Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

ชมพูพฤกษ ๘๐ ชวนะ ดวย); ชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล อรหันต กไ็ มท าํ กรรม เปน กิรยิ าชวนะ) ประกอบดว ยมหาชนบท คอื แวน แควน จึงถือวาอยูในชวงท่ีสําคัญ, โดยท่ัวไป ใหญ หรือมหาอาณาจกั ร ๑๖ เรยี ง และอยา งมากทส่ี ุด ปถุ ชุ นในกามภูมิ มี ชวนจติ เกดิ ขน้ึ ๗ ขณะ แลว เกดิ ตทารมณ ครา วๆ จากตะวนั ออก (แถบบงั คลาเทศ) (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ กเ็ รยี ก) เปน วิปากจิตข้ึนมา ๒ ขณะ แลว กเ็ กิด ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ (แถบ เปนภวงั คจติ เรยี กกันวา ตกภวังค เปน อันส้ินสุดวิถีจิต คือส้ินสุดการรับ เหนอื ของอฟั กานสิ ถาน) คอื องั คะ มคธ อารมณไปวิถหี นงึ่ , ท่ีวา มานี้ เปนกรณที ี่ รับอารมณที่มีกําลังแรงหรือเดนชัดมาก กาสี โกศล วชั ชี มลั ละ เจตี วงั สะ กรุ ุ (ถาเปนอารมณใหญมากทางปญจทวาร คือทางตา หู จมกู ลิน้ กาย เรยี กวา ปญ จาละ มจั ฉะ สรุ เสนะ อสั สกะ อวนั ตี อติมหันตารมณ ถา เปน อารมณเดน ชดั ทางมโนทวาร เรียกวา วภิ ตู ารมณ) แต คนั ธาระ และกมั โพชะ (ตามหลกั ฐานในพระ ถาอารมณท่ีรับน้ันมีกําลังไมมากนัก ไตรปฎ ก เชน อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๑๐/๒๗๓); ดู อนิ เดยี หรอื ไมเดน ชดั (คอื เปน มหันตารมณทาง ชมพูพฤกษ ตนหวา ปญจทวาร หรือเปนอวิภูตารมณทาง ชยเสนะ พระราชบดิ าของพระเจา สหี หนุ มโนทวาร) พอชวนจติ ขณะท่ี ๗ ดบั ไป ครองนครกบลิ พสั ดุ ก็เกิดเปนภวังคจิตตอ เลย (เรียกวาตก ชราธรรม มคี วามแกเ ปน ธรรมดา, มคี วาม ภวังค) ไมมตี ทารมณเกิดข้ึน, ย่ิงกวานนั้ แกเ ปน ของแนน อน; ธรรมคอื ความแก ในทางปญ จทวาร ถา อารมณท กี่ ระทบ มี ชราภาพ ความแก, ความชาํ รดุ ทรดุ โทรม กําลังนอย (เปน ปริตตารมณ) หรอื ออน ชลาพชุ ะ, ชลามพุชะ สตั วเ กิดในครรภ กาํ ลังอยางยิง่ (เปนอตปิ ริตตารมณ) วถิ ี ไดแกมนษุ ย และสตั วเดยี รัจฉานทอ่ี อก จิตจะเกิดข้ึนนอยขณะ แลวเกิดเปน ภวังคจิต (ตกภวงั ค) โดยไมมีชวนจติ ลกู เปน ตวั (ขอ ๑ ในโยนิ ๔) เกดิ ขนึ้ เลย, ทวี่ า มานนั้ เปน การพดู ทว่ั ไป ชลาลยั “ทอ่ี ยขู องนํา้ ”, แมนาํ้ , ทะเล ยงั มีขอ พเิ ศษหลายอยา ง เชน ในกามภมู ิ ชโลทกวารี นาํ้ นี้แหละ ในกรณีท่ีอารมณออนกําลัง ชวนะ “การแลนไป”, “การไปเรว็ ”, “การ สวางวาบ”, ความเร็ว, ความไว; จิต ขณะ ท่ีแลนไปในวิถี ทําหนาที่รับรูเสพ อารมณ ทางทวารท้ังหลาย (ทางตา หู จมูก ล้นิ กาย หรอื ใจ) เปน วิถจี ิตในชวง หรอื ข้นั ตอนท่ีทํากรรม (เปนกุศลชวนะ หรืออกศุ ลชวนะ แตถาเปนจติ ของพระ

ชะตา ๘๑ ชาดก ชวนจติ เกิดแค ๖ ขณะก็มี ในเวลาจะ ชักสื่อ นําถอยคําหรือขาวสารของชาย ส้นิ ชีวติ ชวนจติ เกิดเพยี ง ๕ ขณะ ใน และหญิง จากฝายหนึ่งไปบอกอกี ฝา ย เวลาเปนลม สลบ งวงจัด เมาสุรา หน่ึง หรือจากทั้งสองฝายใหรูถึงกัน เปน ตน หรือกรณมี ปี สาทวัตถุออ นกาํ ลัง เพ่ือใหเขาสําเร็จความประสงคในทาง ยงิ่ อยา งทารกในครรภห รอื เพง่ิ เกดิ ชวน- เมถนุ (สังฆาทเิ สส สกิ ขาบทท่ี ๕) จติ เกดิ ขนึ้ เพยี ง ๔-๕ ขณะ สว นในภมู ิที่ ชั่งเกียจ ตราช่ังที่ไมซ่ือตรง ทําไวเอา สูงข้นึ ไป เชน ในการบรรลฌุ านแตละ เปรยี บผอู นื่ ข้ันครั้งแรก ในการทํากิจแหงอภิญญา ชังเฆยยกะ แผนผาท่เี ยบ็ ทาบเติมลงไป ในการสําเรจ็ กิจแหง มรรค และในเวลา บนจวี รตรงทถี่ กู แขง , นวี้ า ตามคาํ อธิบาย ออกจากนิโรธสมาบัติ ชวนจิตเกิดขึ้น ในอรรถกถา แตพ ระมติของสมเดจ็ พระ ขณะเดียว (แตในเวลาเขา นโิ รธสมาบัติ มหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ชวนจิตเกิดข้ึน ๒ ขณะ) สําหรับผู ในวนิ ยั มขุ เลม ๒ วา ในจวี รหา ขณั ฑๆ ชํานาญในฌาน ชวนจิต (อัปปนาชวนะ) ถดั ออกมาจากขณั ฑก ลางทง้ั ๒ ขา ง ชอ่ื จะเกิดดับตอเนื่องไปตลอดเวลาที่อยูใน ชงั เฆยยกะ เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ฌานน้ัน อาจจะตลอดทั้งวัน ไมมี ขณั ฑน นั้ อยทู แี่ ขง ในเวลาหม ; ดู จวี ร กําหนดจํานวนขณะ (เปนอัปปนาวิถี ชังเฆยยกะ ดู จีวร ตลอดเวลาท่ีฌานจิตยังสืบตอติดเน่ือง ชัชวาล รุง เรือง, สวาง, โพลงขนึ้ กันไป) จนกวาจะเกิดเปนภวังคจิตขึ้น ชยั มงคล มงคลคอื ความชนะ, ความชนะ มา สนั ตตขิ องฌานจิตก็ขาดตอน เรยี ก ทเ่ี ปน มงคล วาตกภวังค คือออกจากฌาน; คําวา ชาคริยานุโยค การประกอบความเพยี ร “ชวนะ” นี้ ใชห มายถึงจติ ซึ่งทําหนาท่ีรบั เครือ่ งตื่นอยู คือ ความเพียรพยายาม อารมณใ นวถิ ี กไ็ ด หมายถงึ การทาํ หนา ท่ี ปฏบิ ตั ธิ รรม ไมเหน็ แกนอน ตนื่ ตัวอยู ของจติ ในการรับอารมณนน้ั กไ็ ด ถา เปนนติ ย ชาํ ระจติ ไมใหมนี วิ รณ (ขอ ๓ ตองการความหมายใหจําเพาะชัดลงไป ในอปณ ณกปฏิปทา) ก็เตมิ คาํ กาํ กบั ลงไปวา “ชวนจติ ” หรือ ชาดก “เครอ่ื งเลา เรอ่ื งราวทพ่ี ระพทุ ธเจา “ชวนกจิ ” ตามลาํ ดบั ; ดู วิถจี ิต ไดท รงเกดิ มาแลว ”, ชอื่ คมั ภรี ใ นพระไตร- ชะตา เวลาท่ีถือกําเนิดของคนและส่ิงที่ ปฎก อันเลาเร่ืองพระชาติในอดีตของ สาํ คญั พระพทุ ธเจา เมอ่ื ยงั เปน พระโพธสิ ตั วซ ง่ึ

ชาตปฐพี ๘๒ ชําระ กาํ ลงั ทรงบาํ เพญ็ บารมี มจี าํ นวนทงั้ หมด ดนิ เหนยี วมาก ดนิ นปี้ ระสงคเ อาทย่ี งั ไม ตามตัวเลขถวนท่ีกลาวในอรรถกถาท้ัง ไดเ ผาไฟ กองดนิ รว นกด็ ี กองดนิ เหนยี ว หลายวา ๕๕๐ ชาดก (นบั ตรงเลขวา ๕๔๗ กด็ ี มฝี นตกรดเกนิ ๔ เดอื นมาแลว นบั ชาดก แตค นไทยมกั พดู ตดั เลขแคห ลกั เขา ในปฐพแี ท รอ ยวา พระเจา ๕๐๐ ชาต)ิ ทง้ั หมดนจี้ ดั ชาตสระ [ชา-ตะ-สะ] สระเกดิ เอง, ทน่ี าํ้ ขงั เปน พระไตรปฎ ก ๒ เลม (ฉบบั อกั ษรไทย อันเปนเองตามธรรมชาติ เชน บึง, คอื เลม ๒๗ และ ๒๘), อยา งไรกต็ าม หนอง, ทะเลสาบ ฯลฯ เนื่องจากชาดกทั้งหมดในพระไตรปฎก ชาติ การเกดิ , ชนดิ , พวก, เหลา , ปวงชน เปนคาถาลวนๆ (เวนชาดกหนึ่งท่ีเปน แหง ประเทศเดยี วกัน ความรอ ยแกว คอื กณุ าลชาดก) และโดย ชาติปกุ กสุ ะ พวกปกุ กุสะ เปนคนชน้ั ต่าํ มากเปนเพียงคํากลาวโตตอบกันของ พวกหนึ่งในระบบวรรณะของศาสนา บุคคลในเรื่อง พรอมทั้งพระดํารัสของ พราหมณ มีอาชีพคอยเก็บกวาดขยะ พระพุทธเจาที่ตรัสสรุปหรือแสดงคติ ดอกไมต ามสถานทบ่ี ูชา ธรรม อนั เรยี กวา อภสิ มั พทุ ธคาถาเทา นน้ั ชาติสงสาร ความทองเทีย่ วไปดวยความ ไมไดเลาเรอ่ื งโดยละเอยี ด ผอู า นเขา ใจ เกิด, การเวียนตายเวยี นเกิด ไดย าก จงึ มอี รรถกถาขนึ้ มาชว ยอธบิ าย ชาติสทุ ทะ พวกสทุ ทะ, คนพวกวรรณะ เรยี กวา “ชาตกฏั ฐกถา” (เรยี กใหง า ยวา ศทู ร เปน คนชัน้ ต่ําในชมพทู วีป; ดู ศูทร อรรถกถาชาดก) ซง่ึ ขยายความออกไป ชานมุ ณฑล เขา, ตอนเขา มาก จดั เปน เลม หนงั สอื ฉบบั บาลอี กั ษร ชาวปาจนี คาํ เรยี กภิกษชุ าววัชชบี ุตรอกี ไทยรวม ๑๐ เลม เรอื่ งชาดกทเ่ี รยี นและ ชอื่ หนึ่ง หมายถึงอยดู า นทศิ ตะวนั ออก, เลา กนั ทวั่ ไป กค็ อื เลา ตามชาตกฏั ฐกถาน้ี ชาวเมืองตะวันออก แตนักศึกษาพึงรูจักแยกระหวางสว นทมี่ ี ชําระ ในคาํ วา “ชาํ ระพระไตรปฎก” คอื ในพระไตรปฎก กับสวนท่ีเปนอรรถ- รักษาพระไตรปฎกใหบริสุทธิ์ หมดจด กถา; ดู ไตรปฎก, อภสิ มั พุทธคาถา จากความผิดพลาดคลาดเคลื่อน โดย ชาตปฐพี [ชา-ตะ-ปะ-ถะ-พี] ดนิ เกดิ เอง, กาํ จัดสงิ่ ปะปนแปลกปลอมหรอื ทาํ ใหเ ขา ปฐพแี ท คอื มดี นิ รว นลว น มดี นิ เหนยี ว ใจสบั สนออกไป และทาํ ใหมองเห็นของ ลวน หรือมีของอื่น เชนหินกรวด เดิมแทชัดเจนตรงตามที่รวบรวมไว กระเบอ้ื ง แร และทรายนอ ย มดี นิ รว น แตตน, เปนงานสวนสําคัญของการ

ชิวหา ๘๓ ชวี ก สงั คายนา; ดู สังคายนา (หญงิ งามเมอื ง) ช่อื วาสาลวดี แตไ มร จู กั ชิวหา ลนิ้ มารดาบดิ าของตน เพราะเมอื่ นางสาลวดี ชิวหาวิญญาณ ความรูท เี่ กดิ ขึ้นเพราะรส มีครรภ เกรงคาตัวจะตก จงึ เก็บตัวอยู กระทบลิ้น, รสกระทบลิ้นเกิดความรู คร้ันคลอดแลวก็ใหคนรับใชเอาทารกไป ท้งิ ทีก่ องขยะ แตพ อดีเมอ่ื ถึงเวลาเชาตรู ขึ้น, การรรู ส (ขอ ๔ ในวิญญาณ ๖) เจา ชายอภัย โอรสองคหน่งึ ของพระเจา ชิวหาสัมผัส อาการท่ีล้ิน รส และชวิ หา- พิมพิสาร จะไปเขาเฝา เสด็จผานไป วิญญาณประจวบกนั เห็นการมุ ลอ มทารกอยู เม่ือทรงทราบวา ชิวหาสัมผสั สชาเวทนา เวทนาทเี่ กดิ ขน้ึ เปนทารกและยังมีชีวิตอยู จึงไดโปรด เพราะชิวหาสมั ผัส, ความรูสกึ ท่ีเกดิ ขน้ึ ใหน ําไปใหน างนมเลี้ยงไวใ นวงั ในขณะ ทที่ รงทราบวาเปน ทารก เจา ชายอภัยได เพราะการที่ ลิ้น รส และชิวหา- ตรัสถามวา เด็กยังมชี วี ิตอยู (หรือยังเปน อย)ู หรอื ไม และทรงไดรบั คําตอบวา ยงั วิญญาณประจวบกัน มีชวี ิตอยู (ชวี ติ = ยงั เปนอยู หรือยงั มี ชี นกั บวช, หญิงถอื บวช, อุบาสกิ าทน่ี งุ ชวี ิตอย)ู ทารกน้ันจึงไดช ื่อวา ชวี ก (ผู ขาวหม ขาวโกนผมโกนคิ้ว ถอื ศีล ยังเปน) และเพราะเหตุท่ีเปนผูอันเจา ชีตน พระสงฆท ่ีคุน เคยใกลช ิดกับครอบ ชายเลย้ี งจงึ ไดม สี รอ ยนามวา โกมารภจั จ ครวั หรอื ตระกูล ซงึ่ เขาเคารพนับถือเปน (ผอู ันพระราชกมุ ารเลย้ี ง) อาจารยเ ปน ทป่ี รกึ ษา เรยี กอยา งคาํ บาลวี า ครนั้ ชวี กเจรญิ วยั ขนึ้ พอจะทราบวา กลุ ปุ กะ, กลุ ปู กะ หรอื กลุ ปุ ก; ดู กลุ ปุ กะ ตนเปนเด็กกาํ พรา ก็คิดแสวงหาศิลป- ชีเปลือย นักบวชจาํ พวกหน่ึง ถือเพศ วทิ ยาไวเ ลยี้ งตวั จงึ ไดเ ดนิ ทางไปศกึ ษา เปลือยกาย วชิ าแพทยก บั อาจารยแ พทยท ศิ าปาโมกข ชีพ ชีวติ , ความเปน อยู ทเี่ มอื งตกั สลิ า ศกึ ษาอยู ๗ ป อยาก ชีวก ชื่อหมอใหญผูเชี่ยวชาญในการ ทราบวา เมอื่ ใดจะเรยี นจบ อาจารยใ หถ อื รักษาและมีช่ือเสียงมากในครั้งพุทธกาล เสยี มไปตรวจดทู วั่ บรเิ วณ ๑ โยชนร อบ เมอื งตกั สลิ า เพอ่ื หาสง่ิ ทไ่ี มใ ชต วั ยา ชวี ก เปนแพทยประจําพระองคของพระเจา หาไมพ บ กลบั มาบอกอาจารย อาจารยว า สําเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแลว พิมพสิ าร และพระเจาพิมพิสารไดถวาย ใหเปนแพทยประจําพระองคของพระ พุทธเจาดว ย, ช่ือเตม็ วาชวี กโกมารภจั จ ห ม อ ชี ว ก เ กิ ด ท่ี เ มื อ ง ร า ช ค ฤ ห แควนมคธ เปนบุตรของนางคณิกา

ชวี ก ๘๔ ชวี ก และมอบเสบยี งเดนิ ทางใหเ ลก็ นอ ย ชวี ก เนื้องอกในลําไสของบุตรเศรษฐีเมือง เดินทางกลับยังพระนครราชคฤห เมื่อ พาราณสี รักษาโรคผอมเหลอื งแดพ ระ เสบียงหมดในระหวางทาง ไดแวะหา เจาจัณฑปชโชตแหงกรุงอุชเชนี และ เสบียงทเ่ี มอื งสาเกต โดยไปอาสารกั ษา ถวายการรกั ษาแดพระพุทธเจา ในคราวที่ ภรรยาเศรษฐีเมืองน้ันซ่ึงเปนโรคปวด พระบาทหอพระโลหิตเนื่องจากเศษหิน ศรี ษะมา ๗ ป ไมม ใี ครรกั ษาหาย ภรรยา จากกอนศิลาที่พระเทวทัตกล้ิงลงมาจาก เศรษฐีหายโรคแลว ใหรางวัลมากมาย ภเู ขาเพอื่ หมายปลงพระชนมช พี หมอชวี กไดเ งนิ มา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ พรอมดวยทาสทาสีและรถมา เดินทาง หมอชีวกไดบรรลุธรรมเปนพระ กลบั ถงึ พระนครราชคฤห นาํ เงนิ และของ โสดาบนั และดว ยศรทั ธาในพระพทุ ธเจา รางวัลทั้งหมดไปถวายเจาชายอภัยเปน ปรารถนาจะไปเฝาวันละ ๒–๓ คร้ัง คาปฏิการคุณท่ีไดทรงเล้ียงตนมา เจา เห็นวาพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสราง ชายอภัยโปรดใหหมอชีวกเก็บรางวัลนั้น วัดถวายในอัมพวันคือสวนมะมวงของ ไวเปนของตนเอง ไมทรงรับเอา และ ตน เรยี กกนั วา ชวี กมั พวนั (อมั พวัน โปรดใหหมอชีวกสรางบานอยูในวังของ ของหมอชวี ก) เมอื่ พระเจา อชาตศตั รเู รมิ่ พระองค ตอ มาไมน าน เจา ชายอภยั นาํ นอมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็ หมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด เปนผูแนะนําใหเสดจ็ ไปเฝาพระพทุ ธเจา พระเจาพิมพสิ าร จอมชนแหง มคธทรง หายประชวรแลว จะพระราชทานเครอ่ื ง ดวยเหตุท่ีหมอชีวกเปนแพทย ประดบั ของสตรชี าววงั ๕๐๐ นางใหเ ปน ประจําคณะสงฆและเปนผูมีศรัทธาเอา รางวลั หมอชวี กไมร บั ขอใหท รงถอื วา ใจใสเ ก้ือกูลพระสงฆม าก จึงเปนเหตใุ ห เปน หนา ทขี่ องตนเทา นน้ั พระเจา พมิ พ-ิ มีคนมาบวชเพ่ืออาศัยวัดเปนท่ีรักษาตัว สารจงึ โปรดใหห มอชวี กเปน แพทยป ระจาํ จํานวนมาก จนหมอชีวกตองทูลเสนอ พระองค ประจาํ ฝายในท้ังหมด และ พระพุทธเจาใหทรงบัญญัติขอหามมิให ประจําพระภิกษุสงฆอันมีพระพุทธเจา รบั บวชคนเจบ็ ปว ยดว ยโรคบางชนดิ นอก เปนประมุข หมอชีวกไดรักษาโรคราย จากนั้น หมอชีวกไดกราบทูลเสนอให สาํ คญั หลายครงั้ เชน ผา ตดั รกั ษาโรคใน ทรงอนุญาตทจ่ี งกรมและเรือนไฟ เพือ่ สมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห ผาตัด เปนท่ีบริหารกายชวยรักษาสุขภาพของ ภิกษทุ ัง้ หลาย หมอชวี กไดร ับพระดํารัส ยกยองเปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสก

ชีวกโกมารภัจจ ๘๕ ชมุ นมุ เทวดา ผเู ล่อื มใสในบุคคล พระสงฆสวดพระปริตร, เรียกเต็มวา ชีวกโกมารภัจจ “ผูทพี่ ระราชกมุ ารเลยี้ ง “บทขัดชุมนมุ เทวดา” หมายถึงบทสวด ชื่อชีวก”; ดู ชวี ก ท่ีโบราณาจารยประพนั ธข ึน้ สาํ หรบั ให ชีวิต ความเปนอยู บคุ คลหนงึ่ (ธรรมเนยี มบดั นี้ ใหภ กิ ษรุ ปู ชีวติ สมสีสี ผูส้นิ กเิ ลสพรอ มกบั สนิ้ ชวี ิต, ทนี่ งั่ อนั ดบั ๓) สวดนาํ (เรยี กวา “ขดั นาํ ”) ผูไ ดบ รรลธุ รรมวิเศษแลว ก็ดับจติ พอดี กอนท่ีพระสงฆจะเร่ิมสวดพระปริตร มี ชวี ิตกั ษยั การสน้ิ ชีวติ , ตาย ขอความเปนคําเชิญชวนเทวดาทั่วทั้ง ชวี ติ นิ ทรีย อนิ ทรียคือชีวิต, สภาวะที่ หมดใหมาฟงธรรมอันมีในบาลีภาษิต เปนใหญในการตามรักษาสหชาตธรรม แหงพระปรติ รทจี่ ะสวดตอไปน้นั ดงั คํา ลงทา ยวา “ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า” (ธรรมที่เกิดรวมดวย) ดุจน้ําหลอเลี้ยง (ทา นผเู จรญิ ทง้ั หลาย นเี้ ปน เวลาทจ่ี ะฟง ธรรม) ดังนี:้ ดอกบัว เปน ตน มี ๒ ฝา ยคอื ๑. ก) สาํ หรบั เจด็ ตาํ นาน ชีวิตินทรียทเ่ี ปน ชีวติ รปู เปนอปุ าทายรปู “สรชฺชํ สเสนํ สพนฺธุ นรินทฺ ,ํ ปรติ ฺตานภุ าโว สทา รกขฺ ตูติ. อยา งหน่ึง (ขอท่ี ๑๓) เปน เจาการในการ ผริตฺวาน เมตฺตํ สเมตตฺ า ภทนตฺ า, อวกิ ขฺ ติ ตฺ จติ ตฺ า ปรติ ตฺ ํ ภณนตฺ .ุ รักษาหลอเล้ียงเหลากรรมชรูป (รูปที่ สคเฺ ค กาเม จ รูเป คิรสิ ิขรตเฏ จนฺตลกิ เฺ ข วิมาเน, เกิดแตก รรม) บางทเี รียก รปู ชวี ติ ินทรีย ทีเป รฏเ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวตฺถมุ หฺ ิ เขตเฺ ต, ๒. ชีวิตินทรียที่เปนเจตสิกเปนสัพพ- ภมุ ฺมา จายนฺตุ เทวา ชลถลวิสเม ยกขฺ คนธฺ พพฺ นาคา, ติฏ นตฺ า สนตฺ ิเก ยํ มุนิวรวจนํ สาธโว เม สณุ นตฺ ุ. จิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกทเ่ี กดิ กบั ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า, ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า, จติ ทกุ ดวง) อยา งหนงึ่ (ขอ ที่ ๖) เปนเจา ธมมฺ สฺสวนกาโล อยมภฺ ทนฺตา.” มีธรรมเนียมวา ถาเปนพระราชพิธี การในการรักษาหลอเลี้ยงนามธรรมคือ และสวดมนตใ นพระราชฐาน ใหข น้ึ ตน บทขดั ตง้ั แต “สรชฺชํ สเสนํ …” ถา เปน จิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก งานพธิ อี นื่ ใหเ รม่ิ ท่ี “ผรติ วฺ าน เมตฺตํ… อรปู ชวี ติ นิ ทรยี  หรอื นามชวี ิตนิ ทรยี  ชโี ว ผูเ ปน, ดวงชีพ ตรงกับ อาตมัน หรือ อตั ตา ของลทั ธพิ ราหมณ ชุณหปกข, ชุณหปกษ “ฝายขาว, ฝา ย สวา ง” หมายถงึ ขา งขน้ึ ; ศกุ ลปก ษ ก็ เรยี ก; ตรงขา มกบั กณั หปก ษหรอื กาฬปก ษ ชมุ นุมเทวดา กลา วคาํ เชญิ ชวนเทวดาให มาชุมนุมกันเพ่ือฟงธรรม ในโอกาสที่

ชงู วง ๘๖ เชื่อดายไป ข) สาํ หรบั สบิ สองตาํ นาน (มเี พม่ิ ๑ คาถา) มาปใู หเ ตม็ พน้ื ท่ี (เรอื่ งมาใน วนิ ย.๗/๒๕๖/๑๐๙) “สรชชฺ ํ สเสนํ สพนฺธุ นรินฺทํ, ตามเร่ืองวา เมื่อหมูเกวียนขนเงินมา ปริตฺตานภุ าโว สทา รกฺขตูต.ิ เท่ียวแรก เงินเหรียญปูยังไมเต็มพ้ืนท่ี ผริตวฺ าน เมตฺตํ สเมตตฺ า ภทนตฺ า, ขาดอยูตรงท่ีใกลซุมประตูหนอยเดียว อวิกขฺ ติ ตฺ จติ ฺตา ปรติ ฺตํ ภณนตฺ .ุ ขณะท่ีอนาถบิณฑิกคหบดีส่ังคนใหไป สมนตฺ า จกกฺ วาเฬสุ อตรฺ าคจฺฉนตฺ ุ เทวตา ขนเงินมาอีก เจา เชตเกิดความซาบซงึ้ ใน สทธฺ มมฺ ํ มนุ ริ าชสสฺ สุณนฺตุ สคคฺ โมกฺขทํ. ศรัทธาของทานอนาถบิณฑิก จึงขอมี สคเฺ ค กาเม จ รเู ป คริ สิ ิขรตเฏ จนฺตลกิ เฺ ข วิมาเน, สว นรว มในการสรา งวัดดวย โดยขอให ทีเป รฏเ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวตฺถุมฺหิ เขตเฺ ต, ทีต่ รงนัน้ เปน สวนท่ตี นถวาย ซึ่งอนาถ- ภุมมฺ า จายนฺตุ เทวา ชลถลวสิ เม ยกฺขคนฺธพฺพนาคา, บิณฑกิ คหบดกี ย็ นิ ยอม เจาเชตจงึ สรา ง ติฏ นตฺ า สนตฺ เิ ก ยํ มุนวิ รวจนํ สาธโว เม สณุ นตฺ ุ. ซมุ ประตูวดั ขน้ึ ตรงทน่ี นั้ , เชตวนั อนาถ- ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนฺตา, บิณฑิการามนี้ เปนวัดที่พระพุทธเจา ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมฺภทนตฺ า, ประทบั จาํ พรรษามากทส่ี ดุ รวมทงั้ หมด ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า.” ถงึ ๑๙ พรรษา คอื (อาจจะครง้ั แรกใน พรรษาที่ ๓) พรรษาท่ี ๑๔ และในชวง ดู ปริตร, ปรติ ต พรรษาที่ ๒๑–๔๔ ซึ่งประทับสลับไปมา ชงู วง ในประโยควา “เราจกั ไมชงู วงเขา ไปสูตระกลู ” ถอื ตัว ระหวางวัดพระเชตวัน กบั วัดบุพพาราม เชฏฐ-, เชษฐ- พ่ี ของวิสาขามหาอุบาสิกา, ดว ยเหตนุ ้ี การ เชฏฐา, เชษฐา พี่ชาย ทรงแสดงธรรม และทรงบัญญตั วิ ินัย จึง เชฏฐภคนิ ี พ่ีสาวคนโต เกดิ ขน้ึ ทว่ี ดั พระเชตวนั นม้ี าก โดยเฉพาะ เชฏฐมาส เดอื น ๗ สิกขาบทของภิกษุณี ทรงบัญญัติท่ีวัด เชตวัน “สวนเจา เชต” ชอ่ื วดั สําคัญซง่ึ พระเชตวันแทบทัง้ นนั้ ; ดู อนาถบิณฑกิ , อนาถบิณฑิกเศรษฐีสรางถวายแดพระ คนั ธกุฎี,มหาคนั ธกฎุ ี พุทธเจา อุทศิ สงฆจ ากจาตรุ ทิศ ทเี่ มือง เชาวน ความนึกคดิ ทแี่ ลนไป, ความเรว็ สาวัตถี เมอื งหลวงของแควน โกศล (คง ของปญ ญาหรอื ความคิด, ไหวพรบิ จะสรา งในพรรษาที่ ๓ แหง พทุ ธกิจ) โดย เชื่อดายไป เชอ่ื เร่อื ยไป, เชือ่ ดะไปโดยไม ซ้ือท่ีดินอุทยานของเจาเชต (เชตราช- นึกถงึ เหตุผล กมุ าร) ดวยวิธเี อาเกวยี นขนเงนิ เหรยี ญ

ซดั ไปประหาร ๘๗ ญตั ติ ซ ซัดไปประหาร ฆาหรือทํารายโดยยิง ดว ยศิลา เปนตน ดว ยศรหรือดวยปน พงุ ดวยหอก ขวา ง ฌ ฌาน การเพงอารมณจนใจแนวแนเปน ฌาน, ปญ จกัชฌาน อปั ปนาสมาธ,ิ ภาวะจติ สงบประณตี ซง่ึ มี ฌานจตกุ กนยั ฌานแบบทจ่ี ดั เปน หมวด สมาธเิ ปน องคธ รรมหลกั ; ฌาน ๔ คอื ๑. ๔ คือเปน ฌาน ๔, บางทีเรียกวาแบบ ปฐมฌาน มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ พระสตู ร คือตามสุตตันตเทศนา, มัก เอกคั คตา) ๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๓ (ปต ิ เรียกวา “จตุกกัชฌาน”; ดู ฌาน ๔ สขุ เอกคั คตา) ๓. ตตยิ ฌาน มอี งค ๒ ฌานปญจกนัย ฌานแบบที่จัดเปน (สขุ เอกคั คตา) ๔. จตตุ ถฌาน มอี งค ๒ หมวด ๕ คอื เปน ฌาน ๕, บางทเี รยี กวา (อเุ บกขา เอกคั คตา); ฌาน ๕ กเ็ หมอื น แบบอภธิ รรม, มกั เรียกวา “ปญ จกชั - อยา ง ฌาน ๔ นนั่ เอง แตต ามแบบ ฌาน”; ดู ฌาน ๕ อภธิ รรม ทา นซอยละเอยี ดออกไป โดย ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ ปรชี ากาํ หนดรู เพม่ิ ขอ ๒ แทรกเขา มา คอื ๑. ปฐมฌาน ความเศรา หมอง ความผอ งแผว และการ มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ เอกคั คตา) ออกแหง ฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบตั ิ ๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๔ (วจิ าร ปต ิ สขุ ตามความเปน จรงิ (ขอ ๗ ในทศพลญาณ) เอกคั คตา) ขอ ๓, ๔, ๕ ตรงกบั ขอ ๒, ฌาปนกิจ กิจเผาศพ, การเผาศพ ๓, ๔ ในฌาน ๔ ตามลาํ ดบั ; ดู จตุกกชั - ญ ญัตติ คําเผดียงสงฆ, การประกาศให สงฆทราบเพอื่ ทํากจิ รวมกัน, วาจานัด

ญัตติกรรม ๘๘ ญาณ ๑๖ ญตั ตกิ รรม กรรมอนั กระทาํ ดว ยตงั้ ญตั ติ ญาณ ญาณในสว นอดตี ๒. อนาคตงั ส- ไมตองสวดอนุสาวนา คือประกาศให ญาณ ญาณในสว นอนาคต ๓. ปจจุป- สงฆทราบ เพอื่ ทาํ กจิ รว มกนั เรยี กวา ปนนงั สญาณ ญาณในสว นปจ จุบัน; อีก เผดยี งสงฆอ ยา งเดยี ว ไมต อ งขอมติ เชน หมวดหนงึ่ ไดแ ก ๑. สัจจญาณ หย่งั รู อริยสัจจแ ตล ะอยา ง ๒. กิจจญาณ หยง่ั อโุ บสถ และ ปวารณา เปน ตน ญัตติจตุตถกรรม กรรมมีญัตติเปนทส่ี ี่ รูกจิ ในอรยิ สัจจ ๓. กตญาณ หย่งั รูกจิ ไดแ กส งั ฆกรรมทส่ี าํ คญั มกี ารอปุ สมบท อันไดทําแลวในอริยสัจจ; อีกหมวด เปนตน ซึ่งเมือ่ ตงั้ ญัตติแลว ตอ งสวด หนึง่ ไดแ ก วชิ ชา ๓ อนสุ าวนา คาํ ประกาศขอมติ ถงึ ๓ หน ญาณ ๑๖ ญาณท่ีเกิดแกผูบําเพ็ญ เพื่อสงฆคือที่ชุมนุมน้ันจะไดมีเวลา วิปสสนาโดยลําดับ ต้ังแตตน จนถึงจดุ พจิ ารณาหลายเทย่ี ว วา จะอนมุ ตั หิ รอื ไม หมายคือมรรคผลนิพพาน ๑๖ อยาง, ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การ ญาณ ๑๖ น้ี มใิ ชเปนหมวดธรรมทีม่ า อุปสมบทดว ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรม ไดแ ก ครบชุดในพระบาลเี ดมิ โดยตรง แตพ ระ วิธีอุปสมบทที่พระสงฆเปนผูกระทํา อาจารยปางกอนไดประมวลจากคัมภีร อยางที่ใชอยูในปจจุบัน โดยภิกษุ ปฏิสมั ภทิ ามัคค และวสิ ุทธิมคั ค แลว ประชุมครบองคกําหนด ในเขตชุมนุม สอนสบื กนั มา บางทีเรยี กใหเ ปนชอื่ ชุด ซง่ึ เรียกวาสีมา กลาววาจาประกาศเรอ่ื ง เลยี นคาํ บาลวี า “โสฬสญาณ” หรอื เรยี ก ความท่ีจะรับคนน้ันเขาหมู และไดรับ ก่งึ ไทยวา “ญาณโสฬส”, ทงั้ น้ี ทา นตง้ั ความยินยอมของภิกษุท้ังปวงผูเขา วปิ ส สนาญาณ ๙ เปน หลักอยูตรงกลาง ประชุมเปนสงฆนั้น; พระราธะเปน แลวเติมญาณขั้นตนๆ ท่ียังไมจัดเปน บุคคลแรกท่ีไดร ับอุปสมบทอยางนี้ วิปสสนาญาณ เพิ่มเขากอนขางหนา ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม กรรมมญี ตั ตเิ ปน ทส่ี อง และเติมญาณข้ันสูงท่ีเลยวิปสสนาญาณ หรอื กรรมมวี าจาครบ ๒ ทงั้ ญตั ต,ิ กรรม ไปแลว เขามาตอทายดวย ใหเห็น อนั ทาํ ดว ยตงั้ ญตั ตแิ ลว สวดอนสุ าวนาหน กระบวนการปฏิบัติตลอดแตตนจนจบ เดยี ว เชน การสมมตสิ มี า การสงั คายนา จึงเปนความปรารถนาดีท่ีเก้ือกูลแกการ และการมอบใหผ ากฐิน เปน ตน ศกึ ษาไมน อ ย, ญาณ ๑๖ นน้ั ดงั นี้ (ใน ญาณ ความร,ู ปรชี าหยงั่ ร,ู ปรชี ากาํ หนดร;ู ทนี่ ้ี จัดแยกใหเ หน็ เปน ๓ ชวง เพ่ือ ญาณ ๓ หมวดหนงึ่ ไดแ ก ๑. อตตี งั ส- ความสะดวกในการศึกษา) คือ

ญาณ ๑๖ ๘๙ ญาณ ๑๖ ก) กอนวิปสสนาญาณ: ๑. นามรูป- เวกขณญาณ ญาณท่ีพิจารณาทบทวน ปรจิ เฉทญาณ ญาณกาํ หนดแยกนามรปู อนงึ่ คมั ภรี อ ภธิ มั มตั ถสงั คหะ ถอื ตา ง (นามรูปปริคคหญาณ หรอื สงั ขารปรจิ - จากทก่ี ลา วมานบ้ี า ง โดยจดั ญาณท่ี ๓ เฉทญาณ กเ็ รยี ก) ๒. (นามรปู )ปจ จยั - ปรคิ คหญาณ ญาณกําหนดจบั ปจจัยแหง (สมั มสนญาณ) เปน วปิ สสนาญาณดวย นามรูป (บางทเี รยี ก กงั ขาวติ รณญาณ จงึ เปน วปิ ส สนาญาณ ๑๐ อกี ทงั้ เรยี กชอื่ หรอื ธมั มฏั ฐ ติ ญิ าณ) ๓. สัมมสนญาณ ญาณหลายขอ ใหส้นั ลง เปน ๔.อทุ ยัพ- ญาณพิจารณานามรปู โดยไตรลกั ษณ ข) วปิ สสนาญาณ ๙: ๔. อทุ ยพั พยา- พยญาณ ๕.ภังคญาณ ๖.ภยญาณ ๗. นปุ ส สนาญาณ ญาณตามเห็นความเกดิ และความดับแหงนามรูป ๕. ภังคานุ- อาทีนวญาณ ๘.นิพพทิ าญาณ ๑๐.ปฏิ- ปสสนาญาณ ญาณตามเห็นจําเพาะ ความดับเดนขึ้นมา ๖. ภยตูปฏฐาน- สังขาญาณ ๑๒.อนุโลมญาณ (นอกน้ัน ญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏ เปน ของนากลัว ๗. อาทนี วานปุ ส สนา- เหมอื นกัน) ทัง้ นี้ พงึ ทราบเพือ่ ไมส บั สน ญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็ โทษ ๘. นพิ พทิ าน-ุ ปส สนาญาณ ญาณคํานึงเห็นดวยความ มขี อพงึ ทราบพเิ ศษวา เม่ือผูป ฏิบตั ิ หนา ย ๙. มุญจิตกุ ัมยตาญาณ ญาณหยั่ง รอู นั ใหใ ครจะพนไปเสยี ๑๐. ปฏสิ งั ขาน-ุ กาวหนามาจนเกิดวิปสสนาญาณขอแรก ปส สนาญาณ ญาณอนั พจิ ารณาทบทวน คืออุทยัพพยานุปสสนาญาณ ชื่อวาได เพื่อจะหาทาง ๑๑. สงั ขารุเปกขาญาณ ตรณุ วปิ สสนา (วิปสสนาออ นๆ) และ ในตอนน้ี วิปสสนปู กเิ ลสจะเกดิ ขึ้น ชวน ญาณอันเปนไปโดยความเปนกลางตอ สงั ขาร ๑๒. สัจจานุโลมกิ ญาณ ญาณ ใหสําคัญผดิ วาถึงจุดหมาย แตเ ม่อื รเู ทา เปน ไปโดยควรแกการหยงั่ รูอ รยิ สัจจ ทนั กาํ หนดแยกไดวาอะไรเปนทางอะไร ค) เหนอื วปิ ส สนาญาณ: ๑๓.โคตรภญู าณ มใิ ชทาง กจ็ ะผานพน ไปได อทุ ยัพพย- ญาณครอบโคตร คอื หวั ตอ ทข่ี า มพน ภาวะ ปถุ ชุ น ๑๔. มัคคญาณ ญาณในอรยิ มรรค ญาณน้ันก็จะพัฒนาเปนมัคคามัคค- ๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล ๑๖. ปจจ- ญาณ เขาถึงวิสุทธิคือความบริสุทธิ์ที่ สาํ คัญข้นั หน่ึง เรยี กวา มคั คามคั คญาณ- ทสั สนวสิ ทุ ธิ (วสิ ทุ ธขิ อ ที่ ๕), อทุ ยพั พย- ญาณทก่ี า วมาถงึ ตอนน้ี คอื เปน วปิ ส สนา- ญาณท่ีเดินถูกทาง ผานพนวิปสสนูป- กิเลสมาไดแลว ไดชื่อวาเปนพลว- วปิ ส สนา (วิปสสนาทม่ี กี ําลัง หรอื แข็ง กลา ) ซง่ึ จะเดนิ หนา พฒั นาเปน วปิ ส สนา- ญาณท่ีสูงข้นึ ตอๆ ไป

ญาณจรติ ๙๐ ญาติ บางทีทานกลาวถึงตรุณวิปสสนา ญาณทศั นะ ไดแ กญ าณในอรยิ มรรค ๔; และพลววปิ ส สนา โดยแยกเปนชวงซ่ึง ดู วสิ ทุ ธิ กําหนดดวยญาณตางๆ คือ ระบุวา ญาณวิปปยุต ปราศจากญาณ, ไม (ชว งของ) ญาณ ๔ คอื สงั ขารปรจิ เฉท- ประกอบดวยปญญา, ปราศจากปรีชา ญาณ กังขาวติ รณญาณ สมั มสนญาณ หย่งั ร,ู ขาดความรู และมัคคามัคคญาณ เปนตรุณ- ญาณสังวร สํารวมดว ยญาณ (ขอ ๓ ใน วิปส สนา และ (ชวงของ) ญาณ ๔ คอื สงั วร ๕) ภยตปู ฏ ฐ านญาณ อาทนี วญาณ มญุ จติ -ุ ญาตปริญญา กําหนดรูข้ันรูจัก คือ กัมยตาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ กําหนดรูส่ิงน้ันๆ ตามลักษณะท่ีเปน เปนพลววปิ ส สนา สภาวะของมันเอง พอใหแยกออกจาก ในญาณ ๑๖ น้ี ขอ ๑๔ และ ๑๕ สง่ิ อน่ื ๆ ได เชน รูว า นค้ี ือเวทนา (มคั คญาณ และผลญาณ) เทา นน้ั เปน เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ ดังนี้ โลกตุ ตรญาณ อกี ๑๔ อยา งนอกนนั้ เปน เปนตน (ขอ ๑ ในปรญิ ญา ๓) โลกยี ญาณ; ดูวปิ ส สนาญาณ๙, วสิ ทุ ธิ๗ ญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพ่ือ ญาณจรติ คนทีม่ ีพนื้ นสิ ยั หนักในความรู ประโยชนแกพระญาติ, ทรงประพฤติ มกั ใชค วามคดิ พงึ สงเสรมิ ดว ย แนะนํา ประโยชนแ กพ ระประยรู ญาติ เชน ทรง ใหใชค วามคิดในทางท่ชี อบ (เปน อีกชือ่ อนุญาตใหพระญาติที่เปนเดียรถียเขา หน่ึงของพทุ ธิจริต) มาอปุ สมบทในพระพุทธศาสนา ไมตอง ญาณทัศนะ, ญาณทสั สนะ การเหน็ อยตู ิตถิยปรวิ าส ๔ เดือนกอน เหมือน กลาวคือการหย่งั ร,ู การเหน็ ทีเ่ ปน ญาณ เดยี รถยี อ นื่ และเสดจ็ ไปหา มพระญาตทิ ่ี หรอื เหน็ ดว ยญาณ อยา งตาํ่ สดุ หมายถงึ ววิ าทกนั ดว ยเรอ่ื งนาํ้ เปน ตน ; ดู พทุ ธจรยิ า วิปสสนาญาณ นอกนั้นในท่ีหลายแหง ญาติ พีน่ อ งทีย่ ังนบั รกู นั ได, ผูรว มสาย หมายถงึ ทพิ พจกั ขุญาณ บา ง มรรค โลหิตกันทางบิดาหรือมารดา, ในฎีกา ญาณ บาง และในบางกรณี หมายถึง วินัย ทานนบั ๗ ช้ัน ทั้งขา งบนและขา ง ผลญาณ บา ง ปจจเวกขณญาณ บา ง ลา ง แตตามปกติจะไมพ บมากหลายชั้น สพั พญั ตุ ญาณ บาง กม็ ี ทัง้ นี้สดุ แต อยางนน้ั ปจ จุบนั ทานใหนับญาติ ๗ ชั้น ขอความแวดลอ มในที่นน้ั ๆ หรือ ๗ ชัว่ คน คอื นับทางมารดากด็ ี ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง ทางบดิ าก็ดี ชนั้ ตนเองเปน ๑ ขา งบน ๓

ญาติพลี ๙๑ ฐานานุกรม (ถงึ ทวด) ขา งลาง ๓ (ถงึ เหลน), เขย ธรรม, ความยุตธิ รรม, สง่ิ ทสี่ มเหตุผล, และสะใภ ไมนับเปนญาติ ทางที่ถกู , วิธีการทถ่ี ูกตอ ง, ขอ ปฏิบัติที่ ญาติพลี สงเคราะหญาติ, ชวยเหลือ ถูกตอ ง หมายถึง อรยิ อัฏฐังคิกมรรค, เก้อื กลู ญาติ, การจัดสรรสละรายไดหรือ ภาวะอันจะลุถึงไดดวยขอปฏิบัติท่ีถูก ทรัพยสวนหน่ึงเปนทุนสําหรับการชวย ตอง ไดแ ก นพิ พาน เหลือเก้ือกูลญาติพี่นอง, การใชรายได ายปฏิปนโฺ น (พระสงฆ) เปน ผปู ฏบิ ัติ หรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือเอื้อเฟอเกื้อกูล ถูกทาง หรอื ปฏิบตั ิเปนธรรม คือปฏิบัติ กนั ในดานการสงเคราะหญ าติ (ขอ ๑ ใน ปฏิปทาที่จะใหเกิดความรู หรือปฏิบัติ พลี ๕ อยางแหง โภคอาทิยะ ๕) เพอ่ื ไดความรธู รรม ปฏบิ ตั ิเพ่ือออกจาก ญาติสาโลหิต พี่นองรวมสายโลหิต ทกุ ข อกี นยั หน่งึ วา ปฏิบัตมิ ุง ธรรมเปน (ญาติ = พ่ีนองที่ยังนับรูกันได, ใหญ ถือความถูกตองเปน ประมาณ (ขอ สาโลหิต = ผรู วมสายเลอื ดคอื ญาติที่ ๓ ในสังฆคณุ ๙) ไญยธรรม ธรรมอนั ควรร,ู สงิ่ ที่ควรรู สืบสกลุ มาโดยตรง) ญายะ, ญายธรรม ความถูกตองชอบ ควรเขา ใจ; เญยธรรม กเ็ ขยี น ฎ ฎกี า 1. ปกรณท พ่ี ระอาจารยทง้ั หลายใน อรรถกถา; ดู อรรถกถา 2. หนงั สอื ภายหลัง แตงแกหรืออธิบายเพิ่มเติม นมิ นตพ ระสงฆ 3. ใบบอกบุญเร่ียไร ฐ ฐานะ 1. เหตุ, อยาง, ประการ, ทตี่ งั้ , (ขอ ๑ ในทสพลญาณ ๑๐) ตําแหนง, โอกาส, ความเปนไปได ฐานานุกรม ลําดับตําแหนงยศท่ีพระ ฐานาฐานญาณ ปรีชากาํ หนดรฐู านะ คอื ภิกษุผูไดรับพระราชทานสมณศักด์ิแลว สง่ิ ที่เปนไปได เชนทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชั่วไดช ัว่ มีอํานาจตั้งใหแกพระภิกษุชั้นผูนอย เปน ตน และอฐานะ คอื สง่ิ ที่เปนไปไม ตามทาํ เนียบ เชน พระปลดั พระสมุห ไดเชน ทําดไี ดชว่ั ทาํ ชว่ั ไดดี เปนตน พระใบฎกี า เปนตน

ฐานานรุ ปู ๙๒ ดาวนกั ษตั ร ฐานานรุ ูป สมควรแกต ําแหนง , สมควร แกเหตทุ ่ีจะเปน ได ด ดน เยบ็ ผา ใหติดกนั เปน ตะเข็บโดยฝเข็ม สรางสะพาน ขุดบอนํ้า ปลูกสวนปา ดนตรี ลาํ ดบั เสยี งอันไพเราะ สรางศาลาทพ่ี กั คนเดินทาง ใหแ กช ุมชน ดวงตาเหน็ ธรรม แปลจากคาํ วา ธรรมจกั ษุ และทําทาน ชวนชาวบานตั้งอยูในศีล หมายถึงความรูเห็นตามเปนจริงดวย และทําความดีท้ังหลาย เฉพาะอยา งยิ่ง ปญญาวา ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมีความเกิดข้ึน ตัวมฆมาณพเองยังรกั ษาขอ ปฏบิ ตั พิ เิ ศษ เปนธรรมดา สิ่งน้ันทั้งหมดมีความดับ ทเ่ี รยี กวา วตั รบท๗ อกี ดว ย ครน้ั ตายไป เปน ธรรมดา; ดู ธรรมจกั ษุ ทงั้ ๓๓ คน กไ็ ดเ กดิ ในสวรรคที่เรียกชอื่ ดับไมมีเช้ือเหลือ ดับหมด คือดับทง้ั วาดาวดงึ สน ี้ โดยมฆมาณพไดเปนทาว กิเลสทง้ั ขันธ (= อนุปาทิเสสนพิ าน) สักกะ คือพระอินทร ดังทพี่ ระอนิ ทรน น้ั ดาบส ผบู าํ เพ็ญตบะ, ผูเ ผากเิ ลส มพี ระนามหนึ่งวา “มฆวา” (ในภาษาไทย ดาวเคราะห ดู ดาวพระเคราะห เขียน มฆวนั มัฆวา หรือมัฆวาน); ดู ดาวดึงส สวรรคชั้นท่ี ๒ แหง สวรรค ๖ ชัน้ วตั รบท ๗ มีจอมเทพผูปกครองช่ือทาวสักกะ ซ่ึง ดาวนักษตั ร ดาว, ดาวฤกษ, มี ๒๗ หมู โดยท่วั ไปเรียกกนั วาพระอนิ ทร, อรรถ- คอื ๑. อศั วินี (ดาวมา) มี ๗ ดวง ๒. กถาอธบิ ายความหมายของ “ดาวดงึ ส” วา ภรณี (ดาวกอ นเสา) มี ๓ ดวง ๓. คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผทู าํ บญุ รว มกัน กฤตกิ า (ดาวลกู ไก) มี ๘ ดวง ๔. ไดอุบัต”ิ (จาํ นวน ๓๓ บาลีวา เตตฺตึส, โรหิณี (ดาวคางหมู) มี ๗ ดวง ๕. เขียนตามรูปสันสกฤต เปน ตรยั ตรงึ ศ มฤคศริ ะ (ดาวหวั เน้ือ) มี ๓ ดวง ๖. หรอื เพย้ี นเปน ไตรตรงึ ษ ซงึ่ ในภาษา อารทรา (ดาวตาสําเภา) มี ๑ ดวง ๗. ไทยกใ็ ชเ ปน คาํ เรยี กดาวดงึ สน ดี้ ว ย) ดงั ปนุ ัพสุ (ดาวสาํ เภาทอง) มี ๓ ดวง ๘. มีตํานานวา ครง้ั หนงึ่ ที่มจลคาม ใน บษุ ยะ (ดาวสมอสําเภา) มี ๕ ดวง ๙. มคธรัฐ มีนักบําเพ็ญประโยชนคณะ อาศเลษา (ดาวเรือน) มี ๕ ดวง ๑๐. หนึง่ จํานวน ๓๓ คน นาํ โดยมฆมาณพ มฆา (ดาวงผู ู) มี ๕ ดวง ๑๑. บรุ พ- ไดรว มกันทาํ บุญตางๆ เชน ทําถนน ผลคณุ ี (ดาวงเู มยี ) มี ๒ ดวง ๑๒. อตุ ร-

ดาวพระเคราะห ๙๓ ดริ ัจฉานวิชา ผลคณุ ี (ดาวเพดาน) มี ๒ ดวง ๑๓. ดาวฤกษ ดู ดาวนักษัตร หสั ตะ (ดาวศอกคู) มี ๕ ดวง ๑๔. ดาํ ริ คดิ , ตริตรอง จิตรา (ดาวตาจระเข) มี ๑ ดวง ๑๕. ดํารชิ อบ ดาํ ริออกจากกาม ดํารใิ นอนั ไม สวาติ (ดาวชางพัง) มี ๕ ดวง ๑๖. พยาบาท ดําริในอันไมเบยี ดเบยี น; ดู วิศาขา (ดาวคันฉัตร) มี ๕ ดวง ๑๗. สัมมาสังกัปปะ อนุราธา (ดาวประจาํ ฉตั ร) มี ๔ ดวง ดําฤษณา ความอยาก, ความด้ินรน, ๑๘. เชษฐา (ดาวชางใหญ) มี ๑๔ ดวง ความปรารถนา, ความเสนหา (แผลงมา ๑๙. มลู า (ดาวชา งนอ ย) มี ๙ ดวง ๒๐. จากคาํ สนั สกฤตวา ตฤษณา ตรงกับคํา บรุ พาษาฒ (ดาวสัปคบั ชา ง) มี ๓ ดวง ท่ีมาจากบาลวี า ตัณหา) ๒๑. อุตราษาฒ (ดาวแตรงอน) มี ๕ ดิถี วนั ตามจันทรคติ ใชว า ค่ําหนึง่ สอง ดวง ๒๒. ศรวณะ (ดาวหลกั ชยั ) มี ๓ คํ่า เปนตน ดวง ๒๓. ธนิษฐา (ดาวไซ) มี ๔ ดวง ดิถเี พญ็ ดถิ ีมีพระจันทรเ ตม็ ดวง, วนั ขึน้ ๒๔. ศตภิษชั (ดาวพิมพทอง) มี ๔ ดวง ๑๕ คํา่ ๒๕. บุรพภัทรบท (ดาวหัวเน้อื ทราย) มี ดิรัจฉาน สัตวมีรางกายเจริญโดยขวาง, ๒ ดวง ๒๖. อตุ รภทั รบท (ดาวไมเทา ) สัตวเวนจากมนษุ ย; เดยี รจั ฉาน กใ็ ช มี ๒ ดวง ๒๗. เรวดี (ดาวปลา ดริ ัจฉานกถา ดู ติรัจฉานกถา ดิรัจฉานวิชา ความรูท่ีขวางตอทางพระ ตะเพียน) มี ๑๖ ดวง ดาวพระเคราะห ในทางโหราศาสตร นพิ พาน เชน รใู นการทาํ เสนห  รเู วทมนตร หมายถงึ ดาวทงั้ ๙ ทเ่ี รยี กวา นพเคราะห ทจี่ ะทาํ ใหค นถงึ วบิ ตั ิ เปน หมอผี หมอดู คอื อาทติ ย จันทร องั คาร พธุ เสาร หมองู หมอยา ทาํ พธิ บี วงสรวง บนบาน พฤหัสบดี ราหู ศุกร เกตุ; แตในทาง แกบ น เปน ตน เมอื่ เรยี นหรอื ใชป ฏบิ ตั ิ ดาราศาสตรเรียก ดาวเคราะห หมายถึง ตนเองกห็ ลงเพลนิ หมกมนุ และสว นมาก ดาวทไ่ี มมแี สงสวา งในตัวเอง ตอ งไดรบั ทําใหผูคนลุมหลงงมงาย ไมเปนอัน แสงสวางจากดวงอาทิตยแ ละเปนบรวิ าร ปฏิบัติกิจหนาท่ีหรือประกอบการตาม โคจรรอบดวงอาทิตยม ี ๙ ดวง คือ พุธ เหตผุ ล โดยเฉพาะตวั พระภกิ ษกุ จ็ ะขวาง ศกุ ร โลก อังคาร พฤหัสดี เสาร มฤตยู ก้ันขัดถวงตนเองใหไมม กี าํ ลงั และเวลาที่ (ยเู รนสั ) เกตหุ รือพระสมทุ ร (เนปจูน) จะบาํ เพ็ญสมณธรรม, การงดเวนจาก พระยม (พลโู ต) การเลี้ยงชีพดวยดิรัจฉานวิชา เปนศีล

ดกึ ดาํ บรรพ ๙๔ เดน ของพระภิกษุตามหลักมหาศีล (ที.สี.๙/ ราชสหี ก ิน, พยัคฆวิฆาส-เดนเสอื โครง กนิ , โกกวิฆาส-เดนสนุ ขั ปา กนิ เปนตน ) ๑๙–๒๕/๑๑–๑๕), ศีลนี้สําเร็จดวยการ จะใหอนุปสัมบันตมยางทอดแกงแลว ฉนั กไ็ ด ไมเปนอาบตั ิ (วนิ ย.๑/๑๓๗/๑๐๙), ปฏบิ ตั ติ ามสกิ ขาบทในพระวนิ ยั ปฎ กขอ ที่ มสี กิ ขาบทหา มภกิ ษณุ ี มใิ หเ ท หรอื สงั่ ให เทอจุ จาระ ปส สาวะ หยากเยือ่ หรือของ กาํ หนดแกภ กิ ษทุ ง้ั หลาย มใิ หเ รยี น มใิ ห เปน เดน ออกไปนอกฝาหรอื นอกกาํ แพง (วินย.๓/๑๗๕/๑๐๖, และ ๓/๑๗๘/๑๐๘ มิใหเ ท สอนดริ จั ฉานวชิ า (วนิ ย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) และ ของเหลานี้ลงไปบนพชื พันธขุ องสดเขยี ว ท่ีชาวบานปลูกไว, ทั้งนี้ ภิกษุก็ตอง แกภ กิ ษณุ ที ง้ั หลายเชน เดยี วกนั (วนิ ย.๓/ ปฏบิ ตั ติ ามดว ยเชน กัน), มีสกิ ขาบทหา ม ๓๒๒/๑๗๗;๓๒๕/๑๗๘); ดูจฬู มชั ฌมิ มหาศลี ภกิ ษมุ ใิ หเอาเศษอาหาร กา ง หรือนํ้าเดน ดึกดําบรรพ ครงั้ เกากอ น, ครัง้ โบราณ ใสบาตรออกไปท้ิง แตใหใชกระโถน ดษุ ณภี าพ ความเปน ผนู ิง่ (วินย.๗/๕๔/๒๒; และตาม วินย.๒/๘๕๖/๕๕๗ ดสุ ติ สวรรคช น้ั ที่ ๔ แหง สวรรค ๖ ชน้ั มี ซ่งึ มใิ หภ ิกษุเทนาํ้ ลา งบาตร ทย่ี งั มีเมลด็ ทา วสนั ดสุ ติ เทวราชปกครอง สวรรคช นั้ นี้ ขาวลงในละแวกบาน หนังสือวินัยมุข เลม ๒ วา “ของเปนเดนกเ็ หมอื นกัน”) เปน ทสี่ ถติ ของพระโพธสิ ตั วก อ นจตุ ลิ งมา ๒. ตรงกบั คําบาลวี า “อตริ ติ ฺต” ซึง่ มี รากศัพทเดียวกับอติเรก หรืออดิเรก สมู นษุ ยโลกและตรสั รใู นพระชาตสิ ดุ ทา ย แปลวา สวนเกิน เหลอื เฟอ เกินใช หรอื ดูกร, ดูกอ น คําเอย เรียกใหเ ตรียมตัวฟง เกินตองการ หมายถงึ ของเหลอื ซง่ึ เกนิ ความท่ีจะพดู ตอ ไป, “แนะ ” หรือ “ดูรา” จากทต่ี อ งการ เชน ในคาํ “คลิ านาติรติ ตฺ ” ทแ่ี ปลวา “เดนภกิ ษไุ ข” ก็คือ ของเกนิ ฉัน กใ็ ชบาง หรือเกินความตองการของพระอาพาธ เดน ของเศษของเหลอื ทไี่ มตองการ, ของ ท้งั นี้ พึงเขาใจตามความในพระบาลี ดัง เหลอื อนั เกนิ จากทีต่ อ งการ; “เดน” ตาม เร่ืองวา ภิกษุทั้งหลายนําบิณฑบาตอัน ประณตี ไปถวายพวกภกิ ษุอาพาธ ภกิ ษุ ทีเ่ ขา ใจกันในภาษาไทยปจ จบุ นั มีความ อาพาธฉนั ไมไดด ังใจประสงค ภกิ ษุท้งั หมายไมสูตรงกับที่ใชในทางพระวินัย อยางนอย ในภาษาไทย มักใชแ ตในแง ท่ีพวงมากับความรูสึกเชิงวาตํ่าทราม หรอื นารังเกยี จ, “เดน” ที่ใชก ันมาในทาง พระวนิ ยั พึงแยกวา เปน คาํ แปลของคาํ บาลี ๒ อยา ง คอื ๑. ตรงกบั คาํ บาลวี า “วิฆาส” หรือ “อจุ ฉิฏ” หมายถึงของ เศษของเหลอื จากท่ีกินท่ีใช เชน ภิกษุ พบเนื้อเดนที่สัตวกิน (สีหวิฆาส-เดน

เดาะ ๙๕ ไดร ับสมมติ หลายจึงท้งิ บิณฑบาตเหลานัน้ เสยี พระ เดาะ (ในคําวา “การเดาะกฐนิ ”) เสยี หาย ผูมีพระภาคทรงสดับเสียงนกการอง คอื กฐินใชไ มได หมดประโยชน หมด เซง็ แซ จงึ รับสง่ั ถามพระอานนท เมอ่ื อานิสงส ออกมาจากคาํ วา อพุ ฺภาโร, ทรงทราบความตามท่ีพระอานนทกราบ อทุ ฺธาโร แปลวา “ยกขึน้ หรือร้อื ” เขา ทูลแลว ไดทรงอนุญาตใหฉนั อาหารอนั กบั ศพั ท กฐิน แปลวา “ร้อื ไมสะดึง” คือ เปนเดน (อติริตต) ของภิกษุอาพาธ หมดโอกาสไดประโยชนจ ากกฐนิ และของภิกษุซ่ึงมิใชผูอาพาธได แต เดียงสา รูความควรและไมค วร, รคู วาม (สาํ หรบั อยา งหลงั ) พงึ ทาํ ใหเ ปน เดน โดย เปนไปบริบูรณแลว , เขาใจความ บอกวา “ทั้งหมดนนั่ พอแลว” และทรง เดียรฉาน, เดียรัจฉาน สัตวอ่ืนจาก บัญญัติสิกขาบทวา (วินย.๒/๕๐๐/๓๒๘) มนษุ ย, สตั วผ มู รี า งกายเจรญิ ขวางออกไป “ภิกษุใดฉันเสร็จแลว หามภัตแลว คอื ไมเ จรญิ ตง้ั ขน้ึ ไปเหมอื นคนหรอื ตน ไม เคี้ยวกด็ ี ฉันก็ดี ซ่ึงของเค้ยี วกด็ ี ซึง่ ของ เดียรถีย นักบวชภายนอกพระพุทธ- ฉันกด็ ี อันมิใชเ ดน เปนปาจติ ตยี ” , ทีว่ า ศาสนา เดน หรอื เกินฉนั ก็คอื ๒ อยา ง ไดแ ก เดือน ดวงจันทร, สวนของป คือปหนึง่ มี เดนของภกิ ษอุ าพาธ และเดนของภกิ ษุ ๑๒ เดือนบาง ๑๓ เดอื นบาง (อยาง ไมอ าพาธ ดงั กลา วแลว แตเ ดนชนดิ หลงั จันทรคต)ิ ; การทน่ี ับเวลาเปน เดือนและ คืออติริตตของภิกษุซ่ึงมิใชผูอาพาธนั้น เรียกเวลาที่นับนั้นวาเดือนก็เพราะ จะตองทาํ ใหถ กู ตอ งใน ๗ ประการ คือ กาํ หนดเอาขางข้ึนขางแรมของเดือน คอื ไดทําใหเปนกัปปยะแลว, ภิกษุรับ ดวงจันทรเปนหลักมาตั้งแตเดิม ดูช่ือ ประเคนแลว, ยกขน้ึ สง ให, ทาํ ในหัตถ- เดือนท่ี มาตรา บาส, เธอฉันแลวจึงทาํ , เธอฉันเสรจ็ โดยชอบ ในประโยควา “เปนผูต รัสรูเอง หา มภตั แลว ยงั มไิ ดล กุ จากอาสนะ กท็ าํ , โดยชอบ” ความตรสั รนู ้นั ชอบ ถกู ตอ ง และเธอกลา ววา “ทงั้ หมดนน่ั พอแลว ”, ครบถวนสมบูรณ ไมว ิปรติ ใหส าํ เร็จ บางทที านตัดเปน ๕ ขอ คือ ทาํ ใหเ ปน ประโยชนแ กพ ระองคเองและผูอ ืน่ กัปปยะแลว, ภิกษุรับประเคนแลว, ไดรับสมมติ ไดรับมติเห็นชอบรวมกัน (เธอฉนั เสรจ็ หา มภตั แลว ยังไมลกุ จาก ของที่ประชุมสงฆต้ังใหเปนเจาหนาท่ี อาสนะ) ยกข้นึ สงให, ทําในหัตถบาส, หรือทํากิจท่ีสงฆมอบหมาย อยางใด และกลาววา “ทงั้ หมดนนั่ พอแลว ” อยา งหน่งึ

ตจะ ๙๖ ตถาคต ต ตจะ หนงั หรือตรัสถึงพระองคเอง แปลไดความ ตจปญจกกมั มฏั ฐาน กรรมฐานมหี นงั หมาย ๘ อยา ง คอื ๑. พระผูเสดจ็ มา เปนที่คํารบหา กรรมฐานอันบัณฑิต แลว อยา งน้นั คอื เสดจ็ มาทรงบาํ เพ็ญ กาํ หนดดวยอาการมหี นังเปนท่ี ๕ เปน พุทธจริยา เพื่อประโยชนแกชาวโลก อารมณ คือ กรรมฐานท่ีทานสอนให เปนตน เหมือนอยางพระพุทธเจาพระ องคกอ นๆ อยา งไรกอ็ ยางนั้น ๒. พระผู พจิ ารณาสว นของรางกาย ๕ อยางคือ เสด็จไปแลวอยางน้ัน คือทรงทําลาย ผม ขน เล็บ ฟน หนัง โดยความเปน อวิชชาสละปวงกิเลสเสด็จไปเหมือน ของปฏิกูล หรือโดยความเปนสภาวะ อยา งพระพุทธเจาพระองคกอ นๆ อยา ง ไรก็อยางน้ัน ๓. พระผูเสด็จมาถึงตถ- อยางหนงึ่ ๆ ตามทม่ี ันเปนของมัน ไมเ อา ลกั ษณะ คือ ทรงมพี ระญาณหย่ังรเู ขา ใจเขาไปผูกพันแลวคิดวาดภาพใฝฝน ถึงลักษณะที่แทจริงของสิ่งท้ังหลายหรือ ของธรรมทุกอยาง ๔. พระผตู รัสรตู ถ- ตามอํานาจกิเลส พจนานุกรมเขียน ธรรมตามท่ีมนั เปน คือ ตรสั รอู รยิ สัจจ ตจปญจกกรรมฐาน เรียกอีกอยางวา มลู กัมมฏั ฐาน (กรรมฐานเบอ้ื งตน ) ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเปนธรรมที่ ตตยิ ฌาน ฌานที่ ๓ มอี งค ๒ ละปต เิ สีย จริงแทแนน อน ๕. พระผทู รงเหน็ อยาง ได คงอยูแตส ขุ กบั เอกัคคตา น้ัน คือ ทรงรูเทาทันสรรพอารมณท่ี ตถตา ความเปน อยา งน้นั , ความเปนเชน นนั้ , ภาวะทสี่ ิง่ ท้ังหลายท้งั ปวงเปนของ ปรากฏแกหมูสัตวท งั้ เทพและมนษุ ย ซึ่ง มันอยางน้ันเอง คือเปนไปตามเหตุ สัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได ปจจัย (มิใชเปนไปตามความออนวอน ประสบและพากันแสวงหา ทรงเขาใจ สภาพทแ่ี ทจรงิ ๖. พระผูตรัสอยางนนั้ ปรารถนา หรอื การดลบนั ดาลของใครๆ) เปน ชอ่ื หนงึ่ ทใ่ี ชเ รยี กกฎ ปฏจิ จสมปุ บาท (หรือมีพระวาจาท่ีแทจริง) คือ พระ หรือ อทิ ัปปจจยตา ตถาคต พระนามอยางหน่ึงของพระ ดํารัสท้ังปวงนับแตตรัสรูจนเสด็จดับ พทุ ธเจา เปน คาํ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงเรยี ก ขันธปรินิพพาน ลวนเปนสิ่งแทจริงถูก

ตถาคตโพธสิ ัทธา ๙๗ ตระกูลอนั มง่ั คง่ั ตอง ไมเ ปน อยา งอน่ื ๗. พระผทู าํ อยาง ความวา พนจากกิเลสดวยอาศยั ธรรม นั้น คอื ตรัสอยางใด ทาํ อยา งนนั้ ทาํ ตรงขา มที่เปนคูป รับกัน เชน เกดิ เมตตา อยางใด ตรัสอยา งนน้ั ๘. พระผเู ปนเจา หายโกรธ เกิดสังเวช หายกําหนัด (อภภิ ู) คือ ทรงเปนผใู หญย ่ิงเหนือกวา เปนตน เปนการหลุดพนชว่ั คราว และ สรรพสัตวตลอดถึงพระพรหมท่ีสูงสุด เปน โลกยี วมิ ุตต;ิ ดู วมิ ุตติ เปน ผูเห็นถองแท ทรงอํานาจ เปนราชา ตทารมณ, ตทารมั มณะ ดู วถิ จี ติ ที่พระราชาทรงบูชา เปนเทพแหงเทพ ตทาลัมพณะ, ตทาลมั พนะ ดู วถิ จี ติ เปนอินทรเหนือพระอินทร เปนพรหม ตน โพธ์ิ ดู โพธิ เหนือประดาพรหม ไมมีใครจะอาจวัด ตบะ 1. ความเพียรเคร่ืองเผาผลาญ หรือจะทัดเทยี มพระองคดว ยศลี สมาธิ กิเลส, การบาํ เพ็ญเพียรเพ่ือกาํ จดั กเิ ลส ปญ ญา วิมุตติ และวิมุตตญิ าณทัสสนะ 2. พิธีขมกิเลสโดยการทรมานตัวของ ตถาคตโพธิสัทธา ความเชื่อปญญา นักบวชบางพวกในสมัยพุทธกาล ตรสั รูของพระตถาคต (ผูกเปน ศพั ทขนึ้ ตปสุ สะ พอ คา ทมี่ าจากอกุ กลชนบทคกู บั จากความบาลีวา “สททฺ หติ ตถาคตสสฺ ภลั ลกิ ะ พบพระพทุ ธเจา ขณะประทบั อยู โพธึ”); ดู สทั ธา ณ ภายใตตนไมราชายตนะภายหลัง ตทังคนิพพาน “นิพพานดว ยองคนนั้ ”, ตรัสรูใหมๆ ไดถ วายเสบยี งเดินทาง คือ นพิ พานดว ยองคธ รรมจาํ เพาะ เชน มอง ขาวสตั ตุผง ขา วสตั ตุกอน แลวแสดง เหน็ ขนั ธ ๕ โดยไตรลกั ษณแ ลว หายทกุ ข ตนเปนอบุ าสก ถงึ พระพุทธเจา กบั พระ รอ น ใจสงบสบายมคี วามสขุ อยตู ลอดชวั่ ธรรมเปนสรณะ นับเปนปฐมอุบาสกผู คราวนน้ั ๆ, นพิ พานเฉพาะกรณี ถึงสรณะ ๒ ท่เี รียกวา เทฺววาจกิ ตทังคปหาน “การละดวยองคน ั้น”, การ ตโปทาราม สวนซงึ่ อยใู กลบ อ น้ําพุรอ น ละกิเลสดวยองคธรรมท่ีจําเพาะกันนั้น ชื่อตโปทา ใกลพ ระนครราชคฤห เปน คือละกิเลสดวยองคธรรมจําเพาะท่ีเปน สถานท่ีแหงหนึ่งท่ีพระพุทธเจาเคยทํา คปู รับกัน แปลงายๆ วา “การละกเิ ลส นมิ ติ ตโ อภาสแกพ ระอานนท ดวยธรรมทีเ่ ปน คปู รบั ” เชน ละโกรธ ตระกูลอันมั่งค่ัง จะต้ังอยูนานไมได ดว ยเมตตา (แปลกนั มาวา “การละกิเลส เพราะเหตุ ๔ อยา ง คอื ๑. ไมแ สวงหา ไดช่ัวคราว”) พสั ดุท่หี ายแลว ๒. ไมบรู ณะพัสดทุ ีค่ รํ่า ตทงั ควิมุตติ “พนดวยองคน น้ั ๆ” หมาย ครา ๓. ไมรจู กั ประมาณในการบรโิ ภค

ตระบัด ๙๘ ตกั สลิ า สมบตั ิ ๔. ตง้ั สตรีหรอื บุรษุ ทุศลี ใหเปน ตอน ศษิ ยก ว็ า ตามวาซํ้าๆ จนจาํ ได แลว แมบา นพอเรือน อาจารยอธิบายใหเขาใจ หรืออาจารย ตระบัด ยืมของเขาไปแลว เอาเสีย เชน กาํ หนดใหน าํ ไปทอ ง แลว มาวา ใหอ าจารย ขอยืมของไปใชแลวไมสงคืน กูหน้ีไป ฟง เมอ่ื ศษิ ยจ าํ ไดแ ละเขา ใจแมน ยาํ แลว แลว ไมสง ตน ทนุ และดอกเบี้ย อาจารยก็สอนหรือใหรับสวนท่ีกําหนด ตระหนี่ เหนยี ว, เหนียวแนน , ไมอยาก ใหมไ ปทองเพม่ิ ตอไปทกุ ๆ วัน วันละ ใหงา ยๆ, ขเ้ี หนยี ว (มัจฉริยะ) มากหรือนอยแลวแตความสามารถของ ตรัยตรึงศ “สามสิบสาม”, สวรรคช้ัน ศิษย นี่เรียกวา ตอ หนังสอื และมักตอ ดาวดงึ ส; ดู ดาวดงึ ส ในเวลาคํ่า จงึ เรียกวา ตอหนังสอื คํ่า ตรสั รู รแู จง หมายถงึ รอู ริยสัจจ ๔ คอื ตะเบ็งมาน เปนช่ือวิธีหมผาของหญิง ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค อยางหน่งึ คอื เอาผาโอบหลงั สอดรักแร ตรีทศ ดู ไตรทศ สองขา งออกมาขางหนา ชกั ชายไขวกัน ตรที พิ ดู ไตรทพิ ขน้ึ พาดบา ปกลงไปเหนบ็ ไวท่ผี าโอบหลัง ตรณุ วิปส สนา วปิ ส สนาอยา งออน; ดู ตะโพน เครอื่ งดนตรชี นดิ หนงึ่ มหี นงั สอง ญาณ ๑๖, วิปสสนูปกิเลส หนา ตรงกลางปอง รมิ ๒ ขางสอบลง ตรุษ นักษตั รฤกษเ มอ่ื เวลาสิน้ ป ตกั กะ เปรียง; ดู เบญจโครส ตอ ง ถกู , ถงึ , ประสบ (ในคาํ วา “ตอ ง ตกั บาตรเทโว ดู เทโวโรหณะ อาบตั ิ” คอื ถึงความละเมดิ หรอื มีความ ตักสิลา ช่ือนครหลวงแหง แควน คนั ธาระ ผิดสถานนน้ั ๆ คลายในคําวา ตองหา ซึง่ เปน แควน หน่ึงในบรรดา ๑๖ แควน ตองขัง ตองโทษ ตองคด)ี แหงชมพูทวีป ตักสิลามีมาแตดึกดํา- ตอตาม พูดเก่ียงราคาในเร่ืองซื้อขาย, บรรพกอนพุทธกาล เคยรุงเรืองดวย พูดเกี่ยงผลประโยชนในการทําความตก ศลิ ปวิทยาตางๆ เปน สถานทม่ี ชี ือ่ เสยี งที่ ลงกนั สุดในการศึกษายุคโบราณ เรียกกันวา ตอหนังสือค่ํา เรียนหนังสือโดยวิธีท่ี เปนเมืองมหาวิทยาลัย สันนิษฐานวา อาจารยบอกปากเปลาใหโดยตรงเปน บดั น้ีคือบรเิ วณซากโบราณสถาน ในเขต รายตัว ซึง่ เนนการจําเปนฐาน อนั สบื มา แควนปญจาบ ของประเทศปากีสถาน แตย ุคท่ียังไมไ ดใ ชห นังสือ โดยอาจารย อยหู า งออกไปประมาณ ๒๗ กม. ทาง สอนใหวาทีละคําหรือทีละวรรคทีละ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราวัลปนดิ

ต่งั ๙๙ ตั่ง (Rawalpindi) เมืองหลวงเกา และหาง ใจกต็ กลงราคากนั นาํ ไปเปน ภรรยา หญงิ จากอิสลามะบาด (Islamabad) เมอื ง ทส่ี ามตี ายจะตอ งเผาตวั ตายไปกบั สามี หลวงปจจุบัน ไปทางทิศตะวันตก นับแตสมัยพระเจาอโศกมหาราช ประมาณ ๒๓ กม. เปน ตน มา ตกั สิลาไดเ ปนนครท่รี ุงเรือง ตักสิลาเปนราชธานีท่ีม่ังค่ังรุงเรือง ดวยพระพุทธศาสนา ซึ่งเจริญขึ้นมา สบื ตอกันมาหลายศตวรรษ ตั้งแตก อน เคียงขางศาสนาฮินดู เปนแหลงสําคัญ พทุ ธกาล จนถงึ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ มี แหงหน่ึงของการศึกษาพระพุทธศาสนา เร่ืองราวเลาไวในชาดกเปนอันมาก ซึ่ง ดังมีซากสถูปเจดยี  วัดวาอาราม และ แสดงใหเห็นวา ตักสิลาเปนศูนยกลาง ประติมากรรมแบบศิลปะคันธาระ การศึกษา มสี าํ นักอาจารยท ศิ าปาโมกข จาํ นวนมากปรากฏเปนหลกั ฐาน ส่ังสอนศลิ ปวิทยาตา งๆ แกศ ษิ ยซ งึ่ เดิน ตอ มาราว พ.ศ. ๙๔๓ หลวงจนี ทางมาเลาเรียนจากทุกถิ่นในชมพูทวีป ฟาเหียนไดมาสืบพระพุทธศาสนา ใน แตในยุคกอนพุทธกาลชนวรรณะสูงเทา อนิ เดีย ยงั ไดม านมสั การพระสถปู เจดยี  นน้ั จงึ มสี ทิ ธเิ ขา เรยี นได บคุ คลสาํ คญั และ ท่ีเมอื งตกั สลิ า แสดงวา เมืองตักสลิ ายงั มีช่ือเสียงหลายทานในสมัยพุทธกาล คงบริบูรณดีอยู แตตอมาราว พ.ศ. สําเร็จการศึกษาจากนครตักสิลา เชน ๑๐๕๐ ชนชาตฮิ นั่ ยกมาตีอินเดยี และได พระเจาปเสนทิโกศล เจามหาลิจฉวี ทําลายพระพทุ ธศาสนา ทําใหเ มืองตกั - พนั ธลุ เสนาดี หมอชวี กโกมารภจั และ สิลาพินาศสาปสูญไป คร้ันถึง พ.ศ. องคลุ มิ าล เปน ตน ตอ มาภายหลงั พทุ ธกาล ๑๑๘๖ หลวงจนี เหยี้ นจงั (พระถงั ซมั จง๋ั ) ตักสิลาไดถูกพระเจาอเล็กซานเดอร มาสบื พระพุทธศาสนาในอินเดีย กลาว มหาราชกษัตรยิ ก รีกยึดครอง มีหนังสอื วา เมอื งตกั สลิ าตกอยใู นสภาพเสอื่ มโทรม ที่คนชาติกรีกกลาวถึงขนบธรรมเนียม เปน เพยี งเมอื งหนง่ึ ทข่ี นึ้ กบั แควนกัศมีระ ประเพณีของเมืองตักสิลา เชนวา โบสถว หิ าร สถานศกึ ษา และปชู นยี สถาน ประชาชนชาวตักสลิ า ถาเปน คนยากจน ถูกทาํ ลายหมด จากนั้นมาก็ไมปรากฏ ไมสามารถจะปลูกฝงธิดาใหมีเหยา เรอื น เร่อื งเมอื งตกั สิลาอีก; เขยี นเต็มตามบาลี ตามประเพณไี ด ก็นําธดิ าไปขายที่ตลาด เปน ตกั กสลิ า เขียนอยา งสนั สกฤตเปน โดยเปาสังขตีกลองเปนอาณัติสัญญาณ ตกั ษศลิ าองั กฤษเขยี นTaxila;ดูคนั ธาระ ประชาชนกพ็ ากนั มาลอ มดู ถา ผใู ดชอบ ตั่ง มา ๔ เหลี่ยมรี นง่ั ได ๒ คนก็มี

ตัชชนียกรรม ๑๐๐ ตมั พปณ ณิ ตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก อรดี กับ ราคา) ภิกษุอันจะพึงขู, สังฆกรรมประเภท ตัณหาจรติ ดู จรติ , จริยา นิคหกรรมอยางหน่ึง ซึ่งสงฆทําการ ตัตรมัชฌัตตตา ความเปนกลางใน ตําหนิโทษภิกษุผูกอความทะเลาะวิวาท อารมณน้นั ๆ, ภาวะที่จิตและเจตสิกตัง้ กอ อธิกรณข น้ึ ในสงฆ เปน ผูมอี าบตั มิ าก อยูในความเปนกลาง บางทีเรียก และคลุกคลีกับคฤหัสถในทางที่ไมสม อเุ บกขา (ขอ ๗ ในโสภณเจตสิก ๒๕) ควร ตนั ติ 1. แบบแผน เชน ตนั ตธิ รรม ตัง้ ใจชอบ ดู สัมมาสมาธิ (ธรรมท่ีเปนแบบแผน) ตันติประเพณี ตณหฺ กฺขโย ความสิ้นไปแหงตณั หา เปน (แนวทางท่ียึดถือปฏิบัติสืบกันมาเปน ไวพจนอยางหนึ่งแหง วิราคะ และ แบบแผน) เชน ภกิ ษุทัง้ หลายควรสืบ นิพพาน ตอตันติประเพณีแหงการเลาเรียนพระ ตณั หา๑ ความทะยานอยาก, ความรา นรน, ธรรมวินัย และเท่ียวจาริกไป แสดง ความปรารถนา, ความอยากเสพ อยาก ธรรม โดยดํารงอริ ยิ าบถอันนาเล่ือมใส ได อยากเอาเพอ่ื ตวั , ความแสห า, มี ๓ 2. เสน , สาย เชน สายพิณ คอื ๑. กามตณั หา ความทะยานอยากใน ตนั ตภิ าษา ภาษาทม่ี แี บบแผน คอื มหี ลกั กาม อยากไดอารมณอันนาใคร ๒. ภาษา มไี วยากรณ เปน ระเบยี บ เปน ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ มาตรฐาน; เมอื่ พระพทุ ธโฆสาจารยแ ปล อยากเปน นน่ั เปน นี่ ๓. วภิ วตณั หา ความ อรรถกถาจากภาษาสิงหล ทา นกลา ววา ทะยานอยากในวภิ พ อยากไมเ ปน นน่ั ไม ยกขนึ้ สตู นั ตภิ าษา คาํ วา “ตนั ตภิ าษา” ใน เปนน่ี อยากพรากพนดับสูญไปเสีย; ทนี่ ี้ หมายถงึ ภาษาบาลี (บาล:ี ตนตฺ ภิ าสา) ตณั หา ๑๐๘ ตามนยั อยา งงา ย = ตณั หา ตัมพปณณิ “(เกาะ) คนฝามอื แดง” เปน ๓  อารมณ ๖  ๒ (ภายใน+ภายนอก) ช่ือหนึ่งของลังกาทวีป คือประเทศศรี-  กาล ๓; ดูปปญ จะ,มานะ; เทยี บฉนั ทะ2. ลงั กาในปจ จุบัน และคงเปน ชอ่ื ทีเ่ กาแก ตณั หา๒ ธดิ ามารนางหนงึ่ ใน ๓ นาง ท่ี มาก ปรากฏในรายชื่อดินแดนตางๆ ใน อาสาพระยามารผเู ปน บดิ า เขา ไปประโลม คมั ภรี ม หานทิ เทส แหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก พระพุทธเจา ดว ยอาการตางๆ ในสมยั ที่ ซง่ึ มชี วาดวย และถัดจากสุวรรณภมู ิ ก็ พระองคประทับอยูที่ตนอชปาลนิโครธ มีตัมพปณณิ (ชว คจฉฺ ติ … สุวณณฺ ภมู ึ ภายหลงั ตรัสรใู หมๆ (อกี ๒ นาง คอื คจฺฉติ ตมฺพปณฺณึ คจฺฉต,ิ ขุ.ม.๒๙/๒๕๔/

ตสั สปาปยสกิ ากรรม ๑๐๑ ตณิ ชาติ ๑๘๘, ๘๑๐/๕๐๔) ช่อื เหลาน้ีจะตรงกบั ดนิ ตัสสปาปยสกิ ากรรม กรรมอันสงฆพงึ แดนท่ีเขา ใจกัน หรอื เปนชอ่ื พอง หรือ ทาํ เพราะความท่ีภกิ ษุน้ันเปน ผเู ลวทราม, ตง้ั ตามกนั ไมอาจวนิ จิ ฉัยใหเ ด็ดขาดได, กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุผูเปนจําเลยใน เหตุที่ลังกาทวีปไดนามวาตัมพปณณินั้น อนุวาทาธิกรณ ใหการกลับไปกลับมา มเี ร่อื งตามตาํ นานวา เจาชายวิชยั ซึ่งเปน เด๋ียวปฏิเสธ เด๋ียวสารภาพ พดู ถลาก โอรสองคใหญของพระเจาสีหพาหุและ ไถล พดู กลบเกลื่อนขอ ทถ่ี กู ซัก พดู มุสา พระนางสีหสีวลีในชมพูทวีป ถูกพระ ซ่ึงหนา สงฆทาํ กรรมน้ีแกเธอเปนการลง ราชบิดาลงโทษเนรเทศ ไดเดนิ ทางจาก โทษตามความผิดแมวาเธอจะไมรับ ชมพูทวีป และมาถึงเกาะนใ้ี นวนั พุทธ- หรอื เพือ่ เพมิ่ โทษจากอาบตั ทิ ี่ตอ ง ปรนิ ิพพาน ราชบรพิ ารซ่งึ เหน็ดเหนือ่ ย ตามพปณ ณิ ดู ตัมพปณณิ จากการเดินทาง เม่อื ขน้ึ ฝง แลว ก็ลงนง่ั ตาลุ เพดานปาก พกั เอามือยันพน้ื ดิน เมื่อยกมือขึน้ มา ตาลชุ ะ อักษรเกดิ ที่เพดาน คอื อิ อี และ มือก็เปอนแดงดวยดินท่ีนั่นซึ่งมีสีแดง จ ฉ ช ฌ  กบั ทง้ั ย กลายเปน คนมือแดง (ตมพฺ [แดง] + ตํารับ, ตาํ หรับ ตาํ ราที่กาํ หนดไวเปน ปณณฺ ี [มีฝา มอื ] = ตมฺพปณณฺ ี [มีฝา มือ เฉพาะแตล ะเรอ่ื งละราย แดง]) กจ็ ึงเรยี กถน่ิ นน้ั วา ตมั พปณณิ ตกิ ะ หมวด ๓ แลว ณ ถ่นิ น้นั เจาชายวิชัยไดรบั ความ ตจิ วี รวปิ ปวาส การอยปู ราศจากไตรจวี ร ชวยเหลือจากยักษิณีที่รักพระองค รบ ติจีวรอวิปปวาส การไมอยูปราศจาก ชนะพวกยกั ษแหง เมอื งลังกาปรุ ะ จึงได ไตรจวี ร; ดู ติจีวราวิปปวาส ต้ังเมืองตัมพปณณินครข้ึน เปนปฐม- ตจิ วี ราวปิ ปวาส การไมอ ยปู ราศจากไตร- กษตั รยิ ต น วงศข องชาวสหี ล หรอื สงิ หฬ จวี ร คอื ภิกษุอยใู นแดนท่สี มมตเิ ปน จากน้ัน ช่ือตัมพปณณิก็ขยายออกไป ตจิ วี ราวปิ ปวาสแลว อยหู า งจากไตรจวี ร กลายเปน ชอ่ื ของทงั้ เกาะหรอื ทงั้ ประเทศ, ก็ไมเ ปน อันอยูปราศ ไมต องอาบัติดว ย ตามเรอ่ื งทเี่ ลา มา จะเหน็ ชอ่ื ทใ่ี ชเ รยี กดิน นิสสัคคิยปาจติ ตียสกิ ขาบทท่ี ๑ แดนน้คี รบ ทั้งลังกา ตมั พปณ ณิ และ ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า แดนไมอ ยปู ราศจาก สหี ลหรอื สงิ หฬ, ตามพปณณิ ก็เรียก ไตรจวี ร สมมตแิ ลว ภกิ ษุอยหู างจาก (จะเติม ‘ทวีป’ เปนตัมพปณณิทวีป ไตรจวี รในสมี านน้ั ก็ไมเปน อันปราศ หรอื ตามพปณ ณิทวีป ก็ได) ติณชาติ หญา

ติณวตั ถารกวธิ ี ๑๐๒ ติรัจฉานกถา ตณิ วตั ถารกวธิ ี วธิ แี หง ตณิ วตั ถารกวนิ ยั เดือน หรือจนกวาสงฆพอใจ จึงจะ ตณิ วตั ถารกวนิ ยั ระเบยี บดงั กลบไวด ว ย อปุ สมบทได ทัง้ นี้ เพือ่ ปรบั ตัวปรับวถิ ี หญา ไดแ กกิรยิ าทใี่ หประนีประนอมกนั ชีวิตใหพรอมที่จะเขาอยูในระบบอยาง ทง้ั สองฝาย ไมตอ งชําระสะสางหาความ ใหม และเปนการทดสอบตนเองดวย; ดู เดิม เปนวิธีระงับอาปต ตาธกิ รณ ทใี่ ชใ น ปรวิ าส เมื่อจะระงับลหุกาบัติที่เกี่ยวกับภิกษุ ตติ ถิยปกกนั ตกะ ผไู ปเขารีตเดียรถยี ท ้ัง จํานวนมาก ตางก็ประพฤติไมสมควร เปนภกิ ษุ อุปสมบทอีกไมไ ด (เปน วัตถุ- และซดั ทอดกนั เปน เรอื่ งนงุ นงั ซบั ซอน วบิ ตั )ิ ชวนใหทะเลาะวิวาท กลา วซัดลาํ เลกิ กัน ติรัจฉานกถา ถอยคําอันขวางตอทาง ไปไมม ที ีส่ ดุ จะระงับดว ยวธิ อี ่นื กจ็ ะเปน นิพพาน, เรื่องราวที่ภิกษุไมควรนํามา เรื่องลุกลามไป เพราะถาจะสบื สวนสอบ เปน ขอถกเถยี งสนทนา โดยไมเก่ียวกับ สวนปรบั ใหก ันและกันแสดงอาบัติ กม็ ี การพิจารณาสั่งสอนแนะนําทางธรรม แตจะทําใหอธิกรณรุนแรงย่ิงข้ึน จึง อันทําใหคิดฟุงเฟอและพากันหลงเพลิน ระงับเสียดวยติณวัตถารกวิธี คือแบบ เสียเวลา เสียกิจหนาท่ีทีพ่ ึงปฏิบตั ิตาม กลบไวดวยหญา ตัดตอนยกเลิกเสีย ธรรม เชน ราชกถา สนทนาเรอื่ งพระ ไมส ะสางความหลังกันอกี ราชา วา ราชาพระองคน้ันโปรดของอยา ง ตติ ถกร เจาลทั ธิ หมายถึงคณาจารย ๖ นนั้ พระองคน โี้ ปรดของอยา งน้ี โจรกถา คน คอื ๑.ปรู ณกสั สป๒.มกั ขลโิ คสาล ๓. สนทนาเร่ืองโจร วา โจรหมูนั้นปลน ทน่ี ่นั อชติ เกสกมั พล ๔. ปกทุ ธกจั จายนะ ๕. สญั ชยั เวลัฏฐบตุ ร ๖. นคิ รนถนาฏบตุ ร ไดเ ทา น้นั ๆ ปลน ท่นี ่ไี ดเทานๆ้ี เปนตน; มกั เรียกวา ครทู งั้ ๖ ติตถิยะ เดียรถีย, นักบวชภายนอกพระ ทรงแสดงไวในทหี่ ลายแหง ไดแก ราช- กถา โจรกถา มหามัตตกถา (เร่ืองมหา อาํ มาตย) เสนากถา (เร่อื งกองทัพ) ภย- พทุ ธศาสนา กถา ยทุ ธกถา อนั นกถา (เรอ่ื งขา ว) ปาน- ติตถิยปริวาส วิธีอยูกรรมสําหรับ กถา (เร่อื งนํา้ ) วตั ถกถา (เร่อื งผา) ยาน- เดียรถียที่ขอบวชในพระพุทธศาสนา กถา สยนกถา (เรือ่ งที่นอน) มาลากถา กลาวคอื นกั บวชในลทั ธศิ าสนาอื่น หาก คนั ธกถา าติกถา คามกถา (เรือ่ ง ปรารถนาจะบวชเปนภิกษุในพระพุทธ- บาน) นิคมกถา (เรอ่ื งนคิ ม คอื เมือง ศาสนา จะตองประพฤติปรวิ าสกอน ๔ ยอย) นครกถา ชนปทกถา อติ ถีกถา

ตริ ัจฉานโยนิ ๑๐๓ ตีรณปริญญา (เร่ืองสตร)ี สรู กถา (เรอื่ งคนกลา หาญ) เมื่อตรัสสอนภิกษุทั้งหลายวาไมควร วสิ ิขากถา (เรื่องตรอก) กมุ ภฏั านกถา สนทนาติรัจฉานกถาเหลานี้แลว ก็ได (เรอ่ื งทานา้ํ ) ปพุ พเปตกถา (เรื่องคนท่ี ทรงแสดงกถาวตั ถุ ๑๐ วา เปนเรอื่ งท่ี ลวงลบั ) นานัตตกถา (เรอื่ งปลกี ยอ ย ควรสนทนากนั สําหรับภิกษุทง้ั หลาย; ดู หลากหลาย) โลกกั ขายกิ า (คาํ เลา ขาน กถาวัตถุ ๑๐ เร่ืองโลก เชนวาโลกนใี้ ครสรา ง) สมทุ - ติรจั ฉานโยนิ กําเนิดดิรัจฉาน (ขอ ๒ ทกั ขายกิ า (คาํ เลาขานเร่อื งทะเล เชน ท่ี ในทุคติ ๓, ขอ ๒ ในอบาย ๔); ดู คติ วาขุดขึ้นมาโดยเทพเจาชื่อสาคร) อิติ- ติรจั ฉานวิชา ดู ดิรจั ฉานวชิ า ภวาภวกถา (เรื่องท่ีถกเถียงกันวุนวาย ติสรณคมนูปสัมปทา อุปสมบทดวย ไปวาเปนอยางนั้น-ไมเปนอยางน้ี หรือ ไตรสรณคมน คือบวชภิกษุดวยการ วาเปนอยางนี้-ไมเปนอยางนั้น สุดโตง (กลา วคาํ )ถงึ สรณะ ๓ เปนวิธอี ปุ สมบท กนั ไป เชน วา เท่ียงแท-วาขาดสญู วา ได- ท่ีพระพุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวก วาเสีย วาใหปรนเปรอตามใจอยาก-วา บวชกุลบุตรในครั้งตนพทุ ธกาล ตอมา ใหกดบีบเครียดเครง ), ทัง้ หมดนนี้ ับได เมอ่ื ทรงอนญุ าตการอปุ สมบทดว ยญตั ต-ิ ๒๗ อยา ง แตคมั ภรี นทิ เทสระบุจาํ นวน จตตุ ถกรรมแลว กท็ รงอนญุ าตการบวช ไวดว ยวา ๓๒ อยาง (เชน ข.ุ ม.๒๙/๗๓๓/ ดวยไตรสรณคมนน้ี ใหเปนวิธีบวช ๔๔๕) อรรถกถา (เชน ม.อ.๓/๒๐๒/๑๖๕) บอก สามเณรสบื มา ดู อุปสมั ปทา วธิ นี ับวา ขอสดุ ทาย คอื อติ ิภวาภวกถา ติสสเถระ ช่ือพระเถระองคห นึง่ ในเกาะ แยกเปน ๖ ขอ ยอย จงึ เปน ๓๒ (แตใน ลงั กา เคยอปุ การะพระเจา วฏั ฏคามนิ อี ภยั มหานิทเทส ฉบบั อกั ษรไทย มีปรุ ิสกถา คราวเสียราชสมบัติแกทมิฬ ภายหลัง ตอจากอติ ถกี ถา รวมเปน ๒๘ เมื่อแยก ทรงกูราชสมบัติคืนไดแลว ไดสรา งวัด ยอยอยางนี้ ก็เกินไป กลายเปน ๓๓) อภัยคีรีวหิ ารถวาย ย่ิงกวาน้ัน ในคัมภีรช้ันฎีกาบางแหง ติสสเมตเตยยมาณพ ศิษยคนหนึ่งใน (วนิ ย.ฏ.ี ๓/๒๖๗/๓๗๙) อธบิ ายวา อีกนัย จาํ นวน ๑๖ คน ของพราหมณพาวรีท่ี หน่ึง คําวา “อิต”ิ มีความหมายวารวม ไปทูลถามปญหากะพระศาสดาที่ ท้ังเรื่องอื่นๆ ทํานองน้ีดวย เชนรวม ปาสาณเจดยี  เรอ่ื ง ปา เขา แมนา้ํ และเกาะ เขา ไป ก็ ตีรณปรญิ ญา กาํ หนดรขู ้ันพจิ ารณา คอื เปน ๓๖ อยา ง; ใน องฺ.ทสก.๒๔/๖๙/๑๓๘ กําหนดรูสังขารดวยการพิจารณาเห็น

ตจุ ฉากาศ ๑๐๔ ตลุ า ไตรลักษณ วาส่ิงนั้นๆ มีลักษณะไม ภาคเจาไดตรัสวา ภิกษทุ ง้ั หลาย ลาภ สักการะและชื่อเสียง เปนของทารุณ เทย่ี ง เปนทุกข เปนอนัตตา (ขอ ๒ ใน เผ็ดรอน หยาบรา ย เปนอนั ตรายตอ การ บรรลุโยคเกษมธรรม อันยอดเย่ียม; ปรญิ ญา ๓) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อุบาสิกาผมู ศี รทั ธา เมือ่ ตุจฉากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ จะวิงวอนบุตรนอ ยคนเดียว ซึ่งเปน ทร่ี ัก ตุมพสตปู พระสถูปบรรจุทะนานทองที่ ท่ชี ื่นใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอยา งนี้วา ใชตวงแบงพระบรมสารีริกธาตุ โทณ- ‘ขอพอจงเปนเชนจิตตคฤหบดี และ หัตถกะอาฬวกะเถิด’ ภกิ ษทุ ้ังหลาย ผูท่ี พราหมณเปน ผูสรา ง เปนตุลา เปนประมาณ ในบรรดา ตลุ า ตราชู, ประมาณ, เกณฑวัด, มาตร- อบุ าสกสาวกของเรา กค็ อื จติ ตคฤหบดี ฐาน, ตัวแบบ, แบบอยาง; สาวกหรอื และหัตถกะอาฬวกะ, ‘ถาพอออกบวช ก็ขอจงเปนเชนพระสารีบตุ ร และพระ สาวิกา ท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยองวา โมคคลั ลานะเถดิ ’ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เ่ี ปน ตลุ า เปน ประมาณ ในบรรดาภกิ ษสุ าวก เปนตราชู หรือเปนแบบอยางในพุทธ ของเรา ก็คอื สารีบตุ รและโมคคัลลานะ, ‘ขอพอจงอยาเปนอยางพระที่ยังศึกษา บริษัทนั้นๆ อันสาวกและสาวิกาท้ัง ซึ่งยังมิไดบรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภ สักการะและช่ือเสยี งตามรังควาน’ ภกิ ษุ หลาย ควรใฝปรารถนาจะดําเนินตาม ท้ังหลาย ถาลาภสักการะและชื่อเสียง หรอื จะเปนใหไ ดใหเหมอื น คอื ๑. ตุลา ตามรังควานภิกษุที่ยังศึกษา ซึ่งยังไม สาํ หรบั ภกิ ษสุ าวกทั้งหลาย ไดแ ก พระ บรรลุอรหัตตผล ก็จะเปนอันตรายแก เธอ, ลาภสกั การะและชื่อเสยี ง เปนเรื่อง สารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ รายกาจ อยางนี้ เธอทั้งหลายพึง ๒. ตุลา สําหรบั ภกิ ษุณสี าวิกาท้งั หลาย สําเหนยี กไว ดังนแ้ี ล” ไดแก พระเขมา และพระอบุ ลวรรณา ๓. ตุลา สําหรับอบุ าสกสาวกทั้งหลาย ตอจากนั้นก็มีอีกพระสูตรหน่ึง ไดแ ก จติ ตคฤหบดี และหตั ถกะอาฬวกะ ตรัสไวทํานองเดียวกันวา (สํ.นิ.๑๖/๕๗๑- ๔. ตลุ า สําหรับอบุ าสิกาสาวกิ าทง้ั หลาย ๒/๒๗๗) “… อุบาสกิ าผูมศี รัทธา เม่อื จะ ไดแ ก ขชุ ชตุ ตราอปุ าสกิ า และเวฬกุ ณั ฏกี นนั ทมารดา นอกจากพุทธพจนท่ีแสดงหลักท่ัว ไปแลว (อง.ทุก.๒๐/๓๗๕–๘/๑๑๐-๑; อง.จตกุ ก. ๒๑/๑๗๖/๒๒๑) บางแหงตรัสสอนวิธี ปฏบิ ัตปิ ระกอบไวด ว ย ดังพุทธโอวาทที่ วา (สํ.น.ิ ๑๖/๕๖๙-๕๗๐/๒๗๖) “พระผูมพี ระ

ตลุ า ๑๐๕ ตลุ า วิงวอนธดิ านอ ยคนเดยี ว ซึง่ เปน ท่รี ัก ที่ สัญชัยปริพาชกแลว นําปริพาชก ๒๕๐ ช่นื ใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอยางนีว้ า ‘ขอ แมจงเปนเชนขุชชุตตราอุบาสิกา และ คนมาเฝาพระพทุ ธเจา ท่พี ระเวฬุวนั ครัง้ เวฬุกัณฏกีนันทมารดาเถิด’ ภิกษุท้ัง หลาย ผทู เ่ี ปนตุลา เปน ประมาณ ใน นั้น พระพุทธเจาทอดพระเนตรเห็นทั้ง บรรดาอุบาสิกาสาวิกาของเรา ก็คือ ขชุ ชตุ ตราอบุ าสกิ า และเวฬกุ ณั ฏกนี นั ท- สองทานนั้นกําลังเขามาแตไกล ก็ได มารดา, ‘ถา แมอ อกบวช กข็ อจงเปน เชน พระเขมาภิกขุนี และพระอุบลวรรณา ตรัสแกภ ิกษุท้งั หลายวา (วนิ ย.๔/๗๑/๗๗) เถดิ ’ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เี่ ปน ตลุ า เปน ประมาณ ในบรรดาภิกษุณีสาวิกาของ “ภิกษุทง้ั หลาย สหายสองคนที่มานั่น คอื เรา กค็ ือ เขมาภกิ ขุนี และอุบลวรรณา, ‘ขอแมจงอยาเปนอยางพระท่ียังศึกษา โกลติ ะ และอุปตสิ สะ จกั เปน คสู าวก ซ่ึงยังมิไดบรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภ สักการะและช่ือเสียงตามรังควาน’… ของเรา เปนคูที่ดีเลิศ ยอดเยีย่ ม (สาวก- ลาภสักการะและชือ่ เสยี ง เปน เรือ่ งราย กาจ อยางน้ี เธอทั้งหลายพงึ สําเหนยี ก ยุค ภวิสสฺ ติ อคฺค ภทฺทยุคํ)”, คาํ เรียก ไว ดังนี้แล” ทานผูเ ปน ตลุ า วา เปน “อัคร-” ในพระ ไตรปฎก ครบทั้ง ๔ คู มแี ตในพทุ ธ- พระสาวกและพระสาวิกา ที่พระ พทุ ธเจาตรัสยกยองวาเปน “ตลุ า” น้ี ใน วงส โดยเฉพาะโคตมพทุ ธวงส (ขุ.พทุ ธ. ท่ีทั่วไป มกั เรยี กกนั วา พระอคั รสาวก ๓๓/๒๐๖/๕๔๕) กลา วคือ ๑. อัครสาวก และพระอคั รสาวกิ า เปน ตน แตพ ระ ไดแก พระสารีบุตร และพระมหาโมค- พุทธเจาเองไมทรงใชคําเรียกวา “อัคร คลั ลานะ ๒. อคั รสาวกิ า ไดแ ก พระเขมา สาวก” เปนตน น้ัน โดยตรง แมวาคาํ วา และพระอบุ ลวรรณา ๓. อคั รอปุ ฏ ฐ าก- “อัครสาวก” นั้นจะสบื เนือ่ งมาจากพระ อบุ าสก ไดแ ก จติ ตะ (คอื จติ ตคฤหบด)ี ดํารัสคร้ังแรกที่ตรัสถึงพระเถระท้ังสอง และหตั ถาฬวกะ (คอื หตั ถกะอาฬวกะ) ทานน้นั คือ เมอื่ พระสารบี ุตรและพระ ๔. อัครอปุ ฏ ฐกิ าอุบาสิกา ไดแ ก (เวฬ-ุ มหาโมคคัลลานะ ออกจากสํานักของ กณั ฏก)ี นนั ทมารดา และอตุ ตรา (คอื ขชุ ชตุ ตรา), อคั รอปุ ฏ ฐากอุบาสกนัน้ ใน อปทานแหง หน่ึง (ข.ุ อป.๓๓/๗๙/๑๑๗) และ ในอรรถกถาธรรมบทแหง หนึ่ง เรียกส้นั ๆ วา อัครอุบาสก และอัครอุปฏฐิกา อุบาสกิ า เรียกสนั้ ๆ วา อคั รอุบาสกิ า (แตในท่ีน้ัน อรรถกถาธรรมบทฉบับ อักษรไทยบางฉบับ, ธ.อ.๓/๗ เรียกเปน อคั รสาวก และอคั รสาวกิ า เหมอื นอยา ง

ตลุ าการ ๑๐๖ ต,ู กลา วตู ในภิกษุและภิกษณุ บี ริษัท ทั้งนี้ นา จะเปน พุทธเจาอยางเยี่ยมยอด ไดแกพระ ความผิดพลาดในการตรวจชําระ) อานนท (“อัครอปุ ฏ ฐาก” เปนคําทีใ่ ชแ ก พระสาวกสาวกิ าที่เปน “อัคร” น้ัน พระอานนท ต้ังแตในพระไตรปฎก, แทบทุกทานเปนเอตทัคคะในดานใด ที . ม.๑๐/๕๕/๖๐; พระอานนทเปน ดา นหน่งึ ดวย คือ พระสารีบุตร เปน เอตทัคคะทางมีปญญามาก พระมหา เอตทัคคะถึง ๕ ดา น คอื ดา นพหูสตู มี โมคคัลลานะ เปนเอตทัคคะในทางมี ฤทธิ์ พระเขมา เปนเอตทัคคะทางมี สติ มคี ติ มธี ติ ิ และเปน อปุ ฏฐาก) และ ปญญามาก พระอบุ ลวรรณา เปน อัครอุปฏฐายิกา คืออุบาสิกาผูดูแล เอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ จติ ตคฤหบดี อุปถัมภบํารุงพระพุทธเจาอยางเย่ียม ยอด ไดแก วิสาขามหาอบุ าสกิ า (นาง วสิ าขาซึง่ เปน โสดาบัน เปนเอตทัคคะผู ซงึ่ เปนอนาคามี เปนเอตทัคคะในดาน ยอดแหงทายิกา คูกับอนาถบิณฑิก- เปนธรรมกถึก หตั ถกะอาฬวกะ ซงึ่ เศรษฐี ซึ่งก็เปนโสดาบัน และเปน เปนอนาคามี เปนเอตทัคคะทาง เอตทัคคะผูยอดแหงทายก, แตพบใน สงเคราะหบริษัทคือชุมชน ดวยสังคห- อรรถกถาแหงหนง่ึ , อ.ุ อ.๑๘/๑๒๗, จัดเจา วตั ถสุ ่ี ขชุ ชุตตรา ซึ่งเปน โสดาบัน ผไู ด หญิงสุปปวาสา โกลิยราชธิดา ซ่ึงเปน บรรลุปฏิสมั ภิทา (ไดเสขปฏิสัมภิทา คือ เอตทคั คะผูยอดแหงประณีตทายกิ า วา ปฏสิ มั ภทิ าของพระเสขะ) เปน เอตทคั คะ เปน อคั รอุปฏ ฐายกิ า) ในดา นเปน พหสู ตู เวน แตเวฬกุ ัณฏกี ตลุ าการ “ผทู าํ ตลุ า”, “ผสู รา งดลุ ”, “ผมู ี นันทมารดา (เปนอนาคามินี) ที่นา อาการเหมอื นตราช”ู คอื ผดู าํ รงรกั ษา แปลกวาไมปรากฏในรายนามเอตทคั คะ หรอื ทาํ ใหเ กดิ ความสมาํ่ เสมอเทย่ี งธรรม, ซง่ึ มชี อื่ นนั ทมารดาดวย แตเ ปน อตุ ตรา ผวู นิ จิ ฉยั อรรถคด,ี ผตู ดั สนิ คดี นันทมารดา ท่ีเปนเอตทัคคะในทาง ต,ู กลาวตู กลาวอา งหรอื ทึกทักเอาของผู ชํานาญฌาน (และทาํ ใหยังสงสัยกันวา อน่ื วา เปน ของตวั , กลา วอา งผดิ ตวั ผดิ สงิ่ “นนั ทมารดา” สองทา นน้ี แทจ รงิ แลว จะ ผดิ เร่ือง, ในคําวา “กลา วตูพ ระพุทธเจา ” เปน บคุ คลเดยี วกนั หรอื ไม) หรอื “ตูพทุ ธพจน” หมายความวา อาง นอกจากน้ี ยังมีตําแหนง “อคั ร” ที่ ผิดๆ ถกู ๆ, กลาวสิ่งทีต่ รัสวา มิไดตรัส ยอมรับและเรียกขานกันทั่วไปอีก ๒ กลาวสิง่ ทีม่ ไิ ดต รัสวา ไดตรัสไว, พดู ให อยา ง คือ อคั รอปุ ฏ ฐาก ผูเฝา รับใชพระ เคล่ือนคลาดหรือไขวเขวไปจากพุทธ-

ตกู รรมสทิ ธ์ิ ๑๐๗ ไตรทศ ดาํ รสั , พดู ใสโ ทษ, กลา วขม ข,ี่ พดู กด เชน กลาววาจาถึงสรณะครบท้ังสามอยางคือ คดั คา นใหเ หน็ วาไมจ รงิ หรือไมส ําคัญ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ บดิ า ตูก รรมสทิ ธิ์ กลา วอางเอากรรมสทิ ธ์ขิ อง พระยสเปนคนแรก ที่ประกาศตนเปน ผอู นื่ วา เปน ของตัว อุบาสกถึงพระรตั นตรัยตลอดชวี ิต; เทียบ เตจีวรกิ ังคะ องคแ หงภิกษุผถู อื ไตรจวี ร เทวฺ วาจกิ เปนวัตร คือถือเพียงผาสามผืนไดแก เตยี ง ภกิ ษทุ ําเตยี งหรอื ตงั่ พึงทําใหมเี ทา จวี ร สบง สังฆาฏอิ ยา งละผนื เทา นนั้ ไม เพียง ๘ นิ้วพระสคุ ต เวนไวแ ตแ มแคร ใชจวี รนอกจากผาสามผืนนน้ั (ขอ ๒ เบื้องตํ่า และตองไมห มุ นนุ ถา ฝาฝน ในธุดงค ๑๓) ตองปาจิตตีย ตองตัดใหไดประมาณ เตโชธาตุ ธาตไุ ฟ, สภาวะทม่ี ลี กั ษณะรอ น, หรือร้ือเสียกอน จึงแสดงอาบัติตก ความรอ น; ในรา งกาย ไดแ กไ ฟทยี่ งั กาย (ปาจิตตยี  รตนวรรคที่ ๙ สกิ ขาบทที่ ๕ ใหอ บอุน ไฟท่ียังกายใหทรดุ โทรม ไฟท่ี และ ๖) ยังกายใหกระวนกระวาย และไฟท่ีเผา โตเทยยมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจาํ นวน อาหารใหยอ ย, อยางน้ีเปนการกลา วถึง ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรีทไ่ี ปทูลถาม เตโชธาตุในลักษณะท่ีคนสามัญท่ัวไปจะ ปญ หากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย) เขาใจได และท่จี ะใหส ําเร็จประโยชนใ น ไตรจวี ร จีวรสาม, ผา สามผนื ทีพ่ ระวินยั การเจริญกรรมฐาน แตในทางพระ อนญุ าตใหภิกษมุ ไี วใ ชป ระจาํ ตัวคือ ๑. อภิธรรม เตโชธาตุเปน สภาวะพืน้ ฐานที่ สงั ฆาฏิ ผาทาบ ๒. อุตราสงค ผาหม มีอยูในรูปธรรมทุกอยาง แมแตในนํ้า เรียกสามัญในภาษาไทยวาจีวร ๓. เปนภาวะทีท่ าํ ใหเ รารูสึกรอน อุน เย็น อันตรวาสก ผานงุ เรียกสามญั วาสบง เปนตน ; ดู ธาต,ุ รปู ๒๘ ไตรดายุค ดู กปั เตรตายคุ , ไตรดายุค ดู กัป ไตรตรึงษ “สามสิบสาม”, สวรรคชั้น เตรสกัณฑ “กัณฑสิบสาม” ตอนท่ีวา ดาวดึงส; ดู ดาวดึงส ดวยสิกขาบท ๑๓ หมายถึง หมวด ไตรทวาร ทวารสาม, ทางทาํ กรรม ๓ ทาง ความในพระวินยั ปฎ ก สว นท่วี าดวยบท คอื กายทวาร วจที วาร และ มโนทวาร บัญญัติเกี่ยวกับอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งมี ไตรทศ “สบิ ๓ ครงั้ ” คอื ๓๐ ตรงกบั คาํ ๑๓ สกิ ขาบท บาลวี า “ตทิ ส” ซง่ึ ในพระไตรปฎ กพบใช เตวาจกิ “มวี าจาครบสาม” หมายถงึ ผู เฉพาะในคาํ รอ ยกรอง คอื คาถา เปน ตวั

ไตรทพิ ,ไตรทพิ ย ๑๐๘ ไตรทิพ,ไตรทพิ ย เลขถว นตดั เศษ ของ ๓๓ (บาล:ี เตตตฺ สึ ) มารดา มเหสขี องพระเจา สทุ โธทนะ ทรง ซ่ึงเปนจํานวนของคนคณะหน่ึงมีมฆ- บริหารพระองคผูเปนพระโพธิสัตวมา มาณพเปน หวั หนา ในตาํ นานทว่ี า พวกเขา ดว ยพระครรภ ครนั้ ทาํ ลายขนั ธแ ลว ทรง ทาํ บญุ รว มกนั เชน ทาํ ถนน สรา งสะพาน บนั เทงิ อยใู นไตรทพิ ย” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ขดุ บอ นา้ํ ปลกู สวนปา สรา งศาลาทพี่ กั คน ในทนี่ ้ี หมายถงึ สวรรคช นั้ ดสุ ติ , เมอ่ื ครงั้ เดนิ ทาง ใหแ กช มุ ชน และทาํ ทาน ชวน ทพี่ ระพทุ ธเจาประทับน่ังสงบอยู ณ ไพร- ชาวบา นตง้ั อยใู นศลี เปน ตน เมอื่ ตายแลว สณฑแหง หน่ึงในแควน โกศล พราหมณ ไดเ กดิ ในสวรรคทเี่ รยี กช่ือวา ดาวดึงส สาํ คญั คนหน่ึง พรอมดวยศิษยจ ํานวน อนั เปน สวรรคช น้ั ที่ ๒ ใน ๖ ชน้ั ดงั ทใี่ น มาก ไดเ ขา ไปกลาวขอความแดพ ระองค อ ร ร ถ ก ถ า อ ธิ บ า ย ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง เปน คาถา มคี วามตอนหน่งึ วา (ส.ํ ส.๑๕/ “ดาวดงึ ส” วา คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผู ๗๑๐/๒๖๕) “ทานมาอยูในปาเปลี่ยวเพียง ทาํ บญุ รว มกนั ไดอ บุ ตั ”ิ , คาํ วา “ตทิ ส” ที่ ผูเดียวอยางเอิบอิ่มใจ ตัวขาพเจานี้มุง พบในพระไตรปฎกหมายถึงสวรรคช้ัน หวงั ไตรทิพยอ ันสูงสุด จึงเขมนหมายถึง ดาวดงึ สเ ปน พน้ื แมว า คมั ภรี ช นั้ ตอ มาบาง การท่ีจะไดเขารวมอยูกับพระพรหมเจา แหงจะอธิบายวา หมายถงึ เทวดาท่ัวไป ผเู ปน อธบิ ดีแหง โลก เหตไุ ฉนทานจึงพอ บา งกม็ ,ี ตรที ศ กว็ า ; เทยี บ ไตรทพิ ใจปาวงั เวงท่ปี ราศจากผูคน ณ ที่น้ี ทาน ไตรทพิ , ไตรทพิ ย “แดนทพิ ยท ง้ั สาม” กําลังบําเพ็ญตบะเพ่ือจะถึงองคพระ หรอื “สามแดนเทพ”, ตรงกบั คาํ บาลวี า พรหมเปนเจากระน้ันหรือ?” ไตรทพิ ย “ตทิ วิ ” ซงึ่ ในพระไตรปฎ กพบใชเ ฉพาะใน (ติทิว) ในที่นี้ หมายถึงพรหมโลก, คาํ รอ ยกรอง คอื คาถา หมายถงึ เทวโลก อุบาสิกาทานหนึ่งซึ่งไดเกิดเปนเทพบุตร ในความหมายอยา งกวา ง ทร่ี วมทง้ั พรหม กลา วคาถาไวต อนหนง่ึ มคี วามวา (ท.ี ม.๑๐/ โลก (คอื กามาวจรเทวโลก รปู าวจรเทว- ๒๕๓/๓๐๖) “ขาพเจาไดเปนอุบาสิกาของ โลก และอรปู าวจรเทวโลก) มกั ใชอ ยา ง พระผทู รงจกั ษุ มนี ามปรากฏวา โคปก า .. ไมเ จาะจง คอื หมายถงึ แดนเทพแหง ใด ขา ฯ มจี ติ เลอ่ื มใส ไดบ าํ รงุ สงฆ .. (บดั น)้ี แหงหน่ึง อันมักรูไดดวยขอความแวด ขา ฯ ไดเ ขา ถงึ ไตรทพิ ย เปน บตุ รของทา ว ลอ มในทนี่ น้ั วา หมายถงึ แหง ใด เชน ใน สกั กะ มอี านภุ าพยงิ่ ใหญ มคี วามรงุ เรอื ง คาถาของพระกาฬุทายีเถระ (ขุ.เถร.๒๖/ มาก ณ ทน่ี ี้ พวกเทวดารจู กั ขา ฯ วา โคปก- ๓๗๐/๓๔๘) วา “พระนางเจา มายา พทุ ธ- เทพบตุ ร” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ในทน่ี ี้ หมาย

ไตรปฎก ๑๐๙ ไตรปฎ ก ถงึ สวรรคช นั้ ดาวดงึ ส; คมั ภรี ช น้ั หลงั แหง เปนเลมหนังสือดวยอักษรไทยคร้ังแรก หนงึ่ (อนฎุ กี าแหง ปญ จปกรณ) กลา วถงึ ในรัชกาลท่ี ๕ เร่ิมเม่อื พ.ศ.๒๔๓๑ ไตรทิพยที่หมายถึงสวรรคชั้นดาวดึงส เสร็จและฉลองพรอมกับงานรัชดาภิเษก ดงั อธบิ ายวา “ตทิ วิ ” คอื โลกชน้ั ที่ ๓ โดย ใน พ.ศ.๒๔๓๖ แตยังมีเพียง ๓๙ เลม (ขาดคมั ภีรปฏ ฐาน) ตอมา พ.ศ.๒๔๖๘ เทยี บกนั ในสคุ ตภิ มู ิ นบั เปน ๑. มนษุ ย ๒. ในรชั กาลที่ ๗ ไดโ ปรดเกลาฯ ใหจ ดั พิมพใหมเ ปนฉบบั ท่ีสมบูรณ เพ่ืออทุ ิศ จาตมุ หาราชกิ า ๓. ดาวดึงส, อภิธานัป- ถวายพระราชกุศลแดร ัชกาลที่ ๖ เรียก วา สฺยามรฏสฺส เตปฏ กํ (พระไตรปฎก ปทีปกา ซ่ึงเปนคัมภีรช้ันหลังมากสัก ฉบับสยามรัฐ) มีจํานวนจบละ ๔๕ เลม หนอ ย (แตง ในพมา ในยคุ ทต่ี รงกบั สมยั พระไตรปฎกมีสาระสําคัญและการ จดั แบงหมวดหมูโดยยอ ดงั นี้ สโุ ขทยั ) อธบิ ายวา “ชอื่ วา ‘ตทิ วิ ’ (ไตรทพิ ) ๑. พระวนิ ยั ปฎ ก ประมวลพทุ ธพจน เพราะเปน ทเ่ี พลดิ เพลนิ ของเทพทง้ั ๓ คอื หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยว กับความประพฤติ ความเปนอยู ขนบ พระหริ (พระวษิ ณุหรอื นารายณ) พระหระ ธรรมเนียมและการดําเนินกิจการตางๆ ของภกิ ษุสงฆแ ละภกิ ษุณีสงฆ แบง เปน (พระศวิ ะ หรอื อศิ วร) และพระพรหม” (ที่ ๕ คัมภีร (เรียกยอหรอื หัวใจวา อา ปา ม จุ ป) คอื ๑. อาทกิ มั มกิ ะ หรอื จรงิ หร-ิ หระ เพง่ิ ปรากฏเปน สาํ คญั ขน้ึ มา ปาราชิก วาดวยสิกขาบทที่เก่ียวกับ อาบัติหนักของฝายภิกษุสงฆ ตั้งแต ในศาสนาฮินดู หลังพุทธกาลหลาย ปาราชิกถึงอนยิ ต ๒. ปาจติ ตีย วา ดว ย ศตวรรษ), ตรที ิพ กว็ า ; เทียบ ไตรทศ สิกขาบทท่ีเก่ียวกับอาบัติเบา ต้ังแต ไตรปฎ ก “ปฎกสาม”; ปฎก แปลตาม นิสสัคคิยปาจติ ตียถึงเสขิยะ รวมตลอด ศัพทอ ยางพ้นื ๆ วา กระจาดหรอื ตะกรา ทั้งภิกขุนีวิภังคท้ังหมด ๓. มหาวรรค วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกขตอนตน อันเปนภาชนะสําหรับใสรวมของตางๆ ๑๐ ขนั ธกะ หรอื ๑๐ ตอน ๔. จลุ วรรค วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกขตอน เขา ไว นํามาใชใ นความหมายวา เปนท่ี รวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาท่ีจัด เปนหมวดหมแู ลว โดยนยั น้ี ไตรปฎก จึงแปลวา “คัมภีรท่ีบรรจุพุทธพจน (และเรื่องราวช้ันเดิมของพระพุทธ- ศาสนา) ๓ ชดุ ” หรอื “ประมวลแหง คัมภีรท่ีรวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด” กลา วคอื วนิ ยั ปฎก สุตตันต- ปฎก และ อภิธรรมปฎ ก พระไตรปฎกบาลีไดรับการตีพิมพ

ไตรปฎ ก ๑๑๐ ไตรปฎก ปลาย ๑๒ ขันธกะ ๕. ปรวิ าร คมั ภรี  ยอ หรอื หัวใจวา ที ม สํ อํ ข)ุ คือ ๑. ประกอบหรือคูมือ บรรจุคําถามคําตอบ ทฆี นกิ าย ชมุ นมุ พระสูตรทมี่ ีขนาดยาว ๓๔ สตู ร ๒. มชั ฌมิ นกิ าย ชมุ นุมพระ สําหรับซอ มความรพู ระวินัย สตู รที่มีความยาวปานกลาง ๑๕๒ สตู ร ๓. สังยุตตนิกาย ชุมนุมพระสูตรท่ีจัด พระวินัยปฎกนี้ แบงอีกแบบหนึ่ง รวมเขาเปน กลมุ ๆ เรียกวาสงั ยตุ ตห นง่ึ ๆ ตามเรอื่ งท่เี นอ่ื งกัน หรือตามหัวขอ หรอื เปน ๕ คมั ภรี เหมือนกัน (จดั ๒ ขอ ใน แบบตนนัน้ ใหม) คือ ๑. มหาวิภงั ค หรอื บุคคลท่เี กยี่ วขอ งรวม ๕๖ สังยุตต มี ภิกขวุ ิภงั ค วา ดวยสกิ ขาบทในปาฏิโมกข ๗,๗๖๒ สตู ร ๔. อังคตุ ตรนกิ าย ชมุ นมุ (ศลี ๒๒๗ ขอ ) ฝายภิกษุสงฆ ๒. พระสตู รทจี่ ดั รวมเขา เปนหมวดๆ เรยี ก ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกข วานิบาตหน่ึงๆ ตามลําดบั จาํ นวนหวั ขอ (ศีล ๓๑๑ ขอ ) ฝายภิกษุณีสงฆ ๓. ธรรม รวม ๑๑ นบิ าต หรือ ๑๑ หมวด มหาวรรค ๔. จลุ วรรค ๕. ปรวิ าร ธรรม มี ๙,๕๕๗ สตู ร ๕. ขทุ ทกนิกาย ชุมนุมพระสูตรคาถาภาษิต คําอธิบาย บางทีทานจดั ใหยนยอ เขาอกี แบง พระวินัยปฎกเปน ๓ หมวด คอื ๑. และเร่ืองราวเบ็ดเตล็ดที่จัดเขาในส่ี วิภังค วาดวยสิกขาบทในปาฏิโมกขท้ัง ฝา ยภกิ ษุสงฆแ ละฝายภกิ ษุณสี งฆ (คอื นกิ ายแรกไมได มี ๑๕ คัมภีร รวมขอ ๑ และ ๒ ขางตน ทั้งสองแบบ ๓. พระอภิธรรมปฎก ประมวล เขาดวยกัน) ๒. ขันธกะ วาดวย สิกขาบทนอกปาฏโิ มกข ทง้ั ๒๒ ขนั ธกะ พุทธพจนห มวดพระอภิธรรม คือ หลกั หรอื ๒๒ บทตอน (คือรวมขอ ๓ และ ธรรมและคําอธิบายท่เี ปนหลกั วิชาลว นๆ ๔ เขาดวยกัน) ๓. ปริวาร คัมภีร ประกอบ (คอื ขอ ๕ ขา งบน) ไมเ กี่ยวดว ยบคุ คลหรือเหตกุ ารณ แบง ๒. พระสุตตันตปฎก ประมวล เปน ๗ คัมภีร (เรียกยอหรือหัวใจวา สํ วิ ธา ปุ ก ย ป) คือ ๑. สังคณี หรือ พทุ ธพจนห มวดพระสตู ร คอื พระธรรม- ธัมมสังคณี รวมขอธรรมเขาเปนหมวด หมแู ลว อธิบายทลี ะประเภทๆ ๒. วภิ งั ค เทศนา คาํ บรรยายธรรมตางๆ ที่ตรัส ยกหมวดธรรมสําคัญๆ ข้ึนตั้งเปนหัว ยักเยื้องใหเหมาะกับบุคคลและโอกาส เรื่องแลวแยกแยะออกอธิบายชี้แจง วินิจฉัยโดยละเอียด ๓. ธาตุกถา ตลอดจนบทประพันธ เร่ืองเลา และ สงเคราะหขอธรรมตางๆ เขาในขันธ เร่ืองราวทั้งหลายท่ีเปนชั้นเดิมในพระ พทุ ธศาสนา แบง เปน ๕ นิกาย (เรียก

ไตรปฎ ก ๑๑๑ ไตรปฎก อายตนะ ธาตุ ๔. ปุคคลบัญญัติ อุโบสถ จาํ พรรษา และปวารณา บัญญัติความหมายของบุคคลประเภท เลม ๕ มหาวรรค ภาค ๒ มี ๖ ขนั ธกะ วาดวยเรอ่ื งเคร่อื งหนงั เภสัช กฐิน จวี ร ตางๆ ตามคุณธรรมท่ีมีอยูในบุคคล น้ันๆ ๕. กถาวัตถุ แถลงและวินิจฉัย นิคหกรรม และการทะเลาะวิวาทและ ทัศนะของนิกายตางๆ สมัยสังคายนา ครัง้ ท่ี ๓ ๖. ยมก ยกหวั ขอ ธรรมขน้ึ สามัคคี วินิจฉยั ดว ยวธิ ีถามตอบ โดยตง้ั คาํ ถาม เลม ๖ จลุ วรรค ภาค ๑ มี ๔ ขนั ธกะ วา ยอ นกนั เปน คๆู ๗. ปฏ ฐาน หรอื มหา- ดวยเรือ่ งนคิ หกรรม วุฏฐานวธิ ี และการ ปกรณ อธบิ ายปจจยั ๒๔ แสดงความ สัมพันธเน่ืองอาศัยกันแหงธรรมทั้ง ระงบั อธกิ รณ เลม ๗ จลุ วรรค ภาค ๒ มี ๘ ขันธกะ หลายโดยพสิ ดาร วาดวยขอบัญญัติปลีกยอย เร่ือง พระไตรปฎกบาลีที่พิมพดวยอักษร เสนาสนะ สังฆเภท วตั รตา งๆ การงด ไทย ทา นจัดแบง เปน ๔๕ เลม แสดง สวดปาฏิโมกข เร่ืองภิกษุณี เร่ือง พอใหเห็นรปู เคาดงั น้ี สังคายนาครง้ั ที่ ๑ และคร้งั ที่ ๒ ก. พระวินยั ปฎ ก ๘ เลม เลม ๘ ปริวาร คมู ือถามตอบซอมความ เลม ๑ มหาวิภังค ภาค ๑ วาดวย รูพระวินัย ปาราชิก สังฆาทิเสส และอนิยต- ข. พระสตุ ตันตปฎ ก ๒๕ เลม ๑. ทฆี นิกาย ๓ เลม สิกขาบท (สิกขาบทในปาฏิโมกขฝาย เลม ๙ สลี ขันธวรรค มพี ระสูตรขนาด ยาว ๑๓ สูตร หลายสูตรกลาวถงึ จลุ ศีล ภกิ ษุสงฆ ๑๙ ขอ แรก) เลม ๒ มหาวภิ งั ค ภาค ๒ วาดว ย มชั ฌิมศีล มหาศลี สิกขาบทเก่ียวกับอาบัติเบาของภิกษุ เลม ๑๐ มหาวรรค มีพระสูตรยาว ๑๐ สตู ร สว นมากชอื่ เร่ิมดว ย มหา เชน (เปน อันครบสกิ ขาบท ๒๒๗ หรอื ศีล มหาปรนิ พิ พานสตู ร มหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร ๒๒๗) เปน ตน เลม ๓ ภกิ ขุนวี ิภังค วาดวยสิกขาบท เลม ๑๑ ปาฏกิ วรรค มีพระสูตรยาว ๓๑๑ ของภิกษณุ ี ๑๑ สตู ร เรมิ่ ดวยปาฏกิ สตู ร หลายสตู ร เลม ๔ มหาวรรค ภาค ๑ มี ๔ ขันธกะ วาดวยการอุปสมบท (เร่ิมเร่ืองต้ังแต มชี อื่ เสยี ง เชน จกั กวตั ตสิ ตู ร อคั คญั ญ- ตรัสรูและประดิษฐานพระศาสนา) สูตร สงิ คาลกสูตร และสังคตี สิ ูตร

ไตรปฎก ๑๑๒ ไตรปฎก ๒. มชั ฌิมนกิ าย ๓ เลม ปกขิยธรรม ๓๗ แตเรียงลําดับเปน เลม ๑๒ มลู ปณณาสก บน้ั ตน มีพระ สตู รขนาดกลาง ๕๐ สูตร มรรค โพชฌงค สตปิ ฏฐาน อนิ ทรีย เลม ๑๓ มัชฌิมปณณาสก บ้ันกลาง มี พระสูตรขนาดกลาง ๕๐ สูตร สัมมปั ปธาน พละ อทิ ธิบาท รวมท้งั เลม ๑๔ อุปรปิ ณณาสก บน้ั ปลาย มี พระสูตรขนาดกลาง ๕๒ สูตร เรอ่ื งที่เกีย่ วของ เชน นวิ รณ สังโยชน ๓. สงั ยตุ ตนิกาย ๕ เลม เลม ๑๕ สคาถวรรค รวมคาถาภาษติ ที่ อริยสัจจ ฌาน ตลอดถึงองคคุณของ ตรัสและกลาวตอบบุคคลตางๆ เชน พระโสดาบันและอานิสงสของการบรรลุ เทวดา มาร ภกิ ษณุ ี พราหมณ พระเจา โสดาปตติผล จดั เปน ๑๒ สังยุตต (พึง โกศล เปนตน จัดเปนกลุมเรื่องตาม สังเกตวาคัมภีรน้ีเร่ิมตนดวยการย้ํา บุคคลและสถานท่ี มี ๑๑ สังยุตต เลม ๑๖ นิทานวรรค คร่งึ เลมวาดวย ความสําคัญของความมีกัลยาณมิตร เหตุปจจัย คือหลักปฏิจจสมุปบาท เปน จดุ เร่ิมตนเขาสูมรรค) นอกน้ันมีเรื่องธาตุ การบรรลุธรรม ๔. องั คุตตรนิกาย ๕ เลม เลม ๒๐ เอก–ทุก–ตกิ นบิ าต วาดวย สงั สารวัฏ ลาภสกั การะ เปน ตน จัดเปน ธรรมหมวด ๑, ๒, ๓ รวมทั้งเรื่อง ๑๐ สังยตุ ต เอตทัคคะ เลม ๑๗ ขันธวารวรรค วา ดว ยเร่ือง เลม ๒๑ จตกุ กนบิ าต วา ดว ยธรรมหมวด ๔ ขันธ ๕ ในแงม ุมตา งๆ มเี รอื่ งเบ็ดเตล็ด เลม ๒๒ ปญ จก–ฉกั กนิบาต วา ดวย ธรรมหมวด ๕, ๖ รวมทั้งเรอื่ งสมาธิและทิฏฐิตา งๆ ปะปน เลม ๒๓ สัตตก–อัฏฐก–นวกนบิ าต วา ดวยธรรมหมวด ๗, ๘, ๙ อยูบ าง จดั เปน ๑๓ สงั ยุตต เลม ๒๔ ทสก–เอกาทสกนิบาต วา ดว ย เลม ๑๘ สฬายตนวรรค เกอื บคร่งึ เลม ธรรมหมวด ๑๐, ๑๑ วา ดวยอายตนะ ๖ ตามแนวไตรลักษณ ในอังคุตตรนิกายมีขอธรรมหลาก เร่ืองอื่นมีเบญจศีล ขอปฏิบัติใหถึง หลายลักษณะ ตั้งแตทิฏฐธัมมิกัตถะ อสังขตะ อนั ตคาหิกทฏิ ฐิ เปนตน จัด ถงึ ปรมตั ถะ ทงั้ สาํ หรบั บรรพชติ และ เปน ๑๐ สงั ยุตต เลม ๑๙ มหาวารวรรค วาดว ยโพธิ- สาํ หรบั คฤหัสถ กระจายกันอยโู ดยเรยี ง ตามจํานวน ๕. ขทุ ทกนิกาย ๙ เลม เลม ๒๕ รวมคมั ภรี ยอ ย ๕ คอื ขทุ ทก-

ไตรปฎ ก ๑๑๓ ไตรปฎก ปาฐะ (บทสวดยอยๆ โดยเฉพาะ เลม ๒๘ ชาดก ภาค ๒ รวมคาถาอยา ง มงคลสูตร รตนสูตร กรณยี เมตตสตู ร) ในภาค ๑ นน้ั เพมิ่ อีก แตเปน เร่ืองอยา ง ธรรมบท (เฉพาะตัวคาถาท้ัง ๔๒๓) ยาว ต้ังแตเรื่องมี ๕๐ คาถา (ปญ ญาส- อทุ าน (พุทธอุทาน ๘๐) อิตวิ ุตตกะ นบิ าต) ถงึ เรอ่ื งมีคาถามากมาย (มหา- (พระสูตรท่ีไมขึ้นตนดวย เอวมเฺ ม สตุ ํ นิบาต) จบลงดวยมหาเวสสันดรชาดก แตเ ชื่อมความเขาสคู าถาดว ยคาํ วา อติ ิ ซ่ึงมี ๑,๐๐๐ คาถา รวมอีก ๒๒ เรือ่ ง วุจฺจติ รวม ๑๑๒ สตู ร) และ สุตต- บรรจบทง้ั ๒ ภาค เปน ๕๔๗ ชาดก นบิ าต (ชมุ นมุ พระสตู รชดุ พิเศษ ซ่ึงเปน เลม ๒๙ มหานิทเทส ภาษิตของพระ คาถาลวนหรือมีความนําเปนรอยแกว สารีบตุ รอธิบายขยายความพระสตู ร ๑๖ สตู ร ในอัฏฐกวรรคแหง สุตตนิบาต รวม ๗๑ สูตร) เลม ๓๐ จูฬนทิ เทส ภาษิตของพระ สารีบตุ รอธิบายขยายความพระสตู ร ๑๖ เลม ๒๖ มคี ัมภรี ยอ ยที่เปน คาถาลว น สตู รในปารายนวรรคและขคั ควสิ าณสตู ร ๔ คือ วมิ านวตั ถุ (เรื่องผูเ กิดในสวรรค ในอรุ ควรรค แหงสุตตนบิ าต อยูวิมาน เลาการทําความดีของตนใน เลม ๓๑ ปฏิสมั ภิทามรรค ภาษติ ของ พระสารีบุตรอธิบายขอธรรมที่ลึกซ้ึง อดีต ที่ทําใหไดไปเกิดเชนนั้น ๘๕ ตา งๆ เชนเรอ่ื ง ญาณ ทฏิ ฐิ อานาปาน เร่ือง) เปตวตั ถุ (เร่อื งเปรตเลา กรรมช่ัว อินทรีย วิโมกข เปน ตน อยา งพิสดาร ในอดีตของตน ๕๑ เรือ่ ง) เถรคาถา เปนทางแหงปญญาแตกฉาน (คาถาของพระอรหันตเถระ ๒๖๔ รปู ท่ี เลม ๓๒ อปทาน ภาค ๑ คาถาประพนั ธ แสดงประวตั ิโดยเฉพาะในอดตี ชาติ เริ่ม กลาวแสดงความรูสึกสงบประณีตใน ดวยพุทธอปทาน (ประวัตขิ องพระพทุ ธ- การบรรลุธรรม เปนตน) เถรีคาถา เจา) ปจ เจกพุทธอปทาน (เรื่องราวของ (คาถาของพระอรหันตเถรี ๗๓ รปู ท่ี พระปจเจกพุทธเจา) ตอดวยเถร- อปทาน (อัตตประวัตแิ หง พระอรหนั ต- กลาวแสดงความรูสึกเชนนนั้ ) เถระ) เรียงลําดับเร่ิมแตพระสารีบุตร เลม ๒๗ ชาดก ภาค ๑ รวมคาถาแสดง ตามดวยพระมหาโมคคัลลานะ พระ คติธรรมท่ีพระพุทธเจาตรัสเม่ือครั้งเปน มหากสั สปะ พระอนรุ ทุ ธะ พระปณุ ณ- พระโพธิสัตวในอดีตชาติ และมีคาถา ภาษิตของผอู น่ื ปนอยบู าง ภาคแรก ตงั้ แตเ ร่ืองท่มี คี าถาเดียว (เอกนิบาต) ถงึ เร่อื งมี ๔๐ คาถา (จัตตาฬสี นิบาต) รวม ๕๒๕ เร่อื ง

ไตรปฎ ก ๑๑๔ ไตรปฎก มันตานีบตุ ร พระอุบาลี พระอัญญา- ค. พระอภิธรรมปฎก ๑๒ เลม โกณฑัญญะ พระปณโฑลภารทวาชะ เลม ๓๔ ธรรมสงั คณี ตนเลม แสดง พระขทริ วนยิ เรวตะ พระอานนท ตอ เรอื่ ย มาตกิ า (แมบท) อนั ไดแ กบทสรุปแหง ไปจนจบภาค ๑ รวมพระอรหนั ตเถระ ธรรมทัง้ หลายทจ่ี ัดเปนชดุ ๆ มีทั้งชุด ๓ ๔๑๐ รูป เชนจัดทุกสิ่งทุกอยางประดามีเปนกุศล- เลม ๓๓ อปทาน ภาค ๒ คาถาประพนั ธ ธรรม อกุศลธรรม อัพยากฤตธรรม ชุด แสดงอตั ตประวตั พิ ระอรหนั ตเถระตอ อกี หนึ่ง เปนอดีตธรรม อนาคตธรรม จนถงึ รปู ที่ ๕๕๐ ตอ นนั้ เปน เถรอี ปทาน ปจ จุบนั ธรรม ชุดหนึง่ ฯลฯ และชดุ ๒ แสดงเรอ่ื งราวของพระอรหันตเถรี ๔๐ เชนจัดทุกสิ่งทุกอยางเปนสังขตธรรม เร่อื ง เร่ิมดว ยพระเถรีทีไ่ มคุนนาม ๑๖ อสงั ขตธรรม ชดุ หนึ่ง รูปธรรม อรูป- รูป ตอ ดว ยพระเถรีที่สาํ คัญเรียงลาํ ดับ ธรรม ชุดหนึง่ โลกยี ธรรม โลกตุ ตร- คือพระมหาปชาบดีโคตมี พระเขมา ธรรม ชุดหนึ่งเปนตน รวมท้งั หมดมี พระอุบลวรรณา พระปฏาจารา พระ ๑๖๔ ชดุ หรอื ๑๖๔ มาตกิ า จากนนั้ กณุ ฑลเกสี พระกสี าโคตมี พระธรรม- ขยายความมาติกาท่ี ๑ เปนตัวอยาง ทนิ นา พระสกลุ า พระนันทา พระโสณา แสดงใหเห็นกุศลธรรม อกุศลธรรม พระภัททกาปลานี พระยโสธรา และ และอัพยากฤตธรรม ท่กี ระจายออกไป ทานอืน่ ๆ ตอ ไปจนจบ ครั้นจบอปทาน โดย จิต เจตสิก รปู และนิพพาน ทา ย แลว ทายเลม ๓๓ นี้ มคี มั ภีร พทุ ธวงส เลมมอี กี ๒ บท แสดงคาํ อธบิ ายยอหรือ เปนคาถาประพันธแสดงเรื่องของพระ คําจํากัดความขอธรรมทั้งหลายใน พุทธเจาในอดีต ๒๔ พระองคที่พระ มาติกาที่กลาวถึงขางตนจนครบ ๑๖๔ พุทธเจาพระองคปจจุบันเคยไดทรงเฝา มาตกิ า ไดคาํ จาํ กดั ความขอธรรมใน ๒ และไดรับพยากรณ จนถึงประวัติของ บท เปน ๒ แบบ (แตบททายจํากัด พระองคเ อง รวมเปนพระพุทธเจา ๒๕ ความไวเพยี ง ๑๒๒ มาตกิ า) พระองค จบแลวมีคัมภีรสั้นๆ ช่ือ เลม ๓๕ วภิ ังค ยกหลกั ธรรมสาํ คัญๆ จริยาปฎก เปน ทายสุด แสดงพทุ ธจรยิ า ขึ้นมาแจกแจงแยกแยะอธิบายกระจาย ในอดตี ชาติ ๓๕ เร่อื งที่มีแลวในชาดก ออกใหเห็นทุกแงจนชัดเจนจบไปเปน แตเ ลา ดว ยคาถาประพนั ธใ หม ชตี้ วั อยา ง เร่อื งๆ รวมอธบิ ายทัง้ หมด ๑๘ เรื่องคอื การบําเพญ็ บารมีบางขอ ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อรยิ สจั จ

ไตรปฎ ก ๑๑๕ ไตรปฎก ๔ อินทรยี  ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท สติปฏ- เลม ๓๘ ยมก ภาค ๑ คมั ภรี อ ธิบายหลกั ธรรมสําคัญใหเห็นความหมายและ ฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ ขอบเขตอยางชดั เจน และทดสอบความ รูอยา งลกึ ซ้ึง ดว ยวธิ ตี ั้งคําถามยอนกัน โพชฌงค ๗ มรรคมอี งค ๘ ฌาน อปั - เปนคูๆ (ยมก แปลวา “คู”) เชน ถามวา ธรรมท้ังปวงที่เปนกุศล เปนกุศลมูล ปมัญญา ศลี ๕ ปฏิสัมภิทา ๔ ญาณ หรือวาธรรมทั้งปวงทเี่ ปนกุศลมูล เปน กุศล, รปู (ทั้งหมด) เปน รูปขันธ หรอื วา ประเภทตางๆ และเบ็ดเตล็ดวาดวย รปู ขันธ (ทงั้ หมด) เปนรูป, ทุกข (ท้งั หมด) เปนทุกขสัจจ หรอื วาทุกขสจั จ อกุศลธรรมตางๆ อธิบายเรื่องใด ก็ (ทัง้ หมด) เปนทุกข หลกั ธรรมท่นี ํามา เรียกวา วิภังคข องเรอ่ื งนั้นๆ เชน อธิบาย อธบิ ายในเลม น้ีมี ๗ คือ มลู (เชน ใน ขนั ธ ๕ กเ็ รียก ขันธวภิ ังค เปนตน รวม กุศลมูล) ขนั ธ อายตนะ ธาตุ สจั จะ มี ๑๘ วิภงั ค สงั ขาร อนุสยั ถามตอบอธบิ ายเรอื่ งใด เลม ๓๖ ธาตกุ ถา นาํ ขอธรรมในมาตกิ า กเ็ รยี กวา ยมกของเรอื่ งนน้ั ๆ เชน มลู ยมก ทั้งหลายและขอธรรมอ่นื ๆ อีก ๑๒๕ ขนั ธยมก เปนตน เลมนีจ้ งึ มี ๗ ยมก เลม ๓๙ ยมก ภาค ๒ ถามตอบอธบิ าย อยา ง มาจัดเขาในขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ หลักธรรมเพมิ่ เตมิ จากภาค ๑ อกี ๓ เรอ่ื ง คือ จติ ตยมก ธรรมยมก (กศุ ล– และธาตุ ๑๘ วา ขอใดไดหรอื ไมไดใน อกุศล–อัพยากตธรรม) อินทรียยมก อยา งไหนๆ และปคุ คลบญั ญตั ิ บัญญัติ บรรจบเปน ๑๐ ยมก) ความหมายของชือ่ ท่ีใชเ รยี กบุคคลตางๆ เลม ๔๐ ปฏฐาน ภาค ๑ คมั ภีรป ฏ ฐาน ตามคณุ ธรรม เชน วา โสดาบนั ไดแก อธบิ ายปจจัย ๒๔ โดยพิสดาร แสดง บคุ คลผลู ะสงั โยชน ๓ ไดแลว ดงั นี้ ความสัมพันธอิงอาศัยเปนปจจัยแกกัน แหงธรรมทั้งหลายในแงดานตางๆ เปนตน ธรรมที่นํามาอธิบายก็คือขอธรรมที่มีใน เลม ๓๗ กถาวตั ถุ คมั ภรี ท พี่ ระโมคคลั ล-ี มาติกาคือแมบทหรือบทสรุปธรรมซึ่ง บุตรติสสเถระ ประธานการสังคายนา กลาวไวแ ลว ในคมั ภีรสงั คณีนนั่ เอง แต ครง้ั ที่ ๓ เรยี บเรยี งขน้ึ เพอื่ แกค วามเหน็ ผดิ ของนกิ ายตา งๆ ในพระพทุ ธศาสนา คร้ังน้ัน ซึ่งไดแตกแยกกันออกไปแลว ถึง ๑๘ นิกาย เชน ความเห็นวา พระ อรหันตเส่ือมจากอรหัตตผลได เปน พระอรหันตพรอมกับการเกิดได ทุก อยา งเกดิ จากกรรม เปน ตน ประพนั ธเ ปน คําปุจฉาวิสัชนา มที ้ังหมด ๒๑๙ กถา

ไตรปฎ ก ๑๑๖ ไตรปฎก อธิบายเฉพาะ ๑๒๒ มาติกาแรกทเี่ รียก เรยี กวา อนโุ ลมปฏฐาน) วา อภิธรรมมาตกิ า ปฏ ฐานเลมแรกน้ี เลม ๔๑ ปฏ ฐาน ภาค ๒ อนุโลมตกิ - อธบิ ายความหมายของปจ จยั ๒๔ เปน ปฏ ฐาน ตอ คอื อธิบายความเปนปจจยั การปูพื้นความเขา ใจเบ้อื งตนกอ น จาก แกกันแหงธรรมทงั้ หลายในแมบทชดุ ๓ นัน้ จงึ เขาสูเนอื้ หาของเลม คอื อนโุ ลม- ตอ จากเลม ๔๐ เชน อดีตธรรมเปน ติกปฏฐาน อธิบายความเปนปจจัยแก ปจจัยแกปจจุบันธรรม โดยอารัมมณ- กันแหงธรรมท้ังหลายในแมบทชุด ๓ ปจจัย (พิจารณารูปเสียงเปนตนท่ีดับ (ตกิ มาติกา) โดยปจ จยั ๒๔ นนั้ เชนวา เปน อดตี ไปแลว วา เปนของไมเ ทยี่ ง เปน กุศลธรรมเปนปจจัยแกกุศลธรรมโดย ทุกข เปนอนัตตา เกิดความโทมนัสข้ึน อุปนสิ สยปจ จัย (เพราะศรัทธา จึงให ฯลฯ) เปนตน ทาน จงึ สมาทานศลี จงึ บาํ เพ็ญฌาน จึง เลม ๔๒ ปฏ ฐาน ภาค ๓ อนุโลมทกุ - เจรญิ วปิ ส สนา ฯลฯ) กศุ ลธรรมเปน ปจ จยั ปฏฐาน อธิบายความเปนปจ จยั แกก นั แกอกศุ ลธรรมโดยอุปนิสสยปจจัย (คิด แหงธรรมทั้งหลาย ในแมบทชุด ๒ ถงึ ทานท่ีตนไดให ศลี ท่ีไดร กั ษาแลว ดี (ทุกมาติกา) เชน โลกยี ธรรมเปนปจจยั ใจ ยึดเปน อารมณแนน หนาจนเกิดราคะ แกโลกียธรรม โดยอารัมมณปจจัย ทิฏฐ,ิ มีศรทั ธา มีศลี มปี ญญา แลว เกิด (รปู ายตนะ เปน ปจ จัยแกจักขุวิญญาณ มานะวา ฉันดกี วา เกง กวา หรอื เกิด ฯลฯ) ดังนี้ เปนตน ทิฏฐิวา ตองทําอยางเรานเ้ี ทา นัน้ จงึ ถูก เลม ๔๓ ปฏ ฐาน ภาค ๔ อนโุ ลมทกุ - ตอ ง ฯลฯ) อกศุ ลธรรมเปนปจจัยแก ปฏฐาน ตอ กุศลธรรมโดยอุปนิสสยปจจัย (เพราะ เลม ๔๔ ปฏ ฐาน ภาค ๕ ยงั เปน อนโุ ลม- ความอยากบางอยางหรือเพราะมานะ ปฏ ฐาน แตอ ธบิ ายความเปน ปจ จยั แกก นั หรอื ทฏิ ฐิ จงึ ใหท าน จงึ รกั ษาศีล จงึ ทาํ ให แหง ธรรมทงั้ หลายในแมบ ทตา งๆ ขา มชดุ ฌานเกิด ฯลฯ) กุศลธรรมเปน ปจ จยั แก กันไปมา ประกอบดว ย อนโุ ลมทกุ ติก- อกศุ ลธรรม โดยอารมั มณปจจัย (คิดถงึ ปฏ ฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) ฌานท่ีตนเคยไดแตเสื่อมไปเสียแลว กบั ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) เชน เกดิ ความโทมนัส ฯลฯ) อยางนีเ้ ปน ตน อธบิ าย “กศุ ลธรรมท่เี ปน โลกุตตรธรรม (เลมน้ีอธิบายแตในเชิงอนุโลมคือตาม เปนปจจัยแกกุศลธรรมที่เปนโลกีย- นัยปกติไมอธิบายตามนัยปฏิเสธ จึง ธรรม โดยอธิปติปจ จยั ” เปน อยา งไร

ไตรปฎก ๑๑๗ ไตรปฎก เปนตน อนุโลมติกทกุ ปฏ ฐาน ธรรมใน อธิบายโดยใชธ รรมในแมบทชุด ๓ แลว แมบทชุด ๓ (ติกมาตกิ า) กับธรรมใน ตอดวยชดุ ๒ แลวขา มชุดระหวา งชุด ๒ แมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) อนโุ ลมตกิ ตกิ - กบั ชดุ ๓ ชดุ ๓ กบั ชุด ๒ ชุด ๓ กับ ปฏ ฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) ชุด ๓ ชุด ๒ กบั ชุด ๒ จนครบทง้ั หมด กบั ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) เหมอื นกนั ดงั นนั้ แตล ะแบบจงึ แยกซอย ละเอยี ดออกไปเปน ตกิ - ทกุ - ทุกติก- โยงระหวางตางชุดกนั เชน อธบิ ายวา ติกทุก- ติกติก- ทุกทุก- ตามลําดับ (เขียนใหเต็มเปน ปจจนียติกปฏฐาน กุศลธรรมที่เปนอดีตธรรมเปนปจจัยแก ปจ จนยี ทกุ ปฏ ฐาน ปจ จนยี ทกุ ตกิ ปฏ ฐาน ฯลฯ ดังน้ีเรื่อยไป จนถึงทายสุดคือ อกุศลธรรมท่ีเปนปจจุบันธรรม เปน ปจ จนยี านุโลมทกุ ทกุ ปฏ ฐาน) อยางไร เปนตน อนุโลมทุกทกุ ปฏฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๒(ทกุ มาตกิ า)กบั ธรรม คัมภีรปฏฐานน้ี ทานอธิบายคอน ขางละเอยี ดเฉพาะเลมตน ๆ เทานัน้ เลม ในแมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) โยงระหวา ง หลังๆ ทานแสดงไวแตหัวขอหรือแนว และทิ้งไวใหผูเขาใจแนวน้ันแลวเอาไป ตางชุดกัน เชน ชุดโลกียะ โลกุตตระ แจกแจงโดยพสิ ดารเอง โดยเฉพาะเลม สุดทายคือภาค ๖ แสดงไวยน ยอทีส่ ุด กับชุดสงั ขตะ อสังขตะ เปนตน แมก ระนัน้ ก็ยังเปนหนังสือถงึ ๖ เลม เลม ๔๕ ปฏ ฐาน ภาค ๖ เปน ปจจนีย- หรือ ๓,๓๒๐ หนากระดาษพิมพ ถา ปฏฐาน คืออธิบายความเปนปจจัยแก อธิบายโดยพิสดารทั้งหมดจะเปนเลม หนังสืออีกจํานวนมากมายหลายเทาตัว กันแหงธรรมท้ังหลายอยางเลมกอนๆ ทานจึงเรียกปฏฐานอกี ชอื่ หนึ่งวา มหา- ปกรณ แปลวา “ตาํ ราใหญ” ใหญท ง้ั นน่ั เอง แตอธบิ ายแงปฏิเสธ แยกเปน โดยขนาดและโดยความสาํ คญั ปจจนียปฏฐาน คือ ปฏิเสธ+ปฏิเสธ เชน วา ธรรมท่ีไมใชก ุศล อาศยั ธรรมที่ พระอรรถกถาจารยกลาววา พระ ไตรปฎกมีเน้อื ความท้ังหมด ๘๔,๐๐๐ ไมใชกุศลเกิดข้ึนโดยเหตุปจจัย เปน พระธรรมขนั ธ แบงเปน พระวินยั ปฎ ก อยางไร อนุโลมปจจนียปฏฐาน คือ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ พระสตุ ตนั ต- อนโุ ลม+ปฏเิ สธ เชน วา อาศยั โลกยิ ธรรม ธรรมที่ไมใชโลกุตตรธรรมเกิดข้ึนโดย เหตปุ จจยั เปนอยางไร ปจ จนียานุโลม- ปฏฐาน คอื ปฏิเสธ+อนุโลม เชน วา อาศัยธรรมท่ีไมใชกุศล ธรรมท่ีเปน อกศุ ล เกิดข้ึนโดยเหตุปจจัย เปนอยาง ไร และในท้งั ๓ แบบน้ี แตล ะแบบ จะ

ไตรเพท ๑๑๘ ไตรวัฏฏ ปฎ ก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ และพระ อยูม ิได ๓. อนัตตตา ความเปน ของมใิ ช อภิธรรมปฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ ตวั ตน (คนไทยนยิ มพดู สน้ั ๆ วา อนิจจงั ไตรเพท พระเวท ๓ อยา ง ซึง่ เปนคมั ภรี  ทกุ ขัง อนตั ตา และแปลงายๆ วา “ไม ศักดส์ิ ิทธส์ิ งู สดุ ของศาสนาพราหมณ ได เท่ียง เปนทกุ ข เปนอนตั ตา”) แก ๑. ฤคเวท ประมวลบทสวดสรรเสรญิ เทพเจา ๒. ยชรุ เวท ประกอบดวยบท ลกั ษณะเหลานม้ี ี ๓ อยา ง จึงเรียก สวดออนวอนในพิธีบูชายัญตางๆ ๓. วา ไตรลกั ษณ, ลกั ษณะท้ัง ๓ เหลา นี้ สามเวท ประมวลบทเพลงขบั สาํ หรบั สวด มีแกธรรมท่ีเปนสังขตะคือสังขารท้ังปวง หรือรอ งเปนทํานองในพธิ ีบูชายญั ตอ มา เพมิ่ อถรรพเวท หรอื อาถรรพณเวท อนั เปนสามัญเสมอเหมือนกัน จึงเรียกวา สามัญลักษณะ (ไมสามัญแกธรรมที่ เปนอสังขตะคือวิสังขาร ซ่ึงมีเฉพาะ วาดวยคาถาทางไสยศาสตรเขามาอีก ลักษณะที่สามคืออนัตตตาอยางเดียว เปน ๔ ไมมีลักษณะสองอยางตน); ลักษณะ ไตรภพ ภพ ๓ คอื กามภพ รปู ภพ และ อรูปภพ; ดู ภพ เหลา นเ้ี ปน ของแนน อน เปน กฎธรรมชาติ ไตรภมู ิ ภูมิ ๓ หมายถงึ โลกยี ภมู ทิ ง้ั ๓ มอี ยตู ามธรรมดา จงึ เรยี กวา ธรรมนยิ าม คอื กามภูมิ รปู ภมู ิ และอรปู ภูมิ (เรยี ก พงึ ทราบวา พระบาลใี นพระไตรปฎ ก เรียกวา ธรรมนิยาม (ธมฺมนิยามตา) เต็มวา กามาวจรภมู ิ รูปาวจรภูมิ และ สว น ไตรลักษณ และ สามัญลกั ษณะ อรปู าวจรภมู )ิ ไมน บั ภมู ทิ ี่ ๔ คอื โลกตุ ตร- เปนคาํ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในยุคอรรถกถา ภมู ิ อนั พน เหนอื ไตรภมู นิ นั้ ; ดู ภมู ิ ไตรลิงค สามเพศ หมายถงึ คําศัพทท่ี ไตรมาส สามเดอื น เปนไดท้ังสามเพศในทางไวยากรณ ไตรรัตน แกวสามประการ หมายถึง กลา วคอื ปงุ ลงิ ค เพศชาย อิตถีลิงค เพศหญิง นปุงสกลิงค มิใชเพศชาย พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ไตรลักษณ ลักษณะสาม อาการทเ่ี ปน และหญิง; คาํ บาลีท่ีเปนไตรลงิ ค เชน เคร่ืองกําหนดหมายใหรูถึงความจริง นิพพฺ โุ ต นิพฺพตุ า นพิ พฺ ุตํ เปน ปุงลงิ ค ของสภาวธรรมท้ังหลาย ท่ีเปนอยาง อิตถีลงิ ค และนปงุ สกลิงค ตามลาํ ดับ นนั้ ๆ ๓ ประการ ไดแก ๑. อนิจจตา ไตรวฏั ฏ วฏั ฏะ ๓, วงวน ๓ หรอื วงจร ๓ ความเปนของไมเที่ยง ๒. ทุกขตา สวนของปฏจิ จสมุปบาทซง่ึ หมุนเวียนสืบ ความเปนทุกขหรือความเปนของคงทน ทอดตอ ๆ กนั ไป ทาํ ใหม กี ารเวยี นวา ย

ไตรสรณะ ๑๑๙ ไตรสรณคมน ตายเกดิ หรอื วงจรแหง ทกุ ข ไดแ ก กเิ ลส ถึงรัตนะท้งั สาม คือ พระพทุ ธเจา พระ กรรม และ วบิ าก (เรยี กเตม็ วา ๑. กเิ ลส- ธรรม พระสงฆ เปน ที่พ่ึงท่ีระลกึ วัฏฏ ประกอบดวยอวิชชา ตัณหา คําถึงไตรสรณะดังน้ี: “พุทฺธํ สรณํ อปุ าทาน ๒. กรรมวฏั ฏ ประกอบดว ย คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพุทธเจาเปน สงั ขาร ภพ ๓. วปิ ากวฏั ฏ ประกอบดว ย สรณะ), “ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขา พเจา วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ ถึงพระธรรมเปนสรณะ), “สงฺฆํ สรณํ เวทนา ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ คจฉฺ าม”ิ (ขา พเจา ถงึ พระสงฆเ ปน สรณะ); ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาส) คอื กเิ ลสเปน เหตุ “ทตุ ยิ มปฺ  พุทฺธํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขา พเจา ใหท าํ กรรม เมอื่ ทาํ กรรมกไ็ ดร บั วบิ ากคอื ถึงพระพุทธเจาเปนสรณะแมครงั้ ท่ี ๒), ผลของกรรมนั้น อันเปนปจจัยใหเกิด “ทตุ ยิ มปฺ  ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุตยิ มปฺ  กิเลสแลวทํากรรมหมุนเวียนตอไปอีก สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ ; “ตตยิ มปฺ พทุ ธฺ ํสรณํ เชน เกิดกิเลสอยากไดข องเขา จงึ ทาํ คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพทุ ธเจา เปน กรรมดว ยการไปลกั ของเขามา ประสบ สรณะแมค รงั้ ท่ี ๓), “ตตยิ มปฺ  ธมมฺ ํ สรณํ วิบากคือไดข องนนั้ มาเสพเสวย เกิดสขุ คจฉฺ าม,ิ ตตยิ มปฺ  สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ เวทนา ทําใหมีกิเลสเหิมใจอยากไดรุน การถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ ทํา แรงและมากย่ิงข้ึนจึงย่ิงทาํ กรรมมากขึ้น ใหเรามีเครื่องนําทางในการดําเนินชีวิต หรอื ในทางตรงขา ม ถกู ขดั ขวาง ไดร บั มีหลักยึดเหน่ียวจิตใจ มีแหลงท่ีสาด ทกุ ขเวทนาเปน วบิ าก ทาํ ใหเ กดิ กเิ ลสคอื สองใหแสงสวางแหงปญญา ทาํ ใหเกิด โทสะแคน เคอื ง แลว พยายามทาํ กรรมคอื ความมนั่ ใจ อบอนุ ใจ ปลอดภยั หาย ประทษุ รา ยเขา ฯลฯ เมอื่ เปน อยเู ปน ไป หวาดกลวั หายขนุ มวั เศรา หมอง มจี ติ ใจ อยางนี้ วงจรจะหมุนเวียนตอไปไมมีที่ เบิกบานผองใส เกิดความเขม แข็งทีจ่ ะ สนิ้ สดุ เปน อาการหมนุ วน หรอื วงกลม ทําความดีงามทําประโยชนใหสําเร็จ อนั หมนุ วน ทเี่ รยี กวา ภวจกั ร สงั สาร- เปน การไดก ลั ยาณมิตรสงู สดุ ที่จะช้ีนํา จกั ร หรอื สงั สารวฏั , ไตรวฏั กเ็ ขยี น; ดู ใหห ยดุ ยั้งถอนตนจากบาป ใหก าวไปใน ปฏิจจสมุปบาท กุศล พน จากอบาย บรรลุภมู ิทีส่ ูงขนึ้ ไป ไตรสรณะ ท่ีพึ่งสาม คือ พระพุทธเจา จนถึงความสุขแทที่เปนอิสระไรทุกขทั้ง พระธรรม พระสงฆ ปวง ท้ังนี้ จะตองมีศรทั ธาถูกตอง ท่ี ไตรสรณคมน การถงึ สรณะสาม, การ ประกอบดว ยปญญา นับถือโดยมีความ

ไตรสิกขา ๑๒๐ เถยยสังวาส รคู วามเขา ใจชดั เจนและมน่ั ใจ มใิ หส รณ- ๓ อยา ง คอื อธสิ ีลสกิ ขา อธจิ ติ ตสกิ ขา อธปิ ญญาสกิ ขา เรียกงา ยๆ สนั้ ๆ วา คมนนั้นเศราหมองดวยความไมรูหรือ ศลี สมาธิ ปญญา; ดู สกิ ขา ๓ เขา ใจผิดเพ้ยี นหลงงมงายหรือไมใ สใจ ไตรสกิ ขา สกิ ขาสาม, ขอ ปฏบิ ตั ทิ ตี่ อ งศกึ ษา ถ ถวนทศมาส ครบสบิ เดือน (ในการต้งั เครอ่ื งนุงหม ไมใชผาทีช่ าวบานถวาย; ดู ครรภ) ปงสุกลู กิ งั คะ ถวายพระเพลงิ ใหไฟ คือ เผา ถุลลโกฏฐิตนิคม นิคมแหงหนึ่งอยูใน ถวายอดเิ รก ดู อดเิ รก 2. แควน กุรุ ถอน (ในคาํ วา “รูจกั ถอนไตรจวี ร”) ยก ถลุ ลจั จยั “ความลวงละเมดิ ท่ีหยาบ”, ชอื่ เลกิ ของเดมิ ออกมาจากศพั ท ปจ จทุ ธรณ อาบัติหยาบอยางหน่ึงเปนความผิดขั้น ถมั ภะ หัวดอ้ื (ขอ ๑๑ ในอปุ กิเลส ๑๖) รองลงมาจากอาบัติสังฆาทิเสส เชน ถาวรวตั ถุ สิ่งของที่มัน่ คง ไดแกข องที่ ภิกษุชักส่ือใหชายหญิงเปนผัวเมียกัน สรา งดวยอฐิ ปนู หรอื โลหะ เชน โบสถ ตองอาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุชักสื่อ เจดยี  วิหาร เปนตน บณั เฑาะก (กะเทย) ตอ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ถนี ะ ความหดห,ู ความทอ แทใจ ภิกษุนุงหมหนังเสืออยา งเดียรถยี  ตอง ถีนมิทธะ ความหดหูและเซ่ืองซึม, อาบตั ถิ ุลลัจจยั ; ดู อาบตั ิ ความทีจ่ ิตหดหแู ละเคลบิ เคล้ิม, ความ ถณู คาม ตาํ บลทก่ี นั้ อาณาเขตมชั ฌมิ ชนบท งวงเหงาซมึ เซา (ขอ ๓ ในนวิ รณ ๕) ดานทศิ ตะวนั ตก เขียน ถนู คาม กม็ ี ถงึ ท่สี ุดเพท เรียนจบไตรเพท ถูปารหบุคคล บุคคลผูควรแกสถูปคือ ถือ (ในคาํ วา การใหถ ือเสนาสนะ) รบั บุคคลที่ควรนํากระดูกบรรจุสถูปไวบูชา แจก, รบั มอบ, ถือสิทธิ์ครอบครอง มี ๔ คือ ๑. พระพุทธเจา ๒. ปจเจก- ถอื บวช ถอื การเวนตา งๆ ตามขอกําหนด พุทธเจา ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระ ทางศาสนา เจาจกั รพรรดิ ถอื บงั สุกุล ใชผาเฉพาะทีไ่ ดจากกองฝุน เถยยสงั วาส ลกั เพศ, มใิ ชภ กิ ษุ แตป ลอม กองหยากเยอื่ คือผา ทเ่ี ขาท้ิงแลวมาทาํ เพศเปน ภกิ ษุ (พจนานุกรมเขียน เถย-

เถระ ๑๒๑ ทรมาน สงั วาส, เขยี นอยา งบาลเี ปน เถยยสงั วาสก) ของพระพุทธเจา วางเปนแบบแผนไวเ มอื่ เถระ พระผูใหญ ตามพระวนิ ัยกําหนดวา ๓ เดอื นหลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน ไดแ กพ ระ มพี รรษาต้ังแต ๑๐ ข้นึ ไป; เทยี บ นวกะ, พุทธศาสนาอยางท่ีนับถือแพรหลายใน มชั ฌิมะ ประเทศไทย พมา ลงั กา ลาว และกมั พชู า, เถรภมู ิ ข้นั หรอื ชั้นแหงพระเถระ, ระดับ บางทีเรียกวา พุทธศาสนาแบบดั้งเดิม อายุ คณุ ธรรม ความรู ท่นี ับวา เปนพระ และเพราะเหตุท่ีแพรหลายอยูในดิน ผใู หญ คือมีพรรษาต้งั แต ๑๐ ขนึ้ ไป แดนแถบใต จงึ เรยี กวา ทักษณิ นกิ าย และรปู าฏิโมกข เปนตน เทียบ นวกภมู ,ิ (นกิ ายฝายใต); ดู หนี ยาน, เทียบ มหายาน มชั ฌิมภูมิ เถรานุเถระ “เถระและอนุเถระ”, พระ เถรวาท “วาทะของพระเถระ” (หมายถงึ เถระผใู หญผูนอ ย พระเถระผูรักษาธรรมวินัยนับแตปฐม- เถรี พระเถระผหู ญิง สงั คายนา), พระพทุ ธศาสนาทสี่ บื มาแต ไถ ถงุ ยาวๆ สําหรับใสเ งนิ หรอื ส่งิ ของ ยคุ แรกสดุ ซงึ่ ถอื ตามหลกั ธรรมวินยั ที่ ไถยจติ จติ คิดจะลัก, จติ คดิ ขโมย, จิต พระอรหนั ตเถระ ๕๐๐ รปู ไดป ระชุม ประกอบดว ยความเปนขโมย ทําสังคายนาคร้ังแรกรวบรวมคําส่ังสอน ท ทธิ นมสม , นมเปรยี้ ว; ดู เบญจโครส ทมฬิ ชอื่ ชนเผาหนึ่งในเกาะลงั กา เคยชิง ทนต ฟน ราชสมบตั ิพระเจาวฏั ฏคามินอี ภัยได ทมะ การฝก , การฝกฝนปรับปรุงตน, ทรกรรม การทําใหลาํ บาก การรจู กั ขมจติ ขม ใจ บังคับควบคุมตน ทรง ใช, ถอื ครอง, เกบ็ ไว, มีไวเปนสทิ ธ,์ิ เองได ไมพดู ไมทาํ เพยี งตามทอ่ี ยาก แต ครอบครอง, ครอง, นุงหม เชนใน พูดและทําตามเหตุผลท่ีพิจารณาเห็น ประโยควา “พงึ ทรงอตเิ รกบาตรไว ๑๐ ดว ยปญ ญาวา ดงี ามสมควรเปน ประโยชน วันเปนอยางยิ่ง” และในประโยควา รูจกั ปรับตัวปรบั ใจ และแกไ ขปรบั ปรงุ “ภิกษุทรงอติเรกจีวรได ๑๐ วันเปน ตนดวยปญญาไตรตรองใหงอกงามดยี ง่ิ อยางยิ่ง” ข้นึ อยเู สมอ (ขอ ๒ ในฆราวาสธรรม ๔) ทรมาน ขม, ปราบ, ฝก, ทําใหเส่อื ม

ทรยศ ๑๒๒ ทสกะ พยศ, ทําใหเสอ่ื มการถือตัว, ทําใหก ลับ ทางใจ 2. ทางทํากรรม ๑. กายทวาร ทางกาย ๒. วจที วาร ทางวาจา ๓. มโน- ใจ บัดนม้ี กั หมายถงึ ทําใหล ําบาก ทรยศ คดิ รายตอ มติ รหรือผูม ีบุญคณุ ทวาร ทางใจ ทวดึงสกรรมกรณ วิธีลงโทษ ๓๒ ทวารบาล คนเฝา ประตู อยาง ซึ่งใชในสมยั โบราณ เชน โบย ทวารเบา ชอ งปส สาวะ ดว ยแส โบยดว ยหวาย ตีดว ยกระบอง ทวารรูป ดทู ่ี รปู ๒๘ ตดั มือ ตดั เทา ตัดหู ตดั จมูก ตดั ศีรษะ ทวารหนัก ชองอจุ จาระ ทวิช ชือ่ หน่ึงสําหรบั เรียกพราหมณ ใน เอาขวานผา อก เปนตน ทวดึงสาการ ดู ทวตั ติงสาการ ภาษาไทยเปน ทชิ าจารย หรอื ทวชิ าจารย ทวตั ตงิ สกรรมกรณ ดู ทวดงึ สกรรมกรณ ก็มี แปลวา “เกิดสองหน” หมายถึง เกดิ ทวัตติงสาการ อาการ ๓๒, สวน โดยกําเนิดครั้งหน่ึง เกิดโดยไดรับ ประกอบท่ีมีลักษณะตางๆ กัน ๓๒ ครอบเปนพราหมณคร้ังหนึ่ง เปรียบ อยาง ในรางกาย คอื ผม ขน เลบ็ ฟน เหมอื นนกซึ่งเกดิ สองหนเหมอื นกัน คือ หนงั เนือ้ เอน็ กระดูก เยือ่ ในกระดกู เกิดจากทองแมออกเปน ไขห นหนง่ึ เกดิ มาม หวั ใจ ตับ พงั ผดื ไต ปอด ไส จากไขเปนตัวอีกหนหนึ่ง นกจึงมีช่ือ ใหญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา เรียกวา ทวิช หรือ ทิช ซง่ึ แปลวา “เกดิ (อุจจาระ) มันสมอง ดี เสลด หนอง สองหน” อกี ช่ือหนึง่ ดว ย เลือด เหง่ือ มนั ขน น้าํ ตา มนั เหลว นา้ํ ทวบิ ท สตั วส องเทา มี กา ไก นก เปน ตน ลาย นาํ้ มูก ไขขอ มูตร (ปสสาวะ); ใน ทศพร ดู พร ๑๐ ขุททกปาฐะ (ฉบบั สยามรัฐ) เรยี งลาํ ดับ ทศพลญาณ ดู ทสพลญาณ มนั สมองไวเ ปน ขอ สดุ ทา ย; ทวตั ดงึ สาการ ทศพิธราชธรรม ดู ราชธรรม หรอื ทวดงึ สาการ กเ็ ขยี น ทศมาส สบิ เดือน ทวาบรยคุ , ทวาปรยคุ ดู กปั ทศวรรค สงฆม พี วกสิบ คือ สงฆพวกที่ ทวาร ประต,ู ทาง, ชองตามรา งกาย 1. กําหนดจาํ นวน ๑๐ รูปเปน อยา งนอยจึง ทางรับรอู ารมณ มี ๖ คือ ๑. จักขทุ วาร จะครบองค ทาํ สังฆกรรมประเภทนนั้ ๆ ทางตา ๒. โสตทวาร ทางหู ๓. ฆาน- ได เชน การอุปสมบทในมธั ยมประเทศ ทวาร ทางจมกู ๔. ชวิ หาทวาร ทางล้ิน ตองใชส งฆท ศวรรค ๕. กายทวาร ทางกาย ๖. มโนทวาร ทสกะ หมวด ๑๐

ทสพลญาณ ๑๒๓ ทกั ขิณา,ทักษณิ า ทสพลญาณ พระญาณเปนกําลังของ ชวยใหสัตวท้ังหลายเจริญดวยสมบัติดัง ปรารถนา, สิง่ ที่ใหโ ดยเชอ่ื กรรมและผล พระพทุ ธเจา ๑๐ ประการ เรียกตาม แหงกรรม (หรือโดยเชื่อปรโลก); บาลวี า ตถาคตพลญาณ (ญาณเปนกาํ ลงั “ทักขิณา” เดิมเปนคําที่ใชในศาสนา ของพระตถาคต) ๑๐ คอื ๑. ฐานาฐาน- พราหมณ (เขยี นอยา งสนั สกฤต เปน ญาณ ๒. กรรมวิปากญาณ ๓. สพั พัตถ- “ทกั ษณิ า”) หมายถึง ของท่ีมอบใหแก คามินีปฏิปทาญาณ ๔. นานาธาตุญาณ พราหมณ เปนคาตอบแทนในการ ๕. นานาธมิ ตุ ตกิ ญาณ ๖. อินทริยปโร- ประกอบพิธีบชู ายญั เมอื่ นํามาใชใ นพระ ปรยิ ตั ตญาณ ๗. ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ พุทธศาสนา นิยมหมายถงึ ปจจยั ๔ ที่ ๘. ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ๙. จตุ ปู ปาต- ถวายแกพระภิกษุสงฆ หรือใหแก ญาณ ๑๐. อาสวกั ขยญาณ; นิยมเขยี น ทกั ขไิ ณยบคุ คล ซ่งึ ในความหมายอยา ง ทศพลญาณ; ดู ญาณ ช่อื นนั้ ๆ สูง ไดแ กพระอริยสงฆ และในความ ทองอาบ ของอาบดวยทอง, ของชบุ ทอง, หมายท่กี วา งออกไป ไดแก ทา นผมู ศี ลี ผูทรงคุณทรงธรรม แมเปนคฤหัสถ ของแชทองคําใหจับผวิ เชน บิดามารดา ตลอดจนในความหมาย ทอด ในประโยควา “ทอดกรรมสทิ ธข์ิ อง อยางกวางที่สดุ ของทใ่ี หเพ่อื ชว ยเหลอื เก้ือกลู แมแ ตใหแ กส ัตวดิรัจฉาน ก็เปน ตนเสีย” ทิง้ , ปลอย, ละ ทกั ขณิ า (ดงั ทตี่ รสั ในทกั ขณิ าวภิ งั คสตู ร, ม.อ.ุ ๑๔/ ทอดกฐนิ ดู กฐนิ , กฐนิ ทาน ๗๑๐/๔๕๘) แตม ผี ลมากนอ ยตา งกนั ตาม ทอดธุระ ไมเอาใจใส, ไมส นใจ, ไมเ อา หลกั ทักขิณาวิสทุ ธ์ิ ๔ และตรสั ไวอ กี แหง หนง่ึ วา (ทานสตู ร, อง.ฉกกฺ .๒๒/๓๐๘/๓๗๕) ธรุ ะ ทกั ขณิ าทพี่ รอมดว ยองค ๖ คอื ทายก ทอดผา ปา เอาผา ถวายโดยทิง้ ไวเ พ่อื ให มอี งค ๓ (กอ นให ก็ดีใจ, กําลงั ใหอ ยู ก็ พระชักเอาเอง; ดู ผา ปา ทาํ จิตใหผ ดุ ผองเลื่อมใส, ครัน้ ใหแลว ก็ ทักขณิ , ทกั ษิณ ขวา, ทศิ ใต ชืน่ ชมปล้ืมใจ) และปฏคิ าหกมอี งค ๓ ทักขิณทิส “ทิศเบื้องขวา” หมายถึง (เปนผูปราศจากราคะหรือปฏิบัติเพ่ือ บําราศราคะ, เปน ผปู ราศจากโทสะหรอื อาจารย (ตามความหมายในทิศ ๖); ดู ปฏิบัติเพือ่ บาํ ราศโทสะ, เปนผูปราศจาก ทศิ หก ทกั ขณิ า, ทกั ษณิ า ทานท่ถี วายเพ่ือผล อันดีงาม, ของทําบุญ, สิ่งท่ีสละให, ป จ จั ย ส่ี ท่ี เ ม่ื อ ถ ว า ย จ ะ เ ป น เ ห ตุ ใ ห ประโยชนส ขุ เจรญิ เพิ่มพูน, ของถวายที่

ทักขิณานปุ ทาน ๑๒๔ ทักขิไณยบคุ คล โมหะหรือปฏิบัติเพ่ือบําราศโมหะ) ม;ี ตรงขา มกับ อุตตราวัฏฏ ทกั ขณิ านน้ั เปน บญุ ยง่ิ ใหญ มผี ลมากยาก ทักขิณาวิสุทธิ์ ความบริสุทธิ์แหง จะประมาณได; ดูเจตนา, ทักขิณาวิสุทธิ์ ทกั ขิณา, ขอทเ่ี ปนเหตุใหท ักขิณา คือส่งิ ทกั ขิณานปุ ทาน ทําบุญอทุ ศิ ผลใหแ กผู ท่ใี หทถี่ วาย เปน ของบรสิ ุทธิ์และจึงเกิด ตาย มีผลมาก มี ๔ คอื (ม.อ.ุ ๑๔/๗๑๔/๔๖๑) ๑. ทักขิณาบถ “หนใต” (เขียนอยาง ทกั ขิณา บริสุทธ์ิฝา ยทายก (มีศลี มี สันสกฤต=ทักษิณาบถ), ดนิ แดนแถบ กัลยาณธรรม) ไมบริสุทธ์ิฝา ยปฏคิ าหก ใตของชมพูทวีป, อนิ เดยี ภาคใต คูกบั (ทุศลี มปี าปธรรม) ๒. ทกั ขิณา บรสิ ุทธิ์ อตุ ราบถ (ดนิ แดนแถบเหนือของชมพู ฝา ยปฏคิ าหก ไมบรสิ ุทธ์ิฝา ยทายก ๓. ทวีป หรืออนิ เดียภาคเหนอื ), ในอรรถ- ทักขิณา ไมบริสุทธิ์ท้ังฝายทายก ไม กถา มีคําอธิบายซึ่งใหถือแมน้ําคงคา บรสิ ุทธท์ิ ้งั ฝายปฏิคาหก ๓. ทกั ขณิ า เปนเสนแบง คอื ดนิ แดนแถบฝงเหนอื บริสุทธ์ิทั้งฝายทายก บริสุทธ์ิท้ังฝาย ของแมน า้ํ คงคา เปนอตุ ราบถ สว นดิน ปฏคิ าหก; ดู ทกั ขณิ า แดนแถบฝงใตของแมนํ้าคงคา เปน ทักขิเณยยบุคคล บุคคลผูควรรับ ทักขิณาบถ และกลาววา อตุ ราบถเปน ทกั ษิณา ปฏิรูปเทส แตท ักขณิ าบถไมเ ปน ปฏิรูป ทกฺขิเณยฺโย (พระสงฆ) เปนผูค วรแก เทส, คาํ อธบิ ายนนั้ คงถอื ตามสภาพความ ทักขณิ า คอื มีคณุ ความดีสมควรแกข อง เจรญิ สมัยโบราณ แตท่ีรูกันท่ัวไปตอ ถึง ทาํ บญุ มอี าหาร ผา นุงหม เปนตน ชวย ยคุ ปจ จบุ นั ถอื แมน า้ํ นมั มทาเปน เสน แบง เอื้ออํานวยใหของท่ีเขาถวายมีผลมาก คือ ดนิ แดนแถบเหนอื แมน ํา้ นมั มทาขึน้ (ขอ ๗ ในสังฆคณุ ๙) มา เปน อุตราบถ สว นดนิ แดนแถบใต ทกั ขโิ ณทก นา้ํ ทีห่ ลง่ั ในเวลาทําทาน แมน าํ้ นมั มทาลงไป เปน ทกั ขณิ าบถ ดงั ที่ ทกั ขไิ ณย ผูควรแกทักขิณา, ผูค วรรับ เรยี กในบดั นวี้ า Deccan อนั เพยี้ นจาก ของทําบญุ ที่ทายกถวาย, ทานผเู ก้ือกูล Dekkhan หรอื Dekhan ซงึ่ มาจาก แกทักขณิ า โดยทําใหสง่ิ ทีถ่ วายเปนของ Dakkhina นนั่ เอง; เทยี บอตุ ราบถ,ดูอวนั ตี บริสุทธิ์ และจงึ เปนเหตใุ หเกดิ มีผลมาก; ทกั ขณิ าวัฏฏ เวยี นขวา, วนไปทางขวา ดู ทักขณิ า คือ วนเล้ียวทางขวาอยางเข็มนาฬิกา ทักขิไณยบุคคล บุคคลผูควรรับ เขยี น ทักษิณาวฏั หรือ ทักษิณาวรรต ก็ ทกั ษณิ า; ดู ทักขิไณย

ทักษณิ นกิ าย ๑๒๕ ทัศ ทักษณิ นิกาย นกิ ายพุทธศาสนาฝายใตท่ี มารดา พวกอตุ รนิกายตั้งช่อื ใหวา หนี ยาน ใช ทันต ฟน บาลีมคธ บดั น้ี นิยมเรียกวา เถรวาท ทนั ตชะ อกั ษรเกิดทฟ่ี น คอื ต ถ ท ธ น ทกั ษณิ า ทานเพอื่ ผลอนั เจรญิ , ของทาํ บญุ กบั ท้ัง ล และ ส ทักษิณานุประทาน ทําบุญอุทิศผลให ทพั พมัลลบตุ ร พระเถระมหาสาวกองค แกผตู าย หน่ึงในอสีติมหาสาวก เปนพระราช- ทักษิณาบถ ดู ทกั ขณิ าบถ โอรสของพระเจามลั ลราช เมือ่ พระชนม ทักษิโณทก นา้ํ ที่หล่ังในเวลาทําทาน, นํ้า ๗ พรรษา มีความเล่อื มใสในพระพทุ ธ- กรวด, คือเอาน้ําหล่ังเปนเครื่องหมาย ศาสนา ไดบรรพชาเปน สามเณร เวลา ของการใหแ ทนสิง่ ของท่ใี ห เชน ทีด่ นิ ปลงผม พอมดี โกนตัดกลมุ ผมครั้งที่ ๑ ศาลา กุฎี บุญกุศล เปนตน ซึง่ ใหญโต ไดบรรลุโสดาปตตผิ ล ครง้ั ที่ ๒ ได เกนิ กวาทีจ่ ะยกไหว หรอื ไมม ีรูปทีจ่ ะยก บรรลสุ กทาคามิผล คร้งั ที่ ๓ ไดบรรลุ ขึ้นได อนาคามิผล พอปลงผมเสรจ็ ก็ไดบ รรลุ ทณั ฑกรรม การลงอาชญา, การลงโทษ; พระอรหตั ทา นรบั ภาระเปน เจา หนา ทที่ าํ ในท่ีน้ี หมายถึงการลงโทษสามเณร การสงฆในตําแหนงเสนาสนปญญาปกะ คลายกบั การปรับอาบัตภิ ิกษุ ไดแก กัก (ผูดูแลจัดสถานที่พักอาศัยของพระ) บริเวณ หา มไมใหเ ขา หา มไมใหอ อก และภัตตุเทศก ไดรับยกยองวาเปน จากอาราม หรือการใชตักน้ํา ขนฟน ขน เอตทัคคะในบรรดาเสนาสนปญ ญาปกะ ทราย เปนตน ทัพสัมภาระ เครื่องเคราและสวน ทัณฑกรรมนาสนา ใหฉ ิบหายดว ยการ ประกอบทัง้ หลาย, สง่ิ และเครอ่ื งอันเปน ลงโทษ หมายถึงการไลออกจากสํานัก สวนประกอบท่ีจะคุมกันเขาเปนเรือน เชน ท่ีทาํ แกก ณั ฑกสามเณร ผกู ลาวตู เรอื รถ หรอื เกวียน เปน ตน ; เขยี นเต็ม พระธรรมเทศนาวา ธรรมท่ีตรัสวา เปน วา ทพั พสัมภาระ อันตราย ไมสามารถทําอันตรายแกผู ทัศ สิบ, จาํ นวน ๑๐ (สนั สกฤต: ทศ; เสพไดจ ริง บาล:ี ทส); ในขอ ความวา “บารมี ๓๐ ทศั ” ทณั ฑปาณิ กษตั รยิ โ กลิยวงศ เปน พระ หรอื “บารมสี ามสบิ ทศั ” มกั ใหถ อื วา “ทศั ” ราชบุตรของพระเจาอัญชนะ เปนพระ แปลวา ครบ หรอื ถว น แตอาจเปน ไดว า เชฏฐาของพระนางสิริมหามายาพุทธ- “ทัศ” ก็คือสบิ นัน่ แหละ แตสันนิษฐาน

ทศั นยี  ๑๒๖ ทาน วา “บารมสี ามสบิ ทศั ” เปนคําพดู ซอน ประโยชนแ กผ อู นื่ ; สงิ่ ทใี่ ห, ทรพั ยส นิ สง่ิ ของทม่ี อบใหห รอื แจกออกไป; ทาน ๒ คอื โดยซอ นความหมายวา สามสิบนี้ มิใช ๑. อามสิ ทาน ใหส งิ่ ของ ๒. ธรรมทาน ใหธ รรม; ทาน ๒ อกี หมวดหนงึ่ คอื ๑. แคว านบั รายหนว ยเปน ๓๐ แตน ับเปน สงั ฆทาน ใหแ กส งฆ หรอื ใหเ พอ่ื สว นรวม ๒. ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน ใหเ จาะจงแกบ คุ คลผู ชดุ ได ๓ ทศั (คอื จาํ นวนสบิ ๓ ชดุ ใดผหู นง่ึ โดยเฉพาะ (ขอ ๑ ในทศพธิ ราช- หรอื ๓ “สิบ”); ดู สมดึงส- ธรรม, ขอ ๑ ในบารมี ๑๐, ขอ ๑ ในบญุ - ทัศนีย งาม, นาดู กริ ยิ าวตั ถุ ๓ และ ๑๐, ขอ ๑ ในสงั คห- ทัสสนะ การเหน็ , การเห็นดวยปญญา, วตั ถุ ๔, ขอ ๑ ในสปั ปรุ สิ บญั ญตั ิ ๓) ความเหน็ , สงิ่ ที่เห็น ทัสสนานุตตริยะ การเห็นที่ยอดเย่ียม ทานมิใชถูกตองดีงามหรือเปนบุญ (ขอ ๑ ในอนุตตริยะ ๓ หมายถงึ เสมอไป ทานบางอยางถือไมไดวาเปน ทาน และเปน บาปดว ย ในพระไตรปฎก ปญญาอันเห็นธรรม ตลอดถึงเห็น (วินย.๘/๙๗๙/๓๒๖) กลาวถงึ ทานทช่ี าวโลก ถือกันวาเปน บญุ แตที่แทหาเปนบุญไม นพิ พาน; ขอ ๑ ในอนุตตริยะ ๖ หมาย (ทานท่เี ปน บาป) ๕ อยาง คอื ๑. มัชช- ทาน (ใหน้ําเมา) ๒. สมัชชทาน (ให ถึง เห็นพระตถาคต ตถาคตสาวก และ มหรสพ) ๓. อติ ถีทาน (ใหส ตร)ี ๔. อุสภทาน (ทานอธิบายวาปลอยใหโค ส่ิงอนั บาํ รุงจติ ใจใหเจริญ) อสุ ภะเขา ไปในฝงู โค) ๕. จิตรกรรมทาน ทฬั หีกรรม การทาํ ใหม่นั เชน การให (ใหภาพย่วั ยกุ ิเลส เชน ภาพสตรีและ อปุ สมบทซํ้า บุรษุ เสพเมถุน), ในคัมภีรม ิลนิ ทปญ หา ทาฐธาต,ุ ทาฒธาตุ พระธาตุคือเขี้ยว, (มลิ นิ ท.๓๕๒) กลา วถึงทานทีไ่ มนบั วา เปน พระเขี้ยวแกวของพระพุทธเจามีท้ังหมด ทาน อนั นําไปสอู บาย ๑๐ อยา ง ไดแก ๕ อยางทก่ี ลาวแลว และเพิ่มอีก ๕ คือ ๖. ๔ องค ตาํ นานวา พระเขย้ี วแกวบนขวา สัตถทาน (ใหศ สั ตรา) ๗. วสิ ทาน (ให ยาพษิ ) ๗. สงั ขลิกทาน (ใหโซต รวน) ๘. ประดิษฐานอยูในพระจุฬามณีเจดียใน กกุ กฏุ สกู รทาน(ใหไ กใ หส กุ ร) ๙.ตลุ ากฏู - ดาวดึงสเทวโลก, องคล างขวาไปอยู ณ แควนกาลิงคะ แลว ตอ ไปยงั ลังกาทวีป, องคบ นซายไปอยู ณ แควนคนั ธาระ, องคลางซายไปอยูในนาคพิภพ; ดู สารีรกิ ธาตุ ทาน การให, ยกมอบแกผ อู นื่ , ใหข องที่ ควรให แกค นทคี่ วรให เพอื่ ประโยชนแ ก เขา, สละใหปนสิ่งของของตนเพื่อ

ทานกถา ๑๒๗ ทา นผูมอี ายุ มานกูฏทาน (ใหเคร่ืองชั่งตวงวัดโกง); แตแกผ อู น่ื จดั ใหของทดี่ ีๆ ไมต กอยใู ต สาํ หรบั สมชั ชทาน พึง ดู สาธุกีฬา ทานกถา เรอ่ื งทาน, พรรณนาทาน คอื อํานาจสิ่งของ แตเ ปน นายเปน ใหญทําให การใหว าคอื อะไร มีคณุ อยางไร เปน ตน ส่ิงของอยูใตอํานาจของตน บุคคลน้ัน เรยี กวา ทานบดี (รายละเอียด พงึ ดู ที.อ.๑/ (ขอ ๑ ในอนบุ พุ พิกถา ๕) ๒๖๗; สุตตฺ .อ.๒/๒๓๗; ส.ํ ฏ.ี ๑/๑๖๖; องฺ.ฏ.ี ๓/๒๐) ทานบดี “เจาแหงทาน”, ผเู ปน ใหญใ น ทานบน ถอยคําหรือสัญญาวาจะไมทํา ทาน, พงึ ทราบคําอธบิ าย ๒ แง คอื ใน ผิดตามเง่ือนไขทไี่ ดใ หไว; ทณั ฑบ น ก็ แงท ่ี ๑ ความแตกตางระหวาง ทายก เรยี ก กบั ทานบดี, “ทายก” คือผใู ห เปนคํา ทานบารมี คณุ ความดีท่บี ําเพ็ญอยา งยิ่ง กลางๆ แมจ ะใหข องของผูอืน่ ตามคาํ ส่งั ยวดคอื ทาน, บารมีขอ ทาน; การใหการ ของเขา โดยไมม อี ํานาจหรอื มีความเปน สละอยางยิ่งยวดท่ีเปนบารมีข้ันปกติ ใหญใ นของนน้ั ก็เปน ทายก (จึงไมแนวา เรียกวา ทานบารมี ไดแกพาหิรภณั ฑ- จะปราศจากความหวงแหนหรือมีใจสละ บรจิ าค คอื สละใหของนอกกาย, การ จริงแทห รือไม) สวน “ทานบด”ี คอื ผใู ห ใหการสละที่ยิ่งยวดข้ึนไปอีก ซ่ึงเปน ที่เปนเจาของหรือมีอาํ นาจในของท่ีจะให บารมขี ั้นจวนสูงสุด เรยี กวา ทานอุป- จงึ เปน ใหญในทานน้ัน (ตามปกตติ อ งไม บารมี ไดแ กอ งั คบรจิ าค คอื สละให หวงหรือมีใจสละจรงิ จึงใหได) ในแงท ่ี อวยั วะในตวั เชน บรจิ าคดวงตา, การ ๑ น้ี จงึ พูดจําแนกวา บางคนเปน ท้งั ใหการสละอันย่งิ ยวดทีส่ ุด ซึ่งเปน บารมี ทายกและเปนทานบดี บางคนเปนทายก ข้นั สงู สุด เรยี กวา ทานปรมตั ถบารมี แตไ มเปน ทานบดี; ในแงท ่ี ๒ ความ ไดแกชีวิตบริจาค คือสละชวี ติ ; การ แตกตางระหวา ง ทานทาส ทานสหาย สละใหพาหริ ภณั ฑหรอื พาหริ วตั ถุ เปน และทานบด,ี บุคคลใด ตนเองบรโิ ภค พาหริ ทาน คอื ใหสิ่งภายนอก สวนการ ของดีๆ แตแ กผูอื่นใหข องไมด ี ทาํ ตวั สละใหอวัยวะเลือดเน้ือชีวิตตลอดจน เปนทาสของส่ิงของ บุคคลน้ันเรียกวา ยอมตัวเปนทาสรับใชเพื่อใหเปน ทานทาส, บคุ คลใด ตนเองบรโิ ภคของ ประโยชนแกผูอื่น เปนอัชฌัตติกทาน อยา งใด ก็ใหแ กผ อู ืน่ อยางน้นั บคุ คลนนั้ คอื ใหของภายใน (ขอ ๑ ในบารมี ๑๐) เรียกวา ทานสหาย, บุคคลใด ตนเอง ทานผมู อี ายุ เปนคาํ สาํ หรับพระผูใหญใช บริโภคหรือใชของตามที่พอมีพอเปนไป เรียกพระผูนอย คือ พระที่มีพรรษา

ทานมัย ๑๒๘ ทิฏฐธมั มกิ ตั ถะ ออนกวา (บาลีวา อาวโุ ส) บริจาคบํารุงวัดและการกอสรางในวัด ทานมัย บญุ ที่สาํ เรจ็ ดว ยการบริจาคทาน เปน สําคัญ (ขอ ๑ ในบญุ กริ ิยาวัตถุ ๓ และ ๑๐) ทํารายดวยวิชา ไดแก รา ยมนตรอ าคม ทายก (ชาย) ผูให; ดู ทานบดี ตางๆ ใชภูตใชผีเพอ่ื ทาํ ผูอืน่ ใหเจ็บตาย ทายาท ผสู ืบสกุล, ผคู วรรับมรดก จัดเปนดิรัจฉานวชิ า เทียบตัวอยา งท่ีจะ ทายกิ า (หญงิ ) ผูให; ดู ทานบดี เหน็ ในบัดนี้ เชน ฆา ดวยกําลงั ไฟฟา ซ่งึ ทารก เดก็ ทย่ี ังไมเ ดยี งสา ประกอบขึ้นดวยอํานาจความรู ทารุณ หยาบชา, รายกาจ, รุนแรง, ดุ ทาํ ศรทั ธาไทยใหต กไป ดู ศรทั ธาไทย ทําโอกาส ใหโอกาส; ดู โอกาส รา ย, โหดราย ทารณุ กรรม การทาํ โดยความโหดรา ย ทิฆมั พร ทอ งฟา ทาส บา วทว่ั ไป, คนรับใช ทฏิ ฐธรรม, ทฏิ ฐธัมม สิง่ ทม่ี องเหน็ , ทํากรรมเปนวรรค สงฆทําสังฆกรรม สภาวะหรอื เร่อื งซ่งึ เห็นได คอื ปจจุบัน, โดยแยกเปน พวกๆ ไมสามคั คีกัน ชวี ติ นี,้ ชาตนิ ้ี, ทันเห็น, จําพวกวัตถ,ุ ทํากัปปะ ทําเครื่องหมายดวยของ ๓ ดานรูปกาย อยา ง คือ คราม ตม และดาํ คลํ้า อยาง ทฏิ ฐธมั มเวทนยี กรรม กรรมอนั ใหผล ใดอยางหนึ่งในเอกเทศ คือสวนหนึ่ง ในปจจุบัน, กรรมทั้งที่เปนกุศลและ แหงจีวร เรยี กสามัญวา พินทุ อกุศล ซง่ึ ใหผ ลทันตาเหน็ (ขอ ๑ ใน ทําการเมือง ทํางานของแวนแควน, กรรม ๑๒) ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชนในปจจุบัน, ทํางานของหลวง ทําการวัด ทํางานของวัด, ทํางานของ ประโยชนสุขสามัญท่ีมองเห็นกันในชาติ พระในอาราม น้ี ทค่ี นท่ัวไปปรารถนา มีทรพั ย ยศ ทํากาละ ตาย ทําคนื แกไข เกยี รติ ไมตรี เปนตน อนั จะสาํ เรจ็ ดวย ทําบุญ ทําความดี, ทําส่ิงท่ีดีงาม, ธรรม ๔ ประการ คอื ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพรอมดวยความหมั่น ๒. อารักข- ประกอบกรรมดี ดังที่ทานแสดงใน สัมปทา ถึงพรอมดวยการรักษา ๓. บุญกริ ิยาวัตถุ ๓ หรอื บุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐ กัลยาณมิตตตา ความมีเพ่ือนเปนคนดี ๔. สมชีวติ า การเลีย้ งชวี ิตตามสมควร แตท ี่พดู กันทวั่ ไป มกั เพงท่กี ารเลย้ี งพระ ตักบาตร ถวายจตุปจจัยแกพระสงฆ แกกําลังทรัพยท่ีหาได; มักเรียกคลอง

ทิฏฐานุคติ ๑๒๙ ทฏิ ฐิวิบตั ิ ปากวา ทฏิ ฐธัมมกิ ัตถประโยชน ทิฏฐิ คอื ความเห็นผิด มี ๒ ไดแก ทฏิ ฐานคุ ติ การดําเนินตามส่ิงท่ีไดเห็น, ๑. สัสสตทฏิ ฐิ ความเห็นวา เทย่ี ง ๒. การทาํ ตามอยา ง, การเอาอยาง ในทางดี อจุ เฉททิฏฐิ ความเหน็ วา ขาดสญู ; อีก หรอื รา ย กไ็ ด มกั ใชในขอความวา “จะ หมวดหนง่ึ มี ๓ คอื ๑. อกริ ยิ ทิฏฐิ ถึงทิฏฐานุคติของผูนั้น”; แตในภาษา ความเหน็ วา ไมเ ปน อนั ทาํ ๒.อเหตกุ ทฏิ ฐิ ไทย นยิ มนาํ มาใชด านดี หมายถงึ ทาง ความเห็นวาไมมีเหตุ ๓. นัตถิกทิฏฐิ ดําเนินตามท่ีไดมองเห็น, แบบอยาง, ความเห็นวาไมมี คือถืออะไรเปนหลัก ตวั อยาง เชน พระผใู หญปฏบิ ัตติ นชอบ ไมได เชน มารดาบดิ าไมม ี เปนตน พระผูนอ ยจะไดถอื เอาเปนทิฏฐานุคติ ทิฏฐจิ รติ ดู จรติ , จรยิ า ทฏิ ฐาวกิ มั ม การทําความเหน็ ใหแจง ได ทฏิ ฐบิ าป ความเห็นลามก แกแสดงความเห็นแยง คือภิกษุผูเขา ทฏิ ฐปิ ปต ตะ ผถู งึ ทฏิ ฐิ คอื บรรลสุ มั มา- ประชุมในสงฆบางรูปไมเห็นรวมดวยคํา ทฏิ ฐ,ิ พระอริยบคุ คลต้งั แตโสดาบนั ขน้ึ วินิจฉัยอันสงฆรับรองแลวก็ใหแสดง ไป จนถงึ ผตู ั้งอยใู นอรหัตตมรรค ทเ่ี ปน ความเห็นแยง ได ผูมีปญญินทรียแรงกลา ไมไดสัมผัส ทฏิ ฐิ ความเหน็ , ความเขาใจ, ความเชื่อ วโิ มกข ๘ (เมื่อบรรลุอรหัตตผล กลาย ถอื , ท้งั นี้ มกั มีคําขยายนําหนา เชน เปนปญญาวิมตุ ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ สัมมาทิฏฐิ (ความเหน็ ชอบ) มิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐมิ านะ ทิฏฐิ และมานะ (พึงทราบ (ความเห็นผดิ ) แตถา ทฏิ ฐิ มาคําเดยี ว ความหมายของแตละคํา ซึ่งแสดงไว โดด มกั มนี ัยไมดี หมายถึง ความยดึ ตางหากกัน); แตตามที่ใชกันในภาษา ถือตามความเห็น, ความถอื ม่นั ทีจ่ ะให ไทย ซึง่ นยิ มเขียนเปน “ทฐิ มิ านะ” มี เปนไปตามความเช่ือถือหรือความเห็น ความหมายแบบปนๆ คลมุ ๆ ทิฏฐิ ในท่ี ของตน, การถือยุติเอาความเห็นเปน น้ีหมายถึงความเห็นดื้อดึง ถึงผิดก็ไม ความจรงิ , ความเหน็ ผิด, ความยดึ ตดิ ยอมแกไข และ มานะ คือความถอื ตวั ทฤษฎ;ี ในภาษาไทยมักหมายถึงความ รวม ๒ คาํ เปนทฏิ ฐมิ านะ หมายถึง ถอื ดงึ ด้ือถือรนั้ ในความเหน็ (พจนานกุ รม รนั้ อวดดี หรือดงึ ดอื้ ถือตวั เขียน ทฐิ ิ); (ขอ ๔ ในสังโยชน ๑๐ ตาม ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ วบิ ตั แิ หง ทฏิ ฐ,ิ ความผดิ พลาด นยั พระอภิธรรม, ขอ ๓ ในอนุสัย ๗, แหงความคิดเห็น, ความเห็นคลาด ขอ ๓ ในปปญ จะ ๓) เคลอ่ื นผดิ ธรรมวินยั ทาํ ใหประพฤติตน