พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 1 พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ท่ี ๑ ภาคที่ ๒ขอนอบนอ มแดพ ระผูมีพระภาคอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจาพระองคน ั้น สีหนาทวรรค ๑. จฬู สหี นาทสูตร [๑๕๓] ขา พเจา ไดส ดบั มาอยางน้ี :- สมัยหน่งึ พระผูม ีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ พระวิหารเชตวนั อารามของทานอนาถบิณฑกิ เศรษฐี เขตพระนครสาวตั ถ.ี ณ ทีน่ ั้นแล พระผูมพี ระ-ภาคเจา ตรสั เรยี กภิกษทุ งั้ หลายแลว . ภิกษเุ หลานน้ั ไดทูลรับสนองพระพุทธพจนแลว . สมณะ ๔ จําพวก [๑๕๔] พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสพระพุทธพจนนวี้ า ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย สมณะมีในพระศาสนาน้เี ทานน้ั สมณะท่ีสองมีในพระศาสนานี้ สมณะทส่ี ามมีในพระศาสนาน้ี สมณะทส่ี ่มี ใี นพระศาสนาน้ี ลัทธิของศาสดาอื่นวาง
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 2เปลา จากพระสมณะผรู ูทัว่ ถงึ ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย พวกเธอจงบันลอื สีหนาทโดยชอบอยางน้ี ดวยประการฉะนที้ เี ดียว. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ก็เปน ฐานะท่ีจะมไี ดแล ท่ีพวกปรพิ าชกอัญญเดียรถยี ใ นโลกน้ี พงึ กลา วอยา งน้ีวา อะไรเปนความม่นั ใจของพวกทาน อะไรเปนกาํ ลังของพวกทา น พวกทานพจิ ารณาเหน็ในตนดว ยประการไร จึงกลาวอยางน้ีวา สมณะมีในพระศาสนานี้เทานั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะทีส่ ามมใี นพระศาสนาน้ี สมณะทส่ี ม่ี ีในพระศาสนานี้ ลทั ธิของศาสดาอน่ื วา งเปลาจากพระสมณะผรู ทู ั่วถงึ ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย พวกปรพิ าชกอญั ญเดียรถยี ผมู วี าทะอยา งนี้ อันพวกเธอพึงกลาวตอบอยา งนว้ี า ทานผูมีอายุทั้งหลายธรรม ๔ ประการ อนั พระผูม ีพระภาคเจาพระองคน นั้ ผูรู ผูเหน็เปน พระอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจา ตรสั แลว มีอยู ทีพ่ วกเราเหน็ ธรรมเหลา นใี้ นตนจงึ กลาวอยางนี้วา สมณะมีในพระศาสนานี้เทานนั้ สมณะท่สี องมีในพระศาสนานี้ สมณะทีส่ ามมีในพระศาสนาน้ี สมณะทีส่ ี่มใี นพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอน่ื วา งเปลา จากพระสมณะผูร ูทวั่ ถึง ธรรม ๔ อยา งเปนไฉน ๔ อยาง คอื ความเลอ่ื มใสในพระศาสดาของพวกเรา มอี ยู ความเลื่อมใสในพระธรรมมอี ยู ความกระทาํ ใหบ รบิ รู ณใ นศลี มอี ยู ท้งั คฤหสั ถและบรรพชติ ผปู ระพฤตธิ รรมรวมกนั เปน ทีน่ ารัก นาพอใจ มอี ยู ดกู อ นทา นผมู ีอายทุ ง้ั หลาย ธรรม ๔ประการเหลาน้ันแล อนั พระผมู พี ระภาคเจา พระองคน ั้น ผูร ู ผเู หน็ เปนพระอรหันตสัมมาสมั พุทธเจา ตรสั แลว ท่พี วกเราเลง็ เห็นธรรมเหลานี้ในตนจึงกลา วอยา งนี้ สมณะมีในพระศาสนานเ้ี ทา น้ัน สมณะทส่ี องมีในพระศาสนาน้ีสมณะที่สามมใี นพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มใี นพระศาสนาน้ี ลทั ธขิ องศาสดาอ่ืนวา งเปลา จากพระสมณะผูร ทู ่วั ถึง. ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็เปน ฐานะทจ่ี ะมไี ดแลท่ีพวกปริพาชกอญั ญเดียรถียพงึ กลาวอยางนว้ี า ผูมีอายุ ผใู ดเปนศาสดาของพวกเรา ความเล่ือมใสในศาสดาแมของพวกเรากม็ ีอยู คําสอนใดเปน ธรรมของ
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 3พวกเรา ความเลื่อมใสในธรรมแมข องพวกเรากม็ อี ยู ศลี เหลา ใดเปน ศลี ของพวกเรา แมพวกเราก็กระทําใหบ รบิ ูรณในศลี ทัง้ หลาย ทงั้ คฤหัสถแ ละบรรพชติผปู ระพฤติธรรมรวมกัน แมข องพวกเรากเ็ ปน ที่นารัก นาพอใจ. ผมู อี ายุในขอเหลา น้อี ะไรเปนขอท่ีแปลกกนั อะไรเปน ขอ ประสงค อะไรเปนขอ ท่ีการทําใหตางกนั ในระหวา งของทา นและของเราดงั น.้ี ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลายพวกปรพิ าชกอญั ญเดียรถยี ผูมีวาทะอยางน้ี อันพวกเธอพงึ กลา วตอบอยา งน้วี าผูม อี ายุ ความสาํ เรจ็ มีอยา งเดียวหรือมีมากอยา ง. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกปริพาชกอญั ญเดยี รถีย เมอื่ จะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยา งนวี้ า ความสําเรจ็ มอี ยา งเดียวเทานั้น ไมม ีมากอยา ง. พวกเธอพงึ กลาวอยา งนีว้ า ผูมอี ายุก็ความสาํ เร็จนัน้ เปน ของผมู รี าคะหรอื ของผปู ราศจากราคะ. ดูกอนภิกษทุ งั้ หลายพวกปรพิ าชกอัญญเดียรถีย เม่อื จะพยากรณโ ดยชอบ พึงพยากรณอ ยางนว้ี าความสําเร็จนั้นเปนของผูปราศจากราคะมิใชข องผูมีราคะ. พวกเธอพึงกลา วอยา งนี้วา ความสาํ เรจ็ น้ัน เปนของผูม ีโทสะหรอื ของผปู ราศจากโทสะ. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกปรพิ าชกอัญญเดียรถยี เม่อื จะพยากรณโ ดยชอบ พงึ พยา-กรณอยา งน้วี า ความสําเรจ็ น้ันเปน ของผูป ราศจากโทสะ มิใชข องผมู ีโทสะ.พวกเธอพึงกลา วอยางนี้วา ความสําเร็จนน้ั เปนของผมู โี มหะหรอื ของผูปราศจากโมหะ. ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย พวกปรพิ าชกอัญญเดยี รถยี เม่ือจะพยากรณโ ดยชอบ พงึ พยากรณอยางนีว้ า ความสาํ เร็จนัน้ เปนของผปู ราศจากโมหะ มใิ ชของผูมโี มหะ. พวกเธอพงึ กลา วอยา งน้ีวา ความสาํ เร็จนั้นเปน ของผูมีตัณหาหรอื ของผปู ราศจากตัณหา. ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย พวกปรพิ าชกอญั ญเดยี รถยี เม่ือจะพยากรณโ ดยชอบ พึงพยากรณอ ยา งนี้วา ความสําเรจ็ นัน้ เปนของผูปราศจากตณั หา มิใชของผมู ีตัณหา. พวกเธอพงึ กลา วอยา งนีว้ า ความสาํ เร็จนั้นเปนของผูมอี ุปาทาน หรือของผูไมมีอุปาทาน. ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย พวก
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 4ปริพาชกอัญญเดยี รถยี เ มื่อจะพยากรณโดยชอบ พงึ พยากรณอ ยางน้ีวา ความ-สําเรจ็ นนั้ เปน ของผูไมม อี ปุ าทาน มใิ ชข องผูมีอปุ าทาน. พวกเธอพงึ กลา วอยา งนว้ี า ความสําเรจ็ นั้นเปนของผูร แู จงหรือของผไู มรูแจง . ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดยี รถียเมือ่ จะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยา งน้วี า ความสาํ เร็จน้ันเปนของผูรูแ จง มใิ ชข องผูไมร แู จง . พวกเธอพงึ -กลาวอยางนวี้ า ความสําเรจ็ น้นั เปน ของผยู ินดียนิ รา ยหรือของผูไมย ินดียินราย.ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ปริพาชกอัญญเดียรถีย เม่อื จะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอ ยา งน้ีวา ความสําเร็จน้ันเปน ของผไู มยนิ ดยี ินราย มใิ ชของผูยนิ ดียินราย. พวกเธอพงึ กลา วอยางนีว้ า ความสาํ เรจ็ น้ันเปนของผูยินดีในความเนนิ่ ชา มีความเน่ินชาเปน ที่มายินดี หรือของผยู นิ ดีในความไมเ นิ่นชา มคี วามไมเนน่ิ ชา เปน ทมี่ ายนิ ดี. ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย พวกปริพาชกอัญญเดยี รถียเม่อื จะพยากรณโดยชอบ พงึ พยากรณอ ยางนว้ี า ความสําเรจ็ นน้ั เปน ของผยู นิ ดีในความไมเ นน่ิ ชา มคี วามไมเน่ินชา เปน ท่ีมายนิ ดี มใิ ชของผูยินดใี นความเน่นิ ชา มีความเนิน่ ชา เปนที่มายินด.ี ทิฐิ ๒ [๑๕๕] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ทฐิ ิ ๒ อยา งเหลา นี้ คือ ภวทฐิ ิ และวิภวทิฐ.ิ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรอื พราหมณเลาใดเหลา หน่ึงเปน ผูแอบองิ ภวทฐิ เิ ขา ถึงภวทิฐิ หยั่งลงสูภวทิฐิ สมณะหรอื พราหมณเ หลา นั้น ชอ่ืวาเปนผูยนิ รา ยตอ วภิ วทิฐ.ิ ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย สมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลาหน่งึ เปนผแู อบอิงวิภวทิฐเิ ขาถึงวภิ วทิฐิ หย่ังลงสวู ภิ วทิฐิ สมณะหรอืพราหมณเหลานนั้ ช่ือวาเปนผูย ินรา ยตอภวทิฐ.ิ ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย สมณะหรอื พราหมณเ หลา ใดเหลา หน่งึ ยอมไมร ูท ัว่ ถงึ ความเกิด ความดับ คุณ โทษ
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 5และการถา ยถอนแหงทิฐิ ๒ อยา งเหลาน้ตี ามความเปนจรงิ สมณะหรือพราหมณเหลา นัน้ ยังมรี าคะ ยังมโี ทสะ ยังมีโมหะ ยังมีตัณหา ยงั มีอุปาทาน ไมใชผูรแู จง ยงั ยินดีและยนิ ราย เปน ผูย ินดใี นความเน่ินชา มีความเนิ่นชา เปนทีม่ ายินดี พวกเขายอมไมหลุดพน จากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความรา่ํ ไรทุกขกาย ทุกขใ จ และความคับแคนทั้งหลาย เรากลา ววา ยอ มไมห ลุดพนไปจากทุกข สมณะหรอื พราหมณเหลา ใดเหลาหนึ่งยอ มรูทัว่ ถงึ ความเกิดความ-ดับ คุณ โทษ และการถา ยถอนแหงทิฐิ ๒ อยางเหลาน้ี ตามความเปน จริงสมณะหรือพราหมณเ หลา น้นั เปน ผูปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ปราศจากตัณหา ปราศจากอปุ าทาน เปน ผูรแู จง เปน ผูไมยินดีและยนิ รา ย มคี วามยนิ ดใี นความไมเนน่ิ ชา มคี วามไมเนิ่นชา เปน ทีม่ ายนิ ดี พวกเขายอมหลุดพน จากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ําไร ทกุ ขก ายทุกขใจ และความคับแคนทั้งหลาย เรากลา ววา ยอ นหลดุ พนไปจากทุกข. อุปาทาน ๔ [๑๕๖] ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อยา งเหลาน้ี ๔ อยางเปนไฉน คือ กามปุ าทาน ทฏิ ปุ าทาน สีลพั พตุปาทาน อัตตวาทปุ าทาน. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย มีสมณพราหมณพวกหน่ึงปฏิญาณลทั ธิวารอบรูอปุ าทานทกุ อยา งแตพวกเขายอมไมบัญญตั คิ วามรอบรูอปุ าทานทกุ อยางโดยชอบ คือ ยอ มบญั ญัติความรอบรกู ามปุ าทานไมบญั ญัตคิ วามรอบรทู ฏิ ุปาทาน ไมบัญญัตคิ วามรอบรูสีลพั พตปุ าทาน ไมบัญญตั ิความรอบรูอ ตั ตวาทุปาทาน ขอ น้นั เพราะเหตอุ ะไรเพราะสมณพราหมณเหลา นน้ั รไู มท ่ัวถงึ ฐานะ ๓ ประการเหลาน้ี ตามความเปนจริง เพราะฉะนนั้ พวกเขาจงึ มลี ัทธวิ ารอบรอู ปุ าทานทุกอยาง แตพ วกเขาไมบัญญัติความรอบรูอ ุปาทานทุกอยา งโดยชอบ บญั ญัตคิ วามรอบรูกามุปาทาน ไม
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 6บญั ญตั คิ วามรอบรทู ิฏปุ าทาน ไมบ ัญญตั ิความรอบรสู ีลพั พตปุ าทาน ไมบัญญัติความรอบรูอ ัตตวาทุปาทาน. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย มสี มณพราหมณพ วกหนึ่งปฏิญาณลทั ธิวา รอบรูอ ุปาทานทุกอยาง แตพวกเขาไมบัญญัตคิ วามรอบรูอุปาทานทกุ อยางโดยชอบ บญั ญตั ิความรอบรกู ามุปาทาน บญั ญัติความรอบรทู ิฏุปาทานไมบ ัญญัติความรอบรูสลี ัพพตุปาทาน ไมบญั ญตั ิความรอบรอู ัตตวาทุปาทานขอ น้ันเพราะเหตุอะไร เพราะสมณพราหมณเ หลา น้ันไมรทู ่วั ถงึ ฐานะ ๒ ประการเหลานี้ ตามความเปน จริง เพราะฉะน้ัน พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิวารอบรูอปุ าทานทุกอยา ง แตพวกเขาไมบัญญตั ิความรอบรอู ปุ าทานทกุ อยา งโดยชอบคือ บัญญัตคิ วามรอบรกู ามปุ าทาน บัญญัติความรอบรทู ิฏปุ าทาน ไมบ ัญญตั ิความรอบรูสีลพั พตุปาทาน ไมบ ญั ญัตคิ วามรอบรูอ ัตตวาทุปาทาน. ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย มีสมณพราหมณพ วกหนึง่ ปฏิญาณลัทธิวารอบรูอ ุปาทานทกุ อยา งแตพวกเขาไมบัญญัติความรอบรอู ปุ าทานทกุ อยางโดยชอบ คือ บญั ญัตคิ วามรอบรูกามปุ าทาน. บัญญัติความรอบรูท ฏิ ุปาทาน บัญญตั ิดวามรอบรสู ีลพั -พตุปาทาน ไมบ ัญญตั ิความรอบรูอ ตั ตวาทุปาทาน ขอนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะสมณพราหมณเหลา นนั้ ไมรทู ่วั ถึงฐานะอยางหน่ึงน้ี เพราะฉะนัน้ พวกเขาจงึ ปฏญิ าณลทั ธวิ ารอบรอู ปุ าทานทกุ อยาง แตพ วกเขาไมบ ัญญตั คิ วามรอบรูอุปาทานทกุ อยา งโดยชอบ คือ บัญญัตคิ วามรอบรกู ามุปาทาน บัญญตั ิความรอบรทู ิฏปุ าทาน บญั ญัตคิ วามรอบรูส ีลัพพตปุ าทาน ไมบ ัญญตั ิความรูอัตตวาทุปาทาน. ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย ความเลือ่ มใสในศาสดาใด ความเล่อื มใสนน้ั เราไมก ลาววา ไปแลว โดยชอบ ความเลือ่ มใสในธรรมใด ความเล่ือมใสนั้นเราไมกลา ววา ไปแลวโดยชอบ ความกระทาํ ใหบริบรู ณในศีลใด ขอ น้ันเราไมก ลา ววาไปแลว โดยชอบ ความเปน ทร่ี กั และนาพอใจในหมสู หธรรมิกใดขอ น้ันเราไมกลาววาไปแลวโดยชอบ ในธรรมวินัยเห็นปานนีแ้ ล ขอนัน้ เพราะ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 7เหตอุ ะไร ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย เพราะขอ น้ันเปนความเล่ือมใสในธรรมวนิ ยั ท่ีศาสดากลาวชัว่ แลว ประกาศชวั่ แลว มิใชส ภาพนาํ ออกจากทกุ ข ไมเ ปนไปเพือ่ ความสงบ มิใชอ นั ผรู ูเองโดยชอบประกาศไว. [๑๕๗] ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจาเทานน้ั แล เปนผมู ีวาทะรอบรูอุปาทานทกุ อยา ง ปฏญิ าณอยู ยอมบัญญัตคิ วามรอบรูอ ปุ าทานทุกอยางโดยชอบ คือ ยอ มบัญญัตคิ วามรอบรกู ามุปาทาน ยอมบญั ญัตคิ วามรอบรทู ฏิ ปุ าทาน ยอมบัญญตั คิ วามรอบรสู ลี ัพพตปุ าทาน ยอมบัญญัติความรอบรูอตั ตวาทุปาทาน. ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลือ่ มใสนน้ั เรากลาววาไปแลวโดยชอบ ความเล่อื มใสในธรรมใด ความเลือ่ มใสนน้ั เรากลา ววาไปแลว โดยชอบ ความกระทําใหบริบรู ณใ นศีลใด ขอ น้นั เรากลา ววา ไปแลวโดยชอบ ความเปนทร่ี กั และนาพอใจในหมสู หธรรมกิ ใด ขอ นัน้ เรากลา ววาไปแลว โดยชอบ ในพระธรรมวนิ ยัเห็นปานนแี้ ล ขอนน้ั เพราะเหตอุ ะไร ดกู อนภิกษุทั้งหลาย เพราะขอ น้ันเปนความเล่อื มใสในธรรมวินยั อันศาสดากลาวดีแลว ประกาศดีแลว เปน สภาพนาํออกจากทุกข เปนไปเพอ่ื ความสงบ อนั ทานผูร เู องโดยชอบ ประกาศแลว . ตณั หาเปน เหตุเกดิ อุปาทาน [๑๕๘] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย อนึง่ อปุ าทาน ๔ เหลานี้ มอี ะไรเปนตนเหตุ มอี ะไรเปนเหตเุ กิด มีอะไรเปน กาํ เนิด มีอะไรเปน แดนเกิด. อุปาทาน๔ เหลาน้ี มตี ัณหาเปนตน เหตุ มีตณั หาเปน เหตุเกิด มีตัณหาเปน กําเนดิ มีตัณหาเปนแดนเกดิ . ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ตณั หานเี้ ลา มอี ะไรเปน ตนเหตุ มีอะไรเปน เหตุเกิด มีอะไรเปน กําเนิด มอี ะไรเปน แดนเกดิ . ตัณหามีเวทนาเปน ตน เหตุ มีเวทนาเปนเหตเุ กดิ มีเวทนาเปน กําเนิด มีเวทนาเปน แดนเกดิ .
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 8ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย เวทนานีเ้ ลา มีอะไรเปนตน เหตุ มอี ะไรเปนเหตเุ กิดมีอะไรเปนกาํ เนดิ มีอะไรเปนแดนเกิด. เวทนามีผสั สะเปนตนเหตุ มผี สั สะเปน เหตเุ กดิ มผี สั สะเปน กาํ เนดิ มผี สั สะเปน แดนเกิด. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลายผสั สะนเ้ี ลา มีอะไรเปน ตน เหตุ มีอะไรเปน เหตเุ กิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปน แดนเกิด. ผัสสะมีสฬายตนะเปน ตนเหตุ มีสฬายตนะเปนเหตุเกิด มีสฬายตนะเปน กําเนดิ มีสฬายตนะเปน แดนเกิด. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สฬาย-ตนะนเ้ี ลา มีอะไรเปนตนเหตุ มอี ะไรเปน เหตุเกิด มอี ะไรเปน กาํ เนิด มีอะไรเปน แดนเกิด. สฬายตนะมนี ามรปู เปนตน เหตุ มนี ามรปู เปน เหตเุ กดิมนี ามรปู เปนกาํ เนิด มนี ามรูปเปน แดนเกิด. ดูกอ นภิกษุท้งั หลายนามรปู น้ีเลามอี ะไรเปน ตนเหตุ มีอะไรเปนเหตเุ กดิ มอี ะไรเปน กําเนดิ มอี ะไรเปนแดนเกิด. นามรูปมวี ิญญาณเปน ตนเหตุ มวี ิญญาณเปนเหตุเกิดมวี ิญญาณเปนกําเนิด มวี ิญญาณเปน แดนเกิด. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย วญิ ญาณน้เี ลา มีอะไรเปน ตนเหตุ มอี ะไรเปนเหตุเกดิ มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกดิ . วญิ ญาณมีสงั ขารเปน ตน เหตุ มีสังขารเปน เหตุเกิด มสี ังขารเปน กาํ เนดิ มีสงั ขารเปน แดนเกดิ . ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย สังขารน้เี ลา มีอะไรเปน ตนเหตุ มอี ะไรเปนเหตุเกิด มอี ะไรเปน กาํ เนดิ มีอะไรเปน แดนเกดิสงั ขารมีอวิชชาเปนตนเหตุ มอี วิชชาเปนเหตเุ กดิ มีอวิชชาเปนกําเนดิ มีอวชิ ชาเปนแดนเกิด. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย กเ็ มอ่ื ใดแล ภกิ ษุละอวิชชาไดแลววิชชาเกดิ ข้ึนแลว เม่อื น้ัน ภกิ ษนุ นั้ เพราะสํารอกอวชิ ชาเสียได เพราะวิชชาบังเกิดขึน้ ยอมไมถ ือมัน่ กามปุ าทาน ยอ มไมถ ือมนั่ ทฏิ ปุ าทาน. ยอมไมถ ือม่ันสีลัพพตปุ าทาน ยอ มไมถ อื มนั่ อัตตวาทุปาทาน เมอื่ ไมถ อื มน่ั ยอ มไมสะดุงเม่อื ไมส ะดงุ ยอ มปรนิ พิ พานเฉพาะตนนน่ั เทยี ว เธอยอ มรูชดั วา ชาติสิ้นแลว
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 9พรหมจรรยอยจู บแลว กิจท่ีควรทาํ ทําเสรจ็ แลว กจิ อื่นเพือ่ ความเปน อยางน้ีมไิ ดม ี ดงั นี้ พระผูมพี ระภาคเจาไดต รสั พระพทุ ธพจนน ้ีแลว ภกิ ษุเหลา นั้นมีใจช่นื ชมยินดี ภาษติ ของพระผูมพี ระภาคเจา แลวแล. จบ จฬู สีหนาทสูตร ที่ ๑
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 10 อรรถกถามัชฌมิ นิกาย ชือ่ ปปญ จสูทนี พรรณนามลู ปณณาสก ภาคที่ ๒ พรรณนาสีหนาทวรรค อรรกถาจลุ ลสีหนาทสตู ร๑ จุลลสีหนาทสูตร มีคําเร่มิ ตน วา ขา พเจา ไดสดบั มาอยางน้ี :- กเ็ พราะจุลลสีหนาทสตู รนนั้ มีการสรปุ ถงึ ความอุบัตขิ องเรือ่ ง เพราะฉะนั้น ขา พเจาแสดงการสรุปนน้ั แลว จักทําการพรรณนาบทโดยไมต ามลาํ ดับแหงจุลลสหี นาทสตู รนน้ั . ก็เรือ่ งนไี้ ดยกข้ึนกลา วในความอบุ ัติของเรื่องอะไร.ในเรื่องที่เดียรถียครํา่ ครวญ เพราะลาภสักการะเปนปจจัย. ไดยินวา ลาภ-สักการะใหญไ ดบ ังเกิดขนึ้ แลว แกพระผมู ีพระภาคเจา โดยนัยทีก่ ลาวแลวในธมั -มทายาทสูตร. ก็โลกสันนิวาสนีม้ ีประมาณ ๔ ดาํ รงอยแู ลวโดย ๔ อยาง ดว ยอํานาจแหงบุคคลเหลา น้คี อื บุคคลผูม ีประมาณในรูป เลอ่ื มใสในรปู มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสยี ง มีประมาณในความเศรา หมอง เลอ่ื มใสในความเศรา -หมอง มปี ระมาณในธรรม เส่อื มใสในธรรม. ขอการทําใหตา งกนั ของบุคคลเหลา น้นั ดังน.้ี ก็บคุ คลผมู ปี ระมาณในรปู เลือ่ มใสในรูปเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนเ้ี ห็นความเจริญขึน้ หรือเหน็ ความเจรญิ เต็มที่ เหน็ ความบรบิ รู ณหรอื เหน็ ทรวดทรง ถือประมาณในรปู น้นั แลว ยงั ความเลอ่ื มใสใหเกิดขน้ึบาล.ี จฬู สหี นาทสุตตฺ
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 11นเ้ี รียกวา บคุ คลผูมปี ระมาณในรูป เล่ือมใสในรปู . กบ็ ุคคลผูมีประมาณในเสียงเลือ่ มใสในเสียงเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกน้ีถอื ประมาณในเสียงนนั้ ดวยการพรรณนาของคนอ่ืน ดวยการชมเชยของคนอนื่ ดวยการสรรเสริญของคนอนื่ ดว ยคนผูนําคุณของคนอืน่ แลวยงั ความเสื่อมใสใหเกดิ ขนึ้ นเี้ รยี กวาบุคคลผูม ปี ระมาณในเสียง เลอ่ื มใสในเสียง. ก็บุคคลผมู ีประมาณในความเศราหมอง เล่อื มใสในความเศรา หมองเปน ไฉน บคุ คลบางคนในโลกนี้ เหน็ความเศราหมองในจีวร หรือเห็นความเศรา หมองในบาตร หรือเห็นความเศรา หมองในเสนาสนะ หรอื เห็นการบําเพ็ญทุกกรกิรยิ าตาง ๆ แลว ถือประ-มาณในความเศรา หมองน้นั ยงั ความเลือ่ มใสใหเกิดข้นึ นีเ้ รียกวา บคุ คลผูมปี ระมาณในความเศรา หมอง เลอ่ื มใสในความเศราหมอง. ก็บคุ คลผมู ีประมาณในธรรม เลอ่ื มใสในธรรมเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นศีล หรอืเหน็ สมาธิ หรอื เหน็ ปญ ญาแลว ถือประมาณในธรรมน้นั ยงั ความเลอ่ื มใสใหเกิดข้นึ น้เี รยี กวา บุคคลผูม ปี ระมาณในธรรม เลือ่ มใสในธรรม. ในบุคคล ๔ พวกนี้ ฝายบุคคลมีประมาณในรปู เห็นความเจริญข้นึและความเจรญิ เต็มท่ี ทรวดทรง ความบรบิ ูรณข องพระผูม พี ระภาคเจา ทรงมีพระฉววี รรณสวยงาม ดจุ วิจิตรดว ยรัตนะตา ง ๆ เพราะประดับประดาดว ยอนุ-พยัญชนะ ๘๐ อยาง ดุจแผน ใหญแหงทองคาํ อนั รุงเรืองดว ยหมูดาว เพราะเกล่ือนกลน ดวยมหาบุรุษลกั ษณะ ๓๒ ประการ และดจุ ทองฟา อนั แจม จํารสัโดยประการท้ังปวงฉะน้นั มพี ระสรรี ะหาที่เปรยี บมไิ ด มปี ารฉิ ัตรสงู รอยโยชนมพี ระสริ ิแวดลอ มดวยรัศมปี ระมาณหนึง่ วา สูงสิบแปดศอกแลว เลือ่ มใสในพระสัมมาสัมพุทธเจาน้นั เทียว. ฝายบุคคลมปี ระมาณในเสยี ง ไดฟ ง เสยี งทเ่ี ปนไปแลวแหงพระผมู พี ระ-ภาคเจา โดยนยั เปนตน วา ตลอดสอี่ สงไขย ยง่ิ ดวยแสนกปั พระองคทรง
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 12บําเพญ็ บารมีสิบ อปุ ปารมีสิบ ปรมัตถปารมสี บิ ทรงกระทําองั คบรจิ าค บตุ รทารบริจาค รัชชบริจาค ธนบริจาค และนยั นบรจิ าคแลวเลอื่ มใสในพระสมั มาสมั พทุ ธเจานนั้ เทียว. ฝายบุคคลมปี ระมาณในความเศราหมอง เห็นความเศราหมองในจีวรของพระผูม พี ระภาคเจา แลว คดิ วา ถา พระผูม ีพระภาคเจา อยูครองสมบตั ิ กจ็ กัทรงแตผ า ที่ทําจากเมืองกาลีเทา นั้น แตพ ระองคครนั้ ทรงผนวชแลว ทรงยินดีดว ยจวี รบงั สุกลุ อนั ทาํ ดวยปา น ทรงกระทาํ การหนัก ดังนี้ ยอ มเลือ่ มใสในพระสมั มาสัมพทุ ธเจานนั้ เทียว. เห็นแมค วามเศรา หมองในบาตรแลว คดิ วาพระผมู ีพระภาคเจา พระองคนี้ เม่ือทรงครองเรือนไดเ สวยโภชนะแหงขา วสาลีอนั มีกลิน่ หอม สมควรแกโ ภชนะของพระเจาจักรพรรดิ ในภาชนะทองคําอนัประเสรฐิ สีแดง แตค ร้ันทรงผนวชแลว ทรงถอื บาตรหิน เสดจ็ บิณฑบาตตามตรอกในประตขู องตระกลู สูง ทรงยินดีดว ยกอนขาวท่ีไดแ ลว กระทาํ กิจหนกัดงั น้ี ยอ มเลือ่ มใสในพระสมั มาสมั พทุ ธเจา นัน้ เทียว. แมไดเ หน็ ความเศราหมองในเสนาสนะแลว คดิ วา พระผูม พี ระภาคเจาพระองคน ้ี เมื่อทรงครองเรอื นมีนางฟอน ๓ พวกเปน บริวาร เสวยราชสริ ิ ดุจสมบัตทิ ิพในปราสาทท้งั ๓อนั สมควรแกฤ ดทู ัง้ ๓ บดั นี้ ทรงผนวชแลว ทรงยนิ ดีดว ยวัตถุ มีกระดานไมแผนศิลาและเตียงไมไ ผ เปน ตน ในรุกขมูลและเสนาสนะเปนตน ทรงกระทาํการหนกั ดงั น้ี ยอมเล่อื มใสในพระสมั มาสมั พุทธเจาน้ันเทยี ว. แมไดเห็นการบาํ เพญ็ ทกุ กรกิรยิ าของพระผูมีพระภาคเจา พระองคน ั้นแลว คดิ วา พระผูมีพระ-ภาคเจาทรงยงั ชีพใหเ ปน ไปดวยวัตถุ มี นํา้ ตมถ่วั เขียว นา้ํ ตม ถวั่ พู และน้าํ -ตม หเรณุ เปน ตน เพียงฟายมอื ๆ จักเจริญฌานอันไมมปี ระมาณ ไมทรงหว งใยในสรรี ะและชีวติ อยูตลอดหกป โอ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงกระทาํ กจิ ท่ีทาํ ไดยาก ดังน้ี ยอ มเลอ่ื มใสในพระสมั มาสมั พุทธเจา น้ันเทยี ว.
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 13 ฝายบุคคลมปี ระมาณในธรรม เหน็ ศีลคุณ สมาธคิ ณุ ปญ ญาคณุฌานวโิ มกข สมาธิสมบัติ สมั ปทา ความบริบูรณแ หงอภญิ ญา ยมกปาฏิหารยิ เทโวโรหณะ และความอศั จรรยหลายประการ มกี ารทรมานปาฏิกบตุ รเปน ตนของพระผูมีพระภาคเจา แลว ยอมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพทุ ธเจา น้นั เทียว. บคุ คลเหลานัน้ เลื่อมใสอยางน้ีแลว ยอมนาํ ลาภสกั การะใหญถวายแดพระผูม ีพระภาคเจา แตลาภสกั การะของเดยี รถยี ทงั้ หลายกเ็ สือ่ มไป ดจุ กาในพาเวรชุ าดก. เหมือนอยา งทา นกลา ววา นางนกยูงรอ งเสยี งไพเราะ เพราะ ไมเห็นนกยูง จึงบชู ากาในพาเวรุนน้ั ดวยเนอื้ และผลไม กใ็ นกาลใด นกยูงท่ี ถึงพรอมดว ยเสียงสูพาเวรุ ในกาลนั้น ลาภและสักการะของกาก็เส่อื มไป ในกาล ใด พระพุทธเจาผธู รรมราชา ทรงกระทาํ แสงสวา งยงั ไมอุบัตขิ ้นึ ในกาลนนั้ ชนอื่น เปน อนั มาก ไดบ ชู าสมณพราหมณทัง้ หลาย แตใ นกาลใด พระพทุ ธเจาทรงถงึ พรอ มดว ยเสยี ง ทรงแสดงธรรม ในกาล นน้ั ลาภและสักการะของเดยี รถยี ท ้ังหลาย กเ็ สอื่ มไป. เดียรถียเหลานน้ั เสื่อมจากลาภและสกั การะอยา งน้แี ลว แมจ ะยังราตรีใหสวางเพียงหน่งึ น้ิว สองน้ิว กเ็ ปน ผูเ ส่อื มจากรศั มี ดุจหิงหอ ยทงั้ หลายในเวลาพระอาทิตยขึน้ ฉะน้ัน.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 14 หิงหอยทั้งหลายยอ มแสดงออกซง่ึ แสงในราตรีขา งแรม ก็นั้นเปน นิสยั ของ หิงหอ ยเหลา น้ัน ในเวลาใด พระอาทติ ย ท่ถี งึ พรอมดว ยรัศมขี น้ึ อยู ในเวลานน้ั แสงของหมูหิงหอ ยทงั้ หลายกห็ ายไปฉันใด แมเ ดยี รถียท ง้ั หลายในโลกนี้ สว นมาก เปนเชน กับหงิ หอยฉนั นั้น ยอมแสดงคุณ ตนในโลกทีเ่ ปรยี บเหมือนขา งแรม แตใ น เวลาใด พระพุทธเจามีรัศมหี าที่เปรยี บ มิได อุบัตขิ ้นึ ในโลก ในเวลานั้น เดียรถีย ทั้งหลายกห็ มดรัศมี ดจุ หิงหอ ยทัง้ หลาย ในพระอาทิตย ฉะนน้ั .เดยี รถียเ หลา นั้น เปน ผปู ราศจากรัศมอี ยา งน้ี สรีระเกลือ่ นกลน ดวยหดิ และตอ มเล็ก ๆ เปนตน ถึงความเส่อื มอยา งยิ่ง ไปหาพระพทุ ธเจา พระธรรมพระสงฆ และทปี่ ระชมุ ของมหาชนแลว ยืนครํ่าครวญในระหวา งถนนบา งในตรอกบาง ในทางสี่แพรง บา ง ในสภาบาง รอ งประการตา ง ๆ อยางนี้วาดูกอนผูเจรญิ สมณโคดมเทา น้ันหรอื เปน สมณะ พวกเราไมเ ปนสมณะ สาวกของพระสมณโคดมเทา น้นั เปนสมณะ สาวกแมของพวกเรากไ็ มเปนสมณะ ทานท่ใี หส มณโคดมและสาวกของสมณโคดมน้ัน มีผลมาก ทานท่ใี หแกพ วกเราไมม ีผลมาก สมณโคดมกเ็ ปน สมณะดว ย พวกเราก็เปนสมณะดว ย สาวกของสมโคดมกเ็ ปนสมณะดว ย สาวกของพวกเราก็เปน สมณะดว ย ทานทใี่ หแ กสมโคดมและแกส าวกของสมณโคดมนั้นกม็ ีผลมากดวย ทานท่ีใหแ กพวกเราและแกสาวกของพวกเรา กม็ ีผลมากดวย มใิ ชหรือ ทานท้ังหลายจงใหจ งทาํ
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 15แกส มณโคดมแกส าวกของสมณโคดมนัน้ ดว ย จงใหจ งทําแกพวกเราและแกสาวกของพวกเราดวย สมณโคดมอุบัติแลวตลอดวนั กอน ๆ มใิ ชห รือ แตพวกเราเม่ือเกดิ ขน้ึ ในโลกเทยี ว ก็ไดเ กดิ แลวดงั น.ี้ ลาํ ดบั นั้น บรษิ ัทสี่ คอืภิกษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ไดฟงเสยี งของเดยี รถียเ หลานนั้ แลว กราบทลู แดพ ระผูมพี ระภาคเจาวา ขา แตพ ระองคผูเจริญ เดียรถียทงั้ หลาย กลา วคําน้ีและคาํ นี้ ดังนี.้ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงสดบั คํานัน้ แลว ตรัสวา ดูกอนภิกษุท้ังหลาย พวกเธออยาสาํ คญั วา สมณะมใี นที่อ่นื ตามคาํ พวกเดียรถยี เมอ่ืจะทรงปฏเิ สธความเปนสมณะในอญั ญเดยี รถยี ทั้งหลาย และเม่ือจะทรงอนุญาตความเปน สมณะในศาสนานี้เทานนั้ จงึ ตรสั พระสูตรแหง ความเกดิ ขึน้ ของเรอื่ งนี้อยางนีว้ า ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย สมณะมีในศาสนานเี้ ทานน้ั . ในบทนัน้ บทวา อิเธว คอื ในศาสนานีเ้ ทา นั้น. กค็ วามจํากัดน้ีพงึ ทราบแมในบทที่เหลือ. ก็สมณะทง้ั หลายแมมสี มณะท่ี ๒ เปน ตน ก็มใี นศาสนานีเ้ ทา นัน้ ไมม ีในทอี่ นื่ . บทวา สมโณ ไดแ ก พระโสดาบนั . ดว ยเหตนุ ั้นแล พระผูมีพระภาคเจา จึงตรสั วา ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ก็สมณะเปน ไฉนดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ภิกษใุ นศาสนานี้ เพราะสนิ้ ไปแหงสงั โยชนสาม เปนโสดาบัน มอี นั ไมตกต่าํ เปนธรรมดา เปน ผเู ท่ยี ง มกี ารตรสั รูเ ปน เบอ้ื งหนาดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย น้ีสมณะ. สกทาคามี ชือ่ วา สมณะท่ี ๒. ดวยเหตุนัน้ แลพระผูมีพระภาคเจา จึงตรสั วา ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย กส็ มณะท่ี ๒เปนไฉน ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ภิกษุในศาสนานเ้ี ปนสกทาคามี เพราะสงั โยชนส ามส้นิ ไปเพราะความท่ีราคะ โทสะ และโมหะ เบาบางกลบั มาสโู ลกนี้ ครง้ั เดียวเทา นั้นกจ็ ะทาํ ที่สคุ แหง ทุกขไ ด ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย นส้ี มณะท่ี ๒ ดังน้.ี พระอนาคามีชื่อวา สมณะท่ี ๓. ดว ยเหตุนั้นแล พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั วา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย กส็ มณะที่ ๓ เปนไฉน ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภิกษใุ นศาสนานี้ เพราะ
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 16ความสน้ิ ไปแหง สังโยชนเ บื้องต่ํา ๕ อยาง เปนอปุ ปาตกิ ะ ปรนิ พิ พานในภพน้ัน ไมเ วยี นกลับมาจากโลกนน้ั ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย นีส้ มณะท่ี ๓. พระอรหนั ตชื่อวา สมณะท่ี ๔ ดว ยเหตนุ น้ั เเล พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย กส็ มณะท่ี ๔ เปน ไฉน ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุในศาสนานี้ กระทาํใหแจงซึ่งเจโตวิมุตติ ปญ ญาวิมุตติ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะความสิน้ ไปแหงอาสวะทง้ั หลายดว ยอภิญญาของตนเอง เขาถึงอยูในทฏิ ฐธรรมเทยี ว ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย นีส้ มณะท่ี ๔. ทา นประสงคเอาสมณะที่ต้ังอยใู นผลส่ีในท่นี ีเ้ ทียวดว ยประการฉะน.้ี บทวา สุ ฺา ไดเเก วาง คือ เปลา. บทวา ปรปปฺ วาทาความวา วาทะวา เทีย่ ง ๔ วาทะ.วา เท่ียงเปนบางสวน ๔ วาทะวา มีทีส่ ดุ และไมมที ี่สดุ ๔ วาทะทหี่ ามความไมต าย ๔ วาทะทีเ่ กดิ ขึ้นเฉพาะ ๒ สัญญีวาทะ ๑๖อสญั ญีวาทะ ๘ เนวสญญั นี าสัญญวี าทะ ๘ อจุ เฉทวาทะ ๗ ทฏิ ฐธัมนนิพพานวาทะ ๕ แมทง้ั หมดดังกลาวมานี้ มาแลวในพรหมชาลสูตร วาทะของเหลาพาเหยี รอื่นจากน้ี ๖๒ ช่ือวา ปรัปปวาทะ. วาทะเหลา นัน้ แมท งั้ หมด วา งเปลาจากสมณะผตู ้ังอยใู นผลสเ่ี หลานี.้ ก็วาทะเหลา นนั้ ไมมใี นสมณะนั้น. ก็วาทะเหลา นน้ั ไมม อี ยางเดียวกห็ าไม แตส ูญจากสมณะเหลา นัน้ นัน่ เทียว. อน่ึง สญูจากสมณะแมส บิ สองนน่ั เทยี ว คอื จากสมณผูตัง้ อยใู นมรรคสี่บา ง จากสมณะผูวปิ สสกซึ่งปรารภเพือ่ ประโยชนแ กม รรคสี่บาง. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงหมายถงึ เนอื้ ความนีน้ น้ั เอง จึงตรสั ไวในมหาปรินิพพานสตู รวา ดูกอนสุภทั ทะเรามวี ยั ได ๒๙ ป บวช แลว ตามแสวงหาอะไรเปน กุศล ดูกอ น สภุ ัททะตง้ั แตเ ราบวชแลว ได ๕๐ ปเศษ แมสมณะผเู ปนไปในประเทศแหงธรรม
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 17 เปนเครื่องนําออก ไมมใี นภายนอกแต ธรรมวนิ ยั น้ี.สมณะแมท ่ี ๒ กไ็ มมี สมณะแมท ี่ ๔ กไ็ มม ี ลทั ธิของศาสดาอ่นื วางเปลาจากสมณะผรู ทู ว่ั ถงึ . กท็ านประสงคเ อาผูปรารภวปิ สสนาวา ปเทสวตตฺ ี ในมหาปรินพิ พานสูตรนน้ั . เพราะฉะน้ัน พระองคท รงกระทําผปู รารภวปิ ส สนาเพ่อืโสดาปต ตมิ รรคผตู งั้ อยใู นมรรค ผตู ง้ั อยใู นผล แมท ง้ั ๓ ดังกลาวเขา ดวยกันแลว ตรัสวา แมส มณะกไ็ มมดี ังน.้ี ทรงกระทําผูปรารภวิปส สนาเพ่ือสกทา-คามิมรรคผตู งั้ อยูในมรรค ผตู ั้งอยูใ นผล แมทง้ั ๓ ดังกลา วเขา ดว ยกนัตรสั วา สมณะแมท ี่ ๒ กไ็ มม ี. ในบททั้ง ๒ แมน ้ี ก็นยั น้ีเชน เดียวกัน. กส็ มณะเหลานน้ั ไมมีในลัทธอิ นื่ เพราะเหตุไร. เพราะลทั ธอิ ่ืนนน้ั ไมมเี ขต.ก็เมล็ดผักกาดยอ มไมต้ังอยูใ นปลายเหลก็ แหลม ไฟไมล ุกโพลงในหลงั นํ้า พชืทั้งหลายยอ มไมงอกในแผนหนิ ฉนั ใด สมณะเหลาน้ียอ มไมเกดิ ในลัทธเิ ดยี รถียภายนอก ฉันนั้นเหมือนกัน. ในศาสนานีเ้ ทาน้นั . เพราะเหตุไร. เพราะศาสนานี้มีเขตดี. ก็ความทีล่ ทั ธเิ ดียรถยี ไมมีเขต และความทศี่ าสนาน้มี เี ขตน้นี ้นัพงึ ทราบโดยความไมมี และความมอี ริยมรรค. ดว ยเหตุนั้น พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรัสวา ดูกอ นสภุ ัททะ มรรคมีองคแ ปดอนั ประเสริฐอันบคุ คลไมไ ดใ นธรรมวินัยใดแล แมส มณะก็ไมไดใ นธรรมวนิ ยั นั้น สมณะแมท ่ี ๒ กไ็ มไ ดใ นธรรมวนิ ยั นน้ั สมณะแมท ่ี ๓ ก็ไมไดในธรรมวินัยนั้น สมณะแมที่ ๔ ก็ไมไดใ นธรรมวนิ ยั น้ัน ดูกอนสภุ ัททะ มรรคมีองคแ ปดอนั ประเสรฐิ ยอมไดใ นธรรมวินัยใดแล แมส มณะยอ มไดในธรรมวนิ ยั นนั้ สมณะแมท ่ี ๒ กย็ อมไดใ นธรรมวนิ ัยนัน้ ฯลฯ สมณะแมท ี่ ๔ กย็ อมไดใ นธรรมวินัยนนั้ ดูกอ นสภุ ัททะมรรคมีองคแปดอันประเสริฐยอมไดใ นธรรมวินยั น้ันแล ดูกอ นสุภัททะสมณะมีในศาสนานเี้ ทานน้ั สมณะท่ี ๒ กม็ ีในศาสนาน้ี สมณะที่ ๓ กม็ ีใน
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 18ศาสนาน้ี สมณะที่ ๔ ก็มใี นศาสนาน้ี ลัทธขิ องศาสดาอ่นื สูญจากสมณะผรู ูท่ัวถึง ดังน.้ี เพราะลทั ธิเดยี รถียไ มม เี ขต ศาสนามีเขตอยางนี้ เพราะฉะน้นัไกสรสีหะมแี สงสวา งพราวแพรว เปนพระยาเนือ้ ซ่ึงมีเทา หนา และเทา หลังแดงจัด ยอ มไมอาศัยอยใู นปาชา หรอื กองหยากเยือ่ แตเ ขาไปสหู ิมวนั ตซ งึ่กวางสามพนั โยชน อยูในถาํ้ แกวมณีฉันใด. พระยาชา งฉทั ทันต ยอมไมเกิดในตระกลู ชา ง ๙ มตี ระกูลชางโคจริยะเปน ตน แตเกดิ ในตระกลู ชางฉัททนั ตเทา นนั้ ฉันใด. พระยามา วลาหกไมเกิดในตระกลู ลา หรอื ในตระกลู อูฐ แตเ กิดในตระกลู มา สินธพทฝ่ี ง แมน ้าํ สนิ ธเุ ทาน้นั ฉันใด. มณรี ัตนะอนั นําความพอใจใหส งิ่ ของท่ีประสงคท ุกอยา ง ยอมไมเ กดิ ในกองหยากเยือ่ หรอื ในภูเขา มภี เู ขาดินเปนตน ยอมเกิดในระหวา งภเู ขาวิบุลบรรพตเทา นั้นฉันใด. พระยาปลาตมิ ิรมงิ คละ ยอ มไมเกิดในบอ และสระโบกขรณีเล็ก ๆ ยอ มเกดิ ในมหา-สมทุ รท่ลี ึกได ๘๔,๐๐๐ โยชนเ ทาน้ันฉนั ใด. พระยาครฑุ ใหญ ๑๕๐ โยชนยอ มไมอ าศยั อยูใ นปา มีปา ละหุง เปนตน ทีใ่ กลป ระตบู าน แตบินขา มมหาสมทุ รแลว อาศัยอยใู นสมิ พลทิ หวันเทานน้ั ฉันใด. พระยาหงสทองธตรฏั ฐะ ไมอาศัยอยใู นท่ีท้ังหลาย มีบอ นาํ้ เปน ตน ที่ใกลป ระตูบา น แตม หี งส ๙๐,๐๐๐ ตัวเปนบรวิ าร อาศัยอยูในภเู ขาจิตตกูฏบรรพตเทาน้ันฉนั ใด. และพระเจาจกั ร-พรรดผิ ูเปน ใหญใ นทวีปทัง้ สี่ ยอ มไมเ กิดในตระกูลตํ่า แตย อ มเกดิ ในตระกูลกษตั รยิ ท ีไ่ มเจอื ปนเทานนั้ ฉันใด. ในสมณะเหลาน้ี แมส มณะหน่งึ ก็ไมเกิดในลทั ธิของอญั ญเดียรถยี แตย อ มเกิดในพระพทุ ธศาสนา ซึง่ แวดลอ มดว ยอริยมรรคเทานัน้ ฉนั นั้นเหมอื นกนั . เพราะเหตนุ ั้น พระผมู พี ระภาคเจา จงึตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย สมณะมใี นศาสนานี้เทา นน้ั ฯลฯ ลัทธิของศาสดาอ่ืนวางเปลา จากสมณะทง้ั หลาย ผรู ทู ัว่ ถึง ดังน้ี.
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 19 บทวา สมฺมา ในบทวา สมฺมา สีหนาท นทถ นนั้ ไดแกโดยเหตุ โดยนยั โดยการณ. บทวา สหี นาท คือ การบนั ลอื ท่ีประเสรฐิท่สี ดุ คือ การบนั ลอื ที่ไมนากลวั การบนั ลอื ท่ไี มติดขัด. ก็เพราะความที่สมณะสีเ่ หลาน้มี อี ยูใ นศาสนานเ้ี ทา นนั้ การบันลือน้ีเปนการบันลอื สงู สดุ ชือ่ วาการบนั ลือท่ปี ระเสรฐิ ที่สุด. การบันลอื ของภกิ ษผุ กู ลาววา สมณะเหลานีม้ ีในศาสนาน้ีเทา น้ัน ชอื่ วา การบนั ลือท่ีไมน า กลวั เพราะภัยหรือความหวาดระแวงจากทอี่ ่นื ไมมี. การบันลอื น้วี า สมณะเหลา นี้มอี ยใู นศาสนาแมของพวกเรา ช่ือวาการบนั ลือไมต ิดขดั เพราะความท่ีบรรดาเจาลัทธทิ ้งั หลายมีปูรณะเปน ตน แมคนหนง่ึ ก็ไมสามารถเพอ่ื จะลกุ ขึ้นกลาวได. ดวยเหตุน้นั ทา นจงึ กลาววา บทวาสีหนาท คือ การบนั ลือที่ประเสริฐทสี่ ดุ คือ การบันลือทไ่ี มนา กลวั การบนั ลือทไ่ี มต ิดขดั ดงั น้ี. บทวา าน โข ปเนต วิชชฺ ติ ความวา ก็การณนแี้ ลมีอย.ู บทวา ย อฺติตฺถิยา คือ พวกอญั ญเดียรถยี โดยการณใด. อน่งึ . พงึ ทราบตดิ ถะ พงึ ทราบติตถกร พึงทราบเดยี รถีย พึงทราบตดิ ถยิ สาวกในทน่ี ้.ี ทิฏฐิ ๖๒ อยาง ช่ือวา ตติ ถะ. ก็สัตวท ง้ั หลายยอ มขา มยอ มลอยไป ยอ มกระทาํ การผุดขน้ึ ดาํ ลงในทาน้ัน เพราะฉะนนั้ จึงเรยี กวาตติ ถะ แปลวา เปนท่ขี ามของสตั วทงั้ หลาย. ความทใ่ี หท ฏิ ฐเิ หลา นั้น เกดิ ขึ้นช่ือวา ติตถกร แปลวา เจาลัทธ.ิ ผูถอื ลัทธขิ องเจาลัทธิน้ันแลว บวช ชอื่วาเดยี รถยี . ผูใหปจจยั แกเ ดียรถยี เ หลา นั้น พึงทราบวา ตติ ถยิ สาวก แปลวาสาวกของเดยี รถีย. ผูท่ลี ะความผูกพนั ทางฆราวาสแลว ถงึ การบวชชือ่ วาปรพิ าชก. ที่พึ่ง การดาํ รง การบํารงุ ชื่อวา อสั สาสะ เรย่ี วแรง ชือ่ วาพละ. บทวา เยน ตุมเฺ ห ความวา พวกเธอจงกลาวอยางน้ดี ว ยอัสสาสะหรือพละใด. ในบทนว้ี า ทา นผมู ีอายทุ ้งั หลาย ธรรม ๔ ประการ อันพระ-ผูม ีพระภาคเจา พระองคนัน้ ผรู ู ผูเหน็ เปน พระอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 20ตรสั แลว มีอยู ดงั น้ี มเี นือ้ ความโดยยอดังน้ี. พระผมู ีพระภาคเจา พระองคนน้ัใด บําเพญ็ บารมี ๓๐ ทัด กําจดั กเิ ลสทัง้ ปวง ตรสั รูโดยชอบย่งิ ซ่ึงสัมมา-สมั โพธิอนั ยวดยงิ่ พระผมู พี ระภาคเจาพระองคน นั้ ผรู อู าสยานุสยั ของสัตวเหลานั้น ๆ ผูเห็นธรรมที่ควรรทู ง้ั หมด เหมอื นมะขามปอมท่ีวางไวบนฝา มอืฉะนั้น. อนึ่ง ทรงรดู ว ยญาณท้งั หลายมปี ุพเพนิวาสญาณเปน ตน ทรงเห็นดว ยทพิ ยจกั ษ.ุ อนง่ึ ทรงรดู วยวชิ ชา ๓ หรือ อภิญญา ๖ ทรงเหน็ ดวยสมันต-จักษุ อันไมติดขัดในท่ีทัง้ ปวง. ทรงรูดวยปญ ญาอันสามารถทีจ่ ะรธู รรมท้งั ปวงทรงเห็นรูปท้งั หลายที่ลว งจักษวุ ิสัยของสตั วท้งั ปวง หรือทอี่ ยใู นกําแพงเปน ตนดวยมังสจกั ษอุ ันหมดจดยงิ่ ทรงรดู ว ยปฏเิ วธปญญาอนั เปนปทฏั ฐานแหงสมาธิอนั ยง่ิ ประโยชนต นใหสาํ เรจ็ ทรงเหน็ ดว ยเทศนาปญญา อันเปนปทฏั ฐานแหงกรุณา อันยงั ประโยชนคนอนื่ ใหส าํ เร็จ. ชื่อวา เปน พระอรหนั ต เพราะความทกี่ ิเลสอันเปน ขา ศกึ ทั้งหลายทรงละไดแลว และเพราะความท่พี ระองคเ ปนผูสมควรแกป จจยั เปน ตน . ช่ือวา สัมมาสัมพุทธะ เพราะความท่ีสจั จะท้งั หลายอนั พระองคตรสั รแู ลวโดยชอบ และดว ยพระองคเอง. อน่งึ ทรงรธู รรมอนัประกอบดวยอันตรายทง้ั หลาย ทรงเห็นธรรมอันเปน เคร่ืองนําสัตวอ อกจากทกุ ขทง้ั หลาย ช่ือวา เปนพระอรหนั ต เพราะความทีข่ าศกึ คอื กิเลศทงั้ หลายอันพระองคล ะไดแลว ชือ่ วา สมั มาสัมพทุ ธะ เพราะความทีธ่ รรมท้ังปวงอนั พระองคตรสั รแู ลว ดวยพระองคเอง อนั มหาชนชมเชยแลว ดว ยอาการ ๔ดว ยสามารถแหงเวสารชั ชะ ๔ ไดตรสั ธรรม ๔ ดว ยประการฉะนี.้ พวกเราใด เหน็ ธรรมเหลา นใี้ นตน จงกลาวอยางนี้ จงอยากลา วถึงการบาํ รงุ ชว ยเหลอืหรือกาํ ลังกายของพระราชาและราชมหาอาํ มาตยเปน ตน. บทวา สตฺถริปสาโท ไดแกค วามเลอื่ มใสทีเ่ กิดขึ้นแกผูร ะลึกถงึ พุทธคุณโดยนัยมีอาทิวาแมเ พราะเหตนุ ี้ พระผูมพี ระภาคเจาพระองคนน้ั . บทวา ธมเฺ ม ปสาโท
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 21ไดแ ก ความเลอื่ มใสท่เี กิดข้นึ แกผูร ะลึกถงึ โดยนัยมีอาทวิ า พระธรรมอันพระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวดีแลว. บทวา สเี ลสุ ปริปูรการติ า คอื ความเปนผกู ระทาํ บรบิ ูรณในศีลทงั้ หลายอนั พระอริยเจา ใครแ ลว . ศลี หา ช่ือวา อริย-กนั ตศลี จริงอยู พระอริยสาวก แมอยูใ นระหวา งภพ แมเ มอื่ ไมร คู วามทต่ี นเปน พระอริยเจา กไ็ มล วงละเมดิ ศลี หา เหลาน้ัน ถาจะมีใครพึงกลาวกะอริยสาวกนัน้ วา ขอใหท านรับเอาราชสมบตั ขิ องพระเจา จักรพรรดิ ทง้ั สิน้ นแ้ี ลว จงปลงแมลงวนั ตัวเลก็ จากชีวิต ดงั น้.ี ขอที่พระอรยิ สาวกจะพงึ ทาํ ตามคาํ ของผูน ้ันน้นั ไมเปนฐานะจะมไี ด. ศลี ท้ังหลาย เปน ทใ่ี คร คอื เปน ที่รัก เปนที่ชอบใจของพระอริยเจา ท้ังหลายดวยประการฉะน.้ี ทรงหมายถึงศลี เหลานนั้ จงึ ตรัสวาความเปนผทู าํ บรบิ ูรณใ นศลี ทัง้ หลาย ดงั น.ี้ บทวา สหธมมฺ กิ า โข ปนไดแก ผมู ปี กตปิ ระพฤตธิ รรมรวมกัน ๗ พวก นน่ั คอื ภกิ ษุ ภิกษณุ ีสิกขมานา สามเณร สามเณรี อบุ าสก อบุ าสกิ า. จริงอยู ในสหธรรมจารีเหลา นัน้ ภกิ ษุ ชือ่ วา ประพฤติธรรมรว มกับภกิ ษุท้งั หลาย เพราะความเปนผมู สี ิกขาเสมอกนั ภิกษณุ ี กป็ ระพฤติธรรมรวมกับภกิ ษุณีทง้ั หลายเชนเดียวกันฯลฯ อุบาสกิ า ก็ประพฤตธิ รรมรว มกบั อบุ าสกิ าทั้งหลาย พระโสดาบันก็ประพฤตธิ รรมรว มกับพระโสดาบันทัง้ หลาย พระสกทาคามฯี ลฯ พระอนาคามีกพ็ ระพฤติธรรมรว มกบั พระอนาคามที ัง้ หลาย เพราะฉะนั้น สหธรรมจารีเหลานัน้ ท้ังหมดแล เรียกวา สหธัมมิก. อนึ่ง ในท่ีนี้ ทา นประสงคพ ระ-อริยสาวกอยางเดยี ว. เพราะพระอรยิ สาวกเหลา นั้น ไมม ีความวิวาทในการเห็นมรรคแมในระหวา งแหง ภพ เพราะฉะนนั้ พระอรยิ สาวกเหลานนั้ จึงชือ่ วาสหธัมมกิ . เพราะมปี กตพิ ระพฤติธรรมอันเดยี วกนั โดยแท. ทานแสดงความเลอื่ มใสทีเ่ กิดแกผรู ะลกึ ถงึ พระสงฆโ ดยนยั มีอาทวิ า พระสงฆสาวกของพระผมู ีพระภาคเจา เปน ผูปฏิบตั ิดี ดว ยบทนี.้ องคท ้งั หลายแหง พระโสดาบันสี่เปน
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 22อนั ทา นแสดงแลว ดวยประการเพียงนี้. บทวา อเิ ม โข โน อาวุโสความวา ดกู อ นผมู อี ายุ ธรรมส่ีเหลาน้อี นั พระผูมพี ระภาคเจา พระองคน ้ันตรสั วา เปน ความม่ันใจ และเปน กาํ ลังของพวกเรา. พวกเราใด เลง็ เหน็ธรรมเหลาน้ีในตน จงกลาวอยา งน.ี้ ปริพาชกแสดงอางศาสดาท้งั หก มีปรู ณกัสสป เปน ตน ดว ยบทนวี้ า ผูใด เปนศาสดาของพวกเรา. ก็บดั น้ีมคี วามรักอนั อาศยั เรอื นวา อาจารยของพวกเรา อปุ ช ฌายข องพวกเรา ในบคุ คลทั้งหลายมีอาจารยแ ละอปุ ชฌายเ ปนตน ในศาสนา โดยประการใด ปริพาชกกลา ววา ความเลอ่ื มใสในศาสดา หมายถงึ ความรกั เหน็ ปานน้นั . ก็พระเถระกลาววา เพราะพระศาสดาไมใ ชเ ปนของคนเดียว ไมใ ชเ ปน ของสองคน แตเปนพระศาสดาพระองคเดียวเทา นั้น ของโลก พรอมกับเทวโลก เพราะฉะนน้ัเดียรถยี ทง้ั หลายไดแบง ศาสดาออกเปนแผนก ดวยบทเดยี วเทาน้นั วา ศาสดาของพวกเรา เปน อนั พลาดแลว แพแลว ดว ยบทนี้เทยี ว ดงั น.้ี กใ็ นบทวาธมเฺ ม ปสาโท น้ี ปรพิ าชกท้งั หลายสําคญั วา ทฆี นิกายของพวกเรามชั ฌมิ นิกายของพวกเราในศาสนาในบดั นี้ ฉนั ใด ยอ มกลา วหมายถงึ ความรักอันอาศัยเรอื นในปรยิ ตั ธิ รรมของตน ๆ ฉนั น้ัน. บทวา สเี ลสุ คือ ในศีลทง้ั หลาย มีศลี แพะ ศลี โค ศลี แกะ และศีลสนุ ขั เปนตน. ปรพิ าชกทงั้ หลายกลา วหมายถึงความเลื่อมใสวา อธิ ในบทนวี้ า อิธ โน อาวโุ ส ดงั นี้.บทวา โก อธปิ ฺปาโย ไดแก การประกอบขอประสงคอ ะไร. บทวา ยทิทความวา ปริพาชกทัง้ หลายเปน ผูมีธุระเสมอกนั ดาํ รงอยดู ว ยถอยคาํ วา ทา นพงึ กลา วขอ ท่ีกระทาํ ใหต า งกนั ระหวา งของพวกทานและของพวกเรานใ้ี ด ขอ น้ันเปน ความเล่อื มใสในฐานสีแ่ มข องพวกทาน ช่อื ไร กเ็ ปนความเลอื่ มใสในฐานเดียวกนั กับของพวกเราดวยมิใชหรือ พวกทานและพวกเราเปนเชน กับพวกเดียวกนั ดจุ ทองคําที่แตกออกเปน ๒ สว นแลว ฉะนนั้ . ลําดบั นั้น พระผมู ี
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 23พระภาคเจา เม่อื จะทรงทําลายความเปน ผูมธี รุ ะเสมอกันนัน้ ของปริพาชกเหลานน้ั จงึ ตรัสวา เอว วาทิโน ดังน้เี ปน ตน . บรรดาบทเหลาน้ัน บทวาเอกา นฏิ า ความวา พระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา พวกเธอจงถามอยา งนว้ี าความสําเร็จอนั เปนทสี่ ุดแหงความเลอื่ มใสน้ันใด ความสําเรจ็ นนั้ มอี ยา งเดยี วหรอื มมี ากอยา ง. กเ็ พราะชอ่ื ผูบ ญั ญตั คิ วามสาํ เร็จในลทั ธินัน้ ๆไมม ี อสัญญีภพจึงถกู กาํ หนดอยา งนว้ี า กพ็ รหมโลกเปน ของพวกพราหมณ ความสาํ เรจ็ คือความดับมอี ยา งเดียว อาภสั สราเปน ของพวกดาบส สภุ กิณหาเปน ของพวกปร-ิพาชก โดยท่ีสดุ เปน ของพวกอาชวี ก. ก็อรหัต คอื ความสําเรจ็ ในศาสนาน้ี.ก็พวกปรพิ าชกเหลา นั้นทง้ั หมดยอ มกลา ววา อรหตั เทาน้นั คอื ความสําเรจ็ .อนงึ่ ยอ มบญั ญตั ิโลกท้งั หลายมพี รหมโลกเปน ตน ดวยอาํ นาจทฏิ ฐิ เพราะฉะนัน้ จงึ บญั ญตั คิ วามสําเร็จมอี ยา งเดียวเทาน้นั ดว ยอํานาจแหง ลัทธขิ องตน ๆ.พระผมู พี ระภาคเจา เพ่ือทรงแสดงความสาํ เรจ็ นน้ั จงึ ตรัสวา เม่ือจะพยากรณโดยชอบ ดังน้ีเปน ตน. บดั น้ี ครน้ั เมอ่ื ความสาํ เรจ็ ๒ อยา ง คือ ความสาํ เร็จมีอยางเดยี วในศาสนานีส้ าํ หรับภกิ ษทุ ้ังหลายดว ย ความสําเร็จมอี ยา งเดียวสาํ หรับเดยี รถียท้ังหลายดว ย ดํารงอยูเ หมอื นลกู ความทั้งหลายฉะน้นั พระผมู ีพระภาคเจาเมื่อทรงแสดงวตั รแหง การประกอบเนืองๆ จงึ ตรัสวา ดกู อ นผูมีอายทุ ้งั หลาย กค็ วามสาํ เร็จนน้ั เปนของผมู รี าคะ หรอื ของผูปราศจากราคะ ดังนีเ้ ปนตน . ในท่นี ้ีเพราะธรรมดาความสาํ เร็จของผูมกี ิเลสท้งั หลายมีผอู ันราคะยอ มเปน ตน ไมม ีเพราะฉะน้นั จงึ ทรงแสดงพยากรณโดยนยั มีอาทิวา ดูกอ นผูม อี ายทุ ั้งหลาย ความสําเรจ็ น้นั เปนของผปู ราศจากราคะแกเ ดียรถยี ทง้ั หลาย ผูเหน็ โทษนี้วา ผวิ าแมสุนขั บานและสุนัขจงิ้ จอกเปน ตน จะพงึ มไี ซร ก็จะพึงมี ดังน.ี้ บรรดาบทเหลานั้น บทวา วิทฺทสโุ น ไดแ ก บณั ฑิต. บทวา อนุรุทฺธปฏวิ ริ ุทธฺ สสฺ ได
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 24แก ผยู นิ ดดี ว ยราคะผยู ินรายดว ยความโกรธ. ในบทวา ปปฺจารามสฺสปปจฺ รตโิ น นนั้ สตั วทง้ั หลายยอมยินดใี นความเนน่ิ ชาน้นั เพราะฉะนัน้ความเนิ่นชาน้นั จึงชอื่ วา อาราโม เปน ที่มายนิ ดี. ความเนน่ิ ชาเปน ทมี่ ายนิ ดีของบุคคลนัน้ เพราะฉะน้นั บุคคลน้นั จึงช่ือวา ปปฺจาราโม แปลวา ผมู ีความเนิน่ ชา เปน ทม่ี ายนิ ดี. ความยินดใี นความเน่นิ ชา ของบุคคลนนั้ เพราะฉะน้ัน บคุ คลน้นั จงึ ช่ือวา ปปฺจรตี ผูยนิ ดใี นความเน่นิ ชา . บทวา ปปโฺ จน้นั เปนชือ่ ของตณั หาทฏิ ฐแิ ละมานะ อนั เปนไปแลว โดยความเปน อาการของผมู ัวเมาและผูประมาทแลว. กใ็ นทนี่ ี้ ทานประสงคเ ฉพาะตัณหาและทิฏฐิเทาน้นั . กเิ ลสอยา งเดยี วเทานน้ั มาแลว ในฐานะ ๕ วา ของผมู ีราคะเปน ตน พงึทราบอาการและความเปน ตาง ๆ ของกิเลสนนั้ . กท็ า นถอื เอากเิ ลสดวยอาํ นาจราคะท่ีเจอื ดวยกามคณุ หา ในทที่ า นกลาววา สราคสสฺ . ถอื เอากเิ ลสดวยอาํ นาจภวตณั หาในบทวา สตณฺหสสฺ . ถือเอากิเลสดวยอาํ นาจการยึดถือในบทวาสอปุ าทานสสฺ . ถอื เอากเิ ลสดวยอาํ นาจคใู นบทวา อนรุ ทุ ฺธปฏวิ ิรทุ ฺธสสฺ .ถือเอากเิ ลสดว ยอํานาจการแสดงความเกิดขึน้ ของกเิ ลสเคร่อื งเนิน่ ชา ในบทวาปปฺจรามสฺส. อกี อยา งหนึ่ง ถือเอากเิ ลสดวยอํานาจอกศุ ลมูลในบทนวี้ าสราคสสฺ . ถอื เอากิเสสดว ยอาํ นาจอุปาทาน เพราะตัณหาเปน ปจ จยั ใหบทนว้ี าสตณหฺ สสฺ . บทที่เหลือก็เชนกบั บทกอ นน้ันเทยี ว. กพ็ ระเถระกลา ววา ทา นจงกําจัดอยา งนเ้ี พราะเหตไุ ร เพราะโลภตัวเดยี วน้เี ทานั้นกลาววา ราคะ ดวยอํานาจแหงความยินดี ก็ช่ือวา ตณั หา ดวยอํานาจการกระทาํ ความทะยานอยากช่อื วา อปุ าทาน ดว ยอรรถวายดึ ถือ ชือ่ วา ความยนิ ดีและความยินราย ดว ยอํานาจคู ช่อื วา ปปญจะ ดวยอรรถวา เกดิ ขึน้ แหง กิเลสเครอื่ งเน่นิ ชา. บัดน้ีพระผมู ีพระภาคเจาเมือ่ จะทรงแสดงทิฏฐวิ าทะอนั เปนรากเหงาของกิเลสเหลา นี้จึงตรสั วา เทฺวมา ภกิ ขฺ เว ทิฏโิ ย ดังนเี้ ปน ตน. บรรดาบทเหลา น้ัน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 25บทวา ภวทิฏิ ไดแ ก ความเห็นวาเท่ียง. บทวา วภิ วทิฏ ิ ไดแกความเหน็ วา ขาดสูญ. บทวา ภวทฏิ ิ อลลฺ ีนา ความวา ผแู อบองิ ความเหน็ วา เท่ียงดว ยอาํ นาจตณั หาทฏิ ฐิ. บทวา อุปคตา ความวา เขา ถึงดวยอํานาจตณั หาทฏิ ฐเิ ทยี ว. บทวา อชฺโฌสิตา ความวา ตามเขาไปดวยอาํ นาจตัณหาทิฏฐนิ ้ันเทียว. บทวา วิภวทฏิ ิยา เต ปฏิวริ ทุ ธฺ า ความวา สมณะหรอื พราหมณเ หลานัน้ ทัง้ หมด เปนผูยินรายวา พวกทา นโงเ ขลาพรอ มดว ยผูกลา ววาขาดสญู ไมร วู า โลกน้เี ท่ียง โลกนไ้ี มขาดสูญ ขวนขวายในการทะเลาะเปนนิตยอย.ู แมใ นวาระทสี่ อง ก็นัยนี้เหมอื นกัน. ในบทมวี า สมุทยฺจเปนตน แดนเกดิ ของทิฏฐิทง้ั หลายมีสองอยาง คือ ขณกิ สมทุ ัย ๑ ปจ จยสมุทัย๑. ความเกิดของทิฏฐิท้งั หลาย ชอ่ื วา ขณิกสมทุ ัย ฐานะท่ีตั้งอยไู มไดแหงทฏิ ฐทิ ้ังหลาย ชอื่ วา ปจจยสมุทัย. อยางไร. คือ ขันธก ด็ ี อวิชชากด็ ี ผสั สะกด็ ี สัญญาก็ดี วิตกก็ดี อโยนโิ สมนสิการก็ดี ปาปมิตรกด็ ี เสยี งกึกกองอยางอ่นื ก็ดีจดั เปนทิฏฐิฐานะ. ขนั ธท้ังหลายเปน เหตุ ขนั ธท ้งั หลายเปนปจ จยั แหง ความเกิดข้ึนของทิฏฐิทงั้ หลาย เพราะอรรถวาต้งั ข้นึ พรอ ม. แมข ันธทั้งหลายชื่อวาทิฏฐิฐานะ ดว ยประการฉะนี้. อวิชชา ผสั สะ สัญญา วิตก อโยนโิ สมนสิการปาปมิตร เสียงกึกกอ งฝายอ่นื เปนเหตุเปน ปจ จยั แหงความเกดิ ขน้ึ ของทฏิ ฐิท้งั หลาย เพราะอรรถวา ต้ังขน้ึ พรอม. แมเสียงกกึ กองฝายอนื่ ช่อื วา ทฏิ ฐิฐานะดว ยประการฉะน้ี. แมการต้ังอยูไมไ ดมีสองอยางเทานนั้ คอื ขณกิ ตั ถังคมะ ๑ปจ จยั ตถงั คมะ ๑. ความสิน้ ความเสอื่ ม ความแตก ความสลาย ความไมเที่ยงความหายไป ช่อื วา ขณกิ ตั ถงั คมะ โสดาปตติมรรค ชื่อ ปจ จยั ตถงั คมะ.กโ็ สดาปตติมรรค ทา นกลาววา ทาํ ลายพรอ มซ่ึงทฏิ ฐทิ ั้งหลาย. บทวา อสฺสาทคอื กลา วหมายถึงอานิสงสอันมที ิฏฐิเปนมลู . อธิบายวา พระศาสดาทรงมที ฏิ ฐิใดสาวกทั้งหลายก็เปน ผูม ที ฏิ ฐนิ ้นั สาวกท้งั หลาย ยอ มสักการะ เคารพ นับถือ
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 26บูชายอ มไดพระศาสดาทรงมที ฏิ ฐิใด ทิฏฐินั้นเปน ตน เหตแุ หงจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ. คลิ านปจ จัย เภสัชและบรขิ ารทงั้ หลาย ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย น้ีเปนอานสิ งสท ่ีประกอบดว ยทฏิ ฐธิ รรมแหง ทฏิ ฐ.ิ บทวา อาทนี ว ไดแก อปุ ททวะซึ่งมกี ารยดึ ถอื ทฏิ ฐเิ ปนมูล. อาทีนพนนั้ พึงทราบดวยอํานาจแหง วตั รท้งั หลายมีอาทิวา วัคคลุ วิ ัตร อุกกุฏกิ ปธานะ กณั ฏกาปสสยตา ปญ จาตปตัปปนะมรปุ ปปาตปตนะ เกสมสั สุโลจนะ อัปปาณกฌาน. บทวา นิสฺสรณ ไดแกนพิ พาน ชอื่ วา สลดั ออกซงึ่ ทฏิ ฐิทั้งหลาย. บทวา ยถาภูต นปปฺ ชานนฺติความวา สมณะหรอื พราหมณเ หลา ใด ไมร ูส มุทยั เปนตน นนั้ ท้งั หมด ตามสภาวะ. บทวา น ปริมจุ จฺ นตฺ ิ ทกุ ฺขสฺมา ความวา ไมห ลุดพนจากวฏั ฏทกุ ขท้ังสนิ้ . ดว ยบทนี้ ทรงแสดงวา ชอื่ วา ความสําเร็จของสมณะหรอื พราหมณเหลา นนั้ ไมม .ี บทวา ปริมุจฺจนตฺ ิ ทกุ ฺขสฺมา ความวา ยอมหลดุ พน จากวัฏฏทุกขทั้งส้นิ . ดวยบทน้ี ทรงตง้ั ไวซง่ึ ความสาํ เรจ็ มใี นศาสนาเทานัน้ ดุจทรงตดั สินคดีของลกู ความท้งั สองวา ความสําเรจ็ ของสมณะหรือพราหมณเหลานัน้ มีอยู ดงั น้.ี บัดน้ี พระผมู ีพระภาคเจา เมื่อจะทรงแสดงการตดั ทฏิ ฐิ จึงตรสั วาดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย อปุ าทาน ๔ อยา งเหลาน้ีเปนตน. กถาวา ดวยความพิสดารของอุปาทานเหลานนั้ ไดก ลา วแลวในวิสทุ ธมิ รรคนน้ั เทียว. บทวา สพฺพปู า-ทานปริฺาวาทา ปฏชิ านมานา ความวา ปฏญิ าณอยางนวี้ า เราทั้งหลายยอ มกลาวความรอบรู คอื ความกาวลว งอปุ าทานทกุ อยา ง. บทวา น สมฺมาสพพฺ ูปาทานสฺส ปริฺ ปฺ เปนฺติ ความวา ยอ มไมบ ญั ญตั ิการกาวลวงอุปาทานทุกอยา งโดยชอบ. บางพวกบัญญตั ิความรอบรเู พียงกามปู าทานเทานน้ับางพวกบัญญตั คิ วามรอบรูเพยี งทิฏปุ าทาน บางพวกบัญญตั คิ วามรอบรูแ มเพยี งสีลพั พตูปาทาน. แตผ ชู ือ่ วาบญั ญัติความรอบรูอตั ตวาทูปาทานไมม.ี ก็
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 27เมอื่ จะทรงแสดงการจําแนกอปุ าทานเหลานน้ั จึงตรัสวา บัญญตั ิความรอบรูกามปู าทานดงั นเ้ี ปนตน. ในอปุ าทานเหลา นั้น สมณพราหมณแ มท ้ังหมดบญั ญตั ิความรอบรูกามปู าทานเทา นนั้ . กแ็ มค วามเห็นนอกรีตนอกรอย ๙๖ประการ ก็คือ กามแล อนั บรรพชติ ไมพ งึ เสพ เพราะฉะนน้ั สมณพราหมณจงึ ไมบ ญั ญตั ิวาผเู สพวตั ถุ ยอมควร กระทาํ ใหเ ปนอกัปปย เทา นนั้ แลว จงึบญั ญัติ. กบ็ คุ คลเหลาใดเสพ บุคคลเหลานัน้ เสพโดยไถยจิต. เพราะฉะนน้ัจงึ ตรัสวา ยอมบัญญัตคิ วามรอบรกู ามปู าทาน ดงั นี.้ เพราะสมณพราหมณถอื วาทานทใ่ี หแ ลว ไมมผี ล ดังนเี้ ปนตน เท่ยี วไป ยอมถอื วา ความบริสทุ ธด์ิ ว ยศีล ความบรสิ ทุ ธิด์ ว ยวตั ร ไมใชค วามบริสุทธิ์ดว ยภาวนา ชื่อวาไมสละอัตตุปลทั ธิ เพราะฉะน้นั จงึ ไมบัญญตั ิความรอบรูทิฏูปาทานอตั ตวาทูปา-ทาน. บทวา ต กิสฺส เหตุ ความวา การไมบ ญั ญัตนิ นั้ เปนเหตุไร เเหงอุปาทานเหลาน้นั คือ เพราะเหตไุ ร. บทวา อิมานิ หิ เต โภนโฺ ต ความวา เพราะสมณพราหมณเ หลา นั้น ไมรูการณ ๓ อยา งนต้ี ามสภาวะ. ก็สมณพราหมณเหลา ใด ยอมรูต ามสภาวะในบทนน้ั วา เหตุแหงการบญั ญตั ิความรอบรูสองอยา งคือ ทิฏฐิและสลี พั พตะ น้นั พึงละ ทรงหมายถึงสมณพราหมณเหลาน้นั จงึ ตรัสวาระสองอยา งไวขา งหนา. บรรดาสมณพราหมณเ หลานั้นสมณพราหมณเ หลา ใด ถือวา ทานทใี่ หแลว มผี ล ดงั นเ้ี ปน ตน สมณ-พราหมณเ หลานนั้ ยอ มบัญญัตคิ วามรอบรทู ฎิ ปู าทาน. สว นเหลาใด ถือวาความบรสิ ทุ ธดิ์ วยศีล ความบริสทุ ธิดวยวตั ร ความบริสทุ ธิดวยภาวนา เหลา น้ันยอ มบัญญตั คิ วามรอบรูแมส ีลัพพตูปาทาน. แมแมผ ูหนงึ่ ไมอ าจเพื่อบัญญัติความรอบรอู ัตตวาทูปาทานขา งหนา . กเ็ ดียรถียทัง้ หลายผไู ดส มาบัตแิ ปดก็ดีผูเอามอื ลูบคลําพระจันทรและพระอาทิตยอ ยูก ด็ ี ยอมบญั ญตั ิความรอบรู ๓อยา ง แตไมอาจเพื่อจะเปล้อื งอัตตวาทะได เพราะฉะน้ัน จึงตกอยใู นวัฏฏะ
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 28บอย ๆ นัน้ เทียว. ก็เดียรถียเ หลานน้ั กเ็ หมอื นกระตา ยรังเกลยี ดแผนดิน.อุปมาเก่ียวกบั การสนทนาเนอื้ เรอ่ื งในทีน่ ด้ี งั น้.ี ไดย ินวา แผนดนิ กลา วกะกระตายวา แนะกระตาย. กระตา ยพดู วา นน้ั ใคร. แผน ดิน. เจาสําเรจ็อิริยาบถท้งั หมด ถา ยอุจจาระและปส สาวะบนเราเทียว ทําไมจึงไมรเู รากระตาย. ทานเห็นเราดวยดี กท็ อี่ ันเราเหยียบเปน เหมือนทีถ่ ูกตองดว ยปลายนิ้ว น้ําท่ีปลอ ยออกมากม็ ีประมาณนอย กรสี ก็เพียงเมลด็ ตมุ กา แตแ มท ่ีอันชา งและมาเปนตนเหยยี บแลวเปนที่ใหญ แมป สสาวะของสตั วเหลาน้นัประมาณเต็มหมอ อุจจาระก็ประมาณกระเชา เราพอละกบั ทาน จงึ กระโดดไปอยใู นทีอ่ นื่ . แตน ้ันแผน ดินกลาวกะกระตายนนั้ วา โอ ถึงเจา ไปไกล เจากอ็ ยูบนเราแลว มิใชห รือ. กระตา ยน้นั เกลียดแผนดินนน้ั อีก จึงกระโดดไปอยูในที่อ่ืน.กระตายกระโดดแลว กระโดดอีกอยแู มพนั ปอยา งน้ี ก็ไมอาจพนแผนดนิ ไดเดยี รถียท้งั หลายกเ็ หมือนอยา งน้ัน แมบญั ญัติความรอบรูอุปาทานทกุ อยา ง กย็ อ มบัญญตั กิ ารกา วลว งอปุ าทาน ๓ อยา ง มกี ามปู ทานเปนตนเทาน้ัน. แตไ มอ าจเพื่อจะพนอตั ตวาทะได เม่ือไมอ าจจงึ ตกอยใู นวฏั ฏบอย ๆ นนั่ เทีย่ ว. ดว ยประการฉะน้ี เดยี รถียท้งั หลายไมอาจเพื่อกาวลว งอปุ าทานใด พระผูมพี ระภาค-เจาตรสั ถงึ วาทะท่ีตดั ขาดทฏิ ฐิ ดวยอาํ นาจแหงอปุ าทานนัน้ แลว บัดน้ี เมอื่ จะทรงแสดงวาทะอันตัดความเลือ่ มใส จงึ ตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ในธรรมวนิ ัยเหน็ ปานนี้แล ดังนเ้ี ปน ตน. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ธมมฺ วินเยไดแก ในธรรมและวินัย. ทรงแสดงศาสนาซ่ึงไมเ ปน เคร่อื งนําสัตวออกจากทุกข ดวยบทแมทง้ั สอง. บทวา โย สตถฺ ริ ปสาโท โส น สมมฺ คฺคโตความวา ก็ศาสดาในศาสนาท่ีไมเปน เคร่ืองนาํ สัตวออกจากทกุ ข ทาํ กาละแลวเปนสหี ะบา ง เสอื โครง บา ง เสือเหลืองบาง หมบี าง เสือดาวบา ง.สว นสาวกทง้ั หลายของศาสดาน้นั เปนเนื้อบาง สกุ รบาง กระตายบาง. มันไม
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 29ทําความอดทน หรอื ความหวงั ดี หรอื ความเอ็นดวู า สัตวเหลาน้ี เคยเปนอปุ ฏ ฐาก ผูใ หป จ จยั แกเรา ฆา สัตวเ หลาน้นั แลว ดดู เลอื ดบา ง กินเน้ือสนัทั้งหลายบา ง. ก็อกี ประการหนง่ึ ศาสดาเกิดเปน แมว. สาวกท้ังหลายเปนไกหรือหนู. ลาํ ดับนั้น แมวกจ็ ะไมทาํ ความอนเุ คราะหยอมกินไกหรือหนเู หลานั้นโดยนัยกลา วแลวนนั้ เทยี ว. อนึง่ ศาสดาเปน นายนิรยบาล สาวกท้ังหลายเปนสัตวน รก. นายนิรยบาลนัน้ จะไมท าํ ความอนเุ คราะหวา สัตวเ หลานี้ เคยใหปจจัยแกเ รา ยอ มทาํ กรรมกรณตาง ๆ ใสในรถท่รี อ นจัดบาง ใหขน้ึ ภูเขาไฟบาง ทิง้ ศีรษะลงในหมอ โลหะบา ง ประกอบดวยทุกขธรรมหลายอยา งบา ง.กห็ รือสาวกท้ังหลายตายไปเปน สตั วม สี หี ะเปนตน. ศาสดาเปน สัตวอ ยางใดอยา งหนง่ึ มีเน้ือเปน ตน. สตั วเ หลา นัน้ ไมทาํ ความอดทน หรอื ความหวังดีหรือความเอ็นดใู นสัตวน้นั วา เราเคยอุปฏฐากสตั วนีด้ วยปจ จยั สี่ สตั วน ้เี คยเปน ศาสดาของพวกเรา ดงั น้ี ยอมใหถ งึ ความพนิ าศ โดยนัยกลาวแลวนนั้เทยี ว. ในศาสนาทไี่ มเ ปน เคร่ืองนําสัตวออกจากทกุ ขดว ยประการฉะน้ี ความเล่ือมใสในศาสดาใด ความเล่ือมใสน้ันไมไปแลว โดยชอบ แมไปสูก าละอยา งไรแลว จะพนิ าศในภายหลังนน้ั เทยี ว. บทวา โย ธมเฺ ม ปสาโท ความวาก็ธรรมดาความเลอ่ื มใสในธรรม ในศาสนาท่ีไมเ ปน เคร่อื งนําสัตวอ อกจากทุกขเปน ความเลอ่ื มใสในตันติธรรม เพียงเรยี น เลา เรยี น ทรงไวและบอกแลวแตความพน จากวฏั ฏะไมม ใี นความเล่ือมใสน้ัน เพราะฉะนัน้ ความเล่อื มใสในธรรมนัน้ ใด ความเล่ือมใสน้ันรงั แตจ ะทําวัฏฎะใหล ึกบอย ๆ เพราะฉะนนั้เรากลาววา ไมไปแลว โดยชอบ คอื ไมไปแลวโดยสภาวะ. บทวา ยา สเี ลสุปรปิ ูรการิตา ความวา ความกระทาํ ใหบ ริบูรณด วยอาํ นาจแหงศีลทัง้ หลายมศี ีลแพะเปนตน ในศาสนาทีไ่ มนาํ สตั วอ อกจากทุกขแ มใด ความกระทาํ ใหบริบรู ณแมนนั้ ไมย ังใหถงึ ความพน จากวัฏฏะ คือ ความสลดั ออกจากภพ
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 30ได แตเ นอ้ื ถึงพรอ ม ยอมนาํ มาสูก าํ เนดิ เดยี รัจฉาน เม่ือใหผลยอ มนาํ มาสนู รกเพราะฉะนนั้ เราจงึ ไมกลาววาไปแลวโดยชอบ. บทวา ยา สหธมมฺ เิ กสุความวา ก็ในศาสนาอนั ไมเ ปน เครื่องนาํ สตั วอ อกจากทุกข หมสู หธรรมกิ บางพวกทาํ กาละแลว เปน สัตวแ มม สี ีหะเปนตน บางพวกเปนสตั วม ีเนอ้ื เปน ตนในสตั วเหลานนั้ พวกที่เปน สตั วม ีสีหะเปนตน ไมท ํากจิ มีความอดทนเปน ตนในสตั วท ั้งหลายทเ่ี ปนเนอื้ เปนตนวา สัตวเ หลา นี้เปน สหธรรมกิ ของพวกเราดังนแี้ ลว ยงั มหาทุกขใ หเ กิดข้นึ แกส ัตวท ง้ั หลาย มเี น้อื เปนตน เหลานัน้ โดยนัยกลาวแลว ในบทกอนนั้นเทียว เพราะฉะน้นั แมความเปน ท่ีรักและนาพอใจในหมูสหธรรมกิ น้นั เราจงึ กลาววา ไมไ ปแลวโดยชอบ. ก็พระผมู ีพระภาคเจาเมื่อจะทรงแสดงประเภทแหง การณแ มทั้งหมดนร้ี วมกนั จึงตรัสวา ขอนน้ัเพราะเหตอุ ะไร ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย เพราะขอ นน้ั ดงั นีเ้ ปนตน . ความสังเขปในบทนน้ั ดงั นี.้ บทวา ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย เพราะขอ ทเ่ี รากลา ววา ความเลอ่ื มใสในศาสดาใด ไมไปแลวโดยชอบน้ันยอ มเปน อยางนี้ ดงั นี้เปนตน น้ันยอมเปนอยา งน้ี เพราะเหตุอะไร เพราะความเล่อื มใสเปน ตน เหลานนั้ ในธรรมวนิ ยั ท่ศี าสดากลา วชั่วแลว ฯลฯ มใิ ชอ นั ผูรูเ องโดยชอบประกาศไว. ก็ในบทนน้ั บทวา ยถาต เปนนิบาตลงในอรรถเเหงตติยาวภิ ตั ติ. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ทรู กขฺ าเต ไดแก กลาวไวไมด .ี ชือ่ วา ประกาศไมด ีแลว เพราะความที่ธรรมวนิ ยั น้ันกลาวไวไมดนี ้ันเทยี ว. ก็ธรรมวินัยนี้นัน้ยอ มไมเ ปน ไปเพ่ือประโยชนแ กมรรคและผล เพราะฉะนั้น จงึ ชอ่ื วา อนยิ ฺยา-นโิ ก แปลวา ไมเปน เครื่องนําออกจากทุกข. ช่อื วา ไมเปนไปเพอื่ ความสงบเพราะไมเ ปนไปเพือ่ ความสงบกิเลสทั้งหลายมีราคะเปนตน . ชอ่ื วา ไมใชอันผูรูเองโดยชอบประกาศไว เพราะอนั ผรู เู องโดยชอบ คอื สัพพัญู ไมประ-กาศไว. ในธรรมวนิ ยั นน้ั มใิ ชส ภาพนําออกจากทุกข ไมเ ปนไปเพ่อื ความ
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 31สงบ มใิ ชอ ันผูรเู องโดยชอบประกาศไว. พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงวาความเลื่อมใสในเดยี รถยี ท ้งั หลายไรป ระโยชน ดุจความเล่ือมใสในสนุ ัขจง้ิ จอกดมื่ สรุ าฉะนั้น ดวยประการฉะน้ี. ไดยนิ วา สนุ ขั จ้ิงจอก ตาบอดขางเดยี วตัวหน่ึงเขาสนู ครในกลางคนืกนิ สาสุราแลว นอนหลบั ในปาบนุ นาค ต่ืนขน้ึ ในเม่อื พระอาทติ ยข ้ึนแลว คิดวาเราไมอาจไปในเวลานไี้ ด สตั วท ีเ่ ปนเวรกบั เรามีมาก สมควรหลอกลวงคนหนึ่งดังน้.ี สนุ ัขจง้ิ จอกนนั้ เหน็ พราหมณผหู นงึ่ เดนิ ไป จึงคิดวาเราจักหลอกลวงพราหมณน้ี แลวกลา ววา ดกู อนทา นพราหมณ. พราหมณพ ูดวา น่นั ใครเรยี กพราหมณ. สนุ ขั จิ้งจอกตอบวา เรา นาย ทานจงมานี้กอ น. พราหมณ.อะไรนาย. สนุ ัขจง้ิ จอก. ทา นจงนําเราไปนอกบา น เราจักใหก หาปณะสองรอ ยแกท า น. พราหมณน ้ันพดู วา เราจกั นําไป แลว จับทเี่ ทาท้ังหลาย. สนุ ัขจ้งิ จอกพูดวา แนะพราหมณโ ง เราไมม ีกหาปณะทอดทง้ิ ไว กหาปณะเปนของหาไดย าก เจา จงจับเราดี ๆ. พราหมณ. เราจะจับอยา งไร นาย. สนุ ขัจงิ้ จอก. ทา นจงเอาผา หมสพายเราแลวจบั . พราหมณจบั สุนขั จ้ิงจอกอยา งนั้นแลวไปสูสถานใกลที่ประตทู างทศิ ใต แลว ถามวา เราจักปลอ ยในทีน่ ี.้ สุนัขจิ้งจอก. นั่นทไ่ี หน. พราหมณ. น่นั ประตใู หญ. สนุ ขั จง้ิ จอก. เอยพราหมณโ ง ญาติของทา นเก็บกหาปณะไวใ นภายในประตหู รอื จงนาํ เราไปท่ีอน่ื . พราหมณนั้นบอ ย ๆ ไปพลางถามวา เราจักปลอยท่นี ้ี ๆ ถกู สนุ ขั จิ้งจอกคกุ คามแลว บอกวา ทา นจงไปทีป่ ลอดภัยแลว ปลอยในที่นนั้ ดงั นแ้ี ลว ปลอยไป ถือผาสาฎก. กาณสิงคาลกลา ววา เราไดพดู ไวว า เราจกั ใหก หาปณะสองรอยแกทาน แตเ รามกี หาปณะมาก ไมใ ชม ีเพียงสองรอยกหาปณะเทา นั้นทา นจงยืนดพู ระอาทิตยจ นกวา เราจะนํากหาปณะทัง้ หลายมาใหทา นแลวคอ ย ๆไป กลับมาพดู กะพราหมณอกี วา ทา นพราหมณ ทา นอยา มองดแู ตท่ีน้ี
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 32จงยืนมองดูพระอาทติ ยอ ยางเดยี ว. ก็แลสุนัขจิ้งจอก ครั้นพูดอยา งนีแ้ ลว ก็เขาไปสูปา การะเกต หนไี ปตามชอบใจ. ฝา ยพราหมณมองดูพระอาทติ ยนั้นเทยี ว จนเหง่ือไหลออกจากหนาผาก เเละรกั แร. ลําดับน้ัน รกุ ขเทวดาไดกลา วกะพราหมณนน้ั วา ดกู อ นพราหมณ ทา นเช่อื สุนขั จ้ิงจอก ดม่ื สรุ า สุนขั จ้ิงจอกทง้ั รอยไมมศี ิลปะ กหาปณะตั้งสองรอยจะมีแตท ีไ่ หน. ดวยประการฉะน้ี ความเลอ่ื มใสในกาณสิงคาล ไรป ระโยชน ฉันใดความปติอยางดีในเดยี รถีย กไ็ รป ระโยชนฉนั น้นั . พระผูมีพระภาคเจาครนั้ ทรงแสดงความทค่ี วามเล่อื มใสในศาสนาท่ไี มเปน เคร่อื งนาํ ออกจากทุกข เปนส่ิงไรป ระโยชนแ ลว เพ่อื ทรงแสดงความที่เลื่อมใสน้ันในศาสนาท่เี ปน เคร่อื งนําออกจากทกุ ขวา เปน สงิ่ มีประโยชน จงึตรสั วา ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ก็ตถาคตแล ดังนีเ้ ปน ตน. บรรดาบทเหลา นนั้บทวา กามูปาทานสฺส ปริฺ ปฺ าเปติ ความวา ทรงบญั ญัติความรอบรูในการละ คอื การกาวลว งกามูปาทาน ดวยอรหัตตมรรค ทรงบัญญตั ิความรอบรอู ุปทาน ๓ อยางนอกน้ี ดวยโสดาปต ติมรรค. บทวา เอวรเู ปโข ภิกฺขเว ธมมฺ วนิ เย ความวา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ในธรรมและวินัยเหน็ ปานนี้ ทรงแสดงศาสนาทีเ่ ปน เคร่อื งนําออกจากทุกขด ว ยบทแมท ัง้ สอง.บทวา สตถฺ ริ ปสาโท ความวา ในศาสนาเห็นปานน้ี ความเล่อื มใสในพระศาสดาใด ความเลือ่ มใสน้ัน เรากลา ววา ไปแลว โดยชอบ คือ ยอ มเปนไปเพ่ือสลัดออกจากทกุ ขในภพ. ในขอ นั้นมเี ร่ืองเหลาน.้ี
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 33 ไดย ินวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงอาศยั อยูในถาํ้ อินทศาล ณ เวทิสสกบรรพต. ครง้ั น้นั นกฮกู ตวั หน่ึง ครั้นเมือ่ พระผมู พี ระภาคเจาเสดจ็ เขา ไปสูบ านเพ่ือบิณฑบาต ก็บินตามไดค ร่งึ ทาง ครั้นพระผมู พี ระภาคเจา เสด็จออกมา กท็ ําการตอนรับครึง่ ทาง. ในวันหน่งึ นกฮูกนน้ั ลงจากภเู ขาไหวพ ระสัมมาสัมพทุ ธเจาซึง่ มีพระภกิ ษุสงฆแ วดลอมประทบั นง่ั ในเวลาเย็น โดยปอ งปก ประคองอัญชลีทําศีรษะใหต่าํ ลง ยืนนมัสการพระทศพลอยู. พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแลดนู กฮูกนั้นแลว ทรงกระทําการยิม้ แยม. พระอานนทเถระทูลถามวา ขา แตพระองคผเู จริญ อะไรหนอแล เปนเหตุ อะไรเปนปจ จยั แหง การทรงยิ้มแยม ใหปรากฏ.พระผูมพี ระภาคเจาตรัสวา ดกู อนอานนท เธอจงดนู กฮกู นี้ นกฮกู นยี้ ังจติ ใหเล่อื มใสในเราและในพระภกิ ษสุ งฆแลวทองเทยี่ วในเทวดาและมนุษยท้ังหลายตลอดแสนกปั จักเปนพระปจ เจกพุทธเจานามวาโสมนสั ดงั นี้แลว จงึ ตรสัพระคาถาวา ดกู อนนกฮูกตากลม อยูเปนเวลายาว นานในภเู ขาเวทสิ สกะ เจานกฮูก เจามี ความสขุ แลว เจา นัน้ เหน็ พระพทุ ธเจา ผู ประเสริฐผูลุกข้ึนตามกาล ยังจิตใหเ ลือ่ มใส ในเรา และในพระภกิ ษุสงฆอ นั ยอดเยย่ี ม จะไมไปสูทุคติตลอดแสนกัป ครัน้ เคล่อื น จากเทวโลกแลว อันกศุ ลมลู ตกั เตอื นแลว จกั เปน พระปจ เจกพทุ ธเจา ผมู ญี าณอันหาท่ี สุดมิไดป รากฏนามวา โสมนัส.
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 34 กเ็ ร่ืองทั้งหลายมีเร่ืองสุมนมาลาการ ในนครราชคฤห เรอ่ื งมหาเภรวิ าทกะ เรื่องโมรชาดก เรอื่ งวีณาวาทะ เรอ่ื งสังขธมกะ ดงั นี้เปนตนแมอืน่ ๆ พึงใหพสิ ดารในเร่ืองน้ัน. ความเลือ่ มใสในพระศาสดาในศาสนาที่เปนเครอ่ื งนาํ ออกจากทุกข เปนอนั ไปแลว โดยชอบ ดวยประการฉะนี้. บทวา ธมเฺ ม ปสาโท ความวา ความเลอ่ื มใสในธรรม ในศาสนาที่เปนเครอื่ งนาํ ออกจากทกุ ข เปนอนั ไปแลว โดยชอบ ความเลอ่ื มใสนน้ั ยอมใหส มบัตแิ มแ กด ริ จั ฉานทง้ั หลายท่ีถอื นมิ ติ ในสักวา เสยี ง ฟงอยู. เนอื้ ความน้ีพงึ ทราบดว ยอํานาจแหง เรือ่ งของมณั ฑูกเทวบุตรเปนตน . บทวา สเี ลสุ ปริปรู การิตา ความวา แมความกระทาํ ใหบ ริบูรณใ นศีล ในศาสนาท่ีเปนเครื่องนาํ ออกจากทุกข เปน อันไปแลว โดยชอบ คือ ยอมนํามาซงึ่ สวรรคส มบตั ิและโมกขสมบตั .ิ ในที่นัน้ พึงแสดงเรือ่ งทง้ั หลายมีเรอื่ งฉตั ตมาณวกะ และเรื่องสามเณรเปน ตน. บทวา สหธมมฺ เิ กสุ ความวา แมค วามเปน ทีร่ กั และนา พอใจในหมูส หธรรมิก ในศาสนาท่เี ปนเครือ่ งนาํ ออกจากทุกข เปนอันไปแลว โดยชอบ คือ ยอ มนํามาซึง่ มหาสมบตั ิ. เน้อื ความนี้พงึ แสดงดว ยเรือ่ งวมิ านเปรตท้ังหลาย กท็ า นไดกลา วคาํ น้ันไวว า เราไดใหน้ํานมแกภ กิ ษุผเู ท่ยี วบิณฑบาต เราใหน ้ําออย ฯลฯ ลําออย มะพลบั แตง ฟก ทอง วัลลิปกกะหัตถปตากะ กําผัก ขาวเมา เผอื ก กําสะเดา น้าํ สม ขนมทอด ประคตเอวผา องั สะ ผา สําหรับทําความเพยี ร การพูด พดั ใบตาล โมรหัตถ รม รองเทา ขนม กอนขนม เคร่อื งผูก แกภกิ ษุผูเที่ยวบิณฑบาต ทา นจงดูวมิ านของเรานัน้ เรามีนางฟาผูมวี รรณนาใคร ดังนี้ คาํ วา ต กสิ ฺส เหตุ เปน ตนพึงทราบประกอบโดยแนวแหงนยั ทกี่ ลาวแลว เถดิ . บัดนี้ พระผูม ีพระภาคเจา เพ่อื ทรงแสดงปจจัยแหง อปุ าทานทัง้ หลายท่เี ดียรถียทง้ั หลายไมบ ญั ญตั คิ วามรอบรูโดยชอบ ตถาคตทรงบัญญตั ิ จึงตรัส
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 35วา อเิ ม จ ภกิ ฺขเว เปนตน. คําทั้งหลายมีนิทานเปน ตน ในบททง้ั หลายมวี า กนึ ิทานา เปน ตน ในบทนั้น. ทั้งหมดเทียวเปน ไวพจนของการณ จริงอยูการณย อ มมอบใหซึ่งผล เหมือนสง ใหวา เอาเถอะ ทานท้ังหลายจงถือเอาผลน้นัเพราะฉะนัน้ จึงเรียกวานิทาน. เพราะนิทานนนั้ ยอ มเกดิ ต้ังขนึ้ ผลิตออกจากการณนั้น เพราะฉะนั้น จงึ เรยี กวา สมทุ ัย ชาติ ปภวะ. กเ็ นือ้ ความแหง บทในท่นี ี้ ดังนี.้ อะไรเปนตน เหตแุ หงอปุ าทานเหลา นั้น เพราะฉะน้ัน อปุ าทานเหลานน้ั มีอะไรเปน ตน เหตุ. อะไรเปน เหตเุ กิดแหง อุปาทานเหลา นั้น เพราะฉะน้นั อปุ าทานเหลาน้ัน มีอะไรเปนเหตุเกดิ . อะไรเปนกาํ เนิดของอุปทานเหลาน้ัน เพราะฉะน้นั อุปาทานเหลาน้นั มอี ะไรเปน กําเนิด. อะไรเปน แดนเกดิ ของอุปทานเหลานน้ั เพราะฉะนน้ั อุปทานเหลานน้ั มีอะไรเปนแดนเกดิ .ก็เพราะตัณหาเปนตน เหตุ เปนเหตุเกดิ เปน กาํ เนดิ และเปน แดนเกิดของอปุ า-ทานเหลา นั้น โดยเนื้อความตามท่กี ลาวแลว เพราะฉะน้นั จึงตรัสวา มีตณั หาเปน ตนเหตุ ดงั นเี้ ปน ตน . พงึ ทราบเนอื้ ความในบททง้ั ปวงอยางน้ี ก็.เพราะพระผูมีพระภาคเจา ทรงรูป จจยั แหงอปุ าทานอยางเดียวเทา นั้น หามไิ ดยอมทรงรถู ึงปจ จยั ของตัณหาซงึ่ เปน ปจจัยแหง อปุ าทานดวย ของธรรมท้งั หลายมเี วทนาเปน ตน ซ่งึ มตี ัณหาเปน ตน เปนปจจัยดวย เพราะฉะน้นั จงึ ตรสั วาดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ก็ตณั หาน้ี ดงั นีเ้ ปน อาทิ. บทวา ยโต จ โข ไดแ กในกาลใด. บทวา อวชิ ฺชา ปหนี า โหติ ความวา อวชิ ชาซง่ึ เปนรากเหงา ของวัฏฏะ เปนอนั ละเเลว ดว ยอนุปปาทนโิ รธ. บทวา วิชชฺ า อปุ ปฺ นนฺ าไดแก วิชชาคอื อรหตั มรรคเกดิ ขึ้นแลว . บทวา โส อวิชชฺ าวริ าคา วชิ ฺชุปปฺ าทา ความวา ภิกษนุ น้ั เพราะความที่อวิชชาละไดแลว และเพราะความท่วี ิชชาเกิดขน้ึ แลว ยอมไมถือมน่ั กามปู าทาน บทวา เนว กามปู าทานอปุ าทยิ ติ ความวายอมไมถอื มั่น คือ ไมเ ขาสูกามูปาทาน ยอ มไมถือม่นั
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 36ยอมไมเ ขา สูอปุ าทานท้ังหลายทเ่ี หลือ. บทวา อนปุ าทิย น ปริตสสฺ ติความวา เมื่อไมถ อื ม่ันอุปาทานไรๆ อยา งนี้ เชือ่ วาไมสะดุง ดว ยความสะดงุคือตณั หา. บทวา อปริตสฺส ไดแ กเมือ่ ไมสะดงุ คอื ไมยังตัณหาใหเ กิดขน้ึ .บทวา ปจจฺ ตฺต เยว ปรนิ ิพพฺ ายติ ความวา ยอมปรินิพพานดว ยการดบักิเลส เฉพาะตนนน่ั เทยี ว ดงั น้.ี พระผูม พี ระภาคเจา ครัน้ ทรงแสดงความสน้ิ ไปแหง อาสวะแกภ ิกษนุ น้ัอยางนแี้ ลว บดั น้ี เม่อื จะทรงแสดงปจ จเวกขณะญาณแกภกิ ษุผมู ีอาสวะส้ินแลวจงึ ตรัสวา ชาติส้นิ แลว ดงั นีเ้ ปน ตน . บททีเ่ หลือมีเนอ้ื ความดังกลาวแลวแล. จบอรรถกถาจุลลสีหนาทสูตรท่ี ๑
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 37 ๒. มหาสีหนาทสูตร [๑๕๙] ขา พเจา ไดสดับมาอยา งนี้:- สมัยหนึ่ง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ ราวปาดานตะวนั ตกนอกพระนครเขตพระนครเวสาล.ี กโ็ ดยยสมยั นั้นแล สนุ ักขัตตลจิ ฉวบี ุตรเปน ผูห ลีกไปแลวจากธรรมวินัยนี้ไมนาน. ไดก ลา ววาจาในบรษิ ทั ณ เมืองเวสาลีอยา งนี้วา ธรรมอันยงิ่ ของมนษุ ยท เี่ ปนญาณทสั สนะอนั วิเศษ พอแกค วามเปนอริยะของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมทป่ี ระมวลดวยความตรึก ทีไ่ ตรต รองดวยการคนคดิ แจม แจง ไดเ อง แตธรรมที่พระองคทรงแสดงเพอ่ื ประโยชนอ ะไร ธรรมน้ันยอมดง่ิ ไปเพอื่ ความสน้ิ ทุกขโดยชอบแหงบคุ คลผทู าํ ตาม. [๑๖๐] คร้งั นัน้ แล ทา นพระสารีบุตร เวลาเชา นุงแลว ถือบาตรและจวี รเขาไปในเมอื งเวสาลี เพ่อื บณิ ฑบาต. ไดสดบั ขา ววา สุนกั ขัตตลจิ ฉวี-บตุ รไดกลา ววาจาในบรษิ ัท ณ เมืองเวสาลีอยา งนีว้ า ธรรมอันยงิ่ ของมนษุ ยท่ีเปนญาณทัสสนะอนั วเิ ศษ พอแกค วามเปน อริยะ ของพระสมณโคดมไมมีพระสมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลมาดวยความตรึก ท่ไี ตรตรองดว ยการคน คดิ แจม แจง ไดเ อง แตธรรมทีพ่ ระองคท รงแสดงเพ่ือประโยชนใด ธรรมนนั้ยอ มด่ิงไป เพ่อื ความสนิ้ ทกุ ขโดยชอบแหง บุคคลผทู าํ ตาม. ลําดบั นน้ั ทานพระ-สารบี ตุ รเท่ยี วไปในเมอื งเวสาลี เพือ่ บณิ ฑบาตแลว กลับจากบิณฑบาตในเวลาปจฉาภตั จึงเขาไปเฝาพระผูมพี ระภาคเจา ถึงท่ปี ระทับ ถวายอภิวาทแลว น่ัง ณทคี่ วรสว นขางหน่ึง ครัน้ แลว ไดกราบทูลพระผูม ีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผูเจริญ สนุ กั ขตั ตลจิ ฉวีบุตรเปนผหู ลีกไปแลวจากธรรมวินยั น้ไี มนาน ไดกลาว
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 38วาจาในบรษิ ทั ณ เมืองเวสาลวี าธรรมอนั ยิง่ ของมนษุ ย ที่เปน ญาณทสั สนะอนัวเิ ศษ พอแกค วามเปนอริยะ ของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมทป่ี ระมวลมาดว ยความตรึกท่ไี ตรต รองดวยการคนคิด แจมแจงไดเอง แตธ รรมท่พี ระองคท รงแสดงเพื่อประโยชนใ ด ธรรมนน้ั ยอมด่งิ ไปเพ่ือความสิ้นทุกขโดยชอบแหงบคุ คลผูทาํ ตาม. [๑๖๑] พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา ดกู อนสารีบุตร สุนกั ขัตตลจิ ฉวีบตุ รเปน บุรษุ เปลามกั โกรธ และวาจาทเี่ ธอกลาวน้ัน ก็เพราะโกรธ ดูกอ นสารบี ุตร สนุ กั ขัตตะน้นั เปนบุรุษเปลา คดิ วาเราจักพดู ติเตยี นแตก ลาวสรรเสริญคณุ ของตถาคต แทจ รงิ ขอนเ้ี ปน คุณของพระตถาคต ทบ่ี ุคคลใดกลาวอยางน้ีวาธรรมอันพระตถาคตแสดงเพอื่ ประโยชนแ กบ ุคคลใด เปนทางส้ินทกุ ขโดยชอบแหงบคุ คลผทู าํ ตามดังนี้. [๑๖๒] ดกู อ นสารีบตุ ร ก็การทส่ี นุ กั ขตั ตะผเู ปน บุรษุ เปลา กลา วสรรเสริญน้จี กั ไมเ ปนความรโู ดยธรรม ในเราวา แมเพราะเหตุน้ี พระผูมีพระภาคเจา พระองคนัน้ เปนพระอรหันต ผตู รัสรูเองโดยชอบ ถึงพรอมดว ยวิชชาและจรณะเสด็จไปดแี ลว ทรงรแู จง โลก เปน สารถีฝกบรุ ุษท่คี วรฝก ไมมีผูอ น่ื ยงิ่ กวา เปน ศาสดาของเทวดาและมนุษยท ้งั หลาย เปนผเู บิกบานแลว เปนผจู าํ แนกธรรม ดังน้ี. [๑๖๓] ดูกอนสารบี ตุ ร ก็การที่สุนกั ขัตตะผเู ปน บรุ ุษเปลา กลา วสรรเสรญิ นี้ จกั ไมเปนความรูโดยธรรมในเราวา เเมเพราะเหตุน้ี พระผมู ีพระผมู ีพระภาคเขาพระองคน ้นั ทรงบรรลุอิทธิวธิ หี ลายประการคือคนเดยี วเปนหลายคนก็ได หลายคนเปนคนเดยี วก็ได ทาํ ใหป รากฏกไ็ ด ทําใหห ายไปกไ็ ดทะลฝุ า กาํ แพง ภูเขาไปไดไ มติดขดั เหมอื นไปในท่ีวา งก็ได ผดุ ข้นึ ดําลง
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 39แมในแผน ดินเหมอื นในน้ํากไ็ ดเดินบนน้าํ ไมแตกเหมือนเดนิ บนแผนดินกไ็ ดเหาะไปในอากาศเหมอื นนกก็ได ลูบคลาํ พระจนั ทร พระอาทิตย ซ่ึงมีฤทธม์ิ ีอานภุ าพมากดวยฝามือกไ็ ด ใชอํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได. [๑๖๔] ดกู อ นสารีบตุ ร ก็การที่สนุ ักขตั ตะผูเ ปน บรุ ษุ เปลา กลา วสรรเสริญนจ้ี ักไมเ ปนความรโู ดยธรรมในเราวา แมเ พราะเหตนุ ี้ พระผูม ีพระ-ภาคเจา พระองคน ั้นยอ มทรงสดบั เสียง ๒ ชนดิ คอื เสยี งทพิ ยแ ละเสียงมนษุ ยท้ังที่อยูไ กลและใกลดวยทิพยโสตอนั บริสุทธิ์ ลว งโสตของมนุษย. แสดงพทุ ธคณุ เปนเอกเทศ [๑๖๕] ดูกอนสารบี ุตร กก็ ารที่สุนกั ขตั ตะผูเปนบรุ ุษเปลากลาวสรรเสริญน้จี ักไมเปน ความรูโดยธรรมในเราวา แมเ พราะเหตุนี้ พระผมู ีพระ-ภาคเจาพระองคน ้นั ยอ มทรงกําหนดรูใจของสตั วอ ื่นของบุคคลอื่นดว ยใจ คือจิตมรี าคะ ก็รูวา จติ มรี าคะ หรอื จติ ปราศจากราคะ กร็ ูวาจติ ปราศจากราคะ.จิตมโี ทสะ ก็รูว า จติ มโี ทสะ หรือจติ ปราศจากโทสะ กร็ วู า จติ ปราศจากโทสะ.จิตมโี มหะ ก็รวู าจติ มีโมหะ หรือจติ ปราศจากโมหะ. กร็ วู า จติ ปราศจากโมหะ.จิตหดหู ก็รวู าจิตมีโมหะ หรอื จติ ปราศจากโมหะ กร็ วู า จิตปราศจากโมหะ.กร็ วู า จติ เปน มหรคต หรือจิตไมเปน มหรคต ก็รูวา จิตไมเ ปน มหรคต. จติ มีจิตอ่ืนยิ่งกวา ก็รวู าจติ มจี ติ อน่ื ย่ิงกวา หรือจิตไมมจี ิตอ่ืนยง่ิ กวา กร็ วู า จิตไมมีจิตอนื่ ย่งิ กวา . จติ เปนสมาธิกร็ ูวา จติ เปน สมาธิ หรอื จิตไมเ ปน สมาธกิ ร็ วู า จติ ไมเปน สมาธ.ิ จติ หลดุ พน ก็รูว าจิตหลุดพน หรือจิตไมหลดุ พน ก็รูวา จติ ไมหลุดพน.
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 40 กาํ ลังของตถาคต [๑๖๖] ดกู อ นสารบี ตุ ร ตถาคตประกอบดว ยกาํ ลงั เหลาใด ยอ มปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปนโจก ยอมบันลอื สีหนาทในบรษิ ัทยังพรหมจกั รใหเ ปนไป. กําลังเหลา น้นั ของตถาคต ๑๐ ประการเหลา นแ้ี ล. ๑๐ ประการเปน ไฉน.ดูกอ นสารีบตุ ร ตถาคตยอมรูฐ านะในโลกน้โี ดยเปน ฐานะ และรเู หตุมใิ ชฐานะโดยเปน เหตมุ ิใชฐ านะตามความเปน จรงิ . ดกู อนสารีบุตร ขอท่ตี ถาคตรฐู านะโดยเปนฐานะ และรูเหตุมใิ ชฐ านะโดยเปน เหตมุ ิใชฐานะ ตามความเปนจรงิ น้ี เปนกําลังของตถาคตประการหน่ึง ซึง่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหง ผูเปนโจก บันลือสหี นาทในบรษิ ัท ยงั พรหมจกั รใหเ ปนไป. ดกู อนสารีบตุ ร อกี ประการหน่งึ ตถาคตยอมรูว บิ ากของกรรมสมาทานที่เปน อดีต อนาคต และปจ จุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเปนจรงิ .ดูกอนสารีบตุ ร ขอที่ตถาคตรูว ิบากของกรรมสมาทานที่เปนอดีต อนาคตปจ จุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเปนจริงนีเ้ ปน กาํ ลังของตถาคตประการหนึง่ ซงึ่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปนโจก บนั ลอื สหี นาทในบรษิ ทั ยังพรหมจักรใหเ ปน ไป. ดกู อ นสารีบุตร อกี ประการหน่ึง ตถาคตยอมรูชดั ซ่งึ ปฏิปทาอนั จะยังสตั วใหไปสภู มู ทิ ้งั ปวง ตามความเปนจริง. ดกู อนสารีบตุ ร ขอที่ตถาคตรชู ดัซง่ึ ปฏปิ าทาอนั จะยงั สตั วใหไปสูภูมิท้ังปวง ตามความเปนจรงิ นี้ เปน กาํ ลงั ของตถาคตประการหนง่ึ ซงึ่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏิญาณฐานะแหงผูเปน โจก บันลือสหี นาทในบริษัท ยังพรหมจักรใหเปน ไป.
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 41 ดูกอนสารีบตุ ร อกี ประการหนง่ึ ตถาคตยอ มรชู ดั ซง่ึ โลก มีธาตมุ ใิ ชอยางเดยี ว และมธี าตุตาง ๆ ตามความเปนจรงิ . ดกู อ นสารบี ตุ ร ขอ ท่ีตถาคตรชู ัดซึ่งโลกมีธาตุมใิ ชอยางเดียว และมีธาตตุ า ง ๆ ตามความเปน จริงนี้ เปนกาํ ลังของตถาคตประการหนึ่ง ซ่งึ ตถาคตอาศยั แลว ปฏิญาณฐานะแหง ผเู ปนโจก บนั ลอื สีหนาทในบรษิ ัท ยังพรหมจกั รใหเปนไป. ดูกอ นสารีบตุ ร อกี ประการหน่งึ ตถาคตยอ มรูช ัดซ่งึ ความทส่ี ตั วม ีอธมิ ตุ ตติ าง ๆ กนั ดูกอ นสารีบตุ ร ขอ ทต่ี ถาคตรูชดั ซึง่ ความที่สตั วมีอธิมตุ ติตา ง ๆ กัน ตามความเปนจรงิ น้ี เปน กาํ ลังของตถาคตประการหนึ่ง ซึ่งตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหง ผเู ปนโจก บันลอื สหี นาทในบรษิ ัท ยังพรหม-จักรใหเปนไป. ดูกอนสารีบุตร อีกประการหน่ึง ตถาคตยอ มรูชดั ซึ่งความทส่ี ตั วและบุคคลทัง้ หลายอน่ื มอี ินทรียหยอ นและย่งิ ตามความเปนจรงิ . ดูกอนสารีบตุ รขอ ทต่ี ถาคตรูชดั ความที่สัตวและบุคคลทัง้ หลายอืน่ มอี นิ ทรียหยอนและยง่ิ ตามความเปน จรงิ นี้ เปนกําลงั ของตถาคตประการหนึง่ ซ่ึงตถาคตอาศยั แลว ปฏิญาณฐานะแหง ผเู ปนโจก บันลอื สีหนาทในบริษัท ยงั พรหมจักรใหเปนไป. ดูกอ นสารีบตุ ร อีกประการหนงึ่ ตถาคตยอมรูชัดซึ่งความเศราหมองความผอ งแผว และความออกแหง ฌาณ วโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ิทั้งหลายตามความเปน จรงิ . ดกู อนสารีบุตร ขอท่ตี ถาคตรชู ดั ซ่ึงความเศรา หมอง ความผอ งแผว และความออกแหงฌาณ วโิ มกข สมาธิ และสมาบัติทงั้ หลาย ตามความเปนจริงน้ี เปนกาํ ลงั ของตถาคตประการหนง่ึ ซึง่ ตถาคตอาศัยแลวปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปน โจก บันลอื สหี นาทในบริษทั ยงั พรหมจักรใหเปนไป.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 42 ดูกอ นสารีบตุ ร อกี ประประการหนงึ่ ตถาคตยอมระลึกถงึ ชาตกิ อ นไดเปน อันมาก คือ ระลกึ ไดช าตหิ น่ึงบา ง สองชาติบา ง สามชาติบา ง ส่ชี าติบาง หาชาตบิ าง สิบชาติบาง ยสี่ บิ ชาตบิ าง สามสบิ ชาติบาง ส่ีสบิ ชาตบิ างหาสิบชาติบาง รอ ยชาติบา ง พันชาตบิ าง แสนชาติบาง ตลอดสังวฏั กัปเปนอนั มากบา ง ตลอดวิวฏั กปั เปน อนั มากบาง ตลอดสงั วัฏววิ ฎั กัปเปน มากบางวาในภพโนน เรามีชื่ออยา งนัน้ มีโคตรอยางน้นั มผี วิ พรรณอยา งนัน้ มอี าหารอยา งนน้ั มีอาหารอยา งนั้น เสวยสขุ เสวยทกุ ขอ ยา งน้นั ๆ มีกําหนดอายุเพยี งเพยี งเทา นน้ั ครน้ั จตุ จิ ากภพนนั้ แลว ไดไ ปเกิดในภพโนน แมในภพนน้ั เราก็ไดมีช่ืออยา งนัน้ มีโคตรอยางน้ัน มผี ิวพรรณอยางนนั้ มีอาหารอยา งนัน้เสวยสุขเสวยทกุ ขอ ยางน้นั ๆ มีกาํ หนดอายเุ พยี งเทา น้นั ครน้ั จตุ ิจากภพน้ันแลวไดม าเกดิ ในภพนี้ ตถาคตยอ มระลกึ ชาตกิ อนไดเ ปน อนั มาก พรอ มทง้ั อาการพรอมทง้ั อเุ ทศ ดวยประการฉะนี้ . ดูกอนสารีบตุ ร ขอ ทตี่ ถาคตระลกึ ถึงชาติกอนไดเปนอันมาก คอื ระลึกไดชาตหิ น่งึ บา ง สองชาตบิ าง ฯลฯ ตถาคตยอมระลกึ ถงึ ชาติกอนไดเ ปนอันมาก พรอ มทง้ั อาการ พรอ มทั้งอุเทศ ดวยประการฉะนี้ นีเ้ ปนกําลงั ของตถาคตประการหนงึ่ ซึง่ ตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปน โจก บนั ลอื สหี นาทในบริษัท ยังพรหมจกั รใหเ ปน ไป. ดกู อ นสารีบตุ ร ประการหนึ่ง ตถาคตยอมเหน็ หมสู ตั วท ี่กําลงั จตุ ิกาํ ลงั อบุ ตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มผี ิวพรรณทราม ไดดี ตกยากดว ยทพิ ยจักษอุ นั บรสิ ุทธ์ิ ลวงจักษขุ องมนษุ ย ยอมรชู ัดซงึ่ หมสู ตั วผ ูเ ปน ไปตามกรรมวา สตั วเหลาน้ปี ระกอบดวยกายทุจริต วจที จุ ริต มโนทจุ ริต ตเิ ตียนพระอริยเจา เปนมจิ ฉาทฐิ ิ ยึดถอื การกระทาํ ดวยอาํ นาจมิจฉาทฐิ ิ เบอื้ งหนา แตตายไป เขายอมเขา ถึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรก สว นสตั วเหลาน้ี ประกอบดวยกายสจุ รติ วจีสุจรติ มโนสุจรติ ไมต ิเตยี นพระอรยิ เจา เปน สมั มาทฐิ ิ
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 43ยึดถือการกระทาํ ดว ยอาํ นาจสัมมาทฐิ ิ เบ้ืองหนา แตตายไป เขายอ มเขาถึงสุคติโลกสวรรค ดงั นี.้ ดกู อ นสารีบตุ ร ขอ ทต่ี ถาคตเห็นหมสู ัตว ทีก่ ําลังจุติ กําลงัอุบตั ิ เลว ประณตี มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดวยทิพยจกั ษอุ ันบรสิ ทุ ธิ์ ลว งจักษขุ องมนุษย ยอ มรูชดั หมูส ัตวผ ูเปนไปตามกรรมวา สตั วเ หลา น้ี ฯสฯ น้เี ปนกาํ ลังของตถาคตประการหนึ่ง ซ่ึงตถาคตอาศยั แลว ปฏญิ าณฐานะแหงผเู ปนโจก บนั ลือสหี นาทในบริษทั ยังพรหมจกั รใหเปน ไป. ดกู อนสารีบุตร อกี ประการหนึ่ง ตถาคตกระทําใหแ จง ซง่ึ เจโตวิมตุ ิปญญาวิมตุ ิ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ดว ยปญญาอันย่ิงเองในปจ จบุ นั เขาถงึ อย.ู ดกู อนสารีบุตร ขอที่ตถาคตกระทําใหแจงซ่ึงเจโต-วิมตุ ิ ปญ ญาวิมุติ อนั หาอาสวะมิได เพราะอาสวะทัง้ หลายส้ินไป ดวยปญญาอนั ยิ่งเองในปจ จบุ ัน เขาถงึ อยู นี้เปน กาํ ลังของตถาคตประการหนง่ึ ซ่ึงตถาคตอาศัยแลว ปฏญิ าณฐานะของผเู ปนโจก บันลือสีหนาทในบรษิ ัท ยังพรหมจกั รใหเ ปนไป. ดูกอนสารีบุตร กําลังของตถาคต ๑๐ ประการเหลาน้ีแล ทีต่ ถาคตประกอบแลว ปฏิญาณฐานะของผูเ ปนโจก บันลือสีหนาทในบริษทั ยงัพรหมจักรใหเ ปน ไป. ดูกอ นสารีบตุ ร ผใู ดแล พงึ วา ซึง่ เราผูรอู ยูอยางนี้ ผเู ห็นอยอู ยางน้ีวา ธรรมอนั ยง่ิ ของมนษุ ย ท่ีเปน ญาณทัสสะอนั วเิ ศษ พอแกความเปนอริยะของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลมาดวยความตรกึ ท่ีไตรตรองดวยการคนคิด แจม แจงไดเอง ดกู อ นสารบี ุตร ผูน้นั ไมละวาจานั้นเสยี ไมล ะความคดิ นัน้ เสยี ไมสละคืนทิฏฐินั้นเสีย กเ็ ทย่ี งแททจี่ ะตกนรก.ดูกอ นสารบี ตุ ร เปรยี บเหมอื นภิกษุผถู งึ พรอ มดวยศลี ถึงพรอ มดวยสมาธิ
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 44ถงึ พรอ มดว ยปญ ญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปจ จบุ ันทีเดียว ฉันใด ดูกอ นสารีบุตร เรากลาวขอ อปุ ไมยน้ี กฉ็ ันนัน้ . ผูน้ันไมละวาจานัน้ เสยี ไมล ะความคดิ นน้ั เสยี ไมส ละคนื ทิฐนิ น้ั เสีย กเ็ ท่ยี งแทท จ่ี ะตกนรก. เวสารชั ชธรรม ๔ [๑๖๗] ดกู อ นสารบี ุตร ตถาคตประกอบดว ยเวสารชั ชธรรม [ความแกลว กลา ] เหลา ใด จงึ ปฏญิ าณฐานะของผูเ ปน โจก บนั ลือสีหนาทในบรษิ ัทยังพรหมจกั รใหเปนไป เวสารชั ชธรรมของตถาคตเหลาน้มี ี ๔ ประการ. ๔ประการเปนไฉน. ดกู อนสารบี ตุ ร เราไมเ หน็ เหตนุ ีว้ า สมณะ พราหมณเทวดา มาร พรหม หรอื ใคร ๆ ในโลก ทร่ี ักทกั ทว งเราโดยสหธรรมในขอวา ทานปฎิญาณตนวาเปน พระสัมมาสัมพุทธะ ธรรมเหลาน้ีทา นยังไมไ ดตรสั รูแลวดังน.ี้ ดกู อนสารีบตุ ร เม่ือไมเหน็ เหตนุ ้ี เราก็เปน ผถู ึงความปลอดภัยถึงความไมมภี ยั ถงึ ความเปน ผแู กลวกลาอย.ู ดูกอ นสารีบตุ ร เราไมเหน็ เหตุนวี้ า สมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรอื ใครๆในโลกที่จักทกั ทว งเราโดยสหธรรมในขอ วา ทา นปฏญิ าณตนวา เปน พระขีณาสพ อาสวะเหลา นี้ของทา นยงั ไมส ิ้นไปแลว ดงั น้.ี ดูกอ นสารีบตุ ร เม่ือไมเ หน็ เหตุนี้ เราก็เปนผูถงึ ความปลอดภยั ถึงความไมม ีภัย ถงึ ความเปนผูแ กลว กลา อยู. ดกู อ นสาร-ีบุตร เราไมเห็นเหตนุ ว้ี า สมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรอืใครๆในโลก ที่จกั ทักทวงเราโดยสหธรรม ในขอวา ทา นกลา วธรรมเหลา ใดวา ทําอนั ตราย ธรรมเหลานนั้ ไมอ าจทาํ อันตรายแกผูซอ งเสพไดจ ริง ดงั น.้ีดูกอ นสารบี ตุ ร เมือ่ ไมเห็นเหตนุ ้ี เราก็เปน ผูถึงความปลอดภยั ถงึ ความไมมีภัย ถึงความเปนผแู กลวกลาอยู. ดูกอ นสารีบุตร เราไมเ หน็ เหตนุ ว้ี า สมณะพราหมณ เทวดา มาร พรหม หรอื ใคร ๆ ในโลก ทจี่ กั ทักทวงเราโดย
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 45สหธรรมในขอ วา ทานแสดงธรรมเพ่อื ประโยชนอยา งใด ประโยชนอ ยา งน้นั ไมเปนทางส้ินทกุ ขโ ดยชอบแหงคนผูทาํ ตาม ดังนี้ ดกู อ นสารบี ุตร เม่อื ไมเห็นเหตนุ ี้เรากเ็ ปนผูถึงความปลอดภัย ถงึ ความไมม ภี ัย ถงึ ความเปน ผูแกลว กลา อยู. ดูกอ นสารบี ตุ รตถาคตประกอบดวยเวสารชั ชธรรมเหลา ใด จงึ ปฏิญาณฐานะของผเู ปนโจก บันลือสีหนาทในบริษัท ยงั พรหมจกั รใหเ ปน ไป เวสารัชชธรรมของตถาคต ๔ ประการเหลานแี้ ล. ดกู อ นสารีบุตร ผูใดแล พงึ วา ซึ่งเราผรู อู ยูอยา งน้ี ผเู ห็นอยูอยา งนวี้ า ธรรมอันยงิ่ ของมนษุ ยท ่เี ปน ญาณทสั สนะอันวิเศษพอแกความเปน อริยะ ของพระสมณโคดมไมม ี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลดว ยความตรกึ ทีไ่ ตรต รองดวยการคนคดิ แจมแจงไดเ อง ดูกอนสารีบตุ ร ผูน้นั ไมล ะวาจานนั้ เสีย ไมละความคดิ นน้ั เสยี ไมสละคืนทิฐนิ น้ั เสยีก็เท่ยี งแทท ีจ่ ะตกนรก. ดูกอ นสารบี ุตร เปรียบเหมอื นภิกษุถึงพรอมดวยศลีถงึ พรอมดว ยสมาธิ ถึงพรอ มดวยปญญา พงึ กระหยมิ่ อรหตั ผลในปจจุบนั ทเี ดียวฉนั ใด ดกู อ นสารบี ตุ ร เรากลา วขอ อปุ ไมยน้ี กฉ็ ันน้นั . ผูนั้นไมล ะวาจานน้ัเสยี ไมล ะความคิดน้ันเสยี ไมสละคืนทฐิ ิน้นั เสยี กเ็ ทย่ี งแทที่จะตกนรก. [๑๖๘] ดูกอ นสารีบุตร บรษิ ัท ๘ จาํ พวกเหลา นี้แล ๘ จาํ พวกเปนไฉน คือ ขตั ติยบรษิ ทั พราหมณบรษิ ทั คฤหบดีบริษัท สมณบริษทัจาตุมหาราชิกบรษิ ทั ดาวดงึ สบริษัท มารบริษัท และพรหมบรษิ ทั ดกู อนสารบี ตุ ร บริษทั ๘ จาํ พวกเหลานี้แล. ดูกอ นสารีบตุ ร ตถาคตประกอบดวยเวสารชั ชธรรม ๔ ประการเหลานี้แล ยอ มเขา ไปหา ยอ มหยัง่ ลงสบู ริษัท ๘จาํ พวกเหลา นี้. ดกู อนสารีบุตร เรายอมเขา ใจเขา ไปหาขัตตยิ บริษัทหลาย ๆรอย แมใ นขตั ติยบริษัทนั้น เราเคยน่งั ใกล เคยทกั ทายปราศรัย เคยสนทนากัน ดกู อ นสารีบุตร เราไมเ ห็นเหตุนวี้ า ความกลวั หรือความสะทกสะทา นจกั กลํ้ากลายเราในขัตติยบริษทั นั้นเลย เมอื่ ไมเหน็ เหตนุ ี้ เราก็เปนผูถึงความ
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 46ปลอดภยั ถงึ ความไมมีภยั ถึงความเปน ผูแ กลว กลา อยู. ดกู อนสารบี ตุ ร อนึง่เรายอ มเขาใจเขา ไปหาพราหมณบริษัทหลาย ๆ รอ ย คฤหบดบี ริษทั สมณบรษิ ัท จาตมุ หาราชิกบริษัท ดาวดงึ สบรษิ ัท พรหมบริษัท จาํ พวกละหลาย ๆรอ ย แมในบรษิ ทั นัน้ ๆ เราเคยนงั่ ใกล เคยทกั ทายปราศรัย เคยสนทนากันดกู อนสารีบุตร เราไมเหน็ เหตุน้ีวา ความกลัว หรอื ความสะทกสะทานจักกล้าํ กลายเราในบรษิ ัทนัน้ ๆ เลย เมื่อไมเ ห็นเหตนุ ้ี เรากเ็ ปน ผูถงึ ความปลอดภัย ถึงความไมมภี ัย ถงึ ความเปน ผแู กลว กลา อย.ู ดูกอนสารีบตุ ร ผใู ดแลพงึ วาซง่ึ เรา ผูรอู ยูอ ยา งน้ี ผเู ห็นอยอู ยางนว้ี า ธรรมอนั ย่ิงของมนษุ ย ที่เปนญาณทัสสนะอนั วิเศษ พอแกความเปนอรยิ ะ ของพระสมณโคดมไมม ี พระ-สมณโคดมทรงแสดงธรรมท่ีประมวลมาดว ยความตรึก ที่ไตรตรองดว ยการคนคดิ แจมแจงไดเอง ดูกอ นสารีบุตร ผูนน้ั ไมล ะวาจานั้นเสยี ไมละความคดิ นนั้ เสยี ไมส ละคนื ทฐิ ินนั้ เสีย ก็เทย่ี งแทท ่จี ะตกนรก. ดูกอนสารีบุตรเปรยี บเหมือนภิกษุผูถึงพรอ มดวยศลี ถงึ พรอ มดวยสมาธิ ถึงพรอมดว ยปญ ญาพงึ กระหยมิ่ อรหัตผล ในปจ จบุ ันทเี ดยี ว ฉนั ใด ดกู อนสารบี ตุ ร เรากลา วขอ อปุ ไมยนี้ กฉ็ นั นั้น. ผนู นั้ ไมละวาจานั้นเสยี ไมล ะความคดิ นัน้ เสยี ไมสละคืนทฐิ ินัน้ เสีย กเ็ ท่ียงแทท่ีจะตกนรก. กาํ เนิด ๔ [๑๖๙] ดูกอนสารบี ตุ ร กําเนิด ๔ ประการเหลานีแ้ ล ๔ ประการเปน ไฉน คือ อณั ฑชะกําเนดิ ชลาพุชะกําเนิด สงั เสทชะกําเนดิ โอปปาต-ิกะกําเนดิ . ดูกอนสารีบุตร กอ็ ัณฑชะกําเนดิ เปนไฉน สตั วทั้งหลายเหลา นน้ัใด ชําแรกเปลอื กแหงฟองเกิด นเ้ี ราเรียกวา อัณฑชะกําเนิด. ดูกอ นสารีบุตรชลาพุชะกําเนดิ เปนไฉน สตั วท ั้งหลายเหลา น้นั ใด ชําแรกไส [มดลกู ] เกิด
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 47นี้เราเรยี กวา ชลาพุชะกําเนดิ . ดกู อนสารบี ตุ ร สังเสทชะกําเนดิ เปน ไฉนสัตวทัง้ ทัง้ หลายเหลา น้นั ใด ยอ มเกิดในปลาเนา ในซากศพเนา ในขนมบูดหรอื ในนาครํา ในเถา ไคล [ของสกปรก] น้ีเราเรียกวา สงั เสทชะกาํ เนดิ . ดูกอ นสารีบตุ ร โอปปาติกะกาํ เนิดเปนไฉน เทวดา สตั วน รก มนษุ ยบางจาํ พวกและเปรตบางจาํ พวก นี้เราเรียกวา โอปปาติกะกาํ เนดิ . ดกู อนสารีบุตร กาํ เนดิ๔ ประการเหลาน้แี ล. ดกู อ นสารบี ตุ ร ผูใดแล พงึ วา ซง่ึ เราผูร ูอ ยูอยา งน้ีผเู หน็ อยอู ยางนว้ี า ธรรมอันยิง่ ของมนุษย ที่เปนญาณทัสสนะอนั วเิ ศษพอแกความเปนอริยะของพระสมณโคดมไมมี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมทปี่ ระ-มวลมาดวยความตรึก ท่ีไตรตรองดวยการคน คดิ แจม แจงไดเอง ดกู อนสารี-บุตร ผนู ัน้ ไมล ะวาจานัน้ เสยี ไมละความคดิ นั้นเสีย ไมสละคืนทฐิ ินนั้ เสยีกเ็ ท่ียงแททีจ่ ะตกนรก. ดกู อ นสารบี ตุ ร เปรียบเหมอื นภิกษผุ ถู ึงพรอมดว ยศลีถงึ พรอมดวยสมาธิ ถงึ พรอ มดว ยปญญา พงึ กระหยม่ิ อรหัตผล ในปจ จุบนัทีเทยี ว ฉนั ใด ดกู อนสารบี ตุ ร เรากลา วขออปุ ไมยนี้ กฉ็ ันนัน้ ผูนนั้ ไมละวาจานัน้ เสีย ไมละความคิดน้ันเสีย ไมส ละคืนทฐิ ินัน้ เสีย ก็เทย่ี งเเทท ่ีจะตกนรก. [๑๗๐] ดกู อ นสารบี ตุ ร คติ ๕ ประการเหลา น้แี ล ๕ ประการเปนไฉนคอื นรก กาํ เนิดดิรจั ฉาน เปรตวสิ ยั มนษุ ย เทวดา. ดูกอ นสารีบตุ ร เรายอ มรูชัดซงึ่ นรก ทางยังสตั วใหถงึ นรก และปฏิปทาอนั จะยังสัตวใ หถ ึงนรกอน่ึง สัตวผ ูดําเนนิ ประการใด เบื้องหนา แตตายเพราะกายแตก ยอ มเขาถึงอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก เรายอ มรูช ัดซึ่งประการนั้นดวย. ดกู อนสารบี ุตรเรายอ มรชู ัดซง่ึ กาํ เนิดดริ จั ฉาน ทางยงั สตั วใ หถ ึงกาํ เนดิ ดริ ัจฉาน ปฏิปทาอันจะยังสตั วใ หถ งึ กําเนดิ ดริ ัจฉาน อน่งึ สัตวผดู ําเนินประการใด เบือ้ งหนาแตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึงกาํ เนิดดริ จั ฉาน เรายอ มรชู ดั ซึ่งประการน้นั ดว ย.
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 48ดกู อ นสารบี ุตร เรายอ มรชู ัดซ่ึงเปรตวิสยั ทางไปสเู ปรตวสิ ยั และปฏิปทาอนัจะยงั สตั วใหถ งึ เปรตวสิ ัย อนงึ่ สัตวผ ูดาํ เนินประการใด เบอ้ื งหนา แตต ายเพราะกายแตก ยอมเขา ถึงเปรตวสิ ัย เรายอ มรชู ดั ซง่ึ ประการน้นั ดว ย. ดกู อ นสารบี ุตร เรายอมรชู ดั ซ่ึงเหลา มนุษย ทางอนั ยงั สัตวใหถงึ มนุษยโลกและปฏ-ิปทาอันจะยงั สัตวใ หถ งึ มนุษยโลก อน่งึ สัตวผูป ฏบิ ัตปิ ระการใด เบื้องหนาแตต ายเพราะกายแตก ยอ มอบุ ัตใิ นหมมู นษุ ย เรายอมรูชดั ซงึ่ ประการนน้ัดวย. ดกู อนสารบี ตุ ร เรายอ มรชู ดั ซ่ึงเทวดาทง้ั หลาย ทางอนั ยงั สตั วใหถงึเทวโลก และปฏปิ ทาอนั จะยังสัตวใหถ งึ เทวโลก อนึง่ สตั วผูปฏบิ ตั ปิ ระการใดเบ้อื งหนาแตต ายเพราะกายแตก ยอ มเขาถึงสคุ ติโลกสวรรค เรายอ มรูชดั ซึง่ประการนน้ั ดวย. ดูกอนสารีบุตร เรายอมรูชดั ซงึ่ พระนพิ พาน ทางอันยังสตั วใหถงึ พระนพิ พาน และปฏิปทาอันจะยงั สัตวใหถึงพระนพิ พาน อนึง่ สัตวผูปฏิบัตปิ ระการใด ยอมกระทําใหแจงซง่ึ เจโตวิมตุ ิ ปญ ญาวมิ ุติ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทัง้ หลายสิ้นไป ดวยปญญาอันยิง่ เองในปจจุบนั เขาถงึ อยูเรายอมรูช ดั ซงึ่ ประการนนั้ ดวย. อุปมาขอที่ ๑ [๑๗๑] ดกู อนสารบี ุตร เรายอ มกําหนดรูใ จบุคคลบางคน ในโลกนี้ดว ยใจอยา งนว้ี า บุคคลนี้ปฏบิ ัตอิ ยา งน้ัน ดําเนินอยา งนั้น และขึน้ สหู นทางน้นั เบื้องหนา แตต ายเพราะกายแตก จักเขาถงึ อบาย ทุคติ วินิบาตนรก โดยสมัยตอมา เรายอมเห็นบุคคลนัน้ เบ้ืองหนาแตตายเพราะกายแตกเขา ถงึ แลวซงึ่ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก เสวยทุกขเวทนาอนั แรงกลา เผ็ดรอ นโดยสว นเดยี ว ดว ยทิพยจกั ษุอนั บริสุทธ์ิ ลว งจกั ษุของมนษุ ย. ดกู อนสารบี ตุ ร เปรยี บเหมอื นหลุมถานเพลิงลกึ ยง่ิ กวาชั่วบรุ ุษ เต็มไปดว ยถา นเพลงิ
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 49ปราศจากเปลว ปราศจากควัน ลําดบั น้นั บุรษุ ผมู ีตวั อันความรอนแผดเผาครอบงาํ เหน็ดเหนอ่ื ย สะทกสะทา น หิวระหายมงุ มาสหู ลมุ ถานเพลิงน้ันแหละ โดยบรรดาสายเดยี ว บุรุษผมู ีจักษุเห็นเขาแลวพึงกลาวอยางนี้วา บรุ ษุผเู จริญนี้ ปฏบิ ัตอิ ยางน้ัน ดําเนนิ อยางนนั้ ขน้ึ สหู นทางนน้ั จกั มาถงึ หลมุถานเพลงิ นี้ทีเดียว โดยสมยั ตอมา บุรษุ ผมู ีจกั ษุน้ัน พึงเห็นเขาตกลงในหลุมถา นเพลิงน้นั เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา เผ็ดรอนโดยสวนเดียวแมฉันใดดกู อนสารีบตุ ร เรายอมกําหนดรูใจบคุ คลบางคนในโลกนี้ ดว ยใจ ฉันนั้นเหมือนกนั แลวา บุคคลน้ปี ฏิบตั ิอยา งนั้น ดาํ เนนิ อยา งนัน้ และขึน้ สูหนทางนนั้ เบอื้ งหนา แตตายเพราะกายแตก จกั เขา ถึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรกโดยสมยั ตอมา เราไดเหน็ บคุ คลนนั้ เบอ้ื งหนาแตตายเพราะกายแตก เขา ถึงแลว ซ่ึงอบาย ทุคติ วินบิ าต นรก เสวยทุกขเวทนาอนั แรงกลา เผ็ดรอนโดยสว นเดยี ว ดว ยทิพยจักษอุ นั บริสทุ ธิ์ ลว งจักษขุ องมนษุ ย. [๑๗๒] ดกู อนสารบี ตุ ร เรายอมกําหนดบางคนในโลกนี้ ดวยใจวาบคุ คลนป้ี ฏบิ ัตอิ ยา งนน้ั ดาํ เนินอยางนัน้ และขึ้นสหู นทางนัน้ จกั เขาถึงกาํ เนิดดิรัจฉาน เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก โดยสมยั ตอ มา เราเหน็ บคุ คลนั้นเบ้ืองหนา แตต ายเพราะกายแตก เขาถงึ แลว ซ่งึ กาํ เนิดดริ ัจฉาน เสวยทกุ ขเวทนาอันแรงกลา เผด็ รอ น ดวยทิพยจักษุอันบรสิ ทุ ธิ์ ลว งจกั ษุของมนุษย.ดกู อ นสารีบุตร เปรียบเหมอื นหลมุ คูถ ลกึ ย่งิ กวาช่ัวบรุ ษุ เตม็ ไปดว ยคูถลาํ ดับนน้ั บุรุษผมู ีตวั อันความรอนแผดเผา ครอบงํา เหนด็ เหนือ่ ย สะทกสะทาน หิวระหาย มุง มาสหู ลมุ คูถนั้นแหละ โดยบรรดาสายเดียว บุรุษผมู ีจักษเุ หน็ เขาแลว พึงกลาวอยา งน้ีวา บรุ ษุ ผูเ จริญน้ี ปฏิบตั อิ ยา งนนั้ ดําเนินอยางน้นั และขน้ึ สูห นทางนน้ั จกั มาถงึ หลมุ คถู น้ที เี ดยี ว โดยสมัยตอ มาบุรษุ ผูมจี ักษนุ น้ั พ่ึงเหน็ เขาตกลงในหลุมคถู นน้ั เสวยทุกขเวทนาอันแรงกลา
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 50เผ็ดรอน แมฉันใด ดูกอนสารบี ตุ ร เรายอ มกาํ หนดรูใจบุคคลบางคนในโลกน้ดี วยใจ ฉนั น้นั เหมอื นกันแลวา บุคคลนปี้ ฏบิ ัตอิ ยา งนน้ั ดาํ เนินอยา งนนั้และขนึ้ สหู นทางนัน้ เบือ้ งหนาแตตายเพราะกายแตก จกั เขา ถึงกําเนิดดิรัจฉานโดยสมัยตอ มา เรายอ มเห็นบุคคลนน้ั เบ้ืองหนา แตต ายเพราะกายแตก เชาถึงแลวซ่งึ กาํ เนดิ ดริ จั ฉาน เสวยทกุ ขเวทนาอนั แรงกลา เผ็ดรอ น ดวยทิพยจกั ษุอนั บรสิ ทุ ธิ์ ลว งจกั ษขุ องมนุษย. [๑๗๓] ดกู อนสารีบตุ ร เรายอ มกาํ หนดรใู จบุคคลบางคนในโลกน้ีดวยใจอยางนว้ี า บุคคลนี้ปฏิบตั ิอยางนี้ ดําเนนิ อยางนัน้ และข้นึ สหู นทางนน้ัเบ้อื งหนาแตตายเพราะกายแตก จกั เขาถงึ เปรตวิสัย โดยสมยั ตอมา เรายอ มเห็นบุคคลน้นั เบ้อื งหนา แตตายเพราะกายแตก เขาถงึ แลว ซ่ึงเปรตวิสยัเสวยทกุ ขเวทนาเปนอันมาก ดวยทพิ ยจักษุอนั บริสทุ ธิ์ ลว งจักษขุ องมนษุ ย.ดูกอ นสารบี ตุ ร เปรยี บเหมอื นตน ไมเกดิ ในพ้นื ทีอ่ นั ไมเ สมอ มใี บออนและใบแกอนั เบาบาง มเี งาอนั โปรง ลําดับนั้น บรุ ุษผูม ีตวั อันความรอ นแผดเผาครอบงาํ เหนด็ เหน่ือย สะทกสะทา น หิวระหาย มงุ มาสูตน ไมน้ันแหละโดยบรรดาสายเดยี ว บุรษุ ผูมจี กั ษเุ หน็ เขาแลว พึงกลา วอยา งนี้วา บรุ ุษผูเจริญนี้ปฏิบตั ิอยางนั้น ดําเนนิ อยา งน้นั และข้นึ สหู นทางนน้ั จักมาถึงตน ไมนี้ทีเดียว โดยสมยั ตอ มา บรุ ษุ ผูมีจกั ษนุ ั้น พึงเหน็ เขานัง่ หรอื นอนในเงาตนไมน ้นั เสวยทกุ ขเวทนาเปนอันมาก แมฉนั ใด ดูกอ นสารีบตุ ร เรายอมกาํ หนดรูใจบคุ คลบางคนในโลกนดี้ ว ยใจฉนั น้นั เหมือนกันแล วาบุคคลนป้ี ฏิบัติอยา งนน้ั ดาํ เนนิ อยางนน้ั และขึน้ สูหนทางนน้ั เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตกจกั เขาถึงเปรตวสิ ยั โดยสมัยตอมา เรายอ มเหน็ บุคคลน้ัน เบอ้ื งหนาแตต ายเพราะกายแตก เขา ถงึ แลว ซ่ึงเปรตวิสัย เสวยทุกขเวทนาเปนอนั มาก ดวยทิพยจักษุอนั บรสิ ทุ ธิ์ ลวงจักษขุ องมนุษย.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 571
Pages: