พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 411มผี ูวา ภกิ ษนุ ้ันไดวา ทา นน้ใี ดเปนผเู กยี จคราน จะมปี ระโยชนอ ะไร ดว ยการอยูเ สรใี นปาแกทานผนู ี้ ซงึ่ สมาทานอรญั ญกิ ธุดงคอ ยูแตผเู ดยี วเลา จะมผี วู าภกิ ษนุ ัน้ ไดดงั น้ี เพราะฉะน้นั ภกิ ษผุ สู มาทานอรญั ญิกธุดงค จงึ ควรเปนผูปรารภความเพยี ร. [๒๑๕] ดกู อ นผูมอี ายุทงั้ หลาย อันภิกษุผสู มาทานอรัญญิกธุดงค ควรเปนผมู ีสตติ ้ังมนั่ ถาภิกษุผูสมาทานอรัญญกิ ธดุ งค เปน ผมู สี ตฟิ นเฟอน จะมีผวู า ภิกษนุ ้นั ไดว า ทานผนู ้เี ปน ผมู สี ตฟิ นเฟอน จะมปี ระโยชนอะไร ดว ยการอยเู สรใี นปา แกท านผนู ้ี ซึ่งสมาทานอรญั ญิกธุดงคอยูแตผ ูเดียวเลา จะมีผูวาภกิ ษุนนั้ ไดดงั นี้ เพราะฉะนนั้ ภกิ ษผุ ูสมาทานอรญั ญิกธดุ งค จึงควรเปนผมู ีสตติ ัง้ ม่ัน. [๒๑๖] ดูกอนผมู อี ายุท้ังหลาย อันภกิ ษุผสู มาทานอรัญญิกธุดงค ควรเปนผมู ีจิตตง้ั ม่ัน ถาภิกษผุ สู มาทานอรญั ญกิ ธุดงค เปน ผูม จี ิตไมตัง้ มั่น จะมีผวู า ภิกษุนน้ั ไดวา ทา นผนู ้เี ปนผูไมม จี ิตตั้งมั่น จะมีประโยชนอะไรดว ยการอยเู สรีในปาแกท านผูน้ี ซึง่ สมาทานอรญั ญกิ ธุดงคอ ยแู ตผ เู ดียวเลา จะมีผวู าภกิ ษุน้ันไดด งั น้ี เพราะฉะนัน้ ภิกษุผูสมาทานอรัญญกิ ธุดงค จึงควรเปนผูมีจิตตงั้ ม่ัน. [๒๑๗] ดกู อ นผูมีอายทุ ง้ั หลาย อนั ภกิ ษุผูสมาทานอรญั ญกิ ธุดงค ควรเปนผูมปี ญ ญา ถาภกิ ษผุ สู มาทานอรญั ญกิ ธุดงค เปนผูมีปญญาทราม จะมีผวู า ภิกษุนัน้ ไดวา ทา นผนู ้ีมปี ญญาทราม จะมีประโยชนอะไร ดวยการอยูเสรใี นปา แกทานผูนี้ ซ่ึงสมาทานอรัญญิกธดุ งคอ ยแู ตผูเดียวเลา จะมผี วู าภกิ ษุน้นั ไดดงั น้ี เพราะฉะนน้ั ภกิ ษุผสู มาทานอรญั ญกิ ธุดงค จงึ ควรเปน ผมู ปี ญ ญา.
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มัชฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 412 [๒๑๘] ดูกอ นผมู อี ายทุ ั้งหลาย อันภิกษผุ ูสมาทานอรัญญกิ ธุดงค ควรทําความเพยี ร ในอภิธรรม ในอภวิ ินัย เพราะคนผถู ามปญหา ในอภธิ รรมและในอภวิ นิ ยั กะภกิ ษุผสู มาทานอรญั ญิกธุดงคม อี ยู ถา ภิกษผุ ูสมาทานอรัญญกิ ธุดงคถูกถามปญหา ในอภธิ รรม ในอภิวินยั แลว จะใหค วามประสงคของเขาสาํ เร็จไมได จะมผี วู า ภกิ ษุนัน้ ไดว า ทา นผูน้ีถกู ถามปญหา ในอภธิ รรมในอภวิ นิ ัยแลว ยังความประสงคของเขาใหสาํ เรจ็ ไมไ ด จะมปี ระโยชนอะไรดว ยการอยเู สรใี นปา แกท า นผนู ี้ ซ่ึงสมาทานอรญั ญกิ ธุดงคแตผูเ ดียวเลา จะมีผวู าภกิ ษุนน้ั ไดดงั น้ี เพราะฉะน้ัน ภกิ ษุผสู มาทานอรญั ญกิ ธดุ งค จงึ ควรทําความเพียร ในอภิธรรม ในอภวิ ินยั . [๒๑๙] ดกู อ นผูม อี ายุทง้ั หลาย อนั ภิกษผุ ูสมาทานอรญั ญกิ ธดุ งค ควรทาํ ความเพียรในวโิ มกขอ ันละเอียดคอื อรูปสมาบตั ทิ ล่ี ว งรูปสมาบัติ เพราะคนผูถ ามในวโิ มกขอ นั ละเอียดคืออรปู สมาบัตทิ ่ลี ว งรูปสมาบตั ิมีอยู ถา ภกิ ษุผูสมา-ทานอรัญญิกธดุ งค ถูกถามปญหาในวโิ มกขอ ันละเอียดคอื อรูปสมาบัตทิ ล่ี วงรปูสมาบัตแิ ลว ใหค วามประสงคของเขาสําเรจ็ ไมไ ด จะมผี วู า ภิกษนุ ้นั ไดวา ทานผูนีถ้ กู ถามปญ หาในวโิ มกขอ ันละเอยี ดคอื อรปู สมาบตั ิทลี่ ว งรปู สมาบัติแลว ยังความประสงคข องเขาใหสําเรจ็ ไมได จะมีประโยชนอ ะไรดว ยการอยูเ สรีในปาแกท า นผนู ้ี ซึ่งสมาทานอรัญญิกธดุ งคอ ยแู ตผ ูเดยี วเลา จะมผี ูวาภิกษนุ ัน้ ไดด ังน้ีเพราะฉะนัน้ ภิกษผุ สู มาทานอรัญญกิ ธดุ งค จึงควรทําความเพียรไวในวโิ มกขอันละเอียดคืออรูปสมาบตั ิทีล่ ว งรปู สมาบัต.ิ [๒๒๐] ดกู อ นผมู อี ายุทั้งหลาย อันภกิ ษุผสู มาทานอรญั ญิกธดุ งค ควรทําความเพียร ในอุตตริมนสุ สธรรม เพราะคนผูถ ามปญ หา ในอุตตริมนุสส-ธรรมกะภิกษุผสู มาทานอรัญญกิ ธุดงคม อี ยู ถาภกิ ษผุ ูส มาทานอรญั ญิกธดุ งค
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 413ถูกถามปญ หาในอตุ ตริมนสุ สธรรมแลว ใหค วามประสงคของเขาสาํ เร็จไมไ ดจะมีผูว า ภิกษนุ ้ันไดวา ทานผูนีบ้ วชเพ่ือประโยชนแ หงคุณวิเศษอนั ใด ไมรูจกัประโยชนแหงคณุ วเิ ศษอันน้นั จะมีประโยชนอะไร ดวยการอยเู สรใี นปา แกทานผูน้ี ซงึ่ สมาทานอรญั ญิกธุดงคอ ยแู ตผ เู ดียวเลา จะมผี วู าภิกษุนนั้ ไดดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษนุ ีส้ มาทานอรญั ญิกธดุ งคจ งึ ควรทําความเพียรในอตุ ตริมนสุ สธรรม. [๒๒๑] เม่ือทานพระสารบี ุตรกลาวอยางนี้แลว ทา นพระมหาโมค-คลั ลานะไดถ ามวา ดกู อ นทา นสารบี ตุ รผูมอี ายุ อันภิกษุผูสมาทานอรัญญกิ ธุดงคเทานน้ั หรอื ท่คี วรสมาทานธรรมเหลา นปี้ ระพฤติ หรือแมภิกษุผูอ ยูใกลบ าน กค็ วรสมาทานธรรมเหลานีป้ ระพฤต.ิ ทานพระสารบี ุตรตอบวา ดูกอ นโมคคลั ลานะ แมภ กิ ษุผูสมาทานอรัญญกิ ธดุ งค ยังควรสมาทานธรรมเหลา นี้พระพฤติ จะกลา วไปไยถงึ ภกิ ษุผูอยูใกลบานเลา. จบโคลสิ สานสิ ูตรท่ี ๙ ๙. อรรถกถาโคลสิ สานิสูตร โคลิสสานสิ ตู รมบี ทเร่มิ ตน วา เอวมฺเม สุต ขา พเจาไดสดับมาอยางน.้ี ในบรรดาบทเหลาน้ันบทวา ปทรสมาจาโร มีมารยาทหยาบคาย คือความประพฤตเิ ลว มีอาจาระหยาบ เพง ในปจจัยทง้ั หลายดุจพระมหารกั ขติ เถระไดยนิ วา อปุ ฏ ฐากกลาวกะพระเถระนนั้ ผนู ง่ั อยใู นตระกลู อุปฏ ฐากวา ทา นขอรบัผมถวายจวี รแกพระเถระรูปโนน แลว. พระเถระกลา ววา โยมทาํ ดีแลวทถ่ี วาย
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 414จีวรแกพ ระเถระผูตรึกถึงจวี รนน้ั . อุปฏ ฐากกลาววา ทานขอรบั ผมจักถวายจวี รแกท า น. พระเถระกลาววา ดแี ลว โยมจักถวายแกพ ระเถระผตู รกึ ถึงจีวรน้ัน.ภกิ ษเุ ห็นปานนีแ้ มนีช้ อื่ วา มอี าจาระหยาบ. บทวา สปฺปติสฺเสน ความยําเกรงคือมคี วามเปนผูใหญ. ไมควรทําตนใหเ ปนใหญ. บทวา เสรีวหิ าเรน ดว ยการอยอู ยา งเสรี คือดวยการอยูตามพอใจของตน ดวยการอยโู ดยไมมผี ูค อยตกั เตอื น.บทวา นานุปขชชฺ ไมเขาไปเบยี ด คอื ไมเขา ไปใกล. ภกิ ษุใดเม่ือพระมหาเถระ๒ รปู นงั่ อยทู ั้ง ๒ ขา ง ไมบอกกลาวพระเถระเหลานนั้ นง่ั เสียดสดี ว ยจวี รก็ดี ดวยเขาก็ดี ภิกษุนชี้ ื่อวา เขาไปนัง่ เบยี ด. อนง่ึ ไมทําอยา งน้ันครน้ั อยูใกลอาสนะที่ถงึ แกตนพระเถระกลาววา น่งั เถดิ ผมู ีอายุ ดงั นจ้ี งึ ควรนั่ง. หากพระเถระไมกลาว ควรกลา วถามวา ทา นขอรบั ผมจะนัง่ ไดห รอื ดังน้จี งึ ควรนง่ั . หากพระเถระไมกลา วถาม เมือ่ พระเถระกลาววา น่งั เถิด หรือแมเ ม่ือทานไมกลาว กค็ วรนงั่ ได. ในบทวา น ปฏพิ าหิสสฺ ามิ เราจักไมหา มน้มี อี ธบิ ายวา ภกิ ษุใดละเลยอาสนะทถี่ ึงแกต นแลว น่ังแยง ที่ภิกษใุ หม ภกิ ษนุ ช้ี ื่อวาหามอาสนะภกิ ษใุ หม. เมื่อภกิ ษุนั้นนง่ั อยอู ยางนนั้ ภกิ ษุใหมย นื กลา วโทษวา ภกิ ษนุ ้ไี มใหเรานงั่ กด็ ี หรอืเดนิ หาอาสนะกด็ ี เพราะฉะน้นั พงึ นั่งบนอาสนะท่ถี ึงแกตนนัน่ แหละ อยา งน้ีชอ่ื วา ไมห ามอาสนะ. บทวา อภสิ มาจารกิ ป ธมมฺ คอื ธรรมแมเพียงการปฏิบตั อิ ภสิ มาจาริกวตั ร. บทวา นาตกิ าเลน โดยไมใ ชก าล คือไมควรเขา บานใหเ ชา นกั ไมควรกลบั ใหสายนัก. ควรเขา และออกพรอมกับหมภู ิกษ.ุ เพราะเม่อื เขาไปเชา นัก ออกไปสายนัก การปฏบิ ัติวตั รในลานเจดยี แ ละลานโพธิ์เปนตน ยอมเส่ือม. ควรลา งหนาแตเ ชาแลว เขีย่ ใยแมลงมมุ เมอื่ หยาดนา้ํ คางตกเขา บา นแสวงหาขาวยาคู นัง่ กลา วติรัจฉานกถามานาประการ ในภายในบา นน่ันเอง จนถึงไดเวลาบิณฑบาตแลวฉนั อาหาร ออกไปในตอนสาย ไปถงึ วดัในเวลาลา งเทาของภิกษุท้งั หลายในภายหลงั .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 415 บทวา น ปุเรภตตฺ ปจฉฺ าภตฺต กเุ ลสุ จารติ ฺต อาปชชฺ ิตพฺพภกิ ษผุ สู มาทานอรญั ญกิ ธดุ งคไมควรถงึ ความเที่ยวไปในตระกลู ท้งั หลายในเวลากอ นภัต ในเวลาหลงั ภตั คือ ภิกษุรบั นิมนตพรอมดวยโภชนะไมลาภกิ ษุท่ีมอี ยูเท่ยี วไปในตระกูลในเวลากอนภัตก็ดี ในเวลาหลังภตั กด็ ี เวน ไวแตส มยั ตองปาจติ ตีย เพราะเหตุน้นั ภกิ ษุผรู ักษาสิกขาบทนี้ไมควรเทีย่ วไปในเวลากอ นภัตและในเวลาหลงั ภตั ซึง่ ทานกลา วไวแลวในวิภังคแหง สกิ ขาบทน้นั . บทวา อทุ ฺธโต โหติ จปโล เปนผูค ะนองกาย คะนองวาจาคือ เปนผมู ปี รกติฟงุ ซา น และประกอบดวยความเปน ผูคะนอง ดุจเดก็ ทารก ดังทท่ี านกลาวไวว า ประดบั จีวร ประดบั บาตร ประดับเสนาสนะ หรอื ตกแตง ประดับกายอนั เปอยเนา น้.ี บทวา ปฺวตา ภวติ พพฺ ควรเปน ผมู ปี ญญา คือ เมอื่ควรทาํ จวี รกรรมเปนตนควรเปน ผูประกอบดวยอบุ ายปญญา. บทวา อภิธมเฺ มอภิวนิ เย ควรทําความเพียรในอภธิ รรมในอภวิ นิ ยั คือควรทําความเพยี รในอภธิ รรมปฎก และในวินยั ปฎ กดว ยบาลีและดวยอรรถกถา. ไมค วรพลาดธรรม-หทยวิภงั คพ รอมดวยทกุ มาติกาและติกมาตกิ าเปนตนในอภธิ รรมโดยปรจิ เฉทสุดทาย. ไมควรพลาดปาฏิโมกขท้ัง ๒ ทีท่ า นวนิ จิ ฉัยไวด ีแลวพรอมกับการวินจิ ฉยั ในขอ ควรทาํ และไมควรทาํ ในวนิ ยั . บทวา อารุปฺปา อรปู สมาบตั ิดว ยบทเพียงเทา นี้เปน อันทานกลาวถงึ สมาบตั แิ ม ๘ ประการ อน่งึ เมอ่ื ไมสามารถบาํ เพ็ญสมาบัตเิ หลา น้ันไดทงั้ หมดกค็ วรบาํ เพ็ญในสมาบตั ิ ๗ บา ง ๖บาง ๕ บา ง โดยกาํ หนดบทสุดทายประพฤติถอื เอากรรมฐานคือบรกิ รรมกสิณอยางหนึ่งทําใหค ลอ งแคลว. เพียงเทา น้กี ็ไมค วรพลาด. ดว ยบทวา อตุ ฺตริ-มนุสฺสธมฺเม นพ้ี ระสารบี ุตรเถระแสดงโลกตุ ตรธรรมแมท ัง้ หมด. เพราะฉะนน้ัอันผูเ ปน พระอรหนั ตพึงละ. อนั ผยู งั มิไดบ รรลพุ ระอรหตั ควรต้งั อยูในอนาคามิ-
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มชั ฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 416ผล สกทาคามผิ ล หรือโสดาปต ติผล. โดยปรยิ ายสดุ ทายควรประพฤติถือเอาวิปสสนาสขุ อยางเดยี วจนถงึ พระอรหัตทาํ ใหคลอ งแคลว . บทที่เหลอื ในที่ทงั้ ปวงงา ยทั้งนน้ั . กท็ านพระสารบี ตุ รเถระยังโคลสิ สานิภิกษุใหบรรลุพระอรหัตโดยลําดับต้งั แตอภสิ มาทานจารกิ วตั ร ดว ยสามารถแหงบคุ คลผูควรแนะนําได จบเทศนาน้ีดวยประการฉะน้ี. จบอรรถกถาโคลิสสานสิ ตู รที่ ๙
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มัชฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 417 ๑๐. กีฏาคิรสิ ตู ร คณุ ของการฉันอาหารนอย [๒๒๒] ขาพเจาไดส ดับมาอยางน.้ี สมยั หนึง่ พระผูมีพระภาคเจา เสดจ็ เทีย่ วจารกิ ไปในกาสชี นบท พรอ มดวยภิกษุสงฆห มใู หญ ณ ทีน่ ั้นแล พระผูม ีพระภาคเจาตรสั เรยี กภิกษทุ ั้งหลายมาวา ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย เราฉันโภชนะ เวน การฉันในราตรีเสยี ทเี ดียว และเมื่อเราฉนั โภชนะเวน การฉนั ในราตรีเสยี ยอ มรูคณุ คือความเปน ผูมอี าพาธนอยมีโรคเบาบาง กระปรีก้ ระเปรา มกี ําลังและอยูสาํ ราญ แมทา นทั้งหลายก็จงมาฉันโภชนะ เวนการฉนั ในราตรเี สียเถดิ ก็เม่ือเธอท้ังหลายฉันโภชนะ เวน การฉันในราตรเี สีย จกั รูคณุ คือความเปน ผูมีอาพาธนอ ย มโี รคเบาบาง กระปรี้-กระเปรา มกี าํ ลัง และอยูส ําราญ ภิกษุเหลานัน้ ทลู รับพระผมู พี ระภาคเจาวาอยางน้ัน พระเจาขา . พระอัสสชแิ ละพระปุนพั พสกุ ะฉนั อาหารในเวลาวกิ าล [๒๒๓] ครง้ั น้ันแล พระผูมพี ระภาคเจาเสด็จเทยี่ วจารกิ ไปในกาสีชนบทโดยลาํ ดบั เสด็จถึงนคิ มของชนชาวกาสีอนั ช่ือวา กีฏาคิรี ไดยินวาครง้ั นั้นพระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ นคิ มของชนชาวกาสอี ันชื่อวา กฏี าคริ ีกโ็ ดยสมัยนัน้ มภี ิกษุชอื่ อัสสชิและภิกษชุ อ่ื ปุนพัพสกุ ะเปนเจา อาวาสอยใู นกีฏาคิรนี ิคม. คร้ังนั้น ภิกษุเปนอนั มากเขา ไปหาอสั สชิภกิ ษแุ ละปุนพั พสุก-ภกิ ษถุ ึงทอ่ี ยู ครนั้ แลวไดก ลา ววา ดกู อนผูมีอายุทัง้ หลาย พระผูม ีพระภาคเจาและภิกษสุ งฆ ฉนั โภชนะ เวน การฉนั ในราตรี กเ็ ม่ือพระผูม พี ระภาคเจาและ
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มัชฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 418ภกิ ษุสงฆฉ ันโภชนะ เวนการฉนั ในราตรี ยอมรคู ณุ คอื ความเปนผูมอี าพาธนอย มโี รคเบาบาง กระปรก้ี ระเปรา มกี ําลัง และอยสู ําราญ ดกู อ นผูมีอายุทั้งหลาย แมทา นท้งั หลายก็จงมาฉนั โภชนะ เวน การฉนั ในราตรเี สยี เถดิ เม่ือทานท้งั หลายฉันโภชนะ เวนการฉนั ในราตรี กจ็ กั รูคณุ คือความเปน ผูมอี าพาธนอย มโี รคเบาบาง กระปรี้กระเปรา มกี าํ ลัง และอยสู าํ ราญ เมอื่ ภกิ ษุท้งัหลายกลาวอยา งนี้แลว ภกิ ษุอัสสชิและภกิ ษปุ นุ พั พสกุ ะ ไดกลาววา ดูกอ นผูมอี ายทุ ัง้ หลาย เราท้งั หลายฉนั โภชนะทัง้ เวลาเย็น ท้ังเวลาเชา ทั้งเวลาวิกาลในกลางวนั เมือ่ เราเหลานนั้ ฉนั โภชนะท้งั เวลาเยน็ ทั้งเวลาเชา ท้งั เวลาวิกาลในกลางวนั กย็ อ มรคู ณุ คอื ความเปน ผูม ีอาพาธนอ ย มีโรคเบาบาง กระปร-้ีกระเปรา มกี าํ ลงั และอยูสําราญ เราเหลานน้ั จักละคุณทค่ี นเห็นเอง แลวว่งิไปตามคุณอนั อา งกาลทําไม เราทง้ั หลายจกั ฉันทั้งเวลาเย็น ทัง้ เวลาเชา ทง้ั เวลาวกิ าล ในกลางวนั . [๒๒๔] เมื่อภกิ ษุเหลา น้นั ไมส ามารถจะใหอัสสชิภกิ ษแุ ละปนุ พั พสกุ -ภกิ ษยุ ินยอมได จงึ เขาไปเฝา พระผูมีพระภาคเจาถงึ ท่ปี ระทับ ถวายบังคมพระ-ผูมีพระภาคเจา แลว นั่ง ณ ท่คี วรสวนขางหนง่ึ ครัน้ แลว ไดก ราบทลู พระผูม ีพระภาคเจา วา ขาแตพ ระองคผ เู จรญิ ขอประทานโอกาส ขา พระองคท้งั หลายเขาไปหาอัสสชิภกิ ษแุ ละปุนัพพสกุ ภกิ ษุถงึ ที่อยู ครัน้ แลวไดก ลา ววา ดูกอ นผมู ีอายุทั้งหลาย พระผูม พี ระภาคเจาและภกิ ษสุ งฆ ฉันโภชนะเวน การฉันในราตรีเม่อื พระผูมพี ระภาคเจา และภกิ ษสุ งฆ ฉนั โภชนะเวน การฉันในราตรี ยอมรูคณุคอื ความเปน ผมู ีอาพาธนอย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปรา มีกําลงั และอยูสาํ ราญ แมทา นทั้งหลายกจ็ งฉนั โภชนะเวนการฉนั ในราตรเี สยี เถดิ กเ็ มือ่ ทานทั้งหลายฉันโภชนะ เวนการฉนั ในราตรี รจู กั คณุ คอื ความเปน ผมู ีอาพาธนอ ย
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 419มโี รคเบาบาง กระปรีก้ ระเปรา มีกาํ ลงั และอยูสําราญ เมือ่ ขา พระองคทงั้ หลายกลา วอยา งน้แี ลว อสั สชภิ กิ ษแุ ละปุนพั พสุกภกิ ษุไดก ลา ววา ดูกอนผมู ีอายทุ ้ัง-หลาย เราทั้งหลายฉนั โภชนะท้ังเวลาเยน็ ทง้ั เวลาเชา ทัง้ เวลาวิกาล ในกลางวัน เมอ่ื เราทัง้ หลายนนั้ ฉันโภชนะท้งั เวลาเยน็ ท้ังเวลาเชา ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวนั ยอ มรคู ุณคือความเปน ผมู ีอาพาธนอย มโี รคเบาบาง กระปรี้กระเปรามีกาํ ลัง และอยูสาํ ราญ เราเหลา นน้ั จักละคุณที่ตนเหน็ เอง แลว วง่ิ ไปตามคณุอนั อางกาลทาํ ไม เราทง้ั หลายจกั ฉันโภชนะทงั้ เวลาเยน็ ทัง้ เวลาเชา ท้งั เวลาวิกาล ในกลางวนั ขาแตพระองคผูเจรญิ เม่อื ขาพระองคท ั้งหลาย ไมสามารถจะใหอัสสชิภกิ ษแุ ละปนุ พั พสุกภกิ ษยุ ินยอมได จึงกราบทูลเนื้อความนแ้ี ดพระ-ผมู พี ระภาคเจา. ลาํ ดับน้ัน พระผูมีพระภาคเจาตรสั เรยี กภิกษุรูปหน่งึ มาวา ดกู อนภกิ ษุเธอจงไปเรียกอสั สชภิ กิ ษุและปนุ ัพพสุกภกิ ษตุ ามคาํ ของเราวา พระศาสดาตรสัเรยี กทา นท้ังหลาย ภกิ ษุนนั้ ทูลรับตอ พระผูมีพระภาคเจาแลว เขา ไปหาอสั สช-ิภกิ ษุและปุนพั พสุกภิกษถุ งึ ทอ่ี ยู ครั้นแลวไดกลา ววา พระศาสดาตรสั เรยี กทานทัง้ หลาย อสั สชิภิกษุและปุนพั พสกุ ภกิ ษรุ ับตอ ภกิ ษนุ นั้ แลว เขาไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจาแลว น่งั อยู ณ ทคี่ วรสว นขา งหนึ่ง พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสกับอสั สชิภิกษแุ ละปุนพั พสุกภกิ ษุวา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย ไดยนิ วา ภกิ ษเุ ปน อนัมากเขาไปหาเธอทงั้ สองแลว กลา ววา ดกู อ นผมู ีอายทุ ั้งหลาย พระผูมพี ระภาค-เจา และภกิ ษุสงฆฉ ันโภชนะ เวน การฉันในราตรี เมื่อพระผูม ีพระภาคเจาและภกิ ษสุ งฆฉ ันโภชนะ เวนการฉันในราตรี ยอ มรูค ณุ คอื ความเปน ผมู ีอาพาธนอยมโี รคเบาบาง กระปร้ีกระเปรา มกี าํ ลงั และอยูสาํ ราญ แมท า นท้ังหลายก็จงมาฉนั โภชนะเวน การฉนั ในราตรเี สยี เถิด เมื่อทานทั้งหลายฉนั โภชนะ เวนการฉนั ในราตรี จกั รูคุณคอื ความเปนผูม ีอาพาธนอย มีโรคเบาบาง กระปรกี้ ระ-เปรา มีกาํ ลังและอยสู าํ ราญดงั นี้ ไดยินวาเม่ือภิกษุเหลานัน้ กลาวอยางนแ้ี ลว
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มัชฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 420เธอทง้ั สองไดกลา วกะภกิ ษุเหลานั้นอยางน้ีวา ดูกอนผมู ีอายทุ ้ังหลาย กเ็ ราท้ังหลายฉนั โภชนะทง้ั เวลาเย็น ทง้ั เวลาเชา ท้งั เวลาวกิ าล ในเวลากลางวนัเม่ือเราท้งั หลายนัน้ ฉันโภชนะท้ังเวลาเยน็ ท้งั เวลาเชา ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวนั ยอมรูคุณคอื ความเปน ผมู อี าพาธนอ ย มโี รคเบาบาง กระปรก้ี ระเปรามกี ําลัง และอยสู าํ ราญ เราเหลา นนั้ จักละคณุ ท่ตี นเหน็ เอง แลววงิ่ ตามคุณที่อางกาลทาํ ไม เราทั้งหลายจกั ฉนั โภชนะท้ังเวลาเย็น ทงั้ เวลาเชา ท้งั เวลาวิกาลในกลางวนั ดงั น้ี จริงหรอื . อยา งน้ัน พระเจา ขา . พระพทุ ธเจาแสดงเวทนา ๓ [๒๒๕] ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายรูท่ัวถงึ ธรรมทีเ่ ราแสดงแลวอยา งน้ี บรุ ุษบคุ คลนเ้ี สวยเวทนาอยา งใดอยางหน่งึ คือ สุข ทุกข หรือมิใชท ุกขม ใิ ชสุข อกุศลธรรมของบุรุษบุคคลน้นั ยอมเส่อื ม กุศลธรรมยอมเจรญิดงั นีห้ รอื หนอ. ไมอ ยางนั้น พระเจา ขา. กอนภิกษุทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายยอ มรูท วั่ ถึงธรรมทเ่ี ราแสดงแลวอยางนี้วา เม่อื บคุ คลบางคนในโลกนเี้ สวยสุขเวทนาเห็นปานนี้อยู อกุศลธรรมยอมเจริญ กุศลธรรมยอ มเส่ือม สว นเมือ่ บคุ คลบางคนในโลกนี้เสวยสขุ เวทนาเหน็ปานน้อี ยู อกศุ ลธรรมยอมเสอ่ื ม กศุ ลธรรมยอมเจริญ เมือ่ บุคคลบางคนในโลกนเ้ี สวยทกุ ขเ วทนาเห็นปานน้อี ยู อกศุ ลธรรมยอ มเจริญ กศุ ลธรรมยอ มเสอ่ื มสวนบคุ คลในโลกนเ้ี สวยทกุ ขเวทนาเหน็ ปานนอี้ ยู อกศุ ลธรรมเสื่อม กศุ ลธรรมยอมเจริญ เม่ือบคุ คลบางคนในโลกนี้ เสวยอทุกขมสขุ เวทนาเหน็ ปานอี้ ยูอกุศลธรรมยอมเจริญ กุศลธรรมยอมเสอื่ ม สว นบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวย
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 421อทุกขมสุขเวทนาเหน็ ปานน้อี ยู อกศุ ลธรรมยอมเสื่อม กศุ ลธรรมยอ มเจรญิดงั นม้ี ใิ ชหรอื . ภ. อยา งนนั้ พระเจาขา. [๒๒๖] พ. ดีละ ภกิ ษุทง้ั หลาย ก็เพราะขอ วา เมื่อบุคคลบางคนในโลกน้ี เสวยสขุ เวทนาเหน็ ปานนี้อยู อกุศลธรรมยอมเจริญ กศุ ลธรรมยอ มเสื่อมดงั น้ี น่ีจกั เปนขอทเี่ ราไมไดร ูแลว ไมไ ดเหน็ แลว ไมไ ดทราบแลว ไมไ ดทําใหแ จง แลว ไมไดถ ูกตอ งแลวดวยปญญา เม่อื เราไมร อู ยางน้ี จะพงึ กลาววา เธอทั้งหลายจงละสขุ เวทนาเห็นปานนเ้ี สยี เถิด ดังนี้ ขอ น้จี กั ไดส มควรแกเ ราแลหรือ. ภ. ไมสมควร พระเจาขา . พ. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย กเ็ พราะขอ วา เมอ่ื บคุ คลบางคนในโลกนี้เสวยสขุ เวทนาเหน็ ปานนี้อยู อกุศลธรรมยอ มเจรญิ กุศลธรรมยอ มเส่ือม ดงั นี้น่เี รารแู ลว เห็นแลว ทราบแลว ทําใหแจงแลว ถกู ตอ งแลว ดว ยปญ ญาฉะนนั้ เราจงกลา ววา เธอทัง้ หลายจงละสุขเวทนาเห็นปานนีเ้ สียเถิด ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย กข็ อ วา เมือ่ บุคคลบางคนในโลกน้ี เสวยสุขเวทนาเหน็ ปานนอ้ี ยูอกศุ ลธรรมยอ มเสอ่ื ม กุศลธรรมยอ มเจริญ ดังน้ี นีจ่ ักเปน ขอ ท่เี ราไมร แู ลวไมไดเ ห็นแลว ไมไ ดท ราบแลว ไมไดท าํ ใหแ จง แลว ไมไดถูกตองแลว ดว ยปญญา เม่อื เราไมรอู ยางน้จี ะพงึ กลาววา เธอท้ังหลายจงเขาถงึ สขุ เวทนาเห็นปานน้ีอยูเถดิ ดังนี้ ขอนี้จักไดส มควรแกเราแลหรือ. ภ. ไมส มควร พระเจา ขา. พ. ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ก็เพราะขอวา เม่ือบคุ คลบางคนในโลกนี้เสวยสุขเพราะเวทนาเห็นปานน้ีอยู อกศุ ลธรรมยอมเสื่อม กุศลธรรมยอมเจรญิดงั นี้ นเี่ รารแู ลว เหน็ แลว ทราบแลว ทาํ ใหแ จง แลว ถูกตอ งแลว ดวยปญญาฉะน้นั เราจงึ กลาววา เธอทงั้ หลายจงเขา ถงึ สุขเวทนาเห็นปานน้ีอยูเ ถิด.
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มัชฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 422 [๒๒๗] ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย กเ็ พราะขอ วา เม่ือบคุ คลบางคนในโลกนี้เสวยทกุ ขเวทนาเหน็ ปานนอี้ ยู อกศุ ลธรรมยอมเจริญ กศุ ลธรรมยอ มเสื่อม ดงัน้ี นจี่ ักเปน ขอทเี่ ราไมไ ดร แู ลว ไมไดเ หน็ แลว ไมไ ดท ราบแลว ไมไ ดท ําใหแจง แลว ไมไดถ ูกตองแลว ดวยปญญา เม่ือเราไมร ูอยา งนี้ จะพงึ กลาววา เธอท้งั หลายจงละทุกขเวทนาเห็นปานน้เี สียเถิด ดงั นี้ ขอนีจ้ ักไดส มควรแกเ ราแลหรือ. ภ. ไมสมควร พระเจาขา . พ. ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย กเ็ พราะขอ วา เมื่อบคุ คลบางคนในโลกน้ีเสวยทุกขเวทนาเหน็ ปานน้ีอยู อกศุ ลธรรมยอ มเจริญ กุศลธรรมยอมเสือ่ ม ดงันี้ น่เี รารแู ลว เห็นแลว ทราบแลว ทําใหแจง แลว ถูกตอ งแลวดว ยปญญาฉะนน้ั เราจึงกลาววา เธอทัง้ หลายจงละทกุ ขเวทนาเห็นปานนเี้ สยี เถิด ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ก็ขอ วา เมอ่ื บคุ คลบางคนในโลกนี้ เสวยทกุ ขเวทนาเหน็ ปานนี้อยู อกศุ ลธรรมยอ มเสอื่ ม กศุ ลธรรมยอ มเจรญิ ดังน้ี น้ีจกั เปน ขอ ท่ีเราไมไดร แู ลว ไมไดเ หน็ แลว ไมไ ดท ราบแลว ไมไดทาํ ใหแ จงแลว ไมไ ดถกู ตองแลว ดว ยปญ ญา เมือ่ เราไมร ูอ ยา งนี้จะพงึ กลา ววา เธอท้งั หลายจงเขา ถึงทกุ ขเวทนาเหน็ ปานนี้อยูเถิด ขอ นี้จกั ไดส มควรแกเ ราแลหรือ. ภ. ไมสมควร พระเจาขา. พ. ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย กเ็ พราะขอ วา เมือ่ บุคคลบางคนในโลกนี้เสวยทุกขเวทนาเห็นปานนอี้ ยู อกศุ ลธรรมยอ มเสอ่ื ม กศุ ลธรรมยอ มเจรญิ ดังนี้น่เี รารแู ลว เห็นแลว ทราบแลว ทาํ ใหแ จงแลว ถกู ตองแลวดว ยปญ ญา ฉะนน้ัเราจึงกลาววา เธอทงั้ หลายจงเขาถงึ ทกุ ขเวทนาเหน็ ปานนีอ้ ยูเ ถิด.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มัชฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 423 [๒๒๘] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย กเ็ พราะขอวา เม่อื บางคนในโลกนี้ เสวยอทุกขมสุขเวทนาเหน็ ปานนอี้ ยู อกศุ ลธรรมยอ มเจรญิ กศุ ลธรรมยอ มเส่ือมดงั น้ี นีจ่ กั เปน ขอท่ีเราไมไดร แู ลว ไมไดเ หน็ แลว ไมไ ดทราบแลว ไมไ ดทําใหแ จง แลว ไมไดถกู ตองแลวดวยปญ ญา เม่อื เราไมร อู ยา งนจ้ี ะพึงกลา ววาเธอทงั้ หลายจงละอทกุ ขมสขุ เวทนาเห็นปานนเ้ี สียเถิด ดงั นี้ ขอ น้ีจักไดสมควรแกเราแลหรือ. ภ. ไมส มควร พระเจา ขา. พ. ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย กเ็ พราะขอวา เม่อื บคุ คลบางคนในโลกน้ีเสวยอทกุ ขมสุขเวทนาเห็นปานน้อี ยู อกุศลธรรมยอ มเจรญิ กศุ ลธรรมยอ มเสอ่ื ม ดงั นี้ น่ีเรารแู ลว เห็นแลว ทราบแลว ทาํ ใหแ จง แลว ถกู ตอ งแลวดว ยปญ ญา ฉะนัน้ เราจึงกลา ววา เธอทงั้ หลายจงละอทุกขมสุขเวทนาเหน็ ปานน้ีเสยี เถดิ ดังน้ี ดกู อนภิกษุท้งั หลาย กข็ อ วา เมอื่ บุคคลบางคนในโลกน้ีเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนาเห็นปานนอ้ี ยู อกุศลธรรมยอมเสอ่ื ม กุศลธรรมยอ มเจรญิดงั นี้ น่ีจกั เปน ขอทเี่ ราไมไ ดร ูแลว ไมไ ดเหน็ แลว ไมไ ดทราบแลว ไมไ ดถกู ตอ งแลว ดว ยปญญา เม่อื เราไมรูอยางนี้ จะพึงกลาววา เธอทั้งหลายจงเขาถงึอทกุ ขมสขุ เวทนาเหน็ ปานนี้อยเู ถดิ ดังนี้ ขอนจ้ี กั ไดสมควรแกเ ราแลหรือ. ภ. ไมสมควร พระเจาขา . พ. ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย กเ็ พราะขอ วา เม่อื บคุ คลบางคนในโลกนี้เสวยอทกุ ขมสุขเวทนาเหน็ ปานนี้อยู อกศุ ลธรรมยอ มเสื่อม กศุ ลธรรมยอมเจรญิ ดงั นี้ น่เี รารแู ลว เห็นแลว ทราบแลว ทาํ ใหแจง แลว ถกู ตองแลวดวยปญญา ฉะนนั้ เราจึงกลา ววา เธอทัง้ หลายจงเขาถึงอทุกขมสุขเวทนาเหน็ปานนอ้ี ยเู ถิด.
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มัชฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 424 [๒๒๙] ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย เราหากลา ววา กจิ ที่ควรทาํ ดวยความไมป ระมาทยอมมีภิกษทุ ง้ั ปวง ดงั นไ้ี ม อนง่ึ เราหากลา ววา กจิ ท่คี วรทาํ ดวยความไมประมาท ไมมีแกภ กิ ษทุ ง้ั ปวง ดงั น้ีไม ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษุเหลาใดเปน พระอรหนั ตขณี าสพ อยจู บพรหมจรรย มกี ิจทคี่ วรทํา ทําเสร็จแลวปลงภาระไดแ ลว มีประโยชนต นอนั บรรลุแลว มสี ังโยชนใ นภพส้ินแลว พนวเิ ศษแลวเพราะรูโ ดยชอบ เรายอมกลา ววา กจิ ทคี่ วรทําดวยความไมป ระมาทไมมีแกภิกษุเห็นปานน้ัน ขอ น้ันเพราะเหตไุ ร เพราะภกิ ษุเหลาน้นั ไดท ํากรณยี กิจเสรจ็ แลว ดว ยความไมประมาท และภกิ ษเุ หลาน้นั เปนผไู มควรเพือ่ จะประมาทดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ภิกษุเหลาใดยงั เปนพระเสขะ ยังไมบ รรลุถึงความเต็มปรารถนา ยังไมไดบ รรลเุ ปน พระอรหันตขณี าสพ ยงั ปรารถนาธรรมเปนแดนเกษมจากโยคะ อันไมมีธรรมอืน่ ย่งิ ไปกวาอยู เรายอมกลา ววา กจิ ทคี่ วรทําดวยความไมป ระมาท ยอ มมีแกภิกษเุ หน็ ปานนั้น ขอ น้นั เพราะเหตไุ ร เพราะเราเห็นผลแหงความไมประมาทของภิกษเุ หลานี้เชน นวี้ า ไฉนทานเหลาน้ี เมื่อเสพเสนาสนะอันสมควร คบหากัลยาณมิตรทําอนิ ทรียใหเสมออยู ทําใหแ จงซึ่งทีส่ ดุ แหงพรหมจรรย อนั ไมมธี รรมอื่นย่ิงกวาที่กุลบตุ รท้งั หลาย ผูอ อกจากเรอื นบวชเปน บรรพชติ โดยชอบตอ งการน้นั ดวยปญ ญาอนั ย่ิงในปจจุบันเขา ถงึอยู ดงั น้ี จึงกลาววา กิจที่ควรทําดวยความไมป ระมาท ยอ มมีแกภ ิกษเุ หน็ปานน้นั . บคุ คล ๗ จําพวก [๒๓๐] ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย บคุ คล ๗ จําพวกเหลา น้ีมีปรากฏอยใู นโลก ๗ จาํ พวกเปน ไฉน คอื อภุ โตภาควิมุตบคุ คล ๑ ปญญาวมิ ุตบุคคล ๑ กาย-สักขีบุคคล ๑ ทฏิ ฐิปตตบุคคล ๑ สัทธาวิมตุ บุคคล ๑ ธมั มานุสารบี ุคคล ๑สัทธานสุ ารีบคุ คล ๑.
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มัชฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 425 [๒๓๑] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ก็อุภโตภาควิมุตบุคคลเปน ไฉน ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี ถูกตองวโิ มกขอันละเอยี ด คอื อรูปสมาบัติลว งรูปสมาบตั ิ ดวยกายอยู และอาสวะท้ังหลายของผูนั้นสิ้นไป เพราะเห็นอรยิ สัจนัน้ ดวยปญญา บคุ คลนี้เรากลา ววา อุภโตภาควิมุตบุคคล. ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย เรายอ มกลา ววา กจิ ท่คี วรทําดว ยความไมป ระมาท ยอ มไมม ีแกภกิ ษุนี้ ขอ นั้นเพราะเหตไุ ร เพราะกิจท่ีควรทาํ ดวยความไมป ระมาท ภกิ ษนุ ั้นทาํเสร็จแลวและภกิ ษุนนั้ เปนผูไ มควรเพ่ือจะประมาท. [๒๓๒] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย กป็ ญ ญาวมิ ุตบคุ คลเปนไฉน ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกนี้ ไมไ ดถ ูกตองวโิ มกขอ นั ละเอยี ด คืออรูป-สมาบตั ิ ลว งรปู สมาบัติดว ยกายอยู แตอาสวะทง้ั หลายของผูนน้ั ส้ินไป เพราะเห็นอริยสจั นน้ั ดว ยปญญา ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย บคุ คลน้เี รากลาววาปญ ญา-วมิ ุตบคุ คล. ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย เรายอ มกลาววา กจิ ท่ีควรทาํ ดว ยความไมประมาท ยอ มไมม แี กภิกษุแมน ี้ ขอนน้ั เพราะเหตุไร เพราะกจิ ที่ควรทําดวยความไมประมาท ภิกษนุ ้ันทําเสร็จแลว และภิกษนุ นั้ เปนผูไมควรเพื่อจะประมาท. [๒๓๓] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย กก็ ายสกั ขีบุคคลเปน ไฉน ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกตอ งวิโมกขอ นั ละเอียด คืออรูปสมาบัติลวงรูปสมาบัติดวยกายอยู และอาสวะบางเหลาของผนู ้ันสนิ้ ไป เพราะเห็นอริยสัจน้ัน ดว ยปญ ญา บคุ คลนี้เรากลาววา กายสกั ขบี ุคคล ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลายเรากลา ววา กิจทคี่ วรทาํ ดว ยความไมป ระมาท ยอ มมีแกภิกษนุ ้ี ขอ นัน้ เพราะเหตุไร ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะเราเห็นผลแหง ความไมประมาทของภิกษนุ ี้เชนนว้ี า ไฉนทา นผูน้ี เมอื่ เสพเสนาสนะทีส่ มควร คบหากัลยาณมิตร ทํา
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มัชฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 426อนิ ทรียใหเสมออยู พึงทําซึ่งทีส่ ุดพรหมจรรย อนั ไมมีธรรมอน่ื ย่ิงไปกวา ท่ีกลุ บตุ รทั้งหลายออกจากเรือนบวชเปน บรรพชติ โดยชอบตอ งการใหแจง ชดั ดวยปญ ญาอนั ยง่ิ เองไดใ นปจจบุ นั แลว เขาถึงอยดู งั นี้ เราจงึ กลา ววา กจิ ทค่ี วรทําดว ยความไมประมาท ยอมมีแกภ กิ ษนุ .้ี [๒๓๔] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ทิฏฐปิ ต ตบุคคลเปนไฉน ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี ไมไดถกู ตองวโิ มกขอ ันละเอียดคืออรูปสมาบตั ิลว งรปู สมาบตั ิดว ยกายอยู แตอาสวะบางเหลา ของผูน น้ั สน้ิ ไป เพราะเห็นอริยสัจนน้ั ดวยปญญา อนง่ึ ธรรมทง้ั หลายทตี่ ถาคตประกาศแลว เปน ธรรมอนั ผูน น้ั เหน็ แจง ดวยปญญาประพฤติดีแลว บคุ คลนี้เรากลาววา ทิฏฐิปตต-บุคคล ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย เรากลาววา กจิ ทค่ี วรทําดว ยความไมประมาทยอ มมีแกภกิ ษุแมน้ี ขอนัน้ เพราะเหตไุ ร เพราะเราเห็นผลแหง ความไมประมาทของภิกษนุ ้ีเชน น้ีวา ไฉนทา นผูน้เี สพเสนาสนะที่สมควร คบหากลั ยาณมิตรทําอินทรยี ใ หเ สมออยู พงึ ทาํ ซ่งึ ท่ีสุดพรหมจรรยอ ันไมม ธี รรมอื่นย่งิ ไปกวา ท่ีกุลบุตรทั้งหลายออกจากเรอื นบวชเปน บรรพชติ โดยชอบตอ งการใหแ จงชดั ดวยปญญาอันย่ิงดว ยตนเองในปจ จุบัน แลวเขาถงึ อยู ดงั น้ี เราจึงกลาววา กิจท่ีควรทําดวยความไมประมาท ยอ มมแี กภ กิ ษนุ ้ี. [๒๓๕] ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย กส็ ัทธาวิมตุ บุคคลเปน ไฉน ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไมไดถกู ตองวโิ มกขอ นั ละเอยี ดคอื อรูปสมาบัติลว งรูปสมาบัติดวยกายอยู แตอ าสวะบางเหลา ของผูน ั้นสนิ้ ไป เพราะเหน็อรยิ สัจนนั้ ดวยปญญา อนึง่ ความเชื่อในพระตถาคตของผนู นั้ ตงั้ ม่นั แลว มีรากหย่ังลงม่ันแลว บคุ คลนเี้ รากลา ววาสทั ธาวมิ ตุ บุคคล ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลายเรากลา ววากจิ ทคี่ วรทําดวยความไมประมาท ยอมมแี กภ กิ ษแุ มน ี้ ขอนัน้ เพราะ
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มัชฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 427เหตุไร เพราะเราเหน็ ผลแหง ความไมป ระมาทของภกิ ษนุ ้เี ชน นี้วา ไฉนทา นผนู ี้เสพเสนาสนะอันสมควร คบหากัลยาณมติ ร ทาํ อินทรยี ใ หเสมออยู พึงทาํ ใหแ จงซงึ่ ทีส่ ุดพรหมจรรย อันไมมีธรรมอ่นื ยงิ่ กวา ท่ีกลุ บตุ รท้งั หลายผอู อกจากเรอื นบวชเปน บรรพชิตโดยชอบตอ งการ ดว ยปญ ญาอนั ยง่ิ ดวยตนเองในปจ จุบัน แลวเขาถงึ อยู ดังนี้จงึ กลาววา กิจที่ควรทาํ ดว ยความไมป ระมาทยอ มมแี กภ ิกษุน.ี้ [๒๓๖] ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย กธ็ ัมมานสุ ารบี คุ คลเปนไฉน ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี ไมไดถกู ตอ งวโิ มกขอ นั ละเอียดคืออรูป-สมาบตั ิ ลวงรูปสมาบตั ดิ วยกายอยู แตอ าสวะบางเหลาของผนู ัน้ สิ้นไป เพราะเหน็ อริยสจั นั้น ดวยปญญา อนงึ่ ธรรมทัง้ หลายทพ่ี ระตถาคตประกาศแลวยอมควรซงึ่ ความพินิจ โดยประมาณดวยปญ ญาของผนู ้นั อีกประการหนง่ึธรรมเหลาน้ี คอื สัทธนิ ทรยี วิรยิ นิ ทรยี สตินทรยี สมาธนิ ทรีย ปญญินทรยี ยอมมแี กผ ูนนั้ บุคคลนีเ้ รากลาววา ธมั มานุสารีบคุ คล ดกู อ นภิกษุทั้งหลายเรากลา ววา กจิ ทีค่ วรทําดว ยความไมป ระมาท ยอมมีแกภ ิกษแุ มน ี้ ขอ นี้เพราะเหตุไร เพราะเราเหน็ ผลแหง ความไมประมาทของภิกษนุ ีเ้ ชน น้ีวา ไฉนทา นผูนีเ้ สพเสนาสนะท่ีสมควร คบหากัลยาณมติ ร ทําอนิ ทรียใ หเสมออยู พึงทําใหแจง ซ่งึ ทส่ี ุดพรหมจรรย อันไมมธี รรมอ่นื ยิ่งกวา ท่กี ุลบุตรทงั้ หลายผอู อกจากเรอื นบวชเปนบรรพชติ โดยชอบตองการ ดว ยปญ ญาอันยงิ่ ดว ยตนเองในปจ จุบันแลวเขา ถงึ อยู ดงั น้ี เราจงึ กลา ววา กิจทคี่ วรทําดวยความไมป ระมาท ยอ มมีแกภกิ ษนุ .้ี [๒๓๗] ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย กส็ ทั ธานุสารีบคุ คลเปน ไฉน ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ไมไดถ กู ตอ งวโิ มกขอ ันละเอยี ดคืออรปู
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มัชฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 428สมาบตั ิ ลวงรูปสมาบัตดิ ว ยกายอยู แตอ าสวะบางเหลาของผูนั้นสน้ิ ไป เพราะเหน็ อรยิ สจั น้นั ดว ยปญญา อน่งึ ผนู ้นั มีแตเ พียงความเชือ่ ความรกั ในพระ-ตถาคต อีกประการหนง่ึ ธรรมเหลา นคี้ ือ สัทธินทรยี วิรยิ ินทรีย สตินทรียสมาธินทรีย ปญญินทรยี ยอ มมีแกผูน ้นั บคุ คลน้เี รากลาววา สัทธานสุ ารี-บุคคล. ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย เรากลา ววา กิจทคี่ วรทาํ ดว ยความไมป ระมาทยอมเกดิ แกภิกษแุ มน ี้ ขอน้นั เพราะเหตุไร เพราะเราเหน็ ผลแหงความไมป ระ-มาทของภกิ ษุนเี้ ชน นี้วา ไฉนทา นผนู ีเ้ สพเสนาสนะที่สมควร คบหากลั ยาณมิตรทาํ อินทรียใหเสมออยู พึงทําใหแ จงซึง่ ที่สุดพรหมจรรย อนั ไมมธี รรมอ่ืนยง่ิกวา ท่กี ุลบตุ รทัง้ หลายผูอ อกจากเรอื นบวชเปนบรรพชติ โดยชอบตอ งการ ดว ยปญ ญาอนั ยง่ิ ดว ยตนเองในปจจบุ ัน แลว เขา ถึงอยู ดังน้ี จึงกลา ววา กิจที่ควรทาํ ดว ยความประมาท ยอมมแี กภ กิ ษุน้.ี การตั้งอยูในอรหัตผล [๒๓๘] ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย เรายอ มกลาวการต้ังอยูใ นอรหตั ผลดวยการไปคร้ังแรกเทานน้ั หามไิ ด แตการตั้งอยูในอรหตั ผลน้นั ยอ มมีไดด ว ยการศึกษาโดยลําดับ ดวยการทําโดยลาํ ดับ ดว ยความปฏิบัติโดยลําดับ ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย กก็ ารตั้งอยูในอรหตั ผลยอมมไี ด. ดวยการศึกษาโดยลาํ ดบั ดวยการทําโดยลําดับ ดวยความปฏบิ ัตโิ ดยลาํ ดบั อยา งไร ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย กุล-บุตรในธรรมวินัยนี้ เกิดศรัทธาแลวยอ มเขา ไปใกล เมอื่ เขา ไปใกลยอ มนัง่ ใกลเม่ือน่งั ใกลย อมเง่ยี โสตลง เมื่อเงย่ี โสตลงแลวยอมฟง ธรรม ครนั้ ฟง ธรรมยอมทรงธรรมไว ยอ มพจิ ารณาเนื้อความแหง ธรรมทท่ี รงไวแ ลว เม่ือพจิ ารณาเนอ้ื ความอยู ธรรมทั้งหลายยอ มทนไดซึง่ ความพนิ ิจ เมอื่ ธรรมทนความพนิ จิ
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มัชฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 429ไดอ ยู ฉนั ทะยอมเกดิ เมื่อเกิดฉนั ทะแลวยอมอตุ สาหะ คร้นั อตุ สาหะแลวยอ มไตรต รอง ครั้นไตรต รองแลว ยอ มตง้ั ความเพียร เม่ือมีตนสงไป ยอ มทําใหแจงชดั ซง่ึ บรมสจั จะดวยกาย และยอมแทงตลอดเห็นแจงบรมสัจจะนน้ัดวยปญ ญา ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ศรัทธากด็ ี การเขาไปใกลก ด็ ี การนง่ั ใกลกด็ ี การเง่ียโสตลงก็ดี การฟง ธรรมก็ดี การทรงจาํ ธรรมกด็ ี การพิจารณาเนอ้ื ความก็ดี ธรรมอนั ไดซ ง่ึ ความพนิ จิ กด็ ี ฉนั ทะก็ดี อุตสาหะกด็ ี การไตร-ตรองกด็ ี การตงั้ ความเพยี รกด็ ี นน้ั ๆ ไมไดมีแลว เธอท้งั หลายยอมเปนผูปฏบิ ัติพลาด ยอ มเปนผปู ฏบิ ัตผิ ิด ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย โมฆบรุ ษุ เหลาน้ีไดห ลีกไปจากธรรมวนิ ัยน้ี ไกลเพยี งไร. บท ๔ [๒๓๙] ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย บทส่ีอนั ยนื ยันไดท่ีเรายกขึ้นแสดงแลวอนั วญิ ูบรุ ษุ จะพึงรเู นอ้ื ความไดดวยปญ ญาไมน านเลย มอี ยู เราจกั แสดงแกเธอทงั้ หลาย เธอท้งั หลายจักรูท่ัวถงึ เนื้อความแหงบทสอ่ี นั ยนื ยนั ได ท่เี รายกขึ้นแสดงแลว นัน้ . ขา แตพ ระองคผ เู จริญ พวกไหนเปนขา พระองคท ัง้ หลาย และพวกไหนจะเปน ผูร ทู ั่งถึงธรรมได. ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ศาสนาใดเปน ผูหนกั ในอามสิ รบั มรดกแตสวนที่เปน อามสิ ของอยูดวยอามสิ แมศ าสดาน้ันยอมไมมคี ณุ สมบัตเิ หมอื นดังของตลาดซ่ึงมรี าคาขึน้ ๆ ลง ๆ เหน็ ปานนี้วา กเ็ มือ่ เหตุอยา งน้พี ึงมีแกเ รา เราพึงทําเหตนุ ้ัน กเ็ มื่อเหตุอยา งน้ีไมพงึ มีแกเรา เราไมพงึ ทาํ เหตุนั้น ดงั นี.้ ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย กท็ ําไมเลา ตถาคตจงึ ไมข อ งดว ยอามสิ โดยประการทง้ั ปวงอยูดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย สภาพนย้ี อ มมแี กส าวก ผูมศี รทั ธา ผูห ยัง่ ลงในคาํ สอน
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มชั ฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 430ของพระศาสดาแลวพระพฤตดิ วยจงใจวา พระผมู พี ระภาคเจา เปนพระศาสดาเราเปน สาวก พระผมู พี ระภาคเจา ยอ มทรงรู เราไมร ู คําสอนของพระศาสดายอ มงอกงามมีโอชาแกสาวกผูม ศี รทั ธา ผหู ย่ังลงในคําสอนของพระศาสดาแลวพระพฤต.ิ สภาพนี้ ยอมมีแกสาวกผูมีศรัทธาผหู ย่งั ลงในคําสอนของพระศาสดาแลวประพฤติ ดวยตง้ั ใจวา เนอื้ และเลอื ดในสรีระของเราจงเหือดแหงไป. จะเหลอื อยูแตห นงั และเอน็ และกระดูกกต็ ามที เม่ือเรายงั ไมบรรลถุ ึงอฐิ ผลทจี่ ะพึงบรรลดุ ว ยเร่ียวแรงของบรุ ุษ ดวยความเพยี รของบุรุษ ดว ยความบากบ่นั ของบรุ ษุ แลว จักคลายความเพียรน้นั เสีย จกั ไมม ีเลย. ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ผลสองอยางคือ อรหัตผลในปจจุบนั หรือเมอ่ื ขนั ธบญั จกทก่ี รรมกเิ ลสเขา ไปยดึถือเปนสวนเหลอื ยงั มีอยู ความเปนพระอนาคามีอยา งใดอยางหนึ่ง อนั สาวกผูมศี รัทธา ผูหย่งั ลงในคําสอนของพระศาสดาแลวประพฤติ พงึ หวังได. พระผูมีพระภาคเจา ไดต รัสพระพทุ ธพจนนแี้ ลว ภิกษุเหลา น้ันยนิ ดีชน่ื ชมพระภาษติ ของพระผูม พี ระภาคเจา ดังนแ้ี ล. จบกฏี าคริ ิสูตรที่ ๑๐ จบภิกขวุ รรคที่ ๒
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มชั ฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 431 ๑๐. อรรถกถากฏี าคริ ิสูตร กีฏาคริ สิ ตู ร มีบทเร่ิมตน วา เอวมเฺ ม สตุ ขาพเจา ไดส ดับมาอยางน้ี. ในบรรดาบทเหลานั้น บทวา กาสีสุ ในชนบทมชี อื่ อยา งน.้ี ในบทวา เอว ตุมเฺ หป ภิกฺขเว น้ี มีความดังตอ ไปน้ี แมพ วกเธอเห็นอานิสงส๕ อยางเหลาน้ี ก็จงฉนั อาหารเวน การฉันในราตรเี สีย. ดว ยประการฉะน้ีพระผูมีพระภาคเจามิไดทรงใหเวนการฉนั ๒ อยา งเหลา นี้ คือ การฉันในเวลาวกิ าลในกลางคืน ๑ การฉนั ในเวลาวกิ าลในกลางวัน ๑ ในคราวเดยี วกนั . ในสมัยหน่ึง ทรงใหเวนการฉันในเวลาวกิ าลในกลางวนั เสยี เทานัน้ . ครนั้ กาลเวลาลวงไปพระองคท รงใหเ วน การฉันในเวลาวกิ าลในกลางคนื เสีย จึงตรสั อยา งน้.ีเพราะเหตุไร. เพราะการฉัน ๒ คราวเหลานี้ เปน การสะสม หมกมนุ ในวัฏฏะมไิ ดแ ลน ออกไปไดดจุ นํ้าไหลลงแมน ้ํา กลุ บตุ รผูละเอียดออนเจริญเพราะบรโิ ภคอาหารดใี นเรือนแมท่ีสงบเงียบ เวนการบริโภค ๒ คร้งั ในคราวเดียวกนั เทานนั้ยอ มลําบาก. เพราะฉะนน้ั พระผมู ีพระภาคเจา จงึ มิไดท รงใหเวนในคราวเดียวกนั . ทรงใหเวนการบรโิ ภคในเวลาวกิ าลในกลางวนั ในภทั ทาลิสตู ร ในสตู รน้ี ทรงใหเวนการบรโิ ภคในเวลาวกิ าลในกลางคืน. กเ็ ม่ือใหล ะ ทรงคุกคามหรือทรงขม . พระองคทรงแสดงอานิสงสอยางน้ีวา พวกเธอจักรคู ุณคอื ความเปนผูมีอาพาธนอ ย เพราะการละการบริโภคเหลา นนั้ เปนปจ จยั แลวจึงทรงใหเวนเสีย. บทวา กีฏาคิรี เปนชอ่ื ของนคิ มนน้ั . บทวา อสฺสชิปุนพพฺ สุกาคอื พระอสั สชิ และพระปนัพพสกุ ะ ในบรรดาภิกษุฉัพพคั คยี ๖ รปู ทา นทัง้ สองเปน คณาจารย. ชนทั้ง ๖ เหลาน้ี คอื ปณ ฑุกะ ๑ โลหติ กะ ๑
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 432เมตตยิ ะ ๑ ภุมมชกะ ๑ อสั สชิ ๑ ปุนพั พสุกะ ๑ ชื่อวา ฉพั พัคคยี . ในฉัพพคั คียเ หลาน้ัน พระปณฑุกะ และพระโลหติ กะ พาบรวิ ารของตนไปอยูณ กรุงสาวตั ถี. พระเมตติยะ พระภุมมชกะ ไปอยู ณ กรงุ ราชคฤห. อีก ๒ทา นเปน เจา อาวาสอยูใ นกีฏาคิรนี ิคม. บทวา อาวาสกิ า เจาอาวาส คอื อยูประจํา. ทา นท้งั สองอยปู ระจาํ สรางเสนาสนะที่ยังมไิ ดสรา ง ซอมเสนาสนะท่ีชํารดุ เปนผมู อี สิ ระในการทํา. บทวา กาลิก เปน ไปตามกาล คอื อานสิ งสที่พงึ ถึงในอนาคตกาล. พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงถึงอะไร ในบทน้วี า มยา เจต ภิกขฺ เว.พระผมู พี ระภาคเจา เพื่อทรงแสดงความน้วี า ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษุฉนั ๓ครั้งตอ วันแลวยงั สุขเวทนาใหเกดิ ชอ่ื วา เปน ผทู าํ กิจในศาสนานี้ กห็ ามไิ ดดังน้ีจงึ ปรารภเทศนาน้.ี อน่งึ บทวา เอวรปู สุข เวทน ปชทถ พวกเธอจงละสุขเวทนาเหน็ ปานนเี้ สยี เถดิ นี้ พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั ดว ยสามารถโสมนสัอันอาศัยกามคณุ . บทวา อปุ สมฺปชฺช วิหรถ พวกเธอจงเขาถงึ สุขเวทนาเหน็ ปานน้ีอยเู ถดิ นีพ้ ระองคตรสั ดว ยสามารถแหงโสมนัสอาศัยเนกขมั มะ. พึงทราบความดวยสามารถแหง โทมนสั และ อุเบกขาอาศัยเนกขมั มะในวาระ ๒แมอ ืน่ จากน้ีอยางนี้. พระผูมพี ระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงถงึ เวทนาทคี่ วรเสพและไมค วรเสพอยา งน้ีแลว บัดนี้ เพ่อื ทรงแสดงถงึ กจิ ท่ภี กิ ษคุ วรทาํ และไมค วรทํา ดวยความไมประมาทจึงตรัสบทมอี าทวิ า นาห ภกิ ฺขเว สพฺเพส ดูกอนภิกษทุ ้งั หลายเราหาไดกลา ววา กิจทีค่ วรทําดว ยความไมป ระมาทยอ มมีแกภ ิกษทุ ั้งปวงดังน้ไี ม.บทวา กต เตส อปปฺ มาเทน เพราะภกิ ษุเหลาน้นั ไดท าํ กิจสําเรจ็ แลว ดวยความไมประมาท คือ กจิ ใดอันภิกษุเหลา นั้นพึงทําดวยความไมประมาท กจิ นน้ั
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มชั ฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 433ไดท าํ เสรจ็ แลว . บทวา อนุโลมกิ านิ ความวา เสนาสนะอันสมควรแกการปฏิบตั ิ มีกรรมฐานเปนทสี่ บาย. อนั ผอู ยูในเสนาสนะสามารถบรรลมุ รรคผลได. บทวา อินทฺ ฺรยิ านิ สมนนฺ านยมานา ทาํ อินทรยี ใหเ สมออยูคอื ทําอินทรียมีศรัทธาเปน ตน ใหเ สมออยู. ภาคเจา ทรงแสดงถงึ อะไรในบทนีว้ า สตตฺ เี ม ถกิ ขฺ เวปคุ คฺ ลา ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย บคุ คล ๗ จําพวกมอี ยใู นโลก. พระผูมพี ระภาค-เจาทรงแสดงความนว้ี า บุคคลมอี ยู ๗ จาํ พวกเหลาน้ี แมทั้งหมดอยางน้ี คอืบคุ คลทไี่ มมกี ิจที่ควรทําดวยความไมประมาท มี ๒ จาํ พวก. บุคคลผูทีม่ ีกิจทคี่ วรทาํ ดวยความประมาท มี ๕ จาํ พวก. ในบทเหลานนั้ บทวา อุภโตภาควิมตุ ฺโตคือ ผูพนโดยสวนสอง. พน จากรปู กายดวยอรปู สมาบตั ิ ๑ พนจากนามกายดว ยมรรค ๑. บุคคลนั้นออกจากสมาบตั อิ ยา งหนึง่ ๆ แหง อรปู สมาบตั ิ ๔พจิ ารณาถึงสังขารแลวออกจากนโิ รธ ของบุคคล ๔ จาํ พวกผบู รรลพุ ระอรหตัเปนบุคคล ๕ จําพวกดวยสามารถแหง พระอนาคามีผูบรรลพุ ระอรหตั . อน่งึบาลีในบทนี้มาแลวดว ยสามารถแหง บคุ คลผไู ดวิโมกข ๘ ในอภิธรรม อยา งนว้ี า ก็อุภโตภาควิมุตบคุ คลเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถกู ตองวโิ มกข ๘ดวยกายอยูแ ละอาสวะท้ังหลายของผนู ้นั สนิ้ ไป เพราะเห็นอริยสจั ธรรมน้ัน ดว ยปญญาดังนี.้ บคุ คลชอื่ วา ปญ ญาวมิ ุต เพราะพนดวยปญญา. ปญญาวมิ ุตบุคคลน้ัน มี ๕ ดว ยสามารถแหงบุคคลเหลาน้ี คือ เปน สกุ ขวิปส สก ๑ ผอู อกจากฌาน ๔ แลว บรรลพุ ระอรหตั อกี ๔ แตบ าลีในบทนมี้ าแลว ดวยสามารถการปฏิเสธวโิ มกข ๘. เหมอื นดงั ทพ่ี ระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา ก็บคุ คลน้ันแลหาไดถกู ตอ งวโิ มกข ๘ ดว ยกายอยไู ม. อาสวะของเขาส้ินไปแลวเพราะเหน็ อริยสจั -ธรรมนัน้ ดว ยปญญา. บุคคลนเ้ี รากลาววาปญ ญาวมิ ุตบุคคล
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มัชฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 434 บุคคลชือ่ กายสักขี เพราะทําใหแจงธรรมทีถ่ กู ตอ งแลวน้ัน. บุคคลใดถกู ตองผัสสะคอื ฌาน เปน ครง้ั แรก ภายหลงั จึงทําใหแจงนิพพานอนั เปนความดบั สนทิ พึงทราบบคุ คลนั้นมี ๖ ต้ังตน แตบ ุคคลผตู ้งั อยใู นโสดาปต ติผลจนถงึ บคุ คลผูตั้งอยูในอรหัตมรรค. ดว ยเหตุนัน้ พระผูมพี ระภาคเจาจึงตรสั วาบุคคลบางคนในโลกน้ีถกู ตอ งวโิ มกข ๘ ดวยกายอยู อาสวะบางเหลา ของบุคคลน้ันสิน้ ไป เพราะเหน็ อรยิ สจั ธรรมนนั้ ดว ยปญญา. บุคคลนเ้ี รากลา ววา กาย-สกั ขีบุคคล. บคุ คลชอื่ วา ทิฏฐปิ ตตะ เพราะบรรลธุ รรมทเี่ หน็ แลวนัน้ . ในบทนี้มี ลกั ษณะโดยสังเขปดงั ตอไปนี้. ชอื่ วา ทิฏฐิปตตบคุ คล เพราะเปนผรู ู เห็นรแู จง ทาํ ใหแ จง ถกู ตอ งดว ยปญ ญาวา สงั ขารทั้งหลายเปน ทุกข การดับสังขารท้งั หลายเปนสุข ดงั น.้ี แตโ ดยพิสดารแมบุคคลนก้ี ็มี ๖ ดจุ กายสกั ขีบคุ คล.ดว ยเหตนุ ้ันพระผูม ีพระภาคเจาจึงตรสั วา บุคคลบางคนในโลกน้ี ยอมรชู ดั ตามความเปน จรงิ วา น้ที ุกข ฯลฯ นข้ี อ ปฏิบตั ิใหถ ึงความดบั ทกุ ข. อนงึ่ ธรรมทงั้หลายทีต่ ถาคตประกาศแลวเปนธรรมอันผูน ั้นเห็น เห็นแจงแลว ดวยปญญาประพฤตดิ แี ลว . บคุ คลนี้เรากลา ววา ทฏิ ฐิปต ตบคุ คล. บุคคลชอื่ วา สัทธาวมิ ุต เพราะนอ มใจเธอดว ยศรทั ธา. แมส ัทธา-วมิ ุตบคุ คลนั้นก็มี ๖ ตามนัยดงั กลา วแลว นั่นแหละ ดว ยเหตุน้นั พระผูม ีพระภาคเจา จงึ ตรัสวา บคุ คลบางคนในโลกน้ี รูชัดตามความเปน จริงวานทิ ุกข ฯลฯ นี้ขอ ปฏบิ ตั ใิ หถ ึงความดับทกุ ข. อนงึ่ ความเชือ่ ในพระตถาคตของผูน้ันตง้ั ม่ันแลว มรี ากหยั่งลงมน่ั แลว . บคุ คลนีเ้ รากลา ววา สัทธาวมิ ตุ บุคคล. จรงิ อยใู นบคุ คลเหลา น้ี ขณะของกิเลสยอมมแี กสทั ธาวมิ ตุ บคุ คล ดุจแกผ เู ชือ่ ดจุ แกผูสําเรจ็ และดุจแกผ ูน อ มใจเช่ือในขณะมรรคอันเปน สว นเบ้อื งตน. ญาณตดั กิเลสของทฏิ ฐิปต ตบุคคล เปน ญาณปรารภคมกลา ยอมนําไปใน
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มชั ฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 435ขณะแหงมรรคอันเปน สว นเบอ้ื งตน. เพราะฉะนนั้ เหมอื นเอาดาบทไ่ี มคมตัดตน กลวย ทที่ ี่ขาดยอมไมเกล้ยี งเกลา ดาบสกไ็ มผานไปฉบั พลนั . ยงั ไดยินเสียงจึงตองทําความพยายามอยา งแรงฉันใด. การเจริญมรรคอันเปนสว นเบ้อื งตน ของสทั ธาวมิ ุตบคุ คลกเ็ ห็นปานนั้น. อนึง่ เหมอื นเอาดาบที่ลับจนคมกริบตัดตนกลวย ท่ีทีต่ ดั ก็เกลย้ี งเกลา. ดาบก็ผานไปไดฉับพลัน เสยี งกไ็ มไดย นิ ไมตอ งพยายามอยา งแรงฉนั ใด. พงึ ทราบการเจรญิ มรรคอนั เปน สวนเบ้อื งตน ของปญ ญาวมิ ตุ บคุ คลกฉ็ ันนน้ั . บุคคลช่อื วา ธมั มานุสารี เพราะระลึกเนอื ง ๆ ในธรรม. บทวาธมโฺ ม คือ ปญ ญา. อธบิ ายวา เจรญิ มรรคอันมปี ญ ญาเปนเบอื้ งหนา . อนึง่ ในสัทธานสุ ารีบคุ คล ก็มนี ัยนเ้ี หมือนกนั . บคุ คลทงั้ สองนี้ เปนผูต ั้งอยูในโสดาปต ตมิ รรคเชน กนั . แมข อ นท้ี านก็กลา วไววา เมือ่ บคุ คลปฏบิ ตั เิ พื่อทําใหแจงโสดาปตติผล อินทรยี ย อมมีประมาณยิ่ง. ผูน าํ ปญ ญา ยอ มเจริญมรรคอนัมปี ญ ญาเปนหวั หนา . บุคคลนีเ้ รากลา ววา ธัมมานุสารบี คุ คล. อนง่ึ เมือ่ บคุ คลใดปฏิบตั ิเพอื่ ทําใหแจงโสดาปต ติผล สทั ธนิ ทรียย อมมปี ระมาณยิ่ง. ผนู ําศรทั ธายอ มเจริญอริยมรรคอนั มีศรัทธาเปนหัวหนา. บคุ คลนเี้ รากลา ววา สทั ธานสุ าร.ีน้ีเปนความสังเขปในบทนี้. แตโดยพิสดาร กถามอี ภุ โตภาควมิ ตุ กถาเปนตน ทา นกลา วไวใ นอธกิ ารแหง ปญ ญาภาวนาในวิสทุ ธิมรรค. เพราะฉะนนั้ พงึ ทราบโดยนัยดังกลา วแลวในวิสุทธมิ รรคน้นั นน่ั แล. เพื่อแสดงวิภาคแหงบคุ คลเหลา น้ันจงึ ยกบาลมี าในท่นี ี.้ พงึ ทราบขอ ความในบาลีนนั้ ดงั ตอไปนี.้ เพราะช่ือวา อรปู สมาบตั ิเวน รปู สมาบตั เิ สียแลวยอ มมีไมไ ด. ฉะนั้นแมเมื่อกลา ววา อารุปฺปา ก็พึงทราบวา เปนอันทาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
Pages: