Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_20

tripitaka_20

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_20

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มชั ฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 83 ดกู อนคฤหบดี อรยิ สาวกก็ฉันนน้ั แล ยอ มพิจารณาเหน็ ดังน้วี า กามท้ังหลาย พระผูม ีพระภาคเจาตรัสวา เปรยี บดวยคบเพลงิ หญา มีทกุ ขม ากมคี วามคับแคนมาก ในการนี้มโี ทษอยา งยงิ่ ครัน้ เหน็ โทษแหงกามนต้ี ามความเปนจริงดว ยปญญาอนั ชอบอยางนี้แลว ยอมเวน ขาดซง่ึ อุเบกขาที่มคี วามเปนตา ง ๆ อาศัยความเปนตา ง ๆ แลว เจริญอเุ บกขาทีม่ คี วามเปนอารมณเ ดยี วอาศยั ความเปนอารมณเ ดยี ว อันเปนทดี่ บั ความถือมั่นโลกามิส โดยประการทงั้ ปวง หาสว นเหลือมไิ ด. [๕๐] ดูกอนคฤหบดี เปรยี บเหมอื นหลมุ ถานเพลงิ ลึกกวา ช่ัวบุรุษหนงึ่ เตม็ ดว ยถานเพลิงอนั ปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรษุ ผรู กั ชีวิตไมอยากตาย รักสขุ เกลียดทุกข พงึ มา บุรษุ มกี ําลังสองคนชวยกันจบั แขนบรุ ษุ นนั้ ขา งละคน ฉุดเขาไปยงั หลุมถา นเพลงิ ฉนั ใด ดูกอ นคฤหบดี ทา นจะสําคัญความขอนั้นเปน ไฉน บุรษุ นัน้ จะพงึ นอ มกายเขาไปดว ยคิดเหน็ วาอยางน้ี ๆ บางหรอื . ไมเปนเชน น้ัน พระองคผ ูเจรญิ ขอ นั้นเพราะเหตไุ ร เพราะบุรุษนน้ั รูว า เราจกั ตกลงยังหลุมถานเพลิงนี้ จักถงึ ตาย หรือถงึ ทกุ ขปางตายเพราะการตกลงยงั หลมุ ถา นเพลงิ เปนเหตุ. ดกู อนคฤหบดี อริยสาวกกฉ็ ันนัน้ แล ยอมพิจารณาเห็นดังนวี้ ากามทงั้ หลาย พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั วา เปรยี บเหมอื นหลมุ ถานเพลิง มีทุกขม าก มคี วามคบั แคนมาก ในกามนมี้ โี ทษอยางยิ่ง ครั้นเห็นโทษแหง กามนต้ี ามความเปน จรงิ ดวยปญญาอันชอบอยางนีแ้ ลว ยอ มเวนขาดซงึ่ อเุ บกขาที่มคี วามเปนตา ง ๆ อาศยั ความเปน ตา ง ๆ แลวเจรญิ อุเบกขาทีม่ คี วามเปนอารมณเดยี ว อาศยั ความเปน อารมณเดยี ว อนั เปนทด่ี ับความถอื ม่ันโลกามิสโดยประการทงั้ ปวง หาสวนเหลอื มิได.

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มชั ฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 84 [๕๑] ดูกอนคฤหบดี เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ พง่ึ ฝน เหน็ สวนอันนารน่ื รมย ปา อนั นา รน่ื รมย ภาคพ้ืนอันนา รืน่ รมย สระโบกขรณอี นั นา รน่ื รมยบุรษุ นัน้ ตื่นข้ึนแลว ไมพึงเหน็ อะไร ฉนั ใด ดูกอ นคฤหบดี อรยิ สาวกกฉ็ ันนน้ั แล ยอมพิจารณาเห็นดังน้วี า กามทง้ั หลาย พระผูมพี ระภาคเจาตรัสวาเปรียบดวยความฝน มีทุกขมาก มคี วามคับแคนมาก ในการนี้มโี ทษอยา งยงิ่ครัน้ เหน็ โทษแหงกามนต้ี ามความเปน จรงิ ดวยปญญาอนั ชอบอยา งน้ีแลว ยอมเวน ขาดซ่ึงอุเบกขา ท่มี ีความเปนตาง ๆ อาศยั ความเปน ตา ง ๆ แลวเจริญอเุ บกขาที่มคี วามเปน อารมณเดยี ว อาศยั ความเปนอารมณเ ดยี ว อนั เปนท่ดี ับความถอื ม่นั โลกามสิ โดยประการท้ังปวง หาสวนเหลอื มไิ ด. [๕๒] ดูกอ นคฤหบดี เปรยี บเหมอื นบรุ ุษพึงยืมโภคสมบตั ิ คือแกว มณี และกุณฑลอยางดีบรรทุกยานไป เขาแวดลอมดวยทรัพยส มบตั ทิ ีต่ นยมื มา พึงเดนิ ไปภายในตลาด คนเหน็ เขาเขาแลว พงึ กลาวอยา งนี้วา ดูกอ นทา นผเู จริญ บรุ ุษผนู ้มี โี ภคสมบัติหนอ ไดยินวา ชนทง้ั หลายผมู โี ภคสมบัติยอมใชสอยโภคสมบัติอยางนี้ ดังนี้ พวกเจา ของพึงพบบุรุษนัน้ ณ ทีใ่ ด ๆ พึงนําเอาของตนคนื ไปในท่นี ัน้ ๆ ฉนั ใด ดกู อนคฤหบดี ทานจะสาํ คญั ความขอน้นั เปนไฉน จะสมควรหรือหนอ เพื่อความทีบ่ รุ ุษนนั้ จะเปนอยางอนื่ ไป. ไมเ ปน เชน นนั้ พระองคผ ูเจริญ ขอน้ันเพราะเหตไุ ร เพราะเจาของยอ มจะนาํ เอาของตนคืนไปได. ดูกอ นคฤหบดี อริยสาวกก็ฉนั นนั้ แล ยอ มพจิ ารณาเหน็ ดังนี้วา กาม-ทง้ั หลาย พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา เปรียบดวยของยืม มที ุกขมาก มคี วามคับแคน มาก ในกามนี้มโี ทษอยา งยิง่ คร้ันเหน็ โทษแหง กามนีต้ ามความเปนจริง ดวยปญ ญาอนั ชอบอยา งน้แี ลว ยอมเวนขาดซึ่งอเุ บกขาท่มี คี วามเปนตาง ๆ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 85อาศยั ความเปนตาง ๆ แลวเจริญอเุ บกขาทีม่ ีความเปนอารมณเดยี ว อาศัยความเปน อารมณเดยี ว อันเปน ที่ดบั ความถอื มน่ั โลกามสิ โดยประการทงั้ ปวง หาสวนเหลือมิได. [๕๓] ดกู อนคฤหบดี เปรียบเหมอื นราวปา ใหญ ในทไ่ี มไ กลบานหรือนคิ ม ตน ไมในราวปานน้ั พงึ มผี ลรสอรอย ท้ังมผี ลตก แตไ มม ผี ลหลนลง ณ ภาคพน้ื สักผลเดยี ว บรุ ุษผตู องการผลไม พงึ เท่ียวมาเสาะแสวงหาผลไมเขาแวะยังราวปานั้น เห็นตน ไมอันมีผลรสอรอ ย มีผลดกนนั้ เขาพงึ คดิ อยา งนีว้ า ตน ไมน มี้ ผี ลรสอรอ ย มีผลตก แตไ มม ผี ลหลนลง ณ ภาคพืน้ สกั ผลเดยี วแตเรารูเพื่อขึ้นตน ไม ไฉนหนอ เราพงึ ขึน้ ตน ไมน แ้ี ลวกนิ พออม่ิ และหอพกไปบาง เขาขึ้นตน ไมน ั้นแลว กนิ จนอ่มิ และหอ พกไว. ลําดับนน้ั บุรษุ คนท่ีสองตองการผลไม . ถอื ขวานอนั คมเท่ยี วมาเสาะแสวงหาผลไม เขาแวะยังราวปา นน้ั แลว เหน็ ตนไมม ีผลรสอรอ ย มผี ลดกนั้น เขาพึงคิดอยา งน้วี า ตนไมน้มี ีผลรสอรอย มผี ลดกแตไ มมผี ลหลนลง ณ ภาคพ้ืนสักผลเดียว และเราก็ไมรเู พ่ือข้นึ ตน ไม ไฉนหนอเราพงึ ตัดตน ไมน ้แี ตโคนตน แลวกินพออิ่ม และหอ พกไปบา ง เขาพึงตัดตนไมน ้นั แตโ คนตน ฉันใด ดกู อ นคฤหบดี ทา นจะสําคัญความขอ นนั้ เปน ไฉน บรุ ุษคนโนนซง่ึ ขน้ึ ตนไมกอนนนั้ ถาแลเขาไมรบีลง ตนไมนั้นจะพึงลมลง หกั มือหักเทา หรือหกั อวัยวะนอ ยใหญแหง ใดแหง หนง่ึ ของบรุ ุษนน้ั บรุ ษุ นน้ั พึงถึงตายหรือถงึ ทุกขปางตาย เพราะตน ไมนั้นลม เปน เหต.ุ เปน อยา งนนั้ พระองคผเู จรญิ . ดูกอ นคฤหบดี อรยิ สาวกกฉ็ นั นน้ั แล ยอ มพิจารณาเหน็ ดงั นีว้ า กาม-ทั้งหลาย พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา เปรียบดวยผลไม มีทุกขมาก มีความคบั แคน มาก ในกามนีม้ โี ทษอยางย่งิ คร้ันเหน็ โทษแหงกามน้ีตามความเปนจรงิ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มชั ฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 86ดวยปญญาอนั ชอบอยา งน้แี ลว ยอ มเวนขาดซง่ึ อุเบกขาท่ีมคี วามเปนตา ง ๆอาศัยความเปน ตา ง ๆ แลวเจริญอุเบกขาท่มี คี วามเปน อารมณเ ดียว อาศยัความเปน อารมณเ ดียว อันเปน ที่ดับความถือมั่นโลกามิส โดยประการทง้ั ปวงหาสว นเหลอื มิได. วิชชา ๓ [๕๔] ดกู อนคฤหบดี อรยิ สาวกนน้ี ั้นแล อาศัยอเุ บกขาเปน เหตุใหสติบริสุทธิ์ ไมม ีธรรมอนื่ ย่ิงกวา น้ี เธอยอมระลึกถึงชาติกอนไดเ ปน อนั มากคือระลึกไดชาติหนง่ึ บาง สองชาติบา ง สามชาตบิ าง สช่ี าตบิ าง หาชาติบาง สิบชาติบาง ย่ีสบิ ชาตบิ าง สามสบิ ชาตบิ า ง สีส่ ิบชาติบาง หา สิบชาติบาง รอ ยชาติบาง พนั ชาตบิ าง แสนชาตบิ าง ตลอดสังวัฏกัปเปน อนั มากบาง ตลอดวิวัฏกัปเปน อนั มากบาง ตลอดสงั วัฏววิ ฏั กปั เปน อันมากบา งวา ในภพโนน เรามีชื่ออยา งน้นั โคตรอยางนัน้ มผี วิ พรรณอยางนัน้ มีอาหารอยา งนน้ั เสวยสุขเสวยทุกขอยา งน้ัน ๆ มกี าํ หนดอายุเพียงเทานัน้ ครั้นจุตจิ ากภพนั้นแลว ไดไปเกิดในภพโนน แมใ นภพนัน้ เราก็ไดม ีชื่ออยา งน้ัน มโี คตรอยางน้ัน มีผวิ พรรณอยา งน้ันมีอาหารอยางน้ัน เสวยสขุ เสวยทกุ ขอยา งนั้น ๆ มีกาํ หนดอายุเพยี งเทา นั้นครน้ั จตุ จิ ากภพนน้ั แลว ไดม าเกดิ ในภพนี้ เธอยอ มระลึกชาติกอนไดเ ปนอันมากพรอ มทง้ั อาการ พรอ มทั้งอเุ ทศ ดว ยประการฉะน.้ี ดูกอ นคฤหบดี อรยิ สาวกน้ีนัน้ แล อาศัยอเุ บกขาเปน เหตใุ หส ตบิ รสิ ุทธ์ิไมมีธรรมอ่นื ยิ่งกวานแ้ี หละ เธอเหน็ หมูส ัตวทก่ี ําลังจุติ กําลังอปุ บตั ิ เลว ประณตีมีผิวพรรณดี มผี ิวพรรณทราม ไดดี ตกยากดว ยทพิ ยจักษอุ นั บริสทุ ธ์ิ ลวงจกั ษขุ องมนษุ ย ยอมรูชดั ซึง่ หมสู ัตวผเู ปนไปตามกรรมวา สตั วเหลานป้ี ระกอบดว ยกายทุจรติ วจที ุจรติ มโนทจุ ริต ติเตียนพระอริยเจา เปนมิจฉาทิฏฐิ ยดึ

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 87ถอื การกระทําดว ยอํานาจมิจฉาทิฏฐิ เบ้อื งหนาแตตายเพราะกายแตก เขายอ มเขาถึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรก สว นสัตวเ หลานี้ ประกอบดวยกายสจุ ริต วจ-ีสุจรติ มโนสจุ ริต ไมมตี ิเตียนพระอริยเจา เปนสมั มาทิฏฐิ ยดึ ถือการกระทําดว ยอํานาจสมั มาทฏิ ฐิ เบื้องหนา แตต ายเพราะกายแตก เขายอมเขาถงึ สคุ ติโลกสวรรค ดงั น้ี เธอยอ มเห็นหมูส ัตวก ําลังจุติ กําลงั อปุ บตั ิ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มิผวิ พรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวยทิพยจักษอุ ันบรสิ ทุ ธิ์ ลวงจักษุของมนษุ ย ยอมรชู ัดซ่งึ หมูสตั ว ผเู ปนไปตามกรรม ดว ยประการฉะนี.้ ดกู อ นคฤหบดี อรยิ สาวกนแ้ี ล อาศยั อเุ บกขาเปนเหตใุ หสตบิ ริสทุ ธิ์ไมมีธรรมอืน่ ยงิ่ กวา น้แี หละ เธอทาํ ใหแ จงซ่งึ เจโตวิมตุ ติ ปญญาวมิ ตุ ติ อันหาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะท้งั หลายส้ินไป ดวยปญญาอันยิ่งเอง ในปจ จบุ ันเขาถึงอย.ู โปตลิยคฤหบดแี สดงตนเปน อบุ าสก [๕๕] ดูกอ นคฤหบดี ดวยอาการเพียงเทาน้ีแล ชอื่ วา เปนการตดั ขาดโวหารท้งั สนิ้ ทกุ สงิ่ ทุกอยาง โดยประการทง้ั ปวง ในวินยั ของพระอรยิ ะ ดูกอนคฤหบดี ทานจะสําคญั ความขอน้ันเปน ไฉน ทา นเหน็ การตัดขาดโวหารทงั้ สน้ิ ทุกส่ิงทุกอยาง โดยประการทัง้ ปวง ในวนิ ยั ของพระอรยิ ะเหน็ ปานนั้นในตนบา งหรอื หนอ. ขาแตพ ระองคผเู จริญ ขา พเจา กก็ ระไร ๆ อยู การตดั ขาดโวหารทัง้สิ้นทุกส่ิงทุกอยา ง โดยประการทง้ั ปวง ในวนิ ยั ของพระอรยิ ะ อนั ใด ขาพเจายังหา งไกลจากการตดั ขาดโวหารทัง้ สน้ิ ทุกส่ิงทุกอยา ง โดยประการทง้ั ปวงในวนิ ยั ของพระอรยิ ะ อันนั้น เพราะเม่อื กอนพวกขาพเจาไดส าํ คัญพวกอญั ญ-เดียรถยี  ปรพิ าชกผูไ มรูท ั่งถงึ วา เปน ผรู ูทวั่ ถงึ ไดค บหาพวกอญั ญเดยี รถียป รพิ า-

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มชั ฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 88ชกผไู มร ทู ่วั ถงึ วา เปนผูอนั บคุ คลผูรูเ หตผุ ลพงึ คบหา ไดเทิดทูนพวกอัญญ-เดียรถยี ป รพิ าชกผูไมรูท่ัวถงึ ไวใ นฐานะของผูรทู ว่ั ถงึ ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ แตพวกขาพเจา ไดส าํ คัญภกิ ษุท้ังหลายผรู ูท ั่วถงึ วา เปน ผไู มร ูท ว่ั ถงึ ไดคบหาภิกษุทัง้ หลายผูร ทู วั่ ถึง วาเปน ผอู นั บคุ คลผไู มรูเหตุผลพงึ คบหา ไดท้งั ภิกษทุ ้ังหลายผรู ทู ่ัวถงึ ไวในฐานะของผูไมร ทู ั่วถงึ แตบ ัดน้ี พวกขาพเจา จักรูพวกอัญญเดียรถยี ปริพาชกผูไ มร ูตวั ถงึ วา เปนผไู มร ูท ว่ั ถึง จกั คบหาพวกอญั ญเดยี รถยี ปรพิ าชกผไู มร ทู ัว่ ถงึ วาเปน ผอู นั บุคคลผไู มร เู หตุผลพงึ คบหา จกั ต้ังพวกอญั ญเดยี รถยี ปรพิ าชกผูไมร ูทั่วถงึ ไวใ นฐานะของผูไมร ทู วั่ ถงึ พวกขา พเจา จักรภู กิ ษุท้ังหลายผูรูท ่วั ถงึ วาเปนผูรทู ั่วถงึ จักคบหาภกิ ษุทัง้ หลายผรู ูท ัว่ ถงึ วาเปน ผอู ันบุคคลผูรูเหตผุ ลพงึ คบหา จกั เทดิ ทนู ภิกษุทัง้ หลายผรู ูทัว่ ถึงไวในฐานะของผรู ทู ่ัวถงึขา แตพระองคผเู จรญิ พระผูมพี ระภาคเจา ไดยงั ความรักสมณะในหมูสมณะ ไดยงั ความเล่อื มใสสมณะในหมูสมณะ ไดย งั ความเคารพสมณะในหมสู มณะ ใหเกดิ แกข า พเจาแลวหนอ. ขาแตพระองคผ ูเ จรญิ ภาษติ ของพระองคแ จม แจง นกั ขาแตพระองคผเู จริญ ภาษิตของพระองคแจมแจง นกั เปรยี บเหมือนบคุ คลหงายของที่ควา่ํเปด ของทปี่ ด บอกทางแกคนหลงทาง หรอื สองประทีปในที่มืดดว ยคดิ วา ผูมจี กั ษุจกั เหน็ รูปดงั น้ี ฉนั ใด พระผมู ีพระภาคเจาทรงประกาศธรรมโดยอเนก-ปรยิ าย ฉันน้นั เหมือนกัน ขาแตพ ระองคผูเจรญิ ขา พระองคน้ขี อถึงพระผมู -ีพระภาคเจา พระธรรม และพระภกิ ษสุ งฆเ ปน สรณะ ขอพระผูมีพระภาคเจาจงทรงจาํ ขา พระองคว าเปนอบุ าสก ผถู งึ สรณะตลอดชวี ิต ตง้ั แตวนั นีเ้ ปน ตนไป ดังน้แี ล. จบโปตลยิ สตู รที่ ๔

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 89 ๔. อรรถกถาโปตลิยสตู ร โปตลิยสูตร มบี ทเร่ิมตน วา เอวมฺเม สุต ขา พเจาไดฟ ง มาแลวอยางน.ี้ บรรดาบทเหลา นั้นบทวา องคฺ ตุ ตฺ ราเปสุ ความวา ชนบทท่ชี อื่ วาองั คตุ ตราปะน้ัน กค็ ือแควน อังคะน่ันเอง แองนํ้าทอี่ ยเู หนือแมน า้ํ มหี เรียกกันวา อังคตุ ตราปะกม็ ี เพราะอยไู มไกลแอง นํ้าน้ัน. ถามวา แอง นํ้านัน้ อยทู ศิ เหนือแมน ้ํามหไี หน ? ตอบวา แมน า้ํ มหีสายใหญ ในขอ น้จี ะแถลงใหแ จมแจง ดังตอ ไปน.้ี เลา กันวา ชมพูทวีปนี้ มเี นอื้ ท่ีประมาณ หมื่นโยชน ในหมน่ื โยชนนั้น เน้อื ทีป่ ระมาณส่พี ันโยชนคลมุ ดวยน้ํา นบั ไดว า เปน ทะเล มนุษยอ าศัยอยูใ นเนอื้ ทป่ี ระมาณสามพนั โยชน ภูเขาหมิ พานตกต็ ั้งอยูในเนือ้ ทีป่ ระมาณสามพันโยชน สูงรอยหา โยชน ประดับดว ยยอด แปดหม่ืนสพ่ี นั ยอดงดงามดว ยแมนาํ้ หารอยสาย ไหลอยูโดยรอบ มสี ระใหญต งั้ อยู ๗ สระ คอื สระ-อโนดาต สระกรรณมุณฑะ สระรถการะ สระฉทั ทนั ตะ สระกณุ าละ สระหงสปปาตะ สระมนั ทากนิ ี สระสีหปปาตะะ ยาว กวา งและลึกหาสบิ โยชน กลมสองรอ ยหาสบิ โยชน ในสระทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาต ลอมดวยภูเขา ๕ ลูกคือ สทุ ศั นกูฏ จิตรกูฎ กาฬกฎู คันธมาทนกูฏ ไกรลาสกูฏ ในภูเขา ๕ ลูกน้ัน สุทัศนกูฏ เปน ภเู ขาทอง สงู สองรอ ยโยชน ขางในโคง สัณฐานเหมอื นปากกา ตง้ั ปดสระนั้นนน่ั แล. จติ รกูฏเปน ภเู ขารตั นะท้ังหมด กาพกูฏเปนภเู ขาแรพ ลวง คันธมาทนกูฎ เปน ยอดเขาท่มี พี ืน้ ราบเรียบ หนาแนน ไปดว ยคนั ธ-ชาตทิ งั้ สิบ คือ ไมร ากหอม ไมแกนหอม กระพห้ี อม ไมเปลอื กหอม ไมสะเก็ด

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌิมปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 90หอม ไมรสหอม ไมใ บหอม ไมดอกหอม ผลหอม ไมลาํ ตน หอม ดาดาษดว ยโอสถนานาประการ วันอโุ บสถขา งแรมจะเรืองแสงเหมือนถานไฟค.ุ ไกรลาสกูฎเปน ภเู ขาเงิน ภเู ขาทงั้ หมดมสี วนสูง และสณั ฐานเสมอกบั สทุ ศั นกูฏ ต้งั ปด สระนนั้ น่นั แล ภูเขาท้ังหมดน้นั ยงั อยูไ ดดว ยอานุภาพเทวดาและนาค แมน าํ้ ทั้งหลาย ยอ มไหลไปทีภ่ ูเขาเหลานน้ั นาํ้ ทง้ั หมดนน้ั ก็ไหลไปสสู ระอโนดาตแหงเดยี ว. ดวงจันทรแ ละดวงอาทติ ยโ คจรไปทางใตบาง ทางเหนอื บา ง. สอ งแสงไปท่สี ระนน้ั ทางหวางภูเขาไมโคจรไปตรงๆ ดวยเหตนุ ัน้ นัน่ แล สระนน้ั จึงเกดิช่อื วา อโนดาต ในสระอโนดาตนั้น ธรรมชาตจิ ัดไวอ ยา งดี มีแผน มโนศิลาและหรดาล ปราศจากเตาปลา มนี ํ้าใสแจวดงั แกวผลึก มที าลงสนาน ซ่งึ เปนที่ที่พระพทุ ธเจา พระปจ เจกพุทธเจา พระอรหนั ตขณี าสพ และเหลา ฤษีผูม ฤี ทธิ์ลงสรงสนาน ทัง้ เหลา เทวดา และยักษม าเลนนาํ้ กัน ทขี่ างของสระอโนดาตนนั้ มปี ากทางสท่ี าง คอื ปากทางราชสีห ปากทางชา ง ปากทางมา ปากทางโคอุสภะ ซง่ึ เปน ทางไหลของแมน ํ้าสีส่ าย ฝงู ราชสหี ม ีมาก อยรู ิมฝงแมนาํ้ทไี หลออกจากปากทางราชสีห มีโขลงชา ง ฝงู มา ฝูงโคอยูมาก ทางรมิ ฝงแมน้าํ ทีไ่ หลออกจากปากทางชางเปนตน แมน ํ้าทไี่ หลออกไปทางทิศตะวนั ออกเลย้ี วขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว ไมของแวะกบั แมน ํา้ อกี สามสาย ไหลผานถิ่นอมนุษยท างภเู ขาหมิ พานต ดานทิศตะวันออก ลงสมู หาสมทุ ร สวนแมน ํ้าท่ีไหลออกทางทิศใต เล้ยี วขวาสระอโนดาตนัน้ สามเลย้ี ว ไหลตรงไปทศิ ใตห กสบิโยชน ทางหลังแผนหินนน่ั แล เจาะภูเขาทะลุออก มีกระแสนํา้ ประมาณสามสิบคาวุตลอมไว ผานทางอากาศหกสบิ โยชน ไปตกลงบนแผนหินชอื่ตยิ คั คฬะ แผนหนิ กแ็ ตกดว ยความแรงของกระแสนํา้ ณ ทแี่ ผนหนิ ชื่อตยิ คั คฬะนนั้ กเ็ กดิ สระโบกขรณชี อ่ื ติยคั คฬา ประมาณหาสิบโยชน กระแสน้าํ พงั ที่ฝง สระโบกขรณที ะลุหนิ ไปหกสิบโยชน ตอนน้ั กพ็ ังแผน ดินทึบไปหกสบิ โยชน

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มัชฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 91ทางอุโมงค กระแทกตริ ัจฉานบรรพตชื่อ วิชฌะ ไปเปน กระแสนํ้าหา สาย เชนเดียวกบั น้วิ มอื หา น้ิว กระแสนาํ้ นั้นในท่ี ๆ เลี้ยวขวาสระอโนดาต ไปสามเลีย้ วเรยี กกนั วา อาวัฏฏคงคา ในทีท่ ไี่ หลตรงไปหกสบิ โยชน ทางหลงั หนิ เรยี กกันวา กรรณคงคา ในท่ี ๆ ไหลไปหกสิบโยชนท างอากาศ เรยี กกนั วาอากาศคงคา ที่ต้ังอยใู นอากาศหกสบิ โยชนท ี่หลงั หนิ ชือ่ ติยคั คฬะ เรยี กกนั วาตยิ ัคคฬโบกขรณี ในท่ี ๆ พังฝงสระทะลุหินเขาไปหกสิบโยชน เรยี กกนั วาพหลคงคา ในที่ ๆ ไหลไปหกสิบโยชนท างอโุ มงค เรียกกันวา อมุ มังค-คงคา สวนในที่ ๆ กระแทกตริ ัจฉานบรรพต ช่ือวชิ ฌะ แยกเปนกระแสนํ้าหาสายก็กลายเปนแมน ้ําทั้งหา คอื คงคา ยุมนา อจิรวดี สรภู มห.ี มหานที๕ สายเหลา น้ียอมเกดิ มาแตห มิ วันตบรรพต ดวยประการฉะนี้. ในมหานที ๕สายนนั้ มหานทสี ายท่ี ๕ ชอื่ มหี ทานหมายเอาวา มหีมหานที ในทนี่ ้ีแอง นา้ํ ใดอยูท างทิศเหนือมหานทีช่อื มหี นน้ั ชนบทน้นั พงึ ทราบวา ชอ่ือังคุตตราปะ เพราะอยไู มไกลแองนํา้ น้นั . ในชนบทชื่อ องั คุตตราปะนน้ั . คําวา อาปณ นาม ความวา ไดย นิ วา ในนิคมนัน้ มีตลาดทสี่ าํ คญั ๆแยกไดถงึ สองหมน่ื ตลาด แมเ พราะเหตทุ ่ีนคิ มนน้ั มตี ลาดหนาแนน จึงถือไดวาเปน อาปณะ (ตลาด) สว นภูมภิ าคที่มีเงาทึบนารืน่ รมย ริมฝงแมน ํ้าไมไกลนิคมนัน้ ชอื่ วา แนวปา มหาวัน พระผมู พี ระภาคเจาประทับ ณแนวปา มหาวนั นัน้ ดวยเหตนุ ้ันนนั่ แล พึงทราบวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงกําหนดสถานทอี่ ยู ณ แนวปามหาวันนั้น คาํ วา เยนฺตโร วนสณโฺ ฑเตนปุ สงกฺ มิ ความวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงสงภิกษุสงฆไปยงั สถานที่อยูเสดจ็ เขาไปแตพ ระองคเดยี ว ทานหมายถึง โปตลิยคฤหบดี จึงกลาววา โปตลิ-โยป โข คหปติ คฤหบดีช่อื มอี ยา งนีว้ า โปตลิยะ. บทวา สมฺปนฺนนิวาส-

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มัชฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 92นปารปุ โน แปลวา มีผา นงุ ผาหม บริบรู ณ อธิบายวา นงุ ผาชายยาวผืนหนง่ึ หม ผืนหนึ่ง. บทวา ฉตตฺ ูปาหนานิ ไดแ ก ก้ันรม สวมรองเทา .บทวา อาสนานิ ไดแก อาสนะ มีต่งั ทําไวเ ปนบัลลงั กแ ละต่งั ทาํ ดวยฟางเปน ตน . แทจ ริง โดยทีส่ ดุ แมก ิง่ ไมหกั ๆ กเ็ รยี กวา อาสนะ ไดทงั้ นนั้ . บทวาคหปติวาเทน แปลวา ดว ยคาํ นว้ี า คฤหบด.ี บทวา สมทุ าจรติ แปลวาเรยี ก. คาํ วา ภควนตฺ  เอตทโวจ ความวา โปตลิยคฤหบดี ไมอาจรับคําวา คฤหบดี ครั้งที่สามได จงึ ทูลพระผูมพี ระภาคเจาวา ตยิท โภ โคตมดงั น้ีเปน ตน . ในคาํ เหลานัน้ คําวา นจฺฉนน แปลวา ไมเ หมาะ. คาํ วานปปฺ ฏิรูป แปลวา ไมค วร. คาํ วา อาการา เปนตน ทั้งหมด เปน ไวพจนของเหต.ุ แทจริง การนุงผา ชายยาว การไวผ ม ไวหนวด ไวเลบ็ ชอื่ วาอาการ เพราะอรรถวเิ คราะหว า เพศคฤหัสถทง้ั หมดนน้ั แลกระทําภาวะคฤหสั ถของโปตลิยคฤหบดใี หป รากฏ อาการเหลา นั้น ทานเรียกวา เพศ เพราะตัง้อยูโดยทรวดทรงของคฤหัสถ เรยี กวา นมิ ิต เพราะเปนเครอ่ื งหมายบอกใหเขาใจถงึ ภาวะของคฤหสั ถ. ดวยคําวา ยถาต คหปติสฺส พระผูมีพระภาคเจายอมทรงแสดงวา อาการ เพศ และเครื่องหมาย พึงมีแกค ฤหบดี ฉนั ใดอาการ เพศ และเครอ่ื งหมายเหลา นนั้ ก็มแี กท า นฉันนั้น ดวยเหตนุ ัน้ เราจึงเรยี กอยา งน้ี. ครงั้ น้ัน โปตลยิ คฤหบดี ไมย อมรับคําวา คฤหบดี ดวยเหตุอนั ใด เม่อื จะปร ะกาศเหตอุ นั นน้ั จึงทลู วา ตถา หิ ปน เม ดังนเ้ี ปน ตน .คาํ วา นิยยฺ าต แปลวา ทรพั ยม รดกท่ีไดรับมอบ. คาํ วา อโนวาที ความวา คนผูกลาวสอนโดยนยั เปน ตน วา พอ เอย พวกเจาจงไถ จงหวา น จงประกอบดว ยการคา ขาย พวกเจา จักเปน อยู หรอื เลยี้ งลูกเมียไดอยางไร ดังนี้ชือ่ วา ผูกลาววา ขา พเจา ไมก ระทาํ ทัง้ สองอยางนั้น ดว ยเหตุน้ัน โปตลิย-

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มัชฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 93คฤหบดจี ึงแสดงวา ในเร่อื งนั้น ขา พเจา ไมใชผกู ลาวสอน ไมใชผ วู ากลา ว.ดวยคําวา ฆาสจฺฉาทนปรโม วหิ รามิ โปตลิยคฤหบดี แสดงวาขา พเจากระทาํ งานเพียงเพื่ออาหาร และเพยี งเพอื่ เคร่อื งนงุ หม เปนอยางยงิ่ เทานั้นอยูไมปรารถนานอกเหนอื ไปจากนี้ คาํ วา คทิ ฺธิ โลโภ ปหาตพโฺ พ ไดแ กความโลภ อันเปน ตัวตดิ ขอ ง ควรละเสยี . คําวา อนนิ ฺทาโรโส ไดแกก ารไมนินทาและไมกระทบกระทัง่ . คาํ วา นนิ ทฺ าโรโส ไดแก การนินทาและการกระทบกระท่ัง. การเรียกชอ่ื การบญั ญัตชิ อ่ื คําพดู และเจตนากด็ ี ชอ่ื วาโวหารในบาลนี ้ีวา โวหารสมจุ ฺเฉทาย บรรดาโวหารเหลา นั้น โวหารน้วี าในหมมู นุษยผ ูใดผูหนึง่ อาศัยการเรียกชือ่ วา ดกู อนวาเสฏฐะ ทา นจงรูอ ยา งน้ีผูนนั้ เปนพอคามใิ ชพ ราหมณ. โวหารวา การนับช่ือ การต้งั ชื่อ การบญั ญตั ิชื่อการเรยี กชือ่ นช้ี ่อื วา บัญญัติโวหาร. โวหารวา ยอมพูด ยอมไมป รามาสโดยประการนั้น ๆ นชี้ ื่อวา วจนโวหาร. ในโวหารวา อริยโวหาร ๘ อนรยิ -โวหาร ๘ นีช้ อื่ วา เจตนาโวหาร. ในที่น้ที า นหมายถงึ เจตนาโวหารนี้. อกี อยางหน่ึง จาํ เดมิ ต้ังแตเ วลาบวช เจตนาวา คฤหัสถไมม ี เจตนาวาสมณะมีอยู คําวาคฤหสั ถ ไมม ี คําวา สมณะ มีอยู บญั ญัตวิ า คฤหสั ถ ไมม ี บัญญตั ิวาสมณะมอี ยู การกลา วเรยี กวา คฤหัสถ ไมมี การกลา วเรียกวา สมณะ มีอยูเพราะฉะนั้น จึงไดโวหารแมท้ังหมด. ในคําวา เยส โข อห ส โยชนาน เหตุ ปาณาติปาตี นี้ ปาณา-ติบาตเทา น้ัน ช่ือวา สังโยชน จริงอยู ผูชื่อวา ทําปาณาตบิ าต ก็เพราะเหตุแหงปาณาติบาตเทา นนั้ คือ เพราะมปี าณาตบิ าตเปนปจ จยั แตท ตี่ รสั วา เยส โขอห เปนตน ก็เพราะปาณาติบาตมีมาก. คาํ วา เตสาห ส โยชนาน แปลวาเราปฏิบตั ิเพื่อละ เพือ่ ตัดขาดเคร่อื งผูกพัน คือปาณาติบาตเหลานัน้ . คําวา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 94ปหานาย สมจุ เฺ ฉทาย ปฏิปนโฺ น ความวา เราปฏิบัติเพ่อื ประโยชนแ กการละเพื่อประโยชนแ กก ารตัดขาด ดวยศีลสังวรทางกาย กลา วคอื ไมทาํปาณาติบาตนี.้ คาํ วา อตตฺ าป ม อุปวเทยยฺ ความวา แมต นเอง ก็พงึ ติเราอยา งนว้ี า เราบวชในศาสนาของผูไ มป ลงชวี ติ สัตวแ มแ ตม ดดํามดแดง ยงัไมอ าจงดเวน แมเพยี งจากปาณาตบิ าตได เราบวชทําไม. คําวา อนวุ ิจฺจาปวิฺ ู ครเหบยฺ ุ ความวา วญิ ูชน คือบณั ฑิต แมเ หลาอืน่ ใครค รวญคือพินจิ พจิ ารณาแลวกพ็ ึงตเิ ตยี นอยา งนว้ี า เขาบวชในศาสนาเหน็ ปานนแ้ี ลวยังไมงดเวนแมเพียงปาณาติบาต เขาบวชทําไมกัน. คําวา เอตเทว โข ปน ส โยชน เอต นวี รณ นี้ แมจ ะไมนับเนอ่ื งเขาในสงั โยชน ๑๐ นิวรณ ๕ แตก ต็ รสั ดวยอํานาจเทศนาวา เปนเครื่องปดกั้น ๘ อยาง เครื่องปดกัน้ ๘ อยา งน้นั ตรสั เรยี กวา สงั โยชนบ า ง นวี รณบา ง ก็เพราะอรรถวา เปน เครอ่ื งผกู ไว และเพราะอรรถวา ปกปด ไวในวัฏฏะอยางน.้ี คาํ วา อาสวา คือ อวชิ ชาสวะ อยางเดียวยอ มเกดิ เพราะปาณาตบิ าตเปน เหต.ุ คาํ วา วฆิ าตปรฬิ าหา แปลวา ความคบั แคน และความเรา รอน.ในคําน้ัน ทรงถือเอาทุกขเพราะกิเลส และทกุ ขท ่เี ปนวบิ าก ดว ยศพั ทว าวฆิ าต. ทรงถือเอาความเรา รอ นทเ่ี ปนวิบาก ดวยศัพทวา ปรฬิ าห. บณั ฑติพงึ ทราบความในทีท่ ุกแหงโดยอบุ ายอยา งนี.้ แตค วามแผกกนั มดี งั นี้ พงึ ประ-กอบความในวาระท้ังหมดอยา งน้วี า ปฏิบตั ิเพื่อประโยชนแ กก ารละ เพอ่ื ประ-โยชนแ กก ารตัดขาด ดว ยศลี สังวรทางกายกลา วคอื อทนิ นาทาน (ไมล ักทรพั ย)ดว ยศีลสังวรทางวาจา กลาวคอื สจั วาจา (พูดคาํ จรงิ ) ดวยศีลสังวรทางวาจากลา วาคือปส ณุ าวาจา (ไมพ ดู สอเสียด) ดวยศีลสังวรทางใจ กลาวคืออคิทธโลภะ

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มัชฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 95(ไมหมกมนุ และละโมบ) ดวยศลี สังวรทางกายและทางวาจา กลาวคือ อนนิ ทา-โรสะ (ไมน ินทาและไมกระทบกระทง่ั ) ดว ยศีลสังวรทางใจ กลาวคือ ความไมโกรธและคับแคน ใจดวยศีลสังวรดวยใจ กลาวคอื ความไมดหู มน่ิ สว นในบทเหลาน้วี า อตฺตาป ม อปุ วเทยฺย อนุวจิ ฺจาป วิฺ ูครเหยฺยุ พึงประกอบความทกุ วาระ อยางนี้วา แมตนเองกพ็ ึงตเิ ตยี นเราอยา งนว้ี า เราบวชในพระศาสนาท่สี อนไมใหถือเอาส่ิงของที่เจาของมิไดให แมแ ตเสน หญา ยงั ไมอ าจงดเวนแมเพียงอทินนาทานได เราบวชทําไม. วญิ ูชนแมใครค รวญแลว ก็พึงติเตยี นอยางน้วี า คนทบี่ วชในศาสนาเหน็ ปานนแี้ ลว ยงัไมอาจงดเวน แมเพียงแตอ ทนิ นาทานได คนนบี้ วชทาํ ไม แมต นเองกพ็ งึ ตเิ ตยี นตนอยางน้วี า เราบวชในศาสนาท่ีสอนไมใหกระทาํ มุสาวาท แมดวยมุงหวงั ใหหวั เราะ หรือหมายจะเลน บวชในศาสนาที่สอนไมใ หท าํ การพูดสอ เสยี ดโดยอาการทัง้ ปวง บวชในศาสนาท่ีสอนไมใหกระทาํ ความโลภหรอื ความติดขอ งแมมปี ระมาณนอ ย บวชในพระศาสนาที่สอนไมใ หกระการนนิ ทาและกระทบกระทงั่ ผูอนื่ ในเม่อื แมเ ขาเอาเลอื่ ยครดู ตวั บวชในพระศาสนาทส่ี อนไมใ หก ระทาํความโกรธและความคับแคน แมเมอื่ ตอและหนามตาํ เอาเปน ตน บวชในศาสนาท่สี อนไมใ หถอื ตัว แมเ พยี งสาํ คญั ผิด กย็ งั ไมอ าจละแมค วามสําคญั ผิดได เราบวชทําไม วิญูชน แมใ ครครวญกพ็ งึ ติเตียนอยางนวี้ า คนนี้บวชในพระศาสนาเหน็ ปานนแ้ี ลว ยงั ไมอาจละ (มสุ าวาท ปสุณาวาจา คทิ ธิโลภะ นินทาโรสะโกธะ และอุปายาส) ความสําคญั ผิดได คนนบ้ี วชทาํ ไม ดังน้.ี สว นบทวา อาสวา นี้ พึงทราบความเกิดแหง อาสวะอยางนี้ คอือาสวะ ๓ คอื อาสวะคือกาม อาสวะคือทิฏฐิ อาสวะคืออวชิ ชา ยอ มเกดิเพราะอทินนาทานเปน เหตุ เกดิ เพราะมุสาวาทเปนเหตุ และเพราะปส ุณาวาจา

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มชั ฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 96เปนเหตุ ก็อยา งน้นั เหมอื นกัน. ทฏิ ฐาสวะ และอวชิ ชาสวะ เกดิ เพราะคทิ ธโิ ลภะเปนเหตุ อวชิ ชาอยา งเดยี วเกดิ เพราะนนิ ทาโรสะเปน เหตุ เกดิ เพราะโกธะและอปุ ายาสเปนเหตุ กเ็ หมอื นอยางน้นั . อาสวะ ๒ คอื ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เกดิ เพราะอติมานะเปนเหต.ุ แตเพ่อื ไมใหฉ งนไมวาระแมท งั้ ๘นี้ วนิ ิจฉัยสงั เขปมีดังนี้ . ควรกลาววา เราไมอาจงดเวน ในวาระ ๔ นีก้ อนควรกลาววา เราไมอาจละ ในวาระเบอื้ งปลาย. อวชิ ชาสวะอยา งเดียวเทา น้ันมีในปาณาตบิ าต นินทาโรสะ โกธะและอุปายาสะ. กามาสวะ ทิฏอาสวะอวิชชาสวะ มีในอทินนาทาน มุสาวาท ปสณุ าวาจา. ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะมีโนคทิ ธิโลภะ. ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ มใี นอติมานะ. อปาณาตบิ าต อนทินนาทานเปน ศีลทางกาย. อมุสาวาท อปสุณาวาจา เปน ศีลทางวาจา. ทเ่ี หลือ ๓ เวนอนนิ ทาโรสะ เปน ศีลทางใจ. แตบคุ คลยอมขง้ึ เคยี ดขุนเคอื งกันดว ยกายบางข้งึ เคยี ดขนุ เคืองกนั ดว ยวาจาบา ง เพราะฉะนั้น อนินทาโรสะ จึงมีฐานะ ๒คือ เปน ศลี ทางกายบาง เปนศลี ทางวาจาบา ง. ถามวา ศลี อะไร ทา นจงึ กลา วไวดวยประมาณเพยี งเทาน้ี. ตอบวา ปาฏิโมกขสงั วรศีล. ก็การตัดขาดการตรสั ถงึ คฤหสั ถด วยอํานาจการพจิ ารณาและการละ พงึ ทราบวา ตรสั ไว สําหรับภิกษุผูอยูในปาฏโิ มกขสังวรศีล. เทศนาโดยพศิ ดาร มดี งั ตอ ไปน.้ี บทวา ตเมน ทกฺโข พงึ ทราบสัมพนั ธก บั บทน้ีวา อุปจฺจมฺเกยฺย๑ ทา นอธิบายวา คนฆาโค หรือลูกมือคนฆา โค พึงโยนกระดกู นัน้ ไปยังสุนัข อธิบายวา พึงโยนไปใกล ๆ สุนัขนน้ั . บทวา อฏ ิกงลฺ  รางกระดูก คือกระดูกอก กระดกู สันหลัง หรือ ๑. บาล สูตรวา อปุ จฺฉูเภยฺย.

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มัชฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 97กระดกู หัว แทจริงรา งกระดูกนน้ั เรียกกนั วารางกระดกู เพราะไมมีเน้ือ. คําวาสนุ กิ นฺต นกิ นตฺ  คอื รา งกระดกู ท่ีเฉอื นขูดเน้อื ออกหมดแลว . อธบิ ายวาเน้ือสดอันใด มอี ยทู กี่ ระดกู น้นั ก็ขูดเนอ้ื นน้ั ออกหมด มแี ตเ พียงกระดกู เทานั้น ดว ยเหตนุ ้ัน พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา ปราศจากเนือ้ แตรา งกระดกูนนั้ ยงั เปอนเลอื ดอยู เพราะเหตนุ น้ั จึงตรสั วา โลหิตมกขฺ ติ  ยงั เปอนเลอื ด.คาํ วา พหุทกุ ขฺ า พหุปายาสา ความวา กามทั้งหลายชือ่ วาทุกขม าก ก็เพราะมากดว ยทกุ ขท ั้งปจ จุบนั ทงั้ ภายหนา . ชอ่ื วา มีความคบั แคน มาก ก็เพราะมากดว ยความเศราหมองดว ยความคับแคน. คาํ วา ยาย อเุ ปกฺขา นานตฺตานานตตฺ สิตา ความวา อุเบกขาในกามคุณ ๕ น้ี อนั ใดเรียกวามีสภาวะตา ง ๆกนั ก็ดว ยอาํ นาจอารมณค ือกามคุณ ๕ และเรียกวา นานตตฺ สิตา ก็เพราะอาศยั อารมณเ หลา นัน้ น่นั แล. ภกิ ษเุ วนขาดอเุ บกขานั้นเสีย. คําวา เอกตตฺ าเอกตตฺ สิตา ไดแก อุเบกขาในจตุตถฌาน. แทจ ริง อุเบกขาในจตุตถฌานนั้นชื่อวา มีสภาวะอันเดียว เพราะเกดิ ข้นึ ในอารมณอันเดยี วทงั้ วัน. ช่อื วาเอกตตฺ สิตา เพราะอาศยั อารมณอันเดียวนน้ั นั่นแล. คําวา ยสฺส สพพฺ โสโลกามิสปู าทานา อปรเิ สสา นริ ชุ ฺฌนตฺ ิ ความวา อามสิ คอื กามคุณ ๕กลาวคือ โลกามสิ องิ อาศัยอเุ บกขาอันใด ยอ มดบั ไปหมดสิ้นไมห ลงเหลอื ในอุเบกขาจตุตถฌานอันใด. ก็คาํ วา ปฺจกามคุณามสิ า ไดแกค วามกาํ หนดั ดวยอาํ นาจความพอใจ ซึ่งมกี ามคณุ เปน อารมณ. ก็กามคณุ ๕ น้ันนน่ั แลทา นเรยี กวา อุปาทานกม็ ี เพราะอรรถวา ยดึ ไว. คาํ วา ตเมวูเปกขฺ ภาเวติ ความวา ยอ มเจรญิ ในอเุ บกขาจตุตถฌาน อนั เปน ปฏปิ ก ษต ออปุ าทานท่ีอาศยั โลกามิสนนั้ นน่ั แล. คาํ วา อยุ เฺ ยยฺย๑ แปลวา พึงโดดข้ึนไป. คาํ วา ๑. บาลีวา อฑุ ฺฑเยยฺย.

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มัชฌมิ ปณณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 98อนปุ ตติ ฺวา แปลวา ตดิ ตาม. คาํ วา วติ จเฺ ฉยยฺ ุ คอื พงึ จกิ ดว ยจะงอยปาก.คาํ วา วิภเชยฺยุ คอื ยื้อชนิ้ เนอื้ ดวยเล็บใหตกไป. คําวา ยาน โอโรเปยยฺ ๑ คือบรรทุกยานท่ีเหมาะแกบรุ ุษ. คาํ วา ปวรมณกิ ุณฺฑล คอื แกวมณมี คี า สงู และตุมหูมอี ยางตาง ๆ. คาํ วา สานิ หรนฺติ คอื ถือเอาสิ่งของ ๆ ตน. คาํ วาสมฺปนนฺ ผล คอื มผี ลอรอย. คําวา อุปปฺ นฺนผล คือ ตดิ ผล มผี ลดก.คําวา อนตุ ตฺ รา คือ สงู สดุ มีปภสั สร ปราศจากอุปกิเลส คําวา อารกาอห ภนเฺ ต ความวา ขาพเจายังหา งไกลยิ่งนกั เหมอื นแผนดนิ กบั แผนฟา และเหมอื นทะเลกับฝง นฝี้ งโนน . คาํ วา อนาชานีเย คือ ผูไ มร เู หตแุ หงการตดัขาดโวหารของคฤหสั ถ. คําวา อาชานียโภชน คือ โภชนะท่ีเหลาผูรูเหตุพึงบรโิ ภค. คําวา อนาชานยี โภชน คอื โภชนะท่ีเหลา ผูไ มร เู หตุพงึ บริโภค.คาํ นอกนน้ั ในท่ที ุกแหง งา ยทงั้ นัน้ แล. จบอรรถกถาโปตลยิ สูตรท่ี ๔๑. ม. ยาน วา โปริเสย.ย.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มชั ฌมิ ปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 99 ๕. ชวี กสูตร วาดว ยหมอชีวกโกมารภัจจ [๕๖] ขาพเจา ไดส ดบั มาอยางน.้ี สมยั หน่ึง พระผูมีพระภาคเจาประทบั อยู ณ อมั พวนั ของทมอชีวกโกมารภัจจ เขตพระนครราชคฤห คร้งั นัน้ แล หมอชีวกโกมารภจั จเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา ถงึ ทปี่ ระทับ ถวายบังคมพระผูม พี ระภาคเจา แลว นั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนง่ึ ไดกราบทลู พระผมู พี ระภาคเจา วา ขา แตพ ระองคผ ูเจริญขาพระพทุ ธเจาไดฟ ง คําน้มี าวา ชนท้งั หลายยอ มฆาสัตวเ จาะจงพระสมณโคดมพระสมณโคดมทรงทราบขอนัน้ อยู ยงั เสวยเนื้อท่ีเขาทาํ เฉพาะตน อาศยั ตนทําดงั นี้ ขาแตพระองคผ เู จรญิ ชนเหลาใดกลา วอยางน้ีวา ชนทงั้ หลายยอมฆาสตั วเ จาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบขอน้ันอยู ยังเสวยเน้อื ที่เขาทาํ เฉพาะตน อาศัยตนทํา ดังน้ี ชนเหลา นัน้ ช่อื วา กลา วตรงกบั ท่พี ระ-ผมู ีพระภาคเจาตรสั ไมช ื่อวากลา วตูพระผูมีพระภาคเจา ดว ยคําอนั ไมเปน จรงิชื่อวา ยนื ยนั ธรรมอันสมควรแกธ รรม การกลาวและกลาวตามท่ชี อบธรรมจะไมถึงขอติเตยี นละหรือ. เนื้อที่ไมค วรบรโิ ภค และควรบริโภค ๓ อยา ง [๕๗] พ. ดูกอ นชีวก ชนใดกลา วอยางนี้วา ชนทัง้ หลายยอ มฆาสัตวเจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบขอน้นั อยู กย็ ังเสวยเน้ือสัตวท ่เี ขาทาํ เฉพาะตน อาศยั ตนทาํ ดงั นี้ ชนเหลา น้นั จะชอื่ วา กลา วตรงกบั ที่เรากลาวหามไิ ด ชื่อวากลา วตูดว ยคาํ อันไมเปน จรงิ ดกู อ นชีวก เรากลาว

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มัชฌิมปณ ณาสก เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 100เนือ้ วาเปนของไมค วรบรโิ ภคดว ยเหตุ ๓ ประการ คอื เน้อื ทตี่ นเห็น ๑เนื้อทต่ี นไดย ิน ๑ เน้อื ที่ตนรังเกยี จ ๑ ดกู อ นชีวก เรากลาวเนอื้ วา เปนของไมควรบรโิ ภคดวยเหตุ ๓ ประการน้ีแล. ดูกอ นชีวก เรากลาวเนอื้ วา เปนของควรบริโภคดวยเหตุ ๓ ประการ คือ เนอื้ ทต่ี นไมไดเห็น เนือ้ ท่ีตนไมไ ดยิน เนือ้ ทต่ี นไมไดรังเกยี จ ดกู อนชีวก เรากลา วเน้ือวา เปนของควรบรโิ ภคดวยเหตุ ๓ ประการนีแ้ ล. การแผเ มตตา [๕๘] ดกู อนชีวก ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ อาศัยบา นหรือนิคมแหงใดแหง หนงึ่ อยู เธอมใี จประกอบดวยเมตตา แผไ ปตลอดทิศหนึ่งอยู ทิศที่ ๒ ทิศที่๓ ทิศท่ี ๔ กเ็ หมือนกัน ตามนยั น้ี ท้ังเบื้องบน เบอื้ งลาง เบอ้ื งขวาง แผไปตลอดโลก ทว่ั สตั วท ุกเหลาโดยความมีตนทวั่ ไปในทที่ กุ สถาน ดว ยใจประกอบดว ยเมตตาอันไพบลู ย ถึงความเปน ใหญ หาประมาณมิได ไมม ีเวร ไมม ีความเบียดเบยี นอยู คฤหบดีหรือบตุ รคฤหบดี เขาไปหาเธอแลว นิมนตดวยภตั เพื่อใหฉ ันในวนั รงุ ขึ้น ดูกอ นชีวก เมือ่ ภิกษุหวังอยู ก็รบั นมิ นต พอลวงราตรนี ั้นไป เวลาเชา ภิกษนุ ั้นนงุ แลว ถอื บาตรและจีวรเขา ไปยงั นิเวศนของคฤหบดีหรอื บุตรของคฤหบดี แลวนั่งลงบนอาสนะท่ีเขาปลู าดไว คฤหบดีหรือบตุ รของคฤหบดนี นั้ องั คาสเธอดว ยบณิ ฑบาตอนั ประณีต ความดํารวิ าดีหนอ คฤหบดีหรือบตุ รคฤหบดีผนู ้ี องั คาสเราอยดู ว ยบิณฑบาตอนั ประณีตดังนี้ ยอมไมมีแกเธอ แมความดําริวา โอหนอ คฤหบดีหรือบตุ รคฤหบดผี ูน ี้พึงองั คาสเราดว ยบิณฑบาตอันประณีตเชน นี้ แมต อ ไป ดังน้ี กไ็ มม ีแกเธอเธอไมก าํ หนด ไมสยบ ไมร ีบกลืนบณิ ฑบาตนัน้ มีปรกตเิ ห็นโทษ มปี ญ ญา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook