2. การตีความ คอื ตอ้ งรคู้ วามหมายที่แฝงไวใ้ นใจเรือ่ งหรือภาพน้นั ๆ 3. การประเมนิ คา่ เปน็ ทกั ษะทต่ี อ่ เนอื่ งมาจากการวเิ คราะหก์ ารตคี วามการประเมนิ คา่ สง่ิ ใด ๆ จะตอ้ งพจิ ารณาให้ รอบดา้ น เชน่ จดุ ประสงค ์ รปู แบบ ประเภทของสารเชน่ ถา้ จะประเมนิ คณุ คา่ ของวรรณคดตี อ้ งดใู นเรอ่ื งคณุ คา่ วรรณศลิ ป ์ ด้านสังคม เน้อื หาและนาำ ไปใช้ในชวี ิตประจำาวัน 4. การตดั สนิ ใจ คือ การวนิ ิจฉัยเพ่อื ประเมนิ ค่าอนั นำาไปสู่การตดั สนิ ใจท่ีถูกตอ้ งวา่ สง่ิ ใดควรเช่ือไมค่ วรเชอ่ื ซึง่ การตดั สนิ ใจทถ่ี กู ตอ้ งเปน็ เรอื่ งสาำ คญั มากในชีวิตประจำาวัน 5. การนาำ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาำ วนั ทกั ษะนจี้ ะตอ้ งใชศ้ ลิ ปะและประสบการณข์ องแตล่ ะคนมาชว่ ยดว้ ย ซง่ึ การฟงั และการดมู ากก็จะชว่ ยให้ตัดสินใจไมผ่ ิดพลาด เรื่อง การมีมารยาทในการฟง และการดู 1. เมือ่ ฟงั อยู่เฉพาะหน้าผูใ้ หญ่ ควรฟงั โดยสำารวมกิรยิ ามารยาท 2. การฟงั ในทปี่ ระชมุ ควรเขา้ ไปนงั่ กอ่ นผพู้ ดู เรม่ิ พดู โดยนง่ั ทด่ี า้ นหนา้ ใหเ้ ตม็ เสยี กอ่ น และควรตงั้ ใหฟ้ งั จนจบเรอ่ื ง 3. ฟังดว้ ยใบหน้าย้มิ แยม้ แจม่ ใสเป็นกันเองกับผพู้ ูดปรบมอื เม่ือมีการแนะนาำ ตัวผู้พูดและเมือ่ ผ้พู ูดพูดจบ 4. เมือ่ ฟงั ในท่ปี ระชมุ ตอ้ งตัง้ ใจฟัง และจดบันทึกข้อความทส่ี นใจ หรอื ข้อความทส่ี าำ คัญ หากมีขอ้ สงสยั เกบ็ ไว้ ถามเม่ือมโี อกาสและถามดว้ ยกิริยาสภุ าพ 5. เมื่อไปดูละคร ภาพยนตร์ หรือฟังดนตรี ไมค่ วรสร้างความราำ คาญใหบ้ ุคคลอน่ื ควรรกั ษามารยาทและสาำ รวม กริ ิยา หหมมาายยเเหหตต ุ ุ ผเรเู้ ียรยีนนสสามามาราถรถศศึกกึษษาเาพเพ่ิมิ่มเตเตมิ ิมไดไดจ้ ้จากากหหนนังสงั สือือเรเียรียนน ววิชิชาภาภาษาษาไาทไทยย พพทท 221100011 ระระดดับับ มมัธธัยยมมศศกึ กึษษาา ตอนต้น หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 2 รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนตน้
แบบทดสอบท้ายบทเรยี น คาำ ช้ีแจง จงเลอื กคำาตอบท่ถี กู ต้องทส่ี ุดเพียงขอ้ เดียว 1. ขอ้ ใดเป็นมารยาทในการฟังทด่ี ี ก. หมูและน้อยคุยตลอดเวลาที่ดูละคร ข. นุชอา่ นหนังสอื พมิ พข์ ณะนั่งฟังสัมมนา ค. ไกว่ าดรูปเล่นขณะท่คี รูกำาลงั อธิบาย ง. นกฟงั และจดบันทกึ ขณะท่เี ขา้ รว่ มประชุม 2. หากตอ้ งการฟงั เพือ่ ใหเ้ กิดความร ู้ ความคิดใหม่ๆ ควรเลอื กฟงั เร่อื งใด ก. ข่าวงสน้ั ประจาำ�วัน ข. เพลงวพงพาสาสนนุกกุ ค. นิทานก่อนนอน ง. พระธรรมเทศนา 3. การฟังและดูอยา่ งมีประสิทธิภาพมลี ักษณะเช่นใด ก. ฟังแล้วแยกแยะขอ้ เท็จจริงได ้ ข. ฟังไดช้ ดั เจน ค. ฟงั อยา่ งร้เู ร่อื ง ง. ฟงั นาน ๆ 4. การแยกแยะเรอ่ื งทฟ่ี งั วา่ ใคร ทาำ อะไร ทไ่ี หน ก. วินจิ ฉยั ข. วเิ คราะห์ ค. นำาไปใช ้ ง. ประเมินค่า 5. การฟงั การอภิปรายเป็นการฟังเพือ่ จุดประสงคใ์ ด ก. ฟังเพอื่ ความรู ้ ข. ฟังเพื่อคิด ค. ฟงั เพื่อให้เกดิ ความเพลดิ เพลิน ง. ฟังเพ่ือความรแู้ ละเพื่อคดิ 6. การฟังและดูอยา่ งวิเคราะหเ์ ร่ือง คอื ข้อใด ก. ฟังไมไ่ ดส้ รรพจบั ไปกระเดยี ด ข. ฟังหูซา้ ยทะลุหขู วา ค. กระตา่ ยตน่ื ตมู ง. ฟงั ห ู ไวห้ ู อยา่ งไร เปน็ การฟงั อยา่ งมวี จิ ารณญาณขน้ั ตอนใด 7. ขอ้ ใดไมใ่ ชอ่ ปุ สรรคของการฟัง กก.. คคาาดดหหมมาายยไไววก้ ก้ ่อ่อนนวว่า่าผผู้พ้พู ูดดู เเปปน็ ็นคคนนพพดู ดู เเกก ่ ง่ ข. ความคิดเห็นของผู้พูดถกู ต้องเสมอ ค. เด็ก ๆ ขา้ งนอกห้องประชมุ วิ่งเลน่ อึกทึก ง. ภายในหอ้ งคอ่ นขา้ งร้อนเพราะไม่มีแอรม์ ีแต่พดั ลม รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) 3 ระดัับมััธยมัศึึกษาตอนต้น
8. ข้อใดเป็นการให้เกียรตผิ พู้ ดู ก. ไมส่ ่งเสยี งดัง พดู เพียงกระซบิ กระซาบเบาๆ ข. ปรบมอื และส่งเสยี งรอ้ งใหก้ ำาลังใจแกผ่ ู้พดู ค. เม่ือพอใจคาำ พดู ตอนใดใหป้ รบมอื แสดงความพอใจ ง. แสดงความสนใจด้วยการลุกขึ้นถามคำาถามทันทที ่เี กดิ ความสงสัย 9. พฤตกิ รรมใดทีเ่ หมาะสมในการฟงั ในทป่ี ระชุมชน ก. นั่งฟังอยา่ งสบาย ๆ ข. นาำ อาหารเข้ามารบั ประทาน ค. ปรบมือตอ้ นรบั ง. นงั่ หลบั ตาทาำ สมาธิขณะฟงั 10. ขอ้ ใดไม่ใชม่ ารยาทในการฟงั ก. กระตนุ้ ให้ผพู้ ูดไดพ้ ดู ในเรื่องที่เขาสนใจ ข. แสดงความไมเ่ หน็ ดว้ ยทางสหี น้า อยา่ ใชค้ ำาพูด ค. แทรกคำาถามในขณะฟังเมอ่ื ผูพ้ ูดพดู จบกระแสความ ง. ไมท่ าำ กจิ กรรมอยา่ งอ่ืนไปดว้ ยในขณะฟัง 4 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึึกษาตอนตน้
บทท่ี 2 การพูด สรปุ เนอื้ หา เรอื่ ง สรปุ ความ จับประเด็นสำาคัญของเรือ่ งท่ีพดู ได้ การพดู เปน็ กาสอื่ สารจากตวั ผพู้ ดู ไปยงั ผฟู้ งั เพอ่ื สอื่ ความหมายใหผ้ อู้ นื่ ทราบความรสู้ กึ นกึ คดิ และความตอ้ งการ ของตน องคป์ ระกอบของการพูดประกอบดว้ ย 1. ผพู้ ดู คอื ผทู้ ม่ี จี ดุ มงุ่ หมายสาำ คญั ทจี่ ะเสนอความรคู้ วามคดิ เหน็ เพอ่ื ใหผ้ ฟู้ งั ไดร้ บั รแู้ ละเขา้ ใจ โดยใชศ้ ลิ ปะการ พูดอย่างมีหลักเกณฑ ์ และฝึกปฏิบตั ิอย่เู ป็นประจาำ 2. เนือ้ เรอ่ื ง คอื เรอ่ื งราวทผี่ ู้พูดนำาเสนอเป็นความรู้หรือความคดิ เหน็ ใหผ้ ู้ฟงั ไดร้ บั รู้อยา่ งเหมาะสม 3. ผฟู้ งั คอื ผรู้ บั ฟงั เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ทผี่ พู้ ดู นาำ เสนอ ซงึ่ ผฟู้ งั ตอ้ งมหี ลกั เกณฑแ์ ละมารยาทในการฟงั การพดู ทดี่ ี คอื การสอื่ ความหมายท่ดี นี น้ั ย่อมส่อื ความเข้าใจกับใครๆ ไดต้ รงตามวตั ถุประสงค์ของผพู้ ูด การทีผ่ ูฟ้ งั ฟังแล้วพึงพอใจ สนใจ เกดิ ความศรทั ธาเลอื่ มใส เรยี กวา่ ผ้พู ูดผ้นู ั้นมีศลิ ปะในการพดู จุดมงุ่ หมายของการพูด ม ี 3 ประการคือ 1. การพดู เพ่ือใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจ ได้แก ่ การรายงาน การพดู แนะนำา การบรรยาย เปน็ ตน้ 2. การพูดเพอื่ โน้มน้าวใจ มจี ุดมุ่งหมายเพอื่ ใหผ้ ฟู้ ังเชื่อและมคี วามคิดคล้อยตาม 3. การพดู เพอ่ื ความบนั เทิง มุง่ ใหผ้ ู้ฟงั เกิดความเพลดิ เพลิน สนกุ สนาน ผอ่ นคลายความตึงเครียด เรือ่ ง การพูดนาำ เสนอความรู้ ความคิดเห็นและการพดู ในโอกาสตา่ งๆ 1. การพดู แนะนำาตนเอง คอื การกล่าวถงึ ตนเองให้ผู้อน่ื ร้จู ัก 2. การกลา่ วตอ้ นรบั พดู ในโอกาสท่ีมผี มู้ าใหม่ หรือผทู้ ม่ี าเย่ียมเพื่อพบปะชมกจิ การ 3. การพดู โนม้ นา้ วใจ ผพู้ ดู ควรคาำ นงึ ถงึ ความตอ้ งการของมนษุ ยท์ วั่ ไป มขี น้ั ตอนในการพดู ใชถ้ อ้ ยคาำ ใหเ้ กดิ ความ สนใจและประทบั ใจ มขี ้อมลู ประกอบการพูดทเี่ ปน็ ข้อเทจ็ จริง มีความจรงิ ใจ 4. การกลา่ วขอบคุณ ใช้กลา่ วขอบคุณผพู้ ดู หรือวิทยากรพูดจบ ขอบคุณเม่ือมีผู้กล่าวตอ้ นรบั หรอื ผูม้ าร่วมงาน หรอื ในกจิ กรรมกลา่ วขอบคณุ เมอื่ มีผู้มอบของขวญั หรอื ของท่รี ะลึก 5. การพดู ปฏิเสธ ควรพูดสาำ เนยี งชดั เจนดว้ ยกิรยิ ามารยาทเรียบร้อย 6. การพูดเจรจาต่อรอง เป็นการพูดเพอื่ แสดงความรสู้ ึกหรอื แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกับเร่อื งใดเร่อื งหนึ่งอย่างมี เหตผุ ล มีความสอดคลอ้ งกบั เร่ืองที่พดู มี 4 ประเภท ดงั นี้ รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) 5 ระดัับมัธั ยมัศึึกษาตอนต้น
1. การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงสนบั สนุน 2. การพูดแสดงความคดิ เห็นในเชงิ 3. การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงวจิ ารณ ์ 4. การพูดแสดงความคดิ เห็นเพอื่ นาำ เสนอความคดิ เรือ่ ง มารยาทในการพดู มารยาทในการพูด สรุปไดด้ ังน้ี 1. เรื่องทีพ่ ดู น้ันควรเป็นเรอื่ งท่ที ัง้ สองฝ่ายสนใจร่วมกนั หรืออยใู่ นความสนใจของคนทัว่ ไป 2. พดู ใหต้ รงประเด็นจะออกนอกเรื่องบ้างก็เพยี งเล็กน้อย 3. ไม่ถามเรอ่ื งสว่ นตัว ซึ่งจะทาำ ให้อกี ฝ่ายหนึ่งรูส้ ึกอึดอดั ใจ หรือลำาบากใจในการตอบ 4. ต้องคำานึงถึงสถานการณ์และโอกาส เช่น ไม่พูดเรื่องเศร้า เร่ืองที่น่ารังเกียจ ขณะรับประทานอาหารหรือ งานมงคล 5. สร้างบรรยากาศทด่ี ี ย้ิมแยม้ แจ่มใสและสนใจเรื่องที่กำาลงั พูด 6. ไม่แสดงกริ ิยาอันไม่สมควรในขณะท่ีพดู เชน่ ลว้ ง แคะ แกะ เกา สว่ นใดส่วนหน่งึ ของรา่ งกาย 7. หลีกเลี่ยงการกลา่ วรา้ ย การนินทาผู้อนื่ ไมย่ กตนขม่ ทา่ น 8. พดู ให้มีเสียงดังพอไดย้ นิ กันท่ัว ไมพ่ ดู ตะโกน หรอื เบาจนกลายเปน็ กระซิบกระซาบ 9. พูดด้วยถ้อยคำา วาจา ท่สี ภุ าพ 10. พยายามรกั ษาอารมณ์ในขณะพดู ให้เป็นปกติ 11. หากพูดในขณะท่ผี อู้ ่นื กาำ ลงั พดู อย ู่ ควรกลา่ วคำาขอโทษ 12. ไมพ่ ดู ข้ามศีรษะผอู้ นื่ 13. หากนาำ คาำ กลา่ วหรอื มกี ารอา้ งองิ คาำ พดู ของผใู้ ด ควรระบนุ ามหรอื แหลง่ ทม่ี าเพอ่ื ใหเ้ ปน็ เกยี รตบิ คุ คลทก่ี ลา่ วถงึ หหมมาายยเเหหตตุ ุ ผเรเู้ รยี ียนนสสาามมาารรถถศศกึ กึ ษษาาเพเพมิ่ มิ่ เตเตมิ ิมไไดดจ้ ้จาากกหหนนงั งัสสือือเรเรียียนน ววิชชิ าาภภาาษษาาไไททยย พพทท 2211000011 รระะดดบั ับ มมธั ัธยยมมศศึกึกษษาา ตอนต้น หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 6 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดับั มัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน คำาช้ีแจง จงเลือกคาำ ตอบที่ถกู ต้องที่สุดเพยี งข้อเดยี ว 1. ข้อใดไม่ใชอ่ งค์ประกอบสาำ คญั เกยี่ วกับการพดู ก. ผ้พู ดู ข. ผู้ฟัง ค. สาระทีพ่ ดู ง. อปุ กรณ์ประกอบการพดู 2. การพูดเพ่อื สรา้ งความสนิทสนม เปน็ การพูดโน้มนา้ วใจโดยอาศยั แนวการปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ก. การให้ข้อมูลความร ู้ ข. โนม้ นา้ วชกั จงู ใจ ค. ใหค้ วามเพลิดเพลนิ ง. สรา้ งจนิ ตนาการ 3. ข้อใดเปน็ การพูดแบบเปน็ ทางการ ก. พูดกบั พี่นอ้ ง ข. พูดกับเพื่อนรว่ มงาน ค. พดู บรรยายให้ความรู ้ ง. พดู ในงานสังสรรค์ 4. สิง่ สำาคัญท่สี ดุ ในการพูดทีต่ อ้ งเตรยี มลว่ งหน้าคือ ก. การแตง่ กาย ข. การฝึกซอ้ ม ค. การใชเ้ สียงและท่าทาง ง. การเตรียมต้นรา่ ง 5. การพดู แสดงความคดิ เหน็ คือการพูดในลักษณะใด ก. การพดู อวยพร ข. การพดู อภปิ ราย ค .การพดู แนะนำาตัว ง. การพดู ทา้ ทาย 6. การพดู ประเภทใด จำาเปน็ ต้องใชศ้ ลิ ปะและจิตวทิ ยาในการพูดสงู ก .การพูดอวยพร ข. การพูดปลุกใจ ค.การพดู โฆษณา ง. การพดู โน้มน้าวใจ 7. การใช้ภาษาแสลง หรอื ศพั ทแ์ สลง นิยมใช้ในการพดู ประเภทใด ก. การพูดอวยพร ข. การพดู ปลกุ ใจ ค. การพดู โฆษณา ง. การพูดโน้มน้าวใจ 8. ข้อใดเปน็ ขนั้ ตอนสุดท้ายของการพูดรายงานตามรูปแบบทถ่ี กู ต้อง ก. บอกช่อื เรื่องทรี่ ายงาน ข. บอกท่ีมาของการพดู รายงาน ค. บอกช่ือบคุ คลท่ใี ห้ความร ู้ หรือข้อมูล ง. สรุป และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเตมิ รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 7 ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
9. “ภาษาไทย เป็นภาษาประจาำ ชาต ิ ถา้ คนไทยทกุ คนไมช่ ่วยอนรุ กั ษ์ไว ้ ภาษาไทยจะเปน็ เอกลักษณ์ของชาติ ตอ่ ไปไดอ้ ย่างไร”ขอ้ ความน ้ี มกี ารใช้ภาษา พดู เพ่อื โนม้ นา้ วใจอยา่ งไร ก. การใช้ภาษาพูดเชงิ ขอร้อง ข. การใชภ้ าษาพดู เชงิ วิงวอน ค. การใชภ้ าษาพดู เชิงคำาถาม ง. การใช้ภาษาพูดเชงิ เสนอแนะ 10. “กินรอ้ น ช้อนกลาง ล้างมือ เปน็ สง่ิ ทีท่ ุกคนควรถอื ปฏบิ ัติให้เป็นสุขนิสยั ท่ดี ใี นการ รบั ประทานอาหาร” ข้อความนี้ มีการใช้ภาษาพูดเพือ่ โนม้ นา้ วใจอย่างไร ก. การใชภ้ าษาพูดเชิงขอร้อง ข. การใช้ภาษาพูดเชงิ วงิ วอน ค. การใชภ้ าษาพูดเชิงคำาถาม ง. การใชภ้ าษาพดู เชิงเสนอแนะ 8 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนตน้
บทที่ 3 การอา่ น สรปุ เนื้อหา เรือ่ ง การอ่านในใจ การอา่ นในใจ หมายถงึ การแปลตวั อกั ษรออกมาเปน็ ความร ู้ ความเขา้ ใจ และความคดิ แลว้ นาำ ไปใชอ้ กี ทอดอยา่ ง ไมผ่ ดิ พลาด โดยท่วั ไป จะเป็นการอ่านเพ่ือความรู้ และความบันเทงิ เรอ่ื ง การอ่านออกเสียง การอ่านออกเสียง หมายถึง การอ่านท่ีผู้อ่ืนสามารถได้ยินเสียงอ่านด้วยการออกเสียงมักไม่นิยมอ่านเพ่ือการ รบั สารโดยตรงเพียงคนเดียว เวน้ แตใ่ นบางครงั้ เราอ่านบทประพนั ธ์เป็นท่วงทำานองเพื่อความไพเราะเพลิดเพลนิ สว่ นตัว แตส่ ่วนใหญ่แล้วการอา่ นออกเสยี ง มักเปน็ การอา่ นให้ผ้อู น่ื ฟัง โวหาร คือ ท่วงทำานองในการเรียบเรียงถ้อยคำาทั้งในวรรณกรรมร้อยแก้วและร้อยกรอง โวหารท่ีใช้กันท่ัวไปมี 5 โวหาร ดงั น้ี 1. บรรยายโวหาร คือ การเล่าเรื่องไปตามเหตุการณ์ เช่นการเขียนบทความการเล่านิทาน เล่าประวัติบุคคล ตาำ นาน ตอ้ งอธิบายใหเ้ ป็นไปตามลำาดบั 2. พรรณนาโวหาร คอื การเขยี นเล่าเรือ่ งอยา่ งประณตี มักแทรกความรู้สึกของผู้เขยี นด้วยทาำ ใหผ้ ้อู า่ นเกดิ ความ รู้และอารมณ์คลอ้ ยตาม เช่น การพรรณนาความสวยงาม คุณความดตี ลอดจนพรรณนาอารมณแ์ ละความร้สู กึ ในใจ ฯลฯ 3. เทศนาโวหาร คือ กระบวนความอบรมส่ังสอน อธิบายในเหตุผล หรอื ช้ีแจงให้เหน็ คณุ และโทษ เพื่อให้ผูอ้ ่าน เชือ่ ถอื ตาม 4. สาธกโวหาร คือ การเขียน โดยยกตัวอย่างประกอบเพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ชัดเจนย่ิงข้ึนนิยมใช้ในการ บรรยายโวหาร และเทศนาโวหาร 5. อปุ มาโวหาร คอื การเขียน โดยยกข้อความเปรียบเทียบ เพือ่ ใหผ้ ้อู ่านเขา้ ใจเรือ่ งราวตา่ ง ๆ ได้ดยี ิ่งขนึ้ ใช้ แทรกในโวหารต่าง ๆ เรอื่ ง หลักการอา่ นหนังสือและสอ่ื สารสนเทศ การเลอื กอ่านหนังสอื นั้น ตอ้ งเลอื กอ่านหนงั สือทเี่ หมาะสมกบั ความต้องการของตนเอง เหมาะสมกับเวลาและ โอกาสในการเลือกอ่าน ควรพิจารณาให้รอบคอบและละเอียดถี่ถ้วนเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคุณค่าของหนังสือท่ี อ่าน เร่อื ง การอ่านจบั ใจความสำาคญั การอ่านจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อ่านได้น้ัน ผู้อ่านจะต้องจับใจความสำาคัญของเรื่องที่อ่านให้ได้แล้วนำาไป ปฏิบัติ ใจความสำาคัญ หมายถึง ข้อความที่เป็นแกนหรือหัวใจของเรื่องการจับใจความสำาคัญในการอ่านก็คือ กรณีเอา ขอ้ ความหรอื ประโยคท่เี ป็น หัวใจของเรื่องนั้นออกมาใหไ้ ด ้ เพราะใจความสาำ คัญของเรอ่ื ง จะเป็นใจความหลักของแตล่ ะ รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) 9 ระดับั มัธั ยมัศึึกษาตอนตน้
บทแตล่ ะตอน หรอื แตล่ ะเรอื่ งใหร้ วู้ า่ แตล่ ะบทตอนนนั้ กลา่ วถงึ เรอื่ งอะไรเปน็ สาำ คญั ดงั นน้ั การจบั ใจความสาำ คญั ของเรอ่ื ง ที่อ่าน จะทาำ ให้มคี วามเขา้ ใจในเรอื่ งน้นั ๆ อยา่ งแจม่ แจ้ง เร่ือง หลกั การวิเคราะห์วิจารณ์ การอ่านเชิงวเิ คราะห ์ เปน็ การอา่ นอย่างละเอียดใหไ้ ดค้ วามอย่างครบถ้วนแลว้ จึงแยกแยะให้ได้ว่าสว่ นตา่ งๆน้ัน มีความหมายและความสาำ คัญอยา่ งไรบ้าง กระบวนการวเิ คราะห ์ ประกอบดว้ ย ดรู ูปแบบของานประพนั ธ ์ แยกแยะเน้ือเรอ่ื งออกเป็นสว่ นๆและพิจารณา แตล่ ะส่วนให้ละเอยี ดลงไปวา่ ประกอบด้วยอะไรบา้ ง การอ่านเพ่ือวิจารณ์ เป็นการอ่านเพื่อทำาความเข้าใจเรื่องท่ีอ่านา เพ่ือเลือกประเมินค่าของเร่ืองหรือหนังสือที่ อา่ นดา้ นตา่ งๆ โดยใชค้ วามรู้สตปิ ัญญา ประสบการณ ์ วเิ คราะหต์ ดั สนิ ความคดิ เหน็ ของผ้เู ขยี น เรือ่ ง มารยาทในการอา่ นและนิสยั รกั การอ่าน การอา่ นอยา่ งมมี ารยาทเปน็ เรอื่ งทจี่ าำ เปน็ และสาำ คญั เพราะการอา่ นอยา่ งมมี ารยาทเปน็ เรอ่ื งการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ อย่างมีวนิ ัย และรับผดิ ชอบ รวมท้งั การมีจิตสำานึกและแสดงถึงความเจรญิ ทางด้านจิตใจทคี่ วรยดึ ถือใหเ้ ปน็ นิสยั มารยาท ในการอ่านคำาว่า มารยาท หมายถงึ กริ ยิ า วาจาทเ่ี รียบรอ้ ย หรือการกระทำาทีด่ งี าม ผู้อา่ นที่ดีตอ้ งมมี ารยาทท่ดี ใี นการ อ่านดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ไม่สง่ เสยี งดงั รบกวนผูอ้ ่ืน 2. ไมท่ ำาลายหนงั สอื โดย ขดู ลบ ขดี ทับ หรอื ฉีกส่วนทตี่ อ้ งการ 3. เมอื่ คดั ลอกเนอื้ หาเพอ่ื อา้ งองิ ในขอ้ เขยี นของตน ตอ้ งอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั การเขยี นอา้ งองิ โดย เฉพาะงานเขียนเชิงวชิ าการ 4. เมื่ออา่ นหนงั สอื เสร็จแลว้ ควรเก็บหนังสือไวท้ ่เี ดิม 5. ไม่ควรอ่านเร่อื งที่เปน็ สว่ นตวั ของผู้อ่นื 6. อา่ นอย่างต้ังใจ และมสี มาธิ รวมทั้งไมท่ าำ ลายสมาธผิ อู้ ื่น 7. ไม่ใชส้ ถานท่ีอ่านหนังสอื ทาำ กจิ กรรมอยา่ งอน่ื เช่น นอนหลบั รับประทานอาหารนสิ ัยรกั การอ่านการทบ่ี คุ คล ใดบคุ คลหนงึ่ จะมนี สิ ยั รกั การอา่ นไดจ้ ะตอ้ งไดร้ บั การฝกึ ฝนมาตง้ั แตเ่ ดก็ ๆแตก่ ม็ ใิ ชว่ า่ เมอ่ื โตเปน็ ผใู้ หญแ่ ลว้ จะไมส่ ามารถ สร้างนสิ ยั รกั การอ่านได ้ ทง้ั นเี้ ราจะตอ้ งสรา้ ง บรรยากาศ สภาพแวดล้อมทเ่ี อื้อใหเ้ ด็ก ๆ หันมาสนใจการอา่ น ดังนี้ 1. อา่ นหนงั สอื ท่ตี นเองชอบ จะทำาให้อา่ นไดอ้ ย่างตอ่ เนื่อง และไมเ่ บ่อื หน่าย 2. ทำาตนให้เป็นผ้ใู ฝร่ ู้ 3. การอ่านจะตอ้ งมีสมาธิเพ่ือจับใจความของเร่ืองที่อ่านได้ 4. เร่มิ อ่านหนังสอื จากระยะเวลาสน้ั ๆ ก่อน แล้วคอ่ ย ๆ กาำ หนดเวลาเพมิ่ ขึ้น 10 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมััธยมัศึึกษาตอนต้น
5. การอ่านจะตอ้ งมีสมาธเิ พือ่ จับใจความของเรื่องทอี่ า่ นได้ รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 11 ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น คำาชแี้ จง จงเลอื กคำาตอบท่ถี กู ต้องทสี่ ดุ เพยี งข้อเดียว มีความรู้อยกู่ บั ตวั กลัวอะไร ชีวติ ไมป่ ลดปลงคงได้ดี (สุนทรภู่) 1. ข้อความนเ้ี นน้ ความสำาคัญเรื่องใด ก. ชวี ิต ข. ความรู้ ค .ความด ี ง. การดำาเนินชีวิต 2. เมอื่ อ่านขอ้ ความนแ้ี ล้วควรปฏบิ ัตอิ ย่างไร ก. ขี้เกียจ ข. ขยนั เรียน ค. อดทน ง. อดกลนั้ 3. ขอ้ ความนมี้ ีความหมายเหมอื นกบั ขอ้ ใด ก. ร้ไู ว้ใช่วา่ ใส่บา่ แบกหาม ข. ทาำ ดไี ด้ดี ทาำ ช่ัวไดช้ ่ัว ค. ร้สู งิ่ ใดไมส่ ู้รู้วิชา ง. บบัวั วั ไไมม่่ใ่ใหห้ช้ ้้ชำ��ำ ้ำาน้นำำ�� า้ำ ไไมม่่ใใ่ หห้ขุ้้ข่�นนุ่ อ่านขอ้ ความตอ่ ไปน้แี ลว้ ตอบคำาถาม ขอ้ 4 - 5 “พอเพยี งนี ้ หมายความว่า มีกิน มอี ย่ ู ไมฟ่ ุม่ เฟือย ไม่หรหู ราก็ได้ แต่วา่ พอ แม้บางอยา่ งอาจจะดู ฟมุ่ เฟอื ย แตถ่ ้าทำาให้มคี วามสุข ถา้ ทำาไดก้ ส็ มควรที่จะทาำ สมควรทจ่ี ะปฏิบัต ิ อนั นกี้ ค็ วามหมายอกี อย่างของ เศรษฐกจิ หรอื ระบบพอเพยี ง (พระราชดาำ รสั ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดุลยเดช) 4. เศรษฐกจิ อา่ นว่าอยา่ งไร ก. เสด – ระ – กิด ข. เสด – ถะ – กิด ค. เสด –ระ- สะ- กิด ง. เสด - กิด 5. ระบบพอเพยี ง หมายถึง ก. ไม่ฟมุ่ เฟือย ไม่หรหู รา ข. พอม ี พอกนิ พออย ู่ ค. พอดี ง. ถูกทัง้ ก ข และ ค อ่านข้อความต่อไปน้ีแลว้ ตอบคำาถาม ข้อ 6 - 7 เม่ือมีโอกาสก็ควรรบี ฉกฉวยเอาไว ้ อย่าปล่อยใหโ้ อกาสนั้นผา่ นไป โดยเปล่าประโยชน์ 6. ขอ้ ความนจ้ี ัดอยู่ในประเภทใด ก. กลอนสี่ ข. ร้อยแก้ว ค. กลอนแปด ง. กาพยย์ าน ี 11 12 รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
7. ขอ้ ความนกี้ ล่าวในลักษณะใด ก. สั่งสอน ข. ชี้แจง ค. อบรม ง. ตกั เตอื น อ่านขอ้ ความนี้แล้วตอบคำาถาม ข้อ 8 - 9 ปรชี าเดนิ ไปหลังศาลาการเปรยี ญ พอจะขา้ มสะพานเขาสงั เกตเห็นผชู้ ายคนหนึ่งยนื อยูท่ ่ีศาลาท่านาำ้ ในมอื ถอื ของพะรุงพะรงั ไฟทร่ี มิ กาำ แพงมแี สงสลัว แตก่ พ็ อมองเห็นท่าทางท่มี ีพิรธุ ของชายคนนั้นไดแ้ ตไ่ ม่แนช่ ัดนัก 8. เหตกุ ารณ์ในข้อความนี้นา่ จะเกิดข้ึนเวลาใด ก. เวลาเจ็ดโมงเชา้ ค. เวลาเทีย่ งวนั ข. เวลาห้าโมงเย็น ง. เวลาสองทุ่ม 9. จากขอ้ ความขา้ งตน้ พอจะสรุปไดว้ า่ เหตกุ ารณ์นเ้ี กิดทีใ่ ด ก. หลงั โรงเรยี น ข. ในวดั ค. ในตลาด ง. หลงั ท่ีวา่ การอำาเภอ 10. ผูช้ ายที่ปรีชาเหน็ นัน้ น่าจะเปน็ ใคร ก. นกั เรยี น ค. คนร้าย ข. เด็กวดั ง. นักทอ่ งเท่ยี ว รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 13 ระดับั มัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
บทท่ี 4 การเขียน สรปุ เนื้อหา เรือ่ ง หลกั การเขยี นและการใช้ภาษาเขียน หลักการเขียน การเขียน การถ่ายทอดความร้สู ึกนึกคดิ และความต้องการของบคุ คลออกมาเป็นสัญลักษณ์ คือ ตวั อกั ษร เพื่อส่อื ความหมายให้ผอู้ ่ืนเขา้ ใจการใช้ภาษาในการเขียน 1. เขียนให้อา่ นงา่ ย เข้าใจง่าย 2. เขยี นตรงตามตัวสะกด การนั ต์ วรรณยกุ ต์ใหถ้ ูกตอ้ ง 3. เขยี นให้ได้ใจความชดั เจน 4. ใชภ้ าษาง่าย ๆ สั้น กะทัดรดั 5. ใชภ้ าษาให้ถกู ต้องตามแบบแผน ไม่ควรใช้คาำ หรอื สาำ นวนมาปะปนกบั ภาษาตา่ งประเทศ 6. ใชถ้ อ้ ยคาำ ที่สุภาพไพเราะเหมาะสม เร่อื ง หลักการเขียนแผนภาพความคิด แผนภาพความคดิ เปน็ การแสดงความร ู้ ความคดิ โดยใชแ้ ผนภาพในการนาำ ความรหู้ รอื ขอ้ เทจ็ จรงิ มาจดั เปน็ ระบบ สรา้ งเปน็ ภาพหรอื จดั ความคดิ รวบยอด นาำ หวั ขอ้ เรอื่ งใดเรอื่ งหนง่ึ มาแยกเปน็ หวั ขอ้ ยอ่ ยและนาำ มาจดั ลาำ ดบั เปน็ แผนภาพ แผนภาพความคิดม ี 4 รปู แบบคือ 1. รปู แบบการจดั กลุม่ ยดึ ความคิดรวบยอดเป็นสาำ คญั และจดั กลุ่มตามลำาดับความคิดรวบยอด 2. รูปแบบความคดิ รวบยอด มคี วามคดิ หลัก มขี ้อเทจ็ จรงิ ที่จดั แบ่งเป็นระดับขน้ั มาสนบั สนุนความคดิ หลัก 3. รูปแบบการจดั ลาำ ดบั เปน็ การจัดลำาดบั เหตกุ ารณต์ ามกาลเวลาหรอื การกระทำาก่อนหลัง ประโยชนข์ องแผนภาพความคิด 1. ช่วยบรู ณาการความรู้เดิมกบั ความรู้ใหม่ 2. ชว่ ยพฒั นาความคดิ รวบยอดให้ชดั เจนขึ้น 3. ช่วยเน้นองคป์ ระกอบลาำ ดับของเรอื่ ง 4. ชว่ ยพฒั นาการ การเขียนและการคิด 5. ชว่ ยวางแผนในการเขียนและปรับปรงุ การเขียน เรอ่ื ง หลักการเขยี นเพอื่ การสอื่ สารประเภทต่างๆ การเขียนเรียงความ คอื การนำาเอาคำามาประกอบแตง่ เป็นเร่อื งราว องค์ประกอบของเรยี งความประกอบด้วย ส่วนสาำ คัญ 3 สว่ น คือ สว่ นนาำ ส่วนเน้ือเร่ืองและสว่ นทา้ ยหรอื สรปุ 14 รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) ระดัับมััธยมัศึกึ ษาตอนตน้
14 การเขียนย่อความ คอื การเก็บใจความสาำ คญั ของเรื่องเดมิ มาเขียนใหม่ใหส้ ั้นกวา่ เดิมเพ่ือสะดวกแกก่ ารเขา้ ใจ และการนำาไปใช้ หลกั การยอ่ ความ 1. ย่อความตามรปู แบบการยอ่ ความแบบต่างๆ 2. อา่ นเร่อื งราวทจ่ี ะยอ่ อย่างน้อย ๒ เที่ยว 3. พจิ ารณาเก็บเฉพาะใจความสำาคัญ 4. นาำ เฉพาะใจความทเี่ กบ็ ไว้มาเรียบเรยี งใหมด่ ว้ ยภาษาของตนเอง 5. เปลยี่ นสรรพนามจากบรุ ษุ ที่ 1 , 2 เปน็ บุรษุ ท่ ี 3 6. ใช้ถ้อยคำาภาษางา่ ยๆ ได้ใจความชดั เจน 7. เลอื กใช้คำาไดค้ วามหมายครอบคลมุ 8. ไม่ใชต้ ัวอักษรยอ่ หรอื คำาย่อ 9. ขอ้ ความทย่ี อ่ แล้วให้เขยี นต่อเน่อื งกนั โดยใชค้ าำ เชอื่ มเพื่อความกระชับ 10. การย่อความท่เี ป็นร้อยกรองก็ใช้วธิ ีเดยี วกับร้อยแกว้ การเขยี นบทความแสดงความคิดเหน็ เปน็ บทบาททีผ่ เู้ ขยี นหยิบยกเอาปัญหา ในสงั คมนั้นมาเขยี น มที ง้ั ปญั หาส่วนรวมและปญั หาสว่ นบุคคล การเขยี นโฆษณาและประชาสมั พนั ธ์ ขอ้ ความโฆษณา หมายถึง ส่วนประกอบทุกอยา่ งทปี่ ระกอบข้ึนเป็นชนิ้ งานโฆษณา การประชาสัมพันธ์มี 2 รปู แบบคือ การประชาสมั พันธ์ภายในหนว่ ยงาน และ การประชาสมั พนั ธภ์ ายนอก หนว่ ยงาน หลกั การเขยี นข้อความประชาสัมพนั ธ์ 1. ขอ้ มูลทีเ่ ขียนจะต้องอยบู่ นพ้นื ฐานความจริง 2. ใช้ภาษาทีเ่ ขา้ ใจงา่ ย ชดั เจน กะทัดรดั สละสลวย 3. แสดงด้วยรูปภาพ หรือสอ่ื ที่มลี กั ษณะเปน็ รปู ธรรมมากทีส่ ดุ 4. ออกแบบสารใหเ้ หมาะสมกบั ระดับของกลุ่มเป้าหมาย การเขยี นรายงานการค้นคว้า ประเภทของรายงานและวธิ กี ารนำาเสนอ 1. การรายงานด้วยการพดู 2. การรายงานด้วยการเขียน 3. การเขยี นรายงานการใชโ้ สตทัศนปู กรณ์ ใชว้ ธิ ีสร้างวดิ ทิี ศั น์หรอื สไลด์ เรอ่ื ง การปฏิบัตติ นเป็นผ้มู มี ารยาทในการเขยี นและมีนิสัยรกั การเขยี น การเขยี นสือ่ สาร หมายถึง การเขียนทผี่ อู้ นื่ อา่ นแล้วไดค้ วามตามจดุ ม่งุ หมายของผูเ้ ขยี น รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 15 ระดัับมััธยมัศึกึ ษาตอนตน้
มารยาทในการเขยี น ประกอบด้วย 1. มีความรับผดิ ชอบ 2. มีการตรวจสอบความถูกตอ้ ง เพอ่ื ใหผ้ ู้อา่ นไดอ้ ่านงานเขียนทถ่ี ูกตอ้ ง 3. มีการอา้ งองิ แหล่งขอ้ มูล เพือ่ ให้เกยี รตแิ กเ่ จา้ ของความคิดท่อี ้างอิง 4. มีความเท่ยี งธรรม ตอ้ งคาำ นึงถงึ เหตมุ ากกวา่ ความรู้สึกสว่ นตน 5 ความสะอาดเรยี บร้อย เขยี นด้วยลายมืออ่านง่าย รรววมมททั้ัง้ง�กกาารรเเลลอืืือกกใใชชก้้้กรระะดดาาษษแแลละะสสีนี นี ้ำาำ�ำ�หหมมึกึ ึก 6. เขยี นเชิงสร้างสรรคไ์ ม่เขียนเพือ่ ทำาลายหรือทำาให้เกดิ ความเสียหายแก่ผูอ้ น่ื 7. ไม่เขียนในทีไ่ มส่ มควร เชน่ สถานที่สาธารณะ 8. ไม่ขดี หรือเขยี นข้อความในหนังสอื เอกสารอน่ื ๆ ทีเ่ ป็นของประชาชนโดยรวม เชน่ หนังสอื ห้องสมุด หมายเหต ุ เผรู้เียรนยี สนาสมาามราถรศถึกศษึกษาเาพเพ่มิ เม่ิ ตเิมตไมิ ดไจ้ดาจ้ กาหกนหังนสงั ือสเือรียวนิช าวภชิ าาษภาาไษทายไทพยท พ2ท1 0201100ร1ะ ดรับะดมบั ัธ ยมมธั ศยึกมษศากึ ษา ตอนต้น หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 16 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดับั มัธั ยมัศึึกษาตอนต้น
แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น คาำ ชแี้ จง จงเลือกคาำ ตอบทถ่ี ูกต้องทสี่ ุดเพียงขอ้ เดยี ว 1. ขอ้ ใดคือส่วนประกอบของการเขยี นเรยี งความเรียงตามลาำ ดบั ก. คาำ นำา เน้อื เรอ่ื ง สรุป ข. เน้อื เรื่อง คาำ นาำ สรปุ ค. หัวขอ้ โครงเรือ่ ง เนื้อเรอื่ ง ง. หวั ขอ้ เนือ้ เรื่อง สรปุ 2. ข้อใดไมใ่ ชล่ ักษณะสาำ คัญของคำานาำ ก. ชแ้ี จงจดุ ประสงค์ในการเขียนเรยี งความ ข. กระตนุ้ ให้ผอู้ า่ นสนใจและเห็นความสำาคัญของเรือ่ ง ค. นนำ�ำ ำาส่สว่ ว่ นนทีท่่�สสี่ำ�ำ าำคัคญั ญั ขขอองงตัตัววั เรเื่ร�อ่อื งงมมาากกล่ล่าา่ววย้ยำำ�� าำ้สสร้ร้า้างงคคววาามมสสนนใจใจ ง. สรา้ งความเข้าใจขอบเขตของเรยี งความและอธิบายความสำาคญั ตา่ งๆ 3. ขอ้ ใดไม่ใช่ศลิ ปะของการเขยี นเรียงความ ก. การเลือกใช้คำาทส่ี ื่อความหมายชดั เจน ข. การใช้สำานวนและลลี าการเขียนทเ่ี ปน็ ของตนเอง ค. การเขยี นข้อความในแตล่ ะยอ่ หนา้ ใหส้ มั พนั ธส์ อดคลอ้ งกนั ง. การสาำ รวจโครงเรอื่ ง สรปุ และคาำ นำาให้เสนอเพยี งความคิดเดียว 4. การวางโครงเร่ืองกอ่ นเขยี นเรยี งความมปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร ก. ช่วยกำาหนดจุดประสงคข์ องเรือ่ ข. ชว่ ยสร้างความเข้าใจในแต่ละย่อหน้า ค. ชว่ ยกำาหนดขอบเขตในการเขยี นแต่ละคร้ัง ง. ช่วยใหเ้ นอื้ หามเี อกภาพและเสนอความคดิ ได้ตามลาำ ดบั 5. ความหมายของจนิ ตนาการทถี่ กู ตอ้ งท่สี ุดคอื ข้อใด ก. ความคิดท่ีดงี ามท่ีเกดิ ขึ้นในใจมนษุ ย์ ข. ความคดิ ท่ีเปน็ ประโยชนแ์ ก่สังคม ค. ความคดิ ทีจ่ ะพฒั นาตนเองและสังคม ให้ดีขนึ้ ง. ความคดิ คาำ นงึ ที่เกดิ ขนึ้ ในจติ ของมนษุ ย์โดยอาศัยประสบการณเ์ ป็นพ้นื ฐาน รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 17 ระดัับมัธั ยมัศึึกษาตอนต้น
6. จินตนาการทมี่ คี ณุ ค่าแทจ้ รงิ แก่ส่วนรวมและแก่ตนเองมีลกั ษณะอย่างไร ก. กวา้ งไกลและแปลกใหม่กวา่ คนอื่น ข. สรา้ งสรรคม์ เี หตุผลในทางวัฒนะ ค. จนิ ตนาการทคี่ ดคำานงึ ถงึ อนาคต ง. จนิ ตนาการทคี่ ิดคาำ นึงถึงอดตี 7. ข้อใดเปน็ หัวข้อเรียงความเกยี่ วกับเรอ่ื งในโลกของจินตนาการทเ่ี ก่ียวกบั อนาคต ก. ใต้รม่ อินทนิล ข. เด็กขายพวงมาลัย ค. สถานการณโ์ รคเอดส์ ง. เกบ็ หอมรอมริบไวเ้ ถิด 8. “ภพนมี้ ใิ ชห่ ลา้ หงส์ทอง เดียวนา กาก็เจา้ ของครอง ชีพด้วย เมาสมมติจองหอง หนิ ชาติ นน้ำา้ำ��มมิิตรแลล้ง้ โลกมม้ว้ ย หมดสิ้น สุขสนั ต”์ ผู้แต่งรอ้ ยกรองนม้ี จี ินตนาการอยา่ งไร ก. สงั คมมีการเอารัดเอาเปรยี บกัน ข. สงั คมแบง่ เปน็ ชนชนั้ นา่ รงั เกียจ ค. ตอ้ งการความเสมอภาคทางสังคม ง. คนรำา่ รวยควรเสียสละใหก้ ับคนจน 9. โครงเรื่องเรียงความเรื่องพระราชวงั บางปะอนิ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ต่อไปน้ีควรเรียงลำาดบั ตามขอ้ ใดจงึ ไดจ้ ะ ความสมบูรณ์ 1.ประวตั กิ ารก่อสร้าง 2. สิ่งกอ่ สรา้ งในพระราชวัง 3. ทีต่ ัง้ 4. ความสำาคัญทางประวัตศิ าสตร์ 5. การอนรุ กั ษ์และการบูรณะ ก. 1 3 2 5 4 ข. 3 1 2 4 5 ค. 3 2 1 4 5 ง. 4 3 1 2 5 10. โครงเร่ืองเรียงความเรอื่ งพระราชวังบางปะอินตามข้อ 9 ควรจะเพิ่มเนอื้ หาขอ้ ใด เพ่ือให้เรียงความสมบรู ณข์ ึ้น ก. ประวตั ิจังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ข. การตกแต่งในบรเิ วณพระราชวงั บางปะอนิ ค. สภาพภมู ิศาสตร์ของจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา ง. คณุ ค่าทางศิลปกรรมของพระราชวังบางปะอิน 18 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมััธยมัศึึกษาตอนต้น
บทที่ 5 หลักการใช้ภาษา สรปุ เนื้อหา เรื่อง ความหมายของคำา พยางค์ วลี ประโยค และการสะกดคำา คาำ หมายถึง เสยี งทเ่ี ปล่งออกมาแลว้ มีความหมายอย่างใดอย่างหนงึ่ จะมีก่พี ยางคก์ ็ได้ พยางค ์ หมายถงึ เสยี งทเี่ ปล่งออกมาคร้ังหน่งึ จะมคี วามหมาย หรือไมม่ ีความหมายกไ็ ดเ้ สียงทเี่ ปล่งออกมาคร้ัง หน่ึงเรยี กวา่ 1 วล ี หมายถงึ คำาทเี่ รียงกันตง้ั แต ่ ๒ คาำ ขึ้นไป สามารถส่ือความได้ แต่ยงั ไม่สมบูรณ์ ไม่เป็นประโยค เป็นกลุ่มคาำ ท่ีทำาหนา้ ท่ีเป็นประธาน กรรม และกริยาของประโยคได้ ประโยค หมายถงึ กลมุ่ คาำ ทเี่ รยี บเรยี งขนึ้ มคี วามหมายไดใ้ จความสมบรู ณว์ า่ ใคร ทาำ อะไรอยา่ งไร ในประโยคจะ ประกอบดว้ ยอยา่ งนอ้ ยสองสว่ นคอื ประธาน และกรยิ า ประโยคทสี่ มบรู ณจ์ ะตอ้ งประกอบดว้ ย 2 สว่ น คอื สว่ นทเ่ี ปน็ ภาค ประธาน ซง่ึ ประกอบดว้ ย ประธาน และสว่ นขยายและภาคแสดง ซงึ่ ประกอบดว้ ย กรยิ า สว่ นขยาย และกรรม สว่ นขยาย การสะกดคำา เปน็ การเขียนโดยเรยี งลำาดบั พยัญชนะ สระ วรรณยกุ ต์ รวมท้งั ตวั สะกด การนั ต์ภายในคำาหนง่ึ ๆ ไดถ้ ูกตอ้ งตามพจนานุกรม เพอ่ื ใหส้ ามารถสอื่ ความหมายได้ถูกต้อง เรื่อง หลักในการสะกดคาำ ถ้าเป็นภาษาไทยแท้จะใช้ตัวสะกดตรวจตามมาตราด้วยตัวสะกด ส่วนคำาภาษาไทยที่มาจากภาษาต่างประเทศ นั้น มที ง้ั สะกดตรงตามมาตราและใช้ตัวสะกดหลายตัวตามรปู ศพั ท์เดมิ เรือ่ ง การใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอน อกั ษรย่อ คาำ ราชาศัพท์ และการใชเ้ ลขไทย ภาษาไทยมีวิธีการเขยี นคาำ ตดิ ตอ่ กันไป เม่อื จบข้อความแล้วจงึ เว้นวรรค ดังนั้น ในการเขยี นหนังสอื จึงตอ้ งมกี าร แบ่งวรรคตอนและใช้เครื่องหมายวรรคตอนประกอบการเขียนให้ถูกต้องเพ่ือช่วยให้เข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจนไม่ ผิดเพยี้ นไปจากวัตถปุ ระสงค์ อกั ษรย่อ คือ อักษรท่ีใช้แทนคำา หรอื ขอ้ ความเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสาร คาำ ราชาศัพท ์ หมายถงึ ถอ้ ยคาำ สาำ หรับพระราชา แตต่ ามตาำ ราหลกั ภาษาไทยได้ใหค้ วามหมายสำาหรับบคุ คล 3 ประเภท คอื 1. ศพั ท์ทีใ่ ช้สำาหรบั พระมหากษตั รยิ ์และพระบรมวงศานวุ งศ์ 2. ศพั ท์ทใ่ี ช้สาำ หรบั พระภกิ ษุสงฆ์ 3. ศพั ท์ท่ใี ชส้ าำ หรับสุภาพชน เรอื่ ง การใช้คำาและการสรา้ งคำาในภาษาไทย รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 19 ระดัับมัธั ยมัศึึกษาตอนต้น
คำามลู คอื คำาเดียวที่ไมป่ ระสมกับคำาอนื่ อาจมี 1 พยางค ์ หรือหลายพยางค์ก็ไดแ้ ต่เมอ่ื แยกพยางค์แลว้ แต่ละ พยางค์จะไม่มีความหมาย คาำ ประสม คือ คำาที่สร้างขน้ึ ใหม่ นำาคาำ มูลตัง้ แต่ ๒ คาำ ข้ึนไป ประสมกันเกดิ เปน็ คาำ ใหมข่ ึ้น คำาสนธิ คือ การเชื่อมเสียงให้กลมกลืนกันตามหลักไวยากรณ์บาลีสันสกฤต เป็นการเช่ือมอักษรให้ต่อเน่ืองกัน เพอื่ ตดั อักษรให้นอ้ ยลง ทำาให้คำาพดู สละสลวย นาำ ไปใช้ประโยชนใ์ นการแตง่ คาำ ประพนั ธ์ คำาแผลง คอื คาำ ที่สรา้ งข้ึนใช้ในภาษาไทยอีกวิธีหนงึ่ โดยเปลีย่ นแปลงอักษรที่ประสมอยใู่ นคาำ ไทยหรอื คาำ ทมี่ า จากภาษาอืน่ ใหผ้ ดิ ไปจากเดมิ ดว้ ยวิธีตัด เติม หรือเปลย่ี นรูปแตย่ งั คงรกั ษาความหมายเดมิ คาำ ซอ้ น คอื คาำ ประสมชนดิ หนง่ึ ทเ่ี กดิ จากการนาำ เอาคาำ ตง้ั แตส่ องคาำ ขนึ้ ไป ซงึ่ มเี สยี งตา่ งกนั มคี วามหมายเหมอื น กัน หรอื คลา้ ยกัน คำาท่ีนาำ มาซอ้ นแล้วจะทาำ ใหเ้ กดิ ความหมายคงเดมิ หรือเปลยี่ นไปจากเดิมก็ได้ คคำาำ�ซซ้ำ้าำ�� คคืือ การนนำำา�คคำำา�มาซซ้ำา้ำ��คคำาำ�เดดิิมลงไปเพพื่�่อื ใหห้ค้คำำา�มมีคี วามหมายเพพิ่�มิ่ ขขึ้น�้ึ เบาลง หรรือื มมีคี วามหมายในพหหููพจนน์์ เรอ่ื ง ชนดิ ของประโยค 1. ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) ประโยคชนิดน้ีคอื ประโยคท่มี ุ่งกล่าวถงึ ส่ิงใดสง่ิ หนง่ึ เพียงสงิ่ เดยี ว ส่ิงน้ัน อาจเปน็ คน สตั ว ์ เหตกุ ารณ ์ ฯลฯ อย่างใดอย่างหนงึ่ และสิง่ นน้ั แสดงกรยิ าอาการ หรืออยใู่ นสภาพอยา่ งเดียว 2. ประโยคความรวม (อเนกรรถประโยค) คอื ประโยคที่รวมความเอาประโยคความเดียว 2 ประโยคข้ึนมารวม เข้าด้วยกัน โดยมคี ำาเชือ่ มประโยคเหลา่ นั้นเขา้ ด้วยกัน 3. ประโยคซอ้ นกัน (สังกรประโยค) คอื ประโยคทม่ี ขี อ้ ความหลายประโยคข้อความอยใู่ นประโยคเดียวกนั เพือ่ ใหข้ ้อความสมบรู ณย์ ง่ิ ขึน้ เร่อื ง การใชร้ ะดับภาษาท่เี ปน็ ทางการ และไมเ่ ป็นทางการ ภาษาทเ่ี ปน็ ทางการ หมายถงึ ภาษาทใี่ ชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการ มลี กั ษณะเปน็ แบบพธิ ถี กู ตอ้ งตามแบบแผนของภาษา เขยี น ภาษาไมเ่ ปน็ ทางการ หมายถึง ภาษาท่ใี ชถ้ อ้ ยคำาง่ายๆ น้าำ เสยี งเป็นกันเองไม่เครง่ เครยี ดแสดงความใกล้ชิดสนิท สนมระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร เร่อื ง การใชส้ ำานวน สภุ าษิต คาำ พงั เพย คนไทยนยิ มใชภ้ าษาถ้อยคาำ สำานวนทีส่ ละสลวย ไพเราะ เสนาะห ู และสะดวกแกก่ ารออกเสียง ลกั ษณะนสิ ยั คนไทยเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน เวลาพดู หรือเขียนจงึ นิยมใชถ้ อ้ ยคำาสาำ นวนปนอยู่เสมอ คาำ สาำ นวน ตา่ ง ๆ เหล่าน้ชี ่วยให้การสื่อสารมคี วามหมายชดั เจน ได้ความไพเราะ ถา่ ยทอดอารมณ์ความรสู้ กึ ได้ดี บางคร้ังใชเ้ ปน็ การ สอื่ ความหมายเพอ่ื เปรยี บเปรยไดอ้ ยา่ งคมคายลกึ ซง้ึ เหมาะสมกบั วฒั นธรรมความเปน็ อยขู่ องคนไทย ซง่ึ แสดงถงึ อธั ยาศยั ท่ีดีต่อคนอืน่ เป็นพน้ื ฐาน ถอ้ ยคาำ สาำ นวน เปน็ สาำ นวนท่ีเกิดจากการผสมคำาแล้วเกิดเป็นคำาใหม่ คำาพงั เพย หมายถงึ ถอ้ ยคาำ ที่กลา่ วข้ึนมาลอย ๆ เป็นกลาง มีความหมายเปน็ คตสิ อนใจ สามารถนำาไปตีความ 20 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมััธยมัศึึกษาตอนต้น
แล้วนำาไปใช้พดู หรือเขียนใหเ้ หมาะสมกับเร่ืองทีเ่ ราต้องการสอ่ื ความหมายได้ คาำ สภุ าษติ เปน็ คำานาม หมายถึง ถอ้ ยคาำ หรือขอ้ ความท่ีกล่าวสบื ต่อกันมาชา้ นานแล้ว คาำ อุปมาอปุ ไมย หมายถงึ ถ้อยคำาที่เป็นสาำ นวนพวกหนง่ึ กลา่ วทาำ นองเปรียบใหเ้ หน็ จริง เข้าใจแจม่ แจ้งชดั เจน และสละสลวยน่าฟังมากข้ึน เรื่อง หลกั การแตง่ คาำ ประพันธป์ ระเภทตา่ งๆ คาำ ประพันธ์ร้อยกรองประเภทกาพย ์ มหี ลายแบบเรยี กชื่อต่าง ๆ กันไปตามลกั ษณะคาำ ประพันธ์ท่ีแตกตา่ งกนั เชน่ กาพย์ยาน ี กาพย์ฉบัง กาพยส์ ุรางคนางค ์ กาพย์ขบั ไม้ เป็นตน้ กาพยย์ านี 11 บทหนง่ึ มี 4 วรรค แบง่ เปน็ วรรคแรก 5 คาำ วรรคหลงั 6 คำา คาำ ประพนั ธป์ ระเภทโคลง มหี ลายแบบเรียกชอื่ ต่าง ๆ กนั ไปตามแบบฉันทลกั ษณ์ ทีแ่ ตกตา่ งกันแบง่ เป็น ประเภทใหญไ่ ดแ้ ก่ โคลงด้นั และโคลงสุภาพ โคลงสส่ี ุภาพ บทหน่งึ มี 4 บาท แตล่ ะบาทแยกเป็น 2 วรรค เรียกวรรคหนา้ กับวรรคหลัง แบ่งเปน็ วรรคหน้า 5 คาำ วรรคหลัง 2 คำา เฉพาะบาทที ่ 4 หรอื บาทสุดทา้ ย กำาหนดใหว้ รรคหลงั มี 4 คาำ หมายเหตุ เผรยีูเ้ รนยี สนาสมาามราถรศถกึ ศษึกาษเพาเ่มิพเม่ิตเิมตไิมดไ้จดาจ้ กาหกนหังนสังือสเอืรยีเรนยี นวชิ วาิชภาาภษาาษไาทไยท ยพทพ ท212010010 1ระรดะบั ด ับมัธมยธั มยศมกึ ศษกึ าษา ตอนตน้ หลกั สตู รการศึกษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 21 ระดับั มัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น คำาชแ้ี จง ให้นักศึกษาจับคสู่ าำ นวนใหต้ รงกับความหมาย ก. ผกั ชีโรยหน้า __________ 1. เกย่ี วโยงกนั ไปเป็นทอดๆ ข. จับปลาสองมอื __________ 2. ไมม่ หี นทางไป ค. ขมิน้ กบั ปูน __________ 3. ทาำ จนสุดความสามารถ ง. ชิงสุกก่อนห่าม __________ 4. รนหาเรื่องเดือดร้อน จ. แกวง่ เทา้ หาเสีย้ น __________ 5. ทาำ ดีแต่เพียงผิวเผิน ฉ. จนตรอก __________ 6. ปล่อยท้งิ ไป ช. หญ้าปากคอก __________ 7. นิง่ เฉยไมเ่ ดอื ดร้อน ซ. ท้ิงทวน __________ 8. ทำาอยา่ งลวกๆ ทำาพอเสรจ็ ไปคราวหนึ่งๆ ฌ. แขวนนวม __________ 9. พพดู ดู ไไมม่ออ่ ออกกเเพพรราาะะเเกกรรงงจจะะมมภี ีภยั ัยแแกก่ต่ตนนหหรรอื อื อผืนู่อ้ น่ื ญ. มวยล้ม __________ 10. อยากได้สองอยา่ งพร้อมๆ กนั ฎ. ลอยแพ ฐ. พระอิฐพระปนู ฑ. สกุ เอาเผากิน ฒ. งูกนิ หาง ณ. นน้ำำา้�� ทท่ว่ มปาก 22 รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนตน้
บทท่ี 6 วรรณคดี และวรรณกรรม สรปุ เนือ้ หา เรอ่ื ง หลักการพจิ ารณาวรรณคดี วรรณคด ี หมายถงึ วรรณกรรมหรือหนงั สอื ทไ่ี ด้รับการยกย่องวา่ แต่งด ี กล่าวคือ มลี กั ษณะเดน่ ในการใช้ถ้อยคาำ ภาษา และเด่นในการประพนั ธ ์ ให้คณุ ค่าทางอารมณแ์ ละความรสู้ ึกแก่ผอู้ า่ น วรรณกรรม หมายถึง งานหนงั สอื งานนิพนธท์ ่ีทาำ ขึน้ ทุกชนิด เช่น หนังสือ จุลสาร ส่ือเขยี นส่ิงพมิ พ ์ ปาฐกถา เทศนา คาำ ปราศรยั สุนทรพจน์ สิ่งบนั ทึก เสียง ภาพ หลักการพิจารณาวรรณคดี 1. แยกองคป์ ระกอบของหนงั สอื หรอื วรรณคดีทจี่ ะพจิ ารณาได้ 2. ทาำ ความเขา้ ใจองค์ประกอบท่ีแยกออกมาใหแ้ จม่ แจ้งชัดเจน 3. พจิ ารณาหรือวิเคราะหห์ นงั สือหรือวรรณคดี เรอื่ ง หลกั การพนิ จิ วรรณกรรม วรรณกรรมปจั จบุ นั หมายถงึ วรรณกรรมทมี่ ลี กั ษณะตา่ ง ๆ เปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ เพราะรบั อทิ ธพิ ลหรอื แนวคดิ ของชาวตะวนั ตก เปน็ วรรณกรรมทไ่ี มเ่ นน้ วรรณศลิ ปท์ างภาษามากนกั ไมเ่ นน้ ในเรอ่ื งของการใชภ้ าษา แตเ่ นน้ ในเรอื่ งของ การสือ่ แนวคิด ส่ือขอ้ คดิ แกผ่ ู้อ่านมากกวา่ หลักเกณฑ์กว้าง ๆ ในการพินิจวรรณคดแี ละวรรณกรรม มดี งั นี้ 1. ความเปน็ มาของประวัตขิ องหนงั สือและผแู้ ต่ง 2. ลักษณะคำาประพนั ธ์ 3. เร่อื งย่อ 4. เน้อื เรือ่ ง 5. แนวคิด จดุ มุ่งหมายเจตนาของผเู้ ขยี นท่ฝี ากไว้ในเร่อื ง 6. คุณคา่ ของวรรณคดีวรรณกรรม เรอื่ ง ประวตั ิความเปน็ มา ลกั ษณะคุณค่าของเพลงพืน้ บ้าน เพลงกล่อมเด็ก ความหมายของเพลงพนื้ บา้ นเพลงพ้นื บา้ น คอื บทเพลงท่ีเกิดจากคนในทอ้ งถ่นิ ตา่ ง ๆ คดิ รปู แบบการร้อง การ เล่นเป็นบทเพลงท่ีมีท่วงทำานอง ภาษาเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มุ่งความสนุกสนานรื่นเริง ใช้เล่นกันในโอกาสต่าง ๆ เช่น สงกรานต ์ ตรษุ จีน ลอยกระทง การเกย่ี วข้าว นวดขา้ ว ลักษณะของเพลงพน้ื บา้ น รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 23 ระดัับมััธยมัศึึกษาตอนต้น
1. สำานวนภาษาใชค้ าำ ธรรมดา พนื้ ๆ 2. มีความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ มคี วามคมคายในการใช้ภาษา 33.. มมีภีภาาษษาาถถิน่ น่ิ ปปนนออยยู่ท่ทู ำ�ำาใใหห้ส้สะะทท้ออ้ นนใใหหเ้ เ้หห็นน็ ถถึงึงววิถิถีกกี าารดดำา�ำ เเนนนิ นิ ชชีววี ติ ิตมีลกั ษณะภาษาคลอ้ งจองกนั 44.. มมลี กั ักมษีกณาระรภอ้ างษซาาำ้ คลอ้ งจองกัน เ5พ. ลมังกั กมลีีก่อามรรเ้ดอ้ ็กง ซค้ำ�ำ� อื เพลงทร่ี ้องเพอ่ื กล่อมเด็กน้อย ๆ เกดิ ความเพลิดเพลนิ และอบอ่นุ ใจจะได้หลับง่ายและหลับ สบายเปน็ เพลงทม่ี เี นื้อความสน้ั ๆ ร้องง่าย ชาวบ้านในอดตี ร้องกนั ได้เนอื่ งจากไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาตงั้ แต่เกิด คอื ได้ฟงั พอ่ แม่ รอ้ งกล่อมตนเอง น้อง หลาน ฯลฯ โดยมจี ุดประสงค์เพื่อ 1. เพลงกล่อมเด็กมีหน้าท่ีกล่อมให้เด็กหลับโดยตรง ดังน้ันจึงเป็นเพลงท่ีมีทำานองฟังสบายแสดงความรักใคร่ หว่ งใยของผูใ้ หญท่ ม่ี ตี ่อเด็ก 2. เพลงกลอ่ มเด็กมีหน้าที่แอบแฝงหลายประการ การสอนภาษาเพอ่ื ให้เดก็ ออกเสียงตา่ งๆ ได้โดยการหัดเลียน เสียง และออกเสยี งต่าง ๆ ได้เร็วข้ึน เรอ่ื ง หลักการพนิ ิจวรรณคดีด้านวรรณศลิ ปแ์ ละด้านสังคม การพจิ ารณาวรรณคด ี คอื การแสดงขอ้ คดิ เหน็ เกยี่ วกบั วรรณคดเี ลม่ ใดเลม่ หนงึ่ อยา่ งสนั้ ๆ โดยมเี จตนาจะแนะนาำ วรรณคดนี ั้นใหผ้ ู้อ่านรู้จักว่ามีเนอ้ื เร่ืองอย่างไร มีประโยชน์มีคณุ คา่ อยา่ งไรผู้พิจารณามคี วามคิดเห็นอย่างไรต่อวรรณคดี เร่อื งนั้น ๆ ชอบหรอื ไมช่ อบ เพราะเหตใุ ด มีลักษณะการวจิ ารณว์ รรณกรรม ลกั ษณะเด่นของวรรณคดไี ทย 1. นิยมแตง่ หนงั สอื หรอื การแตง่ วรรณคดดี ว้ ยคำาประพนั ธ์ร้อยกรองกว่ารอ้ ยแกว้ 2. เนน้ ความประณีตของคำาและสาำ นวนโวหาร 3. เน้นการแสดงความร้สู กึ สะเทอื นอารมณจ์ ากการรำาพันความรสู้ กึ 4. มีวธิ แี ต่งท่นี ยิ มปฏิบตั แิ นวเดยี วกนั มาแตโ่ บราณ 5. วรรณคดีไทยมีเน้ือหาเกย่ี วกับชนชนั้ สูงมากกวา่ คนสามญั 6. แนวคดิ สาำ คัญโดยทั่วไปเป็นแนวคดิ แบบพุทธปรชั ญางา่ ย ๆ 7. เนือ้ เรื่องทีร่ ับมาจากวรรณกรรมต่างชาติจะได้รบั การดัดแปลงใหเ้ ข้ากับวฒั นธรรมไทย 8. ในวรรณคดีไทยมบี ทมหัศจรรย์แทรกอยดู่ ว้ ย 9. วรรณคดไี ทยมักแทรกความเชือ่ คา่ นิยมของไทยไว้เสมอ หมายเหตุ เผรยีู้เรนยี สนาสมาามราถรศถึกศษึกาษเพาเิ่มพเิม่ตเมิ ตไมิ ดไจ้ ดาจ้ กาหกนหงั นสังอื สเอืรียเรนีย นวิชวาิชภาาภษาาษไาทไยท ยพทพ ท212010010 1ระรดะบั ด บั มธั ยมศกึ ษา ตอนตน้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 24 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนตน้
แบบทดสอบท้ายบทเรยี น คำาชแ้ี จง จงเลือกคำาตอบที่ถกู ตอ้ งท่สี ดุ เพียงขอ้ เดียว 1. ความหมายของเพลงพนื้ บ้าน ข้อใดกลา่ วถกู ต้องทสี่ ดุ ก. เพลงที่ชาวบ้านรอ้ ง ข. เพลงที่ชาวบา้ นประพนั ธ์ ค. เพลงที่ชาวบา้ นรว่ มกนั รื่นเริง ง. เพลงที่ชาวบา้ นร่วมกันแสดง 2. ข้อใดเป็นคุณสมบตั ิของเพลงพื้นบ้านเด่นชดั ทีส่ ุด ก. แสดงเอกลกั ษณข์ องคนในหมบู่ า้ น ข. ทกุ คนรอ้ งได้ ค. มสี ัมผสั คลอ้ งจอง ง. ให้ความบนั เทงิ 3. โดยทวั่ ไปแล้วเพลงพ้นื บ้านมลี กั ษณะเดน่ คือ ก. มคี วามสนกุ สนาน ใชภ้ าษาคมคาย มีภาษาบาลสี ันสกฤต ข. มีความเรียบงา่ ยทัง้ ดา้ นแตง่ กายและการเลน่ ค. เปน็ วรรณกรรมมขุ ปาฐะ มีความเป็นพ้ืนบ้านพ้ืนเมอื ง ง. มภี าษาถน่ิ ปะปนอย ู่ จังหวะเร้าใจ ใชศ้ พั ทส์ งู ชวนฟงั 4. เพลงพ้นื บา้ นท่ปี ระกอบการทาำ งาน คอื เพลงอะไร ก. เพลงเตน้ กำาราำ เคยี ว ข. หมอลำา ค. เพลงเรอื ง. เพลงฉ่อย 5. เพลงแห่นางแมวจดั เปน็ เพลงชนิดใด ก. เพลงปฏิพากย ์ ข. เพลงประกอบการเล่น ค. เพลงประกอบพธิ ี ง. เพลงเข้าผีเชิญผี 6. เพลงท่ใี ชร้ ้องเกีย้ วพาราสี หลังจากทำาบญุ ตักบาตรแลว้ มานั่งรอบโบสถ์ เรยี กวา่ เพลงอะไร ก. เพลงพวงมาลัย ข. เพลงลาำ ตดั ค. เพลงลาำ วง ง. เพลงพษิ ฐาน 7. จะน่ังแต่หอทอแตห่ ูก น่ังเลีย้ งแตก่ ันแต่ไร จากบทเพลงนี้ทำาให้เราได้รบั ความรู้ เก่ยี วกบั สิง่ ใดบา้ ง ก. การทำางาน การเลี้ยงดูบุตร ข. การเล้ยี งลูกในสมยั โบราณ การใช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ ค. การทอผา้ การแต่งกาย ง. การปลูกเรือน การเลย้ี งดูบุตร 8. “วดั เอ๋ยวดั โบสถ์ ปลูกข้าวโพดสาลี เจ้าลูกเขยตกยาก แมย่ ายกพ็ รากลกู สาวหนี ตักขา้ วโพดสาล ี ตงั้ แตน่ ี้จะโรยรา” เพลงกล่อมเด็กนมี้ จี ดุ มุ่งหมายเพื่ออะไร รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 25 ระดับั มััธยมัศึึกษาตอนต้น
ก. สอนให้รูจ้ กมสี ัมมาอาชพี ข. สอนใหม้ ีความประพฤติดี ค. สอนเก่ยี วกบั ความรักการทำามาหากนิ ง. สอนให้เป็นผู้มคี ณุ ธรรม 9. เพลงกลอ่ มเดก็ มจี ุดมุ่งหมายเพอื่ อะไร ข. แสดงความในใจของแมท่ ่มี ีตอ่ ลกู ก. อบรมสั่งสอน ค. ต้องการให้เดก็ นอนหลบั ง. ถูกทุกข้อ 10. ข้อใดเปน็ ประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ของเพลงพืน้ บา้ น ก. ทราบเกร็ดยอ่ ยความร้ใู นด้านต่างๆ ข. ไดค้ วามรูเ้ กี่ยวกับวฒั นธรรมในยคุ สมัยน้นั ค. ทาำ ให้ทราบลักษณะของวรรณกรรมลายลักษณท์ ้องถน่ิ ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก 26 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดับั มััธยมัศึกึ ษาตอนต้น
บทที่ 7 ภาษาไทยกับช่องทางการประกอบอาชีพ สรปุ เนือ้ หา ภาษาไทยเปน็ ภาษาประจาำ ชาต ิ เปน็ ภาษาทใี่ ชส้ อ่ื สารในชวี ติ ประจาำ วนั อกี ทงั้ ยงั เปน็ ชอ่ งทาง ทสี่ ามารถนาำ ความ รูภ้ าษาไทยไปใชใ้ นการประกอบอาชีพตา่ งๆ ได ้ โดยใช้ศิลปะทางภาษาเป็นส่ือนาำ เรอ่ื ง คณุ คา่ ของภาษาไทย ภาษาไทยมีคุณค่าในด้านต่างๆดงั น้ี 1. คณุ คา่ ทางวัฒนธรรม 2. เป็นเคร่ืองมอื ในการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร 3. เปน็ เครอ่ื งมอื ในการเรยี นรแู้ ละแสวงหาความรู้ 4. เปน็ เครอ่ื งมือในการสรา้ งความเข้าใจอันดีต่อกนั 5. เปน็ เครอื่ งมือสรา้ งเอกภาพของชาติ 6. เปน็ เครอ่ื งจรรโลงใจ เรอื่ ง ภาษาไทยกับชอ่ งทางการประกอบอาชีพ อาชีพที่ใชท้ ักษะการพูดเป็นชอ่ งทางในการประกอบอาชีพ 1. อาชีพนกั โฆษณาประชาสัมพนั ธ์ 2. อาชีพนักจดั รายการวิทยุ 3. อาชีพพธิ ีกร อาชีพท่ีใช้ทักษะการเขยี นเปน็ ชอ่ งทางในการประกอบอาชีพ 1. อาชีพด้านสือ่ สารมวลชนทุกรปู แบบ 2. อาชีพผพู้ ิสจู นอ์ กั ษรและบรรณาธิการ อาชีพดา้ นการสร้างสรรคง์ านศิลปะรปู แบบตา่ งๆ 1. อาชพี กวี 2. อาชีพนักเขียน เรื่อง การเพ่ิมพูนความรู้และประสบการณ์ทางด้านภาษาไทยเพ่ือการประกอบอาชีพในการนำาความรู้ทางภาษาไทย ท้ังทักษะการพูดและการเขียนไปใช้ในการประกอบอาชีพนั้นเพียงการศึกษาในช้ันเรียนและตาำ ราอาจจะยังไม่เพียงพอ ผู้ประกอบอาชีพตอ้ งเพ่มิ พูนความรู้และประสบการณ์ดา้ นภาษาและดา้ นตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้การประกอบอาชพี ประสบความ สาำ เรจ็ ยกตวั อยา่ ง เชน่ อาชพี นกั โฆษณาประชาสมั พนั ธ ์ อาชพี นกั จดั รายการวทิ ย ุ อาชพี พธิ กี ร แหลง่ ทคี่ วรศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เพอื่ เพ่ิมพนู ความร้ใู นอาชีพ เชน่ สถานฝกึ อบรมของเอกชน หนว่ ยงานของทางราชการง สถานศกึ ษาตา่ งๆของรัฐบาล รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 27 ระดับั มัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
แบบทดสอบท้ายบทเรียน คาำ ช้แี จง จงเลอื กคาำ ตอบทถ่ี ูกต้องทสี่ ดุ เพียงข้อเดียว 1. อาชพี ใดท่ีจดั เปน็ อาชีพท่ใี ชภ้ าษาไทยในทางสรา้ งสรรค์และเป็นศิลปะรูปแบบหนึง่ ก. กว ี ข. พิธีกร ค. นักจดั รายการวทิ ยุ ง. นกั ประชาสมั พันธ์ 2. อาชีพใดท่ีตอ้ งใช้ความสามารถทงั้ การพูดและการเขยี น ก. บรรณาธิการ ข. นกั เขียนสารคดี ค. นกั พสิ ูจน์อักษร ง. นักจัดรายการวทิ ยุ 3. อาชพี ใดท่ตี ้องอาศัยความสามารถในการพดู และตอ้ งมบี คุ ลกิ ภาพท่ดี ี ก. พธิ ีกร ข. นกั เขียนบทโทรทัศน์ ค. ผู้ส่ือขา่ วหนังสอื พิมพ์ ง. นักโฆษณา – ประชาสมั พนั ธ์ 4. อาชพี ใดทต่ี ้องมีความสามารถในการเขยี นเปน็ พิเศษ ก. พิธีกร ข. นกั เขยี น ค. บรรณาธิการ ง. นักจัดรายการวทิ ยุ 5. การศึกษาในสาขาใดทำาให้สามารถประกอบอาชีพทใี่ ชภ้ าษาเพอื่ การส่ือสารมวลชนได้ ก. ครศุ าสตร์ ข. ศลิ ปะศาสตร์ ค. นเิ ทศศาสตร ์ ง. อักษรศาสตร์ 6. ภาษาไทยมีคณุ คา่ ในด้านต่างๆ ยกเวน้ ดา้ นใด ก. ด้านวัฒนธรรม ข. ดา้ นเปน็ เครื่องมือในการติดต่อส่อื สาร ค. ด้านการความบันเทิง ง. ดา้ นเปน็ เครื่องมือสรา้ งเอกภาพของชาติ 7. ขอ้ ใดไมใ่ ช่บุคลกิ ภาพของนกั โฆษณา – ประชาสมั พันธ์ ก. แต่งกายสุภาพเรยี บรอ้ ย ข. แตง่ กายตามความพอใจของตนเอง ค. แต่งกายเหมาะสมกบั กาลเทศะ ง. แตง่ กายเหมาะสมกบั งานและสถานท่ี 8. ภาษาท่ีใช้ในการประชุมท่ีมีแบบแผน ควรใช้ภาษาระดบั ใด ก. ภาษาระดบั กันเอง ข. ภาษาระดับทางการ ค. ภาษาระดับสนทนาท่ัวไป ง. ภาษาระดับพิธีการ 28 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดับั มััธยมัศึกึ ษาตอนตน้
9. ภาษาทใี่ ช้ในงานพระราชพธิ ี หรอื งานพธิ ีของรัฐ ควรใชภ้ าษาระดบั ใด ก. ภาษาระดับทางการ ข. ภาษาระดบั กึ่งทางการ ค. ภาษาระดับสนทนาท่วั ไป ง. ภาษาระดบั พิธกี าร 10. อาชพี ทีต่ อ้ งมพี ้นื ฐานความรู้ในเร่อื งการพูดเปน็ อยา่ งด ี คืออาชีพใด ก. อาชพี นักโฆษณา – ประชาสัมพนั ธ ์ ข. อาชพี พธิ กี ร ค. อาชีพบรรณาธกิ าร ง. อาชีพนกั เขียนนวนิยาย รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 29 ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
แบบทดสอบหลังเรยี น คำาช้ีแจง จงเลือกคำาตอบทถ่ี ูกต้องทสี่ ดุ เพยี งขอ้ เดียว 1. การอา่ นในใจ หมายถึง ก. อา่ นเพ่ือไมใ่ ห้คนอ่นื ไดย้ นิ วา่ เราอ่านอะไร ข. อา่ นเพ่อื ใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเข้าใจและคิดอยา่ งกว้างขวางลึกซึง้ ค. อา่ นเพ่อื ความสนกุ สนานไมต่ ้องการสาระ ง. อ่านตามทีผ่ ู้อ่านต้องการ 2. การอ่านร้อยกรองออกเสยี งผู้อา่ นจะต้องอา่ นอยา่ งไร ก. อา่ นใหค้ ลอ้ งจองรน่ื ห ู ออกเสยี งให้ชดั เจนโดยเฉพาะ ตวั ร, ล ข. อ่านออกเสียงดงั ๆ ให้ชัดถอ้ ยชดั คาำ ค. อ่านเหมอื นกับอา่ นหนังสือทวั่ ไป ง. อ่านอยา่ งสนุกสนานไปตามเนอ้ื หาไมต่ อ้ งห่วงท่วงทาำ นอง 3. การอา่ นออกเสียง ได้แก่ ก. ผ้อู ่าน อา่ นดงั ๆ เพ่ือใหค้ นอนื่ ได้ยินดว้ ย ข. ผูอ้ า่ นอา่ นตามสบายไม่ตอ้ งมวี รรคตอน ค. อ่านออกเสยี งให้ถูกต้อง ชัดเจน มีจังหวะ ง. อา่ นให้เหมือนเสยี งพูด 4. ข้อใดกลา่ วถึงโครงสรา้ งพืน้ ฐานของการเรียน ความได้ถูกต้อง ก. คำานาำ เนอ้ื เรอ่ื ง สรุป ข. ชอ่ื เรอ่ื ง คำานาำ เน้อื เรื่อง ค. ชื่อเรือ่ ง คาำ นาำ เนอื้ เรือ่ ง สรุป ง. ช่ือเร่ือง เนอื้ เรอ่ื ง สรุป 5. ข้อใดกลา่ วถึงองคป์ ระกอบของการเรยี งความไดถ้ ูกตอ้ ง ก. เรียงความเรอื่ งหน่งึ ควรมียอ่ หน้าเพียงย่อหนา้ เดียวเพ่ือความเปน็ เอกภาพของเนือ้ ความ ข. ในการเขยี นคำานาำ ควรมคี วามยาวของเนื้อหาไมเ่ กนิ ๑๐ บรรทัด ค. ในการสรปุ เนื้อความไมจ่ าำ เป็นต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ ง. เรยี งความเร่อื งหนง่ึ ควรมใี จความสาำ คญั เร่ืองเดยี ว ใจความเดยี ว 6. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้อง ก. ยอ่ หน้า หน้าหนงึ่ ควรมีเนื้อหาสาระเปน็ เรือ่ งเดียว ข. ยอ่ หนา้ แตล่ ะย่อหนา้ มเี น้ือหาเป็นอิสระจากกนั 30 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมััธยมัศึึกษาตอนตน้
ค. ในการเขียนเรยี งความ สามารถใช้ภาษาได้อยา่ งอสิ ระไมจ่ าำ เปน็ ตอ้ งคาำ นงึ ถงึ หลักการใชภ้ าษา ง. การขึน้ ตน้ คาำ นาำ ใหน้ ่าสนใจทำาไดโ้ ดยยกบทร้อยกรองมาประกอบ 7. ก่อนเขียนเรยี งความควรว่างโครงเรอื่ งก่อนหรือไม่ ก. ควรเป็นหลกั การที่ตอ้ งทำา ข. ควรเพราะเป็นการสรา้ งกรอบความคิดทท่ี ำาใหเ้ ขียนเรือ่ ง ไดส้ มั พนั ธ์เปน็ แนวทางเดยี วกัน ค. ไมค่ วร เพราะจะไดไ้ ม่มอี ะไรมาครอบงาำ ความคดิ ง. ไมค่ วร เพราะการเขียนเรยี งความควรเป็นเรอ่ื งท่ียดื หยุ่นได้ 8. ขอ้ ใดคือความหมายของสุภาษิต “ฝนท่ังใหเ้ ปน็ เข็ม” ก. การใช้กาำ ลังนอ้ ยๆ ในการทาำ งาน ข. ไม่ท้อตอ่ การทำางานทกุ ชนิด ค. การทาำ งานทีเ่ กิดอันตราย ง. ใชค้ วามพยายามเตม็ กาำ ลงั ไมท่ ้อถอย 9. ผู้เลือก “ฝนท่ังให้เปน็ เข็ม” ควรมอี าชีพใด ก. ช่างวาดเขียน ข. ตาำ รวจ ค. รับราชการ ง. พ่อคา้ 10. ความหมายของ “พายเรือทวนนำา้ ” คือขอ้ ใด ก. ทาำ งานด้วยความยากลาำ บาก ข. ทาำ งานคนละครง้ั ไมร่ ่วมมือกัน ค. ทาำ งานทเ่ี ตม็ กำาลังความสามารถ ง. ทำางานท่ีเสย่ี งอนั ตราย 11. เพลงพ้นื บา้ นทปี่ ระกอบการทาำ งาน คอื เพลงอะไร ก. เพลงเต้นกำาราำ เคียว ข. หมอลาำ ค. เพลงฉ่อย ง. เพลงเรือ 12. เพลงกลอ่ มเดก็ มจี ุดมุง่ หมายเพ่ืออะไร ก. อบรมส่ังสอน ข. แสดงความในใจของแมท่ ่ีมตี อ่ ลูก ค. ต้องการใหล้ ูกนอนหลับ ง. ถกู ทุกข้อ 13. การฟงั อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ คอื การฟังขอ้ ใด ก. การจดบันทกึ ไดท้ นั ข. ปราศจากอคติ ค. จับสาระสาำ คญั ได้ ง. มสี มาธใิ นการฟงั 14. ขอ้ ใดคือ การฟงั ทีท่ ำาให้ผฟู้ งั เกิดสตปิ ัญญา ก. ฟงั ดว้ ยความตั้งใจ ข. ฟงั ด้วยความอยากรู้ ค. ฟงั แล้ววเิ คราะหส์ าร ง. ฟังเพ่ือจบั ใจความสำาคัญ รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) 31 ระดับั มััธยมัศึึกษาตอนตน้
15. บุคคลข้อใด ขาดมารยาทในการฟังมากทส่ี ดุ ก. ฟงั ไปทานอาหารไปในขณะทผ่ี ูพ้ ดู พูด ข. ไปถึงสถานทฟ่ี งั หลงั จากท่ีผูพ้ ดู เริม่ พดู ไปแล้ว ค. จดบนั ทกึ ขณะฟงั โดยไมส่ นใจผ้พู ดู ง. คยุ กับเพ่ือนขณะที่ฟังผูอ้ ืน่ พูด 16. ความสามารถในการฟงั ขอ้ ใดสาำ คัญที่สุดสาำ หรบั ผูเ้ รยี น ก. จบั สาระสำาคัญของเร่ืองได้ ข. จดส่ิงทีฟ่ งั ไดค้ รบถว้ น ค. จับจุดหมายของผูพ้ ดู ได้ ง. ประเมนิ ค่าเรอ่ื งทฟ่ี งั ได้ 17. ข้อใดไมใ่ ชอ่ งค์ประกอบสาำ คญั ของการพดู ก. ผู้พูด ข. ผฟู้ งั ค. สาระทพ่ี ูด ง. อุปกรณป์ ระกอบการพูด 18. การพดู เพอ่ื หาเสียงเลือกตัง้ เปน็ การพดู ท่มี ีจุดหมายอย่างไร ก. โนม้ น้าวชกั จูงใจ ข. ใหข้ ้อมลู ความรู้ ค. สร้างจนิ ตนาการ ค. ใหค้ วามเพลิดเพลนิ 19. ข้อใดคอื การพดู แบบเปน็ ทางการ ก. พูดบรรยายใหค้ วามร ู้ ข. พูดกบั พก่ี ับนอ้ ง ค. พดู ในงานสงั สรรค์ ง. พูดกับเพอ่ื นรว่ มงาน 20. การพดู แสดงความคิดเหน็ คือการพูดในลกั ษณะใด ก. การพูดอวยพร ข. การพดู แนะนาำ ตัว ค. การพูดอภปิ ราย ง. พูดท้าทาย 32 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดับั มัธั ยมัศึึกษาตอนต้น
เฉลยแบบทดสอบ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน 1. ค 2. ค 3. ค 4. ค 5. ค 6. ก 7. ก 8. ข 9. ก 10. ก 11. ค 12. ค 13. ง 14. ง 15. ข 16. ง 17. ก 18. ข 19. ก 20. ง เฉลยแบบทดสอบท้ายบท เฉลยแบบทดสอบทา้ ยบทที่ 1 1. ง 2. ก 3. ก 4. ง 5. ข 6. ง 7. ก 8. ค 9. ค 10. ก เฉลยแบบทดสอบทา้ ยบทที่ 2 1. ง 2. ข 3. ค 4. ง 5. ข 6. ง 7. ค 8. ง 9. ค 10. ง เฉลยแบบทดสอบทา้ ยบทท่ี 3 1. ข 2. ค 3. ค 4. ข 5. ง 6. ข 7 ก 8. ง 9. ข 11. ค เฉลยแบบทดสอบทา้ ยบทที่ 4 1. ก 2. ง 3. ก 4. ค 5. ง 6. ข 7. ง 8 ค 9. ข 10. ง เฉลยแบบทดสอบท้ายบทที่ 5 1. ฒ 2. ฉ 3. ซ 4. จ 5. ก 6. ฎ 7. ฐ 8. ฑ 9. ณ 10. ข เฉลยแบบทดสอบทา้ ยบทท่ี 6 1. ข 2. ง 3. ข 4. ก 5. ค 6. ง 7. ค 8. ง 9. ง 10. ง เฉลยแบบทดสอบท้ายบทท่ี 7 1. ก 2. ง 3. ก 4. ข 5. ค 6. ค 7. ข 8. ข 9. ง 10. ข เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน 1. ก 2. ก 3. ค 4. ค 5. ง 6. ง 7. ข 8. ง 9. ก 10. ข 11. ก 12. ง 13. ค 14. ค 15. ค 16. ค 17. ค 18. ก 19. ก 20. ง รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 33 ระดัับมััธยมัศึกึ ษาตอนต้น
แบบบันทึกการพฒั นาทกั ษะวชิ าการเพอื่ ยกระดบั ผลสมั ฤทธ์ผิ ้เู รียนรายบคุ คล แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ รายวชิ า ภาษาไทย พท21001 *********************** ช่ือ - สกุล.......................................................................... รหสั นักศึกษา.............................................. กศน.ตาำ บล............................................ กศน.อาำ เภอ........................................... จงั หวดั ขอนแก่น จากการที่ผู้เรียนไดศ้ กึ ษาเรียนรู้จากแบบเรียน และสรุปเนื้อหาจากบทเรยี น ตามเอกสารเล่มน้แี ล้ว ผูเ้ รยี น สามารถทราบไดว้ ่าทาำ แบบทดสอบในบทเรียนต่าง ๆ ถกู ต้องจำานวนก่ขี อ้ โดยการบนั ทกึ ในแบบบันทกึ การพัฒนาทักษะ วชิ าการผเู้ รียนรายบคุ คล ดังนี้ ที่ แบบประเมนิ คะแนนเต็ม คะแนนท่ไี ด้ ผลการประเมนิ 1 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 20 2 แบบทดสอบหลังเรียน 20 เกณฑ์การประเมนิ ผลการพฒั นาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน เมอ่ื ทาำ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น และแบบทดสอบหลงั เรียน ซึ่งมแี บบทดสอบ 20 ข้อ ผ้เู รยี นสามารถทราบได้ว่า มีความร้อู ยูใ่ นระดับใด ดงั น้ี จาำ นวนข้อสอบท่ผี เู้ รียนทาำ ถกู ต้อง อยใู่ นระดบั หมายเหตุ 18 - 20 ขอ้ 16 - 17 ขอ้ ดมี าก 14 - 15 ขอ้ ดี 10 - 13 ข้อ ตำ่ากวา่ 10 ข้อ ปานกลาง พอใช้ ควรปรับปรุง หมายเหตุ : ผลจากการประเมนิ ผู้เรยี นสามารถนำาไปปรับปรุงตนเองเพื่อใหเ้ กิดการพัฒนาตอ่ ไป 34 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึกึ ษาตอนตน้
แบบบันทกึ การพัฒนาทกั ษะวชิ าการเพ่ือยกระดบั ผลสัมฤทธ์ผิ ู้เรียนรายบคุ คล แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ รายวชิ า ภาษาไทย พท2100 ช่ือ - สกุล.......................................................................... รหสั นักศึกษา.............................................. กศน.ตำาบล............................................ กศน.อาำ เภอ........................................... จังหวดั ขอนแก่น จากการท่ีผู้เรยี นไดศ้ กึ ษาเรียนรูจ้ ากแบบเรยี น และสรปุ เนอ้ื หาจากบทเรียน ตามเอกสารเล่มนแ้ี ลว้ ผเู้ รียน สามารถทราบได้วา่ ทาำ แบบทดสอบในบทเรยี นต่าง ๆ ถกู ต้องจำานวนกี่ข้อ โดยการบันทกึ ในแบบบนั ทึกการพฒั นาทักษะ วชิ าการผู้เรียนรายบุคคล ดังนี้ ท่ี แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน คะแนนเต็ม คะแนนท่ีได้ ผลการประเมนิ 1 บทท่ี 1 การฟัง การดู 10 2 บทท ี่ 2 การพดู 10 3 บทท่ ี 3 การอ่าน 10 4 บทท่ ี 4 การเขียน 10 5 บทที่ 5 หลักการใชภ้ าษา 10 6 บทที่ 6 วรรณคดี และวรรณกรรม 10 7 บทท ี่ 7 ภาษาไทยกบั ช่องทางการประกอบอาชพี 10 เกณฑ์การประเมินผลการพัฒนา แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น เมื่อทาำ แบบทดสอบท้ายบทเรียนในแตล่ ะบทเรยี น ซึง่ มแี บบทดสอบบทละ 10 ข้อ ผเู้ รยี นสามารถทราบไดว้ า่ มี ความรู้อย่ใู นระดบั ใด ดังนี้ จาำ นวนขอ้ สอบทีผ่ เู้ รยี นทาำ ถกู ต้อง อยู่ในระดับ หมายเหตุ 9 - 10 ขอ้ ดีมาก 8 ขอ้ ดี 7 ข้อ 6 ข้อ ปานกลาง ตำา่ กว่า 6 ข้อ พอใช้ ควรปรบั ปรุง หมายเหตุ : ผลจากการประเมนิ ผ้เู รยี นสามารถนาำ ไปปรบั ปรงุ ตนเองเพือ่ ใหเ้ กิดการพฒั นาต่อไป รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 35 ระดับั มััธยมัศึึกษาตอนต้น
36 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดับั มัธั ยมัศึึกษาตอนตน้
บรรณานุกรม การศกึ ษานอกโรงเรยี น, กระทรวงศึกษาธิการ, หมวดวิชาภาษาไทย (สองระดับ) ชุดท่ี 1 การรบั สารดว้ ย การอา่ น และการฟง ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ หลักสตู ร การศึกษานอกโรงเรียน กรงุ เทพฯ โรงพิมพค์ รุ ุสภา 2551 การศกึ ษานอกโรงเรียน กทม : ชดุ การเรียนทางไกล หมวดวชิ าภาษาไทย ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนต้น โรงพมิ พค์ ุรุสภา, 2556 กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน, กระทรวงศึกษาธกิ าร. แบบเรยี นวิชาภาษาไทย (วชิ าบงั คบั ) ตอนที่ 2 ภาษาไทย เพ่อื พฒั นาการส่งสารตามหลักสตู รการศึกษานอกโรงเรียน ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ พุทธศักราช 2530 กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น, กระทรวงศึกษาธกิ าร. หนงั สืออ่านเพิม่ เติม วชิ าภาษาไทย (วิชาบังคับ) ตอนที่ 1 ภาษาไทยเพ่อื พัฒนาการรบั สาร หลักสูตรการศึกษา นอกโรงเรยี น ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น พุทธศกั ราช 2530 กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. แบบเรียนภาษาไทย (วชิ าเลอื ก) ตอนที่ 2 ศลิ ปศกึ ษาตามหลักสตู รการศกึ ษานอกโรงเรียน ระดบั มธั ยมศึกษา ตอนต้น พุทธศกั ราช 2530 โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว 2540 กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. หมวดวิชาภาษาไทย (วชิ าบงั คับ) ชุดท่ี 3 การพดู ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ หลกั สตู รการศึกษานอกโรงเรียน พมิ พค์ รัง้ ท ่ี 2 พ.ศ.2539 กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน, กระทรวงศกึ ษาธิการ. ชุดวชิ าภาษาไทย หมวดวิชาภาษาไทย ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว 2546 ณัฐยา อาจมงั กร, ภาษาไทย ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ หลกั สูตรการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2544 สามเจริญพาณิชย ์ การพมิ พ ์ (กรุงเทพฯ) จาำ กดั 2558 ประพันธ ์ เรืองณรงค์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทยช่วงชน้ั ท่ี 3 ม.1 – 3 (เลม่ 1) กรงุ เทพฯ : ประสานมติ ร 2545. ประพนธ์ เรืองณรงค์ รศ. และคณะ ชุดปฏริ ปู การเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชว่ งช้ันท่ี 3 ม.1 - ม.3 วราภรณ์ บาำ รงุ กุล อา่ นถูก - สะกดถูก - คาำ - ความหมาย - ประโยค.กรงุ เทพฯ : ตน้ อ้อ 2536.252 หนา้ . ศกึ ษาธกิ าร, กระทรวง. หมวดวิชาภาษาไทย (วชิ าบังคับ) ชดุ ที่ ๕ ภาษาพาสนุก ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น หลกั สตู รการศกึ ษานอกโรงเรียน กรุงเทพฯ คุรสุ ภา 2538. สำานักงาน กศน. จงั หวัดปราจีนบุร.ี ชุดวิชาภาษาไทย.ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ โรงพมิ พ์ครุ ุสภา 2546 รายวิชิ าภาษาไทย (พท21001) 37 ระดับั มัธั ยมัศึกึ ษาตอนต้น
ท่ีปรึกษา คณะผจู้ ัดทาำ 1. นายถาวร พลดี ี ผอู้ ำานวยการสาำ นักงาน กศน.จังหวัดขอนแกน่ 2. พ.อ.อ.กฤชพล พรมลี รองผ้อู าำ นวยการสำานกั งาน กศน.จังหวดั ขอนแกน่ 3. ผู้อาำ นวยการ กศน.อาำ เภอ สังกดั สำานกั งาน กศน.จังหวดั ขอนแกน่ คณะทำางาน 1. นางสาววิภา ทาโบราณ ผูอ้ าำ นวยการ กศน.อำาเภอบา้ นแฮด 2. นางปารชิ าติ เพ็ชรแกน่ ผู้อาำ นวยการ กศน.อาำ เภอซาำ สงู 3. นางวิไลพร บูรณเ์ จริญ ครชู าำ นาญการพิเศษ กศน.อาำ เภอเมืองขอนแก่น 4. นางทพิ วรรณ แสงตะวัน ครชู าำ นาญการ กศน. อาำ เภอบ้านฝาง 5. นางสาวอมรรตั น์ ราชจันดี ครชู ำานาญการ กศน. อำาเภอบ้านไผ่ 6. นายถาวรเก้อื หนุน ครูผู้ชว่ ย กศน. อาำ เภอหนองเรือ 7. นางจนั ทิมา สาลาด ครผู ู้ชว่ ย กศน. อำาเภอบา้ นไผ่ 8. นางสาวกัญญาณัฐ บรรจง ครผู ชู้ ่วย กศน. อาำ เภอโนนศลิ า 9. นางอนงคพ์ ร ชาโสรส ครผู ้ชู ว่ ย กศน. อาำ เภอชมุ แพ 10. นางสาวสิวาลยั พลขอนแก่น ครูผูช้ ว่ ย กศน. อำาเภอสีชมพู 11. นายคมกฤษฏ ์ิ ไชยเตม็ ครผู ู้ชว่ ย กศน. อาำ เภอแวงน้อย 12. นางสาวประภัสสร ฤทธิรณ ครผู ชู้ ว่ ย กศน. อำาเภอพล 13. นายธีระวฒั น์ เหิมสารจอด ครูผู้ช่วย กศน. อาำ เภอเวียงเกา่ 14. นางสาวศริ นิ นั ท์ อนิ กกผง้ึ ครูผู้ช่วย กศน. อำาเภอนา้ำ พอง 15. นางสาวสดุ คนึง จดแตง ครูผู้ชว่ ย กศน. อำาเภอแวงน้อย 16. นางสาวกนกวรรณ สุเพ็งคำา ครผู ชู้ ว่ ย กศน. อาำ เภอซำาสงู 17. นายสมพร เพยี จันทร์ ครผู ู้ช่วย กศน. อาำ เภอชนบท 18. นางสาวฐภิ าภรณ ์ แสนจันแดง ครผู ชู้ ่วย กศน. อำาเภอภูเวียง บรรณาธิการ 1. พ.อ.อ.กฤชพล พรมลี รองผู้อำานวยการสาำ นกั งาน กศน.จังหวัดขอนแก่น 2. นางสาววภิ า ทาโบราณ ผ้อู ำานวยการ กศน.อาำ เภอบา้ นแฮด 3. นางปาริชาต ิ เพช็ รแก่น ผูอ้ าำ นวยการ กศน.อำาเภอซำาสูง 4. นางวไิ ลพร บรู ณ์เจริญ ครชู าำ นาญการพิเศษ 5. นางทิพวรรณ แสงตะวนั ครชู าำ นาญการ 6. นางสาวอมรรัตน ์ ราชจนั ดี ครูชำานาญการ พมิ พ์/รูปเลม่ 1. นายธนกฤต โคตรภกั ด ี นกั จดั การงานทัว่ ไป 2. นางวันเพ็ญ ผานาค นักวิชาการศกึ ษา 3. นางสาวยลดา พทุ ธสอน นกั วิเคราะหน์ โยบายและแผน 4 นายธีรวัฒน ์ ถมหนวด นกั วชิ าการศกึ ษา 38 รายวิิชาภาษาไทย (พท21001) ระดัับมัธั ยมัศึึกษาตอนตน้
เอกสารพฒั นาทักษะวิชาการ เพือ่ ยกระดับผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ พว21001 หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สำานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวัดขอนแกน่ สำานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สำานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คาำ นาำ เอกสารพัฒนาทักษะวิชาการเพ่ือยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนรายบุคคล เล่มนี้ เป็นเอกสารท่ีจัดทำาข้ึน โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง ให้เกิดการพัฒนาทักษะทางวิชาการ และยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นในการเรยี นรตู้ ามหลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เปน็ การพฒั นาตอ่ เนอ่ื งจาก เอกสารพฒั นาทกั ษะวชิ าการเรยี นรรู้ ายบคุ คล มรี ายละเอยี ดสรปุ เนอื้ หาตามรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ พว21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนตน้ แบบทดสอบหลงั เรยี นและแบบบนั ทกึ การพฒั นาทกั ษะวชิ าการผเู้ รยี นรายบคุ คล เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดป้ ระเมนิ และพฒั นา ตนเองอย่างต่อเนื่องให้มีพ้ืนฐานความรู้เพียงพอกับการศึกษาตามระดับและมีความรู้เพิ่มเติมในการนำาไปพัฒนาทักษะทาง วชิ าการให้มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นทีส่ งู ขนึ้ คณะผู้จัดทำา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา ในการศึกษาเรียนรู้ตามหลักสูตร การศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 และขอขอบคณุ ทุกทา่ นที่มสี ่วนรว่ มในการทาำ เอกสารเล่ม น้ใี ห้สาำ เรจ็ ลุล่วงด้วยดี สำานักงาน กศน.จังหวดั ขอนแก่น
สารบญั คาำ นำา หนา้ สารบัญ 1 คำาชี้แจงการใช้เอกสารพฒั นาทักษะวิชาการเพ่ือยกระดับผลสมั ฤทธ์ิผู้เรยี นรายบุคคล 1 โครงสรา้ งการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง 1 ขอบขา่ ยเนอื้ หา 1 แบบทดสอบก่อนเรียน 1 บทที่ 1 ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1 สรปุ เน้อื หา 3 เรื่องท่ี 1 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3 เรอื่ งท่ี 2 เทคโนโลยี 3 เร่ืองที่ 3 วสั ดแุ ละอุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์ 3 - แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน บทที่ 1 3 บทท่ี 2 โครงงานวิทยาศาสตร์ 4 สรปุ เน้ือหา 5 เร่ืองท่ี 1 ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ 5 เรอ่ื งที่ 2 ขน้ั ตอนการทาำ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5 เรือ่ งท่ี 3 การนำาเสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5 - แบบทดสอบท้ายบทเรยี น บทท่ี 2 5 บทที่ 3 เซลล์ 6 สรุปเนื้อหา 7 เรือ่ งที่ 1 ลกั ษณะรปู ร่างของเซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ 7 เรอื่ งที่ 2 องค์ประกอบโครงสร้างและหนา้ ท่ีของเซลล์พืชและเซลล์สตั ว์ 7 เรอ่ื งท่ี 3 กระบวนการท่ีสารผา่ นเซลล์ 7 - แบบทดสอบท้ายบทเรยี น บทที่ 3 8 บทท่ี 4 กระบวนการดำารงชวี ติ ของพืชและสตั ว์ 9 สรปุ เนือ้ หา 9 เร่ืองท่ี 1 การดาำ รงชวี ิตของพชื 9 เร่อื งท่ี 2 การดำารงชวี ิตของสตั ว์ 9 - แบบทดสอบท้ายบทเรยี น บทที่ 4 9 บทท่ี 5 ระบบนเิ วศ 9 สรปุ เน้ือหา 9 เรื่องท่ี 1 ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมชี ีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ 10 เร่ืองที่ 2 การถ่ายทอดพลงั งาน 11 เร่ืองที่ 3 สายใยอาหาร เรือ่ งท่ี 4 วฎั จักรของนา้ำ เร่ืองท่ี 5 วฎั จักรคารบ์ อน - แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน บทที่ 5 บทที่ 6 โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
สารบัญ (ตอ่ ) หน้า 11 สรปุ เนือ้ หา 11 เรอ่ื งท่ี 1 โลก 11 เรือ่ งที่ 2 บรรยากาศ 11 เรื่องท่ี 3 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 11 เรอ่ื งท่ี 4 ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดลอ้ ม 12 - แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น บทท่ี 6 13 13 บทท่ี 7 สารและการจำาแนกสาร 13 สรุปเนือ้ หา 13 เรื่องท่ี 1 สมบตั ิของสาร และเกณฑ์ใ์ นการจาำ แนกสาร 14 เร่อื งท่ี 2 สมบัตขิ องธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม 15 แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น บทท่ี 7 15 15 บทที่ 8 ธาตุและสารประกอบ 15 สรุปเนอื้ หา 15 เรื่องท่ี 1 ความหมายและสมบัติของธาตกุ มั มนั ตรงั สี 15 เรอื่ งท่ี 2 สมบตั ิของโลหะ อโลหะ แลละะกกึงึ่งโโลลหหะะ 16 เรื่องที่ 3 ธาตุกมั มันตรงั สี 17 เรื่องที่ 4 สารประกอบ 17 แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น บทท่ี 8 17 17 บทท่ี 9 สารละลาย 18 สรปุ เนอื้ หา 19 เร่ืองท่ี 1 สารละลาย 19 เรอื่ งท่ี 2 กรด - เบส 19 แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน บทที่ 9 19 19 บทท่ี 10 สารและผลิตภัณฑ์ใ์ นชีวติ 19 สรปุ เนอื้ หา 19 เรื่องที่ 1 สารและคณุ สมบัติของสาร 20 เรื่องที่ 2 สารสังเคราะห์ 21 เร่อื งท่ี 3 สารและผลติ ภณั ฑ์์ในชวี ติ 21 เรอ่ื งที่ 4 การเลือกใชส้ ารและผลติ ภัณฑ์์ในชีวิต 21 เรื่องที่ 5 ผลกระทบทเ่ี กิดจากการใชส้ ารและผลิตภณั ฑ์์ต่อชวี ิตและสิ่งแวดลอ้ ม 21 แบบทดสอบท้ายบทเรยี น บทที่ 10 22 23 บทที่ 11 แรงและการใชป้ ระโยชน์ 23 สรุปเนอื้ หา 23 เรื่องที่ 1 แรง 23 เร่ืองท่ี 2 โมเมนต์ 23 แบบทดสอบท้ายบทเรยี น บทที่ 11 บทที่ 12 งานและพลงั งาน สรุปเนือ้ หา เรอ่ื งที่ 1 ความหมายของงานและพลงั งาน เร่ืองท่ี 2 รูปของพลังงานประเภทตา่ ง ๆ เร่ืองที่ 3 ไฟฟ้า
สารบญั (ต่อ) หน้า 23 เรื่องที่ 4 แสง 24 แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น บทท่ี 12 25 25 บทท่ี 13 ดวงดาวกับชีวิต 25 25 สรุปเนือ้ หา 25 เรือ่ งท่ี 1 กลมุ่ ดาวจกั รราศี 25 เรอ่ื งที่ 2 การสงั เกตตาำ แหน่งของดาวฤกษ์ 25 เรอื่ งที่ 3 วิธกี ารหาดาวเหนือ 26 เรอ่ื งท่ี 4 แผนทดี่ าว 27 เรื่องที่ 5 การใชป้ ระโยชน์จากกลมุ่ ดาวฤกษ์ 27 แบบทดสอบท้ายบทเรียน บทที่ 13 27 27 บทท่ี 14 อาชีพช่างไฟฟ้า 27 สรปุ เนอื้ หา 27 เรอ่ื งที่ 1 ประเภทของไฟฟ้า 27 เรอื่ งที่ 2 วสั ดุอปุ กรณเ์ ครอ่ื งมอื ชา่ งไฟฟ้า 27 เร่ืองท่ี 3 วสั ดอุ ุปกรณท์ ใี่ ช้ในวงจรไฟฟ้า 27 เรอื่ งท่ี 4 การต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย 27 เรอ่ื งที่ 5 กฎของโอหม์ 27 เร่ืองท่ี 6 การเดินสายไฟฟา้ อย่างง่าย 27 เร่อื งที่ 7 การใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ อยา่ งง่าย 27 เรื่องท่ี 8 ความปลอดภยั และอบุ ตั ิเหตุจากอาชีพช่างไฟฟา้ 28 เรื่องที่ 9 การบริหารจัดการและการบริการ 30 เรอ่ื งที่ 10 โครงงานวิทยาศาสตร์สอู่ าชีพ 31 เรือ่ งท่ี 11 คำาศพั ทท์ างไฟฟ้า 31 แบบทดสอบท้ายบทเรียน บทท่ี 14 31 32 แบบทดสอบหลงั เรียน 32 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 32 เฉลยแบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น 33 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น 33 แบบบันทึกการพฒั นาทกั ษะวิชาการเพื่อยกระดับผลสมั ฤทธผ์ิ ้เู รยี นรายบคุ คล 33 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน 34 เกณฑ์์การประเมนิ ผลการพัฒนา การทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน 36 แบบบนั ทึกการพัฒนาทักษะวชิ าการเพ่อื ยกระดับผลสัมฤทธ์ิผู้เรยี นรายบุคคล แบบทดสอบท้ายบทเรียน เกณฑ์ก์ ารประเมนิ ผลการพัฒนา การทดสอบท้ายบทเรยี น บรรณานุกรม คณะผูจ้ ดั ทำา
คาำ ชแ้ี จงการใช้เอกสารพัฒนาทักษะวิชาการผู้เรียนรายบคุ คล วิชา วิทยาศาสตร์ พว21001 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น เอกสารพัฒนาทักษะวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธ์ิผู้เรียนรายบุคคล ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รายวิชา วิทยาศาสตร์ พค21001 เล่มนี้ จัดทำาข้ึนเพื่อพัฒนาผู้เรียน ให้มีความรู้ความสามารถทางด้านวิชาการในรายวิชาบังคับ ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ในการศึกษาเอกสารเล่มนีผ้ ูเ้ รียนควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1. ผ้เู รยี นสาำ รวจรายวิชาทต่ี นเองลงทะเบียนเรียนในรายวชิ า วิทยาศาสตร์ พว21001 2. ผูเ้ รียนศึกษารายละเอียดว่าตอ้ งเรียนรเู้ น้ือหาในเรอื่ งใดบ้างในรายวชิ านี้ 3. ทาำ แบบทดสอบกอ่ นเรียน เพ่ือทราบพืน้ ฐานความรเู้ ดมิ ของผู้เรยี น โดยตรวจสอบคำาตอบจากเฉลย แบบทดสอบกอ่ นเรยี นท้ายเล่ม 4. ศึกษาเนือ้ หาสาระในแต่ละบทเรยี นให้เขา้ ใจ และทำาแบบทดสอบท้ายบทเรยี น ผู้เรยี นสามารถตรวจ สอบคาำ ตอบไดจ้ ากเฉลยทา้ ยเล่ม 5. เม่อื ศึกษาเน้ือหาสาระครบทกุ บทเรยี นแล้ว ให้ผเู้ รียนทำาแบบทดสอบหลังเรียนและตรวจคำาตอบจาก เฉลยทา้ ยเล่ม ผู้เรยี นควรทาำ แบบทดสอบหลงั เรียนใหไ้ ดค้ ะแนนมากกว่าแบบทดสอบก่อนเรยี น 6. ใหผ้ เู้ รียนบันทกึ คะแนนผลการทดสอบรายวิชา วทิ ยาศาสตร์ พว21001 ในแบบบันทกึ การพฒั นา ทกั ษะวชิ าการผเู้ รียนรายบุคคล (อยู่ทา้ ยเลม่ ) เพ่ือเปน็ แนวทางในการพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนือ่ ง 7. ใหผ้ เู้ รียนศึกษาเพ่ิมเติมได้จากแบบเรยี นรายวิชา วทิ ยาศาสตร์ พว21001 ระดับมธั ยมศกึ ษา ตาม หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 และสอ่ื ออนไลน์อนื่ ๆ
โครงสร้างการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง สาระสาำ คญั 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. ส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เร่ือง เซลล์ กระบวนการดำารงชีวิตของพืชและสัตว์ ระบบนิเวศ โลก บรรยากาศ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม 3. สารเพอื่ ชวี ติ เรือ่ ง การจำาแนกสาร ธาตุและสารประกอบ สารละลาย กรด เบส สารและผลิตภัณฑ์ใ์ นชีวิต 4. แรงและพลงั งานเพื่อชวี ิต เร่อื ง แรงและการใชป้ ระโยชน์ของแรงงานและพลังงาน 5. ดาราศาสตรเ์ พอื่ ชวี ิต เรือ่ ง ดวงดาวกับชวี ติ ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวัง 1. ใชค้ วามรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เจตคติ ทางวทิ ยาศาสตร์ และทาำ โครงงานวิทยาศาสตร์ได้ 2. อธิบายเกย่ี วกับเซลล์ กระบวนการดำารงชีวิตของพืช และระบบต่าง ๆ ของสตั ว์ 3. อธิบายเกยี่ วกับความสัมพันธ์ระหว่างสงิ มีชวี ติ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลงั งาน การแกป้ ญั หา การดูแลรกั ษา และการอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มของทอ้ งถน่ิ และประเทศ 4. อธบิ ายเกย่ี วกบั โลก และบรรยากาศ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ การกระทาำ ของมนษุ ยท์ ม่ี ผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลง ของโลกในปจั จบุ ัน การป้องกันภยั ทีเกดิ จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 5. อธิบายเก่ียวกบั สมบัตทิ างกายภาพและทางเคมขี องสาร การจาำ แนกสาร กรด-เบส ธาตุสารประกอบ สารละลาย ของผสม การใช้สารและผลติ ภณั ฑ์์ ในชวี ติ ประจำาวนั ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและปลอดภยั ตอ่ ชีวิต 6. อธบิ ายเก่ยี วกบั แรง และการใช้ประโยชนข์ องแรง 7. อธบิ ายเกย่ี วกับพลังงานไฟฟ้า การต่อวงจรไฟฟา้ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าในชีวติ ประจาำ วัน แสงและสมบัติของแสง เลนส์ ประโยชน์และโทษจากแสง การเปลยี่ นรูปพลังงาน พลังงานความร้อนและแหลง่ กาำ เนิด การนาำ พลังงานไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจำาวนั และการอนุรักษ์พลงั งานได้ 8. อธิบายเก่ยี วกับดวงดาว และการใช้ประโยชน์ 9. อธบิ าย ออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏบิ ัติการเรือ่ งไฟฟา้ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภัย คดิ วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบข้อดี ขอ้ เสีย ของการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม แบบขนาน แบบผสม ประยุกต์และเลือกใชค้ วามรู้ และทกั ษะ อาชพี ช่างไฟฟ้า ใหเ้ หมาะสมกับด้านบริหารจัดการและการบรกิ าร เพอ่ื นาำ ไปสกู่ ารจัดทาำ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขอบเขตเนื้อหา บทท่ี 1 ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เร่อื งที่ 1 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื งที่ 2 เทคโนโลยี เรอื่ งที่ 3 วสั ดแุ ละอปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์ บทท่ี 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ งที่ 1 ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องท่ี 2 ขน้ั ตอนการทำาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื งที่ 3 การนำาเสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์ บทท่ี 3 เซลล์
เร่อื งท่ี 1 ลกั ษณะรปู รา่ งของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ เรอ่ื งที่ 2 องค์ประกอบโครงสรา้ งและหน้าที่ของเซลลพ์ ืชและเซลล์สัตว์ เรอื่ งที่ 3 กระบวนการท่สี ารผา่ นเซลล์ บทที่ 4 กระบวนการดำารงชีวิตของพืชและสัตว์ เรอ่ื งที่ 1 การดำารงชวี ิตของพชื เร่ืองท่ี 2 การดาำ รงชีวติ ของสัตว์ บทท่ี 5 ระบบนิเวศ เรอื่ งที่ 1 ความสัมพนั ธข์ องสิงมชี วี ิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ เรื่องที่ 2 การถ่ายทอดพลงั งาน เรื่องท่ี 3 สายใยอาหาร เรอ่ื งที่ 4 วัฎจกั รของนาำ้ เรื่องท่ี 5 วฎั จักรคารบ์ อน บทที่ 6 โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ เรอ่ื งที่ 1 โลก เรื่องที่ 2 บรรยากาศ เร่ืองที่ 3 ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ เรอ่ื งท่ี 4 ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ แวดล้อม บทท่ี 7 สารและการจำาแนกสาร เร่ืองท่ี 1 สมบัตขิ องสาร และเกณฑ์ใ์ นการจาำ แนกสาร เรือ่ งท่ี 2 สมบตั ิของธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม ขอบเขตเน้ือหา (ตอ่ ) บทที่ 8 ธาตุและสารประกอบ เรื่องที่ 1 ความหมายและสมบัติของธาตุกมั มนั ตรงั สี เรอ่ื งท่ี 2 สมบัตขิ องโลหะ อโลหะ และกงึ โลหะ เรือ่ งที่ 3 ธาตุกัมมนั ตรงั สี เรอ่ื งที่ 4 สารประกอบ บทที่ 9 สารละลาย เรอ่ื งที่ 1 สารละลาย เร่ืองท่ี 2 กรด - เบส บทที่ 10 สารและผลิตภัณฑ์ใ์ นชีวติ เรอื่ งท่ี 1 สารและคณุ สมบตั ิของสาร เรื่องที่ 2 สารสังเคราะห์ เรื่องที่ 3 สารและผลิตภัณฑ์ใ์ นชวี ิต เร่อื งท่ี 4 การเลอื กใช้สารและผลติ ภณั ฑ์ใ์ นชีวิต เร่ืองที่ 5 ผลกระทบทเ่ี กิดจากการใชส้ ารและผลติ ภณั ฑ์ต์ ่อชีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม บทท่ี 11 แรงและการใชป้ ระโยชน์ เรื่องที่ 1 แรง เรอื่ งท่ี 2 โมเมนต์
บทที่ 12 งานและพลงั งาน เรอ่ื งที่ 1 ความหมายของงานและพลังงาน เร่ืองท่ี 2 รูปของพลังงานประเภทตา่ ง ๆ เร่ืองที่ 3 ไฟฟ้า เรื่องที่ 4 แสง บทที่ 13 ดวงดาวกบั ชวี ิต เร่ืองที่ 1 กลมุ่ ดาวจกั รราศี เรื่องท่ี 2 การสังเกตตาำ แหนง่ ของดาวฤกษ์ เรื่องที่ 3 วิธกี ารหาดาวเหนือ เร่ืองที่ 4 แผนทดี่ าว เรื่องที่ 5 การใช้ประโยชน์จากกลุม่ ดาวฤกษ์ ขอบเขตเนื้อหา (ตอ่ ) บทท่ี 14 อาชีพช่างไฟฟา้ เรื่องท่ี 1 ประเภทของไฟฟา้ เรื่องท่ี 2 วสั ดอุ ุปกรณ์เคร่ืองมอื ชา่ งไฟฟา้ เร่ืองที่ 3 วัสดอุ ปุ กรณ์ที่ใชใ้ นวงจรไฟฟา้ เร่ืองท่ี 4 การต่อวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย เรื่องที่ 5 กฎของโอหม์ เร่อื งที่ 6 การเดินสายไฟฟ้าอย่างง่าย เรื่องท่ี 7 การใชเ้ คร่ืองใช้ไฟฟา้ อย่างง่าย เร่ืองท่ี 8 ความปลอดภยั และอุบตั ิเหตจุ ากอาชพี ชา่ งไฟฟ้า เรื่องท่ี 9 การบริหารจดั การและการบรกิ าร เรื่องท่ี 10 โครงงานวทิ ยาศาสตรส์ ่อู าชีพ เรื่องที่ 11 คาำ ศัพทท์ างไฟฟ้า
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น คำาชแี้ จง จงเลอื กคาำ ตอบทถี่ ูกตอ้ งทีส่ ุดเพยี งคำาตอบเดียว 1.แมวตวั หนง่ึ กนิ นมกับปลาย่างและข้าวสวย ตัวที่ 2 กินปลาทกู บั ขา้ วสวย 4 สปั ดาหต์ ่อมาปรากฏวา่ แมวทง้ั สอง ตัวมีนำ้าหนักเพิ่มขนึ้ เท่ากัน ปัญหาการทดลองคือข้อใด ก. ปลาอะไรทแี่ มวชอบกิน ข. แมวชอบกินปลาทูหรอื ปลาย่าง ค. ชนิดของอาหารมีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตหรือไม่ ง. ปลาททู าำ ใหแ้ มวสองตวั นาำ้ หนกั เพม่ิ ขึ้นเทา่ กนั 2. จากปัญหา “ผงซกั ฟอกมผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของผักกระเฉดหรือไม่ “สมมติฐาน กอ่ นการทดลองคอื ข้อใด ก. ถา้ ใช้ผงซกั ฟอก ฟอกเทลงในนา้ำ ดังนนั้ ผักกระเฉดจะเจรญิ เตบิ โตดี ข. พชื จะเจริญเติบโตดเี มอื่ ใสผ่ งซกั ฟอก ค. ผงซกั ฟอกมีสารทาำ ให้ผกั กระเฉดเจริญเตบิ โตดี ง. ผกั กระเฉดจะเจรญิ เตบิ โตหรอื ไมถ่ า้ ขาดผงซักฟอก 3. โครงงานวิทยาศาสตรค์ อื อะไร ก. แบบรา่ งทกั ษะในวิชาวิทยาศาสตร์ ข. การวจิ ัยเล็ก ๆ เร่ืองใดเรื่องหนึ่งในวิชาวทิ ยาศาสตร์ ค. ธรรมชาตขิ องวิชาวิทยาศาสตร์ ง. ทฤษฎี 4. โครงงานวทิ ยาศาสตร์มกี ปี่ ระเภท ก. 4 ประเภท ข. 5 ประเภท ค. 6 ประเภท ง. 7 ประเภท 5. นกั วทิ ยาศาสตรท์ ่านใดเรยี กเซลล์เป็นคนแรก ก. นิวตนั ข. อริสโตเติล ค. โรเบิรต์ ฮุคุ ง. กาลเิ ลโอ 6. เซลล์พชื กบั เซลล์สัตว์ มีความแตกตา่ งกันอย่างไร ก. เซลล์พืชมีผนงั เซลล์ เซลล์สัตวไ์ ม่มีผนงั เซลล์ ข. เซลลพ์ ชื ไมม่ ีผนังเซลล์ เซลล์สัตวม์ ผี นงั เซลล์ ค. เซลล์พืชมเี ยือหุ้มเซลล์ เซลลส์ ัตว์ไม่มีเยือหมุ้ เซลล์ ง. เซลล์พชื ไม่มเี ยอื หุ้มเซลล์ เซลล์สัตว์มเี ยอื หมุ้ เซลล์ 7. เปรยี บผนงั เซลล์เป็นส่วนใดของรา่ งกาย ก. ผวิ หนงั ข. ช้ันไขมัน ค. เสน้ เลอื ด ง. หัวใจ 8. ระบบนเิ วศหมายถงึ อะไร ก. ความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มชี วี ิตต่าง ๆ กบั ส่ิงแวดลอ้ มของสิง่ มชี ีวติ และมีการถ่ายทอดไปตามลาำ ดับ ข. การกินกันเป็นทอดๆ เร่ิมต้ังแต่ผู้ผลิต ผูบ้ ริโภคพืช ผบู้ ริโภคสัตวต์ ามลาำ ดบั ค. ลกั ษณะการกนิ กันซับซ้อนประกอบดว้ ยห่วงโซอ่ าหารมากมาย ง. พลงั งานจากแสงอาทติ ย์
9.โครงสร้างของโลกแบง่ เป็นกีช่ ั้น ก. 2 ชั้น ข. 3 ชนั้ ค. 4 ชัน้ ง. 5 ช้ัน 10. สว่ นใดทีอ่ ยชู่ ัน้ นอกสุดของโลก ก. เปลือกโลก ข. แกน่ โลก ค. แมนเทิล ง. ข้ัวโลก 11. หน่วยความตา้ นทางทางไฟฟ้าคอื ข้อใด ก. โวลต์ ข. โอห์ม ค. เฮุิร์ตซ์ ง. แอมแปร 12. ทองเหลืองจดั เปน็ สารประเภทใด ก. ธาตุ ข. สารประกอบ ค. สารละลาย ง. สารเน้อื ผสม 13. อนุภาคที่เล็กทีส่ ุดของสสารเรียกวา่ อะไร ก. ธาตุ ข. อะตอม ค.โมเลกุล ง.สารประกอบ 14. ข้อใดถกู ต้อง ก. ในภาวะปกติ ธาตุมไี ดท้ ง้ั 3 สถานะ ข. ธาตุสามารถแยกเปน็ องคป์ ระกอบยอ่ ยไดอ้ ีก ค. ธาตุอาจเปน็ สารเนอ้ื เดียวกัน หรอื สารเนอื้ ผสมกไ็ ด้ ง. ธาตสุ องชนดิ ขนึ้ ไปมาผสมกัน ต้องได้สารประกอบเสมอ 15. ข้อใดกล่าวถึงสารละลายไดถ้ กู ต้อง ก. สารท่ีมีเน้อื สารเหมือนกนั ตลอดทุกส่วน ข. สารที่มีเนือ้ สารมองดใู สไมม่ สี ีกลิน่ และรส ค. สารทไี่ มบ่ รสิ ุทธเิ กิดจากสารบรสิ ทุ ธติ ้ังแต่ 2 ชนดิ ผสมกนั ง. สารที่มจี ดุ หลอมเหลวต่ำากว่า 100 องศาเซลเซยี ส 16. ในถ้วยกระเบอื้ งใบหนึ่ง มขี องผสมคลุกเคล้ากนั ประกอบด้วย เกลอื และผงถ่าน วิธกี ารในข้อใดเปน็ ขัน้ ตอนใน การแยกสารเพอื่ ให้ไดส้ ารแตล่ ะชนิดทบ่ี รสิ ุทธ์ิ ก. การละลาย การกรอง การระเหยแห้ง ข. กกาารรหร่อยนบิ อกอากรตกกาตระรกะอเหนดิ กกาา้รรลละะลลาายย ค. ง. การกรอง การละลาย การกลั่น
17. การเกิดภาวะโลกรอ้ นทาำ ให้น้าำ แข็งบรเิ วณขวั้ โลกเกิดการหลอมเหลว เปน็ การเปลย่ี นแปลงของสารในขอ้ ใด ก. ตกตะกอน ข. เกดิ สารใหม่ ค. เปล่ียนสถานะ ง. เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี 18. ข้อใดเป็นการต้านแรงดึงดดู ของโลก ก. ปนื ขึน้ เขา ข. เดินลงบนั ได ค. ก้อนหินคอ่ ย ๆ จมลงในนา้ำ ง. ลกู บอลกลิ้งลงเนิน 19. พลงั งานในขอ้ ใด จดั เป็นพลงั งานสะอาด ก. พลังงานจากถา่ นหนิ ข. พลังงานแสงอาทติ ย์ ค. พลงั งานจากนำ้ามนั เชื้อเพลงิ ง. พลงั งานชวี ภาพ 20. เพระเหตใุ ดเราจึงเห็นดวงอาทติ ย์เคล่อื นท่ีผา่ นกลุ่มดาวจักรราศี ก. ดวงอาทิตยโ์ คจรรอบโลก ข. โลกโจจรรอบดวงอาทติ ย์ ค. โลกหมนุ รอบตัวเอง ง. กลุ่มดาวจกั รราศโี คจรผ่านดวงอาทติ ย์
บทท่ี 1 ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สรปุ เนือ้ หา เรือ่ งที่ 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเร่ืองของการเรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สำารวจตรวจสอบ ทดลองเกยี่ วกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาำ ผลมาจดั เป็นระบบหลกั การ แนวคิดและทฤษฎี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การดาำ เนินการเรอ่ื งใดเรืองหนง่ึ จะตอ้ งมีการกาำ หนดขน้ั ตอน อย่างเป็นลาำ ดับ ตัง้ แตต่ ้นจนแล้วเสรจ็ ตามวัตถุ ประสงค์ที่กำาหนด กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จงึ เปน็ แนวทางการดาำ เนนิ การโดยใช้ทกั ษะวิทยาศาสตร์ ใชใ้ นการจัดการซึ่ง มีลำาดับขั้นตอน ดงั น้ี 1. การกำาหนดปญั หา 2. การตั้งสมมติฐาน 3. การทดลองและรวบรวมขอ้ มูล 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล 5. การสรุปผล เร่ืองท่ี 2 เทคโนโลยี เทคโนโลยี (Technology) หมายถงึ ความรู้ วิชาการรวมกับความรู้วธิ ีการและความชาำ นาญที่สามารถนำาปฏบิ ตั ใิ ห้ เกิดประโยชนส์ งู สดุ สนองความต้องการของมนษุ ยเ์ ป็นสิ่งที่มนุษย์พฒั นาขนึ้ เพอ่ื ชว่ ยในการทาำ งานหรอื แก้ปัญหาต่าง ๆ เรอ่ื งท่ี 3 วัสดุและอปุ กรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ อปุ กรณท์ างวทิ ยาศาสตรค์ อื เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ทั้งภายในและภายนอกหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารเพอื่ ใชท้ ดลองและหาคาำ ตอบตา่ งๆ ทางวิทยาศาสตร์ เช่น บกี เกอร์ หลอดทดสอบ ไพเพท บวิ เรต กระบอกตวง แท่งแก้วคนสาร ซึง่ อุปกรณ์เหล่านผ้ี ลิตขนึ้ จากวสั ดุ ท่ีเป็นแก้วเน่ืองจากป้องกนั การทาำ ปฏกิ ริ ยิ ากับสารเคมี แบบทดสอบท้ายบทเรียน บทที่ 1 คำาชแี้ จง จงเลอื กคาำ ตอบที่ถูกตอ้ งทส่ี ุดเพียงคาำ ตอบเดียว 1.แมวตวั หน่ึงกนิ นมกับปลาย่างและข้าวสวย ตัวที่ 2 กนิ ปลาทกู ับขา้ วสวย 4 สปั ดาหต์ ่อมาปรากฏว่า แมวท้ังสองตัวมีนำา้ หนัก เพมิ่ ข้ึนเทา่ กัน ปัญหาการทดลองคือข้อใด ก. ปลาอะไรที่แมวชอบกนิ ข. แมวชอบกนิ ปลาทหู รอื ปลายา่ ง ค. ชนิดของอาหารมีผลตอ่ การเจริญเตบิ โตหรือไม่ ง. ปลาททู าำ ใหแ้ มวสองตัวน้าำ หนกั เพ่มิ ขึ้นเท่ากัน 2. จากปัญหา “ผงซักฟอกมีผลตอ่ การเจริญเตบิ โตของผกั กระเฉดหรือไม่ “สมมตฐิ าน กอ่ นการทดลองคือขอ้ ใด ก. ถ้าใช้ผงซกั ฟอก ฟอกเทลงในนา้ำ ดังนนั้ ผักกระเฉดจะเจริญเตบิ โตดี ข. พชื จะเจรญิ เติบโตดีเมอื่ ใส่ผงซักฟอก ค. ผงซักฟอกมีสารทำาใหผ้ ักกระเฉดเจรญิ เติบโตดี ง. ผักกระเฉดจะเจรญิ เตบิ โตหรอื ไมถ่ า้ ขาดผงซกั ฟอก รายวิชิ า วิิทยาศาสตร์ (พวิ21001) 1 ระดับั มัธั ยมัศกึ ษาตอนต้น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 674
Pages: