14 มสี ว่ นรว่ ม มไี ด้อย่างไร การสือ่ สารพูดคยุ เปน็ การส่ือความคิดเห็น การถกปญั หา รวมถึงการ หาทางแก้ไขปัญหาต่างๆจากการระดมความคิดจากประสบการณ์ของนักวิจัยท้องถ่ินพบว่าชุมชน จัด ให้มเี วทพี ดู คุย รว่ มกันคดิ วางแผนดาเนินการ ประสานงานกับหนว่ ยงานต่างๆทเ่ี ก่ยี วข้องในการทางาน รว่ มกัน สร้างกฎระเบยี บของชมุ ชนทางด้านตา่ งๆเพ่อื ใหค้ นในชมุ ชนรวมถึงผมู้ าเยือนปฏิบัติตาม ผลกระทบจากการทาการท่องเที่ยวโดยชุมชน : \"Community-based Tourism : CBT\" ทุกอยา่ งทดี่ าเนินการยอ่ มสง่ ผลกระทบต่อส่ิงทตี่ งั้ อยู่ สิ่งแวดล้อมโดยรอบทั้งส้ิน ซึ่งมีผลกระทบ ด้านบวกและด้านลบ (วรี ะพล ทองมา, 2547) ไดแ้ ก่ 1. ผลกระทบด้านบวก ส่งผลให้ชุมชนมีจิตสานึกเกิดการพัฒนาตนเอง พึ่งพาตนเอง คิดเป็น ทาเป็น มีความพยายามในการเรียนรู้พัฒนา เกิดรายได้เพ่ิมขึ้นมีการรวมตัวกัน สร้างความเข้มแข็งใน ชุมชน นาไปสู่การพัฒนาทยี่ ่งั ยืน ตามความคาดหวังและความพยายามที่จะดาเนินการเพ่ือให้เป็นตาม หลักการพัฒนาอย่างย่ังยืน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านสังคมวัฒนธรรม 3) ส่ิงแวดล้อม และสิ่งสาคัญประการหน่ึงท่ีจะนาไปสู่ความยั่งยืนคือการรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา สืบสานสืบ ทอด ตลอดจนการนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เกดิ ความรกั ความภาคภูมิในความรูส้ กึ เปน็ เจ้าของ มีส่วนร่วม ในทรพั ยากรของชมุ ชน และเกดิ กระบวนการเรียนรู้การทางานร่วมกนั ในทสี่ ุด 2. ผลกระทบด้านลบ เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ จานวนขยะท่ีเพิ่มมากข้ึนจาก นักท่องเท่ียว การใช้น้า ระบบนิเวศธรรมชาติ การรับวัฒนธรรมที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสการ เลียนแบบ มีความขัดแย้งทางความคิด เสียความเป็นส่วนตัวในการที่จะต้องรองรับนักท่องเที่ยว และ ท่ีสาคัญคืออาจถึงกับสูญเสียเอกลักษณ์ของท้องถิ่น หากมีการตอบสนองความต้องการของ นกั ทอ่ งเที่ยวมากเกนิ ไป ในส่วนการตลาดนั้นแต่ละชุมชนจะต้องให้ข้อมูลแนะนาชุมชนตนเองและชุมชนอ่ืนที่ถูกต้อง และน่าสนใจแก่นักท่องเท่ียวและที่น่าภูมิใจสาหรับชุมชนคือ การรักษ์และหวงแหน ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาบรรพบุรุษท่ีสืบต่อกันมา แต่ชุมชนไม่ได้ละทิ้ง พ้ืนฐานเดมิ หรอื ปรับเปลีย่ นวถิ ชี ีวิตไปตามกระแสวัฒนธรรม และไมไ่ ดม้ ุง่ หวงั รายได้จากการท่องเที่ยว ทจ่ี ะได้ให้เป็นรายได้หลักของชุมชนโดยละทิ้งอาชีพด้ังเดิมท่ีจะเป็นการท่ีจะปรับตัวเพ่ือรองรับกระแส การทอ่ งเที่ยวท่เี ข้าไปในชุมชน หลกั การทางานการทอ่ งเที่ยวโดยชุมชน จากแนวคิดการท่องเท่ียวโดยชุมชน ที่มองชุมชนเป็นศูนย์กลางหรือฐานเพ่ือกาหนดทิศทาง แผนงาน แผนปฏิบัติการของตนเองโดยดาเนินการพร้อมกันทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และส่ิงแวดล้อมนั้น จึงทาให้กิจกรรมการท่องเท่ียวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา แบบองค์รวมและเก่ียวกับกลุ่มคนต่างๆ มากมาย เมื่อมองในบริบทของการพัฒนาการท่องเที่ยวท่ี ตอ้ งการใหช้ ุมชนมีสว่ นร่วมและได้ประโยชน์จากการทอ่ งเทีย่ วจงึ ควรตอ้ งมหี ลักการรว่ มกัน ดังนี้ 1. การท่องเที่ยวโดยชุมชนต้องมาจากความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ชุมชนได้มีการ พินิจพิเคราะห์สภาพปัญหา ผลกระทบการท่องเที่ยวอย่างรอบด้านแล้ว ชุมชนร่วมตัดสินใจลงมติท่ีจะ ดาเนินการตามแนวทางที่ชุมชนเหน็ สมควร 2. สมาชิกในชุมชนต้องมีส่วนร่วมทั้งการคิดร่วม วางแผนร่วม ทากิจกรรมร่วม ติดตาม ประเมินผลรว่ มกนั เรยี นรู้รว่ มกันและรบั ประโยชนร์ ่วมกนั
15 3. ชุมชนต้องการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นชมรม เป็นองค์กร หรือจะเป็นองค์กรชุมชนเดิมที่มี อยู่แล้วเช่นกัน องค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) ก็ได้ เพ่ือกลไกท่ีทาหน้าที่แทนสมาชิกทั้งหมดใน ระดับหนึ่ง และดาเนินการด้านการกาหนดทิศทาง นโยบายการบริหาร การจัดการ การประสานงาน เพอื่ ให้การท่องเทย่ี วโดยชุมชนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของสมาชกิ ในชมุ ชนท่ีเหน็ ร่วมกัน 4. รูปแบบ เนื้อหา กิจกรรม ของการท่องเที่ยวโดยชุมชน ต้องคานึงการอยู่ร่วมกันอย่างมี ศกั ด์ิศรี มีความเทา่ เทียมกนั มีความเปน็ ธรรม และให้สง่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวฒั นธรรมในเชงิ สรา้ งสรรคแ์ ละลดผลกระทบในเชิงลบ 5. มกี ฎ กติกาที่เห็นร่วมจากชุมชน สาหรับการจัดการท่องเท่ียวที่ชัดเจน และสามารถกากับ ดูแลให้เปน็ ไปตามกตกิ าทีว่ างไว้ 6. ชุมชนท่ีจัดการท่องเที่ยว สมาชิกในชุมชน ชาวบ้านท่ัวไปและนักท่องเท่ียวควรมี กระบวนการเรียนรูร้ ะหว่างกันและกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนากระบวนการทางานการ ท่องเทีย่ วโดยชุมชนใหถ้ กู ต้องเหมาะสม และมีความชัดเจน 7. การท่องเท่ียวโดยชุมชน จะต้องมีมาตรฐานท่ีมาจากข้อตกลงร่วมภายในชุมชนด้วย เช่น ความสะอาด ความปลอดภัย การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมของผู้ท่ีเก่ียวข้อง และพิจารณาร่วมกันถึง ขดี ความสามารถในการรองรับ 8. รายไดท้ ี่ไดร้ ับจากการทอ่ งเท่ยี ว มสี ่วนไปสนบั สนุนการพัฒนาชุมชนและรกั ษาสิ่งแวดล้อม 9. การท่องเทีย่ วจะไมใ่ ช่อาชีพหลกั ของชมุ ชน และชุมชนต้องดารงอาชีพหลักของตนเองไว้ได้ ท้ังนี้หากอาชีพของชุมชนเปลี่ยนเป็นการจัดการท่องเท่ียว จะเป็นการทาลายชีวิตและจิตวิญญาณ ด้งั เดมิ ของชมุ ชนอยา่ งชดั เจน 10. องค์กรชุมชนมีความเข้มแข็งพอที่จะจัดการกับผลกระทบที่อาจเกิดข้ึนได้ และพร้อมจะ หยุดเม่ือเกินความสามารถในการจัดการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากมองในแง่ความพร้อมของชุมชนและ ประสทิ ธภิ าพในการบริหารจัดการท่องเทยี่ วในมิติของชุมชนแล้ว การท่องเที่ยวโดยชุมชนจะเป็นไปได้ ดว้ ยดีนัน้ ยงั ต้องพจิ ารณาจากมติ นิ อกชุมชนทเ่ี ข้ามาเกี่ยวข้องด้วยได้แก่ การตลาด นโยบายรัฐที่เข้ามา สนับสนนุ และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเป็นตน้ กระบวนการทางานเพือ่ เสรมิ สรา้ งความเขม้ แข็งของชุมชนในการจัดการท่องเทีย่ ว หากชุมชนมีความพร้อมมีปัจจัยเอ้ืออานวยต่อการเข้ามีบทบาทจัดการการท่องเท่ียวแล้วน้ัน ผู้นาชุมชนและแกนนาท่ีหลากหลาย ตัวแทนกลุ่มต่างๆ ในชุมชน เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี กลุ่ม ออมทรัพย์ กลุ่มสหกรณ์การเกษตร ฯลฯ และผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น องค์การบริการส่วนตาบล เจ้าหน้าที่ปุาไม้ ครูอาจารย์ในโรงเรียน เป็นต้น ร่วมกันประชุมสัมมนาเพ่ือสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกับการ ท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งเป็นการผนึกกาลังความคิดสร้างสรรค์ ประสานแนวคิดของทุกคนให้เห็นเป็น ภาพเดียวกัน ในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และนาวิสัยทัศน์ที่ได้มากาหนดเป็นเปูาหมายเป็น ทิศทางของการดาเนินกิจกรรมการท่องเท่ียวโดยชุมชนในระยะต่อไป ดังที่พจนา สวนศรี (2546) ได้กล่าวไว้
16 วสิ ัยทศั น์ ชุมชนหลายแห่งตัดสินใจเปิดการท่องเท่ียวโดยชุมชนและเป็นฝุายจัดการเองน้ัน มีรูปแบบ การคิดตัดสนิ ใจด้วยการมองวสิ ัยทัศน์ 3 รปู แบบด้วยกนั คือ 1. มองกิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นเคร่ืองมือหน่ึงในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกับคนภายนอก ให้เกิดความรู้ความเข้าใจต่อสภาพปัญหาชุมชนท่ีประสบอยู่ และหวังว่าจะได้เพื่อนท่ีเข้าใจร่วมแก้ไข ปัญหาต่างๆ ร่วมกัน อันเป็นการเช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างวัฒนธรรม เพื่อประสานการมี ส่วนร่วมแกไ้ ขปญั หาของชุมชนน้นั 2. การท่องเท่ียวทาให้เกิดผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม จาเป็นท่ีชุมชน ต้องรวมตัวกันเข้ามาจัดการให้นักท่องเท่ียวและผู้ที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติอยู่ในกฎ กติกาของชุมชน การ จัดระเบียบการแบ่งปันผลประโยชน์แก่ผู้คนที่เกี่ยวข้องและผลประโยชน์ในชุมชน การสร้างมาตรฐาน ต่าง ๆ ของการท่องเที่ยวโดยชุมชนเอง ท้ังเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมากเกินขีดความสามารถที่ชุมชน จะจัดการได้ 3. การท่องเท่ยี วเป็นกระบวนการเรียนรู้ระหว่างคนกับธรรมชาติ เป็นการสร้างโอกาสในการ ฟื้นฟูวัฒนธรรม ภูมปิ ญั ญา และสงิ่ แวดลอ้ ม โดยมองทรี่ ายไดเ้ ป็นเพยี งแคผ่ ลพลอยได้จากกระบวนการ เรยี นร้ทู า่ มกลางการทอ่ งเทย่ี ว ซ่ึงทัง้ 3 รปู แบบนมี้ พี ื้นฐานการคิดจากชุมชนเอง ท่ีมีความภูมิใจในวัฒนธรรม และภูมิปัญญา ของตนเองท่พี รอ้ มจะสื่อต่อคนภายนอก โดยใชก้ ารทอ่ งเที่ยวเปน็ เครื่องมือในการถ่ายทอดนอกจากนั้น แล้ว ชุมชนเองยังต้องการความเข้าใจ ความร่วมมือของนักท่องเที่ยวในเคารพในกฎ กติกา ที่ชุมชน ร่วมกันสร้างไว้เพ่ือใหเ้ กดิ การเรียนร้รู ว่ มกันของคนตา่ งวฒั นธรรม วัตถปุ ระสงค์ วัตถุประสงค์ของการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซ่ึงมาจากการกาหนดจากวิสัยทัศน์ท่ี จัดทาร่วมกันในชุมชน และนามากาหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่เป็นรูปธรรม ให้มีความชัดเจนขึ้นโดย ชมุ ชนจะมีการกาหนดวัตถุประสงคห์ ลกั อยู่ 4 ประการด้วยกนั คือ 1. เพือ่ ให้กิจกรรมการท่องเท่ียว เป็นกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนา เป็นกิจกรรมที่เช่ือโยงกับกิจกรรมการพัฒนาชุมชนในรูปแบบอื่นๆ ท่ีต้องเอื้ออานวยการ เรียนรู้ต่อการกันและกันได้ เช่น การท่องเท่ียวโดยชุมชนที่ไปเยือนชุมชนชาวประมงพ้ืนบ้าน นักทอ่ งเที่ยวควรเกิดการเรียนรูบ้ ทบาทของประมงขนาดเล็กที่ทาหนา้ ท่ีอนรุ กั ษท์ รพั ยากรชายฝงั่ ดว้ ย 2. เพื่อให้กิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นตัวกระตุ้นส่งเสริมให้ชุมชนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวได้ เขา้ ใจ ใหค้ ุณคา่ ขนบธรรมเนยี ม วัฒนธรรมประเพณีของชุมชนใหก้ ลบั ฟน้ื คืนสภาพได้ในระยะต่อไป 3. เพื่อก่อให้เกิดการรวมตัวกันของคนในชุมชน ที่เผชิญต่อผลกระทบทางการท่องเที่ยว แบบเดิม ให้เข้ามีส่วนร่วมจัดการลดผลกระทบดังกล่าว และจัดระเบียบชุมชนให้เป็นระบบที่ทาให้ ชุมชนอยรู่ ว่ มกนั อย่างสนั ติสุข 4. เพื่อเป็นเครื่องมือการเผยแพร่ให้ข้อมูลข่าวสารท่ีถูกต้องของวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต กับสาธารณชนภายนอก จะเห็นได้ว่าในมิติของชุมชนไม่ได้มองเรื่องรายได้เป็นเรื่องหลัก ผิดกับในระดับนโยบายการ ทอ่ งเที่ยวมักจะใหค้ วามสาคัญเรื่องรายได้เปน็ อนั ดบั แรก หากเอาคุณค่าวิธีคิดท่ีเป็นพื้นฐานที่สาคัญใน
17 สังคมไทย อันได้แก่ การมีน้าใจ ความเอื้ออารี ประกอบกับการมีวิถีชีวิตท่ีสัมพันธ์กับธรรมชาติ ความ รักในศลิ ปวัฒนธรรม อันเป็นทุนทางสังคมของคนไทย ก็จะทาให้การริเริ่มและมองการท่องเที่ยวได้ถูก ทิศทางยิ่งข้ึน การประเมินความเปน็ ไปได้ของการจัดการทอ่ งเท่ียวโดยชมุ ชน เนื่องจากการจัดการท่องเท่ียวของชุมชนเป็นสิ่งท่ีต้องเก่ียวข้องกับคนภายนอก ดังนั้น ทักษะ ความชดั เจน การจดั การใหเ้ หมาะสม จึงเป็นเร่อื งทช่ี มุ ชนเองยังมีคงวามกังวลอยู่พอสมควร แม้ว่าจะมี ปัจจัยที่เอื้อ และการสนับสนุนจากภายนอกพอสมควร แต่ชุมชนเองต้องสามารถคาดการณ์ และ ประเมินว่า วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ ของการจัดการท่องเท่ียวโดยชุมชนน้ัน มีความเป็นไปได้มากน้อย เพียงไร โดยการร่วมกันอภิปราย ระดมความคิดเห็น จากชุมชนให้กว้างขวางจนสามารถสรุปด้วยมติ ของชมุ ชนเอง ซึ่งมีองคป์ ระกอบการประเมนิ อยู่ 7 ประการดว้ ยกัน คือ 1. ผู้นาชุมชนและแกนนาชุมชน สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอก และสภาพปัญหา ชุมชนตลอดจนมองแนวทางแก้ไขปัญหาได้แบบชัดเจน และมองกิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นกิจกรรม หน่ึง หรือกิจกรรมร่วมเช่ือมต่อทิศทางการแก้ไขปัญหาโดยภาพรวมของชุมชนได้ แล้วจึงได้กาหนด เป็นวัตถุประสงค์เปาู หมายการทากิจกรรมการท่องเทย่ี ว 2. การมีส่วนร่วมของชมุ ชนทงั้ หมด เนอ่ื งจากเปน็ เร่ืองที่ต้องเกี่ยวข้องกับสทิ ธขิ องชุมชน การ จดั การทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมชุมชนที่ชุมชนต้องมีการ คิดไตร่ตรองวินิจฉัย และร่วมตัดสินใจจะเปิดหมู่บ้านรองรับอย่างไร ควรเป็นรูปแบบใด ใครบ้างท่ี เกี่ยวขอ้ ง ใครมบี ทบาทจัดการอย่างไร และภายหลังนักท่องเท่ียวกลับแล้วมีการลดผลกระทบอย่างไร ดว้ ยวธิ กี ารใด ตลอดจนการแบ่งปันผลประโยชน์ภายในชมุ ชน 3. ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการจัดตั้งองค์กรภายในชุมชน เพื่อรับผิดชอบกิจกรรมน้ี หรือ ผลักดันใหอ้ งคก์ รชุมชนอน่ื ทพ่ี จิ ารณาแลว้ วา่ มคี วามพรอ้ มทาหน้าท่ีรับผิดชอบเป็นหน่วยงานหน่ึงของ องค์กรนัน้ ๆ แต่ทง้ั นีก้ ารดาเนินการขององคก์ รตอ้ งเป็นไปดว้ ยความโปรง่ ใส เพราะมีผลประโยชน์ที่เข้า มาเกยี่ วข้อง 4. การพจิ ารณาเอกลักษณเ์ ฉพาะถ่นิ หรอื ของดีในชมุ ชนเพ่ือจัดปรบั เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวให้ สอดคล้องต่อชมุ ชน สง่ ผลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มและวัฒนธรรมให้นอ้ ยท่สี ดุ เท่าท่สี ามารถจะทาได้ 5. ความพร้อมของผู้ที่สนใจจะเก่ียวข้องกับกิจกรรมท่องเที่ยว จะมีบทบาทหลากหลายมาก ขึ้น คือจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับที่พัก อาหาร การดูแลความปลอดภัย การนาพานักท่องเท่ียว การสื่อ ความหมาย และการแลกเปล่ียนเรียนรู้ต้องไม่ใช่กระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มแกนนาภายในชุมชนเท่าน้ัน ควรมรี ะบบกระจายทที่ ัว่ ถึงและเป็นธรรม 6. การเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ท่ีระรองรับนักท่องเท่ียวเพื่อ สามารถจดั ปรับกระบวนการให้เหมาะสม สอดคล้องย่ิงขึ้น และร่วมแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน การลดผลกระทบของการทอ่ งเที่ยวในครงั้ ต่อไป 7. ประสบการณ์ทกั ษะในการจดั การท่องเท่ียวโดยชุมชนที่ต้องบูรณาการความต้องการความ เพลิดเพลิน ความตน่ื ตัวและการเรยี นรู้ ให้เปน็ โปรแกรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เหมาะสมของแต่ ละพื้นที่
18 การเตรยี มความพรอ้ มของชมุ ชนในการจดั การการท่องเที่ยว การท่องเท่ียวเป็นเสมือนงานพัฒนาชุมชนอย่างหนึ่ง เป็นส่ิงท่ีดูเหมือนง่ายแต่ทายาก ที่ว่า ยากนั้นกเ็ พราะการท่องเทย่ี วเปน็ การพัฒนาทต่ี อบสนองกระแสบริโภคนิยม การท่องเท่ียวทาให้ชุมชน หลุดออกจากฐานการผลิตเดิมในภาคการเกษตร สู่ธุรกิจด้านบริการ กาลังซ้ือที่สูงกว่าของ นักท่องเท่ยี วจึงสามารถกาหนด “สินค้า” และ “บรกิ าร” ไดต้ ามความตอ้ งการ ทาให้สภาพทางสังคม และวัฒนธรรมในแหล่งทอ่ งเท่ยี วมักถกู ครอบงาจากวัฒนธรรมภายนอกท่ีเข้ามาพร้อมกับนักท่องเท่ียว เป็นดาบสองคมและมคี วามเสีย่ งอย่างยงิ่ ในการนาไปใชใ้ นการพฒั นา อยา่ งไรกต็ าม ก่อนทจี่ ะเปดิ หม่บู า้ นต้อนรับนกั ท่องเทย่ี ว ชมุ ชนควรจะต้อง “รตู้ ัว” เข้าใจและ ตระหนักต่อการท่องเที่ยวนี้ตลอดจนการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยการเตรียมความพร้อมชุมชน ซ่ึง ผูด้ าเนนิ การพัฒนาการทอ่ งเท่ียวโดยชมุ ชนควรมีกระบวนการทางาน ตามที่พจนา สวนศรี (2546) ได้ กล่าวไวว้ า่ ดงั น้ี ขั้นที่ 1 ให้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวให้ชุมชนในการพิจารณาท้ังด้านบวกและลบของการ ท่องเท่ียว ซ่งึ ในขน้ั ตอนนอ้ี าจจะมีเฉพาะผู้นาหรอื กลุ่มสนใจ ขั้นท่ี 2 สร้างการมีส่วนร่วม เป็นการดึงเอากลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวโดยชุมชน และกลุ่ม องค์กรต่างๆ ในชุมชน เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี กลุ่มออมทรัพย์ และผู้นาที่เป็นทางการและผู้นา ทางธรรมชาตมิ าพูดคุยเร่ืองผลดี-ผลเสีย อีกคร้ัง เพื่อใหเ้ ขาเหลา่ น้ันได้รว่ มกันตัดสินใจเรื่องน้รี ว่ มกนั ขั้นที่ 3 ศึกษาชมุ ชนร่วมกบั ชาวบา้ น โดยการทางานร่วมกบั ชาวบ้านเพ่ือศกึ ษาในหวั ข้อดังนี้ (1) การสารวจทางกายภาพ - ทาแผนทีร่ อบนอก (แสดงแหล่งทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละทดี่ นิ ทากนิ ) - แผนที่รอบในหมู่บ้าน (แสดงที่ตั้งของบ้านเรือน ทรัพยากรคนสร้างและ ทรพั ยากรธรรมชาติ) (2) ศึกษาประวตั ิศาสตรช์ มุ ชน ภมู ิปัญญา วัฒนธรรม ประเพณขี องชุมชน (3) ศึกษาความสมั พันธข์ องชุมชนกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรเพ่ือ การท่องเทยี่ ว (4) ศกึ ษากลุม่ ตา่ ง ๆ ในชมุ ชน ซึ่งผลการศึกษาน้ีจะทาให้เห็นศักยภาพ-ข้อจากัดของชุมชน และปัญหาของชุมชน ร่วมกนั ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน ทั้งในด้านศักยภาพ-ข้อจากัด โอกาสและความเส่ียง ใน ขั้นตอนนี้จะทาให้ชุมชนได้มองเห็นได้ด้วยตนเอง และสามารถเชื่อมโยงเรื่องท่องเท่ียวกับการพัฒนา ชมุ ชนได้ การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้จะทาให้เกิดการจัดลาดับความสาคัญของปัญหา และอาจพบว่า เพอ่ื แกป้ ญั หาใหต้ รงจดุ อาจจะไมจ่ าเปน็ ตอ้ งใช้เร่ืองการทอ่ งเทย่ี วเลยกเ็ ปน็ ได้ ขน้ั ที่ 5 รว่ มกนั พัฒนาศักยภาพและแก้ไขจดุ อ่อน อาทิ (1) รวบรวมองค์ความรู้ ซ่ึงแตล่ ะชุมชนจะแตกต่างกันออกไปมีเอกลักษณเ์ ฉพาะ ชุมชน เชน่ บางชุมชนเด่นด้านการพัฒนาชุมชน บางชุมชนเด่นระบบการจัดการนิเวศที่ใช้ภูมิปัญญา ท้องถิ่นได้เหมาะสม เป็นต้น ซึ่งชุมชนต้องร่วมกันดึงเอกลักษณ์ ให้เห็นร่วมกันก่อนนาสู่การเผยแพร่ ออกไป
19 (2) ปรบั ปรุงแหลง่ ท่องเท่ียวใหเ้ หมาะสม สอดคลอ้ ง ปลอดภยั ไมท่ าลายระบบ นเิ วศเดิมมากนกั เชน่ การปรับทางเดนิ ในปุาเขา เปน็ ต้น (3) ปรบั ปรุงบา้ นพกั และความสะอาดภายในชุมชนใหเ้ ปน็ มาตรฐานของชุมชน แตล่ ะแห่งที่ตกลงรว่ มกนั โดยมคี ณะกรรมการของชุมชน ตรวจสอบอย่างสมา่ เสมอ (4) ฝึกอบรมบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในชุมชน เช่น นักสื่อความหมาย การสร้าง เวทีเรียนรู้กับนักท่องเท่ียว เป็นต้น ซึ่งในข้ันตอนน้ีจะเห็นความสามารถของชุมชน ในการรองรับการ ท่องเท่ียวท้ังความพร้อมจานวนบุคลากร และขีดความสามารถในการรองรับทั้งพ้ืนท่ีทางธรรมชาติ และรูปแบบกจิ กรรมทสี่ อดคลอ้ งกบั วถิ ชี ีวติ ของชมุ ชน ขัน้ ที่ 6 วางรูปแบบการบริหารจัดการ ในข้ันตอนน้ีจะเป็นการจัดตั้งองค์กรข้ึนมาทางาน หรือ อาจใชอ้ งค์การท่ีชุมชนมีอย่เู ดมิ แต่เพิม่ เตมิ บทบาทหน้าที่ มีการกาหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน กาหนด รูปแบบของการท่องเที่ยว โปรแกรมและราคาการจัดสรรผลประโยชน์ สู่ชาวบ้านและชุมชนและ มาตรการในการปูองกันผลกระทบ โดยอาจจะเป็นการสร้างกฎ กติกา เพ่ือเป็นแนวทางปฏิบัติทั้ง ชาวบา้ นและนักท่องเท่ียว ขั้นที่ 7 ประสานงานกบั หน่วยงานทเ่ี กี่ยวข้อง เพ่อื ใหร้ ับรแู้ ละชว่ ยใหข้ ้อมูลแกผ่ ูท้ ่สี นใจ ข้ันที่ 8 ทดลองดาเนินกิจกรรมการท่องเท่ียว ในขั้นตอนน้ีอาจมีการจัดท่องเท่ียวนาร่อง เพื่อ ทดสอบความพร้อมของชุมชน โดยการเชิญบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกท่ีมีประสบการณ์หรือ เกย่ี วข้องกบั การท่องเทยี่ ว โดยชุมชนเข้าร่วมกจิ กรรม ใหแ้ สดงความคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะ เพ่ือเป็น ทิศทางตอ่ ไปในอนาคต ข้ันที่ 9 ประเมินผล ในข้ันตอนประเมินผล อาจแยกออกมาเป็น 2 ส่วน คือ การประเมินผล และสรุปบทเรียนหลังเสร็จกิจกรรมทุกคร้ัง และการประเมินผลเป็นช่วง ๆ ทุกๆ 3-6 เดือน เป็นต้น ซึง่ การประเมนิ ผลจะช่วยให้เกิดการทบทวนตนเองและแก้ไขขอ้ บกพร่อง ขน้ั ที่ 10 พฒั นาองค์กร (1) การฝึกอบรม เช่น การบริหารจัดการ การสร้างการมีส่วนร่วม การส่ือ ความหมาย เปน็ ต้น (2) การศกึ ษาดงู าน สาหรับแกนนาองค์กรชุมชนเพอื่ จดั การท่องเท่ียว เพ่ือเสริมโลก ทัศน์ พัฒนาทักษะการบริหาร การจัดการในชุมชนอ่ืน ๆ ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน เพ่ือเป็นตัวอย่าง นาไปประยุกต์ หรือเป็นบทเรียนท่ีชุมชนต้องพึงระวังผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึนได้ และวางมาตรการ ปอู งกันไวแ้ ตเ่ ร่มิ แรก กระบวนการท้ัง 10 ขั้นตอนแล้วจะเหมือนการทางานพัฒนาปกตินั่นเอง แต่สิ่งท่ียากก็คือ เรอ่ื งทอ่ งเทย่ี วเปน็ เรอื่ งที่ชาวบา้ นไม่คุ้นเคยมาก่อน และไม่มั่นใจว่าตนเองจะทาได้ แต่ละคาถามในแต่ ละข้ันตอนในกระบวนการเตรียมชุมชน จะต้องเป็นการปลุกระดมสานึกของท้องถิ่น ให้คนท้องถ่ิน อยากรจู้ ักตนเอง และเกดิ ความภาคภูมใิ จในตนเอง การท่องเท่ียวก็จะเกิดความชัดเจนมากขึ้นว่า เป็น การเข้ามาเพ่ือให้ชุมชนได้นาเสนอตัวอย่างต่อสาธารณะ การแลกเปล่ียนเรียนรู้เป็นหัวใจสาคัญของ การท่องเที่ยว นอกจากปลุกสานึกของชุมชนแล้วยังเป็นการสร้างจิตสานึกของนักท่องเที่ยวต่อการ อนุรักษส์ ่ิงแวดล้อม และการเห็นคุณค่าทางวัฒนธรรมของชุมชนท่ีได้เข้ามาเยี่ยมเยือน (อ้างอิง. เอี่ยม ปญั ญา และคณะ. 2561)
20 สรปุ ได้วา่ สิ่งสาคัญของการพัฒนาการท่องเท่ียวโดยชมุ ชน คอื การมีสว่ นรว่ มของคนในชุมชน ภาคีทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ภาครฐั และภาคประชาชน ท้ังในระดับอาเภอ จังหวัดและเครือข่าย โดยอาศัยแนวคิด การบริหารจัดการท่องเท่ียวเชิงวฒั นธรรม แนวคดิ มรดกวฒั นธรรม แนวคิดการมีส่วนรว่ มและแนวคิด ภาคีท่ีเกี่ยวข้อง ซ่ึงจะช่วยให้สืบค้นของดีและมรดกวัฒนธรรมชุมชนไทยชนะศึก ร่วมสร้างการมีส่วน ร่วมของชุมชน ในการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนนาแนวคิดมาใช้ในการค้นหา สร้างความร่วมมือกับ ภาคีที่เกี่ยวข้อง การนาแนวคิดมาสร้างเคร่ืองมือในการสืบค้นซึ่งจะนาไปสู่การพัฒนาเส้นทางและ กิจกรรมในชุมชนรวมถึงการพัฒนาคนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนได้ (อ้างอิง. เอ่ียม ปญั ญา และคณะ. 2561) 3. แนวคดิ มรดกวัฒนธรรม 3.1 ความเป็นมาของมรดกโลก สมบัติล้าค่าทางธรรมชาติและวัฒนธรรมท่ีปรากฏอยู่ท่ัวทุกมุมโลกมากมายหลายแห่ง เช่นหอเอนปิซาแห่งอิตาลีปิรามิดแห่งอียิปต์เยลโลสโตน แห่งสหรัฐอเมริกาทัชมาฮาลแห่งอินเดีย กาแพงเมอื งจีนแนวปะการังท่ีใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียฯลฯ ส่ิงเหล่าน้ีถือเป็นสิ่งล้าค่าท่ีแสดงให้เห็นถึง วัฒนธรรมหรืออารยธรรมของมนุษย์ซ่ึงเป็นหน้าที่ของทุกคนท่ีต้องร่วมกันพิทักษ์รักษาและปกปูอง ด้วยเหตุผลน้ีในการประชุมสมัยสามัญขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (UNESCO) ครั้งท่ี 17 ณ กรุงปารีส เมื่อวันท่ี 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ได้มีมติ รับรองอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก (The World Heritage Convention) โดยมีประเทศต่างๆให้สัตยาบันเพ่ือเข้าเป็นประเทศภาคีด้วยความสมัครใจ อนุสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โดยภาคีสมาชิกเริ่มแรก 20 ประเทศ จนถึงปี พ.ศ. 2552 มีประเทศภาคีสมาชิกรวมทั้งส้ิน 186 ประเทศมรดกโลกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท (กลุ่ม งานติดตามประเมนิ สถานการณ,์ 2553) คือมรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) และมรดกทาง ธรรมชาติ (Natural Heritage) ซึ่งการท่ีจะได้รับการประเมินคุณค่าให้เป็นแหล่งมรดกโลกทาง วัฒนธรรมจะต้องมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อตามหลักเกณฑ์มาตรฐาน (World Heritage Cultural Criteria) ของอนสุ ญั ญาวา่ ด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ พ.ศ. 2515 (ศูนยข์ ้อมลู มรดกโลก, 2556) ดังตอ่ ไปนี้ 1) เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกท่ีจัดทาขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาด ของมนุษย์ 2) เป็นสิ่งท่ีมีอิทธิพลย่ิงผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทาง สถาปตั ยกรรมอนุสรณส์ ถานประตมิ ากรรมสวนและภูมิทัศน์ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมท่ีเกี่ยวข้อง หรอื การพัฒนาการต้ังถ่ินฐานของมนุษย์ซ่ึงได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือบนพื้นที่ใดๆของโลก ซึ่งทรงไว้ซง่ึ วัฒนธรรม 3) เป็นส่ิงที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ใน ปจั จุบนั หรอื วา่ ทีส่ าบสูญไปแล้ว
21 4) เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรมสังคมศิลปกรรมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอุตสาหกรรมใน ประวัติศาสตร์ของ มนษุ ยชาติ 5) เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่ง สถาปัตยกรรมวิธีการก่อสร้างหรือการต้ังถ่ินฐานของมนุษย์ ซ่ึงเส่ือมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจาก การเปลยี่ นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรมตามกาลเวลา 6) มีความคิดหรือความเช่ือท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์หรือมีความโดดเด่นยิ่งใน ประวัตศิ าสตร์ 3.2 ลักษณะขององค์ประกอบที่จะเป็นลักษณะมรดกวัฒนธรรม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับมลู นิธิสถาบนั วจิ ยั กฎหมาย, 2556) ประกอบด้วย 1) ใหค้ ุณคา่ ทางประวัตศิ าสตรว์ ชิ าการหรือศิลปะ 2) แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของวิถีชีวิตของกลุ่มชนท่ีได้มีการสืบ ทอดกันมา 3) มีรปู แบบดงั้ เดิมสามารถสบื ค้นถงึ ที่มาในอดีตได้ 4) มลี กั ษณะบง่ บอกถึงความเป็นชมุ ชนหรือท้องถ่นิ 5) หากไม่มกี ารอนุรักษ์ไว้จะสญู หายไปในทส่ี ดุ 3.3 การแบง่ ประเภทมรดกวัฒนธรรม (Cultural Heritage) อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลก (2515) มรดกทางวัฒนธรรม หมายถึงสถานท่ี ซงึ่ เป็นโบราณสถานไม่ว่าจะเป็นงานด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรมหรือแหล่งโบราณคดี ทางธรรมชาติ เช่นกลุม่ สถานที่กอ่ สรา้ งยกหรือเชื่อมต่อกันอันมีความเป็นเอกลักษณ์หรือแหล่งสถานท่ี สาคัญอันอาจเป็นผลงานฝีมือมนุษย์หรือเป็นผลงานร่วมกันระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์รวมทั้งพื้นท่ีท่ี เป็นแหล่งโบราณคดีซ่ึงสถานท่ีเหล่าน้ีมีคุณค่าความล้าเลิศทางประวัติศาสตร์ศิลปะมนุษย์วิทยาหรือ วิทยาศาสตร์ ทั้งน้ีในอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลก กล่าวว่ามรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) (Jokilehto, 2005) คือ อนุสรณ์สถาน (Monuments) ซ่ึงเป็นงานสถาปัตยกรรม,โบราณสถาน,ประติมากรรม และจิตรกรรมขนาดใหญ่องค์ประกอบหรือโครงสรา้ งท่มี ลี ักษณะทางโบราณคดี, จารึก, ท่ีอยู่อาศัยและ แหล่งที่มีองค์ประกอบหรือโครงสร้างลักษณะผสมผสานซึ่งมีคุณค่าที่โดดเด่นเป็นสากลในทาง ประวัติศาสตรศ์ ลิ ปะหรือวิทยาศาสตร์ กลุ่มของอาคารหรือกลุ่มของส่ิงก่อสร้าง (Group of buildings) กลุ่มของส่ิงก่อสร้างท่ี แยกจากกนั หรอื เช่ือมต่อกนั อันเนอ่ื งด้วยสถาปตั ยกรรมความเป็นเอกภาพหรือตาแหน่งของส่ิงก่อสร้าง ดังกล่าวในสถานที่และภูมิทัศน์มีคุณค่าที่โดดเด่นเป็นสากลในทางประวัติศาสตร์ ศิลปะหรือ วทิ ยาศาสตร์ แหล่ง (Sites) ผลงานของมนุษย์หรือผลงานร่วมกันระหว่างธรรมชาติมนุษย์และพื้นที่ รวมถึงแหล่งโบราณคดี สถานท่ีซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลงานของมนุษย์หรือการทางานร่วมกันของ ธรรมชาตแิ ละมนุษยแ์ ละพืน้ ที่รวมท้ังแหล่งโบราณคดีท่ีมคี ณุ ค่าโดดเด่นเปน็ สากลในทางประวัติศาสตร์
22 ความงามชาติพันธุ์หรือมานุษยวิทยา ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานที่ที่ได้รับการประกาศจากยูเนสโก ใหเ้ ปน็ มรดกโลกจานวน 5 แห่งเป็นมรดกโลกทางวฒั นธรรม 3 แห่ง คือ 1) นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร (ได้รับการประกาศจาก ยเู นสโกใหเ้ ปน็ มรดกโลกในปี พ.ศ. 2534) 2) เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (ได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็น มรดกโลกในปี พ.ศ. 2534) 3) แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงจังหวัดอุดรธานี (ได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็น มรดกโลกในปี พ.ศ. 2535) และมรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง ได้แก่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ปุาทุ่งใหญ่ นเรศวรหว้ ยขาแข้ง (ได้รบั การประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2534) และพ้ืนที่ผืนปุา เขาใหญด่ งพญาเย็น (ได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2548) นอกจากน้ียังมี สถานท่ีอ่ืน ๆ ของไทยท่ีได้เสนอให้บรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อเบ้ืองต้น (Tentative List) ของแหล่งท่ีจะ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกจานวน 3 แห่ง ได้แก่เส้นทางวัฒนธรรมพิมาย ปราสาทพนมรุ้งและ ปราสาทเมอื งตา่ ปีพ.ศ. 2547 อุทยานแห่งชาติภูพระบาทจังหวัดอุดรธานี ปี พ.ศ. 2547 และอุทยาน แห่งชาติแก่งกระจานจังหวัดเพชรบุรีปีพ.ศ. 2554 (เดลินิวส์, 2556) นอกจากนี้ยังมีมรดกภูมิปัญญา ทางวฒั นธรรมของไทย ท่ีไดป้ ระกาศขึน้ ทะเบยี นมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจาปี พ.ศ. 2553 อีกจานวน 4 สาขา 25 รายการคือ 1) สาขาศิลปะการแสดงจานวน 6 รายการ 2) สาขางาน ช่างฝีมือด้ังเดิมจานวน 3 รายการ 3) สาขาวรรณกรรมพ้ืนบ้านจานวน 15 รายการ 4) สาขากีฬาภูมิ ปัญญาไทย จานวน 1 รายการ (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2553) ปี พ.ศ. 2556 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจาปี พ.ศ. 2556 ทั้งส้ิน 68 รายการ ซ่งึ ในสาขางานช่างฝมี ือน้นั ชมุ ชนทาเครอ่ื งทองเหลืองบ้านปะอาวและชุมชนทาฆ้องบ้านทราย มูลได้ถูกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขางานช่างฝีมือของไทยเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2556) ท้ังน้ีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประจาปี พ.ศ. 2556 ท่ีถูกข้ึนทะเบียนให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขางานช่างฝีมือด้ังเดิม ประกอบด้วย (กรมส่งเสรมิ วัฒนธรรม, 2556) มรดกทางวฒั นธรรมนน้ั องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (2003) ได้แบ่งการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ (Tangible Cultural Heritage) เป็นส่ิงที่แสดงให้ เห็นได้ทางกายภาพโดยครอบคลุมทั้งมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุเคลื่อนที่ได้และท่ีเป็นวัตถุ เคล่ือนท่ีไม่ได้ เช่นโบราณสถานโบราณวัตถุอนุสาวรีย์ เคร่ืองแต่งกายภาพจิตรกรรมประติมากรรม สถาปตั ยกรรม เปน็ ต้น 2) มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) องค์การ ยูเนสโกได้อธิบายความหมายของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ว่า หมายถึงความรู้ ขนบธรรมเนียมประเพณีหรือแนวปฏิบัติทุกรูปแบบทั้งที่เป็นสากลและของท้องถ่ินซ่ึงถูกสร้างข้ึนและ ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นไม่ว่าด้วยวาจาหรือวิธีการอ่ืนใดผ่านช่วงระยะเวลาหน่ึงมีการพั ฒนาและ เปล่ยี นแปลงได้โดยกระบวนการส่ังสมความรู้และประยุกต์ใช้นอกจากนี้อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครอง มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ยังมีการกาหนดคุ้มครองส่ิงซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น มุข
23 ปาฐะการแสดงออก ภาษาศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบตั ทิ างสงั คม พธิ กี รรมและงานเทศกาลความรู้และ การปฏบิ ัตติ า่ ง ๆ เกย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล ฝีมอื ช่างแนวประเพณมี รดกทางวัฒนธรรมท่ี จับต้อง ไม่ได้ ยังเป็นส่ิงที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและถูกสร้างใหม่อยู่เร่ือย ๆ โดยชุมชนเพ่ือตอบสนองกับ สง่ิ แวดล้อมธรรมชาติและประวตั ิศาสตร์ช่วยใหช้ มุ ชนมีอัตลกั ษณ์และความต่อเนื่อง โดยความต่อเน่ือง ถือเป็นลักษณะสาคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ตัวอย่างมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้อง ไม่ได้ เช่นภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องของกรรมวิธีสาหรับการรักษาโรคหรือส่วนผสมของยารักษาโรคที่ ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษในชุมชน ความรู้ด้านการนวดแผนไทยและการแพทย์แผนไทย ความรู้ในการหาพืชสมุนไพรมาทาอาหารหรือขนม เช่นการทาต้มยาท่ีมีส่วนผสมของตะไคร้ซ่ึงมี สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะและหอมแดงซ่ึงมีสรรพคุณไล่หวัด การทาแกงส้มดอกแคซึ่งมีสรรพคุณใน การลดไข้ ความรู้เชิงอุดมคติที่นามาสู่การสร้างสรรค์งานด้านสถาปัตยกรรมเช่นการสร้างเจดีย์ท่ีต้อง สร้างให้มฐี านโคง้ ครง่ึ วงกลมขนาดใหญ่ เนื่องจากความรู้เชิงอุดมคติท่ีว่าเป็นการแสดงถึงการลดความ ยึดม่ันในตวั ตนช่วยให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่งและแสดงถึงอานาจทางการเมืองและสภาพ สังคมของช่วงเวลาท่ีสร้างเจดีย์และท่ีสาคัญเป็นการสะท้อนอุดมคติ ของศาสนาท่ีอยู่เบื้องหลังการ สร้างเจดยี น์ ั้นดว้ ย (กรมสง่ เสริมวัฒนธรรมรว่ มกับมลู นธิ สิ ถาบันวิจัยกฎหมาย, 2556) 1) การละเลน่ พื้นบา้ นเช่นการเล่นสะบ้าการเล่นเพลงเรอื 2) ประเพณีทอ้ งถนิ่ 3) ภาษาประจาชาติ ภาษาพื้นเมืองและการแสดงออกทางภาษา 4) พิธกี รรมความเชื่อ เชน่ พิธีบวชต้นไม้ พธิ แี หน่ างแมว 5) พิธีการทางสังคม เช่นการคานับ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ซึ่งเป็นการกราบ ทแ่ี สดงความเคารพอย่างสงู สุดต่อบุคคลท่คี วรเคารพ 6) วัฒนธรรมสาขาศิลปะการแสดง สาขางานฝีมือด้ังเดิม สาขาวรรณกรรมพื้นบ้านและ สาขากีฬาภูมิปัญญาไทยซ่ึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมท่ี ควรสืบทอดให้รนุ่ ตอ่ ๆ ไปไดร้ ับรู้ถึงคุณคา่ ของวัฒนธรรมท่อี าจสญู หายไปได้ 7) ทักษะความรู้ความเช่ียวชาญด้านภาษาพูด ดนตรีการฟูอนรา ประเพณีงานเทศกาล ความเชือ่ ความลับของธรรมชาติท่ีเกยี่ วข้องกบั วิถีชวี ติ ความรเู้ ชิงช่าง สรุปได้ว่า มรดกวัฒนธรรมเป็นสมบัติล้าค่าทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึง คุณค่าทางประวัติศาสตร์ วิทยาการหรือศิลปะและเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการของวิถีชีวิตของ กลุ่มชนที่ได้มีการสืบทอดกันมามีลักษณะท่ีบ่งบอกถึงความเป็นชุมชนหรือท้องถ่ิน ซึ่งเป็นหน้าท่ีของทุก คนท่ีต้องร่วมกันพิทักษ์ รักษาและปกปูอง ร่วมกันสร้างสรรค์ ส่ังสม ปลูกฝัง เรียนรู้หวงแหนและ ภาคภมู ิใจในมรดกวฒั นธรรม 4. แนวคดิ เกีย่ วกบั การทอ่ งเทย่ี วเชิงวฒั นธรรม ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (2540) ให้แนวคิดเก่ียวกับการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมว่าเป็นวิธี การศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมผ่านการเดินทางท่องเที่ยวเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการพัฒนา ด้านภูมิปัญญาสร้างสรรค์ เคารพต่อส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรมศักดิ์ศรีและวิถีชีวิตผู้คนหรืออาจกล่าวได้ อีกนัยหน่ึงว่าเป็นการท่องเที่ยวเพ่ือการเรียนรู้ผู้อ่ืนและย้อนกลับมามองตนเองอย่างเข้าใจ ความ เก่ียวพันของสง่ิ ตา่ ง ๆ ในโลกทมี่ คี วามเกี่ยวโยง พงึ่ พาไม่สามารถแยกออกจากกันได้
24 บุญเลิศ จิตตั้งวัฒนา (2548) ให้ความหมายของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไว้ว่าการ ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หมายถึงการเดินทางของผู้คนหรือกลุ่มคนจากสถานท่ีท่ีอยู่ประจาไปยัง ท้องถิ่นอ่ืน เพ่ือชมเอกลักษณ์ความงดงามทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนอื่นท้ังนี้จะต้องเคารพใน วัฒนธรรมของกันและกันเพื่อก่อให้เกิดมิตรภาพความรู้ความเข้าใจและความซาบซึ้งตรึงใจใน วัฒนธรรมของชุมชนนั้น ๆ อีกทั้งต้องคานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อบุคคลและวัฒนธรรมและ ส่ิงแวดล้อมในชุมชนนั้นให้น้อยท่ีสุดในขณะเดียวกันชุมชนท้องถ่ินผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรมก็ได้ ประโยชน์จากการท่องเที่ยวในด้านการสร้างรายได้และการจ้างงานอันนามาซ่ึงการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม World Tourism Organization หรือ WTO ได้ให้ความหมายของการท่องเท่ียวทาง วัฒนธรรมวา่ เปน็ การเคล่ือนไหวของผู้คนท่ีเกิดขึ้นจากปัจจัยกระตุ้นทางวัฒนธรรม เช่น การเดินทาง ท่องเที่ยว เพ่ือการศึกษาการเดินทางท่องเท่ียว เพ่ือช่ืนชมศิลปวัฒนธรรมประเพณีเทศกาลการเข้า เยี่ยมชมอนุสรณ์สถาน การเดินทางเพื่อศึกษาขนบธรรมเนียม ความเชื่อที่สืบทอดกันมาของชุมชน ท้องถ่ินตลอดจนความเชื่อทางศาสนา (Richards, 1995) นอกจากน้ียังได้ให้คาจากัดความของ นกั ทอ่ งเทย่ี วเชิงวัฒนธรรม คือ นักท่องเที่ยวท่ีเยี่ยมชมสถานที่ท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมครั้งใดครั้งหน่ึง หรือมากกว่า ระหว่างการท่องเที่ยวโดยสามารถแบ่งนักท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมได้เป็น 5 กลุ่มตาม วตั ถุประสงค์การท่องเท่ียว ปรญิ ญ์ อภิวงศ์วาร (2548) คือ 1) Purposeful Cultural Tourist หมายถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวท่ีมีส่วนร่วมกับการท่องเท่ียว เชิงวฒั นธรรมเป็นประจาและพยายามแสวงหาแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วเชงิ วฒั นธรรมใหล้ กึ ซ้งึ ยง่ิ ข้ึน 2) Sightseeing Cultural Tourist หมายถึงนักท่องเที่ยวที่มีส่วนร่วมกับการท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรมเปน็ ประจาแตไ่ ม่ได้พยายามแสวงหาแหลง่ ทอ่ งเท่ียวเชิงวัฒนธรรมให้ลกึ ซง้ึ กวา่ เดิม 3) Serendipitous Cultural Tourist หมายถึงนักท่องเท่ียวที่ไม่ได้ต้ังใจจะท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรมแตก่ ไ็ ดท้ อ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างลกึ ซ้งึ 4) Casual Cultural Tourist หมายถึงนักท่องเท่ียวท่ีมีการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมเป็น เปาู หมายลาดบั ทา้ ยๆและไดท้ ่องเทยี่ วเชงิ วัฒนธรรมบา้ งเล็กนอ้ ยและ 5) Incidental Cultural Tourist หมายถงึ นกั ท่องเที่ยวทไี่ ม่ไดต้ ้ังใจท่องเท่ยี วเชิงวัฒนธรรม แตก่ ไ็ ด้มีโอกาสเยีย่ มชมสถานท่ีท่องเทีย่ วเชงิ วฒั นธรรมบ้าง นอกจากน้ี The European Center for Traditional and Religion Culture หรือ ECTARC (Richards, 1995) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่เป็นสิ่งดึงดูดใจของการท่องเที่ยวทาง วฒั นธรรม ประกอบด้วย 1) โบราณคดีและพิพิธภณั ฑต์ ่าง ๆ 2) สถาปตั ยกรรม สง่ิ ปลกู สรา้ งรวมถึงซากผังเมอื งในอดตี 3) ศิลปหตั ถกรรม ประตมิ ากรรม ประเพณีและเทศกาลตา่ ง ๆ 4) ความน่าสนใจทางดนตรี 5) การแสดงละครภาพยนตร์ มหรสพต่าง ๆ 6) ภาษาและวรรณกรรม 7) ประเพณี ความเช่อื ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับศาสนา
25 8) วฒั นธรรมเก่าแกโ่ บราณ วฒั นธรรมพื้นบ้านหรอื วฒั นธรรมย่อย กาญจนา แสงลิ้มสุวรรณและศรันยา แสงลิ้มสุวรรณ (2555) ได้กล่าวว่าการท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรมมีความพิเศษตรงที่นักท่องเที่ยวจะเน้นที่การศึกษาหาความรู้ในพื้นท่ีหรือบริเวณท่ีมี คณุ ลกั ษณะทส่ี าคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจะมีการบอก เล่าเรื่องราวในการพัฒนาทางสังคมและมนุษย์ ผ่านทางประวัติศาสตร์อันเป็นผลเก่ียวเนื่องกับ วัฒนธรรมองค์ความรู้และการให้คุณค่าของสังคมโดยสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็น อยู่ของคนในแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ สังคมหรือขนบธรรมเนียม ประเพณีรวมไปถงึ สนิ ค้าพนื้ เมอื งในพืน้ ทต่ี ่างๆ Smith (2003) ได้จัดรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สถานท่ีและกิจกรรมการ ทอ่ งเทย่ี ว ดังนี้ 1) การท่องเที่ยวแหล่งมรดก (Heritage Tourist) สถานที่และกิจกรรม ได้แก่ปราสาท พระราชวัง บา้ นโบราณ แหล่งโบราณคดีอนุสาวรีย์ 2) การท่องเที่ยวศิลปะ (Arts Tourist) สถานที่และกิจกรรมได้แก่โรงละคร การแสดง คอนเสริ ต์ เทศกาลงานประเพณี 3) การท่องเที่ยวเชิงสรา้ งสรรค์ (Creative Tourist) สถานทแี่ ละกิจกรรมได้แก่การถ่ายภาพ วาดภาพ เครอื่ งปนั้ ทาอาหาร หัตถกรรม 4) การท่องเที่ยววัฒนธรรมเมือง (Urban Cultural Tourist) สถานท่ีและกิจกรรม ได้แก่ แหลง่ ประวัตศิ าสตร์ แหลง่ อตุ สาหกรรม 5) การท่องเที่ยววัฒนธรรมชนบท (Rural Cultural Tourist) สถานท่ีและกิจกรรม ได้แก่ การทอ่ งเท่ยี วเชงิ เกษตรชุมชน ฟารม์ พิพธิ ภัณฑธ์ รรมชาติ ภูมทิ ศั น์ 6) การท่องเท่ียววัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Indigenous Cultural Tourist) สถานที่ และกิจกรรม ได้แก่ทะเลทราย เดินปุา ศูนย์วัฒนธรรมศิลปะและหัตถกรรมและ 7) การท่องเท่ียว วัฒนธรรมทนั สมยั (Popular Cultural Tourist) สถานทีแ่ ละกจิ กรรมไดแ้ ก่สวนสนุก ห้างสรรพสินค้า การแสดงคอนเสิร์ต งานแข่งขันกีฬา การแบ่งรูปแบบและลักษณะ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ดังกล่าวทาให้ทราบถึงลักษณะและความต้องการของนักท่องเท่ียวเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกาหนด กลยุทธ์ตอบสนองความต้องการอันจะนาไปสู่การสร้างรายได้ให้กับแหล่งท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการ สง่ เสรมิ ความรู้ความเขา้ ใจและการรักษาวัฒนธรรมของชมุ ชนใหค้ งอยู่ สรุปได้ว่า การท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมเป็นการท่องเที่ยวเพ่ือการศึกษาประวัติศาสตร์และ เพอ่ื ชนื่ ชมศิลปวฒั นธรรมประเพณีขนบธรรมเนยี มทเี่ นน้ การพฒั นาดา้ นภูมปิ ัญญาสร้างสรรค์ความเชื่อ ท่ีสืบทอดกันมาของชุมชนรวมถึงภาษา วรรณกรรม วัฒนธรรมพื้นบ้านท่ีสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต ความเป็นอยขู่ องคนในแต่ละยคุ สมยั ได้เป็นอยา่ งดี 5. แนวคดิ การบริหารจดั การการท่องเทีย่ วเชงิ วฒั นธรรม มนัส สุวรรณและคณะ (2541) ได้กล่าวว่า การจัดการการท่องเท่ียว หมายถึงการกระทา อย่างมีเปูาหมายท่ีสอดคล้องกับหลักการ ทฤษฎีและแนวคิดที่เหมาะสม ย่ิงไปกว่านั้นยังต้องคานึง สภาพที่แท้จริงรวมท้ังข้อจากัดต่าง ๆ ของสังคมและสภาพแวดล้อม การกาหนดแนวทางมาตรการ
26 และแผนปฏิบัติการท่ีต้องคานึงถึงกรอบความคิดที่ได้กาหนดไว้ มิฉะน้ันแล้วการจัดการท่องเท่ียวจะ ดาเนินไปอย่างไร้ทิศทางและประสบความล้มเหลว นอกจากน้ีได้นาเสนอรูปแบบการบริหารจัดการ การท่องเท่ียวทเ่ี หมาะสมกับองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล ไว้ 6 รปู แบบ ดงั นี้ 1) องค์การบริหารสว่ นตาบลดาเนนิ การเอง โดยมีทีป่ รึกษาจากภายนอก 2) องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลดาเนนิ การบริหารและจดั การเองทั้งหมด 3) ดาเนนิ การโดยมคี ณะกรรมการร่วมจากหลายฝุายทีเ่ กยี่ วข้อง 4) ดาเนินการในรูปสหกรณ์ 5) ให้องค์กรประชาชนภายในหม่บู า้ นดาเนินการเอง 6) จา้ งหรอื สัมปทานกับบรษิ ัทเอกชนจากภายนอก ในการศึกษาแนวทางการบริหารและจัดการการท่องเท่ียวในพ้ืนที่รับผิดชอบขององค์การ บริหารส่วนตาบล ควรเน้นประเด็นสาคัญ 5 ประเด็น คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การสารวจและ พฒั นาทรัพยากรทอ่ งเทย่ี วและการรักษาความปลอดภยั ในแหล่งท่องเท่ียว นิคม จารุมณี (2544) กล่าวว่าการบริหารและจัดการการท่องเที่ยว หมายถึง การกระทา อย่างมีเปูาหมายที่สอดคล้องกับหลักการทฤษฏีและแนวคิดที่เหมาะสมโดยคานึงถึงสภาพ ที่แท้จริง รวมท้ังข้อจากัดต่าง ๆ ของสังคมและสภาพแวดล้อม การกาหนดแนวทางมาตรการและแผนปฏิบัติ การที่ดีต้องคานึงถึงเปูาหมาย องค์ประกอบ ความสัมพันธ์และการออกแบบระบบการท่องเที่ยว รวมถึงการทาการตลาดการท่องเที่ยว มิฉะน้ันแล้วการจัดการท่องเที่ยวจะดาเนินไปอย่างไร้ทิศทาง และประสบความล้มเหลว การพิจารณาการจัดการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ (System Approach) และบรรลุวัตถุประสงค์หรือเปูาหมายนั้นจาเป็นจะต้องพิจารณาระบบย่อย (Sub System) หรือ องค์ประกอบหลักของการจัดการท่องเท่ียว บทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์ประกอบและความสัมพันธ์ (Relation ship) ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นรวมถึงการพิจารณาสภาพแวดล้อมของระบบการ ทอ่ งเท่ียวด้วยซง่ึ ด้านการตลาดการท่องเท่ียว (Tourism Market or Tourist) หมายถึงความพยายาม ท่ีจะทาให้นักท่องเท่ียวกลุ่มเปูาหมายเดินทางเข้ามาท่องเท่ียวในแหล่งท่องเท่ียวและใช้ส่ิงอานวย ความสะดวกทางการท่องเที่ยวและบริการท่องเท่ียวในแหล่งท่องเที่ยวโดยการตลาดการท่องเท่ียว ทาได้ 2 วธิ ี คอื 1) การให้ข้อมูลข่าวสารการท่องเท่ียว หมายถึง การให้ความรู้เก่ียวกับเร่ืองต่าง ๆ ทางการ ท่องเท่ียว เช่นทรัพยากรท่องเท่ียว สิ่งอานวยความสะดวกทางการท่องเที่ยวและบริการท่องเท่ียว เป็นตน้ 2) การโฆษณาและประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว หมายถึงการสื่อข้อมูลข่าวสารท่องเท่ียวไป ยังนักท่องเที่ยวกลุ่มเปูาหมายผ่านสื่อต่าง ๆ เช่นโทรทัศน์ วิทยุ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ จดหมาย เป็นต้น เพ่ือเชิญชวนกระตุ้นให้นักท่องเท่ียวกลุ่มเปูาหมายเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยว ของตนในการศกึ ษาคร้งั นีจ้ ะพจิ ารณาการทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็น 3 รปู แบบ คอื 1. รูปแบบ Lan Na Heritage ซึ่งเป็นการท่องเท่ียวเพ่ือเรียนรู้เกี่ยวกับมรดกล้านนา เช่น สถาปัตยกรรม โบราณสถานศิลปวัฒนธรรม ศลิ ปะพื้นบา้ นฯ 2. รูปแบบ Lan Na Wellness ซ่ึงเป็นการท่องเที่ยวเพ่ือเรียนรู้ภูมิปัญญา ด้านการดูแล สขุ ภาพสไตลล์ ้านนา เช่นการทาสมาธิ สมนุ ไพร อาหารพ้ืนบา้ นฯ
27 3. รปู แบบ Lan Na Organic Food ซงึ่ เปน็ การท่องเท่ียวเพอื่ เรียนรู้เก่ียวกับแหล่งผลิตและ กระบวนการผลติ อาหารสขุ ภาพ Organic Food สรุปได้ว่า การบริหารจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ควรมีการวางเปูาหมายที่ชัดเจนเป็น ระบบท่ีสาคัญต้องคานึงสภาพท่ีแท้จริง ข้อจากัดต่าง ๆ ของสังคมและสภาพแวดล้อมโดยอาศัย หลักการบริหารและจัดการ 5 ประการ คือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การสารวจและพัฒนา ทรพั ยากรท่องเท่ียวและการรกั ษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเท่ยี ว 6. แนวคดิ เก่ยี วกบั การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน ความหมาย Reeder (1963) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การร่วมกันในการปะทะ สงั สรรค์ทางสังคม ซึง่ รวมทงั้ การมีสว่ นร่วมของปัจเจกบุคคลและการมีส่วนร่วมเปน็ กลมุ่ WHO / UNICEF (1978) ให้ความหมายว่า การมีส่วนร่วมคือการท่ีกลุ่มของประชาชน ก่อใหเ้ กิดการรวมตัวทสี่ ามารถจะกระทาการตัดสนิ ใจใชท้ รพั ยากร และมีความรับผิดชอบในกิจกรรมที่ กระทาในกลุ่ม Peter Oakley and David Marsden (1991) กลา่ วถงึ ความหมายของการมีส่วนร่วมของ ประชาชนไปสัมพันธ์กับเรื่องการสร้างประชาธิปไตยทางการเมือง หรือมิฉะนั้นก็เอาไปเกี่ยวพันกับ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือการเติบโตตามคาว่า “พัฒนา” ชี้นา หรือที่ใช้กันบ่อยๆ คือ ในแง่ทร่ี ฐั บาลจะเขา้ ไปกับสภาพของการ “มสี ว่ นร่วม” ที่รัฐบาลใช้ความหมายของการมีส่วนร่วมอย่าง กว้างๆ เช่น การมีส่วนช่วยเหลือโดยสมัครใจ การให้ประชาชนเข้าร่วมกับกระบวนการตัดสินใจและ กระบวนการดาเนินการของโครงการ ตลอดจนร่วมรับผลประโยชน์จากโครงการเหล่าน้ี ล้วนเป็น ข้อความท่ีดูจะมีความคล่องตัว ดูเป็นการปฏิบัติงานท่ีจริงจัง ซึ่งบ่งบอกว่าโครงการหรือแผนงานนั้น การมีส่วนร่วมจะมีการกาหนดวตั ถุประสงค์และขั้นตอนการดาเนินงานอย่างไร สาหรับความหมายของ การมสี ่วนร่วมท่ีระบุคอ่ นข้างเฉพาะเจาะจง เช่น การทจี่ ะให้ประชาชนมีท้ังสิทธิและหน้าที่ท่ีจะเข้าร่วม แก้ปัญหาของเขา ให้เขาเป็นผู้มีความริเริ่มและมุ่งใช้ความพยายามและความเป็นตัวของตัวเองเข้า ดาเนินการและความคุมทรัพยากรและระเบียบในสถาบันต่างๆ เพ่ือแก้ปัญหาเหล่าน้ี ก็เป็นการแสดง ถงึ ความหมายทบ่ี อกถึงสภาพการมีส่วนร่วมท่ีเน้นให้กลุ่มร่วมดาเนินการ และมีจุดสาคัญท่ีจะให้การมีส่วน ร่วมนัน้ เปน็ การปฏิบัตอิ ยา่ งแขง็ ขนั มใิ ช่เป็นไปอยา่ งเฉยเมยหรือมสี ว่ นรว่ มพอเป็นพิธเี ท่านนั้ Goodman (อ้างใน พงษ์ธร ธัญญสิริ, 2543) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถงึ 1. กระบวนการซ่ึงมวลชนเข้ามามีส่วนเก่ียวข้องในขั้นตอนต่าง ๆ ของกิจกรรมของ ส่วนรวม 2. มวลชนที่เข้าร่วมได้ใช้ความพยายามส่วนตัว เช่น ความคิด ความรู้ ความสามารถ แรงงาน ตลอดจนทรัพยากรของตนต่อกิจกรรมนั้นๆ หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงว่า การเก่ียวข้องของ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของมวลชนในกจิ กรรมต่าง ๆ จะมี 2 ดา้ น คอื 2.1 ดา้ นความคดิ หรือกาหนดนโยบาย ซ่ึงแบง่ ไดอ้ ีก 3 ระดบั คือ - มวลชนเปน็ เพียงผู้ให้ขอ้ มลู ขา่ วสาร ขอ้ คิดเหน็ (Information Input)
28 - มวลชนมสี ว่ นแบง่ ในอานาจตดั สนิ ใจ (Share Decision Making) - มวลชนเปน็ ผู้กาหนดนโยบาย (Policy Formulation) 2.2 ด้านทาหรอื ด้านดาเนนิ การตามนโยบาย ซงึ่ แบง่ ไดอ้ กี 3 ระดับ คือ - ร่วมกาหนดเปูาหมายแผนงาน (Participation on Formulating Objective and Plan) - ร่วมดาเนินการในกระบวนการจดั การ (Participating on Manageme Resourecs) - รว่ มหนนุ ช่วยทรัพยากรการบริหาร (Supporting on Management Resources) Cohen and Uphoff (อ้างใน สุทัน ทาวงศ์มา, 2544) ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วม (Participation) ว่าชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ การดาเนินงานตามกิจกรรมท่ี ตัดสินใจ ร่วมรับผลประโยชน์จากกิจกรรมพัฒนาน้ัน ๆ หรือเข้าร่วมติดตามประเมินผลกิจกรรม ดังกลา่ วดว้ ย นอกจากนีไ้ ด้เสนอกรอบแนวคิดมติ ขิ องการมสี ว่ นรว่ มประกอบด้วยประเดน็ คาถาม 3 มิติ คอื มสี ว่ นร่วมอะไรบ้าง มีสว่ นร่วมกบั ใครบา้ ง และการมีสว่ นร่วมอยา่ งไรบา้ ง อร เฉลมิ พงษ์ (2543) ไดส้ รุปและขยายความว่า การมีส่วนร่วมหมายถึง การให้ประชาชาน เข้ามาทากิจกรรมทุกอย่างเท่าท่ีจะมากได้ เพื่อให้เขาได้ตัดสินใจทางานลงมือทางานตามท่ีเขาได้ ตัดสินใจไปแล้วด้วยตนเอง จะเป็นการทาให้เขาได้ปฏิบัติตามความสนใจ และความต้องการของเขา การทีเ่ ขาได้เข้ามามสี ว่ นร่วมในโครงการนั้นจะทาใหเ้ ขามโี อกาสพฒั นาตนเองมากขึ้น การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม คือ กระบวนการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการ ดาเนินงานพัฒนา ร่วมคิดตัดสินใจ แก้ปัญหาด้วยตนเองเน้นการมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแข่งขันของ ประชาชน ใช้ความคิดสร้างสรรคแ์ ละความชานาญของประชาชนแก้ปัญหาร่วมกันกับการใช้วิทยาการ ทเ่ี หมาะสมและการสนับสนุนตดิ ตามผลการปฏิบัติของงานองคก์ ารและเจา้ หนา้ ทีท่ ี่เกยี่ วข้อง ประภาศรี พิทักษ์สินสุข (2544) ได้สรุปความหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ พัฒนาชนบทไวใ้ นวทิ ยานิพนธ์ของตนเองว่า เป็นกระบวนการกระทาที่ประชาชนให้ความสมัครใจเข้า มามสี ่วนรว่ มในการกาหนดการเปล่ยี นแปลงเพื่อตวั ประชาชนเอง โดยให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจเพ่ือตนเอง และการมีส่วนร่วมดาเนินการเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ดังที่ต้ังใจไว้ ท้ังนี้ต้อง มิใช่การกาหนดกรอบความคิดจากบุคคลภายนอก การเข้ามามีส่วนร่วมต้องเป็นการเข้าร่วมตลอด กระบวนการพฒั นาซึง่ จะทาให้ประชาชนร้จู กั ตดั สนิ ใจ และปฏิบัตกิ ิจกรรมต่างๆ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ สามารถพฒั นาสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ยุวัฒน์ วุฒิเมธี (อ้างใน เมธี จันท์จารุภรณ์ และสุธิดา รัตนวาณิชย์พันธ์, 2541) ได้ให้ ความหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชนว่า หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมใน การคดิ ริเรมิ่ การพจิ ารณาตัดสนิ ใจ การร่วมปฏิบตั แิ ละการรว่ มรบั ผิดชอบในเร่ืองต่างๆ อันมีผลกระทบ มาถงึ ตัวประชาชนเอง และการท่จี ะสามารถทาใหป้ ระชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหา และนามาซึ่งสภาพความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึนแล้ว จาเป็นที่จะต้องยอมรับว่าปรัชญาที่ว่า มนุษย์ทุกคนต่าง ปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างเป็นสุข ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมเป็นท่ียอมรับของผู้อ่ืน
29 และพรอ้ มที่จะอทุ ศิ ตนเพ่ือผอู้ ื่นอยา่ งเปน็ สขุ ขณะเดยี วกนั จะต้องยอมรับด้วยความบริสุทธิ์ใจว่ามนุษย์ สามารถพฒั นาไดถ้ า้ มีโอกาสและไดร้ บั การช้ที างท่ถี ูกต้อง ถนัด ใบยา (2544) ได้อธบิ ายว่า การมสี ว่ นร่วมมิได้หมายถึงเฉพาะว่าชุมชนให้ความร่วมมือ กับเจ้าหน้าท่ีในการดาเนินกิจกรรมหรือร่วมในภาวะจายอม หากแต่หมายถึงชุมชนเป็นผู้ตระหนักถึง ปัญหาของชุมชนเป็นอย่างดี จึงเป็นผู้กาหนดการวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาของ ชุมชนเอง มีความสามารถในการแยกแยะได้ว่าปัญหาใดที่ชุมชนสามารถแก้ไขเองได้ ปัญหาใดท่ีอยู่ นอกเหนือความสามารถทีต่ ้องใหภ้ าครฐั หรอื ผู้อนื่ นอกชมุ ชนที่สามารถช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหานั้น ได้ การมสี ่วนร่วมจะเกี่ยวข้อง 3 ประการด้วยกัน ประการแรกการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ในการพฒั นา การค้นหาสภาพปัญหา สภาพท่ีคาดหวัง วิเคราะห์สาเหตุแห่งปัญหา ทางเลือกแห่งการ แก้ไขปัญหาและการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการแก้ไข ประการต่อมามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ ตัดสินใจให้เกิดการพัฒนา ประการสุดท้ายมีส่วนร่วมในการรับประโยชน์อย่างเป็นธรรมจากกิจการ นัน้ ๆ มสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผลเพ่ือนาไปสู่บทเรียนการเรียนร้รู ่วมกันและปรบั ปรุงพฒั นาต่อไป ไพรัตน์ เดชะรินทร์ (2522) ได้อธิบายว่า การท่ีประชาชนจะมีส่วนร่วมในการบริหารการ พฒั นาชนบทมี 4 ลกั ษณะ ได้แก่ 1. การค้นหาปัญหาและสาเหตุปัญหาของชาวชนบท ถ้าชาวชนบทยังไม่สามารถเข้าใจ ปัญหาและสาเหตุของปัญหาด้วยตัวของเขาเอง กิจกรรมต่างๆ ที่ตามมาก็จะไร้ประโยชน์เพราะชาว ชนบทจะขาดความเข้าใจและมองไม่เห็นความสาคัญของกิจกรรมนั้น ส่ิงท่ีแน่นอนท่ีสุดก็คือ ชาว ชนบทเป็นผู้ที่อยูก่ บั ปัญหา และรูจ้ กั ปัญหาของตนเองที่สดุ 2. การวางแผนดาเนินกิจกรรม ถ้าหากเจ้าหน้าท่ีหรือนักพัฒนาต้องการแต่ผลงานด้านการ พัฒนาของรับให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ก็จะดาเนินการวางแผนงานด้วยตนเองผลที่ตามมาก็คือเมื่อขาด เจ้าหนา้ ท่ี ชาวชนบทก็ไมส่ ามารถดาเนนิ การวางแผนงานได้ด้วยตนเอง ดังน้ันจึงควรเปิดโอกาสให้ชาว ชนบทมีสว่ นรว่ มในการวางแผนดาเนินกจิ กรรมด้วย 3. การลงทุนและการปฏบิ ัติงาน แมว้ า่ ชาวชนบทจะยากจนและขาดแคลนทรัพยากรแต่ชาว ชนบทก็มีทรัพยากรที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนและปฏิบัติงานได้ และจากประสบการณ์ การพฒั นาชนบทชาวชนบทมีแรงงานของตนเองเปน็ ข้ันต่าทสี่ ุดท่ีสามารถจะเขา้ ร่วมได้ 4. การติดตามและประเมินผล หากการติดตามและประเมินผลงานขาดการมีส่วนร่วมจาก ชาวชนบท มีการดาเนินการโดยบุคคลภายนอก ชาวชนบทย่อมจะไม่ประเมินด้วยตนเองว่างานท่ีขึ้น น้ันได้รับผลดีหรือไมเ่ พยี งใด การที่ชาวชนบทมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินด้วยตนเองว่างานท่ี ทาขึน้ นนั้ ได้รบั ผลดีหรอื ไมเ่ พียงใด การทชี่ าวชนบทมีส่วนรว่ มในการติดตามและประเมนิ ผลงานจึงเป็น สง่ิ ที่ช่วยทาให้เขาเขา้ ใจและมองคุณคา่ ของสง่ิ ตา่ งๆ ได้ดีย่งิ ขึ้น หลกั การทางานแบบมีสว่ นร่วม นักพัฒนาจาเปน็ ต้องยึดหลักการในการทางานพัฒนา ดังนี้ 1. ไปหาและอยู่ร่วมกับประชาชน นักพัฒนาจาเป็นต้องเข้าไปหาประชาชน และอยู่ร่วมกับ ประชาชน เพราะการเข้าไปพบปะอย่างเดียวย่อมจะไม่เข้าใจสภาพปัญหาและเงื่อนไขที่แท้จริงของ ชุมชนชนบทได้ การใช้ชีวิตร่วมกบั ชาวชนบทระยะหนึ่งจะทาใหเ้ ข้าใจถึงวงจรชีวิตและแนวคิดของชาว ชนบทมากขึ้น ท้ังนีเ้ พราะสิ่งแวดลอ้ มท่ีแตกต่างกันอยา่ งมากระหว่างเมืองกับชนบท
30 2. เรียนรู้จากประชาชน นักพัฒนามีความจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องเรียนรู้ข้อมูลจากชาว ชนบทในดา้ นต่างๆ ท้งั นี้เป็นเพราะชาวชนบทเป็นผู้ที่เกิดและอยู่ที่น่ัน ย่อมจะรู้ข้อมูลของหมู่บ้านของ ตนเองดีกว่าใครท้ังหมดของสมมุติฐานที่ว่าทุกหมู่บ้านมีปัญหาคล้ายคลึงกันน้ันจากประสบการณ์การ พัฒนาชนบทปรากฏวา่ ข้อสมมตุ ิฐานดังกล่าวไม่เป็นความจริงเพราะปัญหาและรายละเอียดของแต่ละ หมบู่ า้ นมีความแตกต่างกนั ดงั น้ันการเรยี นรู้จากชาวชนบทก็เป็นหวั ใจของการทางานของนักพฒั นา 3. ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การให้ชาวชนบทเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเองในทุก เร่ือง ไมว่ ่าเรื่องการเลือกกจิ กรรม การเลอื กใช้ทรพั ยากรหรอื อืน่ ๆ เป็นเครื่องบ่งชวี้ ่าบทบาทหน้าท่ีของ นกั พัฒนานั้นไม่ใชเ่ ข้าไปเป็นผู้นาชุมชน แต่เข้าไปเป็นตัวกระตุ้นให้ชาวชนบทคิดและร่วมมือกันศึกษา ปัญหาของเขาเองโดยต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าตนมุ่งหวังว่าจะไม่อยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดไป ดังน้ัน บทบาทอะไรท่ีทาแล้วคิดว่าชาวชนบทต้องพึ่งพานักพัฒนาตลอดไปก็ไม่ควรคิด พึงระลึกว่าเม่ือ นักพัฒนาออกจากหมู่บา้ นแล้วประชาชนจะต้องพึ่งตนเองได้ ทะนงศักด์ิ คุ้มไข่น้า (2541) ได้กล่าวถึงความหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้ หลายแนวดังนี้ 1. การมีส่วนรว่ มของประชาชน คือ กระบวนการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการ ดาเนินงานพัฒนา ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจแก้ปัญหาของตนเอง ร่วมใช้ความคิดสร้างสรรค์ความรู้และ ความชานาญ ร่วมกับการใช้วิทยาการที่เหมาะสมและสนับสนุนติดตามผลการปฏิบัติงานขององค์กร และเจ้าหนา้ ท่ีที่เกี่ยวข้อง 2. การมีส่วนร่วมของประชาชน คือ กระบวนการท่ีประชาชนกลุ่มเปูาหมายได้รับโอกาส และได้ใช้โอกาสท่ีได้รับ แสดงออกซ่ึงความรู้สึกนึกคิด แสดงออกซ่ึงส่ิงที่เขามี แสดงออกซ่ึงสิ่งท่ีเขา ต้องการ แสดงออกซึ่งปัญหาท่ีกาลังเผชิญ และแสดงออกซ่ึงวิธีแก้ไขปัญหาและลงมือปฏิบัติโดยการ ช่วยเหลือของหน่วยงานภายนอกน้อยที่สดุ 3. การมีส่วนร่วมของประชาชน คือ กระบวนการที่รัฐบาลทาการส่งเสริมชักนาสนับสนุน สร้างโอกาสให้ประชาชนในชุมชน ทั้งในรูปส่วนบุคคล กลุ่มคน ชมรม สมาคม มูลนิธิและองค์กร อาสาสมคั รรูปแบบต่างๆ ให้มสี ่วนรว่ มในการดาเนนิ งานเร่ืองใดเร่ืองหนง่ึ หรือหลายเรือ่ งรวมกนั จะเห็นการได้ว่าการให้คานิยามของการมีส่วนร่วมของประชาชนท่ีผู้รู้ทุกท่านได้หยิบยกขึ้น มาได้ให้ความหมายครอบคลุมการมสี ว่ นรว่ มของประชาชน ตง้ั แตเ่ ร่มิ ต้นของการวางแผนไปจนถึงการ ลงมือปฏิบัติตามแผนและการประเมินผล นั่นหมายความว่าการวางแผนโครงการใดๆก็ตามจะต้อง เริ่มต้นด้วยการปรึกษาหารือร่วมกันเพ่ือวิเคราะห์หรือชี้ชัดปัญหาและโครงการใหม่เป็นวงจรเช่นน้ีไป เรอื่ ย ๆ ซึง่ การทป่ี ระชาชนจะกระทาสง่ิ น้ีได้พวกเขาจะต้องได้รับรู้หรือเข้าถึงโครงการและข้ันตอนของ การดาเนินงานของรฐั บาลในรูปแบบการส่ือสารหรอื สมั พันธภาพสองทางอยา่ งเปิดเผย ตามคานิยามน้ี เราจะเห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนไม่ใช่เป็นเพียงการให้ข้อมูล ข่าวสารเพื่อประกอบการวางแผนหรือตัดสินใจเท่านั้น และโดยนิยามนี้เชนกันเราคงต้องยอมรับว่า โครงการใดก็ตามแม้จะอ้างว่าทาตามความต้องการของชาวบ้าน แต่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านเพียงแต่ “เข้าไปเป็นสมาชิก” ร่วมเสียสละแรงงาน เงิน วัสดุ “ร่วมพิจารณาหรือร่วมลงมือปฏิบัติในสิ่งท่ีริเริ่ม กาหนดมาจากทางราชการหรือทอี่ ่นื ” นนั้ ไมส่ มควรท่ีจะได้รบั การขนานนามว่าเป็นการมีส่วนร่วมของ ประชาชน
31 ทะนงศักดิ์ คุ้มไข่น้า (2541) ได้กล่าวถึงกรรมวิธีการมีส่วนร่วมของประชาชนสามารถทาได้ หลายวิธี ที่สาคญั ๆมีดังต่อไปน้ี 1) การเข้าร่วมประชุมอภิปราย (Disussion) เป็นการเข้าร่วมถกปัญหาหรือเนื้อหาสาระ ของแผนงานหรือโครงการพัฒนา เป็นลักษณะการมีส่วนร่วมแบบ (Face-to-face) ระหว่างเจ้าหน้าท่ี ของรัฐ หรอื บุคคลภายนอกกบั ประชาชนในทอ้ งถน่ิ เพือ่ สอบถามความเห็นของประชาชน 2) การถกเถียง (Debate) เป็นการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันตามวิถีทางประชาธิปไตย เพ่ือให้ทราบถึงผลดีผลเสียในกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีการสร้างเข่ือนที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน ควรมี การให้ถกเถียงเพือ่ เสนอขอ้ มลู จากทกุ ฝาุ ยทเี่ ก่ียวข้อง โดยเฉพาะประชาชนในท้องถ่ินท่ีมีผลกระทบท้ัง ทางบวกและทางลบต่อความเป็นอยู่ของเขา 3) การให้คาปรึกษาแนะนา (Consultation) วิธีนี้ประชาชนต้องร่วมเป็นกรรมการใน คณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อให้ความมั่นใจว่ามีเสียงของประชาชนท่ีถูกผลกระทบเข้ามามีส่วน รว่ มรับรู้และรว่ มในการตัดสินใจ และการวางแผน 4) การสารวจ (Survey) เป็นวิธีการให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่อง ต่างๆอย่างท่ัวถึง ข้อมูลที่ได้จากการสารวจและเป็นหลักฐานอ้างอิงว่ามีประชาชนจานวนเท่าใดได้มี ส่วนร่วมในการพจิ ารณาเร่ืองดงั กล่าวบ้าง 5) การประสานงานร่วม (Cooperation) เป็นกรรมวิธีที่ประชาชนได้เข้าร่วมต้ังแต่การ คัดเลือกตัวแทนของกลุ่มเข้าไปร่วมเป็นแกนนาในการจัดการหรือบริหาร หรืออาจจะต้ังเป็นรูปแบบ ของคณะกรรมการทป่ี รกึ ษาจากฝุายประชาชน 6) การจดั ทศั นศกึ ษา (Field trips) เปน็ การให้ประชาชนได้เข้าร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ จุดดาเนินการก่อนจะให้มีการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น การนาประชาชนไปศึกษา พ้ืนที่ดาเนินการสร้างเขื่อนหรือดูสถานท่ีสาหรับเตรียมอพยพครอบครัวท่ีมีผลกระทบจากการสร้าง เขอ่ื นไปอยใู่ นพ้นื ท่ีทีม่ คี วามเหมาะสม 7) การสัมภาษณ์หรือพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับผู้นา (Key Information Interview) รวมทั้งประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นและความต้องการที่แท้จริงของ ทอ้ งถ่นิ 8) การไต่สวนสาธารณะ(Public hearing) เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าร่วม แสดงความคดิ เห็นต่อนโยบาย กฎ ระเบยี บ ในประเด็นต่างๆ ท่ีจะมีผลกระทบตอ่ ประชาชนโดยรวม 9) การสาธิต (Demonstration) เป็นการใช้เทคนิคการสื่อสารทุกรูปแบบเพื่อเผยแพร่ ข้อมลู ขา่ วสารทุกรูปแบบ เพ่ือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบอย่างท่ัวถึงและชัดเจน อัน จะเปน็ แรงจงู ใจใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วนร่วม 10) การรายงานผล (Report back) เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทบทวนและสะท้อน ผลการตัดสนิ ใจตอ่ โครงการอีกครั้งหนึ่ง หากมีการเปลยี่ นแปลงจะไดแ้ ก้ไข ไดท้ ันทว่ งที กล่าวโดยสรุปแล้ว “การมีส่วนร่วม” ของประชาชนมีความหมายเป็น 2 นัย ด้วยกัน คือ (พรชยั รัศมีแพทย,์ 2540) 1. ความหมายอย่างกว้างการมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การที่ประชาชนเข้าไปมี ส่วนร่วมในการกาหนดนโยบายของประเทศและการบริหารประเทศ โดยผ่านกระบวนการทาง
32 การเมือง เช่น การเป็นผู้บริหารพรรคการเมือง การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเป็นรัฐมนตรี การเป็นคณะรัฐมนตรี เปน็ ต้น รวมถึงการเข้าไปมีส่วนร่วม ในการบริหารท้องถ่นิ และการเป็นสมาชกิ สภาทอ้ งถิ่นด้วย 2. ความหมายอย่างแคบ การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การที่ประชาชนเข้าไป ช่วยสนับสนุนงานซ่ึงเป็นหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีของรัฐโดยกระทาการภายในกรอบของกฎหมายหรือ นโยบายของรฐั โดยสรุปแล้วความหมายของการมีส่วนร่วม คือ การท่ีเปิดโอกาสให้ประชาชนได้พัฒนา ศักยภาพของตนเองโดยการสมัครใจเข้าร่วมในกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของชุมชนตั้งแต่การ คน้ หาปญั หา การตัดสินใจวางแผนในกิจกรรม การร่วมดาเนินการตามแผน การได้รับประโยชน์อย่าง เป็นธรรมจากกิจกรรมและการประเมินผลเพ่ือนาไปสู่การแก้ไขปัญหาจากบทเรียนรู้ร่วมกันของ กิจกรรมการพัฒนานนั้ ๆ ความสาคญั ของการมีสว่ นรว่ มของประชาชน ถ้าพิจารณาในแง่ของความสาคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน สามารถแยก ความสาคัญได้ดงั นี้ (สมบูรณ์ นนั ทวงศ์, 2542) 1. เนื่องจากโครงการพัฒนาในทุกโครงการจะมีวัตถุประสงค์หลักประการหน่ึงคือ เพ่ือให้ ประชาชนกินดี อยู่ดี มีรายได้สูงขึ้น มีมาตรฐานการครองชีพสูงข้ึน รวมตลอดถึงต้องการให้มีการ เปลย่ี นแปลงในด้านอ่ืนๆ เป็นไปในทางที่ดีข้ึนกว่าเดิม ดังน้ันหากประชาชนในชุมชนซ่ึงเป็นประชากร เปูาหมายของโครงการพัฒนาชุมชนได้ยอมรับและสนับสนุนต่อการพัฒนาชุมชน โครงการเหล่าน้ันย่อ มโี อกาสท่จี ะบรรลสุ าเร็จตามวัตถุประสงค์ได้งา่ ย และในทางตรงกนั ขา้ มหากประชาชนในชุมชนซึ่งเป็น ประชากรเปูาหมายของโครงการพัฒนาชุมชนไม่ให้การสนับสนุนจนถึงขนาดทาการต่อต้านแล้ว โครงการพัฒนาชมุ ชนนน้ั ย่อมประสบกับความล้มเหลวในท่สี ดุ 2. เนื่องจากการยอมรบั ว่าประชาชนในชุมชนเปน็ ผูร้ ถู้ ึงสภาพปัญหาและความตอ้ งการต่างๆ ของชุมชนตนเองเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะเป็นผู้อาศัยในพื้นท่ีนั้นมานานอย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะรู้ เรอื่ งราวของปญั หาและความต้องการ ดงั นั้นการที่ประชาชนในชุมชนนัน้ ๆ ซึ่งเป็นผู้ที่ทราบปัญหาและ ความต้องการได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในขั้นตอนต่างๆ ของการพัฒนาจึงน่าจะเป็นสิ่งท่ีดี เพ่อื ท่จี ะได้สรา้ งความรูส้ ึกเป็นเจ้าของ และการแก้ไขปัญหาของชุมชนได้อย่างตรงจุดกับความต้องการ มากขึ้น 3. เน่อื งจากตระหนักว่า แนวคิดของการพัฒนาชุมชนในลักษณะที่จะใช้รูปแบบเดียวกันท่ัว ประเทศเป็นสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ท้ังน้ีเพราะสภาพปัญหาความต้องการ ตลอดจนสภาพ ภูมิศาสตรพ์ ้นื ทท่ี างเศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง ค่านยิ ม และวัฒนธรรมของแต่ละชุมชนมีความแตกต่าง กัน ฉะนั้นการท่ีจะให้รูปแบบของการพัฒนาชุมชนเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศ นอกจากจะเป็น การแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุดแล้ว ยังอาจสร้างความล้มเหลวในการดาเนินโครงการพัฒนาชุมชนได้ง่าย โดยเฉพาะถา้ ชมุ ชนไมย่ อมรบั ไม่ให้ความร่วมมือหรอื ต่อตา้ นในสิง่ ท่ีบงั คับหรือชีน้ าใหเ้ ขา 4. สว่ นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลให้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา ชุมชน ท่ีให้ประชาชนเขา้ มามสี ว่ นร่วมในการพัฒนาชุมชนของตนเอง มาเป็นแนวทางในการปูพื้นฐาน เกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนในชุมชน ซึ่งแนวคิดที่สาคัญประการหนึ่ง
33 คือการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในกระบวนการพัฒนาประเทศให้เกิดขึ้นทุกระดับในการ พัฒนาชุมชนก็เชน่ กนั แนวคดิ ของการพัฒนาชุมชนจะมุ่งเน้นที่จะให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้ามีส่วน ร่วมในขบวนการพฒั นาชุมชนนั้นๆ ช่วยเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยให้ เกดิ ข้นึ ในวถิ ีชวี ิตของประชาชนในระดับชุมชนจริงๆ อาทิ ความเสมอภาคทางการเมืองในการเข้ามามี ส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การรู้จักอดทนและอดกลั้นต่อ ความเห็นของบุคคลท่ีแตกต่างจากตน การใช้เหตุผล การเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การ เคารพในสทิ ธิและหนา้ ที่ เป็นต้น เงื่อนไขและปัจจัยท่มี ผี ลต่อการมสี ่วนรว่ ม การที่ชุมชนจะตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วมกันในงานยุติธรรมชุมชนและร่วมรับผิดชอบใน โครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งระบบน้ัน ข้ึนอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยหลายประการ ท้ังปัจจัยส่วน บุคคล ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงเป็นคุณลักษณะภายในของบุคคล ซ่ึงเป็นการรับรู้ข้อมูลท่ี เกิดขึ้นจากภายนอก ดังมีผูใ้ ห้ความเหน็ ไว้ ดังต่อไปน้ี Cohen and Uphoff (1877) เสนอว่าบุคคล 4 ฝุายมีส่วนสาคัญในการมีส่วนร่วมใน โครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมชนบท ประกอบด้วย ประชาชนในท้องถิ่น ผู้นาท้องถ่ิน เจ้าหน้าท่ีของรัฐ และบุคคลภายนอก สาหรับการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นยังมีปัจจัยหลายปัจจัยที่มีส่วนร่วม เก่ียวขอ้ ง ไดแ้ ก่ 1. อายุและเพศ 2. สถานภาพในครอบครัว 3. ระดับการศึกษา 4. สถานภาพทางสังคม เชน่ ชน้ั ทางสังคม ศาสนา 5. อาชพี 6. รายได้และทรพั ยส์ ิน 7. ระยะเวลาในท้องถ่นิ และระยะเวลาที่อยใู่ นโครงการ 8. ที่ดินถอื ครองและสถานภาพแรงงาน ทัดดาว บุญปาล (2530) กล่าวไว้ว่า การมีส่วนร่วมทางสังคมของชุมชนของบุคคลนั้น มี ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง คือ สถานภาพทางสังคม สถานภาพทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางอาชีพ และท่ีอยู่ อาศัย โดยบคุ คลทีม่ สี ถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจตกตา่ จะเข้ารว่ มกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนน้อย กว่าบุคคลท่ีมีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจสูง นอกจากน้ันแล้วได้มีการแหล่งอานาจและการ ตัดสินใจในการเข้าร่วมกิจกรรมตา่ ง ๆ ของชมุ ชน 13 ตัวแปร ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ความรู้ ความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน คือ ด้านการศึกษาและการเงินเป็นสิ่งหน่ึงที่แสดงถึงสถานภาพทางสังคม แหลง่ อานาจทง้ั สองชนดิ น้ี ถ้าผ้ใู ดไดค้ รอบครองหรอื มไี ว้ ก็จะเป็นผทู้ ีม่ ีบทบาทสูงในชมุ ชน โดยเฉพาะ ในการมสี ่วนรว่ มในการดาเนินกิจกรรมตา่ ง ๆ ของชมุ ชน นอกจากฐานะทางเศรษฐกิจและระดับการศึกษาแล้ว คุณลักษณะทางสังคม ไม่ว่าจะเป็น ความเช่ือ ค่านิยม ตลอดจนนิสัย ประเพณีในชุมชน ก็อาจมีผลต่อการมีส่วนร่วมของชุมชน เชน่ เดียวกนั
34 รูปแบบของการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์การสหประชาชาติ (United Nations, 1981) ได้รวบรวมรูปแบบของการมีส่วนร่วมไว้ ดงั น้ี 1. การมีสว่ นร่วมแบบเปน็ ไปเอง ซ่งึ เปน็ ไปโดยการอาสาสมัครหรือการรวมตัวกันข้ึนเองเพื่อ แก้ไขปัญหากลุ่มของตนเอง โดยเน้นการกระทาที่มิได้รับการช่วยเหลือจากภายนอกซึ่งมีรูปแบบที่เป็น เปาู หมาย 2. การมีส่วนร่วมแบบชักนา ซึ่งเป็นการเข้าร่วมโดยต้องการความเห็นชอบหรือสนับสนุน โดยรฐั บาลเป็นรปู แบบโดยทัว่ ไปของประเทศที่กาลงั พัฒนา 3. การมีส่วนร่วมแบบบังคับ ซ่ึงเป็นผู้มีส่วนร่วมภายใต้การดาเนินนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การจดั การโดยเจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐหรือโดยการบงั คับโดยตรง รูปแบบน้ีเป็นรูปแบบที่ผู้กระทาได้รับ ผลทนั ที แต่จะไมไ่ ดร้ ับผลระยะยาวและจะมผี ลเสยี คอื ไม่ไดร้ บั การสนับสนนุ จากประชาชนในท่สี ุด ขั้นตอนของการมีส่วนร่วม การมสี ่วนร่วมจะแบ่งเป็นหลายข้ันตอนแตกต่างกัน ตามแต่วิธีการมีส่วนร่วมของประชาชน ตามทน่ี ักวชิ าการหลายทา่ นไดก้ ล่าวไว้ ดงั นี้ Cohen and Uphoff ได้เสนอข้ันตอนการมีส่วนร่วมไว้ 4 ข้ันตอน คือ (สุทัน ทาวงศ์มา, 2544) 1. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) เป็นการมีส่วนร่วมที่เป็นการ แสดงออกดา้ นความคดิ เกี่ยวกับการจดั ระบบ หรือกาหนดระบบโครงการ เป็นการประเมินปัญหาหรือ ทางเลือกท่ีจะสามารถเป็นไปได้ท่ีจะนาไปปฏิบัติเพ่ือการพัฒนาโดยการประเมินสภาพที่เป็นอยู่และ สาเหตุของปัญหา ซ่งึ ในขน้ั ตอนนยี้ งั แบง่ ย่อยออกเปน็ 3 สว่ น ได้แก่ 1.1 การมสี ว่ นร่วมในข้ันตน้ (Initial Decision) เปน็ การค้นหาความต้องการท่ีแท้จริงซ่ึงเป็น วธิ กี ารที่จะเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มของโครงการ 1.2 การมีส่วนร่วมในข้ันเตรียมการ (Ongoing Decision) เป็นการหาโอกาสหรือช่องทาง ในการแกป้ ัญหา รวมทั้งลาดับความสาคญั ของโครงการทจี่ ะต้องดาเนินการ 1.3 การมีส่วนร่วมในข้ันการตัดสินใจปฏิบัติการ (Operation Decision) เป็นการหา บุคลากรเข้ามาปฏิบัติการ ได้แก่ อาสาสมัคร ผู้ประสานงาน หรือกลุ่มที่รวมตัวกันตามประเพณี เช่น กลุ่มสตรี หรือกลุ่มหนุ่มสาว เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรม โดยการเป็นสมาชิกร่วมดาเนินการ คดั เลือกผ้นู า และการสร้างพลงั อานาจให้แกอ่ งคก์ ร 2. การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ (Implementation) เป็นการดาเนินงานตามโครงการ และแผนงานและเป็นการก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของกิจกรรมและผลงานท่ีปรากฏใน ข้นั ตอนนีย้ งั แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คอื 2.1 การมีส่วนร่วมในการสละทรัพยากร (Resource Contribution) ได้แก่การมีส่วนร่วม ในระดบั แรงกาย การสละเงนิ การให้วัสดอุ ุปกรณ์ และการให้คาแนะนา ซง่ึ ทรพั ยากรเหล่านี้จะให้ด้วย ความเต็มใจ 2.2 การมีส่วนร่วมในการบริหารและการประสานงาน (Administration and Coordintion) จะมีส่วนร่วมโดยวิธีการจ้างบุคคลเข้ามีส่วนร่วมดาเนินการ การฝึกอบรมผู้ที่จะเข้า
35 ปฏิบัติในโครงการหรือการให้คาปรึกษาในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการ และเป็นผู้ประสานงานใน โครงการดว้ ย 2.3 การมสี ่วนรว่ มในการเขา้ เป็นผู้ปฏิบัติงานในโครงการ มักพบว่ามีลักษณะเป็นการบังคับ ให้เข้าปฏิบัติในโครงการมากที่สุด การมีส่วนร่วมโดยการบังคับให้ปฏิบัติจะต่างจากการให้ความ ร่วมมือ เพราะการบังคับให้ทานั้น ผลประโยชน์ (Benefits) จะไม่ใช่เป็นส่ิงที่สาคัญแต่ถ้าเป็นการมี สว่ นรว่ มด้วยความเตม็ ใจนัน้ จะมีการคานงึ ถึงผลประโยชนท์ จี่ ะไดร้ บั หลังจากเกิดการมสี ว่ นรว่ มดว้ ย 3. การมสี ่วนร่วมรับผลประโยชน์ (Benefits) ยงั แบง่ ออกได้เป็น 3 ส่วน คือ 3.1 การมีสว่ นร่วมรับผลประโยชนใ์ นด้านวัตถุ (Material Benefits) ได้แก่การมีส่วนร่วมใน การเพิม่ ผลผลิต รายได้ หรอื ทรพั ย์สนิ 3.2 การมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ในด้านสังคม (Social Benefits) ได้แก่ผลประโยชน์ท่ี เกิดขึ้นแก่สังคม เชน่ โรงเรียน สถานที่สาธารณะ หรือส่วนกลางของชุมชน เช่น การเพ่ิมคุณภาพชีวิต การเกิดระบบนา้ ประปา 3.3 การมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ในด้านบุคคล (Personal Benefits) ได้แก่ ความนับถือ ตนเอง (Self-Esteem) พลังอานาจทางการเมือง (Political Power) ความคุ้มค่าของผลประโยชน์ (Sense of efficacy) 4. การมสี ่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) หมายถึงการมีส่วนร่วมในการวัดผลและ วิเคราะห์ผลของการดาเนินงาน รวมท้ังเป็นการค้นหาข้อดีและข้อบกพร่อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขการ ทางานให้มีประสิทธิภาพต่อไป แต่การมีส่วนร่วมในขั้นนี้ส่วนใหญ่บทบาทดังกล่าวจะเป็นของ เจ้าหน้าท่ีภาครัฐ โดยจะเป็นการประเมินผลของงบประมาณที่จัดสรรน้ันนาไปใช้อย่างไร บางกรณี แม้แตเ่ จ้าหนา้ ท่ีเองยงั ไม่มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในข้ันตอนดังกล่าว การมีส่วนร่วมในการประเมินผล นี้จะเป็นสิ่งที่จะแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพลังความคิดของมวลชนที่จะทาให้โครงการพัฒนาหรือ สามารถนาไปใช้ประยกุ ตใ์ ชต้ อ่ ไป นอกจากนี้นักวิชาการบางท่านยังได้แบง่ ขัน้ ตอนการมีส่วนรว่ มแตกต่างจากท่กี ล่าวมาโดยจะ มีขนั้ ตอนการวางแผนร่วมด้วย เช่น อคนิ รพีพัฒน์ (2547) และธีรพงษ์ แก้วหาวงษ์ (2543) ได้จาแนก ข้ันตอนการมสี ว่ นรว่ มไว้ 5 ข้นั ตอนคือ 1. การมสี ่วนรว่ มในข้นั รเิ ริ่มโครงการ เปน็ ข้ันตอนที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการค้นหา ปัญหา สาเหตุของปัญหาในชุมชน และมีส่วนรวมในการตัดสินใจ กาหนดความต้องการของชุมชน และจัดลาดบั ของความสาคญั นน้ั ๆ 2. การมีส่วนร่วมในขั้นการวางแผนการพัฒนา เป็นข้ันที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ กาหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ ของโครงการ กาหนดวิธีการ แนวทางในการดาเนินงานกาหนด ทรัพยากรและแหลง่ ทรพั ยากรที่ต้องใช้ 3. การมีส่วนร่วมในข้ันดาเนินโครงการ เป็นข้ันท่ีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทา ประโยชน์ให้แก่องค์การ โดยการร่วมช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ วัสดุอุปกรณ์ และแรงงานหรือโดยการ บรหิ ารงานและประสานงาน ตลอดจนการดาเนนิ การขอความช่วยเหลือจากภายนอก 4. การมีส่วนรว่ มในขนั้ รบั ผลประโยชน์ที่เกิดจากโครงการพัฒนา เป็นขั้นที่ประชาชนเข้ามา มีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ท่ีพึงได้รับจากโครงการ หรือในการมีส่วนรับผลเสียที่อาจเกิดจาก
36 โครงการ ซึง่ ผลประโยชนห์ รอื ผลเสียน้ีอาจเป็นด้านกายภาพ หรือด้านจิตใจท่ีมีผลต่อสังคมหรือบุคคล ได้ 5. การมีส่วนร่วมในขั้นประเมินผลโครงการพัฒนา เป็นข้ันที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมใน การประเมนิ ว่าโครงการพัฒนาทดี่ าเนนิ การนน้ั บรรลุวตั ถปุ ระสงคท์ กี่ าหนดไว้หรือไม่ การประเมินผลน้ี อาจเป็นการประเมินผลย่อย ซ่ึงเป็นการประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการที่กระทากันเป็น ระยะ ๆ หรือการประเมินผลรวม ซงึ่ เป็นการประมวลผลสรุปผลรวบยอดของโครงการทั้งหมด ระดับการมสี ว่ นร่วมของชมุ ชน Rifkin ได้แบ่งระดับการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนเป็น 5 ระดบั คือ (สทุ ัน ทาวงค์มา, 2544) ระดับที่ 1 การมีส่วนร่วมในระดับเบ้ืองต้นประชาชนเป็นเพียงผู้รับผลประโยชน์จาก โครงการหรือกจิ กรรมเทา่ น้นั (People participate in the Benefits of Programs) ประชาชนไม่ได้ มสี ่วนร่วมในกิจกรรมใดๆเป็นการมสี ่วนร่วมแบบรบั ผลประโยชน์ ระดับที่ 2 ชุมชนมีส่วนร่วมด้านแรงงาน (People participate in Programs Activities) เม่ือชุมชนยงั ไมไ่ ดเ้ ปน็ ผูร้ ว่ มงานอยา่ งแท้จรงิ จัดไดว้ ่าเป็นการร่วมมือแบบมีส่วนรว่ ม ระดับท่ี 3 สมาชกิ ของชุมชนมสี ่วนร่วมในการกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ (People participate in Implementing Programs) แม้ว่าชุมชนจะได้มีส่วนร่วมมากข้ึนแต่เปูาหมายหรือ วัตถุประสงค์ ของกิจกรรม/โครงการยังถกู กาหนดจากผวู้ างนโยบาย ระดับท่ี 4 สมาชิกของชุมชนมีส่วนร่วมในการกาหนดกิจกรรม ควบคุมกากับและ ประเมินผลว่าผลของกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ดาเนินการบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ เพียงใด (People participate in Monitoring and Evaluating Programs) แต่ผู้วางนโยบายยังกาหนดเปูาหมายหรือ วัตถุประสงคข์ องกจิ กรรมโครงการ ระดับท่ี 5 สมาชิกของชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจและกาหนดเปูาหมาย วัตถุประสงค์ ตลอดจน กิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง (People participate in Planning Programs) ในระดับนี้ประชาชน ดาเนินการเองทั้งหมด โดยมีหน่วยงานของรับเป็นผู้สนับสนุน อันจะมีผลทาให้การดาเนินงานมีความ ยง่ั ยนื เป็นระดบั สดุ ยอดของการมสี ว่ นร่วม ขอบเขตของการมีสว่ นรว่ มของประชาชน Cohen and Upshot ไดเ้ สนอกรอบความคดิ เบอ้ื งตน้ ในการวิเคราะห์การมีส่วนร่วมในการ พฒั นาชนบทไว้วา่ มี 3มติ ิ (Dimensions) และ 2 บรบิ ท (Contexts) (ปรัชญา เวสารัชช์, 2528) และ มนตรี กรรพมุ มาลย์, 2539) มติ กิ ารมีสว่ นรว่ ม (Dimensions) ประกอบด้วยประเด็นคาถาม ดังน้ี 1) มสี ว่ นรว่ มอะไรบา้ ง (What) แบ่งเป็น 1.1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) คือร่วมในการคิดถึงปัญหา โดย ระบคุ วามต้องการของชุมชนจนเกิดโครงการ ระหว่างดาเนินการ (โครงการเริ่มทา) และการตัดสินใน ดาเนินการ (โดยองค์กรของชุมชนหรือชาวบ้าน) ซ่ึงในประเด็นน้ี สามารถอธิบายได้ว่าการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม/โครงการต่างๆเกดิ จากแนวคดิ 3 ประการ คอื 1) ความสนใจและความห่วงใยกังวลร่วมกันในสภาพปัญหาที่เผชิญร่วมกันกลายเป็น ความสนใจและกังวลใจของส่วนรวม
37 2) ความเดือดร้อนและความไม่พึงพอใจร่วมกันที่มีต่อสถานการณ์ท่ีเป็นอยู่ขณะน้ัน ผลกั ดันให้มงุ่ สู่การรวมกล่มุ วางแผนกระทาร่วมกัน 3) การตกลงใจร่วมกันท่ีจะเปล่ียนแปลงกลุ่มหรือชุมชนไปในทิศทางที่พึงปรารถนา และต้องมีความเข้มข้นมากพอที่จะเกิดความคิดริเร่ิมทาการท่ีจะสนองตอบความต้องการของผู้ เดอื ดร้อน 1.2) การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ (Implementation) ประกอบด้วยการสนับสนุน ทางดา้ นทรัพยากรตา่ งๆ การบรหิ ารงาน กจิ กรรมและการประสานงานขอความชว่ ยเหลือ 1.3) การมีสว่ นร่วมในผลประโยชน์ (Benefits) ทางดา้ นวตั ถุ สังคม ของแต่ละบคุ คล 1.4) การมีส่วนรว่ มในการพยายามประเมนิ ผล (Evaluation) ของโครงการ 2) มีส่วนร่วมกบั ใคร (Who, Whom) 2.1) การพิจารณาองคป์ ระกอบของผู้ทเี่ ขา้ มามีส่วนร่วมกับชาวบ้าน ในแต่ละขั้นตอน เช่น ผนู้ าชมุ ชน เจา้ หน้าทีข่ องรัฐ องคก์ รทใี่ หท้ นุ เปน็ ต้น 2.2) การพิจารณาคุณลักษณะทางประชากร สังคม และเศรษฐกิจ ของผู้เข้ามีส่วนร่วมใน เรื่อง เพศ อายุ การศึกษา รายได้ อาชีพ ระดับชั้นในสังคม ระยะเวลาอยู่อาศัย การถือครองท่ีดิน เปน็ ตน้ 3) มสี ่วนร่วมอย่างไร (How) 3.1) ลักษณะพื้นฐานการมีส่วนร่วม เช่นการเต็มใจเข้าร่วม การได้รางวัลตอบแทนหรือถูก บงั คบั ในการเข้ารว่ ม 3.2) รปู แบบการมสี ่วนร่วม เช่น การเขา้ ร่วมโดยตรง หรือผา่ นองคก์ รของชุมชน 3.3) ขนาดของการมสี ว่ นรว่ มเชน่ ความถี่ และระยะเวลาในการเข้าร่วม 3.4) ผลท่ีเกิดจากการเข้าร่วม เช่น เป็นการเสริมสร้างพลังหรืออานาจองค์กรหรือเป็น การปฏิสัมพนั ธ์ธรรมดาเท่านั้น บรบิ ทของการมสี ว่ นร่วม (Contexts) ประกอบไปดว้ ย 1) ลักษณะของกิจกรรมและโครงการ โดยพิจารณาจาก 1.1) ลกั ษณะของสิ่งท่ีนาเข้า เช่น ความซบั ซอ้ นของโครงการและทรัพยากรทีต่ ้องการ 1.2) ลักษณะประโยชน์ท่ีได้รับ เช่น ความเป็นรูปธรรม ความเป็นไปได้ และระยะเวลาท่ี ส่งผล 1.3) ลักษณะรูปแบบท่ีกาหนด เช่น การเช่ือมโยงโครงการ ความยืดหยุ่นของโครงการ การเขา้ ถึงในแง่ของการบรหิ ารจัดการ และการครอบคลมุ เนือ้ หาการบริหารงาน 2) สภาพแวดล้อมทก่ี ระทบถงึ กจิ กรรม/โครงการโดยการพิจารณาจาก 2.1) ปัจจัยในอดีต เชน่ ประสบการณก์ ารรบั รตู้ า่ ง ๆ 2.2) ปจั จยั ดา้ นกายภาพและธรรมชาติ เชน่ ภูมิศาสตร์ สังคม และชวี ภาพ 2.3) ปจั จยั ทางสงั คม เช่น ปัจจยั ทางการเมอื ง เศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม
38 ปญั หาและอปุ สรรคของการมสี ว่ นรว่ ม การมีส่วนร่วมของประชาชนในแต่ละพื้นท่ีจะแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลในด้านต่างๆ ได้แก่ เศรษฐกิจ สงั คม การเมือง วัฒนธรรมของชุมชน รวมทั้งสภาพแวดล้อมของชุมชนเป็นปัจจัยทา ให้เกิดปัญหา อุปสรรคต่อการมีสว่ นร่วมของประชาชนดงั ที่นกั วิชาการแตล่ ะทา่ นได้กล่าวไว้ดังนี้ ธีรพล ธีรพงษ์ราชสีมา (อ้างใน พลเกต อินตา, 2547) ได้กล่าวถึงปัญหาอุปสรรคของการ สง่ เสริมการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในงานพฒั นาสาธารณสขุ ดังน้ี 1. ปัญหาเกี่ยวเน่ืองกับระบบสังคมวัฒนธรรมที่จะเป็นพื้นฐานรองรับการมีส่วนร่วมของ ประชาชน เน่ืองจากระบบสังคมกาลังเปล่ียนไปจากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรมดังน้ัน ความเช่ือที่ว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของการพึงพาตนเองแบบสังคม ชนบท เปลี่ยนเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนบนพื้นฐานของผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมอื งและอนื่ ๆ แบบสังคมเมืองหรือสงั คมอตุ สาหกรรมมาแทนที่ 2. ปัญหาอุปสรรคอันเนื่องมาจากระบบกระจายอานาจทางการเมืองการปกครองและการ บริหารราชการแผน่ ดิน พบว่า ไม่ได้มีการกระจายอานาจที่แท้จริงให้แก่ประชาชน การมีส่วนร่วมของ ประชาชนอาจถูกจากดั โดยลักษณะของโครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมไทย เช่นความเกรงใจมีผล ทาให้คนมีตาแหน่งในชุมชน เช่น กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้รับเลือกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ นอกจากนี้ ลักษณะอีกอย่างหนึ่งประการหนึ่ง คือ การไม่แสดงความเห็นอันเกิดจากความเกรงใจหรือความกลัว เช่นเดียวกับท่ีฉลาดชาย รมิตานนท์ (2527) ได้พบว่า ปัญหาอุปสรรคหรือที่ประชาชนขาด ความสามารถที่จะยืนหยัดพึงตนเองได้ อานาจการต่อรองไม่มี หรือมีน้อย และหากยึดเอาแรงงาน เป็นอานาจการตอ่ รองจะตอ้ งเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เช่น การขัดแย้งภายในสมาชิกและการต้องเผชิญ ปัญหากบั นายทุนและอานาจของทางราชการ 3. ปัญหาอุปสรรคอันเนื่องมาจากข้าราชการและเจ้าหน้าท่ี โดยข้าราชการที่มีคุณภาพจะมี สว่ นในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและขา้ ราชการทดี่ ้อยคุณภาพย่อมเป็นอุปสรรคต่อการ มสี ่วนรว่ มของประชาชน ซึง่ ขึ้นอยู่กบั เจ้าหน้าทข่ี องรฐั จะแสดงบทบาทอย่างไร 4. ปญั หาอุปสรรคอันเนือ่ งมาจากการยัดเยียดกิจกรรมโครงการให้กับชาวบ้านพบว่ามีจังหวะ การทางานของภาครัฐและของประชาชนชนบทไม่สอดคล้องกัน เช่น การได้เงินงบประมาณ ดาเนินงานมาในช่วงทีป่ ระชาชนอย่ใู นชว่ งเพาะปลูกหรือเก็บเก่ียวผลผลิตทางการเกษตร 5. ปัญหาอุปสรรคอันเน่ืองมาจากการจัดระบบโครงสร้างการบริหารจัดการภายในหมู่บ้าน พบว่า ระบบการจัดโครงสร้างการบริหารจัดการภายในหมู่บ้านยังไม่สอดคล้องกันระบบการมีส่วน รว่ มของประชาชน คือ การไม่กระจายอานาจหน้าท่ีให้กับประชาชน โดยฉลาดชาย รมิตานนท์ กล่าว ว่า ความล้มเหลวของการพัฒนาทุกชนิดในประเทศเกิดจากการไม่กระจายอานาจหน้าที่รับผิดชอบ ให้แก่ประชาชน โครงสร้างอานาจทางการเมืองการปกครองและการบริหาร โครงสร้างทางเศรษฐกิจ โครงสร้างทางสงั คมและวัฒนธรรมตกอยู่ในคนสามกลุ่มคือ ทหาร นายทุน และข้าราชการ ตราบใดที่ ยังไมม่ ีการเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ งจะยากต่อการพฒั นาแบบมสี ่วนร่วมของประชาชน 6. ปัญหาอุปสรรคอันเนื่องมาจากอิทธิพลของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางระบบสื่อสาร มวลชนพบวา่ มีลักษณะสวนทางกับการพัฒนาคณุ ภาพชีวิตคน
39 7. ปัญหาอุปสรรคจากระบบอุปถัมภ์ อคิน รพีพัฒน์ กล่าวว่า ระบบอุปถัมภ์ (Entourage) เป็นปัญหาท่ีสาคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนการพัฒนา ซึ่งความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์เป็น ลักษณะการจัดสมาชกิ ของการลดหล่ันเป็นช้ิน เปน็ ความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความไม่เสมอ ภาคในการแลกเปลย่ี นผลประโยชน์ ผู้ทใ่ี หก้ ารอปุ ถัมภต์ อ่ หนว่ ยงานของรฐั จะเปน็ ผู้ได้รับผลประโยชน์ ดังนั้น สรุปได้ว่าปัญหาการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชน เกิดจากปัญหาด้านการเมือง ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านสังคม วัฒนธรรม ปัญหาท่ีตัวบุคคลอันได้แก่บทบาทของเจ้าหน้าที่ ของรัฐท่ีดาเนินงานตามนโยบายโดยไม่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมทั้งระบบอุปถัมภ์ทา ให้ผู้ท่ีให้การอุปถัมภ์จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ซ่ึงปัญหาต่างๆจะมีความเกี่ยวเนื่องกันเป็นระบบ ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนในภาพรวม ซึ่งการเข้ามามีส่วนร่วม ประชาชนจะเข้าร่วมในข้ันตอนการปฏิบัติมากกว่าเข้าร่วมในขั้นตอนการค้นหาปัญหาและตัดสิน ใน ขั้นตอนการวางแผนและการร่วมประเมินผล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติ ตามคาส่ังของเจ้าหน้าท่ี นอกจากน้ี นิรันดร์ จงวฒุ เิ วศน์ (2527 อ้างถึงในพัชรี พงษ์ศิริ, 2541) ได้แสดงทัศนะว่าการ มีส่วนร่วมนนั้ จะตอ้ งมีเงือ่ นไขทสี่ าคัญอยา่ งน้อย 3 ประการ ดงั นี้ 1) ประชาชนต้องมีอิสรภาพ หมายถึงมีอิสระท่ีจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ การเข้าร่วมต้อง เปน็ ไปด้วยความสมัครใจ การถกู บังคบั เขา้ รว่ มไมว่ า่ จะในรูปแบบใดไม่ถอื วา่ เปน็ การมสี ว่ นรว่ ม 2) ประชาชนมีความเสมอภาค หมายถึงบุคคลท่ีเข้าร่วมในกิจกรรมใดจะต้องมีสิทธิเท่า เทียมกับผู้เข้ารว่ มคนอื่น ๆ 3) ประชาชนมีความสามารถ หมายถึงบุคคลหรือกลุ่มเปูาหมายจะต้องมีความสามารถ พอท่ีจะเข้าร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ หมายความว่า ในบางกิจกรรมแม้จะกาหนดว่าผู้เข้าร่วมมีเสรีภาพ และเสมอภาคแต่กิจกรรมท่ีกาหนดไว้มีความซับซ้อน เกินความสามารถของกลุ่มเปูาหมายการมีส่วน ร่วมย่อมเกิดขน้ึ ไม่ได้ บุญเลิศ จิตต้ังวัฒนา (2542) ได้กล่าวไว้ว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนท้องถิ่นในการ พัฒนาการท่องเที่ยวน้ันต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนท้องถ่ินเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนากา ร ท่องเท่ียวทกุ ข้ันตอนและให้ชุมชนท้องถ่ิน ได้รับผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวเพื่อก่อให้เกิดความรัก ความหวงแหน การสร้างจิตสานึกในการดูแลปกปูองรักษาทรัพยากรท่องเท่ียวและสภาพแวดล้อมให้ คงอยู่อย่างยัง่ ยนื การมีสว่ นรว่ มของประชาชนในด้านการท่องเท่ียวนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นการร่วมกัน ใช้ประโยชน์หรือได้รับประโยชน์ซ่ึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น การมีส่วนร่วมจะก่อให้เกิดความ ย่ังยืนในการพฒั นาไดจ้ ะตอ้ งมีองค์ประกอบ 5 ประการ (สุรพี ร พงษ์พาณชิ , 2549) ดังนี้ 1) ร่วมกันวางแผน เป็นการร่วมคิด ร่วมวางแผนจัดการเตรียมความพร้อมและสิ่งอานวย ความสะดวกในชมุ ชน รว่ มประชมุ และลงความเหน็ ว่าแผนพัฒนาการท่องเท่ียวที่ส่วนราชการนาเสนอ นั้นประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ในข้ันตอนนี้หากประชาชนไม่เห็นด้วยและมีข้อเสนอแนะหน่วยงานท่ี เก่ียวข้องควรหาทางแก้ไขอย่างไรบ้าง สาหรับท้องถ่ินที่ยังไม่มีแหล่งท่องเที่ยวภายในชุมชนประชาชน ในท้องถ่ินนั้นต้องร่วมกันคิดว่าชุมชนของตนเองมีอะไรที่น่าสนใจ มีความแตกต่างจากชุมชนอ่ืนท่ี สามารถเป็นส่งิ ดงึ ดูดใจสาหรบั นกั ท่องเทย่ี วได้และควรมีการแบ่งงานกันทาและจัดรูปแบบการแบ่งปัน ผลประโยชนอ์ ันจะเกิดข้ึนใหล้ งตัว
40 2) รว่ มกนั ปฏิบตั ติ ามแผน เมื่อมีการวางแผนแล้วสมาชิกในชุมชนต้องร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ที่ ตกลงกันไว้ เช่นการสร้างที่พักสาหรับนักท่องเที่ยวให้ได้ 1 หลังภายใน 1 ปีหรือแผนการลดขยะ ทาความสะอาดชมุ ชนเพ่อื ให้ชุมชนมีสภาพแวดล้อมท่ีถูกสุขลักษณะให้ได้ภายใน1ปี เป็นต้นซึ่งสมาชิก ในชมุ ชนจะต้องร่วมกันลงมือให้ไดต้ ามแผนน้นั 3) ร่วมกันใช้ประโยชน์ สมาชิกทุกคนจะต้องมีสิทธิใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท่องเท่ียวใน ท้องถิ่นจะต้องมีการจัดการผลประโยชน์ท้ังที่เป็นตัวเงินและวัตถุให้ประชาชนในท้องถ่ินอย่างทั่วถึง และเหมาะสมโดยคานึงถึงความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันเป็นหลักท้ังนี้ เมื่อทุกคนได้รับ ผลประโยชน์อย่างเหมาะสม ซงึ่ หมายถงึ การลงทนุ ลงแรงมากก็จะได้รับผลประโยชน์มาก ส่ิงนี้จะช่วย กระตนุ้ ใหก้ จิ กรรมการทอ่ งเทยี่ วในทอ้ งถน่ิ ดาเนินต่อไปได้ 4) รว่ มตดิ ตามและประเมินผล เมือ่ มีการดาเนินการแลว้ ยอ่ มจะมีปัญหาความไม่เข้าใจต่างๆ เกิดขึ้นจึงต้องร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถ่ายทอดประสบการณ์และร่วมกันประชุมหาวิธีการแก้ไข ปญั หาเหล่านั้น 5) ร่วมบารุงรักษาเมื่อมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแล้วทุกคนต้องร่วมกันบารุงรักษา หากปล่อยปละละเลยให้ทรัพยากรที่มีอยู่เสื่อมโทรมนักท่องเท่ียวก็จะไม่มาเย่ียมเยือนผลประโ ยชน์ท่ี เคยไดร้ ับก็หมดลงไป มนัส สุวรรณ (2544) ได้กล่าวว่า แนวคิดในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมมีพื้นฐานมาจาก ธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ คือการให้เกียรติและการยอมรับซึ่งกันและกัน ประชาชนในพ้ืนที่มี ความรู้สึกเป็นเจ้าของรู้และเข้าใจสภาพและปัญหาที่เกิดข้ึนในพ้ืนที่เป็นอย่างดี ดังน้ันการให้คนใน ท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนา ย่อมเท่ากับเป็นการหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งทาให้กิจกรรมการ พฒั นามโี อกาสประสบความสาเร็จสงู ทัง้ นก้ี ารมีส่วนรว่ มของประชาชนน้ันมีเงื่อนไขเก่ียวข้องอยู่หลาย ประการ พลอยศรี โปราณานนท์ (2544) ได้กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในการวางแผน พฒั นาการท่องเทยี่ วน้ันมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พอื่ ผลประโยชน์ในพน้ื ที่ ซึ่งมีการดาเนินการจากระดับล่างขึ้นสู่ ระดับบน (Bottom-Up) ซ่ึงการดาเนินการเช่นนี้ทาให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน จนถงึ กาหนดนโยบายเพ่อื ใหม้ ีความเหมาะสมกบั ความตอ้ งการของประชากรในพน้ื ที่ รุ่งเรือง วอ่ งปฏบิ ตั กิ าร (2547) ไดก้ ล่าวว่า ในการจัดการทอ่ งเท่ียวน้ันหากชุมชนไม่ได้มีส่วน ร่วมแล้วอาจทาให้ชุมชนไมไ่ ด้รับประโยชนจ์ ากการท่องเที่ยวเท่าที่ควรและอาจทาให้ชุมชนได้รับความ เสียหายจากการท่องเที่ยวได้อีกด้วย การที่หลายฝุายพยายามให้ชุมชนได้เข้าร่วมในการจัดการ ทรัพยากรการท่องเที่ยวเน่ืองจากคนในท้องถิ่นย่อมทราบภาวการณ์ต่างๆลักษณะของทรัพยากร ปัญหาที่สาคัญคือมีความรักและผูกพันกับสิ่งต่าง ๆ ในพื้นท่ีอยู่เป็นทุนเดิมจึงเป็นโอกาสอันดีที่ชุมชน จะได้มสี ว่ นร่วมในการจัดการทรัพยากรของตนเองเมื่อชุมชนได้รับโอกาสอันดีท่ีชุมชนจะได้มีส่วนร่วม ในการจดั การทรัพยากรของตนเอง เม่ือชุมชนได้รับโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมความรู้สึกรักผูกพันและ หวงแหนทรพั ยากรในฐานะท่ีเป็นเจา้ ของธรุ กจิ เพมิ่ พนู ขน้ึ เกิดความตระหนกั ในการปกปูองและอนุรักษ์ นอกจากนชี้ ุมชนยงั มีความรู้สึกทด่ี กี บั การที่ไดร้ บั เกยี รตใิ ห้เป็นสว่ นหน่ึงของการจดั การงานตา่ ง ๆ ดว้ ย รพีพงศ์ อินต๊ะสืบ (2550) ได้กล่าวว่า แนวคิดการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนมีความ สอดคล้องกับหัวใจของการพัฒนาคือการมีส่วนร่วมของชุมชนจะทาให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง สามารถ
41 แก้ไขปัญหาและพึ่งพาตนเองได้ ในประเทศท่ีพัฒนาแล้ว ต่างมีวิธีการการมีส่วนร่วมของประชาชน แตกต่างกัน แต่มีหลักการเดียวกัน คือให้ประชาชนมีสิทธิจะเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นคัดค้านหรือ เห็นด้วยสาหรับโครงการที่รัฐบาลจะเป็นผู้ดาเนินการเพ่ือประเมินผลกระทบที่จะมีผลต่อชุมชนหรือ ประชาชนในฐานะเจา้ ของพ้นื ท่ี วันชัย วัฒนศัพท์ (2544 อ้างถึงใน ถวิลวดี บุรีกุล, 2550) ได้กล่าวว่า การมีส่วนร่วมเป็น กระบวนท่ีบุคคล ได้มีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ แสดงความคิดเห็น มีส่วนร่วมในการกาหนด นโยบายและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในประเด็นที่มีผลต่อการดาเนินชีวิต ทาให้การตัดสินใจมี คุณภาพ มีความรอบคอบมากขึ้น สามารถช่วยลดความเส่ียงจากการสูญเสีย ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลด เวลาการสร้างฉันทคติ ทาให้การทางานเป็นไปด้วยความคล่องตัว รวดเร็ว ช่ว ยหลีกเล่ียงการ เผชิญหน้าในกรณีร้ายแรง ช่วยสร้างความหน้าเชื่อถือ สร้างความชอบธรรม ทาให้คลายความห่วง กังวล ค่านิยมของสังคมเป็นการพัฒนาทักษะศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์สาธารณะชน การ ทอ่ งเทย่ี วแบบชมุ ชนมีสว่ นร่วมหรอื ชมุ ชนเป็นแกนนาในการจัดการ หมายถึงการจัดกิจกรรมท่องเท่ียว โดยชุมชนเป็นผดู้ าเนินการนบั ตง้ั แต่การวางแผน การดาเนนิ การและการติดตามประเมินผลเพ่ือให้เกิด การท่องเท่ียวยั่งยืน รักษาสภาพแวดล้อมตลอดจนเกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมในชุมชน นั้น ๆ การมีสว่ นรว่ มของชมุ ชนท้องถิ่นในการจัดการทอ่ งเท่ยี วปัจจุบันมี 5 ระดบั ดงั น้ี 1) การใหข้ อ้ มูลเพอื่ ใชใ้ นการวางแผนจัดการท่องเทีย่ ว 2) การเสนอความคิดเห็นหรอื ข้อเสนอแนะในการวางแผนจัดการท่องเท่ยี ว 3) การดาเนินการจัดการทอ่ งเที่ยวร่วมกบั หนว่ ยงานภาครฐั หรือเอกชน 4) การท่องเท่ยี วทีด่ าเนนิ การโดยชุมชนเอง 5) ร่วมบารุงรักษาเม่ือมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแล้วทุกคนต้องร่วมกันบารุงรักษา หากปล่อยปละละเลยใหท้ รัพยากรที่มีอยู่เส่ือม สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมใน การดาเนินงานทุกข้ันตอน ต้ังแต่ การวางแผน การคิด การตัดสินใจและการแก้ไขปัญหาร่วมกันตาม ภูมิรู้ ภูมิปัญญาและตามวิถีของคนในชุมชนโดยมีบุคลากรภายนอกเป็นผู้สนับสนุนที่สาคัญต้องให้ เกียรติ ยอมรับซ่ึงกนั และกนั เพ่อื สร้างความเข้มแขง็ อันจะนาไปสคู่ วามย่งั ยนื ตลอดไป 7. ภาคีผู้เก่ียวขอ้ ง 7.1 ความสาคัญและความจาเปน็ ในการทางานกับภาค/ี เครือขา่ ย การท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน มีความเกี่ยวข้องกับภาคี เครือข่ายหรือกลุ่มคน องค์กรต่าง ๆ หลายกลุ่มท่ีจะมีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนการ ท่องเทย่ี ว พจนา สวนศรี (2546) กล่าวถึงบทบาทและความสาคัญของภาคีท่ีเกี่ยวข้องไว้ว่าชุมชน จาเป็นต้องศึกษาและทาความเข้าใจระบบการท่องเท่ียวว่าเกี่ยวข้องกับใคร อะไรบ้างที่เก่ียวข้องและ เกี่ยวข้องอย่างไรเพ่ือกาหนดความร่วมมือและสร้างการมีส่วนร่วมในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อใช้การ ท่องเที่ยวเป็นเคร่ืองมือของการพัฒนาชุมชน โดยให้กลุ่มคนท่ีเก่ียวข้องทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาท
42 รว่ มมือกนั ในการทางาน เพ่อื ใหก้ ารท่องเที่ยวโดยชุมชน ได้รับการยอมรับโดยสร้างรูปแบบการทางาน ท่ีให้แต่ละกล่มุ ในสังคมมสี ว่ นร่วมในลักษณะเป็นพนั ธมติ รกับชุมชน จากความสาคัญและความจาเป็นในการทางานกับภาคีผู้เก่ียวข้องดังกล่าว การทางาน โครงการวจิ ัยจงึ ตอ้ งมีการวเิ คราะห์ผเู้ กยี่ วข้องเพราะมีความสาคัญดงั ต่อไปนี้ 1) ทราบวา่ ผูเ้ ก่ยี วข้องกบั โครงการที่เป็นกลุ่มเปูาหมายหลัก กลุ่มเปูาหมายรองและกลุ่ม พันธมิตรที่ตอ้ งประสานมใี ครบ้าง มีบทบาทอย่างไรตอ่ โครงการ 2) ทรพั ยากรบคุ คลทีจ่ ะมาสนับสนนุ โครงการมีใครบ้าง 3) กลุ่มเปาู หมายทีจ่ ะทางานด้วยคือใคร 4) ผูท้ จ่ี ะดาเนินโครงการต่อเพ่ือใหเ้ กิดความต่อเน่ืองและยงั่ ยนื คือใคร ประโยชน์ของการวเิ คราะห์ผู้เกย่ี วขอ้ งมีดงั น้ี 4.1) ทราบวา่ จะต้องทางานรว่ มกับใครบ้างในโครงการวิจัย 4.2) ทราบวา่ จะใช้ประโยชนอ์ ะไรจากผ้เู ก่ียวขอ้ งเหล่านนั้ 4.3) จะสามารถแบ่งบทบาทหน้าที่การทางานไดช้ ัดเจนและเหมาะสม “การวิเคราะห์ผู้เกี่ยวข้อง” จะต้องดาเนินการต้ังแต่เริ่มต้นพัฒนาโครงการก่อน หรือเร่ิมทาโครงการและระหว่างทากิจกรรมตามโ ครงการเพื่อให้การทางานของโครงการมีความ ชดั เจนผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั โครงการวจิ ยั เรยี งตามลาดบั ความสาคัญมี ดงั น้ี 1) ทีมวิจัยหลัก คอื ผรู้ ับผิดชอบหลักที่เขา้ ร่วมทางานตลอดโครงการและมีบทบาทสาคัญ ควรวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่ามีใครบ้างที่เป็นตัวหลักและแต่ละคนนั้นมีศักยภาพอะไรบ้าง แตกต่างกัน อย่างไรเพอ่ื จะไดว้ างบทบาทหน้าทีแ่ ละความรับผดิ ชอบในการทางานได้อย่างเหมาะสม 2) ทีมวิจัยร่วม คือกลุ่มคนที่อยู่ในชุมชน เช่น กลุ่มผู้รู้ภูมิปัญญา กลุ่มเกษตรกรเป็นต้น ซึ่งอาจเข้าร่วมกระบวนการในบางช่วงบางโอกาส ไม่จาเป็นจะต้องเข้าร่วมตลอดโครงการ ทีมวิจัยต้อง วิเคราะห์ว่าแต่ละกลุ่มเก่ียวข้องกับโครงการในเน้ือหาใดบ้าง เพ่ือจะได้วางบทบาทให้เหมาะสมว่า เม่ือไรที่ต้องการการมีส่วนร่วมของกลุ่มคนน้ัน ๆ ผู้เก่ียวข้องกลุ่มน้ีจะเป็นกลุ่มผู้ท่ีได้รับประโยชน์ท่ีมี ส่วนได้ส่วนเสียและได้รับผลกระทบจากงานวิจัยโดยตรงหรือเป็นผู้ให้ข้อมูลและผู้ร่วมทางานใน บางครง้ั กลุม่ น้ีจะอย่ใู กลช้ ิดกบั ทมี วิจยั หลกั ค่อนข้างมาก เพยี งแต่อาจมาร่วมไดใ้ นบางครั้งเท่านั้น 3) กลุ่มผู้สนับสนุนคือผู้ท่ีอาจจะไม่มีผลประโยชน์ต่อโครงการอาจเป็นคนในหรือคนนอก ชุมชนหรือเป็นหน่วยงาน องค์กรท่ีเก่ียวข้องท่ีพร้อมจะให้การสนับสนุนและให้การช่วยเหลือในด้าน งบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลความรู้ หรืออาจเป็นที่ปรึกษาก็ได้ บทบาทท่ีมีต่องานวิจัยอาจจะ นอ้ ยแต่ยงั คงมีความสาคัญซง่ึ อาจเปน็ คนกลุ่มเดยี วกับกลุ่มทีมวจิ ัยรว่ มก็ได้ 4) กล่มุ ผทู้ จ่ี ะสานต่อในบางเรื่องหรอื หลังงานวจิ ัยคือกลุ่มท่ีไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการวิจัยแต่ คาดวา่ จะได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจยั ไดแ้ ก่องค์การบริหารส่วนตาบล โรงเรียน และหน่วยงานราชการ ซึ่ง อาจนาข้อมูลไปใช้ต่อโดยพัฒนาเป็นหลักสูตรท้องถิ่นและพัฒนาชุมชนซ่ึงสามารถนาข้อมูลงานวิจัยไป พฒั นาตอ่ เปน็ สนิ คา้ OTOP เปน็ ตน้ สาหรับทีมวิจัยหลักและทีมวิจัยร่วม ต้องวิเคราะห์ให้เห็นถึงบทบาท ศักยภาพในตัวคน และสมาชิกในทีมเพ่ือจะได้จัดบทบาท ออกแบบกระบวนการทางานร่วมกันได้ถูกต้อง การวิเคราะห์ ผเู้ กย่ี วข้องทีท่ าไดช้ ดั เจนจะสง่ ผลต่อกระบวนการมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลและส่งผลต่อการกาหนด
43 บทบาทการมีสว่ นร่วมต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น ในการดาเนินงานกระบวนการวิจัยน้ันสิ่งที่สาคัญท่ีสุด คือ การมีส่วนร่วม ดังนั้นทีมวิจัยจะต้องค้นหาวิธีการที่เอ้ือต่อการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องมากท่ีสุด เพอ่ื ใหเ้ กิดการมสี ว่ นร่วมของชมุ ชนในการเก็บรวบรวมข้อมลู มากท่สี ุด ในการศึกษาข้อมูลนั้น มีข้อมูลท่ีเก่ียวข้องและสาคัญต่อโครงการซ่ึงทีมวิจัยต้องประเมิน 3 ขอ้ คอื 1) จะใช้ข้อมลู ความร้อู ะไรบา้ งในการแก้ไขปัญหา 2) จะตอ้ งรู้วา่ แหล่งขอ้ มลู อยู่ท่ีไหนบ้างและจะมีวิธีการที่จะไดข้ ้อมลู นั้นมาอยา่ งไร 3) จะใช้ข้อมูลทร่ี ่วมกันศึกษาไปผลักดนั การแกป้ ัญหาหรือนาไปสเู่ ปูาหมายที่ตงั้ ไว้ได้อย่างไร พจนา สวนศรี (2546) จัดกลมุ่ ภาคที ี่เก่ียวข้องเปน็ 3 กลมุ่ ดังนี้ 1) ระดบั ชมุ ชน ประกอบดว้ ย กลุ่มจัดการท่องเที่ยวในระดับชุมชน กลุ่มร้านค้า ร้านขายของท่ี ระลึก กลุ่มยานพาหนะในท้องถิ่น วัด โรงเรียน อนามัย สถานท่ีสาคัญในชุมชน องค์การบริหารส่วน ตาบล รีสอร์ท อุทยานแห่งชาติ องค์กรพัฒนาเอกชนและเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีทางานในพื้นที่ เช่น พัฒนากร เกษตรตาบล 2) ระดบั อาเภอ จังหวัด ประกอบดว้ ยกลุ่มเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชมุ ชน สานักงานจังหวัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระดับจังหวัดหรือภาค ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ท้องถ่ิน และกลมุ่ รถ/เรอื ให้เช่าและสือ่ มวลชนทอ้ งถิน่ 3) ระดับชาติประกอบด้วยเครือข่ายท่องเที่ยวการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบ ธุรกิจท่องเที่ยวสื่อมวลชน นักท่องเที่ยว สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษา (สินธุ์ สโรบล, 2546) จัด ภาคีที่สนบั สนนุ การท่องเทีย่ วเป็น 2 กล่มุ ดังน้ี 1) ภาคภี าครัฐทีส่ นบั สนนุ การทอ่ งเทยี่ ว ประกอบดว้ ย 1.1 องคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ 1.2 หนว่ ยงาน/ส่วนราชการระดับอาเภอ 1.3 หน่วยงาน/ส่วนราชการระดับจังหวดั 1.4 กระทรวงท่รี บั ผดิ ชอบและสนบั สนุนการท่องเที่ยว 1.5 หนว่ ยงานทดี่ แู ลรบั ผิดชอบโดยตรง 1.6 การท่องเท่ยี วแห่งประเทศไทย 1.7 กระทรวงทอ่ งเทย่ี ว กีฬาและนันทนาการ 1.8 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม 2) ภาคีภาคเอกชนทีส่ นบั สนนุ การท่องเที่ยว ประกอบด้วย 2.1 หอการค้าจงั หวดั 2.2 สมาคมผปู้ ระกอบการท่องเทย่ี ว 2.3 สมาคมมัคคเุ ทศก์ 2.4 สมาคม/ผปู้ ระกอบการสินคา้ ทีร่ ะลึก 2.5 บรษิ ัทนาเท่ียว ระดบั ความรว่ มมือของภาคี ความรว่ มมอื ของภาคมี หี ลายระดบั ดงั นี้ (พจนา สวนศรี, 2546)
44 1. ใหข้ อ้ มลู ข่าวสาร 2. แลกเปลย่ี นความคดิ และประสบการณ์ 3. ประสานทรพั ยากร 4. เปน็ พันธมิตรระหวา่ งองคก์ ร 5. เป็นห้นุ สว่ นร่วมลงทนุ 6. รว่ มมสี ่วนไดส้ ว่ นเสยี ในการทางาน สรุปได้ว่า ภาคีเครือข่าย คือ กลุ่มคนที่เก่ียวข้องทุกภาคส่วนท่ีเข้ามาร่วมกันพัฒนาการ ท่องเที่ยวโดยชุมชนซ่ึงลักษณะบทบาทหน้าท่ีและช่วงเวลาในการเข้าร่วมพัฒนาอาจไม่เหมือนกัน ประกอบดว้ ย 3 กล่มุ คอื 1) กลุ่มผรู้ ับผิดชอบหลักที่เข้าร่วมทางานตลอดโครงการและมีบทบาทสาคัญ คือ คนท่อี ย่ใู นชุมชน ได้แก่ กลุ่มผู้รู้ กลุ่มผู้นา กลุ่มภูมิปัญญา กลุ่มพิธีกรรม ความเช่ือ ซึ่งอาจเข้าร่วม กระบวนการในบางช่วงบางโอกาส 2) กลุ่มผู้สนับสนนุ คือ ผู้ท่ีอาจจะไม่มีผลประโยชน์ต่อโครงการอาจ เป็นคนในหรือคนนอกชุมชนหรือเป็นหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องที่พร้อมจะให้การสนับสนุนและให้ การชว่ ยเหลอื ในดา้ นต่าง ๆ 3) กลุ่มผู้ท่ีจะสานต่อในบางเรื่องหรือหลังงานวิจัย คือกลุ่มท่ีไม่ได้เข้าร่วม กระบวนการวิจัย แต่คาดว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เช่น โรงเรียน วัด หน่วยงานราชการและ ผ้ปู ระกอบการ เปน็ ต้น 8. บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในการส่งเสริมสนับสนุนการท่องเท่ียวของชุมชนอย่าง ยง่ั ยนื เทศบาลตาบล พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 13 พ.ศ. 2552 ได้กาหนด หนา้ ที่ของเทศบาลไว้ ดงั น้ี มาตรา 50 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย เทศบาลตาบลมีหน้าท่ีต้องทาในเขตเทศบาล ดังต่อไปนี้ (1) รกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน (2) ให้มีและบารงุ ทางบกและทางน้า (3) รกั ษาความสะอาดของถนน หรือทางเดินและที่สาธารณะ รวมทั้งการกาจัดขยะมูลฝอย และสิ่งปฏกิ ลู (4) ปูองกันและระงบั โรคตดิ ตอ่ (5) ใหม้ ีเครือ่ งใชใ้ นการดับเพลงิ (6) ใหร้ าษฎรได้รับการศึกษาอบรม (7) ส่งเสริมการพฒั นาสตรี เดก็ เยาวชน ผสู้ ูงอายุ และผู้พิการ (8) บารุงศลิ ปะ จารตี ประเพณี ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น และวฒั นธรรมอันดีของท้องถนิ่ (9) หน้าทีอ่ ่ืนตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ใิ หเ้ ป็นหนา้ ทขี่ องเทศบาล การปฏิบัติงานตามอานาจหน้าทีข่ องเทศบาลต้องเปน็ ไปเพ่ือประโยชน์สุขของประชาชนโดย ใช้วิธีกรบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และให้คานึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทา แผนพัฒนาเทศบาล การจัดทางบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจสอบ การประเมินผลการ
45 ปฏบิ ัติงาน และการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร ท้ังน้ี ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับว่าด้วยการ นั้น และหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการท่กี ระทรวงมหาดไทยกาหนด มาตรา 51 ภายใตบ้ ังคับแหง่ กฎหมาย เทศบาลตาบลอาจจัดทากิจการใด ๆ ในเขตเทศบาล ดังต่อไปนี้ (1) ให้มีน้าสะอาดหรือการประปา (2) ใหม้ ีโรงฆ่าสตั ว์ (3) ใหม้ ีตลาด ทา่ เทยี บเรือและทา่ ข้าม (4) ใหม้ ีสสุ านและฌาปนสถาน (5) บารงุ และส่งเสริมการทามาหากินของราษฎร (6) ให้มีและบารุงสถานท่ีทาการพิทกั ษ์รกั ษาเจบ็ ไข้ (7) ให้มีและบารงุ การไฟฟูาหรือแสงสว่างโดยวธิ อี นื่ (8) ให้มีและบารงุ ทางระบายนา้ (9) เทศพาณชิ ย์ องค์การบรหิ ารส่วนตาบล พระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 (แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับ ท่ี 5 พ.ศ. 2546) ไดบ้ ัญญัติใหอ้ งค์การบรหิ ารส่วนตาบลมีอานาจและหน้าท่ี ดงั น้ี มาตรา 66 องค์การบริหารส่วนตาบลมอี านาจหน้าทีใ่ นการพัฒนาตาบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สงั คมและวัฒนธรรม มาตรา 67 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายองค์การบริหารส่วนตาบลมีหน้าท่ีต้องทาในเขต องค์การบรหิ ารสว่ นตาบล ดังต่อไปนี้ 1) จัดให้มีและบารุงรักษาทางนา้ และทางบก 2) รักษาความสะอาดของถนนทางน้าทางเดินและท่ีสาธารณะรวมท้ังกาจัดมูลฝอย และสิง่ ปฏิกูล 3) ปูองกันโรคและระงบั โรคติดต่อ 4) ปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัย 5) สง่ เสรมิ การศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม 6) สง่ เสรมิ การพฒั นาสตรเี ด็กเยาวชนผ้สู ูงอายุและผ้พู ิการ 7) คุ้มครองดูแลและบารุงรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม 8) บารุงรกั ษาศิลปะจารีตประเพณภี ูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ และวฒั นธรรมอนั ดีของท้องถ่นิ 9) ปฏบิ ัตหิ น้าท่ีอืน่ ตามท่ที างราชการมอบหมายโดยจดั สรรงบประมาณหรือบุคลากร ใหต้ ามความจาเป็นและสมควร มาตรา 68 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายองค์การบริหารส่วนตาบลอาจจัดทากิจการในเขต องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ดังต่อไปน้ี 1) ให้มนี ้าเพ่อื การอุปโภคบรโิ ภคและการเกษตร 2) ให้มีและบารงุ การไฟฟาู หรือแสงสวา่ งโดยวธิ อี ่ืน
46 3) ใหม้ แี ละบารุงรักษาทางระบายนา้ 4) ให้มีและบารงุ สถานท่ีประชุมการกีฬาการพักผ่อนหย่อนใจและสวนสาธารณะ 5) ให้มีและสง่ เสริมกลมุ่ เกษตรกรและกจิ การสหกรณ์ 6) สง่ เสริมให้มอี ุตสาหกรรมในครอบครวั 7) บารุงและสง่ เสรมิ การประกอบอาชพี ของราษฎร 8) การค้มุ ครองดแู ลและรักษาทรัพย์สนิ อนั เปน็ สาธารณสมบัติของแผน่ ดิน 9) หาผลประโยชนจ์ ากทรพั ยส์ นิ ขององค์การบริหารสว่ นตาบล 10) ให้มตี ลาดท่าเทยี บเรอื และท่าข้าม 11) กิจการเกยี่ วกบั การพาณิชย์ 12) การท่องเทยี่ ว 13) การผงั เมอื ง มาตรา 69 อานาจหน้าท่ีขององค์การบริหารส่วนตาบลตามมาตรา 66 มาตรา 67 และ มาตรา 68 นน้ั ไม่เป็นการตดั อานาจหนา้ ท่ขี องกระทรวงทบวงกรมหรือองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐใน อันท่ีจะดาเนินกิจการใด ๆ เพ่ือประโยชน์ของประชาชนในตาบลแต่ต้องแจ้งให้องค์การบริหารส่วน ตาบล ทราบล่วงหน้าตามสมควรในกรณีน้ีหากองค์การบริหารส่วนตาบล มีความเห็นเกี่ยวกับการ ดาเนินกิจการดังกล่าวให้กระทรวงทบวงกรมหรือองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐนาความเห็นของ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล ไปประกอบการพจิ ารณาดาเนนิ กิจการน้นั ดว้ ย มาตรา 69/1 การปฏิบัติงานตามอานาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตาบล ต้องเป็นไป เพือ่ ประโยชน์สขุ ของประชาชน โดยใชว้ ิธีการบริหารกจิ การบ้านเมืองที่ดแี ละให้คานึงถึงการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการจัดทาแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตาบล การจัดทางบประมาณการจัดซ้ือจัด จ้างการตรวจสอบการประเมินผลการปฏิบัติงานและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารท้ังน้ีให้เป็นไปตาม กฎหมายระเบียบ ขอ้ บงั คบั ว่าด้วยการน้นั และหลักเกณฑ์และวธิ ีการทก่ี ระทรวงมหาดไทยกาหนด พระราชบัญญัติกาหนดแผนและข้ันตอน การกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถนิ่ พ.ศ. 2542 ไดก้ าหนดอานาจและหน้าทีใ่ นการจัดระบบการบริการสาธารณะ มาตรา 16 ใหเ้ ทศบาล เมอื งพัทยาและองค์การบริหารส่วนตาบลมีอานาจและหน้าท่ีในการ จดั ระบบการบรกิ ารสาธารณะเพอ่ื ประโยชน์ของประชาชนในท้องถนิ่ ของตนเอง ดงั นี้ 1) การจดั ทาแผนพฒั นาท้องถ่นิ ของตนเอง 2) การจดั ให้มีและบารงุ รกั ษาทางบกทางน้าและทางระบายน้า 3) การจดั ใหม้ ีและควบคุมตลาดท่าเทียบเรือทา่ ขา้ มและทีจ่ อดรถ 4) การสาธารณปู โภคและการก่อสร้างอืน่ ๆ 5) การสาธารณูปการ 6) การส่งเสริมการฝึกและประกอบอาชพี 7) การพาณชิ ย์และการสง่ เสริมการลงทุน 8) การส่งเสริมการท่องเทีย่ ว 9) การจดั การศึกษา
47 10) การสังคมสงเคราะห์และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชราและ ผูด้ อ้ ยโอกาส 11) การบารุงรักษาศิลปะจารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถ่ินและวัฒนธรรมอันดีของ ท้องถิน่ 12) การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและการจัดการเก่ยี วกับท่อี ยู่อาศยั 13) การจดั ให้มแี ละบารงุ รกั ษาสถานที่พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ 14) การส่งเสริมกฬี า 15) การส่งเสริมประชาธิปไตยความเสมอภาคและสทิ ธิเสรีภาพของประชาชน 16) สง่ เสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพฒั นาทอ้ งถ่นิ 17) การรกั ษาความสะอาดและความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยของบ้านเมือง 18) การกาจัดมูลฝอยสิ่งปฏกิ ลู และนา้ เสยี 19) การสาธารณสขุ การอนามัยครอบครัวและการรกั ษาพยาบาล 20) การจดั ให้มแี ละควบคุมสุสานและฌาปนสถาน 21) การควบคุมการเลีย้ งสัตว์ 22) การจดั ใหม้ แี ละควบคุมการฆ่าสัตว์ 23) การรกั ษาความปลอดภัยความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยและการอนามัยโรงมหรสพ และสาธารณสถานอ่นื ๆ 24) การจัดการบารุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากปุาไม้ ที่ดินทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อม 25) การผังเมือง 26) การขนส่งและการวศิ วกรรมจราจร 27) การดแู ลรักษาท่ีสาธารณะ 28) การควบคุมอาคาร 29) การปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภยั 30) การรักษาความสงบเรียบร้อยการส่งเสริมและสนับสนุนการปูองกันและรักษา ความปลอดภัยในชีวติ และทรัพย์สิน 31) กิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามท่ีคณะกรรมการ ประกาศกาหนดองค์การบริหารส่วนตาบล ควรมีแนวทางในการบริหารและจัดการการท่องเท่ียวใน พน้ื ท่ีรบั ผดิ ชอบ ดงั นี้ 1. กาหนดบทบาทภารกิจและแนวทางดาเนินงานร่วมกันของหน่วยงานท่ี เก่ียวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยวในระดับพ้ืนท่ีให้ชัดเจน โดยมีคณะกรรมการร่วมประสานการ ปฏิบัตใิ หเ้ ป็นไปตามแผนงาน โครงการทีก่ าหนดไวอ้ ยา่ งสอดคล้อง 2. กาหนดยุทธศาสตร์ในเชิงรุกเพ่ือพัฒนาทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ใน พื้นท่ีท่ีเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในท้องถิ่น การรักษาสภาพแวดล้อมและการบริหารจัดการท่ีดี เพ่ือให้ทรัพยากรท่องเที่ยวเปน็ ไปอย่างยงั่ ยืน
48 3. ให้ความสาคัญกับการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวใหม่ ๆ ให้เกิดข้ึนควบคู่ไปกับการ บารุงรักษาแหล่งท่องเที่ยวท่ีมีอยู่แล้วให้คงสภาพสมบูรณ์ ท้ังแหล่งท่องเท่ียวประเภทธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณแี ละศลิ ปะการแสดงพ้นื บา้ น 4. ฟ้ืนฟู เผยแพร่และจัดเทศกาลงานประเพณีต่าง ๆ ของท้องถ่ินเพื่อดึงดูด นักทอ่ งเที่ยวตลอดจนเป็นการอนรุ กั ษศ์ ิลปวฒั นธรรมของท้องถนิ่ ให้คงอยสู่ บื ไป 5. กระจายอานาจหน้าที่สนับสนุนงบประมาณให้คณะกรรมการส่งเสริมและ พัฒนาการท่องเที่ยวระดับจังหวัด ระดับพื้นที่สามารถดาเนินการบริหารจัดการทรัพยากรท่องเท่ียว ในท้องถ่ินแก้ไขปัญหาของแหล่งท่องเที่ยวน้ันได้อย่างคล่องมากข้ึน รวมท้ังการจัดเก็บรายได้และแบ่ง สรรรายไดใ้ ห้แกห่ นว่ ยงานเจ้าหน้าทีข่ องพ้นื ท่ี/ท้องถ่นิ 6. มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรการท่องเท่ียว ตั้งแต่การวางแผนตัดสินใจว่า การท่องเท่ียวในพ้ืนท่ีควรจะเป็นไปในลักษณะใด การควบคุมปริมาณ นักท่องเท่ียวให้สมดุลกับแหล่งท่องเท่ียวที่รองรับได้ รวมทั้งการจัดการผลประโยชน์ท่ีประชาชนใน ทอ้ งถิ่นควรจะไดร้ บั สรุปไดว้ ่า บทบาทขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่น ไมว่ า่ จะเปน็ รูปแบบเทศบาลตาบลตาม พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แก้ไขเพ่ิมเติมฉบับที่ 13 พ.ศ. 2552 มาตรา 50 ภายใต้บังคับ แห่งกฎหมายเทศบาลตาบล มีหน้าที่ต้องทาในเขตเทศบาลตาบล ดังนี้ (1) รักษาความสงบเรียบร้อย ของประชาชน (2) ใหม้ แี ละบารงุ ทางบกและทางน้า (3) รักษาความสะอาดของถนน หรือทางเดินและ ที่สาธารณะรวมท้ังการกาจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล (4) ปูองกันและระงับโรคติดต่อ (5) ให้มี เคร่อื งใช้ในการดบั เพลิง (6) ให้ราษฎรได้รับการศึกษาอบรม (7) ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สงู อายแุ ละผู้พกิ าร (8) บารุงศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันดีของท้องถ่ิน และองค์การบริหารส่วนตาบลตามพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 (แก้ไขเพ่ิมเติมถึงฉบับท่ี 5 พ.ศ. 2546) ได้บัญญัติให้องค์การบริหารส่วนตาบลมีอานาจและ หน้าท่ีดังน้ี มาตรา 67 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายองค์การบริหารส่วนตาบล มีหน้าที่ต้องทาในเขต องค์การบริหารส่วนตาบล ดังน้ี 1) จัดให้มีและบารุงรักษาทางน้าและทางบก 2) รักษาความสะอาด ของถนนทางน้าทางเดินและท่ีสาธารณะรวมท้ังกาจัดมูลฝอยและส่ิงปฏิกูล 3) ปูองกันโรคและระงับ โรคติดต่อ 4) ปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย 5)ส่งเสริมการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม 6) ส่งเสริม การพัฒนาสตรีเด็กเยาวชนผู้สูงอายุและผู้พิการ 7) คุ้มครองดูแลและบารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อม 8) บารุงรักษาศิลปะจารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น มาตรา 68 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายองค์การบริหารส่วนตาบลอาจจัดทากิจการในเขตองค์การ บรหิ ารสว่ นตาบล ดังต่อไปนี้ (ข้อ 12 การท่องเท่ียว) 9) ปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืนตามที่ทางราชการมอบหมาย โดยจดั สรรงบประมาณหรอื บคุ ลากรใหต้ ามความจาเปน็ และสมควร 9. งานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อและคณะ (2557) ได้ศึกษาการพัฒนาเครือข่ายการจัดการท่องเท่ียวโดย ชุมชนเพ่ือการเรียนรู้มรดกวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาทักษะการทางานการท่องเท่ียวของเครือข่ายชุมชน นครชุมอาเภอเมืองจังหวัดกาแพงเพชรและเครือข่ายชุมชนโบราณเมืองบางขลังอาเภอสวรรคโลก
49 จังหวดั สุโขทัยรวมทงั้ ศกึ ษาปจั จัยเงอ่ื นไขในการพฒั นาทกั ษะความสามารถในการทางานของเครือข่าย ชมุ ชนดงั กลา่ วผลการวิจัยพบวา่ ชุมชนควรมีทักษะความสามารถในการจัดการท่องเที่ยวชุมชน 3 ด้าน คือ 1 ทักษะความสามารถในการประสานงานและการจัดการท่องเท่ียวโดยชุมชน 2 ทักษะ ความสามารถในการวางแผนพัฒนาการท่องเที่ยวและปฏิบัติตามแผนท่ีมีผลกระทบด้านลบน้อยท่ีสุด และ 3 ทักษะความสามารถในการบริการนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาทักษะงาน การ ประสานความรว่ มมือกันในแนวราบภายใตค้ วามไวว้ างใจต่อกันระหว่างภาคธุรกิจภาคเอกชนท่ีดาเนิน ธรุ กิจทอ่ งเทยี่ วและภาคประชาชน การตลาดทอ่ งเทยี่ วโดยชุมชน พจนา สวนศรีและคณะ (2557) ได้ศึกษาศักยภาพแนวทางการพัฒนาตลาดท่องเท่ียวโดย ชุมชนในประเทศไทยและกล่มุ อาเซยี นเพื่อศึกษาความตอ้ งการของตลาดทม่ี สี ญั ญาณภาพเร่ืองราวการ ทอ่ งเท่ยี วโดยชุมชนในประเทศไทยและกลุ่มอาเซียนรวมทั้งศึกษาความต้องการความรู้และทักษะของ ชุมชนและผูป้ ระกอบการในการพฒั นาตลาดสาหรับนักท่องเท่ียวโดยชุมชน ผลการวิจัยพบว่า ตลาดท่ี มีศกั ยภาพเร่ืองการท่องเที่ยวโดยชุมชนคือ กลุ่มท่ีมีความสนใจเรียนรู้วิถีและวัฒนธรรมท้องถิ่น สนใจ สิ่งแวดล้อมซ่ึงมีแนวโน้มเติบโตข้ึนและจากการศึกษาความต้องการ ด้านความรู้และทักษะของชุมชน และผู้ประกอบการในการพัฒนาตลาดสาหรับการท่องเที่ยวโดยชุมชนพบว่าแนวทางการพัฒนาควร เป็นไปตามกรอบของ Special ซ่ึงย่อมาจาก ST= segment P= sense of Place E = experienced C =Communication I= information Technology A = Access L= Linkage ด้วยการพัฒนาออกมาเป็น 2 หลักสูตรได้แก่หลักสูตรตลาดท่องเท่ียวโดยชุมชนสาหรับ ชุมชน และหลกั สตู รการตลาดทอ่ งเท่ยี วโดยชมุ ชนสาหรบั บริษัทนาเท่ียว สามารถ สุวรรณรัตน์ สุดารัตน์ อุทธารัตน์ ธิตินัดดา จินาจันทร์ และใจรัตน์ จตุรภัทรพร. (2558) การศกึ ษาเพอ่ื พัฒนาศกั ยภาพชุมชน ในการรองรับการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม พบว่า พบว่า ชุมชนท่องเที่ยว แนวปฏิบัติท่ีดีจะประกอบด้วย กุญแจสาคัญในการดาเนินการพัฒนาการท่องเท่ียว ของชุมชนในเร่ือง 1) การมีส่วนร่วมของทุกภาค ส่วนในชุมชน ตั้งแต่การริเร่ิมพัฒนาการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม และการบริหารจัดการการท่องเที่ยว 2) การมีความ เขา้ ใจ และความต้องการร่วมกันในการดารงรักษา มรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน 3) การมีศักยภาพ ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพ่ือสนับสนุนการพัฒนาการท่องเท่ียวด้านต่าง ๆ สาหรับแนวทางการพัฒนาศักยภาพชุมชนท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมในภาคเหนือซึ่งมีระดับการ พัฒนาทรัพยากรการท่องเท่ียวที่แตกต่างกัน ชุมชนจะต้อง สังเกต และศึกษาความเปลี่ยนแปลงด้าน การท่องเที่ยวในพ้ืนที่ของตนเอง เพ่ือทาความเข้าใจ ระบุ ระดับการพัฒนาของชุมชนตนเอง และ ดาเนินงานพฒั นาบนบริบทดังกล่าว โดยใชแ้ นวทางการพัฒนา ฐานรากชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประกอบไปด้วยการพัฒนา 3 องค์ประกอบสาคัญ (3Cs) 1.การพัฒนาให้เกิดการท่องเท่ียวโดยชุมชน (Community Based Tourism) เป็นการพัฒนาการท่องเท่ียวโดยกระตุ้นและเสริมพลัง (Empowerment) ให้กับชุมชน 2.การพัฒนาชุมชน และการอนุรักษ์ วัฒนธรรม ( Community Development and Cultural Conservation) เป็นการพัฒนาชุมชน และการพัฒนาเพื่อการ อนุรักษ์ทรัพยากรทางวัฒนธรรมของชุมชน 3.การพัฒนาความร่วมมือ และการ มีส่วนร่วม (Cooperation & Participation Development) คือการพัฒนาความร่วมมือและการมี ส่วนร่วมท้ัง ระหวา่ งคนในชุมชน และเครอื ข่ายการทางานดา้ นการท่องเท่ียวทั้งในและนอกพ้นื ท่ี
50 นอกจากนี้งานวิจัยแผนการขับเคลื่อนการท่องเท่ียววิถีไทยและพัฒนาศักยภาพการท่องเท่ียวโดย ชุมชน เพ่ือการท่องเท่ียวอย่างย่ังยืน โดย ผศ.ดร. จุฑามาศวิศาลสิงห์และคณะบริษัท เพอร์เฟคลิงค์ คอนซัลตง้ิ กร๊ปุ จากัด. (2559) พบว่าแนวทางการสอดประสานวิถีไทยเพื่อเพ่ิมมูลค่าและคุณค่า จาก ฐานรากสู่สากล โดยการออกแบบวิถีไทยให้ไปไกล ร่วมสมัยและทันสมัย ผ่านต้นแบบ อาหารท้องถิ่น นาเสนอในรปู แบบ Artisan Kitchen ตามแนวคดิ Community Based Design ร่วม สรา้ งยุวนกั วจิ ัย ตน้ แบบ ในการสืบสานวิถีไทย ตามแนวคิด “เสน่ห์ กิน ถ่ิน ไทย” ทดลองทาและนาเสนอต้นแบบการ แสดงศิลปะไทย ในการสื่อความหมายอาหารไทยและเร่ืองราววัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน เสนอแนะต้นแบบตัวอย่างการออกแบบเส้นทางและรูปแบบการท่องเท่ียวเชิง ศิลปะและอาหาร (Gastronomic trail) รูปแบบการสร้างการมีส่วนร่วมตามบริบทการพัฒนาการ ท่องเท่ียวโดยชุมชน ตามขนาดที่หลากหลาย (Scale) นายมานิตย์ ไชยกิติและคณะ (2560) การสร้างคุณค่าวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ินเพ่ือ ความ เข้มแข็ง ของชุมชนในเขตเวียงเชียงแสน อาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายแม่จัน จังหวัด เชียงราย พบว่าวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในเขตเวียงเชียงแสนที่พบในปัจจุบันน้ัน หลอมรวม มาจากความหลากหลายของกลุ่มประชาชนที่โยกย้ายเข้ามาอยู่เวียงเชียงแสนที่ช่วงสมัย รัชกาลที่ 5 โดยมีแม่น้าโขงเป็นจุดศูนย์กลาง ก่อนจะเข้าสู่ยุคเร่งรัดพัฒนาชนบทส่งผลให้วัฒนธรรมและ ภูมิ ปญั ญาต่าง ๆ โดยการวจิ ัยในครงั้ นไี้ ดใ้ ชก้ ิจกรรมการจดั กาดก้อมและการท่องเท่ียวโดยชุมชนเพื่อสร้าง คณุ คา่ วฒั นธรรมและภูมิปัญญาเชียงแสนใน 5 ด้าน คือ 1) คุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่เป็น แหล่งเรียนรู้และสาธารณสมบัติท่ีสาคัญของชาติ 2) คุณค่าเชิงวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ อันเป็นถิ่น ฐานบ้าน เกิดแห่งบรรพชนของชาวยวน และต้นกาเนิดพุทธศิลป์เชียงแสน 3) คุณค่าเชิงสังคม ใน ฐานะเป็นเมือง โบราณท่ียังมีชีวิต เป็นเมืองท่าท่ีสานสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองฝ่ังแม่น้าโขง และเมืองห้าเชยี ง 4) คณุ คา่ เชงิ ความเชอ่ื ศาสนา การวางผังท่ีตามจักรวาลคติและ 5) คุณค่าเชิงความ งาม ที่มีมนต์เสน่ห์ จากความงามของแหล่งโบราณคดีท่ามกลางสภาพธรรมชาติท้ังภูเขา ทุ่งนาและ แม่น้าโขง น้าไปสู่การ จัดการท่องเท่ียวโดยชุมชนโดยกลุ่มคุณค่าเชียงแสน ท่ีนาวัฒนธรรมและภูมิ ปัญญาที่พบมาออกแบบเป็น กิจกรรมและเส้นทางท่องเที่ยวชมเมืองโดยรถราง จักรยาน และฐาน กิจกรรมสร้างประสบการณ์ คุณค่าเชียงแสน เช่น บ้านขนม บ้านซะปฺะอาหาร บ้านร้อยซึง บ้านหมอ เมอื ง บา้ นสวยดอก นพพร จันทรนาชู (2560) รูปแบบและเส้นทางการท่องเท่ียวเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ในจังหวัดกาญจนบุรี ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการท่องเท่ียวเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1. การเรียนรู้เพื่อสร้างประสบการณ์ 2. การพัฒนาทรัพยากรการท่องเท่ียว 3. การมี ส่วนร่วมของชุมชน 4. การพัฒนาศักยภาพการจัดการ และ 5. การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยว 2. เส้นทางการท่องเที่ยวเพ่ือการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดกาญจนบุรี ที่เช่ือมโยงรูปแบบการ ท่องเท่ียวท้ัง 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน มี 5 เส้นทางตามความสนใจและความพร้อมของนักท่องเท่ียวแต่ ละกลุ่ม และมีกิจกรรมการท่องเท่ียวแบบ 1 วัน 2 วัน และ 3 วัน และ 3. แนวทางการพัฒนา ท่องเท่ยี วเพื่อการ เรียนรู้เชงิ สรา้ งสรรค์ ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐระดับนโยบายควรจัดกิจกรรม การท่องเท่ียวเพื่อการเรียนรู้หน่วยงานภาครัฐในพื้นท่ีควรร่วมกับชุมชนในการเช่ือมโยงกิจกรรมการ
51 ท่องเท่ียวเพื่อการเรียนรู้ในพื้นท่ีผู้ประกอบการท่องเท่ียวควรพัฒนาส่ือ เส้นทาง และโปรแกรมการ ท่องเท่ียวเพอื่ การ เรียนรตู้ ามความต้องการของนักท่องเทีย่ วแตล่ ะกลุ่ม นพพร จันทรนาชู และคณะ (2560) การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เพอ่ื การเรยี นรูเ้ ชิงสร้างสรรค์ในจงั หวดั กาญจนบุรี ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการท่องเท่ียวพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่นเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย 1. การเรียนรู้เพ่ือสร้าง ประสบการณ์ 2. การสร้างอัตลักษณ์การท่องเท่ียว 3. การเชื่อมโยงการท่องเท่ียวกับวิถีชุมชน 4. การสร้างเครือขา่ ยการทอ่ งเท่ียว 5. การเปดิ พืน้ ที่กจิ กรรมพพิ ธิ ภัณฑ์ทอ้ งถ่นิ 6. การพัฒนาบุคลากร เพื่อการท่องเที่ยวในชุมชน 7. การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเพ่ือการเรียนรู้ ส่วนกิจกรรมการ ท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ท้องถ่ิน เพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย 1. กิจกรรมการเรียนรู้จากพ้ืนที่ทางกายภาพเป็นกิจกรรมการเรียนรู้จากสถาปัตยกรรมของอาคารใน พ้ืนทีถ่ นนปากแพรก 2. กิจกรรมการเรียนรู้จาก วิถีชุมชน เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีทาให้คนในชุมชน และนักท่องเทย่ี วไดเ้ รียนรรู้ ว่ มกัน 3. กิจกรรมการเรียนรู้จากพื้นท่ีการค้าเป็นกิจกรรมท่ีมาจากจุดเด่น ของถนนแพรก ในฐานะท่ีเป็นย่านการค้าในอดีต และ 4. กิจกรรมการเรียนรู้จากศิลปวัฒนธรรมเป็น กิจกรรมท่ใี ชศ้ ลิ ปวฒั นธรรมและกิจกรรม สร้างสรรค์มาประยกุ ต์ใช้ นางดวงรัตน์ มีชัยและคณะ (2557) ได้ศึกษาวิจัยเร่ืองการบูรณาการประวัติศาสตร์ วิถวี ัฒนธรรมของชุมชนเมืองโบราณสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนนครชุม อาเภอเมือง จังหวัด กาแพงเพชร พบว่า 1) เกิดเครือข่ายความร่วมมือในการทางานวิจัยประกอบด้วย นักวิจัยชุมชน จานวน 33 คน ทีมท่ีปรึกษาจานวน 26 คนและภาคีที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนทั้งทางตรงและ ทางอ้อมจากเข้ามาร่วมกระบวนการพัฒนาที่เป็นเอกลักษณ์ การแสดงพื้นบ้าน โบราณสถาน โบราณวัตถุ สุดยอดพระเครื่องตระกูลทุ่งเศรษฐี หนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยว 2) ชุมชนนครชุมมีคุณค่า ทางมรดกวัฒนธรรมประกอบไปด้วยวัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน อาหารพื้นถิ่นที่มี เอกลกั ษณ์โดดเด่นทงั้ อาหารคาวหวานและอาหารวา่ ง ทส่ี ามารถนามาเป็นทุนออกแบบพัฒนาเส้นทาง ท่องเท่ียวเพอื่ การเรียนรมู้ รดกวัฒนธรรมของชุมชน จนได้เส้นทางเด่น 4 เสน้ นาไปทดลองจัดกิจกรรม 3) การพัฒนาทักษะและความสามารถในการบริการส่ือความหมาย พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมได้รับ ความรู้ ประสบการณ์ มีความพร้อมและมั่นใจมากขึ้นท่ีจะทาหน้าที่มัคคุเทศก์ท้องถ่ินและนักส่ือ ความหมายที่ดีในโอกาสต่อไปและ 4) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักท่องเท่ียวต่อการจัด กจิ กรรมตามเส้นทางท่องเท่ียวเพ่ือเรียนรู้มรดกวัฒนธรรมชุมชนนครชุม ท้ัง 3 คร้ังพบว่า ในภาพรวม อย่ใู นระดบั มาก สว่ นผลการประเมนิ ดา้ นความรู้ ความเข้าใจ ในภาพรวมพบว่าได้เรียนรู้และตระหนัก ในคุณค่าความสาคัญของประวตั ศิ าสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิตท่ีเรียบง่ายและความมีมนต์เสน่ห์ ของอาหารและขนมพ้ืนถ่ินที่ให้ความใส่ใจและพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการทาส่วนด้านพฤติกรรม มัคคุเทศก์/ผู้ส่ือความหมายพบว่า มีบุคลิกภาพและความสามารถในการสร้างการเรียนรู้มรดก วัฒนธรรมใหก้ บั นกั ท่องเที่ยวในภาพรวมอยู่ในระดบั ดี
52 สุวิทย์ ทองสงค์และคณะ (2556) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาอัจฉริยลักษณ์ชุมชนโบราณ เมอื งบางขลังเพื่อพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์การบริหารส่วนตาบล เมืองบางขลัง อาเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย พบว่า พื้นที่มีเรื่องราวของพัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์ มาช้านานรวมถึงจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ชาติไทยท่ีสาคัญต้ังอยู่บนถนนสาย ประวัติศาสตร์ (ถนนพระร่วง) ท่ีมีเร่ืองราวและตานาน เรื่องเล่าของพระร่วงพร้อมกับต้นทางของการ เกิดหนังสือท่องเที่ยวเล่มแรกของไทยคือหนังสือพระราชนิพนธ์เร่ือง “เที่ยวเมืองพระร่วง” ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6 ภูมิปัญญาในการใช้ยางเหนียว (อีหนึด) ของต้น ผา่ ด้าม สร้างศาตราวธุ ในการกอบกู้ชาติไทยรวมทั้งการนาแลงจากบ่อศิลาแลงมาใช้ ในการสร้างเมือง แตโ่ บราณความธรรมดาของทุนท่ีมีในการสร้างความสุขสงบของการดารงชีวิตของผู้คนที่ยาวนานกว่า 700 ปี จากอาหารสมนุ ไพรพืน้ ถิ่น ขนมลกู ปรง แปูงดินสอพองจากโซกแปูงบริเวณเขาเด่ือนับเป็นการ สร้างผลผลติ อตุ สาหกรรมครัวเรือนต้ังแต่อดีต จนทาให้ชาวเมืองบางขลังมีความสุขสงบอย่างพอเพียง ดว้ ยคุณธรรมจริยธรรมบนพ้นื ท่สี ีเขยี วท่มี ีการผลติ และดารงชพี โดยการใช้ของภายในชุมชน ทาให้มีมิติ การการแบ่งปัน พึ่งพาอาศัยกันมากกว่าการซ้ือขาย นับเป็นพ้ืนที่ที่น่าศึกษาในการพึ่งกันเองในชุมชน มวี ถิ ีชีวิตแบบเดมิ ท่ยี ังคงอยคู่ เู่ มอื งบางขลังตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปัจจุบนั เอ่ียม ปัญญาและคณะ (2560) ได้ศึกษาวิจัยเร่ืองการโครงการบูรณาการสายสัมพันธ์และ มรดกวัฒนธรรมชุมชนไทยชนะศึกษาสู่การพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยการมีส่วน ร่วมของชุมชนและองค์การบริหารส่วนตาบลไทยชนะศึก อาเภอทุ่งเสล่ียม จังหวัดสุโขทัย พบว่า มรดกวัฒนธรรมของชุมชนไทยชนะศึก มีความหลากหลายและเกี่ยวข้องกับความเชื่อของผู้คนใน ชุมชนเป็นชมุ ชนที่มี 2 วฒั นธรรม คือ วัฒนธรรมแบบล้านนาและแบบไทยภาคกลางมีวิถีการดารงอยู่ ของผู้คนที่สุขสงบเรียบง่ายอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเก้ือกูล มรดกวัฒนธรรมของชุมชนไทยชนะศึก แบง่ เป็น 8 ด้านล้วนมีคณุ ค่าและแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยบ่งบอกถึงความเป็นมา ของวิถีผู้คนท่ียังคงมีการอนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมวิถีชีวิตท่ีดีงามยึดโยงเป็นสายใย ความสัมพนั ธ์ของผู้คนในชมุ ชนจนถงึ ปจั จุบัน สรุปได้ว่า ส่ิงสาคัญของการพัฒนาการท่องเท่ียวโดยชุมชน คือ การมีส่วนร่วมของคนใน ชุมชน ภาคีทเี่ ก่ยี วข้อง ภาครัฐและภาคประชาชน ท้ังในระดับอาเภอ จังหวัดและเครือข่าย โดยอาศัย แนวคดิ การบริหารจัดการทอ่ งเที่ยวเชงิ วัฒนธรรม แนวคดิ มรดกวัฒนธรรม แนวคิดการมีส่วนร่วมและ แนวคดิ ภาคีทีเ่ กย่ี วข้อง ซง่ึ จะช่วยให้สบื ค้นของดีและมรดกวัฒนธรรมชุมชนตาบลหัวดง ร่วมสร้างการ มีส่วนร่วมของชมุ ชนในการพฒั นาการทอ่ งเที่ยวชุมชนนาแนวคิดมาใช้ในการค้นหา สร้างความร่วมมือ กับภาคีท่ีเกี่ยวข้อง การนาแนวคิดมาสร้างเครื่องมือในการสืบค้นซึ่งจะนาไปสู่การพัฒนาเส้นทางและ กิจกรรมในชุมชนรวมถึงการพัฒนาคนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนได้ รวมถึงให้คนใน ชุมชนบ้านหัวดงนาแนวคิดและข้อมูลท่ีได้จากการสืบค้นเกี่ยวกับการบริหารจัดการการท่องเท่ียวเชิง มรดกวัฒนธรรมชุมชนบนความหลากหลายชาติพันธุ์โดยเครือข่ายชุมชนตาบลหัวดง เพื่อพัฒนาพลิก ฟื้นวถิ ีวัฒนธรรมชมุ ชน เพม่ิ ความสดใส สร้างมีชวี ิตชวี า สร้างงาน สรา้ งอาชพี เสริมเพ่มิ รายได้ให้กับคน ในชุมชนและวันหน่ึงอาจนาพาให้ลูกหลานท่ีเดินทางไปทามาหากินต่างจังหวัดกลับมาทางานที่บ้าน เกดิ ผู้เฒ่าผูแ้ ก่จะได้อยูใ่ กลช้ ิดและรสู้ กึ อบอุ่นเม่ือจากลกู หลานกลับบ้านเกิดอีกครั้งหน่งึ
บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการวิจยั การวิจัย เรื่องการบริหารจัดการการทํองเท่ียวมรดกวัฒนธรรมชุมชนบนความหลากหลาย ชาติพันธ๑ุโดยเครือขํายชุมชนตําบลหัวดง อําเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร คร้ังน้ีใช๎กระบวนการ งานวิจัยเพื่อท๎องถ่ิน (Community - Based Research : CBR) เป็นเครื่องมือในการศึกษาและ พัฒนาการจัดการทํองเทยี่ วโดยชมุ ชน (Community - Based Tourist: CBT) เป็นกระบวนการท่ีเน๎น คนเปน็ ศนู ย๑กลาง มํุงเสริมสรา๎ งพลังอํานาจใหแ๎ กํประชาชนในพ้ืนท่ีด๎วยกระบวนการพัฒนาแบบมีสํวน รํวมผํานกระบวนการ CBR เพื่อให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเครือขํายชุมชนที่จะมารํวมกันพัฒนา ธรุ กจิ การทอํ งเท่ียวทดี่ าํ เนินการโดยชาวบา๎ นในชมุ ชน เพ่อื นําไปสํกู ารพัฒนาชมุ ชนอยาํ งย่งั ยนื ตํอไป การวิเคราะห๑ จะดําเนินการวิเคราะหโ๑ ดยการแยกแยะ จําแนกข๎อมูลทั้งข๎อมูลเชิงปริมาณและ ข๎อมูลเชิงคุณภาพ เพ่ือให๎การวิจัยสามารถได๎มาซ่ึงคําตอบเชิงประจักษ๑ในแตํละวัตถุประสงค๑ทีมวิจัย ชมุ ชนตาํ บลหัวดง ได๎กาํ หนดวิธีดําเนินการวจิ ยั เปน็ กรอบกว๎าง ๆ ตามแตลํ ะวตั ถปุ ระสงค๑ ดงั ตํอไปนี้ ข้นั ตอนและวิธีดาเนินการวจิ ยั การศึกษาการบริหารจัดการการทํองเที่ยวมรดกวัฒนธรรมชุมชนบนความหลากหลายชาติ พนั ธุโ๑ ดยเครอื ขาํ ยชุมชนตาํ บลหวั ดง อาํ เภอเมืองพจิ ิตร จงั หวัดพิจิตร ในครั้งน้ี ทีมวิจัยกําหนดข้ันตอน การดําเนนิ การดังนี้ ระยะท่ี 1 ระยะเวลาในการดําเนินงาน 9 เดือน ซ่ึงแผนการดําเนินการวิจัยในชํวงนี้เป็นการตอบ วตั ถุประสงคก๑ ารวิจยั ข๎อท่ี 1 และข๎อท่ี 2 ประกอบดว๎ ย 1. สร๎างเครอื ขํายทมี วิจยั ชมุ ชน 1.1 การทาบทามเชิญชวนบุคคลเขา๎ รวํ มทีมวจิ ัย 1.2 ประชมุ เปิดตวั โครงการและแบงํ ทมี งาน บทบาทหนา๎ ที่ 1.3 ประชุมแยกแตลํ ะทีมงานยํอยและตดิ ตอํ กับผร๎ู วํ มงานเพมิ่ เติม 2. ประชุมปรับฐานคิดการใช๎ CBR การพัฒนา CBT นักวิจัยชุมชนทําความเข๎าใจในการใช๎ CBR พัฒนาชุมชนเพ่ือให๎นักวิจัยชุมชนรู๎ข้ันตอนของกระบวนการ CBR การใช๎งบประมาณของ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เรียนรู๎การเก็บหลักฐานการเบิกจําย การร๎ูสถานการณ๑ใน ชุมชนท๎องถิ่น รู๎บทบาทหน๎าที่ การจัดการองค๑กรชุมชน การประสานงาน การสนับสนุน การสร๎าง สัมพนั ธก๑ บั คนในชุมชน และภาคเี ครือขาํ ยทเี่ ก่ียวข๎องทัง้ ในและนอกพ้นื ที่ 3. ทมี วิจัยชุมชนกาํ หนดรูปแบบการทํางานวิจยั ชมุ ชน 4. อบรมวิธีการใช๎เครื่องมือ การเก็บรวบรวมข๎อมูล บุคคลท่ีเป็นแหลํงข๎อมูล การกําหนด รปู แบบคําถามและวธิ ีการถาม 5. ทีมวิจัยชุมชนศึกษาข๎อมูลท้ังทุติยภูมิและจากเอกสาร ตําราและปฐมภูมิจากผ๎ูรู๎ ผ๎ูทรงคณุ วฒุ ิ ฯลฯ
54 6. ข้นั ลงพนื้ ที่ศึกษาสาํ รวจเกบ็ ขอ๎ มลู ปฐมภูมิ เรื่องราวของท๎องถ่นิ แบบบูรณาการท่ีครอบคลุม ทั้งสภาพแวดล๎อม ทรพั ยากรธรรมชาติ สภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมถึงวิธีคิดและภูมิปัญญา ทอ๎ งถนิ่ โดยอาจจาํ แนกเป็นองคป๑ ระกอบตาํ ง ๆ เชนํ 6.1 ภูมิศาสตรก๑ ายภาพและนเิ วศวทิ ยาทอ๎ งถ่ิน 6.2 ประวตั ศิ าสตร๑ท๎องถ่ินและภมู ินาม 6.3 พฒั นาการตั้งถ่ินฐานของคนในชุมชน การปรับตัวเข๎ากับส่ิงแวดล๎อมและกระแสการ เปลย่ี นแปลง 6.4 มรดกวัฒนธรรมชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม อาหาร ภูมิปัญญา การแตํงกาย ภาษา การแสดง ศิลปกรรม หัตถกรรม โบราณสถาน วิจิตรศิลป์ สุนทรียภาพในท๎องถิ่น อัตลักษณ๑ของ ท๎องถ่ิน โลกทัศน๑ ความเชื่อ พิธีกรรม จิตวิญญาณ ความสัมพันธ๑ของคนในชุมชนท๎องถ่ินและ ความสัมพันธ๑ของชุมชนกับส่ิงแวดล๎อมในธรรมชาติเหนือธรรมชาติและวิถีการดํารงชีวิต เชํน ตลาด ชมุ ชน 6.5 ปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการเพื่อฟ้ืนฟู อนุรักษ๑ ทรัพยากรชุมชนอยํางย่ังยืน ไปพรอ๎ มกับการใชเ๎ ปน็ ทุนในการรองรับการทํองเทย่ี วของชมุ ชน 6.6 เทคโนโลยใี นการจดั การทรพั ยากรจากอดีตกลายมาเปน็ ภมู ปิ ญั ญาววิ ัฒนใ๑ นปจั จุบนั 6.7 กระบวนการเรียนรู๎และพฤติกรรมการเรียนร๎ู การถํายทอดภูมิปัญญา เชํน อาหาร งานฝีมือ ได๎แกํ งานประเภทผ๎า งานประดิษฐ๑เครื่องมือ เครื่องใช๎ ใบตอง อาหาร เป็นต๎น การศึกษา อบรมการแก๎ปัญหาตามพ้ืนฐานวัฒนธรรม ปรีชาญาณของชาวบ๎าน ท้ังน้ีให๎ความสําคัญกับความ เช่อื มโยงขององคป๑ ระกอบท้งั หลาย 7. ทีมวิจัย แกนนําชุมชน ปราชญ๑ชาวบ๎านและผู๎อาวุโสรํวมกันสรุปผลการศึกษาวิจัย ทรัพยากรธรรมชาติและมรดกทางวฒั นธรรมของตาํ บลหัวดง 8 จดั เวทีคนื ข๎อมูลใหช๎ ุมชนในรปู แบบการประชมุ ตัวแทนครัวเรอื น 9 หมํูบ๎านของตําบลหัวดง เพอ่ื ยืนยนั และสอบทานข๎อมลู ท่คี ๎นพบ 9. จัดประชุมวิจัยสรุปผลการศึกษาสืบค๎นด๎านทรัพยากรการทํองเที่ยวของตําบลหัวดง วเิ คราะห๑ ข๎อมลู ท่ีเป็นผลสรปุ จากการศึกษาสบื คน๎ เพ่อื คน๎ หาอตั ลักษณช๑ ุมชนตําบลหัวดง 10. จดั ประชุมทีมวิจัย แกนนําชุมชน ปราชญ๑ชาวบ๎าน นักวิชาการ ภาคีเครือขํายที่เกี่ยวข๎อง รวํ มหารือ 11. ประชุมทีมวจิ ยั ชมุ ชนเพือ่ เตรียมการประชุมกําหนดอตั ลกั ษณ๑ชุมชน 12. จัดประชุมตัวแทนครัวเรือน 9 หมูํบ๎าน เพื่อนําความคิดเห็นของตัวแทนแตํละหมูํบ๎านที่ เข๎ารํวมสนทนามาวิเคราะห๑หาข๎อสรุปอัตลักษณ๑ชุมชนตําบลหัวดง ที่นําไปสํูการพัฒนากิจกรรม เส๎นทางทํองเที่ยวของชุมชนรวมถึงการกําหนดผลิตภัณฑ๑ของชุมชนที่สนับสนุนการทํองเที่ยวของ ชมุ ชน 13. จัดประชุมทีมวิจัยและภาคีท่ีเกี่ยวข๎อง เพ่ือรํวมสรุปสภาพปัญหาของชุมชนด๎านตําง ๆ โดยมผี ู๎อาวโุ สของชุมชนเข๎ารํวมให๎ข๎อชแี้ นะเพ่ิมเตมิ จุดอํอน จุดแขง็ โอกาสและแนวทางแก๎ไข 14. สกัด คัดสรร วิเคราะห๑ ทบทวนข๎อมูลท่ีผํานเวทีคืนข๎อมูลชุมชน เพื่อรํวมดําเนินการ พฒั นากิจกรรมเสน๎ ทางทํองเทีย่ วของชุมชนข้นึ เบอื้ งต๎น
55 15. อบรมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาโปรแกรมการทํองเที่ยวชุมชนตามหลักการและ องค๑ประกอบที่ถูกต๎อง และทดลองหาประสทิ ธิภาพของเส๎นทางทอํ งเที่ยวที่พฒั นาขนึ้ 2 คร้ัง 16. ประชุมสรุปผลการวจิ ยั ระยะที่ 1 และจัดทํารปู เลํมรายงานความก๎าวหน๎า 17. รํวมเวทนี าํ เสนอรายงานความก๎าวหนา๎ 18. ประชมุ รายเดอื น 4 ครงั้ เพ่อื ประเมินการทาํ งานและหาแนวทางพัฒนาครั้งตํอไป พน้ื ทดี่ าเนินการวิจยั การวิจัยตามวัตถุประสงค๑ข๎อท่ี 1 ทีมวิจัยดําเนินการในพ้ืนที่ทั้งหมด 9 หมํูบ๎าน ตําบลหัวดง อําเภอเมืองพจิ ติ ร จังหวัดพิจติ ร ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรในการวิจัยคร้ังนี้ ได๎แกํพระภิกษุสงฆ๑ ผ๎ูนําท๎องที่ ท๎องถ่ิน ข๎าราชการครู ปราชญ๑ ชาวบ๎าน ภูมปิ ญั ญาท๎องถิ่น เดก็ เยาวชน ประชาชน และภาคีเครือขาํ ยทเ่ี ก่ยี วขอ๎ ง วธิ กี ารดาเนินการของแต่ละกิจกรรมมรี ายละเอยี ด ดังนี้ กิจกรรมที่ 1 สรา๎ งเครอื ขาํ ยทีมวจิ ัยชมุ ชน 1.1 การทาบทามเชญิ ชวนบุคคลเขา๎ รวํ มทมี วิจยั 1.2 ประชมุ เปดิ ตวั โครงการและแบงํ ทีมงาน บทบาทหนา๎ ที่ 1.3 ประชมุ แยกแตํละทีมงานยอํ ยและติดตํอกบั ผู๎รํวมงานเพม่ิ เตมิ 1. วตั ถปุ ระสงคข๑ องการดําเนนิ กิจกรรม 1) ช้ีแจงผลการอนมุ ัติโครงการ 2) ประชุมทีมวิจัยชมุ ชนเพื่อหารอื แนวทางการทํางานวจิ ยั CBR 3) เตรยี มการจัดประชมุ ชมุ ชนและภาคีเครือขํายชมุ ชน 4) หาแนวทางเชญิ ชวนบคุ คลในชมุ ชนรํวมทีมวจิ ยั 5) หาแนวทางดึงคนในพ้ืนที่ท่ีเกี่ยวข๎องกับ CBT และผ๎ูสนใจที่จะเข๎ารํวม กระบวนการพัฒนา 6) สรา๎ งทมี วิจัยชุมชนและผูเ๎ กยี่ วขอ๎ ง/ท่ีปรึกษา 7) ประชมุ เปิดตวั โครงการและแบงํ ทีมงาน บทบาทหน๎าท่ี 8) ประชุมแยกแตํละทีมงานยอํ ยและตดิ ตํอกบั ผรู๎ ํวมงานเพม่ิ เติม 1.2 สถานทดี่ ําเนินกิจกรรม ณ หอ๎ งประชุมผ๎สู ูงอายเุ ทศบาลตาํ บลหัวดง อาํ เภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจติ ร 1.3 ผูเ๎ ข๎ารวํ มกจิ กรรม 1) ทมี วิจัยชมุ ชนตําบลหวั ดง 24 คน 2) แกนนําชุมชน ภาคีเครือขํายในพื้นท่ี คือ ท๎องถ่ิน ท๎องที่ หนํวยงานราชการ ประชาชน และวัดในพ้นื ทต่ี าํ บลหัวดง 3) พ่ีเลีย้ งนกั วจิ ัย
56 1.4 วธิ ีดาํ เนินกิจกรรม 1) ประสานทมี วจิ ยั เขา๎ รํวมการประชมุ เชิงปฏบิ ตั ิการ 2) หนังสอื เชิญเขา๎ รํวมการประชุมเชงิ ปฏิบัตกิ าร 3) ประสานอาจารย๑พ่ีเลี้ยงเก่ียวกับกําหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการและคําใช๎จํายใน การเข๎ารวํ มประชุมฯ 4) ประชุมหารือแนวทางสร๎างเครือขํายทีมวิจัยชุมชนและการทาบทามเชิญชวนบุคคล เข๎ารํวมทมี วิจยั 5) สรุปผลการประชมุ ประสานภาคีเครือขํายท่เี กยี่ วข๎องท้ังในและนอกพ้นื ท่ี 6) นดั หมายการประชมุ ครงั้ ถดั ไป 1.5 ผลการดําเนนิ กิจกรรม ทมี นกั วจิ ยั ชมุ ชนตําบลหวั ดง ได๎บคุ คลและหนํวยงานเปาู หมาย ผู๎สนใจเข๎ารํวมโครงการ การบริหารจัดการการทํองเที่ยวมรดกวัฒนธรรมชุมชนบนความหลากหลายชาติพันธุ๑โดยเครือขําย ชุมชนตําบลหัวดง อําเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เพ่ิมขึ้นทั้ง 5 ภาคีเครือขําย คือ ท๎องถิ่น ท๎องถิ่น หนํวยงานราชการ ประชาชน และวัดในพ้ืนท่ี และได๎รับการแนะนําจากภาคีเครือขํายเก่ียวกับการลง พ้ืนทเี่ พ่ือสํารวจขอ๎ มลู ตํอไป 1.6 บทเรยี น ต๎องจัดทําบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับข๎อเสนอแนะนํา คําแนะนํา ของภาคีเครือขํายทั้ง 5 ภาคี เพ่ือนําไปสกํู ารเกบ็ รวบรวมข๎อมูลทคี่ รบถว๎ นถูกต๎องสมบรู ณใ๑ นลําดับตํอไป กิจกรรมท่ี 2 เวทสี ร๎างความเข๎าใจเรือ่ งการทํองเทีย่ วโดยชุมชนกระบวนการวิจัยเพ่ือท๎องถ่ิน และสร๎างเคร่ืองมือวิธีการเก็บข๎อมูลมรดกวัฒนธรรมการแบํงบทบาทหน๎าท่ีรับผิดชอบในการทํางาน 2.1 วตั ถุประสงคข๑ องการดาํ เนนิ กจิ กรรม 1) ปรับฐานคิดทมี วิจยั ชุมชนเร่อื งการใช๎ CBR พฒั นา CBT 2) เพ่ือพฒั นาความรู๎ทักษะในการสรา๎ งเครอื่ งมือเก็บข๎อมลู ชุมชน 2.2 สถานทด่ี ําเนินกิจกรรม ณ โรงแรมวงั แกว๎ อาํ เภอเมอื งพิษณุโลก จังหวัดพษิ ณโุ ลก 2.3 ผ๎ูเข๎ารํวมกิจกรรม ทมี วจิ ัยชุมชนตาํ บลหวั ดง 10 คน 2.4 วธิ ีดําเนนิ กิจกรรม 1) ประสานทีมวิจยั เข๎ารํวมการประชมุ เชงิ ปฏิบตั ิการ 2) หนังสือเชญิ เข๎ารํวมการประชุมเชิงปฏบิ ัตกิ าร 3) ประสานอาจารย๑พี่เล้ียงเกี่ยวกับกําหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการและคําใช๎จํายใน การเขา๎ รวํ มประชุมฯ 4) ประสานเรอื่ งทพ่ี กั และสถานที่อบรม
57 5) เดนิ ทางเขา๎ รํวมอบรมปรับฐานคดิ 2.5 ผลการดาํ เนินกิจกรรม ทีมวิจัยชุมชนตําบลหัวดงมีความร๎ูและเข๎าใจในเร่ืองการใช๎ CBR พัฒนา CBT มีความรู๎ ความเข๎าใจในการสร๎างเคร่ืองมือเก็บข๎อมูล มีความเข๎าใจในกระบวนการทําวิจัยชุมชนเพ่ิมขึ้นและ ได๎รับความรู๎ ความเข๎าใจเกี่ยวกับการเบิกจํายงบประมาณเพ่ิมข้ึนหลังจากกลับมาจากการอบรมแล๎ว ได๎มาถํายทอดความร๎ู ให๎ทีมวิจัยท่ีไมํได๎เข๎ารํวมการอบรมได๎รับทราบและได๎นําความร๎ูที่ได๎รับมาเป็น แนวทางการดําเนินงานให๎ถูกต๎องเหมาะสม รวมท้ังยังทราบถึงบทบาทหน๎าท่ีของทีมวิจัยชุมชนวําแตํ ทํานมีหน๎าท่ีในฐานะผู๎วิจัย เชํน นายพีระโรจน๑ ภัทรประสิทธิ์ มีหน๎าที่รับผิดชอบในฐานะหัวหน๎า โครงการ ที่จะขบั เคล่ือนการวิจัยชมุ ชนตําบลหวั ดง ให๎ประสบผลสําเร็จตามวัตถุประสงค๑ของโครงการ และในสํวนของฝุายการเงิน ซึ่งมีหน๎าท่ีเบิกจํายเงินโครงการให๎เป็นไปตามแผนงานและเป็นไปตาม ระเบียบการเบิกจํายของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สําหรับผู๎รํวมวิจัยและที่ปรึกษา โครงการก็ทราบถึงบทบาทและหน๎าที่ในฐานะผ๎ูสํารวจองค๑ความร๎ูมรดกวัฒนธรรมชุมชนตําบลหัวดง ค๎นหา สอบถาม สังเกต เพื่อให๎งานวิจัยโครงการ “การบริหารจัดการการทํองเท่ียวมรดกวัฒนธรรม ชมุ ชนบนความหลากหลายชาติพันธ๑ุโดยเครือขํายชุมชนตําบลหัวดง” ประสบผลสําเร็จและบรรลุตาม เปูาหมายและวัตถุประสงค๑ของโครงการ รวมถึงการทําให๎ชุมชนตําบลหัวดง สามารถสร๎างการมีสํวน รํวมของเครือขํายชุมชนเพื่อการพัฒนาการทํองเท่ียวมรดกวัฒนธรรมชุมชนหัวดง ชุมชนสามารถ ออกแบบเส๎นทางและกิจกรรมทํองเที่ยวมรดกวัฒนธรรมเชิงสร๎างสรรค๑ของชุมชนตําบลหัวดง สร๎าง การบริหารจัดการการทํองเท่ียวมรดกวัฒนธรรมชุมชนบนความหลากหลายชาติ พันธ๑ุโดยเครือขําย ชุมชนตําบลหัวดง รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการทํองเท่ียวมรดกวัฒนธรรมชุมชน หัวดง กิจกรรมท่ี 3 ทมี วจิ ัยชุมชนกาํ หนดรูปแบบการทํางานวจิ ยั ชมุ ชน 3.1 วัตถุประสงค๑ของการดําเนินกิจกรรม 1) ปรับฐานคดิ ทีมวจิ ัยชมุ ชนเร่ืองการใช๎ CBR พฒั นา CBT 2) เพื่อพัฒนาความรทู๎ ักษะในการสร๎างเครอื่ งมือเก็บข๎อมลู ชุมชน 3.2 สถานท่ีดาํ เนินกิจกรรม ณ โรงแรมวงั แกว๎ อาํ เภอเมืองพษิ ณุโลก จังหวดั พิษณุโลก 3.3 ผ๎ูเข๎ารํวมกิจกรรม ทีมวจิ ยั ชมุ ชนหวั ดง 10 คน 3.4 วธิ ดี ําเนินกิจกรรม 1) ประสานทีมวิจยั เข๎ารํวมการประชุมเชงิ ปฏิบัตกิ าร 2) หนังสือเชญิ เข๎ารํวมการประชุมเชิงปฏิบตั ิการ
58 3) ประสานอาจารย๑พี่เลี้ยงเก่ียวกับกําหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการและคําใช๎จําย ในการเข๎ารวํ มประชมุ ฯ 4) ประสานเร่อื งทพี่ ักในการอบรม 5) เดินทางเข๎ารวํ มอบรมปรับฐานคิด 3.5 ผลการดําเนินกจิ กรรม ทีมวจิ ยั ชุมชนตําบลหวั ดง กําหนดรูปแบบในการขับเคล่ือนการวิจัยชุมชนหัวดงด๎วย การสรา๎ งเคร่อื งมือในการวิจยั เชนํ การสรา๎ งแนวคาํ ถาม การต้ังคําถามในแตํละประเด็นท้ัง 7 ประเด็น ให๎สอดคล๎องกับวัตถุประสงค๑ของโครงการ โดยการแบํงทีมลงพ้ืนท่ีในสํารวจมรดกวัฒนธรรมชุมชน ตําบลหัวดง การ focus group ในการสอบถาม การพูดคุยกับกลุํมชุมชน ผู๎นํา ผ๎ูร๎ู ผู๎เช่ียวชาญ ปราชญ๑ชาวบ๎าน เพ่ือให๎ได๎มาถึงความคิดเห็น ความเช่ือ หรือทัศนคติ ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นและภูมิ นาม พัฒนาการตั้งถ่ินฐานของคนในชุมชน การปรบั ตวั เข๎ากับส่งิ แวดล๎อมและกระแสการเปล่ียนแปลง มรดกวัฒนธรรมชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม อาหาร ภูมิปัญญา การแตํงกาย ภาษา การแสดง ศิลปกรรม หัตถกรรม โบราณสถาน วจิ ิตรศลิ ป์ สนุ ทรียภาพในทอ๎ งถิน่ อัตลกั ษณ๑ของท๎องถิ่น โลกทัศน๑ ความเช่อื พธิ กี รรม จติ วิญญาณ ความสัมพันธ๑ของคนในชุมชนท๎องถิ่นและความสัมพันธ๑ของชุมชนกับ ส่ิงแวดลอ๎ มในธรรมชาตเิ หนอื ธรรมชาติและวิถกี ารดํารงชีวิต ปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการ เพื่อฟื้นฟู อนุรักษ๑ ทรัพยากรชุมชนอยํางยั่งยืนไปพร๎อมกับการใช๎เป็นทุนในการรองรับการทํองเท่ียว ของชมุ ชน เทคโนโลยีในการจดั การทรัพยากรจากอดีตกลายมาเป็นภูมิปัญญาวิวัฒน๑ในปัจจุบัน รวม ไปถึงกระบวนการเรียนรู๎และพฤติกรรมการเรียนร๎ู การถํายทอดภูมิปัญญา โดยกระบวนการในการ กําหนดรูปแบบการทํางานวิจัยที่สําคัญของทีมวิจัยชุมชนตําบลหัวดง คือ การประชุมปรึกษาหารือ รํวมกันเป็นประจําเพ่ือติดตามผลการดําเนินการวิจัยให๎เป็นไปตามแผนงาน รวมไปถึงการรายงานผล การดาํ เนนิ งานในแตํละประเด็นใหเ๎ พื่อนทมี วิจัยได๎รับรรู๎ บั ทราบไปในทศิ ทางเดยี วกัน เพื่อเป็นการสอบ ทานข๎อมูลซ่ึงกันและกัน ท้ังน้ีเพื่อให๎การดําเนินโครงการวิจัยชุมชนตําบลหัวดง มีความก๎าวหน๎า ถูกต๎อง สมบูรณ๑มากท่ีสุด และหลังจากนั้นทีมวิจัยชุมชนตําบลหัวดง ได๎จัดเวทีคืนข๎อมูลชุมชนเพ่ือให๎ ชุมชนตําบลหัวดงเข๎ารํวมรับฟังข๎อมูล รํวมตรวจสอบ รํวมแลกเปล่ียนเรียนร๎ูและให๎ข๎อมูลเกี่ยวกับ มรดกวัฒนธรรมชุมชนของตําบลหัวดงในวันที่ 8 กุมภาพันธ๑ 2562 เวลา 08.30 - 13.00 น. ณ ศาลา การเปรียญวัดหวั ดง ตาํ บลหัวดง
59 โดยคําถามจะถูกถามในรูปแบบของการปฏิสัมพันธ๑แบบตํางๆ โดยเปิดโอกาสให๎ผู๎เข๎ารํวมมีโอกาส พูดคุยและแสดงความเหน็ ได๎อยาํ งอสิ ระระหวาํ งผู๎รํวมวจิ ัยหรอื ผ๎ูเข๎ารํวมดว๎ ยกันเอง กิจกรรมท่ี 4 อบรมวิธีการใช๎เครื่องมือ การเก็บรวบรวมข๎อมูล บุคคลที่เป็นแหลํงข๎อมูล การกาํ หนดรปู แบบคําถามและวธิ กี ารถาม 4.1 วตั ถปุ ระสงคข๑ องการดําเนินกจิ กรรม (1) สร๎างความเข๎าใจการใช๎กระบวนการงานวิจัยเพ่ือท๎องถิ่น (CBR) พัฒนาการ จัดการทํองเทย่ี วโดยชมุ ชน (CBT) (2) พฒั นาความรู๎ ทกั ษะในการใชเ๎ ครอื่ งมือเกบ็ ข๎อมูลชมุ ชน (3) เรยี นร๎กู ารใช๎เคร่ืองมอื มานษุ ยวิทยา 4.2 สถานทด่ี ําเนนิ กจิ กรรม ณ โรงแรมวงั แก๎ว อําเภอเมืองพิษณุโลก จังหวดั พิษณโุ ลก 4.3 ผ๎ูเขา๎ รวํ มกจิ กรรม ทีมวิจัยชมุ ชนตาํ บลหวั ดง 10 คน 4.4 วิธดี ําเนนิ กิจกรรม 1) ประสานทมี วจิ ยั เข๎ารวํ มการประชุมเชงิ ปฏิบัติการ 2) หนังสอื เชญิ เข๎ารวํ มการประชุมเชงิ ปฏิบตั ิการ 3) ประสานอาจารย๑พี่เลี้ยงเกี่ยวกับกําหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการและคําใช๎จําย ในการเข๎ารํวมประชมุ ฯ 4) ประสานเรื่องทพ่ี ักในการอบรม 5) เดินทางเข๎ารวํ มอบรมปรบั ฐานคิด 4.5 ผลการดําเนนิ กจิ กรรม ทีมวิจัยชมุ ชนตําบลหวั ดง กําหนดรูปแบบในการขับเคล่ือนการวิจัยชุมชนหัวดง ด๎วย การสร๎างเคร่อื งมอื ในการวิจัย เชนํ การสรา๎ งแนวคาํ ถาม การต้ังคาํ ถามในแตํละประเด็นท้ัง 7 ประเด็น ให๎สอดคล๎องกับวัตถุประสงค๑ของโครงการ โดยการแบํงทีมลงพ้ืนที่ในสํารวจมรดกวัฒนธรรมชุมชน ตําบลหัวดง การ focus group ในการสัมภาษณ๑ สอบถาม การพูดคุยกับกลุํมชุมชน ผ๎ูนํา ผู๎รู๎ ผู๎เช่ียวชาญ ปราชญ๑ชาวบ๎าน เพื่อให๎ได๎มาถึงความคิดเห็น ความเชื่อ หรือทัศนคติ ประวัติศาสตร๑ ท๎องถิ่นและภูมินาม พัฒนาการตั้งถิ่นฐานของคนในชุมชน การปรับตัวเข๎ากับส่ิงแวดล๎อมและกระแส การเปลี่ยนแปลงมรดกวัฒนธรรมชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม อาหาร ภูมิปัญญา การแตํงกาย ภาษา การแสดง ศิลปกรรม หัตถกรรม โบราณสถาน วิจิตรศิลป์ สุนทรียภาพในท๎องถิ่น อัตลักษณ๑ของ ท๎องถ่ิน โลกทัศน๑ ความเช่ือ พิธีกรรม จิตวิญญาณ ความสัมพันธ๑ของคนในชุมชนท๎องถิ่นและ ความสมั พันธข๑ องชมุ ชนกบั ส่งิ แวดลอ๎ มในธรรมชาติเหนอื ธรรมชาติและวถิ ีการดํารงชวี ติ ปั ญ ห า แ ล ะ แนวทางการบริหารจดั การเพื่อฟื้นฟู อนุรักษ๑ ทรัพยากรชุมชนอยํางยั่งยืนไปพร๎อมกับการใช๎เป็นทุนใน
60 การรองรับการทอํ งเทยี่ วของชุมชน เทคโนโลยใี นการจดั การทรัพยากรจากอดตี กลายมาเป็นภูมิปัญญา วิวฒั น๑ในปัจจุบัน รวมไปถึงกระบวนการเรียนรู๎และพฤติกรรมการเรียนร๎ู การถํายทอดภูมิปัญญา โดย กระบวนการในการกําหนดรูปแบบการทํางานวิจัยที่สําคัญของทีมวิจัยชุมชนตําบลหัวดง คือ การ ประชุมปรึกษาหารือรํวมกันเป็นประจําเพ่ือติดตามผลการดําเนินการวิจัยให๎เป็นไปตามแผนงาน รวม ไปถึงการรายงานผลการดําเนินงานในแตํละประเด็นให๎เพื่อนทีมวิจัยได๎รับร๎ูรับทราบไปในทิศทาง เดียวกัน เพื่อเป็นการสอบทานขอ๎ มลู ซึง่ กนั และกนั ทั้งนเ้ี พอ่ื ให๎การดําเนินโครงการวิจัยชุมชนตําบลหัว ดง มีความก๎าวหนา๎ ถูกตอ๎ ง สมบรู ณ๑มากทสี่ ดุ และหลังจากน้ันทีมวิจัยชุมชนตําบลหัวดง ได๎จัดเวทีคืน ข๎อมลู ชุมชนเพ่อื ให๎ชมุ ชนตําบลหัวดงเข๎ารํวมรับฟังขอ๎ มูล รํวมตรวจสอบ รวํ มแลกเปล่ียนเรียนร๎ูและให๎ ข๎อมูลเก่ียวกับมรดกวัฒนธรรมชุมชนของตําบลหัวดงในวันท่ี 8 กุมภาพันธ๑ 2562 เวลา 08.30 - 13.00 น. ณ ศาลาการเปรียญวดั หวั ดง ตําบลหัวดง กิจกรรมท่ี 5 ทีมวิจัยชุมชนศึกษาข๎อมูลทั้งทุติยภูมิและจากเอกสาร ตํารา และปฐมภูมิ จากผ๎ูรู๎ ผูท๎ รงคุณวฒุ ิ ฯลฯ 5.1 วัตถุประสงคข๑ องการดําเนนิ กจิ กรรม 1) เก็บขอ๎ มลู ทตุ ิยภูมจิ ากเอกสาร ตาํ รา และปฐมภมู ิจากผูร๎ ๎ู ผูท๎ รงคณุ วฒุ ิ 5.2 สถานท่ดี าํ เนินกิจกรรม ณ พ้ืนท่ีตําบลหัวดง อําเภอเมอื งพจิ ิตร จงั หวัดพิจติ ร 5.3 ผเ๎ู ขา๎ รํวมกจิ กรรม ทมี วจิ ยั ชุมชนหวั ดง 24 คน 5.4 วิธดี ําเนนิ กิจกรรม 1) เกบ็ ข๎อมลู มือสองจากแหลงํ ข๎อมลู ทเี่ กี่ยวขอ๎ ง 5.5 ผลการดําเนนิ กิจกรรม ทีมวิจัยชุมชนหัวดง ได๎ข๎อมูลมรดกวัฒนธรรมชุมชน บริบทพื้นท่ีในด๎านตําง ๆ รวมถึงข๎อมูลทรัพยากรทํองเท่ียวทางธรรมชาติจากเอกสาร ได๎ข๎อมูลชุมชนจากผ๎ูร๎ูรวมถึงข๎อมูลเชิง วิชาการเก่ียวกับชุมชนประเด็นสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เพื่อเป็นข๎อมูลประกอบการดําเนินการ ศึกษาวจิ ัยตามโครงการตํอไป กิจกรรมท่ี 6 ลงพ้ืนท่ีศึกษาสํารวจเก็บข๎อมูลปฐมภูมิ เร่ืองราวของท๎องถิ่นแบบบูรณา การท่ีครอบคลุมท้ังสภาพแวดล๎อม ทรัพยากรธรรมชาติ สภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมถึงวิธี คิดและภูมปิ ัญญาท๎องถน่ิ คือ คณุ คาํ มรดกวฒั นธรรมชมุ ชนตาํ บลหวั ดง อาํ เภอเมอื ง จ.พิจิตร 6.1 วตั ถปุ ระสงค๑ของการดาํ เนนิ กิจกรรม 1) ภมู ศิ าสตร๑กายภาพและนเิ วศวิทยาทอ๎ งถ่นิ 2) ประวตั ศิ าสตรท๑ ๎องถ่ินและภูมนิ าม 3) พัฒนาการตั้งถิ่นฐานของคนในชุมชน การปรับตัวเข๎ากับส่ิงแวดล๎อมและกระแส การเปลย่ี นแปลง
61 4) มรดกวัฒนธรรมชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม อาหาร ภูมิปัญญา การแตํงกาย ภาษา การแสดง ศิลปกรรม หัตถกรรม โบราณสถาน วิจิตรศิลป์ สุนทรียภาพในท๎องถิ่น อัตลักษณ๑ ของท๎องถิ่น โลกทัศน๑ ความเชื่อ พิธีกรรม จิตวิญญาณ ความสัมพันธ๑ของคนในชุมชนท๎องถ่ินและ ความสัมพันธ๑ของชุมชนกับสิ่งแวดล๎อมในธรรมชาติเหนือธรรมชาติและวิถีการดํารงชีวิต เชํน ตลาด ชุมชน 5) ปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการเพ่ือฟ้ืนฟู อนุรักษ๑ ทรัพยากรชุมชนอยําง ยัง่ ยนื ไปพร๎อมกบั การใช๎เป็นทุนในการรองรบั การทํองเทีย่ วของชมุ ชน 6) เทคโนโลยีในการจัดการทรัพยากรจากอดีตกลายมาเป็นภูมิปัญญาวิวัฒน๑ใน ปจั จบุ ัน 7) กระบวนการเรียนร๎ูและพฤติกรรมการเรียนรู๎ การถํายทอดภูมิปัญญา เชํน อาหาร งานฝีมือ ได๎แกํ งานประเภทผ๎า งานประดิษฐ๑เคร่ืองมือ เคร่ืองใช๎ ใบตอง อาหาร เป็นต๎น การศึกษา อบรมการแก๎ปัญหาตามพื้นฐานวัฒนธรรม ปรีชาญาณของชาวบ๎าน ท้ังน้ีให๎ความสําคัญกับความ เชอ่ื มโยงขององคป๑ ระกอบทัง้ หลาย 2. ศึกษาปัญหาและความต๎องการของชาวบ๎านในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนของตนเป็น แหลงํ ทํองเทีย่ วโดยมีชมุ ชนเปน็ ฐาน 6.2 สถานท่ดี ําเนินกจิ กรรม ณ พ้ืนที่ตําบลหัวดง จํานวน 9 หมํูบ๎าน คือ หมํูท่ี 1 บ๎านหัวดง หม่ี 2 บ๎านลําชะลํา หมูํที่ 3 บ๎านเขาพระ หมูํที่ 4 บ๎านเนินยาว หมูํที่ 5 บ๎านหนองนาดํา หมํูท่ี 6 บ๎านนํ้าโจนเหนือ หมํูที่ 7 บา๎ นหวั ดง หมทํู ่ี 8 บ๎านหัวดง และหมูํท่ี 9 บา๎ นปากคลอง อาํ เภอเมอื งพจิ ิตร จงั หวัดพิจติ ร 6.3 ผเ๎ู ข๎ารํวมกจิ กรรม 1) ทมี วิจัยหลักและทมี วิจยั ยอํ ยของชุมชน 2) ปราชญช๑ มุ ชนผร๎ู ๎กู ลมํุ ตาํ งๆ นกั วิชาการในพน้ื ท่ี 3) ภาคีเครือขํายจากหนํวยงานตําง ๆ ท้ังที่เป็นองค๑กรและปัจเจกชน จํานวน 5 ภาคี คอื ทอ๎ งถน่ิ ท๎องท่ี หนํวยงานราชการ ประชาชน และวัดในพื้นที่ 4) พ่ีเล้ียงทมี วจิ ัย 6.4 วธิ ดี ําเนนิ กจิ กรรม 1) หารือทมี วิจยั หลักเพือ่ แบํงประเด็นรับผิดชอบทีจ่ ะเก็บข๎อมลู 2) ประสานติดตํอผู๎รู๎ปราชญ๑ชาวบ๎าน ผ๎ูที่จะให๎ข๎อมูลแตํละประเด็นทั้งในและนอก ชุมชน 3) ประสานภาคที ี่เก่ยี วขอ๎ งรวํ มเกบ็ ข๎อมลู 4) จัดเตรียมเคร่ืองมือจดบนั ทกึ กลอ๎ งถาํ ยภาพและฯลฯ 5) ประสานผู๎ใหญํบ๎านแตํละพ้ืนท่ี ที่ทีมวิจัยจะลงเก็บข๎อมูล เพื่อแจ๎งลูกบ๎าน รับทราบการลงพ้นื ทช่ี มุ ชนของทีมวิจัยเพอื่ เก็บข๎อมลู 6.5 ผลการดําเนนิ กจิ กรรม
62 ทีมวิจัยชุมชนหัวดง ได๎บทเรียนประสบการณ๑และองค๑ความรู๎ที่เป็นศักยภาพของ ชุมชนในประเด็นตําง ๆ เชํน 1) ภูมิศาสตร๑กายภาพและนิเวศวิทยาท๎องถ่ิน 2) ประวัติศาสตร๑ท๎องถ่ิน และภูมินาม 3) พัฒนาการต้ังถิ่นฐานของคนในชุมชน การปรับตัวเข๎ากับส่ิงแวดล๎อมและกระแสการ เปล่ียนแปลง 4) มรดกวัฒนธรรมชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม อาหาร ภูมิปัญญา การแตํงกาย ภาษา การแสดง ศิลปกรรม หัตถกรรม โบราณสถาน วิจิตรศิลป์ สุนทรียภาพในท๎องถิ่น อัตลักษณ๑ของ ท๎องถ่ิน โลกทัศน๑ ความเชื่อ พิธีกรรม จิตวิญญาณ ความสัมพันธ๑ของคนในชุมชนท๎องถิ่นและ ความสมั พนั ธข๑ องชมุ ชนกับส่ิงแวดล๎อมในธรรมชาตเิ หนอื ธรรมชาติและวิถีการดาํ รงชีวิต 5) ปัญหาและ แนวทางการบริหารจดั การเพือ่ ฟื้นฟู อนรุ กั ษ๑ ทรัพยากรชุมชนอยํางย่ังยืนไปพร๎อมกับการใช๎เป็นทุนใน การรองรับการทํองเท่ียวของชุมชน 6) เทคโนโลยีในการจัดการทรัพยากรจากอดีตกลายมาเป็นภูมิ ปัญญาวิวฒั นใ๑ นปจั จุบัน 7) กระบวนการเรียนร๎แู ละพฤติกรรมการเรียนรู๎ การถํายทอดภูมิปัญญา ที่จะ นาํ มาใชเ๎ ปน็ ทนุ การพัฒนาการทอํ งเทย่ี วท่ีมีชุมชนเปน็ ฐานของชุมชนตาํ บลหวั ดง กิจกรรมที่ 7 ทีมวิจัย แกนนําชุมชน ปราชญ๑ชาวบ๎านและผ๎ูอาวุโสรํวมกันสรุปผลการ ศึกษาวิจัยทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละมรดกทางวฒั นธรรมของตําบลหัวดง 7.1 วัตถุประสงค๑ของการดําเนนิ กิจกรรม 1) หารือจดั ทําข๎อสรุปผลการเกบ็ ข๎อมลู /วเิ คราะห๑ขอ๎ มูล 7.2 สถานทีด่ ําเนนิ กิจกรรม ณ ห๎องประชมุ องค๑การบรหิ ารสวํ นตาํ บลหวั ดง อาํ เภอเมอื งพิจิตร จงั หวดั พจิ ิตร 7.3 ผ๎ูเข๎ารํวมกิจกรรม 1) ทมี วจิ ยั ชมุ ชนหัวดง 24 คน 2) ผรู๎ บั ผดิ ชอบสรุปแตํละประเด็น 7.4 วธิ ดี ําเนินกจิ กรรม 1) จัดประชุมนําเสนอผลการศึกษาคุณคํามรดกวัฒนธรรมชุมชนตําบลหัวดง 7 ประเด็น คือ 1) ภูมิศาสตร๑กายภาพและนิเวศวิทยาท๎องถ่ิน 2) ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นและภูมินาม 3) พัฒนาการตั้งถ่ินฐานของคนในชุมชน การปรับตัวเข๎ากับส่ิงแวดล๎อมและกระแสการเปล่ียนแปลง 4) มรดกวัฒนธรรมชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม อาหาร ภูมิปัญญา การแตํงกาย ภาษา การแสดง ศลิ ปกรรม หัตถกรรม โบราณสถาน วจิ ติ รศิลป์ สุนทรียภาพในท๎องถ่ิน อัตลกั ษณข๑ องท๎องถิ่น โลกทัศน๑ ความเช่อื พธิ กี รรม จติ วญิ ญาณ ความสัมพันธ๑ของคนในชุมชนท๎องถิ่นและความสัมพันธ๑ของชุมชนกับ สิ่งแวดลอ๎ มในธรรมชาติเหนอื ธรรมชาติและวถิ กี ารดาํ รงชวี ติ 5) ปญั หาและแนวทางการบริหารจัดการ เพ่ือฟ้ืนฟู อนุรักษ๑ ทรัพยากรชุมชนอยํางยั่งยืนไปพร๎อมกับการใช๎เป็นทุนในการรองรับการทํองเท่ียว ของชุมชน 6) เทคโนโลยีในการจัดการทรัพยากรจากอดีตกลายมาเป็นภูมิปัญญาวิวัฒน๑ในปัจจุบัน 7) กระบวนการเรยี นรแู๎ ละพฤตกิ รรมการเรยี นร๎ู การถํายทอดภมู ิปัญญา 2) แบงํ หนา๎ ทรี่ บั ผดิ ชอบการเขยี นสรปุ รายงานการเกบ็ ข๎อมลู แตลํ ะประเดน็ 7.5 ผลการดาํ เนินกจิ กรรม
63 ทีมวิจัยชุมชนตําบลหัวดง แกนนําชุมชน ปราชญ๑ชาวบ๎านและผ๎ูอาวุโสรํวมกัน สรุปผลการศึกษาวิจัยทรัพยากรธรรมชาติและมรดกทางวัฒนธรรมของตําบลหัวดง โดยมีผลการ ศกึ ษาวิจัย ดงั นี้ 1.1) ภูมศิ าสตร๑กายภาพและนเิ วศวิทยาทอ๎ งถิ่น ชุมชนตําบลหัวดง มีภูมิศาสตร๑กายภาพและนิเวศวิทยาท๎องถิ่น โดยมีพ้ืนท่ี ติดตํอกับพ้ืนท่ีตําบลฆะมัง ตําบลงิ้วรายตําบลหนองปล๎อง ตําบลดงปุาคํา อยํูบนทางหลวงแผํนดิน หมายเลข 113 มีพื้นที่ประมาณ 64 ตารางกิโลเมตร มีการใช๎ถนนทางหลวงแผํนดินหมายเลข 1304 รํวมกนั พ้ืนท่ีทําการเกษตรนาข๎าวติดตํอกันใช๎คลองสํงนํ้าด๎วยพลังงานไฟฟูาเพ่ือทําการเกษตรรํวมกัน จํานวน 6 สถานี พื้นที่ตําบลหัวดงเป็นท่ีราบลุํมมีแมํนํ้านํานไหลผํานพื้นท่ีหมํูท่ี 1 บ๎านหัวดง หมํู 3 บ๎านเขาพระ และหมํู 7 บ๎านหัวดง อยํูทางฝ่ังตะวันตกของแมํน้ํานําน พื้นท่ีที่ติดกับแมํน้ํานํานจะมี ความเสี่ยงกับการเกิดอุทกภัยเป็นอยํางมากถ๎าน้ําล๎นฝั่งแมํนํ้านําน การทําการเกษตรจะอยํูในเขต บริการนํ้าของโครงการชลประทานพิจิตร ในสํวนของพ้ืนที่ที่อยูํฝั่งตะวันออกของแมํนํ้านํานจะ ประกอบด๎วย หมํูที่ 2 หมูํท่ี 4 หมํูท่ี 5 หมูํที่ 6 หมํูที่ 8 และหมํูท่ี 9 จะมีลักษณะพ้ืนท่ีเป็นที่ราบลุํม คลา๎ ยทอ๎ งกระทะ พน้ื ทที่ ต่ี ิดกับแมนํ าํ้ นําน ได๎แกํ หมูํท่ี 1 หมํูที่ 3 หมํูที่ 6 หมํูที่ และหมูํที่ 9 สํวนพื้นที่ หมทํู ่ี 2 หมูํที่ 4 และหมูทํ ี่ 5 จะไมตํ ดิ กับแมนํ ํ้านําน ในชํวงฤดูฝนจะมีนํ้าจากเทือกเขาจังหวัดพิษณุโลก และเพชรบูรณ๑ไหลหลากมาทํวมพ้ืนท่ีเกษตรกรรม โดยเฉพาะพ้ืนที่หมํูที่ 1 หมูํท่ี 6 กับหมํูที่ 9 นํ้าจะ ทํวมขังเป็นระยะเวลานานประมาณ 3 เดือน สํวนพ้ืนที่ หมํูที่ 2 หมํูที่ 4 และหมูํท่ี 5 น้ําจะไหลผําน ทํวมขงั ไมํนานนกั ในพืน้ ท่ีทั้ง 6 หมูํบา๎ นนีจ้ ะมแี หลํงนํา้ ธรรมชาติและคูคลองที่หนํวยงานราชการได๎ขุด ไวก๎ กั เก็บนํา้ เพอ่ื ทาํ การเกษตรกรรมเปน็ จาํ นวนมาก ชมุ ชนตาํ บลหัวดงมีภูมศิ าสตรส๑ าํ คัญคือแมํนํ้านําน ไหลผํานกลางตําบลหัวดง ชุมชนจึงต้ังบ๎านเรือนเลาะแนวแมํน้ํา โดยมีเส๎นทางรถไฟขนานแนวแมํนํ้า ด๎านทิศตะวันออก พื้นที่ตําบลหัวดงท่ีทางด๎านทิศตะวันออกจะสูงกวําเรียกวํา บ๎านดอน ชุมชนตําบล หวั ดงจึงมักเรยี กตนเองวาํ เป็นลูกแมํนา้ํ น้ําเป็นส่งิ ทีค่ นหัวดงกลําววําสําคัญมาก คนสูงอายุมักกลําวคน หัวดงจะลําบากก็เพราะน้ํา จะมีกินก็เพราะน้ํา จะสนุกสนานก็เพราะน้ําและที่มาของคนหัวดงก็คือน้ํา หมายถึง เมอื่ เวลาหน๎าน้าํ หลากหรือฤดูนํ้าทวํ มในปัจจุบันนํ้าที่ไหลมาตามแมํนํ้านํานจะมีระดับที่สูงขึ้น ประกอบกับน้ําที่ไหลมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ๑ผํานอําเภอ ตําบลตําง ๆ มาสูํตําบลหัวดงจะ ประสานกันพอดีในเกือบทุกปี ภาพที่ค๎ุนคือนํ้าจะทํวมท่ีชุมชนตําบลหัวดงในทุกปีที่วําลําบากก็เป็น เชํนนี้ แตํนํ้าทํวมก็พาเอาแหลํงอาหารช้ันดีต๎นกําเนิดสุดยอดปลาแดดเดียวที่ขึ้นช่ือของตําบลหัวดง เพราะเมื่อนํ้าทํวมคนหัวดงก็สามารถประกอบอาชีพท่ีตกทอดกันมาแตํกําเนิดคือการประมงนํ้าจืด อาจจะกลําวได๎วาํ นา้ํ ไมํมาคน หัวดงกอ็ าจจะไมมํ กี ินได๎ เมอื่ เปน็ เชํนนั้นการคมนาคมที่สําคัญของคนหัว ดงในอดีตจนถึงปัจจุบันจึงใช๎เรือเพ่ือสัญจรในทางนํ้า ท่ีตําบลหัวดงจึงอุดมไปด๎วยชํางขุดเรือ ชํางตํอ เรือท่ขี ้นึ ช่อื เรือทใ่ี ช๎ เชนํ เรอื หมู เรอื พายมา๎ โดยเฉพาะเรือยาว ท่ีตาํ บลหวั ดงมีการจัดการแขํงขันเรือ ยาว โดยวัดหัวดงจัดงานประจําปีแขํงขันเรือยาวจากอดีตมาจึงปัจจุบัน แมํนํ้านํานคือทางสัญจรใน อดีต ตําบลหัวดงในอดีตจึงเรียกได๎วําเป็นเมืองทํา มีเรือขนสํงสินค๎ามากมายที่นําเรือเข๎าเทียบเพ่ือรับ สินค๎าจากความอุดมสมบูรณ๑ของธรรมชาติผืนนี้ คนชุมชนหัวดงจึงมีรายได๎ในอดีตจากการค๎าขาย การเกษตรกรรมท้งั การปลูกขา๎ วและการประมงน้ําจืด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 614
Pages: