Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_81

tripitaka_81

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:45

Description: tripitaka_81

Search

Read the Text Version

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 1 พระอภิธรรมปฎก เลม ท่ี ๔ กถาวตั ถุ ภาคท่ี ๒ ทตุ ยิ ปณ ณาสก วรรคท่ี ๖ นิยามกถา [๑๐๗๗] สกวาที นิยาม คือ ทางอนั แนนอน เปน สังขตะ หรอื ? ปรวาที ถูกแลว. ส. เปน นพิ พาน เปน ทต่ี า นทาน เปน ทเ่ี รน เปนทีพ่ ่งึ เปนทห่ี มาย เปน ฐานะอันไมเคล่อื น เปน อมตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งน้ัน ฯลฯ [๑๐๗๘] ส. นิยามเปน อสังขตะ นิพพานก็เปน อสงั ขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. อสังขตะ เปน ๒ อยาง หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยางนัน้ ฯลฯ ส. อสงั ขตะ เปน ๒ อยาง หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ทีต่ า นทาน กเ็ ปน ๒ อยา ง ทเ่ี รน กเ็ ปน ๒ อยา ง ทพี่ ึ่งก็เปน ๒ อยา ง ท่ีหมายก็เปน ๒ อยา ง ฐานะอันไมเ คลอ่ื นกเ็ ปน ๒ อยา ง อมตะ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 2กเ็ ปน ๒ อยาง นพิ พานกเ็ ปน ๒ อยา ง หรอื ? ป. ไมพ ึงกลาวอยางน้ัน ฯลฯ ส. นิพพานก็เปน ๒ อยา ง หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. มคี วามสูงและตาํ่ มคี วามเลวและประณตี มคี วามอกุ ฤษฏและทราม มเี ขตแดน หรอื ความแตกตาง หรือรอง หรือระหวา งขั้นแหงนิพพาน๒ อยางนัน้ หรอื ? ป. ไมพ งึ กลาวอยา งนัน้ ฯลฯ [๑๐๗๙] ส. นิยามเปน อสงั ขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. มบี ุคคลบางพวกกา วลงสูน ยิ าม ไดนยิ าม ยงั นยิ ามใหเกิดข้นึ ใหเกดิ ขึน้ พรอ ม ใหตงั้ ขน้ึ ใหต ้ังขึน้ พรอ ม ใหบังเกิด ใหบ งั เกดิ โดยยง่ิใหเกิด ใหเ กดิ พรอ มได หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. มบี ุคคลบางพวก กา วลงสูอสงั ขตะ ไดอสังขตะ ยังอสังขตะใหเ กิดขึ้น ใหเกดิ ขึ้นพรอ ม ใหตงั้ ขนึ้ ใหตัง้ ข้นึ พรอม ใหบงั เกดิ ใหบ ังเกิดโดยยิ่งใหเ กดิ ใหเกิดพรอ มได หรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนั้น ฯลฯ [๑๐๘๐] ส. นยิ ามเปน อสังขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. มรรคเปนอสงั ขตะ หรอื ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนน้ั ฯลฯ

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 3 ส. มรรคเปนสงั ขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. นยิ ามเปนสงั ขตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งนั้น ฯลฯ ส. โสดาปต ตนิ ยิ าม เปนอสงั ขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. โสดาปต ติมรรค เปน อสงั ขตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งน้นั ฯลฯ ส. โสดาปต ติมรรค เปนสังขตะ หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. โสดาปตตนิ ยิ าม เปนสงั ขตะ หรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยางนนั้ ฯลฯ ส. สกทาคามนิ ยิ าม ฯลฯ อนาคามนิ ยิ าม ฯลฯ อรหัตนิยามเปน อสังขตะ หรือ ? ป. ถกู แลว ส. อรหัตมรรคเปนอสังขตะ หรอื ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางน้ัน ฯลฯ ส. อรหัตมรรค เปน สงั ขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. อรหตั ตนิยาม เปน สังขตะ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลาวอยางน้นั ฯลฯ [๑๐๘๑] ส. โสดาปต ตนิ ิยาม เปนอสงั ขตะ ฯลฯ อรหัตนิยาม เปน

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 4อสังขตะ นิพพาน เปนอสังขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. อสังขตะ เปน ๕ อยา ง หรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนนั้ ฯลฯ ส. อสงั ขตะ เปน ๕ อยา ง หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ท่ีตานทานก็เปน ๕ อยาง ฯลฯ มีระหวางข้นั แหงนิพพาน๕ อยา งนั้น หรือ ? ป. ไมพ งึ กลาวอยางนั้น ฯลฯ [๑๐๘๒] ส. นยิ าม เปนอสังขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. มิจฉตั ตนิยาม คือทางอนั แนนอนขา งผดิ เปนอสงั ขตะหรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยางนนั้ ฯลฯ ส. มจั ฉัตตนิยามเปนสังขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. สัมมตั ตนยิ าม คือ ทางอนั แนน อนขางถกู เปนสังขตะหรอื ? ป. ไมพ งึ กลา วอยางน้นั ฯลฯ [๑๐๘๓] ป. ไมพ ึงกลาววา นยิ ามเปน อสังขตะหรือ ? ส. ถกู แลว . ป. เม่อื นิยามเกดิ ขน้ึ แลวดับไป บุคคลยังเปนผไู มแ นน อนอยหู รือ ? ส. ไมพ งึ กลา วอยางนั้น ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 5 ป. ถา อยา งนัน้ นิยามก็เปน อสงั ขตะนะสิ. ส. เมอื่ มิจฉัตตนยิ ามเกิดขึ้นแลวดบั ไป บุคคลเปนไมแนนอนหรอื ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งนนั้ ฯลฯ ส. ถาอยา งนัน้ มจิ ฉตั ตนยิ าม กจ็ ะเปนอสงั ขตะไปนะ ส.ิ นิยามกถา จบ อรรถกถานิยามกถา วา ดวย นิยาม บัดนี้ ชอื่ วา เรือ่ งนยิ าม นิยามเปนอสงั ขตะ. ในปญ หานัน้ ทานเรียกอริยมรรควา นยิ าม เพราะพระบาลีวา บุคคลผูสามารถเพอื่ กา วลงสนู ิยามอนั ถกู ตอ งในกศุ ลธรรมทั้งหลายดังน้.ี ก็ชนเหลา ใดมคี วามเหน็ ผดิ ดุจลัทธินกิ ายอันธกะทงั้ หลายวา เมอื่ นิยามนั้นเกิดขึ้นและดบั ไปแลวก็ดี บุคคลนัน้ยอมชอื่ วา เปน ไมเ ท่ียงก็หาไม เหตใุ ด เพราะเหตนุ ั้น นิยามทเ่ี กดิ ขึน้ แกบ คุ คลน้นั จึงชื่อวา เปน อสงั ขตะ คือ ไมมีปจ จัยปรงุ แตง เพราะอรรถวา เปนของเท่ียงดังนี้ คาํ ถามของสกวาทหี มายถึงชนเหลา นัน้ คําตอบรับรองเปน ของปรวาที.ตอจากนนั้ เมือ่ สกวาทจ่ี ะแสดงวา ผวิ า นิยามน้นั เปนอสังขตะไซร นิยามน้นักพ็ ึงมอี ยา งนี้ จึงกลาวคําวา เปนนิพพาน เปน ตน . คาํ ถามเปรยี บเทียบมีอรรถงา ยทงั้ น้ัน. คาํ วา บคุ คลบางพวกกา วลว งสนู ยิ าม เปนตน สกวาทกี ลา วเพือ่ แสดงความเปนสังขตะของนยิ าม ฯ ในปญหาวา มรรคปนอสังขตะหรอืเปน ตน ปรวาทยี อ มปฏิเสธ เพราะมรรคนน้ั ยังมีการเกดิ และการดับ. ในปญหาวา นยิ ามเปนสงั ขตะหรือ ปรวาทีตอบปฏิเสธ หมายเอานิยามในมรรคแม

พระอภิธรรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 6ดบั ไปแลวกเ็ ปน ของมอี ย.ู ในคาํ ท้งั หลายมคี าํ วา โสดาปต ตนิ ิยาม เปน ตนบัณฑติ พึงทราบเนื้อความอนโุ ลมและปฏโิ ลมโดยนัยนน้ั . ถกู สกวาทีถามวา อสังขตะเปน ๕ อยางหรอื ปรวาทเี มือ่ ไมเ หน็สถานท่ีมาของอสงั ขตะ ๕ อยา ง จงึ ปฏิเสธ. ถูกถามครงั้ ที่ ๒ กต็ อบรบั รองเพราะคาํ วา นยิ ามแหงสัมมตั ตนิยาม ๔ อยาง และเพราะความเปนอสงั ขตะของพระนพิ พาน ๑. ปญ หาวาดว ย มจิ ฉัตตนยิ าม สกวาทีกลา วแลว เพ่ือแสดงความไมถกู ตองแหงความเปนอสังขตะ ดวยเหตสุ กั แตคําวา นยิ ามน้นั นน่ั แหละดวยประการฉะนีแ้ ล. อรรถกถานิยามกถา จบ

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 7 ปฏจิ จสมุปปาทกถา [๑๐๘๔] สกวาที ปฏิจจสมปุ บาทเปน อสังขตะ หรือ ? ปรวาที ถูกแลว ส. เปนนพิ พาน เปน ท่ีตานทาน เปน ท่เี รน เปน ทพ่ี งึ่ เปนที่หมาย เปน ฐานะอนั ไมเคลื่อน เปน อมตะ หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยางนั้น ฯลฯ ส. ปฏิจจสมุปบาทเปน อสังขตะ นิพพานก็เปนอสังขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. อสงั ขตะเปน ๒ อยางหรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางน้นั ฯลฯ ส. อสงั ขตะเปน ๒ อยา ง หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ท่ตี านทานกเ็ ปน ๒ อยาง ทเี่ รนก็เปน ๒ อยาง ทพ่ี ึ่งก็เปน ๒ อยาง ท่ีหมายกเ็ ปน ๒ อยา ง ฐานะอันไมเ คล่ือนกเ็ ปน ๒ อยาง อมตะก็เปน ๒ อยา ง นิพพานกเ็ ปน ๒ อยา ง หรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยางนั้น ฯลฯ ส. นพิ พานก็เปน ๒ อยา งหรือ ? ป. ถกู แลว. ส. มีความสูงและต่าํ มีความเลวและความประณีต มคี วามอุกฤษฏแ ละทราม มีเขตแดน หรอื ความแตกตา ง หรือรอ ง หรอื ระหวางข้ันแหง นพิ พาน ๒ อยา งน้ันหรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนัน้ ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 8 [๑๐๘๕] ส. ปฏิจจสมุปบาทเปน อสงั ขตะหรือ ? ป. ถูกแลว . ส. อวชิ ชาก็เปนอสงั ขตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนน้ั ฯลฯ ส. อวิชชาเปนสงั ขตะหรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ปฏจิ จสมุปบาทก็เปนสังขตะหรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนนั้ ฯลฯ ส. ปฏิจจสมปุ บาทเปน อสงั ขตะหรือ ? ป. ถูกแลว . ส. สังขารทีเ่ กดิ เพราะอวิชชาเปน ปจ จัย กเ็ ปนอสังขตะ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลาวอยางนนั้ ฯลฯ ส. สงั ขารทีเ่ กิดเพราะอวิชชาเปนปจจัย เปน สังขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ปฏิจจสมปุ บาทก็เปนสังขตะหรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนน้ั ฯลฯ ส. ปฏจิ จสมปุ บาทเปนอสังขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. วญิ ญาณท่ีเกดิ เพราะสงั ขารเปนปจจัย กเ็ ปน อสงั ขตะหรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยางนัน้ เลย ส. วญิ ญาณท่ีเกดิ เพราะสังขารเปน ปจจยั เปนสังขตะหรือ ?

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 9 ป. ถูกแลว . ส. ปฏิจจสมุปบาทกเ็ ปนสงั ขตะหรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนั้น ฯลฯ ส. ปฏิจจสมปุ บาทเปน อสงั ขตะหรือ ? ป. ถูกแลว. ส. นามรูปทเ่ี กิดเพราะวิญญาณเปน ปจ จัย กเ็ ปนอสงั ขตะหรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งน้นั ฯลฯ ส. นามรปู ทีเ่ กดิ เพราะวญิ ญาณเปนปจจัย เปน สังขตะหรอื ? ป. ถูกแลว . ส. ปฏจิ จสปุ บาทกเ็ ปน สังขตะหรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งน้นั ฯลฯ ส. ปฏิจจสมปุ บาทเปนอสังขตะหรือ ? ป. ถูกแลว . ส. ชราและมรณะทม่ี เี พราะชาติเปนปจจยั ก็เปน อสังขตะหรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยา งนน้ั ฯลฯ ส. ชราและมรณะท่ีมเี พราะชาติเปนปจจยั ก็เปนสงั ขตะหรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ปฏิจจสมปุ บาทกเ็ ปนสงั ขตะหรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนั้น ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 10 [๑๐๘๖] ป. ไมพ ึงกลาววา ปฏจิ จสมปุ บาทเปน อสังขตะ หรอื ? ส. ถกู แลว. ป. พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั ไวว า ดกู อนภิกษุทั้งหลาย ชรา มรณะ มีเพราะชาตเิ ปน ปจ จยั โดยพระตถาคตท้ังหลายจะอุบัติข้นึ หรือมิอุบตั ิขึน้ ก็ตาม ธาตนุ นั้ ไดต งั้ อยแู ลวเทยี ว เปนธรรมฐติ ิ เปน ธรรมนิยาม คือความทธ่ี รรมนี้เกดิ ข้ึนเพราะธรรมนเ้ี ปนปจจยั พระตถาคตตรัสรูดว ยปญญาอันย่ิง คน พบดวยปญ ญาอันย่งิ ซ่ึงธาตุนั้น คร้นั ตรสั รูดวยปญ ญาอันยิ่งแลว ครน้ั คน พบดวยปญ ญาอันย่งิ แลว จึงบอก แสดง ประกาศ เผยแพร ขยาย ทาํ ใหง าย และไดช แ้ี จงวา ชราและมรณะมเี พราะชาติเปนปจ จยัดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ชาติมีเพราะภพเปนปจ จัย ฯลฯ มสี งั ขารมีเพราะอวิชชาเปนปจจัย โดยตถาคตท้งั หลายจะอบุ ตั ิขึ้น หรอื มอิ บุ ตั ิขน้ึ ก็ตาม ธาตนุ ้ันไดต้ังอยแู ลว เทียว ฯลฯ และไดช ี้แจงวา สงั ขารมเี พราะอวิชชาเปน ปจจัย ภกิ ษุทัง้ หลาย ความจรงิ แท ความไมค ลาดเคลอ่ื น ความไมเ ปนโดยประการอื่นคือความทธ่ี รรมเกิดขนึ้ เพราะธรรมนีเ้ ปนปจจัย สภาวธรรมน้ัน ดังกลา วนี้อันใด นี้เรากลา ววา ปฏิจจสมปุ บาท ดงั น๑้ี เปน สูตรมีอยจู รงิ มใิ ชหรือ ? ส. ถกู แลว . ป. ถาอยางนั้น ปฏิจจสมปุ บาทก็เปนอสังขตะนะ สิ. [๑๐๘๗] ส. ปจ จยาการบท ๑ วา สงั ขารมเี พราะอวิชชาเปน ปจจัยดงั น้ี สภาวะใดเปน ธรรมฐิติ เปนธรรมนิยาม ในปจ จยาการนัน้ สภาวะนัน้เปน อสงั ขตะ นพิ พานกเ็ ปน อสังขตะ หรือ ?๑. ส . นิ. ๑๖/๖๑.

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 11 ป. ถกู แลว . ส. อสงั ขตะเปน ๒ อยาง หรือ ? ป. ไมพ ึงกลาวอยางนั้น ฯลฯ ส. อสงั ขตะเปน ๒ อยา ง หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ทตี่ านทาน ก็เปน ๒ อยาง ฯลฯ หรอื มรี ะหวางขนึ้ แหงนิพพาน ๒ อยางน้ัน หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยางนนั้ ฯลฯ [๑๐๘๘] ส. ปจจยาการบท ๑ วา สงั ขารมเี พราะอวิชชาเปนปจจัยดงั น้ี สภาวะใดเปนธรรมฐิติ เปนธรรมนิยามในปจจยาการนั้น สภาวะน้ันเปน อสงั ขตะ ปจจยาการอีกบท ๑ วา วิญญาณมีเพราะสังขารเปน ปจ จยัดงั นี้ สภาวะใดเปน ธรรมฐติ ิ เปน ธรรมนิยาม ในปจจยาการนั้น สภาวะน้นักเ็ ปน อสังขตะ นพิ พานก็เปนอสงั ขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. อสังขตะ เปน ๓ อยา งหรอื ? ป. ไมพ งึ กลาวอยา งน้นั ฯลฯ ส. อสังขตะ เปน ๓ อยา งหรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ที่ตานทาน กเ็ ปน ๓ อยา ง ฯลฯ มีระหวา งขั้นแหงนพิ พาน๓ อยางน้ันหรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยางนน้ั ฯลฯ [๑๐๘๙] ส. ปจ จยาการบท ๑ วา สงั ขารทัง้ หลายมเี พราะอวิชชา

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 12เปน ปจจัย ดงั นี้ สภาวะใด เปนธรรมฐิติ เปน ธรรมนยิ าม ในปจ จยาการนนั้สภาวะนนั้ เปนอสงั ขตะ ปจ จยาการอกี บท ๑ วา วญิ ญาณมีเพราะสงั ขารเปนปจจยั ดงั น้ี สภาวะใด เปนธรรมฐิติ เปนธรรมนิยาม ในปจจยาการนัน้สภาวะน้นั ก็เปน อสังขตะ ฯลฯ ปจจยาการอกี บท ๑ วา ชรามรณะมีเพราะชาติเปน ปจ จยั ดังน้ี สภาวะใด เปนธรรมฐติ ิ เปนธรรมนยิ าม ในปจ จยาการน้นั สภาวะน้นั กเ็ ปนอสังขตะ นพิ พานกเ็ ปน อสงั ขตะ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. อสังขตะ เปน ๑๒ อยา งหรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ส. อสงั ขตะเปน ๑๒ อยา งหรอื ? ป. ถูกแลว . ส. ท่ตี านทาน ก็เปน ๑๒ อยา ง ทเี่ รนก็เปน ๑๒ อยาง ฯลฯมีระหวางข้นั แหงนพิ พาน ๒ อยางน้นั หรอื ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งนัน้ ฯลฯ ปฏจิ จสมุปปาทกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 13 อรรถาปฏจิ จสมุปปาทกถา วา ดว ย ปฏจิ จสมปุ บาท บดั น้ี ช่อื วา เรอ่ื งปฏิจจสมุปบาท. ในเรอื่ งนน้ั ชนเหลาใดมีความเห็นผดิดุจลัทธขิ องนกิ ายปุพพเสลยิ ะ และมหิสาสกะทง้ั หลายวา ปฏิจจสมุปบาทเปน อสังขตะ เพราะพระบาลใี นนิทานวรรควา การอบุ ัตขิ น้ึ แหงพระตถาคตเจาก็ดี การไมอบุ ัตกิ ด็ ี ช่อื วา ธมั มฏั ฐติ ตา คือ ความตง้ั อยแู หงธรรม มอี ยู ดังนี้คําถามของสกวาทหี มายถึงชนเหลา น้นั คําตอบรับรองเปนของปรวาท.ี ปญหาวา อวิชชาเปนสังขตะ เปน ตน สกวาทีกลาวเพือ่ แสดงสภาวะปฏจิ จสมุปบาทแหงธรรมทง้ั หลายมีอวชิ ชาเปน ตน นั่นแหละ. ก็องคหนง่ึ ๆ ในธรรมเหลาน้นัทานเรยี กวา ปฏิจจสมปุ บาทมอี ยดู วยอรรถอนั ใด อรรถอนั นนั้ น่ันแหละทา นไดกลาวไวแ ลว ในปฏิจจสมปุ ปาทวภิ ังค. คําวา สงั ขารมเี พราะอวิชชาเปนปจจัย ดงั น้ี สภาวะใดเปน ธัมมฐติ ิเปนอาทิ สกวาทีกลาวเพื่อทําลายอรรถแหงลัทธทิ ี่ปรวาทีนํามาต้ังไวแลวดว ยพระสูตรนนั้ น่ันแหละ. ก็ในขอน้ี พงึ ทราบเนอื้ ความวา ธาตุใดเปน สภาวะต้ังอยแู ลว ในกอ นธาตนุ นั้ เทียว ทานเรยี กวา เปน ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม ธาตุนั้นเวนจากอวิชชาเปน ตนมีอยสู ว นหนึ่งก็หาไม และคาํ วา ธมั มฐิติ และธัมมนยิ ามนเ้ี ปนชอื่ แหงปจจัยทงั้ หลายมอี วิชชาเปนตน นนั่ แหละ. จรงิ อยู เมื่อพระตถาคตทรงอุบตั ิแลวก็ดี ยงั มิไดท รงอบุ ัตกิ ็ดี สงั ขารท้ังหลายก็ยอ มเกิดเพราะอวิชชาเปน ปจจัยท้ังธรรมทัง้ หลายมีวิญญาณเปน ตนยอมเกดิ แตธ รรมทั้งหลายมสี งั ขารเปน ตนเพราะฉะนัน้ ความตงั้ อยูอ ันใดเพราะอรรถวาเปน เหตแุ หง สังขารธรรมท้ังหลาย

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 14ในบทน้วี า อวิชชฺ าปจฺจยา สงฺขารา เปนตน เพราะเหตนุ น้ั ธรรมนนั้ จงึ ชอ่ื วาธมั มฐติ ิ อนง่ึ ความท่ีธรรมเหลา น้ันนน่ั แหละเปนนิยามเพราะอรรถวา เปนเหตุฉะนน้ั ธรรมน้ัน จงึ ช่อื วา ธัมมนยิ าม เพราะฉะน้ันธัมมฐิตกิ ็ดี ธัมมนยิ ามก็ดี ทานจึงเรยี กวา อวชิ ชา สกวาทีถามวา สภาวะน้นั คืออวชิ ชา เปน อสังขตะนพิ พานกเ็ ปนสงั ขตะหรือ ? ปรวาทตี อบรบั รองดว ยความสามารถแหง ลทั ธิถูกถามอีกวา อสังขตะเปน ๒ อยา งหรือ ปรวาทีตอบปฏิเสธเพราะไมม ีในพระสตู ร แตต อบรับรองดวยสามารถแหงลัทธ.ิ แมในบททีเ่ หลือทั้งหลายกน็ ัยนนี้ น่ั แหละ. อน่งึ ในท่นี ้ี บณั ฑติ พึงทราบเชน กบั คําทีก่ ลา วไวแ ลวในหนหลังโดยนัยท่ีกลาวแลวน่นั แล. อรรถกถาปฏิจจสมปุ ปาทกถา จบ

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 15 สจั จกถา [๑๐๙๐] สกวาที สจั จะ ๔ เปน อสงั ขตะ หรอื ? ปรวาที ถูกแลว. ส. ที่ตานทานกเ็ ปน ๔ ทีเ่ รน ก็เปน ๔ ที่พึง่ เปน ๔ ท่หี มายกเ็ ปน ๔ ฐานะอนั ไมเคลือ่ นก็เปน ๔ อมตะกเ็ ปน ๔ นพิ พานกเ็ ปน ๔ หรอื ? ป. ไมพึงกลาวอยา งนน้ั ฯลฯ ส. นพิ พาน ก็เปน ๔ หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. มคี วามสงู และตา่ํ มคี วามเลวและประณตี มคี วามอกุ ฤษฏแ ละทราม มเี ขตแดน หรอื ความแตกตา ง หรอื รอง หรอื ระหวา งขน้ั แหง นพิ พาน ๔ อยา งนนั้ หรอื ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งน้นั ฯลฯ [๑๐๙๑] ส. ทกุ ขสจั เปน อสงั ขตะ หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ทกุ ขเปนอสังขตะ หรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยางนัน้ ฯลฯ ส. ทกุ ขสจั เปนอสงั ขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ทุกขท างกาย ทุกขทางใจ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัสอุปายาส เปนอสังขตะ หรอื ? ป. ไมพึงกลาวอยา งนัน้ ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 16 ส. สมุทยั สจั เปน อสังขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. สมุทยั เปน อสงั ขตะ หรอื ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งนัน้ ฯลฯ ส. สมุทัยสจั เปนอสังขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. กามตัณหา ภวตณั หา วภิ วณหา เปน อสงั ขตะ หรอื ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งนน้ั ฯลฯ ส. มรรคสจั เปน อสังขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. มรรคเปนอสงั ขตะ หรอื ? ป. ไมพึงกลาวอยา งนน้ั ฯลฯ ส. มรรคสจั เปนอสังขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. สมั มาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ เปน อสังขตะ หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนนั้ ฯลฯ [๑๐๙๒] ส. ทุกขเ ปนสังขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. ทุกขสัจเปนสังขตะ หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยางนนั้ ฯลฯ ส. ทุกขทางกาย ทุกขทางใจ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัสอปุ ายาส เปน สงั ขตะ หรอื ?

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 17 ป. ถกู แลว . ส. ทกุ ขสัจเปนสังขตะ หรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนัน้ ฯลฯ ส. สมทุ ัยเปนสงั ขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. สมุทัยสัจเปนสงั ขตะ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนนั้ ฯลฯ ส. กามตณั หา ภวตัณหา วิภวตณั หา เปน สังขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. สมุทัยสัจเปนสังขตะ หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยางน้ัน ฯลฯ ส. มรรคเปน สังขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. มรรคสัจเปน สังขตะ หรอื ? ป. ไมพึงกลาวอยางนั้น ฯลฯ ส. สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ เปน สงั ขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. มรรคสัจเปนสงั ขตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนน้ั ฯลฯ[๑๐๙๓] ส. นโิ รธสัจเปน สงั ขตะ นโิ รธเปน อสังขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว ส. ทุกขสจั เปน อสงั ขตะ หรือ ?

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 18 ป. ไมพ งึ กลาวอยา งนัน้ ฯลฯ ส. นิโรธสจั เปนอสงั ขตะ นิโรธเปนอสงั ขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. สมทุ ยั สัจเปน อสงั ขตะ สมุทยั เปน อสังขตะ หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนั้น ฯลฯ ส. นิโรธสัจเปน อสงั ขตะ นิโรธเปน อสังขตะ หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. มรรคสัจเปน อสังขตะ มรรคเปน อสงั ขตะ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลาวอยา งน้นั ฯลฯ[๑๐๙๔] ส. ทุกขสัจเปนอสังขตะ ทกุ ขเ ปนสังขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. นิโรธสัจเปนอสังขตะ นโิ รธเปนสังขตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งน้ัน ฯลฯ ส. สมุทัยสัจเปนอสงั ขตะ สมุทยั เปน สงั ขตะ หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. นโิ รธสัจเปน อสังขตะ นโิ รธเปนสังขตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลาวอยางนนั้ ฯลฯ ส. มรรคสัจเปนอสังขตะ มรรคเปน สังขตะ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. นิโรธสจั เปนสังขตะ นโิ รธเปน สังขตะ หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนัน้ ฯลฯ[๑๐๙๕ ] ป. ไมพ งึ กลาววา สจั จะ ๔ เปน อสงั ขตะ หรอื ?

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 19 ส. ถกู แลว . ป. พระผมู พี ระภาคเจาไดต รัสไววา ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย๔ อยางน้ี แทไ มผิด ไมเปนอยา งอ่ืน ๔ อยาง เปนไฉน คําวา นท้ี กุ ข นีแ้ ทนี้ไมผดิ นีไ้ มเ ปน อยา งอ่นื ฯลฯ คาํ วา นี้ทุกขสมุทยั ฯลฯ คําวา น้ีทุกขนิโรธฯลฯ คําวา นที้ ุกขนโิ รธคามินีปฏิปทา นแี้ ท นี้ไมผดิ นี้ไมเ ปนอยางอ่ืนดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ๔ อยางน้ีแล แทไ มผ ดิ ไมเ ปน อยางอื่น ดงั น๑ี้ เปนสตู รมอี ยูจริง มิใชหรอื ? ส. ถกู แลว . ป. ถา อยางนั้น สัจจะ ๔ กเ็ ปนอสังขตะ นะ สิ. สจั จกถา จบ อรรถกถาสัจจกถา วา ดวย สัจจะ บดั นี้ ชอื่ วาเรื่องสัจจะ. ในเรอ่ื งนั้น ชนเหลา ใดมีความเหน็ ผดิ ดจุลทั ธขิ องนกิ ายปพุ พเสลยิ ะทัง้ หลายวา สจั จะทัง้ ๔ คือ ทกุ ขสจั จะ สมทุ ยสัจจะ นิโรธสัจจะ และมรรคสัจจะ เปน อสังขตะ เพราะอาศยั พระสูตรวาดูกอ นภิกษุท้ังหลาย สจั จะ ๔ อยางนแี้ ทไมผ ิด ไมเปนอยา งอ่นื เปน ตนดังน้ี คําถามของสกวาที หมายถงึ ชนเหลา นั้น คําตอบรบั รองเปนของปรวาที.ก็พงึ ทราบคาํ อธิบายปญ หานั้นวา บรรดาทุกข สมทุ ยั และมรรคทง้ั หลายชอ่ื วาวัตถุสัจจะ เปน สังขตะ ลักขณสัจจะ คอื นพิ พาน เปน อสังขตะ ชอ่ื วาวตั ถุสัจจะยอมไมม ีในนโิ รธ นิโรธน้ันเปนอสงั ขตะอยา งเดยี ว. เพราะฉะนน้ั๑. ขุ. ป. ๓๑/๕๔๕.

พระอภิธรรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 20ปรวาทีจงึ ตอบรบั รองวาใช แตก ารตอบรบั รองนัน้ สักแตว าเปนลทั ธขิ องทา นเทาน้ัน. จรงิ อยู ปรวาทีนัน้ ยอ มปรารถนาทกุ ขว าเปน วตั ถุสัจจะ ท้งัปรารถนาสมุทยั และมรรคกเ็ ชน น้นั . สว นธรรมเหลาใดมกี ารนําออกจากทุกขอนั เปน เครื่องเบยี ดเบียน และเหตุใหเ กดิ ทุกขแ หง ธรรมเหลา นั้นเปนลกั ษณะ ธรรมเหลา นน้ั ชอ่ื วา ลกั ขณสจั จะ. อน่ึงช่ือวา ธรรมมที กุ ข เปนตนเวน จากพาธนลกั ษณะ เปนตน ยอมไมม .ี บรรดาคําทงั้ หลายวา ตาณะคอื ทต่ี า นทาน เปน ตน บัณฑิตพึงทราบอธบิ ายโดยนยั ทกี่ ลา วแลว นน่ั แหละ. ในปญหาวา ทกุ ขสจั จะ ปรวาทีตอบรับรอง เพราะหมายเอาลกั ขณสัจจะ ดวยสามารถแหง ลัทธ.ิ ในปญ หาวา ทุกข ปรวาทีตอบปฏิเสธ หมายเอาวตั ถุสจั จะ. เบื้องหนา แตนีส้ ทุ ธกิ ปญ หาก็ดี ปญหาวา ดว ยการเปรียบเทยี บกด็ ีทัง้ หมด บัณฑติ พึงทราบโดยทาํ นองแหง พระบาลีนน่ั แหละ. ในอวสาน พระสูตรที่ปรวาทนี ํามา เพ่อื ตัง้ ไวเ ปน ลทั ธิ พระสูตรนั้นไมเ ปน เชนกับท่นี ํามานั่นแหละ เพราะความทอ่ี รรถนัน้ ทา นถอื เอาผดิดว ยประการฉะน้ีแล. อรรถกถาสัจจกถา จบ

พระอภิธรรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 21 อารปุ ปกถา [๑๐๙๖] สกวาที อากาสานัญจายตนะเปนอสังขตะหรอื ? ปรวาที ถูกแลว . ส. เปน นิพพาน เปนทีต่ า นทาน เปนทีเ่ รน เปนท่พี ึ่ง เปนท่หี มาย เปนฐานะอนั ไมเ คล่อื น เปนอมตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งนัน้ ฯลฯ ส. อากาสานญั จายตนะเปนอสังขตะ นพิ พานเปนอสงั ขตะหรือ ? ป. ถูกแลว . ส. อสงั ขตะ เปน ๒ อยา ง หรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยางน้ัน ฯลฯ ส. อสังขตะ เปน ๒ อยาง หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ทีต่ านทาน เปน ๒ อยา ง ฯลฯ มีระหวา งขัน้ แหง นิพ-พาน ๒ อยา งนัน้ หรือ ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนั้น ฯลฯ ส. อากาสานัญจายตนะเปน อสังขตะ หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. อากาสานญั จายตนะเปน ภพ เปน คติ เปนสัตตาวาสเปน สงสาร เปน กาํ เนิด เปนท่ีตง้ั แหงวญิ ญาณ เปน การไดอ ตั ภาพ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. อสงั ขตะเปนภพ เปน คติ เปน สตั ตาวาส เปน สงสาร

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 22เปนกาํ เนดิ เปน ทตี่ ัง้ แหง วญิ ญาณ เปน การไดอตั ภาพ หรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยางน้ัน ฯลฯ ส. กรรมทีเ่ ปน เหตุเขา ถึงอากาสานญั จายตนะ มีอยู หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. กรรมทเี่ ปนเหตุเขา ถงึ อสงั ขตะ มอี ยหู รือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยางนน้ั ฯลฯ ส. สตั วทง้ั หลายผูเขาถงึ อากาสานัญจายตนะ มีอยูหรอื ? ป. ถูกแลว . ส. สัตวท ้งั หลายผเู ขา ถงึ อสังขตะ มอี ยูหรอื ? ป. ไมพ งึ กลาวอยางนั้น ฯลฯ [๑๐๙๗] ส. สตั วท้ังหลาย เกิด แก ตาย จุติ อบุ ัติ ในอากาสานญั -จายตนะ ไดหรือ ? ป. ถูกแลว. ส. สตั วทงั้ หลาย เกดิ แก ตาย จตุ ิ อบุ ตั ิ ในอสงั ขตะไดหรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยางนัน้ ฯลฯ [๑๐๙๘] ส. เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ มีอยูในอากาสานญั -จายตนะ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ มอี ยใู นอสงั ขตะ หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยางนัน้ ฯลฯ ส. อากาสานญั จายตนะ เปนจตโุ วการภพ หรอื ?

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 23 ป. ถูกแลว . ส. อสงั ขตะ เปนจตุโวการภพ หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งน้ัน ฯลฯ [๑๐๙๙] ป. ไมพงึ กลา ววา อรูป ๔ เปนอสงั ขตะ หรือ ? ส. ถูกแลว . ป. อรูป ๔ พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั วา เปนสภาพไมหวน่ั ไหว มใิ ชห รือ ? ส. ถกู แลว . ป. ถา อรูป ๔ พระผูม พี ระภาคเจาตรสั วา เปน สภาพไมหวน่ั ไหว ดว ยเหตนุ น้ั นะทา นจงึ ตองกลาววา อรปู ๔ เปนอสังขตะ อรุปปกถา จบ อรรถกถาอรุปปกถา วา ดวย ภพไมมีรูป บัดนี้ ชื่อวาเรือ่ ง อารุปปะ คือภพไมมีรูป ในเรอ่ื งน้นั ชนเหลาใดมีความเห็นผิดวา ธรรมเหลานน้ั แมท งั้ ปวง เปน อสังขตะ เพราะอาศัยพระบาลีวา ภพไมม ีรปู ท้ัง ๔ เปนสภาพไมหวัน่ ไหว ดังน้ี คาํ ถามของสกวาทีวา อากาสานัญจายตนะ เปนตน โดยหมายถงึ ชนเหลา นน้ั คําตอบรบั รองเปนของปรวาที. คําทเ่ี หลือในที่นี้มีอรรถงายท้งั นน้ั . แมพระสูตรทีส่ าธกน้นั ก็ไมเปน เชนกับท่นี ํามาน่ันแหละ เพราะไมรอู รรถแลวนํามาดงั นแี้ ล. อรรถกถาอารุปปกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 24 นิโรธสมาปตติกถา [๑๑๐๐] สกวาที นิโรธสมาบัติ เปน อสงั ขตะ หรอื ? ปรวาที ถูกแลว ส. เปนนิพพาน เปนทตี่ านทาน เปนท่ีเรน เปนท่พี ึ่ง เปนทหี่ มาย เปน ฐานะอนั ไมจ ุติ เปนอมตะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ส. นิโรธสมาบัติเปนอสงั ขตะ นพิ พานก็เปน อสังขตะ หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. อสังขตะ เปน ๒ อยา ง หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนนั้ ฯลฯ ส. อสังขตะเปน ๒ อยา ง หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ทตี่ า นทาน เปน ๒ อยางและมรี ะหวางขน้ั แหง นพิ พาน๒ อยา งนั้น หรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยางนนั้ ฯลฯ ส. นิโรธสมาบัติเปนอสังขตะ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. มคี นบางพวก เขานิโรธ ไดน ิโรธ ยงั นิโรธใหเกดิ ข้ึนใหเกิดข้ึนพรอม ใหต ้งั ขนึ้ ใหต้งั ขึ้นพรอม ใหบ ังเกดิ ใหบังเกดิ ข้นึ อยางยิ่งใหเกดิ ใหเกดิ พรอ มได หรอื ? ป. ถกู แลว .

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 25 ส. มคี นบางพวก เขา อสงั ขตะ ไดอสังขตะ ยงั อสงั ขตะใหเ กดิ ขน้ึ ใหเกิดขึ้นพรอ ม ใหต ้ังขึน้ ใหต้งั ขนึ้ พรอ ม ใหบ ังเกดิ ใหบ งั เกดิขึน้ อยา งยงิ่ ใหเ กิด ใหเ กิดพรอมได หรอื ? ป. ไมพ ึงกลาวอยางนน้ั ฯลฯ ส. ความผอ งแผว ความออกจากนิโรธ ปรากฏได หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ความผอ งแผว ความออกจากอสงั ขตะ ปรากฏไดหรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยางนั้น ฯลฯ ส. ผเู ขา นโิ รธ มวี จีสังขารดบั ไปกอ น แตนน้ั กายสังขารดบั แตน ั้นจติ ตสงั ขารดับ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. ผเู ขาอสังขตะก็มวี จสี งั ขารดบั ไปกอ น แตน ้นั กายสังขารดับ แตนั้นจติ ตสังขารดับ หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยา งน้ัน ฯลฯ ส. ผูอ อกจากนิโรธมจี ิตตสังขารเกิดขน้ึ กอ น แตน้นั กายสงั ขารเกิดขึ้น แตน้ันวจีสงั ขารเกดิ ขึน้ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. ผอู อกจากอสงั ขตะ ก็มีจิตตสงั ขารเกดิ ข้ึนกอ น แตน้ันกายสังขารเกดิ ขน้ึ แตนัน้ วจีสังขารเกดิ ขึ้น หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยางนนั้ ฯลฯ [๑๑๐๑] ส. ผัสสะ ๓ คอื สญุ ญตผสั สะ อนมิ ิตตผสั สะ อัปปณิหติผสั สะ ยอ มถูกตอ งผูอ อกจากนโิ รธแลว หรอื ?

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 26 ป. ถกู แลว. ส. ผัสสะ ๓ คือ สญุ ญตผัสสะ อนิมติ ตผัสสะ อัปปณิหิตผัสสะ ยอ มถูกตอ ง ผทู ่อี อกจากอสงั ขตะแลว หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยางน้ัน ฯลฯ [๑๑๐๒] ส. จติ ของผูท่ีออกจากนิโรธแลว เปนธรรมชาตโิ นมไปสูวเิ วก เอยี งไปสูวเิ วก นอมไปสวู เิ วก หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. จิตของผทู ีอ่ อกจากอสังขตะแลว กเ็ ปนธรรมชาตโิ นมไปสูว เิ วก เอียงไปสูวเิ วก นอ มไปสวู เิ วก หรอื ? ส. ไมพงึ กลาวอยา งนัน้ ฯลฯ [๑๑๐๓] ป. ไมพงึ กลาววา นโิ รธสมาบัตเิ ปนอสังขตะ หรือ ? ส. ถกู แลว. ป. นโิ รธสมาบตั เิ ปนสังขตะหรอื ? ส. ไมพ งึ กลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ป. ถา อยา งนน้ั นิโรธสมาบตั ิกเ็ ปนอสงั ขตะ นะส.ิ นโิ รธสมาปตติกถา จบ

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 27 อรรถกถานโิ รธสมาปตตกิ ถา วาดว ย นิโรธสมาบัติ บัดน้ี ช่อื วาเรือ่ งนิโรธสมาบตั ิ. ในเร่ืองนน้ั ความไมเ ปน ไปแหงนามขันธ ๔ ชอ่ื วานโิ รธสมาบัต.ิ ก็นโิ รธสมาบัตนิ ้ันอนั บคุ คลเมื่อจะทําชอื่ วายอมทําได คือ เม่ือเขา นิโรธสมาบตั ิ เขายอ มเขา ได เหตุใด เพราะเหตุนนั้ ทานจงึ เรยี กนามขนั ธ ๔ นนั้ วา เปน สมาบตั ทิ ดี่ ับไปแลว . แตใ คร ๆไมพ งึ กลา ววาเปนสงั ขตธรรม หรอื เปน อสังขตธรรม เพราะไมมีลักษณะแหง สังขตธรรมและอสังขตธรรม. ในปญหาน้ัน ชนเหลาใดมีความเห็นผิดดจุ ลทั ธิของนิกายอันธกะและอุตตราปถกะทงั้ หลายวา นิโรธสมาบตั ิไมเ ปนสังขตะ เพราะเปนอสงั ขตะ ดังน้ี คําถามของสกวาทวี า นิโรธสมาบตั ิ เปนตน โดยหมายถึงชนเหลานัน้ คําตอบรับรองเปน ของปรวาท.ี คําเปน ตน วา ยงั นโิ รธใหเกดิ ขน้ึ สกวาทีกลา วแลวดว ยสามารถแหงการไดเ ฉพาะซ่ึงการเขาสมาบตั ิเทา น้นั . อธิบายวา เหมือนอยา งวาชนทัง้ หลายยอ มยังสงั ขตธรรมทงั้ หลายมรี ูปเปน ตนใหเ กดิ ข้นึ ไดโ ดยวธิ ใี ด แตใคร ๆ ช่ือวา ยงั อสงั ขตะใหเกิดขนึ้ไดโดยวธิ นี น้ั หาไดไม. คําวา ความผอ งแผว ความออกจากนิโรธ บัณฑิตพงึ ทราบวาเปนผลสมาบตั ิ. แตความผองแผว ความออกจากอสงั ขตะนั้นไมปรากฏเลย เพราะฉะนนั้ ปรวาทีจงึ ตอบปฏเิ สธ. คาํ วา ถา อยางน้นั ความวา ลัทธิวา นิโรธสมาบัติ เมอื่ ไมเ ปนสังขตะก็ตองเปน อสังขตะ ดังน้ี แตค ํานี้ไมเปน เหตุในความเปน อสังขตะเพราะฉะนัน้ แมปรวาทีกลาวแลว คําน้ันก็หาเปนเชน กบั คาํ ทีก่ ลาวนั้นไมดังน้ีแล. อรรถกถานโิ รธสมาปตติกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 28 อากาสกถา [๑๑๐๔] สกาวาที อากาศเปนอสังขตะหรือ? ปรวาที ถูกแลว. ส. เปนนพิ พาน เปนทีต่ า นทาน เปน ที่เรน เปนที่พง่ึ เปนที่หมาย เปน ฐานะอนั ไมเคล่ือน เปนอมตะ หรือ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนน้ั ฯลฯ [๑๑๐๕] ส. อากาศเปน สงั ขตะ นพิ พานเปน อสังขตะ หรือ? ป. ถูกแลว. ส. อสงั ขตะ เปน ๒ อยา ง หรอื ? ป. ไมพึงกลาวอยางนัน้ ฯลฯ ส. อสงั ขตะ เปน ๒ อยาง หรือ? ป. ถกู แลว . ส. ท่ีตานทาน เปน ๒ อยาง ฯลฯ มรี ะหวางข้นั แหงนิพพาน ๒ อยางน้ัน หรือ? ป. ไมพึงกลา วอยางนน้ั ฯลฯ [๑๑๐๖] ส. อากาศเปนอสังขตะ หรือ? ป. ถกู แลว. ส. มีชนบางพวกทาํ อนากาศใหเ ปน อากาศได หรือ? ป. ถูกแลว. ส. มชี นบางพวกทาํ สงั ขตะใหเปน อสงั ขตะได หรือ? ป. ไมพ งึ กลา วอยางน้ัน ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 29 [๑๑๐๗] ส. มชี นบางพวก ทาํ อากาศใหเ ปน อนากาศได หรือ? ป. ถกู แลว. ส. มชี นบางพวกทาํ อสงั ขตะใหเปน สงั ขตะได หรือ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งน้นั ฯลฯ [๑๑๐๘] ส. ในอากาศ นกทง้ั หลายบนิ ไปได พระจนั ทรแ ละพระอาทิตยโ คจรไปได ดวงดาวท้งั หลายโคจรไปได ผมู ฤี ทธิ์แสดงฤทธ์ิไดชนท้งั หลายไกวแขนได โบกมอื ได ขวา งกอนดินไปได ขวางลูกขลบุ ไปไดแผลงฤทธ์ิไปได แผลงศรไปไดห รอื ? ป. ถกู แลว ส. ในอสังขตะ นกท้ังหลายก็บินไปได พระจันทรแ ละพระอาทิตยก โ็ คจรไปได ดวงดาวทงั้ หลายก็โคจรไปได ผูมีฤทธ์กิ ็แสดงฤทธไ์ิ ด ชนทงั้ หลายก็ไกวแขนได โบกมือได ขวางกอ นดนิ ไปได ขวางลูกขลบุ ได แผลงฤทธไิ์ ปได แผลงศรไปไดห รือ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งน้ัน ฯลฯ [๑๑๐๙] ส. ชนท้ังหลายลอ มอากาศ ทาํ ใหเ ปนเรอื น ทาํ ใหเปนฉางไดหรอื ? ป. ถกู แลว ส. ชนทง้ั หลายลอ มอสังขตะ ทําใหเปนเรอื น ทาํ ใหเ ปนฉางไดห รือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยางนัน้ ฯลฯ [๑๑๑๐] ส. เมอ่ื ขดุ บอ อยู อนากาศ คือท่ีมใิ ชอากาศ กลายเปนอากาศไดห รือ ?

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 30 ป. ถกู แลว . ส. สงั ขตะ กก็ ลายเปน อสงั ขตะได หรือ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนน้ั ฯลฯ [๑๑๑๑] ส. เมื่อถมบอ เปลา อยู ยงั ฉางเปลาใหเตม็ อยู ยงั หมอเปลาใหเ ตม็ อยู อากาศอนั ตรธานไปได หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. อสังขตะ กอ็ ันตรธานไปได หรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนั้น ฯลฯ [๑๑๑๒] ป. ไมพ ึงกลาววา อากาศเปน อสังขตะ หรอื ? ส. ถูกแลว . ป. อากาศเปน สังขตะ หรอื ? ส. ไมพึงกลา วอยางน้นั ฯลฯ ป. ถาอยา งนน้ั อากาศก็เปนอสงั ขตะ นะสิ. อากาสกถา จบ

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 31 อรรถกถาอากาสกถา วา ดวย อากาศ บัดนี้ ชอื่ วา เรื่องอากาศ. ในเรื่องน้นั อากาศมี ๓ อยาง คอื ปริจเฉ-ทากาส คือชอ งวางอนั เปน ทีก่ ําหนด กสิณคุ ฆาฏมิ ากาส คือชอ งวางท่ีเพกิ ขนึ้ ของกสณิ และอชฏากาส คอื ชอ งวา งของทองฟา แมคําวา ดจุ ฉากาสคอื ชอ งวางอนั วา งเปลา กเ็ ปน ช่อื ของอชฏากาสนัน้ น่ันแหละ. บรรดาอากาศเหลานน้ั ปริจเฉทากาส คอื ของวางทีค่ ั่นอยรู ะหวางรูปกบั รูป เปนสังขตะ สวนอากาศทเี่ หลือแมท ง้ั ๒ นส้ี ักวาเปนบัญญตั .ิ ก็ชนเหลาใด มคี วามเห็นผิดดจุ ลทั ธขิ องนกิ ายอตุ ตราปถกะ และมหิสาสกะท้งั หลายวา อากาศแมท้ัง ๒ คือกสณิ คุ ฆาฏิมากาส และอชฎากาสไมใชสังขตะ เหตุใด เพราะเหตนุ ้ัน จึงเปน อสังขตะ ดังน้ี คาํ ถามของสกวาทวี า อากาศ เปนตน หมายถึงชนเหลา นนั้ คําตอบรับรองเปนของปรวาท.ี คําท่เี หลอื ในท่นี มี้ ีอรรถต้นื ท้ังนั้นแล. อรรถกถาอากาสกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 32 อากาโสสนทิ สั สโนติกถา [๑๑๑๓] สกาวาที อากาศเปน สนิทสั สนะ คือเหน็ ไดด วยจักษุ หรอื ? ปรวาที ถกู แลว ส. เปน รูป เปน รปู ายตนะ เปน รูปธาตุ เปน สีเขยี ว เปนสเี หลือง เปนสีแดง เปนสีขาว เปนวสิ ัยแหง จกั ขุวิญญาณ กระทบที่จกั ษุมาสคู ลองแหง จกั ษุ หรอื ? ป. ไมพ งึ กลาวอยา งน้นั ฯลฯ [๑๑๑๔] ส. อากาศเปน สนิทสั สนะหรอื ? ป. ถกู แลว . ส. อาศยั จักษแุ ละอากาศจงึ เกิดจักขุวิญญาณขนึ้ หรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยางน้นั ฯลฯ [๑๑๑๕] ส. อาศยั จกั ษแุ ละอากาศจงึ เกิดจกั ขวุ ญิ ญาณขึน้ หรือ? ป. ถกู แลว . ส. คาํ วา อาศัยจักษุและอากาศจึงเกดิ จกั ขุวญิ ญาณขน้ึดงั น้ี เปน สตู รมีอยจู ริง หรอื ? ป. ไมม ี. ส. คําวา อาศยั จักษแุ ละรูปจงึ เกดิ จกั ขวุ ญิ ญาณขึ้น ดงั น๑ี้ ป. ถกู แลว. ส. หากวา คาํ วา อาศยั จักษุและรปู จงึ เกิดจักขวุ ญิ ญาณ๑. ม.อ.ุ ๑๔/๘๑๔.,ส .น.ิ ๑๖/๑๖๔.

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 33ขน้ึ ดังน้ี เปน สูตรมีอยูจ ริง ก็ตอ งไมก ลา ววา อาศยั จักษุและอากาศ จึงเกดิ จกั ขวุ ิญญาณขนึ้ . [๑๑๑๖] ป. ไมพ ึงกลา ววา อากาศเปน สนทิ ัสสนะ หรือ ? ส. ถูกแลว . ป. ทานเหน็ ชอ งในระหวางตนไมท งั้ ๒ ชองในระหวางเสาท้ัง ๒ ชอ งดาล ชองหนา ตาง มิใชห รอื ? ส. ถูกแลว . ป. หากวา ทานเห็นชอ งในระหวา งตนไมทง้ั ๒ ชองในระหวา งเสาทง้ั ๒ ชอ งดาล ชองหนา ตาง ดว ยเหตุนัน้ นะทา นจงึ ตองกลาววาอากาศเปนสนิทัสสนะ. อากาโสสนทิ ัสสโนตกิ ถา จบ อรรถกถาอากาโสสนทิ สั สโนติกถา วาดวย อากาศเปน ของเหน็ ได บัดนี้ ชอื่ วาเรือ่ งอากาศเปน ของเหน็ ไดดว ยจักษุ. ในเรือ่ งน้ัน ชนเหลาใด มีความเห็นผดิ ดจุ ลทั ธิของนกิ ายอนั ธกะท้งั หลายวา อชฏากาสท้งั ปวงเปน ของเห็นได เพราะอาศัยความเปน ไปแหง ความรู ในท่ที ั้งหลายมชี องลูกดาลเปน ตน ดังนี้ คําถามของสกวาทีวา อากาศเปน สนิททัสสนะคอื เห็นไดดว ยจกั ษุ หรอื โดยหมายชนเหลานัน้ คาํ ตอบรบั รองเปน ของปรวาท.ี ลําดับน้นั สกวาทีจงึ กลา ววา เปนรูป เปนตน เพ่อื ทว งปรวาทีนัน้ วา ถา อากาศเปน ของเห็นไดไซร อากาศกพ็ ึงเปน อยา งนี้ ๆ. ในปญ หาทั้งหลายวา อาศยั จักษแุ ละอากาศ เปนตน ปรวาทตี อบปฏเิ สธเพราะ


































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook