Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นฉบับสมบูรณ์

รายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นฉบับสมบูรณ์

Published by นายศตวรรษ จัตุมาศ, 2022-05-16 09:32:38

Description: รายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น

Search

Read the Text Version

314 ภาพที่ 285 ชอ้ นสนัน่ 7. ช้อนขาคีม ช้อนขาคีม เป็นอุปกรณ์หาปลาในแม่น้าน่านมีลักษณะคล้ายกับช้อน รบั ประทานอาหารจะใชไ้ ม้ไผ่เลยี้ ง 2 ลา้ มีความยาวประมาณ 3 เมตร มัดติดกันอยู่ในลักษณะคล้ายกับ คมหนีบสิ่งของจะมีวิธีการน้าไปช้อนบริเวณที่มีต้นหญ้า มีก่ิงไม้ หรือมีต้นพงเหมาะส้าหรับเป็นท่ีหลบ ซ่อนของปลาเลก็ บนผวิ นา้ เช่น ปลาสร้อย ปลาสังกะวาด ภาพท่ี 286 ช้อนขาคีม

315 8. เบ็ดระแวง เบ็ดระแวงเป็นอุปกรณ์หาปลาท่ีคนหัวดงใช้หาปลาในแม่น้าน่านมีลักษณะยาวประมาณ 100-200 เมตร ต่อ 1 เส้น จะใช้เบ็ดที่มีขนาดใหญ่มัดเชือกมีระยะห่างระหว่างกันประมาณ 6–8 นิ้ว ใช้ดกั ปลาท่ีมีขนาดใหญเ่ ช่นปลากด ปลาเคา้ ปลาอีทุก ปลาเบี้ยว ปลาแดง ปลารึง เป็นต้น เบ็ดชนิดนี้ ไม่ต้องใช้เหย่ือล่อ เพียงแค่วางเบ็ดเป็นทางยาวบริเวณริมตลิ่งโดยจะให้ปลาดังกล่าวว่ายเข้าชนเบ็ด ข้อเสียของอุปกรณ์ชนดิ น้ีจะไมส่ ามารถดักปลาท่ีมีเกล็ดไดเ้ พราะเบด็ จะไม่สามารถเกี่ยวตวั ปลาได้ ภาพท่ี 287 เบ็ดราว 9. เบด็ ราวขา้ วลอย เบด็ ราวข้าวลอย เปน็ อปุ กรณ์หาปลาในแม่น้าน่านจะมีลักษณะคล้ายเก็บเบ็ดระแวง 1 เส้น จะมีความยาวประมาณ 300-400 เมตรระยะห่างระหว่างเบ็ดประมาณ 1-2 วาหรือ 2-4 เมตรแต่ ความต่างของอปุ กรณช์ นดิ น้ีคือต้องใช้เหยื่อเป็นปลาที่มีขนาดเล็กเช่น ไส้เดือน แมงกะช้อนค่ัว สาเหตุ ท่ีเรียกว่าเบ็ดราวข้าวลอยก็เพราะว่าชาวประมงจะใช้วิธีขึงเบ็ดชนิดนี้ข้ามแม่น้าน่านและจะมีทุ่นเป็น วัสดุที่มีความเบาลอยน้าหรือชาวบ้านเรียกว่าข้าวลองอยู่เหนือผิวน้า จะใช้ดักปลาท่ีมีขนาดใหญ่และ เป็นปลาน้าลึกเชน่ ปลาเคา้ ปลากด ปลายกราย ปลารงึ ปลาสวาย ปลาเบ้ยี ว

316 ภาพที่ 288 เบด็ ราวข้าวลอย ภาพที่ 289 เบ็ดราวข้าวลอย 10. เบ็ดราวข้าวจม เบ็ดราวข้าวจม เปน็ อปุ กรณ์หาปลาในแม่น้าน่านจะมีลักษณะคล้ายเก็บเบ็ดระแวงและเบ็ด ราวข้าวลอย 1 เส้นจะมีความยาวประมาณ 300-400 เมตรระยะห่างระหว่างเบ็ดประมาณ 1-2 วา หรือ 2-4 เมตร แต่ความต่างของอุปกรณ์ชนิดน้ีคือต้องใช้เหย่ือเป็นปลาท่ีมีขนาดเล็กเช่นปลาสร้อย หอยโคลงห่ันเป็นช้ิน หรือเหย่ือดองท่ีท้ามาจากปลาเน่าผสมไขมันวัว ไข่สด กะทิ ชุปด้วยส้าลีหมักไป ด้วยกันเพื่อให้สา้ ลีเป็นตัวเกาะในการพันเบ็ด สาเหตุที่เรียกว่าเบ็ดราวข้าวจมก็เพราะว่าชาวประมงจะ ใชว้ ธิ ีขงึ เบ็ดชนิดนี้ข้ามแมน่ ้าน่านและจะมที ุ่นเปน็ วัสดุที่มคี วามหนกั เชน่ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือชาวบ้าน เรียกว่าข้าวจมอยู่ในน้าจะใช้ดักปลาท่ีมีขนาดใหญ่และเป็นปลาน้าลึกเช่นปลาเค้า ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลากด ปลายกราย ปลาขะแยง

317 ภาพท่ี 290 เบ็ดราวขา้ วจม 11. เบ็ดธง ชาวบ้านหัวดงที่ท้าประมงจะท้าคันเบ็ด ไว้ใช้ไปปักตามทุ่งนา ในท้องทุ่งนา โคนเบ็ดไว้ บริเวณริมตล่ิงของแม่น้า ริมคันนา โดยใช้เหยื่อ ลูกเขียด ไส้เดือนเก่ียวเป็นเหยื่อ หย่อนลงน้าในตาม คันนา ใช้ส้าหรับจับปลาช่อน ปลาหมอ ปลาดุก ปลากด ที่มาหากินในช่วงกลางฤดูฝนมีน้ามาก ช่วง ข้าวก้าลังตั้งท้อง วิธีท้าคันเบ็ด ชาวบ้าน จะตัดไม้ไผ่เป็นท่อนยาวประมาณ 90 เซนติเมตร เบ็ดแต่ละ คนั จะมีสายเบด็ ทผ่ี ูกตวั เบ็ดเบอร์ 10-12 สายยาวประมาณ 50 เซนติเมตร และเหลาเอาเน้ือไม้ด้ามใน ออก เหลาให้เรียบแบน โดยเหลาปลายให้เล็กเพ่ือให้สามารถยืดหยุ่น และบิดตัวได้โดยไม้ไม่หักเม่ือ ปลามากินเบ็ด และเสี้ยมปลายแหลมเพ่ือใช้คันเบ็ดปักไปในดิน เม่ือเหลาเสร็จแล้วน้าไม้มารนควันไฟ เพื่อป้องกนั ปลวก มอด มาเจาะเนื้อไม้ รวมท้งั ใหค้ วนั ไฟรนเนอื้ ไม้ใหแ้ ห้งแข็งแรง ทนทาน เสร็จแล้วใช้ เชือกผูกเป็นหูที่กลางคันเบ็ด เพื่อให้ตัวเบ็ดเก่ียวขณะไปใช้งาน ท่ีปลายคันเบ็ดจะผูกมัดด้วยเชือก ปลายเชือกอีกขา้ งจะผูกมดั ท่ีโคนเบ็ด ซึง่ มขี นาดเลก็ แผ่นบาง แลว้ ผูกเชือกดว้ ยเง่อื นตะกรุดเบ็ดก่อนจึง ผูกมดั อกี รอบหนึง่ ให้แน่น เบ็ดธงจะใช้คราวละหลายๆคัน จะใช้เหย่ือเก่ียวเบ็ด เช่น ลูกปลากระด่ี ลูก เขียด ไส้เดือน มาเป็นเหยื่อวางเรียงตามคันนา ริมตล่ิงของแม่น้า ห่างกันประมาณ 3 เมตร เป็น บรเิ วณตามริมคนั นา การปกั เบด็ จะท้าชว่ งเวลาตอนหวั คา้่ เพราะปลาจะมากินเบด็ ชว่ งเวลากลางคืน

318 ภาพท่ี 291 เบด็ ธง 12. ฉมวก ฉมวกเป็นอุปกรณ์ลักษณะคล้ายกับหอก มีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือส่วนท่ีท้าจากเหล็ก แหลม 3 -9 อัน ความยาวประมาณ 5-8 น้ิวเชื่อมติดกันเป็นง่าม มีลักษณะเป็นวงกลม เรียงกันเป็น แถว ด้ามปลายจะแหลม จะมีเง่ียง เพื่อให้ปลาติดแน่น ส่วนปลายอีกด้านจะถูกเช่ือมรวมกัน ท้าเป็น กระบอกกรวงความยาวประมาณ 5 น้ิว ส้าหรับเป็นด้ามฉมวกท้ามาจากไม้ไผ่ การท้าการประมงใช้ได้ ทั้งกลางวันกลางคืน โดยการเดนิ ไปหาปลาแล้วใช้ฉมวกแทง หรอื พายเรือหาปลาในเวลากลางคืน ก็จะ ถือฉมวกแล้วส่องไฟหาปลาหากพบปลาจะใช้ฉมวกแทง สัตว์ท่ีจับได้ เช่น ปลา กบ แหล่งท่ีไปหาสัตว์ น้าตามทงุ่ นา รมิ ตลง่ิ แม่น้า ลา้ คลอง ภาพท่ี 292 ฉมวก

319 ภาพท่ี 293 ฉมวก 13. แห แห เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งส้าหรับใช้จับปลา ซึ่งนิยมกันมากของชาวหัวดง เพราะโดยท่ัวไป ชาวบ้านจะมีแหลง่ แมน่ า้ ลา้ คลอง วิธีจับปลาท่ีได้ผลเร็วและสะดวกที่สุดชาวบ้านใช้แหจับปลา แหจะ มีลักษณะ ถักเป็นตาข่าย ใช้ทอดแหแผ่ลงในน้า แล้วต้องดึงขึ้นมา ซ่ึงนิยมกันมากของคนทุกหมู่บ้าน เพื่อการยังชีพหรือเพ่ือประกอบอาชีพเพื่อหาปลาเป็นอาหาร หรือหาปลาเพื่อขายเป็นประจ้า โดยจะ ไปทอดในมีแหล่งน้าขนาดเล็กมากมาย ห้วย หนอง คลอง บึงหรือแม่น้าดังนั้น แหจึงมีหลายขนาด หลายชนิด ด้วยความจ้าเป็นเพื่อการยังชีพในอดีตแทบทุกครัวเรือน ชาวบ้าน จึงมีแหไว้จับปลาและ ถ่ายทอดภูมิปัญญาท่ีเก่ียวกับแห ไว้อย่างต่อเนื่องแหถือเป็น ภูมิปัญญา ของชาวบ้านที่แท้จริง เพราะ มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต เร่ืองอาหารและรายได้ในชีวิตประจ้าวัน แหจึงได้รับการพัฒนาและเอาใจใส่ เริ่มจากการได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบรุ ุษจนถงึ ปัจจุบัน

320 ภาพที่ 294-295 แห 13. ตะข้องใสป่ ลาหรือขอ้ งใส่ปลา ตะข้อง เป็นเครือ่ งจักสาน สานดว้ ยผิวไม้ไผ่ ปากแคบมฝี าปิดเปิดได้ ฝาขอ้ งใช้ไม้ไผ่สานเป็น รูปกรวยปลายกรวยแหลมปล่อยเป็นซี่ไม้ไว้เรียกว่างาแซง ตะข้องใช้ส้าหรับใส่ กุ้ง ปู หอย ปลา ปลา ไหล กบ เขียด ใช้ในเวลาท่ีออกหาปลาโดยผูกข้องไว้ท่ีเอว พอได้ปลาก็จะน้าไปใส่ในตะข้องใหญ่นิยม ใช้ข้องเป็ดเพราะปลาไม่ตอ้ งงอตัวอยู่ในข้อง ปลาจะนอนตามความยาวของตัวข้อง จะท้าให้ปลามีชีวิต อยไู่ ด้นาน ถา้ ขังปลาด้วยข้องเป็ดแลว้ นา้ ไปแชน่ า้ ท่ไี หลตามริมตล่ิงแม่น้าหรือลา้ คลอง ภาพท่ี 296 ตะขอ้ งเป็ด

321 ภาพที่ 297 ตะข้องปลา 14. อีจหู้ รอื กระจู้ เคร่ืองดักปลาไหลสานด้วยไม้ไผ่ลักษณะคล้ายหม้อคอสูง หรือคนโทน้า ปลายเรียวคอด ปากบานออกเล็กน้อย ส่วนก้นมีงาแซงเป็นทางเข้า ภายในมีไส้รูปกรวยใส่เหย่ือล่อเอาไว้การดักปลา ไหลจะดักในน้านิ่งตามริมหนอง คลอง บึง หรือตามแปลงนา ความลึกของน้าไม่มากนัก ต้องให้ส่วน ปลายปากอีจู้โผล่พ้นน้าเพราะปาลไหลจะได้ข้ึนมาไม่ได้ ใช้ใบหญ้าคลุมอีจู้แต่งช่องทางให้ปลาไหลเข้า ไปทางงาแซงได้สะดวก ช่องงาแซงอยู่ในระดับพ้ืนดินใต้น้าพอดี ปลาไหลซ่ึงช่องอาศัยอยู่ในโคลนเลน เหย่ือทใ่ี สใ่ หป้ ลาไหลเข้าไปกนิ มกั ใชเ้ นื้อหอยโข่งนาสบั ปูทบุ ใหแ้ หลกหรอื เนอ้ื ปลาสับ และไส้เดือนสับ เมือ่ ไดก้ ลิ่นเหยื่อ ปลาไหลจะหาทางเข้าไปกิน จนกระทั่งเข้าช่องงาแซงน้ัน แต่ก็ไม่สามารถกินเหยื่อได้ เพราะใส่ไว้ในกะพล้ออชี ัน้ หนึ่ง ท้าใหเ้ หยื่อไม่หมด ปลาไหลตวั อ่ืน ๆ จะเข้าไปอีก การกู้อีจู้อาจกู้วันละ ครงั้ ภาพที่ 298 อีจหู้ รือกระจู้

322 15. ส่มุ สุ่ม สุ่มเป็นเครื่องมือจับปลาน้าจืดในน้าที่ตื้น เช่น ตามทุ่งนา ห้วย หนอง คลองบึง อุปกรณ์ท่ีใช้ ไม้ไผ่ ลวด หวาย พร้า ขั้นตอนการท้า น้าไม้ไผ่ผ่าเป็นเสี่ยงๆเหลาให้เป็นดิ้วหลาย ๆ อัน ยาวประมาณ 80 เซนติเมตร ใช้ไม้ดัดให้โค้งเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 45 เซนติเมตร เหลาไม้ดิ้วให้แหลมทุกด้ิวแล้วน้ามามัดติดกับลวดที่ดัดโค้ง 3 อัน แต่ละดิ้วห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร จนรอบเป็นวงกลม ข้างล่างจะโตกว่าข้างบน ส่วนข้างบนท้ารูไว้ส้าหรับให้มือล้วงจับปลา ได้ และท้าขอบข้างบนให้แน่น เสร็จแล้วน้าตัวสุ่มไปลมควันไฟเพื่อให้ไม้ไผ่แห้งและแข็งแรงย่ิงข้ึน ใช้ สมุ่ หาปลาโดยการกดสุม่ ลงไปในน้าที่ไม่ลึกเกินตวั สุ่มในบรเิ วณท่คี าดว่าจะมีปลาอยู่ ถ้าครอบไปถูกตัว ปลา ปลาจะว่ิงชนสุ่มท้าให้เกิดการส่ันสะเทือนเจ้าของปลาจะรู้ได้ทันทีว่ามีปลาอยู่ในสุ่ม หลังจากนั้น จึงล้วงมือไปจบั ปลาทอี่ ย่ใู นส่มุ ขึ้นมา ใส่ตะข้องปลา ภาพท่ี 299 สมุ่ จบั ปลา 16. อวนดักปลา การวางอวนจบั ปลาของชาวบ้าน หรือล้อมกล้า่ คือใช้อวนทม่ี ีขนาดตาถเี่ พื่อจับปลาเล็กและ ปลาตวั ใหญ่ และใชอ้ วนใหเ้ หมาะสมกบั การจับปลาแต่ละชนิด สามารถจับปลาได้ทุกอย่าง ผืนอวนจะ กว้างและยาวมาก จะวางอวนติดหน้าดิน ในการวางอวนจับปลาน้ันอวนปลาบางชนิดต้องจับตอน กลางคืน บางชนิดจับในตอนกลางวัน ส่ิงท่ีเกี่ยวข้องท่ีส้าคัญอีกอย่างคือสภาพน้าต้องเป็นน้าน่ิง ก็มี ส่วนส้าคญั ในการท่ีจะวางอวนจับปลากลา้่ เป็นวิธกี ารทา้ ประมงพ้ืนบ้านริมฝ่ังน้าน่านและล้าคลอง การ หาปลาดว้ ยวิธีน้ชี าวบา้ นเรียกว่าการตกี ล้า่ ท้าโดยใชก้ ิ่งไมเ้ ปน็ โพรงมาสุมกองกันไว้ในน้าเพ่ือให้ปลาเข้า ไปพักอาศัย หลบซ่อน ทิ้งไว้ระยะหน่ึงจนสังเกตเห็นว่าปลาเข้าไปพักอาศัยอยู่แล้ว จึงค่อยจับหรือตี กล้่า เมื่อถึงคราวจะจบั ปลา คนจบั จะคอ่ ย ๆน้าเรือเขา้ ไปใกล้ เพื่อปล่อยอวนใหล้ อ้ มกลา้่ โดยปลอ่ ยอกี

323 ขา้ งหนง่ึ ของกลา่้ ท่ที ิ้งไว้ และวนไปหาอีกด้านหนึ่งของกล่้าโดยเป็นรูปคร่ึงวงกลมโดยมีไม้ไผ่ ปักค้าเป็นระยะให้ขอบด้านบนให้สูงกว่าพื้นน้าประมาณหน่ึงเมตรหรือมากกว่านั้น โดยค่อย ๆ วาง อวนเพื่อกันไม่ให้ปลาตื่นหนี แล้วพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงล้อมของอวน หลังจากน้ันก็น้ากิ่งไม้ที่สุมไว้ โยนออกจากวงล้อมกล่้าด้านใดด้านหน่ึงให้กิ่งไม้โยนออกไปท่ีริมตล่ิง กองสุมไว้เหมือนเดิม เมื่อน้ากิ่ง ไม้ออกหมดแล้ว ค่อย ๆ กระชับวงล้อมอวนให้เล็กลง จนปลาเคลื่อนตัวได้ในวงแคบ หลังจากน้ันใช้ สวิงตักปลาที่อยู่ในวงล้อมอวนที่ถูกกระชับให้วงแคบลง ด้วยวิธีนี้จะได้ปลาไปกินหรือไปขายโดยท่ี ลงทุนไม่มาก บางครั้งได้ปลาจ้านวนมากเกินคุ้มแรงท่ีลงไปจับปลาปลาท่ีจับได้มีตั้งแต่ ปลากระทิง ปลาเคลา้ ปลากระดี่ ปลาหมอ ปลาสลาด ปลากด ปลาเนอ้ื ออ่ น ปลาสร้อย ปลาล้ินหมา ปลากระเบน ปลาดุก ปลารงึ ปลาทุกชนิด เป็นตน้ ภาพที่ 300 การตีกลา่้ ทา้ โดยใชก้ ่งิ ไม้เปน็ โพรงมาสุมกองให้ปลาเขา้ มาพกั อาศยั ภาพท่ี 301 กระชบั วงลอ้ มอวน

324 อาชีพทค่ี นหวั ดง ดังเดิมยงั มีการทา้ อยทู่ ง้ั ในอดตี จนถงึ ปัจจุบนั อาชพี การท้าขนมจีนคนแรก เป็นคนเขาพระช่ือ นางเล็ก แย้มย้ิม เป็นยุคแรกท่ีท้าขนมจีนขายและหาบขายตามบ้าน โดยกรรมวิธี ยคุ แรกนา้ ขา้ วท่อนหรือข้าวหักจากโรงสีไฟภทั รพันธุ์ มาใส่กระบุงไม้ไผ่แล้วหาบลงไปที่แม่น้าน่าน เพ่ือ ไปล้างหรือซาวข้าวท่อนให้สะอาด และน้ามาตั้งท้ิงไว้และรดน้าให้ชุ่มทุกวันให้สม่้าเสมอประมาณ 3 วัน เพ่ือให้ข้าวนิ่ม จากน้ันน้ามายีในอ่างดินเผาจนให้ละเอียดเป็นแป้งแล้วน้ามากรองด้วยผ้าขาวบาง ลงในโอ่ง แล้วแกว่งด้วยสารส้มเพ่ือให้แป้งนอนก้นโอ่ง จากนั้นตักน้าออก น้าแป้งท่ีอยู่ก้นโอ่งมาใส่ถุง ผา้ ขาว เพอื่ ให้นา้ ออกมาจากถงุ โดยใชห้ ินทบั ถุงผ้าแป้งจนแห้ง จากนั้นเอาแป้งออกจากถุงผ้า น้ามาป้ัน เป็นลูกทรงกลมน้าหนักประมาณ 5 กิโลกรัม จากนั้นน้ามาต้มให้แป้งด้านนอกสุกประมาณหนึ่งข้อน้ิว มือ แล้วน้ามาต้ากับครกไม้และพัฒนามาเป็นครกกระเด่ืองให้ได้แป้งท่ีเหนียวนุ่มและเนียนแล้วน้ามา นวดกับน้าอย่างช้า ๆ ให้ได้แป้งเหนียวออกเหลว ๆ แล้วน้าใส่กระป๋องที่เป็นรู (อีโรย) แล้วบีบให้เป็น สายลงไปในน้าท่ีต้มเดือดปุด ๆ ลงในกระทะใบบัวใหญ่ท่ีต้มด้วยไม้ฟืนที่รอไว้ เส้นขนมจีนสุกแล้วจะ ลอยข้ึนเหนือน้า น้าตะแกรงไม้ไผ่ตักออกมาแช่น้าเย็นแล้วจับเป็นเส้น จับเล็ก ๆ ใส่ในกระจาดไม้ไผ่ รองดว้ ยใบตอง ผงึ่ ให้เย็น ขนมจีนหมักจะอร่อยเพราะมันจะมีรสชาติจากการหมักแป้ง แป้งจะเหนียว นุ่มมีความยืดหยุ่น เป็นที่นิยมของคนในหมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง ต่อมาสะใภ้และลูกชายนางเล็ก แย้มยิ้มช่ือนายแหวง แย้มย้ิม นางกุหลาบ แย้มยิ้ม ได้มาสืบสานต่อยอดเพราะเร่ิมมีช่ือเสียงขนมจีน บ้านเขาพระของย่าเล็ก แย้มย้ิม ที่เป็นคนรู้จัก โดยน้าเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตให้ทันต่อความ ต้องการของผู้บริโภคและมีคนในหมู่บ้านมาเรียนรู้ในการท้าขนมจีน ย่าเล็ก แย้มย้ิมเป็นต้นต้ารับ ขนมจีนบ้านเขาพระ ต้าบลหัวดง ไดถ้ ่ายทอดภูมิปัญญาขนมจีนให้กับคนในหมู่บ้านเขาพระ ได้มีอาชีพ สร้างงานสรา้ งรายได้ให้กับคนในหมู่บา้ น และน้าไปประกอบอาชีพได้ โดยคนในหมู่บ้านเขาพระเริ่มท้า ขนมจีนเปน็ อุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น นางชลอ ศรีแก้ว บ้านเลขที่ 85 หมู่ 3 ต้าบลหัวดง อ้าเภอ เมอื งพจิ ิตร จังหวัดพิจติ ร ซึ่งเป็นหลานสาวได้สืบทอดการท้าขนมจีนมาจนถึงปัจจุบัน นางอุบล ศรีจีน บ้านเลขที่ 22 หมู่ 3 ต้าบลหัวดง อ้าเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร นางบุญน้า บุญมา และนางละไม วงศ์ม่ัน ซงึ่ ได้มาขอเรียนรู้การทา้ ขนมจนี กบั ย่าเลก็ แย้มย้ิมและยงั ไดป้ ระกอกอาชีพอยจู่ นถึงปัจจบุ ันนี้

325 ภาพที่ 302 รูปภาพนางเล็ก แย้มย้ิม เป็นผู้บุกเบิกท้าขนมจีนคนแรกของบ้านเขาพระ ภาพที่ 303 ภาพครอบครัวยา่ เล็ก แยม้ ย้ิม บา้ นเขาพระ ต้าบลหัวดง

326 ภาพที่ 304 หนิ ทบั ถงุ ผ้าแปง้ จนแห้งบา้ นย่าเล็ก แยม้ ย้มิ บ้านเขาพระ ตา้ บลหวั ดง ภาพที่ 305 นางกุหลาบ แยม้ ยิ้ม ออกรายการทวี ขี องคา้ รณ หว่างหวังศรี ภาพท่ี 306 ตัวกดขนมจีน

327 ภาพที่ 307 ครกไมต้ า้ มอื ภาพท่ี 308 อุปกรณ์โมแ่ ปง้ ภาพที่ 309 กระจาด

328 ในยุคปจั จุบนั เทคโนโลยีการผลิตพัฒนาไปมาก เปลี่ยนจากการหมักข้าว ใช้ครกสาก ต้าลูกแป้งใช้เผือนเป็นเคร่ืองโรยเส้น ลดข้ันตอน การผลิตแป้ง ด้วยการส่ังแป้งคุณภาพมาตรฐานจาก โรงงาน เพอื่ การผลติ ท่ที นั กับความต้องการของผู้บรโิ ภค และขจดั ความเสย่ี งดา้ นคณุ ภาพเส้น และจับ จบี จีบลงในตะกร้าพลาสติก หรือภาชนะโฟมบดุ ้วยใบตองแห่งการสืบสานมรดกทางภูมิปัญญาท่ีบรรพ บุรุษรุ่นปู่ย่า ตายาย ส่ังสมไว้ให้ น้ามายึดถือเป็นอาชีพหลัก สร้างฐานะอย่างมั่นคง เป็นความ ภาคภูมใิ จจากร่นุ สู่รุน่ ก้าวขา้ มผา่ นวนั และเวลากบั การครองใจกลมุ่ คน ท่ชี ืน่ ชอบรสชาตขิ นมจีน ซึ่งบ่ง บอกวัฒนธรรมการกินของคนไทยและเอกลักษณ์เฉพาะของคนในท้องถ่ิน ท่ีผสมผสานกันอย่างลงตัว จงึ ไดร้ ับความนยิ มอยา่ งแพร่หลาย เน่ืองด้วยรับประทานง่าย มีรสชาติ และเครื่องเคียง ที่หลากหลาย สามารถประยุกตเ์ ข้ากบั วัฒนธรรมการกนิ ไดท้ วั่ ทุกภาค ภาพท่ี 310 การท้าขนมจนี บา้ นนางชลอ ศรแี กว้ บ้านเลขท่ี85 หมู่ 3 ตา้ บลหัวดง ภาพท่ี 311 การท้าขนมจีนบ้านนางชลอ ศรแี ก้ว บา้ นเลขที่ 85 หมู่ 3 ตา้ บลหัวดง

329 ภาพท่ี 312 การทา้ ขนมจีนบ้านนางชลอ ศรแี ก้ว บ้านเลขที่ 85 หมู่ 3 ต้าบลหัวดง ภาพที่ 313 การทา้ ขนมจีนบ้านนางชลอ ศรแี ก้ว บา้ นเลขท่ี 85 หมู่ 3 ต้าบลหวั ดง

330 ภาพท่ี 314 การทา้ ขนมจีนบ้านนางชลอ ศรแี ก้ว บา้ นเลขที่ 85 หมู่ 3 ตา้ บลหวั ดง ภาพท่ี 315 การทา้ ขนมจีนบ้านนางอบุ ล สีจีน บา้ นเลขที่ 22 หมู่ 3 ตา้ บลหวั ดง นางอุบล สีจีน เป็นหน่ึงในบุคคลท่ีรับการถ่ายทอดจากนางเล็ก แย้มยิ้ม ขนมจีนบ้านเขา พระ ต้าบลหวั ดงทมี่ ีคุณภาพ สด สะอาด เหนียว นุ่ม พร้อมด้วยฝีมือการจับเส้นฝีมืออันประณีตเป็นท่ี รู้จักมานานกว่า 50 ปี เริ่มตั้งแต่ผลิตขายด้วยการใช้กระจาดหาบไปขายในตลาดสดในท้องถ่ินและ บุกเบิกในการท้าขยายตลาดเข้าตัวเมืองและข้ามจังหวัด ด้วยการใช้รถกระบะที่ขนส่งขนมจีน ได้มี อาชีพ สรา้ งงารายไดม้ าจนถึงปจั จุบัน

331 ธปู สมนุ ไพร ชุมชนป่าตาลได้มีการรวมตัวตั้งกลุ่มแม่บ้านท้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยชื่อป้าแจ๋ว เป็น ผลิตภณั ฑ์ OTOP และภมู ิปัญญาไทย ไดส้ ร้างงานและสรา้ งรายได้ให้กับชุมชน ป่าตาลโดยคุณกนกพร เดชมี เปน็ ประธานกลุ่มสมุนไพรชุมชนป่าตาลเป็นผู้ริเร่ิมการท้าผลิตภัณฑ์ โดยมีเทศบาลต้าบลหัวดง เป็นคนส่งเสริม โดยมีผลิตภัณฑ์ท่ีได้รับเคร่ืองหมายของจาก อย. (ส้านักงานคณะกรรมการอาหาร และยา) มี 2 ชนิดคือ นา้ มนั สเปรย์กันยงุ และธปู หอมไล่ยุ่ง โดยมสี ่วนผสมของ ตะไครห้ อม ธูปสมุนไพรมีรากฐานความคิดจากภูมิปัญญาท้องถ่ิน คือน้าเอาพืชสมุนไพรที่มี สรรพคุณท่ีไม่เป็นมิตรกับแมลงหรือสัตว์ประเภทแมลงบิน เช่น ยุง แมลงหวี่ แมลงวัน อ่ืน ๆ เป็นต้น แรกริเร่ิมโดยนายสมยศ แสวงทอง นักวิชาการสาธารณสุขกองสาธารณสุขและส่ิงแวดล้อม เทศบาล ต้าบลหัวดง เพ่ือใช้ในการแก้ไขปัญหาแมลงหว่ี แมลงวัน และยุงในตลาดสดเทศบาลต้าบลหัวดง ได้ ริเริ่มน้าเอาพืชในตระกูลดังต่อไปนี้ สาบเสือ กระเพรา ตะไคร้หอม ผสมกับข้ีเลื่อย โดยใช้แป้งเปียก เป็นตัวเช่ือม โดยใช้ทีมงานของกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ร่วมในการทดลองท้าข้ึน โดยมี ฐานความคิดจากภูมิปัญญาของคนหัวดง ท่ีออกไปหาปลาแล้วต้องเหน็บใบสาบเสือไว้ที่หู เพ่ือป้องกัน แมลงหวี่ท่มี าตอมทีห่ ู และการใชก้ ล่นิ ฉนุ ของกระเพราและตะไคร้เป็นพืชน้ากลิ่น และสาบเสือท่ีมีฤทธ์ิ เมาเม่ือโดนความร้อนและเกิดเป็นควัน การทดลองส้าเร็จได้ด้วยดี และส่งแข่งขันประกวดจนได้ รางวัลประทานพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าศรีรัศม์ิ พระวรชายา ในปี 2554 และในปี 2557 นาย ณรงค์ โต๊ะดอนทอง นักวิชาการสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลหัวดง(ในขณะนั้น) ใน ขอนวัตกรรมธูปสมุนไพรนี้ไปถ่ายทอดให้กับชุมชนป่าตาลเนื่องจากเป็นพื้นที่เส่ียงต่อโรคไข้เลือดออก โดยร่วมกับชมุ ชนปา่ ตาล โดยให้นางกนกพร เดชมี หรือป้าแจ๋ว เป็นประธานกลุ่มธูปสมุนไพรป่าตาล และร่วมกันผลิตในครั้งแรกเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก ต่อมาส่งเสริมให้คนในชุมชนปลูกตะไคร้หอม เพ่ือน้ามาเป็นวัตถุดิบ ต่อมากลุ่มธูปสมุนไพรป่าตาลจึงพัฒนามาเป็นกลุ่มที่ส่งเสริมอาชีพ โดยมี เทศบาลตา้ บลหวั ดง และหน่วยงานราชการในระดับจงั หวดั เช่นพัฒนาการจังหวัดพิจิตร มาเป็นผู้หนุน เสริม และมหาวิทยาลัยนเรศวร แต่มานางกนกพร เดชมีได้เข้าศึกษาต่อในเร่ืองของสมุนไพรต่างๆ สูตรชาววงั ซึ่งไดน้ า้ แนวคิดใหม่มาปรับเปลี่ยนสูตรของธูปสมุนไพรให้มีความทันสมัย และถูกต้องมาก ยิง่ ขน้ึ จนปัจจุบนั ได้ผลิตภณั ฑ์ชนิดต่างๆเพิม่ ขนึ้ มาด้วย และรายละเอียดของสตู รกม็ ดี งั น้ี วิธีทา้ ธูปหอมไลย่ งุ อตั ลกั ษณข์ องผลติ ภัณฑ์ เน้อื แน่นไม่ร่วง จุดแล้วไม่ดับกลางคัน เหมาะส้าหรับจุดไล่ยุงและ แมลงต่าง ๆ อปุ กรณ์การท้า 1. ตะไคร้หอม 2. ไมก้ า้ นธปู ทา้ มาจากไมไ้ ผ่

332 3. กาวก๊ัวะก่า 4. น้ากลน่ั กลน่ิ ตะไคร้ ภาพที่ 316 ธูปสมุนไพรไลย่ งุ ตา้ บลหวั ดง ภาพที่ 317 ต้นตะไครห้ อม

333 ภาพ 318 ใบตะไคร้หอมสบั เป็นชน้ิ เลก็ ๆ ภาพท่ี 319 การตากแห้งตะไคร้หอม

334 วิธีทา้ 1. นา้ ใบตะไคร้หอมสบั เป็นชิน้ เล็กๆ ไปตากแดดใหแ้ ห้งสนทิ ใชเ้ วลา 1 สปั ดาห์ 2. จากนน้ั น้ามาบดให้เปน็ ผงละเอียด 3. น้าตะไคร้ท่ีบดแล้วเป็นผงน้ามาร่อนใส่ลงในภาชนะ แล้วน้าไปผสมกับกาวก๊ัวะก่าโรย ตามลงไป พรมน้าให้ทั่ว คลุกให้เข้ากัน นาดผสมเข้าด้วยกันอีกให้พอเหนียว ไม่ให้แห้งจนเกินไป ไม่ เปียกนา้ มากเกินไป ใหพ้ อดีเอามาปัน้ กับไมก้ า้ นธูปท้ามาจากไม้ไผท่ เี่ ตรียมเอาไว้ 4. เนื้อตัวธูปเหนียวก้าลงั พอดี เราต้องปัน้ ทีละกา้ น เม่ือชา้ นาญไปแล้วก็จะเร็วขึ้น การป้ันก็ คือ เอาเน้ือธูปท่ีผสมกันดีแล้วมาใส่ลงท่ีไม้ก้านธูปท่ีมาจากไม้ไผ่ แล้วคลึงไปมากับแผ่นไม้เรียบส่วน ไหนทม่ี ีเน้ือธปู มากเกินก็เอาออกให้พอดี คลึงใหก้ ลมเรยี บ 5. เมอื่ ปั้นเป็นรูปแทน่ จนสวยงามดีแล้ว แล้วน้าไปตากแดดให้แห้งอีก 2-3 วัน ก็บรรจุแพ็ค หีบหอ่ ได้ ภาพที่ 320 การท้าธูปตะไคร้หอม

335 ภาพที่ 321 ธปู ตะไครห้ อมบ้านหวั ดง สเปรย์ไล่ ยงุ จากตะไคร้น้าหอม ใชป้ อ้ งกนั แมลงตวั เล็ก ไลย่ ุงที่คอยลอบท้าร้ายเราโดยเราไม่รู้ตัว จาก สารท้าธรรมชาติพรอ้ มกลิน่ หอม ๆ ดมแล้วชน่ื ใจ นอกจากจะปลอดภยั ยงั ไมม่ ยี งุ มารบกวน สว่ นประกอบ 1. ตะไคร้ 4 กโิ ลกรัม 2. นา้ 10 กโิ ลกรมั 3. พมิ เสน 2 กิโลกรมั 4. เมนทอล 3 กิโลกรัม 5. การบรู 1 กิโลกรมั วธิ ีทา้ 1. นา้ ตะไครห้ อม 4 กิโลกรมั มาใส่ในน้า 10 กิโลกรัมมาใส่เครื่องกล่ันแบบในครัวเรือนมาก ล่ันเป็นนา้ กลนั่ ตะไคร้หอม จะได้น้ากลั่นตะไครห้ อมประมาณ 6 กโิ ลกรัม

336 ภาพที่ 322 เคร่ืองกลัน่ แบบในครวั เรอื น 2. นา้ พิมเสน เมนทอล การบรู น้าสว่ นผสมทง้ั หมดและเขย่าให้ละลายเป็นน้า จากนั้นก็เติม น้ากลน่ั ตะไครห้ อมใส่ลงไปเพื่อใหม้ ีกล่ินหอมตามที่ต้องการ แล้วเทใส่ในขวดสเปรย์แล้วเขย่าให้เข้ากัน กอ่ นนา้ ไปใช้ ซึ่งส่วนผสมดังกลา่ วใชส้ า้ หรบั ขวดสเปรย์ 50 ซซี ี 100 ซซี ี ตามขนาดของบรรจุผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะกบั ความจขุ องขวดสเปรย์ ภาพที่ 323 สเปรย์ไล่ยุ่งจากตะไครห้ อม

337 การรักษาพยาบาลในอดีตมีการรักษาด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยแพทย์แผนไทย ที่ยังคงมี การถ่ายทอดสบื ทอดภูมปิ ญั ญาจากอดตี สู่ปจั จบุ นั จากนโยบายการพฒั นาตา้ บลหัวดง เพือ่ ส่งเสริมการ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนได้มีการน้าแนวคิดใหม่มาใช้ในการพัฒนา การพลิกฟ้ืน ภูมิปัญญาใน การท้าธูปสมุนไพร ยาดม น้ามันหอมระเหย การสนับสนุนให้เป็นกลุ่มสมุนไพร สร้างแหล่งเรียนรู้ใน ชุมชน การทานาขา้ ว ในอดตี ตา้ บลหวั ดงนาปลี ะ่ 1 คร้ัง เรียกว่านาปี ใช้น้าฝนเป็นหลักในการท้านาเพ่ือปลูกข้าว ไวบ้ รโิ ภคและขาย การท้านาโดยใช้แรงงานคนและสตั วใ์ นการไถ่นา มูลควายน้ามาเปน็ ปุ๋ยบ้ารุงต้นข้าว มาในช่วงปี พ.ศ.2525 มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งจากศูนย์กลาง ได้ส่งเสริมให้มีการท้านา มากกว่า 1 คร้ังจากเดิมท้าเฉพาะนาปี เร่ิมมีการท้านาปังเกิดขึ้น ท้าให้ใน 1 ปี มีการท้านา 2-3 ครั้ง ท้ังนาปีและนาปัง ส่งเสริมให้มีการใช้ปุ๋ยเคมี เพราะท้าให้ได้ผลผลิตเร็ว และผลิตข้าวได้มากข้ึน มี สารเคมีก้าจัดพืชเข้ามาแทนการถอนหญ้า หรือดายหญ้าชาวนาเน้นการผลิตข้าวให้ได้มากขึ้นเพ่ือท้า ขายให้ไดม้ าก ทา้ ใหม้ ีรายไดเ้ พ่ิมข้ึนจากการท้านาแต่มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการซ้ือปุ๋ยและยาฆ่า แมลงรวมท้ังเกิดการจ้างแรงงานข้ึน เช่น จ้างการด้านา หว่านข้าว จ้างฉีดยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง จ้าง เกยี่ วข้าว ท้าให้ค่าใช้จ่ายเพ่ิมสูงข้ึนท้าให้ชาวนาประสบภาวการณ์ขาดทุน ขายข้าวได้ราคาเท่าเดิมแต่ ค่าครองชีพสูง จึงท้าให้เกิดหน้ีสินข้ึน ลุงน้อยจึงได้ท้าการคิดค้นทดลองท้าน้าหมักจุลินทรีย์ เพ่ือช่วย ชาวนาและชาวบ้านในต้าบลหวั ดง ภาพที่ 324 โรงนา้ หมักจลุ ินทรยี ์ ลุงนอ้ ยคุณณัฐดนัย กตุ นันท์ ต้าบลหวั ดง เพราะเกษตรกรไม่ใช่ประชาชนรากหญ้า แต่เป็นรากแก้วท่ีหล่อเล้ียงประชาชนคนทั้ง ประเทศ ที่ใช้ค้าน้ีเพราะเป็นท่ีทราบกันดีว่าทุกตารางนิ้วของประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วเป็นพ้ืนท่ี เกษตรกรรมโดยเฉพาะการปลูกข้าว ภาพทุ่งนาเขียวขจีสวยงามเม่ือยามเก็บเก่ียวก็เป็นสีเหลืองทอง ไม่ไดเ้ ป็นอย่างเช่นท่ีเหน็ เพราะขณะเดยี วกันนน้ั เกษตรกรจะต้องแบกรับภาระหน้ีสินกันเท่าไหร่ในเม่ือ การท้านาเกษตรกรรมของชาวนาไทยใช้กระบวนการทางเคมี ประกอบกับความเช่ือที่ว่า สารเคมีคือ

338 สิ่งส้าคัญท่ีท้าให้พืชไร่หรือพืชสวนเจริญเติบโตได้ สุดท้ายนอกจากท้าเกษตรกรรมแล้วไม่มีเงินทุก หมุนเวียน ไม่มีผลก้าไร มีแต่ขาดทุนคุณภาพชีวิตท่ีมีก็ไม่ได้ดีอะไรนับวันย่ิงทดถอยลง เพราะเงินที่ลง ไปกบั การประกอบอาชีพกส็ ูญหายไปดว้ ย นับวันยิ่งไมม่ สี ิ่งใดเปน็ ของตนเอง ลุงน้อยหรือคุณณัฐดนัย กุตนันท์ อดีตลูกชาวนาหลานชาวไร่ ผู้ซึ่งทั้งชีวิตคือครูทางด้าน วิศวกรรมไฟฟ้า และการผลิตเคร่ืองด่ืมชูก้าลังที่ผ่านร้อนหนาวมากับบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศแทบ จะทกุ บรษิ ัท ตกผลกึ ทางความคดิ วา่ การใหค้ ือความสุขที่สุดของชีวิต จึงอยากกลับมาบ้านเอาความรู้ มาพัฒนาต่อยอดกับภูมิปัญญาท่ีตนเองได้ผ่านชีวิตการเป็นลูกชาวนา ที่พ่อได้เป็นชาวนาท้านา สมยั กอ่ น ก็มีแนวคิดว่า ดิน คือของขวัญที่โลกได้มอบให้กับชีวิต การใช้สารเคมีทางการเกษตรคือการ ท้าลายดิน การท้าลายดินก็เท่ากับว่าเราได้ท้าลายตนเองไปแล้ว ด้วยหลักคิดการแก้ไขปัญหาทาง ธรรมชาติดว้ ยธรรมชาติ และนา้ ภูมิปญั ญาในอดตี ท่ไี ดเ้ ห็นมาตลอดเมือ่ วันเดก็ มาปรบั ใช้ ลุงน้อยนั่งดูต้นไม้ที่เชิงเขา เห็นว่าไม่มีใครไปรดน้า พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ท้าไมต้นไม้พืชพรรณ ต่าง ๆ เหล่านั้นถึงได้งดงามงอกเงยมาก ดินบริเวณน้ันก็ดีมากปลูกอะไรก็เจริญเติบโตได้ผลดี จึง วิเคราะห์แล้วพบว่า น้าท่ีไหลมาจากบนท่ีสูงน้าพาเอาจุลินทรีย์ต่างๆ ท่ีอยู่ในดิน ในธรรมชาติ มากอง รวมกันไว้ท่ีเชงิ เขานนั้ สดุ ทา้ ยจุลินทรยี ์เหล่าน้ันก็ท้าหน้าท่ีของมันตามธรรมชาติท้าให้เกิดความเจริญ งอกงามได้ ลงุ น้อยจึงคิดว่าจะทา้ อย่างไร ให้ดินท้าหน้าที่ของดินได้เต็มท่ี พืชพรรณก็ท้าหน้าท่ีของมัน ได้เต็มที่ และสัตว์ต่างๆ ก็ท้าหน้าที่ และอยู่ร่วมกันได้อย่างไร จึงไปศึกษาต่อท่ีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และได้พบว่าจุลนิ ทรียน์ ้ันมีมากกวา่ 5,000 สายพันธุ์ทุกสายพันธุ์มีประโยชน์ท่ีแตกต่างๆกัน ความคิด ของลุงน้อยจึงก้าวไกลไปมากกว่าที่ฝัน เมื่อทุกอย่างอยู่ในมือการทดลองจึงเกิดข้ึนในการที่จะท้าให้ จลุ ินทรยี ช์ นิดต่างๆมาอยรู่ ว่ มกนั และสร้างคณุ ค่าใหเ้ กิดข้ึนกับทางเกษตรกร ท้ายท่ีสุดตลอดระยะเวลา 8 ปี กับเงินทุนท่ีลงไปกับการพัฒนานวัตกรรมภูมิปัญญาเพื่อเกษตรกรกว่า 70 ล้านบาท และด้วย หนทางชวี ิตท่ีนอ้ มน้าแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ และความสุขของการเป็นผู้ให้ท่ีต้อง ปรับทัศนคติพ่ีน้องเกษตรกรให้หันกลับมาใช้เกษตรอินทรีย์ ก็ส้าเร็จออกมาเป็นน้าหมักจุลินทรีย์ท่ี ใช้ได้ทั้งนาข้าวและพืชสวน โดยนวัตกรรมคือการสร้างให้จุลินทรีย์มีความแข็งแรงมากท่ีสุดด้วย อาหารจุลนิ ทรยี ์ชดุ พิเศษ ซ่งึ มเี ฉพาะท่สี วนลุงนอ้ ยเทา่ น้ัน และการสร้างระบบการผลิตน้าจุลินทรีย์ที่มี มาตรฐาน ให้จุลินทรยี ์มีชีวิตอยตู่ ลอดเวลาดว้ ยการเตมิ ออกซเิ จน เดิมเกษตรกรทที่ า้ นาจะตอ้ งใช้ต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ 4,000–6,000 บาทต่อไร่ และกลับ ขายข้าวเปลือกได้เพียงตันละประมาณ 5,000–6,000 บาท นั่นก็หมายถึงการท่ีท้านาแล้วไม่เหลือ อะไรหมดไปกบั การลงทนุ ในการใช้สารเคมีเพื่อทา้ ให้ผลผลิตออกมาเป็นจ้านวนมาก ๆ วัดกันที่ผลผลิต หากได้มากจ้านวนก็คงจะมีก้าไรเหลืออยู่บ้าง เมื่อลุงน้อยได้นวัตกรรมน้าหมักจุลินทรีย์น้ีเพ่ือใช้ ทดแทนสารเคมีที่ใช้ในการท้าเกษตรกรรมนาข้าว สามารถลดต้นทุนเหลือเพียงไร่ละไม่เกิน 2,000 บาท ความฝนั ท่ีจะให้คนท้านาลืมตาอ้าปากได้ก็อยู่ไม่ไกล แต่ว่าเกษตรกรกลับยังไม่ให้ความวางใจใน

339 การปรับเปล่ียนแนวคิดการท้านาแบบเกษตรอินทรีย์นี้ลุงน้อยต้องสู้และพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าส่ิงที่จะ เปล่ียนนี้จะน้าไปสู่สิ่งท่ีดีกว่า จาก 1 ไร่ ไป 100 ไร่ ไปกว่าท้องทุ่งนาข้าวใหญ่ในหัวดง ปัจจุบันเร่ิม คอ่ ยหันกลบั มาเร่ือยๆแม้จะเป็นไปได้ช้า แต่ก็ม่ันคงเพราะลุงน้อยอยากให้คนท่ีท้าเพราะเข้าใจการท้า นาแบบเกษตรอินทรีย์ มิใชแ่ ค่ฟังคา้ บอกเล่าแลว้ นา้ ไปท้า การท้านาแบบเกษตรอินทรีย์มีวิธีการท้าท่ี งา่ ยมาก ดงั น้ี 1. เม่ือเริ่มการท้านาต้องท้าดินให้มีความพร้อม ก่อนจะปั่นนาก็ฉีดน้าหมักจุลินทรีย์ก่อน และให้รถปน่ั ปน่ั ดนิ พร้อมไปคราวเดียวกนั เพ่อื ใหด้ ินมคี ุณภาพท่ีดีทสี่ ุด มีธาตอุ าหารพร้อม 2. น้าข้าวเปลือกที่จะน้าไปปลูก น้าไปแช่น้าหมัก 1 วันกับ 1 คืน หรือ 24 ช่ัวโมง เม่ือ น้าไปแช่แล้วจะสังเกตเห็นเม็ดข้าวมีรอยปริแตกเตรียมงอก จากน้ันก็น้าไปหว่านในนาข้าว เมื่อไปพบ กบั ดินที่บ้ารงุ ไวแ้ ล้วกจ็ ะมีความพร้อมในการเจรญิ เติบโตทนั ที 3. ผสมน้าหมักจุลินทรีย์ น้า และฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืช ฉีดคร้ังแรก เพื่อใหส้ ารอาหารกบั ขา้ วและตัดวงจรวชั พชื ที่อาจจะมาแยง่ สารอาหารของข้าว 4. จากนน้ั นา้ นา้ หมักจุลินทรีย์ ผสม น้า ในอตั ราส่วน 1 ตอ่ 2 เพือ่ ฉดี ในนาข้าวห่างกัน 20 วัน อีกสามครงั้ เพอื่ บ้ารุงขา้ ว 5. รอเก่ยี วขา้ วเพือ่ เก็บผลผลิตในนา ภาพท่ี 325 นาขา้ วตา้ บลหวั ดง ส่ิงท่ีเห็นได้ชัดในนาข้าวที่ใช้เกษตรอินทรีนี้คือ ต้นข้าวจะมีความแข็งแรง ต้นข้าวจะมีขน หนามแข็ง ซ่งึ ไดท้ ราบวา่ ลกั ษณะแบบนี้จะเป็นเหมือนตน้ ข้าวทป่ี ลกู ในอดตี เม่ือคร้ังการก่อนน้าสารเคมี เข้ามาใช้ในระบบเกษตรกรรมของประเทศ หากเป็นนาข้าวท่ีใช้กระบวนการด้วยสารเคมี ต้นข้าวจะ

340 อ่อนใบข้าวเรียบ ไม่มีขนหนาม การมีขนหนามของต้นข้าวน้ีเกิดจากการได้ธาตุอาหารที่สมบูรณ์จาก การทน่ี า้ หมกั จุลินทรยี ์ไปชว่ ยยอ่ ยดินให้มีความสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุอาหาร จากนั้นการที่ไม่ใช้สารเคมี ในการก้าจัดแมลงหรือศัตรูในนาข้าว ก็คือ เพล้ีย เพล้ียจะไม่ลงในนาข้าวอินทรีย์เพราะขนหนามของ ข้าวทา้ ใหเ้ พลยี้ ใช้ปากเจาะไปไม่ถึงใบข้าว เช่นเดียวกับหนูนา ที่ไม่ชอบหากต้นข้าวมีขนก็จะไม่ท้าลาย นาข้าวได้ เหลา่ น้ีคือผลเชิงประจักษ์ท่ีเห็นได้ว่าแนวคิดการใช้ธรรมชาติต่อสู้กับปัญหาธรรมชาติ และ ไดผ้ ลผลิตทีม่ ีคณุ ภาพสงู เปน็ มติ รกบั สิ่งแวดล้อม กา้ นันสชุ ิน ธูปเงนิ ทยี่ ังคงใชช้ ีวติ เต็มตัวของเกษตรกรวิถีเกษตรอินทรีย์ โดยยึดอาชีพ ท้า ไร่นา และท้าสวนในบริเวณบ้านโดยได้น้าแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ และความสุข ของการเป็นผ้ใู ห้ทต่ี ้องปรบั ทศั นคติเกษตรกรให้หันมาใช้ปุ๋ยเกษตรอินทรีย์ ใช้ได้ท้ังนาข้าวและพืชสวน การใช้สารเคมีในทางการเกษตรเป็นการท้าลายดิน และมีสารเคมีที่ตกค้างและปนเปื้อนอยู่ในดินน้ัน สามารถก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศและน้า และท้าให้เกิดอันตรายต่อร่างการได้สารเคมี ได้แก่ ยา ฆ่าแมลง ยาปราบศตั รูพชื การเพราะปลูกด้วยสารเคมีพวกน้ี ดินที่ใช้ในการเพาะปลูกเป็นเวลานาน ๆ โดยมิได้ค้านึงถึงการบ้ารุงรักษาอย่างถูกวิธีจะท้าให้แร่ธาตุในดินถูกใช้หมดไป จนในท่ีสุดไม่อาจปลูก พืชได้อีก ก้านันสชุ ิน ธปู เงนิ และลกู ชาย ได้ท้าการศึกษาหาวิธีที่จะรักษาดินให้มีคุณภาพ ด้วยหลักคิด การแก้ไขปัญหาทางธรรมชาติด้วยธรรมชาติ และน้าภูมิปัญญาในอดีตท่ีได้เห็นมาตลอดเม่ือวัยเด็กมา ปรับใชป้ ุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้วัว ข้ีควาย มาใช้ในนา และสวนผลไม้ โดยใช้นวัตกรรมใหม่ คือการท้าปุ๋ยมูล ไส้เดือน ได้ท้าการทดลองเล้ียงไส้เดือนพันธ์เอเอฟ โดยได้ท้าการศึกษาจากท่ีต่างๆ และทดลองท้าท่ี บ้าน และใช้ปุ๋ยไส้เดือนกับสวนผลไม้ของตนเอง และเห็นผลได้ชัดว่าต้นไม้มีความเขียวชอุ่ม เจริญเติบโต ล้าต้นใหญ่ ดินมีความชุ่มช้ืนท้าให้ดินร่วนซุย และได้ผลผลิตของผลไม้ในสวนได้มากกว่า การใช้สารเคมกี า้ นันได้บอกวธิ ีการเลยี้ งไสเ้ ดือนพันธ์เอเอฟ วา่ พันธ์น้เี ล้ยี งงา่ ยโตเร็ว วิธีท้า 1. เตรยี มบ่อซเี มนตแ์ บบวงกลม ทมี่ คี วามกวา้ งของบอ่ ประมาณ 100 เซนติเมตร 2. น้าขี่วัวแห้ง 1 กระสอบ มาท้าการแช่น้าในบ่อซิเมนต์นานกว่า 20 วัน เพื่อให้ข่ีวัวเย็น คลายความรอ้ นเพราะในขี้วัวมกี า๊ ซชวี ภาพหรอื ไบโอก๊าซ รดน้าขี้วัว ประมาณ 1-2 อาทิพย์ จะต้องให้ ขี้วัวเย็นจนได้ที่ วิธีการวัดว่าใช้ได้หรือไม่ต้องเอามือล่วงเข้าไปในบ่อซีเมนต์ ถ้ามือยังอุ่นอยู่แสดงว่ายัง ใชไ้ มไ่ ด้ จะตอ้ งรดนา้ ตอ่ ไปจนกว่าขีว้ ัวจะเย็น 3. น้าขวี้ ัวตากใหแ้ ห้งมาดอีก 10 วนั นา้ มาใส่ภาชนะท่เี ตรียมไว้ 4. ท้าการก่ออิฐสร้างเป็นล๊อกเพ่ือเล้ียงไส้เดือน และน้าขี้วัวที่ตากแห้งมาใส่เพื่อเลี้ยง ไส้เดือน ใหน้ า้ ไส้เดือนพนั ธ์เอเอฟ ใสล่ งไปบนข้ีววั ประมาณ 2 กิโลกรมั ใสล่ งไปโดยทไ่ี ม่ต้องฝังตัว เค้า จะฝงั ตัวลงไปใต้ขีว้ วั โดยการชอนไซล้ งไปใตช้ ้วี วั เอง

341 5. หาอาหารเปลือกผลไม้ เช่นมะละกอ สัปปะรด เศษอาหารพวกผักพืช ผลไม้ เพ่ือเพ่ิม สารอาหารมากกว่าขี้วัว ให้ความชื้นโดยการรดน้า 3-4 วันครั้งไม่ต้องแฉะแค่พรมๆ ประมาณ 1-2 เดือนก็สามารถเกบ็ ปยุ๋ หมกั มูลไส้เดือนพนั ธุเ์ อเอฟได้แลว้ 6. ไส้เดือนจะข้ีทุกวัน จะต้องเก็บเก่ียวทุกวัน เพ่ือน้าไปใช้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ หรือจัด จา้ หน่าย ภาพที่ 326 การเลยี้ งไส้เดือน ภาพท่ี 327 การเลยี้ งไสเ้ ดือน

342 ภาพที่ 328 การเลี้ยงไสเ้ ดือน ภาพท่ี 329 การเล้ยี งไสเ้ ดอื น

343 ภาพที่ 330 การเลี้ยงไสเ้ ดือน ภาพท่ี 331 การเล้ยี งไสเ้ ดอื น

344 รอกข้ามแม่นา นายสุชิน ธูปเงิน อดีตก้านันต้าบลหัวดง เม่ือปี พ.ศ. 2539-2542 หรือที่คนหัวดงเรียกติด ปากว่า ก้านันชิน หรือลุงชิน เพราะด้วยวัยที่สูงวัยและสูงประสบการณ์ท้าให้คนหัวดงนับถือเป็นผู้รู้ ของต้าบลหัวดง ก้านันชินมิใช่คนหัวดงโดยก้าเนิด หากแต่เป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ เม่ือแรกในวัย เดก็ นน้ั ค่อนยากจนต้องท้ามาหาเล้ียงชีพด้วยความยากล้าบาก แต่ก็มีป้าแนะน้าว่าให้มาบวชกับญาติ ที่เป็นพระครอู ยทู่ ี่วัดหัวดง จังหวัดพิจิตร ซึ่งก็คือ พระครูบุญธรรมรส เมื่อปี พ.ศ. 2498 ลุงชินก็อยู่ท่ี บ้านหัวดงมาต้ังแต่น้นั โดยบวชเป็นสามเณรและพระภกิ ษุตามลา้ ดับ ก่อนในปี พ.ศ. 2510 ก้านันชินมีครอบครัวที่บ้านหัวดง เริ่มลงหลักปักฐานก็ไปเท่ียวที่ อ้าเภอสวรรค์โลก จังหวัดสุโขทัย ด้วยว่ามีญาติอยู่ที่นั่น ก็ไปเห็นรอกข้ามแม่น้า เห็นแล้วคิดว่าถ้า สามารถน้ามาใช้ให้บริการคนหัวดงข้ามแม่น้าน่านได้คงจะดี และด้วยก้าลังต้ังหลักปักฐานครอบครัว ใหม่ก็คิดว่าจะยึดอาชีพน้ีประกอบกับการท้าไร่นา และท้าสวนในบริเวณบ้านไปด้วย เม่ือกลับมายัง บา้ นหัวดงก็ได้ยืมเงนิ ของแม่ยายมาจา้ นวน 20,000 บาทมาเป็นทุนเร่ิมต้นในการท้ารอกข้าแม่น้า แรก ทา้ เสาไม้ 8 ต้นใชว้ ิชาการชา่ งไมพ้ ื้นบ้าน โดยตั้งเสาปูนสองต้นเป็นเสาหลักฝั่งแม่น้าด้านทิศตะวันตกที่ บ้านของก้านันชินเอง และฝ่ังตะวันออกที่บ้านหมอคุ้ม เมืองเหลือ มีเสาหลักของรอกที่จะต้องขึง ลวดสลิง และท้ากระเช้าไม้ส้าหรับผู้โดยสาร มีการท้าเฟืองรอก ท้ากระแทะ ประกอบจนส้าเร็จเป็น รปู รา่ งแตด่ ้วยเงนิ ทนุ ไม่เพยี งพอระยะแรกจึงยังไม่ใช้ระบบเคร่ืองยนต์ ใช้มือหมุนรอกข้ามแม่น้าไปมา เม่ือพอตั้งตัวได้บ้างก็เร่ิมน้าระบบเครื่องยนต์มาติดต้ังเพื่อเป็นการทุนแรง โดยใช้ความคิดส่วนตัวและ ประสบการณใ์ นการออกแบบรอกข้ามแม่นา้ ลองผดิ ลองถกู ครัง้ หนง่ึ ลงุ ชนิ เล่าว่าปัญหาของรอกข้าม แม่น้าน้ีร้ายแรงสุดก็คือค้างอยู่กลางแม่น้าต้องพายเรือไปผูกเชือกลากกระเช้าเข้าฝ่ัง และต้องไปท่ี ตะพานหินเพ่ือให้ออกแบบเครื่องชักรอกใหม่ไม่ให้สายพานหลุดได้ง่ายและท้าให้รอกค้างอีก ส้าหรับ ค่าบริการในช่วงแรกเก็บค่าบริการท่านละ 25 สตางค์ ขยับมาที่ 50 สตางค์ และ 1 บาท ในช่วง สุดทา้ ย ปี พ.ศ. 2537 ก้านันวิรัตน์ ภัทรประสิทธ์ิ ได้ประสานงานหน่วยงานราชการเพื่อขอ งบประมาณในการจัดสร้างสะพานข้ามแม่น้าน่านท่ีต้าบลหัวดง แต่ว่าติดขัดเรื่องของการเวนคืนพื้นท่ี ที่จะรองรับทางขึ้นสะพานต่างๆ ก้านันวิรัตน์ ภัทรประสิทธิ์ จึงได้รวบรวมระดมทุนบริจาคจากคน ต้าบลหัวดงมาร่วมกันเป็นทนุ ในการเวนคนื พ้ืนที่ที่เพ่ือรองรับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้าน่านต้าบล หัวดง ในส่วนของฝ่ังทางทิศตะวันตก ลุงชินขณะน้ันด้ารงต้าแหน่งผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าการพัฒนาไม่ สามารถหยุดได้ และมีส่วนร่วมในการทจ่ี ะพัฒนาต้าบลหัวดงไปพร้อมๆกันจึงบริจาคในส่วนของค่าท่ีท่ี จะได้รับเวนคืนไปส่วนหนึ่งคือรับไม่เต็มจ้านวน แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อกิจการรอกข้ามแม่น้าของ ท่าน ซึ่งในปีท่ีสร้างสะพานเสร็จรอกข้ามแม่น้าของก้านันชินก็ยุติลงไปในคราวเดียวกัน ต่างกับ ความสขุ ของกา้ นนั ชินท่กี ็ยังคงทก่ี ับชวี ิตที่เตม็ ตวั ของเกษตรกรวิถีเกษตรอนิ ทรีย์และนักปกครองก้านัน

345 ผู้ไมเ่ คยไมใ่ หอ้ ยขู่ า้ งหน้า เพราะท่านจะออกเดนิ น้าหน้าไปตลอดแมจ้ ะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ ถึงสามปดี ี กเ็ ปน็ ความทรงจา้ ท่ดี ี ภาพท่ี 332 สะพานขา้ มแม่น้านา่ นตา้ บลหัวดง ต่อมามีการท้ารอกหน้าวัดหัวดงซึ่งใหญ่กว่าของก้านัลสุชิน ธูปเงิน โดยใช้เครื่องจักรท่ี ทันสมัยขนึ้ เปน็ แห่งที่ 2 ภาพท่ี 333 รอกขา้ มฝง่ั วดั หวั ดง และฝ่งั ตลาดเกา่ หัวดง

346 ภาพท่ี 334 ท่าเรือหวั ดง ภาพท่ี 335 รอกเรือหน้าวัดหัวดงและหนา้ ฝ่ังตลาดเกา่ หัวดง ชาวบ้านหัวดง ที่อยู่ในช่วงนั้นทันจะทราบดีว่ามีการพัฒนามาจากเรือพายข้ามแม่น้า เป็น เรือที่ผูกโยงกับลวดสลิงท่ีขึงระหว่าง 2 ฝั่งแม่น้าน่านไม่ว่าน้าจะไหลแรงหรือค่อยเพียงใดเรือก็ไม่หลุด ลอยไปไหนแรง นายท้ายเรือเพียงแต่ท้าหน้าที่ใช้พายคัดหัวเรือให้เรืออยู่แนวเฉียงๆกับทางท่ีน้าไหล เพียงเท่านี้เรือก็จะแล่นข้ามไปข้ามมาระหว่าง 2 ฝ่ัง ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่เปลืองแรง ท้ายเรือจะมี หางเสือคอยบังคับเรือ เป็นภูมิปัญญาอย่างยอดเยี่ยม ของชาวบ้านต้าบลหัวดงในอดีตที่ใช้แรงน้าไหล ของแมน่ า้ มาผลักเรือ ให้แลน่ เฉ่ียว รวดเรว็ และปลอดภยั

347 ภาพท่ี 336 สะพานไม้หน้าวัดหวั ดงและหน้าฝ่งั ตลาดหวั ดงเก่า ต่อมาแม่น้าน่านได้ลดลงอย่างมากไม่สามารถใช้เรือสัญจรในการโดยสารข้ามฝากได้ทั้ง 2 ฝ่ังเนื่องจากแม่น้าน่านมีหินดินดาน ท้าให้แม่น้าต้ืนเขินไม่สามารถใช้เรือได้ จึงได้ท้าการก่อสร้าง สะพานไม้ข้ามแมน่ ้าน่านตา้ บลหวั ดงระหว่างฝงั่ ตลาดหัวดงและฝัง่ วดั หวั ดง ข้ึนชั่วคราวโดยได้รับความ ร่วมมือจากชาวบ้านและวัด ได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้างสะพานไม้ข้ึนมาเพื่อให้คนได้สัญจรไปมาได้ สะดวกสบายในการคมนาคม ทั้งสองฝั่งแม่น้าน่าน ต่อมได้มีการพัฒนาเป็นสะพานแขวนข้ามแม่น้า น่าน โดยการน้าของพระสุทัศน์ศรีมุนีวงศ์ (ประสิทธิ์ สุขีโว) ร่วมกับก้านัลวิรัตน์ ภัทรประสิทธ์ิ และ ประชาชนชาวหัวดง ไดร้ ว่ มกันบริจาคเงินสรา้ งสะพานธรรมโกศลสามัคคี เป็นสะพานแขวนข้ามแม่น้า น่านจากฝั่งตลาดหัวดงจนถึงฝั่งวัดหัวดง อ้าเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร โดยใช้ลวดสลิงยึดอย่างมี มาตรฐาน ออกแบบโดยวศิ วกรชาวหัวดงเอง สร้างเสร็จปี พ.ศ. 2537 และใช้มาจนถงึ ปจั จุบัน ภาพที่ 337 สะพานแขวนหนา้ วัดหัวดงและตลาดฝ่ังหวั ดงเกา่

348 ภาพท่ี 338 สะพานแขวนหนา้ วดั หัวดงและตลาดฝั่งหวั ดงเกา่ เครือ่ งมอื และอุปกรณท์ าเรอื ของคนหัวดง 1. ขวานโยน ขวานโยน เปน็ เครื่องมอื สา้ หรบั ตดั ฟัน ผ่า ถางไม้ ท้าด้วยเหล็กมีสันหนาใหญ่ บ้องท่ีหัวบิด ได้ ส้าหรับการขุดเรือของคนในต้าบลหัวดง หากขาดขวานโยนไปก็ไม่สามารถท่ีจะขุดเรือได้เป็น อปุ กรณ์ที่มคี วามส้าคัญมากในการขุดเรือหรือท้าเรือโบราณ นอกจากนี้จะใช้เพื่อท้าการตกแต่งผิวเรือ ให้มีความเรยี บเนยี นไดข้ นาดตามท่ีต้องการ ภาพที่ 339 ขวานโยน 2. เลอ่ื ยบคุ คโลหรอื เลื่อยพญายม เลื่อยบุคคโล เป็นเลื่อยโบราณท่ีใช้เพื่อโค่นต้นไม้ใหญ่ จะต้องใช้คนสองคนดึงหัวท้ายของ เลือ่ ยเพอ่ื ใหก้ ารทา้ งานสมบูรณ์ นอกจากน้ียงั ใช้เพ่อื ตกี ะโปะ๊ เพื่อท้าแนวในการขุดเรือ

349 ภาพท่ี 340 เลื่อยบคุ คโลหรือเล่ือยพญายม 3. ละแมะ ละแมะ เคร่ืองมือที่มีลักษณะรูปคล้ายจอบส้าหรับถากเรืออุปกรณ์น้ีใช้เพ่ือตกแต่งในงาน ละเอยี ดการท้าโค้งเรอื ต่างๆให้ไดร้ ปู สวย ภาพที่ 341 ละแมะ 4. ขวานหมู ขวานหมู มีลักษณะด้ามส้ัน สันหนา มีบ้องยาวตามสันเป็นเคร่ืองของช่างไม้ ใช้ตัด ฟันถาง อุปกรณน์ ี้ใช้เพอื่ เสย่ี มหลกั หรอื ฟันถางในจุดมมุ เลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ท่ีเขา้ ถงึ ยาก

350 ภาพที่ 342 ขวานหมู 5.กบมือ กบมือ เป็นเครื่องมือส้าคัญส้าหรับช่างไม้ ใช้ขัดผิวไม้ให้มีผิวท่ีเรียบและได้รูปทรงตามที่ ต้องการ อุปกรณ์น้ีไว้ใช้ในการไสไมใ้ ห้เรยี บได้แนว ภาพท่ี 343 กบมอื 6. สว่านมอื สว่านมือ เป็นเคร่ืองมือใช้ส้าหรับเจาะรูในงานไม้ ในอดีตมีสองประเภท คือสว่านโยน กับ สว่านมีดร่า ทั้งสองประเภทคือเจาะเหมือนกันแต่ขนาดไม่เท่ากัน สว่านมีดร่าจะเจาะพ้ืนเรือต้องใช้ สองมอื หมุน

351 ภาพท่ี 344 สว่านมอื ภาพที่ 345 สวา่ นมือ 7. สิว่ สิ่ว เป็นเคร่ืองมือที่ใช้ตัดไม้ให้เป็นรูปร่างต่างๆ โดยการตอกด้วยค้อน ให้ส่วนที่คมที่ปลาย ส่ิวกินเนื้อไม้ เพ่ือให้ส่วนท่ีเกินหลุดออกมา จนเหลือรูปทรงท่ีต้องการ สิ่วมีลักษณะเป็นโลหะส่วน ปลายจะแบนคมคล้ายลิ่ม และมดี ้ามจบั ท่เี ป็นไม้ อุปกรณน์ ้ีไวส้ กดั สว่ นเกนิ ตา่ ง ๆของเรือออก

352 ภาพที่ 346 สิ่ว 8. เรอื มีใช้มาอย่างยาวนาน อาจจะเรียกได้ว่าพื้นท่ีใดติดกับแหล่งน้าไม่ว่าจะเป็นแม่น้าล้า ธาร ห้วย หนองคลองบึง ย่อมต้องมีเรือไว้ใช้เป็นพาหนะหรือขนถ่ายส่ิงของต่างๆ ท่ีจะต้องใช้ใน ชีวิตประจ้าวันเสมอในพื้นที่หัวดงคือพื้นท่ีท่ีมีการน้าท่วมหลาก ท้าให้บริบทของพื้นท่ีหัวดงจึงเป็น เมืองน้า หน้าน้าหลากน้ันยาวนานสมัยก่อนนั้นอาจจะเกือบ 5 เดือน ท้าให้ทุกบ้านจะต้องปรับบริบท เพ่ือให้สามารถใช้ชีวิตอยู่กับน้าให้ได้จึงมีเรือไว้ใช้ในทุกบ้าน เรือแต่ละชนิดท่ีมีแต่ละบ้านจะไม่ เหมือนกันตามการใช้งานและความช่ืนชอบหรือบางส่วนก็เป็นผลของศิลปวัฒนธรรมของคนและพื้น ถิน่ ไม่เหมือนกนั อาจจะเห็นไดจ้ ากเรอื ท่ใี ช้ เรอื โบราณทอ่ี ยู่ในหวั ดง ก็มรี ายละเอียดดงั นี้ 8.1. เรอื โปงตาล ภาพท่ี 347 เรือโปงตาล เรือเรือโปงตาล ท้ามาจากต้นตาล ท่ีเรียกว่าโปงตาล ก็คือกระบวนการท้าก็คือน้าต้นตาล มาท้าให้โปงและเป็นเรือ ผู้รู้บอกว่าน่าจะเป็นแบบเรือขุดในยุคเริ่มต้นของคนหัวดง เพราะมีต้นตาล มากจึงน้ามาท้าเป็นเรือ เรือชนิดนี้ใช้ต้นตาล โดยต้นตาลที่ใช้ต้องเป็นต้นตาลท่ีมีอายุมากหรือเป็นต้น

353 ต้นท่แี กจ่ ากนน้ั น้ามาขุดและแบะออกเท่าท่ีจะท้าได้แต่ไม่สามารถแบะออกได้มากเพราะต้นตาลน้ันไม่ มียาง ไม่สามารถใช้กรรมวิธีในการขุดได้ทั้งหมด โดยใช้โคนต้นตาลเป็นหัวเรือเพราะมีขนาดที่ใหญ่ กว่าล้าต้น ส่วนล้าต้นเม่ือขุดแล้วใส่คั่นเพื่อให้คนลงไปน่ังได้ ข้อดีของเรือประเภทนี้ เรือจะมีความ แข็งแรง กล่าวคือด้านผิวเรือด้านนอกจะมีความแข็งแรง ส่วนพื้นสัมผัสด้านในจะมีความอ่อนนิ่ม มี ความทนทานต่อสภาพต่างๆ ได้ดี ข้อเสียของเรอื ประเภทน้ี เรือโปงตาลมีความแคบ เล็ก บรรทุกคนได้ นอ้ ย บรรจุของก็น้อย 8.2 เรือหมู ภาพท่ี 348 เรือหมู เรือหมูท้าจากไม้หลากหลายชนิดท่ีสามารถหาได้ในท้องถิ่น แต่กรรมวิถีก็ยังคงเป็นเรือขุด ส่วนใหญ่เรือหมูที่ท้ากันมากคือไม้ตะเคียนน้ามาขุด เหตุเพราะไม้ตะเคียนน้ันมีความขึ้นชื่อในการทน สภาพเมอื่ อยู่ในนา้ และไมต้ ะเคียนนีม้ ียาง สามารถขดุ แลว้ น้ามารมควันให้มีความร้อนเพื่อที่จะแบะตัว เรอื ให้กวา้ งออกได้ตามท่ีต้องการ เรือยาวประมาณ 3 – 4 เมตร เรือหมูจะมีสองประเภทคือเรือหมูที่ มีท้องแบน และเรือหมูที่มีท้องกลม เรือประเภทน้ีใช้สัญจรไปมาในคลองน้า ข้อดีของเรือประเภทน้ี เรือหมูจะมีความคล่องตัว ในส่วนของเรือหมูที่มีท้องเรือแบนก็สามารถท่ีจะบรรทุกคนได้ 3 – 5 คน และบรรจุสิ่งของได้จ้านวนหนึ่ง ข้อเสียของเรือประเภทนี้ เรือหมูต้องอาศัยคนพายที่มีความช้านาญ เพราะเป็นเรอื ที่โคลง และควา้่ ได้ง่าย โดยเฉพาะเรือหมทู อ้ งกลมน้ันคอ่ นข้างทรงตวั ลา้ บาก

354 8.3 เรือเผ่นม้าหรือเรือพายมา้ ภาพท่ี 349 เรือเผ่นมา้ หรือเรอื พายม้า เรือเผ่นม้าหรือเรือพายม้า สามารถเรียกช่ือเรือประเภทน้ีได้ทั้งสองแบบแต่เป็นท่ีเข้าใจ ตรงกันว่าเป็นเรือที่ใช้เพื่อบรรทุกโดยเฉพาะสินค้าจากเกษตรกรรม ในหัวดงเราก็จะมีข้าวและ ข้าวโพดโดยส้าคัญ ส้าหรับคนบ้านดอนหรือในพ้ืนที่ท่ีสูงกว่าพื้นท่ีราบลุ่มแม่น้า เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิต มีความจ้าเป็นต้องขนถ่ายผลผลิตทางการเกษตรลงมาขายในตลาดหัวดง หรือขนถ่ายลงเรือ มอญทม่ี ารอรบั สินค้าในแม่น้าน่านก็มักจะใช้เรือเผ่นม้าหรือเรือพายม้าขนสินค้ามา เรือประเภทนี้เป็น เรือต่อกันด้วยไม้หลายชนิด ลักษณะเด่นจะมีขนาดใหญ่สามารถท่ีจะบรรทุกข้าว หรือข้าวโพด ได้ ประมาณ 3–4 เกวียน ต้องใช้คนพายสองคน บางจุดที่เป็นคลองน้าไม่ลึกมาก ต้องใช้ลักษณะการค้า ถอ่ เรือเพอื่ ใหเ้ ดนิ ทางตอ่ ไปได้ ขอ้ ดีของเรือประเภทนี้ เรือเผ่นม้าหรือเรือพายม้า มีประโยชน์ส้าคัญคือ การขนสินค้า ผลิตผล ทางการเกษตรได้จ้านวนมาก ๆ ข้อเสียของเรือประเภทนี้ เรือเผ่นม้าหรือเรือ พายมา้ เน่อื งจากมีขนาดใหญ่ จะทา้ ให้การคล่องตวั ลดลง เดินทางได้ช้า 8.4 เรือจบี สาวหรือเรอื บด ภาพท่ี 350 เรอื จีบสาวหรอื เรือบด

355 เรือจีบสาวหรือเรือบด ท้าไมต้องชื่อเรือจีบสาว อาจจะหมายถึงภารกิจหลักของคนท่ีใช้เรือ ประเภทนีก้ ็เปน็ ได้ แตท่ ี่แน่ชัดคือคนที่จะใชเ้ รือนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเปน็ คนหนมุ่ เปน็ นักเลงหัวไม้มาเฟีย บ้านนอก อะไรเทือกน้ัน เรือจีบสาวหรือเรือบดน้ี เป็นเรือท่ีท้าจากไม้หลายชนิด ท้าได้ทุกประเภท หลักๆกจ็ ะเป็นไม้ยางหรือไม้สัก จะเนื้อไม้ท่ีสวย ออกมาเป็นเรือท่ีสวยงาม โดยน้ามาต่อกันท้องเรือจะ กลม โคลงง่าย คนพายต้องมีการทรงตัวที่ดี มีความช้านาญในการพายเรือมากๆ คนใช้เรือประเภทน้ี ต้องการความคล่องตัวสูง ความรวดเร็วของเรือซึ่งได้ผลท่ีดีมาก ๆ เหมือนคร้ังในอดีตเรือบดหรือเรือ จีบสาวนี้จะน่ังได้เพียงสองคนเท่านั้น การพายเรือบดไปรับสาวในอดีตน้ันเป็นท่ีนิยมมาก เรือจะ แสดงออกถึงฐานะ ความมีรสนิยม ใครท่ีมีเรือประเภทนี้ก็จะมีเสน่ห์ สาวๆก็จะมองหนุ่มๆ ที่พายเรือ ประเภทน้ีก่อน เพราะหนุ่มที่พายเรือนี้ได้ต้องเก่งและมีฐานะ เป็นเรื่องเล่าจากวันวาน และยังคงมี บ้านที่เก็บเรือบดน้ีไว้อยู่ ท้ังที่ปัจจุบันคงไม่มีใครใช้เรือประเภทนี้แล้วด้วยการพายท่ียาก แต่คงเก็บไว้ เพ่ือเป็นความทรงจ้าท่ีดี ข้อดีของเรือประเภทนี้ เรือจีบสาวหรือเรือบด จะเป็นเรือท่ีมีความคล่องตัว สูง เป็นเรือเร็วท้าภารกิจเร่งด่วนได้ทันใจข้อเสียของเรือประเภทน้ี เรือจีบสาวหรือเรือบด จะบรรทุก ไดเ้ พยี งสองคน และเปน็ เรอื ทีพ่ ายยากทส่ี ุดและมีอตั ราการลม่ ง่ายทีส่ ุด 8.5 เรือป๊าป ภาพท่ี 351 เรอื ป๊าป เรือป๊าป เป็นเรือที่ชาวบ้านหัวดง ต่อเรือโดยใช้ไม้หลายชนิดต่อขึ้นเป็นเรือ บางก็ใช้เหล็ก เชื่อมต่อกนั เป็นเรอื แตก่ เ็ รยี กเรือปา๊ ปเหมอื นกัน เป็นการผสมผสานแนวคิดในการแก้ไขปัญหาของการ ในเรือในอดีตระหว่างเรือเผ่นม้าหรือพายม้า กับเรือหมู คือเรือพายม้าหรือเผ่นม้านั้นเป็นเรือบรรทุก สินคา้ หรือผลิตผลทางเกษตรท่ดี ีมากเพราะบรรทุกได้มาก แต่ก็ไม่คล่องตัวช้า ส่วนเรือหมูก็คล่องตัวดี แต่พ้ืนท่ีบรรจุได้น้อย บรรทุกก็ได้น้อย จึงท้าเรือป๊าปน้ีขึ้นมาเพื่อให้บรรทุกได้มากข้ึน และยังมีความ คล่องตวั ทีด่ พี อสมควรไมอ่ ดื จนเกนิ ไป ทมี่ าของชือ่ เรือคอื ตัวเรือเหมือนกับท้องเป็ด เม่ือแรกคนก็เรียก เรอื ก๊าบ เรอื ก๊าบมาแล้ว กเ็ พ้ียนเสยี งไปเป็นเรอื ป๊าป เปน็ คา้ บอกเลา่ ทีบ่ อกตอ่ กันมา

356 8.6 เรือแท็กซ่ี ภาพท่ี 352 เรอื แท๊กซ่ี เรือแท็กซ่ี หรือเรือยนต์ลากจูง หัวเรือจะแบนกว้างเชิดขึ้นเล็กน้อย ท้ายเรือแบนลาด มน โคง้ เกือบกลม ท้องเรอื จะกลม มีเก๋งคลมุ กลางลา้ เวน้ ดาดฟา้ หัวและทา้ ยของเรือเครื่องยนต์จะสูง และ ท้องเรือจะลึก ใบจักรเรือจะกินน้าลึก เพื่อให้มีก้าลังเรือลากจูง และมีเครื่องบังคับการเดินเรือ เคร่ืองยนต์เรือ เป็นเคร่ืองยนต์ท่ีใช้น้ามัดก๊าด มีท่ีนั่งท้ายเรือ ตอนหัวเรือเป็นเฟี้ยม คนขับเรือเป็นทั้ง คนผูกเชือกเรือโยงเรือ และขับเรือ เรือแท็กซี่ท่ีมีขนาดใหญ่สามารถลากจูงเรือบรรทุกสินค้าได้ครั้งละ หลายๆล้า เช่นลากเรือมอญ ในอดีตการลากจูงเรือมักจะลากท้ังกลางวันและกลางคืน และสามารถ รับ-ส่งผู้โดยสารข้ามแม่น้า จะเห็นได้ตามหัวเมืองใหญ่เท่านั้น จะเห็นตามบ้านนอก หรือบ้านเรือน ไกลๆ ในปจั จุบนั กย็ งั คงมีใหเ้ ห็นอยู่ 8.7 เรอื เมล์ ภาพที่ 353 เรือเมล์

357 ลักษณะเปน็ เรอื ทอ้ งกลม ทวนหวั ตั้งตรงในแนวด่ิงท้ายแบนคลา้ ย มเี สาเก๋งหลังคาช่วงกลาง ล้า ด้านหน้ามีคนบังคับ หรือถือท้าย จะมีเฟ้ียมด้านล่างเป็นลูกฟักไม้ ด้านบนเป็นกระจกบังฝน หรือ เปดิ รับลม ท้ายเรอื มีเสาหลกั ทีม่ ่นั คงใช้ในการผูกโยงเชือกลากจูงเรือ ในสมัยก่อนใช้ลากเรือเอี้ยมจุ๊นที่ บรรทุกสินค้าตา่ งๆ ไดค้ ราวละหลายล้า และยงั ใชเ้ ป็นเรือโดยสารท่เี ปน็ เส้นทางไกลๆ ในปจั จบุ ันอกี 8.8 เรอื มอญ หรอื เรือเอ๊ียมจุ้น ภาพท่ี 354 เรอื มอญ หรือเรือเอย๊ี มจุน้ เรือเอี๊ยมจุ้นหรือมอญ เป็นเรือท่ีมีท้องกลมกว้างแบน ทวนหัวทวนท้ายจะเป็นท่อนตรง ต้ังขึ้น เอียงไปทางหัวและท้าย และจะเรียว มีไม้กระดานเรียบเสริมกราบเรือ หางเสือเป็นแบบพาด ข้างเรือ หรือแขวงคล้องติดกับหลักท้ายเรือ เรือเอ๊ียมจุ้นหรือมอญมีความยาวประมาณ 25 เมตร ใช้ ลา้ เลียงสนิ คา้ จากเรอื ใหญ่เขา้ เกบ็ ในโกดงั และขนถา่ ยสนิ ค้าท่ีท่าเทียบเรือ เปลือกเรือจะใช้ไม้ตะเคียน หรือไม้สัก ส่วนกงเรือกระดูกงู และทวนใช้ไม้เน้ือแข็ง เรือเอี๊ยมจุ้นและเรือมอญเป็นเรือท่ีใช้ขนถ่าย สนิ ค้าจากหวั เมืองไปสูก่ รุงเทพมหานคร ตวั เรือน้ันจะมีความหนาค่อนข้างมากว่ากัน ตัวเรือหน้าไม่ต้่า กว่า 1 น้ิว แข็งแรงทนทานมาก มีการยาด้วยชัน ส่วนท่ีเป็นช่องว่างของไม้จะมีการตอกหมัน (หมัน หมายถึงด้ายดิบ ) จะตอกหมันและยาทับเพื่ออุดรอยแตกหรือช่องว่าง ส่วนใหญ่จะใช้สุภาพสตรีเป็น คนทา้ เพราะต้องอาศยั ความใจเย็น และท้างานละเอียด ล้าใหญ่จะจุได้ไมต่ า้่ กว่า 100 ตัน ล้าเล็กก็จะจุ อย่ทู ี่ 50–80 ตนั ในปัจจุบนั ไม่ค่อยไดเ้ หน็ แลว้ เพราะนยิ มใช้เปน็ เรือเหลก็ แทน เพราะค่าใช้จ่ายในการ ดูแลถูกกว่าและรักษางา่ ยกว่า เรอื เอ๊ียมจนุ้ หรอื เรือมอญ และสามารถบรรทุกสนิ ค้าได้มากกวา่ ต้ังแต่อดตี โบราณชาวตา้ บลหัวดงมีการติดต่อสื่อสารกันอยู่เสมอหากอยู่ไกลกันการเดินทาง จะต้องใช้เวลาเดินทางหลายวันหากเดินด้วยเท้าก็ท้าให้เหนื่อยล้าได้จึงมีการคิดรูปแบบของการ เดินทางในส่งิ ท่ีอยูใ่ กลต้ ัว ส่วนใหญ่การเดนิ ทางในสมยั ก่อนจะใชส้ ตั วเ์ ปน็ พาหนะ เชน่ มา้ วัว ควาย ใช้ เป็นยานพาหนะ รวมถึงใช้ววั เทยี มเกวยี น หากเดินทาง ทางน้าก็จะใช้เป็นเรอื ล่องตามแม่น้า ในช่วงฤดู น้าหลากหรือช่วงหน้าน้าเพราะสมัยก่อนบ้านหัวดงน้าท่วมทุกปี ชาวบ้านเขาจะพายเรือในการ ตดิ ต่อกนั ในช่วงน้าหลาก ปัจจบุ นั ววิ ฒั นาการทางเทคโนโลยี ได้ก้าวหน้าและทันสมัยขึ้น มีถนน ไฟฟ้า

358 เขา้ มาในหมู่บา้ นและความเจริญท่ีทันสมัย ท้าให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ได้เปล่ียนแปลง หันมาใช้รถยนต์ รถไฟ มอเตอร์ไซด์ จกั รยาน เรือยนต์แทนการใช้เรือพายและสัตว์ ในการเดินทาง ในอดีตจะใช้เกวียน ในการขนสินคา้ มาในปัจจบุ นั นจ้ี ะใชร้ ถยนต์เปน็ พาหนะในการขนส่งสินค้าเพราะดูแลรักษาง่าย ท้าให้ เกิดการเดินทางท่ีรวดเร็วมากกว่าการใช้เกวียน ย่ิงข้ึนรวมถึงประโยชน์ในการขนส่งต่าง ๆ ดีกว่าใน อดตี ประหยัดเวลาในการเดนิ ทาง ภาพท่ี 355 เกวยี น ภาพท่ี 356 เกวียน

359 ภาพที่ 357 รถอแี ต๋น ภาพท่ี 358 รถบรรทุกขา้ วเปลือก เนื่องจากคนหัวดงในสมัยก่อนมีอาชีพท้านาเป็นส่วนมาก จะท้าข้าวนาปี และข้าวนาปัง ประกอบอาชีพทา้ นาเป็นหลัก โดยท่ีการท้านาปีละ 3 ครั้งบ้าง 1 ครั้งบ้างตามสภาพพื้นที่ของหมู่บ้าน และน้าจากฟา้ ฝน ตามชว่ งของฤดูกาลทา้ นา 1. ขา้ วนาดา้ การปลูกข้าวในนาด้า เรียกว่า การปักด้า ซ่ึงวิธีการปลูกแบ่งออกได้เป็นสองตอน ตอนแรก ได้แก่การตกกล้าในแปลงขนาดเล็ก และตอนท่ีสองได้แก่การถอนต้นกล้าเอาไปปักด้าในนาผืนใหญ่ การเตรียมดินส้าหรับปลูกข้าวแบบปักด้า ต้องท้าการเตรียมดินดีกว่าการปลูกข้าวไร่ ซ่ึงมีการไถดะ การไถแปร และการคราด ปกตกิ ารไถและคราดในนาดา้ มักจะใชแ้ รงวัวควายหรือแทร็กเตอร์ขนาดเล็ก

360 ท่ีเรียกว่าควายเหล็ก หรือไถยนต์เดินตาม ท้ังน้ีเป็นเพราะพื้นท่ีนาด้านั้นได้มีคันนาแบ่งกั้นออกเป็น แปลงเลก็ ๆ ขนาดแปลงละ 1 ไร่ คันนามีไวส้ า้ หรับกกั เกบ็ น้า หรือปลอ่ ยน้าท้งิ จากแปลงนา นาด้าจึงมี การบงั คบั น้าในนา ก่อนท่ีจะท้าการไถจะต้องรอให้ดินมีความชื้นพอท่ีจะไถได้เสียก่อน ปกติจะต้องรอ ให้ฝนตกจนมนี ้าขงั ในผืนนา หรอื ใส่น้าเข้าไปในนาเพ่ือท้าให้ดนิ เปยี ก ภาพท่ี 359 ววั ภาพท่ี 360 ควาย

361 ภาพท่ี 361 รถไถถานพวง ภาพท่ี 362 รถอีโกง้ หรือรถไถนาเดนิ ตาม

362 ภาพที่ 363 รถไถนาปัจจบุ นั คันไถ จะเป็นไม้ท่ีอยู่ในแนวนอนเป็นตัวเช่ือมระหว่างหางยามกับแอก แอก เป็นส่วนท่ีใช้ คลอ้ งกบั คอควาย เพอื่ ชว่ ยบังคับควาย และเป็นแรงในการทา้ ให้ไถนาได้ ภาพที่ 364 คนั ไถนาและคอมควายส้าหรับไถนา

363 ภาพที่ 365 คราดไม้ ภาพที่ 366 รถอโี กง้ น้าไปคราดนา คราด ใช้ในการย่อยดินให้เล็กลง และเก็บเศษหญ้าเศษฟาง และมีส่วนของแผ่นไม้ ท่ีช่วย ปรับระดับหน้าดนิ ใหเ้ ทา่ กนั สมัยกอ่ นใช้ไมค้ ราด ปจั จุบนั ใช้รถอีโกง้ คราด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook