงเปน ผมู ที ่ีพง่ึ อยูเ ถิด อยา เปนผูไมม ีท่พี ึง่ อยเู ลย (เพราะวา) บุคคลผไู มม ีทีพ่ ่ึงยอ มอยูเ ปน ทกุ ข ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรมกระทาํ ที่พง่ึ ๑๐ ประการน้ีแล. จบปฐมนาถสูตรท่ี ๗ อรรถกถาปฐมนาถสตู รท่ี ๗ ปฐมนาถสตู รที่ ๗ พึงทราบวนิ ิจฉยั ดงั ตอ ไปน้ี. บทวา สนาถา ความวา มีญาติ คอื มญี าตพิ วกพองมากอยู. ชนเหลา ใดทาํ ที่พ่งึ เหตนุ ัน้ ชนเหลา นนั้ ช่ือวา ผทู ําท่ีพง่ึ อธบิ ายวา กระทําใหมีท่พี ง่ึ ทพ่ี าํ นักแกตน. ในบทวา กลฺยาณมติ ฺโต เปนตน ชื่อวามีกลั ยาณมติ ร กเ็ พราะมีมิตรดี ทีส่ มบูรณดวยศีลเปนตน ชอื่ วา มีกลั ยาณสหาย-กเ็ พราะชนเหลานัน้ เปนสหายของเขา เพราะไปรวมกนั ในอิรยิ าบถมยี ืนนั่งเปนตน . ช่ือวา กลั ยาณสมั ปวังกะ กเ็ พราะเอออวยโอนออ นในพวกกัลยาณมติ ร ดว ยกายและใจ. บทวา สวุ โจ โหติ ความวา ยอ มเปน ผทู ี่เขาพงึ วากลา วโดยงาย
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 43ทเ่ี ขาพึงสงั่ สอนไดงา ย. บทวา ขโม ไดแกแมถกู วากลาวดว ยคําหยาบคายกกั ขฬะ กท็ นได ไมโ กรธ. บทวา ปทกขฺ ณิ คคฺ าหี อนสุ าสนึ ความวาไมก ารทาํ เหมอื นบางคน ที่เม่ือถูกทา นโอวาทก็รับเอาขา งซา ย [ไมเคารพ]ตอบโตห รอื ไมฟง เดนิ ไปเสยี รับเอาเบ้ืองขวา [คอื โดยเคารพ] ดว ยกลา ววา โอวาทพรา่ํ สอนเถิดทา น เม่ือทา นไมโอวาท คนอื่นใครเลาจักโอวาทดงั น้ี. บทวา อุจฺจาวจานิ แปลวา สูงตาํ่ . บทวา กกึ รณยี านิ ไดแ กกิจกรรมที่ถามอยางนี้วา ผมจะทาํ อะไร แลว กระทาํ . บรรดากิจกรรมสงู ตํา่ชือ่ วากิจกรรมสงู ไดแก กจิ กรรม เชนวา ทาํ จวี ร ยอ มจีวร โบกปนูพระเจดีย กิจกรรมที่จะพึงทาํ ในโรงอโุ บสถ เรือนพระเจดีย และเรือนโพธ์ิ อยา งนเ้ี ปน ตน . ช่ือวากิจกรรมตาํ่ ไดแกก ิจกรรมเล็กนอ ย เชนลา งบาตร ทานาํ้ มนั เปนตน . บทวา ตตรฺ ุปายาย ไดแกอ ัน ดําเนินไปในกจิ กรรมน้นั . บทวา อล กาตุ แปลวา เปนผูสามารถทําไดเ อง. บทวาอล ส วธิ าตุ แปลวา ผสู ามารถจดั การได. ภกิ ษชุ ่ือวาธรรมกามะ เพราะมีความรกั ใครธ รรม อธิบายวายอมรักพระไตรปฎ กพุทธวจนะ. บทวา ปย สมุทาหาโร ความวา เมือ่ผูอนื่ กลาวอยู กฟ็ งโดยเคารพ ท้ังตัวเองก็ใครจะแสดงแกผ ูอ ืน่ . ในคําวา อภิธมเฺ ม อภิวินเย น้ี พงึ ทราบ ๔ หมวด คอื ธรรม อภธิ รรมวนิ ัย อภิวินัย. ใน ๔ หมวดนั้น ชือ่ วา ธรรม ไดแ กพระสตุ ตนั ตปฎ กชอ่ื วา อภิธรรม ไดแกปกรณท ง้ั ๗. ช่อื วา วนิ ยั ไดแ กวภิ งั คทงั้ สอง[ภิกขุวภิ ังค ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค] ชอื่ วา อภวิ ินัย ไดแกขนั ธกะและบรวิ าร.อีกนัยหนึง่ ทั้งสุตตนั ตปฎก ทงั้ อภิธมั มปฎ ก ชอ่ื วาธรรมท้งั นั้น. มรรคผล
พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 44ชือ่ วา อุภธิ รรม วนิ ัยปฎ กทัง้ ส้ิน ชอื่ วา วินยั การทําการระงับกเิ ลสชอื่ วา อภวิ นิ ยั อธบิ ายวา เปน ผูมีความปราโมทยอยางโอฬารในธรรมอภธิ รรม วินยั และอภวิ นิ ัยน้นั ทงั้ หมด ดวยประการฉะนี.้ บทวา กสุ เลสุธมเฺ มสุ เปน สัตตมวี ิภตั ติ ลงในอรรถตตยิ าวิภตั ต.ิ อธิบายวา เปนผูไมทอดธรุ ะ เพ่อื ตองการบรรลธุ รรมเหลานน้ั เพราะเหตแุ หง กุศลธรรมทีเ่ ปน ไปในภูมิ ๔. จบอรรถกถาปฐมนาถสตู รท่ี ๗ ๘. ทตุ ยิ นาถสูตร วา ดว ยธรรมอันกระทําที่พง่ึ ๑๐ ประการ [๑๘] ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย เธอท้งั หลายจงเปนผมู ที ่พี ่ึงอยูเถิด อยาเปนผูไมม ที พ่ี ่งึ อยูเลย (เพราะวา ) บุคคลผูไมมที ่ีพึ่งยอมอยูเปนทุกขดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย ธรรมอันกระทําที่พ่งึ ๑๐ ประการน้ี ๑๐ ประการเปนไฉน ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นี้ เปน ผูมีศลี ฯลฯสมาทานศกึ ษาอยใู นสิกขาบททงั้ หลาย ภิกษุผูเปน เถระก็ดี เปน มชั ฌมิ ะก็ดี เปน นวกะกด็ ี ยอ มสาํ คญั ภกิ ษุน้นั วา ภิกษนุ เ้ี ปนผูม ีศลี ฯลฯสมาทานศึกษาอยใู นสกิ ขาบททง้ั หลายหนอ ดังน้ี วาเปน ผูพงึ วา กลาวส่งัสอน ภิกษนุ ้ันอันภิกษุผเู ปนเถระ ผูเปน มชั ฌิมะ ผูเปนนวกะ อนุเคราะหแลว พงึ หวังควรเจริญในกศุ ลธรรมทง้ั หลายอยา งเดยี ว ไมพงึ หวงั ความเสอื่ มเลย น้ีเปน ธรรมกระทําทพ่ี ึ่ง. อีกประการหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน พหสู ตู ฯลฯ แทงตลอดดว ยดดี วยทฏิ ฐิภกิ ษทุ ั้งหลายผูเปน เถระก็ดี ผูเปนมัชฌมิ ะกด็ ี ผูเปน นวกะก็ดี ยอมสาํ คัญ
พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 45ภกิ ษุนน้ั วา ภกิ ษนุ ้ีเปนพหูสูต ฯลฯ แทงตลอดดว ยดดี วยทิฏฐหิ นอ ดังนี้วา เปน ผพู งึ วา กลา วสั่งสอน ภิกษุนัน้ อนั ภกิ ษผุ เู ปนเถระ ผูเปน มัชฌิมะผูเปนนวกะ อนเุ คราะหแลว พึงหวงั ความเจรญิ ในกศุ ลธรรมทง้ั หลายอยา งเดียว ไมพงึ หวังความเสื่อมเลย นเี้ ปนธรรมกระทําท่พี ึ่ง. อกี ประการหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน ผูมีมติ รดี มสี หายดี มีเพื่อนดี ภิกษุทง้ั หลายผูเ ปนเถระก็ดี เปน มัชฌมิ ะก็ดี เปนนวกะกด็ ี ยอมสาํ คญั ภิกษุนัน้ วา ภกิ ษุน้มี มี ิตรดี มสี หายดี มีเพื่อนดีหนอ ดังนี้ วาเปน ผพู งึ วากลาวส่งั สอน ภิกษนุ ัน้ อนั ภกิ ษผุ เู ปนเถระ ผเู ปนมัชฌิมะ ผเู ปนนวกะอันเคราะหแ ลว พึงหวังความเจริญในกศุ ลธรรมทงั้ หลายอยา งเดยี ว ไมพงึ หวังความเสอื่ มเลย นเี้ ปนธรรมกระทาํ ท่พี ง่ึ . อกี ประการหน่งึ ภกิ ษเุ ปน ผวู างาย คอื ประกอบดว ยธรรมเครือ่ งกระทําความเปนผวู างาย เปน ผอู ดทน รับอนสุ าสนีโดยเคารพ ภกิ ษุทง้ั หลายผูเปนเถระกด็ ี เปนมัชฌมิ ะกด็ ี เปนนวกะก็ดี ยอ มสาํ คัญภกิ ษุนน้ั วา ภิกษนุ ้เี ปน ผวู า งา ย คือ ประกอบดวยธรรมเครื่องการทําความเปนผูวางาย เปน ผูอดทน รับอนสุ าสนโี ดยเคารพหนอ ดังน้ี วา เปน ผูพงึวา กลาวสงั่ สอน ภิกษนุ ัน้ อันภิกษผุ ูเปนเถระ ผูเปนมชั ฌมิ ะ ผูเ ปน นวกะอนุเคราะหแลว พงึ หวงั ความเจรญิ ในกศุ ลท้ังหลายอยา งเดียว ไมพงึ หวังความเส่อื มเลย น้ีเปนธรรมกระทาํ ทพ่ี ึ่ง. อกี ประการหน่งึ ภกิ ษุเปน ผขู ยัน ไมเกียจครานในกิจทคี่ วรทาํอยางไร ท้งั สงู ทง้ั ตา่ํ ของเพื่อนพรหมจรรยท ง้ั หลาย เปนผูประกอบดว ยปญ ญาเคร่ืองพจิ ารณาอันเปน อุบายในกจิ นั้น อาจทาํ อาจจัดได ภิกษุท้งั หลายผเู ปน เถระก็ดี เปนมัชฌิมะกด็ ี เปนนวกะก็ดี ยอมสําคัญภกิ ษุ
พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาท่ี 46นั้นวา ภิกษุนเ้ี ปนผูขยัน ไมเกยี จครา นในกิจทีค่ วรทาํ อยา งไร ทั้งสงู ท้งั ตาํ่ของเพอ่ื นพรหมจรรยท งั้ หลาย เปนผูประกอบดว ยปญญาเครือ่ งพิจารณาอันเปนอบุ ายในกิจน้ัน อาจทาํ อาจจัดไดหนอ ดงั น้ี วา เปนผูพึงวากลา วสั่งสอน ภิกษุนนั้ อนั ภิกษผุ ูเปน เถระ ผเู ปน มชั ฌิมะ ผูเ ปนนวกะอนเุ คราะหแ ลว พึงหวังความเจรญิ ในกศุ ลธรรมทง้ั หลายอยางเดยี ว ไมพงึ หวังความเสอ่ื มเลย นเี้ ปนธรรมกระทาํ ทพี่ งึ่ . อีกประการหน่งึ ภิกษเุ ปนผูใครในธรรม เปน ผูฟงและแสดงธรรมอนั เปน ทร่ี กั มีความปราโมทยอ ยา งยิ่งในธรรมอนั ย่ิง ในวนิ ัยอนั ยง่ิ ภกิ ษุทงั้ หลายผูเปนเถระกด็ ี เปน มชั ฌิมะกด็ ี เปน นวกะกด็ ียอ มสาํ คัญภิกษุน้ันวา ภกิ ษนุ ีเ้ ปนผใู ครใ นธรรม เปน ผฟู งและแสดงธรรมอันเปน ทีร่ ัก มีความปราโมทยอ ยางยง่ิ ในธรรมอนั ยิง่ ในวินยั อันย่งิ หนอดงั นี้ วา เปน ผพู งึ วา กลาวสงั่ สอน ภกิ ษุนน้ั อนั ภกิ ษผุ เู ปนเถระ ผเู ปนมัชฌิมะ ผเู ปน นวกะ อนุเคราะหแลว พึงหวังความเจริญในกุศลธรรมท้งั หลายอยางเดยี ว ไมพึงหวังความเส่อื มเลย นเ้ี ปน ธรรมกระทําทีพ่ ่งึ . อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษุเปนผปู รารภความเพียร เพอื่ ละอกศุ ลธรรมทัง้ หลาย เพ่อื ความถึงพรอมแหง กศุ ลธรรมทัง้ หลาย เปนผูมกี ําลงั มีความบากบ่ันมน่ั คง ไมทอดธุระในกุศลธรรมทง้ั หลาย ภิกษุทัง้ หลายผูเ ปนเถระก็ดี เปนมัชฌมิ ะก็ดี เปน นวกะก็ดี ยอ มสําคญั ภิกษนุ น้ั วาภกิ ษุนเี้ ปนผปู รารภความเพียร เพ่ือละอกุศลธรรมทั้งหลาย เปนผมู ีกําลังมคี วามบากบนั่ มนั่ คง ไมท อดธรุ ะในกุศลธรรมทงั้ หลายอยหู นอ ดังน้ีวา เปนผพู งึ วา กลาวสง่ั สอน ภกิ ษุนนั้ อนั ภิกษุผูเปนเถระ ผเู ปนมชั ฌิมะผเู ปนนวกะ อนเุ คราะหแ ลว พึงหวังความเจริญในกศุ ลธรรมทัง้ หลาย
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนา ที่ 47อยางเดียว ไมพ ึงหวงั ความเสอื่ ม น้เี ปนธรรมกระทาํ ที่พึง่ . อกี ประการหนึง่ ภิกษเุ ปนผสู นั โดษดว ยจวี ร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสชั บริขารอนั เปน ปจ จยั แกคนไข ตามมีตามได ภกิ ษุทง้ั หลายผูเปนเถระกด็ ี เปน มัชฌมิ ะกด็ ี เปน นวกะก็ดี ยอ มสาํ คญั ภกิ ษนุ น้ั วา ภกิ ษนุ ี้เปน ผสู นั โดษดว ยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขารอนั เปนปจ จยั แกคนไข ตามมตี ามไดหนอ ดงั น้ี วา เปน ผพู งึ วากลาวส่ังสอนภิกษุนนั้ อันภกิ ษผุ ูเปนเถระ ผูเ ปนมัชฌิมะ ผูเ ปน นวกะ อนุเคราะหแลวพึงหวงั ความเจรญิ ในกศุ ลธรรมทั้งหลายอยา งเดียว ไมพ งึ หวังความเสอื่ มเลย นเี้ ปน ธรรมกระทาํ ท่ีพงึ่ . อกี ประการหนง่ึ ภิกษเุ ปนผมู ีสติ คือ ประกอบดวยสตเิ ปน เครื่องรักษาคนอยางยง่ิ ระลึกได ตามระลกึ ได ซึ่งส่งิ ที่ทําคาํ ท่ีพดู แลวแมนานไดภิกษทุ ัง้ หลายผเู ปน เถระก็ดี เปนมัชฌิมะก็ดี เปน นวกะกด็ ี ยอมสําคัญภิกษุนน้ั วา ภกิ ษุนี้เปน ผูมสี ติ คือ ประกอบดวยสติเปนเครื่องรกั ษาตนอยา งยิง่ ระลึกได ตามระลกึ ได ซึ่งสิ่งท่ที าํ คาํ ท่ีพดู แลวแมน านไดห นอดงั น้ี วา เปน ผูพึงวากลา วส่งั สอน ภกิ ษนุ ้นั อันภิกษุผเู ปนเถระ ผูเ ปนมัชฌมิ ะ ผเู ปนนวกะ อนุเคราะหแลว พึงหวงั ความเจรญิ ในกุศลธรรมทั้งหลายอยางเดยี ว ไมพึงหวงั ความเสอื่ มเลย น้ีเปนธรรมกระทําท่พี ึง่ . อีกประการหน่งึ ภกิ ษผุ ูมีปญญา คือ ประกอบดว ยปญญา อนัเห็นความเกดิ ความดับ เปน อริยะ ชาํ แรกกเิ ลส ใหถ ึงความสิ้นทกุ ขโดยชอบ ภกิ ษทุ ั้งหลายผเู ปน เถระก็ดี เปน มชั ฌิมะก็ดี เปนนวกะก็ดี ยอ มสําคัญภิกษนุ ั้นวา ภกิ ษนุ ้เี ปนผูมีปญ ญา คอื ประกอบดว ยปญญาอนั เห็นความเกดิ ความดับ เปน อรยิ ะ ชาํ แรกกิเลส ใหถ ึงความส้นิ ทุกขโดยชอบ
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต เลม ๕ - หนาที่ 48หนอ ดงั น้ี วา เปนผูพึงวา กลาวส่งั สอน ภกิ ษนุ ั้นอันภิกษผุ เู ปน เถระผูเ ปน มัชฌิมะ ผเู ปน นวกะ อนเุ คราะหแ ลว พึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทัง้ หลายอยางเดียว ไมพ งึ หวังความเสื่อมเลย นเี้ ปน ธรรมกระทาํทพ่ี งึ่ . ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย เธอทั้งหลายจงเปน ผมู ีทพ่ี ง่ึ อยเู ถิด อยาเปนผไู มม ที พี่ ึ่งอยเู ลย (เพราะวา) บุคคลผูไ มม ีทพ่ี ่ึง ยอ มอยูเปน ทุกข ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมอนั กระทาํ ทพ่ี ่ึง ๑๐ ประการนี้แล. จบทตุ ยิ นาถสูตรท่ี ๘ อรรถกถาทตุ ยิ นาถสูตรที่ ๘ ทตุ ิยนาถสูตรท่ี ๘ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปน้ี. บทวา เถรานกุ มฺปต สสฺ ไดแก ผทู ่ีพระเถระทง้ั หลายอนุเคราะหดวยการแผป ระโยชนเกื้อกลู ท่อี ตุ สาหะเพราะการโอวาทและพร่ําสอนเปน เหตุ. จบอรรถกถาทตุ ิยนาถสูตรท่ี ๘ ๙. ปฐมอริยวสสูตร วา ดว ยธรรมเปน ท่อี ยแู หง พระอริยะ ๑๐ ประการ [๑๙] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ธรรมเปน ที่อยแู หง พระอรยิ ะ ท่พี ระ-อรยิ ะอยแู ลว กด็ ี กาํ ลงั อยูก็ดี จกั อยูก็ดี ๑๐ ประการน้ี ๑๐ ประการเปนไฉน คอื ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้เี ปนผูละองค ๕ ไดแลว ๑ ประกอบดว ยองคหก ๑ รกั ษาแตอ ยางเดยี ว ๑ มธี รรมเปน ท่ีพักพิง ๔ ประการ ๑ มีปจ เจกสัจจะบรรเทาไดแ ลว ๑ มีการแสวงหาอันสละเสยี แลว ดวยดี ๑ มี
พระสุตตันตปฎ ก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาท่ี 49ความดําริไมขุนมัว ๑ มกี ายสงั ขารอันสงบระงับแลว ๑ มีจิตหลุดพน แลวดว ยดี ๑ มีปญ ญาอันหลดุ พนแลวดวยดี ๑ ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเปน ท่อี ยแู หง พระอริยะ ท่ีพระอรยิ ะอยแู ลว ก็ดี กาํ ลังอยูก็ดี จกั อยูก็ดี๑๐ ประการน้ีแล. จบปฐมอรยิ วสสตู รท่ี ๙ อรรถกถาปฐมอรยิ วสสูตรท่ี ๙ สูตรที่ ๙ พึงทราบวนิ ิจฉยั ดังตอไปนี้. บทวา อริยวาสา ไดแ ก ท่ชี ือ่ วา อริยวาส กเ็ พราะเปนท่ี ๆ พระ-อริยะทงั้ หลายอยแู ลว กําลังอยู จักอยจู บพรหมจรรย. คาํ วา ยทรยิ า ตัดบทวา เย วาเส อริยา. จบอรรถกถาปฐมอริยวสสูตรที่ ๙ ๑๐. ทุติยอรยิ วสสตู ร วาดว ยธรรมเปน ทอี่ ยแู หงพระอรยิ ะ ๑๐ ประการ [๒๐] สมัยหน่ึง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยูท น่ี ิคมของชาวกรุ ุช่อื กมั มาสธรรม ในแควนกุรุ ณ ที่นน้ั แล พระผูมพี ระภาคไดตรสั เรียกภิกษทุ งั้ หลายวา ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษเุ หลา นั้นทลู รบั พระผมู ีพระ-ภาคเจาแลว พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรัสวา ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ธรรมเปน ทอ่ี ยูแ หงพระอรยิ ะ ท่ีพระอรยิ ะอยูแลวก็ดี กาํ ลงั อยูกด็ ี จกั อยกู ด็ ี๑๐ ประการน้ี ๑๐ ประการเปนไฉน คือ ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ีเปนผูละองค ๕ ไดแ ลว ๑๐ ประกอบดวยองคหก ๑ รกั ษาแตอ ยางเดยี ว ๑มีธรรมเปน ท่พี กั พงิ ๔ ประการ ๑ มปี จ เจกสจั จะบรรเทาไดแลว ๑ มีการแสวงหาอนั สละแลวดว ยดี ๑ มคี วามดํารไิ มข นุ มัว ๑ มกี ายสงั ขารอันสงบ
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เลม ๕ - หนาที่ 50ระงบั แลว ๑ มจี ติ หลดุ พนแลวดวยดี ๑ มปี ญ ญาอันหลุดพนแลวดวยดี ๑. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ก็ภิกษุเปน ผลู ะองค ๕ ไดแลวอยางไร ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี เปน ผูละกามฉันทะไดแ ลว ๑ เปน ผูละพยาบาทไดแลว ๑เปนผูละถีนมิทธะไดแลว ๑ เปน ผูล ะอุทธัจจกกุ กจุ จะไดแ ลว ๑ เปน ผูละวจิ ิกจิ ฉาไดแลว ๑ ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษุเปนผลู ะองค ๕ ไดแ ลวอยางนี้แล. ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย กภ็ ิกษเุ ปน ผปู ระกอบดวยองค ๖ อยางไรภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี เห็นรปู ดวยจกั ษแุ ลว เปนผไู มดีใจ ไมเ สียใจ มีอุเบกขา มสี ติ มีสมั ปชัญญะอยู ฟง เสียงดวยห.ู .. ดมกล่นิ ดวยจมกู ...ลิ้มรสดวยลิน้ ... ถกู ตอ งโผฏฐัพพะดว ยกาย... รูแจงธรรมดว ยใจแลวเปน ผไู มดีใจ ไมเสียใจ มอี ุเบกขา มีสตสิ ัมปชัญญะอยู ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษุเปน ผปู ระกอบดวยองค ๖ อยา งนแ้ี ล. ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ก็ภิกษเุ ปนผูรกั ษาแตอยางเดยี วอยา งไร ภิกษุในธรรมวนิ ยั นี้ เปน ผปู ระกอบดว ยใจอันรักษาดวยสติ ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษุเปนผรู กั ษาแตอ ยา งเดยี ว อยา งนีแ้ ล. ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ก็ภกิ ษเุ ปนผูม ีธรรมเปน ทพ่ี ักพงิ ๔ ประการอยางไร ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี พิจารณาแลว ยอ มเสพของอยางหนึ่งพิจารณาแลว ยอมอดกลัน้ ของอยา งหนึง่ พิจารณาแลวยอมเวนของอยางหน่ึง พิจารณาแลว ยอมบรรเทาของอยา งหน่งึ ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษุเปน ผมู ธี รรมเปน ทพี่ กั พงิ ๔ ประการ อยางนแี้ ล.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 595
Pages: