Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_18

tripitaka_18

Published by sadudees, 2017-01-10 01:16:26

Description: tripitaka_18

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 1 พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ท่ี ๑ ภาคที่ ๒ขอนอบนอ มแดพ ระผูมีพระภาคอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจาพระองคน ั้น สีหนาทวรรค ๑. จฬู สหี นาทสูตร [๑๕๓] ขา พเจา ไดส ดบั มาอยางน้ี :- สมัยหน่งึ พระผูม ีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ พระวิหารเชตวนั อารามของทานอนาถบิณฑกิ เศรษฐี เขตพระนครสาวตั ถ.ี ณ ทีน่ ั้นแล พระผูมพี ระ-ภาคเจา ตรสั เรยี กภิกษทุ งั้ หลายแลว . ภิกษเุ หลานน้ั ไดทูลรับสนองพระพุทธพจนแลว . สมณะ ๔ จําพวก [๑๕๔] พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสพระพุทธพจนนวี้ า ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย สมณะมีในพระศาสนาน้เี ทานน้ั สมณะท่ีสองมีในพระศาสนานี้ สมณะทส่ี ามมีในพระศาสนาน้ี สมณะทส่ี ่มี ใี นพระศาสนาน้ี ลัทธิของศาสดาอื่นวาง

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 2เปลา จากพระสมณะผรู ูทัว่ ถงึ ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย พวกเธอจงบันลอื สีหนาทโดยชอบอยางน้ี ดวยประการฉะนที้ เี ดียว. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ก็เปน ฐานะท่ีจะมไี ดแล ท่ีพวกปรพิ าชกอัญญเดียรถยี ใ นโลกน้ี พงึ กลา วอยา งน้ีวา อะไรเปนความม่นั ใจของพวกทาน อะไรเปนกาํ ลังของพวกทา น พวกทานพจิ ารณาเหน็ในตนดว ยประการไร จึงกลาวอยางน้ีวา สมณะมีในพระศาสนานี้เทานั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะทีส่ ามมใี นพระศาสนาน้ี สมณะทส่ี ม่ี ีในพระศาสนานี้ ลทั ธิของศาสดาอน่ื วา งเปลาจากพระสมณะผรู ทู ั่วถงึ ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย พวกปรพิ าชกอญั ญเดียรถยี ผมู วี าทะอยา งนี้ อันพวกเธอพึงกลาวตอบอยา งนว้ี า ทานผูมีอายุทั้งหลายธรรม ๔ ประการ อนั พระผูม ีพระภาคเจาพระองคน นั้ ผูรู ผูเหน็เปน พระอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจา ตรสั แลว มีอยู ทีพ่ วกเราเหน็ ธรรมเหลา นใี้ นตนจงึ กลาวอยางนี้วา สมณะมีในพระศาสนานี้เทานนั้ สมณะท่สี องมีในพระศาสนานี้ สมณะทีส่ ามมีในพระศาสนาน้ี สมณะทีส่ ี่มใี นพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอน่ื วา งเปลา จากพระสมณะผูร ูทวั่ ถึง ธรรม ๔ อยา งเปนไฉน ๔ อยาง คอื ความเลอ่ื มใสในพระศาสดาของพวกเรา มอี ยู ความเลื่อมใสในพระธรรมมอี ยู ความกระทาํ ใหบ รบิ รู ณใ นศลี มอี ยู ท้งั คฤหสั ถและบรรพชติ ผปู ระพฤตธิ รรมรวมกนั เปน ทีน่ ารัก นาพอใจ มอี ยู ดกู อ นทา นผมู ีอายทุ ง้ั หลาย ธรรม ๔ประการเหลาน้ันแล อนั พระผมู พี ระภาคเจา พระองคน ั้น ผูร ู ผเู หน็ เปนพระอรหันตสัมมาสมั พุทธเจา ตรสั แลว ท่พี วกเราเลง็ เห็นธรรมเหลานี้ในตนจึงกลา วอยา งนี้ สมณะมีในพระศาสนานเ้ี ทา น้ัน สมณะทส่ี องมีในพระศาสนาน้ีสมณะที่สามมใี นพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มใี นพระศาสนาน้ี ลทั ธขิ องศาสดาอ่ืนวา งเปลา จากพระสมณะผูร ทู ่วั ถึง. ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็เปน ฐานะทจ่ี ะมไี ดแลท่ีพวกปริพาชกอญั ญเดียรถียพงึ กลาวอยางนว้ี า ผูมีอายุ ผใู ดเปนศาสดาของพวกเรา ความเล่ือมใสในศาสดาแมของพวกเรากม็ ีอยู คําสอนใดเปน ธรรมของ

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 3พวกเรา ความเลื่อมใสในธรรมแมข องพวกเรากม็ อี ยู ศลี เหลา ใดเปน ศลี ของพวกเรา แมพวกเราก็กระทําใหบ รบิ ูรณในศลี ทัง้ หลาย ทงั้ คฤหัสถแ ละบรรพชติผปู ระพฤติธรรมรวมกัน แมข องพวกเรากเ็ ปน ที่นารัก นาพอใจ. ผมู อี ายุในขอเหลา น้อี ะไรเปนขอท่ีแปลกกนั อะไรเปน ขอ ประสงค อะไรเปนขอ ท่ีการทําใหตางกนั ในระหวา งของทา นและของเราดงั น.้ี ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลายพวกปรพิ าชกอญั ญเดียรถยี ผูมีวาทะอยางน้ี อันพวกเธอพงึ กลา วตอบอยา งน้วี าผูม อี ายุ ความสาํ เรจ็ มีอยา งเดียวหรือมีมากอยา ง. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกปริพาชกอญั ญเดยี รถีย เมอื่ จะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยา งนวี้ า ความสําเรจ็ มอี ยา งเดียวเทานั้น ไมม ีมากอยา ง. พวกเธอพงึ กลาวอยา งนีว้ า ผูมอี ายุก็ความสาํ เร็จนัน้ เปน ของผมู รี าคะหรอื ของผปู ราศจากราคะ. ดูกอนภิกษทุ งั้ หลายพวกปรพิ าชกอัญญเดียรถีย เม่อื จะพยากรณโ ดยชอบ พึงพยากรณอ ยางนว้ี าความสําเร็จนั้นเปนของผูปราศจากราคะมิใชข องผูมีราคะ. พวกเธอพึงกลา วอยา งนี้วา ความสาํ เรจ็ น้ัน เปนของผูม ีโทสะหรอื ของผปู ราศจากโทสะ. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกปรพิ าชกอัญญเดียรถยี  เม่อื จะพยากรณโ ดยชอบ พงึ พยา-กรณอยา งน้วี า ความสําเรจ็ น้ันเปน ของผูป ราศจากโทสะ มิใชข องผมู ีโทสะ.พวกเธอพึงกลา วอยางนี้วา ความสําเร็จนน้ั เปนของผมู โี มหะหรอื ของผูปราศจากโมหะ. ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย พวกปรพิ าชกอัญญเดยี รถยี  เม่ือจะพยากรณโ ดยชอบ พงึ พยากรณอยางนีว้ า ความสาํ เร็จนัน้ เปนของผปู ราศจากโมหะ มใิ ชของผูมโี มหะ. พวกเธอพงึ กลา วอยา งน้ีวา ความสาํ เร็จนั้นเปน ของผูมีตัณหาหรอื ของผปู ราศจากตัณหา. ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย พวกปรพิ าชกอญั ญเดยี รถยี เม่ือจะพยากรณโ ดยชอบ พึงพยากรณอ ยา งนี้วา ความสําเรจ็ นัน้ เปนของผูปราศจากตณั หา มิใชของผมู ีตัณหา. พวกเธอพงึ กลา วอยา งนีว้ า ความสาํ เร็จนั้นเปนของผูมอี ุปาทาน หรือของผูไมมีอุปาทาน. ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย พวก

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 4ปริพาชกอัญญเดยี รถยี เ มื่อจะพยากรณโดยชอบ พงึ พยากรณอ ยางน้ีวา ความ-สําเรจ็ นนั้ เปน ของผูไมม อี ปุ าทาน มใิ ชข องผูมีอปุ าทาน. พวกเธอพงึ กลา วอยา งนว้ี า ความสําเรจ็ นั้นเปนของผูร แู จงหรือของผไู มรูแจง . ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดยี รถียเมือ่ จะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยา งน้วี า ความสาํ เร็จน้ันเปนของผูรูแ จง มใิ ชข องผูไมร แู จง . พวกเธอพงึ -กลาวอยางนวี้ า ความสําเรจ็ น้นั เปน ของผยู ินดียนิ รา ยหรือของผูไมย ินดียินราย.ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ปริพาชกอัญญเดียรถีย เม่อื จะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอ ยา งน้ีวา ความสําเร็จน้ันเปน ของผไู มยนิ ดยี ินราย มใิ ชของผูยนิ ดียินราย. พวกเธอพงึ กลา วอยางนีว้ า ความสาํ เรจ็ น้ันเปนของผูยินดีในความเนนิ่ ชา มีความเน่ินชาเปน ที่มายินดี หรือของผยู นิ ดีในความไมเ นิ่นชา มคี วามไมเนน่ิ ชา เปน ทมี่ ายนิ ดี. ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย พวกปริพาชกอัญญเดยี รถียเม่อื จะพยากรณโดยชอบ พงึ พยากรณอ ยางนว้ี า ความสําเรจ็ นน้ั เปน ของผยู นิ ดีในความไมเ นน่ิ ชา มคี วามไมเน่ินชา เปน ท่ีมายนิ ดี มใิ ชของผูยินดใี นความเน่นิ ชา มีความเนิน่ ชา เปนที่มายินด.ี ทิฐิ ๒ [๑๕๕] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ทฐิ ิ ๒ อยา งเหลา นี้ คือ ภวทฐิ ิ และวิภวทิฐ.ิ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรอื พราหมณเลาใดเหลา หน่ึงเปน ผูแอบองิ ภวทฐิ เิ ขา ถึงภวทิฐิ หยั่งลงสูภวทิฐิ สมณะหรอื พราหมณเ หลา นั้น ชอ่ืวาเปนผูยนิ รา ยตอ วภิ วทิฐ.ิ ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย สมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลาหน่งึ เปนผแู อบอิงวิภวทิฐเิ ขาถึงวภิ วทิฐิ หย่ังลงสวู ภิ วทิฐิ สมณะหรอืพราหมณเหลานนั้ ช่ือวาเปนผูย ินรา ยตอภวทิฐ.ิ ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย สมณะหรอื พราหมณเ หลา ใดเหลา หน่งึ ยอมไมร ูท ัว่ ถงึ ความเกิด ความดับ คุณ โทษ

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 5และการถา ยถอนแหงทิฐิ ๒ อยา งเหลาน้ตี ามความเปนจรงิ สมณะหรือพราหมณเหลา นัน้ ยังมรี าคะ ยังมโี ทสะ ยังมีโมหะ ยังมีตัณหา ยงั มีอุปาทาน ไมใชผูรแู จง ยงั ยินดีและยนิ ราย เปน ผูย ินดใี นความเน่ินชา มีความเนิ่นชา เปนทีม่ ายินดี พวกเขายอมไมหลุดพน จากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความรา่ํ ไรทุกขกาย ทุกขใ จ และความคับแคนทั้งหลาย เรากลา ววา ยอ มไมห ลุดพนไปจากทุกข สมณะหรอื พราหมณเหลา ใดเหลาหนึ่งยอ มรูทัว่ ถงึ ความเกิดความ-ดับ คุณ โทษ และการถา ยถอนแหงทิฐิ ๒ อยางเหลาน้ี ตามความเปน จริงสมณะหรือพราหมณเ หลา น้นั เปน ผูปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ปราศจากตัณหา ปราศจากอปุ าทาน เปน ผูรแู จง เปน ผูไมยินดีและยนิ รา ย มคี วามยนิ ดใี นความไมเนน่ิ ชา มคี วามไมเนิ่นชา เปน ทีม่ ายนิ ดี พวกเขายอมหลุดพน จากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ําไร ทกุ ขก ายทุกขใจ และความคับแคนทั้งหลาย เรากลา ววา ยอ นหลดุ พนไปจากทุกข. อุปาทาน ๔ [๑๕๖] ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อยา งเหลาน้ี ๔ อยางเปนไฉน คือ กามปุ าทาน ทฏิ ปุ าทาน สีลพั พตุปาทาน อัตตวาทปุ าทาน. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย มีสมณพราหมณพวกหน่ึงปฏิญาณลทั ธิวารอบรูอปุ าทานทกุ อยา งแตพวกเขายอมไมบัญญตั คิ วามรอบรูอปุ าทานทกุ อยางโดยชอบ คือ ยอ มบญั ญัติความรอบรกู ามปุ าทานไมบญั ญัตคิ วามรอบรทู ฏิ ุปาทาน ไมบัญญัตคิ วามรอบรูสีลพั พตปุ าทาน ไมบัญญตั ิความรอบรูอ ตั ตวาทุปาทาน ขอ น้นั เพราะเหตอุ ะไรเพราะสมณพราหมณเหลา นน้ั รไู มท ่ัวถงึ ฐานะ ๓ ประการเหลาน้ี ตามความเปนจริง เพราะฉะนนั้ พวกเขาจงึ มลี ัทธวิ ารอบรอู ปุ าทานทุกอยาง แตพ วกเขาไมบัญญัติความรอบรูอ ุปาทานทุกอยา งโดยชอบ บญั ญัตคิ วามรอบรูกามุปาทาน ไม

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 6บญั ญตั คิ วามรอบรทู ิฏปุ าทาน ไมบ ัญญตั ิความรอบรสู ีลพั พตปุ าทาน ไมบัญญัติความรอบรูอ ัตตวาทุปาทาน. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย มสี มณพราหมณพ วกหนึ่งปฏิญาณลทั ธิวา รอบรูอ ุปาทานทุกอยาง แตพวกเขาไมบัญญัตคิ วามรอบรูอุปาทานทกุ อยางโดยชอบ บญั ญตั ิความรอบรกู ามุปาทาน บญั ญัติความรอบรทู ิฏุปาทานไมบ ัญญัติความรอบรูสลี ัพพตุปาทาน ไมบญั ญตั ิความรอบรอู ัตตวาทุปาทานขอ น้ันเพราะเหตุอะไร เพราะสมณพราหมณเ หลา น้ันไมรทู ่วั ถงึ ฐานะ ๒ ประการเหลานี้ ตามความเปน จริง เพราะฉะน้ัน พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิวารอบรูอปุ าทานทุกอยา ง แตพวกเขาไมบัญญตั ิความรอบรอู ปุ าทานทกุ อยา งโดยชอบคือ บัญญัตคิ วามรอบรกู ามปุ าทาน บัญญัติความรอบรทู ิฏปุ าทาน ไมบ ัญญตั ิความรอบรูสีลพั พตุปาทาน ไมบ ญั ญัตคิ วามรอบรูอ ัตตวาทุปาทาน. ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย มีสมณพราหมณพ วกหนึง่ ปฏิญาณลัทธิวารอบรูอ ุปาทานทกุ อยา งแตพวกเขาไมบัญญัติความรอบรอู ปุ าทานทกุ อยางโดยชอบ คือ บญั ญัตคิ วามรอบรูกามปุ าทาน. บัญญัติความรอบรูท ฏิ ุปาทาน บัญญตั ิดวามรอบรสู ีลพั -พตุปาทาน ไมบ ัญญตั ิความรอบรูอ ตั ตวาทุปาทาน ขอนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะสมณพราหมณเหลา นนั้ ไมรทู ่วั ถึงฐานะอยางหน่ึงน้ี เพราะฉะนัน้ พวกเขาจงึ ปฏญิ าณลทั ธวิ ารอบรอู ปุ าทานทกุ อยาง แตพ วกเขาไมบ ัญญตั คิ วามรอบรูอุปาทานทกุ อยา งโดยชอบ คือ บัญญัตคิ วามรอบรกู ามุปาทาน บัญญตั ิความรอบรทู ิฏปุ าทาน บญั ญัตคิ วามรอบรูส ีลัพพตปุ าทาน ไมบ ัญญตั ิความรูอัตตวาทุปาทาน. ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย ความเลือ่ มใสในศาสดาใด ความเล่อื มใสนน้ั เราไมก ลาววา ไปแลว โดยชอบ ความเลือ่ มใสในธรรมใด ความเล่ือมใสนั้นเราไมกลา ววา ไปแลวโดยชอบ ความกระทาํ ใหบริบรู ณในศีลใด ขอ น้ันเราไมก ลา ววาไปแลว โดยชอบ ความเปน ทร่ี กั และนาพอใจในหมสู หธรรมิกใดขอ น้ันเราไมกลาววาไปแลวโดยชอบ ในธรรมวินัยเห็นปานนีแ้ ล ขอนัน้ เพราะ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 7เหตอุ ะไร ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย เพราะขอ น้ันเปนความเล่ือมใสในธรรมวนิ ยั ท่ีศาสดากลาวชัว่ แลว ประกาศชวั่ แลว มิใชส ภาพนาํ ออกจากทกุ ข ไมเ ปนไปเพือ่ ความสงบ มิใชอ นั ผรู ูเองโดยชอบประกาศไว. [๑๕๗] ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจาเทานน้ั แล เปนผมู ีวาทะรอบรูอุปาทานทกุ อยา ง ปฏญิ าณอยู ยอมบัญญัตคิ วามรอบรูอ ปุ าทานทุกอยางโดยชอบ คือ ยอ มบัญญัตคิ วามรอบรกู ามุปาทาน ยอมบญั ญัตคิ วามรอบรทู ฏิ ปุ าทาน ยอมบัญญตั คิ วามรอบรสู ลี ัพพตปุ าทาน ยอมบัญญัติความรอบรูอตั ตวาทุปาทาน. ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลือ่ มใสนน้ั เรากลาววาไปแลวโดยชอบ ความเล่อื มใสในธรรมใด ความเลือ่ มใสนน้ั เรากลา ววาไปแลว โดยชอบ ความกระทําใหบริบรู ณใ นศีลใด ขอ น้นั เรากลา ววา ไปแลวโดยชอบ ความเปนทร่ี กั และนาพอใจในหมสู หธรรมกิ ใด ขอ นัน้ เรากลา ววาไปแลว โดยชอบ ในพระธรรมวนิ ยัเห็นปานนแี้ ล ขอนน้ั เพราะเหตอุ ะไร ดกู อนภิกษุทั้งหลาย เพราะขอ น้ันเปนความเล่อื มใสในธรรมวินยั อันศาสดากลาวดีแลว ประกาศดีแลว เปน สภาพนาํออกจากทุกข เปนไปเพอ่ื ความสงบ อนั ทานผูร เู องโดยชอบ ประกาศแลว . ตณั หาเปน เหตุเกดิ อุปาทาน [๑๕๘] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย อนึง่ อปุ าทาน ๔ เหลานี้ มอี ะไรเปนตนเหตุ มอี ะไรเปนเหตเุ กิด มีอะไรเปน กาํ เนิด มีอะไรเปน แดนเกิด. อุปาทาน๔ เหลาน้ี มตี ัณหาเปนตน เหตุ มีตณั หาเปน เหตุเกิด มีตัณหาเปน กําเนดิ มีตัณหาเปนแดนเกดิ . ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ตณั หานเี้ ลา มอี ะไรเปน ตนเหตุ มีอะไรเปน เหตุเกิด มีอะไรเปน กําเนิด มอี ะไรเปน แดนเกดิ . ตัณหามีเวทนาเปน ตน เหตุ มีเวทนาเปนเหตเุ กดิ มีเวทนาเปน กําเนิด มีเวทนาเปน แดนเกดิ .

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 8ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย เวทนานีเ้ ลา มีอะไรเปนตน เหตุ มอี ะไรเปนเหตเุ กิดมีอะไรเปนกาํ เนดิ มีอะไรเปนแดนเกิด. เวทนามีผสั สะเปนตนเหตุ มผี สั สะเปน เหตเุ กดิ มผี สั สะเปน กาํ เนดิ มผี สั สะเปน แดนเกิด. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลายผสั สะนเ้ี ลา มีอะไรเปน ตน เหตุ มีอะไรเปน เหตเุ กิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปน แดนเกิด. ผัสสะมีสฬายตนะเปน ตนเหตุ มีสฬายตนะเปนเหตุเกิด มีสฬายตนะเปน กําเนดิ มีสฬายตนะเปน แดนเกิด. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สฬาย-ตนะนเ้ี ลา มีอะไรเปนตนเหตุ มอี ะไรเปน เหตุเกิด มอี ะไรเปน กาํ เนิด มีอะไรเปน แดนเกิด. สฬายตนะมนี ามรปู เปนตน เหตุ มนี ามรปู เปน เหตเุ กดิมนี ามรปู เปนกาํ เนิด มนี ามรูปเปน แดนเกิด. ดูกอ นภิกษุท้งั หลายนามรปู น้ีเลามอี ะไรเปน ตนเหตุ มีอะไรเปนเหตเุ กดิ มอี ะไรเปน กําเนดิ มอี ะไรเปนแดนเกิด. นามรูปมวี ิญญาณเปน ตนเหตุ มวี ิญญาณเปนเหตุเกิดมวี ิญญาณเปนกําเนิด มวี ิญญาณเปน แดนเกิด. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย วญิ ญาณน้เี ลา มีอะไรเปน ตนเหตุ มอี ะไรเปนเหตุเกดิ มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกดิ . วญิ ญาณมีสงั ขารเปน ตน เหตุ มีสังขารเปน เหตุเกิด มสี ังขารเปน กาํ เนดิ มีสงั ขารเปน แดนเกดิ . ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย สังขารน้เี ลา มีอะไรเปน ตนเหตุ มอี ะไรเปนเหตุเกิด มอี ะไรเปน กาํ เนดิ มีอะไรเปน แดนเกดิสงั ขารมีอวิชชาเปนตนเหตุ มอี วิชชาเปนเหตเุ กดิ มีอวิชชาเปนกําเนดิ มีอวชิ ชาเปนแดนเกิด. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย กเ็ มอ่ื ใดแล ภกิ ษุละอวิชชาไดแลววิชชาเกดิ ข้ึนแลว เม่อื น้ัน ภกิ ษนุ นั้ เพราะสํารอกอวชิ ชาเสียได เพราะวิชชาบังเกิดขึน้ ยอมไมถ ือมัน่ กามปุ าทาน ยอ มไมถ ือมนั่ ทฏิ ปุ าทาน. ยอมไมถ ือม่ันสีลัพพตปุ าทาน ยอ มไมถ อื มนั่ อัตตวาทุปาทาน เมอื่ ไมถ อื มน่ั ยอ มไมสะดุงเม่อื ไมส ะดงุ ยอ มปรนิ พิ พานเฉพาะตนนน่ั เทยี ว เธอยอ มรูชดั วา ชาติสิ้นแลว

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 9พรหมจรรยอยจู บแลว กิจท่ีควรทาํ ทําเสรจ็ แลว กจิ อื่นเพือ่ ความเปน อยางน้ีมไิ ดม ี ดงั นี้ พระผูมพี ระภาคเจาไดต รสั พระพทุ ธพจนน ้ีแลว ภกิ ษุเหลา นั้นมีใจช่นื ชมยินดี ภาษติ ของพระผูมพี ระภาคเจา แลวแล. จบ จฬู สีหนาทสูตร ที่ ๑

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 10 อรรถกถามัชฌมิ นิกาย ชือ่ ปปญ จสูทนี พรรณนามลู ปณณาสก ภาคที่ ๒ พรรณนาสีหนาทวรรค อรรกถาจลุ ลสีหนาทสตู ร๑ จุลลสีหนาทสูตร มีคําเร่มิ ตน วา ขา พเจา ไดสดบั มาอยางน้ี :- กเ็ พราะจุลลสีหนาทสตู รนนั้ มีการสรปุ ถงึ ความอุบัตขิ องเรือ่ ง เพราะฉะนั้น ขา พเจาแสดงการสรุปนน้ั แลว จักทําการพรรณนาบทโดยไมต ามลาํ ดับแหงจุลลสหี นาทสตู รนน้ั . ก็เรือ่ งนไี้ ดยกข้ึนกลา วในความอบุ ัติของเรื่องอะไร.ในเรื่องที่เดียรถียครํา่ ครวญ เพราะลาภสักการะเปนปจจัย. ไดยินวา ลาภ-สักการะใหญไ ดบ ังเกิดขนึ้ แลว แกพระผมู ีพระภาคเจา โดยนัยทีก่ ลาวแลวในธมั -มทายาทสูตร. ก็โลกสันนิวาสนีม้ ีประมาณ ๔ ดาํ รงอยแู ลวโดย ๔ อยาง ดว ยอํานาจแหงบุคคลเหลา น้คี อื บุคคลผูม ีประมาณในรูป เลอ่ื มใสในรปู มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสยี ง มีประมาณในความเศรา หมอง เลอ่ื มใสในความเศรา -หมอง มปี ระมาณในธรรม เส่อื มใสในธรรม. ขอการทําใหตา งกนั ของบุคคลเหลา น้นั ดังน.้ี ก็บคุ คลผมู ปี ระมาณในรปู เลือ่ มใสในรูปเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนเ้ี ห็นความเจริญขึน้ หรือเหน็ ความเจรญิ เต็มที่ เหน็ ความบรบิ รู ณหรอื เหน็ ทรวดทรง ถือประมาณในรปู น้นั แลว ยงั ความเลอ่ื มใสใหเกิดขน้ึบาล.ี จฬู สหี นาทสุตตฺ 

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 11นเ้ี รียกวา บคุ คลผูมปี ระมาณในรูป เล่ือมใสในรปู . กบ็ ุคคลผูมีประมาณในเสียงเลือ่ มใสในเสียงเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกน้ีถอื ประมาณในเสียงนนั้ ดวยการพรรณนาของคนอ่ืน ดวยการชมเชยของคนอนื่ ดวยการสรรเสริญของคนอนื่ ดว ยคนผูนําคุณของคนอืน่ แลวยงั ความเสื่อมใสใหเกดิ ขนึ้ นเี้ รยี กวาบุคคลผูม ปี ระมาณในเสียง เลอ่ื มใสในเสียง. ก็บุคคลผมู ีประมาณในความเศราหมอง เล่อื มใสในความเศรา หมองเปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกนี้ เหน็ความเศราหมองในจีวร หรือเห็นความเศรา หมองในบาตร หรือเห็นความเศรา หมองในเสนาสนะ หรอื เห็นการบําเพ็ญทุกกรกิรยิ าตาง ๆ แลว ถือประ-มาณในความเศรา หมองน้นั ยงั ความเลือ่ มใสใหเกิดข้นึ นีเ้ รียกวา บคุ คลผูมปี ระมาณในความเศรา หมอง เลอ่ื มใสในความเศราหมอง. ก็บคุ คลผมู ีประมาณในธรรม เลอ่ื มใสในธรรมเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นศีล หรอืเหน็ สมาธิ หรอื เหน็ ปญ ญาแลว ถือประมาณในธรรมน้นั ยงั ความเลอ่ื มใสใหเกิดข้นึ น้เี รยี กวา บุคคลผูม ปี ระมาณในธรรม เลือ่ มใสในธรรม. ในบุคคล ๔ พวกนี้ ฝายบุคคลมีประมาณในรปู เห็นความเจริญข้นึและความเจรญิ เต็มท่ี ทรวดทรง ความบรบิ ูรณข องพระผูม พี ระภาคเจา ทรงมีพระฉววี รรณสวยงาม ดจุ วิจิตรดว ยรัตนะตา ง ๆ เพราะประดับประดาดว ยอนุ-พยัญชนะ ๘๐ อยาง ดุจแผน ใหญแหงทองคาํ อนั รุงเรืองดว ยหมูดาว เพราะเกล่ือนกลน ดวยมหาบุรุษลกั ษณะ ๓๒ ประการ และดจุ ทองฟา อนั แจม จํารสัโดยประการท้ังปวงฉะน้นั มพี ระสรรี ะหาที่เปรยี บมไิ ด มปี ารฉิ ัตรสงู รอยโยชนมพี ระสริ ิแวดลอ มดวยรัศมปี ระมาณหนึง่ วา สูงสิบแปดศอกแลว เลือ่ มใสในพระสัมมาสัมพุทธเจาน้นั เทียว. ฝายบุคคลมปี ระมาณในเสยี ง ไดฟ ง เสยี งทเ่ี ปนไปแลวแหงพระผมู พี ระ-ภาคเจา โดยนยั เปนตน วา ตลอดสอี่ สงไขย ยง่ิ ดวยแสนกปั พระองคทรง

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 12บําเพญ็ บารมีสิบ อปุ ปารมีสิบ ปรมัตถปารมสี บิ ทรงกระทําองั คบรจิ าค บตุ รทารบริจาค รัชชบริจาค ธนบริจาค และนยั นบรจิ าคแลวเลอื่ มใสในพระสมั มาสมั พทุ ธเจานนั้ เทียว. ฝายบุคคลมปี ระมาณในความเศราหมอง เห็นความเศราหมองในจีวรของพระผูม พี ระภาคเจา แลว คดิ วา ถา พระผูม ีพระภาคเจา อยูครองสมบตั ิ กจ็ กัทรงแตผ า ที่ทําจากเมืองกาลีเทา นั้น แตพ ระองคครนั้ ทรงผนวชแลว ทรงยินดีดว ยจวี รบงั สุกลุ อนั ทาํ ดวยปา น ทรงกระทาํ การหนัก ดังนี้ ยอ มเลือ่ มใสในพระสมั มาสัมพทุ ธเจานนั้ เทียว. เห็นแมค วามเศรา หมองในบาตรแลว คดิ วาพระผมู ีพระภาคเจา พระองคนี้ เม่ือทรงครองเรือนไดเ สวยโภชนะแหงขา วสาลีอนั มีกลิน่ หอม สมควรแกโ ภชนะของพระเจาจักรพรรดิ ในภาชนะทองคําอนัประเสรฐิ สีแดง แตค ร้ันทรงผนวชแลว ทรงถอื บาตรหิน เสดจ็ บิณฑบาตตามตรอกในประตขู องตระกลู สูง ทรงยินดีดว ยกอนขาวท่ีไดแ ลว กระทาํ กิจหนกัดงั น้ี ยอ มเลือ่ มใสในพระสมั มาสมั พทุ ธเจา นัน้ เทียว. แมไดเ หน็ ความเศราหมองในเสนาสนะแลว คดิ วา พระผูม พี ระภาคเจาพระองคน ้ี เมื่อทรงครองเรอื นมีนางฟอน ๓ พวกเปน บริวาร เสวยราชสริ ิ ดุจสมบัตทิ ิพในปราสาทท้งั ๓อนั สมควรแกฤ ดทู ัง้ ๓ บดั นี้ ทรงผนวชแลว ทรงยนิ ดีดว ยวัตถุ มีกระดานไมแผนศิลาและเตียงไมไ ผ เปน ตน ในรุกขมูลและเสนาสนะเปนตน ทรงกระทาํการหนกั ดงั น้ี ยอมเล่อื มใสในพระสมั มาสมั พุทธเจาน้ันเทยี ว. แมไดเห็นการบาํ เพญ็ ทกุ กรกิรยิ าของพระผูมีพระภาคเจา พระองคน ั้นแลว คดิ วา พระผูมีพระ-ภาคเจาทรงยงั ชีพใหเ ปน ไปดวยวัตถุ มี นํา้ ตมถ่วั เขียว นา้ํ ตม ถวั่ พู และน้าํ -ตม หเรณุ เปน ตน เพียงฟายมอื ๆ จักเจริญฌานอันไมมปี ระมาณ ไมทรงหว งใยในสรรี ะและชีวติ อยูตลอดหกป โอ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงกระทาํ กจิ ท่ีทาํ ไดยาก ดังน้ี ยอ มเลอ่ื มใสในพระสมั มาสมั พุทธเจา น้ันเทยี ว.

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 13 ฝายบุคคลมปี ระมาณในธรรม เหน็ ศีลคุณ สมาธคิ ณุ ปญ ญาคณุฌานวโิ มกข สมาธิสมบัติ สมั ปทา ความบริบูรณแ หงอภญิ ญา ยมกปาฏิหารยิ เทโวโรหณะ และความอศั จรรยหลายประการ มกี ารทรมานปาฏิกบตุ รเปน ตนของพระผูมีพระภาคเจา แลว ยอมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพทุ ธเจา น้นั เทียว. บคุ คลเหลานัน้ เลื่อมใสอยางน้ีแลว ยอมนาํ ลาภสกั การะใหญถวายแดพระผูม ีพระภาคเจา แตลาภสกั การะของเดยี รถยี ทงั้ หลายกเ็ สือ่ มไป ดจุ กาในพาเวรชุ าดก. เหมือนอยา งทา นกลา ววา นางนกยูงรอ งเสยี งไพเราะ เพราะ ไมเห็นนกยูง จึงบชู ากาในพาเวรุนน้ั ดวยเนอื้ และผลไม กใ็ นกาลใด นกยูงท่ี ถึงพรอมดว ยเสียงสูพาเวรุ ในกาลนั้น ลาภและสักการะของกาก็เส่อื มไป ในกาล ใด พระพุทธเจาผธู รรมราชา ทรงกระทาํ แสงสวา งยงั ไมอุบัตขิ ้นึ ในกาลนนั้ ชนอื่น เปน อนั มาก ไดบ ชู าสมณพราหมณทัง้ หลาย แตใ นกาลใด พระพทุ ธเจาทรงถงึ พรอ มดว ยเสยี ง ทรงแสดงธรรม ในกาล นน้ั ลาภและสักการะของเดยี รถยี ท ้ังหลาย กเ็ สอื่ มไป. เดียรถียเหลานน้ั เสื่อมจากลาภและสกั การะอยา งน้แี ลว แมจ ะยังราตรีใหสวางเพียงหน่งึ น้ิว สองน้ิว กเ็ ปน ผูเ ส่อื มจากรศั มี ดุจหิงหอ ยทงั้ หลายในเวลาพระอาทิตยขึน้ ฉะน้ัน.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 14 หิงหอยทั้งหลายยอ มแสดงออกซง่ึ แสงในราตรีขา งแรม ก็นั้นเปน นิสยั ของ หิงหอ ยเหลา น้ัน ในเวลาใด พระอาทติ ย ท่ถี งึ พรอมดว ยรัศมขี น้ึ อยู ในเวลานน้ั แสงของหมูหิงหอ ยทงั้ หลายกห็ ายไปฉันใด แมเ ดยี รถียท ง้ั หลายในโลกนี้ สว นมาก เปนเชน กับหงิ หอยฉนั นั้น ยอมแสดงคุณ ตนในโลกทีเ่ ปรยี บเหมือนขา งแรม แตใ น เวลาใด พระพุทธเจามีรัศมหี าที่เปรยี บ มิได อุบัตขิ ้นึ ในโลก ในเวลานั้น เดียรถีย ทั้งหลายกห็ มดรัศมี ดจุ หิงหอ ยทัง้ หลาย ในพระอาทิตย ฉะนน้ั .เดยี รถียเ หลา นั้น เปน ผปู ราศจากรัศมอี ยา งน้ี สรีระเกลือ่ นกลน ดวยหดิ และตอ มเล็ก ๆ เปนตน ถึงความเส่อื มอยา งยิ่ง ไปหาพระพทุ ธเจา พระธรรมพระสงฆ และทปี่ ระชมุ ของมหาชนแลว ยืนครํ่าครวญในระหวา งถนนบา งในตรอกบาง ในทางสี่แพรง บา ง ในสภาบาง รอ งประการตา ง ๆ อยางนี้วาดูกอนผูเจรญิ สมณโคดมเทา น้ันหรอื เปน สมณะ พวกเราไมเ ปนสมณะ สาวกของพระสมณโคดมเทา น้นั เปนสมณะ สาวกแมของพวกเรากไ็ มเปนสมณะ ทานท่ใี หส มณโคดมและสาวกของสมณโคดมน้ัน มีผลมาก ทานท่ใี หแกพ วกเราไมม ีผลมาก สมณโคดมกเ็ ปน สมณะดว ย พวกเราก็เปนสมณะดว ย สาวกของสมโคดมกเ็ ปนสมณะดว ย สาวกของพวกเราก็เปน สมณะดว ย ทานทใี่ หแ กสมโคดมและแกส าวกของสมณโคดมนั้นกม็ ีผลมากดวย ทานท่ีใหแ กพวกเราและแกสาวกของพวกเรา กม็ ีผลมากดวย มใิ ชหรือ ทานท้ังหลายจงใหจ งทาํ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 15แกส มณโคดมแกส าวกของสมณโคดมนัน้ ดว ย จงใหจ งทําแกพวกเราและแกสาวกของพวกเราดวย สมณโคดมอุบัติแลวตลอดวนั กอน ๆ มใิ ชห รือ แตพวกเราเม่ือเกดิ ขน้ึ ในโลกเทยี ว ก็ไดเ กดิ แลวดงั น.ี้ ลาํ ดบั นั้น บรษิ ัทสี่ คอืภิกษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ไดฟงเสยี งของเดยี รถียเ หลานนั้ แลว กราบทลู แดพ ระผูมพี ระภาคเจาวา ขา แตพ ระองคผูเจริญ เดียรถียทงั้ หลาย กลา วคําน้ีและคาํ นี้ ดังนี.้ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงสดบั คํานัน้ แลว ตรัสวา ดูกอนภิกษุท้ังหลาย พวกเธออยาสาํ คญั วา สมณะมใี นที่อ่นื ตามคาํ พวกเดียรถยี  เมอ่ืจะทรงปฏเิ สธความเปนสมณะในอญั ญเดยี รถยี ทั้งหลาย และเม่ือจะทรงอนุญาตความเปน สมณะในศาสนานี้เทานนั้ จงึ ตรสั พระสูตรแหง ความเกดิ ขึน้ ของเรอื่ งนี้อยางนีว้ า ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย สมณะมีในศาสนานเี้ ทานน้ั . ในบทนัน้ บทวา อิเธว คอื ในศาสนานีเ้ ทา นั้น. กค็ วามจํากัดน้ีพงึ ทราบแมในบทที่เหลือ. ก็สมณะทง้ั หลายแมมสี มณะท่ี ๒ เปน ตน ก็มใี นศาสนานีเ้ ทา นัน้ ไมม ีในทอี่ นื่ . บทวา สมโณ ไดแ ก พระโสดาบนั . ดว ยเหตนุ ั้นแล พระผูมีพระภาคเจา จึงตรสั วา ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ก็สมณะเปน ไฉนดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ภิกษใุ นศาสนานี้ เพราะสนิ้ ไปแหงสงั โยชนสาม เปนโสดาบัน มอี นั ไมตกต่าํ เปนธรรมดา เปน ผเู ท่ยี ง มกี ารตรสั รูเ ปน เบอ้ื งหนาดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย น้ีสมณะ. สกทาคามี ชือ่ วา สมณะท่ี ๒. ดวยเหตุนัน้ แลพระผูมีพระภาคเจา จึงตรสั วา ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย กส็ มณะท่ี ๒เปนไฉน ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ภิกษุในศาสนานเ้ี ปนสกทาคามี เพราะสงั โยชนส ามส้นิ ไปเพราะความท่ีราคะ โทสะ และโมหะ เบาบางกลบั มาสโู ลกนี้ ครง้ั เดียวเทา นั้นกจ็ ะทาํ ที่สคุ แหง ทุกขไ ด ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย นส้ี มณะท่ี ๒ ดังน้.ี พระอนาคามีชื่อวา สมณะท่ี ๓. ดว ยเหตุนั้นแล พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั วา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย กส็ มณะที่ ๓ เปนไฉน ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภิกษใุ นศาสนานี้ เพราะ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 16ความสน้ิ ไปแหง สังโยชนเ บื้องต่ํา ๕ อยาง เปนอปุ ปาตกิ ะ ปรนิ พิ พานในภพน้ัน ไมเ วยี นกลับมาจากโลกนน้ั ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย นีส้ มณะท่ี ๓. พระอรหนั ตชื่อวา สมณะท่ี ๔ ดว ยเหตนุ น้ั เเล พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย กส็ มณะท่ี ๔ เปน ไฉน ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุในศาสนานี้ กระทาํใหแจงซึ่งเจโตวิมุตติ ปญ ญาวิมุตติ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะความสิน้ ไปแหงอาสวะทง้ั หลายดว ยอภิญญาของตนเอง เขาถึงอยูในทฏิ ฐธรรมเทยี ว ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย นีส้ มณะท่ี ๔. ทา นประสงคเอาสมณะที่ต้ังอยใู นผลส่ีในท่นี ีเ้ ทียวดว ยประการฉะน.้ี บทวา สุ ฺา ไดเเก วาง คือ เปลา. บทวา ปรปปฺ วาทาความวา วาทะวา เทีย่ ง ๔ วาทะ.วา เท่ียงเปนบางสวน ๔ วาทะวา มีทีส่ ดุ และไมมที ี่สดุ ๔ วาทะทหี่ ามความไมต าย ๔ วาทะทีเ่ กดิ ขึ้นเฉพาะ ๒ สัญญีวาทะ ๑๖อสญั ญีวาทะ ๘ เนวสญญั นี าสัญญวี าทะ ๘ อจุ เฉทวาทะ ๗ ทฏิ ฐธัมนนิพพานวาทะ ๕ แมทง้ั หมดดังกลาวมานี้ มาแลวในพรหมชาลสูตร วาทะของเหลาพาเหยี รอื่นจากน้ี ๖๒ ช่ือวา ปรัปปวาทะ. วาทะเหลา นัน้ แมท งั้ หมด วา งเปลาจากสมณะผตู ้ังอยใู นผลสเ่ี หลานี.้ ก็วาทะเหลา นนั้ ไมมใี นสมณะนั้น. ก็วาทะเหลา นน้ั ไมม อี ยางเดียวกห็ าไม แตส ูญจากสมณะเหลา นัน้ นัน่ เทียว. อน่ึง สญูจากสมณะแมส บิ สองนน่ั เทยี ว คอื จากสมณผูตัง้ อยใู นมรรคสี่บา ง จากสมณะผูวปิ สสกซึ่งปรารภเพือ่ ประโยชนแ กม รรคสี่บาง. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงหมายถงึ เนอื้ ความนีน้ น้ั เอง จึงตรสั ไวในมหาปรินิพพานสตู รวา ดูกอนสุภทั ทะเรามวี ยั ได ๒๙ ป บวช แลว ตามแสวงหาอะไรเปน กุศล ดูกอ น สภุ ัททะตง้ั แตเ ราบวชแลว ได ๕๐ ปเศษ แมสมณะผเู ปนไปในประเทศแหงธรรม

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 17 เปนเครื่องนําออก ไมมใี นภายนอกแต ธรรมวนิ ยั น้ี.สมณะแมท ่ี ๒ กไ็ มมี สมณะแมท ี่ ๔ กไ็ มม ี ลทั ธิของศาสดาอ่นื วางเปลาจากสมณะผรู ทู ว่ั ถงึ . กท็ านประสงคเ อาผูปรารภวปิ สสนาวา ปเทสวตตฺ ี ในมหาปรินพิ พานสูตรนน้ั . เพราะฉะน้ัน พระองคท รงกระทําผปู รารภวปิ ส สนาเพ่อืโสดาปต ตมิ รรคผตู งั้ อยใู นมรรค ผตู ง้ั อยใู นผล แมท ง้ั ๓ ดังกลาวเขา ดวยกันแลว ตรัสวา แมส มณะกไ็ มมดี ังน.้ี ทรงกระทําผูปรารภวิปส สนาเพ่ือสกทา-คามิมรรคผตู งั้ อยูในมรรค ผตู ั้งอยูใ นผล แมทง้ั ๓ ดังกลา วเขา ดว ยกนัตรสั วา สมณะแมท ี่ ๒ กไ็ มม ี. ในบททั้ง ๒ แมน ้ี ก็นยั น้ีเชน เดียวกัน. กส็ มณะเหลานน้ั ไมมีในลัทธอิ นื่ เพราะเหตุไร. เพราะลทั ธอิ ่ืนนน้ั ไมมเี ขต.ก็เมล็ดผักกาดยอ มไมต้ังอยูใ นปลายเหลก็ แหลม ไฟไมล ุกโพลงในหลงั นํ้า พชืทั้งหลายยอ มไมงอกในแผนหนิ ฉนั ใด สมณะเหลาน้ียอ มไมเกดิ ในลัทธเิ ดยี รถียภายนอก ฉันนั้นเหมือนกัน. ในศาสนานีเ้ ทาน้นั . เพราะเหตุไร. เพราะศาสนานี้มีเขตดี. ก็ความทีล่ ทั ธเิ ดียรถยี ไมมีเขต และความทศี่ าสนาน้มี เี ขตน้นี ้นัพงึ ทราบโดยความไมมี และความมอี ริยมรรค. ดว ยเหตุนั้น พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรัสวา ดูกอ นสภุ ัททะ มรรคมีองคแ ปดอนั ประเสริฐอันบคุ คลไมไ ดใ นธรรมวินัยใดแล แมส มณะก็ไมไดใ นธรรมวนิ ยั นั้น สมณะแมท ่ี ๒ กไ็ มไ ดใ นธรรมวนิ ยั นน้ั สมณะแมท ่ี ๓ ก็ไมไดในธรรมวินัยนั้น สมณะแมที่ ๔ ก็ไมไดใ นธรรมวนิ ยั น้ัน ดูกอนสภุ ัททะ มรรคมีองคแ ปดอนั ประเสรฐิ ยอมไดใ นธรรมวินัยใดแล แมส มณะยอ มไดในธรรมวนิ ยั นนั้ สมณะแมท ่ี ๒ กย็ อมไดใ นธรรมวนิ ัยนัน้ ฯลฯ สมณะแมท ี่ ๔ กย็ อมไดใ นธรรมวินัยนนั้ ดูกอ นสภุ ัททะมรรคมีองคแปดอันประเสริฐยอมไดใ นธรรมวินยั น้ันแล ดูกอ นสุภัททะสมณะมีในศาสนานเี้ ทานน้ั สมณะท่ี ๒ กม็ ีในศาสนาน้ี สมณะที่ ๓ กม็ ีใน

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 18ศาสนาน้ี สมณะที่ ๔ ก็มใี นศาสนาน้ี ลัทธขิ องศาสดาอ่นื สูญจากสมณะผรู ูท่ัวถึง ดังน.้ี เพราะลทั ธิเดยี รถียไ มม เี ขต ศาสนามีเขตอยางนี้ เพราะฉะน้นัไกสรสีหะมแี สงสวา งพราวแพรว เปนพระยาเนือ้ ซ่ึงมีเทา หนา และเทา หลังแดงจัด ยอ มไมอาศัยอยใู นปาชา หรอื กองหยากเยือ่ แตเ ขาไปสหู ิมวนั ตซ งึ่กวางสามพนั โยชน อยูในถาํ้ แกวมณีฉันใด. พระยาชา งฉทั ทันต ยอมไมเกิดในตระกลู ชา ง ๙ มตี ระกูลชางโคจริยะเปน ตน แตเกดิ ในตระกลู ชางฉัททนั ตเทา นนั้ ฉันใด. พระยามา วลาหกไมเกิดในตระกลู ลา หรอื ในตระกลู อูฐ แตเ กิดในตระกลู มา สินธพทฝ่ี ง แมน ้าํ สนิ ธเุ ทาน้นั ฉันใด. มณรี ัตนะอนั นําความพอใจใหส งิ่ ของท่ีประสงคท ุกอยา ง ยอมไมเ กดิ ในกองหยากเยือ่ หรอื ในภูเขา มภี เู ขาดินเปนตน ยอมเกิดในระหวา งภเู ขาวิบุลบรรพตเทา นั้นฉันใด. พระยาปลาตมิ ิรมงิ คละ ยอ มไมเกิดในบอ และสระโบกขรณีเล็ก ๆ ยอ มเกดิ ในมหา-สมทุ รท่ลี ึกได ๘๔,๐๐๐ โยชนเ ทาน้ันฉนั ใด. พระยาครฑุ ใหญ ๑๕๐ โยชนยอ มไมอ าศยั อยูใ นปา มีปา ละหุง เปนตน ทีใ่ กลป ระตบู าน แตบินขา มมหาสมทุ รแลว อาศัยอยใู นสมิ พลทิ หวันเทานน้ั ฉันใด. พระยาหงสทองธตรฏั ฐะ ไมอาศัยอยใู นท่ีท้ังหลาย มีบอ นาํ้ เปน ตน ที่ใกลป ระตูบา น แตม หี งส ๙๐,๐๐๐ ตัวเปนบรวิ าร อาศัยอยูในภเู ขาจิตตกูฏบรรพตเทาน้ันฉนั ใด. และพระเจาจกั ร-พรรดผิ ูเปน ใหญใ นทวีปทัง้ สี่ ยอ มไมเ กิดในตระกูลตํ่า แตย อ มเกดิ ในตระกูลกษตั รยิ ท ีไ่ มเจอื ปนเทานนั้ ฉันใด. ในสมณะเหลาน้ี แมส มณะหน่งึ ก็ไมเกิดในลทั ธิของอญั ญเดียรถยี  แตย อ มเกิดในพระพทุ ธศาสนา ซึง่ แวดลอ มดว ยอริยมรรคเทานัน้ ฉนั นั้นเหมอื นกนั . เพราะเหตนุ ั้น พระผมู พี ระภาคเจา จงึตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย สมณะมใี นศาสนานี้เทา นน้ั ฯลฯ ลัทธิของศาสดาอ่ืนวางเปลา จากสมณะทง้ั หลาย ผรู ทู ัว่ ถึง ดังน้ี.

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 19 บทวา สมฺมา ในบทวา สมฺมา สีหนาท นทถ นนั้ ไดแกโดยเหตุ โดยนยั โดยการณ. บทวา สหี นาท คือ การบนั ลอื ท่ีประเสรฐิท่สี ดุ คือ การบนั ลอื ที่ไมนากลวั การบนั ลอื ท่ไี มติดขัด. ก็เพราะความที่สมณะสีเ่ หลาน้มี อี ยูใ นศาสนานเ้ี ทา นนั้ การบันลือน้ีเปนการบันลอื สงู สดุ ชือ่ วาการบนั ลือท่ปี ระเสรฐิ ที่สุด. การบันลอื ของภกิ ษผุ กู ลาววา สมณะเหลานีม้ ีในศาสนาน้ีเทา น้ัน ชอื่ วา การบนั ลือท่ีไมน า กลวั เพราะภัยหรือความหวาดระแวงจากทอี่ ่นื ไมมี. การบันลอื น้วี า สมณะเหลา นี้มอี ยใู นศาสนาแมของพวกเรา ช่ือวาการบนั ลือไมต ิดขดั เพราะความท่ีบรรดาเจาลัทธทิ ้งั หลายมีปูรณะเปน ตน แมคนหนง่ึ ก็ไมสามารถเพอ่ื จะลกุ ขึ้นกลาวได. ดวยเหตุน้นั ทา นจงึ กลาววา บทวาสีหนาท คือ การบนั ลือที่ประเสริฐทสี่ ดุ คือ การบันลือทไ่ี มนา กลวั การบนั ลือทไ่ี มต ิดขดั ดงั น้ี. บทวา าน โข ปเนต วิชชฺ ติ ความวา ก็การณนแี้ ลมีอย.ู บทวา ย อฺติตฺถิยา คือ พวกอญั ญเดียรถยี  โดยการณใด. อน่งึ . พงึ ทราบตดิ ถะ พงึ ทราบติตถกร พึงทราบเดยี รถีย พึงทราบตดิ ถยิ สาวกในทน่ี ้.ี ทิฏฐิ ๖๒ อยาง ช่ือวา ตติ ถะ. ก็สัตวท ง้ั หลายยอ มขา มยอ มลอยไป ยอ มกระทาํ การผุดขน้ึ ดาํ ลงในทาน้ัน เพราะฉะนนั้ จึงเรยี กวาตติ ถะ แปลวา เปนท่ขี ามของสตั วทงั้ หลาย. ความทใ่ี หท ฏิ ฐเิ หลา นั้น เกดิ ขึ้นช่ือวา ติตถกร แปลวา เจาลัทธ.ิ ผูถอื ลัทธขิ องเจาลัทธิน้ันแลว บวช ชอื่วาเดยี รถยี . ผูใหปจจยั แกเ ดียรถยี เ หลา นั้น พึงทราบวา ตติ ถยิ สาวก แปลวาสาวกของเดยี รถีย. ผูท่ลี ะความผูกพนั ทางฆราวาสแลว ถงึ การบวชชือ่ วาปรพิ าชก. ที่พึ่ง การดาํ รง การบํารงุ ชื่อวา อสั สาสะ เรย่ี วแรง ชือ่ วาพละ. บทวา เยน ตุมเฺ ห ความวา พวกเธอจงกลาวอยางน้ดี ว ยอัสสาสะหรือพละใด. ในบทนว้ี า ทา นผมู ีอายทุ ้งั หลาย ธรรม ๔ ประการ อันพระ-ผูม ีพระภาคเจา พระองคนัน้ ผรู ู ผูเหน็ เปน พระอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 20ตรสั แลว มีอยู ดงั น้ี มเี นือ้ ความโดยยอดังน้ี. พระผมู ีพระภาคเจา พระองคนน้ัใด บําเพญ็ บารมี ๓๐ ทัด กําจดั กเิ ลสทัง้ ปวง ตรสั รูโดยชอบย่งิ ซ่ึงสัมมา-สมั โพธิอนั ยวดยงิ่ พระผมู พี ระภาคเจาพระองคน นั้ ผรู อู าสยานุสยั ของสัตวเหลานั้น ๆ ผูเห็นธรรมที่ควรรทู ง้ั หมด เหมอื นมะขามปอมท่ีวางไวบนฝา มอืฉะนั้น. อนึ่ง ทรงรดู ว ยญาณท้งั หลายมปี ุพเพนิวาสญาณเปน ตน ทรงเห็นดว ยทพิ ยจกั ษ.ุ อนง่ึ ทรงรดู วยวชิ ชา ๓ หรือ อภิญญา ๖ ทรงเหน็ ดวยสมันต-จักษุ อันไมติดขัดในท่ีทัง้ ปวง. ทรงรูดวยปญ ญาอันสามารถทีจ่ ะรธู รรมท้งั ปวงทรงเห็นรูปท้งั หลายที่ลว งจักษวุ ิสัยของสตั วท้งั ปวง หรือทอี่ ยใู นกําแพงเปน ตนดวยมังสจกั ษอุ ันหมดจดยงิ่ ทรงรดู ว ยปฏเิ วธปญญาอนั เปนปทฏั ฐานแหงสมาธิอนั ยง่ิ ประโยชนต นใหสาํ เรจ็ ทรงเหน็ ดว ยเทศนาปญญา อันเปนปทฏั ฐานแหงกรุณา อันยงั ประโยชนคนอนื่ ใหส าํ เร็จ. ชื่อวา เปน พระอรหนั ต เพราะความทกี่ ิเลสอันเปน ขา ศกึ ทั้งหลายทรงละไดแลว และเพราะความท่พี ระองคเ ปนผูสมควรแกป จจยั เปน ตน . ช่ือวา สัมมาสัมพุทธะ เพราะความท่ีสจั จะท้งั หลายอนั พระองคตรสั รแู ลวโดยชอบ และดว ยพระองคเอง. อน่งึ ทรงรธู รรมอนัประกอบดวยอันตรายทง้ั หลาย ทรงเห็นธรรมอันเปน เคร่ืองนําสัตวอ อกจากทกุ ขทง้ั หลาย ช่ือวา เปนพระอรหนั ต เพราะความทีข่ าศกึ คอื กิเลศทงั้ หลายอันพระองคล ะไดแลว ชือ่ วา สมั มาสัมพทุ ธะ เพราะความทีธ่ รรมท้ังปวงอนั พระองคตรสั รแู ลว ดวยพระองคเอง อนั มหาชนชมเชยแลว ดว ยอาการ ๔ดว ยสามารถแหงเวสารชั ชะ ๔ ไดตรสั ธรรม ๔ ดว ยประการฉะนี.้ พวกเราใด เหน็ ธรรมเหลา นใี้ นตน จงกลาวอยางนี้ จงอยากลา วถึงการบาํ รงุ ชว ยเหลอืหรือกาํ ลังกายของพระราชาและราชมหาอาํ มาตยเปน ตน. บทวา สตฺถริปสาโท ไดแกค วามเลอื่ มใสทีเ่ กิดขึ้นแกผูร ะลึกถงึ พุทธคุณโดยนัยมีอาทิวาแมเ พราะเหตนุ ี้ พระผูมพี ระภาคเจาพระองคนน้ั . บทวา ธมเฺ ม ปสาโท

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 21ไดแ ก ความเลอื่ มใสท่เี กิดข้นึ แกผูร ะลึกถงึ โดยนัยมีอาทวิ า พระธรรมอันพระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวดีแลว. บทวา สเี ลสุ ปริปูรการติ า คอื ความเปนผกู ระทาํ บรบิ ูรณในศีลทงั้ หลายอนั พระอริยเจา ใครแ ลว . ศลี หา ช่ือวา อริย-กนั ตศลี จริงอยู พระอริยสาวก แมอยูใ นระหวา งภพ แมเ มอื่ ไมร คู วามทต่ี นเปน พระอริยเจา กไ็ มล วงละเมดิ ศลี หา เหลาน้ัน ถาจะมีใครพึงกลาวกะอริยสาวกนัน้ วา ขอใหท านรับเอาราชสมบตั ขิ องพระเจา จักรพรรดิ ทง้ั สิน้ นแ้ี ลว จงปลงแมลงวนั ตัวเลก็ จากชีวิต ดงั น้.ี ขอที่พระอรยิ สาวกจะพงึ ทาํ ตามคาํ ของผูน ้ันน้นั ไมเปนฐานะจะมไี ด. ศลี ท้ังหลาย เปน ทใ่ี คร คอื เปน ที่รัก เปนที่ชอบใจของพระอริยเจา ท้ังหลายดวยประการฉะน.้ี ทรงหมายถึงศลี เหลานนั้ จงึ ตรัสวาความเปนผทู าํ บรบิ ูรณใ นศลี ทัง้ หลาย ดงั น.ี้ บทวา สหธมมฺ กิ า โข ปนไดแก ผมู ปี กตปิ ระพฤตธิ รรมรวมกัน ๗ พวก นน่ั คอื ภกิ ษุ ภิกษณุ ีสิกขมานา สามเณร สามเณรี อบุ าสก อบุ าสกิ า. จริงอยู ในสหธรรมจารีเหลา นัน้ ภกิ ษุ ชือ่ วา ประพฤติธรรมรว มกับภกิ ษุท้งั หลาย เพราะความเปนผมู สี ิกขาเสมอกนั ภิกษณุ ี กป็ ระพฤติธรรมรวมกับภกิ ษุณีทง้ั หลายเชนเดียวกันฯลฯ อุบาสกิ า ก็ประพฤตธิ รรมรว มกบั อบุ าสกิ าทั้งหลาย พระโสดาบันก็ประพฤตธิ รรมรว มกับพระโสดาบันทัง้ หลาย พระสกทาคามฯี ลฯ พระอนาคามีกพ็ ระพฤติธรรมรว มกบั พระอนาคามที ัง้ หลาย เพราะฉะนั้น สหธรรมจารีเหลานัน้ ท้ังหมดแล เรียกวา สหธัมมิก. อนึ่ง ในท่ีนี้ ทา นประสงคพ ระ-อริยสาวกอยางเดยี ว. เพราะพระอรยิ สาวกเหลา นั้น ไมม ีความวิวาทในการเห็นมรรคแมในระหวา งแหง ภพ เพราะฉะนนั้ พระอรยิ สาวกเหลานนั้ จึงชือ่ วาสหธัมมกิ . เพราะมปี กตพิ ระพฤติธรรมอันเดยี วกนั โดยแท. ทานแสดงความเลอื่ มใสทีเ่ กิดแกผรู ะลกึ ถงึ พระสงฆโ ดยนยั มีอาทวิ า พระสงฆสาวกของพระผมู ีพระภาคเจา เปน ผูปฏิบตั ิดี ดว ยบทนี.้ องคท ้งั หลายแหง พระโสดาบันสี่เปน

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 22อนั ทา นแสดงแลว ดวยประการเพียงนี้. บทวา อเิ ม โข โน อาวุโสความวา ดกู อ นผมู อี ายุ ธรรมส่ีเหลาน้อี นั พระผูมพี ระภาคเจา พระองคน ้ันตรสั วา เปน ความม่ันใจ และเปน กาํ ลังของพวกเรา. พวกเราใด เลง็ เหน็ธรรมเหลาน้ีในตน จงกลาวอยา งน.ี้ ปริพาชกแสดงอางศาสดาท้งั หก มีปรู ณกัสสป เปน ตน ดว ยบทนวี้ า ผูใด เปนศาสดาของพวกเรา. ก็บดั น้ีมคี วามรักอนั อาศยั เรอื นวา อาจารยของพวกเรา อปุ ช ฌายข องพวกเรา ในบคุ คลทั้งหลายมีอาจารยแ ละอปุ ชฌายเ ปนตน ในศาสนา โดยประการใด ปริพาชกกลา ววา ความเลอ่ื มใสในศาสดา หมายถงึ ความรกั เหน็ ปานน้นั . ก็พระเถระกลาววา เพราะพระศาสดาไมใ ชเ ปนของคนเดียว ไมใ ชเ ปน ของสองคน แตเปนพระศาสดาพระองคเดียวเทา นั้น ของโลก พรอมกับเทวโลก เพราะฉะนน้ัเดียรถยี ทง้ั หลายไดแบง ศาสดาออกเปนแผนก ดวยบทเดยี วเทาน้นั วา ศาสดาของพวกเรา เปน อนั พลาดแลว แพแลว ดว ยบทนี้เทยี ว ดงั น.้ี กใ็ นบทวาธมเฺ ม ปสาโท น้ี ปรพิ าชกท้งั หลายสําคญั วา ทฆี นิกายของพวกเรามชั ฌมิ นิกายของพวกเราในศาสนาในบดั นี้ ฉนั ใด ยอ มกลา วหมายถงึ ความรักอันอาศัยเรอื นในปรยิ ตั ธิ รรมของตน ๆ ฉนั น้ัน. บทวา สเี ลสุ คือ ในศีลทง้ั หลาย มีศลี แพะ ศลี โค ศลี แกะ และศีลสนุ ขั เปนตน. ปรพิ าชกทงั้ หลายกลา วหมายถึงความเลื่อมใสวา อธิ ในบทนวี้ า อิธ โน อาวโุ ส ดงั นี้.บทวา โก อธปิ ฺปาโย ไดแก การประกอบขอประสงคอ ะไร. บทวา ยทิทความวา ปริพาชกทัง้ หลายเปน ผูมีธุระเสมอกนั ดาํ รงอยดู ว ยถอยคาํ วา ทา นพงึ กลา วขอ ท่ีกระทาํ ใหต า งกนั ระหวา งของพวกทานและของพวกเรานใ้ี ด ขอ น้ันเปน ความเล่อื มใสในฐานสีแ่ มข องพวกทาน ช่อื ไร กเ็ ปนความเลอื่ มใสในฐานเดียวกนั กับของพวกเราดวยมิใชหรือ พวกทานและพวกเราเปนเชน กับพวกเดียวกนั ดจุ ทองคําที่แตกออกเปน ๒ สว นแลว ฉะนนั้ . ลําดบั นั้น พระผมู ี

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 23พระภาคเจา เม่อื จะทรงทําลายความเปน ผูมธี รุ ะเสมอกันนัน้ ของปริพาชกเหลานน้ั จงึ ตรัสวา เอว วาทิโน ดังน้เี ปน ตน . บรรดาบทเหลาน้ัน บทวาเอกา นฏิ า ความวา พระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา พวกเธอจงถามอยา งนว้ี าความสําเร็จอนั เปนทสี่ ุดแหงความเลอื่ มใสน้ันใด ความสําเรจ็ นนั้ มอี ยา งเดยี วหรอื มมี ากอยา ง. กเ็ พราะชอ่ื ผูบ ญั ญตั คิ วามสาํ เร็จในลทั ธินัน้ ๆไมม ี อสัญญีภพจึงถกู กาํ หนดอยา งนว้ี า กพ็ รหมโลกเปน ของพวกพราหมณ ความสาํ เรจ็ คือความดับมอี ยา งเดียว อาภสั สราเปน ของพวกดาบส สภุ กิณหาเปน ของพวกปร-ิพาชก โดยท่ีสดุ เปน ของพวกอาชวี ก. ก็อรหัต คอื ความสําเรจ็ ในศาสนาน้ี.ก็พวกปรพิ าชกเหลา นั้นทง้ั หมดยอ มกลา ววา อรหตั เทาน้นั คอื ความสําเรจ็ .อนงึ่ ยอ มบญั ญตั ิโลกท้งั หลายมพี รหมโลกเปน ตน ดวยอาํ นาจทฏิ ฐิ เพราะฉะนัน้ จงึ บญั ญตั คิ วามสําเร็จมอี ยา งเดียวเทาน้นั ดว ยอํานาจแหง ลัทธขิ องตน ๆ.พระผมู พี ระภาคเจา เพ่ือทรงแสดงความสาํ เรจ็ นน้ั จงึ ตรัสวา เม่ือจะพยากรณโดยชอบ ดังน้ีเปน ตน. บดั น้ี ครน้ั เมอ่ื ความสาํ เรจ็ ๒ อยา ง คือ ความสาํ เร็จมีอยางเดยี วในศาสนานีส้ าํ หรับภกิ ษทุ ้ังหลายดว ย ความสําเร็จมอี ยา งเดียวสาํ หรับเดยี รถียท้ังหลายดว ย ดํารงอยูเ หมอื นลกู ความทั้งหลายฉะน้นั พระผมู ีพระภาคเจาเมื่อทรงแสดงวตั รแหง การประกอบเนืองๆ จงึ ตรัสวา ดกู อ นผูมีอายทุ ้งั หลาย กค็ วามสาํ เร็จนน้ั เปนของผมู รี าคะ หรอื ของผูปราศจากราคะ ดังนีเ้ ปนตน . ในท่นี ้ีเพราะธรรมดาความสาํ เร็จของผูมกี ิเลสท้งั หลายมีผอู ันราคะยอ มเปน ตน ไมม ีเพราะฉะน้นั จงึ ทรงแสดงพยากรณโดยนยั มีอาทิวา ดูกอ นผูม อี ายทุ ั้งหลาย ความสําเรจ็ น้นั เปนของผปู ราศจากราคะแกเ ดียรถยี ทง้ั หลาย ผูเหน็ โทษนี้วา ผวิ าแมสุนขั บานและสุนัขจงิ้ จอกเปน ตน จะพงึ มไี ซร ก็จะพึงมี ดังน.ี้ บรรดาบทเหลานั้น บทวา วิทฺทสโุ น ไดแ ก บณั ฑิต. บทวา อนุรุทฺธปฏวิ ริ ุทธฺ สสฺ ได

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 24แก ผยู นิ ดดี ว ยราคะผยู ินรายดว ยความโกรธ. ในบทวา ปปฺจารามสฺสปปจฺ รตโิ น นนั้ สตั วทง้ั หลายยอมยินดใี นความเนน่ิ ชาน้นั เพราะฉะนัน้ความเนิ่นชาน้นั จึงชอื่ วา อาราโม เปน ที่มายนิ ดี. ความเนน่ิ ชาเปน ทมี่ ายนิ ดีของบุคคลนัน้ เพราะฉะน้นั บุคคลน้นั จึงช่ือวา ปปฺจาราโม แปลวา ผมู ีความเนิน่ ชา เปน ทม่ี ายนิ ดี. ความยินดใี นความเน่นิ ชา ของบุคคลนนั้ เพราะฉะน้ัน บคุ คลน้นั จงึ ช่ือวา ปปฺจรตี ผูยนิ ดใี นความเน่นิ ชา . บทวา ปปโฺ จน้นั เปนชือ่ ของตณั หาทฏิ ฐแิ ละมานะ อนั เปนไปแลว โดยความเปน อาการของผมู ัวเมาและผูประมาทแลว. กใ็ นทนี่ ี้ ทานประสงคเ ฉพาะตัณหาและทิฏฐิเทาน้นั . กเิ ลสอยา งเดยี วเทานน้ั มาแลว ในฐานะ ๕ วา ของผมู ีราคะเปน ตน พงึทราบอาการและความเปน ตาง ๆ ของกิเลสนนั้ . กท็ า นถอื เอากเิ ลสดวยอาํ นาจราคะท่ีเจอื ดวยกามคณุ หา ในทที่ า นกลาววา สราคสสฺ . ถอื เอากเิ ลสดวยอาํ นาจภวตณั หาในบทวา สตณฺหสสฺ . ถือเอากิเลสดวยอาํ นาจการยึดถือในบทวาสอปุ าทานสสฺ . ถอื เอากเิ ลสดวยอาํ นาจคใู นบทวา อนรุ ทุ ฺธปฏวิ ิรทุ ฺธสสฺ .ถือเอากเิ ลสดว ยอํานาจการแสดงความเกิดขึน้ ของกเิ ลสเคร่อื งเนิน่ ชา ในบทวาปปฺจรามสฺส. อกี อยา งหนึ่ง ถือเอากเิ ลสดวยอํานาจอกศุ ลมูลในบทนวี้ าสราคสสฺ . ถอื เอากิเสสดว ยอาํ นาจอุปาทาน เพราะตัณหาเปน ปจ จยั ใหบทนว้ี าสตณหฺ สสฺ . บทที่เหลือก็เชนกบั บทกอ นน้ันเทยี ว. กพ็ ระเถระกลา ววา ทา นจงกําจัดอยา งนเ้ี พราะเหตไุ ร เพราะโลภตัวเดยี วน้เี ทานั้นกลาววา ราคะ ดวยอํานาจแหงความยินดี ก็ช่ือวา ตณั หา ดวยอํานาจการกระทาํ ความทะยานอยากช่อื วา อปุ าทาน ดว ยอรรถวายดึ ถือ ชือ่ วา ความยนิ ดีและความยินราย ดว ยอํานาจคู ช่อื วา ปปญจะ ดวยอรรถวา เกดิ ขึน้ แหง กิเลสเครอื่ งเน่นิ ชา. บัดน้ีพระผมู ีพระภาคเจาเมือ่ จะทรงแสดงทิฏฐวิ าทะอนั เปนรากเหงาของกิเลสเหลา นี้จึงตรสั วา เทฺวมา ภกิ ขฺ เว ทิฏโิ ย ดังนเี้ ปน ตน. บรรดาบทเหลา น้ัน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 25บทวา ภวทิฏิ ไดแ ก ความเห็นวาเท่ียง. บทวา วภิ วทิฏ ิ ไดแกความเหน็ วา ขาดสูญ. บทวา ภวทฏิ  ิ อลลฺ ีนา ความวา ผแู อบองิ ความเหน็ วา เท่ียงดว ยอาํ นาจตณั หาทฏิ ฐิ. บทวา อุปคตา ความวา เขา ถึงดวยอํานาจตณั หาทฏิ ฐเิ ทยี ว. บทวา อชฺโฌสิตา ความวา ตามเขาไปดวยอาํ นาจตัณหาทิฏฐนิ ้ันเทียว. บทวา วิภวทฏิ ิยา เต ปฏิวริ ทุ ธฺ า ความวา สมณะหรอื พราหมณเ หลานัน้ ทัง้ หมด เปนผูยินรายวา พวกทา นโงเ ขลาพรอ มดว ยผูกลา ววาขาดสญู ไมร วู า โลกน้เี ท่ียง โลกนไ้ี มขาดสูญ ขวนขวายในการทะเลาะเปนนิตยอย.ู แมใ นวาระทสี่ อง ก็นัยนี้เหมอื นกัน. ในบทมวี า สมุทยฺจเปนตน แดนเกดิ ของทิฏฐิทง้ั หลายมีสองอยาง คือ ขณกิ สมทุ ัย ๑ ปจ จยสมุทัย๑. ความเกิดของทิฏฐิท้งั หลาย ชอ่ื วา ขณิกสมทุ ัย ฐานะท่ีตั้งอยไู มไดแหงทฏิ ฐทิ ้ังหลาย ชอื่ วา ปจจยสมุทัย. อยางไร. คือ ขันธก ด็ ี อวิชชากด็ ี ผสั สะกด็ ี สัญญาก็ดี วิตกก็ดี อโยนโิ สมนสิการก็ดี ปาปมิตรกด็ ี เสยี งกึกกองอยางอ่นื ก็ดีจดั เปนทิฏฐิฐานะ. ขนั ธท้ังหลายเปน เหตุ ขนั ธท ้งั หลายเปนปจ จยั แหง ความเกิดข้ึนของทิฏฐิทงั้ หลาย เพราะอรรถวาต้งั ข้นึ พรอ ม. แมข ันธทั้งหลายชื่อวาทิฏฐิฐานะ ดว ยประการฉะนี้. อวิชชา ผสั สะ สัญญา วิตก อโยนโิ สมนสิการปาปมิตร เสียงกึกกอ งฝายอ่นื เปนเหตุเปน ปจ จยั แหงความเกดิ ขน้ึ ของทฏิ ฐิท้งั หลาย เพราะอรรถวา ต้ังขน้ึ พรอม. แมเสียงกกึ กองฝายอนื่ ช่อื วา ทฏิ ฐิฐานะดว ยประการฉะน้ี. แมการต้ังอยูไมไ ดมีสองอยางเทานนั้ คอื ขณกิ ตั ถังคมะ ๑ปจ จยั ตถงั คมะ ๑. ความสิน้ ความเสอื่ ม ความแตก ความสลาย ความไมเที่ยงความหายไป ช่อื วา ขณกิ ตั ถงั คมะ โสดาปตติมรรค ชื่อ ปจ จยั ตถงั คมะ.กโ็ สดาปตติมรรค ทา นกลาววา ทาํ ลายพรอ มซ่ึงทฏิ ฐทิ ั้งหลาย. บทวา อสฺสาทคอื กลา วหมายถึงอานิสงสอันมที ิฏฐิเปนมลู . อธิบายวา พระศาสดาทรงมที ฏิ ฐิใดสาวกทั้งหลายก็เปน ผูม ที ฏิ ฐนิ ้นั สาวกท้งั หลาย ยอ มสักการะ เคารพ นับถือ

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 26บูชายอ มไดพระศาสดาทรงมที ฏิ ฐิใด ทิฏฐินั้นเปน ตน เหตแุ หงจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ. คลิ านปจ จัย เภสัชและบรขิ ารทงั้ หลาย ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย น้ีเปนอานสิ งสท ่ีประกอบดว ยทฏิ ฐธิ รรมแหง ทฏิ ฐ.ิ บทวา อาทนี ว ไดแก อปุ ททวะซึ่งมกี ารยดึ ถอื ทฏิ ฐเิ ปนมูล. อาทีนพนนั้ พึงทราบดวยอํานาจแหง วตั รท้งั หลายมีอาทิวา วัคคลุ วิ ัตร อุกกุฏกิ ปธานะ กณั ฏกาปสสยตา ปญ จาตปตัปปนะมรปุ ปปาตปตนะ เกสมสั สุโลจนะ อัปปาณกฌาน. บทวา นิสฺสรณ ไดแกนพิ พาน ชอื่ วา สลดั ออกซงึ่ ทฏิ ฐิทั้งหลาย. บทวา ยถาภูต นปปฺ ชานนฺติความวา สมณะหรอื พราหมณเ หลา ใด ไมร ูส มุทยั เปนตน นนั้ ท้งั หมด ตามสภาวะ. บทวา น ปริมจุ จฺ นตฺ ิ ทกุ ฺขสฺมา ความวา ไมห ลุดพนจากวฏั ฏทกุ ขท้ังสนิ้ . ดว ยบทนี้ ทรงแสดงวา ชอื่ วา ความสําเร็จของสมณะหรอื พราหมณเหลา นนั้ ไมม .ี บทวา ปริมุจฺจนตฺ ิ ทกุ ฺขสฺมา ความวา ยอมหลดุ พน จากวัฏฏทุกขทั้งส้นิ . ดวยบทน้ี ทรงตง้ั ไวซง่ึ ความสาํ เรจ็ มใี นศาสนาเทานัน้ ดุจทรงตดั สินคดีของลกู ความท้งั สองวา ความสําเรจ็ ของสมณะหรือพราหมณเหลานัน้ มีอยู ดงั น้.ี บัดน้ี พระผมู ีพระภาคเจา เมื่อจะทรงแสดงการตดั ทฏิ ฐิ จึงตรสั วาดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย อปุ าทาน ๔ อยา งเหลาน้ีเปนตน. กถาวา ดวยความพิสดารของอุปาทานเหลานนั้ ไดก ลา วแลวในวิสทุ ธมิ รรคนน้ั เทียว. บทวา สพฺพปู า-ทานปริฺาวาทา ปฏชิ านมานา ความวา ปฏญิ าณอยางนวี้ า เราทั้งหลายยอ มกลาวความรอบรู คอื ความกาวลว งอปุ าทานทกุ อยา ง. บทวา น สมฺมาสพพฺ ูปาทานสฺส ปริฺ ปฺ เปนฺติ ความวา ยอ มไมบ ญั ญตั ิการกาวลวงอุปาทานทุกอยา งโดยชอบ. บางพวกบัญญตั ิความรอบรเู พียงกามปู าทานเทานน้ับางพวกบัญญตั คิ วามรอบรูเพยี งทิฏปุ าทาน บางพวกบัญญตั คิ วามรอบรูแ มเพยี งสีลพั พตูปาทาน. แตผ ชู ือ่ วาบญั ญัติความรอบรูอตั ตวาทูปาทานไมม.ี ก็

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 27เมอื่ จะทรงแสดงการจําแนกอปุ าทานเหลานน้ั จึงตรัสวา บัญญตั ิความรอบรูกามปู าทานดงั นเ้ี ปนตน. ในอปุ าทานเหลา นั้น สมณพราหมณแ มท ้ังหมดบญั ญตั ิความรอบรูกามปู าทานเทา นนั้ . กแ็ มค วามเห็นนอกรีตนอกรอย ๙๖ประการ ก็คือ กามแล อนั บรรพชติ ไมพ งึ เสพ เพราะฉะนน้ั สมณพราหมณจงึ ไมบ ญั ญตั ิวาผเู สพวตั ถุ ยอมควร กระทาํ ใหเ ปนอกัปปย เทา นนั้ แลว จงึบญั ญัติ. กบ็ คุ คลเหลาใดเสพ บุคคลเหลานัน้ เสพโดยไถยจิต. เพราะฉะนน้ัจงึ ตรัสวา ยอมบัญญัตคิ วามรอบรกู ามปู าทาน ดงั นี.้ เพราะสมณพราหมณถอื วาทานทใ่ี หแ ลว ไมมผี ล ดังนเี้ ปนตน เท่ยี วไป ยอมถอื วา ความบริสทุ ธด์ิ ว ยศีล ความบรสิ ทุ ธิด์ ว ยวตั ร ไมใชค วามบริสุทธิ์ดว ยภาวนา ชื่อวาไมสละอัตตุปลทั ธิ เพราะฉะน้นั จงึ ไมบัญญตั ิความรอบรูทิฏูปาทานอตั ตวาทูปา-ทาน. บทวา ต กิสฺส เหตุ ความวา การไมบ ญั ญัตนิ นั้ เปนเหตุไร เเหงอุปาทานเหลาน้นั คือ เพราะเหตไุ ร. บทวา อิมานิ หิ เต โภนโฺ ต ความวา เพราะสมณพราหมณเ หลา นั้น ไมรูการณ ๓ อยา งนต้ี ามสภาวะ. ก็สมณพราหมณเหลา ใด ยอมรูต ามสภาวะในบทนน้ั วา เหตุแหงการบญั ญตั ิความรอบรูสองอยา งคือ ทิฏฐิและสลี พั พตะ น้นั พึงละ ทรงหมายถึงสมณพราหมณเหลาน้นั จงึ ตรัสวาระสองอยา งไวขา งหนา. บรรดาสมณพราหมณเ หลานั้นสมณพราหมณเ หลา ใด ถือวา ทานทใี่ หแลว มผี ล ดงั นเ้ี ปน ตน สมณ-พราหมณเ หลานนั้ ยอ มบัญญัตคิ วามรอบรทู ฎิ ปู าทาน. สว นเหลาใด ถือวาความบรสิ ทุ ธดิ์ วยศีล ความบริสทุ ธิดวยวตั ร ความบริสทุ ธิดวยภาวนา เหลา น้ันยอ มบัญญตั คิ วามรอบรูแมส ีลัพพตูปาทาน. แมแมผ ูหนงึ่ ไมอ าจเพื่อบัญญัติความรอบรอู ัตตวาทูปาทานขา งหนา . กเ็ ดียรถียทัง้ หลายผไู ดส มาบัตแิ ปดก็ดีผูเอามอื ลูบคลําพระจันทรและพระอาทิตยอ ยูก ด็ ี ยอมบญั ญตั ิความรอบรู ๓อยา ง แตไมอาจเพื่อจะเปล้อื งอัตตวาทะได เพราะฉะน้ัน จึงตกอยใู นวัฏฏะ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 28บอย ๆ นัน้ เทียว. ก็เดียรถียเ หลานน้ั กเ็ หมอื นกระตา ยรังเกลยี ดแผนดิน.อุปมาเก่ียวกบั การสนทนาเนอื้ เรอ่ื งในทีน่ ด้ี งั น้.ี ไดย ินวา แผนดนิ กลา วกะกระตายวา แนะกระตาย. กระตา ยพดู วา นน้ั ใคร. แผน ดิน. เจาสําเรจ็อิริยาบถท้งั หมด ถา ยอุจจาระและปส สาวะบนเราเทียว ทําไมจึงไมรเู รากระตาย. ทานเห็นเราดวยดี กท็ อี่ ันเราเหยียบเปน เหมือนทีถ่ ูกตองดว ยปลายนิ้ว น้ําท่ีปลอ ยออกมากม็ ีประมาณนอย กรสี ก็เพียงเมลด็ ตมุ กา แตแ มท ่ีอันชา งและมาเปนตนเหยยี บแลวเปนที่ใหญ แมป สสาวะของสตั วเหลาน้นัประมาณเต็มหมอ อุจจาระก็ประมาณกระเชา เราพอละกบั ทาน จงึ กระโดดไปอยใู นทีอ่ นื่ . แตน ้ันแผน ดินกลาวกะกระตายนนั้ วา โอ ถึงเจา ไปไกล เจากอ็ ยูบนเราแลว มิใชห รือ. กระตา ยน้นั เกลียดแผนดินนน้ั อีก จึงกระโดดไปอยูในที่อ่ืน.กระตายกระโดดแลว กระโดดอีกอยแู มพนั ปอยา งน้ี ก็ไมอาจพนแผนดนิ ไดเดยี รถียท้งั หลายกเ็ หมือนอยา งน้ัน แมบญั ญัติความรอบรูอุปาทานทกุ อยา ง กย็ อ มบัญญตั กิ ารกา วลว งอปุ าทาน ๓ อยา ง มกี ามปู ทานเปนตนเทาน้ัน. แตไ มอ าจเพื่อจะพนอตั ตวาทะได เม่ือไมอ าจจงึ ตกอยใู นวฏั ฏบอย ๆ นนั่ เทีย่ ว. ดว ยประการฉะน้ี เดยี รถียท้งั หลายไมอาจเพื่อกาวลว งอปุ าทานใด พระผูมพี ระภาค-เจาตรสั ถงึ วาทะท่ีตดั ขาดทฏิ ฐิ ดวยอาํ นาจแหงอปุ าทานนัน้ แลว บัดน้ี เมอื่ จะทรงแสดงวาทะอันตัดความเลือ่ มใส จงึ ตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ในธรรมวนิ ัยเหน็ ปานนี้แล ดังนเ้ี ปน ตน. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ธมมฺ วินเยไดแก ในธรรมและวินัย. ทรงแสดงศาสนาซ่ึงไมเ ปน เคร่อื งนําสัตวออกจากทุกข ดวยบทแมทง้ั สอง. บทวา โย สตถฺ ริ ปสาโท โส น สมมฺ คฺคโตความวา ก็ศาสดาในศาสนาท่ีไมเปน เคร่ืองนาํ สัตวออกจากทกุ ข ทาํ กาละแลวเปนสหี ะบา ง เสอื โครง บา ง เสือเหลืองบาง หมบี าง เสือดาวบา ง.สว นสาวกทง้ั หลายของศาสดาน้นั เปนเนื้อบาง สกุ รบาง กระตายบาง. มันไม

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 29ทําความอดทน หรอื ความหวงั ดี หรอื ความเอ็นดวู า สัตวเหลาน้ี เคยเปนอปุ ฏ ฐาก ผูใ หป จ จยั แกเรา ฆา สัตวเ หลาน้นั แลว ดดู เลอื ดบา ง กินเน้ือสนัทั้งหลายบา ง. ก็อกี ประการหนง่ึ ศาสดาเกิดเปน แมว. สาวกท้ังหลายเปนไกหรือหนู. ลาํ ดับนั้น แมวกจ็ ะไมทาํ ความอนเุ คราะหยอมกินไกหรือหนเู หลานั้นโดยนัยกลา วแลวนนั้ เทยี ว. อนึง่ ศาสดาเปน นายนิรยบาล สาวกท้ังหลายเปนสัตวน รก. นายนิรยบาลนัน้ จะไมท าํ ความอนเุ คราะหวา สัตวเ หลานี้ เคยใหปจจัยแกเ รา ยอ มทาํ กรรมกรณตาง ๆ ใสในรถท่รี อ นจัดบาง ใหขน้ึ ภูเขาไฟบาง ทิง้ ศีรษะลงในหมอ โลหะบา ง ประกอบดวยทุกขธรรมหลายอยา งบา ง.กห็ รือสาวกท้ังหลายตายไปเปน สตั วม สี หี ะเปนตน. ศาสดาเปน สัตวอ ยางใดอยา งหนง่ึ มีเน้ือเปน ตน. สตั วเ หลา นัน้ ไมทาํ ความอดทน หรอื ความหวังดีหรือความเอ็นดใู นสัตวน้นั วา เราเคยอุปฏฐากสตั วนีด้ วยปจ จยั สี่ สตั วน ้เี คยเปน ศาสดาของพวกเรา ดงั น้ี ยอมใหถ งึ ความพนิ าศ โดยนัยกลาวแลวนนั้เทยี ว. ในศาสนาทไี่ มเ ปน เคร่ืองนําสัตวออกจากทกุ ขดว ยประการฉะน้ี ความเล่ือมใสในศาสดาใด ความเล่ือมใสน้ันไมไปแลว โดยชอบ แมไปสูก าละอยา งไรแลว จะพนิ าศในภายหลังนน้ั เทยี ว. บทวา โย ธมเฺ ม ปสาโท ความวาก็ธรรมดาความเลอ่ื มใสในธรรม ในศาสนาท่ีไมเ ปน เคร่อื งนําสัตวอ อกจากทุกขเปน ความเลอ่ื มใสในตันติธรรม เพียงเรยี น เลา เรยี น ทรงไวและบอกแลวแตความพน จากวฏั ฏะไมม ใี นความเล่ือมใสน้ัน เพราะฉะนัน้ ความเล่อื มใสในธรรมนัน้ ใด ความเล่ือมใสน้ันรงั แตจ ะทําวัฏฎะใหล ึกบอย ๆ เพราะฉะนนั้เรากลาววา ไมไปแลว โดยชอบ คอื ไมไปแลวโดยสภาวะ. บทวา ยา สเี ลสุปรปิ ูรการิตา ความวา ความกระทาํ ใหบ ริบูรณด วยอาํ นาจแหงศีลทัง้ หลายมศี ีลแพะเปนตน ในศาสนาทีไ่ มนาํ สตั วอ อกจากทุกขแ มใด ความกระทาํ ใหบริบรู ณแมนนั้ ไมย ังใหถงึ ความพน จากวัฏฏะ คือ ความสลดั ออกจากภพ

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 30ได แตเ นอ้ื ถึงพรอ ม ยอมนาํ มาสูก าํ เนดิ เดยี รัจฉาน เม่ือใหผลยอ มนาํ มาสนู รกเพราะฉะนนั้ เราจงึ ไมกลาววาไปแลวโดยชอบ. บทวา ยา สหธมมฺ เิ กสุความวา ก็ในศาสนาอนั ไมเ ปน เครื่องนาํ สตั วอ อกจากทุกข หมสู หธรรมกิ บางพวกทาํ กาละแลว เปน สัตวแ มม สี ีหะเปนตน บางพวกเปนสตั วม ีเนอ้ื เปน ตนในสตั วเหลานนั้ พวกที่เปน สตั วม ีสีหะเปนตน ไมท ํากจิ มีความอดทนเปน ตนในสตั วท ั้งหลายทเ่ี ปนเนอื้ เปนตนวา สัตวเ หลา นี้เปน สหธรรมกิ ของพวกเราดังนแี้ ลว ยงั มหาทุกขใ หเ กิดข้นึ แกส ัตวท ง้ั หลาย มเี น้อื เปนตน เหลานัน้ โดยนัยกลาวแลว ในบทกอนนั้นเทียว เพราะฉะน้นั แมความเปน ท่ีรักและนาพอใจในหมูสหธรรมกิ น้นั เราจงึ กลาววา ไมไ ปแลวโดยชอบ. ก็พระผมู ีพระภาคเจาเมื่อจะทรงแสดงประเภทแหง การณแ มทั้งหมดนร้ี วมกนั จึงตรัสวา ขอนน้ัเพราะเหตอุ ะไร ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย เพราะขอ นน้ั ดงั นีเ้ ปนตน . ความสังเขปในบทนน้ั ดงั นี.้ บทวา ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย เพราะขอ ทเ่ี รากลา ววา ความเลอ่ื มใสในศาสดาใด ไมไปแลวโดยชอบน้ันยอ มเปน อยางนี้ ดงั นี้เปนตน น้ันยอมเปนอยา งน้ี เพราะเหตุอะไร เพราะความเล่อื มใสเปน ตน เหลานนั้ ในธรรมวนิ ยั ท่ศี าสดากลา วชั่วแลว ฯลฯ มใิ ชอ นั ผูรูเ องโดยชอบประกาศไว. ก็ในบทนน้ั บทวา ยถาต เปนนิบาตลงในอรรถเเหงตติยาวภิ ตั ติ. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ทรู กขฺ าเต ไดแก กลาวไวไมด .ี ชือ่ วา ประกาศไมด ีแลว เพราะความที่ธรรมวนิ ยั น้ันกลาวไวไมดนี ้ันเทยี ว. ก็ธรรมวินัยนี้นัน้ยอ มไมเ ปน ไปเพ่ือประโยชนแ กมรรคและผล เพราะฉะนั้น จงึ ชอ่ื วา อนยิ ฺยา-นโิ ก แปลวา ไมเปน เครื่องนําออกจากทุกข. ช่อื วา ไมเปนไปเพอื่ ความสงบเพราะไมเ ปนไปเพือ่ ความสงบกิเลสทั้งหลายมีราคะเปนตน . ชอ่ื วา ไมใชอันผูรูเองโดยชอบประกาศไว เพราะอนั ผรู เู องโดยชอบ คอื สัพพัญู ไมประ-กาศไว. ในธรรมวนิ ยั นน้ั มใิ ชส ภาพนําออกจากทุกข ไมเ ปนไปเพ่อื ความ

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 31สงบ มใิ ชอ ันผูรเู องโดยชอบประกาศไว. พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงวาความเลื่อมใสในเดยี รถยี ท ้งั หลายไรป ระโยชน ดุจความเล่ือมใสในสนุ ัขจง้ิ จอกดมื่ สรุ าฉะนั้น ดวยประการฉะน้ี. ไดยนิ วา สนุ ขั จ้ิงจอก ตาบอดขางเดยี วตัวหน่ึงเขาสนู ครในกลางคนืกนิ สาสุราแลว นอนหลบั ในปาบนุ นาค ต่ืนขน้ึ ในเม่อื พระอาทติ ยข ้ึนแลว คิดวาเราไมอาจไปในเวลานไี้ ด สตั วท ีเ่ ปนเวรกบั เรามีมาก สมควรหลอกลวงคนหนึ่งดังน้.ี สนุ ัขจง้ิ จอกนนั้ เหน็ พราหมณผหู นงึ่ เดนิ ไป จึงคิดวาเราจักหลอกลวงพราหมณน้ี แลวกลา ววา ดกู อนทา นพราหมณ. พราหมณพ ูดวา น่นั ใครเรยี กพราหมณ. สนุ ขั จิ้งจอกตอบวา เรา นาย ทานจงมานี้กอ น. พราหมณ.อะไรนาย. สนุ ัขจง้ิ จอก. ทา นจงนําเราไปนอกบา น เราจักใหก หาปณะสองรอ ยแกท า น. พราหมณน ้ันพดู วา เราจกั นําไป แลว จับทเี่ ทาท้ังหลาย. สนุ ัขจ้งิ จอกพูดวา แนะพราหมณโ ง เราไมม ีกหาปณะทอดทง้ิ ไว กหาปณะเปนของหาไดย าก เจา จงจับเราดี ๆ. พราหมณ. เราจะจับอยา งไร นาย. สนุ ขัจงิ้ จอก. ทา นจงเอาผา หมสพายเราแลวจบั . พราหมณจบั สุนขั จ้ิงจอกอยา งนั้นแลวไปสูสถานใกลที่ประตทู างทศิ ใต แลว ถามวา เราจักปลอ ยในทีน่ ี.้ สุนัขจิ้งจอก. นั่นทไ่ี หน. พราหมณ. น่นั ประตใู หญ. สนุ ขั จง้ิ จอก. เอยพราหมณโ ง ญาติของทา นเก็บกหาปณะไวใ นภายในประตหู รอื จงนาํ เราไปท่ีอน่ื . พราหมณนั้นบอ ย ๆ ไปพลางถามวา เราจักปลอยท่นี ้ี ๆ ถกู สนุ ขั จิ้งจอกคกุ คามแลว บอกวา ทา นจงไปทีป่ ลอดภัยแลว ปลอยในที่นนั้ ดงั นแ้ี ลว ปลอยไป ถือผาสาฎก. กาณสิงคาลกลา ววา เราไดพดู ไวว า เราจกั ใหก หาปณะสองรอยแกทาน แตเ รามกี หาปณะมาก ไมใ ชม ีเพียงสองรอยกหาปณะเทา นั้นทา นจงยืนดพู ระอาทิตยจ นกวา เราจะนํากหาปณะทัง้ หลายมาใหทา นแลวคอ ย ๆไป กลับมาพดู กะพราหมณอกี วา ทา นพราหมณ ทา นอยา มองดแู ตท่ีน้ี

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 32จงยืนมองดูพระอาทติ ยอ ยางเดยี ว. ก็แลสุนัขจิ้งจอก ครั้นพูดอยา งนีแ้ ลว ก็เขาไปสูปา การะเกต หนไี ปตามชอบใจ. ฝา ยพราหมณมองดูพระอาทติ ยนั้นเทยี ว จนเหง่ือไหลออกจากหนาผาก เเละรกั แร. ลําดับน้ัน รกุ ขเทวดาไดกลา วกะพราหมณนน้ั วา ดกู อ นพราหมณ ทา นเช่อื สุนขั จ้ิงจอก ดม่ื สรุ า สุนขั จ้ิงจอกทง้ั รอยไมมศี ิลปะ กหาปณะตั้งสองรอยจะมีแตท ีไ่ หน. ดวยประการฉะน้ี ความเลอ่ื มใสในกาณสิงคาล ไรป ระโยชน ฉันใดความปติอยางดีในเดยี รถีย กไ็ รป ระโยชนฉนั น้นั . พระผูมีพระภาคเจาครนั้ ทรงแสดงความทค่ี วามเล่อื มใสในศาสนาท่ไี มเปน เคร่อื งนาํ ออกจากทุกข เปนส่ิงไรป ระโยชนแ ลว เพ่อื ทรงแสดงความที่เลื่อมใสน้ันในศาสนาท่เี ปน เคร่อื งนําออกจากทกุ ขวา เปน สงิ่ มีประโยชน จงึตรสั วา ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ก็ตถาคตแล ดังนีเ้ ปน ตน. บรรดาบทเหลา นนั้บทวา กามูปาทานสฺส ปริฺ ปฺ าเปติ ความวา ทรงบญั ญัติความรอบรูในการละ คอื การกาวลว งกามูปาทาน ดวยอรหัตตมรรค ทรงบัญญตั ิความรอบรอู ุปทาน ๓ อยางนอกน้ี ดวยโสดาปต ติมรรค. บทวา เอวรเู ปโข ภิกฺขเว ธมมฺ วนิ เย ความวา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ในธรรมและวินัยเหน็ ปานนี้ ทรงแสดงศาสนาทีเ่ ปน เคร่อื งนําออกจากทุกขด ว ยบทแมท ัง้ สอง.บทวา สตถฺ ริ ปสาโท ความวา ในศาสนาเห็นปานน้ี ความเล่อื มใสในพระศาสดาใด ความเลือ่ มใสน้ัน เรากลา ววา ไปแลว โดยชอบ คือ ยอ มเปนไปเพ่ือสลัดออกจากทกุ ขในภพ. ในขอ นั้นมเี ร่ืองเหลาน.้ี

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 33 ไดย ินวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงอาศยั อยูในถาํ้ อินทศาล ณ เวทิสสกบรรพต. ครง้ั น้นั นกฮกู ตวั หน่ึง ครั้นเมือ่ พระผมู พี ระภาคเจาเสดจ็ เขา ไปสูบ านเพ่ือบิณฑบาต ก็บินตามไดค ร่งึ ทาง ครั้นพระผมู พี ระภาคเจา เสด็จออกมา กท็ ําการตอนรับครึง่ ทาง. ในวันหน่งึ นกฮูกนน้ั ลงจากภเู ขาไหวพ ระสัมมาสัมพทุ ธเจาซึง่ มีพระภกิ ษุสงฆแ วดลอมประทบั นง่ั ในเวลาเย็น โดยปอ งปก ประคองอัญชลีทําศีรษะใหต่าํ ลง ยืนนมัสการพระทศพลอยู. พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแลดนู กฮูกนั้นแลว ทรงกระทําการยิม้ แยม. พระอานนทเถระทูลถามวา ขา แตพระองคผเู จริญ อะไรหนอแล เปนเหตุ อะไรเปนปจ จยั แหง การทรงยิ้มแยม ใหปรากฏ.พระผูมพี ระภาคเจาตรัสวา ดกู อนอานนท เธอจงดนู กฮกู นี้ นกฮกู นยี้ ังจติ ใหเล่อื มใสในเราและในพระภกิ ษสุ งฆแลวทองเทยี่ วในเทวดาและมนุษยท้ังหลายตลอดแสนกปั จักเปนพระปจ เจกพุทธเจานามวาโสมนสั ดงั นี้แลว จงึ ตรสัพระคาถาวา ดกู อนนกฮูกตากลม อยูเปนเวลายาว นานในภเู ขาเวทสิ สกะ เจานกฮูก เจามี ความสขุ แลว เจา นัน้ เหน็ พระพทุ ธเจา ผู ประเสริฐผูลุกข้ึนตามกาล ยังจิตใหเ ลือ่ มใส ในเรา และในพระภกิ ษุสงฆอ นั ยอดเยย่ี ม จะไมไปสูทุคติตลอดแสนกัป ครัน้ เคล่อื น จากเทวโลกแลว อันกศุ ลมลู ตกั เตอื นแลว จกั เปน พระปจ เจกพทุ ธเจา ผมู ญี าณอันหาท่ี สุดมิไดป รากฏนามวา โสมนัส.

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 34 กเ็ ร่ืองทั้งหลายมีเร่ืองสุมนมาลาการ ในนครราชคฤห เรอ่ื งมหาเภรวิ าทกะ เรื่องโมรชาดก เรอื่ งวีณาวาทะ เรอ่ื งสังขธมกะ ดงั นี้เปนตนแมอืน่ ๆ พึงใหพสิ ดารในเร่ืองน้ัน. ความเลือ่ มใสในพระศาสดาในศาสนาที่เปนเครอ่ื งนาํ ออกจากทุกข เปนอนั ไปแลว โดยชอบ ดวยประการฉะนี้. บทวา ธมเฺ ม ปสาโท ความวา ความเลอ่ื มใสในธรรม ในศาสนาที่เปนเครอื่ งนาํ ออกจากทกุ ข เปนอนั ไปแลว โดยชอบ ความเลอ่ื มใสนน้ั ยอมใหส มบัตแิ มแ กด ริ จั ฉานทง้ั หลายท่ีถอื นมิ ติ ในสักวา เสยี ง ฟงอยู. เนอื้ ความน้ีพงึ ทราบดว ยอํานาจแหง เรือ่ งของมณั ฑูกเทวบุตรเปนตน . บทวา สเี ลสุ ปริปรู การิตา ความวา แมความกระทาํ ใหบ ริบูรณใ นศีล ในศาสนาท่ีเปนเครื่องนาํ ออกจากทุกข เปน อันไปแลว โดยชอบ คือ ยอมนํามาซงึ่ สวรรคส มบตั ิและโมกขสมบตั .ิ ในที่นัน้ พึงแสดงเรือ่ งทง้ั หลายมีเรอื่ งฉตั ตมาณวกะ และเรื่องสามเณรเปน ตน. บทวา สหธมมฺ เิ กสุ ความวา แมค วามเปน ทีร่ กั และนา พอใจในหมูส หธรรมิก ในศาสนาท่เี ปนเครือ่ งนาํ ออกจากทุกข เปนอันไปแลว โดยชอบ คือ ยอ มนํามาซึง่ มหาสมบตั ิ. เน้อื ความนี้พงึ แสดงดว ยเรือ่ งวมิ านเปรตท้ังหลาย กท็ า นไดกลา วคาํ น้ันไวว า เราไดใหน้ํานมแกภ กิ ษุผเู ท่ยี วบิณฑบาต เราใหน ้ําออย ฯลฯ ลําออย มะพลบั แตง ฟก ทอง วัลลิปกกะหัตถปตากะ กําผัก ขาวเมา เผอื ก กําสะเดา น้าํ สม ขนมทอด ประคตเอวผา องั สะ ผา สําหรับทําความเพยี ร การพูด พดั ใบตาล โมรหัตถ รม รองเทา ขนม กอนขนม เคร่อื งผูก แกภกิ ษุผูเที่ยวบิณฑบาต ทา นจงดูวมิ านของเรานัน้ เรามีนางฟาผูมวี รรณนาใคร ดังนี้ คาํ วา ต กสิ ฺส เหตุ เปน ตนพึงทราบประกอบโดยแนวแหงนยั ทกี่ ลาวแลว เถดิ . บัดนี้ พระผูม ีพระภาคเจา เพ่อื ทรงแสดงปจจัยแหง อปุ าทานทัง้ หลายท่เี ดียรถียทง้ั หลายไมบ ญั ญตั คิ วามรอบรูโดยชอบ ตถาคตทรงบัญญตั ิ จึงตรัส

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 35วา อเิ ม จ ภกิ ฺขเว เปนตน. คําทั้งหลายมีนิทานเปน ตน ในบททง้ั หลายมวี า กนึ ิทานา เปน ตน ในบทนั้น. ทั้งหมดเทียวเปน ไวพจนของการณ จริงอยูการณย อ มมอบใหซึ่งผล เหมือนสง ใหวา เอาเถอะ ทานท้ังหลายจงถือเอาผลน้นัเพราะฉะนัน้ จึงเรียกวานิทาน. เพราะนิทานนนั้ ยอ มเกดิ ต้ังขนึ้ ผลิตออกจากการณนั้น เพราะฉะนั้น จงึ เรยี กวา สมทุ ัย ชาติ ปภวะ. กเ็ นือ้ ความแหง บทในท่นี ี้ ดังนี.้ อะไรเปนตน เหตแุ หงอปุ าทานเหลา นั้น เพราะฉะน้ัน อปุ าทานเหลานน้ั มีอะไรเปน ตน เหตุ. อะไรเปน เหตเุ กิดแหง อุปาทานเหลา นั้น เพราะฉะน้นั อปุ าทานเหลาน้ัน มีอะไรเปนเหตุเกดิ . อะไรเปนกาํ เนิดของอุปทานเหลาน้ัน เพราะฉะน้นั อุปาทานเหลาน้นั มอี ะไรเปน กําเนิด. อะไรเปน แดนเกดิ ของอุปทานเหลานน้ั เพราะฉะนน้ั อุปทานเหลานน้ั มีอะไรเปนแดนเกดิ .ก็เพราะตัณหาเปนตน เหตุ เปนเหตุเกดิ เปน กาํ เนดิ และเปน แดนเกิดของอปุ า-ทานเหลา นั้น โดยเนื้อความตามท่กี ลาวแลว เพราะฉะน้นั จึงตรัสวา มีตณั หาเปน ตนเหตุ ดงั นเี้ ปน ตน . พงึ ทราบเนอื้ ความในบททง้ั ปวงอยางน้ี ก็.เพราะพระผูมีพระภาคเจา ทรงรูป จจยั แหงอปุ าทานอยางเดียวเทา นั้น หามไิ ดยอมทรงรถู ึงปจ จยั ของตัณหาซงึ่ เปน ปจจัยแหง อปุ าทานดวย ของธรรมท้งั หลายมเี วทนาเปน ตน ซ่งึ มตี ัณหาเปน ตน เปนปจจัยดวย เพราะฉะน้นั จงึ ตรสั วาดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ก็ตณั หาน้ี ดงั นีเ้ ปน อาทิ. บทวา ยโต จ โข ไดแ กในกาลใด. บทวา อวชิ ฺชา ปหนี า โหติ ความวา อวชิ ชาซง่ึ เปนรากเหงา ของวัฏฏะ เปนอนั ละเเลว ดว ยอนุปปาทนโิ รธ. บทวา วิชชฺ า อปุ ปฺ นนฺ าไดแก วิชชาคอื อรหตั มรรคเกดิ ขึ้นแลว . บทวา โส อวิชชฺ าวริ าคา วชิ ฺชุปปฺ าทา ความวา ภิกษนุ น้ั เพราะความที่อวิชชาละไดแลว และเพราะความท่วี ิชชาเกิดขน้ึ แลว ยอมไมถือมน่ั กามปู าทาน บทวา เนว กามปู าทานอปุ าทยิ ติ ความวายอมไมถอื มั่น คือ ไมเ ขาสูกามูปาทาน ยอ มไมถือม่นั

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 36ยอมไมเ ขา สูอปุ าทานท้ังหลายทเ่ี หลือ. บทวา อนปุ าทิย น ปริตสสฺ ติความวา เมื่อไมถ อื ม่ันอุปาทานไรๆ อยา งนี้ เชือ่ วาไมสะดุง ดว ยความสะดงุคือตณั หา. บทวา อปริตสฺส ไดแ กเมือ่ ไมสะดงุ คอื ไมยังตัณหาใหเ กิดขน้ึ .บทวา ปจจฺ ตฺต เยว ปรนิ ิพพฺ ายติ ความวา ยอมปรินิพพานดว ยการดบักิเลส เฉพาะตนนน่ั เทยี ว ดงั น้.ี พระผูม พี ระภาคเจา ครัน้ ทรงแสดงความสน้ิ ไปแหง อาสวะแกภ ิกษนุ น้ัอยางนแี้ ลว บดั น้ี เม่อื จะทรงแสดงปจ จเวกขณะญาณแกภกิ ษุผมู ีอาสวะส้ินแลวจงึ ตรัสวา ชาติส้นิ แลว ดงั นีเ้ ปน ตน . บททีเ่ หลือมีเนอ้ื ความดังกลาวแลวแล. จบอรรถกถาจุลลสีหนาทสูตรท่ี ๑

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 37 ๒. มหาสีหนาทสูตร [๑๕๙] ขา พเจา ไดสดับมาอยา งนี้:- สมัยหนึ่ง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ ราวปาดานตะวนั ตกนอกพระนครเขตพระนครเวสาล.ี กโ็ ดยยสมยั นั้นแล สนุ ักขัตตลจิ ฉวบี ุตรเปน ผูห ลีกไปแลวจากธรรมวินัยนี้ไมนาน. ไดก ลา ววาจาในบรษิ ทั ณ เมืองเวสาลีอยา งนี้วา ธรรมอันยงิ่ ของมนษุ ยท เี่ ปนญาณทสั สนะอนั วิเศษ พอแกค วามเปนอริยะของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมทป่ี ระมวลดวยความตรึก ทีไ่ ตรต รองดวยการคนคดิ แจม แจง ไดเ อง แตธรรมที่พระองคทรงแสดงเพอ่ื ประโยชนอ ะไร ธรรมน้ันยอมดง่ิ ไปเพอื่ ความสน้ิ ทุกขโดยชอบแหงบคุ คลผทู าํ ตาม. [๑๖๐] คร้งั นัน้ แล ทา นพระสารีบุตร เวลาเชา นุงแลว ถือบาตรและจวี รเขาไปในเมอื งเวสาลี เพ่อื บณิ ฑบาต. ไดสดบั ขา ววา สุนกั ขัตตลจิ ฉวี-บตุ รไดกลา ววาจาในบรษิ ัท ณ เมืองเวสาลีอยา งนีว้ า ธรรมอันยงิ่ ของมนษุ ยท่ีเปนญาณทัสสนะอนั วเิ ศษ พอแกค วามเปน อริยะ ของพระสมณโคดมไมมีพระสมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลมาดวยความตรึก ท่ไี ตรตรองดว ยการคน คดิ แจม แจง ไดเ อง แตธรรมทีพ่ ระองคท รงแสดงเพ่ือประโยชนใด ธรรมนนั้ยอ มด่ิงไป เพ่อื ความสนิ้ ทกุ ขโดยชอบแหง บุคคลผทู าํ ตาม. ลําดบั นน้ั ทานพระ-สารบี ตุ รเท่ยี วไปในเมอื งเวสาลี เพือ่ บณิ ฑบาตแลว กลับจากบิณฑบาตในเวลาปจฉาภตั จึงเขาไปเฝาพระผูมพี ระภาคเจา ถึงท่ปี ระทับ ถวายอภิวาทแลว น่ัง ณทคี่ วรสว นขางหน่ึง ครัน้ แลว ไดกราบทูลพระผูม ีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผูเจริญ สนุ กั ขตั ตลจิ ฉวีบุตรเปนผหู ลีกไปแลวจากธรรมวินยั น้ไี มนาน ไดกลาว

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 38วาจาในบรษิ ทั ณ เมืองเวสาลวี าธรรมอนั ยิง่ ของมนษุ ย ที่เปน ญาณทสั สนะอนัวเิ ศษ พอแกค วามเปนอริยะ ของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมทป่ี ระมวลมาดว ยความตรึกท่ไี ตรต รองดวยการคนคิด แจมแจงไดเอง แตธ รรมท่พี ระองคท รงแสดงเพื่อประโยชนใ ด ธรรมนน้ั ยอมด่งิ ไปเพ่ือความสิ้นทุกขโดยชอบแหงบคุ คลผูทาํ ตาม. [๑๖๑] พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา ดกู อนสารีบุตร สุนกั ขัตตลจิ ฉวีบตุ รเปน บุรษุ เปลามกั โกรธ และวาจาทเี่ ธอกลาวน้ัน ก็เพราะโกรธ ดูกอ นสารบี ุตร สนุ กั ขัตตะน้นั เปนบุรุษเปลา คดิ วาเราจักพดู ติเตยี นแตก ลาวสรรเสริญคณุ ของตถาคต แทจ รงิ ขอนเ้ี ปน คุณของพระตถาคต ทบ่ี ุคคลใดกลาวอยางน้ีวาธรรมอันพระตถาคตแสดงเพอื่ ประโยชนแ กบ ุคคลใด เปนทางส้ินทกุ ขโดยชอบแหงบคุ คลผทู าํ ตามดังนี้. [๑๖๒] ดกู อ นสารีบตุ ร ก็การทส่ี นุ กั ขตั ตะผเู ปน บุรษุ เปลา กลา วสรรเสริญน้จี กั ไมเ ปนความรโู ดยธรรม ในเราวา แมเพราะเหตุน้ี พระผูมีพระภาคเจา พระองคนัน้ เปนพระอรหันต ผตู รัสรูเองโดยชอบ ถึงพรอมดว ยวิชชาและจรณะเสด็จไปดแี ลว ทรงรแู จง โลก เปน สารถีฝกบรุ ุษท่คี วรฝก ไมมีผูอ น่ื ยงิ่ กวา เปน ศาสดาของเทวดาและมนุษยท ้งั หลาย เปนผเู บิกบานแลว เปนผจู าํ แนกธรรม ดังน้ี. [๑๖๓] ดูกอนสารบี ตุ ร ก็การที่สุนกั ขัตตะผเู ปน บรุ ุษเปลา กลา วสรรเสรญิ นี้ จกั ไมเปนความรูโดยธรรมในเราวา เเมเพราะเหตุน้ี พระผมู ีพระผมู ีพระภาคเขาพระองคน ้นั ทรงบรรลุอิทธิวธิ หี ลายประการคือคนเดยี วเปนหลายคนก็ได หลายคนเปนคนเดยี วก็ได ทาํ ใหป รากฏกไ็ ด ทําใหห ายไปกไ็ ดทะลฝุ า กาํ แพง ภูเขาไปไดไ มติดขดั เหมอื นไปในท่ีวา งก็ได ผดุ ข้นึ ดําลง

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 39แมในแผน ดินเหมอื นในน้ํากไ็ ดเดินบนน้าํ ไมแตกเหมือนเดนิ บนแผนดินกไ็ ดเหาะไปในอากาศเหมอื นนกก็ได ลูบคลาํ พระจนั ทร พระอาทิตย ซ่ึงมีฤทธม์ิ ีอานภุ าพมากดวยฝามือกไ็ ด ใชอํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได. [๑๖๔] ดกู อ นสารีบตุ ร ก็การที่สนุ ักขตั ตะผูเ ปน บรุ ษุ เปลา กลา วสรรเสริญนจ้ี ักไมเ ปนความรโู ดยธรรมในเราวา แมเ พราะเหตนุ ี้ พระผูม ีพระ-ภาคเจา พระองคน ั้นยอ มทรงสดบั เสียง ๒ ชนดิ คอื เสยี งทพิ ยแ ละเสียงมนษุ ยท้ังที่อยูไ กลและใกลดวยทิพยโสตอนั บริสุทธิ์ ลว งโสตของมนุษย. แสดงพทุ ธคณุ เปนเอกเทศ [๑๖๕] ดูกอนสารบี ุตร กก็ ารที่สุนกั ขตั ตะผูเปนบรุ ุษเปลากลาวสรรเสริญน้จี ักไมเปน ความรูโดยธรรมในเราวา แมเ พราะเหตุนี้ พระผมู ีพระ-ภาคเจาพระองคน ้นั ยอ มทรงกําหนดรูใจของสตั วอ ื่นของบุคคลอื่นดว ยใจ คือจิตมรี าคะ ก็รูวา จติ มรี าคะ หรอื จติ ปราศจากราคะ กร็ ูวาจติ ปราศจากราคะ.จิตมโี ทสะ ก็รูว า จติ มโี ทสะ หรือจติ ปราศจากโทสะ กร็ วู า จติ ปราศจากโทสะ.จิตมโี มหะ ก็รวู าจติ มีโมหะ หรือจติ ปราศจากโมหะ. กร็ วู า จติ ปราศจากโมหะ.จิตหดหู ก็รวู าจิตมีโมหะ หรอื จติ ปราศจากโมหะ กร็ วู า จิตปราศจากโมหะ.กร็ วู า จติ เปน มหรคต หรือจิตไมเปน มหรคต ก็รูวา จิตไมเ ปน มหรคต. จติ มีจิตอ่ืนยิ่งกวา ก็รวู าจติ มจี ติ อน่ื ย่ิงกวา หรือจิตไมมจี ิตอ่ืนยง่ิ กวา กร็ วู า จิตไมมีจิตอนื่ ย่งิ กวา . จติ เปนสมาธิกร็ ูวา จติ เปน สมาธิ หรอื จิตไมเ ปน สมาธกิ ร็ วู า จติ ไมเปน สมาธ.ิ จติ หลดุ พน ก็รูว าจิตหลุดพน หรือจิตไมหลดุ พน ก็รูวา จติ ไมหลุดพน.

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 40 กาํ ลังของตถาคต [๑๖๖] ดกู อ นสารบี ตุ ร ตถาคตประกอบดว ยกาํ ลงั เหลาใด ยอ มปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปนโจก ยอมบันลอื สีหนาทในบรษิ ัทยังพรหมจกั รใหเ ปนไป. กําลังเหลา น้นั ของตถาคต ๑๐ ประการเหลา นแ้ี ล. ๑๐ ประการเปน ไฉน.ดูกอ นสารีบตุ ร ตถาคตยอมรูฐ านะในโลกน้โี ดยเปน ฐานะ และรเู หตุมใิ ชฐานะโดยเปน เหตมุ ิใชฐ านะตามความเปน จรงิ . ดกู อนสารีบุตร ขอท่ตี ถาคตรฐู านะโดยเปนฐานะ และรูเหตุมใิ ชฐ านะโดยเปน เหตมุ ิใชฐานะ ตามความเปนจรงิ น้ี เปนกําลังของตถาคตประการหน่ึง ซึง่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหง ผูเปนโจก บันลือสหี นาทในบรษิ ัท ยงั พรหมจกั รใหเ ปนไป. ดกู อนสารีบตุ ร อกี ประการหน่งึ ตถาคตยอมรูว บิ ากของกรรมสมาทานที่เปน อดีต อนาคต และปจ จุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเปนจรงิ .ดูกอนสารีบตุ ร ขอที่ตถาคตรูว ิบากของกรรมสมาทานที่เปนอดีต อนาคตปจ จุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเปนจริงนีเ้ ปน กาํ ลังของตถาคตประการหนึง่ ซงึ่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปนโจก บนั ลอื สหี นาทในบรษิ ทั ยังพรหมจักรใหเ ปน ไป. ดกู อ นสารีบุตร อกี ประการหน่ึง ตถาคตยอมรูชดั ซ่งึ ปฏิปทาอนั จะยังสตั วใหไปสภู มู ทิ ้งั ปวง ตามความเปนจริง. ดกู อนสารีบตุ ร ขอที่ตถาคตรชู ดัซง่ึ ปฏปิ าทาอนั จะยงั สตั วใหไปสูภูมิท้ังปวง ตามความเปนจรงิ นี้ เปน กาํ ลงั ของตถาคตประการหนง่ึ ซงึ่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏิญาณฐานะแหงผูเปน โจก บันลือสหี นาทในบริษัท ยังพรหมจักรใหเปน ไป.

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 41 ดูกอนสารีบตุ ร อกี ประการหนง่ึ ตถาคตยอ มรชู ดั ซง่ึ โลก มีธาตมุ ใิ ชอยางเดยี ว และมธี าตุตาง ๆ ตามความเปนจรงิ . ดกู อ นสารบี ตุ ร ขอ ท่ีตถาคตรชู ัดซึ่งโลกมีธาตุมใิ ชอยางเดียว และมีธาตตุ า ง ๆ ตามความเปน จริงนี้ เปนกาํ ลังของตถาคตประการหนึ่ง ซ่งึ ตถาคตอาศยั แลว ปฏิญาณฐานะแหง ผเู ปนโจก บนั ลอื สีหนาทในบรษิ ัท ยังพรหมจกั รใหเปนไป. ดูกอ นสารีบตุ ร อกี ประการหน่งึ ตถาคตยอ มรูช ัดซ่งึ ความทส่ี ตั วม ีอธมิ ตุ ตติ าง ๆ กนั ดูกอ นสารีบตุ ร ขอ ทต่ี ถาคตรูชดั ซึง่ ความที่สตั วมีอธิมตุ ติตา ง ๆ กัน ตามความเปนจรงิ น้ี เปน กาํ ลังของตถาคตประการหนึ่ง ซึ่งตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหง ผเู ปนโจก บันลอื สหี นาทในบรษิ ัท ยังพรหม-จักรใหเปนไป. ดูกอนสารีบุตร อีกประการหน่ึง ตถาคตยอ มรูชดั ซึ่งความทส่ี ตั วและบุคคลทัง้ หลายอน่ื มอี ินทรียหยอ นและย่งิ ตามความเปนจรงิ . ดูกอนสารีบตุ รขอ ทต่ี ถาคตรูชดั ความที่สัตวและบุคคลทัง้ หลายอืน่ มอี นิ ทรียหยอนและยง่ิ ตามความเปน จรงิ นี้ เปนกําลงั ของตถาคตประการหนึง่ ซ่ึงตถาคตอาศยั แลว ปฏิญาณฐานะแหง ผเู ปนโจก บันลอื สีหนาทในบริษัท ยงั พรหมจักรใหเปนไป. ดูกอ นสารีบตุ ร อีกประการหนงึ่ ตถาคตยอมรูชัดซึ่งความเศราหมองความผอ งแผว และความออกแหง ฌาณ วโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ิทั้งหลายตามความเปน จรงิ . ดกู อนสารีบุตร ขอท่ตี ถาคตรชู ดั ซ่ึงความเศรา หมอง ความผอ งแผว และความออกแหงฌาณ วโิ มกข สมาธิ และสมาบัติทงั้ หลาย ตามความเปนจริงน้ี เปนกาํ ลงั ของตถาคตประการหนง่ึ ซึง่ ตถาคตอาศัยแลวปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปน โจก บันลอื สหี นาทในบริษทั ยงั พรหมจักรใหเปนไป.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 42 ดูกอ นสารีบตุ ร อกี ประประการหนงึ่ ตถาคตยอมระลึกถงึ ชาตกิ อ นไดเปน อันมาก คือ ระลกึ ไดช าตหิ น่ึงบา ง สองชาติบา ง สามชาติบา ง ส่ชี าติบาง หาชาตบิ าง สิบชาติบาง ยสี่ บิ ชาตบิ าง สามสบิ ชาติบาง ส่ีสบิ ชาตบิ างหาสิบชาติบาง รอ ยชาติบา ง พันชาตบิ าง แสนชาติบาง ตลอดสังวฏั กัปเปนอนั มากบา ง ตลอดวิวฏั กปั เปน อนั มากบาง ตลอดสงั วัฏววิ ฎั กัปเปน มากบางวาในภพโนน เรามีชื่ออยา งนัน้ มีโคตรอยางน้นั มผี วิ พรรณอยา งนัน้ มอี าหารอยา งนน้ั มีอาหารอยา งนั้น เสวยสขุ เสวยทกุ ขอ ยา งน้นั ๆ มีกําหนดอายุเพยี งเพยี งเทา นน้ั ครน้ั จตุ จิ ากภพนนั้ แลว ไดไ ปเกิดในภพโนน แมในภพนน้ั เราก็ไดมีช่ืออยา งนัน้ มีโคตรอยางน้ัน มผี ิวพรรณอยางนนั้ มีอาหารอยา งนัน้เสวยสุขเสวยทกุ ขอ ยางน้นั ๆ มีกาํ หนดอายเุ พยี งเทา น้นั ครน้ั จตุ ิจากภพน้ันแลวไดม าเกดิ ในภพนี้ ตถาคตยอ มระลกึ ชาตกิ อนไดเ ปน อนั มาก พรอ มทง้ั อาการพรอมทง้ั อเุ ทศ ดวยประการฉะนี้ . ดูกอนสารีบตุ ร ขอ ทตี่ ถาคตระลกึ ถึงชาติกอนไดเปนอันมาก คอื ระลึกไดชาตหิ น่งึ บา ง สองชาตบิ าง ฯลฯ ตถาคตยอมระลกึ ถงึ ชาติกอนไดเ ปนอันมาก พรอ มทง้ั อาการ พรอ มทั้งอุเทศ ดวยประการฉะนี้ นีเ้ ปนกําลงั ของตถาคตประการหนงึ่ ซึง่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปน โจก บนั ลอื สหี นาทในบริษัท ยังพรหมจกั รใหเ ปน ไป. ดกู อ นสารีบตุ ร ประการหนึ่ง ตถาคตยอมเหน็ หมสู ตั วท ี่กําลงั จตุ ิกาํ ลงั อบุ ตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มผี ิวพรรณทราม ไดดี ตกยากดว ยทพิ ยจักษอุ นั บรสิ ุทธ์ิ ลวงจักษขุ องมนษุ ย ยอมรชู ัดซงึ่ หมสู ตั วผ ูเ ปน ไปตามกรรมวา สตั วเหลาน้ปี ระกอบดวยกายทุจริต วจที จุ ริต มโนทจุ ริต ตเิ ตียนพระอริยเจา เปนมจิ ฉาทฐิ ิ ยึดถอื การกระทาํ ดวยอาํ นาจมิจฉาทฐิ ิ เบอื้ งหนา แตตายไป เขายอมเขา ถึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรก สว นสตั วเหลาน้ี ประกอบดวยกายสจุ รติ วจีสุจรติ มโนสุจรติ ไมต ิเตยี นพระอรยิ เจา เปน สมั มาทฐิ ิ

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 43ยึดถือการกระทาํ ดว ยอาํ นาจสัมมาทฐิ ิ เบ้ืองหนา แตตายไป เขายอ มเขาถึงสุคติโลกสวรรค ดงั นี.้ ดกู อ นสารีบตุ ร ขอ ทต่ี ถาคตเห็นหมสู ัตว ทีก่ ําลังจุติ กําลงัอุบตั ิ เลว ประณตี มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดวยทิพยจกั ษอุ ันบรสิ ทุ ธิ์ ลว งจักษขุ องมนุษย ยอ มรูชดั หมูส ัตวผ ูเปนไปตามกรรมวา สตั วเ หลา น้ี ฯสฯ น้เี ปนกาํ ลังของตถาคตประการหนึ่ง ซ่ึงตถาคตอาศยั แลว ปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปนโจก บนั ลือสหี นาทในบริษทั ยังพรหมจกั รใหเปน ไป. ดกู อนสารีบุตร อกี ประการหนึ่ง ตถาคตกระทําใหแ จง ซง่ึ เจโตวิมตุ ิปญญาวิมตุ ิ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ดว ยปญญาอันย่ิงเองในปจ จบุ นั เขาถงึ อย.ู ดกู อนสารีบุตร ขอที่ตถาคตกระทําใหแจงซ่ึงเจโต-วิมตุ ิ ปญ ญาวิมุติ อนั หาอาสวะมิได เพราะอาสวะทัง้ หลายส้ินไป ดวยปญญาอนั ยิ่งเองในปจ จบุ ัน เขาถงึ อยู นี้เปน กาํ ลังของตถาคตประการหนง่ึ ซ่ึงตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะของผเู ปนโจก บันลือสีหนาทในบรษิ ัท ยังพรหมจกั รใหเ ปนไป. ดูกอนสารีบุตร กําลังของตถาคต ๑๐ ประการเหลาน้ีแล ทีต่ ถาคตประกอบแลว ปฏิญาณฐานะของผูเ ปนโจก บันลือสีหนาทในบริษทั ยงัพรหมจักรใหเ ปน ไป. ดูกอ นสารีบตุ ร ผใู ดแล พงึ วา ซึง่ เราผูรอู ยูอยางนี้ ผเู ห็นอยอู ยางน้ีวา ธรรมอนั ยง่ิ ของมนษุ ย ท่ีเปน ญาณทัสสะอนั วเิ ศษ พอแกความเปนอริยะของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลมาดวยความตรกึ ท่ีไตรตรองดวยการคนคิด แจม แจงไดเอง ดกู อ นสารบี ุตร ผูน้นั ไมละวาจานั้นเสยี ไมล ะความคดิ นัน้ เสยี ไมสละคืนทิฏฐินั้นเสีย กเ็ ทย่ี งแททจี่ ะตกนรก.ดูกอ นสารบี ตุ ร เปรยี บเหมอื นภิกษุผถู งึ พรอ มดวยศลี ถึงพรอ มดวยสมาธิ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 44ถงึ พรอ มดว ยปญ ญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปจ จบุ ันทีเดียว ฉันใด ดูกอ นสารีบุตร เรากลาวขอ อปุ ไมยน้ี กฉ็ ันนัน้ . ผูน้ันไมละวาจานัน้ เสยี ไมล ะความคดิ นน้ั เสยี ไมส ละคนื ทิฐนิ น้ั เสีย กเ็ ท่ยี งแทท จ่ี ะตกนรก. เวสารชั ชธรรม ๔ [๑๖๗] ดกู อ นสารบี ุตร ตถาคตประกอบดว ยเวสารชั ชธรรม [ความแกลว กลา ] เหลา ใด จงึ ปฏญิ าณฐานะของผูเ ปน โจก บนั ลือสีหนาทในบรษิ ัทยังพรหมจกั รใหเปนไป เวสารชั ชธรรมของตถาคตเหลาน้มี ี ๔ ประการ. ๔ประการเปนไฉน. ดกู อนสารบี ตุ ร เราไมเ หน็ เหตนุ ีว้ า สมณะ พราหมณเทวดา มาร พรหม หรอื ใคร ๆ ในโลก ทร่ี ักทกั ทว งเราโดยสหธรรมในขอวา ทานปฎิญาณตนวาเปน พระสัมมาสัมพุทธะ ธรรมเหลาน้ีทา นยังไมไ ดตรสั รูแลวดังน.ี้ ดกู อนสารีบตุ ร เม่ือไมเหน็ เหตนุ ้ี เราก็เปน ผถู ึงความปลอดภัยถึงความไมมภี ยั ถงึ ความเปน ผแู กลวกลาอย.ู ดูกอ นสารีบตุ ร เราไมเหน็ เหตุนวี้ า สมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรอื ใครๆในโลกที่จักทกั ทว งเราโดยสหธรรมในขอ วา ทา นปฏญิ าณตนวา เปน พระขีณาสพ อาสวะเหลา นี้ของทา นยงั ไมส ิ้นไปแลว ดงั น้.ี ดูกอ นสารีบตุ ร เม่ือไมเ หน็ เหตุนี้ เราก็เปนผูถงึ ความปลอดภยั ถึงความไมม ีภัย ถงึ ความเปนผูแ กลว กลา อยู. ดกู อ นสาร-ีบุตร เราไมเห็นเหตนุ ว้ี า สมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรอืใครๆในโลก ที่จกั ทักทวงเราโดยสหธรรม ในขอวา ทา นกลา วธรรมเหลา ใดวา ทําอนั ตราย ธรรมเหลานนั้ ไมอ าจทาํ อันตรายแกผูซอ งเสพไดจ ริง ดงั น.้ีดูกอ นสารบี ตุ ร เมือ่ ไมเห็นเหตนุ ้ี เราก็เปน ผูถึงความปลอดภยั ถงึ ความไมมีภัย ถึงความเปนผแู กลวกลาอยู. ดูกอ นสารีบุตร เราไมเ หน็ เหตนุ ว้ี า สมณะพราหมณ เทวดา มาร พรหม หรอื ใคร ๆ ในโลก ทจี่ กั ทักทวงเราโดย

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 45สหธรรมในขอ วา ทานแสดงธรรมเพ่อื ประโยชนอยา งใด ประโยชนอ ยา งน้นั ไมเปนทางส้ินทกุ ขโ ดยชอบแหงคนผูทาํ ตาม ดังนี้ ดกู อ นสารบี ุตร เม่อื ไมเห็นเหตนุ ี้เรากเ็ ปนผูถึงความปลอดภัย ถงึ ความไมม ภี ัย ถงึ ความเปน ผูแกลว กลา อยู. ดูกอ นสารบี ตุ รตถาคตประกอบดวยเวสารชั ชธรรมเหลา ใด จงึ ปฏิญาณฐานะของผเู ปนโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ยงั พรหมจกั รใหเ ปน ไป เวสารัชชธรรมของตถาคต ๔ ประการเหลานแี้ ล. ดกู อ นสารีบุตร ผูใดแล พงึ วา ซึ่งเราผรู อู ยูอยา งน้ี ผเู ห็นอยูอยา งนวี้ า ธรรมอันยงิ่ ของมนษุ ยท ่เี ปน ญาณทสั สนะอันวิเศษพอแกความเปน อริยะ ของพระสมณโคดมไมม ี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลดว ยความตรกึ ทีไ่ ตรต รองดวยการคนคดิ แจมแจงไดเ อง ดูกอนสารีบตุ ร ผูน้นั ไมล ะวาจานนั้ เสีย ไมละความคดิ นน้ั เสยี ไมสละคืนทิฐนิ น้ั เสยีก็เท่ยี งแทท ีจ่ ะตกนรก. ดูกอ นสารบี ุตร เปรียบเหมอื นภิกษุถึงพรอมดวยศลีถงึ พรอมดว ยสมาธิ ถึงพรอ มดวยปญญา พงึ กระหยมิ่ อรหตั ผลในปจจุบนั ทเี ดียวฉนั ใด ดกู อ นสารบี ตุ ร เรากลา วขอ อปุ ไมยน้ี กฉ็ ันน้นั . ผูนั้นไมล ะวาจานน้ัเสยี ไมล ะความคิดน้ันเสยี ไมสละคืนทฐิ ิน้นั เสยี กเ็ ทย่ี งแทที่จะตกนรก. [๑๖๘] ดูกอ นสารีบุตร บรษิ ัท ๘ จาํ พวกเหลา นี้แล ๘ จาํ พวกเปนไฉน คือ ขตั ติยบรษิ ทั พราหมณบรษิ ทั คฤหบดีบริษัท สมณบริษทัจาตุมหาราชิกบรษิ ทั ดาวดงึ สบริษัท มารบริษัท และพรหมบรษิ ทั ดกู อนสารบี ตุ ร บริษทั ๘ จาํ พวกเหลานี้แล. ดูกอ นสารีบตุ ร ตถาคตประกอบดวยเวสารชั ชธรรม ๔ ประการเหลานี้แล ยอ มเขา ไปหา ยอ มหยัง่ ลงสบู ริษัท ๘จาํ พวกเหลา นี้. ดกู อนสารีบุตร เรายอมเขา ใจเขา ไปหาขัตตยิ บริษัทหลาย ๆรอย แมใ นขตั ติยบริษัทนั้น เราเคยน่งั ใกล เคยทกั ทายปราศรัย เคยสนทนากัน ดกู อ นสารีบุตร เราไมเ ห็นเหตุนวี้ า ความกลวั หรือความสะทกสะทา นจกั กลํ้ากลายเราในขัตติยบริษทั นั้นเลย เมอื่ ไมเหน็ เหตนุ ี้ เราก็เปนผูถึงความ

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 46ปลอดภยั ถงึ ความไมมีภยั ถึงความเปน ผูแ กลว กลา อยู. ดกู อนสารบี ตุ ร อนึง่เรายอ มเขาใจเขา ไปหาพราหมณบริษัทหลาย ๆ รอ ย คฤหบดบี ริษทั สมณบรษิ ัท จาตมุ หาราชิกบริษัท ดาวดงึ สบรษิ ัท พรหมบริษัท จาํ พวกละหลาย ๆรอ ย แมในบรษิ ทั นัน้ ๆ เราเคยนงั่ ใกล เคยทกั ทายปราศรัย เคยสนทนากันดกู อนสารีบุตร เราไมเหน็ เหตุน้ีวา ความกลัว หรอื ความสะทกสะทานจักกล้าํ กลายเราในบรษิ ัทนัน้ ๆ เลย เมื่อไมเ ห็นเหตนุ ้ี เรากเ็ ปน ผูถงึ ความปลอดภัย ถึงความไมมภี ัย ถงึ ความเปน ผแู กลว กลา อย.ู ดูกอนสารีบตุ ร ผใู ดแลพงึ วาซง่ึ เรา ผูรอู ยูอ ยา งน้ี ผเู ห็นอยอู ยางนว้ี า ธรรมอนั ย่ิงของมนษุ ย ที่เปนญาณทัสสนะอนั วิเศษ พอแกความเปนอรยิ ะ ของพระสมณโคดมไมม ี พระ-สมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลมาดว ยความตรึก ที่ไตรตรองดว ยการคนคดิ แจมแจงไดเอง ดูกอ นสารีบุตร ผูนน้ั ไมล ะวาจานั้นเสยี ไมละความคดิ นนั้ เสยี ไมส ละคนื ทฐิ ินนั้ เสีย ก็เทย่ี งแทท ่จี ะตกนรก. ดูกอนสารีบุตรเปรยี บเหมือนภิกษุผูถึงพรอ มดวยศลี ถงึ พรอ มดวยสมาธิ ถึงพรอมดว ยปญ ญาพงึ กระหยมิ่ อรหัตผล ในปจ จบุ ันทเี ดยี ว ฉนั ใด ดกู อนสารบี ตุ ร เรากลา วขอ อปุ ไมยนี้ กฉ็ นั นั้น. ผนู นั้ ไมละวาจานั้นเสยี ไมล ะความคดิ นัน้ เสยี ไมสละคืนทฐิ ินัน้ เสีย กเ็ ท่ียงแทท่ีจะตกนรก. กาํ เนิด ๔ [๑๖๙] ดูกอนสารบี ตุ ร กําเนิด ๔ ประการเหลานีแ้ ล ๔ ประการเปน ไฉน คือ อณั ฑชะกําเนดิ ชลาพุชะกําเนิด สงั เสทชะกําเนดิ โอปปาต-ิกะกําเนดิ . ดูกอนสารีบุตร กอ็ ัณฑชะกําเนดิ เปนไฉน สตั วทั้งหลายเหลา นน้ัใด ชําแรกเปลอื กแหงฟองเกิด นเ้ี ราเรียกวา อัณฑชะกําเนิด. ดูกอ นสารีบุตรชลาพุชะกําเนดิ เปนไฉน สตั วท ั้งหลายเหลา น้นั ใด ชําแรกไส [มดลกู ] เกิด

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 47นี้เราเรยี กวา ชลาพุชะกําเนดิ . ดกู อนสารบี ตุ ร สังเสทชะกําเนดิ เปน ไฉนสัตวทัง้ ทัง้ หลายเหลา น้นั ใด ยอ มเกิดในปลาเนา ในซากศพเนา ในขนมบูดหรอื ในนาครํา ในเถา ไคล [ของสกปรก] น้ีเราเรียกวา สงั เสทชะกาํ เนดิ . ดูกอ นสารีบตุ ร โอปปาติกะกาํ เนิดเปนไฉน เทวดา สตั วน รก มนษุ ยบางจาํ พวกและเปรตบางจาํ พวก นี้เราเรียกวา โอปปาติกะกาํ เนดิ . ดกู อนสารีบุตร กาํ เนดิ๔ ประการเหลาน้แี ล. ดกู อ นสารบี ตุ ร ผูใดแล พงึ วา ซง่ึ เราผูร ูอ ยูอยา งน้ีผเู หน็ อยอู ยางนว้ี า ธรรมอันยิง่ ของมนุษย ที่เปนญาณทัสสนะอนั วเิ ศษพอแกความเปนอริยะของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมทปี่ ระ-มวลมาดวยความตรึก ท่ีไตรตรองดวยการคน คดิ แจม แจงไดเอง ดกู อนสารี-บุตร ผนู ัน้ ไมล ะวาจานัน้ เสยี ไมละความคดิ นั้นเสีย ไมสละคืนทฐิ ินนั้ เสยีกเ็ ท่ียงแททีจ่ ะตกนรก. ดกู อ นสารบี ตุ ร เปรียบเหมอื นภิกษผุ ถู ึงพรอมดว ยศลีถงึ พรอมดวยสมาธิ ถงึ พรอ มดว ยปญญา พงึ กระหยม่ิ อรหัตผล ในปจ จุบนัทีเทยี ว ฉนั ใด ดกู อนสารบี ตุ ร เรากลา วขออปุ ไมยนี้ กฉ็ ันนัน้ ผูนนั้ ไมละวาจานัน้ เสีย ไมละความคิดน้ันเสีย ไมส ละคืนทฐิ ินัน้ เสีย ก็เทย่ี งเเทท ่ีจะตกนรก. [๑๗๐] ดกู อ นสารบี ตุ ร คติ ๕ ประการเหลา น้แี ล ๕ ประการเปนไฉนคอื นรก กาํ เนิดดิรจั ฉาน เปรตวสิ ยั มนษุ ย เทวดา. ดูกอ นสารีบตุ ร เรายอ มรูชัดซงึ่ นรก ทางยังสตั วใหถงึ นรก และปฏิปทาอนั จะยังสัตวใ หถ ึงนรกอน่ึง สัตวผ ูดําเนนิ ประการใด เบื้องหนา แตตายเพราะกายแตก ยอ มเขาถึงอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก เรายอ มรูช ัดซึ่งประการนั้นดวย. ดกู อนสารบี ุตรเรายอ มรชู ัดซง่ึ กาํ เนิดดริ จั ฉาน ทางยงั สตั วใ หถ ึงกาํ เนดิ ดริ ัจฉาน ปฏิปทาอันจะยังสตั วใ หถ งึ กําเนดิ ดริ ัจฉาน อน่งึ สัตวผดู ําเนินประการใด เบือ้ งหนาแตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึงกาํ เนิดดริ จั ฉาน เรายอ มรชู ดั ซึ่งประการน้นั ดว ย.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 48ดกู อ นสารบี ุตร เรายอ มรชู ัดซ่ึงเปรตวิสยั ทางไปสเู ปรตวสิ ยั และปฏิปทาอนัจะยงั สตั วใหถ งึ เปรตวสิ ัย อนงึ่ สัตวผ ูดาํ เนินประการใด เบอ้ื งหนา แตต ายเพราะกายแตก ยอมเขา ถึงเปรตวสิ ัย เรายอ มรชู ดั ซง่ึ ประการน้นั ดว ย. ดกู อ นสารบี ุตร เรายอมรชู ดั ซ่ึงเหลา มนุษย ทางอนั ยงั สัตวใหถงึ มนุษยโลกและปฏ-ิปทาอันจะยงั สัตวใ หถ งึ มนุษยโลก อน่งึ สัตวผูป ฏบิ ัตปิ ระการใด เบื้องหนาแตต ายเพราะกายแตก ยอ มอบุ ัตใิ นหมมู นษุ ย เรายอมรูชดั ซงึ่ ประการนน้ัดวย. ดกู อนสารบี ตุ ร เรายอ มรชู ดั ซ่ึงเทวดาทง้ั หลาย ทางอนั ยงั สตั วใหถงึเทวโลก และปฏปิ ทาอนั จะยังสัตวใหถ งึ เทวโลก อนึง่ สตั วผูปฏบิ ตั ปิ ระการใดเบ้อื งหนาแตต ายเพราะกายแตก ยอ มเขาถึงสคุ ติโลกสวรรค เรายอ มรูชดั ซึง่ประการนน้ั ดวย. ดูกอนสารีบุตร เรายอมรูชดั ซงึ่ พระนพิ พาน ทางอันยังสตั วใหถงึ พระนพิ พาน และปฏิปทาอันจะยงั สัตวใหถึงพระนพิ พาน อนึง่ สัตวผูปฏิบัตปิ ระการใด ยอมกระทําใหแจงซง่ึ เจโตวิมตุ ิ ปญ ญาวมิ ุติ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทัง้ หลายสิ้นไป ดวยปญญาอันยิง่ เองในปจจุบนั เขาถงึ อยูเรายอมรูช ดั ซงึ่ ประการนนั้ ดวย. อุปมาขอที่ ๑ [๑๗๑] ดกู อนสารบี ุตร เรายอ มกําหนดรูใ จบุคคลบางคน ในโลกนี้ดว ยใจอยา งนว้ี า บุคคลนี้ปฏบิ ัตอิ ยา งน้ัน ดําเนินอยา งนั้น และขึน้ สหู นทางน้นั เบื้องหนา แตต ายเพราะกายแตก จักเขาถงึ อบาย ทุคติ วินิบาตนรก โดยสมัยตอมา เรายอมเห็นบุคคลนัน้ เบ้ืองหนาแตตายเพราะกายแตกเขา ถงึ แลวซงึ่ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก เสวยทุกขเวทนาอนั แรงกลา เผ็ดรอ นโดยสว นเดยี ว ดว ยทิพยจกั ษุอนั บริสุทธ์ิ ลว งจกั ษุของมนษุ ย. ดกู อนสารบี ตุ ร เปรยี บเหมอื นหลุมถานเพลิงลกึ ยง่ิ กวาชั่วบรุ ุษ เต็มไปดว ยถา นเพลงิ

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 49ปราศจากเปลว ปราศจากควัน ลําดบั น้นั บุรษุ ผมู ีตวั อันความรอนแผดเผาครอบงาํ เหน็ดเหนอ่ื ย สะทกสะทา น หิวระหายมงุ มาสหู ลมุ ถานเพลิงน้ันแหละ โดยบรรดาสายเดยี ว บุรุษผมู ีจักษุเห็นเขาแลวพึงกลาวอยางนี้วา บรุ ษุผเู จริญนี้ ปฏบิ ัตอิ ยางน้ัน ดําเนนิ อยางนนั้ ขน้ึ สหู นทางนน้ั จกั มาถงึ หลมุถานเพลงิ นี้ทีเดียว โดยสมยั ตอมา บุรษุ ผมู ีจกั ษุน้ัน พึงเห็นเขาตกลงในหลุมถา นเพลิงน้นั เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา เผ็ดรอนโดยสวนเดียวแมฉันใดดกู อนสารีบตุ ร เรายอมกําหนดรูใจบคุ คลบางคนในโลกนี้ ดว ยใจ ฉันนั้นเหมือนกนั แลวา บุคคลน้ปี ฏิบตั ิอยา งนั้น ดาํ เนนิ อยา งนัน้ และขึน้ สูหนทางนนั้ เบอื้ งหนา แตตายเพราะกายแตก จกั เขา ถึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรกโดยสมยั ตอมา เราไดเหน็ บคุ คลนนั้ เบอ้ื งหนาแตตายเพราะกายแตก เขา ถึงแลว ซ่ึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรก เสวยทุกขเวทนาอนั แรงกลา เผ็ดรอนโดยสว นเดยี ว ดว ยทิพยจักษอุ นั บริสทุ ธิ์ ลว งจักษขุ องมนษุ ย. [๑๗๒] ดกู อนสารบี ตุ ร เรายอมกําหนดบางคนในโลกนี้ ดวยใจวาบคุ คลนป้ี ฏบิ ัตอิ ยา งนน้ั ดาํ เนินอยางนัน้ และขึ้นสหู นทางนัน้ จกั เขาถึงกาํ เนิดดิรัจฉาน เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก โดยสมยั ตอ มา เราเหน็ บคุ คลนั้นเบ้ืองหนา แตต ายเพราะกายแตก เขาถงึ แลว ซ่งึ กาํ เนิดดริ ัจฉาน เสวยทกุ ขเวทนาอันแรงกลา เผด็ รอ น ดวยทิพยจักษุอันบรสิ ทุ ธิ์ ลว งจกั ษุของมนุษย.ดกู อ นสารีบุตร เปรียบเหมอื นหลมุ คูถ ลกึ ย่งิ กวาช่ัวบรุ ษุ เตม็ ไปดว ยคูถลาํ ดับนน้ั บุรุษผมู ีตวั อันความรอนแผดเผา ครอบงํา เหนด็ เหนือ่ ย สะทกสะทาน หิวระหาย มุง มาสหู ลมุ คูถนั้นแหละ โดยบรรดาสายเดียว บุรุษผมู ีจักษเุ หน็ เขาแลว พึงกลาวอยา งน้ีวา บรุ ษุ ผูเ จริญน้ี ปฏิบตั อิ ยา งนนั้ ดําเนินอยางน้นั และขน้ึ สูห นทางนน้ั จกั มาถงึ หลมุ คถู น้ที เี ดยี ว โดยสมัยตอ มาบุรษุ ผูมจี ักษนุ น้ั พ่ึงเหน็ เขาตกลงในหลุมคถู นน้ั เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 50เผ็ดรอน แมฉันใด ดูกอนสารบี ตุ ร เรายอ มกาํ หนดรูใจบุคคลบางคนในโลกน้ดี วยใจ ฉนั น้นั เหมอื นกันแลวา บุคคลนปี้ ฏบิ ัตอิ ยา งนน้ั ดาํ เนินอยา งนนั้และขนึ้ สหู นทางนัน้ เบือ้ งหนาแตตายเพราะกายแตก จกั เขา ถึงกําเนิดดิรัจฉานโดยสมัยตอ มา เรายอ มเห็นบุคคลนน้ั เบ้ืองหนา แตต ายเพราะกายแตก เชาถึงแลวซ่งึ กาํ เนดิ ดริ จั ฉาน เสวยทกุ ขเวทนาอนั แรงกลา เผ็ดรอ น ดวยทิพยจกั ษุอนั บรสิ ทุ ธิ์ ลว งจกั ษขุ องมนุษย. [๑๗๓] ดกู อนสารีบตุ ร เรายอ มกาํ หนดรใู จบุคคลบางคนในโลกน้ีดวยใจอยางนว้ี า บุคคลนี้ปฏิบตั ิอยางนี้ ดําเนนิ อยางนัน้ และข้นึ สหู นทางนน้ัเบ้อื งหนาแตตายเพราะกายแตก จกั เขาถงึ เปรตวิสัย โดยสมยั ตอมา เรายอ มเห็นบุคคลน้นั เบ้อื งหนา แตตายเพราะกายแตก เขาถงึ แลว ซ่ึงเปรตวิสยัเสวยทกุ ขเวทนาเปนอันมาก ดวยทพิ ยจักษุอนั บริสทุ ธิ์ ลว งจักษขุ องมนษุ ย.ดูกอ นสารบี ตุ ร เปรยี บเหมอื นตน ไมเกดิ ในพ้นื ทีอ่ นั ไมเ สมอ มใี บออนและใบแกอนั เบาบาง มเี งาอนั โปรง ลําดับนั้น บรุ ุษผูม ีตวั อันความรอ นแผดเผาครอบงาํ เหนด็ เหน่ือย สะทกสะทา น หิวระหาย มงุ มาสูตน ไมน้ันแหละโดยบรรดาสายเดยี ว บุรษุ ผูมจี กั ษเุ หน็ เขาแลว พึงกลา วอยา งนี้วา บรุ ุษผูเจริญนี้ปฏิบตั ิอยางนั้น ดําเนนิ อยา งน้นั และข้นึ สหู นทางนน้ั จักมาถึงตน ไมนี้ทีเดียว โดยสมยั ตอ มา บรุ ษุ ผูมีจกั ษนุ ั้น พึงเหน็ เขานัง่ หรอื นอนในเงาตนไมน ้นั เสวยทกุ ขเวทนาเปนอันมาก แมฉนั ใด ดูกอ นสารีบตุ ร เรายอมกาํ หนดรูใจบคุ คลบางคนในโลกนดี้ ว ยใจฉนั น้นั เหมือนกันแล วาบุคคลนป้ี ฏิบัติอยา งนน้ั ดาํ เนนิ อยางนน้ั และขึน้ สูหนทางนน้ั เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตกจกั เขาถึงเปรตวสิ ยั โดยสมัยตอมา เรายอ มเหน็ บุคคลน้ัน เบอ้ื งหนาแตต ายเพราะกายแตก เขา ถงึ แลว ซ่ึงเปรตวิสัย เสวยทุกขเวทนาเปนอนั มาก ดวยทิพยจักษุอนั บรสิ ทุ ธิ์ ลวงจักษขุ องมนุษย.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook