ชมพูพฤกษ ๘๐ ชวนะ ดวย); ชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล อรหันต กไ็ มท าํ กรรม เปน กิรยิ าชวนะ) ประกอบดว ยมหาชนบท คอื แวน แควน จึงถือวาอยูในชวงท่ีสําคัญ, โดยท่ัวไป ใหญ หรือมหาอาณาจกั ร ๑๖ เรยี ง และอยา งมากทส่ี ุด ปถุ ชุ นในกามภูมิ มี ชวนจติ เกดิ ขน้ึ ๗ ขณะ แลว เกดิ ตทารมณ ครา วๆ จากตะวนั ออก (แถบบงั คลาเทศ) (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ กเ็ รยี ก) เปน วิปากจิตข้ึนมา ๒ ขณะ แลว กเ็ กิด ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ (แถบ เปนภวงั คจติ เรยี กกันวา ตกภวังค เปน อันส้ินสุดวิถีจิต คือส้ินสุดการรับ เหนอื ของอฟั กานสิ ถาน) คอื องั คะ มคธ อารมณไปวิถหี นงึ่ , ท่ีวา มานี้ เปนกรณที ี่ รับอารมณที่มีกําลังแรงหรือเดนชัดมาก กาสี โกศล วชั ชี มลั ละ เจตี วงั สะ กรุ ุ (ถาเปนอารมณใหญมากทางปญจทวาร คือทางตา หู จมกู ลิน้ กาย เรยี กวา ปญ จาละ มจั ฉะ สรุ เสนะ อสั สกะ อวนั ตี อติมหันตารมณ ถา เปน อารมณเดน ชดั ทางมโนทวาร เรียกวา วภิ ตู ารมณ) แต คนั ธาระ และกมั โพชะ (ตามหลกั ฐานในพระ ถาอารมณท่ีรับน้ันมีกําลังไมมากนัก ไตรปฎ ก เชน อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๑๐/๒๗๓); ดู อนิ เดยี หรอื ไมเดน ชดั (คอื เปน มหันตารมณทาง ชมพูพฤกษ ตนหวา ปญจทวาร หรือเปนอวิภูตารมณทาง ชยเสนะ พระราชบดิ าของพระเจา สหี หนุ มโนทวาร) พอชวนจติ ขณะท่ี ๗ ดบั ไป ครองนครกบลิ พสั ดุ ก็เกิดเปนภวังคจิตตอ เลย (เรียกวาตก ชราธรรม มคี วามแกเ ปน ธรรมดา, มคี วาม ภวังค) ไมมตี ทารมณเกิดข้ึน, ย่ิงกวานนั้ แกเ ปน ของแนน อน; ธรรมคอื ความแก ในทางปญ จทวาร ถา อารมณท กี่ ระทบ มี ชราภาพ ความแก, ความชาํ รดุ ทรดุ โทรม กําลังนอย (เปน ปริตตารมณ) หรอื ออน ชลาพชุ ะ, ชลามพุชะ สตั วเ กิดในครรภ กาํ ลังอยางยิง่ (เปนอตปิ ริตตารมณ) วถิ ี ไดแกมนษุ ย และสตั วเดยี รัจฉานทอ่ี อก จิตจะเกิดข้ึนนอยขณะ แลวเกิดเปน ภวังคจิต (ตกภวงั ค) โดยไมมีชวนจติ ลกู เปน ตวั (ขอ ๑ ในโยนิ ๔) เกดิ ขนึ้ เลย, ทวี่ า มานนั้ เปน การพดู ทว่ั ไป ชลาลยั “ทอ่ี ยขู องนํา้ ”, แมนาํ้ , ทะเล ยงั มีขอ พเิ ศษหลายอยา ง เชน ในกามภมู ิ ชโลทกวารี นาํ้ นี้แหละ ในกรณีท่ีอารมณออนกําลัง ชวนะ “การแลนไป”, “การไปเรว็ ”, “การ สวางวาบ”, ความเร็ว, ความไว; จิต ขณะ ท่ีแลนไปในวิถี ทําหนาที่รับรูเสพ อารมณ ทางทวารท้ังหลาย (ทางตา หู จมูก ล้นิ กาย หรอื ใจ) เปน วิถจี ิตในชวง หรอื ข้นั ตอนท่ีทํากรรม (เปนกุศลชวนะ หรืออกศุ ลชวนะ แตถาเปนจติ ของพระ
ชะตา ๘๑ ชาดก ชวนจติ เกิดแค ๖ ขณะก็มี ในเวลาจะ ชักสื่อ นําถอยคําหรือขาวสารของชาย ส้นิ ชีวติ ชวนจติ เกิดเพยี ง ๕ ขณะ ใน และหญิง จากฝายหนึ่งไปบอกอกี ฝา ย เวลาเปนลม สลบ งวงจัด เมาสุรา หน่ึง หรือจากทั้งสองฝายใหรูถึงกัน เปน ตน หรือกรณมี ปี สาทวัตถุออ นกาํ ลัง เพ่ือใหเขาสําเร็จความประสงคในทาง ยงิ่ อยา งทารกในครรภห รอื เพง่ิ เกดิ ชวน- เมถนุ (สังฆาทเิ สส สกิ ขาบทท่ี ๕) จติ เกดิ ขนึ้ เพยี ง ๔-๕ ขณะ สว นในภมู ิที่ ชั่งเกียจ ตราช่ังที่ไมซ่ือตรง ทําไวเอา สูงข้นึ ไป เชน ในการบรรลฌุ านแตละ เปรยี บผอู นื่ ข้ันครั้งแรก ในการทํากิจแหงอภิญญา ชังเฆยยกะ แผนผาท่เี ยบ็ ทาบเติมลงไป ในการสําเรจ็ กิจแหง มรรค และในเวลา บนจวี รตรงทถี่ กู แขง , นวี้ า ตามคาํ อธิบาย ออกจากนิโรธสมาบัติ ชวนจิตเกิดขึ้น ในอรรถกถา แตพ ระมติของสมเดจ็ พระ ขณะเดียว (แตในเวลาเขา นโิ รธสมาบัติ มหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ชวนจิตเกิดข้ึน ๒ ขณะ) สําหรับผู ในวนิ ยั มขุ เลม ๒ วา ในจวี รหา ขณั ฑๆ ชํานาญในฌาน ชวนจิต (อัปปนาชวนะ) ถดั ออกมาจากขณั ฑก ลางทง้ั ๒ ขา ง ชอ่ื จะเกิดดับตอเนื่องไปตลอดเวลาที่อยูใน ชงั เฆยยกะ เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ฌานน้ัน อาจจะตลอดทั้งวัน ไมมี ขณั ฑน นั้ อยทู แี่ ขง ในเวลาหม ; ดู จวี ร กําหนดจํานวนขณะ (เปนอัปปนาวิถี ชังเฆยยกะ ดู จีวร ตลอดเวลาท่ีฌานจิตยังสืบตอติดเน่ือง ชัชวาล รุง เรือง, สวาง, โพลงขนึ้ กันไป) จนกวาจะเกิดเปนภวังคจิตขึ้น ชยั มงคล มงคลคอื ความชนะ, ความชนะ มา สนั ตตขิ องฌานจิตก็ขาดตอน เรยี ก ทเ่ี ปน มงคล วาตกภวังค คือออกจากฌาน; คําวา ชาคริยานุโยค การประกอบความเพยี ร “ชวนะ” นี้ ใชห มายถึงจติ ซึ่งทําหนาท่ีรบั เครือ่ งตื่นอยู คือ ความเพียรพยายาม อารมณใ นวถิ ี กไ็ ด หมายถงึ การทาํ หนา ท่ี ปฏบิ ตั ธิ รรม ไมเหน็ แกนอน ตนื่ ตัวอยู ของจติ ในการรับอารมณนน้ั กไ็ ด ถา เปนนติ ย ชาํ ระจติ ไมใหมนี วิ รณ (ขอ ๓ ตองการความหมายใหจําเพาะชัดลงไป ในอปณ ณกปฏิปทา) ก็เตมิ คาํ กาํ กบั ลงไปวา “ชวนจติ ” หรือ ชาดก “เครอ่ื งเลา เรอ่ื งราวทพ่ี ระพทุ ธเจา “ชวนกจิ ” ตามลาํ ดบั ; ดู วิถจี ิต ไดท รงเกดิ มาแลว ”, ชอื่ คมั ภรี ใ นพระไตร- ชะตา เวลาท่ีถือกําเนิดของคนและส่ิงที่ ปฎก อันเลาเร่ืองพระชาติในอดีตของ สาํ คญั พระพทุ ธเจา เมอ่ื ยงั เปน พระโพธสิ ตั วซ ง่ึ
ชาตปฐพี ๘๒ ชําระ กาํ ลงั ทรงบาํ เพญ็ บารมี มจี าํ นวนทงั้ หมด ดนิ เหนยี วมาก ดนิ นปี้ ระสงคเ อาทย่ี งั ไม ตามตัวเลขถวนท่ีกลาวในอรรถกถาท้ัง ไดเ ผาไฟ กองดนิ รว นกด็ ี กองดนิ เหนยี ว หลายวา ๕๕๐ ชาดก (นบั ตรงเลขวา ๕๔๗ กด็ ี มฝี นตกรดเกนิ ๔ เดอื นมาแลว นบั ชาดก แตค นไทยมกั พดู ตดั เลขแคห ลกั เขา ในปฐพแี ท รอ ยวา พระเจา ๕๐๐ ชาต)ิ ทง้ั หมดนจี้ ดั ชาตสระ [ชา-ตะ-สะ] สระเกดิ เอง, ทน่ี าํ้ ขงั เปน พระไตรปฎ ก ๒ เลม (ฉบบั อกั ษรไทย อันเปนเองตามธรรมชาติ เชน บึง, คอื เลม ๒๗ และ ๒๘), อยา งไรกต็ าม หนอง, ทะเลสาบ ฯลฯ เนื่องจากชาดกทั้งหมดในพระไตรปฎก ชาติ การเกดิ , ชนดิ , พวก, เหลา , ปวงชน เปนคาถาลวนๆ (เวนชาดกหนึ่งท่ีเปน แหง ประเทศเดยี วกัน ความรอ ยแกว คอื กณุ าลชาดก) และโดย ชาติปกุ กสุ ะ พวกปกุ กุสะ เปนคนชน้ั ต่าํ มากเปนเพียงคํากลาวโตตอบกันของ พวกหนึ่งในระบบวรรณะของศาสนา บุคคลในเรื่อง พรอมทั้งพระดํารัสของ พราหมณ มีอาชีพคอยเก็บกวาดขยะ พระพุทธเจาที่ตรัสสรุปหรือแสดงคติ ดอกไมต ามสถานทบ่ี ูชา ธรรม อนั เรยี กวา อภสิ มั พทุ ธคาถาเทา นน้ั ชาติสงสาร ความทองเทีย่ วไปดวยความ ไมไดเลาเรอ่ื งโดยละเอยี ด ผอู า นเขา ใจ เกิด, การเวียนตายเวยี นเกิด ไดย าก จงึ มอี รรถกถาขนึ้ มาชว ยอธบิ าย ชาติสทุ ทะ พวกสทุ ทะ, คนพวกวรรณะ เรยี กวา “ชาตกฏั ฐกถา” (เรยี กใหง า ยวา ศทู ร เปน คนชัน้ ต่ําในชมพทู วีป; ดู ศูทร อรรถกถาชาดก) ซง่ึ ขยายความออกไป ชานมุ ณฑล เขา, ตอนเขา มาก จดั เปน เลม หนงั สอื ฉบบั บาลอี กั ษร ชาวปาจนี คาํ เรยี กภิกษชุ าววัชชบี ุตรอกี ไทยรวม ๑๐ เลม เรอื่ งชาดกทเ่ี รยี นและ ชอื่ หนึ่ง หมายถึงอยดู า นทศิ ตะวนั ออก, เลา กนั ทวั่ ไป กค็ อื เลา ตามชาตกฏั ฐกถาน้ี ชาวเมืองตะวันออก แตนักศึกษาพึงรูจักแยกระหวางสว นทมี่ ี ชําระ ในคาํ วา “ชาํ ระพระไตรปฎก” คอื ในพระไตรปฎก กับสวนท่ีเปนอรรถ- รักษาพระไตรปฎกใหบริสุทธิ์ หมดจด กถา; ดู ไตรปฎก, อภสิ มั พุทธคาถา จากความผิดพลาดคลาดเคลื่อน โดย ชาตปฐพี [ชา-ตะ-ปะ-ถะ-พี] ดนิ เกดิ เอง, กาํ จัดสงิ่ ปะปนแปลกปลอมหรอื ทาํ ใหเ ขา ปฐพแี ท คอื มดี นิ รว นลว น มดี นิ เหนยี ว ใจสบั สนออกไป และทาํ ใหมองเห็นของ ลวน หรือมีของอื่น เชนหินกรวด เดิมแทชัดเจนตรงตามที่รวบรวมไว กระเบอ้ื ง แร และทรายนอ ย มดี นิ รว น แตตน, เปนงานสวนสําคัญของการ
ชิวหา ๘๓ ชวี ก สงั คายนา; ดู สังคายนา (หญงิ งามเมอื ง) ช่อื วาสาลวดี แตไ มร จู กั ชิวหา ลนิ้ มารดาบดิ าของตน เพราะเมอื่ นางสาลวดี ชิวหาวิญญาณ ความรูท เี่ กดิ ขึ้นเพราะรส มีครรภ เกรงคาตัวจะตก จงึ เก็บตัวอยู กระทบลิ้น, รสกระทบลิ้นเกิดความรู คร้ันคลอดแลวก็ใหคนรับใชเอาทารกไป ท้งิ ทีก่ องขยะ แตพ อดีเมอ่ื ถึงเวลาเชาตรู ขึ้น, การรรู ส (ขอ ๔ ในวิญญาณ ๖) เจา ชายอภัย โอรสองคหน่งึ ของพระเจา ชิวหาสัมผัส อาการท่ีล้ิน รส และชวิ หา- พิมพิสาร จะไปเขาเฝา เสด็จผานไป วิญญาณประจวบกนั เห็นการมุ ลอ มทารกอยู เม่ือทรงทราบวา ชิวหาสัมผสั สชาเวทนา เวทนาทเี่ กดิ ขน้ึ เปนทารกและยังมีชีวิตอยู จึงไดโปรด เพราะชิวหาสมั ผัส, ความรูสกึ ท่ีเกดิ ขน้ึ ใหน ําไปใหน างนมเลี้ยงไวใ นวงั ในขณะ ทที่ รงทราบวาเปน ทารก เจา ชายอภัยได เพราะการที่ ลิ้น รส และชิวหา- ตรัสถามวา เด็กยังมชี วี ิตอยู (หรือยังเปน อย)ู หรอื ไม และทรงไดรบั คําตอบวา ยงั วิญญาณประจวบกัน มีชวี ิตอยู (ชวี ติ = ยงั เปนอยู หรือยงั มี ชี นกั บวช, หญิงถอื บวช, อุบาสกิ าทน่ี งุ ชวี ิตอย)ู ทารกน้ันจึงไดช ื่อวา ชวี ก (ผู ขาวหม ขาวโกนผมโกนคิ้ว ถอื ศีล ยังเปน) และเพราะเหตุท่ีเปนผูอันเจา ชีตน พระสงฆท ่ีคุน เคยใกลช ิดกับครอบ ชายเลย้ี งจงึ ไดม สี รอ ยนามวา โกมารภจั จ ครวั หรอื ตระกูล ซงึ่ เขาเคารพนับถือเปน (ผอู ันพระราชกมุ ารเลย้ี ง) อาจารยเ ปน ทป่ี รกึ ษา เรยี กอยา งคาํ บาลวี า ครนั้ ชวี กเจรญิ วยั ขนึ้ พอจะทราบวา กลุ ปุ กะ, กลุ ปู กะ หรอื กลุ ปุ ก; ดู กลุ ปุ กะ ตนเปนเด็กกาํ พรา ก็คิดแสวงหาศิลป- ชีเปลือย นักบวชจาํ พวกหน่ึง ถือเพศ วทิ ยาไวเ ลยี้ งตวั จงึ ไดเ ดนิ ทางไปศกึ ษา เปลือยกาย วชิ าแพทยก บั อาจารยแ พทยท ศิ าปาโมกข ชีพ ชีวติ , ความเปน อยู ทเี่ มอื งตกั สลิ า ศกึ ษาอยู ๗ ป อยาก ชีวก ชื่อหมอใหญผูเชี่ยวชาญในการ ทราบวา เมอื่ ใดจะเรยี นจบ อาจารยใ หถ อื รักษาและมีช่ือเสียงมากในครั้งพุทธกาล เสยี มไปตรวจดทู วั่ บรเิ วณ ๑ โยชนร อบ เมอื งตกั สลิ า เพอ่ื หาสง่ิ ทไ่ี มใ ชต วั ยา ชวี ก เปนแพทยประจําพระองคของพระเจา หาไมพ บ กลบั มาบอกอาจารย อาจารยว า สําเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแลว พิมพสิ าร และพระเจาพิมพิสารไดถวาย ใหเปนแพทยประจําพระองคของพระ พุทธเจาดว ย, ช่ือเตม็ วาชวี กโกมารภจั จ ห ม อ ชี ว ก เ กิ ด ท่ี เ มื อ ง ร า ช ค ฤ ห แควนมคธ เปนบุตรของนางคณิกา
ชวี ก ๘๔ ชวี ก และมอบเสบยี งเดนิ ทางใหเ ลก็ นอ ย ชวี ก เนื้องอกในลําไสของบุตรเศรษฐีเมือง เดินทางกลับยังพระนครราชคฤห เมื่อ พาราณสี รักษาโรคผอมเหลอื งแดพ ระ เสบียงหมดในระหวางทาง ไดแวะหา เจาจัณฑปชโชตแหงกรุงอุชเชนี และ เสบียงทเ่ี มอื งสาเกต โดยไปอาสารกั ษา ถวายการรกั ษาแดพระพุทธเจา ในคราวที่ ภรรยาเศรษฐีเมืองน้ันซ่ึงเปนโรคปวด พระบาทหอพระโลหิตเนื่องจากเศษหิน ศรี ษะมา ๗ ป ไมม ใี ครรกั ษาหาย ภรรยา จากกอนศิลาที่พระเทวทัตกล้ิงลงมาจาก เศรษฐีหายโรคแลว ใหรางวัลมากมาย ภเู ขาเพอื่ หมายปลงพระชนมช พี หมอชวี กไดเ งนิ มา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ พรอมดวยทาสทาสีและรถมา เดินทาง หมอชีวกไดบรรลุธรรมเปนพระ กลบั ถงึ พระนครราชคฤห นาํ เงนิ และของ โสดาบนั และดว ยศรทั ธาในพระพทุ ธเจา รางวัลทั้งหมดไปถวายเจาชายอภัยเปน ปรารถนาจะไปเฝาวันละ ๒–๓ คร้ัง คาปฏิการคุณท่ีไดทรงเล้ียงตนมา เจา เห็นวาพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสราง ชายอภัยโปรดใหหมอชีวกเก็บรางวัลนั้น วัดถวายในอัมพวันคือสวนมะมวงของ ไวเปนของตนเอง ไมทรงรับเอา และ ตน เรยี กกนั วา ชวี กมั พวนั (อมั พวัน โปรดใหหมอชีวกสรางบานอยูในวังของ ของหมอชวี ก) เมอื่ พระเจา อชาตศตั รเู รมิ่ พระองค ตอ มาไมน าน เจา ชายอภยั นาํ นอมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็ หมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด เปนผูแนะนําใหเสดจ็ ไปเฝาพระพทุ ธเจา พระเจาพิมพสิ าร จอมชนแหง มคธทรง หายประชวรแลว จะพระราชทานเครอ่ื ง ดวยเหตุท่ีหมอชีวกเปนแพทย ประดบั ของสตรชี าววงั ๕๐๐ นางใหเ ปน ประจําคณะสงฆและเปนผูมีศรัทธาเอา รางวลั หมอชวี กไมร บั ขอใหท รงถอื วา ใจใสเ ก้ือกูลพระสงฆม าก จึงเปนเหตใุ ห เปน หนา ทขี่ องตนเทา นน้ั พระเจา พมิ พ-ิ มีคนมาบวชเพ่ืออาศัยวัดเปนท่ีรักษาตัว สารจงึ โปรดใหห มอชวี กเปน แพทยป ระจาํ จํานวนมาก จนหมอชีวกตองทูลเสนอ พระองค ประจาํ ฝายในท้ังหมด และ พระพุทธเจาใหทรงบัญญัติขอหามมิให ประจําพระภิกษุสงฆอันมีพระพุทธเจา รบั บวชคนเจบ็ ปว ยดว ยโรคบางชนดิ นอก เปนประมุข หมอชีวกไดรักษาโรคราย จากนั้น หมอชีวกไดกราบทูลเสนอให สาํ คญั หลายครงั้ เชน ผา ตดั รกั ษาโรคใน ทรงอนุญาตทจ่ี งกรมและเรือนไฟ เพือ่ สมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห ผาตัด เปนท่ีบริหารกายชวยรักษาสุขภาพของ ภิกษทุ ัง้ หลาย หมอชวี กไดร ับพระดํารัส ยกยองเปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสก
ชีวกโกมารภัจจ ๘๕ ชมุ นมุ เทวดา ผเู ล่อื มใสในบุคคล พระสงฆสวดพระปริตร, เรียกเต็มวา ชีวกโกมารภัจจ “ผูทพี่ ระราชกมุ ารเลยี้ ง “บทขัดชุมนมุ เทวดา” หมายถึงบทสวด ชื่อชีวก”; ดู ชวี ก ท่ีโบราณาจารยประพนั ธข ึน้ สาํ หรบั ให ชีวิต ความเปนอยู บคุ คลหนงึ่ (ธรรมเนยี มบดั นี้ ใหภ กิ ษรุ ปู ชีวติ สมสีสี ผูส้นิ กเิ ลสพรอ มกบั สนิ้ ชวี ิต, ทนี่ งั่ อนั ดบั ๓) สวดนาํ (เรยี กวา “ขดั นาํ ”) ผูไ ดบ รรลธุ รรมวิเศษแลว ก็ดับจติ พอดี กอนท่ีพระสงฆจะเร่ิมสวดพระปริตร มี ชวี ิตกั ษยั การสน้ิ ชีวติ , ตาย ขอความเปนคําเชิญชวนเทวดาทั่วทั้ง ชวี ติ นิ ทรีย อนิ ทรียคือชีวิต, สภาวะที่ หมดใหมาฟงธรรมอันมีในบาลีภาษิต เปนใหญในการตามรักษาสหชาตธรรม แหงพระปรติ รทจี่ ะสวดตอไปน้นั ดงั คํา ลงทา ยวา “ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า” (ธรรมที่เกิดรวมดวย) ดุจน้ําหลอเลี้ยง (ทา นผเู จรญิ ทง้ั หลาย นเี้ ปน เวลาทจ่ี ะฟง ธรรม) ดังนี:้ ดอกบัว เปน ตน มี ๒ ฝา ยคอื ๑. ก) สาํ หรบั เจด็ ตาํ นาน ชีวิตินทรียทเ่ี ปน ชีวติ รปู เปนอปุ าทายรปู “สรชฺชํ สเสนํ สพนฺธุ นรินทฺ ,ํ ปรติ ฺตานภุ าโว สทา รกขฺ ตูติ. อยา งหน่ึง (ขอท่ี ๑๓) เปน เจาการในการ ผริตฺวาน เมตฺตํ สเมตตฺ า ภทนตฺ า, อวกิ ขฺ ติ ตฺ จติ ตฺ า ปรติ ตฺ ํ ภณนตฺ .ุ รักษาหลอเล้ียงเหลากรรมชรูป (รูปที่ สคเฺ ค กาเม จ รูเป คิรสิ ิขรตเฏ จนฺตลกิ เฺ ข วิมาเน, เกิดแตก รรม) บางทเี รียก รปู ชวี ติ ินทรีย ทีเป รฏเ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวตฺถมุ หฺ ิ เขตเฺ ต, ๒. ชีวิตินทรียที่เปนเจตสิกเปนสัพพ- ภมุ ฺมา จายนฺตุ เทวา ชลถลวิสเม ยกขฺ คนธฺ พพฺ นาคา, ติฏ นตฺ า สนตฺ ิเก ยํ มุนิวรวจนํ สาธโว เม สณุ นตฺ ุ. จิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกทเ่ี กดิ กบั ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า, ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า, จติ ทกุ ดวง) อยา งหนงึ่ (ขอ ที่ ๖) เปนเจา ธมมฺ สฺสวนกาโล อยมภฺ ทนฺตา.” มีธรรมเนียมวา ถาเปนพระราชพิธี การในการรักษาหลอเลี้ยงนามธรรมคือ และสวดมนตใ นพระราชฐาน ใหข น้ึ ตน บทขดั ตง้ั แต “สรชฺชํ สเสนํ …” ถา เปน จิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก งานพธิ อี นื่ ใหเ รม่ิ ท่ี “ผรติ วฺ าน เมตฺตํ… อรปู ชวี ติ นิ ทรยี หรอื นามชวี ิตนิ ทรยี ชโี ว ผูเ ปน, ดวงชีพ ตรงกับ อาตมัน หรือ อตั ตา ของลทั ธพิ ราหมณ ชุณหปกข, ชุณหปกษ “ฝายขาว, ฝา ย สวา ง” หมายถงึ ขา งขน้ึ ; ศกุ ลปก ษ ก็ เรยี ก; ตรงขา มกบั กณั หปก ษหรอื กาฬปก ษ ชมุ นุมเทวดา กลา วคาํ เชญิ ชวนเทวดาให มาชุมนุมกันเพ่ือฟงธรรม ในโอกาสที่
ชงู วง ๘๖ เชื่อดายไป ข) สาํ หรบั สบิ สองตาํ นาน (มเี พม่ิ ๑ คาถา) มาปใู หเ ตม็ พน้ื ท่ี (เรอื่ งมาใน วนิ ย.๗/๒๕๖/๑๐๙) “สรชชฺ ํ สเสนํ สพนฺธุ นรินฺทํ, ตามเร่ืองวา เมื่อหมูเกวียนขนเงินมา ปริตฺตานภุ าโว สทา รกฺขตูต.ิ เท่ียวแรก เงินเหรียญปูยังไมเต็มพ้ืนท่ี ผริตวฺ าน เมตฺตํ สเมตตฺ า ภทนตฺ า, ขาดอยูตรงท่ีใกลซุมประตูหนอยเดียว อวิกขฺ ติ ตฺ จติ ฺตา ปรติ ฺตํ ภณนตฺ .ุ ขณะท่ีอนาถบิณฑิกคหบดีส่ังคนใหไป สมนตฺ า จกกฺ วาเฬสุ อตรฺ าคจฺฉนตฺ ุ เทวตา ขนเงินมาอีก เจา เชตเกิดความซาบซงึ้ ใน สทธฺ มมฺ ํ มนุ ริ าชสสฺ สุณนฺตุ สคคฺ โมกฺขทํ. ศรัทธาของทานอนาถบิณฑิก จึงขอมี สคเฺ ค กาเม จ รเู ป คริ สิ ิขรตเฏ จนฺตลกิ เฺ ข วิมาเน, สว นรว มในการสรา งวัดดวย โดยขอให ทีเป รฏเ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวตฺถุมฺหิ เขตเฺ ต, ทีต่ รงนัน้ เปน สวนท่ตี นถวาย ซึ่งอนาถ- ภุมมฺ า จายนฺตุ เทวา ชลถลวสิ เม ยกฺขคนฺธพฺพนาคา, บิณฑกิ คหบดกี ย็ นิ ยอม เจาเชตจงึ สรา ง ติฏ นตฺ า สนตฺ เิ ก ยํ มุนวิ รวจนํ สาธโว เม สณุ นตฺ ุ. ซมุ ประตูวดั ขน้ึ ตรงทน่ี นั้ , เชตวนั อนาถ- ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนฺตา, บิณฑิการามนี้ เปนวัดที่พระพุทธเจา ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมฺภทนตฺ า, ประทบั จาํ พรรษามากทส่ี ดุ รวมทงั้ หมด ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า.” ถงึ ๑๙ พรรษา คอื (อาจจะครง้ั แรกใน พรรษาที่ ๓) พรรษาท่ี ๑๔ และในชวง ดู ปริตร, ปรติ ต พรรษาที่ ๒๑–๔๔ ซึ่งประทับสลับไปมา ชงู วง ในประโยควา “เราจกั ไมชงู วงเขา ไปสูตระกลู ” ถอื ตัว ระหวางวัดพระเชตวัน กบั วัดบุพพาราม เชฏฐ-, เชษฐ- พ่ี ของวิสาขามหาอุบาสิกา, ดว ยเหตนุ ้ี การ เชฏฐา, เชษฐา พี่ชาย ทรงแสดงธรรม และทรงบัญญตั วิ ินัย จึง เชฏฐภคนิ ี พ่ีสาวคนโต เกดิ ขน้ึ ทว่ี ดั พระเชตวนั นม้ี าก โดยเฉพาะ เชฏฐมาส เดอื น ๗ สิกขาบทของภิกษุณี ทรงบัญญัติท่ีวัด เชตวัน “สวนเจา เชต” ชอ่ื วดั สําคัญซง่ึ พระเชตวันแทบทัง้ นนั้ ; ดู อนาถบิณฑกิ , อนาถบิณฑิกเศรษฐีสรางถวายแดพระ คนั ธกุฎี,มหาคนั ธกฎุ ี พุทธเจา อุทศิ สงฆจ ากจาตรุ ทิศ ทเี่ มือง เชาวน ความนึกคดิ ทแี่ ลนไป, ความเรว็ สาวัตถี เมอื งหลวงของแควน โกศล (คง ของปญ ญาหรอื ความคิด, ไหวพรบิ จะสรา งในพรรษาที่ ๓ แหง พทุ ธกิจ) โดย เชื่อดายไป เชอ่ื เร่อื ยไป, เชือ่ ดะไปโดยไม ซ้ือท่ีดินอุทยานของเจาเชต (เชตราช- นึกถงึ เหตุผล กมุ าร) ดวยวิธเี อาเกวยี นขนเงนิ เหรยี ญ
ซดั ไปประหาร ๘๗ ญตั ติ ซ ซัดไปประหาร ฆาหรือทํารายโดยยิง ดว ยศิลา เปนตน ดว ยศรหรือดวยปน พงุ ดวยหอก ขวา ง ฌ ฌาน การเพงอารมณจนใจแนวแนเปน ฌาน, ปญ จกัชฌาน อปั ปนาสมาธ,ิ ภาวะจติ สงบประณตี ซง่ึ มี ฌานจตกุ กนยั ฌานแบบทจ่ี ดั เปน หมวด สมาธเิ ปน องคธ รรมหลกั ; ฌาน ๔ คอื ๑. ๔ คือเปน ฌาน ๔, บางทีเรียกวาแบบ ปฐมฌาน มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ พระสตู ร คือตามสุตตันตเทศนา, มัก เอกคั คตา) ๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๓ (ปต ิ เรียกวา “จตุกกัชฌาน”; ดู ฌาน ๔ สขุ เอกคั คตา) ๓. ตตยิ ฌาน มอี งค ๒ ฌานปญจกนัย ฌานแบบที่จัดเปน (สขุ เอกคั คตา) ๔. จตตุ ถฌาน มอี งค ๒ หมวด ๕ คอื เปน ฌาน ๕, บางทเี รยี กวา (อเุ บกขา เอกคั คตา); ฌาน ๕ กเ็ หมอื น แบบอภธิ รรม, มกั เรียกวา “ปญ จกชั - อยา ง ฌาน ๔ นนั่ เอง แตต ามแบบ ฌาน”; ดู ฌาน ๕ อภธิ รรม ทา นซอยละเอยี ดออกไป โดย ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ ปรชี ากาํ หนดรู เพม่ิ ขอ ๒ แทรกเขา มา คอื ๑. ปฐมฌาน ความเศรา หมอง ความผอ งแผว และการ มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ เอกคั คตา) ออกแหง ฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบตั ิ ๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๔ (วจิ าร ปต ิ สขุ ตามความเปน จรงิ (ขอ ๗ ในทศพลญาณ) เอกคั คตา) ขอ ๓, ๔, ๕ ตรงกบั ขอ ๒, ฌาปนกิจ กิจเผาศพ, การเผาศพ ๓, ๔ ในฌาน ๔ ตามลาํ ดบั ; ดู จตุกกชั - ญ ญัตติ คําเผดียงสงฆ, การประกาศให สงฆทราบเพอื่ ทํากจิ รวมกัน, วาจานัด
ญัตติกรรม ๘๘ ญาณ ๑๖ ญตั ตกิ รรม กรรมอนั กระทาํ ดว ยตงั้ ญตั ติ ญาณ ญาณในสว นอดตี ๒. อนาคตงั ส- ไมตองสวดอนุสาวนา คือประกาศให ญาณ ญาณในสว นอนาคต ๓. ปจจุป- สงฆทราบ เพอื่ ทาํ กจิ รว มกนั เรยี กวา ปนนงั สญาณ ญาณในสว นปจ จุบัน; อีก เผดยี งสงฆอ ยา งเดยี ว ไมต อ งขอมติ เชน หมวดหนงึ่ ไดแ ก ๑. สัจจญาณ หย่งั รู อริยสัจจแ ตล ะอยา ง ๒. กิจจญาณ หยง่ั อโุ บสถ และ ปวารณา เปน ตน ญัตติจตุตถกรรม กรรมมีญัตติเปนทส่ี ี่ รูกจิ ในอรยิ สัจจ ๓. กตญาณ หย่งั รูกจิ ไดแ กส งั ฆกรรมทส่ี าํ คญั มกี ารอปุ สมบท อันไดทําแลวในอริยสัจจ; อีกหมวด เปนตน ซึ่งเมือ่ ตงั้ ญัตติแลว ตอ งสวด หนึง่ ไดแ ก วชิ ชา ๓ อนสุ าวนา คาํ ประกาศขอมติ ถงึ ๓ หน ญาณ ๑๖ ญาณท่ีเกิดแกผูบําเพ็ญ เพื่อสงฆคือที่ชุมนุมน้ันจะไดมีเวลา วิปสสนาโดยลําดับ ต้ังแตตน จนถึงจดุ พจิ ารณาหลายเทย่ี ว วา จะอนมุ ตั หิ รอื ไม หมายคือมรรคผลนิพพาน ๑๖ อยาง, ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การ ญาณ ๑๖ น้ี มใิ ชเปนหมวดธรรมทีม่ า อุปสมบทดว ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรม ไดแ ก ครบชุดในพระบาลเี ดมิ โดยตรง แตพ ระ วิธีอุปสมบทที่พระสงฆเปนผูกระทํา อาจารยปางกอนไดประมวลจากคัมภีร อยางที่ใชอยูในปจจุบัน โดยภิกษุ ปฏิสมั ภทิ ามัคค และวสิ ุทธิมคั ค แลว ประชุมครบองคกําหนด ในเขตชุมนุม สอนสบื กนั มา บางทีเรยี กใหเ ปนชอื่ ชุด ซง่ึ เรียกวาสีมา กลาววาจาประกาศเรอ่ื ง เลยี นคาํ บาลวี า “โสฬสญาณ” หรอื เรยี ก ความท่ีจะรับคนน้ันเขาหมู และไดรับ ก่งึ ไทยวา “ญาณโสฬส”, ทงั้ น้ี ทา นตง้ั ความยินยอมของภิกษุท้ังปวงผูเขา วปิ ส สนาญาณ ๙ เปน หลักอยูตรงกลาง ประชุมเปนสงฆนั้น; พระราธะเปน แลวเติมญาณขั้นตนๆ ท่ียังไมจัดเปน บุคคลแรกท่ีไดร ับอุปสมบทอยางนี้ วิปสสนาญาณ เพิ่มเขากอนขางหนา ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม กรรมมญี ตั ตเิ ปน ทส่ี อง และเติมญาณข้ันสูงท่ีเลยวิปสสนาญาณ หรอื กรรมมวี าจาครบ ๒ ทงั้ ญตั ต,ิ กรรม ไปแลว เขามาตอทายดวย ใหเห็น อนั ทาํ ดว ยตงั้ ญตั ตแิ ลว สวดอนสุ าวนาหน กระบวนการปฏิบัติตลอดแตตนจนจบ เดยี ว เชน การสมมตสิ มี า การสงั คายนา จึงเปนความปรารถนาดีท่ีเก้ือกูลแกการ และการมอบใหผ ากฐิน เปน ตน ศกึ ษาไมน อ ย, ญาณ ๑๖ นน้ั ดงั นี้ (ใน ญาณ ความร,ู ปรชี าหยงั่ ร,ู ปรชี ากาํ หนดร;ู ทนี่ ้ี จัดแยกใหเ หน็ เปน ๓ ชวง เพ่ือ ญาณ ๓ หมวดหนงึ่ ไดแ ก ๑. อตตี งั ส- ความสะดวกในการศึกษา) คือ
ญาณ ๑๖ ๘๙ ญาณ ๑๖ ก) กอนวิปสสนาญาณ: ๑. นามรูป- เวกขณญาณ ญาณท่ีพิจารณาทบทวน ปรจิ เฉทญาณ ญาณกาํ หนดแยกนามรปู อนงึ่ คมั ภรี อ ภธิ มั มตั ถสงั คหะ ถอื ตา ง (นามรูปปริคคหญาณ หรอื สงั ขารปรจิ - จากทก่ี ลา วมานบ้ี า ง โดยจดั ญาณท่ี ๓ เฉทญาณ กเ็ รยี ก) ๒. (นามรปู )ปจ จยั - ปรคิ คหญาณ ญาณกําหนดจบั ปจจัยแหง (สมั มสนญาณ) เปน วปิ สสนาญาณดวย นามรูป (บางทเี รยี ก กงั ขาวติ รณญาณ จงึ เปน วปิ ส สนาญาณ ๑๐ อกี ทงั้ เรยี กชอื่ หรอื ธมั มฏั ฐ ติ ญิ าณ) ๓. สัมมสนญาณ ญาณหลายขอ ใหส้นั ลง เปน ๔.อทุ ยัพ- ญาณพิจารณานามรปู โดยไตรลกั ษณ ข) วปิ สสนาญาณ ๙: ๔. อทุ ยพั พยา- พยญาณ ๕.ภังคญาณ ๖.ภยญาณ ๗. นปุ ส สนาญาณ ญาณตามเห็นความเกดิ และความดับแหงนามรูป ๕. ภังคานุ- อาทีนวญาณ ๘.นิพพทิ าญาณ ๑๐.ปฏิ- ปสสนาญาณ ญาณตามเห็นจําเพาะ ความดับเดนขึ้นมา ๖. ภยตูปฏฐาน- สังขาญาณ ๑๒.อนุโลมญาณ (นอกน้ัน ญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏ เปน ของนากลัว ๗. อาทนี วานปุ ส สนา- เหมอื นกัน) ทัง้ นี้ พงึ ทราบเพือ่ ไมส บั สน ญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็ โทษ ๘. นพิ พทิ าน-ุ ปส สนาญาณ ญาณคํานึงเห็นดวยความ มขี อพงึ ทราบพเิ ศษวา เม่ือผูป ฏิบตั ิ หนา ย ๙. มุญจิตกุ ัมยตาญาณ ญาณหยั่ง รอู นั ใหใ ครจะพนไปเสยี ๑๐. ปฏสิ งั ขาน-ุ กาวหนามาจนเกิดวิปสสนาญาณขอแรก ปส สนาญาณ ญาณอนั พจิ ารณาทบทวน คืออุทยัพพยานุปสสนาญาณ ชื่อวาได เพื่อจะหาทาง ๑๑. สงั ขารุเปกขาญาณ ตรณุ วปิ สสนา (วิปสสนาออ นๆ) และ ในตอนน้ี วิปสสนปู กเิ ลสจะเกดิ ขึ้น ชวน ญาณอันเปนไปโดยความเปนกลางตอ สงั ขาร ๑๒. สัจจานุโลมกิ ญาณ ญาณ ใหสําคัญผดิ วาถึงจุดหมาย แตเ ม่อื รเู ทา เปน ไปโดยควรแกการหยงั่ รูอ รยิ สัจจ ทนั กาํ หนดแยกไดวาอะไรเปนทางอะไร ค) เหนอื วปิ ส สนาญาณ: ๑๓.โคตรภญู าณ มใิ ชทาง กจ็ ะผานพน ไปได อทุ ยัพพย- ญาณครอบโคตร คอื หวั ตอ ทข่ี า มพน ภาวะ ปถุ ชุ น ๑๔. มัคคญาณ ญาณในอรยิ มรรค ญาณน้ันก็จะพัฒนาเปนมัคคามัคค- ๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล ๑๖. ปจจ- ญาณ เขาถึงวิสุทธิคือความบริสุทธิ์ที่ สาํ คัญข้นั หน่ึง เรยี กวา มคั คามคั คญาณ- ทสั สนวสิ ทุ ธิ (วสิ ทุ ธขิ อ ที่ ๕), อทุ ยพั พย- ญาณทก่ี า วมาถงึ ตอนน้ี คอื เปน วปิ ส สนา- ญาณท่ีเดินถูกทาง ผานพนวิปสสนูป- กิเลสมาไดแลว ไดชื่อวาเปนพลว- วปิ ส สนา (วิปสสนาทม่ี กี ําลัง หรอื แข็ง กลา ) ซง่ึ จะเดนิ หนา พฒั นาเปน วปิ ส สนา- ญาณท่ีสูงข้นึ ตอๆ ไป
ญาณจรติ ๙๐ ญาติ บางทีทานกลาวถึงตรุณวิปสสนา ญาณทศั นะ ไดแ กญ าณในอรยิ มรรค ๔; และพลววปิ ส สนา โดยแยกเปนชวงซ่ึง ดู วสิ ทุ ธิ กําหนดดวยญาณตางๆ คือ ระบุวา ญาณวิปปยุต ปราศจากญาณ, ไม (ชว งของ) ญาณ ๔ คอื สงั ขารปรจิ เฉท- ประกอบดวยปญญา, ปราศจากปรีชา ญาณ กังขาวติ รณญาณ สมั มสนญาณ หย่งั ร,ู ขาดความรู และมัคคามัคคญาณ เปนตรุณ- ญาณสังวร สํารวมดว ยญาณ (ขอ ๓ ใน วิปส สนา และ (ชวงของ) ญาณ ๔ คอื สงั วร ๕) ภยตปู ฏ ฐ านญาณ อาทนี วญาณ มญุ จติ -ุ ญาตปริญญา กําหนดรูข้ันรูจัก คือ กัมยตาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ กําหนดรูส่ิงน้ันๆ ตามลักษณะท่ีเปน เปนพลววปิ ส สนา สภาวะของมันเอง พอใหแยกออกจาก ในญาณ ๑๖ น้ี ขอ ๑๔ และ ๑๕ สง่ิ อน่ื ๆ ได เชน รูว า นค้ี ือเวทนา (มคั คญาณ และผลญาณ) เทา นน้ั เปน เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ ดังนี้ โลกตุ ตรญาณ อกี ๑๔ อยา งนอกนนั้ เปน เปนตน (ขอ ๑ ในปรญิ ญา ๓) โลกยี ญาณ; ดูวปิ ส สนาญาณ๙, วสิ ทุ ธิ๗ ญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพ่ือ ญาณจรติ คนทีม่ ีพนื้ นสิ ยั หนักในความรู ประโยชนแกพระญาติ, ทรงประพฤติ มกั ใชค วามคดิ พงึ สงเสรมิ ดว ย แนะนํา ประโยชนแ กพ ระประยรู ญาติ เชน ทรง ใหใชค วามคิดในทางท่ชี อบ (เปน อีกชือ่ อนุญาตใหพระญาติที่เปนเดียรถียเขา หน่ึงของพทุ ธิจริต) มาอปุ สมบทในพระพุทธศาสนา ไมตอง ญาณทัศนะ, ญาณทสั สนะ การเหน็ อยตู ิตถิยปรวิ าส ๔ เดือนกอน เหมือน กลาวคือการหย่งั ร,ู การเหน็ ทีเ่ ปน ญาณ เดยี รถยี อ นื่ และเสดจ็ ไปหา มพระญาตทิ ่ี หรอื เหน็ ดว ยญาณ อยา งตาํ่ สดุ หมายถงึ ววิ าทกนั ดว ยเรอ่ื งนาํ้ เปน ตน ; ดู พทุ ธจรยิ า วิปสสนาญาณ นอกนั้นในท่ีหลายแหง ญาติ พีน่ อ งทีย่ ังนบั รกู นั ได, ผูรว มสาย หมายถงึ ทพิ พจกั ขุญาณ บา ง มรรค โลหิตกันทางบิดาหรือมารดา, ในฎีกา ญาณ บาง และในบางกรณี หมายถึง วินัย ทานนบั ๗ ช้ัน ทั้งขา งบนและขา ง ผลญาณ บา ง ปจจเวกขณญาณ บา ง ลา ง แตตามปกติจะไมพ บมากหลายชั้น สพั พญั ตุ ญาณ บาง กม็ ี ทัง้ นี้สดุ แต อยางนน้ั ปจ จุบนั ทานใหนับญาติ ๗ ชั้น ขอความแวดลอ มในที่นน้ั ๆ หรือ ๗ ชัว่ คน คอื นับทางมารดากด็ ี ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง ทางบดิ าก็ดี ชนั้ ตนเองเปน ๑ ขา งบน ๓
ญาติพลี ๙๑ ฐานานุกรม (ถงึ ทวด) ขา งลาง ๓ (ถงึ เหลน), เขย ธรรม, ความยุตธิ รรม, สง่ิ ทสี่ มเหตุผล, และสะใภ ไมนับเปนญาติ ทางที่ถกู , วิธีการทถ่ี ูกตอ ง, ขอ ปฏิบัติที่ ญาติพลี สงเคราะหญาติ, ชวยเหลือ ถูกตอ ง หมายถึง อรยิ อัฏฐังคิกมรรค, เก้อื กลู ญาติ, การจัดสรรสละรายไดหรือ ภาวะอันจะลุถึงไดดวยขอปฏิบัติท่ีถูก ทรัพยสวนหน่ึงเปนทุนสําหรับการชวย ตอง ไดแ ก นพิ พาน เหลือเก้ือกูลญาติพี่นอง, การใชรายได ายปฏิปนโฺ น (พระสงฆ) เปน ผปู ฏบิ ัติ หรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือเอื้อเฟอเกื้อกูล ถูกทาง หรอื ปฏิบตั ิเปนธรรม คือปฏิบัติ กนั ในดานการสงเคราะหญ าติ (ขอ ๑ ใน ปฏิปทาที่จะใหเกิดความรู หรือปฏิบัติ พลี ๕ อยางแหง โภคอาทิยะ ๕) เพอ่ื ไดความรธู รรม ปฏบิ ตั ิเพ่ือออกจาก ญาติสาโลหิต พี่นองรวมสายโลหิต ทกุ ข อกี นยั หน่งึ วา ปฏิบัตมิ ุง ธรรมเปน (ญาติ = พ่ีนองที่ยังนับรูกันได, ใหญ ถือความถูกตองเปน ประมาณ (ขอ สาโลหิต = ผรู วมสายเลอื ดคอื ญาติที่ ๓ ในสังฆคณุ ๙) ไญยธรรม ธรรมอนั ควรร,ู สงิ่ ที่ควรรู สืบสกลุ มาโดยตรง) ญายะ, ญายธรรม ความถูกตองชอบ ควรเขา ใจ; เญยธรรม กเ็ ขยี น ฎ ฎกี า 1. ปกรณท พ่ี ระอาจารยทง้ั หลายใน อรรถกถา; ดู อรรถกถา 2. หนงั สอื ภายหลัง แตงแกหรืออธิบายเพิ่มเติม นมิ นตพ ระสงฆ 3. ใบบอกบุญเร่ียไร ฐ ฐานะ 1. เหตุ, อยาง, ประการ, ทตี่ งั้ , (ขอ ๑ ในทสพลญาณ ๑๐) ตําแหนง, โอกาส, ความเปนไปได ฐานานุกรม ลําดับตําแหนงยศท่ีพระ ฐานาฐานญาณ ปรีชากาํ หนดรฐู านะ คอื ภิกษุผูไดรับพระราชทานสมณศักด์ิแลว สง่ิ ที่เปนไปได เชนทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชั่วไดช ัว่ มีอํานาจตั้งใหแกพระภิกษุชั้นผูนอย เปน ตน และอฐานะ คอื สง่ิ ที่เปนไปไม ตามทาํ เนียบ เชน พระปลดั พระสมุห ไดเชน ทําดไี ดชว่ั ทาํ ชว่ั ไดดี เปนตน พระใบฎกี า เปนตน
ฐานานรุ ปู ๙๒ ดาวนกั ษตั ร ฐานานรุ ูป สมควรแกต ําแหนง , สมควร แกเหตทุ ่ีจะเปน ได ด ดน เยบ็ ผา ใหติดกนั เปน ตะเข็บโดยฝเข็ม สรางสะพาน ขุดบอนํ้า ปลูกสวนปา ดนตรี ลาํ ดบั เสยี งอันไพเราะ สรางศาลาทพ่ี กั คนเดินทาง ใหแ กช ุมชน ดวงตาเหน็ ธรรม แปลจากคาํ วา ธรรมจกั ษุ และทําทาน ชวนชาวบานตั้งอยูในศีล หมายถึงความรูเห็นตามเปนจริงดวย และทําความดีท้ังหลาย เฉพาะอยา งยิ่ง ปญญาวา ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมีความเกิดข้ึน ตัวมฆมาณพเองยังรกั ษาขอ ปฏบิ ตั พิ เิ ศษ เปนธรรมดา สิ่งน้ันทั้งหมดมีความดับ ทเ่ี รยี กวา วตั รบท๗ อกี ดว ย ครน้ั ตายไป เปน ธรรมดา; ดู ธรรมจกั ษุ ทงั้ ๓๓ คน กไ็ ดเ กดิ ในสวรรคที่เรียกชอื่ ดับไมมีเช้ือเหลือ ดับหมด คือดับทง้ั วาดาวดงึ สน ี้ โดยมฆมาณพไดเปนทาว กิเลสทง้ั ขันธ (= อนุปาทิเสสนพิ าน) สักกะ คือพระอินทร ดังทพี่ ระอนิ ทรน น้ั ดาบส ผบู าํ เพ็ญตบะ, ผูเ ผากเิ ลส มพี ระนามหนึ่งวา “มฆวา” (ในภาษาไทย ดาวเคราะห ดู ดาวพระเคราะห เขียน มฆวนั มัฆวา หรือมัฆวาน); ดู ดาวดึงส สวรรคชั้นท่ี ๒ แหง สวรรค ๖ ชัน้ วตั รบท ๗ มีจอมเทพผูปกครองช่ือทาวสักกะ ซ่ึง ดาวนักษตั ร ดาว, ดาวฤกษ, มี ๒๗ หมู โดยท่วั ไปเรียกกนั วาพระอนิ ทร, อรรถ- คอื ๑. อศั วินี (ดาวมา) มี ๗ ดวง ๒. กถาอธบิ ายความหมายของ “ดาวดงึ ส” วา ภรณี (ดาวกอ นเสา) มี ๓ ดวง ๓. คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผทู าํ บญุ รว มกัน กฤตกิ า (ดาวลกู ไก) มี ๘ ดวง ๔. ไดอุบัต”ิ (จาํ นวน ๓๓ บาลีวา เตตฺตึส, โรหิณี (ดาวคางหมู) มี ๗ ดวง ๕. เขียนตามรูปสันสกฤต เปน ตรยั ตรงึ ศ มฤคศริ ะ (ดาวหวั เน้ือ) มี ๓ ดวง ๖. หรอื เพย้ี นเปน ไตรตรงึ ษ ซงึ่ ในภาษา อารทรา (ดาวตาสําเภา) มี ๑ ดวง ๗. ไทยกใ็ ชเ ปน คาํ เรยี กดาวดงึ สน ดี้ ว ย) ดงั ปนุ ัพสุ (ดาวสาํ เภาทอง) มี ๓ ดวง ๘. มีตํานานวา ครง้ั หนงึ่ ที่มจลคาม ใน บษุ ยะ (ดาวสมอสําเภา) มี ๕ ดวง ๙. มคธรัฐ มีนักบําเพ็ญประโยชนคณะ อาศเลษา (ดาวเรือน) มี ๕ ดวง ๑๐. หนึง่ จํานวน ๓๓ คน นาํ โดยมฆมาณพ มฆา (ดาวงผู ู) มี ๕ ดวง ๑๑. บรุ พ- ไดรว มกันทาํ บุญตางๆ เชน ทําถนน ผลคณุ ี (ดาวงเู มยี ) มี ๒ ดวง ๑๒. อตุ ร-
ดาวพระเคราะห ๙๓ ดริ ัจฉานวิชา ผลคณุ ี (ดาวเพดาน) มี ๒ ดวง ๑๓. ดาวฤกษ ดู ดาวนักษัตร หสั ตะ (ดาวศอกคู) มี ๕ ดวง ๑๔. ดาํ ริ คดิ , ตริตรอง จิตรา (ดาวตาจระเข) มี ๑ ดวง ๑๕. ดํารชิ อบ ดาํ ริออกจากกาม ดํารใิ นอนั ไม สวาติ (ดาวชางพัง) มี ๕ ดวง ๑๖. พยาบาท ดําริในอันไมเบยี ดเบยี น; ดู วิศาขา (ดาวคันฉัตร) มี ๕ ดวง ๑๗. สัมมาสังกัปปะ อนุราธา (ดาวประจาํ ฉตั ร) มี ๔ ดวง ดําฤษณา ความอยาก, ความด้ินรน, ๑๘. เชษฐา (ดาวชางใหญ) มี ๑๔ ดวง ความปรารถนา, ความเสนหา (แผลงมา ๑๙. มลู า (ดาวชา งนอ ย) มี ๙ ดวง ๒๐. จากคาํ สนั สกฤตวา ตฤษณา ตรงกับคํา บรุ พาษาฒ (ดาวสัปคบั ชา ง) มี ๓ ดวง ท่ีมาจากบาลวี า ตัณหา) ๒๑. อุตราษาฒ (ดาวแตรงอน) มี ๕ ดิถี วนั ตามจันทรคติ ใชว า ค่ําหนึง่ สอง ดวง ๒๒. ศรวณะ (ดาวหลกั ชยั ) มี ๓ คํ่า เปนตน ดวง ๒๓. ธนิษฐา (ดาวไซ) มี ๔ ดวง ดิถเี พญ็ ดถิ ีมีพระจันทรเ ตม็ ดวง, วนั ขึน้ ๒๔. ศตภิษชั (ดาวพิมพทอง) มี ๔ ดวง ๑๕ คํา่ ๒๕. บุรพภัทรบท (ดาวหัวเน้อื ทราย) มี ดิรัจฉาน สัตวมีรางกายเจริญโดยขวาง, ๒ ดวง ๒๖. อตุ รภทั รบท (ดาวไมเทา ) สัตวเวนจากมนษุ ย; เดยี รจั ฉาน กใ็ ช มี ๒ ดวง ๒๗. เรวดี (ดาวปลา ดริ ัจฉานกถา ดู ติรัจฉานกถา ดิรัจฉานวิชา ความรูท่ีขวางตอทางพระ ตะเพียน) มี ๑๖ ดวง ดาวพระเคราะห ในทางโหราศาสตร นพิ พาน เชน รใู นการทาํ เสนห รเู วทมนตร หมายถงึ ดาวทงั้ ๙ ทเ่ี รยี กวา นพเคราะห ทจี่ ะทาํ ใหค นถงึ วบิ ตั ิ เปน หมอผี หมอดู คอื อาทติ ย จันทร องั คาร พธุ เสาร หมองู หมอยา ทาํ พธิ บี วงสรวง บนบาน พฤหัสบดี ราหู ศุกร เกตุ; แตในทาง แกบ น เปน ตน เมอื่ เรยี นหรอื ใชป ฏบิ ตั ิ ดาราศาสตรเรียก ดาวเคราะห หมายถึง ตนเองกห็ ลงเพลนิ หมกมนุ และสว นมาก ดาวทไ่ี มมแี สงสวา งในตัวเอง ตอ งไดรบั ทําใหผูคนลุมหลงงมงาย ไมเปนอัน แสงสวางจากดวงอาทิตยแ ละเปนบรวิ าร ปฏิบัติกิจหนาท่ีหรือประกอบการตาม โคจรรอบดวงอาทิตยม ี ๙ ดวง คือ พุธ เหตผุ ล โดยเฉพาะตวั พระภกิ ษกุ จ็ ะขวาง ศกุ ร โลก อังคาร พฤหัสดี เสาร มฤตยู ก้ันขัดถวงตนเองใหไมม กี าํ ลงั และเวลาที่ (ยเู รนสั ) เกตหุ รือพระสมทุ ร (เนปจูน) จะบาํ เพ็ญสมณธรรม, การงดเวนจาก พระยม (พลโู ต) การเลี้ยงชีพดวยดิรัจฉานวิชา เปนศีล
ดกึ ดาํ บรรพ ๙๔ เดน ของพระภิกษุตามหลักมหาศีล (ที.สี.๙/ ราชสหี ก ิน, พยัคฆวิฆาส-เดนเสอื โครง กนิ , โกกวิฆาส-เดนสนุ ขั ปา กนิ เปนตน ) ๑๙–๒๕/๑๑–๑๕), ศีลนี้สําเร็จดวยการ จะใหอนุปสัมบันตมยางทอดแกงแลว ฉนั กไ็ ด ไมเปนอาบตั ิ (วนิ ย.๑/๑๓๗/๑๐๙), ปฏบิ ตั ติ ามสกิ ขาบทในพระวนิ ยั ปฎ กขอ ที่ มสี กิ ขาบทหา มภกิ ษณุ ี มใิ หเ ท หรอื สงั่ ให เทอจุ จาระ ปส สาวะ หยากเยือ่ หรือของ กาํ หนดแกภ กิ ษทุ ง้ั หลาย มใิ หเ รยี น มใิ ห เปน เดน ออกไปนอกฝาหรอื นอกกาํ แพง (วินย.๓/๑๗๕/๑๐๖, และ ๓/๑๗๘/๑๐๘ มิใหเ ท สอนดริ จั ฉานวชิ า (วนิ ย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) และ ของเหลานี้ลงไปบนพชื พันธขุ องสดเขยี ว ท่ีชาวบานปลูกไว, ทั้งนี้ ภิกษุก็ตอง แกภ กิ ษณุ ที ง้ั หลายเชน เดยี วกนั (วนิ ย.๓/ ปฏบิ ตั ติ ามดว ยเชน กัน), มีสกิ ขาบทหา ม ๓๒๒/๑๗๗;๓๒๕/๑๗๘); ดูจฬู มชั ฌมิ มหาศลี ภกิ ษมุ ใิ หเอาเศษอาหาร กา ง หรือนํ้าเดน ดึกดําบรรพ ครงั้ เกากอ น, ครัง้ โบราณ ใสบาตรออกไปท้ิง แตใหใชกระโถน ดษุ ณภี าพ ความเปน ผนู ิง่ (วินย.๗/๕๔/๒๒; และตาม วินย.๒/๘๕๖/๕๕๗ ดสุ ติ สวรรคช น้ั ที่ ๔ แหง สวรรค ๖ ชน้ั มี ซ่งึ มใิ หภ ิกษุเทนาํ้ ลา งบาตร ทย่ี งั มีเมลด็ ทา วสนั ดสุ ติ เทวราชปกครอง สวรรคช นั้ นี้ ขาวลงในละแวกบาน หนังสือวินัยมุข เลม ๒ วา “ของเปนเดนกเ็ หมอื นกัน”) เปน ทสี่ ถติ ของพระโพธสิ ตั วก อ นจตุ ลิ งมา ๒. ตรงกบั คําบาลวี า “อตริ ติ ฺต” ซึง่ มี รากศัพทเดียวกับอติเรก หรืออดิเรก สมู นษุ ยโลกและตรสั รใู นพระชาตสิ ดุ ทา ย แปลวา สวนเกิน เหลอื เฟอ เกินใช หรอื ดูกร, ดูกอ น คําเอย เรียกใหเ ตรียมตัวฟง เกินตองการ หมายถงึ ของเหลอื ซง่ึ เกนิ ความท่ีจะพดู ตอ ไป, “แนะ ” หรือ “ดูรา” จากทต่ี อ งการ เชน ในคาํ “คลิ านาติรติ ตฺ ” ทแ่ี ปลวา “เดนภกิ ษไุ ข” ก็คือ ของเกนิ ฉัน กใ็ ชบาง หรือเกินความตองการของพระอาพาธ เดน ของเศษของเหลอื ทไี่ มตองการ, ของ ท้งั นี้ พึงเขาใจตามความในพระบาลี ดัง เหลอื อนั เกนิ จากทีต่ อ งการ; “เดน” ตาม เร่ืองวา ภิกษุทั้งหลายนําบิณฑบาตอัน ประณตี ไปถวายพวกภกิ ษุอาพาธ ภกิ ษุ ทีเ่ ขา ใจกันในภาษาไทยปจ จบุ นั มีความ อาพาธฉนั ไมไดด ังใจประสงค ภกิ ษุท้งั หมายไมสูตรงกับที่ใชในทางพระวินัย อยางนอย ในภาษาไทย มักใชแ ตในแง ท่ีพวงมากับความรูสึกเชิงวาตํ่าทราม หรอื นารังเกยี จ, “เดน” ที่ใชก ันมาในทาง พระวนิ ยั พึงแยกวา เปน คาํ แปลของคาํ บาลี ๒ อยา ง คอื ๑. ตรงกบั คาํ บาลวี า “วิฆาส” หรือ “อจุ ฉิฏ” หมายถึงของ เศษของเหลอื จากท่ีกินท่ีใช เชน ภิกษุ พบเนื้อเดนที่สัตวกิน (สีหวิฆาส-เดน
เดาะ ๙๕ ไดร ับสมมติ หลายจึงท้งิ บิณฑบาตเหลานัน้ เสยี พระ เดาะ (ในคําวา “การเดาะกฐนิ ”) เสยี หาย ผูมีพระภาคทรงสดับเสียงนกการอง คอื กฐินใชไ มได หมดประโยชน หมด เซง็ แซ จงึ รับสง่ั ถามพระอานนท เมอ่ื อานิสงส ออกมาจากคาํ วา อพุ ฺภาโร, ทรงทราบความตามท่ีพระอานนทกราบ อทุ ฺธาโร แปลวา “ยกขึน้ หรือร้อื ” เขา ทูลแลว ไดทรงอนุญาตใหฉนั อาหารอนั กบั ศพั ท กฐิน แปลวา “ร้อื ไมสะดึง” คือ เปนเดน (อติริตต) ของภิกษุอาพาธ หมดโอกาสไดประโยชนจ ากกฐนิ และของภิกษุซ่ึงมิใชผูอาพาธได แต เดียงสา รูความควรและไมค วร, รคู วาม (สาํ หรบั อยา งหลงั ) พงึ ทาํ ใหเ ปน เดน โดย เปนไปบริบูรณแลว , เขาใจความ บอกวา “ทั้งหมดนนั่ พอแลว” และทรง เดียรฉาน, เดียรัจฉาน สัตวอ่ืนจาก บัญญัติสิกขาบทวา (วินย.๒/๕๐๐/๓๒๘) มนษุ ย, สตั วผ มู รี า งกายเจรญิ ขวางออกไป “ภิกษุใดฉันเสร็จแลว หามภัตแลว คอื ไมเ จรญิ ตง้ั ขน้ึ ไปเหมอื นคนหรอื ตน ไม เคี้ยวกด็ ี ฉันก็ดี ซ่ึงของเค้ยี วกด็ ี ซึง่ ของ เดียรถีย นักบวชภายนอกพระพุทธ- ฉันกด็ ี อันมิใชเ ดน เปนปาจติ ตยี ” , ทีว่ า ศาสนา เดน หรอื เกินฉนั ก็คอื ๒ อยา ง ไดแ ก เดือน ดวงจันทร, สวนของป คือปหนึง่ มี เดนของภกิ ษอุ าพาธ และเดนของภกิ ษุ ๑๒ เดือนบาง ๑๓ เดอื นบาง (อยาง ไมอ าพาธ ดงั กลา วแลว แตเ ดนชนดิ หลงั จันทรคต)ิ ; การทน่ี ับเวลาเปน เดือนและ คืออติริตตของภิกษุซ่ึงมิใชผูอาพาธนั้น เรียกเวลาที่นับนั้นวาเดือนก็เพราะ จะตองทาํ ใหถ กู ตอ งใน ๗ ประการ คือ กาํ หนดเอาขางข้ึนขางแรมของเดือน คอื ไดทําใหเปนกัปปยะแลว, ภิกษุรับ ดวงจันทรเปนหลักมาตั้งแตเดิม ดูช่ือ ประเคนแลว, ยกขน้ึ สง ให, ทาํ ในหัตถ- เดือนท่ี มาตรา บาส, เธอฉันแลวจึงทาํ , เธอฉันเสรจ็ โดยชอบ ในประโยควา “เปนผูต รัสรูเอง หา มภตั แลว ยงั มไิ ดล กุ จากอาสนะ กท็ าํ , โดยชอบ” ความตรสั รนู ้นั ชอบ ถกู ตอ ง และเธอกลา ววา “ทงั้ หมดนน่ั พอแลว ”, ครบถวนสมบูรณ ไมว ิปรติ ใหส าํ เร็จ บางทที านตัดเปน ๕ ขอ คือ ทาํ ใหเ ปน ประโยชนแ กพ ระองคเองและผูอ ืน่ กัปปยะแลว, ภิกษุรับประเคนแลว, ไดรับสมมติ ไดรับมติเห็นชอบรวมกัน (เธอฉนั เสรจ็ หา มภตั แลว ยังไมลกุ จาก ของที่ประชุมสงฆต้ังใหเปนเจาหนาท่ี อาสนะ) ยกข้นึ สงให, ทําในหัตถบาส, หรือทํากิจท่ีสงฆมอบหมาย อยางใด และกลาววา “ทงั้ หมดนนั่ พอแลว ” อยา งหน่งึ
ตจะ ๙๖ ตถาคต ต ตจะ หนงั หรือตรัสถึงพระองคเอง แปลไดความ ตจปญจกกมั มฏั ฐาน กรรมฐานมหี นงั หมาย ๘ อยา ง คอื ๑. พระผูเสดจ็ มา เปนที่คํารบหา กรรมฐานอันบัณฑิต แลว อยา งน้นั คอื เสดจ็ มาทรงบาํ เพ็ญ กาํ หนดดวยอาการมหี นังเปนท่ี ๕ เปน พุทธจริยา เพื่อประโยชนแกชาวโลก อารมณ คือ กรรมฐานท่ีทานสอนให เปนตน เหมือนอยางพระพุทธเจาพระ องคกอ นๆ อยา งไรกอ็ ยางนั้น ๒. พระผู พจิ ารณาสว นของรางกาย ๕ อยางคือ เสด็จไปแลวอยางน้ัน คือทรงทําลาย ผม ขน เล็บ ฟน หนัง โดยความเปน อวิชชาสละปวงกิเลสเสด็จไปเหมือน ของปฏิกูล หรือโดยความเปนสภาวะ อยา งพระพุทธเจาพระองคกอ นๆ อยา ง ไรก็อยางน้ัน ๓. พระผูเสด็จมาถึงตถ- อยางหนงึ่ ๆ ตามทม่ี ันเปนของมัน ไมเ อา ลกั ษณะ คือ ทรงมพี ระญาณหย่ังรเู ขา ใจเขาไปผูกพันแลวคิดวาดภาพใฝฝน ถึงลักษณะที่แทจริงของสิ่งท้ังหลายหรือ ของธรรมทุกอยาง ๔. พระผตู รัสรตู ถ- ตามอํานาจกิเลส พจนานุกรมเขียน ธรรมตามท่ีมนั เปน คือ ตรสั รอู รยิ สัจจ ตจปญจกกรรมฐาน เรียกอีกอยางวา มลู กัมมฏั ฐาน (กรรมฐานเบอ้ื งตน ) ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเปนธรรมที่ ตตยิ ฌาน ฌานที่ ๓ มอี งค ๒ ละปต เิ สีย จริงแทแนน อน ๕. พระผทู รงเหน็ อยาง ได คงอยูแตส ขุ กบั เอกัคคตา น้ัน คือ ทรงรูเทาทันสรรพอารมณท่ี ตถตา ความเปน อยา งน้นั , ความเปนเชน นนั้ , ภาวะทสี่ ิง่ ท้ังหลายท้งั ปวงเปนของ ปรากฏแกหมูสัตวท งั้ เทพและมนษุ ย ซึ่ง มันอยางน้ันเอง คือเปนไปตามเหตุ สัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได ปจจัย (มิใชเปนไปตามความออนวอน ประสบและพากันแสวงหา ทรงเขาใจ สภาพทแ่ี ทจรงิ ๖. พระผูตรัสอยางนนั้ ปรารถนา หรอื การดลบนั ดาลของใครๆ) เปน ชอ่ื หนงึ่ ทใ่ี ชเ รยี กกฎ ปฏจิ จสมปุ บาท (หรือมีพระวาจาท่ีแทจริง) คือ พระ หรือ อทิ ัปปจจยตา ตถาคต พระนามอยางหน่ึงของพระ ดํารัสท้ังปวงนับแตตรัสรูจนเสด็จดับ พทุ ธเจา เปน คาํ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงเรยี ก ขันธปรินิพพาน ลวนเปนสิ่งแทจริงถูก
ตถาคตโพธสิ ัทธา ๙๗ ตระกูลอนั มง่ั คง่ั ตอง ไมเ ปน อยา งอน่ื ๗. พระผทู าํ อยาง ความวา พนจากกิเลสดวยอาศยั ธรรม นั้น คอื ตรัสอยางใด ทาํ อยา งนนั้ ทาํ ตรงขา มที่เปนคูป รับกัน เชน เกดิ เมตตา อยางใด ตรัสอยา งนน้ั ๘. พระผเู ปนเจา หายโกรธ เกิดสังเวช หายกําหนัด (อภภิ ู) คือ ทรงเปนผใู หญย ่ิงเหนือกวา เปนตน เปนการหลุดพนชว่ั คราว และ สรรพสัตวตลอดถึงพระพรหมท่ีสูงสุด เปน โลกยี วมิ ุตต;ิ ดู วมิ ุตติ เปน ผูเห็นถองแท ทรงอํานาจ เปนราชา ตทารมณ, ตทารมั มณะ ดู วถิ จี ติ ที่พระราชาทรงบูชา เปนเทพแหงเทพ ตทาลัมพณะ, ตทาลมั พนะ ดู วถิ จี ติ เปนอินทรเหนือพระอินทร เปนพรหม ตน โพธ์ิ ดู โพธิ เหนือประดาพรหม ไมมีใครจะอาจวัด ตบะ 1. ความเพียรเคร่ืองเผาผลาญ หรือจะทัดเทยี มพระองคดว ยศลี สมาธิ กิเลส, การบาํ เพ็ญเพียรเพ่ือกาํ จดั กเิ ลส ปญ ญา วิมุตติ และวิมุตตญิ าณทัสสนะ 2. พิธีขมกิเลสโดยการทรมานตัวของ ตถาคตโพธิสัทธา ความเชื่อปญญา นักบวชบางพวกในสมัยพุทธกาล ตรสั รูของพระตถาคต (ผูกเปน ศพั ทขนึ้ ตปสุ สะ พอ คา ทมี่ าจากอกุ กลชนบทคกู บั จากความบาลีวา “สททฺ หติ ตถาคตสสฺ ภลั ลกิ ะ พบพระพทุ ธเจา ขณะประทบั อยู โพธึ”); ดู สทั ธา ณ ภายใตตนไมราชายตนะภายหลัง ตทังคนิพพาน “นิพพานดว ยองคนนั้ ”, ตรัสรูใหมๆ ไดถ วายเสบยี งเดินทาง คือ นพิ พานดว ยองคธ รรมจาํ เพาะ เชน มอง ขาวสตั ตุผง ขา วสตั ตุกอน แลวแสดง เหน็ ขนั ธ ๕ โดยไตรลกั ษณแ ลว หายทกุ ข ตนเปนอบุ าสก ถงึ พระพุทธเจา กบั พระ รอ น ใจสงบสบายมคี วามสขุ อยตู ลอดชวั่ ธรรมเปนสรณะ นับเปนปฐมอุบาสกผู คราวนน้ั ๆ, นพิ พานเฉพาะกรณี ถึงสรณะ ๒ ท่เี รียกวา เทฺววาจกิ ตทังคปหาน “การละดวยองคน ั้น”, การ ตโปทาราม สวนซงึ่ อยใู กลบ อ น้ําพุรอ น ละกิเลสดวยองคธรรมท่ีจําเพาะกันนั้น ชื่อตโปทา ใกลพ ระนครราชคฤห เปน คือละกิเลสดวยองคธรรมจําเพาะท่ีเปน สถานท่ีแหงหนึ่งท่ีพระพุทธเจาเคยทํา คปู รับกัน แปลงายๆ วา “การละกเิ ลส นมิ ติ ตโ อภาสแกพ ระอานนท ดวยธรรมทีเ่ ปน คปู รบั ” เชน ละโกรธ ตระกูลอันมั่งค่ัง จะต้ังอยูนานไมได ดว ยเมตตา (แปลกนั มาวา “การละกิเลส เพราะเหตุ ๔ อยา ง คอื ๑. ไมแ สวงหา ไดช่ัวคราว”) พสั ดุท่หี ายแลว ๒. ไมบรู ณะพัสดทุ ีค่ รํ่า ตทงั ควิมุตติ “พนดวยองคน น้ั ๆ” หมาย ครา ๓. ไมรจู กั ประมาณในการบรโิ ภค
ตระบัด ๙๘ ตกั สลิ า สมบตั ิ ๔. ตง้ั สตรีหรอื บุรษุ ทุศลี ใหเปน ตอน ศษิ ยก ว็ า ตามวาซํ้าๆ จนจาํ ได แลว แมบา นพอเรือน อาจารยอธิบายใหเขาใจ หรืออาจารย ตระบัด ยืมของเขาไปแลว เอาเสีย เชน กาํ หนดใหน าํ ไปทอ ง แลว มาวา ใหอ าจารย ขอยืมของไปใชแลวไมสงคืน กูหน้ีไป ฟง เมอ่ื ศษิ ยจ าํ ไดแ ละเขา ใจแมน ยาํ แลว แลว ไมสง ตน ทนุ และดอกเบี้ย อาจารยก็สอนหรือใหรับสวนท่ีกําหนด ตระหนี่ เหนยี ว, เหนียวแนน , ไมอยาก ใหมไ ปทองเพม่ิ ตอไปทกุ ๆ วัน วันละ ใหงา ยๆ, ขเ้ี หนยี ว (มัจฉริยะ) มากหรือนอยแลวแตความสามารถของ ตรัยตรึงศ “สามสิบสาม”, สวรรคช้ัน ศิษย นี่เรียกวา ตอ หนังสอื และมักตอ ดาวดงึ ส; ดู ดาวดงึ ส ในเวลาคํ่า จงึ เรียกวา ตอหนังสอื คํ่า ตรสั รู รแู จง หมายถงึ รอู ริยสัจจ ๔ คอื ตะเบ็งมาน เปนช่ือวิธีหมผาของหญิง ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค อยางหน่งึ คอื เอาผาโอบหลงั สอดรักแร ตรีทศ ดู ไตรทศ สองขา งออกมาขางหนา ชกั ชายไขวกัน ตรที พิ ดู ไตรทพิ ขน้ึ พาดบา ปกลงไปเหนบ็ ไวท่ผี าโอบหลัง ตรณุ วิปส สนา วปิ ส สนาอยา งออน; ดู ตะโพน เครอื่ งดนตรชี นดิ หนงึ่ มหี นงั สอง ญาณ ๑๖, วิปสสนูปกิเลส หนา ตรงกลางปอง รมิ ๒ ขางสอบลง ตรุษ นักษตั รฤกษเ มอ่ื เวลาสิน้ ป ตกั กะ เปรียง; ดู เบญจโครส ตอ ง ถกู , ถงึ , ประสบ (ในคาํ วา “ตอ ง ตกั บาตรเทโว ดู เทโวโรหณะ อาบตั ิ” คอื ถึงความละเมดิ หรอื มีความ ตักสิลา ช่ือนครหลวงแหง แควน คนั ธาระ ผิดสถานนน้ั ๆ คลายในคําวา ตองหา ซึง่ เปน แควน หน่ึงในบรรดา ๑๖ แควน ตองขัง ตองโทษ ตองคด)ี แหงชมพูทวีป ตักสิลามีมาแตดึกดํา- ตอตาม พูดเก่ียงราคาในเร่ืองซื้อขาย, บรรพกอนพุทธกาล เคยรุงเรืองดวย พูดเกี่ยงผลประโยชนในการทําความตก ศลิ ปวิทยาตางๆ เปน สถานทม่ี ชี ือ่ เสยี งที่ ลงกนั สุดในการศึกษายุคโบราณ เรียกกันวา ตอหนังสือค่ํา เรียนหนังสือโดยวิธีท่ี เปนเมืองมหาวิทยาลัย สันนิษฐานวา อาจารยบอกปากเปลาใหโดยตรงเปน บดั น้ีคือบรเิ วณซากโบราณสถาน ในเขต รายตัว ซึง่ เนนการจําเปนฐาน อนั สบื มา แควนปญจาบ ของประเทศปากีสถาน แตย ุคท่ียังไมไ ดใ ชห นังสือ โดยอาจารย อยหู า งออกไปประมาณ ๒๗ กม. ทาง สอนใหวาทีละคําหรือทีละวรรคทีละ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราวัลปนดิ
ต่งั ๙๙ ตั่ง (Rawalpindi) เมืองหลวงเกา และหาง ใจกต็ กลงราคากนั นาํ ไปเปน ภรรยา หญงิ จากอิสลามะบาด (Islamabad) เมอื ง ทส่ี ามตี ายจะตอ งเผาตวั ตายไปกบั สามี หลวงปจจุบัน ไปทางทิศตะวันตก นับแตสมัยพระเจาอโศกมหาราช ประมาณ ๒๓ กม. เปน ตน มา ตกั สิลาไดเ ปนนครท่รี ุงเรือง ตักสิลาเปนราชธานีท่ีม่ังค่ังรุงเรือง ดวยพระพุทธศาสนา ซึ่งเจริญขึ้นมา สบื ตอกันมาหลายศตวรรษ ตั้งแตก อน เคียงขางศาสนาฮินดู เปนแหลงสําคัญ พทุ ธกาล จนถงึ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ มี แหงหน่ึงของการศึกษาพระพุทธศาสนา เร่ืองราวเลาไวในชาดกเปนอันมาก ซึ่ง ดังมีซากสถูปเจดยี วัดวาอาราม และ แสดงใหเห็นวา ตักสิลาเปนศูนยกลาง ประติมากรรมแบบศิลปะคันธาระ การศึกษา มสี าํ นักอาจารยท ศิ าปาโมกข จาํ นวนมากปรากฏเปนหลกั ฐาน ส่ังสอนศลิ ปวิทยาตา งๆ แกศ ษิ ยซ งึ่ เดิน ตอ มาราว พ.ศ. ๙๔๓ หลวงจนี ทางมาเลาเรียนจากทุกถิ่นในชมพูทวีป ฟาเหียนไดมาสืบพระพุทธศาสนา ใน แตในยุคกอนพุทธกาลชนวรรณะสูงเทา อนิ เดีย ยงั ไดม านมสั การพระสถปู เจดยี นน้ั จงึ มสี ทิ ธเิ ขา เรยี นได บคุ คลสาํ คญั และ ท่ีเมอื งตกั สลิ า แสดงวา เมืองตักสลิ ายงั มีช่ือเสียงหลายทานในสมัยพุทธกาล คงบริบูรณดีอยู แตตอมาราว พ.ศ. สําเร็จการศึกษาจากนครตักสิลา เชน ๑๐๕๐ ชนชาตฮิ นั่ ยกมาตีอินเดยี และได พระเจาปเสนทิโกศล เจามหาลิจฉวี ทําลายพระพทุ ธศาสนา ทําใหเ มืองตกั - พนั ธลุ เสนาดี หมอชวี กโกมารภจั และ สิลาพินาศสาปสูญไป คร้ันถึง พ.ศ. องคลุ มิ าล เปน ตน ตอ มาภายหลงั พทุ ธกาล ๑๑๘๖ หลวงจนี เหยี้ นจงั (พระถงั ซมั จง๋ั ) ตักสิลาไดถูกพระเจาอเล็กซานเดอร มาสบื พระพุทธศาสนาในอินเดีย กลาว มหาราชกษัตรยิ ก รีกยึดครอง มีหนังสอื วา เมอื งตกั สลิ าตกอยใู นสภาพเสอื่ มโทรม ที่คนชาติกรีกกลาวถึงขนบธรรมเนียม เปน เพยี งเมอื งหนง่ึ ทข่ี นึ้ กบั แควนกัศมีระ ประเพณีของเมืองตักสิลา เชนวา โบสถว หิ าร สถานศกึ ษา และปชู นยี สถาน ประชาชนชาวตักสลิ า ถาเปน คนยากจน ถูกทาํ ลายหมด จากนั้นมาก็ไมปรากฏ ไมสามารถจะปลูกฝงธิดาใหมีเหยา เรอื น เร่อื งเมอื งตกั สิลาอีก; เขยี นเต็มตามบาลี ตามประเพณไี ด ก็นําธดิ าไปขายที่ตลาด เปน ตกั กสลิ า เขียนอยา งสนั สกฤตเปน โดยเปาสังขตีกลองเปนอาณัติสัญญาณ ตกั ษศลิ าองั กฤษเขยี นTaxila;ดูคนั ธาระ ประชาชนกพ็ ากนั มาลอ มดู ถา ผใู ดชอบ ตั่ง มา ๔ เหลี่ยมรี นง่ั ได ๒ คนก็มี
ตัชชนียกรรม ๑๐๐ ตมั พปณ ณิ ตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก อรดี กับ ราคา) ภิกษุอันจะพึงขู, สังฆกรรมประเภท ตัณหาจรติ ดู จรติ , จริยา นิคหกรรมอยางหน่ึง ซึ่งสงฆทําการ ตัตรมัชฌัตตตา ความเปนกลางใน ตําหนิโทษภิกษุผูกอความทะเลาะวิวาท อารมณน้นั ๆ, ภาวะที่จิตและเจตสิกตัง้ กอ อธิกรณข น้ึ ในสงฆ เปน ผูมอี าบตั มิ าก อยูในความเปนกลาง บางทีเรียก และคลุกคลีกับคฤหัสถในทางที่ไมสม อเุ บกขา (ขอ ๗ ในโสภณเจตสิก ๒๕) ควร ตนั ติ 1. แบบแผน เชน ตนั ตธิ รรม ตัง้ ใจชอบ ดู สัมมาสมาธิ (ธรรมท่ีเปนแบบแผน) ตันติประเพณี ตณหฺ กฺขโย ความสิ้นไปแหงตณั หา เปน (แนวทางท่ียึดถือปฏิบัติสืบกันมาเปน ไวพจนอยางหนึ่งแหง วิราคะ และ แบบแผน) เชน ภกิ ษุทัง้ หลายควรสืบ นิพพาน ตอตันติประเพณีแหงการเลาเรียนพระ ตณั หา๑ ความทะยานอยาก, ความรา นรน, ธรรมวินัย และเท่ียวจาริกไป แสดง ความปรารถนา, ความอยากเสพ อยาก ธรรม โดยดํารงอริ ยิ าบถอันนาเล่ือมใส ได อยากเอาเพอ่ื ตวั , ความแสห า, มี ๓ 2. เสน , สาย เชน สายพิณ คอื ๑. กามตณั หา ความทะยานอยากใน ตนั ตภิ าษา ภาษาทม่ี แี บบแผน คอื มหี ลกั กาม อยากไดอารมณอันนาใคร ๒. ภาษา มไี วยากรณ เปน ระเบยี บ เปน ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ มาตรฐาน; เมอื่ พระพทุ ธโฆสาจารยแ ปล อยากเปน นน่ั เปน นี่ ๓. วภิ วตณั หา ความ อรรถกถาจากภาษาสิงหล ทา นกลา ววา ทะยานอยากในวภิ พ อยากไมเ ปน นน่ั ไม ยกขนึ้ สตู นั ตภิ าษา คาํ วา “ตนั ตภิ าษา” ใน เปนน่ี อยากพรากพนดับสูญไปเสีย; ทนี่ ี้ หมายถงึ ภาษาบาลี (บาล:ี ตนตฺ ภิ าสา) ตณั หา ๑๐๘ ตามนยั อยา งงา ย = ตณั หา ตัมพปณณิ “(เกาะ) คนฝามอื แดง” เปน ๓ อารมณ ๖ ๒ (ภายใน+ภายนอก) ช่ือหนึ่งของลังกาทวีป คือประเทศศรี- กาล ๓; ดูปปญ จะ,มานะ; เทยี บฉนั ทะ2. ลงั กาในปจ จุบัน และคงเปน ชอ่ื ทีเ่ กาแก ตณั หา๒ ธดิ ามารนางหนงึ่ ใน ๓ นาง ท่ี มาก ปรากฏในรายชื่อดินแดนตางๆ ใน อาสาพระยามารผเู ปน บดิ า เขา ไปประโลม คมั ภรี ม หานทิ เทส แหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก พระพุทธเจา ดว ยอาการตางๆ ในสมยั ที่ ซง่ึ มชี วาดวย และถัดจากสุวรรณภมู ิ ก็ พระองคประทับอยูที่ตนอชปาลนิโครธ มีตัมพปณณิ (ชว คจฉฺ ติ … สุวณณฺ ภมู ึ ภายหลงั ตรัสรใู หมๆ (อกี ๒ นาง คอื คจฺฉติ ตมฺพปณฺณึ คจฺฉต,ิ ขุ.ม.๒๙/๒๕๔/
ตสั สปาปยสกิ ากรรม ๑๐๑ ตณิ ชาติ ๑๘๘, ๘๑๐/๕๐๔) ช่อื เหลาน้ีจะตรงกบั ดนิ ตัสสปาปยสกิ ากรรม กรรมอันสงฆพงึ แดนท่ีเขา ใจกัน หรอื เปนชอ่ื พอง หรือ ทาํ เพราะความท่ีภกิ ษุน้ันเปน ผเู ลวทราม, ตง้ั ตามกนั ไมอาจวนิ จิ ฉัยใหเ ด็ดขาดได, กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุผูเปนจําเลยใน เหตุที่ลังกาทวีปไดนามวาตัมพปณณินั้น อนุวาทาธิกรณ ใหการกลับไปกลับมา มเี ร่อื งตามตาํ นานวา เจาชายวิชยั ซึ่งเปน เด๋ียวปฏิเสธ เด๋ียวสารภาพ พดู ถลาก โอรสองคใหญของพระเจาสีหพาหุและ ไถล พดู กลบเกลื่อนขอ ทถ่ี กู ซัก พดู มุสา พระนางสีหสีวลีในชมพูทวีป ถูกพระ ซ่ึงหนา สงฆทาํ กรรมน้ีแกเธอเปนการลง ราชบิดาลงโทษเนรเทศ ไดเดนิ ทางจาก โทษตามความผิดแมวาเธอจะไมรับ ชมพูทวีป และมาถึงเกาะนใ้ี นวนั พุทธ- หรอื เพือ่ เพมิ่ โทษจากอาบตั ทิ ี่ตอ ง ปรนิ ิพพาน ราชบรพิ ารซ่งึ เหน็ดเหนือ่ ย ตามพปณ ณิ ดู ตัมพปณณิ จากการเดินทาง เม่อื ขน้ึ ฝง แลว ก็ลงนง่ั ตาลุ เพดานปาก พกั เอามือยันพน้ื ดิน เมื่อยกมือขึน้ มา ตาลชุ ะ อักษรเกดิ ที่เพดาน คอื อิ อี และ มือก็เปอนแดงดวยดินท่ีนั่นซึ่งมีสีแดง จ ฉ ช ฌ กบั ทง้ั ย กลายเปน คนมือแดง (ตมพฺ [แดง] + ตํารับ, ตาํ หรับ ตาํ ราที่กาํ หนดไวเปน ปณณฺ ี [มีฝา มอื ] = ตมฺพปณณฺ ี [มีฝา มือ เฉพาะแตล ะเรอ่ื งละราย แดง]) กจ็ ึงเรยี กถน่ิ นน้ั วา ตมั พปณณิ ตกิ ะ หมวด ๓ แลว ณ ถ่นิ น้นั เจาชายวิชัยไดรบั ความ ตจิ วี รวปิ ปวาส การอยปู ราศจากไตรจวี ร ชวยเหลือจากยักษิณีที่รักพระองค รบ ติจีวรอวิปปวาส การไมอยูปราศจาก ชนะพวกยกั ษแหง เมอื งลังกาปรุ ะ จึงได ไตรจวี ร; ดู ติจีวราวิปปวาส ต้ังเมืองตัมพปณณินครข้ึน เปนปฐม- ตจิ วี ราวปิ ปวาส การไมอ ยปู ราศจากไตร- กษตั รยิ ต น วงศข องชาวสหี ล หรอื สงิ หฬ จวี ร คอื ภิกษุอยใู นแดนท่สี มมตเิ ปน จากน้ัน ช่ือตัมพปณณิก็ขยายออกไป ตจิ วี ราวปิ ปวาสแลว อยหู า งจากไตรจวี ร กลายเปน ชอ่ื ของทงั้ เกาะหรอื ทงั้ ประเทศ, ก็ไมเ ปน อันอยูปราศ ไมต องอาบัติดว ย ตามเรอ่ื งทเี่ ลา มา จะเหน็ ชอ่ื ทใ่ี ชเ รยี กดิน นิสสัคคิยปาจติ ตียสกิ ขาบทท่ี ๑ แดนน้คี รบ ทั้งลังกา ตมั พปณ ณิ และ ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า แดนไมอ ยปู ราศจาก สหี ลหรอื สงิ หฬ, ตามพปณณิ ก็เรียก ไตรจวี ร สมมตแิ ลว ภกิ ษุอยหู างจาก (จะเติม ‘ทวีป’ เปนตัมพปณณิทวีป ไตรจวี รในสมี านน้ั ก็ไมเปน อันปราศ หรอื ตามพปณ ณิทวีป ก็ได) ติณชาติ หญา
ติณวตั ถารกวธิ ี ๑๐๒ ติรัจฉานกถา ตณิ วตั ถารกวธิ ี วธิ แี หง ตณิ วตั ถารกวนิ ยั เดือน หรือจนกวาสงฆพอใจ จึงจะ ตณิ วตั ถารกวนิ ยั ระเบยี บดงั กลบไวด ว ย อปุ สมบทได ทัง้ นี้ เพือ่ ปรบั ตัวปรับวถิ ี หญา ไดแ กกิรยิ าทใี่ หประนีประนอมกนั ชีวิตใหพรอมที่จะเขาอยูในระบบอยาง ทง้ั สองฝาย ไมตอ งชําระสะสางหาความ ใหม และเปนการทดสอบตนเองดวย; ดู เดิม เปนวิธีระงับอาปต ตาธกิ รณ ทใี่ ชใ น ปรวิ าส เมื่อจะระงับลหุกาบัติที่เกี่ยวกับภิกษุ ตติ ถิยปกกนั ตกะ ผไู ปเขารีตเดียรถยี ท ้ัง จํานวนมาก ตางก็ประพฤติไมสมควร เปนภกิ ษุ อุปสมบทอีกไมไ ด (เปน วัตถุ- และซดั ทอดกนั เปน เรอื่ งนงุ นงั ซบั ซอน วบิ ตั )ิ ชวนใหทะเลาะวิวาท กลา วซัดลาํ เลกิ กัน ติรัจฉานกถา ถอยคําอันขวางตอทาง ไปไมม ที ีส่ ดุ จะระงับดว ยวธิ อี ่นื กจ็ ะเปน นิพพาน, เรื่องราวที่ภิกษุไมควรนํามา เรื่องลุกลามไป เพราะถาจะสบื สวนสอบ เปน ขอถกเถยี งสนทนา โดยไมเก่ียวกับ สวนปรบั ใหก ันและกันแสดงอาบัติ กม็ ี การพิจารณาสั่งสอนแนะนําทางธรรม แตจะทําใหอธิกรณรุนแรงย่ิงข้ึน จึง อันทําใหคิดฟุงเฟอและพากันหลงเพลิน ระงับเสียดวยติณวัตถารกวิธี คือแบบ เสียเวลา เสียกิจหนาท่ีทีพ่ ึงปฏิบตั ิตาม กลบไวดวยหญา ตัดตอนยกเลิกเสีย ธรรม เชน ราชกถา สนทนาเรอื่ งพระ ไมส ะสางความหลังกันอกี ราชา วา ราชาพระองคน้ันโปรดของอยา ง ตติ ถกร เจาลทั ธิ หมายถึงคณาจารย ๖ นนั้ พระองคน โี้ ปรดของอยา งน้ี โจรกถา คน คอื ๑.ปรู ณกสั สป๒.มกั ขลโิ คสาล ๓. สนทนาเร่ืองโจร วา โจรหมูนั้นปลน ทน่ี ่นั อชติ เกสกมั พล ๔. ปกทุ ธกจั จายนะ ๕. สญั ชยั เวลัฏฐบตุ ร ๖. นคิ รนถนาฏบตุ ร ไดเ ทา น้นั ๆ ปลน ท่นี ่ไี ดเทานๆ้ี เปนตน; มกั เรียกวา ครทู งั้ ๖ ติตถิยะ เดียรถีย, นักบวชภายนอกพระ ทรงแสดงไวในทหี่ ลายแหง ไดแก ราช- กถา โจรกถา มหามัตตกถา (เร่ืองมหา อาํ มาตย) เสนากถา (เร่อื งกองทัพ) ภย- พทุ ธศาสนา กถา ยทุ ธกถา อนั นกถา (เรอ่ื งขา ว) ปาน- ติตถิยปริวาส วิธีอยูกรรมสําหรับ กถา (เร่อื งนํา้ ) วตั ถกถา (เร่อื งผา) ยาน- เดียรถียที่ขอบวชในพระพุทธศาสนา กถา สยนกถา (เรือ่ งที่นอน) มาลากถา กลาวคอื นกั บวชในลทั ธศิ าสนาอื่น หาก คนั ธกถา าติกถา คามกถา (เรือ่ ง ปรารถนาจะบวชเปนภิกษุในพระพุทธ- บาน) นิคมกถา (เรอ่ื งนคิ ม คอื เมือง ศาสนา จะตองประพฤติปรวิ าสกอน ๔ ยอย) นครกถา ชนปทกถา อติ ถีกถา
ตริ ัจฉานโยนิ ๑๐๓ ตีรณปริญญา (เร่ืองสตร)ี สรู กถา (เรอื่ งคนกลา หาญ) เมื่อตรัสสอนภิกษุทั้งหลายวาไมควร วสิ ิขากถา (เรื่องตรอก) กมุ ภฏั านกถา สนทนาติรัจฉานกถาเหลานี้แลว ก็ได (เรอ่ื งทานา้ํ ) ปพุ พเปตกถา (เรื่องคนท่ี ทรงแสดงกถาวตั ถุ ๑๐ วา เปนเรอื่ งท่ี ลวงลบั ) นานัตตกถา (เรอื่ งปลกี ยอ ย ควรสนทนากนั สําหรับภิกษุทง้ั หลาย; ดู หลากหลาย) โลกกั ขายกิ า (คาํ เลา ขาน กถาวัตถุ ๑๐ เร่ืองโลก เชนวาโลกนใี้ ครสรา ง) สมทุ - ติรจั ฉานโยนิ กําเนิดดิรัจฉาน (ขอ ๒ ทกั ขายกิ า (คาํ เลาขานเร่อื งทะเล เชน ท่ี ในทุคติ ๓, ขอ ๒ ในอบาย ๔); ดู คติ วาขุดขึ้นมาโดยเทพเจาชื่อสาคร) อิติ- ติรจั ฉานวิชา ดู ดิรจั ฉานวชิ า ภวาภวกถา (เรื่องท่ีถกเถียงกันวุนวาย ติสรณคมนูปสัมปทา อุปสมบทดวย ไปวาเปนอยางนั้น-ไมเปนอยางน้ี หรือ ไตรสรณคมน คือบวชภิกษุดวยการ วาเปนอยางนี้-ไมเปนอยางนั้น สุดโตง (กลา วคาํ )ถงึ สรณะ ๓ เปนวิธอี ปุ สมบท กนั ไป เชน วา เท่ียงแท-วาขาดสญู วา ได- ท่ีพระพุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวก วาเสีย วาใหปรนเปรอตามใจอยาก-วา บวชกุลบุตรในครั้งตนพทุ ธกาล ตอมา ใหกดบีบเครียดเครง ), ทัง้ หมดนนี้ ับได เมอ่ื ทรงอนญุ าตการอปุ สมบทดว ยญตั ต-ิ ๒๗ อยา ง แตคมั ภรี นทิ เทสระบุจาํ นวน จตตุ ถกรรมแลว กท็ รงอนญุ าตการบวช ไวดว ยวา ๓๒ อยาง (เชน ข.ุ ม.๒๙/๗๓๓/ ดวยไตรสรณคมนน้ี ใหเปนวิธีบวช ๔๔๕) อรรถกถา (เชน ม.อ.๓/๒๐๒/๑๖๕) บอก สามเณรสบื มา ดู อุปสมั ปทา วธิ นี ับวา ขอสดุ ทาย คอื อติ ิภวาภวกถา ติสสเถระ ช่ือพระเถระองคห นึง่ ในเกาะ แยกเปน ๖ ขอ ยอย จงึ เปน ๓๒ (แตใน ลงั กา เคยอปุ การะพระเจา วฏั ฏคามนิ อี ภยั มหานิทเทส ฉบบั อกั ษรไทย มีปรุ ิสกถา คราวเสียราชสมบัติแกทมิฬ ภายหลัง ตอจากอติ ถกี ถา รวมเปน ๒๘ เมื่อแยก ทรงกูราชสมบัติคืนไดแลว ไดสรา งวัด ยอยอยางนี้ ก็เกินไป กลายเปน ๓๓) อภัยคีรีวหิ ารถวาย ย่ิงกวาน้ัน ในคัมภีรช้ันฎีกาบางแหง ติสสเมตเตยยมาณพ ศิษยคนหนึ่งใน (วนิ ย.ฏ.ี ๓/๒๖๗/๓๗๙) อธบิ ายวา อีกนัย จาํ นวน ๑๖ คน ของพราหมณพาวรีท่ี หน่ึง คําวา “อิต”ิ มีความหมายวารวม ไปทูลถามปญหากะพระศาสดาที่ ท้ังเรื่องอื่นๆ ทํานองน้ีดวย เชนรวม ปาสาณเจดยี เรอ่ื ง ปา เขา แมนา้ํ และเกาะ เขา ไป ก็ ตีรณปรญิ ญา กาํ หนดรขู ้ันพจิ ารณา คอื เปน ๓๖ อยา ง; ใน องฺ.ทสก.๒๔/๖๙/๑๓๘ กําหนดรูสังขารดวยการพิจารณาเห็น
ตจุ ฉากาศ ๑๐๔ ตลุ า ไตรลักษณ วาส่ิงนั้นๆ มีลักษณะไม ภาคเจาไดตรัสวา ภิกษทุ ง้ั หลาย ลาภ สักการะและชื่อเสียง เปนของทารุณ เทย่ี ง เปนทุกข เปนอนัตตา (ขอ ๒ ใน เผ็ดรอน หยาบรา ย เปนอนั ตรายตอ การ บรรลุโยคเกษมธรรม อันยอดเย่ียม; ปรญิ ญา ๓) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อุบาสิกาผมู ศี รทั ธา เมือ่ ตุจฉากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ จะวิงวอนบุตรนอ ยคนเดียว ซึ่งเปน ทร่ี ัก ตุมพสตปู พระสถูปบรรจุทะนานทองที่ ท่ชี ื่นใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอยา งนี้วา ใชตวงแบงพระบรมสารีริกธาตุ โทณ- ‘ขอพอจงเปนเชนจิตตคฤหบดี และ หัตถกะอาฬวกะเถิด’ ภกิ ษทุ ้ังหลาย ผูท่ี พราหมณเปน ผูสรา ง เปนตุลา เปนประมาณ ในบรรดา ตลุ า ตราชู, ประมาณ, เกณฑวัด, มาตร- อบุ าสกสาวกของเรา กค็ อื จติ ตคฤหบดี ฐาน, ตัวแบบ, แบบอยาง; สาวกหรอื และหัตถกะอาฬวกะ, ‘ถาพอออกบวช ก็ขอจงเปนเชนพระสารีบตุ ร และพระ สาวิกา ท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยองวา โมคคลั ลานะเถดิ ’ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เ่ี ปน ตลุ า เปน ประมาณ ในบรรดาภกิ ษสุ าวก เปนตราชู หรือเปนแบบอยางในพุทธ ของเรา ก็คอื สารีบตุ รและโมคคัลลานะ, ‘ขอพอจงอยาเปนอยางพระที่ยังศึกษา บริษัทนั้นๆ อันสาวกและสาวิกาท้ัง ซึ่งยังมิไดบรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภ สักการะและช่ือเสยี งตามรังควาน’ ภกิ ษุ หลาย ควรใฝปรารถนาจะดําเนินตาม ท้ังหลาย ถาลาภสักการะและชื่อเสียง หรอื จะเปนใหไ ดใหเหมอื น คอื ๑. ตุลา ตามรังควานภิกษุที่ยังศึกษา ซึ่งยังไม สาํ หรบั ภกิ ษสุ าวกทั้งหลาย ไดแ ก พระ บรรลุอรหัตตผล ก็จะเปนอันตรายแก เธอ, ลาภสกั การะและชื่อเสยี ง เปนเรื่อง สารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ รายกาจ อยางนี้ เธอทั้งหลายพึง ๒. ตุลา สําหรบั ภกิ ษุณสี าวิกาท้งั หลาย สําเหนยี กไว ดังนแ้ี ล” ไดแก พระเขมา และพระอบุ ลวรรณา ๓. ตุลา สําหรับอบุ าสกสาวกทั้งหลาย ตอจากนั้นก็มีอีกพระสูตรหน่ึง ไดแ ก จติ ตคฤหบดี และหตั ถกะอาฬวกะ ตรัสไวทํานองเดียวกันวา (สํ.นิ.๑๖/๕๗๑- ๔. ตลุ า สําหรับอบุ าสิกาสาวกิ าทง้ั หลาย ๒/๒๗๗) “… อุบาสกิ าผูมศี รัทธา เม่อื จะ ไดแ ก ขชุ ชตุ ตราอปุ าสกิ า และเวฬกุ ณั ฏกี นนั ทมารดา นอกจากพุทธพจนท่ีแสดงหลักท่ัว ไปแลว (อง.ทุก.๒๐/๓๗๕–๘/๑๑๐-๑; อง.จตกุ ก. ๒๑/๑๗๖/๒๒๑) บางแหงตรัสสอนวิธี ปฏบิ ัตปิ ระกอบไวด ว ย ดังพุทธโอวาทที่ วา (สํ.น.ิ ๑๖/๕๖๙-๕๗๐/๒๗๖) “พระผูมพี ระ
ตลุ า ๑๐๕ ตลุ า วิงวอนธดิ านอ ยคนเดยี ว ซึง่ เปน ท่รี ัก ที่ สัญชัยปริพาชกแลว นําปริพาชก ๒๕๐ ช่นื ใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอยางนีว้ า ‘ขอ แมจงเปนเชนขุชชุตตราอุบาสิกา และ คนมาเฝาพระพทุ ธเจา ท่พี ระเวฬุวนั ครัง้ เวฬุกัณฏกีนันทมารดาเถิด’ ภิกษุท้ัง หลาย ผทู เ่ี ปนตุลา เปน ประมาณ ใน นั้น พระพุทธเจาทอดพระเนตรเห็นทั้ง บรรดาอุบาสิกาสาวิกาของเรา ก็คือ ขชุ ชตุ ตราอบุ าสกิ า และเวฬกุ ณั ฏกนี นั ท- สองทานนั้นกําลังเขามาแตไกล ก็ได มารดา, ‘ถา แมอ อกบวช กข็ อจงเปน เชน พระเขมาภิกขุนี และพระอุบลวรรณา ตรัสแกภ ิกษุท้งั หลายวา (วนิ ย.๔/๗๑/๗๗) เถดิ ’ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เี่ ปน ตลุ า เปน ประมาณ ในบรรดาภิกษุณีสาวิกาของ “ภิกษุทง้ั หลาย สหายสองคนที่มานั่น คอื เรา กค็ ือ เขมาภกิ ขุนี และอุบลวรรณา, ‘ขอแมจงอยาเปนอยางพระท่ียังศึกษา โกลติ ะ และอุปตสิ สะ จกั เปน คสู าวก ซ่ึงยังมิไดบรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภ สักการะและช่ือเสียงตามรังควาน’… ของเรา เปนคูที่ดีเลิศ ยอดเยีย่ ม (สาวก- ลาภสักการะและชือ่ เสยี ง เปน เรือ่ งราย กาจ อยางน้ี เธอทั้งหลายพงึ สําเหนยี ก ยุค ภวิสสฺ ติ อคฺค ภทฺทยุคํ)”, คาํ เรียก ไว ดังนี้แล” ทานผูเ ปน ตลุ า วา เปน “อัคร-” ในพระ ไตรปฎก ครบทั้ง ๔ คู มแี ตในพทุ ธ- พระสาวกและพระสาวิกา ที่พระ พทุ ธเจาตรัสยกยองวาเปน “ตลุ า” น้ี ใน วงส โดยเฉพาะโคตมพทุ ธวงส (ขุ.พทุ ธ. ท่ีทั่วไป มกั เรยี กกนั วา พระอคั รสาวก ๓๓/๒๐๖/๕๔๕) กลา วคือ ๑. อัครสาวก และพระอคั รสาวกิ า เปน ตน แตพ ระ ไดแก พระสารีบุตร และพระมหาโมค- พุทธเจาเองไมทรงใชคําเรียกวา “อัคร คลั ลานะ ๒. อคั รสาวกิ า ไดแ ก พระเขมา สาวก” เปนตน น้ัน โดยตรง แมวาคาํ วา และพระอบุ ลวรรณา ๓. อคั รอปุ ฏ ฐ าก- “อัครสาวก” นั้นจะสบื เนือ่ งมาจากพระ อบุ าสก ไดแ ก จติ ตะ (คอื จติ ตคฤหบด)ี ดํารัสคร้ังแรกที่ตรัสถึงพระเถระท้ังสอง และหตั ถาฬวกะ (คอื หตั ถกะอาฬวกะ) ทานน้นั คือ เมอื่ พระสารบี ุตรและพระ ๔. อัครอปุ ฏ ฐกิ าอุบาสิกา ไดแ ก (เวฬ-ุ มหาโมคคัลลานะ ออกจากสํานักของ กณั ฏก)ี นนั ทมารดา และอตุ ตรา (คอื ขชุ ชตุ ตรา), อคั รอปุ ฏ ฐากอุบาสกนัน้ ใน อปทานแหง หน่ึง (ข.ุ อป.๓๓/๗๙/๑๑๗) และ ในอรรถกถาธรรมบทแหง หนึ่ง เรียกส้นั ๆ วา อัครอุบาสก และอัครอุปฏฐิกา อุบาสกิ า เรียกสนั้ ๆ วา อคั รอุบาสกิ า (แตในท่ีน้ัน อรรถกถาธรรมบทฉบับ อักษรไทยบางฉบับ, ธ.อ.๓/๗ เรียกเปน อคั รสาวก และอคั รสาวกิ า เหมอื นอยา ง
ตลุ าการ ๑๐๖ ต,ู กลา วตู ในภิกษุและภิกษณุ บี ริษัท ทั้งนี้ นา จะเปน พุทธเจาอยางเยี่ยมยอด ไดแกพระ ความผิดพลาดในการตรวจชําระ) อานนท (“อัครอปุ ฏ ฐาก” เปนคําทีใ่ ชแ ก พระสาวกสาวกิ าที่เปน “อัคร” น้ัน พระอานนท ต้ังแตในพระไตรปฎก, แทบทุกทานเปนเอตทัคคะในดานใด ที . ม.๑๐/๕๕/๖๐; พระอานนทเปน ดา นหน่งึ ดวย คือ พระสารีบุตร เปน เอตทัคคะทางมีปญญามาก พระมหา เอตทัคคะถึง ๕ ดา น คอื ดา นพหูสตู มี โมคคัลลานะ เปนเอตทัคคะในทางมี ฤทธิ์ พระเขมา เปนเอตทัคคะทางมี สติ มคี ติ มธี ติ ิ และเปน อปุ ฏฐาก) และ ปญญามาก พระอบุ ลวรรณา เปน อัครอุปฏฐายิกา คืออุบาสิกาผูดูแล เอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ จติ ตคฤหบดี อุปถัมภบํารุงพระพุทธเจาอยางเย่ียม ยอด ไดแก วิสาขามหาอบุ าสกิ า (นาง วสิ าขาซึง่ เปน โสดาบัน เปนเอตทัคคะผู ซงึ่ เปนอนาคามี เปนเอตทัคคะในดาน ยอดแหงทายิกา คูกับอนาถบิณฑิก- เปนธรรมกถึก หตั ถกะอาฬวกะ ซงึ่ เศรษฐี ซึ่งก็เปนโสดาบัน และเปน เปนอนาคามี เปนเอตทัคคะทาง เอตทัคคะผูยอดแหงทายก, แตพบใน สงเคราะหบริษัทคือชุมชน ดวยสังคห- อรรถกถาแหงหนง่ึ , อ.ุ อ.๑๘/๑๒๗, จัดเจา วตั ถสุ ่ี ขชุ ชุตตรา ซึ่งเปน โสดาบัน ผไู ด หญิงสุปปวาสา โกลิยราชธิดา ซ่ึงเปน บรรลุปฏิสมั ภิทา (ไดเสขปฏิสัมภิทา คือ เอตทคั คะผูยอดแหงประณีตทายกิ า วา ปฏสิ มั ภทิ าของพระเสขะ) เปน เอตทคั คะ เปน อคั รอุปฏ ฐายกิ า) ในดา นเปน พหสู ตู เวน แตเวฬกุ ัณฏกี ตลุ าการ “ผทู าํ ตลุ า”, “ผสู รา งดลุ ”, “ผมู ี นันทมารดา (เปนอนาคามินี) ที่นา อาการเหมอื นตราช”ู คอื ผดู าํ รงรกั ษา แปลกวาไมปรากฏในรายนามเอตทคั คะ หรอื ทาํ ใหเ กดิ ความสมาํ่ เสมอเทย่ี งธรรม, ซง่ึ มชี อื่ นนั ทมารดาดวย แตเ ปน อตุ ตรา ผวู นิ จิ ฉยั อรรถคด,ี ผตู ดั สนิ คดี นันทมารดา ท่ีเปนเอตทัคคะในทาง ต,ู กลาวตู กลาวอา งหรอื ทึกทักเอาของผู ชํานาญฌาน (และทาํ ใหยังสงสัยกันวา อน่ื วา เปน ของตวั , กลา วอา งผดิ ตวั ผดิ สงิ่ “นนั ทมารดา” สองทา นน้ี แทจ รงิ แลว จะ ผดิ เร่ือง, ในคําวา “กลา วตูพ ระพุทธเจา ” เปน บคุ คลเดยี วกนั หรอื ไม) หรอื “ตูพทุ ธพจน” หมายความวา อาง นอกจากน้ี ยังมีตําแหนง “อคั ร” ที่ ผิดๆ ถกู ๆ, กลาวสิ่งทีต่ รัสวา มิไดตรัส ยอมรับและเรียกขานกันทั่วไปอีก ๒ กลาวสิง่ ทีม่ ไิ ดต รัสวา ไดตรัสไว, พดู ให อยา ง คือ อคั รอปุ ฏ ฐาก ผูเฝา รับใชพระ เคล่ือนคลาดหรือไขวเขวไปจากพุทธ-
ตกู รรมสทิ ธ์ิ ๑๐๗ ไตรทศ ดาํ รสั , พดู ใสโ ทษ, กลา วขม ข,ี่ พดู กด เชน กลาววาจาถึงสรณะครบท้ังสามอยางคือ คดั คา นใหเ หน็ วาไมจ รงิ หรือไมส ําคัญ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ บดิ า ตูก รรมสทิ ธิ์ กลา วอางเอากรรมสทิ ธ์ขิ อง พระยสเปนคนแรก ที่ประกาศตนเปน ผอู นื่ วา เปน ของตัว อุบาสกถึงพระรตั นตรัยตลอดชวี ิต; เทียบ เตจีวรกิ ังคะ องคแ หงภิกษุผถู อื ไตรจวี ร เทวฺ วาจกิ เปนวัตร คือถือเพียงผาสามผืนไดแก เตยี ง ภกิ ษทุ ําเตยี งหรอื ตงั่ พึงทําใหมเี ทา จวี ร สบง สังฆาฏอิ ยา งละผนื เทา นนั้ ไม เพียง ๘ นิ้วพระสคุ ต เวนไวแ ตแ มแคร ใชจวี รนอกจากผาสามผืนนน้ั (ขอ ๒ เบื้องตํ่า และตองไมห มุ นนุ ถา ฝาฝน ในธุดงค ๑๓) ตองปาจิตตีย ตองตัดใหไดประมาณ เตโชธาตุ ธาตไุ ฟ, สภาวะทม่ี ลี กั ษณะรอ น, หรือร้ือเสียกอน จึงแสดงอาบัติตก ความรอ น; ในรา งกาย ไดแ กไ ฟทยี่ งั กาย (ปาจิตตยี รตนวรรคที่ ๙ สกิ ขาบทที่ ๕ ใหอ บอุน ไฟท่ียังกายใหทรดุ โทรม ไฟท่ี และ ๖) ยังกายใหกระวนกระวาย และไฟท่ีเผา โตเทยยมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจาํ นวน อาหารใหยอ ย, อยางน้ีเปนการกลา วถึง ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรีทไ่ี ปทูลถาม เตโชธาตุในลักษณะท่ีคนสามัญท่ัวไปจะ ปญ หากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย) เขาใจได และท่จี ะใหส ําเร็จประโยชนใ น ไตรจวี ร จีวรสาม, ผา สามผนื ทีพ่ ระวินยั การเจริญกรรมฐาน แตในทางพระ อนญุ าตใหภิกษมุ ไี วใ ชป ระจาํ ตัวคือ ๑. อภิธรรม เตโชธาตุเปน สภาวะพืน้ ฐานที่ สงั ฆาฏิ ผาทาบ ๒. อุตราสงค ผาหม มีอยูในรูปธรรมทุกอยาง แมแตในนํ้า เรียกสามัญในภาษาไทยวาจีวร ๓. เปนภาวะทีท่ าํ ใหเ รารูสึกรอน อุน เย็น อันตรวาสก ผานงุ เรียกสามญั วาสบง เปนตน ; ดู ธาต,ุ รปู ๒๘ ไตรดายุค ดู กปั เตรตายคุ , ไตรดายุค ดู กัป ไตรตรึงษ “สามสิบสาม”, สวรรคชั้น เตรสกัณฑ “กัณฑสิบสาม” ตอนท่ีวา ดาวดึงส; ดู ดาวดึงส ดวยสิกขาบท ๑๓ หมายถึง หมวด ไตรทวาร ทวารสาม, ทางทาํ กรรม ๓ ทาง ความในพระวินยั ปฎ ก สว นท่วี าดวยบท คอื กายทวาร วจที วาร และ มโนทวาร บัญญัติเกี่ยวกับอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งมี ไตรทศ “สบิ ๓ ครงั้ ” คอื ๓๐ ตรงกบั คาํ ๑๓ สกิ ขาบท บาลวี า “ตทิ ส” ซง่ึ ในพระไตรปฎ กพบใช เตวาจกิ “มวี าจาครบสาม” หมายถงึ ผู เฉพาะในคาํ รอ ยกรอง คอื คาถา เปน ตวั
ไตรทพิ ,ไตรทพิ ย ๑๐๘ ไตรทิพ,ไตรทพิ ย เลขถว นตดั เศษ ของ ๓๓ (บาล:ี เตตตฺ สึ ) มารดา มเหสขี องพระเจา สทุ โธทนะ ทรง ซ่ึงเปนจํานวนของคนคณะหน่ึงมีมฆ- บริหารพระองคผูเปนพระโพธิสัตวมา มาณพเปน หวั หนา ในตาํ นานทว่ี า พวกเขา ดว ยพระครรภ ครนั้ ทาํ ลายขนั ธแ ลว ทรง ทาํ บญุ รว มกนั เชน ทาํ ถนน สรา งสะพาน บนั เทงิ อยใู นไตรทพิ ย” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ขดุ บอ นา้ํ ปลกู สวนปา สรา งศาลาทพี่ กั คน ในทนี่ ้ี หมายถงึ สวรรคช นั้ ดสุ ติ , เมอ่ื ครงั้ เดนิ ทาง ใหแ กช มุ ชน และทาํ ทาน ชวน ทพี่ ระพทุ ธเจาประทับน่ังสงบอยู ณ ไพร- ชาวบา นตง้ั อยใู นศลี เปน ตน เมอื่ ตายแลว สณฑแหง หน่ึงในแควน โกศล พราหมณ ไดเ กดิ ในสวรรคทเี่ รยี กช่ือวา ดาวดึงส สาํ คญั คนหน่ึง พรอมดวยศิษยจ ํานวน อนั เปน สวรรคช น้ั ที่ ๒ ใน ๖ ชน้ั ดงั ทใี่ น มาก ไดเ ขา ไปกลาวขอความแดพ ระองค อ ร ร ถ ก ถ า อ ธิ บ า ย ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง เปน คาถา มคี วามตอนหน่งึ วา (ส.ํ ส.๑๕/ “ดาวดงึ ส” วา คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผู ๗๑๐/๒๖๕) “ทานมาอยูในปาเปลี่ยวเพียง ทาํ บญุ รว มกนั ไดอ บุ ตั ”ิ , คาํ วา “ตทิ ส” ที่ ผูเดียวอยางเอิบอิ่มใจ ตัวขาพเจานี้มุง พบในพระไตรปฎกหมายถึงสวรรคช้ัน หวงั ไตรทิพยอ ันสูงสุด จึงเขมนหมายถึง ดาวดงึ สเ ปน พน้ื แมว า คมั ภรี ช นั้ ตอ มาบาง การท่ีจะไดเขารวมอยูกับพระพรหมเจา แหงจะอธิบายวา หมายถงึ เทวดาท่ัวไป ผเู ปน อธบิ ดีแหง โลก เหตไุ ฉนทานจึงพอ บา งกม็ ,ี ตรที ศ กว็ า ; เทยี บ ไตรทพิ ใจปาวงั เวงท่ปี ราศจากผูคน ณ ที่น้ี ทาน ไตรทพิ , ไตรทพิ ย “แดนทพิ ยท ง้ั สาม” กําลังบําเพ็ญตบะเพ่ือจะถึงองคพระ หรอื “สามแดนเทพ”, ตรงกบั คาํ บาลวี า พรหมเปนเจากระน้ันหรือ?” ไตรทพิ ย “ตทิ วิ ” ซงึ่ ในพระไตรปฎ กพบใชเ ฉพาะใน (ติทิว) ในที่นี้ หมายถึงพรหมโลก, คาํ รอ ยกรอง คอื คาถา หมายถงึ เทวโลก อุบาสิกาทานหนึ่งซึ่งไดเกิดเปนเทพบุตร ในความหมายอยา งกวา ง ทร่ี วมทง้ั พรหม กลา วคาถาไวต อนหนง่ึ มคี วามวา (ท.ี ม.๑๐/ โลก (คอื กามาวจรเทวโลก รปู าวจรเทว- ๒๕๓/๓๐๖) “ขาพเจาไดเปนอุบาสิกาของ โลก และอรปู าวจรเทวโลก) มกั ใชอ ยา ง พระผทู รงจกั ษุ มนี ามปรากฏวา โคปก า .. ไมเ จาะจง คอื หมายถงึ แดนเทพแหง ใด ขา ฯ มจี ติ เลอ่ื มใส ไดบ าํ รงุ สงฆ .. (บดั น)้ี แหงหน่ึง อันมักรูไดดวยขอความแวด ขา ฯ ไดเ ขา ถงึ ไตรทพิ ย เปน บตุ รของทา ว ลอ มในทนี่ น้ั วา หมายถงึ แหง ใด เชน ใน สกั กะ มอี านภุ าพยงิ่ ใหญ มคี วามรงุ เรอื ง คาถาของพระกาฬุทายีเถระ (ขุ.เถร.๒๖/ มาก ณ ทน่ี ี้ พวกเทวดารจู กั ขา ฯ วา โคปก- ๓๗๐/๓๔๘) วา “พระนางเจา มายา พทุ ธ- เทพบตุ ร” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ในทน่ี ี้ หมาย
ไตรปฎก ๑๐๙ ไตรปฎ ก ถงึ สวรรคช นั้ ดาวดงึ ส; คมั ภรี ช น้ั หลงั แหง เปนเลมหนังสือดวยอักษรไทยคร้ังแรก หนงึ่ (อนฎุ กี าแหง ปญ จปกรณ) กลา วถงึ ในรัชกาลท่ี ๕ เร่ิมเม่อื พ.ศ.๒๔๓๑ ไตรทิพยที่หมายถึงสวรรคชั้นดาวดึงส เสร็จและฉลองพรอมกับงานรัชดาภิเษก ดงั อธบิ ายวา “ตทิ วิ ” คอื โลกชน้ั ที่ ๓ โดย ใน พ.ศ.๒๔๓๖ แตยังมีเพียง ๓๙ เลม (ขาดคมั ภีรปฏ ฐาน) ตอมา พ.ศ.๒๔๖๘ เทยี บกนั ในสคุ ตภิ มู ิ นบั เปน ๑. มนษุ ย ๒. ในรชั กาลที่ ๗ ไดโ ปรดเกลาฯ ใหจ ดั พิมพใหมเ ปนฉบบั ท่ีสมบูรณ เพ่ืออทุ ิศ จาตมุ หาราชกิ า ๓. ดาวดึงส, อภิธานัป- ถวายพระราชกุศลแดร ัชกาลที่ ๖ เรียก วา สฺยามรฏสฺส เตปฏ กํ (พระไตรปฎก ปทีปกา ซ่ึงเปนคัมภีรช้ันหลังมากสัก ฉบับสยามรัฐ) มีจํานวนจบละ ๔๕ เลม หนอ ย (แตง ในพมา ในยคุ ทต่ี รงกบั สมยั พระไตรปฎกมีสาระสําคัญและการ จดั แบงหมวดหมูโดยยอ ดงั นี้ สโุ ขทยั ) อธบิ ายวา “ชอื่ วา ‘ตทิ วิ ’ (ไตรทพิ ) ๑. พระวนิ ยั ปฎ ก ประมวลพทุ ธพจน เพราะเปน ทเ่ี พลดิ เพลนิ ของเทพทง้ั ๓ คอื หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยว กับความประพฤติ ความเปนอยู ขนบ พระหริ (พระวษิ ณุหรอื นารายณ) พระหระ ธรรมเนียมและการดําเนินกิจการตางๆ ของภกิ ษุสงฆแ ละภกิ ษุณีสงฆ แบง เปน (พระศวิ ะ หรอื อศิ วร) และพระพรหม” (ที่ ๕ คัมภีร (เรียกยอหรอื หัวใจวา อา ปา ม จุ ป) คอื ๑. อาทกิ มั มกิ ะ หรอื จรงิ หร-ิ หระ เพง่ิ ปรากฏเปน สาํ คญั ขน้ึ มา ปาราชิก วาดวยสิกขาบทที่เก่ียวกับ อาบัติหนักของฝายภิกษุสงฆ ตั้งแต ในศาสนาฮินดู หลังพุทธกาลหลาย ปาราชิกถึงอนยิ ต ๒. ปาจติ ตีย วา ดว ย ศตวรรษ), ตรที ิพ กว็ า ; เทียบ ไตรทศ สิกขาบทท่ีเก่ียวกับอาบัติเบา ต้ังแต ไตรปฎ ก “ปฎกสาม”; ปฎก แปลตาม นิสสัคคิยปาจติ ตียถึงเสขิยะ รวมตลอด ศัพทอ ยางพ้นื ๆ วา กระจาดหรอื ตะกรา ทั้งภิกขุนีวิภังคท้ังหมด ๓. มหาวรรค วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกขตอนตน อันเปนภาชนะสําหรับใสรวมของตางๆ ๑๐ ขนั ธกะ หรอื ๑๐ ตอน ๔. จลุ วรรค วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกขตอน เขา ไว นํามาใชใ นความหมายวา เปนท่ี รวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาท่ีจัด เปนหมวดหมแู ลว โดยนยั น้ี ไตรปฎก จึงแปลวา “คัมภีรท่ีบรรจุพุทธพจน (และเรื่องราวช้ันเดิมของพระพุทธ- ศาสนา) ๓ ชดุ ” หรอื “ประมวลแหง คัมภีรท่ีรวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด” กลา วคอื วนิ ยั ปฎก สุตตันต- ปฎก และ อภิธรรมปฎ ก พระไตรปฎกบาลีไดรับการตีพิมพ
ไตรปฎ ก ๑๑๐ ไตรปฎก ปลาย ๑๒ ขันธกะ ๕. ปรวิ าร คมั ภรี ยอ หรอื หัวใจวา ที ม สํ อํ ข)ุ คือ ๑. ประกอบหรือคูมือ บรรจุคําถามคําตอบ ทฆี นกิ าย ชมุ นมุ พระสูตรทมี่ ีขนาดยาว ๓๔ สตู ร ๒. มชั ฌมิ นกิ าย ชมุ นุมพระ สําหรับซอ มความรพู ระวินัย สตู รที่มีความยาวปานกลาง ๑๕๒ สตู ร ๓. สังยุตตนิกาย ชุมนุมพระสูตรท่ีจัด พระวินัยปฎกนี้ แบงอีกแบบหนึ่ง รวมเขาเปน กลมุ ๆ เรียกวาสงั ยตุ ตห นง่ึ ๆ ตามเรอื่ งท่เี นอ่ื งกัน หรือตามหัวขอ หรอื เปน ๕ คมั ภรี เหมือนกัน (จดั ๒ ขอ ใน แบบตนนัน้ ใหม) คือ ๑. มหาวิภงั ค หรอื บุคคลท่เี กยี่ วขอ งรวม ๕๖ สังยุตต มี ภิกขวุ ิภงั ค วา ดวยสกิ ขาบทในปาฏิโมกข ๗,๗๖๒ สตู ร ๔. อังคตุ ตรนกิ าย ชมุ นมุ (ศลี ๒๒๗ ขอ ) ฝายภิกษุสงฆ ๒. พระสตู รทจี่ ดั รวมเขา เปนหมวดๆ เรยี ก ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกข วานิบาตหน่ึงๆ ตามลําดบั จาํ นวนหวั ขอ (ศีล ๓๑๑ ขอ ) ฝายภิกษุณีสงฆ ๓. ธรรม รวม ๑๑ นบิ าต หรือ ๑๑ หมวด มหาวรรค ๔. จลุ วรรค ๕. ปรวิ าร ธรรม มี ๙,๕๕๗ สตู ร ๕. ขทุ ทกนิกาย ชุมนุมพระสูตรคาถาภาษิต คําอธิบาย บางทีทานจดั ใหยนยอ เขาอกี แบง พระวินัยปฎกเปน ๓ หมวด คอื ๑. และเร่ืองราวเบ็ดเตล็ดที่จัดเขาในส่ี วิภังค วาดวยสิกขาบทในปาฏิโมกขท้ัง ฝา ยภกิ ษุสงฆแ ละฝายภกิ ษุณสี งฆ (คอื นกิ ายแรกไมได มี ๑๕ คัมภีร รวมขอ ๑ และ ๒ ขางตน ทั้งสองแบบ ๓. พระอภิธรรมปฎก ประมวล เขาดวยกัน) ๒. ขันธกะ วาดวย สิกขาบทนอกปาฏโิ มกข ทง้ั ๒๒ ขนั ธกะ พุทธพจนห มวดพระอภิธรรม คือ หลกั หรอื ๒๒ บทตอน (คือรวมขอ ๓ และ ธรรมและคําอธิบายท่เี ปนหลกั วิชาลว นๆ ๔ เขาดวยกัน) ๓. ปริวาร คัมภีร ประกอบ (คอื ขอ ๕ ขา งบน) ไมเ กี่ยวดว ยบคุ คลหรือเหตกุ ารณ แบง ๒. พระสุตตันตปฎก ประมวล เปน ๗ คัมภีร (เรียกยอหรือหัวใจวา สํ วิ ธา ปุ ก ย ป) คือ ๑. สังคณี หรือ พทุ ธพจนห มวดพระสตู ร คอื พระธรรม- ธัมมสังคณี รวมขอธรรมเขาเปนหมวด หมแู ลว อธิบายทลี ะประเภทๆ ๒. วภิ งั ค เทศนา คาํ บรรยายธรรมตางๆ ที่ตรัส ยกหมวดธรรมสําคัญๆ ข้ึนตั้งเปนหัว ยักเยื้องใหเหมาะกับบุคคลและโอกาส เรื่องแลวแยกแยะออกอธิบายชี้แจง วินิจฉัยโดยละเอียด ๓. ธาตุกถา ตลอดจนบทประพันธ เร่ืองเลา และ สงเคราะหขอธรรมตางๆ เขาในขันธ เร่ืองราวทั้งหลายท่ีเปนชั้นเดิมในพระ พทุ ธศาสนา แบง เปน ๕ นิกาย (เรียก
ไตรปฎ ก ๑๑๑ ไตรปฎก อายตนะ ธาตุ ๔. ปุคคลบัญญัติ อุโบสถ จาํ พรรษา และปวารณา บัญญัติความหมายของบุคคลประเภท เลม ๕ มหาวรรค ภาค ๒ มี ๖ ขนั ธกะ วาดวยเรอ่ื งเคร่อื งหนงั เภสัช กฐิน จวี ร ตางๆ ตามคุณธรรมท่ีมีอยูในบุคคล น้ันๆ ๕. กถาวัตถุ แถลงและวินิจฉัย นิคหกรรม และการทะเลาะวิวาทและ ทัศนะของนิกายตางๆ สมัยสังคายนา ครัง้ ท่ี ๓ ๖. ยมก ยกหวั ขอ ธรรมขน้ึ สามัคคี วินิจฉยั ดว ยวธิ ีถามตอบ โดยตง้ั คาํ ถาม เลม ๖ จลุ วรรค ภาค ๑ มี ๔ ขนั ธกะ วา ยอ นกนั เปน คๆู ๗. ปฏ ฐาน หรอื มหา- ดวยเรือ่ งนคิ หกรรม วุฏฐานวธิ ี และการ ปกรณ อธบิ ายปจจยั ๒๔ แสดงความ สัมพันธเน่ืองอาศัยกันแหงธรรมทั้ง ระงบั อธกิ รณ เลม ๗ จลุ วรรค ภาค ๒ มี ๘ ขันธกะ หลายโดยพสิ ดาร วาดวยขอบัญญัติปลีกยอย เร่ือง พระไตรปฎกบาลีที่พิมพดวยอักษร เสนาสนะ สังฆเภท วตั รตา งๆ การงด ไทย ทา นจัดแบง เปน ๔๕ เลม แสดง สวดปาฏิโมกข เร่ืองภิกษุณี เร่ือง พอใหเห็นรปู เคาดงั น้ี สังคายนาครง้ั ที่ ๑ และคร้งั ที่ ๒ ก. พระวินยั ปฎ ก ๘ เลม เลม ๘ ปริวาร คมู ือถามตอบซอมความ เลม ๑ มหาวิภังค ภาค ๑ วาดวย รูพระวินัย ปาราชิก สังฆาทิเสส และอนิยต- ข. พระสตุ ตันตปฎ ก ๒๕ เลม ๑. ทฆี นิกาย ๓ เลม สิกขาบท (สิกขาบทในปาฏิโมกขฝาย เลม ๙ สลี ขันธวรรค มพี ระสูตรขนาด ยาว ๑๓ สูตร หลายสูตรกลาวถงึ จลุ ศีล ภกิ ษุสงฆ ๑๙ ขอ แรก) เลม ๒ มหาวภิ งั ค ภาค ๒ วาดว ย มชั ฌิมศีล มหาศลี สิกขาบทเก่ียวกับอาบัติเบาของภิกษุ เลม ๑๐ มหาวรรค มีพระสูตรยาว ๑๐ สตู ร สว นมากชอื่ เร่ิมดว ย มหา เชน (เปน อันครบสกิ ขาบท ๒๒๗ หรอื ศีล มหาปรนิ พิ พานสตู ร มหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร ๒๒๗) เปน ตน เลม ๓ ภกิ ขุนวี ิภังค วาดวยสิกขาบท เลม ๑๑ ปาฏกิ วรรค มีพระสูตรยาว ๓๑๑ ของภิกษณุ ี ๑๑ สตู ร เรมิ่ ดวยปาฏกิ สตู ร หลายสตู ร เลม ๔ มหาวรรค ภาค ๑ มี ๔ ขันธกะ วาดวยการอุปสมบท (เร่ิมเร่ืองต้ังแต มชี อื่ เสยี ง เชน จกั กวตั ตสิ ตู ร อคั คญั ญ- ตรัสรูและประดิษฐานพระศาสนา) สูตร สงิ คาลกสูตร และสังคตี สิ ูตร
ไตรปฎก ๑๑๒ ไตรปฎก ๒. มชั ฌิมนกิ าย ๓ เลม ปกขิยธรรม ๓๗ แตเรียงลําดับเปน เลม ๑๒ มลู ปณณาสก บน้ั ตน มีพระ สตู รขนาดกลาง ๕๐ สูตร มรรค โพชฌงค สตปิ ฏฐาน อนิ ทรีย เลม ๑๓ มัชฌิมปณณาสก บ้ันกลาง มี พระสูตรขนาดกลาง ๕๐ สูตร สัมมปั ปธาน พละ อทิ ธิบาท รวมท้งั เลม ๑๔ อุปรปิ ณณาสก บน้ั ปลาย มี พระสูตรขนาดกลาง ๕๒ สูตร เรอ่ื งที่เกีย่ วของ เชน นวิ รณ สังโยชน ๓. สงั ยตุ ตนิกาย ๕ เลม เลม ๑๕ สคาถวรรค รวมคาถาภาษติ ที่ อริยสัจจ ฌาน ตลอดถึงองคคุณของ ตรัสและกลาวตอบบุคคลตางๆ เชน พระโสดาบันและอานิสงสของการบรรลุ เทวดา มาร ภกิ ษณุ ี พราหมณ พระเจา โสดาปตติผล จดั เปน ๑๒ สังยุตต (พึง โกศล เปนตน จัดเปนกลุมเรื่องตาม สังเกตวาคัมภีรน้ีเร่ิมตนดวยการย้ํา บุคคลและสถานท่ี มี ๑๑ สังยุตต เลม ๑๖ นิทานวรรค คร่งึ เลมวาดวย ความสําคัญของความมีกัลยาณมิตร เหตุปจจัย คือหลักปฏิจจสมุปบาท เปน จดุ เร่ิมตนเขาสูมรรค) นอกน้ันมีเรื่องธาตุ การบรรลุธรรม ๔. องั คุตตรนิกาย ๕ เลม เลม ๒๐ เอก–ทุก–ตกิ นบิ าต วาดวย สงั สารวัฏ ลาภสกั การะ เปน ตน จัดเปน ธรรมหมวด ๑, ๒, ๓ รวมทั้งเรื่อง ๑๐ สังยตุ ต เอตทัคคะ เลม ๑๗ ขันธวารวรรค วา ดว ยเร่ือง เลม ๒๑ จตกุ กนบิ าต วา ดว ยธรรมหมวด ๔ ขันธ ๕ ในแงม ุมตา งๆ มเี รอื่ งเบ็ดเตล็ด เลม ๒๒ ปญ จก–ฉกั กนิบาต วา ดวย ธรรมหมวด ๕, ๖ รวมทั้งเรอื่ งสมาธิและทิฏฐิตา งๆ ปะปน เลม ๒๓ สัตตก–อัฏฐก–นวกนบิ าต วา ดวยธรรมหมวด ๗, ๘, ๙ อยูบ าง จดั เปน ๑๓ สงั ยุตต เลม ๒๔ ทสก–เอกาทสกนิบาต วา ดว ย เลม ๑๘ สฬายตนวรรค เกอื บคร่งึ เลม ธรรมหมวด ๑๐, ๑๑ วา ดวยอายตนะ ๖ ตามแนวไตรลักษณ ในอังคุตตรนิกายมีขอธรรมหลาก เร่ืองอื่นมีเบญจศีล ขอปฏิบัติใหถึง หลายลักษณะ ตั้งแตทิฏฐธัมมิกัตถะ อสังขตะ อนั ตคาหิกทฏิ ฐิ เปนตน จัด ถงึ ปรมตั ถะ ทงั้ สาํ หรบั บรรพชติ และ เปน ๑๐ สงั ยุตต เลม ๑๙ มหาวารวรรค วาดว ยโพธิ- สาํ หรบั คฤหัสถ กระจายกันอยโู ดยเรยี ง ตามจํานวน ๕. ขทุ ทกนิกาย ๙ เลม เลม ๒๕ รวมคมั ภรี ยอ ย ๕ คอื ขทุ ทก-
ไตรปฎ ก ๑๑๓ ไตรปฎก ปาฐะ (บทสวดยอยๆ โดยเฉพาะ เลม ๒๘ ชาดก ภาค ๒ รวมคาถาอยา ง มงคลสูตร รตนสูตร กรณยี เมตตสตู ร) ในภาค ๑ นน้ั เพมิ่ อีก แตเปน เร่ืองอยา ง ธรรมบท (เฉพาะตัวคาถาท้ัง ๔๒๓) ยาว ต้ังแตเรื่องมี ๕๐ คาถา (ปญ ญาส- อทุ าน (พุทธอุทาน ๘๐) อิตวิ ุตตกะ นบิ าต) ถงึ เรอ่ื งมีคาถามากมาย (มหา- (พระสูตรท่ีไมขึ้นตนดวย เอวมเฺ ม สตุ ํ นิบาต) จบลงดวยมหาเวสสันดรชาดก แตเ ชื่อมความเขาสคู าถาดว ยคาํ วา อติ ิ ซ่ึงมี ๑,๐๐๐ คาถา รวมอีก ๒๒ เรือ่ ง วุจฺจติ รวม ๑๑๒ สตู ร) และ สุตต- บรรจบทง้ั ๒ ภาค เปน ๕๔๗ ชาดก นบิ าต (ชมุ นมุ พระสตู รชดุ พิเศษ ซ่ึงเปน เลม ๒๙ มหานิทเทส ภาษิตของพระ คาถาลวนหรือมีความนําเปนรอยแกว สารีบตุ รอธิบายขยายความพระสตู ร ๑๖ สตู ร ในอัฏฐกวรรคแหง สุตตนิบาต รวม ๗๑ สูตร) เลม ๓๐ จูฬนทิ เทส ภาษิตของพระ สารีบตุ รอธิบายขยายความพระสตู ร ๑๖ เลม ๒๖ มคี ัมภรี ยอ ยที่เปน คาถาลว น สตู รในปารายนวรรคและขคั ควสิ าณสตู ร ๔ คือ วมิ านวตั ถุ (เรื่องผูเ กิดในสวรรค ในอรุ ควรรค แหงสุตตนบิ าต อยูวิมาน เลาการทําความดีของตนใน เลม ๓๑ ปฏิสมั ภิทามรรค ภาษติ ของ พระสารีบุตรอธิบายขอธรรมที่ลึกซ้ึง อดีต ที่ทําใหไดไปเกิดเชนนั้น ๘๕ ตา งๆ เชนเรอ่ื ง ญาณ ทฏิ ฐิ อานาปาน เร่ือง) เปตวตั ถุ (เร่อื งเปรตเลา กรรมช่ัว อินทรีย วิโมกข เปน ตน อยา งพิสดาร ในอดีตของตน ๕๑ เรือ่ ง) เถรคาถา เปนทางแหงปญญาแตกฉาน (คาถาของพระอรหันตเถระ ๒๖๔ รปู ท่ี เลม ๓๒ อปทาน ภาค ๑ คาถาประพนั ธ แสดงประวตั ิโดยเฉพาะในอดตี ชาติ เริ่ม กลาวแสดงความรูสึกสงบประณีตใน ดวยพุทธอปทาน (ประวัตขิ องพระพทุ ธ- การบรรลุธรรม เปนตน) เถรีคาถา เจา) ปจ เจกพุทธอปทาน (เรื่องราวของ (คาถาของพระอรหันตเถรี ๗๓ รปู ท่ี พระปจเจกพุทธเจา) ตอดวยเถร- อปทาน (อัตตประวัตแิ หง พระอรหนั ต- กลาวแสดงความรูสึกเชนนนั้ ) เถระ) เรียงลําดับเร่ิมแตพระสารีบุตร เลม ๒๗ ชาดก ภาค ๑ รวมคาถาแสดง ตามดวยพระมหาโมคคัลลานะ พระ คติธรรมท่ีพระพุทธเจาตรัสเม่ือครั้งเปน มหากสั สปะ พระอนรุ ทุ ธะ พระปณุ ณ- พระโพธิสัตวในอดีตชาติ และมีคาถา ภาษิตของผอู น่ื ปนอยบู าง ภาคแรก ตงั้ แตเ ร่ืองท่มี คี าถาเดียว (เอกนิบาต) ถงึ เร่อื งมี ๔๐ คาถา (จัตตาฬสี นิบาต) รวม ๕๒๕ เร่อื ง
ไตรปฎ ก ๑๑๔ ไตรปฎก มันตานีบตุ ร พระอุบาลี พระอัญญา- ค. พระอภิธรรมปฎก ๑๒ เลม โกณฑัญญะ พระปณโฑลภารทวาชะ เลม ๓๔ ธรรมสงั คณี ตนเลม แสดง พระขทริ วนยิ เรวตะ พระอานนท ตอ เรอื่ ย มาตกิ า (แมบท) อนั ไดแ กบทสรุปแหง ไปจนจบภาค ๑ รวมพระอรหนั ตเถระ ธรรมทัง้ หลายทจ่ี ัดเปนชดุ ๆ มีทั้งชุด ๓ ๔๑๐ รูป เชนจัดทุกสิ่งทุกอยางประดามีเปนกุศล- เลม ๓๓ อปทาน ภาค ๒ คาถาประพนั ธ ธรรม อกุศลธรรม อัพยากฤตธรรม ชุด แสดงอตั ตประวตั พิ ระอรหนั ตเถระตอ อกี หนึ่ง เปนอดีตธรรม อนาคตธรรม จนถงึ รปู ที่ ๕๕๐ ตอ นนั้ เปน เถรอี ปทาน ปจ จุบนั ธรรม ชุดหนึง่ ฯลฯ และชดุ ๒ แสดงเรอ่ื งราวของพระอรหันตเถรี ๔๐ เชนจัดทุกสิ่งทุกอยางเปนสังขตธรรม เร่อื ง เร่ิมดว ยพระเถรีทีไ่ มคุนนาม ๑๖ อสงั ขตธรรม ชดุ หนึ่ง รูปธรรม อรูป- รูป ตอ ดว ยพระเถรีที่สาํ คัญเรียงลาํ ดับ ธรรม ชุดหนึง่ โลกยี ธรรม โลกตุ ตร- คือพระมหาปชาบดีโคตมี พระเขมา ธรรม ชุดหนึ่งเปนตน รวมท้งั หมดมี พระอุบลวรรณา พระปฏาจารา พระ ๑๖๔ ชดุ หรอื ๑๖๔ มาตกิ า จากนนั้ กณุ ฑลเกสี พระกสี าโคตมี พระธรรม- ขยายความมาติกาท่ี ๑ เปนตัวอยาง ทนิ นา พระสกลุ า พระนันทา พระโสณา แสดงใหเห็นกุศลธรรม อกุศลธรรม พระภัททกาปลานี พระยโสธรา และ และอัพยากฤตธรรม ท่กี ระจายออกไป ทานอืน่ ๆ ตอ ไปจนจบ ครั้นจบอปทาน โดย จิต เจตสิก รปู และนิพพาน ทา ย แลว ทายเลม ๓๓ นี้ มคี มั ภีร พทุ ธวงส เลมมอี กี ๒ บท แสดงคาํ อธบิ ายยอหรือ เปนคาถาประพันธแสดงเรื่องของพระ คําจํากัดความขอธรรมทั้งหลายใน พุทธเจาในอดีต ๒๔ พระองคที่พระ มาติกาที่กลาวถึงขางตนจนครบ ๑๖๔ พุทธเจาพระองคปจจุบันเคยไดทรงเฝา มาตกิ า ไดคาํ จาํ กดั ความขอธรรมใน ๒ และไดรับพยากรณ จนถึงประวัติของ บท เปน ๒ แบบ (แตบททายจํากัด พระองคเ อง รวมเปนพระพุทธเจา ๒๕ ความไวเพยี ง ๑๒๒ มาตกิ า) พระองค จบแลวมีคัมภีรสั้นๆ ช่ือ เลม ๓๕ วภิ ังค ยกหลกั ธรรมสาํ คัญๆ จริยาปฎก เปน ทายสุด แสดงพทุ ธจรยิ า ขึ้นมาแจกแจงแยกแยะอธิบายกระจาย ในอดตี ชาติ ๓๕ เร่อื งที่มีแลวในชาดก ออกใหเห็นทุกแงจนชัดเจนจบไปเปน แตเ ลา ดว ยคาถาประพนั ธใ หม ชตี้ วั อยา ง เร่อื งๆ รวมอธบิ ายทัง้ หมด ๑๘ เรื่องคอื การบําเพญ็ บารมีบางขอ ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อรยิ สจั จ
ไตรปฎ ก ๑๑๕ ไตรปฎก ๔ อินทรยี ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท สติปฏ- เลม ๓๘ ยมก ภาค ๑ คมั ภรี อ ธิบายหลกั ธรรมสําคัญใหเห็นความหมายและ ฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ ขอบเขตอยางชดั เจน และทดสอบความ รูอยา งลกึ ซ้ึง ดว ยวธิ ตี ั้งคําถามยอนกัน โพชฌงค ๗ มรรคมอี งค ๘ ฌาน อปั - เปนคูๆ (ยมก แปลวา “คู”) เชน ถามวา ธรรมท้ังปวงที่เปนกุศล เปนกุศลมูล ปมัญญา ศลี ๕ ปฏิสัมภิทา ๔ ญาณ หรือวาธรรมทั้งปวงทเี่ ปนกุศลมูล เปน กุศล, รปู (ทั้งหมด) เปน รูปขันธ หรอื วา ประเภทตางๆ และเบ็ดเตล็ดวาดวย รปู ขันธ (ทงั้ หมด) เปนรูป, ทุกข (ท้งั หมด) เปนทุกขสัจจ หรอื วาทุกขสจั จ อกุศลธรรมตางๆ อธิบายเรื่องใด ก็ (ทัง้ หมด) เปนทุกข หลกั ธรรมท่นี ํามา เรียกวา วิภังคข องเรอ่ื งนั้นๆ เชน อธิบาย อธบิ ายในเลม น้ีมี ๗ คือ มลู (เชน ใน ขนั ธ ๕ กเ็ รียก ขันธวภิ ังค เปนตน รวม กุศลมูล) ขนั ธ อายตนะ ธาตุ สจั จะ มี ๑๘ วิภงั ค สงั ขาร อนุสยั ถามตอบอธบิ ายเรอื่ งใด เลม ๓๖ ธาตกุ ถา นาํ ขอธรรมในมาตกิ า กเ็ รยี กวา ยมกของเรอื่ งนน้ั ๆ เชน มลู ยมก ทั้งหลายและขอธรรมอ่นื ๆ อีก ๑๒๕ ขนั ธยมก เปนตน เลมนีจ้ งึ มี ๗ ยมก เลม ๓๙ ยมก ภาค ๒ ถามตอบอธบิ าย อยา ง มาจัดเขาในขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ หลักธรรมเพมิ่ เตมิ จากภาค ๑ อกี ๓ เรอ่ื ง คือ จติ ตยมก ธรรมยมก (กศุ ล– และธาตุ ๑๘ วา ขอใดไดหรอื ไมไดใน อกุศล–อัพยากตธรรม) อินทรียยมก อยา งไหนๆ และปคุ คลบญั ญตั ิ บัญญัติ บรรจบเปน ๑๐ ยมก) ความหมายของชือ่ ท่ีใชเ รยี กบุคคลตางๆ เลม ๔๐ ปฏฐาน ภาค ๑ คมั ภีรป ฏ ฐาน ตามคณุ ธรรม เชน วา โสดาบนั ไดแก อธบิ ายปจจัย ๒๔ โดยพิสดาร แสดง บคุ คลผลู ะสงั โยชน ๓ ไดแลว ดงั นี้ ความสัมพันธอิงอาศัยเปนปจจัยแกกัน แหงธรรมทั้งหลายในแงดานตางๆ เปนตน ธรรมที่นํามาอธิบายก็คือขอธรรมที่มีใน เลม ๓๗ กถาวตั ถุ คมั ภรี ท พี่ ระโมคคลั ล-ี มาติกาคือแมบทหรือบทสรุปธรรมซึ่ง บุตรติสสเถระ ประธานการสังคายนา กลาวไวแ ลว ในคมั ภีรสงั คณีนนั่ เอง แต ครง้ั ที่ ๓ เรยี บเรยี งขน้ึ เพอื่ แกค วามเหน็ ผดิ ของนกิ ายตา งๆ ในพระพทุ ธศาสนา คร้ังน้ัน ซึ่งไดแตกแยกกันออกไปแลว ถึง ๑๘ นิกาย เชน ความเห็นวา พระ อรหันตเส่ือมจากอรหัตตผลได เปน พระอรหันตพรอมกับการเกิดได ทุก อยา งเกดิ จากกรรม เปน ตน ประพนั ธเ ปน คําปุจฉาวิสัชนา มที ้ังหมด ๒๑๙ กถา
ไตรปฎ ก ๑๑๖ ไตรปฎก อธิบายเฉพาะ ๑๒๒ มาติกาแรกทเี่ รียก เรยี กวา อนโุ ลมปฏฐาน) วา อภิธรรมมาตกิ า ปฏ ฐานเลมแรกน้ี เลม ๔๑ ปฏ ฐาน ภาค ๒ อนุโลมตกิ - อธบิ ายความหมายของปจ จยั ๒๔ เปน ปฏ ฐาน ตอ คอื อธิบายความเปนปจจยั การปูพื้นความเขา ใจเบ้อื งตนกอ น จาก แกกันแหงธรรมทงั้ หลายในแมบทชดุ ๓ นัน้ จงึ เขาสูเนอื้ หาของเลม คอื อนโุ ลม- ตอ จากเลม ๔๐ เชน อดีตธรรมเปน ติกปฏฐาน อธิบายความเปนปจจัยแก ปจจัยแกปจจุบันธรรม โดยอารัมมณ- กันแหงธรรมท้ังหลายในแมบทชุด ๓ ปจจัย (พิจารณารูปเสียงเปนตนท่ีดับ (ตกิ มาติกา) โดยปจ จยั ๒๔ นนั้ เชนวา เปน อดตี ไปแลว วา เปนของไมเ ทยี่ ง เปน กุศลธรรมเปนปจจัยแกกุศลธรรมโดย ทุกข เปนอนัตตา เกิดความโทมนัสข้ึน อุปนสิ สยปจ จัย (เพราะศรัทธา จึงให ฯลฯ) เปนตน ทาน จงึ สมาทานศลี จงึ บาํ เพ็ญฌาน จึง เลม ๔๒ ปฏ ฐาน ภาค ๓ อนุโลมทกุ - เจรญิ วปิ ส สนา ฯลฯ) กศุ ลธรรมเปน ปจ จยั ปฏฐาน อธิบายความเปนปจ จยั แกก นั แกอกศุ ลธรรมโดยอุปนิสสยปจจัย (คิด แหงธรรมทั้งหลาย ในแมบทชุด ๒ ถงึ ทานท่ีตนไดให ศลี ท่ีไดร กั ษาแลว ดี (ทุกมาติกา) เชน โลกยี ธรรมเปนปจจยั ใจ ยึดเปน อารมณแนน หนาจนเกิดราคะ แกโลกียธรรม โดยอารัมมณปจจัย ทิฏฐ,ิ มีศรทั ธา มีศลี มปี ญญา แลว เกิด (รปู ายตนะ เปน ปจ จัยแกจักขุวิญญาณ มานะวา ฉันดกี วา เกง กวา หรอื เกิด ฯลฯ) ดังนี้ เปนตน ทิฏฐิวา ตองทําอยางเรานเ้ี ทา นัน้ จงึ ถูก เลม ๔๓ ปฏ ฐาน ภาค ๔ อนโุ ลมทกุ - ตอ ง ฯลฯ) อกศุ ลธรรมเปนปจจัยแก ปฏฐาน ตอ กุศลธรรมโดยอุปนิสสยปจจัย (เพราะ เลม ๔๔ ปฏ ฐาน ภาค ๕ ยงั เปน อนโุ ลม- ความอยากบางอยางหรือเพราะมานะ ปฏ ฐาน แตอ ธบิ ายความเปน ปจ จยั แกก นั หรอื ทฏิ ฐิ จงึ ใหท าน จงึ รกั ษาศีล จงึ ทาํ ให แหง ธรรมทงั้ หลายในแมบ ทตา งๆ ขา มชดุ ฌานเกิด ฯลฯ) กุศลธรรมเปน ปจ จยั แก กันไปมา ประกอบดว ย อนโุ ลมทกุ ติก- อกศุ ลธรรม โดยอารมั มณปจจัย (คิดถงึ ปฏ ฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) ฌานท่ีตนเคยไดแตเสื่อมไปเสียแลว กบั ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) เชน เกดิ ความโทมนัส ฯลฯ) อยางนีเ้ ปน ตน อธบิ าย “กศุ ลธรรมท่เี ปน โลกุตตรธรรม (เลมน้ีอธิบายแตในเชิงอนุโลมคือตาม เปนปจจัยแกกุศลธรรมที่เปนโลกีย- นัยปกติไมอธิบายตามนัยปฏิเสธ จึง ธรรม โดยอธิปติปจ จยั ” เปน อยา งไร
ไตรปฎก ๑๑๗ ไตรปฎก เปนตน อนุโลมติกทกุ ปฏ ฐาน ธรรมใน อธิบายโดยใชธ รรมในแมบทชุด ๓ แลว แมบทชุด ๓ (ติกมาตกิ า) กับธรรมใน ตอดวยชดุ ๒ แลวขา มชุดระหวา งชุด ๒ แมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) อนโุ ลมตกิ ตกิ - กบั ชดุ ๓ ชดุ ๓ กบั ชุด ๒ ชุด ๓ กับ ปฏ ฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) ชุด ๓ ชุด ๒ กบั ชุด ๒ จนครบทง้ั หมด กบั ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) เหมอื นกนั ดงั นนั้ แตล ะแบบจงึ แยกซอย ละเอยี ดออกไปเปน ตกิ - ทกุ - ทุกติก- โยงระหวางตางชุดกนั เชน อธบิ ายวา ติกทุก- ติกติก- ทุกทุก- ตามลําดับ (เขียนใหเต็มเปน ปจจนียติกปฏฐาน กุศลธรรมที่เปนอดีตธรรมเปนปจจัยแก ปจ จนยี ทกุ ปฏ ฐาน ปจ จนยี ทกุ ตกิ ปฏ ฐาน ฯลฯ ดังน้ีเรื่อยไป จนถึงทายสุดคือ อกุศลธรรมท่ีเปนปจจุบันธรรม เปน ปจ จนยี านุโลมทกุ ทกุ ปฏ ฐาน) อยางไร เปนตน อนุโลมทุกทกุ ปฏฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๒(ทกุ มาตกิ า)กบั ธรรม คัมภีรปฏฐานน้ี ทานอธิบายคอน ขางละเอยี ดเฉพาะเลมตน ๆ เทานัน้ เลม ในแมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) โยงระหวา ง หลังๆ ทานแสดงไวแตหัวขอหรือแนว และทิ้งไวใหผูเขาใจแนวน้ันแลวเอาไป ตางชุดกัน เชน ชุดโลกียะ โลกุตตระ แจกแจงโดยพสิ ดารเอง โดยเฉพาะเลม สุดทายคือภาค ๖ แสดงไวยน ยอทีส่ ุด กับชุดสงั ขตะ อสังขตะ เปนตน แมก ระนัน้ ก็ยังเปนหนังสือถงึ ๖ เลม เลม ๔๕ ปฏ ฐาน ภาค ๖ เปน ปจจนีย- หรือ ๓,๓๒๐ หนากระดาษพิมพ ถา ปฏฐาน คืออธิบายความเปนปจจัยแก อธิบายโดยพิสดารทั้งหมดจะเปนเลม หนังสืออีกจํานวนมากมายหลายเทาตัว กันแหงธรรมท้ังหลายอยางเลมกอนๆ ทานจึงเรียกปฏฐานอกี ชอื่ หนึ่งวา มหา- ปกรณ แปลวา “ตาํ ราใหญ” ใหญท ง้ั นน่ั เอง แตอธบิ ายแงปฏิเสธ แยกเปน โดยขนาดและโดยความสาํ คญั ปจจนียปฏฐาน คือ ปฏิเสธ+ปฏิเสธ เชน วา ธรรมท่ีไมใชก ุศล อาศยั ธรรมที่ พระอรรถกถาจารยกลาววา พระ ไตรปฎกมีเน้อื ความท้ังหมด ๘๔,๐๐๐ ไมใชกุศลเกิดข้ึนโดยเหตุปจจัย เปน พระธรรมขนั ธ แบงเปน พระวินยั ปฎ ก อยางไร อนุโลมปจจนียปฏฐาน คือ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ พระสตุ ตนั ต- อนโุ ลม+ปฏเิ สธ เชน วา อาศยั โลกยิ ธรรม ธรรมที่ไมใชโลกุตตรธรรมเกิดข้ึนโดย เหตปุ จจยั เปนอยางไร ปจ จนียานุโลม- ปฏฐาน คอื ปฏิเสธ+อนุโลม เชน วา อาศัยธรรมท่ีไมใชกุศล ธรรมท่ีเปน อกศุ ล เกิดข้ึนโดยเหตุปจจัย เปนอยาง ไร และในท้งั ๓ แบบน้ี แตล ะแบบ จะ
ไตรเพท ๑๑๘ ไตรวัฏฏ ปฎ ก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ และพระ อยูม ิได ๓. อนัตตตา ความเปน ของมใิ ช อภิธรรมปฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ ตวั ตน (คนไทยนยิ มพดู สน้ั ๆ วา อนิจจงั ไตรเพท พระเวท ๓ อยา ง ซึง่ เปนคมั ภรี ทกุ ขัง อนตั ตา และแปลงายๆ วา “ไม ศักดส์ิ ิทธส์ิ งู สดุ ของศาสนาพราหมณ ได เท่ียง เปนทกุ ข เปนอนตั ตา”) แก ๑. ฤคเวท ประมวลบทสวดสรรเสรญิ เทพเจา ๒. ยชรุ เวท ประกอบดวยบท ลกั ษณะเหลานม้ี ี ๓ อยา ง จึงเรียก สวดออนวอนในพิธีบูชายัญตางๆ ๓. วา ไตรลกั ษณ, ลกั ษณะท้ัง ๓ เหลา นี้ สามเวท ประมวลบทเพลงขบั สาํ หรบั สวด มีแกธรรมท่ีเปนสังขตะคือสังขารท้ังปวง หรือรอ งเปนทํานองในพธิ ีบูชายญั ตอ มา เพมิ่ อถรรพเวท หรอื อาถรรพณเวท อนั เปนสามัญเสมอเหมือนกัน จึงเรียกวา สามัญลักษณะ (ไมสามัญแกธรรมที่ เปนอสังขตะคือวิสังขาร ซ่ึงมีเฉพาะ วาดวยคาถาทางไสยศาสตรเขามาอีก ลักษณะที่สามคืออนัตตตาอยางเดียว เปน ๔ ไมมีลักษณะสองอยางตน); ลักษณะ ไตรภพ ภพ ๓ คอื กามภพ รปู ภพ และ อรูปภพ; ดู ภพ เหลา นเ้ี ปน ของแนน อน เปน กฎธรรมชาติ ไตรภมู ิ ภูมิ ๓ หมายถงึ โลกยี ภมู ทิ ง้ั ๓ มอี ยตู ามธรรมดา จงึ เรยี กวา ธรรมนยิ าม คอื กามภูมิ รปู ภมู ิ และอรปู ภูมิ (เรยี ก พงึ ทราบวา พระบาลใี นพระไตรปฎ ก เรียกวา ธรรมนิยาม (ธมฺมนิยามตา) เต็มวา กามาวจรภมู ิ รูปาวจรภูมิ และ สว น ไตรลักษณ และ สามัญลกั ษณะ อรปู าวจรภมู )ิ ไมน บั ภมู ทิ ี่ ๔ คอื โลกตุ ตร- เปนคาํ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในยุคอรรถกถา ภมู ิ อนั พน เหนอื ไตรภมู นิ นั้ ; ดู ภมู ิ ไตรลิงค สามเพศ หมายถงึ คําศัพทท่ี ไตรมาส สามเดอื น เปนไดท้ังสามเพศในทางไวยากรณ ไตรรัตน แกวสามประการ หมายถึง กลา วคอื ปงุ ลงิ ค เพศชาย อิตถีลิงค เพศหญิง นปุงสกลิงค มิใชเพศชาย พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ไตรลักษณ ลักษณะสาม อาการทเ่ี ปน และหญิง; คาํ บาลีท่ีเปนไตรลงิ ค เชน เคร่ืองกําหนดหมายใหรูถึงความจริง นิพพฺ โุ ต นิพฺพตุ า นพิ พฺ ุตํ เปน ปุงลงิ ค ของสภาวธรรมท้ังหลาย ท่ีเปนอยาง อิตถีลงิ ค และนปงุ สกลิงค ตามลาํ ดับ นนั้ ๆ ๓ ประการ ไดแก ๑. อนิจจตา ไตรวฏั ฏ วฏั ฏะ ๓, วงวน ๓ หรอื วงจร ๓ ความเปนของไมเที่ยง ๒. ทุกขตา สวนของปฏจิ จสมุปบาทซง่ึ หมุนเวียนสืบ ความเปนทุกขหรือความเปนของคงทน ทอดตอ ๆ กนั ไป ทาํ ใหม กี ารเวยี นวา ย
ไตรสรณะ ๑๑๙ ไตรสรณคมน ตายเกดิ หรอื วงจรแหง ทกุ ข ไดแ ก กเิ ลส ถึงรัตนะท้งั สาม คือ พระพทุ ธเจา พระ กรรม และ วบิ าก (เรยี กเตม็ วา ๑. กเิ ลส- ธรรม พระสงฆ เปน ที่พ่ึงท่ีระลกึ วัฏฏ ประกอบดวยอวิชชา ตัณหา คําถึงไตรสรณะดังน้ี: “พุทฺธํ สรณํ อปุ าทาน ๒. กรรมวฏั ฏ ประกอบดว ย คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพุทธเจาเปน สงั ขาร ภพ ๓. วปิ ากวฏั ฏ ประกอบดว ย สรณะ), “ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขา พเจา วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ ถึงพระธรรมเปนสรณะ), “สงฺฆํ สรณํ เวทนา ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ คจฉฺ าม”ิ (ขา พเจา ถงึ พระสงฆเ ปน สรณะ); ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาส) คอื กเิ ลสเปน เหตุ “ทตุ ยิ มปฺ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขา พเจา ใหท าํ กรรม เมอื่ ทาํ กรรมกไ็ ดร บั วบิ ากคอื ถึงพระพุทธเจาเปนสรณะแมครงั้ ท่ี ๒), ผลของกรรมนั้น อันเปนปจจัยใหเกิด “ทตุ ยิ มปฺ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุตยิ มปฺ กิเลสแลวทํากรรมหมุนเวียนตอไปอีก สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ ; “ตตยิ มปฺ พทุ ธฺ ํสรณํ เชน เกิดกิเลสอยากไดข องเขา จงึ ทาํ คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพทุ ธเจา เปน กรรมดว ยการไปลกั ของเขามา ประสบ สรณะแมค รงั้ ท่ี ๓), “ตตยิ มปฺ ธมมฺ ํ สรณํ วิบากคือไดข องนนั้ มาเสพเสวย เกิดสขุ คจฉฺ าม,ิ ตตยิ มปฺ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ เวทนา ทําใหมีกิเลสเหิมใจอยากไดรุน การถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ ทํา แรงและมากย่ิงข้ึนจึงย่ิงทาํ กรรมมากขึ้น ใหเรามีเครื่องนําทางในการดําเนินชีวิต หรอื ในทางตรงขา ม ถกู ขดั ขวาง ไดร บั มีหลักยึดเหน่ียวจิตใจ มีแหลงท่ีสาด ทกุ ขเวทนาเปน วบิ าก ทาํ ใหเ กดิ กเิ ลสคอื สองใหแสงสวางแหงปญญา ทาํ ใหเกิด โทสะแคน เคอื ง แลว พยายามทาํ กรรมคอื ความมนั่ ใจ อบอนุ ใจ ปลอดภยั หาย ประทษุ รา ยเขา ฯลฯ เมอื่ เปน อยเู ปน ไป หวาดกลวั หายขนุ มวั เศรา หมอง มจี ติ ใจ อยางนี้ วงจรจะหมุนเวียนตอไปไมมีที่ เบิกบานผองใส เกิดความเขม แข็งทีจ่ ะ สนิ้ สดุ เปน อาการหมนุ วน หรอื วงกลม ทําความดีงามทําประโยชนใหสําเร็จ อนั หมนุ วน ทเี่ รยี กวา ภวจกั ร สงั สาร- เปน การไดก ลั ยาณมิตรสงู สดุ ที่จะช้ีนํา จกั ร หรอื สงั สารวฏั , ไตรวฏั กเ็ ขยี น; ดู ใหห ยดุ ยั้งถอนตนจากบาป ใหก าวไปใน ปฏิจจสมุปบาท กุศล พน จากอบาย บรรลุภมู ิทีส่ ูงขนึ้ ไป ไตรสรณะ ท่ีพึ่งสาม คือ พระพุทธเจา จนถึงความสุขแทที่เปนอิสระไรทุกขทั้ง พระธรรม พระสงฆ ปวง ท้ังนี้ จะตองมีศรทั ธาถูกตอง ท่ี ไตรสรณคมน การถงึ สรณะสาม, การ ประกอบดว ยปญญา นับถือโดยมีความ
ไตรสิกขา ๑๒๐ เถยยสังวาส รคู วามเขา ใจชดั เจนและมน่ั ใจ มใิ หส รณ- ๓ อยา ง คอื อธสิ ีลสกิ ขา อธจิ ติ ตสกิ ขา อธปิ ญญาสกิ ขา เรียกงา ยๆ สนั้ ๆ วา คมนนั้นเศราหมองดวยความไมรูหรือ ศลี สมาธิ ปญญา; ดู สกิ ขา ๓ เขา ใจผิดเพ้ยี นหลงงมงายหรือไมใ สใจ ไตรสกิ ขา สกิ ขาสาม, ขอ ปฏบิ ตั ทิ ตี่ อ งศกึ ษา ถ ถวนทศมาส ครบสบิ เดือน (ในการต้งั เครอ่ื งนุงหม ไมใชผาทีช่ าวบานถวาย; ดู ครรภ) ปงสุกลู กิ งั คะ ถวายพระเพลงิ ใหไฟ คือ เผา ถุลลโกฏฐิตนิคม นิคมแหงหนึ่งอยูใน ถวายอดเิ รก ดู อดเิ รก 2. แควน กุรุ ถอน (ในคาํ วา “รูจกั ถอนไตรจวี ร”) ยก ถลุ ลจั จยั “ความลวงละเมดิ ท่ีหยาบ”, ชอื่ เลกิ ของเดมิ ออกมาจากศพั ท ปจ จทุ ธรณ อาบัติหยาบอยางหน่ึงเปนความผิดขั้น ถมั ภะ หัวดอ้ื (ขอ ๑๑ ในอปุ กิเลส ๑๖) รองลงมาจากอาบัติสังฆาทิเสส เชน ถาวรวตั ถุ สิ่งของที่มัน่ คง ไดแกข องที่ ภิกษุชักส่ือใหชายหญิงเปนผัวเมียกัน สรา งดวยอฐิ ปนู หรอื โลหะ เชน โบสถ ตองอาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุชักสื่อ เจดยี วิหาร เปนตน บณั เฑาะก (กะเทย) ตอ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ถนี ะ ความหดห,ู ความทอ แทใจ ภิกษุนุงหมหนังเสืออยา งเดียรถยี ตอง ถีนมิทธะ ความหดหูและเซ่ืองซึม, อาบตั ถิ ุลลัจจยั ; ดู อาบตั ิ ความทีจ่ ิตหดหแู ละเคลบิ เคล้ิม, ความ ถณู คาม ตาํ บลทก่ี นั้ อาณาเขตมชั ฌมิ ชนบท งวงเหงาซมึ เซา (ขอ ๓ ในนวิ รณ ๕) ดานทศิ ตะวนั ตก เขียน ถนู คาม กม็ ี ถงึ ท่สี ุดเพท เรียนจบไตรเพท ถูปารหบุคคล บุคคลผูควรแกสถูปคือ ถือ (ในคาํ วา การใหถ ือเสนาสนะ) รบั บุคคลที่ควรนํากระดูกบรรจุสถูปไวบูชา แจก, รบั มอบ, ถือสิทธิ์ครอบครอง มี ๔ คือ ๑. พระพุทธเจา ๒. ปจเจก- ถอื บวช ถอื การเวนตา งๆ ตามขอกําหนด พุทธเจา ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระ ทางศาสนา เจาจกั รพรรดิ ถอื บงั สุกุล ใชผาเฉพาะทีไ่ ดจากกองฝุน เถยยสงั วาส ลกั เพศ, มใิ ชภ กิ ษุ แตป ลอม กองหยากเยอื่ คือผา ทเ่ี ขาท้ิงแลวมาทาํ เพศเปน ภกิ ษุ (พจนานุกรมเขียน เถย-
เถระ ๑๒๑ ทรมาน สงั วาส, เขยี นอยา งบาลเี ปน เถยยสงั วาสก) ของพระพุทธเจา วางเปนแบบแผนไวเ มอื่ เถระ พระผูใหญ ตามพระวนิ ัยกําหนดวา ๓ เดอื นหลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน ไดแ กพ ระ มพี รรษาต้ังแต ๑๐ ข้นึ ไป; เทยี บ นวกะ, พุทธศาสนาอยางท่ีนับถือแพรหลายใน มชั ฌิมะ ประเทศไทย พมา ลงั กา ลาว และกมั พชู า, เถรภมู ิ ข้นั หรอื ชั้นแหงพระเถระ, ระดับ บางทีเรียกวา พุทธศาสนาแบบดั้งเดิม อายุ คณุ ธรรม ความรู ท่นี ับวา เปนพระ และเพราะเหตุท่ีแพรหลายอยูในดิน ผใู หญ คือมีพรรษาต้งั แต ๑๐ ขนึ้ ไป แดนแถบใต จงึ เรยี กวา ทักษณิ นกิ าย และรปู าฏิโมกข เปนตน เทียบ นวกภมู ,ิ (นกิ ายฝายใต); ดู หนี ยาน, เทียบ มหายาน มชั ฌิมภูมิ เถรานุเถระ “เถระและอนุเถระ”, พระ เถรวาท “วาทะของพระเถระ” (หมายถงึ เถระผใู หญผูนอ ย พระเถระผูรักษาธรรมวินัยนับแตปฐม- เถรี พระเถระผหู ญิง สงั คายนา), พระพทุ ธศาสนาทสี่ บื มาแต ไถ ถงุ ยาวๆ สําหรับใสเ งนิ หรอื ส่งิ ของ ยคุ แรกสดุ ซงึ่ ถอื ตามหลกั ธรรมวินยั ที่ ไถยจติ จติ คิดจะลัก, จติ คดิ ขโมย, จิต พระอรหนั ตเถระ ๕๐๐ รปู ไดป ระชุม ประกอบดว ยความเปนขโมย ทําสังคายนาคร้ังแรกรวบรวมคําส่ังสอน ท ทธิ นมสม , นมเปรยี้ ว; ดู เบญจโครส ทมฬิ ชอื่ ชนเผาหนึ่งในเกาะลงั กา เคยชิง ทนต ฟน ราชสมบตั ิพระเจาวฏั ฏคามินอี ภัยได ทมะ การฝก , การฝกฝนปรับปรุงตน, ทรกรรม การทําใหลาํ บาก การรจู กั ขมจติ ขม ใจ บังคับควบคุมตน ทรง ใช, ถอื ครอง, เกบ็ ไว, มีไวเปนสทิ ธ,์ิ เองได ไมพดู ไมทาํ เพยี งตามทอ่ี ยาก แต ครอบครอง, ครอง, นุงหม เชนใน พูดและทําตามเหตุผลท่ีพิจารณาเห็น ประโยควา “พงึ ทรงอตเิ รกบาตรไว ๑๐ ดว ยปญ ญาวา ดงี ามสมควรเปน ประโยชน วันเปนอยางยิ่ง” และในประโยควา รูจกั ปรับตัวปรบั ใจ และแกไ ขปรบั ปรงุ “ภิกษุทรงอติเรกจีวรได ๑๐ วันเปน ตนดวยปญญาไตรตรองใหงอกงามดยี ง่ิ อยางยิ่ง” ข้นึ อยเู สมอ (ขอ ๒ ในฆราวาสธรรม ๔) ทรมาน ขม, ปราบ, ฝก, ทําใหเส่อื ม
ทรยศ ๑๒๒ ทสกะ พยศ, ทําใหเสอ่ื มการถือตัว, ทําใหก ลับ ทางใจ 2. ทางทํากรรม ๑. กายทวาร ทางกาย ๒. วจที วาร ทางวาจา ๓. มโน- ใจ บัดนม้ี กั หมายถงึ ทําใหล ําบาก ทรยศ คดิ รายตอ มติ รหรือผูม ีบุญคณุ ทวาร ทางใจ ทวดึงสกรรมกรณ วิธีลงโทษ ๓๒ ทวารบาล คนเฝา ประตู อยาง ซึ่งใชในสมยั โบราณ เชน โบย ทวารเบา ชอ งปส สาวะ ดว ยแส โบยดว ยหวาย ตีดว ยกระบอง ทวารรูป ดทู ่ี รปู ๒๘ ตดั มือ ตดั เทา ตัดหู ตดั จมูก ตดั ศีรษะ ทวารหนัก ชองอจุ จาระ ทวิช ชือ่ หน่ึงสําหรบั เรียกพราหมณ ใน เอาขวานผา อก เปนตน ทวดึงสาการ ดู ทวตั ติงสาการ ภาษาไทยเปน ทชิ าจารย หรอื ทวชิ าจารย ทวตั ตงิ สกรรมกรณ ดู ทวดงึ สกรรมกรณ ก็มี แปลวา “เกิดสองหน” หมายถึง เกดิ ทวัตติงสาการ อาการ ๓๒, สวน โดยกําเนิดครั้งหน่ึง เกิดโดยไดรับ ประกอบท่ีมีลักษณะตางๆ กัน ๓๒ ครอบเปนพราหมณคร้ังหนึ่ง เปรียบ อยาง ในรางกาย คอื ผม ขน เลบ็ ฟน เหมอื นนกซึ่งเกดิ สองหนเหมอื นกัน คือ หนงั เนือ้ เอน็ กระดูก เยือ่ ในกระดกู เกิดจากทองแมออกเปน ไขห นหนง่ึ เกดิ มาม หวั ใจ ตับ พงั ผดื ไต ปอด ไส จากไขเปนตัวอีกหนหนึ่ง นกจึงมีช่ือ ใหญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา เรียกวา ทวิช หรือ ทิช ซง่ึ แปลวา “เกดิ (อุจจาระ) มันสมอง ดี เสลด หนอง สองหน” อกี ช่ือหนึง่ ดว ย เลือด เหง่ือ มนั ขน น้าํ ตา มนั เหลว นา้ํ ทวบิ ท สตั วส องเทา มี กา ไก นก เปน ตน ลาย นาํ้ มูก ไขขอ มูตร (ปสสาวะ); ใน ทศพร ดู พร ๑๐ ขุททกปาฐะ (ฉบบั สยามรัฐ) เรยี งลาํ ดับ ทศพลญาณ ดู ทสพลญาณ มนั สมองไวเ ปน ขอ สดุ ทา ย; ทวตั ดงึ สาการ ทศพิธราชธรรม ดู ราชธรรม หรอื ทวดงึ สาการ กเ็ ขยี น ทศมาส สบิ เดือน ทวาบรยคุ , ทวาปรยคุ ดู กปั ทศวรรค สงฆม พี วกสิบ คือ สงฆพวกที่ ทวาร ประต,ู ทาง, ชองตามรา งกาย 1. กําหนดจาํ นวน ๑๐ รูปเปน อยา งนอยจึง ทางรับรอู ารมณ มี ๖ คือ ๑. จักขทุ วาร จะครบองค ทาํ สังฆกรรมประเภทนนั้ ๆ ทางตา ๒. โสตทวาร ทางหู ๓. ฆาน- ได เชน การอุปสมบทในมธั ยมประเทศ ทวาร ทางจมกู ๔. ชวิ หาทวาร ทางล้ิน ตองใชส งฆท ศวรรค ๕. กายทวาร ทางกาย ๖. มโนทวาร ทสกะ หมวด ๑๐
ทสพลญาณ ๑๒๓ ทกั ขิณา,ทักษณิ า ทสพลญาณ พระญาณเปนกําลังของ ชวยใหสัตวท้ังหลายเจริญดวยสมบัติดัง ปรารถนา, สิง่ ที่ใหโ ดยเชอ่ื กรรมและผล พระพทุ ธเจา ๑๐ ประการ เรียกตาม แหงกรรม (หรือโดยเชื่อปรโลก); บาลวี า ตถาคตพลญาณ (ญาณเปนกาํ ลงั “ทักขิณา” เดิมเปนคําที่ใชในศาสนา ของพระตถาคต) ๑๐ คอื ๑. ฐานาฐาน- พราหมณ (เขยี นอยา งสนั สกฤต เปน ญาณ ๒. กรรมวิปากญาณ ๓. สพั พัตถ- “ทกั ษณิ า”) หมายถึง ของท่ีมอบใหแก คามินีปฏิปทาญาณ ๔. นานาธาตุญาณ พราหมณ เปนคาตอบแทนในการ ๕. นานาธมิ ตุ ตกิ ญาณ ๖. อินทริยปโร- ประกอบพิธีบชู ายญั เมอื่ นํามาใชใ นพระ ปรยิ ตั ตญาณ ๗. ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ พุทธศาสนา นิยมหมายถงึ ปจจยั ๔ ที่ ๘. ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ๙. จตุ ปู ปาต- ถวายแกพระภิกษุสงฆ หรือใหแก ญาณ ๑๐. อาสวกั ขยญาณ; นิยมเขยี น ทกั ขไิ ณยบคุ คล ซ่งึ ในความหมายอยา ง ทศพลญาณ; ดู ญาณ ช่อื นนั้ ๆ สูง ไดแ กพระอริยสงฆ และในความ ทองอาบ ของอาบดวยทอง, ของชบุ ทอง, หมายท่กี วา งออกไป ไดแก ทา นผมู ศี ลี ผูทรงคุณทรงธรรม แมเปนคฤหัสถ ของแชทองคําใหจับผวิ เชน บิดามารดา ตลอดจนในความหมาย ทอด ในประโยควา “ทอดกรรมสทิ ธข์ิ อง อยางกวางที่สดุ ของทใ่ี หเพ่อื ชว ยเหลอื เก้ือกลู แมแ ตใหแ กส ัตวดิรัจฉาน ก็เปน ตนเสีย” ทิง้ , ปลอย, ละ ทกั ขณิ า (ดงั ทตี่ รสั ในทกั ขณิ าวภิ งั คสตู ร, ม.อ.ุ ๑๔/ ทอดกฐนิ ดู กฐนิ , กฐนิ ทาน ๗๑๐/๔๕๘) แตม ผี ลมากนอ ยตา งกนั ตาม ทอดธุระ ไมเอาใจใส, ไมส นใจ, ไมเ อา หลกั ทักขิณาวิสทุ ธ์ิ ๔ และตรสั ไวอ กี แหง หนง่ึ วา (ทานสตู ร, อง.ฉกกฺ .๒๒/๓๐๘/๓๗๕) ธรุ ะ ทกั ขณิ าทพี่ รอมดว ยองค ๖ คอื ทายก ทอดผา ปา เอาผา ถวายโดยทิง้ ไวเ พ่อื ให มอี งค ๓ (กอ นให ก็ดีใจ, กําลงั ใหอ ยู ก็ พระชักเอาเอง; ดู ผา ปา ทาํ จิตใหผ ดุ ผองเลื่อมใส, ครัน้ ใหแลว ก็ ทักขณิ , ทกั ษิณ ขวา, ทศิ ใต ชืน่ ชมปล้ืมใจ) และปฏคิ าหกมอี งค ๓ ทักขิณทิส “ทิศเบื้องขวา” หมายถึง (เปนผูปราศจากราคะหรือปฏิบัติเพ่ือ บําราศราคะ, เปน ผปู ราศจากโทสะหรอื อาจารย (ตามความหมายในทิศ ๖); ดู ปฏิบัติเพือ่ บาํ ราศโทสะ, เปนผูปราศจาก ทศิ หก ทกั ขณิ า, ทกั ษณิ า ทานท่ถี วายเพ่ือผล อันดีงาม, ของทําบุญ, สิ่งท่ีสละให, ป จ จั ย ส่ี ท่ี เ ม่ื อ ถ ว า ย จ ะ เ ป น เ ห ตุ ใ ห ประโยชนส ขุ เจรญิ เพิ่มพูน, ของถวายที่
ทักขิณานปุ ทาน ๑๒๔ ทักขิไณยบคุ คล โมหะหรือปฏิบัติเพ่ือบําราศโมหะ) ม;ี ตรงขา มกับ อุตตราวัฏฏ ทกั ขณิ านน้ั เปน บญุ ยง่ิ ใหญ มผี ลมากยาก ทักขิณาวิสุทธิ์ ความบริสุทธิ์แหง จะประมาณได; ดูเจตนา, ทักขิณาวิสุทธิ์ ทกั ขิณา, ขอทเ่ี ปนเหตุใหท ักขิณา คือส่งิ ทกั ขิณานปุ ทาน ทําบุญอทุ ศิ ผลใหแ กผู ท่ใี หทถี่ วาย เปน ของบรสิ ุทธิ์และจึงเกิด ตาย มีผลมาก มี ๔ คอื (ม.อ.ุ ๑๔/๗๑๔/๔๖๑) ๑. ทักขิณาบถ “หนใต” (เขียนอยาง ทกั ขิณา บริสุทธ์ิฝา ยทายก (มีศลี มี สันสกฤต=ทักษิณาบถ), ดนิ แดนแถบ กัลยาณธรรม) ไมบริสุทธ์ิฝา ยปฏคิ าหก ใตของชมพูทวีป, อนิ เดยี ภาคใต คูกบั (ทุศลี มปี าปธรรม) ๒. ทกั ขิณา บรสิ ุทธิ์ อตุ ราบถ (ดนิ แดนแถบเหนือของชมพู ฝา ยปฏคิ าหก ไมบรสิ ุทธ์ิฝา ยทายก ๓. ทวีป หรืออนิ เดียภาคเหนอื ), ในอรรถ- ทักขิณา ไมบริสุทธิ์ท้ังฝายทายก ไม กถา มีคําอธิบายซึ่งใหถือแมน้ําคงคา บรสิ ุทธท์ิ ้งั ฝายปฏิคาหก ๓. ทกั ขณิ า เปนเสนแบง คอื ดนิ แดนแถบฝงเหนอื บริสุทธ์ิทั้งฝายทายก บริสุทธ์ิท้ังฝาย ของแมน า้ํ คงคา เปนอตุ ราบถ สว นดิน ปฏคิ าหก; ดู ทกั ขณิ า แดนแถบฝงใตของแมนํ้าคงคา เปน ทักขิเณยยบุคคล บุคคลผูควรรับ ทักขิณาบถ และกลาววา อตุ ราบถเปน ทกั ษิณา ปฏิรูปเทส แตท ักขณิ าบถไมเ ปน ปฏิรูป ทกฺขิเณยฺโย (พระสงฆ) เปนผูค วรแก เทส, คาํ อธบิ ายนนั้ คงถอื ตามสภาพความ ทักขณิ า คอื มีคณุ ความดีสมควรแกข อง เจรญิ สมัยโบราณ แตท่ีรูกันท่ัวไปตอ ถึง ทาํ บญุ มอี าหาร ผา นุงหม เปนตน ชวย ยคุ ปจ จบุ นั ถอื แมน า้ํ นมั มทาเปน เสน แบง เอื้ออํานวยใหของท่ีเขาถวายมีผลมาก คือ ดนิ แดนแถบเหนอื แมน ํา้ นมั มทาขึน้ (ขอ ๗ ในสังฆคณุ ๙) มา เปน อุตราบถ สว นดนิ แดนแถบใต ทกั ขโิ ณทก นา้ํ ทีห่ ลง่ั ในเวลาทําทาน แมน าํ้ นมั มทาลงไป เปน ทกั ขณิ าบถ ดงั ที่ ทกั ขไิ ณย ผูควรแกทักขิณา, ผูค วรรับ เรยี กในบดั นวี้ า Deccan อนั เพยี้ นจาก ของทําบญุ ที่ทายกถวาย, ทานผเู ก้ือกูล Dekkhan หรอื Dekhan ซงึ่ มาจาก แกทักขณิ า โดยทําใหสง่ิ ทีถ่ วายเปนของ Dakkhina นนั่ เอง; เทยี บอตุ ราบถ,ดูอวนั ตี บริสุทธิ์ และจงึ เปนเหตใุ หเกดิ มีผลมาก; ทกั ขณิ าวัฏฏ เวยี นขวา, วนไปทางขวา ดู ทักขณิ า คือ วนเล้ียวทางขวาอยางเข็มนาฬิกา ทักขิไณยบุคคล บุคคลผูควรรับ เขยี น ทักษิณาวฏั หรือ ทักษิณาวรรต ก็ ทกั ษณิ า; ดู ทักขิไณย
ทักษณิ นกิ าย ๑๒๕ ทัศ ทักษณิ นิกาย นกิ ายพุทธศาสนาฝายใตท่ี มารดา พวกอตุ รนิกายตั้งช่อื ใหวา หนี ยาน ใช ทันต ฟน บาลีมคธ บดั น้ี นิยมเรียกวา เถรวาท ทนั ตชะ อกั ษรเกิดทฟ่ี น คอื ต ถ ท ธ น ทกั ษณิ า ทานเพอื่ ผลอนั เจรญิ , ของทาํ บญุ กบั ท้ัง ล และ ส ทักษิณานุประทาน ทําบุญอุทิศผลให ทพั พมัลลบตุ ร พระเถระมหาสาวกองค แกผตู าย หน่ึงในอสีติมหาสาวก เปนพระราช- ทักษิณาบถ ดู ทกั ขณิ าบถ โอรสของพระเจามลั ลราช เมือ่ พระชนม ทักษิโณทก นา้ํ ที่หล่ังในเวลาทําทาน, นํ้า ๗ พรรษา มีความเล่อื มใสในพระพทุ ธ- กรวด, คือเอาน้ําหล่ังเปนเครื่องหมาย ศาสนา ไดบรรพชาเปน สามเณร เวลา ของการใหแ ทนสิง่ ของท่ใี ห เชน ทีด่ นิ ปลงผม พอมดี โกนตัดกลมุ ผมครั้งที่ ๑ ศาลา กุฎี บุญกุศล เปนตน ซึง่ ใหญโต ไดบรรลุโสดาปตตผิ ล ครง้ั ที่ ๒ ได เกนิ กวาทีจ่ ะยกไหว หรอื ไมม ีรูปทีจ่ ะยก บรรลสุ กทาคามิผล คร้งั ที่ ๓ ไดบรรลุ ขึ้นได อนาคามิผล พอปลงผมเสรจ็ ก็ไดบ รรลุ ทณั ฑกรรม การลงอาชญา, การลงโทษ; พระอรหตั ทา นรบั ภาระเปน เจา หนา ทที่ าํ ในท่ีน้ี หมายถึงการลงโทษสามเณร การสงฆในตําแหนงเสนาสนปญญาปกะ คลายกบั การปรับอาบัตภิ ิกษุ ไดแก กัก (ผูดูแลจัดสถานที่พักอาศัยของพระ) บริเวณ หา มไมใหเ ขา หา มไมใหอ อก และภัตตุเทศก ไดรับยกยองวาเปน จากอาราม หรือการใชตักน้ํา ขนฟน ขน เอตทัคคะในบรรดาเสนาสนปญ ญาปกะ ทราย เปนตน ทัพสัมภาระ เครื่องเคราและสวน ทัณฑกรรมนาสนา ใหฉ ิบหายดว ยการ ประกอบทัง้ หลาย, สง่ิ และเครอ่ื งอันเปน ลงโทษ หมายถึงการไลออกจากสํานัก สวนประกอบท่ีจะคุมกันเขาเปนเรือน เชน ท่ีทาํ แกก ณั ฑกสามเณร ผกู ลาวตู เรอื รถ หรอื เกวียน เปน ตน ; เขยี นเต็ม พระธรรมเทศนาวา ธรรมท่ีตรัสวา เปน วา ทพั พสัมภาระ อันตราย ไมสามารถทําอันตรายแกผู ทัศ สิบ, จาํ นวน ๑๐ (สนั สกฤต: ทศ; เสพไดจ ริง บาล:ี ทส); ในขอ ความวา “บารมี ๓๐ ทศั ” ทณั ฑปาณิ กษตั รยิ โ กลิยวงศ เปน พระ หรอื “บารมสี ามสบิ ทศั ” มกั ใหถ อื วา “ทศั ” ราชบุตรของพระเจาอัญชนะ เปนพระ แปลวา ครบ หรอื ถว น แตอาจเปน ไดว า เชฏฐาของพระนางสิริมหามายาพุทธ- “ทัศ” ก็คือสบิ นัน่ แหละ แตสันนิษฐาน
ทศั นยี ๑๒๖ ทาน วา “บารมสี ามสบิ ทศั ” เปนคําพดู ซอน ประโยชนแ กผ อู นื่ ; สงิ่ ทใี่ ห, ทรพั ยส นิ สง่ิ ของทม่ี อบใหห รอื แจกออกไป; ทาน ๒ คอื โดยซอ นความหมายวา สามสิบนี้ มิใช ๑. อามสิ ทาน ใหส งิ่ ของ ๒. ธรรมทาน ใหธ รรม; ทาน ๒ อกี หมวดหนงึ่ คอื ๑. แคว านบั รายหนว ยเปน ๓๐ แตน ับเปน สงั ฆทาน ใหแ กส งฆ หรอื ใหเ พอ่ื สว นรวม ๒. ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน ใหเ จาะจงแกบ คุ คลผู ชดุ ได ๓ ทศั (คอื จาํ นวนสบิ ๓ ชดุ ใดผหู นง่ึ โดยเฉพาะ (ขอ ๑ ในทศพธิ ราช- หรอื ๓ “สิบ”); ดู สมดึงส- ธรรม, ขอ ๑ ในบารมี ๑๐, ขอ ๑ ในบญุ - ทัศนีย งาม, นาดู กริ ยิ าวตั ถุ ๓ และ ๑๐, ขอ ๑ ในสงั คห- ทัสสนะ การเหน็ , การเห็นดวยปญญา, วตั ถุ ๔, ขอ ๑ ในสปั ปรุ สิ บญั ญตั ิ ๓) ความเหน็ , สงิ่ ที่เห็น ทัสสนานุตตริยะ การเห็นที่ยอดเย่ียม ทานมิใชถูกตองดีงามหรือเปนบุญ (ขอ ๑ ในอนุตตริยะ ๓ หมายถงึ เสมอไป ทานบางอยางถือไมไดวาเปน ทาน และเปน บาปดว ย ในพระไตรปฎก ปญญาอันเห็นธรรม ตลอดถึงเห็น (วินย.๘/๙๗๙/๓๒๖) กลาวถงึ ทานทช่ี าวโลก ถือกันวาเปน บญุ แตที่แทหาเปนบุญไม นพิ พาน; ขอ ๑ ในอนุตตริยะ ๖ หมาย (ทานท่เี ปน บาป) ๕ อยาง คอื ๑. มัชช- ทาน (ใหน้ําเมา) ๒. สมัชชทาน (ให ถึง เห็นพระตถาคต ตถาคตสาวก และ มหรสพ) ๓. อติ ถีทาน (ใหส ตร)ี ๔. อุสภทาน (ทานอธิบายวาปลอยใหโค ส่ิงอนั บาํ รุงจติ ใจใหเจริญ) อสุ ภะเขา ไปในฝงู โค) ๕. จิตรกรรมทาน ทฬั หีกรรม การทาํ ใหม่นั เชน การให (ใหภาพย่วั ยกุ ิเลส เชน ภาพสตรีและ อปุ สมบทซํ้า บุรษุ เสพเมถุน), ในคัมภีรม ิลนิ ทปญ หา ทาฐธาต,ุ ทาฒธาตุ พระธาตุคือเขี้ยว, (มลิ นิ ท.๓๕๒) กลา วถึงทานทีไ่ มนบั วา เปน พระเขี้ยวแกวของพระพุทธเจามีท้ังหมด ทาน อนั นําไปสอู บาย ๑๐ อยา ง ไดแก ๕ อยางทก่ี ลาวแลว และเพิ่มอีก ๕ คือ ๖. ๔ องค ตาํ นานวา พระเขย้ี วแกวบนขวา สัตถทาน (ใหศ สั ตรา) ๗. วสิ ทาน (ให ยาพษิ ) ๗. สงั ขลิกทาน (ใหโซต รวน) ๘. ประดิษฐานอยูในพระจุฬามณีเจดียใน กกุ กฏุ สกู รทาน(ใหไ กใ หส กุ ร) ๙.ตลุ ากฏู - ดาวดึงสเทวโลก, องคล างขวาไปอยู ณ แควนกาลิงคะ แลว ตอ ไปยงั ลังกาทวีป, องคบ นซายไปอยู ณ แควนคนั ธาระ, องคลางซายไปอยูในนาคพิภพ; ดู สารีรกิ ธาตุ ทาน การให, ยกมอบแกผ อู นื่ , ใหข องที่ ควรให แกค นทคี่ วรให เพอื่ ประโยชนแ ก เขา, สละใหปนสิ่งของของตนเพื่อ
ทานกถา ๑๒๗ ทา นผูมอี ายุ มานกูฏทาน (ใหเคร่ืองชั่งตวงวัดโกง); แตแกผ อู น่ื จดั ใหของทดี่ ีๆ ไมต กอยใู ต สาํ หรบั สมชั ชทาน พึง ดู สาธุกีฬา ทานกถา เรอ่ื งทาน, พรรณนาทาน คอื อํานาจสิ่งของ แตเ ปน นายเปน ใหญทําให การใหว าคอื อะไร มีคณุ อยางไร เปน ตน ส่ิงของอยูใตอํานาจของตน บุคคลน้ัน เรยี กวา ทานบดี (รายละเอียด พงึ ดู ที.อ.๑/ (ขอ ๑ ในอนบุ พุ พิกถา ๕) ๒๖๗; สุตตฺ .อ.๒/๒๓๗; ส.ํ ฏ.ี ๑/๑๖๖; องฺ.ฏ.ี ๓/๒๐) ทานบดี “เจาแหงทาน”, ผเู ปน ใหญใ น ทานบน ถอยคําหรือสัญญาวาจะไมทํา ทาน, พงึ ทราบคําอธบิ าย ๒ แง คอื ใน ผิดตามเง่ือนไขทไี่ ดใ หไว; ทณั ฑบ น ก็ แงท ่ี ๑ ความแตกตางระหวาง ทายก เรยี ก กบั ทานบดี, “ทายก” คือผใู ห เปนคํา ทานบารมี คณุ ความดีท่บี ําเพ็ญอยา งยิ่ง กลางๆ แมจ ะใหข องของผูอืน่ ตามคาํ ส่งั ยวดคอื ทาน, บารมีขอ ทาน; การใหการ ของเขา โดยไมม อี ํานาจหรอื มีความเปน สละอยางยิ่งยวดท่ีเปนบารมีข้ันปกติ ใหญใ นของนน้ั ก็เปน ทายก (จึงไมแนวา เรียกวา ทานบารมี ไดแกพาหิรภณั ฑ- จะปราศจากความหวงแหนหรือมีใจสละ บรจิ าค คอื สละใหของนอกกาย, การ จริงแทห รือไม) สวน “ทานบด”ี คอื ผใู ห ใหการสละที่ยิ่งยวดข้ึนไปอีก ซ่ึงเปน ที่เปนเจาของหรือมีอาํ นาจในของท่ีจะให บารมขี ั้นจวนสูงสุด เรยี กวา ทานอุป- จงึ เปน ใหญในทานน้ัน (ตามปกตติ อ งไม บารมี ไดแ กอ งั คบรจิ าค คอื สละให หวงหรือมีใจสละจรงิ จึงใหได) ในแงท ่ี อวยั วะในตวั เชน บรจิ าคดวงตา, การ ๑ น้ี จงึ พูดจําแนกวา บางคนเปน ท้งั ใหการสละอันย่งิ ยวดทีส่ ุด ซึ่งเปน บารมี ทายกและเปนทานบดี บางคนเปนทายก ข้นั สงู สุด เรยี กวา ทานปรมตั ถบารมี แตไ มเปน ทานบดี; ในแงท ่ี ๒ ความ ไดแกชีวิตบริจาค คือสละชวี ติ ; การ แตกตางระหวา ง ทานทาส ทานสหาย สละใหพาหริ ภณั ฑหรอื พาหริ วตั ถุ เปน และทานบด,ี บุคคลใด ตนเองบรโิ ภค พาหริ ทาน คอื ใหสิ่งภายนอก สวนการ ของดีๆ แตแ กผูอื่นใหข องไมด ี ทาํ ตวั สละใหอวัยวะเลือดเน้ือชีวิตตลอดจน เปนทาสของส่ิงของ บุคคลน้ันเรียกวา ยอมตัวเปนทาสรับใชเพื่อใหเปน ทานทาส, บคุ คลใด ตนเองบรโิ ภคของ ประโยชนแกผูอื่น เปนอัชฌัตติกทาน อยา งใด ก็ใหแ กผ อู ืน่ อยางน้นั บคุ คลนนั้ คอื ใหของภายใน (ขอ ๑ ในบารมี ๑๐) เรียกวา ทานสหาย, บุคคลใด ตนเอง ทานผมู อี ายุ เปนคาํ สาํ หรับพระผูใหญใช บริโภคหรือใชของตามที่พอมีพอเปนไป เรียกพระผูนอย คือ พระที่มีพรรษา
ทานมัย ๑๒๘ ทิฏฐธมั มกิ ตั ถะ ออนกวา (บาลีวา อาวโุ ส) บริจาคบํารุงวัดและการกอสรางในวัด ทานมัย บญุ ที่สาํ เรจ็ ดว ยการบริจาคทาน เปน สําคัญ (ขอ ๑ ในบญุ กริ ิยาวัตถุ ๓ และ ๑๐) ทํารายดวยวิชา ไดแก รา ยมนตรอ าคม ทายก (ชาย) ผูให; ดู ทานบดี ตางๆ ใชภูตใชผีเพอ่ื ทาํ ผูอืน่ ใหเจ็บตาย ทายาท ผสู ืบสกุล, ผคู วรรับมรดก จัดเปนดิรัจฉานวชิ า เทียบตัวอยา งท่ีจะ ทายกิ า (หญงิ ) ผูให; ดู ทานบดี เหน็ ในบัดนี้ เชน ฆา ดวยกําลงั ไฟฟา ซ่งึ ทารก เดก็ ทย่ี ังไมเ ดยี งสา ประกอบขึ้นดวยอํานาจความรู ทารุณ หยาบชา, รายกาจ, รุนแรง, ดุ ทาํ ศรทั ธาไทยใหต กไป ดู ศรทั ธาไทย ทําโอกาส ใหโอกาส; ดู โอกาส รา ย, โหดราย ทารณุ กรรม การทาํ โดยความโหดรา ย ทิฆมั พร ทอ งฟา ทาส บา วทว่ั ไป, คนรับใช ทฏิ ฐธรรม, ทฏิ ฐธัมม สิง่ ทม่ี องเหน็ , ทํากรรมเปนวรรค สงฆทําสังฆกรรม สภาวะหรอื เร่อื งซ่งึ เห็นได คอื ปจจุบัน, โดยแยกเปน พวกๆ ไมสามคั คีกัน ชวี ติ นี,้ ชาตนิ ้ี, ทันเห็น, จําพวกวัตถ,ุ ทํากัปปะ ทําเครื่องหมายดวยของ ๓ ดานรูปกาย อยา ง คือ คราม ตม และดาํ คลํ้า อยาง ทฏิ ฐธมั มเวทนยี กรรม กรรมอนั ใหผล ใดอยางหนึ่งในเอกเทศ คือสวนหนึ่ง ในปจจุบัน, กรรมทั้งที่เปนกุศลและ แหงจีวร เรยี กสามัญวา พินทุ อกุศล ซง่ึ ใหผ ลทันตาเหน็ (ขอ ๑ ใน ทําการเมือง ทํางานของแวนแควน, กรรม ๑๒) ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชนในปจจุบัน, ทํางานของหลวง ทําการวัด ทํางานของวัด, ทํางานของ ประโยชนสุขสามัญท่ีมองเห็นกันในชาติ พระในอาราม น้ี ทค่ี นท่ัวไปปรารถนา มีทรพั ย ยศ ทํากาละ ตาย ทําคนื แกไข เกยี รติ ไมตรี เปนตน อนั จะสาํ เรจ็ ดวย ทําบุญ ทําความดี, ทําส่ิงท่ีดีงาม, ธรรม ๔ ประการ คอื ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพรอมดวยความหมั่น ๒. อารักข- ประกอบกรรมดี ดังที่ทานแสดงใน สัมปทา ถึงพรอมดวยการรักษา ๓. บุญกริ ิยาวัตถุ ๓ หรอื บุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐ กัลยาณมิตตตา ความมีเพ่ือนเปนคนดี ๔. สมชีวติ า การเลีย้ งชวี ิตตามสมควร แตท ี่พดู กันทวั่ ไป มกั เพงท่กี ารเลย้ี งพระ ตักบาตร ถวายจตุปจจัยแกพระสงฆ แกกําลังทรัพยท่ีหาได; มักเรียกคลอง
ทิฏฐานุคติ ๑๒๙ ทฏิ ฐิวิบตั ิ ปากวา ทฏิ ฐธัมมกิ ัตถประโยชน ทิฏฐิ คอื ความเห็นผิด มี ๒ ไดแก ทฏิ ฐานคุ ติ การดําเนินตามส่ิงท่ีไดเห็น, ๑. สัสสตทฏิ ฐิ ความเห็นวา เทย่ี ง ๒. การทาํ ตามอยา ง, การเอาอยาง ในทางดี อจุ เฉททิฏฐิ ความเหน็ วา ขาดสญู ; อีก หรอื รา ย กไ็ ด มกั ใชในขอความวา “จะ หมวดหนง่ึ มี ๓ คอื ๑. อกริ ยิ ทิฏฐิ ถึงทิฏฐานุคติของผูนั้น”; แตในภาษา ความเหน็ วา ไมเ ปน อนั ทาํ ๒.อเหตกุ ทฏิ ฐิ ไทย นยิ มนาํ มาใชด านดี หมายถงึ ทาง ความเห็นวาไมมีเหตุ ๓. นัตถิกทิฏฐิ ดําเนินตามท่ีไดมองเห็น, แบบอยาง, ความเห็นวาไมมี คือถืออะไรเปนหลัก ตวั อยาง เชน พระผใู หญปฏบิ ัตติ นชอบ ไมได เชน มารดาบดิ าไมม ี เปนตน พระผูนอ ยจะไดถอื เอาเปนทิฏฐานุคติ ทิฏฐจิ รติ ดู จรติ , จรยิ า ทฏิ ฐาวกิ มั ม การทําความเหน็ ใหแจง ได ทฏิ ฐบิ าป ความเห็นลามก แกแสดงความเห็นแยง คือภิกษุผูเขา ทฏิ ฐปิ ปต ตะ ผถู งึ ทฏิ ฐิ คอื บรรลสุ มั มา- ประชุมในสงฆบางรูปไมเห็นรวมดวยคํา ทฏิ ฐ,ิ พระอริยบคุ คลต้งั แตโสดาบนั ขน้ึ วินิจฉัยอันสงฆรับรองแลวก็ใหแสดง ไป จนถงึ ผตู ั้งอยใู นอรหัตตมรรค ทเ่ี ปน ความเห็นแยง ได ผูมีปญญินทรียแรงกลา ไมไดสัมผัส ทฏิ ฐิ ความเหน็ , ความเขาใจ, ความเชื่อ วโิ มกข ๘ (เมื่อบรรลุอรหัตตผล กลาย ถอื , ท้งั นี้ มกั มีคําขยายนําหนา เชน เปนปญญาวิมตุ ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ สัมมาทิฏฐิ (ความเหน็ ชอบ) มิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐมิ านะ ทิฏฐิ และมานะ (พึงทราบ (ความเห็นผดิ ) แตถา ทฏิ ฐิ มาคําเดยี ว ความหมายของแตละคํา ซึ่งแสดงไว โดด มกั มนี ัยไมดี หมายถึง ความยดึ ตางหากกัน); แตตามที่ใชกันในภาษา ถือตามความเห็น, ความถอื ม่นั ทีจ่ ะให ไทย ซึง่ นยิ มเขียนเปน “ทฐิ มิ านะ” มี เปนไปตามความเช่ือถือหรือความเห็น ความหมายแบบปนๆ คลมุ ๆ ทิฏฐิ ในท่ี ของตน, การถือยุติเอาความเห็นเปน น้ีหมายถึงความเห็นดื้อดึง ถึงผิดก็ไม ความจรงิ , ความเหน็ ผิด, ความยดึ ตดิ ยอมแกไข และ มานะ คือความถอื ตวั ทฤษฎ;ี ในภาษาไทยมักหมายถึงความ รวม ๒ คาํ เปนทฏิ ฐมิ านะ หมายถึง ถอื ดงึ ด้ือถือรนั้ ในความเหน็ (พจนานกุ รม รนั้ อวดดี หรือดงึ ดอื้ ถือตวั เขียน ทฐิ ิ); (ขอ ๔ ในสังโยชน ๑๐ ตาม ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ วบิ ตั แิ หง ทฏิ ฐ,ิ ความผดิ พลาด นยั พระอภิธรรม, ขอ ๓ ในอนุสัย ๗, แหงความคิดเห็น, ความเห็นคลาด ขอ ๓ ในปปญ จะ ๓) เคลอ่ื นผดิ ธรรมวินยั ทาํ ใหประพฤติตน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: