Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_76

tripitaka_76

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_76

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 1 พระอภิธรรมปฎก เลม ที่ ๑ ภาคที่ ๒ ธรรมสงั คณีขอนอบนอมแดพระผมู ีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจาพระองคน ้ัน บทภาชนยี อกุศลธรรม อกุศลจติ ๑๒ จติ ดวงท่ี ๑ [๒๗๕] ธรรมเปน อกุศล เปน ไฉน ? อกุศลจิต สหรคตดว ยโสมนัส สมั ปยุตดวยทิฏฐิ มรี ูปเปนอารมณหรือมเี สียงเปน อารมณ มีกลนิ่ เปนอารมณ มรี สเปน อารมณ มีโผฏฐพั พะเปนอารมณ มีธรรมเปนอารมณ หรอื ปรารภอารมณใด ๆ เกิดขึ้น ในสมยั ใดผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จติ วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ เอกคั คา วิรยิ ินทรียสมาธนิ ทรีย มนนิ ทรีย โสมนสั สินทรีย ชีวิตนิ ทรีย มจิ ฉาทฏิ ฐิ มิจฉาสังกปั ปะมิจฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ วริ ยิ พละ สมาธิพละ อหริ กิ พละ อโนตตัปปพละโลภะ โมหะ อภชิ ฌา มจิ ฉาทิฏฐิ อหริ ิกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปค คาหะอวิกเขปะ มใี นสมยั น้นั ก็หรือวา นามธรรมทอี่ งิ อาศยั เกดิ ขึ้นแมอ ่นื ใด มีอยูใ นสมัยน้นั

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 2 สภาวธรรมเหลา น้ชี ่ือวา ธรรมเปน อกุศล. [๒๗๖] ผัสสะ มีในสมัยน้นั เปนไฉน ? การกระทบ กริ ิยาทีก่ ระทบ กริ ิยาที่ถูกตอง ความถกู ตอ ง ในสมัยนั้นอนั ใด นช้ี ื่อวา ผสั สะ มใี นสมยั นนั้ . [๒๗๗] เวทนา มใี นสมัยนั้น เปนไฉน ? ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ อนั เกดิ แตสัมผัสแหงมโนวญิ ญาณ-ธาตทุ ี่สมกัน ความเสวยอารมณท ีส่ บายเปน สขุ อนั เกิดแตเจโตสัมผัส กริ ยิ าเสวยอารมณท ี่สบายเปนสุขอันเกิดแตเจโตสมั ผสั ในสมยั น้นั อันใด นี้ชื่อวา เวทนามีในสมยั นนั้ .

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 3 กถาแสดงธมั มทุ เทสวารในบทอกศุ ล อธบิ ายอกศุ ลจิตดวงที่ ๑ บดั นี้ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงประสงคจะจําแนกแสดงบทอกศุ ล จึงทรงเรมิ่ พระดาํ รัสวา กตเม ธมฺมา อกสุ ลา (ธรรมเปนอกศุ ล เปน ไฉน)ดงั นีเ้ ปนตน. ในคาํ วา อกศุ ลเปน ตน เหลา นน้ั พึงทราบประเภทวาระมีการกําหนดธรรมเปน ตน และการวินจิ ฉยั เนอื้ ความแหงบทที่มาแลว ในหนหลัง โดยนยั ที่กลาวแลวนนั่ แหละ ก็ขาพเจาจกั พรรณนาบททเ่ี พยี งตา งกนั ในท่นี น้ั ๆ เทานนั้ในอธิการแหง อกุศลน้นั จะวินิจฉยั ในการกําหนดสมัยกอน เพราะอกุศลไมต า งภมู ิกันเหมอื นกศุ ล ฉะน้ัน อกศุ ลนีแ้ มเ ปนกามาวจรอยางเดียว พระองคก ็มิไดตรสั วา เปน กามาวจร. วนิ ิจฉัยคาํ วาทฏิ ฐคิ ตสมั ปยุต พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในคาํ วา ทฏิ ิคตสมฺปยตุ ฺต น้ีตอไป. ทฏิ ฐินน่ั แหละชอื่ วา ทิฏฐิคตะ เหมือนในประโยคทั้งหลายมอี าทวิ าคถู คต (คถู ) มุตฺตคต (มตู ร) ดงั น.้ี อกี อยา งหนึ่ง ธรรมท่ีชื่อวา ทฏิ ฐิคตะเพราะอรรถวา ทิฏฐิคตะนี้เปนเพียงการเปนไปของทฏิ ฐิเทา น้นั เพราะไมมีสิ่งทีค่ วรรู หรอื เพราะไมม สี ่งิ ที่ควรดําเนินไป. ทช่ี ่อื วา ทฏิ ฐคิ ตสัมปยุตเพราะอรรถวา สมั ปยุตดวยทิฏฐนิ ้นั . ในทิฏฐคิ ตสัมปยตุ จติ นน้ั บณั ฑิตพงึ ทราบความเกดิ ข้นึ แหงความเหน็ ผดิ กลา วคอื ทฏิ ฐิคตะน้ี ดวยเหตทุ ัง้ หลายมอี าทิอยางน้ี คอื

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 4 อสทธฺ ทมสวน การฟง แตอสัทธรรม อกลฺยาณมิตฺตตา ความเปน ผูมีมติ รช่ัว อริยาน อทสสฺ นกามตาทนี ิ ความเปน ผไู มต องการเห็นพระอรยิ ะเปนตน. อโยนโิ สมนสกิ าโร การทาํ ไวใ นใจโดยอบุ ายไมแ ยบคาย. จรงิ อยู ความเหน็ อนั นน่ั พงึ ทราบวา ยอ มเกิดขนึ้ ดวยการฟง เวน จากความใครค รวญกา วลว งความเปน กลาง มมี านะหลายอยางเปนประธานแหงอสัทธรรมที่ประกอบดวยวาทะอนั ผิดเหลานนั้ ดวยความเปน ผูม อี กลั ยาณมติ รกลา วคอื ความเปนผซู อ งเสพ มติ รช่วั ผมู ที ฏิ ฐวิ บิ ัตเิ หลา นัน้ ดวยไมตองการเหน็พระอรยิ ะทั้งหลาย และสตั บรุ ษุ ท้ังหลายมีพระพทุ ธเจาเปนตน ดวยความเปนผูไมฉลาดในอรยิ ธรรมเเละสปั ปรุ สิ ธรรมอนั ตา งดวยสตปิ ฏ ฐาน ๔ เปนตนดวยความไมม วี ินัยกลาวคอื การแตกแหง สงั วรในอริยธรรม และสปั ปุริสธรรมอนั มปี าฏิโมกขสังวร อนิ ทรียสงั วร สติสงั วร ญาณสงั วร และปหานสังวรดวยการกระทาํ ไวใ นใจโดยอบุ ายอนั ไมแ ยบคายดว ยเหตุเหลา นัน้ นัน่ แหละอันตนอบรมแลว และเพราะความเปนผขู วนขวายในมงคลต่นื ขาวเปนตน.กพ็ ึงทราบความที่จติ นเ้ี ปนอสงั ขาร (ไมมีการชกั จงู ) โดยนยั ทีก่ ลา วแลวในหนหลังนนั่ แหละ. วาดวยธัมมทุ เทสมผี สั สะเปนตน พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในวาระแหง ธมั มุทเทส (ขอธรรม) ตอ ไป.

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 5 บทวา ผสโฺ ส ไดแก ผัสสะทเี่ กิดพรอ มกบั อกุศลจติ . แมในธรรมมเี วทนาเปนตน กน็ ยั น้ีแหละ ธรรมมีผสั สะเปน ตนเหลานี้แตกตา งจากธรรมที่แสดงไวกอ นเพียงเปน อกุศลเทานัน้ ดวยประการฉะน้ี. บทวา จติ ตฺ สฺเสกคคฺ ตา โหติ (เอกัคคตาแหงจิตยอ มมี) ความวาเอกัคคตา (สมาธจิ ิต) ยอมมี เพราะความไมสง จติ ไปอื่นแมในปาณาติบาตเปน ตน . จรงิ อยู มนุษยท้งั หลายตงั้ จติ ไวม่ันไมซดั สายจึงยังศัสตราใหตกไปในสรีระของสัตวท ้ังหลายไมผ ดิ พลาด เปน ผมู ีจิตต้งั มนั่ แลว ยอ มนําวัตถุอนัเปน ของมอี ยูของคนอืน่ ไป ยอ มประพฤติมิจฉาจารดว ยจิตมีสภาพยินดอี ยางหนึ่งเอกคั คตาแหงจติ ยอมมี แมใ นเพราะประพฤตอิ กุศล ดวยประการฉะน.้ี คําวา มจิ ฺฉาทฏิ ิ ไดแก ความเหน็ ไมมีตามความเปน จริง อีกอยา งหนง่ึ ชอื่ วา มจิ ฉาทิฏฐิ เพราะอรรถวา เห็นคลาดเคลือ่ นโดยถือเอาผิด.ชอ่ื วา มจิ ฉาทฏิ ฐิ เพราะอรรถวา เปน ทิฏฐอิ ันบณั ฑติ เกลียด เพราะนํามาแตค วามฉบิ หายบา ง. แมในมิจฉาสงั กปั ปะเปนตนกน็ ยั น้แี หละ. อกี อยา งหนงึ่ชื่อวา มิจฉาทิฏฐิ เพราะอรรถวา เปน เหตใุ หคนเห็นผดิ หรอื เหน็ ผดิ เองหรอื ทิฏฐินี้ เพียงเห็นผิดเทา นน้ั . มิจฉาทิฏฐนิ นั้ มีการยึดถอื ม่นั โดยอบุ ายไมแ ยบคายเปน ลกั ษณะ (อโย-นิโส อภินิเวส ลกฺขณา) มคี วามยึดม่ันผดิ สภาวะเปน รส (ปรามาสรสา)มีความยดึ ถอื ผิดเปนปจจปุ ฏฐาน (มิจฺฉาภินิเวสนปจฺจฏุ  านา) มีความไมตอ งการเห็นพระอริยะทั้งหลายเปน ตนเปน ปทัฏฐาน (อริยาน อทสฺสน-กามตาทปิ ทฏานา) พงึ เห็นวา เปน โทษอยา งยงิ่ . แมในมจิ ฉาสังกัปปะเปนตนมีความตา งกนั เพียงบทวา มจิ ฺฉา เทา นั้น. คาํ ทีเ่ หลือพงึ ทราบโดยนยั ทกี่ ลา วในอธกิ ารแหงกศุ ลน้ันแหละ.

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 6 เน้อื ความแหง พละในขอ วา อหิริกพละ อโนตตปั ปพละ น้ีจักแจม แจงในนิทเทสวาร สวนในคํานอกน้ี พึงทราบวจนัตถะดังตอ ไปน.้ีบุคคลช่ือวา อหิริโก เพราะอรรถวา ยอมไมล ะอาย. ภาวะแหง บุคคลผไู มละอาย ชื่อวา อหิริก * (ความเปนผูไมล ะอาย). สภาวธรรมที่ไมใ ชโ อตตปั ปะชือ่ วา อโนตปั ปะ (ความเปนผไู มกลัว) ในธรรมทง้ั สองเหลาน้ัน อหริ ิกะมีการไมรงั เกียจกายทจุ รติ เปนตนเปนลกั ษณะ. หรอื มีความไมล ะอายกายทุจริตเปนตนเปนลักษณะ (กายทจุ ฺจรติ าทีหิ อชิคุจฉฺ นลกฺขณ อลชฺชนลกขฺ ณวา). อโนตตัปปะ มีความไมก ลัวกายทุจรติ เปนตนเหลาน้ันนั่นแหละเปนลักษณะ หรอื มีความไมสะดงุ กายทจุ รติ เปน ตนเหลานั้นเปน ลักษณะ (เตเหวอสารชชฺ กขฺ ณ อนุตฺตาสนลกขฺ ณ วา). พละคืออหิริกะน่ันแหละ ชื่อวาอหิรกพละ. พละคอื อโนตตัปปะนนั่ แหละ ชอ่ื วา อโนตัปปพละ. เนอ้ื ความสังเขปในอธกิ ารแหงอกศุ ลนี้มีเทา นี.้ สว นความพสิ ดารพงึ ทราบดว ยสามารถความเปน ปฏปิ ก ษก ันตามทีก่ ลาวในหนหลงั น่นั แหละ. สภาวธรรมท่ีชอ่ื วา โลภะ เพราะอรรถวา เปนเหตใุ หค นอยากไดหรอื อยากไดเอง หรอื เปน เพยี งอยากไดเ ทา นน้ั . ที่ชอื่ วา โมหะ เพราะอรรถวาเปน เหตใุ หคนหลง หรือหลงเอง หรือเปนเพยี งความหลงเทาน้ัน. บรรดาสภาวะทง้ั สองเหลา นน้ั โลภะ มีการยดึ อารมณเปนลกั ษณะ (อารมฺมณคฺคหณ-ลกฺขโณ) เหมอื นลงิ ตดิ ตัง มีความคิดในอารมณเ ปนรส (อภิส ครโส)เหมอื นชิ้นเนือ้ ทใ่ี สในกระเบอื้ งรอน มกี ารไมสละไปเปนปจจุปฏฐาน (อปริ-จาคปจจฺ ปุ ฏ าโน) เหมอื นเปอ นสนี ้าํ มันและยาหยอดตา มีความเหน็ ชอบใจในธรรมเปนอารมณข องสังโยชน เปน ปทฏั ฐาน (สฺโชนยิ ธมเฺ มสุอสฺสาททสฺสนปทฏ าโน) เม่ือเจริญขน้ึ โดยความเปนแมน ้ํา คอื ตณั หา* บทนเ้ี ปน อริรกิ ฺก ทานลบกะอกั ษรจึงเปน อหิริก .

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 7พึงทราบวา ยอมพาไปสูอ บายเทา นนั้ เหมือนแมนา้ํ มีกระแสอนั เชี่ยว ยอมไหลพัดพาไปสมู หาสมุทรฉะนัน้ . โมหะ มคี วามมดื มนแหง จติ เปน ลกั ษณะ หรอื มีความไมรเู ปนลกั ษณะ(จิตตฺ สสฺ อนฺธภาวลกขฺ โณ อฺ าณลกฺขโน วา) มคี วามไมแทงตลอดเปน รส (อสมฺปฏเิ วธรโส) หรอื มีความปกปดสภาวะแหง อารมณเ ปนรส(อารมมณสภาวจฉฺ าทนรโส วา) มีการไมปฏบิ ัติโดยชอบเปนปจ จปุ ฏ ฐาน(อสมมฺ าปฏปิ ตฺตปิ จฺจปุ ฏ าโน) หรอื มีความมดื มนเปนปจ จปุ ฏ ฐาน(อนธฺ การปจจุปฏาโน วา) มีการทาํ ไวในใจโดยอุบายไมแยบคายเปนปทฏั ฐาน (อโยนโิ สมนสการปทฏ าโน) พึงทราบวา เปนมลู ของอกุศลธรรมทงั้ ปวง. สภาวธรรมทีช่ อื่ วา อภชิ ฌา เพราะอรรถวา เปน เหตุใหคนเพงเฉพาะหรอื ยอ มเพงเฉพาะเอง หรือธรรมนีเ้ ปนเพียงการเพง เฉพาะเทาน้ัน. อภชิ ฌานนั้ มคี วามปรารถนากระทําสมบัติของผูอื่นใหเ ปน ของตนเปนลักษณะ (ปรสมฺ-ปตฺตีน สกกรณอจิ ฉฺ าลกขฺ ณา) มีความเกีย่ วของโดยอาการอยางนั้นเปนรส(เตนากาเรน ปสงคฺ ภาวรสา) มคี วามมุง หมายแตส มบัตขิ องผูอื่นเปนปจ จุปฏ ฐาน (ปรสมฺปตตฺ ิอภิมุขภาวปจจฺ ปุ ฏ านา) มีความยินดยี ิง่ ในสมบัตขิ องผอู ื่นเปนปทฏั ฐาน (ปรสมปฺ ตตฺ สี ุ อภริ ติปทฏานา). จริงอยูอภชิ ฌานั้นยอ มปรากฏมงุ หนา แตส มบตั ขิ องผูอนื่ เทา นนั้ กเ็ มื่อความยินดียิ่งมอี ยูอภิชฌาน้นั กย็ อมเปนไปในสมบัตขิ องผูอน่ื พึงทราบวา เหมือนจติ เหยียดมือไปในสมบัติเหลานน้ั ฉะนัน้ . พึงทราบวินจิ ฉัยในคาํ เปนตนวา สมถะยอ มมี ตอ ไป.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 8 สภาวธรรมทช่ี อ่ื วา สมถะ เพราะสงบความฟุงซา นในกิจอน่ื ๆท่ีช่ือวา ปค คาหะ เพราะประคองจติ ใหเ ปน ไปในอกศุ ล. ชือ่ วา อวิกเขปะเพราะไมซดั สา ยไป. ในอกศุ ลจติ น้ี ไมถอื เอาธรรมเหลาน้ีคอื ศรทั ธา สติปญ ญา และธรรม ๖ คู เพราะเหตุไร ? เพราะข้ึนช่ือวา ความเล่ือมใสในจติ ทไ่ี มมศี รัทธาหามีไดไ ม ฉะนน้ั เบือ้ งตนน้จี ึงไมถือเอาศรัทธา. ถามวาก็คนมที ิฏฐิท้ังหลายไมเ ชื่อศาสดาของตน ๆ หรอื ? ตอบวา เช่ือ. แตการเชอื่ นนั้ ไมชอื่ วา เปนศรทั ธา คาํ เชื่อนี้เปน เพียงการรบั คาํ เทานน้ั วา โดยอรรถความเช่ือนน้ั ยอมเปน ความเชื่อท่ีปราศจากความใครค รวญบาง เปนทฏิ ฐิบา ง. อนึง่ สตยิ อมไมม ีในอกุศลจิตเพราะไมเปนท่ีต้ังแหงสติ เพราะฉะน้นัพระองคจงึ ไมถอื เอา. ถามวา บคุ คลผูมีทฏิ ฐิท้ังหลายยอมไมร ะลึกถึงการงานอันตนกระทําบางหรือ ? ตอบวา ยอมระลึก แตก ารระลกึ นนั้ ไมช ่ือวา เปน สติเพราะอาการระลกึ น้ัน เปนความประพฤตขิ องอกุศลจิตอยา งเดียว ฉะนนั้ จงึ ไมทรงถอื เอาสต.ิ ถามวา เม่ือความเปน อยา งนนั้ เพราะเหตไุ ร ในพระสูตรจึงตรัสวา มิจฉาสติ เปน ความระลึกเลา ? ตอบวา เพ่อื จะทรงยงั มิจฉตั ตะแหงมิจฉามรรคใหบ ริบรู ณ เพราะอกศุ ลขนั ธทง้ั หลายเปนสภาวะเวนจากสติและเปน ปฏปิ ก ษต อ สติ จงึ ทรงทาํ เทศนามิจฉาสตไิ หวในพระสูตรนั้นโดยปรยิ ายแตม ิจฉาสตนิ ้นั วาโดยนปิ ปริยายยอมไมมี เพราะฉะน้ัน จงึ ไมท รงถือเอา. อน่งึ ปญญา ยอมไมมใี นจติ ของอันธพาลน้นั เพราะฉะนั้น จึงไมทรงถอื เอา. ถามวา ความรู (ปฺ า) เปน เคร่อื งหลอกลวงของบุคคลผเู ปนมิจฉาทฏิ ฐิ ไมม หี รอื ? ตอบวา มอี ยู แตความรูเปน เครอื่ งหลอกลวงนน้ั ไมชอ่ื วา ปญ ญา ความรนู นั้ ชอ่ื วา เปน มายา วา โดยใจความ มายานั้นก็คอื ตัณหานน่ั เอง. กเ็ พราะจิตนเี้ ปน จติ กระวนกระวาย หนกั หยาบ แขง็ กระดาง

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 9ไมควรแกการงาน ปว ย คด โกง ฉะนัน้ ธรรม ๖ คู มีปสสัทธเิ ปน ตนพระองคจึงไมทรงถอื เอา. พระผูมีพระภาคเจาครัน้ ทรงแสดงบท ๓๒ ท่ีข้นึ สพู ระบาลดี วยสามารถองคแหงจิตโดยลําดบั บทเพียงเทา น้ีแลว บดั นี้ เพอ่ื ทรงแสดงเยวาปนกธรรมจึงตรสั พระพุทธพจนม ีอาทิวา เย วา ปน ตสฺมึ สมเย (กห็ รอื วา นามธรรมท่ีองิ อาศัยกันเกดิ ขึ้นแมอืน่ ใด มอี ยูใ นสมยั นนั้ ) ดังน้ี. พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในคํามอี าทวิ า เยวาปนกธรรมนั้นตอไป. ในอกุศลจติ แมทั้งหมด ธรรมทัง้ ๑๐ เหลา นี้เทา นัน้ คือ ฉนั ทะอธโิ มกข มนสกิ าร มานะ อิสสา มจั ฉรยิ ะ ถนี ะ มิทธะ อุทธัจจะ กุกกจุ จะเปน เยวาปนกธรรมมาในพระสตู ร ยอมปรากฏในบทพระสูตร เพราะฉะน้นัขา พเจาจงึ กลา วไวในท่นี ้ี สว นในอกศุ ลจิตนมี้ เี ยวาปนกธรรม ๔ ประการกลาวคือเปน องคทแี่ นนอน คือ ฉนั ทะ อธโิ มกข มนสิการ อทุ ธจั จะ. ในบรรดาเยวาปนกธรรมเหลา นนั้ ธรรมมีฉันทะเปนตน พึงทราบโดยนยั ทก่ี ลาวแลว ในหนหลังน่นั แหละ ก็ธรรมมฉี ันทะเปนตน (ฉันทะ ๑อธโิ มกข ๑ มนสิการ ๑ ตตั รมชั ฌัตตตา ๑ ตามนยั ท่กี ลาวแลวนนั้ ) เปน กุศลอยางเดยี ว ธรรมมีฉนั ทะเปนตน (คอื ฉนั ทะ ๑ อธิโมกข ๑ มนสกิ าร ๑อุทธัจจะ ๑) เหลา น้เี ปน อกุศล. สวนธรรมนอกน้ี ความที่จิตฟุงซาน ชอ่ื วาอุทธัจจะ. อทุ ธจั จะน้ันมคี วามไมเ ขา ไปสงบเปน ลักษณะ (อวูปสมนลกฺขณ )เหมอื นนํ้ากระเพือ่ มเพราะลมพัด มคี วามไมตง้ั มนั่ เปนรส (อนวฏ านรส )เหมอื นธงชยั และธงแผน ผา พริว้ ไปเพราะลมพดั , มคี วามพลานไปเปน ปจ จุบัน-

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 10ฐาน (ภนฺตตตฺ ปจจฺ ุปฏาน ) มีความไมเ ขาไปสงบเหมอื นขี้เถาฟุงขนึ้ เพราะแผน หนิ ท่ีทมุ ลง, มคี วามมนสิการโดยอบุ ายไมแ ยบคายเปน ปทฏั ฐาน (เจตโสอวปู สโม อโยนโิ สมนสกิ ารปทฏาน ) พึงทราบวา เปนความฟุงซานแหง จิต. บทธรรม ๓๒ มผี สั สะเปนตน (มีอวิกเขปะเปนท่ีสุด) กบั บทธรรม๔ มีฉันทะเปนตน ท่ีตรัสดว ยอํานาจเยวาปนกธรรม รวมทัง้ หมดเปนบทธรรม๓๖ ในวาระแหง ธมั มุทเทสนี้. บทธรรมท่ีมาในบาลเี หลานนั้ ลดบทธรรมทีเ่ ปนเยวาปนกธรรมทแ่ี นน อน ๔ อยาง ออกแลว ก็เหลือ ๓๒ เทานั้น ดว ยประการฉะนี้. แตใ นอทุ เทสแหง อกศุ ลน้ี เพราะเวน ธรรมทไี่ มถ ือเอาจึงเปนธรรม ๑๖ บทคือ หมวดธรรม ๕ มีผัสสะเปน ตน * วิตก ๑ วจิ าร ๑ ปติ ๑ เอกัคคตาจติ ๑วริ ยิ ินทรยี  ๑ ชีวติ นิ ทรยี  ๑ มจิ ฉาทิฏฐิ ๑ โลภะ ๑ โมหะ ๑ อหิรกิ ะ ๑อโนตตปั ปะ ๑. บรรดาธรรม ๑๖ เหลาน้ัน ธรรม ๗ จําแนกไมไ ด ธรรม ๙ จําแนกไดธรรม ๗ ทีจ่ ําแนกไมได เปน ไฉน ? ธรรมทีจ่ าํ แนกไมไดเ หลาน้ีคือ ผสั สะสญั ญา เจตนา วจิ าร ปต ิ ชีวติ ินทรีย โมหะ สวนธรรมทจ่ี าํ แนกได ๙เหลา น้ี คอื เวทนา จติ วติ ก เอกัคคตาจิต วิรยิ นิ ทรยี  มิจฉาทิฏฐิ อหิรกิ ะอโนตตปั ปะ โลภะ. บรรดาธรรม ๑๖ อยางเหลานัน้ ธรรม ๖ อยางจาํ แนกได ๒ ฐานธรรมอยางหน่งึ จาํ แนกได ๓ ฐาน ธรรมอยางหนึ่งจําแนกได ๔ ฐาน และธรรมอกี อยางหนง่ึ จําแนกได ๖ ฐาน. เปน อยา งไร ? ธรรม ๖ อยา งเหลา นี้คือ จิต วิตก มิจฉาทฏิ ฐิ อหริ ิกพละ อโนตตปั ปพละ โลภะจําแนกได ๒ ฐาน. จริงอยู บรรดาธรรมท้ัง ๖ เหลา นัน้ จติ กอ นเพง ถงึผสั สปญ จกะเรียกวาจิต เพง ถึงอนิ ทรียเรยี กวามนินทรยี . วติ กเพงถงึ องคฌ าน* ผสั สะ เวทนา สัญญา เจตนา จติ

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 11ทงั้ หลายเรียกวา วิตก เพง ถงึ องคมรรคทงั้ หลายเรียกวา มจิ ฉาสงั กัปปะ. มจิ ฉาทิฏฐิก็เปน มิจฉาทิฏฐเิ หมอื นกนั ท้ังในองคม รรคทั้งในกรรมบถ. อหิรกิ ะเพง ถงึ พละทัง้ หลายเรียกวาอหิรกิ พละ เพง ถงึ หมวดสองแหงธรรมเปนเครอ่ื งยงั โลกใหพนิ าศเรยี กวาอหิริกะ แมในอโนตตัปปะก็นยั นีแ้ หละ. โลภะเพงถงึ มลู เรียกวาโลภะ เพง ถึงกรรมบถ เรยี กวา อภชิ ฌา. ธรรม ๖ อยางเหลา นี้ทา นจําแนกในฐานะทัง้ ๒ ดว ยประการฉะนี้. สวนเวทนาเพงถึงผสั สปญ จกะเรียกวาเวทนา เพง ถงึ องคฌ านทง้ั หลายเรยี กวา สขุ เพงถึงอินทรยี ท งั้ หลาย เรียกวา โสมนสั สินทรยี  ธรรม (เวทนา)อยา งเดยี วจําแนกได ๓ ฐานดวยประการฉะนี.้ กว็ ริ ิยะเพงถงึ อินทรยี ท้งั หลายเรยี กวา วริ ิยนิ ทรีย เพง ถึงองคมรรคท้ังหลาย เรียกวา มิจฉาวายามะ เพง ถงึพละ เรียกวา วริ ยิ พละ เพง ถงึ ธรรมปฏฐิทกุ ะ เรยี กวา ปคคาหะ ธรรม(วิรยิ ะ) อยา งเดยี วน้ที า นจําแนกไว ๔ ฐาน ดว ยประการฉะน้ี. ก็สมาธเิ พง ถงึองคฌานทงั้ หลาย เรยี กวา เอกัคคตาจิต เพงถงึ อินทรยี  เรียกวา สมาธินทรยี เพง ถงึ องคมรรคท้ังหลาย เรยี กวา มิจฉาสมาธิ เพงถึงพละท้งั หลาย เรยี กวาสมาธพิ ละ เพง ถึงธรรมปฏ ฐทิ ุกะ เรียกวา สมถะ ดวยสามารถแหง ธรรมหมวดหน่งึ ในทตุ ิยทกุ ะ เรียกวา อวิกเขปะ โดยทกุ ะที่สาม ธรรม (สมถะ)น้ีอยางเดยี วทานจําแนกไว ๖ ฐาน ดว ยประการฉะนี้. กธ็ รรมแมทั้งหมดเหลา น้นั จัดเปน ๙ กอง คือ ผัสสปญ จกะ ๑ องคฌาน ๑ อินทรยี  ๑ องคม รรค ๑ พละ ๑มลู ๑ กรรมบถ ๑ โลกนาสกธรรม ๑ ปฏ ฐทิ ุกะ ๑. บรรดาธรรม ๙ กองน้ัน กองน้นั คําใดท่ขี าพเจาพึงกลา ว คํานัน้ ขาพเจากลา วไวในนทิ เทสแหง กุศลจติ ดวงทหี่ นึง่ แลวแล. จบกถาวาดวยธัมมุทเทสวาร

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 12 บาลนี ทิ เทสวาร [๒๗๘] สญั ญา มใี นสมัยนนั้ เปนไฉน ? การจํา กิรยิ าท่จี าํ ความจํา อนั เกิดแตสมั ผสั แหงมโนวญิ ญาณธาตทุ ี่สมกัน ในสมัยน้นั อันใด น้ีชอื่ วา สญั ญา มใี นสมยั นน้ั . [๒๗๙] เจตนา มีในสมยั นัน้ เปน ไฉน ? การคิด กิรยิ าทค่ี ดิ ความคดิ อนั เกิดแตสัมผัสแหง มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยน้นั อนั ใด นี้ชื่อวา เจตนา มีในสมัยนน้ั . [๒๘๐] จิต มีในสมยั นน้ั เปน ไฉน ? จติ มโน มานัส หทยั ปณ ฑระ มโน มนายตนะ มนนิ ทรยี วญิ ญาณ วญิ ญาณขันธ มโนวิญญาณธาตทุ สี่ มกนั ในสมัยนัน้ อนั ใด น้ีชื่อวาจติ มีในสมัยนนั้ . [๒๘๑] วิตก มใี นสมยั นัน้ เปน ไฉน ? ความตรึก ความตรึกอยางแรง ความดําริ ความทจ่ี ติ แนบอยใู นอารมณ ความท่ีจิตแนบสนทิ อยใู นอารมณ ความยกจิตขนึ้ สอู ารมณ มิจฉา-สังกัปปะ ในสมัยนั้น อันใด นช้ี ่ือวา วิตก มีในสมัยน้ัน. [๒๘๒] วจิ าร มใี นสมัยนัน้ เปนไฉน ? ความตรอง ความพิจารณา ความตามพจิ ารณา ความเขา ไปพจิ ารณาความท่ีจิตสบื ตอ อารมณ ความท่ีจติ เพงดูอารมณ ในสมัยนนั้ อันใด น้ีชือ่ วาวจิ าร มีในสมยั น้นั . [๒๘๓] ปติ มีในสมัยน้ัน เปนไฉน ?

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 13 ความอม่ิ ใจ ความปราโมทย ความยนิ ดียงิ่ ความบันเทงิ ความราเริงความร่นื เรงิ ความปล้ืมใจ ความตนื่ เตน ความทจ่ี ติ ชื่นชมยนิ ดี ในสมัยนั้นอันใด นีช้ อ่ื วา ปต ิ มีในสมัยนนั้ . [๒๘๔] สขุ มีในสมยั น้นั เปน ไฉน ? ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณทส่ี บาย เปน สุขอันเกดิ แตเจโตสัมผัส กริ ยิ าท่ีเสวยอารมณที่สบายเปนสขุ อนั เกดิ แตเ จโตสัมผสัในสมัยนน้ั อันใด นี้ชือ่ วา สขุ มใี นสมัยนัน้ . [๒๘๕] เอกัคคตา มใี นสมัยนั้น เปนไฉน ? การตง้ั อยูแหงจิต ความดาํ รงอยแู หงจิต ความมัน่ อยแู หง จิต ความไมสา ยไปแหง จิต ความไมฟงุ ซานแหงจิต ภาวะทจ่ี ติ ไมสา ยไป ความสงบสมาธินทรีย สมาธพิ ละ มจิ ฉาสมาธิ ในสมัยนน้ั อนั ใด นช้ี ื่อวา เอกคั คตามใี นสมยั นนั้ . [๒๘๖] วิริยินทรีย มีในสมัยน้นั เปน ไฉน ? การปรารภความเพยี รทางใจ ความขะมกั เขมน ความบากบน่ั ความต้งั หนา ความพยายาม ความอตุ สาหะ ความทนทาน ความเขมแข็ง ความหม่ัน ความกาวไปอยา งไมท อ ถอย ความไมท อดทิง้ ฉันทะ ความไมท อดทง้ิธรุ ะ ความประคบั ประคองธรุ ะ วิริยะ อินทรยี ค ือวริ ิยะ วริ ิยพละ มจิ ฉาวายามะในสมัยนน้ั อนั ใด นช้ี ือ่ วา วิริยินทรยี  มใี นสมัยนัน้ . [๒๘๗] สมาธนิ ทรีย มใี นสมัยนนั้ เปนไฉน ? ความตง้ั อยแู หง จิต ความดํารงอยูแหง จติ ความมั่นอยแู หง จติ ความไมสายไปแหง จติ ความไมฟุง ซานแหงจิต ภาวะที่จติ ไมสายไป ความสงบ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 14อนิ ทรียคือสมาธิ สมาธพิ ละ มจิ ฉาสมาธิ ในสมยั นน้ั อันใด นีช้ ือ่ วาสมาธนิ ทรยี  มีในสมยั นนั้ . [๒๘๘] มนินทรีย มใี นสมัยนัน้ เปน ไฉน ? จิต มโน มานัส หทยั ปณฑระ มโน มนายตนะ อินทรียคือมโนวญิ ญาณ วิญญาณขนั ธ มโนวญิ ญาณธาตุทสี่ มกนั ในสมยั นนั้ อันใดน้ชี ือ่ วา มนนิ ทรยี  มีในสมัยน้นั . [๒๘๙] โสมนสั สนิ ทรยี  มใี นสมยั น้นั เปน ไฉน ? ความสบายทางใจ ความสขุ ทางใจ ความเสวยอารมณทสี่ บาย เปน สขุอนั เกดิ แตเจโตสัมผสั กริ ยิ าท่ีเสวยอารมณท ่สี บายเปนสขุ อนั เกิดแตเ จโตสมั ผัสในสมัยนัน้ อันใด น้ีช่ือวา โสมนสั สินทรียมีในสมยั นั้น. [๒๙๐] ชวี ิตนิ ทรีย มใี นสมยั นั้น เปนไฉน ? อายุ ความดํารงอยู ความเปน ไปอยู กิริยาทเี่ ปน ไปอยู อาการสบื เนอ่ื งกนั อยู ความประพฤตเิ ปนไปอยู ความหลอเล้ียงอยู ชวี ิต อินทรียค อื ชวี ติของนามธรรมนั้น ๆ ในสมัยนั้น อันใด น้ชี ื่อวา ชีวติ ินทรีย มใี นสมยั นั้น. [๒๙๑] มิจฉาทฏิ ฐิ มใี นสมยั นัน้ เปนไฉน ? ทิฏฐิ ความเหน็ ไปขางทิฏฐิ ปาชัฏคอื ทิฏฐิ กันดารคือทฏิ ฐิ ความเห็นเปน ขาศึกตอสมั มาทฏิ ฐิ ความผันแปรแหง ทฏิ ฐิ สัญโญชนคือทฏิ ฐิ ความยึดถือความยดึ มน่ั ความตัง้ ม่นั ความถือผิด ทางช่ัว ทางผดิ ภาวะที่ผดิ ลทั ธิเปน บอ เกดิ แหงความพนิ าศ การถือโดยวิปลาสในสมัยน้นั อันใด นช้ี ่อื วามิจฉาทิฏฐิ มใี นสมยั นั้น. [๒๙๒] มิจฉาสังกปั ปะ มใี นสมัยนน้ั เปน ไฉน ?

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 15 ความตรกึ ความตรกึ อยางแรง ความดําริ ความทจ่ี ติ แนบอยใู นอารมณ ความท่จี ติ แนบสนิทอยูในอารมณ ความยกจติ ข้ึนสอู ารมณ ความดาํ ริผิด ในสมยั นัน้ อันใด ท่ีช่ือวา มิจฉาสงั กปั ปะ มีในสมยั นั้น. [๒๙๓] มจิ ฉาวายามะ มใี นสมัยนนั้ เปน ไฉน ? การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขมน ความบากบน่ั ความต้งั หนา ความพยายาม ความอตุ สาหะ ความทนทาน ความเขมแขง็ ความหม่นัความกา วไปอยา งไมทอถอย ความไมท อดทิ้งฉันทะ ความไมทอดท้ิงธรุ ะความประคบั ประคองธุระ วิริยะ วริ ยิ นิ ทรยี  วิริยพละ ความพยายามผดิในสมยั นั้น อันใด นี้ชือ่ วา มจิ ฉาวายามะ มีในสมัยนน้ั . [๒๙๔] มจิ ฉาสมาธิ มใี นสมยั นัน้ เปน ไฉน ? ความตัง้ อยแู หงจติ ความดํารงอยูแ หงจติ ความมัน่ อยแู หงจิต ความไมสา ยไปแหงจิต ความไมฟ ุงซานแหง จติ ภาวะทจี่ ิตไมสายไป ความสงบสมาธินทรยี  สมาธิพละ ความต้ังใจผิด ในสมัยนัน้ อนั ใด นชี้ อ่ื วา มจิ ฉาสมาธิมใี นสมยั นัน้ . [๒๙๕] วิริยพละ มีในสมยั นน้ั เปน ไฉน ? ความปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขมน ความบากบ่ัน ความต้งั หนา ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเขม แขง็ ความหมั่น ความกา วหนา ไปอยา งไมท อถอย ความไมท อดทง้ิ ฉนั ทะ ความไมท อดท้งิธรุ ะ ความประคบั ประคองธุระ วริ ยิ ะ วิริยนิ ทรยี  กําลงั คอื วริ ิยะ มิจฉาวายามะในสมัยนั้น อันใด น้ชี ่ือวา วริ ยิ พละ มใี นสมัยนนั้ . [๒๙๖] สมาธิพละ มใี นสมยั น้นั เปนไฉน ?

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 16 ความต้ังอยแู หงจิต ความดํารงอยูแ หง จติ ความมั่นอยูแหงจติ ความไมสายไปแหง จติ ความไมฟงุ ซานแหง จติ ภาวะที่จิตไมส า ยไป ความสงบสมาธนิ ทรยี  กาํ ลงั คอื สมาธิ มิจฉาสมาธิ ในสมยั นน้ั อนั ใด น้ชี ือ่ วา สมาธิพละมีในสมัยนนั้ . [๒๙๗] อหิริกพละ มใี นสมยั น้ัน เปนไฉน ? กิริยาที่ไมล ะอายตอการประพฤติทุจรติ อนั เปน สงิ่ ทนี่ า ละอาย กริ ิยาทไ่ี มละอายตอ การประกอบอกุศลบาปธรรมท้งั หลาย ในสมยั น้ัน อนั ใด นชี้ ือ่ วาอหิริกพละ มใี นสมัยน้ัน. [๒๙๘] อโนตตปั ปพละ มใี นสมยั นนั้ เปน ไฉน กิริยาทีไ่ มเ กรงกลัวตอการประพฤตทิ ุจรติ อนั เปนสิง่ ทนี่ า เกรงกลัว กริ ยิ าท่ีไมเกรงกลวั ตอการประกอบอกศุ ลบาปธรรมทง้ั หลาย ในสมัยนัน้ อันใดนี้ชอ่ื วา อโนตตัปปพละมใี นสมัยนน้ั . [๒๙๙] โลภะ มใี นสมัยนัน้ เปนไฉน ? การโลภ กริ ยิ าทีโ่ ลภ ความโลภ การกาํ หนัดนกั กริ ิยาทก่ี ําหนัดนักความกําหนดั ความเพง เล็ง อกุศลมูลคอื โลภะ ในสมยั น้นั อนั ใด นี้ช่ือวาโลภะมีในสมัยน้ัน. [๓๐๐] โมหะ มใี นสมยั น้ัน เปนไฉน ? ความไมร ู ความไมเ ห็น ความไมตรสั รู ความไมร โู ดยสมควร ความไมรูตามความเปน จริง ความไมแทงตลอด ความไมถ ือเอาใหถ กู ตอ ง ความไมหย่ังลงโดยรอบคอบ ความไมพนิ ิจ ความไมพิจารณา ความไมกระทาํ ใหประจกั ษ ความทรามปญ ญา ความโงเ ขลา ความไมรชู ัด ความหลง ความลมุ หลง ความหลงใหล อวิชชา โอฆะคืออวิชชา โยคะคอื อวิชชา อนสุ ัย

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 17คืออวชิ ชา ปรยิ ฏุ ฐานคืออวิชชา ล่มิ คอื อวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ ในสมัยน้นัอันใด นช้ี อื่ วา โมหะ มใี นสมยั นนั้ . [๓๐๑] อภชิ ฌา มใี นสมัยนน้ั เปน ไฉน ? การโลภ กิรยิ าทีโ่ ลภ ความโลภ ความกาํ หนดั กริ ยิ าท่ีกาํ หนดัความกําหนดั นัก ความเพง เล็ง อกศุ ลมลู คือโลภะ ในสมยั น้ัน อันใด นี้ชอ่ื วาอภชิ ฌา มใี นสมัยนนั้ . [๓๐๒] มิจฉาทฏิ ฐิ มีในสมยั นนั้ เปน ไฉน ? ทฏิ ฐิ ความเปนไปขางทิฏฐิ ปา ชาคือทฏิ ฐิ กนั ดารคือทิฏฐิ ความเหน็เปน ขาศกึ ตอสัมมาทิฏฐิ ความผนั แปรแหง ทฏิ ฐิ สญั โญชน คอื ทฏิ ฐิ ความยึดถือ ความยดึ มนั่ ความต้ังมัน่ ความถือผดิ ทางชั่ว ทางผดิ ภาวะท่ีผิดลทั ธเิ ปนบอ เกิดแหง ความพินาศ การถอื โดยวิปลาส ในสมยั นัน้ อนั ใด นี้ช่ือวามจิ ฉาทิฏฐิ มใี นสมยั นั้น. [๓๐๓] อหิริกะ มใี นสมยั นัน้ เปนไฉน ? กริ ิยาท่ไี มละอายตอ การประพฤติทุจริตอนั เปนสง่ิ ทีน่ า ละอายกริ ิยาทีไ่ มละอายตอ การประกอบอกศุ ลบาปธรรมทง้ั หลาย ในสมัยน้ัน อันใด นี้ชอื่ วาอหิรกิ ะ มใี นสมยั น้ัน. [๓๐๔] อโนตตัปปะ มีในสมัยน้ัน เปนไฉน ? กิริยาที่ไมเ กรงกลัวตอการประพฤตทิ ุจริตอันเปน ส่ิงท่ีนา เกรงกลวักิริยาท่ไี มเกรงกลัวตอการประกอบอกศุ ลบาปธรรมทง้ั หลาย ในสมัยนั้น อนั ใดนีช้ ่ือวา อโนตตัปปะ มีในสมยั นัน้ . [๓๐๕] สมณะ มีในสมัยน้นั เปนไฉน ? ความต้ังอยแู หงจติ ความดํารงอยแู หงจติ ความมั่นอยูแหงจิต ความไมส ายไปแหง จิต ความไมฟงุ ซา นแหง จิต ภาวะทจ่ี ติ ไมสายไป ความสงบ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 18สมาธนิ ทรยี  สมาธิพละ มิจฉาสมาธิ ในสมยั นน้ั อนั ใด นชี้ อื่ วา สมถะมใี นสมยั นั้น. [๓๐๖] ปค คาหะ มใี นสมัยนนั้ เปน ไฉน ? การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขมน ความบากบัน่ ความตงั้ หนา ความพยายาม ความอตุ สาหะ ความทนทาน ความเขม แขง็ ความหมัน่ความกาวไปอยา งไมท อถอย ความไมทอดท้ิงฉันทะ ความไมท อดท้ิงธรุ ะความประดบั ประคองธุระ วิรยิ ะ วริ ยิ ินทรยี  วิรยิ พละ มจิ ฉาวายามะ ในสมยั นนั้อันใด นชี้ อื่ วา ปคคาหะ มีในสมยั นั้น. [๓๐๗] อวกิ เขปะ มใี นสมัยน้ัน เปนไฉน ? ความต้งั อยูแหงจติ ความดํารงอยูแ หง จิต ความมั่นอยแู หง จติ ความสายไปแหง จิต ความไมฟงุ ซา นแหง จิต ภาวะทจ่ี ติ ไมส ายไป ความสงบสมาธินทรยี  สมาธพิ ละ มิจฉาสมาะ ในสมยั นน้ั อนั ใด นช้ี อ่ื วา อวกิ เขปะมใี นสมัยนนั้ . [๓๐๘] หรือนามธรรมท่อี งิ อาศยั เกดิ ขึ้นแมอ นื่ ใด มีอยใู นสมยั น้ัน สภาวธรรมเหลาน้ชี ่ือวา ธรรมเปนอกุศล. [๓๐๙] ก็ขันธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อนิ ทรยี  ๕ฌานมอี งค ๕ มรรคมีองค ๔ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ธรรมธาตุ ๑ มใี นสมยั นนั้ หรือนามธรรมทอี่ งิ อาศยั เกิดขน้ึ แมอน่ื ใด มอี ยูใ นสมัยนน้ั สภาวธรรมเหลา นชี้ ่อื วา ธรรมเปน อกุศล. [๓๑๐] สังขารขนั ธ มีในสมยั นนั้ เปน ไฉน ?

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 19 ผัสสะ เจตนา วติ ก วจิ าร ปติ เอกัคคตา วริ ยิ ินทรีย สมาธินทรียชีวิตินทรีย มิจฉาทฏิ ฐิ มจิ ฉาสงั กัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละสมาธิพละ อหริ กิ พละ อโนตตัปปพละ โลภะ โมหะ อภิชฌา มจิ ฉาทฏิ ฐิอหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปคคาหะ อวกิ เขปะ หรือนามธรรมท่อี ิงอาศยัเกิดข้ึนแมอน่ื ใด เวนเวทนาขันธ สญั ญาขันธ วญิ ญาณขันธ มอี ยูใ นสมัยนัน้นี้ชือ่ วา สังขารขันธ มีในสมยั น้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลานน้ั ชอื่ วา ธรรมเปนอกุศล. อรรถกถาแสดงนิทเทสวาร พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยนิทเทสเอกัคคตาแหง จิตในนทิ เทสวารกอ น. สองบทนีท้ ี่ตรสั วา สณฺิติ (ความดํารงอย)ู อวฏิติ (ความมนั่อยู) เปน คาํ ไวพจนข องบท ฐิติ (ความต้ังอยู) นน่ั แหละ สวนคาํ ใดทก่ี ลา วไวในนทิ เทสแหงกศุ ลวา ช่อื วา อวฏติ ิ (ความม่ันอย)ู เพราะอรรถวา หย่งั ลงคอื เขา ไปสอู ารมณแ ลวตงั้ อยู ดงั น้ี คํานั้นไมไดในนทิ เทสแหงอกุศลน้ี เพราะวาในอกุศล เอกคั คตาแหงจิตมกี าํ ลงั ทราม เพราะฉะนั้น สองบทวา (สณฺิติและอวฏติ )ิ น้ี ขาพเจา แสดงไวใ นบทหลังตามทก่ี ลา วแลวนั้นแล. ธรรมทีช่ ่อื วา อวสิ าหาโร (ความไมส ายไปแหงจิต) เพราะเปนสภาพตรงกนั ขา มกับความสา ยไป ซง่ึ เปน ไปดว ยอํานาจอทุ ธัจจะและวจิ กิ จิ ฉาเพราะฉะนั้น ในนทิ เทสแหงอกศุ ลน้ี จึงไมไดอรรถะแมเ ชนน้ี แตใ นสหชาต-ธรรม จิตชือ่ วา อวิสาหาร เพราะอรรถวา ยอมไมส ายไป. ทีช่ ื่อวา อวกิ เขปะ

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 20(ความไมฟ งุ ซาน) เพราะอรรถวา ยอ มไมฟ งุ ไป. ภาวะแหง ใจทไ่ี มส ายไปดว ยสามารถเอกคั คตาแหงจิตทเ่ี ปนอกศุ ล ช่อื วา อวสิ าหฏมานสตา (ภาวะทีจ่ ติไมสายไป). ท่ีชอ่ื วา สมาธิพละ เพราะอรรถวา ยอมไมห วั่นไหวในสหชาตธรรมทง้ั หลาย. ท่ชี อื่ วา มิจฉาสมาธิ เพราะตั้งม่ันตามความไมเปน จริง พึงทราบเนือ้ ความในอธกิ ารแหง อกุศลน้ี อยา งน้ี. พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในนิทเทสแหงวิรยิ ินทรียตอ ไป. นัยมีอาทิวา ก็นี้เปนความบากบน่ั เพือ่ บรรเทากามทั้งหลาย อันใดที่ขาพเจา กลาวในหนหลัง นัยนนั้ ยอ มไมไดในนิทเทสแหง อกุศลนี้. พึงทราบวาชือ่ วา วิริยพละ ดวยอรรถวาไมห วั่นไหวในสหชาตธรรมท้ังหลายเทานั้น. พึงทราบวินิจฉยั ในนทิ เทสแหง มิจฉาทิฏฐติ อ ไป. สภาวะที่ช่ือวา มจิ ฉาทิฏฐิ ดว ยอรรถวา เห็นตามความไมเ ปน จรงิ .ทช่ี ่อื วา ทฏิ ฐิคตะ (ความเห็นไปขางทิฏฐิ) เพราะอรรถวา ความเหน็ น้ีเปนไปในทฏิ ฐิท้งั หลาย เพราะเปน สภาวะหยัง่ ลงภายในทฏิ ฐิ ๖๒. เนอื้ ความแหง ทิฏฐแิ มนขี้ า พเจากลาวแลว ในหลังน่ันแหละ. ทฏิ ฐินนั่ แหละ ช่อื วาทิฏฐคิ หณะ (ปา ชฏั คือทฏิ ฐ)ิ เพราะอรรถวา กา วลว งไปโดยยาก เหมอื นชัฏหญาชฏั ปา ชัฏภเู ขา. ทิฏฐินนั่ แหละ ชอ่ื วา ทฏิ ฐกิ นั ดาร (กันดารคือทิฏฐ)ิ ดวยอรรถวา นาระแวงและมภี ยั เฉพาะหนา เหมอื นกนั ดารโจร กันดารสัตวรายกนั ดารทราย กนั ดารนํ้า กนั ดารทุพภกิ ขภยั . ที่ชอ่ื วา ทิฏฐวิ สิ กู ายกิ ะ (ความเหน็ เปน ขาศกึ ตอ สัมมาทฏิ ฐิ) ดว ยอรรถวาขัดแยงและทวนกนั สัมมาทฏิ ฐ.ิ จรงิอยู ความเหน็ ผคิ เมื่อเกิดยอมขัดแยง และทวนสัมมาทฏิ ฐิไป ท่ีช่ือวา ทฏิ ฐิวิป-ผนั ทิตะ (ความผันแปรแหง ทฏิ ฐิ) เพราะอรรถวา ผันแปรผดิ รปู แหง ทิฏฐิเพราะบางคราวกถ็ ือเอา ความเที่ยง บางคราวก็ถอื เอาความขาดสูญ เพราะวา

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 21คนผูมีความเห็นผดิ ยอ มไมอ าจตั้งอยใู นสงิ่ เดยี ว คือบางคราวก็คลอยตามความเทยี่ ง บางคราวก็คลอ ยตามความขาดสูญ. ทฏิ ฐินั่นแหละ ชอื่ วา สัญโญชนดวยอรรถวาเปนเคร่ืองผูก เพราะฉะนั้น จึงชอื่ วา ทฏิ ฐิสัญโญชน. ทชี่ ่ือวาคาหะ (ความยึดถอื ) เพราะอรรถวา ยอมยดึ อารมณไวม ่ัน เหมือนสัตวร ายมีจระเขเ ปนตน เอาปากงบั คนไวม นั่ ฉะนั้น. ท่ีชื่อวา ปตฏิ ฐวาหะ* (ความตัง้ มนั่ )เพราะตัง้ ไวโดยเฉพาะ จริงอยู ความต้ังมน่ั นี้ ต้งั ม่นั แลวยดึ ไวโดยความเปนไปอยางมกี าํ ลงั . ทีช่ ่ือวา อภนิ ิเวสะ (ความยดึ มั่น) เพราะอรรถวา ยอ มต้งั มนั่ โดยความเปนของเทีย่ งเปนตน ทีช่ ่อื วา ปรามาสะ (ความถือผิด)เพราะอรรถวา กา วลว งสภาวธรรมแลว ถอื เอาโดยประการอื่นดว ยอาํ นาจแหงความเทีย่ งเปน ตน . ที่ชอ่ื วา กุมมคั คะ (ทางชั่ว) เพราะอรรถวา เปน ทางอนั บณั ฑิตเกลียด เพราะเปน ทางนาํ ความพินาศมาให หรอื เปน ทางแหงอบายท้งั หลายท่บี ัณฑติ เกลยี ด. ทชี่ ื่อวา มิจฉาปถะ (ทางผดิ ) เพราะเปน ทางตามความไมเ ปนจรงิ ทชี่ อื่ วา มิจฉัตตะ (ภาวะทีผ่ ิด) เพราะเปนสภาพผิดเหมอื นกนั . เหมือนอยางวา ชนผหู ลงทิศ แมยึดถือวา ทางนีช้ อ่ื ทางของบานโนนดงั นี้ กไ็ มย ังบคุ คลนั้นใหถึงบา นได ฉันใด บุคคลผมู จิ ฉาทฏิ ฐิ แมยึดถอื วาทางนีเ้ ปนไปสสู ุคติ ดังนี้ ก็ไมส ามารถถงึ สคุ ตไิ ด ฉนั นน้ั . ชอื่ วา ทางผิดเพราะเปน ทางตามความไมเปน จรงิ ทางนี้ ชื่อวา มิจฉัตตะ เพราะมีสภาพผดิ .ที่ช่อื วา ติตถะ (สัทธเิ ปน ดังทา) เพราะเปนที่ ๆ พวกคนพาลขา มไป โดยการหมนุ ไปมาในท่ีนนั้ นนั้ แหละ ตติ ถะ (คือลทั ธ)ิ นน้ั ดวย เปนอายตนะ (บอ เกิด)แหง ความฉิบหายดว ย เพราะเหตนุ ้ัน จึงชอื่ วา ตติ ถายตนะ (ลัทธเิ ปนบอ เกดิ แหง ความพนิ าศ). อีกอยา งหนง่ึ ชื่อวา ตติ ถายตนะ เพราะอรรถวาเปน อายตนะดว ยความหมายเปนสวนสญั ชาติ และดวยความหมายวา เปนท่ีอาศยั* ในธรรมสงั คณิเปนปฏิคคฺ าโห

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 22ของพวกเดียรถียบา ง. ท่ีชือ่ วา วิปรเิ ยสคั คาหะ (การถือโดยวิปลาส) เพราะอรรถวา เปน การถอื สภาวะทใี่ ครครวญผดิ หรือวาเปนการถอื สภาวะโดยตรงกันขาม อธบิ ายวา ถอื เอาคลาคเคลอ่ื น. พึงทราบวินจิ ฉยั ในนิทเทสแหงอหิรกิ ะและอโนตตปั ปะตอ ไป. บัณฑิตพึงทราบเนอ้ื ความแหงอหริ ิกะและอโนตตปั ปะโดยปริยายตรงกนั ขามในนทิ เทสแหงหิรแิ ละโอตตปั ปะ กบ็ ัณฑติ พงึ ทราบอหริ กิ พละและอโนตตปั ปพละเพราะอรรถวาไมห ว่ันไหวในสหชาตธรรมท้งั หลายเทา น้ัน. พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในนทิ เทสแหงโลภะและโมหะตอไป สภาวะที่ช่ือวา โลภะ เพราะอรรถวา อยากได. อาการที่โลภ ชอ่ื วาลุพภนา (กิริยาที่โลภ) จิตทีส่ ัมปยุตดว ยโลภะ หรือบุคคลผูป ระกอบดว ยความโลภ ช่อื วา ลุพภติ ะ ภาวะแหง จติ ทสี่ มั ปยุตดวยโลภะหรอื แหง บุคคลผูประกอบดวยความโลภ ชื่อวา ลุพภิตตั ตะ (ความโลภ) ทช่ี ื่อวา สาราคะ(ความกาํ หนัด) เพราะยอ มกําหนดั นัก. อาการแหง ความกาํ หนัดนัก ช่อื วาสารชั ชนา (กิรยิ าที่กาํ หนดั นกั ). ภาวะแหงจิตทีก่ ําหนัดนกั ชื่อวา สารชั ช-ิตตั ตะ (ความกําหนดั ). ชอื่ วา อภิชฌา ดว ยอรรถวาเพงเล็ง. การณะ (เหต)ุ พระผูมีพระภาคเจาตรัสโดยศัพทวาโลภะอีก เพราะโลภะน้ันเปน อกศุ ลดว ย เปนมูลดวย จงึ ชือ่ วา อกุศลมลู อกี อยา งหนึง่โลภะนัน้ เปนมูลของอกุศลท้งั หลาย เพราะเหตนุ ้ัน จึงชือ่ วา อกศุ ลมูล. สภาวะท่ชี อ่ื วา อัญญาณ (ความไมร )ู เพราะปฏปิ กษตอ ญาณ. ท่ีชื่อวาอทสั สนะ (ความไมเ ห็น) เพราะปฏปิ ก ษตอ ความเห็น. ท่ชี อื่ วา อนภิสมยัความไมตรัสรู) เพราะอรรถวา เปนสภาพเผชิญหนา ก็ไมตรัสรตู ามธรรมไดคอื ยอ มไมถ งึ โดยชอบ. ที่ชอื่ วา อนโุ พธะ (ตรัสรโู ดยสมควร) เพราะอรรถวา

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 23ยอมตรสั รูธรรมโดยสมควร ท่ชี อื่ วา อนนุโพธะ (การไมตรสั รูธ รรมโดยสมควร) เพราะความท่อี นนุโพธะน้นั เปน ปฏปิ กษต ออนุโพธะนัน้ . ที่ชื่อวาอสมั โพธะ (ไมร ตู ามเปนจรงิ ) เพราะอรรถวา ไมป ระกอบกบั สภาวะทัง้ หลายมคี วามไมเ ท่ยี งเปน ตน แลวตรสั รู. ชอ่ื วา อสมั โพธะ เพราะอรรถวา ไมสงบและไมชอบ ดังนบี้ าง. ท่ชี ่อื วา อปั ปฏเิ วธะ (ไมแทงตลอด) เพราะอรรถวา ยอมไมแ ทงตลอดธรรมคือสัจจะ ๔. ที่ชื่อวา อสงั คาหณา (ไมถ อืเอาใหถกู ตอง) เพราะอรรถวา ยอมไมถือเอาพรอ มแมธรรมหนึง่ ในธรรมมีรูปเปนตน โดยสามัญลกั ษณะมคี วามไมเ ทยี่ งเปน ตน. ทช่ี ่อื วา อปริโยคา-หณา (ไมหยงั่ ลงโดยรอบคอบ) เพราะอรรถวา ยอ มไมห ยงั่ ลงสูธ รรมนั้นนน่ั แหละ. ทีช่ ่ือวา อสมเปกขนา (ความไมพินิจ) เพราะอรรถวา ยอ มไมเพงโดยสมํ่าเสมอ. ทีช่ ือ่ วา อปจจเวกขณา (ความไมพิจารณา) เพราะอรรถวา ยอมไมเ พงเฉพาะสภาวะแหง ธรรมทัง้ หลาย. ทีช่ อื่ วา อปจ จกั ขกัมมะ(การไมท าํ ใหป ระจกั ษ) เพราะอรรถวา กรรมแมขอหนง่ึ ก็ไมประจกั ษแกสภาวะน้ใี นบรรดากศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรมท้งั หลายดว ยความเปน ไปโดยวปิ ริตบางดวยไมม กี ารกําหนดโดยสภาวะบาง อีกอยา งหน่ึง ชอื่ วา การทาํ ใหป ระจกั ษแกธรรมไร ๆ เองมไิ ดม ี เพราะฉะนนั้ จงึ ชอ่ื วา อปจ จกั ขกมั มะ. ท่ีช่อื วาทมุ เมชฌะ (ความทรามปญญา) เพราะอรรถวา เม่อื โมหะน้ียังไมเกดิ ขน้ึจิตสันดานใด พงึ เปนจิตบริสุทธิ์ คือสะอาดผอ งแผว จิตสันดานอันบริสุทธ์ินัน้ อนั โมหะน้ีประทษุ รายแลว . ทช่ี ื่อวา พาลยะ (ความโงเขลา) เพราะอรรถวา เปนภาวะของพวกคนพาล. ทีช่ ่อื วา โมหะ (ความหลง) เพราะอรรถวา ยอมหลง. โมหะมีกาํ ลังแรงชื่อวา ปโมหะ (ความลมุ หลง) ทชี่ ่ือวาสัมโมหะ (หลงใหล) เพราะอรรถวา ยอ มหลงโดยรอบ. ท่ีช่อื วา อวชิ ชาเพราะอรรถวา ไมใ ชว ชิ ชาเพราะเปน ปฏปิ กษต อ วิชชา ความหมายของโอฆะ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 24โยคะ และคัณฐะ ขา พเจากลาวไวแ ลว ทง้ั น้ัน. ท่ชี ่ือวา อนุสัย เพราะอรรถวายอ มนอนเนื่อง โดยอรรถวา มีกําลัง. ทช่ี ื่อวา ปรยิ ุฏฐาน เพราะอรรถวายอ มกลมุ รมุ คอื ครอบงําจิต. ทีช่ อื่ วา ลงั คี (ลม่ิ ) เพราะอรรถวา ยอ มไมอาจเพื่อไปมุงหนา เฉพาะตอประโยชน ยอ มติดโดยแท เพราะไมม กี ารถือเอาประโยชนไ ด คือ ยอ มไปลาํ บาก. อีกอยา งหนง่ึ ชอื่ วา ลงั คี เพราะอรรถวา ถอนข้นึ ไดย าก. เหมือนอยา งวา ล่ิมกลา วคอื กลอนเหล็กใหญเ ปนของถอนขน้ึ โดยยาก ฉนั ใดอวิชชาเห็นก็ฉันน้ัน เปน ราวกะลิ่ม เพราะฉะนั้น อวิชชานั้น จึงชอ่ื วา ลังคี (ล่มิ ). คาํ ทเ่ี หลอื มีเนือ้ ความงา ยท้ังน้ัน เพราะฉะนน้ั พึงทราบแมส งั คหวาระและสุญญตวาระโดยอรรถะ ดว ยนยั ที่กลาวไวใ นหนหลงั นัน่ แล. จบอกุศลจติ ดวงที่หน่งึ จติ ดวงที่ ๒ [๓๑๑] ธรรมเปนอกศุ ล เปนไฉน ? อกศุ ลจิต สหรคตดวยโสมนสั สัมปยตุ ดวยทฏิ ฐิ มีรูปเปนอารมณ ฯลฯมธี รรมเปนอารมณ ก็หรอื วาปรารภอารมณใด ๆ เกดิ ขึน้ โดยมกี ารชกั จงู ในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลานี้ชื่อวา ธรรมเปน อกุศล ฯลฯ

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 25 จติ ดวงที่ ๓ [๓๑๒] ธรรมเปนอกุศล เปน ไฉน ? อกศุ ลจติ สหรคตดวยโสมนสั วิปปยุตจากทิฏฐิ มรี ูปเปน อารมณหรอื มเี สียงเปนอารมณ มีกล่นิ เปนอารมณ มีรสเปน อารมณ มีโผฏฐัพพะเปนอารมณ มีธรรมเปนอารมณ หรือปรารภอารมณใ ด ๆ เกิดข้ึนในสมยั ใดผสั สะ เวทนา สญั ญา เจตนา จติ วติ ก วจิ าร ปติ สขุ เอกัคคตา วริ ิยินทรียสมาธนิ ทรีย มนินทรีย โสมนสั สินทรยี  ชวี ิตินทรีย มิจฉาสังกปั ปะ มิจฉาวายามะมิจฉาสมาธิ วิรยิ พละ สมาธิพละ อหิรกิ พละ โอตตัปปพละ โลภะ โมหะอภชิ ฌา อหริ กิ ะ อโนตตปั ปะ สมถะ ปคคาหะ อวกิ เขปะ มีอยูในสมัยน้ันหรือนามธรรมทอี่ ิงอาศัยเกิดขนึ้ แมอน่ื ใด มีอยใู นสมยั นน้ั สภาวธรรมเหลา น้ีชือ่ วา ธรรมเปนอกุศล ฯลฯ [๓๑๓] กข็ นั ธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย ๕ฌานมอี งค ๕ มรรคมีองค ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผสั สะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนนั้ หรอื นามธรรมทอี่ ิงอาศยั เกดิ ขึน้ แมอ น่ื ใด มีอยใู นสมยั น้นั สภาวธรรมเหลา นชี้ ื่อวา ธรรมเปน อกศุ ล ฯลฯ [๓๑๔] สงั ขารขันธ มีในสมัยน้ัน เปนไฉน ? ผัสสะ เจตนา วติ ก วจิ าร ปติ เอกัคคตา วริ ิยนิ ทรีย สมาธนิ ทรียชวี ิตินทรยี  มจิ ฉาสังกัปปะ มจิ ฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ วิรยิ พละ สมาธพิ ละอหิริกพละ โลภะ โมหะ อภิชฌา อหริ กิ ะ อโนตตัปปะ สมถะ ปค คาหะอวกิ เขปะ หรอื นามธรรมที่อิงอาศัยเกดิ ขึ้น แมอนื่ ใด เวน เวทนาขนั ธ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 26สญั ญาขนั ธ วิญญาณขันธ มีอยูในสมยั นั้น น้ชี ือ่ วา สังขารขนั ธ มใี นสมัยใด ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นช้ี ่ือวา ธรรมเปน อกศุ ล ฯลฯ จิตดวงท่ี ๔ [๓๑๕] ธรรมเปนอกศุ ล เปน ไฉน ? อกุศลจติ สหรคตดว ยโสมนสั วปิ ปยุตจากทิฏฐิ มีรปู เปน อารมณ ฯลฯมีธรรมเปนอารมณ หรือปรารภอารมณใ ด ฯลฯ เกดิ ขึ้นโดยมีการชกั จูง ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยน้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นช้ี อ่ื วา ธรรมเปนอกศุ ล ฯลฯ จติ ดวงท่ี ๕ [๓๑๖] ธรรมเปน อกุศล เปนไฉน ? อกศุ ลจิต สหรคตดว ยอุเบกขา สมั ปยุตดวยทฏิ ฐิ มีรูปเปน อารมณหรือมเี สียงเปนอารมณ มกี ลิน่ เปนอารมณ มีรสเปน อารมณ มโี ผฏฐพั พะเปนอารมณ มธี รรมเปนอารมณ หรอื ปรารภอารมณใ ด ๆ เกิดข้นึ ในสมัยใดผสั สะ เวทนา สัญญา เจตนา จติ วติ ก วจิ าร อเุ บกขา เอกคั คตา วริ ิยนิ ทรียสมาธนิ ทรีย มนินทรีย อุเปกขนิ ทรีย ชีวติ ินทรยี  มิจฉาสังกัปปะ มจิ ฉาวายามะมิจฉาสมาธิ วริ ิยพละ สมาธพิ ละ อหิรกิ พละ อโนตตปั ปพละ โลภะ โมหะอภชิ ฌา มิจฉาทฏิ ฐิ อหริ ิกะ อโนตตปั ปะ สมถะ ปค คาหะ อวิกเขปะมใี นสมัยน้ัน หรอื นามธรรมท่อี งิ อาศัยเกดิ ขน้ึ แมอน่ื ใด มีอยูใ นสมยั นน้ั สภาวธรรมเหลา นีช้ อื่ วา ธรรมเปน อกุศล.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 27 [๓๑๗] ผัสสะ มีในสมัยน้นั เปนไฉน ? การกระทบ กิรยิ าท่ีกระทบ กิริยาท่ีถูกตอง ความถกู ตองในสมัยนั้นอนั ใด นชี้ อื่ วา ผสั สะ มใี นสมยั นั้น เวทนา มใี นสมัยน้ัน เปนไฉน ? ความสบายทางใจกไ็ มใช ความไมส บายทางใจก็ไมใช อันเกิดแตสมั ผัสแหง มโนวิญญาณธาตุที่สมกนั ความเสวยอารมณที่ไมท ุกขไมส ุข อันเกดิแตเจโตสมั ผสั กิริยาเสวยอารมณท ไี่ มทุกขไ มส ุข อนั เกิดแตเ จโตสมั ผสั ในสมยั นั้น อนั ใด น้ีชอ่ื วา เวทนา มใี นสมยั นั้น ฯลฯ อุเบกขา มีในสมัยน้ัน เปน ไฉน ? ความสบายทางใจกไ็ มใ ช ความไมส บายทางใจกไ็ มใช ความเสวยอารมณที่ไมท ุกขไ มสุข อันเกดิ แตเจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณท ไี่ มทกุ ขไมสขุ อันเกิดแตเ จโตสัมผสั ในสมยั นัน้ อันใด นี้ชื่อวา อเุ บกขา มีในสมยั นั้น ฯลฯ อเุ ปกขนิ ทรีย มใี นสมยั นน้ั เปนไฉน ? ความสบายทางใจกไ็ มใช ความไมส บายทางใจกไ็ มใ ช ความเสวยอารมณที่ไมทกุ ขไ มสุขอนั เกดิ แตเ จโตสมั ผัส กิรยิ าเสวยอารมณทีไ่ มทุกขไมสุขอนั เกดิ แตเ จโตสัมผสั กิรยิ าเสวยอารมณท่ีไมท กุ ขไ มส ุขอนั เกดิ แตเจโตสมั ผัสในสมัยนั้น อันใด น้ีชือ่ วา อเุ ปกขนิ ทรยี  มีในสมัยนั้น ฯลฯ หรือนามธรรมท่ีองิ อาศัยเกิดขึน้ แมอ นื่ ใด มีอยใู นสมยั นั้น สภาวธรรมเหลานน้ั ชอ่ื วา ธรรมเปน อกศุ ล. [๓๑๘] ก็ขันธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อนิ ทรยี  ๕ฌานมีองค ๔ มรรคมีองค ๔ พละ ๕ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 28ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรอื นามธรรมทอ่ี งิ อาศยั เกดิ ขน้ึ แมอันใด มีอยใู นสมัยนัน้ สภาวธรรมเหลา น้ชี ื่อวา ธรรมเปน อกุศล ฯลฯ [๓๑๙] สังขารขันธ มีในสมัยนัน้ เปน ไฉน ? ผัสสะ เจตนา วติ ก วิจาร เอกคั คตา วิริยนิ ทรีย สมาธินทรยี ชวี ติ นิ ทรีย มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสงั กปั ปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วริ ยิ พละสมาธิพละ อหิรกิ พละ อโนตตปั ปะ โลภะ โมหะ อภิชฌา มจิ ฉาทฏิ ฐิอหริ กิ ะ อโนตตปั ปะ สมถะ ปค คาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมท่อี งิ อาศัยเกดิ ข้นึ แมอนื่ ใด เวน เวทนาขันธ สญั ญาขันธ วญิ ญาณขันธ มอี ยูในสมัยนั้นน้ีชอื่ วา สงั ขารขนั ธ มใี นสมยั น้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลานีช้ ่ือวา ธรรมเปนอกุศล ฯลฯ จิตดวงที่ ๖ [๓๒๐] ธรรมเปนอกุศล เปนไฉน ? อกศุ ลจติ สหรตดวยอุเบกขา สมั ปยตุ ดวยทิฏฐิ มรี ปู เปน อารมณฯลฯ มีธรรมเปนอารมณ หรอื ปรารภอารมณใด ๆ เกดิ ขึ้นโดยมีการชักจงูในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นี้ชอื่ วา ธรรมเปนอกศุ ล ฯลฯ จิตดวงท่ี ๗ [๓๒๑ ] ธรรมเปน อกุศล เปนไฉน ? อกุศลจติ สหรคตดว ยอเุ บกขา วปิ ปยตุ จากทฏิ ฐิ มีรปู เปน อารมณหรอื มีเสียงเปนอารมณ มีกลิน่ เปนอารมณ มรี สเปน อารมณ มโี ผฏฐัพพะเปน

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 29อารมณ มธี รรมเปน อารมณ หรือปรารภอารมณใ ด ๆ เกดิ ข้นึ ในสมัยใดผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วติ ก วิจาร อเุ บกขา เอกัคคตาวิริยนิ ทรยี  สมาธนิ ทรีย มนนิ ทรีย อุเปกขินทรยี  ชีวติ นิ ทรยี  มจิ ฉาสังกปั ปะมจิ ฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วริ ิยพละ สมาธพิ ละ อหริ กิ พละ อโนตตปั ปพละโลภะ โมหะ อภชิ ฌา อหิรกิ ะ อโนตตปั ปะ สมถะ ปค คาหะ อวกิ เขปะ มใี นสมยั นน้ั หรอื นามธรรมท่อี ิงอาศยั เกิดขึ้นแมอ ืน่ ใด มีอยใู นสมัยนัน้ สภาวธรรมเหลา น้ีชอื่ วา ธรรมเปนอกุศล ฯลฯ [๓๒๒] ก็ขนั ธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย ๕ ฌานมีองค มรรคมีองค ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ ธรรม-ธาตุ ๑ มใี นสมยั นัน้ หรอื นามธรรมทอี่ ิงอาศยั เกดิ ขน้ึ แมอ ืน่ ใด มีอยใู นสมัยนั้น สภาวธรรมเหลา นชี้ อื่ วา ธรรมเปน อกศุ ล ฯลฯ [๓๒๓] สงั ขารขนั ธ มใี นสมยั นั้น เปน ไฉน ? ผัสสะ เจตนา วติ ก วิจาร เอกคั คตา วิรยิ นิ ทรีย สมาธินทรียชีวิตนิ ทรีย มจิ ฉาสังกัปปะ มจิ ฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วริ ิยพละ สมาธิพละอหิรกิ พละ อโนตตัปปพละ โลภะ โมหะ อภิชฌา อหริ ิกะ อโนตตปั ปะสมถะ ปคคาหะ อวกิ เขปะ หรือนามธรรมทอี่ ิงอาศัยเกดิ ขนึ้ แมอื่นใด เวนเวทนาขันธ สัญญาขนั ธ วญิ ญาขนั ธ มีอยใู นสมยั นัน้ นชี้ อื่ วา สังขารขนั ธมใี นสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ีชื่อวา ธรรมเปน อกุศล.

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 30 จติ ดวงที่ ๘ [๓๒๔] ธรรมเปน อกศุ ล เปนไฉน ? อกุศลจิต สหรคตดว ยอุเบกขา วปิ ปยุตดว ยทฏิ ฐิ มีรปู เปนอารมณฯลฯ มีธรรมเปนอารมณ หรือปรารภอารมณใด ๆ เกิดขน้ึ โดยมีการชักจงูในสมยั ใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมัยนน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานีช้ ื่อวา ธรรมเปน อกศุ ล ฯลฯ จติ ดวงที่ ๙ [๓๒๕] ธรรมเปนอกุศล เปน ไฉน ? อกศุ ลจิต สหรคตดวยโทมนัส สัมปยตุ ดวยปฏฆิ ะ มีรปู เปน อารมณหรือมเี สยี งเปน อารมณ มกี ลนิ่ เปนอารมณ มรี สเปนอารมณ มีโผฏฐัพพะเปนอารมณ มธี รรมเปน อารมณ หรอื ปรารภอารมณใ ด ๆ เกดิ ขึ้นในสมยั ใดผสั สะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วติ ก วิจาร ทุกข เอกคั คตา วิริยนิ ทรยี สมาธินทรยี  มนนิ ทรยี  โทมนัสสินทรยี  ชีวติ นิ ทรีย มจิ ฉาสงั กัปปะ มิจฉา-วายามะ มจิ ฉาสมาธิ วริ ิยพละ สมาธพิ ละ อหริ กิ พละ อโนตตัปปพละ โทสะโมหะ พยาปาทะ อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ สมถะ ปคคาหะ อวกิ เขปะ มีในสมยั นน้ั หรอื นามธรรมท่ีอิงอาศยั เกิดขนึ้ แมอ่ืนใด มอี ยูในสมัยน้นั สภาวธรรมเหลานชี้ ่อื วา ธรรมเปน อกุศล. [๓๒๖] ผัสสะ มใี นสมัยนน้ั เปนไฉน ? การกระทบ กริ ิยาท่ีกระทบ กิริยาท่ถี ูกตอง ความถกู ตอง ในสมยั น้ันอันใด นีช้ ่อื วา ผสั สะมีในสมัยนั้น เวทนา มีในสมยั นนั้ เปนไฉน ?

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 31 ความไมส บายทางใจ ความทุกขท างใจอนั เกิดแตสัมผสั แหง มโนวญิ -ญาณธาตุทสี่ มกัน ความเสวยอารมณท่ีไมสบายเปนทุกขอนั เกิดแตเจโตสัมผสักิริยาเสวยอารมณทไ่ี มสบายเปน ทกุ ขอนั เกิดแตเ จโตสมั ผสั ในสมยั นั้น อนั ใดนี้ช่ือวา เวทนามีในสมยั นน้ั ฯลฯ ทกุ ข มใี นสมัยน้ัน เปนไฉน ? ความไมส บายทางใจ ความทุกขท างใจ ความเสวยอารมณทีไ่ มส บายเปนทุกขอ นั เกิดแตเจโตสัมผสั กริ ยิ าเสวยอารมณทีไ่ มสบายเปน ทกุ ขอ ันเกดิ แตเจโตสัมผสั ในสมยั นน้ั อนั ใด นชี้ ื่อวา ทกุ ขใ นสมยั นั้น ฯลฯ โทมนัสสินทรีย มีในสมัยนน้ั เปนไฉน ? ความไมสบายทางใจ ความทุกขทางใจ ความเสวยอารมณท่ีไมสบายเปน ทุกขอนั เกิดแตเ จโตสัมผสั กิรยิ าเสวยอารมณท่ีไมส บายเปน ทกุ ขอ นั เกิดแตเจโตสมั ผสั ในสมัยนนั้ อนั ใด นี้ช่ือวา โทมนัสสนิ ทรียมใี นสมัยน้นั ฯลฯ โทสะ มใี นสมัยน้ัน เปนไฉน ? การคิดประทษุ รา ย กริ ยิ าที่คดิ ประทุษรา ย ความคิดประทุษรา ย การคิดปองราย กิรยิ าทคี่ ิดปองราย ความคดิ ปองรา ย ความโกรธ ความแคนความดุรา ย ความปากรา ย ความไมแชมชืน่ แหงจิต ในสมัยนัน้ อันใด นช้ี ื่อวาโทสะมีในสมยั นั้น ฯลฯ พยาปาทะ มีในสมยั นนั้ เปนไฉน ? การคิดประทษุ รา ย กิรยิ าท่ีคิดประทษุ รา ย ความคิดประทุษราย การคดิ ปองรา ย กริ ยิ าทคี่ ิดปองรา ย ความคดิ ปองราย ความโกรธ ความแคนความดุรา ย ความปากรา ย ความไมแชมช่ืนแหง จิต ในสมยั นน้ั อนั ใด น้ีช่ือวาพยาปาทะ มใี นสมยั นนั้ ฯลฯ

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 32 หรอื นามธรรมทอี่ ิงอาศยั เกิดข้นึ แมอ ่ืนใด มีอยูในสมยั นนั้ สภาวธรรมเหลานช้ี ่อื วา ธรรมเปน อกุศล. [๓๒๗] ก็ขนั ธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรยี  ๕ ฌานมอี งค ๔ มรรคมีองค ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผสั สะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ธรรมธาตุ ๑ มใี นสมยั นน้ั หรอื นามธรรมทอี่ ิงอาศยั เกิดขึ้นแมอ ื่นใด มีอยใู นสมยั นั้น สภาวธรรมเหลาน้ีช่อื วา ธรรมเปนอกุศล ฯลฯ [๓๒๘] สงั ขารขนั ธ มใี นสมัยน้ัน เปนไฉน ? ผัสสะ เจตนา วิตก วจิ าร เอกคคั ตา วริ ยิ ินทรยี  สมาธินทรยี ชวี ิตนิ ทรยี  มจิ ฉาสังกปั ปะ มจิ ฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ วิรยิ พละ สมาธพิ ละอหิรกิ พละ อโนตตปั ปพละ โทสะ โมหะ พยาปาทะ อหิรกิ ะ อโนตตัปปะสมถะ ปค คาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมทอ่ี ิงอาศยั เกดิ ขึน้ แมอ ืน่ ใด เวนเวทนาขันธ สัญญาขนั ธ วิญญาณขันธ มีอยูในสมัยนน้ั นี้ช่ือวา สังขารขันธมีในสมยั นั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลานชี้ ่อื วา ธรรมเปนอกุศล. จิตดวงท่ี ๑๐ [๓๒๙] ธรรมเปน อกุศล เปน ไฉน ? อกศุ ลจิต สหรคตดว ยโทมนสั สัมปยตุ ดว ยปฏิฆะ มรี ปู เปน อารมณฯลฯ มีธรรมเปน อารมณ หรือปรารภอารมณใด ๆ เกิดขึน้ โดยมีการชกั จงู ในสมยั ใด ผัสสะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มีในสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานี้ ชื่อวา ธรรมเปน อกศุ ล ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 33 จิตดวงที่ ๑๑ [๓๓๐] ธรรมเปน อกศุ ล เปนไฉน ? อกุศลจติ สหรคตดวยอเุ บกขา สมั ปยตุ ดวยวิจิกจิ ฉา มีรูปเปน อารมณหรอื มเี สียงเปน อารมณ มกี ลนิ่ เปนอารมณ มีรสเปน อารมณ มโี ผฏฐัพพะเปนอารมณ มธี รรมเปน อารมณ หรอื ปรารภอารมณใด ๆ เกิดข้ึนในสมัยใด ผัสสะเวทนา สัญญา เจตนา จติ วติ ก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา วิริยินทรียมนนิ ทรีย อุเปกขินทรยี  ชวี ติ ินทรยี  มจิ ฉาสงั กปะ มจิ ฉาวายามะ วิริยพละอหิริกพละ อโนตตัปพละ วจิ กิ จิ ฉา โมหะ อหริ กิ ะ อโนตตปั ปะ ปคคาหะอวิกเขปะ มีในสมัยนน้ั หรอื นามธรรมทอ่ี งิ อาศยั เกิดขน้ึ แมอ ืน่ ใด มอี ยใู นสมัยนัน้ สภาวธรรมเหลา นช้ี ่ือวา ธรรมเปนอกศุ ล. [๓๓๑] ผัสสะ มใี นสมัยนัน้ เปนไฉน ? การกระทบ กิริยาท่ีกระทบ กริ ยิ าที่ถกู ตอ ง ความถกู ตองในสมยั นั้นอนั ใด น้ชี ื่อวา ผสั สะมใี นสมัยนน้ั ฯลฯ เอกัคคตา มีในสมยั น้ัน เปนไฉน ? ความต้งั อยแู หงจิต ในสมยั น้ัน อนั ใด นี้ชื่อวา เอกัคคตามใี นสมัยน้ัน ฯลฯ วิจกิ ิจฉา มีในสมัยน้ัน เปน ไฉน ? การเคลอื บแคลง กิรยิ าทีเ่ คลอื บแคลง ความเคลือบแคลง ความคดิ เห็นไปตา ง ๆ นานา ความตดั สนิ อารมณไมได ความเห็นเปน สองแง ความเหน็เหมือนทางสองแพรง ความสงสยั ความไมส ามารถจะถอื เอาโดยสว นเดยี วได

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 34ความคิดสายไป ความคิดพราไป ความไมสามารถจะหย่งั ลงถอื เอาเปนยุตไิ ดความกระดา งแหงจติ ความลงั เลใจ ในสมยั นน้ั อันใด นี้ช่ือวา วจิ ิกิจฉามใี นสมยั น้นั ฯลฯ หรือนามธรรมท่อี งิ อาศยั เกดิ ขนึ้ แมอ ่ืนใด มอี ยูในสมัยนนั้ สภาวธรรมเหลา น้นั ช่อื วา ธรรมเปนอกุศล ฯลฯ [๓๓๒] ก็ขันธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อนิ ทรีย ๔ ฌานมอี งค ๔ มรรคมอี งค ๒ พละ ๓ เหตุ ๑ ผสั สะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ธรรมธาตุ ๑ หรือนามธรรมทอี่ ิงอาศัยเกิดขึ้นแมอ น่ื ใด มีอยใู นสมยั น้นั สภาวธรรมเหลา นีช้ ่อื วา ธรรมเปน อกศุ ล ฯลฯ [๓๓๓] สังขารขนั ธ มใี นสมยั นั้น เปน ไฉน ? ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกคั คตา วริ ยิ นิ ทรยี  ชีวติ ินทรียมิจฉาสงั กปั ปะ มิจฉาวายามะ วิริยพละ อหริ ิกพละ อโนตตปั ปพละ วิจกิ ิจฉาโมหะ อหริ ิกะ อโนตตปั ปะ ปค คาหะ หรือนามธรรมท่อี ิงอาศยั เกิดข้นึ แมอน่ื ใด เวน เวทนาขนั ธ สัญญาขันธ วิญญาณขันธ มอี ยใู นสมัยนั้น น้ีชอ่ื วาสงั ขารขันธ มใี นสมยั นน้ั ฯลฯ สภาวธรรมเหลานชี้ อ่ื วา ธรรมเปน อกุศล. จิตดวงที่ ๑๒ [๓๓๔] ธรรมเปน อกศุ ล เปน ไฉน ? อกุศลจิต สหรคตดว ยอุเบกขา สัมปยตุ ดวยอทุ ธัจจะ มรี ปู เปน อารมณหรือมเี สียงเปน อารมณ มีกล่นิ เปน อารมณ มีรสเปนอารมณ มีโผฏฐพั พะเปน

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 35อารมณ มธี รรมเปน อารมณ หรอื ปรารภอารมณใ ด ๆ เกิดขึ้น ในสมยั ใดผสั สะ เวทนา สญั ญา เจตนา จติ วติ ก วจิ าร อุเบกขา เอกคั คตาวริ ิยนิ ทรีย สมาธินทรีย มนินทรยี  อุเปกขินทรีย ชวี ติ นิ ทรยี  มิจฉาสังกปั ปะมิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วริ ิยพละ สมาธพิ ละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละอุทธัจจะ โมหะ อหริ ิกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปคคาหะ อวกิ เขปะ มีในสมัยน้ัน หรือนามธรรมที่องิ อาศัยเกดิ ขนึ้ แมอ่ืนใด มีอยใู นสมยั นนั้ สภาวธรรมเหลานี้ช่ือวา ธรรมเปนอกศุ ล. [๓๓๕] ผสั สะ มีในสมัยนัน้ เปนไฉน ? การกระทบ กิริยาท่กี ระทบ กิริยาทถี่ ูกตอ ง ความถกู ตอ งในสมยั น้ันอนั ใด น้ีช่อื วา ผสั สะมใี นสมยั น้นั ฯลฯ อทุ ธจั จะ มีในสมัยนัน้ เปนไฉน ? ความฟุงซา นแหง จิต ความไมสงบแหง จิต ความวุน วายใจ ความพลานแหง จิต ในสมยั นน้ั อันใด นีช้ อ่ื วา อทุ ธัจจะมใี นสมัยน้นั ฯลฯ หรอื นามธรรมท่ีองิ อาศัยเกิดข้นึ แมอ ื่นใด มีอยูใ นสมัยน้ัน สภาวธรรมเหลา นี้ช่ือวา ธรรมเปน อกุศล ฯลฯ [๓๓๖] กข็ นั ธ ๘ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อนิ ทรีย ๕ ฌานมีองค ๔ มรรคมอี งค ๓ พละ ๔ เหตุ ๑ ผสั สะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนน้ั หรือนามธรรมที่องิ อาศยั เกิดขนึ้ แมอ ่นื ใด มีอยใู นสมยั น้ัน สภาวธรรมเหลานช้ี ่อื วา ธรรมเปนอกุศล ฯลฯ [๓๓๗] สงั ขารขันธ มีในสมยั นัน้ เปน ไฉน ?

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 36 ผสั สะ เจตนา วิตก วจิ าร เอกัคคตา วิรยิ นิ ทรยี  สมาธนิ ทรียชีวติ นิ ทรยี  มจิ ฉาสงั กปั ปะ มจิ ฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ วริ ยิ พละ สมาธิพละอหริ ิกพละ อโนตตปั ปพละ อุทธจั จะ โมหะ อหิรกิ ะ อโนตตปั ปะ สมถะปคคาหะ อวิกเขปะ หรอื นามธรรมทอ่ี ิงอาศัยเกิดขน้ึ แมอ่นื ใด เวนเวทนาขันธสญั ญาขันธ วญิ ญาณขนั ธ มีอยูในสมัยนั้น น้ีช่อื วา สังขารขันธม ใี นสมัยนัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลานช้ี อ่ื วา ธรรมเปน อกศุ ล. อกุศลจติ ๑๒ จบ อธิบายอกศุ ลจติ ดวงที่ ๒ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในอกศุ ลจติ ดวงที่ ๒ ตอ ไป. บทวา สส ขาเรน (โดยมีการชักจงู ) เปน ความตา งกนั คําวาโดยมกี ารชกั จูงนัน้ ขาพเจา กลาวไวใ นหนหลังนน่ั แหละ. ก็อกศุ ลจิตนย้ี อมเกดิ ข้ึนแกบ ุคคลผปู ระกอบดวยโสมนัสในอารมณท ั้ง ๖ ผยู ังโลภะใหเ กดิ ขึน้ แลวถือผดิ โดยนัยมีอาทิวา นี้เปน สัตว นีเ้ ปนสตั ว ดังน้ี แมกจ็ ริง ถงึ อยางน้นัในกาลใด กุลบุตรปรารถนากุมารกิ าของตระกลู มิจฉาทฏิ ฐิ และตระกลู เหลา น้ันยอ มไมใหก มุ ารกิ า โดยอางวา พวกทา นถอื ทฏิ ฐิอนื่ . แตภายหลัง พวกญาติอีกพวกหนึง่ บอกใหย กให ดว ยการตกลงกนั วา พวกทานจงกระทําสิ่งท่ีกลุ บตุ รนจี้ ักกระทาํ ดงั นี้ กลุ บตุ รนน้ั พรอมกบั หมญู าติจงึ พากนั เขาไปหาพวกเดียรถยี นั่นแหละ ตอนตน ยงั เปนผลู ังเลอยู แตเ ม่ือกาลผา นไป ๆ ก็ชอบใจลทั ธิ ยอมถอื ซงึ่ ทิฏฐดิ วยคดิ วา กิริยาของพวกเดียรถยี เ หลา นี้เปนทีช่ อบใจ ในกาลเห็นปานน้ี พงึ ทราบวา อกุศลจิตนี้ ยอมได ดังน้ี เพราะความเกิดข้นึ โดยสมั ปโยคะ

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 37(การประกอบพรอ มกนั ) พรอ มดว ยอบุ าย เพราะความที่อกุศลจิตนัน้ เปนสสงั ขาริก (มกี ารชกั จงู ). สวนในเยวาปนกธรรมทัง้ หลาย ถนี มิทธะเปนธรรมยิ่งในอกศุ ลจิตดวงที่ ๒ น.้ี บรรดาอกุศลธรรมเหลา นนั้ ความหดหู ชือ่ วา ถีนะ ความงว งโงก ชือ่ วา มิทธะ อธิบายวา ความไมอุตสาหะ ความไมสามารถ และความพฆิ าต. ถีนะดว ยมิทธะดวย ชื่อวา ถีนมิทธะ ในอกุศลทง้ั สองนนั้ถนี ะมคี วามไมอ ตุ สาหะเปน ลกั ษณะ (อนุสสฺ าหนลกขฺ ณ ) มกี ารกาํ จดั วิริยะเปนรส (วิริยวโิ นทนรส ) มีความทอถอยเปนปจ จุปฏฐาน (ส สที นปจฺจุ-ปฏาน ). มทิ ธะ มีความไมค วรแกการงานเปน ลกั ษณะ (อกมฺมฺ ตาลกขฺ ณ )มคี วามมกี ารปกปดเปนรส (โอทหนรส ) มคี วามหดหเู ปนปจ จุปฏฐาน(ลีนตาปจจฺ ุปฏาน ) หรือมีความงวงโงกและความหลบั เปนปจจปุ ฏ ฐาน(ปจลายกิ นิททฺ าปจฺจปุ ฏาน ). ถนี มทิ ธะแมทัง้ สองมีมนสิการโดยอบุ ายไมแ ยบคายในสภาวะมคี วามไมยนิ ดี ความเกียจคราน และความงว งเหงาหาวนอนเปน ตน เปน ปทฏั ฐาน. อกศุ ลจิตดวงที่ ๒ จบ อธบิ ายอกุศลจิตดวงท่ี ๓ อกศุ ลจติ ดวงท่ี ๓ ยอ มเกิดแกบุคคลผปู ระกอบดว ยโสมนสั ในอารมณทัง้ ๖ ผยู งั โลภะใหเกิดขนึ้ ไมย ึดถอื โดยนยั วา นเี้ ปนสัตว นี้เปน สตั ว ดังนี้แลดอู ยูซ ึง่ พระราชา มวยปลาํ้ การเลนมีการตอสเู ปน ตน หรอื มกี ารขวนขวายในการฟง เสียงท่ชี อบใจเปนตน ในอธิการแหง อกศุ ลดวงที่ ๓ น้ี มอี งคที่เหมอื นกัน ๕ องค พรอ มกับมานะ ในบรรดาองคเหลา น้ัน สภาวะทีช่ อ่ื วา

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 38มานะ เพราะอรรถวา ยอ มถอื ตัว. มานะน้ันมกี ารทรนงตนเปนลกั ษณะ(อุนนฺ ตลิ กขฺ โณ) มกี ารยุกยองสัมปยตุ ธรรมเปน รส (สมปฺ คฺคหนรโส)มคี วามปรารถนาดจุ ธงเปน ปจ จปุ ฏ ฐาน (เกตุกมยฺ ตาปจจฺ ุปฏาโน) มีโลภะไมประกอบดวยทิฏฐเิ ปนปทัฏฐาน (ทฏิ ิวปิ ปฺ ยตุ ตฺตโลภปทฏาโน) พึงทราบวา เหมือนคนบา . อกศุ ลจติ ดวงท่ี ๓ จบ อธบิ ายอกุศลจติ ดวงที่ ๔ อกุศลจติ ดวงท่ี ๔ ยอมเกดิ ข้ึนในฐานะมีประการดังกลาวน่นั แหละคือในฐานะทั้งหลายมอี าทิอยางนว้ี า ในกาลใด พวกชนยอ มถมเขฬะไปหรือโปรยฝนุ เทา ไปบนศรี ษะ ในกาลนั้น อกุศลจิตดวงท่ี ๔ ยอมเกดิ แกบุคคลทงั้ หลายผแู ลดูในระหวางๆ โดยเปนไปกับดวยอุตสาหะเพือ่ หลบหลกี เขฬะและฝนุ เทานน้ัและยอมเกิดแกบุคคลทง้ั หลายผแู ลดตู ามชองน้นั ๆ เม่อื ความวนุ วายเปน ไปในเมอ่ื ตวั ละครหลวงกาํ ลังออกมา ดังน้ี. ในอกศุ ลจติ ดวงที่ ๔ น้ี มเี ยวาปนก-ธรรม ๗ กบั มานะถีนมทิ ธะ แมอ รรถแหง อกุศลจติ ทัง้ สอง คืออกศุ ลจิตดวงที่ ๓และที่ ๔ ยอ มลดมิจฉาทิฏฐิ พึงทราบการนับธรรมดว ยสามารถธรรมที่เหลอืเวนทิฏฐนิ น่ั แล. อกศุ ลจติ ดวงที่ ๔ จบ อธบิ ายอกุศลจติ ดวงท่ี ๕ อกุศลจติ ดวงท่ี ๕ ยอ มเกดิ แกบ คุ คลผูมัชฌัตตะ (วางเฉย) ดวยสามารถแหงเวทนาในอารมณทงั้ ๖ ผูยงั โลภะใหเกดิ ผูย ดึ ถอื อยโู ดยนยั มีอาทิวานเ้ี ปน สตั ว น้ีเปน สตั ว. กใ็ นอกุศลจิตดวงท่ี ๕ นี้ อุเบกขาเวทนายอมมีในท่ี

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 39โสมนัส (แทนโสมนัสเวทนา) ยอมลดบทปติ. คําทเี่ หลือทง้ั หมดเปน เหมือนอกศุ ลจิตดวงทีห่ นึ่งแล. อกุศลจิตดวงท่ี ๕ จบ อธิบายอกศุ ลจิตดวงที่ ๖, ๗, ๘ แมอ กศุ ลจิตดวงที่ ๖ ท่ี ๗ และที่ ๘ พงึ ทราบโดยนยั ทีก่ ลา วไวใ นอกุศลจติ ดวงท่ี ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ น่นั แหละโดยเปล่ียนเวทนาและลดบทปติ. อธิปติแมทง้ั ๒ คือ สหชาตาธิปติและอารมั มณาธิปติ ยอมไดใ นจติ สหรคตดว ยโลภะ๘ ดวง เหลา นี้. โลภมูลจิต ๘ ดวงจบ อธิบายอกศุ ลจิตดวงท่ี ๙ อกศุ ลจติ ดวงที่ ๙ ยอ มเกดิ ขนึ้ แกบุคคลผูประกอบดวยโทมนัสในอารมณทง้ั ๖ ผูย ังปฏฆิ ะใหเ กิดขึน้ นั่นแหละ. จะวนิ ิจฉยั ในวาระวา ดวยการกาํ หนดสมัย ๓ สมยั แหง อกุศลจติ ดวงท่ี ๙ กอน. มนะอนั โทษประทุษรายแลว หรอื มนะอนั บณั ฑติ เกลยี ด เพราะมีเวทนาอนั เลว เพราะเหตุนัน้ มนะนน้ั จึงชือ่ วา ทุมมโน (ผูมีใจชวั่ ). ภาวะแหงบุคคลผมู ใี จชวั่ ชอ่ื วา โทมนสั . อกุศลจิตสหรคตดว ยโทมนสั นัน่ เพราะฉะน้นั อกุศลจติ น้นั จึงชือ่ วา โทมนสั สสหคตะ (สหรคตดวยโทมนสั ). สภาวะที่ช่ือวา ปฏฆิ ะ เพราะอรรถวา ยอ มกระทบในอารมณโดยภาวะทไ่ี มพ อใจ. อกุศลจติ ทสี่ มั ปยุตดวยปฏฆิ ะนั้น ชอื่ วา ปฏฆิ สมั ปยตุ .

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 40ในธัมมุทเทส โทมนสั สเวทนามาแลวในฐานะแมทงั้ ๓. ในฐานะท้ัง ๓ มีเวทนาเปนตนน้ัน บทวา เวทนา มเี น้ือความตามที่กลาวไวนนั่ แหละ. บทวา ทุกขและโทมนัส กก็ ลาวไวแลวเหมือนกนั . แตเ มื่อวา โดยลกั ษณะเปน ตน โทมนสัมกี ารเสวยอารมณอนั ไมห นาชอบใจเปน ลักษณะ (อนิฏ ารมฺมณานภุ วน-ลกขฺ ณ ) มีการเสวยอาการไมดอี ยางใดอยางหน่ึงเปนรส (ยถา ตถา วาอนิฏ าการสมฺโภครส ) มีความอาพาธทางใจเปนปจ จปุ ฏฐาน (เจตสิกา-พาธปจจฺ ปุ ฏ าน ) มีหทยวัตถุเทานั้นเปน ปทฏั ฐาน (หทยวตถฺ ุปทฏ าน ). ในมลู กรรมบถทัง้ หลาย พระองคต รัสวา โทสะยอ มมี พยาบาทยอมมี เหมอื นพระดาํ รัสท่ตี รสั ถึงอกุศลจติ ดวงกอ น ๆ วา โลภะยอ มมีอภิชฌายอมมี ฉะน้ัน บรรดาโทสะและพยาบาททัง้ สองนัน้ สภาวะทีช่ อ่ื วาโทสะ เพราะอรรถวา เปน เหตุใหคนประทษุ ราย หรือประทษุ รายเอง หรือวาธรรมชาตินนั้ สักวาเปนเครอ่ื งประทุษรา ยเทานัน้ . โทสะน้นั มคี วามดรุ ายเปนลักษณะ พงึ เห็นเหมือนอสรพิษถกู ประหาร(จณฑฺ ิกกฺ ลกฺขโณ ปหฏาสิวโิ ส วิย) มีการกระสับกระสา ยเปน รสพงึ เหน็เหมือนถูกยาพิษ (วสิ ปฺปนรโส วิสนิปาโต วิย) อีกอยา งหนึง่ มีการหมน ไหมนสิ ัยของตนเปนรส พงึ เหน็ เหมอื นไฟไหมป า (อตตฺ โน นิสสฺ ยทหนรโสวาทาวคคฺ ิ วยิ ) มกี ารประทษุ รา ยเปน ปจจปุ ฏ ฐาน พึงเห็นเหมอื นศตั รูไดโ อกาส(ทสุ ฺสนปจจฺ ปุ ฏ าโน ลทฺโธกาโส วยิ สปตฺโต) มีอาฆาตวัตถเุ ปนปทฏั ฐาน พึงเห็นเหมือนนํ้ามูตรเนาเจอื ดวยยาพษิ (อาฆาตวตถฺ ุปทฏ-าโน วสิ ส สฏ ปูติมตุ ฺต วิย) ฉะน้ัน. สภาวะที่ช่อื วา พยาบาท เพราะอรรถวา เปนเหตเุ บียดเบียน คอืยอมเขาถงึ ภาวะเสียจิต หรือวายอ มยังวนิ ยั อาจาระ รูปสมบตั แิ ละหติ สุขเปน ตนใหถ งึ ความพิบัต.ิ ก็เม่ือวา โดยอรรถ พยาบาทนี้ ก็คอื โทสะนั่นแหละ แตใ น

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 41อกศุ ลจิตดวงที่ ๙ น้ี เปนบทอกศุ ล ๒ โดยลาํ ดับ. พึงทราบบท ๑๔ บทโดยการถือเอาบททยี่ งั ไมถ ือเอา และพึงทราบประเภทกองธรรมที่แจกได และแจกไมไ ด ดวยสามารถแหงบทธรรมเหลานั้น. ในเยวาปนกธรรมทง้ั หลาย สภาวธรรมเปนนยิ ตะมีฉนั ทะ อธิโมกขมนสิการ และอทุ ธัจจะเปนตน (คอื เจตสิกประกอบกบั อกศุ ลจิตดวงที่ ๙ แนนอน) อนึ่ง ธรรม (ทงั้ ๔) เหลาน้ี ยอมเกิดข้ึนครง้ั ละ ๕ ๆ กบั ดว ยธรรมอยางใดอยา งหนงึ่ ในอิสสา มัจฉริยะ หรือกุกกุจจะ ธรรมทั้ง ๓ มีอสิ สาเปนตนแมเ หลาน้ี ช่อื วา อนยิ ตเยวาปนกะ ดวยประการฉะนี.้ บรรดาธรรมทงั้๓ เหลา น้นั สภาวธรรมทีช่ อื่ วา อสิ สา เพราะอรรถวา ยอ มรษิ ยา. อสิ สาน้ัน มกี ารริษยาสมบตั ขิ องผอู นื่ เปน ลกั ษณะ (ปรสมปฺ ตตฺ ีนอสุ ฺสยุ นลกขฺ ณา) มคี วามไมยนิ ดีในสมบตั ิของผอู นื่ นั้นน่นั แหละเปน รส(ตตฺเถว อนภิรติรสา) มีความเบือนหนา จากสมบัติของผอู ืน่ น้ันเปนปจ จุปฏ-ฐาน (ตโต วิมุขภาวปจฺจุปฏ านา) มีสมบตั ขิ องผอู ่ืนเปน ปทฏั ฐาน (ปร-สมปฺ ตฺตปิ ทฏ านา) พงึ ทราบวา เปน สญั โญชน. ความเปนแหงความตระหนี่ ชอื่ วา มจั ฉรยิ ะ มัจฉริยะนั้นมีการปกปดสมบัติของตนทไี่ ดมาแลว หรือทคี่ วรไดเ ปน ลกั ษณะ (ลทฺธาน วาลภิตพฺพาน วา อตฺตโน สมปฺ ตตฺ ีน นคิ หู ณลกฺขณ ) มีความไมชอบใจในความทส่ี มบตั ิของตนน้นั นั่นแหละ เปน ของทวั่ ไปแกชนเหลาอน่ื เปนรส(ตาส เยว ปเรหิ สาธารณภาว อกขฺ มนรส ) มีความสย้ิวหนา เปน ปจ จุปฏฐาน(ส โกจนปจฺจุปฏ าน ) หรือวามคี วามหวงแหนเปนลกั ษณะ (กฏกจฺ กุ -ตาปจฺจุปฏาน วา) มีสมบัติของตนเปน ปทัฏฐาน (อตตฺ โน สมปฺ ตฺ-ตปิ ทฏาน ) มัจฉรยิ ะน้ี พึงเหน็ วา เปนความพกิ ารของจติ .

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 42 กรรมท่ีบัณฑิตเกลยี ด อันบคุ คลทําแลว ช่อื วา กกุ ตะ ความเปนแหง กกุ ตะนั้น ชอ่ื วา กุกกจุ จะ กกุ กุจจะน้นั มีความเดอื ดรอ นใจในภายหลงัเปนลักษณะ (ปจฺฉานตุ าปนลกฺขณ ) มีความเศราโศกเนือง ๆ ถงึ บาปท่ีทาํ แลว และบุญท่ียังไมไดก ระทําเปนกจิ (กตากตานุโสจนรส ) มคี วามวิปฏสิ าร คือความเดอื ดรอ นเปนปจ จปุ ฏ ฐาน (วปิ ปฺ ฏิสารปจจฺ ุปฏาน )มกี ารทาํ บาปแลว และมิไดท าํ บุญไวเ ปนปทัฏฐาน (กตากตปทฏ าน ) พงึ เห็นเหมอื นอยา งความเปน ทาส ฉะนน้ั . นี้เปนความตา งกันในอุทเทสวารกอน. ในนทิ เทสวาร พงึ ทราบความไมชอบใจในเวทนานทิ เทส ดวยสามารถเปนธรรมปฏปิ กษตอ ความชอบใจ. พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในโทสนทิ เทสตอ ไป สภาวะทีช่ ื่อวา โทสะ เพราะอรรถวา ยอมคดิ ประทษุ รา ย. อาการทีค่ ดิ ประทุษรายชือ่ วา ทุสสนา (กิริยาทปี่ ระทษุ รา ย). ภาวะแหงความประทษุ ราย ชอื่ วา ทุสสติ ัตตะ (ความคดิ ประทุษราย). ความคิดเบียดเบยี น ชือ่ วา พยาปตติ (การคดิ ปองราย) ดว ยอรรถวาการละความเปน ปกต.ิ อาการแหง การปองรา ย ชอ่ื วา พยาปช ชนา (กิรยิ าทปี่ องรา ย) ท่ีช่อื วา วิโรธ (ความโกรธ) เพราะอรรถวา มุงราย. ทชี่ ื่อวาปฏวิ โิ รธ (ความแคน ) เพราะอรรถวา พิโรธเนอื ง ๆ. อกี อยา งหน่ึง คาํท้ังสองน้ี ตรัสไวดวยอํานาจแหง อาการที่โกรธและอาการทีแ่ คน . บุคคลมีจิตกคะดางดรุ าย เรียกวา จัณฑิกะ ภาวะแหง จณั ฑิกะน้นัเรยี กวา จณั ฑิกกะ (ความดุรา ย). ถอ ยคาํ อันคนดุรา ยนย้ี กข้นึ พูดอยางดีมไิ ดม ี คําพูดของคนเชน น้เี ปนคาํ พูดช่วั คอื ไมบ ริบูรณเ ลย เพราะฉะนนั้

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 43คนนจี้ ึงช่ือวา อสโุ รปะ (ปากราย). จริงอยู ในเวลาทบี่ ุคคลผูดรุ า ยโกรธแลวขนึ้ ช่ือวา คาํ พูดทบ่ี ริบูรณ ยอ มไมมี ถึงหากจะมแี กบ างคน ขอ นน้ั กไ็ มเ ปนประมาณ. อาจารยอ กี พวกหนึ่งกลาววา คนเชน นนั้ ชือ่ วา อสโุ รปะ (ความไมส ภุ าพ) เพราะใหเกดิ นาํ้ ตาโดยการไหลออกแหงน้ําตา ขอ ท่วี า น้นั ไมใ ชเ หตุไดก ลา วแลวในหนหลงั เพราะแมโ สมนสั กท็ ําใหน ํา้ ตาเกิดได. สภาวะทช่ี ่อื วา อนตั ตมนตา (ความไมม ีใจแชม ชืน่ ) เพราะอรรถวาความเปนผไู มมีใจเปนของตน เพราะความเปนปฏปิ กษตอความเปน ผมู ใี จเปนของตน แตเพราะความไมมใี จแชมชืน่ นน้ั เปน ของจิตเทานั้น ไมเปน ของสตั ว ฉะน้ัน จงึ ตรัสวา จติ ตฺ สสฺ (ของจติ ) ดงั นี.้ คาํ ทีเ่ หลือในอกศุ ลจติ ดวงท่ี ๙ นี้ และในสงั คหวาร ในสูญญตวาร พงึ ทราบโดยนัยทก่ี ลาวไวในหนหลงั นน่ั แล. อกุศลจิตดวงที่ ๙ จบ อธิบายอกศุ ลจิตดวงที่ ๑๐ อกุศลจติ ดวงท่ี ๑๐ ยอ มเกดิ แกบ คุ คลผถู กู คนอน่ื ๆ ใหเ กิดอตุ สาหะบา ง ผูถ ูกคนอนื่ ๆ ตักเตือนใหนกึ ถึงความผิดบาง ตนเองนัน่ แหละนึกถึงความผิดของคนอ่ืน ๆ แลวโกรธบาง เพราะความทอี่ กศุ ลจติ นีเ้ ปนไปกับการชกั จงู . แมใ นอกุศลจิตนกี้ ม็ ี ๒๙ บทตามลําดบั บท. เพราะถอื เอาบทท่ียังมไิ ดถอื เอาจงึ เปน ๑๔ บทเทา น้ัน. แตเพราะในเยวาปนกธรรมท้ังหลาย ยอมไดแมถนี ะและมิทธะ ฉะน้ันในอกุศลจิตดวงนีจ้ งึ เวน อิสสา มัจฉรยิ ะ และกุกกจุ จะหรอื เวน ซ่ึงธรรม ๖ เหลา นี้ คอื องคธรรมทเ่ี หมือนกัน ๔ และถีนมิทธะ ในเวลาท่ี

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 44อสิ สาเปน ตนเกดิ ข้นึ ก็จะเปนเยวาปนกธรรม ๗ ขอ ๆ กบั ขอใดขอ หนง่ึ ในบรรดาธรรมมีอิสสาเปนตนนัน้ เกิดข้นึ ในขณะเดียวกัน (พรอมกัน). คาํ ท่ีเหลอืทง้ั หมดทกุ วาระเปนเชน กบั อกศุ ลจติ ดวงที่ ๙ ท้งั นัน้ . ก็ในโทมนัสจติ ท้ัง ๒ น้ียอ มไดส หชาตาธิปติอยางเดียว ไมไ ดอารัมมณาธปิ ต.ิ เพราะบุคคลโกรธแลวยอ มไมทาํ อารมณอะไร ๆ ใหหนกั (เปน อธิบดี) ได ฉะนี้แล. อกุศลจิตดวงท่ี ๑๐ จบ อธบิ ายอกศุ ลจติ ดวงท่ี ๑๑ อกศุ ลจิตดวงท่ี ๑๑ ยอมเกิดข้ึนในเวลาความสงสัยเปน ไปแกบ ุคคลผูวางเฉยดว ยอาํ นาจเวทนาในอารมณทั้ง ๖. ในการกาํ หนดสมยั ของอกุศลจติดวงท่ี ๑๑ น้ัน บทวา วิจกิ จิ ฺฉาสมปฺ ยตุ ตฺ  (สมั ปยุตดวยวจิ ิกิจฉา) ไมใชบทที่เกดิ กอ น เนื้อความแหง อกุศลจิตนัน้ วา ที่ชื่อวา วิจิกจิ ฉาสมั ปยุตเพราะอรรถวา สัมปยตุ ดวยวิจกิ ิจฉา. ในธัมมุทเทส บทวา วจิ กิ ิจฺฉา โหติ(วิจิกิจฉายอ มม)ี ดงั นีเ้ ทา นน้ั แปลกกนั . พงึ ทราบวินิจฉยั ในวิจกิ ิจฉานัน้ ตอไป สภาวธรรมทช่ี ื่อวา วิจกิ ิจฉา เพราะอรรถวา ปราศจากความแกไ ขอกี อยางหนงึ่ ชื่อวา วิจกิ ิจฉา เพราะอรรถวา เปน เหตใุ หค นเมือ่ คดิ สภาว-ธรรมยอมยงุ ยาก คอื ยอ มลาํ บาก. วิจกิ จิ ฉานัน้ มีความสงสยั เปนลกั ษณะ (ส สยนลกฺขณา) มคี วามหว่ันไหวเปน รส (กมปฺ นรสา) มีการตดั สินใจไมไ ดเปน ปจจปุ ฏ ฐาน (อนจิ ฺ-ฉยปจจฺ ุปฏานา) หรือวา มีการถอื เอาอยางเดียวไมไ ดเ ปนปจ จุปฏ ฐาน

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 45(อเนก สคาหปจฺจปุ ฏานา) มีการทาํ ไวในใจโดยอุบายไมแยบคายเปนปทัฏฐาน (อโยนิโสมนสกิ สนปทฏานา) บัณฑิตพึงทราบวา เปน การทําอนั ตรายตอ การปฏบิ ตั ิ. ในอกศุ ลจติ ดวงท่ี ๑๑ นี้ ไดบท ๒๓ ตามลาํ ดับบท วาโดยธรรมทีย่ ังมิไดถ อื เอาก็เปนธรรม ๑๔ บท พงึ ทราบวินิจฉยั ในกองธรรมทจ่ี าํ -แนกไดและจาํ แนกไมไ ด ดว ยสามารถแหง ธรรม ๑๔ บทเหลาน้ัน. ธรรมแมทงั้๒ คอื มนสกิ าร และอุทธจั จะเปนเยวาปนกธรรม. ก็เพราะในนิทเทสเอกัคคตาแหง จิตแหงนิทเทสวาร อกศุ ลจติ นี้ ทุรพลมีแตเ พยี งฐติ ิ (คอื การต้งั อย)ู ในปจจุบัน ฉะน้นั จึงไมต รสั วา สณฺ ติ ิ(ความดาํ รงอยู) เปนตน แตต รัสบทเดียวเทา น้นั วา จติ ตฺ สฺส ติ ิ และดวยเหตุนน้ั นน่ั แหละ แมในอุทเทสวารพระองคไมต รัสคําเปน ตน วา สมาธนิ ฺทริย(สมาธินทรยี ) . พึงทราบวินิจฉัยในวิจิกจิ ฉานิทเทส ตอ ไป สภาวะทชี่ ื่อวา กังขา ดวยสามารถแหงการเคลือบแคลง. อาการเปน ไปแหง ความเคลือบแคลง ชือ่ วา กังขายนา (กริ ยิ าท่ีเคลอื บแคลง).จรงิ อยู การเคลือบแคลงอันแรกชอ่ื วา นาํ มาซ่งึ การเคลือบแคลงตอ ไป อีกอยาง-หนงึ่ การเคลือบแคลงน้ี ตรัสไวด ว ยอาํ นาจแหงอาการ. จิตที่พรง่ั พรอ มดวยการสงสยั ช่อื วา กงั ขายติ ะ เพราะนํามาซงึ่ ความเคลอื บแคลง. ภาวะแหงกงั ขายิตะนน้ั ชอื่ วา กังขายิตัตตะ (ความเคลือบแคลง). สภาวะที่ช่ือวา วิมติเพราะความคิดเหน็ ตา ง ๆ. วจิ ิกจิ ฉา (ความตัดสนิ อารมณไมได) มีเนือ้ ความตามทีก่ ลาวแลว น่ันแหละ. ท่ีชอื่ วา เทฺวฬหก (ความเหน็ สองแง) เพราะอรรถวา ยอมเห็นสองอยา งดว ยอรรถวา หวนั่ ไหวไป. ทช่ี อื่ วา เทฺวธาปโถ(ความเหน็ เหมือนทางสองแพรง) เพราะอรรถวา เหมือนทางสองแพรงโดยการหา มการปฏบิ ัต.ิ ท่ีช่ือวา ส สโย (ความสงสยั ) เพราะอรรถวา ยอ มนอน

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 46โดยรอบเพราะไมส ามารถดาํ รงอยูในอาการหน่ึงทีเ่ ปนไปวา นี้เที่ยงหรอื หนอหรอื วา ไมเทยี่ ง เปนตน. ท่ชี อื่ วา อเนก สคาโห (ความไมส ามารถถือเอาโดยสวนเดยี วได) เพราะอรรถวา ไมใชถอื เอาโดยสวนเดยี ว เพราะไมส ามารถถอื เอาโดยสว นเดยี ว. ทช่ี ื่อวา อาสปปฺ นา (ความคดิ สายไป) เพราะอรรถวาวิจิกจิ ฉานัน้ เม่อื ไมอ าจเพ่อื อนั ช้ีขาด จึงถอยกลบั จากอารมณ. ที่ชื่อวา ปรสิ ปฺ-ปนา (ความคิดพราไป) เพราะอรรถวา วิจิกจิ ฉาน้นั เม่ือไมอ าจเพื่อจะหยั่งลงจงึ คิดสายไปรอบดา น. ที่ชอ่ื วา อปรโิ ยคาหนา (ความไมสามารถจะหย่ังลงถือเอาท่ีสดุ ได) เพราะความเปน สภาวะไมสามารถเพอ่ื หยงั่ ลงถือเอาได. ทชี่ ือ่ วาถมฺภิตตฺต (ความกระดา ง) เพราะความเปน สภาวะทไี่ มสามารถเพื่อเปน ไปในอารมณดว ยอาํ นาจการตดั สนิ ใจได อธบิ ายวา ความท่จี ติ เปน ธรรมชาติกระดาง. จริงอยู วจิ กิ จิ ฉาเกดิ ขนึ้ แลว ยอมทําจติ ใหก ระดา ง กเ็ พราะวจิ กิ ิจฉานั้นเมอื่ เกิดเปนดจุ การจับอารมณม าขัดอยซู ึ่งใจ ฉะน้ัน พระองคจ งึ ตรสั วามโนวเลโข (รอยขดี ใจ คอื ความลงั เลใจ. คาํ ท่เี หลือในท่ที กุ แหง มีเนอื้ ความงายทั้งนน้ั แล. อกุศลจติ ดวงท่ี ๑๑ จบ อธิบายอกศุ ลจิตดวงที่ ๑๒ พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในอกศุ ลจติ ดวงท่ี ๑๒ ตอไป. ในการกําหนดสมัยแหง อกศุ ลจติ ดวงที่ ๑๒ ที่ชื่อวา อทุ ธัจจสัมปยตุเพราะอรรถวา อกศุ ลจติ นน้ั สมั ปยตุ ดวยอุทธัจจะ จริงอยู อกุศลจติ ดวงท่ี ๑๒ นี้เปน กลาง (อุเบกขา) ดว ยอาํ นาจเวทนาในอารมณ ๖ เปน ฟุง ซาน (อทุ ธฺ ต )ในอกศุ ลจิตดวงนี้ จิตน้มี าแลว ในทวี่ ิจกิ ิจฉาในธมั มุทเทสวา อทุ ฺธจฺจ โหติ








Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook