Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_75

tripitaka_75

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_75

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 1พระอภธิ รรมปฎ กเลมท่ี ๑ ภาคที่ ๑ ธรรมสงั คณีขอนอบนอ มแดพ ระผูมพี ระภาคอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา พระองคน้ัน มาติกาติกมาตกิ า ๒๒ ตกิ ะ [๑] ๑. กุสลติกะกสุ ลา ธมฺมา ธรรมเปน กศุ ลอกสุ ลา ธมฺมา ธรรมเปนอกุศลอพยฺ กากตา ธมมฺ า ธรรมเปนอัพยากฤต ๒. เวทนาตกิ ะสขุ าย เวทนา สมปฺ ยตุ ฺตา ธมฺมา ธรรมสัมปยตุ ดว ยสุขเวทนาทุกขฺ าย เวทนาย สมฺปยตุ ฺตา ธมมฺ า ธรรมสัมปยตุ ดว ยทกุ ขเวทนาอทุกขฺ มสขุ าย เวทนาย สมปฺ ยตุ ฺตา ธรรมสัมปยุตดวยอทกุ ขมสุขเวทนาธมฺมา

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 2๓. วิปากติกะวปิ ากา ธมฺมา ธรรมเปนวิบากวิปากธมมฺ ธมฺมา ธรรมเปนเหตุแหงวบิ ากเนววิปากนวิปากธมมฺ ธมมฺ า ธรรมไมเ ปน วิบาก และไมเ ปน เหตแุ หง วิบาก๔. อปุ าทินนุปาทานยิ ติกะอปุ าทนิ ฺนปุ าทานยิ า ธมฺมา ธรรมอนั เจตนากรรมท่สี ัมปยุตดวย ตณั หาทฏิ ฐิเขายึดครองและเปน อารมณ ของอุปาทานอนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมมฺ า ธรรมอนั เจตนากรรมท่สี มั ปยุตดวย ตัณหาทฏิ ฐิไมเ ขายึดครองแตเ ปน อารมณข องอุปาทานอนปุ าทนิ ฺนานปุ าทานิยา ธมฺมา ธรรมอันเจตนากรรมท่สี มั ปยตุ ดวย ตัณหาทฏิ ฐิไมเขา ยดึ ครองและไมเ ปน อารมณของอุปาทาน๕. สงั กิลฏิ ฐสังกเิ ลสกิ ตกิ ะสงฺกิลฏิ  สงฺกิเลสกิ า ธมฺมา ธรรมเศรา หมองและเปนอารมณข องอสงฺกลิ ิฏสงฺกลิ สิกา ธมฺมา สังกิเลสอสงกฺ ิลิฏ าสงกฺ ิเลสิกา ธมมฺ า ธรรมไมเศรา หมองแตเ ปน อารมณของ สงั กิเลส ธรรมไมเศราหมองและไมเปนอารมณ ของสงั กิเลส

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 3๖. วิตกั กตกิ ะสวิกตกฺกสวจิ ารา ธมมฺ า ธรรมมวี ติ กมวี ิจารอวติ กวฺ ิจารมตฺตา ธมมฺ า ธรรมไมมีวิตกแตมวี ิจารอวิตกฺกาวจิ ารา ธมมฺ า ธรรมไมมีวิตกไมม ีวิจาร๗. ปติตกิ ะปตสิ หคตา ธมมฺ า ธรรมสหรคตดว ยปต ิสุขสหคตา ธมฺมา ธรรมสหรคตดว ยสุขเวทนาอเุ ปกขฺ าสหคตา ธมมฺ า ธรรมสหรคตดวยอเุ บกขาเวทนา๘. ทัสสนตกิ ะทสสฺ เนน ปหาตพฺพา ธมฺมา ธรรมอันโสดาปต ตมิ รรคประหาณภาวนาย ปหาตพพฺ า ธมฺมา ธรรมอนั มรรคเบอื้ งสูง ๓ ประหาณเนว ทสสฺ เนน น ภาวนาย ธรรมอนั โสดาปตตมิ รรคและมรรคปหาตพพฺ า ธมฺมา เบอ้ื งสงู ๓ ไมป ระหาณ๙. ทัสสนเหตกุ ติกะทสสฺ เนน ปหาตพฺพเหตกุ า ธมมฺ า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปต ติมรรค ประหาณภาวนาย ปหาตพพฺ เหตกุ า ธมมฺ า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอนั มรรคเบือ้ งสงู ๓ ประหาณเนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ธรรมมีสมั ปยุตตเหตอุ นั โสดา-ปหาตพพฺ เหตุกา ธมมฺ า ปต ติมรรคและมรรคเบ้ืองสงู ๓ ไมประหาณ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 4 ๑๐. อาจยคามติ กิ ะอาจยคามโิ น ธมมฺ า ธรรมเปน เหตุใหจ ตุ ิปฏิสนธิอปจยคามโิ น ธมฺมา ธรรมเปน เหตุใหถ ึงนิพพานเนวาจยคามโิ น นาปจยคามโิ น ธรรมไมเปน เหตุใหจุตปิ ฏิสนธิธมฺมา และไมเปน เหตใุ หถ ึงนิพพาน ๑๑. เสกขตกิ ะเสกขฺ า ธมมฺ า ธรรมเปนของเสกขบุคคลอเสกฺขา ธมฺมา ธรรมเปนของอเสกขบคุ คลเนวเสกฺขา นาเสกขฺ า ธมฺมา ธรรมไมเปน ของเสกขบุคคลและไมเ ปน ของอเสกขบคุ คล ๑๒. ปริตตติกะปริตฺตา ธมฺมา ธรรมเปน ปรติ ตะมหคคฺ ตา ธมมฺ า ธรรมเปนมหคั คตะอปปฺ มาณา ธมฺมา ธรรมเปนอปั ปมาณะ ๑๓. ปริตตารมั มณติกะปริตฺตารมมฺ ณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณเปนปรติ ตะมหคคฺ ตารมฺมณา ธมมฺ า ธรรมมีอารมณเ ปนมหัคคตะอปฺปมาณารมมฺ ณา ธมมฺ า ธรรมมีอารมณเปน อปั ปมาณะ ๑๔. หีนตกิ ะหนี า ธมฺมา ธรรมทรามมชฌฺ ิมา ธมมฺ า ธรรมปานกลางปณตี า ธมมฺ า ธรรมประณีต

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 5 ๑๕. มจิ ฉัตตติกะมิจฺฉตฺตนยิ ตา ธมมฺ า ธรรมเปน มจิ ฉาสภาวะและใหผลแนนอนสมมฺ ตตฺ นิยตา ธมมฺ า ธรรมเปนสมั มาสภาวะและใหผลแนนอนอนิยตา ธมมฺ า ธรรมใหผ ลไมแ นนอน ๑๖. มคั คารัมมณติกะมคฺคารมฺมณา ธมมฺ า ธรรมมมี รรคเปนอารมณมคคฺ เหตกุ า ธมมฺ า ธรรมมีเหตุคือมรรคมคฺคาธิปตโิ น ธมมฺ า ธรรมมมี รรคเปนอธิบดี ๑๗. อุปปน นติกะอุปปฺ นนฺ า ธมฺมา ธรรมเกดิ ข้ึนแลวอนุปฺปนนฺ า ธมฺมา ธรรมยังไมเกดิ ขึน้อปุ ปฺ าทโิ น ธมฺมา ธรรมจกั เกิดขึน้ ๑๘. อตีตติกะอตตี า ธมมฺ า ธรรมเปน อดีตอนาคตา ธมมฺ า ธรรมเปนอนาคตปจจฺ ุปปฺ นนฺ า ธมมฺ า ธรรมเปน ปจจบุ นั ๑๙. อตีตารมั มณติกะอตตี ารมฺมณา ธมมฺ า ธรรมมีอารมณเ ปน อดตีอนาคตารมฺมณา ธมมฺ า ธรรมมอี ารมณเปน ปจ จุบันปจฺจุปฺปนฺนารมมฺ ณา ธมมฺ า ธรรมมีอารมณเ ปนปจจุบัน

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 6๒๐. อัชฌัตตติกะอชฺฌตตฺ า ธมมฺ า ธรรมเปน ภายในพหทิ ฺธา ธมมฺ า ธรรมเปน ภายนอกอชฺฌตฺตพหทิ ธฺ า ธมฺมา ธรรมเปนทัง้ ภายในและภายนอ๒๑. อชั ฌตั ตารมั มณติกะอชฺฌตตฺ ารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณเ ปนภายในพหิทธฺ ารามมฺ ณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณเ ปนภายนอกอชฺฌตตฺ พหิทธฺ ารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมอี ารมณเปน ภายในและเปน ภายนอก๒๒. สนิทสั สนติกะสนิทสฺสนสปฺปฏฆิ า ธมมฺ า ธรรมทีเ่ หน็ ไดแ ละกระทบไดอนทิ สฺสนสปปฺ ฏิฆา ธมมฺ า ธรรมท่เี หน็ ไมไ ดแ ตก ระทบไดอนทิ สฺสนาปฺปฏฆิ า ธมฺมา ธรรมท่เี ห็นไมไ ดแ ละกระทบไมไดติกมาติกา ๒๒ ตกิ ะ จบ

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 7 อรรถกถาธรรมสงั คณี ชอื่ อัฏฐสาลนิ ี อารัมภกถากรุณา วิย สตฺเตสุ ปฺายสสฺ มเหสโิ นเยยฺ ธมเฺ มสุ สพฺเพสุ ปวตฺติตฺถ ยถารจุ .ึ .. พระสพั พญั ุตญาณของพระสัมมา-สมั พทุ ธเจา พระองคใ ด ผแู สวงหาคณุ อันใหญ เปน ไปทวั่ ในไญยธรรมทงั้ ปวงตามความพอพระทยั ดจุ พระกรุณาที่ทรงแผไปในสัตวทงั้ หลาย พระสมั พทุ ธะพระองคใ ดมีพระทัยอันความกรณุ านั้นใหอ ุตสาหะขน้ึดวยดีในสตั วทั้งหลาย เม่อื ประทบั จาํ พรรษาในดาวดงึ สเ ทวโลก ในคราวทแี่ สดงยมก-ปาฏหิ ารยิ เสร็จแลว ไดป ระทับนัง่ บนศลิ า-อาสน ช่อื วา บัณฑกุ ัมพล ณ ควงไมป ารชิ าตทรงพระสิริโสภาคย ดจุ พระอาทิตยอุทัยเหนอื ขนุ เขายุคนั ธร ผอู ันหมแู หง เทพเจา ทง้ั

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 8หม่ืนจักรวาลไดมาแวดลอมน่งั ประชุมกันสมเดจ็ พระบรมศาสดาจารยไ ดทรงทาํ สนั -ตุสสิตเทพบตุ รซง่ึ เคยเปน พุทธมารดา ใหเปนประธานแกห มเู ทพยเจาทั้งหลาย แลวตรสั กถามรรค (ประพันธ) พระอภธิ รรมติดตอกนั ไปตลอดพรรษากาล ดว ยเดชแหงพระสพั พญั ตุ ญาณน้ัน. ขาพเจาขอนอมนมสั การพระยคุ ลบาทของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา ผทู รงมีพระสริ ิโสภาคยพระองคน ัน้ ขอบชู าพระสัทธรรมและทาํ อญั ชลตี อพระสงฆ ดวยอานภุ าพแหงการทาํ ความนอบนอมในพระรตั นตรยัท่ีขาพเจา กระทําแลว น้ี ขออันตรายท้งั หลายจงเสอ่ื มสิน้ ไปโดยมไิ ดเหลือ. พระสมั มาสัมพทุ ธเจา ทรงเปนเทพของเทพ เปน ผูน ําพเิ ศษ ผูอ ันภกิ ษชุ อ่ื วาพทุ ธโฆษะ มอี าจาระและศลี บรสิ ุทธิ์ มีปญ ญาฉลาดหลกั แหลม ปราศจากมลทินทูลอาราธนาสักการะโดยเคารพพระองคนัน้คร้ันทรงแสดงอภธิ รรมใดแกเทพท้งั หลายแลว ก็ไดต รสั บอกแกพ ระสารีบุตรเถระผูอุปฏฐากพระมเหสเี จา ณ สระอโนดาต

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 9โดยนยั (แนะนําโดยยอ) อีก พระเถระไดสดบั ฟงแลว ก็มายังพน้ื ปฐพบี อกแกภ ิกษุทง้ั หลาย พระอภิธรรมน้ันอันพระภกิ ษุท้ังหลายทรงจาํ ไวแ ลวดว ยประการฉะน้ี. ในคราวทําสงั คายนา พระอานนท-เถระผเู วเทหมนุ ี ไดร อ ยกรองอีกครัง้ หนึ่งอรรถกถาแหงพระอภธิ รรมนัน้ วจิ ิตรไปดวยนัยตาง ๆ อันบคุ คลผพู ิจารณาเนือง ๆ ดวยญาณอนั ลกึ ซึ้งจึงหยัง่ ลงไดน ั้น อนั พระเถระท้งั หลายผมู ีวสี มพี ระมหากสั สปะเปนตนรอ ยกรองแลวในเบือ้ งตนกอน พระเถระท้งั หลายผแู สวงหาคุณอนั ใหญร อยกรองตามแลวแมในภายหลงั อกี อนึ่ง อรรถกถาแหงพระอภิธรรมใดท่ีพระมหนิ ทเถระนาํ มาสูเกาะอันอดุ มนี้ เรยี บเรียงไวด วยภาษาแหง ชาวเกาะ ขา พเจาจักนําอรรถกถาน้ันออกจากภาษาแหง ชาวเกาะตัมพปณณิ แลวยกขน้ึ สูภาษาอนั ไมม ีโทษตามนยั แหงตนั ติภาษา ไมใหเ จอื ปนสับสนดว ยลัทธิของนิกายอืน่ เม่ือแสดงคาํ วินิจฉัยของภกิ ษผุ ูอยูในมหาวิหารจักถือเอาท้งั ท่คี วรถือเอา จะยังบคุ คลผมู ีปญญาใหย ินดอี ยู แลว จักประกาศอรรถ

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 10 แมในอรรถกถาท่มี าท้ังหลาย ก็เพราะเหตทุ ่ี กรรมฐานทั้งปวง จริยา อภิญญา และ วิปส สนาท้ังหมดเหลานี้ ขา พเจาประกาศ ไวใ นวิสทุ ธมิ รรคแลว ฉะนน้ั จะไมถอื เอา กรรมฐานเปน ตน ตามแบบแมท ้งั หมด จัก ทําการพรรณนาความตามลําดบั บททั้งหลาย เทานน้ั เมอื่ ขา พเจา กลา วอยูซ ึ่งพระอภิธรรม- กถานด้ี วยประการฉะนี้ ขอสาธชุ นทั้งหลาย อยามจี ิตฟงุ ซา น จงตงั้ ใจสดับฟง เพราะวา กถานหี้ าฟง ไดโ ดยยากแล. จบอารัมภกถา นิทานกถา บรรดาคําเหลานั้น คาํ วา อภธิ รรม ถามวา ชอ่ื วา อภิธรรมเพราะอรรถ (ความหมาย) อยา งไร ? ตอบวา เพราะอรรถวา เปนธรรมอันยงิ่ และวเิ ศษ จริงอยู อภิศัพท ในคาํ วาอภิธรรมน้ี แสดงถงึ เน้อื ความวา ย่งิ และวิเศษ เชน ในประโยคมีอาทิวา พาฬฺหา เม อาวโุ ส ทุกฺขา เวทนาอภกิ ฺกมนตฺ ิ โน ปฏกิ ฺกมนตฺ ิ อภกิ ฺกนตฺ วณเฺ ณน แปลวา ดูกอ นอาวุโสทุกขเวทนาแรงกลาของขาพเจา ยอมเจรญิ ยิง่ ไมลดลงเลย และเหมือนคําเปนตนวา มีวรรณะงามยงิ่ เพราะฉะนนั้ จงึ กลา ววา เปรียบเหมอื นเมือ่ ฉัตรและ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 11ธงเปน อันมากถกู ยกข้ึนแลว ฉัตรใดมปี ระมาณยง่ิ มีวรรณะและสณั ฐานอนัพเิ ศษกวา ฉตั รอ่นื ฉตั รน้นั ชือ่ วา อตฉิ ัตร (ฉตั รอนั ยิง่ ) ธงใดมีประมาณยง่ิสมบูรณดวยความวิเศษแหง สที ่ยี อมแลว ตาง ๆ น่นั แหละ ธงนนั่ เรยี กวา อตธิ โช(ธงอันยง่ิ ) และเปรียบเหมอื นเมื่อพวกราชกุมารและพวกเทพรว มประชมุ กันแลว ราชกมุ ารใดยงิ่ กวาโดยสมบัติ มชี าติ โภคะ ยศ และความเปนใหญเปนตน และมีฉวีวรรณวิเศษกวา พระราชกุมารน้นั เรียกวา อติราชกุมาร(ราชกุมารผยู ง่ิ ) เทพใดยงิ่ กวาดว ยอายุ วรรณะ อิสริยะ ยศ และสมบตั ิเปนตนและมีฉวีวรรณวิเศษกวา เทพนน้ั เรยี กวา อติเทพ แมพระพรหมทม่ี ลี ักษณะเชนน้ัน เขาก็เรยี กวา อติพรหม (พรหมผยู ่ิงใหญ) ฉนั ใด ธรรมแมนี้กฉ็ ันนน้ั เหมือนกนั เรยี กวา อภธิ รรม เพราะอรรถวา เปน ธรรมอนั ย่งิ และวิเศษ. จริงอยู เพง ถึงพระสตู รแลว พระพทุ ธองคท รงจําแนกขันธ ๕ ไวโดยเอกเทศ (บางสวน) เทา นั้น มไิ ดท รงจําแนกโดยสนิ้ เชงิ (นิปปเทส)แตเ พงถึงพระอภธิ รรมแลว พระองคทรงจาํ แนกไวโดยส้นิ เชงิ ดวยอาํ นาจแหงสุตตันตภาชนยี นัย อภิธรรมภาชนยี นยั และปญ หาปจุ ฉกนยั ถึงอายตนะ ๑๒ธาตุ ๑๘ สัจจะ ๔ อินทรยี  ๒๒ และปจจยาการอนั แสดงถงึ องค ๑๒ ก็ตรัสไวโ ดยส้ินเชิงเหมือนกัน ท่ีจริงนยั ท่เี ปน สตุ ตนั ตภาชนียในอนิ ทรียว ภิ งั ค และปญ หาปุจฉกนยั ในปจจยาการเทา นน้ั ไมมี จรงิ อยา งนัน้ เพง ถึงพระสตู รแลวสติปฎ ฐาน ๔ พระองคท รงจําแนกไวโดยเอกเทศเหมอื นกัน มไิ ดจําแนกไวโดยสิน้ เชงิ แตเพงถงึ พระอภิธรรมแลว ทรงจําแนกไวโ ดยสนิ้ เชิงดว ยอาํ นาจแหง นยั แมท ง้ั สาม แมสมั มปั ปธาน อิทธิบาท ๔ สัมโพชฌงค ๗ อริยมรรคมีองค ๘ ฌาน ๔ อัปปมญั ญา ๔ สิกขาบท ๕ ปฏสิ มั ภิทา ๔ ก็ทรงจําแนก

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 12ไวโ ดยสิน้ เชงิ ดว ยอํานาจแหงนัยแมท ้งั สามเหมอื นกัน กใ็ นธรรมเหลานี้ นยั ที่เปนสตุ ตันตภาชนยี ใ นสิกขาบทวิภังคอยา งเดียวไมมี ถา เพง ถงึ พระสตู รแลวญาณ พระองคกท็ รงจําแนกไวโ ดยเอกเทศเหมือนกนั ไมจ าํ แนกโดยสนิ้ เชิงกิเลสท้งั หลายกเ็ หมือนกนั แตเพงถงึ พระอภธิ รรมแลว ทรงตัง้ มาติกาโดยนยัมีอาทิวา ญาณวตั ถมุ หี มวด ๑ เปนตน แลวจําแนกไวโ ดยสิ้นเชงิ กิเลสทั้งหลายก็เหมอื นกัน ทรงจาํ แนกไวโดยนยั มใิ ชน อย ตงั้ แตเปน ธรรมหมวด ๑ เปน ตนก็แตเพง ถึงพระสูตร การกาํ หนดภูมอิ ืน่ ก็ทรงจาํ แนกไวโ ดยเอกเทศนนั่ แหละไมจ ําแนกไวโดยสน้ิ เชิง เพงถงึ พระอภิธรรมแลว ทรงกาํ หนดภูมอิ ืน่ ไวดว ยนยั ทงั้ สาม และทรงบัญญัตไิ วโ ดยสิ้นเชิง ชอ่ื วา อภธิ รรม เพราะอรรถวาเปนธรรมยง่ิ และวเิ ศษดวยประการฉะน้ี. วา โดยปกรณ ๗ วาโดยการกําหนดปกรณ พระอภิธรรมนที้ รงตง้ั ไวดว ยอํานาจปกรณ๗ คือ ๑. ธรรมสงั คณีปกรณ ๒. วิภงั คปกรณ ๓. ธาตุกถาปกรณ ๔. ปคุ คลบญั ญตั ปิ กรณ ๕. กถาวตั ถปุ กรณ ๖. ยมกปกรณ ๗. ปฏ ฐานปกรณ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 13 นเี้ ปน กถาทเี่ หมือนกันของอาจารยท ัง้ หลายในอรรถกถานี้ สวนอาจารยวติ ณั ฑวาที (ผคู าน) กลา ววา เพราะเหตุไรจึงถือเอากถาวัตถุดว ย กถาวตั ถุนั้นพระโมคคัลลบี ตุ รตสิ สเถระต้งั ไวเมื่อพระสัมมาสัมพทุ ธเจาปรินิพพานแลว ๒๑๘ป มิใชห รอื ? ฉะนน้ั ขอใหตัดเอากถาวัตถนุ ัน้ ออก เพราะเปน สาวกภาษิตดังน้ี. สกวาที ถามวา ก็ปกรณ ๖ จะเปน พระอภิธรรมไดหรอื ? ปรวาที ตอบวา ขาพเจามไิ ดกลาวอยางนั้น. ส. ถามวา ถาอยา งนัน้ ทา นกลาวอยา งไร ? ส. ตอบวา ขาพเจากลา ววา ปกรณ ๗ ช่ือวา อภิธรรม. ส. ถามวา ทา นเอาปกรณไหนมาเปนปกรณท ี่ ๗ ? ป. ตอบวา ปกรณช ่อื วามหาธรรมหทยั มอี ยู รวมกบั ปกรณ ๖ก็เปน ๗ ปกรณ. ส. กลาววา ในมหาธรรมหทัยปกรณไมมีอะไรท่ีไมเคยกลา วมาแลว (คอื ไมม อี ะไรใหม) และปญหาวาระทเี่ หลอื กม็ ีเลก็ นอย เพราะฉะน้นัจึงเปน ๗ พรอมดว ยกถาวัตถุ มใิ ชเปน ๗ ทั้งกถาวัตถุ เปน ๗ ทัง้ ปกรณท ี่ชอ่ื วา มหาธาตกุ ถา ในมหาธรรมหทัยปกรณ มีปญหาวาระทเ่ี หลืออยูเ ลก็ นอ ยเทานั้น ทั้งในมหาธาตุกถากไ็ มม ีอะไรใหมเลย มีตันตคิ อื แบบแผนแหงคาํเพยี งเล็กนอยเทา นั้นเหลอื อยู จึงรวมเปน ๗ ดว ยกถาวตั ถุนน้ั . ความเปน มาของกถาวตั ถุ จรงิ อยู พระสัมมาสัมพุทธเจา เมอื่ ทรงแสดงซ่งึ ปกรณแหง อภธิ รรม ๗(สตั ตัปปกรณ) มาโดยลาํ ดับ พอถงึ กถาวัตถุ ก็ทรงตง้ั มาตกิ า (แมบท) แหง

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 14บาลมี ปี ระมาณภาณวาระหนง่ึ ซงึ่ ยังไมเ ต็มในกถามรรคท้ังปวง ทรงทําใหพ อเหมาะแกก ารประกอบวาทะทเ่ี ปนประธานไว ๘ ขอ (อัฏฐมุขา วาทยุตต)ิ ดว ยอาํ นาจปญจกะทั้ง ๒ (คืออนุโลมปญ จกะและปจจนกิ ปญจกะ) ในปุคคลวาทะจนถงึ ปญ หา ๔ ขอเปนตนกอน. ก็แบบแผนนนี้ น้ั พระศาสดาทรงอาศัยวาทะทห่ี น่งึ ทรงแสดงนคิ คหะที่หนึ่ง ทรงอาศยั วาทะทีส่ องทรงแสดงนคิ คหะทีส่ อง. . . ฯลฯ ทรงอาศัยวาทะที่ ๘ ทรงแสดงนิคคหะท่ี ๘ คือ ทรงตัง้ มาติกาไวอยา งนี้วา สกวาที ทา นหยั่งเหน็ บุคคลไดด วยอรรถอันเปนจริง (สัจฉกิ ัตถะ)และอรรถอันยิ่ง (ปรมตั ถะ) หรอื ? ปรวาที ถูกแลว . ส. สภาวะใดมีอรรถอนั เปนจรงิ มีอรรถอันยง่ิ ทานหยง่ั เห็นบคุ คลนน้ั ไดด ว ยอรรถอันเปน จริงและอรรถอนั ย่งิ นน้ั หรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยางนน้ั . ส. ทา นจงรับรนู ิคคหะ... ป. ทา นไมห ยงั่ เห็นบุคคลไดดวยอรรถอันเปน จริงและอรรถอันยิ่งหรือ ? ส. ถูกแลว. ป. สภาวะใดมีอรรถอนั เปน จรงิ มีอรรถอนั ย่งิ ทานไมหยั่งเหน็ บุคคลนัน้ ดว ยอรรถอนั เปนจรงิ และอรรถอันยิง่ น้นั หรือ ? ส. ไมพ ึงกลาวอยา งนั้น. ป. ทา นจงรับรูปฏกิ รรม (การทาํ ตอบ)... ส. ทานหยั่งเห็นบคุ คลไดในที่ (สรรี ะ) ทัง้ ปวง... ป. ทานไมหย่งั เหน็ บุคคลไดในทีท่ ัง้ ปวง...

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 15 ส. ทา นหย่งั เห็นบคุ คลไดใ นกาลทงั้ ปวง... ป. ทานไมหยัง่ เห็นบุคคลไดในกาลท้งั ปวง... ส. ทา นหย่งั เหน็ บุคคลไดในสภาวธรรม (ขันธาท)ิ ทัง้ ปวง ... ป. ทา นไมหยง่ั เหน็ บุคคลไดใ นสภาวธรรมทงั้ ปวงหรือ ? ส. ถกู แลว . ป. สภาวะใดมีอรรถอันเปนจรงิ มีอรรถอันย่ิง ทานไมห ยั่งเหน็บคุ คลน้นั ดว ยอรรถอันเปน จริงและอรรถอันยิง่ น้ันหรอื ? ส. ไมพึงกลาวอยางนัน้ . ป. ทา นจงรับรูนิคคหะ... พงึ ทราบการตงั้ มาติกาในพระบาลที ัง้ ปวงโดยนยั น้ี ก็เม่ือทรงตง้ั มาติกานน้ี ัน้ ทรงเหน็ เหตุนแ้ี หละจงึ ทรงต้ังไว. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงดํารวิ า เมือ่ เราปรนิ ิพพานลวงไป ๒๑๘ ปพระเถระช่ือวา โมคคัลลปี ตุ ตตสิ สะ จะนงั่ ในทามกลางภิกษุหนึ่งพนั ประมวลพระสูตรมาพันหนึ่ง คือ พระสตู ร ๕๐๐ สตู รในฝายสกวาที พระสตู ร ๕๐๐สตู รในฝา ยปรวาที แลว จักจําแนกกถาวัตถุปกรณประมาณเทา กันทฆี นกิ ายแมพระโมคคัลลีปุตตตสิ สเถระ เม่อื จะแสดงปกรณน้ี มิไดแ สดงดวยญาณของตน แตแสดงตามมาตกิ าท่ีตัง้ ไวโ ดยนยั ท่พี ระศาสดาประทาน ดงั นั้น ปกรณน ้ีทงั้ ส้นิ จึงชอ่ื วาพทุ ธภาษติ เหมอื นกัน เพราะพระเถระแสดงตามมาติกาท่ีตง้ั ไวโดยนัยทพ่ี ระศาสดาประทาน เหมอื นมธุปณฑกิ สตู รเปนตน . จริงอยู มธุปณฑิกสตู ร * พระผมู ีพระภาคเจาทรงตง้ั มาตกิ าไวว าดกู อ นภิกษุ สว นแหง สญั ญาเครื่องเนนิ่ ชา ยอมครอบงําบรุ ุษ เพราะเหตใุ ด ?ถา วา การทีบ่ คุ คลจะเพลดิ เพลิน ยึดถือ กล้าํ กลนื ไมม ีในเหตนุ ี้ อนั นี้แหละ* ม. ม.ู ๑๒. ๒๔๕/๒๒๒

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 16เปนทีส่ ุดแหง ราคานุสัยทง้ั หลาย ดังน้ีเปน ตน แลวเสดจ็ ลุกจากอาสนะเขา ไปสูพระวิหาร. ภกิ ษุท้ังหลายผรู ับพระธรรมเทศนาเขาไปหาพระมหากัจจายนเถระแลวถามเนื้อความแหง มาตกิ าที่พระศาสดาทรงตัง้ ไวแลว พระเถระไมกลาววสิ ัชนาสกั วาคาํ ถูกถามเทา นน้ั เพื่อจะแสดงความนอบนอ มตอพระทศพล จึงนําการเปรยี บเทยี บเชน กับแกน ไมม าแสดงวา ดกู อนทา นผูมอี ายทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมอื นบุรษุ ผมู ีความตอ งการดวยแกนไม ยอมแสวงหาแกน ไมเ ปน ตน แลวชมเชยพระศาสดาวา พระผูมีพระภาคเจาเปรยี บเหมือนตน ไมมีแกน พระสาวกเชนกับก่งิ ไมและใบไม ดกู อนทานผูมีอายุท้งั หลาย พระผมู ีพระภาคเจาพระองคนน้ั ทรงรูส่ิงที่ควรรู ทรงเหน็ ส่ิงที่ควรเห็น เปนผมู จี กั ษุ มพี ระญาณ มีธรรมเปนพรหม เปน ผูเผยแผ เปนผูประกาศ เปน ผขู ยายเนอ้ื ความ เปนผปู ระ-ทานอมตธรรม เปนเจา ของธรรม เปน พระตถาคต ดังนี้ พระเถระทั้งหลายวงิ วอนแลวบอ ย ๆ จงึ จําแนกเนอื้ ความมาติกาตามท่พี ระศาสดาทรงตง้ั ไว ดวยประสงคอนั นว้ี า \" ก็เมอ่ื ทา นท้ังหลายปรารถนากพ็ งึ เขา ไปเฝาพระผูม พี ระภาค-เจาโดยตรง แลวทูลถามเนื้อความน้ี ถา เทยี บเคยี งเขา กันไดกับพระสัพพญั ุต.ญาณกพ็ ึงถือเอา ถา เทียบเคียงกันไมไ ดก ็อยาถือเอา \" ดังน้ี เเลว กลาววา\" พระผูมพี ระภาคเจา ทรงพยากรณป ระการใด ทา นท้ังหลายพงึ ทรงจาํ ขอ น้นัไวเถิด \" แลวสงภิกษุเหลานนั้ ไป. พวกภกิ ษุเหลาน้นั เขาไปเฝาพระศาสดาแลว ทลู ถามเนอื้ ความน้ันพระศาสดาไมต รัสวา กัจจายนะกลาวไมดี แตท รงนอ มพระศอไปราวกะทรงยกพระสวุ รรณภงิ คาร (หมอ นํ้าเย็นทองคาํ ) ขน้ึ (สรงสนานพระเถระ) เมื่อจะยังอรรถนน้ั ใหบ ริบูรณดวยพระโอษฐอ ันมีสริ ดิ จุ ดอกบัว (สตบตั ร) ซง่ึ กาํ ลงัแยมบานอยางดี จงึ ทรงเปลงพระสุรเสยี งดจุ เสียงพรหม ประทานสาธกุ ารแก

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 17พระเถระวา \" สาธุ สาธุ \" ดังนี้ แลว ตรัสวา \" ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย มหากจั จายนะเปนบัณฑติ มหากจั จายนะเปน ผูมีปญญามาก ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย ถงึ พวกเธอพงึ ถามเนือ้ ความน้ีกะเรา แมเ รากพ็ งึ พยากรณเนอ้ื ความนนั้ เหมอื นกบัมหากัจจายนะนน่ั แหละ \" ดงั นี้ จาํ เดิมแตก าลท่ีพระศาสดาทรงอนโุ มทนาแลวอยางนี้ พระสุตตันตะทงั้ สนิ้ ชื่อวาเปนพทุ ธภาษิต แมพ ระสตู รที่พระอานนทเถระเปนตนใหพ สิ ดารแลว กน็ ัยนีเ้ หมอื นกัน พระสมั มาสัมพุทธเจาเมอ่ื ทรงแสดงปกรณอ ภธิ รรม ๗ พอถึงกถาวตั ถุ จึงทรงตั้งมาตกิ าไวโดยนยั ทกี่ ลา วแลว อนึ่งเมอื่ ทรงหยดุ ไดท รงเห็นเหตุน้วี า \" เมื่อเราปรินิพพานลวงแลว ๒๑๘ ภิกษุชือ่ วาโมคคัลลปี ุตตตสิ สเถระน่งั ในทา มกลางภกิ ษุหนง่ึ พันรูป แลว จักประมวลพระสตู รหนงึ่ พันสูตร คอืในสกวาทะหารอ ยสตู ร ในปรวาทะหารอ ยสตู ร แลว จําแนกกถาวัตถุปกรณมปี ระมาณเทา ทฆี นิกาย \" ดังนี้ แมพระโมคคัลลปี ตุ ตติสสเถระเม่อื จะแสดงปกรณนกี้ ไ็ มแ สดงดวยความรูข องตน แตแสดงตามมาติกาท่ตี ้งั ไวโดยนัยที่พระศาสดาประทาน เพราะฉะน้ัน ปกรณน้ที ง้ั หมดจงึ ช่ือวา เปน พทุ ธภาษิตโดยแท เพราะพระเถระแสดงตามมาตกิ าท่ีตัง้ ไว โดยนยั ที่พระศาสดาประทานแลว ปกรณท ง้ั ๗ รวมทัง้ กถาวตั ถุจึงชือ่ วา \" อภิธรรม \" ดว ยประการฉะน.ี้ ธรรมสงั คณี บรรดาปกรณทง้ั เจด็ นน้ั ในปกรณธ รรมสังคณีมวี ิภตั ติ (คือการจาํ แนก)ไว ๔ คอื จิตตวภิ ัตติ (การจําแนกจติ ) รูปวภิ ตั ติ (การจาํ แนกรูป)

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 18นกิ เขปราสิ (การจาํ แนกกองธรรมทต่ี ้งั ไว)อตั ถทุ ธาระ (การยกอรรถขึน้ แสดง).วา ดวยจติ ตวิภตั ติบรรดาการจาํ แนกธรรมท้ัง ๔ เหลา น้นั ธรรมนคี้ อื๑. กามาวจรกศุ ลจิต ๘ ดวง๒. อกุศลจติ ๑๒ ดวง๓. กศุ ลวปิ ากจติ ๑๖ ดวง๔. อกศุ ลวปิ ากจติ ๗ ดวง๕. กริ ยิ าจิต ๑๑ ดวง๖. รปู าวจรกุศลจิต ๕ ดวง๗. รปู าวจรวิปากจติ ๕ ดวง๘. รูปาวจรกริ ยิ าจิต ๕ ดวง๙. อรูปาวจรกศุ ลจิต ๔ ดวง๑๐. อรปู าวจรวิปากจติ ๔ ดวง๑๑. อรปู าวจรกริ ิยาจิต ๔ ดวง๑๒. โลกตุ รกุศลจติ ๔ ดวง๑๓. โลกตุ รวิปากจติ ๔ ดวงรวมจติ ๘๙ ดวงตามที่กลา วมานี้ ชอื่ วา จติ ตวภิ ตั ติ แมค าํ วาจิตตปุ ปาทกัณฑ ดงั นี้ กเ็ ปนช่ือของจติ ตวภิ ตั ติน้ีเหมอื นกนั ก็จิตนัน้ วา โดยทางแหง คําพูดมีเกนิ ๖ ภาณวาร แตเมอ่ื ใหพ ิสดารกไ็ มม ีทส่ี ุด ไมม ปี ระมาณ.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 19 วาดวยรปู วภิ ัตติ ในลาํ ดับตอ จากจิตน้ัน ชอื่ วา รูปวิภัตติ พระผมู พี ระภาคเจาทรงตั้งมาตกิ าไวโดยนัยมอี าทิวา \"ธรรมหมวดหนึง่ ธรรมหมวดสอง\" แลวทรงจําแนกแสดงโดยพสิ ดาร แมคําวา รปู กณั ฑ ดังน้ี ก็เปนช่อื ของรปู วภิ ตั ติน้นัน่นั แหละ รูปกัณฑนน้ั วา โดยทางแหง คําพดู มีเกนิ ๒ ภาณวาร แตเมอ่ื ใหพสิ ดาร ก็ไมม ที สี่ ดุ ไมม ปี ระมาณ. วาดวยนกิ เขปราสิ ในลาํ ดบั ตอ จากรปู กณั ฑนนั้ ชื่อวา นกิ เขปราสิ พระผูมีพระภาคเจาทรงยกข้ึนแสดงโดยมูลเปน ตน อยา งนี้ คือ โดยมูล โดยขนั ธ โดยทวารโดยภมู ิ โดยอรรถ โดยธรรม โดยนาม โดยเพศ. มลู โต ขนธฺ โต จาป ทฺวารโต จาป ภมู โิ ต อตถฺ โต ธมมฺ โต จาป นามโต จาป ลิงฺคโต นิกฺขปิ ต ฺวา เทสติ ตตฺ า นิกฺเขโปติ ปวจุ จฺ ต.ิ ทเ่ี รียกวา นิกเขปะ ดงั น้ี เพราะ ความที่พระองคท รงยกขึ้นแสดง โดยมูลบา ง โดยอรรถบาง โดยธรรมบาง โดยนามบา ง โดยอรรถบาง โดยธรรมบาง โดยนามบา ง โดยเพศบา ง. แมค ําวา นกิ เขปกัณฑ ดังนี้ ก็เปน ชือ่ ของนิกเขปราสนิ ัน่ แหละนิกเขปกณั ฑน ้ัน วาโดยทางแหง วาจากม็ ปี ระมาณ ๓ ภาณวาร เมื่อใหพ ิสดารยอมไมม ที ส่ี ดุ ไมม ปี ระมาณ. วาดวยอัตถุทธาระ ก็ในลาํ ดบั ตอ จากนิกเขปราสนิ ั้น ชื่อวา อรรถกถากณั ฑ เปน คาํ ที่ยกเนอ้ื ความพทุ ธพจน คือพระไตรปฎกขนึ้ แสดงตัง้ แตส รณทุกะ ภิกษุท้ังหลาย

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 20ผูเรียนมหาปกรณไมก ําหนดถงึ จาํ นวนในมหาปกรณ แตยอมรวมจาํ นวนไวมหาปกรณน ัน้ วาโดยทางแหงถอ ยคาํ มปี ระมาณ ๒ ภาณวาร แตเ ม่ือใหพ ิสดารกไ็ มม ีทสี่ ุด ไมมีประมาณ ธรรมสังคณีปกรณท ้ังสน้ิ ยอ มมีดว ยประการฉะนี้ธรรมสังคณปี กรณนนั้ วาโดยทางถอยคํามีเกิน ๑๓ ภาณวาร แตเม่อื ใหพ สิ ดารกไ็ มมที ่ีสดุ ไมม ปี ระมาณ. ธรรมสงั คณีปกรณ คือ จติ ตวิภัตติ รปู วภิ ัตติ นิกเขปะ และอรรถโชตนา (อธบิ ายอรรถ) นี้ มอี รรถลกึ ซง้ึ ละเอียด แมฐานะนี้ พระองคก ท็ รงแสดงแลว ดวย ประการฉะน.้ี วภิ งั คปกรณ ในลาํ ดบั ตอจากธรรมสงั คณีปกรณน้นั ช่อื วา วภิ ังคปกรณ วภิ ังค-ปกรณน้นั พระผูมีพระภาคเจาทรงจาํ แนกธรรม ๑๘ อยา ง คอื ๑. ขันธวภิ ังค ๒. อายตนวิภังค ๓. ธาตวุ ภิ ังค ๔. สจั จวภิ งั ค ๕. อนิ ทรยี วิภงั ค ๖. ปจจยาการวิภงั ค ๗. สตปิ ฏ ฐานวภิ ังค ๘. สัมมัปปธานวภิ งั ค

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 21 ๙. อทิ ธปิ าทวภิ งั ค ๑๐. โพชฌงควิภังค ๑๑. มคั ควิภงั ค ๑๒. ฌานวิภงั ค ๑๓. อปั ปมญั ญาวภิ งั ค ๑๔. สกิ ขาปทวภิ ังค ๑๕. ปฏสิ ันภทิ าวภิ ังค ๑๖. ญาณวิภงั ค ๑๗. ขุททกวัตถวุ ภิ ังค ๑๘. ธรรมหทยวิภังค บรรดาวิภงั คเ หลา น้ัน ขันธวิภงั คจ าํ แนกออกเปน ๓ อยาง คือ ดว ยอาํ นาจแหง สุตตันตภาชนีย อภธิ รรมภาชนยี  และปญหาปุจฉกะ ขันธวิภังคน น้ัวา โดยทางแหงถอ ยคํามปี ระมาณ ๕ ภาณวาร แตเ ม่ือใหพิสดารกไ็ มม ีทีส่ ้นิ สุดไมม ีประมาณ แมอ ายตนวภิ งั คเปน ตน เบอ้ื งหนาแตน้ที านก็จาํ แนกโดยนยั ทงั้๓ เหลานั้นเหมอื นกัน บรรดาวภิ ังคเหลา นน้ั อายตนวภิ งั ค วาโดยทางแหงถอยคาํ มีเกนิ ๑ ภาณวาร ธาตวุ ิภงั คม ปี ระมาณ ๒ ภาณวาร สัจจวภิ งั คก ็ประมาณ ๒ ภาณวารเหมอื นกนั ในอินทรยี วิภังคไ มม สี ตุ ตันตภาชนีย ก็อินทรยี วิภงั คนั้น วา โดยทางแหงถอยคํามีประมาณเกินหนงึ่ ภาณวาร ปจ จยาการ-วภิ ังคม ปี ระมาณ ๖ ภาณวาร แตไมม ีปญ หาปจุ ฉกะ สติปฏ ฐานวภิ งั คม ปี ระมาณเกินหน่ึงภาณวาร สัมมัปปธาน... อิทธบิ าท... โพชฌงค. .. และมรรค-วภิ งั ค และอยางมีเกนิ หน่ึงภาณวาร ฌานวภิ ังคม ปี ระมาณ ๒ ภาณวารอัปปมญั ญาวิภังคมปี ระมาณเกินหน่งึ ภาณวาร ในสิกขาปทวิภงั คไ มมีบท

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 22สตุ ตันตภาชนยี  แตส ิกขาบทวิภังคน ้นั วาโดยทางแหงถอยคํามีประมาณหนงึ่ภาณวาร ปฏสิ มั ภิทาวภิ งั คกม็ ปี ระมาณเกินหนงึ่ ภาณวาร ญาณวภิ ังคจาํ แนกออก ๑๐ อยาง แตญาณวภิ ังคน้ัน เม่อื วาโดยทางแหง ถอยคํามีประมาณ ๓ภาณวาร แมขุททกวตั ถุวภิ ังคกจ็ าํ แนกไว ๑๐ อยา ง แตว า โดยทางแหง ถอ ยคาํมีประมาณ ๓ ภาณวาร ธรรมหทยวิภงั คจําแนกไว ๓ อยา ง วาดว ยทางแหงถอยคาํ มปี ระมาณเกนิ ๒ ภาณวาร วิภงั คแมท ้งั หมด เมือ่ ใหพิสดารก็ไมมีท่ีสดุไมมปี ระมาณ ปกรณชอ่ื วา วิภงั คปกรณน้ี เม่ือวา โดยทางแหง ถอยคาํ มปี ระมาณ๓๕ ภาณวาร แตเม่ือใหพ ิสดารยอ มไมม ที ี่สดุ ไมมปี ระมาณดว ยประการฉะนี.้ ธาตุกถาปกรณ ในลําดับตอจากวภิ ังคปกรณน ้ัน ชื่อวา ธาตุกถาปกรณ ทรงจาํ แนก ๑๔ อยา ง คอื ๑. สงคฺ โห อสงคฺ โห - ธรรมสงเคราะหไ ด ธรรม สงคเคราะหไ มไ ด ๒. สงฺคหิเตน อสงฺคหติ  - ธรรมท่สี งเคราะหไมไ ด ดว ย ธรรมท่สี งเคราะหได ๓. อสงคฺ หิเตน สงคฺ หต - ธรรมท่สี งเคราะหได ดวยธรรม ทีส่ งเคราะหไ มได ๔. สงฺคหิเตน สงฺคหติ  - ธรรมทส่ี งเคราะหไ ด ดว ยธรรม ท่ีสงเคราะหไ ด ๕. อสงฺคหเิ ตน อสงคฺ หติ  - ธรรมทสี่ งเคราะหไ มไ ด ดว ย ธรรมทส่ี งเคราะหไมไ ด

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 23๖. สมฺปโยโค วปิ ปฺ โยโค - ธรรมทป่ี ระกอบกนั ธรรมท่ไี ม ประกอบกัน๗. สมปยุตฺเตน วิปปฺ ยตุ ฺต - ธรรมที่วิปปยุตกันได ดวยธรรม ท่ีสมั ปยุตกัน๘. วปิ ฺปยุตเฺ ตน สมปยตุ ตฺ  - ธรรมท่ีสัมปยตุ กันได ดว ยธรรม ทีว่ ิปปยุตกนั๙. สมปฺ ยุตฺเตน สมปฺ ยตุ ฺต - ธรรมทีส่ ัมปยตุ กนั ไดดวยธรรม ทีส่ มั ปยตุ กัน๑๐. วปิ ปฺ ยตุ เฺ ตน วปิ ปฺ ยตุ ฺต - ธรรมทีว่ ปิ ปยตุ กนั ได ดวย ธรรมท่ีวปิ ปยุตกนั๑๑. สงคฺ หเิ ตน สมปฺ ยตุ ฺตวปิ ปฺ ยตุ ตฺ  - ธรรมทีส่ ัมปยุตกนั ได ธรรมที่ วปิ ปยุตกนั ได ดวยธรรมที่ สงเคราะหก นั๑๒. สมฺปยุตเฺ ตน สงฺคหติ อสงฺคหติ  - ธรรมที่สงเคราะหก ันได ธรรม ที่สงเคราะหกันไมไ ด ดว ยธรรม ท่สี ัมปยตุ กนั๑๓. อสงฺคหเิ ตน สมปฺ ยุตฺตวิปฺปยตุ ตฺ  - ธรรมที่สัมปยุตกัน ธรรมท่ี วปิ ปยตุ กนั ได ดวยธรรมที่ สงเคราะหก ันไมได

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 24๑๔. วปิ ปฺ ยุตเฺ ตน สงฺคหติ อสงฺคหิต - ธรรมทส่ี งเคราะหกันได ธรรม ท่สี งเคราะหก นั ไมไ ด ดว ยธรรม ทีว่ ปิ ปยุตกัน.ธาตุกถาปกรณน ัน้ วา โดยทางแหงถอยคาํ มปี ระมาณเกนิ ๖ ภาณวารแตเม่อื ใหพ สิ ดารยอมไมมีทสี่ ดุ ไมม ีประมาณ.ปุคคลบัญญตั ิปกรณ ในลําดับตอจากธาตุกถาปกรณนัน้ ชอื่ วา ปุคคลบญั ญัติ บคุ คลบัญญตั นิ ้นั จําแนกไว ๖ อยา ง คอื ๑. ขนั ธบัญญตั ิ ๒. อายตนบัญญตั ิ ๓. ธาตุบญั ญัติ ๔. สจั จบญั ญัติ ๕. อนิ ทรยิ บญั ญตั ิ ๖. ปุคคลบัญญตั ิ ปคุ คลบัญญตั นิ ้ัน วาโดยทางแหงถอ ยคาํ มเี กิน ๕ ภาณวาร แตเมอ่ืใหพ สิ ดารก็ยอ มไมม ที ่ีสุด ไมมปี ระมาณเหมอื นกัน.กถาวตั ถปุ กรณ ในลาํ ดับตอจากปคุ คลบัญญัตปิ กรณ ช่ือวา กถาวตั ถุปกรณ กถา-วัตถุปกรณน ั้น ประมวลจําแนกไวหนงึ่ พนั สตู ร คือ ในสกวาทะ (ลัทธขิ องตน)๕๐๐ สูตร ในปรวาทะ (ลทั ธิอืน่ ) ๕๐๐ สตู ร กถาวตั ถปุ กรณน ั้น วาโดยทางแหง ถอยคํา มีประมาณเทา ทีฆนิกายหนึง่ โดยนัยทยี่ กข้นึ สสู งั คตี ิ ไมถ ือเอาคาํ ทีเ่ ขยี นไวใ นโกฏฐาสในบัดนี้ แตเ มือ่ ใหพ สิ ดารยอมไมมีทส่ี ุด ไมม ีประมาณ.

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 25 ยมกปกรณ ในลาํ ดบั ตอจากกถาวัตถุปกรณนนั้ ช่อื วา ยมกปกรณ ทรงจําแนกไว ๑๐ อยา ง คือ ๑. มูลยมก ๒. ขันธยมก ๓. อายตนยมก ๔. ธาตยุ มก ๕. สจั จยมก ๖. สงั ขารยมก ๗. อนสุ สยยมก ๘. จิตตยมก ๙. ธรรมยมก ๑๐. อนิ ทรยิ ยมก ยมกปกรณนน้ั วาโดยทางแหงถอ ยคาํ มปี ระมาณ ๑๒๐ ภาณวารเมื่อวาโดยพิสดาร ยอมไมม ีทีส่ ุด ไมม ีประมาณ. มหาปกรณ ในลาํ ดับแหง ยมกปกรณนั้น ช่อื วา มหาปกรณ แมคาํ วา ปฏฐานดงั นี้ กเ็ ปน ชือ่ ของมหาปกรณน ัน้ นั่นแหละ มหาปกรณน้นั เบอ้ื งตน ทรงจําแนกไว ๒๔ อยา ง ดวยอํานาจแหงปจ จัย คือ ๑. เหตปุ จจยั (เหตุเปนปจจัย) ๒. อารมั มณปจจัย (อารมณเ ปน ปจจยั ) ๓. อธปิ ติปจจยั (อธบิ ดีเปนปจ จัย)


















































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook