โกมารภจั ๓๐ โกสมั พกิ ขันธกะ หนงึ่ ในอดีต; ดู พระพุทธเจา ๕ โกศล๑, โกสัลละ ความฉลาด, ความ โกมารภจั ดู ชีวก เชีย่ วชาญ มี ๓ คือ ๑. อายโกศล ความ โกรัพยะ พระเจา แผนดนิ แควน กุรุ ฉลาดในความเจริญ, รอบรูทางเจริญ โกละ ผลกะเบา และเหตขุ องความเจรญิ ๒. อปายโกศล โกลังโกละ “ผูไปจากตระกูลสูตระกูล” ความฉลาดในทางเสอื่ ม, รอบรทู างเสอ่ื ม หมายถึงพระโสดาบนั ซงึ่ จะตอ งไปเกดิ และเหตขุ องความเส่ือม ๓. อปุ ายโกศล อกี ๒–๓ ภพ แลว จงึ บรรลุพระอรหัต ความฉลาดในอบุ าย, รอบรวู ธิ ีแกไ ขเหตุ โกลติ ะ ชอื่ เดมิ ของพระมหาโมคคลั ลานะ การณแ ละวิธีท่ีจะทําใหส าํ เร็จ ท้ังในการ เรียกตามชอ่ื หมูบานท่เี กิด (โกลติ คาม) ปองกันความเส่ือมและในการสราง เพราะเปนบุตรของตระกูลหัวหนาในหมู ความเจริญ บานน้ัน สมัยเม่ือเขาไปบวชเปน โกศล๒ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ ปริพาชกในสาํ นักของสญชัย ก็ยังใชช อื่ แควน แหงชมพูทวีป โกศลเปนแควนใหญ วา โกลติ ะ ตอมาภายหลังคอื เมื่อบวช มีอํานาจมากในสมัยพุทธกาล กษัตริยผู ในพระพุทธศาสนา จึงเรียกกนั วา โมค- ครองแควนมีพระนามวา พระเจา ปเสนทิ- คลั ลานะ หรือ พระมหาโมคคลั ลานะ โกศล มีนครหลวงชือ่ สาวัตถี บัดน้เี รียก โกลติ ปรพิ าชก พระโมคคลั ลานะเมอ่ื เขา Sahet-Mahet (ลาสุด ร้ือฟนชื่อในภาษา ไปบวชเปนปริพาชกในสํานักของสญชัย สันสกฤตขนึ้ มาใชวา Ïrvasti คอื ศราวั มชี อ่ื เรียกวา โกลติ ปริพาชก สตี) โกลยิ ชนบท แควน โกลิยะ หรือดนิ แดน โกสละ ดู โกศล ของกษตั รยิ โกลยิ วงศ เปนแควนหน่งึ ใน โกสชั ชะ ความเกยี จครา น ชมพูทวปี ครงั้ พทุ ธกาล มนี ครหลวงชอื่ โกสัมพกิ ขันธกะ ชื่อขนั ธกะท่ี ๑๐ (สุด เทวทหะ และ รามคาม บัดน้อี ยใู นเขต ทาย) แหง คัมภีรม หาวรรค วนิ ยั ปฎกวา ประเทศเนปาล ดวยเรื่องของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี โกลิยวงศ ชื่อวงศกษัตริยขางฝายพระ ทะเลาะววิ าทกนั จนเปน เหตใุ หพ ระพทุ ธ- พทุ ธมารดา ที่ครองกรุงเทวทหะ; พระ เจา เสดจ็ ไปจาํ พรรษาในปา รกั ขติ วนั ตาํ บล นางสริ ิมหามายา พุทธมารดา และพระ ปาริไลยกะ ในทสี่ ุด พระภิกษเุ หลานั้น นางพิมพา ชายาของเจาชายสิทธัตถะ ถูกมหาชนบีบคั้นใหตองกลับปรองดอง เปนเจาหญงิ ฝา ยโกลยิ วงศ กัน บังเกดิ สังฆสามัคคีอกี คร้ังหน่ึง
โกสัมพี ๓๑ ขัณฑ โกสัมพี ช่ือนครหลวงของแควนวังสะ โกสยิ วรรค ตอนทวี่ า ดว ยเรอ่ื งขนเจยี มเจอื อยูต อนใตของแมน ้ํายมนุ า บดั นี้เรียกวา ดว ยไหม เปน วรรคที่ ๒ แหง นสิ สคั คยิ - Kosam กัณฑในพระวินยั ปฎก โกสัลละ ดู โกศล๑ โกเสยยะ, โกไสย ผาทําดว ยใยไหม ได โกสิยเทวราช พระอินทร, จอมเทพใน แก ผา ไหม ผา แพร สวรรคช น้ั ดาวดงึ ส เรยี ก ทา วโกสยี บา ง โกฬิวิสะ ดู โสณะ โกฬวิ ิสะ ทา วสักกเทวราช บา ง ข ขจร ฟงุ ไป, ไปในอากาศ บันดาลใหเปนไปอยางนั้นอยางนี้ หรือ ขณิกสมาธิ สมาธชิ ัว่ ขณะ, สมาธขิ ้ันตน ใหส ําเร็จผลท่ีประสงค; ดู เคร่ืองราง พอสําหรับใชในการเลาเรียนทําการงาน ขลุปจ ฉาภัตตกิ ังคะ องคแหงผถู อื หาม ใหไดผ ลดี ใหจ ติ ใจสงบสบายไดพกั ชั่ว ภัตท่ีเขานํามาถวายภายหลงั คอื เม่อื ลง คราว และใชเริ่มปฏบิ ตั ิวปิ สสนาได (ขั้น มือฉันแลวมีผูนําอาหารมาถวายอีกก็ไม ตอไป คอื อุปจารสมาธ)ิ รบั (ขอ ๗ ในธดุ งค ๑๓) ขณิกาปต ิ ความอ่มิ ใจชว่ั ขณะ เม่ือเกิด ของขลัง ดู เคร่ืองราง ข้ึนทําใหรูสึกเสียวแปลบๆ เปนขณะๆ ของตองพิกัด ของเขากําหนดที่จะตอง เหมือนฟา แลบ (ขอ ๒ ในปต ิ ๕) เสียภาษี ขนบ แบบอยางท่ีภิกษุควรประพฤติใน ขอน ในคาํ วา “ขณั ฑข อน” คือ คี่ เชน ๗ กาลนนั้ ๆ ในทนี่ ้ันๆ แกบ ุคคลนน้ั ๆ ขัณฑ ๙ ขณั ฑ ๑๑ ขัณฑ ขนบธรรมเนียม แบบอยา งท่นี ิยมกัน ขอนสิ ยั ดู นสิ ัย ขนาบ กระหนาบ ขอโอกาส ดู โอกาส ขมา ความอดโทษ, การยกโทษให ขัชชภาชกะ ภิกษุผูไดรับสมมติ คือ ขรรค อาวุธมคี ม ๒ ขาง ท่ีกลางทง้ั หนา แตงต้ังจากสงฆ ใหมีหนาท่ีแจกของ เคย้ี ว, เปน ตําแหนง หนึ่งในบรรดา เจา และหลังเปน สนั ดามส้ัน ขราพาธ อาพาธหนกั , ปวยหนกั อธิการแหง อาหาร ขลัง ศักด์ิสิทธ์ิ, มีกําลังอํานาจท่ีอาจ ขัณฑ สว น ทอน หรอื ชิน้ ทีถ่ ูกตดั ทบุ
ขณั ฑสมี า ๓๒ ขนั ธมาร ฉีก ขาด หัก แตก หรือแยกกนั ออกไป, งาม ๒, ขอ ๖ ในบารมี ๑๐) ของทีถ่ ูกตัด ฉกี ขาดเปนสว นๆ เปน ขนั ติสังวร สาํ รวมดวยขันติ (ขอ ๔ ใน ชน้ิ ๆ เปน ทอนๆ; คาํ วา “จวี รมขี ัณฑ ๕” สงั วร ๕) หรือ “จีวรหาขัณฑ” หมายถึงจีวรท่ี ขันธ กอง, พวก, หมวด, หมู ลําตัว; ประกอบข้นึ จากแผนผา ท่ตี ัดแลว ๕ ชนิ้ ; หมวดหนง่ึ ๆ ของรปู ธรรมและนามธรรม ดู จีวร ท้งั หมดทแี่ บงออกเปน ๕ กอง คือ รูป- ขัณฑสีมา สมี าเลก็ ผกู เฉพาะโรงอุโบสถ ขันธ กองรูป เวทนาขันธ กองเวทนา สญั ญาขันธ กองสัญญา สงั ขารขนั ธ ท่ีอยใู นมหาสมี า มสี ีมันตรกิ คั่น ขดั บลั ลงั ก ดู บัลลงั ก กองสงั ขาร วญิ ญาณขนั ธ กองวญิ ญาณ ขัดสมาธิ [ขัด-สะ-หมาด] ทา นัง่ เอาขาขดั เรยี กรวมวา เบญจขนั ธ (ขันธ ๕) กนั อยางคนนง่ั เจริญสมาธิ คอื นง่ั คเู ขา ขันธกะ หมวด, พวก, ตอน หมายถึง ทงั้ สองขา งแบะลงบนพน้ื เอาขาทอ นลา ง เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั พระวนิ ยั และสกิ ขาบท ซอนทับกนั ; ขัดสมาธมิ ี ๓ แบบ คือ นง่ั นอกปาฏิโมกข ท่ีจัดประมวลเขาเปน ขัดสมาธิโดยเอาขาสอดไขวกันทับลงบน หมวดๆ เรียกวา ขันธกะ, ขันธกะ เทาขา งทต่ี รงขาม (อยา งท่นี ิยมนงั่ กันท่วั หนึง่ ๆ วาดว ยเรื่องหน่ึงๆ เชน อุโบสถ- ไป) เรยี กวา ขดั สมาธสิ องชน้ั , น่งั ขดั ขันธกะ หมวดท่ีวาดวยการทําอุโบสถ สมาธิโดยวางขาขวาทับราบบนขาซาย จวี รขันธกะ หมวดที่วา ดวยจวี ร เปน ตน เรียกวา ขดั สมาธริ าบ, น่ังขัดสมาธโิ ดย รวมทงั้ สนิ้ มี ๒๒ ขนั ธกะ (พระวนิ ยั หงายฝาเทาทั้งสองขึ้นวางบนขาขางที่ ปฎกเลม ๔, ๕, ๖, ๗); ดู ไตรปฎ ก ตรงขา ม เรียกวา ขดั สมาธเิ พชร (ทานั่ง ขันธปริตร ดู ปรติ ร ของพระพทุ ธรปู เปน แบบที่ ๒ และ ๓) ขนั ธปญ จก หมวดหา แหงขนั ธ อันไดแก ขัตติยธรรม หลักธรรมสําหรับกษัตริย, รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ (นิยมเรียก ขันธบัญจก); ดู ขันธ ธรรมของพระจาแผนดนิ ขัตติยมหาสาล กษัตรยิ ผูม่ังค่งั ขนั ธมาร ขนั ธ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา ขันติ ความอดทน คอื ทนลําบาก ทน สงั ขาร วญิ ญาณ เปน มาร เพราะเปน ตรากตราํ ทนเจบ็ ใจ, ความหนกั เอาเบา สภาพอนั ปจ จยั ปรงุ แตง ขน้ึ เปน ทต่ี ง้ั แหง สู เพ่ือบรรลจุ ุดหมายท่ีดีงาม (ขอ ๓ ใน ทกุ ข ถกู ปจ จยั ตา งๆ มอี าพาธเปน ตน ฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๑ ในธรรมท่ที าํ ให บีบค้ันเบียดเบียนเปนเหตุขัดขวางหรือ
ขาดสูญ ๓๓ ขชุ ชุตรา รอนโอกาส มใิ หส ามารถทาํ ความดงี ามได เรียกวา ข้ึนวัตร คอื การสมาทานวตั ร เตม็ ที่ หรอื อาจตดั โอกาสนน้ั โดยสน้ิ เชงิ นัน่ เอง ถาขน้ึ ปริวาสพึงกลา วคําในสาํ นัก (ขอ ๒ ในมาร ๕) ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ วา “ปรวิ าสํ สมาทยิ าม”ิ แปล ขาดสญู ดู สูญ วา “ขา พเจา ขน้ึ ปรวิ าส” “วตตฺ ํ สมาทยิ าม”ิ ขาทนยี ะ ของควรเคยี้ ว, ของขบของเคย้ี ว แปลวา “ขาพเจา ขึ้นวตั ร” ถาขึ้นมานตั ไดแกผลไมต า งๆ และเหงา ตา งๆ เชน พงึ กลา ววา “มานตตฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา ขนึ้ มานตั ” หรอื “วตตฺ ํสมาทยิ าม”ิ เผือกมัน เปน ตน ขา วสกุ ในโภชนะ ๕ อยางคือ ขา วสกุ ๑ แปลวา “ขาพเจาขนึ้ วัตร” ขนมสด ๑ ขนมแหง ๑ ปลา ๑ เนอื้ ๑ ขุชชโสภิตะ ชื่อพระเถระองคหน่ึงใน ขาวสุกในที่น้ีหมายถึงธัญญชาติทุกชนิด การกสงฆผทู าํ สงั คายนาครัง้ ท่ี ๒ ทีห่ ุงใหส ุกแลว เชนขาวเจา ขาวเหนยี ว ขุชชุตรา อริยสาวิกาสําคัญทานหนึ่งใน หรอื ท่ีตกแตง เปน ของตางชนดิ เชน ขา ว ฝายอุบาสิกา บางทีเรียกวาเปนอัคร- มัน ขาวผดั เปนตน อุบาสกิ า เนื่องจากพระพทุ ธเจาทรงยก ขิปปาภิญญา รูฉับพลนั ยองวา เปน ตราชูของอบุ าสกิ าบริษทั (คู ขีณาสพ ผูมีอาสวะสิ้นแลว, ผูหมด กับเวฬุกัณฏกีนันทมารดา) ทานเปน กิเลส, พระอรหันต เอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกาที่เปน ขรี ะ นมสด; ดู เบญจโครส พหสู ตู เปนผมู ีปญ ญามาก ไดบรรลุเสข- ข้ึนใจ เจนใจ, จาํ ไดแมน ยาํ ปฏสิ ัมภิทา (ปฏิสมั ภิทาของพระเสขะ), ข้นึ ปาก เจนปาก, คลอ งปาก, วาปาก ตามประวัติท่ีอรรถกถาเลาไว อริย- เปลา ไดอ ยางวอ งไว สาวกิ าทา นน้ี เปน ธดิ าของแมนมในบาน ขึ้นวัตร โวหารเรียกวินัยกรรมเก่ียวกบั ของโฆสติ เศรษฐี (อรรถกถาเรียกเพ้ยี น วุฏฐานวิธีอยางหน่ึง คือเม่ือภิกษุตอง เปนโฆสกเศรษฐี ก็มี) ในเมืองโกสัมพี ครุกาบัติชั้นสงั ฆาทเิ สสแลว อยูปริวาสยัง ไดชอ่ื วา “ขุชชุตรา” เพราะเกดิ มามีหลงั ไมครบเวลาท่ีปกปดอาบัติไวหรือ คอม (เขียนเต็มตามรูปคาํ บาลเี ดมิ เปน ประพฤติมานัตอยูยงั ไมครบ ๖ ราตรี “ขุชฺชุตตฺ รา” ขชุ ฺชา แปลวา คอม ช่อื ของ พักปริวาสหรือมานัตเสียเน่ืองจากมีเหตุ นางแปลเต็มวา อุตราผคู อม) ตอมา เมอ่ื อนั สมควร เมือ่ จะสมาทานวัตรใหมเ พ่ือ นางสามาวดี ธิดาบุญธรรมของโฆสิต- ประพฤติปริวาสหรือมานัตท่ีเหลือน้ัน เศรษฐีไดรับอภิเษกเปนมเหสีของพระ
ขชุ ชตุ รา ๓๔ ขุชชตุ รา เจาอเุ ทนแหง กรงุ โกสมั พี นางขุชชตุ ราก็ ธรรมที่พระพุทธเจาตรัสมาถายทอด ไดไปเปน ผูดูแลรับใช (เปน อปุ ฏฐายกิ า, เหมอื นอยา งท่ีพระองคทรงแสดง ทาํ ให แ ต อ ร ร ถ ก ถ า บ า ง แ ห ง ใ ช คําว า เ ป น พระนางสามาวดีและสตรีที่เปนราช- บริจาริกา) ขชุ ชตุ ราไมคอยจะซอื่ ตรงนกั บริพารเขาใจแจมแจงบรรลุโสดาปตติ- ดังเรอื่ งวา เวลาไปซอ้ื ดอกไม นางเอา ผลทงั้ หมด จากนนั้ พระนางสามาวดีได เงนิ ไป ๘ กหาปณะ แตเ กบ็ เอาไวเสยี ยกขุชชุตราขึ้นพนจากความเปนผูรับใช เอง ๔ กหาปณะ ซื้อจริงเพียง ๔ เ ชิ ด ชู ใ ห มี ฐ า น ะ ดั ง ม า ร ด า แ ล ะ เ ป น กหาปณะ อยูมาวันหน่ึง เจาของราน อาจารยท่ีเคารพ โดยใหมีหนาท่ีไปฟง ดอกไมนิมนตพระพุทธเจาและพระสงฆ พระพุทธเจา แสดงธรรมทกุ วัน แลวนํา ไปฉัน เมื่อขุชชุตราไปท่ีรานจะซื้อ มาเลามาสอนตอ ท่วี ัง เวลาผานไป ตอ มา ดอกไม เจาของรานจึงขอใหรอกอน พระนางสามาวดี ถกู พระนางมาคณั ฑิยา และเชิญใหรวมจัดแจงภัตตาหารถวาย ประทุษรายวางแผนเผาตําหนักส้ินพระ ดวย ขุชชุตราไดรับประทานอาหารเอง ชนมในกองเพลิงพรอมทั้งบริพาร แต และทั้งไดเขาครัวชวยจัดภัตตาหาร แลว พอดีวา ขณะนนั้ ขุชชุตราไปกิจทอ่ี ื่น จงึ ก็เลยไดฟงธรรมท่ีพระพุทธเจาตรัส พนอันตราย ตลอดท้ังหมดจนถงึ อนุโมทนา และได สําเร็จเปน โสดาบนั เม่อื เปนอริยบุคคล พระอรรถกถาจารยก ลา ววา (อติ .ิ อ.๓๔) แลว วันน้ันก็จึงซ้ือดอกไมครบ ๘ พระสูตรทั้งหมดในคัมภีรอิติวุตตกะ กหาปณะ ไดด อกไมไปเต็มกระเชา พระ แหง ขทุ ทกนกิ ายในพระไตรปฎ ก จาํ นวน นางสามาวดีแปลกพระทยั ก็ตรัสถามวา ๑๑๒ สตู ร ไดม าจากอรยิ สาวกิ าขุชชตุ รา ทาํ ไมเงนิ เทา เดมิ แตว นั นัน้ ไดดอกไมม า ทานนี้ กลาวคอื นางขชุ ชุตราไปฟง จาก มากเปน พเิ ศษ ขุชชุตราเปนอรยิ ชนแลว พระพุทธเจาและนํามาถายทอดที่วังแก ก็เลาเปดเผยเร่ืองไปตามตรง พระนาง พระนางสามาวดีพรอมท้ังบริพาร แลว สามาวดีกลับพอพระทยั และพรอมดวย ภิกษุณีท้ังหลายก็รับไปจากอริยสาวิกา สตรที เ่ี ปน ราชบรพิ ารทง้ั หมด พากนั ขอ ขุชชุตรา และตอทอดถึงภิกษุท้ังหลาย ใหข ชุ ชตุ ราถา ยทอดธรรม ขชุ ชตุ ราแมจ ะ (พระพทุ ธเจา ทรงจาํ พรรษาทเี่ มอื งโกสมั พี เปน คนคอ นขา งพกิ าร แตม ปี ญ ญาดมี าก ในปท ี่ ๙ แหง พทุ ธกจิ และเมอื งโกสมั พี (สาํ เร็จปฏสิ ัมภิทาของเสขบุคคล) ไดนาํ อยหู า งจากเมอื งราชคฤห วดั ตรงเปน เสน บรรทดั ๔๐๕ กม. ไมพ บหลกั ฐานวา นาง
ขทุ ทกาปติ ๓๕ โขมะ ขุชชุตรามชี วี ิตอยถู งึ พทุ ธปรนิ พิ พานหรอื ปฏสิ มั ภทิ า และไดรบั พระพทุ ธดาํ รสั ยก ไม) ทงั้ นไ้ี ดร กั ษาไวต ามทน่ี างขชุ ชตุ รานาํ ยองวาเปนเอตทัคคะในดานเปนพหูสูต; มากลา วแสดง ดงั ทค่ี าํ เรมิ่ ตน พระสูตรชดุ ดู ตลุ า, เอตทัคคะ ๑๑๒ สตู รน้ี ก็เปน คาํ ของนางขุชชตุ ราวา ขุททกาปติ ปติเลก็ นอ ย, ความอ่ิมใจ “วตุ ตฺ ํ เหตํ ภควตา วตุ ตฺ มรหตาติ เม สตุ ”ํ อยางนอย เมื่อเกิดขึ้นใหขนชันน้ําตา (แทจ รงิ พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รสั พระ ไหล (ขอ ๑ ในปต ิ ๕) สูตรน้ีไว ขาพเจาไดสดับมาดังที่พระ เขต 1. แดนทก่ี ันไวเปน กาํ หนด เชน นา องคอ รหนั ตต รสั แลว วา …) ซง่ึ พระอานนท ไร ที่ดิน แควน เปนตน 2. ขอ ที่ภกิ ษุ ก็นาํ มากลาวในที่ประชุมสังคายนา ณ ระบถุ งึ เพอื่ การลาสกิ ขา เชน พระพุทธ เมอื งราชคฤห ตามคาํ เดมิ ของนาง (คาํ พระธรรม พระสงฆ เปนตน เร่ิมตนของนางมีเพียงเทานี้ ไมบอก เขนง เขาสัตว, ภาชนะที่ทําดวยเขา สถานทตี่ รสั เพราะเปนพระสูตรซึง่ ทรง เขมา พระเถรีมหาสาวิการูปหนึ่ง ประสตู ิ แสดงทเี่ มืองโกสมั พที งั้ หมด และไมบ อก ในราชตระกูลแหงสาคลนครในมัททรัฐ วาตรัสแกใคร แตในทุกสูตรมีคําตรัส ตอมาไดเปนพระอัครมเหสีของพระเจา เรยี กผฟู ง วา “ภกิ ขฺ เว” บง ชดั วา ตรสั แก พิมพิสาร มีความมัวเมาในรูปสมบัติ ภกิ ษทุ งั้ หลาย คอื คงตรสั ในทปี่ ระชมุ ซง่ึ มี ของตน ไดฟงพระพุทธเจาแสดงพระ ภกิ ษสุ งฆเ ปน สว นใหญ) อันตา งจากพระ ธรรมเทศนาเร่ืองราคะ และการกําจัด สตู รอน่ื ๆ ทค่ี าํ เรม่ิ ตน เปน ของพระอานนท ราคะ พอจบพระธรรมเทศนาก็ไดบ รรลุ เอง ซงึ่ ขนึ้ นาํ วา “เอวมเฺ ม สตุ ํ เอกํ สมยํ พระอรหตั แลวบวชเปนภิกษณุ ี ไดรบั ภควา [บอกสถานที่ เชน ราชคเห วหิ รติ ยกยองวาเปนเอตทัคคะในทางมีปญญา … และระบบุ ุคคลท่เี กยี่ วขอ ง เชน เตน มาก และเปน อัครสาวิกาฝา ยขวา; ดู ตลุ า, โข ปน สมเยน ราชา มาคโธ…] …” เอตทคั คะ (ขาพเจาไดสดับมาอยางน้ีวา สมัยหน่ึง เขฬะ นา้ํ ลาย พระผูมีพระภาคเจาประทับอยูท่ี…โดย เขาท่ี นง่ั เจริญกรรมฐาน เขา รตี เปลย่ี นไปถอื ศาสนาอนื่ (โดยเฉพาะ สมัยน้ันแล [บคุ คลนั้นๆ]…) เร่ืองท่ีกลาวมาน้ี นับวาเปนเกียรติ ศาสนาครสิ ต) , ทาํ พธิ เี ขา ถอื ศาสนาอน่ื คณุ ของอรยิ สาวิกา ซึ่งไดท ําประโยชนไว โขมะ ผา ทาํ ดวยเปลอื กไม ใชเ ปลอื กไม แกพระพุทธศาสนา สมเปนผูทรง ทบุ เอาแตเ สน แลว นาํ เสน นน้ั มาทอเปน ผา
โขมทุสสนิคม ๓๖ คณโภชน โขมทุสสนคิ ม นิคมหนง่ึ ในแควนสกั กะ ค คงคา แมน้าํ ใหญส ายสาํ คัญลําดับที่ ๑ โดยเฉพาะในสังฆกรรม มีกําหนดวา ในมหานที ๕ ของชมพทู วปี และเปน แม สงฆ คอื ชมุ นุมภิกษุต้ังแต ๔ รูปข้ึนไป นํ้าศักด์ิสิทธิ์อันดับท่ี ๑ ในศาสนา คณะ คือชมุ นมุ ภกิ ษุ ๒ หรอื ๓ รปู พราหมณ ซ่ึงศาสนกิ ปรารถนาอยางย่ิงที่ บุคคล คอื ภกิ ษุรปู เดียว; เมอ่ื ใชอยา งทวั่ จะไดไปอาบนํ้าลางบาป อีกทั้งในพิธี ไป แมแ ตใ นพระวนิ ยั “คณะ” มใิ ชหมาย ราชาภิเษกกษัตริยในชมพูทวีป และ ความจําเพาะอยางนี้ เชนในคณโภชน กษตั รยิ แ หงลังกาทวีป ก็ใชน ้าํ ศักดิ์สิทธ์ิ คาํ วา ฉนั เปน คณะ หมายถึง ๔ รูปขึ้นไป ในแมนํ้าคงคาน้ีดวย, แมนํ้าคงคามี คณญัตติกรรม การประกาศใหสงฆ ความยาวประมาณ ๒,๕๑๐ กม. ตามที่ ทราบแทนคณะคือพวกฝายตน ไดแก บันทึกไวในอรรถกถาวา มีตนกําเนิด การท่ีภิกษุรูปหน่ึงในนามแหงภิกษุฝาย จากสระอโนดาต ในแดนหมิ พานต ไหล หนึ่ง สวดประกาศขออนมุ ตั เิ ปนผูแ สดง ไปสูมหาสมทุ ร จากทศิ ตะวนั ตกไปทิศ แทนซึ่งอาบัติของฝายตนและของตน ตะวันออก ผานเมืองสําคัญมากแหง เองดวยติณวตั ถารกวิธี (อกี ฝา ยหนึ่งก็ เชน สังกสั สะ ปยาคะ (เขียนอยา ง พงึ ทาํ เหมือนกันอยางนั้น); เปนข้นั ตอน สนั สกฤตเปน ประยาค ปจ จบุ นั คอื เมอื ง หน่ึงแหงการระงับอธิกรณดวยติณ- Allahabad เปนที่บรรจบของแมน้ํา วตั ถารกวินยั คงคา กบั ยมนุ า) พาราณสี อกุ กาเวลา คณปูรกะ ภิกษุผูเปนที่ครบจํานวนใน (อุกกเจลา ก็วา) ปาตลีบุตร (เมือง คณะนัน้ ๆ เชน สงั ฆกรรมทตี่ อ งมีภิกษุ หลวงของมคธ ยุคหลงั ราชคฤห) จัมปา ๔ รปู หรือยิ่งขน้ึ ไป เปน ผูทาํ ยังขาดอยู (เมืองหลวงของแควนอังคะ) และในท่ี เพียงจํานวนใดจํานวนหน่ึง มีภิกษุอื่น สุดออกทะเลท่ีอาวเบงกอล (Bay of มาสมทบ ทําใหครบองคสงฆในสังฆ- Bengal), ปจจบุ ัน คนทั่วไปรูจกั ในชือ่ กรรมนัน้ ๆ ภิกษุทีม่ าสมทบน้นั เรียกวา ภาษาอังกฤษวา Ganges; ดู มหานที ๕ คณปูรกะ คณะ กลุม คน, หม,ู พวก; ในพระวนิ ัย คณโภชน ฉันเปนหมู คือ ภกิ ษุตง้ั แต ๔
คณะธรรมยุต ๓๗ คติ รูปขึ้นไป รับนิมนตออกช่ือโภชนะแลว (ทาํ นองจะใหต รงกบั คาํ วา Faculty) ฉัน; ในหนังสือวินัยมุข ทรงมีขอ คณิกา หญิงแพศยา, หญิงงามเมอื ง พิจารณาวา บางทีจะหมายถึงการน่ัง คดธี รรม ทางธรรม, คตแิ หงธรรม คดีโลก ทางโลก, คติแหงโลก ลอ มโภชนะฉนั หรือฉนั เขา วง คณะธรรมยุต คณะสงฆท่ีตั้งข้ึนใหม คติ 1. การไป, ทางไป, ความเปน ไป, ทาง เม่ือครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา ดําเนนิ , วธิ ,ี แนวทาง, แบบอยา ง 2. ท่ี เจาอยูหัวทรงผนวชเปนภิกษุในรัชกาลที่ ไปเกิดของสัตว, ภพท่สี ัตวไ ปเกิด, แบบ ๓ (เรยี กวา ธรรมยุตติกา หรือ ธรรม- การดาํ เนินชวี ติ มี ๕ คือ ๑. นิรยะ นรก ยุติกนิกาย กม็ )ี ; สมเดจ็ พระมหาสมณ- ๒. ติรจั ฉานโยนิ กาํ เนิดดิรจั ฉาน ๓. เปตตวิ สิ ยั แดนเปรต ๔. มนษุ ย สตั วม ี เจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงให ใจสงู รคู ดิ เหตผุ ล ๕. เทพ ชาวสวรรค ตง้ั ความหมายวา “พระสงฆออกจาก มหานิกายนัน้ เอง แตไดร ับอปุ สมบทใน แตช นั้ จาตมุ หาราชกิ า ถงึ อกนษิ ฐพรหม; รามญั นกิ ายดว ย” (การคณะสงฆ น. ๑๐) คณะมหานกิ าย คณะสงฆไทยเดมิ ทีส่ ืบ ใชค าํ เรยี กเปน ชดุ วา : นริ ยคติ ติรัจฉาน- มาแตส มยั สุโขทยั , เปนช่ือท่ีใชเรยี กใน คติ เปตคติ มนษุ ยคติ เทวคต,ิ ๓ คติ แรกเปน ทุคติ (ทไ่ี ปเกิดอันชว่ั หรือแบบ เม่ือไดเกิดมีคณะธรรมยุตข้ึนแลว; ดําเนินชวี ติ ท่ีไมด)ี ๒ คตหิ ลงั เปน สคุ ติ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา (ท่ีไปเกิดอันดี หรือแบบดาํ เนนิ ชวี ติ ทดี่ ี) วชิรญาณวโรรส ทรงใหความหมายวา สําหรับทคุ ติ ๓ มีขอสงั เกตวา บางที “พระสงฆอ นั มเี ปน พน้ื เมอื ง [ของประเทศ เรียกวา อบาย หรอื อบายภมู ิ แตอบาย- ไทย – ผเู ขยี น] กอ นเกดิ ธรรมยตุ กิ นกิ าย” ภมู นิ น้ั มี ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย (การคณะสงฆ, น. ๙๐) ดิรจั ฉาน, อรรถกถากลาววา (อุ.อ.๑๔๕; คณาจารย 1. อาจารยของหมูคณะ, อิติ.อ.๑๔๕) การที่มจี าํ นวนไมเทากนั ก็ อาจารยสาํ คัญมชี อื่ เสียง ผูเปน ทีน่ บั ถือ เพราะรวมอสุรกาย เขาในเปตติวิสัย มศี ษิ ยเปนคณะใหญ เชน นคิ รนถนาฏ- ดว ย จึงเปน ทุคติ ๓; ดู อบาย บตุ รเปน คณาจารยผ ูหนงึ่ 2. ในภาษา คติ ๕ นี้ เม่อื จดั เขาใน ภพ ๓ พึง ไทย ไดมีการบัญญัติใชในความหมาย ทราบวา ๔ คตแิ รกเปนกามภพท้งั หมด ใหมวา คณะอาจารย ประดาอาจารย สว นคตทิ ่ี ๕ คอื เทพ มีท้ังกามภพ รูป- หรืออาจารยทั้งหมดของคณะวิชาน้ันๆ ภพ และอรปู ภพ (เทพน้ัน แบง ออกไป
คมิยภตั ๓๘ ครุธรรม เปน ก.เทวดาในสวรรค ๖ ช้นั อยใู น มหาสาวกองคหน่งึ ในอสีติมหาสาวก กามภพ ข.รูปพรหม ๑๖ ช้นั อยูในรูป คยาสีสะ ชอ่ื ตําบล ซ่ึงเปน เนนิ เขาแหง ภพ และ ค.อรปู พรหม ๔ ช้ัน อยูใน หน่งึ ในจังหวดั คยา พระพุทธเจาเทศนา อรปู ภพ); เทยี บ ภพ อาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุสงฆ เมื่อจดั เขาใน ภมู ิ ๔ พึงทราบวา ๔ ปุราณชฎิลท้ังหมดใหสําเร็จพระอรหัตท่ี คตแิ รกเปน กามาวจรภมู ทิ งั้ หมด สว นคติ ตําบลนี้ ท่ี ๕ คอื เทพ มที ง้ั กามาวจรภมู ิ รปู าวจร- ครรภ ทอง, ลกู ในทอ ง, หอ ง ภมู ิ และอรปู าวจรภมู ิ (ทํานองเดยี วกบั ครรโภทร ทอ ง, ทองมลี กู ท่กี ลา วแลวใน ภพ ๓) แตม ีขอ พิเศษวา ครองผา นงุ หม ผา ภมู สิ ูงสดุ คือภูมทิ ี่ ๔ อันไดแ ก โลกุตตร- คราวใหญ คราวท่ีภิกษุอยูมากดวยกัน ภูมิน้ัน แมวาพวกเทพจะอาจเขาถึงได บิณฑบาตไมพอฉนั (ฉันเปน หมูไ ด ไม แตมนุษยคติเปนวิสัยท่ีมีโอกาสลุถึงได ตองอาบตั ิปาจิตตยี ) ดที ่สี ุด; เทียบ ภมู ิ ครุ เสยี งหนกั ไดแ กท ฆี สระ คอื อา, อ,ี อ,ู คมิยภตั ภตั เพอื่ ผไู ป, อาหารท่ีเขาถวาย เอ, โอ และสระท่ีมีพยัญชนะสะกดซ่งึ เฉพาะภิกษุผูจะเดินทางไปอยูที่อ่ืน; เรียกวา สงั โยค เชน พทุ โฺ ธ โลเก อปุ -ฺ คมกิ ภัต กว็ า ปนฺโน; คกู บั ลหุ คยา จังหวัดท่ีพระพุทธเจาเคยเสด็จเม่ือ ครกุ กรรม ดู ครุกรรม ครงั้ โปรดนักบวชชฎลิ และไดท รงแสดง ครุกรรม กรรมหนักทั้งท่ีเปนกุศลและ พระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตรท่ี อกุศล ในฝายกุศลไดแกฌานสมาบัติ ตําบลคยาสีสะในจังหวัดนี้ ปจจุบันตัว ในฝายอกุศล ไดแก อนันตรยิ กรรม เมืองคยาอยูหางจากพุทธคยา สถานท่ี กรรมนี้ใหผลกอนกรรมอ่ืนเหมือนคน ตรัสรขู องพระพทุ ธเจาประมาณ ๗ ไมล อยบู นทส่ี งู เอาวตั ถตุ า งๆ ทงิ้ ลงมาอยา ง คยากสั สป นักบวชชฎิลแหงกัสสปโคตร ไหนหนักทีส่ ุด อยางนน้ั ถงึ พ้ืนกอ น ต้ังอาศรมอยูท่ีตําบลคยาสีสะเปนนอง ครกุ าบตั ิ อาบตั หิ นกั ไดแ ก อาบตั ปิ าราชกิ ชายคนเล็กของอรุ ุเวลกสั สปะ ออกบวช เปนอาบตั ิทีแ่ กไขไมได ภกิ ษุตองแลวจํา ตามพช่ี าย พรอ มดวยชฎลิ ๒๐๐ ทีเ่ ปน ตองสึกเสยี และ อาบตั สิ งั ฆาทิเสส อยู บริวาร ไดฟง พระธรรมเทศนาอาทติ ต- กรรมจงึ จะพนได คูก ับ ลหกุ าบตั ิ ปริยายสูตร บรรลุพระอรหัตและเปน ครุธรรม ธรรมอันหนัก, หลักความ
ครภุ ณั ฑ ๓๙ คหบดี ประพฤติสําหรับนางภิกษุณีจะพึงถือ ควรทาํ ความไมป ระมาท ในท่ี ๔ สถาน; เปนเรื่องสําคัญอันตองปฏิบัติดวยความ ดู อัปปมาท เคารพไมล ะเมดิ ตลอดชวี ติ มี ๘ ประการ ความปรารถนา ของบุคคลในโลกท่ีได คอื ๑. ภกิ ษณุ ีแมบ วชรอ ยพรรษาแลว ก็ สมหมายดว ยยาก ๔ อยา ง; ดู ทลุ ลภธรรม ตองกราบไหวภ กิ ษุแมบ วชวนั เดียว ๒. ควัมปติ ชื่อกุลบุตรผูเปนสหายของพระ ภกิ ษุณีจะอยใู นวดั ทไ่ี มม ีภิกษุไมได ๓. ยสะ เปนบตุ รเศรษฐีเมอื งพาราณสี ได ภิกษุณีตองไปถามวันอุโบสถและเขาไป ทราบขาววายสกุลบุตรออกบวชจึงบวช ฟงโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน ๔. ตามพรอมดวยสหายอีกสามคน คือ ภิกษุณีอยูจําพรรษาแลวตองปวารณาใน วมิ ล สพุ าหุ ปุณณชิ ตอ มาไดสําเร็จพระ สงฆส องฝา ยโดยสถานทัง้ ๓ คือ โดย อรหตั ทั้งหมด ไดเ ห็น โดยไดย นิ โดยรังเกยี จ (รงั เกยี จ ความค้ํา ในประโยควา “เราจักไมทํา หมายถึง ระแวงสงสัยหรือเห็นพฤติ- ความค้ํา ไปในละแวกบา น” เดนิ เอามือ กรรมอะไรที่นาเคลือบแคลง) ๕. คา้ํ บ้นั เอว นง่ั เทาแขน ภิกษุณีตองอาบัติหนัก ตองประพฤติ ความไมประมาท ดู อัปปมาท มานตั ในสงฆส องฝาย (คอื ท้งั ภกิ ษุสงฆ ควํ่าบาตร การท่ีสงฆลงโทษอุบาสกผู และภกิ ษณุ สี งฆ) ๑๕ วัน ๖. ภิกษณุ ี ปรารถนารา ยตอ พระรตั นตรยั โดยประกาศ ตองแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆสองฝาย ใหภิกษุทั้งหลายไมคบดวย คือไมรับ เพ่อื นางสิกขมานา ๗. ภกิ ษณุ ไี มพ ึงดา บณิ ฑบาต ไมร บั นมิ นต ไมร บั ไทยธรรม, ไมพึงบริภาษภิกษุไมวาจะโดยปริยาย บคุ คลตน บญั ญตั ิ คอื วฑั ฒลจิ ฉวี ซง่ึ ถกู ใดๆ ๘. ไมใหภิกษณุ ีวากลา วภิกษแุ ต สงฆค วา่ํ บาตร เพราะโจทพระทพั พมลั ล- ภิกษุวา กลาวภิกษุณีได บตุ ร ดว ยสลี วบิ ตั อิ นั ไมม มี ลู , คาํ เดมิ ตาม ครภุ ัณฑ ของหนกั เชน กฎุ ี ทดี่ นิ เตยี ง บาลวี า “ปต ตนกิ กชุ ชนา”; ดทู ี่ ปกาสนีย- ต่ัง เปน ตน; คูกบั ลหุภัณฑ กรรม, อสมั มขุ ากรณยี ; คูก บั หงายบาตร ครทู ้ัง ๖ ดู ติตถกร คหบดี “ผูเปนใหญในเรือน”, “เจาบา น”, คฤหบดี ดู คหบดี มักหมายถงึ ผูม ีอนั จะกิน, ผูม ่ังค่งั , แต คฤหบดจี วี ร ผา จวี รทีช่ าวบา นถวายพระ บางแหง ในพระวินัย เชน ในสกิ ขาบทที่ คฤหัสถ ผคู รองเรอื น, ชาวบา น ๑๐ แหงจีวรวรรค นิสสัคคยิ ปาจิตตีย คลองธรรม ทางธรรม (วินย.๒/๗๑/๕๙) ทานวา คหบดี (คําบาลี
คหปติกา ๔๐ คันธกุฎี ในทนี่ ้เี ปน “คหปตกิ ะ”) ไดแ ก คนอ่นื ที่ ตอนที่วาดวยประวัติของพระอรหันต- เถระ (เถราปทาน) คอื เมอ่ื กลา วถึงพระ นอกจากราชา อํามาตย และพราหมณ พุทธเจาในอดีต บางทีเรียกที่ประทับ ของพระพุทธเจาในอดีตน้ันวา คันธกุฎี (คือเจาบาน หรือชาวบานทว่ั ไป) (พบ ๔ พระองค คือ พระคันธกุฎีของ คหปติกา “เรือนของคฤหบดี” คือเรอื น พระปทมุ ุตตรพุทธเจา ๑ แหง ๒ คร้งั , อันชาวบา นสรา งถวายเปน กปั ปย กฎุ ;ี ดู ข.ุ อป.๓๒/๑๘/ ๘๕; ของพระติสสพทุ ธเจา ๑ กัปปย ภูมิ แหง ๑ คร้งั , ๓๒/๑๗๒/๒๗๒; ของพระผสุ ส คหปติมหาสาล คฤหบดีผมู ง่ั คัง่ หมาย พทุ ธเจา ๑ แหง ๑ ครงั้ , ๓๓/๑๓๑/๒๒๐; ถงึ คฤหบดผี รู ํ่ารวย มีสมบตั ิมาก ของพระกัสสปพทุ ธเจา ๑ แหง ๒ ครงั้ , คัคคภิกษุ ช่ือภิกษุรูปหน่ึงในครั้ง ๓๓/๑๔๐/๒๕๐) และตอนที่วาดวยประวตั ิ พทุ ธกาล เคยเปนบา และไดตองอาบัติ ของพระอรหันตเถรี (เถรีอปทาน) พบ แหงหน่ึง เรียกที่ประทับของพระพุทธ หลายอยา งในระหวา งเวลานนั้ ภายหลงั เจาพระองคป จจุบนั วา คนั ธเคหะ (ขุ.อป. ๓๓/๑๕๘/๓๐๖) ซึ่งก็ตรงกับคําวาคันธกุฎี หายเปน บา แลว ไดม ผี โู จทวา เธอตอ ง น่ันเอง แตคัมภีรอื่นท่ัวไปในพระไตร- ปฎก ไมมีที่ใดเรียกท่ีประทับของพระ อาบตั นิ นั้ ๆ ในคราวทเ่ี ปน บา ไมร จู บ พระ พุทธเจาในอดตี กต็ าม พระองคป จจบุ นั ก็ตาม วา “คันธกุฎี” (ในพระไตรปฎก พทุ ธองคจ งึ ไดท รงมพี ทุ ธานญุ าตใหร ะงบั แปลภาษาไทยบางฉบับ ตอนวาดวย อธกิ รณด ว ย อมฬู หวนิ ยั เปน ครง้ั แรก คาถาของพระเถระ คอื เถรคาถา มีคาํ วา คณโฺ ฑ โรคฝ “คันธกฎุ ี” ๒-๓ ครัง้ พึงทราบวาเปน คนั ถะ 1. กเิ ลสท่รี อยรัดมัดใจสตั วใ หต ดิ เพยี งคาํ แปลตามอรรถกถา ไมใชคําบาลี อยู 2. ตาํ รา, คัมภรี เดิมในพระไตรปฎ กบาล)ี คันถธุระ ธุระฝายคัมภีร, ธรุ ะคอื การ เรียนพระคมั ภีร, การศกึ ษาปริยัตธิ รรม, ในพระไตรปฎกโดยทั่วไป แมแ ตใ น พระสูตรท้ังหลาย (ไมตองพูดถึงพระ เปนคาํ ที่ใชในชั้นอรรถกถาลงมา (ไมมี อภิธรรมปฎก ซ่ึงตามปกติไมกลาวถึง ในพระไตรปฎก); เทียบ วปิ ส สนาธุระ, ดู บุคคลและสถานท่ี) ทานกลาวถึงที่ คามวาสี, อรญั วาสี คนั ถรจนาจารย อาจารยผ แู ตง คัมภีร คันธกุฎี พระกุฎีที่ประทับของพระพุทธ เจา, เปน คําเรยี กทใ่ี ชทวั่ ไปในคมั ภีรช น้ั อรรถกถาลงมา แตใ นพระไตรปฎ ก พบ ใชเฉพาะในคมั ภีรอปทาน เพียง ๖ ครั้ง
คนั ธกฎุ ี ๔๑ คนั ธกุฎี ประทับของพระพุทธเจาเพียงแคอางอิง จรรโลงศรัทธาโดยอิงเรื่องวัตถอุ ลังการ สน้ั ๆ วา พระองคท รงแสดงธรรมครงั้ และยา้ํ การบําเพ็ญทาน นอกจากใชค ําวา นั้นเมือ่ ประทบั อยู ณ ท่ใี ด เชน วา เม่อื คันธกุฎีเปนสามัญแลว (พบคําน้ีใน ประทับที่พระเชตวนั อารามของอนาถ- คมั ภีรตางๆ ประมาณ ๕๖๐ คร้งั ) ยังได บิณฑิก เมืองสาวัตถี, ที่พระเวฬุวัน บรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับพระคนั ธกฎุ ไี ว สถานที่พระราชทานเหยื่อแกกระแต มากมาย เชน เลา เรอ่ื งวา ผมู ที รพั ยค น เมืองราชคฤห, ท่ีภูเขาคิชฌกูฏ เมือง หนึ่งไดสรางพระคันธกุฎีถวายแดพระ ราชคฤห, ทีโ่ ฆสิตาราม เมอื งโกสัมพ,ี ที่ วิปส สพี ทุ ธเจา เปน อาคารทงี่ ามสงา อยา ง กูฏาคารศาลา ปามหาวนั เมอื งเวสาล,ี ยง่ิ เสา อฐิ ฝา บานหนา ตา ง เปน ตน ทีน่ โิ ครธาราม เมืองกบลิ พสั ดุ แควน แพรวพราวดวยรัตนะทั้ง ๗ มีสระ ศากยะ ดังน้ีเปนตน นอยนักจะระบุ โบกขรณี ๓ สระ ฯลฯ แลว มาเกดิ ใน อาคารทป่ี ระทบั (ดงั เชน “กเรรกิ ุฎี” ได พทุ ธกาลนี้ เปน เศรษฐชี อ่ื วา โชตกิ ะ อกี ถกู ระบุชอ่ื ไวครงั้ หนึง่ ในคราวประทับที่ เรื่องหน่ึงวา คนรักษาพระคันธกุฎีของ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก พระสิทธัตถะอดีตพุทธเจา ทําการอบ เมืองสาวัตถี, ที.ม.๑๐/๑/๑) แมว าในบาง พระคนั ธกฎุ ใี หห อมตามกาลเวลาทเ่ี หมาะ พระสูตรจะเลาเหตุการณท่ีดําเนินไป แลว ไมเ กดิ ในทคุ ตเิ ลย กอ นจะมาจบกจิ ระหวางการแสดงธรรมที่เปนเรื่องยาว พระศาสนาในพุทธกาลนี้ และอีกเร่ือง ซ่ึงมีการเสด็จเขาไปทรงพักในท่ีประทับ หนง่ึ วา บรุ ษุ หนง่ึ เกดิ ในสมยั พระกสั สป ทานก็เลาเพียงส้ันๆ วา “เสด็จเขาสูพระ พุทธเจา ไดฟงธรรมของพระองคแลว วหิ าร” “เสดจ็ ออกจากพระวหิ าร” “เสดจ็ เลอ่ื มใส นาํ เอาของหอมทง้ั สชี่ าตมิ าไลท า ประทบั ณ อาสนะท่ีจัดไวในรมเงาพระ พระคนั ธกฎุ เี ดอื นละ ๘ วนั จากนนั้ เกดิ ที่ วิหาร” เปนตน และคําวา “วิหาร” นแี่ หละ ใด กม็ กี ลน่ิ กายหอม จนกระทงั่ มาสาํ เรจ็ ที่อรรถกถาไขความวาเปน “คันธกุฎี” อรหตั ตผลในพทุ ธกาลนี้ ตอ มากม็ คี มั ภรี (เชน วา “วหิ ารนตฺ ิ คนธฺ กุฏ”ึ , องฺ.อ.๓/๖๔; ช้ันฎีกาแสดงความหมายของ “คนั ธกฎุ ”ี “เอกวหิ าเรติ เอกคนธฺ กฏุ ยิ ํ”, อ.ุ อ.๓๓๓) วาเปน “กฎุ ีซ่งึ อบดว ยของหอม ๔ ชาต”ิ (ที.อภ.ิ ฏ.ี ๑/๒๕๒; ของหอม ๔ ชาติ ไดแ ก คมั ภรี รุน หลังในพระไตรปฎก ท่มี ใิ ช จนั ทนแดง ดอกไมแ ควนโยนก กฤษณา พุทธพจน ดังเชน เถราปทาน และคมั ภรี และกํายาน หรอื บางตําราวา ดอกไม ช้นั อรรถกถาลงมา มีลักษณะที่เนนการ
คนั ธกุฎี ๔๒ คนั ธกุฎี แควน โยนก กฤษณา กาํ ยาน และพมิ เสน; กฎุ ี โกสมั พกฎุ ี คนั ธกฎุ ี และสลฬาคาร ดอกไมแ ควน โยนก คอื “ยวนะ” มัก ใน ๔ หลังน้ี พระเจา ปเสนทิโกศลทรง แปลกนั วา กานพลู) สรา งสลฬาคาร สว นอีก ๓ หลงั นอกน้ัน อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐเี ปน ผสู รา ง; กเรรกิ ฎุ ี คันธกุฎี ที่ประทับของพระพุทธเจา ไดช ่ืออยางนนั้ เพราะมีกเรรมิ ณฑป คอื พระองคปจจุบนั ที่กลาวถงึ ในอรรถกถา และคมั ภรี รนุ ตอ มาท้ังหลาย โดยทัว่ ไป มณฑปทส่ี รา งดวยไมก มุ นํ้า ตง้ั อยดู า น หมายถึงพระคันธกุฎีท่ีอนาถปณฑิก- เศรษฐสี รางถวาย ทีว่ ดั พระเชตวัน ใน หนา ประตู และไมไกลจากกเรริมณฑป นครสาวตั ถี ซึ่งเปนวัดทพี่ ระพทุ ธเจา ประทับบาํ เพ็ญพุทธกิจยาวนานท่ีสดุ ถงึ นั้น มีศาลานั่งพกั หรอื หอน่ัง เรียกวา ๑๙ พรรษา เปน ท่ีตรสั พระสตู ร และ บัญญตั พิ ระวินยั สว นใหญ เฉพาะอยา ง “กเรริมัณฑลมาฬ” กเรริมณฑปตั้งอยู ย่ิง สิกขาบทที่เปนสวนเฉพาะของพระ ระหวางศาลานงั่ น้ี กับพระคนั ธกุฎ,ี มี ภิกษุณีแทบทั้งหมดทรงบัญญัติเมื่อ เร่ืองมาในหลายพระสูตรวา ภิกษุท้ัง ประทับที่น่ี (ในคัมภรี ป ริวาร ทา นนับ สิกขาบทที่บญั ญัตไิ วใ นวนิ ัยท้งั สอง คือ หลายมาน่ังสนทนาธรรมกันที่ศาลานั่งน้ี ทั้งของภิกษุสงฆ และของภิกษุณีสงฆ รวมทีไ่ มซ า้ํ กนั มี ๓๕๐ สิกขาบท ทรง (และทม่ี ณั ฑลมาฬแหง อน่ื ๆ ซง่ึ กม็ ใี นวดั บญั ญตั ิ ณ พระนคร ๗ แหง แยกเปน ท่ีสาวตั ถี ๒๙๔ สกิ ขาบท ที่ราชคฤห ท่ีเมอื งอนื่ ๆ ดว ย) ถามีขอยังสงสยั บางที ๒๑ สิกขาบท ทเ่ี วสาลี ๑๐ สิกขาบท ท่ี โกสัมพี ๘ สิกขาบท ทีเ่ มอื งอาฬวี ๖ กพ็ ากนั ไปเฝา กราบทลู ถาม หรือบางคร้ัง สกิ ขาบท ในสกั กชนบท ๘ สกิ ขาบท ใน ภคั คชนบท ๓ สกิ ขาบท, วินย.๘/๑๐๑๖-๘/ พระพุทธเจาก็เสด็จมาทรงสนทนากับ ๓๖๐-๑; ทเี่ มอื งสาวตั ถีนั้น แทบไมม ที อี่ น่ื ภิกษุเหลาน้ันที่นั่น, สวนโกสัมพกุฎีท่ี นอกจากทพ่ี ระเชตวนั ) ไดช่ืออยางนั้น เพราะมีตนโกสุมพอยู ในวดั พระเชตวันนั้น อรรถกถาเลา วา ทางหนา ประตู (ตน “โกสมุ พ” ในที่นี้ มเี รอื นใหญ (มหาเคหะ) ๔ หลงั คอื กเรร-ิ แปลเลยี นศพั ท เพราะแปลกนั ไปตา งๆ วา ตนสะครอ บา ง ตน เลบ็ เหยีย่ วบาง ตน คาํ บา ง ตน มะกอกบาง แมแตคําทเี่ ขยี น ก็เปน โกสมพฺ บา ง โกสมุ ฺพ บา ง โกสมุ ฺภ บา ง ไมเ ปนทยี่ ตุ )ิ , หลงั ท่ี๔คอื สลฬาคาร เปน อาคารทสี่ รา งดว ยไม “สลฬ” ซงึ่ แปล กนั วา ไมส น แตต ามฎกี า, ที.ฏี.๒/๑ อธิบาย วาสรางดวยไมเทพทาโร (“เทวทารุ” - ไม “ฟน เทวดา”)
คนั ธกฎุ ี ๔๓ คันธกฎุ ี พระคันธกฎุ ที ีว่ ดั พระเชตวนั น้ี บางที แตบางครั้งก็กลาวถึงพระคันธกุฎีในวัด เรียกวา พระมหาคันธกุฎี ท่เี รียกเชน นี้ ใหญอยางท่ีพระเชตวันนี้ โดยมีคํา เพราะมีความสาํ คัญเปน พเิ ศษ นอกจาก ประกอบเชนวา “อันแมนเทพวิมาน” เปนพระกุฎีท่ีประทับยาวนานท่ีสุดและ อยางไรก็ตาม พระพุทธเจาเสด็จจาริก คงจะใหญหรือเปนหลักเปนฐานมากท่ี ทรงบําเพ็ญพทุ ธกิจไปทว่ั จงึ ประทับใน สดุ แลว กเ็ ปน การใหห มายรแู ยกตา งจาก ท่ตี า งๆ ทง้ั บานนอกและในเมอื ง ทง้ั ใน เรอื นหลงั อน่ื ในพระเชตวนั ทก่ี ลาวขาง ถิ่นชุมชนและในไพรสณฑปาเขา ตลอด ตน ดวย เพราะกเรริกุฎีและสลฬาคาร จนถ่ินกนั ดาร บางแหงประทับยาวนาน นั้น บางทีก็เรียกเปนพระคันธกุฎีดวย ถึงจําพรรษา บางแหงประทับช่ัวเสร็จ เมอื่ พระพทุ ธเจา เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน พทุ ธกจิ เฉพาะ ดวยเหตุนี้ เมื่ออรรถกถา มีพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระท่ี เรียกท่ีประทับของพระพุทธเจาวาพระ เมืองกุสนิ าราแลว และพระอรหันตเถระ คนั ธกุฎี ในท่สี ุด กก็ ลายเปน วามพี ระ ทั้งหลายนัดหมายกันวาจะไปประชุม คันธกุฎีมากมาย ท้ังที่เดนชัดและท่ีไม สงั คายนาที่เมอื งราชคฤห โดยตางกเ็ ดิน ชดั เจน เทาทพ่ี บ นอกจากพระคนั ธกุฎี ทางไปสทู ห่ี มายเดียวกันน้นั พระอานนท หลักท่ีพระเชตวันแลว คัมภรี ช้นั อรรถ- พุทธอุปฏฐาก ไดไปแวะที่เมืองสาวัตถี กถาลงมา กลา วถงึ พระคนั ธกฎุ ี ในทอ่ี น่ื ๆ เพ่ือเก็บกวาดจัดพระคันธกุฎีที่วัดพระ พอจะนับครั้งได (จํานวนครั้งตอไปนี้ เชตวัน (เชน วนิ ย.อ.๑/๙; ที.อ.๑/๗) อนั เปน ไมถอื เปน เดด็ ขาด เพราะวา ในกรณีที่ บริโภคเจดีย ท่ีประจักษเดน ชัดเจนแก ตางคัมภีรกลาวทั้งเรื่องและขอความซํ้า พุทธบริษทั ทง้ั ปวง ใหเ ปน พุทธคณุ านุ- ตรงกัน อาจจะไมน ับเสียบา ง) คอื ที่ สรณสถาน อันสถติ ดงั ครง้ั เม่ือพระบรม พระเวฬุวนั เมอื งราชคฤห (พบ ๑๐ ครั้ง) ศาสดายงั ดาํ รงพระชนมอยู เสรจ็ แลวจึง ที่กูฏาคารศาลา ปามหาวนั ใกลเมือง เดินทางสูเมอื งราชคฤหต อไป เวสาลี (๗ ครง้ั ) ทบ่ี พุ พาราม เมอื งสาวตั ถี (๓ ครงั้ ) ทน่ี โิ ครธาราม เมืองกบลิ พัสดุ ดงั ทก่ี ลา วแลว วา คมั ภรี ช นั้ อรรถกถา (๓ คร้งั ) ท่เี มทฬปุ นคิ ม แควนศากยะ ลงมา ไดพ รรณนาพระคันธกฎุ ีของพระ (๓ ครงั้ ) ทปี่ าวารกิ มั พวนั เมอื งนาลนั ทา พทุ ธเจาในอดีตอยางอลังการ แมว าจะมิ (๓ คร้ัง) ทช่ี วี กัมพวัน เมืองราชคฤห ไดบรรยายเรื่องพระคันธกุฎีของพระ (๒ ครั้ง) ที่เอกนาฬา หมบู า นพราหมณ พุทธเจาพระองคปจจุบันมากอยางน้ัน
คนั ธกฎุ ี ๔๔ คนั ธกุฎี ในทักขิณาคีรีชนบท บนเสนทางจาก คร้ัง) ในปา ขทริ วัน ลึกเขาไปบนเสน ทาง ราชคฤหสูสาวัตถี (๒ คร้ัง) ที่ตําบล สูขุนเขาหิมาลัย หางจากเมืองสาวัตถี อุรุเวลา บนฝงแมน้ําเนรญั ชรา เมอ่ื แรก โดยทางลัดแตก ันดารมาก ๓๐ โยชน ตรัสรู (๑ ครงั้ ) ทีภ่ เู ขาคิชฌกูฏ เมือง หรือทางดี ๖๐ โยชน (ทานวา เปน พระ ราชคฤห (๑ คร้งั ) ที่ภเู ขาอสิ ิคลิ ิ เมือง คันธกุฎีท่ีพระขทิรวนิยเรวตะนิรมิตข้ึน, ราชคฤห (๑ ครง้ั ) ที่ตโปทาราม เมือง ๓ ครั้ง) และที่สนุ าปรนั ตชนบท ถิ่นของ ราชคฤห (๑ ครง้ั ) ท่ีภเู ขาใกลห มบู า น พระปณุ ณะ หา งจากสาวตั ถี ๓๐๐ โยชน อนั ธกวินท ซงึ่ อยูหา งจากเมอื งราชคฤห (พระคนั ธกุฎแี หง น้มี ชี ่ือดว ยวา “จนั ทน- ๓ คาวุต (๑ ครั้ง) ทจี่ ัมปานคร แควน มาฬา” เพราะสรางดว ยไมจนั ทนแ ดง, ๑ องั คะ ซง่ึ ขน้ึ ตอ มคธ (๑ ครงั้ ) ทไ่ี พรสณฑ ครงั้ , เรยี กเปน มณฑลมาฬ ๒ ครง้ั ) ทางทิศตะวันตกนอกเมืองเวสาลี (๑ คร้ัง) ที่คิญชกาวัสถ ในญาติกคาม นาสังเกตวา คัมภีรทั้งหลายไมก ลาว แควน วชั ชี (บางทเี รยี กวา นาตกิ คาม, ๑ ถึงพระคันธกุฎีท่ีปาอิสิปตนมฤคทายวัน คร้งั ) ทโ่ี ฆสิตาราม เมืองโกสมั พี (๑ ในที่ใดเลย (พบแตในหนังสือช้ันหลัง ครัง้ , ท่ีโกสมั พี ไมระบทุ ่อี กี ๑ คร้งั ) ท่ี มาก ซึ่งอยูนอกสายพระไตรปฎก แตง จนุ ทอมั พวนั เมอื งปาวา (๑ ครัง้ ) ท่ี เปนภาษาบาลี ในลงั กาทวปี เปน ตาํ นาน เมอื งกสุ นิ ารา (๑ คร้ัง) ทส่ี ภุ ควัน ใกล พระนลาฏธาตุ ช่ือวา “ธาตวุ ํส” เลา เปน เมอื งอกุ กัฏฐา แควน โกศล (๑ คร้งั ) ที่ เรอ่ื งราววา เมอ่ื พระพุทธเจา ยงั ทรงพระ อจิ ฉานงั คลคาม แควนโกศล (๑ คร้ัง), ชนมอ ยู ไดเ สดจ็ ไปลงั กาทวปี และหลงั ที่กลาวมาน้ันเปนถิ่นแดนในเขตแควนที่ พุทธปรินิพพาน มีพระเถระนําพระ พอจะคนุ แตใ นถ่ินแดนไกลออกไปหรอื นลาฏธาตุไปตั้งบูชาที่พระคันธกุฎีในวัด ท่ไี มค นุ กม็ บี าง ไดแ ก ที่เมืองอยชุ ฌา สําคัญท้ังหลายแหงชมพูทวีป รวมทั้งท่ี บนฝง แมน ํ้าคงคา (เรียกอยา งสนั สกฤต อสิ ิปตนมฤคทายวันดวย กอนจะนําไป วาอโยธยา, ยังกําหนดไมไดแนชัดวา ประดิษฐานในลงั กาทวปี แต “ธาตุวํส” ปจจุบันคือที่ใด แตนาจะมิใชอโยธยา น้ัน ทั้งไมปรากฏนามผูแตงและกาล เดียวกับที่สันนิษฐานกันวาตรงกับเมือง เวลาที่แตง เร่ืองราวท่ีเลา กไ็ มมหี ลักฐาน สาเกต, ๑ ครง้ั ) ที่กมั มาสทัมมนคิ ม ท่ีจะอา งอิงได) ในแงห นงึ่ อาจจะถือวา แควน กรุ ุ (กมั มาสธัมมนิคม ก็เรียก, ๒ เมอื่ ครง้ั พระพทุ ธเจา เสดจ็ ไปโปรดเบญจ- วคั คียน ัน้ เปนพรรษาแรกแหง พุทธกิจ
คนั ธกุฎี ๔๕ คนั ธกฎุ ี ยังไมมีพุทธานุญาตเรือนหรืออาคารเปน ประทับท่ีโคนไมอชปาลนโิ ครธ ใกลฝ ง ทพี่ ักอาศยั (ตอมาอีก ๓ เดือนหลังจาก แมนํ้าเนรญั ชรา (ทีน่ ่ีเกิดพระสตู รที่ตรสั กอน เสด็จออกจากปาอิสิปตนะมาจนถึงเมือง ราชคฤห เม่ือพระเจาพิมพิสารถวาย เสด็จจาริกไปยังอิสิปตนะ รวมทั้งที่ตรัสที่โคนตน พระเวฬุวนั จึงมพี ทุ ธานุญาต “อาราม” คือวัด แกภิกษุท้ังหลาย, วินย.๔/๖๓/๗๑ มจุ ลินท ๑ สูตรดวย เปน ประมาณ ๑๕ สตู ร เชน และตอจากน้ัน ระหวางประทับอยูที่ เมืองราชคฤห เมื่อราชคหกเศรษฐี ส.ํ ส.๑๕/๔๑๙/๑๕๑) อรรถกถาเลา เรอ่ื งตอน เลื่อมใส ขอสรางที่อยูอาศัยถวายแก นี้ กบ็ อกวา “เสด็จออกจากพระคนั ธกุฎี” ภกิ ษุท้งั หลาย จึงทรงอนุญาต “วิหาร” แลว มาประทบั นั่งทน่ี น่ั (สํ.อ.๑/๑๓๘/๑๖๒) คือเรือนหรืออาคารที่อยูอาศัย เปน ถาถือความหมายโดยนัยอยางน้ี ก็ เสนาสนะอยางหน่ึงใน ๕ อยา งสาํ หรับ สามารถกลาววา มพี ระคันธกฎุ ีทปี่ ระทบั พระภกิ ษุ, วนิ ย.๗/๒๐๐/๘๖ แลว ตอจากน้ี ในคราวโปรดเบญจวคั คยี ท อี่ สิ ปิ ตนะ ใน จึงมีเรื่องราวของอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่ พรรษาแรกแหง พทุ ธกจิ ดว ยเชน กนั แต สรางวัดทีเดียวเต็มรูปแบบข้ึนเปนแหง บงั เอญิ วา อรรถกถาไมไ ดก ลา วถงึ , ยง่ิ กวา แรก ซึ่งเปนทั้งอารามและมีวิหารพรอม น้ัน หลังจากเสด็จจาริกไปประกาศพระ คือวดั พระเชตวัน ทีเ่ มอื งสาวัตถ,ี วนิ ย.๗/ ศาสนาในทต่ี า งๆ แลว ตอ มาพระพทุ ธเจา ๒๕๖/๑๑๑) ตามเหตุผลนี้ ก็อาจถือวา เมือ่ ก็ไดเสด็จยอนมาประทับท่ีอิสิปตนะนี้ ประทับทีอ่ สิ ิปตนะ ครงั้ นัน้ ยงั ไมมีวหิ าร อีกบา ง ดงั ทใี่ นพระวินัย ก็มีสกิ ขาบทซึง่ ทจี่ ะเรยี กวาเปนพระคันธกุฎี แตใ นแงน ้ี ทรงบัญญัตทิ ี่อิสปิ ตนะน้ี ๓ ขอ (วินย.๕/ กม็ ีขอแยง ได ดงั ที่กลาวแลววา ในที่สดุ ๑๑/๑๙, ๕๘/๖๙, ๑๕๒/๒๐๖) และในพระสตู ร คัมภีรทั้งหลายไดใชคําวา “คันธกุฎี” ก็มีสูตรที่ตรัสท่ีนี่ ไมน บั ทต่ี รสั แกเ บญจ- เพียงในความหมายหลวมๆ คอื ไมว า วคั คยี อกี ประมาณ ๘ สูตร (เชน ม.อ.ุ ๑๔/ พระพุทธเจา ประทับทไ่ี หน ถงึ แมในพระ ไตรปฎกจะไมกลาวถึงวิหาร ทานก็ ๖๙๘/๔๔๙; ส.ํ ส.๑๕/๔๒๔/๑๕๒; สํ.ม.๑๙/๑๖๒๕/ เรียกเปน พระคนั ธกฎุ ที ั้งน้นั เชน เม่ือ ประทบั ที่ตําบลอุรุเวลา ตอนตรสั รูใหมๆ ๕๑๒; ไมน บั สตู รทพ่ี ระสาวก โดยเฉพาะพระสารบี ตุ ร (“ปมาภิสมฺพทุ ฺโธ”) ในพระไตรปฎกวา แสดง อกี หลายสตู ร) นอกจากนี้ อรรถกถายงั เลา เรอื่ งทนี่ ายนนั ทยิ ะ คหบดีบุตร มี ศรัทธาสรางศาลาถวาย ณ มหาวหิ ารท่ี อสิ ปิ ตนะนอ้ี กี ดว ย (ธ.อ.๖/๑๕๖) แสดงวา ในคราวทเี่ สดจ็ มาประทบั ภายหลงั นี้ ไดม ี วดั เปน มหาวหิ ารเกดิ ขนึ้ ทอี่ สิ ปิ ตนะ และ
คนั ธกุฎี ๔๖ คันธกฎุ ี เม่ือมีมหาวิหาร ก็ถือไดแนนอนตาม ลังกาทวีป มายังพุทธคยาในประเทศ อรรถกถานยั วา มพี ระคนั ธกฎุ ี อินเดีย โดยไดปฏิญาณวา จะอุทิศชีวติ ท้ังหมดของตน ในการกูพุทธสถานท่ี ปจจุบันนี้ พระคันธกุฎีอันเปน พุทธคยาใหคืนกลับมาเปนทซ่ี ึ่งพระสงฆ โบราณสถานท่ีรูจักกันและพุทธศาสนิก- ในพระพุทธศาสนาจะไดรับอนุญาตให ชนนยิ มไปนมัสการมี ๓ แหง คอื ทีภ่ ูเขา เขา ไปอยูได และเมื่อกลับไปยงั ลังกาใน คิชฌกฏู ทส่ี ารนาถ (คอื ทอี่ สิ ิปตนะ) และ เดือนพฤษภาคม ปน ัน้ (1891) กไ็ ดต ั้ง ท่ีพระเชตวัน อีกท้ังไดมีคําศัพทใหม มหาโพธิสมาคม (Maha Bodhi เกดิ ขน้ึ คอื คําวา “มูลคันธกฎุ ี” (พระ Society) ข้ึนท่ีกรุงโคลัมโบ (เมือง คนั ธกฎุ ีเดิม) ซึง่ มกั ใชเรียกพระคนั ธกฎุ ี หลวงของประเทศศรีลงั กาเวลาน้ัน) เมอื่ ท่ีสารนาถ แตก็พบวามีผูใชเรียกพระ วนั ที่ ๓๑ พ.ค. เพือ่ ดาํ เนนิ การตามวตั ถุ คนั ธกฎุ อี ีกสองแหง ดว ย ประสงคนี้ (ตอมา ตน ป 1892 ไดยา ย สํานักงานมาตั้งท่ีเมืองกัลกัตตา ใน แทจ รงิ นนั้ คาํ วา “มลู คนั ธกฎุ ”ี ไมม ใี น อนิ เดยี จนถงึ ป 1915 จงึ ไดจ ดทะเบยี น คัมภีรภาษาบาลีใดๆ แตเปนคาํ ใหมซ ึ่ง เปน Maha Bodhi Society of India เพิ่งพบและนํามาใชเมื่อเริ่มมีการฟนฟู และถึงบัดน้ีมีสาขามากแหง) ระหวา ง พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ในศตวรรษที่ ที่งานกูพุทธคยาซ่ึงมีอุปสรรคมาก ติด ผา นมานี้ ทัง้ น้ี มเี รือ่ งเปน มาวา หลงั จาก คางลาชาอยู อนาคาริกธรรมปาละก็ พระพุทธศาสนาสิ้นสลายไปจากชมพู- ดาํ เนนิ งานฟน พทุ ธสถานทสี่ ารนาถ (คอื ที่ ท วี ป เ ม่ื อ ป ร ะ ม า ณ พ . ศ . ๑ ๗ ๔ ๐ ปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวัน) ไปดว ย งาน (มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาทั้งหลาย มี สําคัญมากอยางหน่ึง คือการสรางวัด นาลันทามหาวหิ าร เปนตน ถกู เผาถูก “มลู คนั ธกุฏวี ิหาร” (Mulagandhakuti ทําลายหมดสนิ้ ในราว ค.ศ.1200 แตป ท ี่ Vihara) กําหนดไดชัดคือ ราชวงศเสนะถูกกอง ทัพมุสลิมเตอรกจากตางแดนยึดเมือง การสรางวัดมูลคันธกุฏีวิหารนั้น มี หลวงไดใ น ค.ศ. 1202 คอื พ.ศ.๑๗๔๕) เรื่องสืบเนื่องมาวา ในการขุดคนทาง หลงั จากน้ัน เวลาผา นมา ๗๐๐ ปเศษ ถงึ โบราณคดีท่ีสารนาถ ไดพบซากพุทธ ป ค.ศ.1891/พ.ศ.๒๔๓๔ ในเดือน สถานหนึ่ง ซ่ึงสันนิษฐานวาสรางข้ึนใน มกราคม อนาคารกิ ธรรมปาละ (ชอ่ื เดมิ วา สมยั คปุ ตะ (ราชวงศค ปุ ตะ ประมาณ ค.ศ. David Hevavitarne) ไดเ ดนิ ทางจาก
คนั ธกฎุ ี ๔๗ คันธกฎุ ี 320–550/พ.ศ.๘๖๓–๑๐๙๓, คงจะสรา ง Committee” ซง่ึ ประกอบดว ยกรรมการ ซอ นทบั ตรงทเ่ี ดมิ ซง่ึ ผพุ งั ไปตามกาลเวลา ฝา ยฮินดู และฝายพุทธ ฝายละเทากัน) ต อ กั น ม า ตั้ ง แ ต ส มั ย พ ร ะ เ จ า อ โ ศ ก มหาราชหรอื กอ นนน้ั ) เพอ่ื เปนอนุสรณ รวมความวา ดังไดกลาวแลว ถงึ แม ตรงที่ประทับของพระพุทธเจาเมื่อคร้ัง คมั ภรี ท งั้ หลายจะไมก ลา วถึง “คนั ธกฎุ ี” ทรงจําพรรษาที่น่ันในปแรกของพุทธกิจ ทอ่ี สิ ปิ ตนะ แตก พ็ ูดไดวามพี ระคันธกุฎี อยใู กลกนั กับซากธรรมราชิกสถปู และ ที่น่นั ดวยเหตุผล ๒ ประการ คอื หน่งึ ณ ท่นี ้ัน ไดพ บแผนจารึกท่มี ีขอความ เรียกตามความหมายหลวมๆ ที่วา พระ บอกช่ือดว ยวา “มลู คนั ธกฏุ ”ี อนาคารกิ พทุ ธเจา เคยประทับคา งแรมทีใ่ ด ก็เรียก ธรรมปาละจึงคิดสรางวัดข้ึนท่ีน่ัน (ได ที่นน่ั วาเปน พระคันธกุฎี สอง หลงั จาก ซื้อที่ดินในที่ใกลเคียง มีพิธีวางศิลา บําเพญ็ พุทธกจิ ระยะหนึ่งแลว ไดเ สดจ็ ฤกษในวันท่ี ๓ พ.ย. ๒๔๖๕ ตอมาถูก มาประทบั ทอี่ สิ ปิ ตนะอีก มวี ดั ใหญเกดิ ทางการส่ังระงับ ตองยายท่ีเลื่อนหาง ขึ้นท่ีน่ันและไดตรัสพระสูตรหลายสูตร ออกไป แลวสรา งจนเสรจ็ ทําพธิ เี ปด ใน วนั เพ็ญเดอื น ๑๒ ตรงกบั วนั ท่ี ๑๑ พ.ย. สวนคาํ วา “มลู คนั ธกฎุ ี” ถงึ แมจ ะไมม มี า ๒๔๗๔) และโดยถอื นมิ ิตจากคาํ ในแผน เดิมในคัมภีร แตก ็ไดเ กิดขนึ้ นานแลว จารกึ นน้ั จึงต้ังชอ่ื วา วัดมูลคนั ธกุฏีวิหาร เพื่อใชเรียกพระคันธกุฎีที่ปาอิสิปตน- เปนวัดแรกของยุคปจจุบันท่ีสรางขึ้นใน เขตสังเวชนียสถาน (สวนท่ีพุทธคยา มฤคทายวนั นี้ ในฐานะเปนทีป่ ระทบั จาํ งานกูพุทธสถานยังคงดําเนินตอมาแม พรรษาแรกแหงพุทธกิจ ถือไดวาเปน หลังจากอนาคาริกธรรมปาละไดสิ้นชีวิต โบราณมติอันหนึ่ง ซ่งึ มุง ใหความสําคญั ไปแลวใน พ.ศ.๒๔๗๖ เพิง่ สําเรจ็ ข้ัน แกพุทธสถานท่ีเปนจุดเร่ิมตนแหงการ ตอนสาํ คญั ในป ๒๔๙๒ เม่อื รัฐบาลรัฐ ประกาศพระศาสนา พหิ ารออกรฐั บญั ญตั ิ “Buddha-Gaya Temple Act” ใน ค.ศ.1949 ซึง่ ทงั้ นี้ ถากลา วเพยี งตามความหมาย กาํ หนดใหก จิ การของมหาโพธิสถาน ข้นึ ของศพั ท อาจถอื ทปี่ ระทบั หลายแหง เปน ตอ คณะกรรมการจดั การ - “Buddha มลู คนั ธกุฎีไดโดยนยั ตา งๆ คือ พระคันธ- Gaya Temple Management กุฎีซง่ึ อรรถกถากลา วถงึ ทตี่ าํ บลอรุ เุ วลา เม่ือตรัสรูใหมๆ (สํ.อ.๑/๑๓๘/๑๖๒) เปน แหงแรกแนนอน จึงเปนมูลคันธกุฎี, แตท ่ีอรุ ุเวลาน้นั ประทบั ไมน านและยัง มิไดออกบําเพ็ญพุทธกิจ ดังนั้น พระ
คนั ธาระ ๔๘ คนั โพง คันธกุฎีท่ีอิสิปตนะหรือสารนาถ ท่ี ใหญ มีชอื่ เฉพาะตวั แตเม่ือถงึ ยุคอรรถ- ประทับเมื่อออกประกาศพระศาสนาครั้ง กถา คันธาระมักปรากฏชอื่ รวมอยูด ว ย แรกและจําพรรษาเปนแหงแรก แม กันกับแควนกัสมีระ โดยเรียกช่ือรวม คัมภีรจะมิไดกลาวเรียกไว ก็เปนมูล- กันวา แควนกัสมีรคนั ธาระ (ในพระ คันธกุฎี, แตถานับตอเม่ือมีการสราง ไตรปฎก กัสมรี ะยงั ไมมชี ่ือปรากฏ) ซ่งึ เสนาสนะถวายไดต ามพระวนิ ยั กต็ อ งถอื แสดงวาดินแดนท้ังสองน้ีอยูขางเคียง วาวิหารตามพระพุทธานุญาตท่ีเมือง ติดตอกันและในยุคน้ันเปนอันเดียวกัน ราชคฤห (วินย.๗/๒๐๐/๘๖) เปน มลู คนั ธ- ทางการเมือง ตอมา คันธาระถกู ทําลาย กุฎี, แตถาถือตามหลักฐานท่ีชัดเจน แมแ ตช อื่ กเ็ ลอื นหายไป เหลอื แตก ศั มรี ะ หลังจากมีพุทธานุญาตท่ีเมืองราชคฤห (ปจ จุบันเขียน กศั มรี , รปู สนั สกฤตเดมิ นั้นแลว มกี ารจดั เตรยี มการและกอ สรา ง เปน กศฺมีร, บาลเี ปน กสฺมีร, ในภาษา อยา งเปน งานเปน การโดยมเี รอ่ื งราวเลา ไว ไทย บางทีเรียกเพ้ียนเปนแคชเมียร) แมแ ตใ นพระไตรปฎ ก (วนิ ย.๗/๒๕๖/๑๑๑) ซึ่งในปจจุบันปรากฏช่ือรวมอยูดวยกัน ก็ตองถือเอาพระพุทธวิหารที่วัดพระ กับแควนชัมมู โดยเรียกชื่อรวมกันวา เชตวัน เปนมูลคนั ธกุฎี ชัมมูและกัศมีร (Jammu and คนั ธาระ ชอ่ื แควน ลาํ ดบั ท่ี ๑๕ ในบรรดา Kashmir) และเปน ดนิ แดนท่เี ปนกรณี ๑๖ แวน แควน ใหญ ทเ่ี รยี กวา มหาชนบท พิพาทระหวางอินเดียกับปากีสถาน แหง ชมพทู วปี ตง้ั อยแู ถบลมุ แมนา้ํ สินธุ ตลอดมาต้ังแตประเทศท้ังสองนั้นแบง ตอนเหนอื ปจ จุบนั อยใู นเขตปากสี ถาน แยกจากกันในป ๒๔๙๐ (ค.ศ.1947) เรม่ิ แตแ ควนปญ จาบภาคเหนือ คลมุ ไป กับท้ังจีนก็ไดครอบครองแถบตะวัน ถึงบางสวนของประเทศอัฟกานิสถาน ออกบางสว นของกศั มรี ะ เกิดเปนกรณี รวมท้ังเมืองกันทหาร (Kandahar, พพิ าทกบั อินเดยี ดวย, สาํ หรับดนิ แดน สันนิษฐานวาเลือนมาจากชื่อเดิมของ สวนที่เปนของอินเดีย ซึ่งอยูใตสวนท่ี แควน นี้ คอื Gandhara) ในพทุ ธกาล พพิ าทกันอยนู ้ัน เรียกวา รฐั ชัมมูและ คันธาระมีนครหลวงชื่อ ตกั สิลา ซึ่งเปน กัศมรี เปน รฐั เหนอื สดุ ของอินเดีย มี นครท่ีรุงเรืองดวยศิลปวิทยาตางๆ มี เมอื งหลวงช่อื วาศรีนคร (Sri Nagar); ดู พระราชาปกครอง พระนามวา ปกุ กสุ าติ ชมพูทวีป, ตักสลิ า ในพระไตรปฎก คันธาระเปนแควน คนั โพง คนั ชง่ั ท่ีถวงภาชนะสําหรบั ตักนํ้า
คัพภเสยยกสัตว ๔๙ คามวาสี เพื่อชวยทุนแรงเวลาตักน้ําข้ึนจากบอ การเทศนม หาเวสสนั ดรชาดกทเ่ี ปน คาถา ลึกๆ (คนั = คันช่ังที่ใชถวง, โพง = ลวนๆ อยา งน้เี รียกวา เทศนคาถาพัน ภาชนะสาํ หรับตักน้าํ ในบอ ลึกๆ), เครื่อง คาถาพนั ธ ขอ ความทผ่ี กู เปน คาถา, คาํ สําหรับตกั นา้ํ หรอื โพงนํา้ มีคันยาวท่ี ประพันธท่ีแตงเปนบทรอยกรอง คือ ปลายเพื่อถวงใหเบาแรงเวลาตักหรือ คาถา นน่ั เอง; ดู คาถา 1. โพงนํา้ ขึน้ (โพง = ตัก, วิด) คาพยตุ ดู คาวุต คพั ภเสยยกสตั ว สัตวทอี่ ยูครรภ คอื คามเขต เขตบา น, ละแวกบา น สัตวท เ่ี กิดเปนตวั ตัง้ แตอ ยใู นครรภ คามวาสี “ผูอยบู าน”, พระบา น หมายถงึ คมั ภีร 1. ลกึ ซ้ึง 2. ตําราทน่ี บั ถือวา พระภกิ ษุทีอ่ ยวู ัดในเขตหมบู าน ใกลชุม สาํ คัญหรอื เปนของสูง, หนังสือสําคัญที่ ชนชาวบาน หรือในเมือง, เปนคูกับ ถือเปน หลักเปน แบบแผน เชน คมั ภรี อรัญวาสี หรือพระปา ซ่งึ หมายถึงพระ ศาสนา คัมภีรโ หราศาสตร ภิกษุที่อยูวัดในปา; คําทั้งสอง คือ คมั ภรี ภาพ ความลึกซ้ึง คามวาสี และอรัญวาสี นี้ ไมมีในพระ คากรอง เครื่องปกปดรางกายที่ทําดวย ไตรปฎก (ในคัมภีรมิลินทปญหา หญา หรือเปลือกไม ประมาณ พ.ศ.๕๐๐ กย็ งั ไมมี) เพง่ิ มใี ช คาถา 1. คาํ ประพนั ธป ระเภทรอ ยกรองใน ในอรรถกถา (กอ น พ.ศ.๑๐๐๐) แตเ ปน ภาษาบาลี ตรงขา มกบั จณุ ณิยบท ถอ ยคาํ สามญั หมายถึงใครกไ็ ด ตั้งแต คาถาหนึง่ ๆ มี ๔ บาท เชน พระสงฆ ไปจนถึงสิงสาราสัตว (มกั ใช อาโรคยฺ ปรมาลาภา สนตฺ ุฏีปรมํ ธนํ แกชาวบานท่ัวไป) ที่อยูบาน อยูใกล วสิ สฺ าสปรมา าติ นิพพฺ านํ ปรมํ สขุ ํ ฯ บาน หรืออยใู นปา , การแบงพระสงฆ 2. พุทธพจนท ่เี ปน คาถา (ขอ ๔ ใน เปน ๒ ฝาย คอื คามวาสี และอรัญวาสี นวังคสัตถศุ าสน) เทยี บไวยากรณ2. 3. ใน เกิดขึ้นในลังกาทวปี และปรากฏชดั เจน ภาษาไทย บางทีใชใ นความหมายวา คํา ในรัชกาลพระเจาปรักกมพาหุ ที่ ๑ เสกเปา ทถ่ี ือวาศกั ดิส์ ทิ ธิ์ อยา งที่เรียกวา มหาราช (พ.ศ.๑๖๙๖–๑๗๒๙) ตอ มา เมอื่ คาถาอาคม พอขุนรามคาํ แหงมหาราชแหง อาณาจักร คาถาพนั “คาถาหนง่ึ พนั ” เปน ชอ่ื หนง่ึ ทใ่ี ช สโุ ขทัย ทรงรับพระพุทธศาสนาและพระ เรียกบทประพันธเร่ืองมหาเวสสันดร- สงฆล งั กาวงศ อนั สบื เนือ่ งจากสมัยพระ ชาดก ซงึ่ แตง เปน คาถาลว นๆ ๑ พนั บท; เจา ปรักกมพาหนุ ี้เขา มาในชวงใกล พ.ศ.
คามสมี า ๕๐ คิลานปจจัย ๑๘๒๐ ระบบพระสงฆ ๒ แบบ คอื คาหาปกะ ผใู หรับ คือผูแ จก คามวาสี และอรัญวาสี กม็ าจากศรีลังกา คํารบ ครบ, ถว น, เตม็ ตามจํานวนท่ี เขา สปู ระเทศไทยดว ย, พรอมกบั ความ กําหนดไว เปนมาอยางนี้ พระคามวาสีก็ไดเปนผู คาํ ไวยากรณ คาํ รอ ยแกว ; ดู ไวยากรณ 2. หนักในคันถธุระ (ธุระในการเลาเรียน คชิ ฌกูฏ “[ภูเขา]มยี อดดุจแรง”, ช่อื ภเู ขา พระคัมภีร) และพระอรัญวาสีเปนผู ลูกหน่ึงในเบญจคีรี (ภูเขาหาลูก คือ หนักในวปิ สสนาธรุ ะ (ธุระในการเจริญ ปณ ฑวะ คชิ ฌกฏู เวภาระ อสิ คิ ลิ ิ และ กรรมฐานอันมีวิปส สนาเปน ยอด), เรอื่ ง เวปุลละ ที่ลอมรอบพระนครราชคฤห) น้ี พึงทราบคําอธิบายเพิ่มท่ีคําวา ซึง่ ไดช อื่ อยา งนี้ เพราะคนมองเห็นยอด “อรญั วาส”ี ; คกู บั อรัญวาส,ี ดู คันถธรุ ะ เขานัน้ มีรูปรา งเหมอื นแรง (อกี นัยหนึ่ง คามสีมา “แดนบา น” คือเขตที่กําหนด วา เพราะมีแรงอยูบ นยอดเขานั้น), ยอด ดว ยบาน, สมี าทถี่ อื กาํ หนดตามเขตบาน เขาคิชฌกูฏเปนที่ซ่ึงพุทธศาสนิกชนรูจกั เปนอพทั ธสมี าอยางหนึ่ง กันมากแมในบัดนี้ เพราะเปนท่ีท่ีพระ คารวโวหาร ถอ ยคาํ แสดงความเคารพ พทุ ธเจาประทบั บอย และยงั มซี ากพระ คารวะ ความเคารพ, ความเออื้ เฟอ , ความ คนั ธกุฎี ที่ผจู าริกมักขึน้ ไปสกั การะบูชา ใสใ จมองเหน็ ความสาํ คญั ทจ่ี ะตอ งปฏบิ ัติ คมิ หะ, คิมหานะ, คมิ หฤดู ฤดูรอน ตอ ส่ิงนั้นๆ ใหถกู ตอ งเหมาะสม มี ๖ (แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๔ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่า อยา งคือ ๑. พุทธฺ คารวตา ความเคารพ เดอื น ๘); ดู มาตรา ในพระพุทธเจา ๒. ธมมฺ คารวตา ความ คิริพพชะ “[เมือง]ที่มีภูเขาเปนคอก”, เคารพในพระธรรม ๓. สงฺฆคารวตา เปนช่ือหน่ึงของเมืองราชคฤห ซ่งึ เรยี ก ความเคารพในพระสงฆ ๔. สกิ ขฺ าคารวตา ตามลักษณะทอ่ี ยใู นวงลอมของภเู ขา ๕ ความเคารพในการศึกษา ๕. อปปฺ มาท- ลกู คอื ปณ ฑวะ คชิ ฌกฏู เวภาระ อสิ คิ ลิ ิ คารวตา ความเคารพในความไมป ระมาท และเวปุลละ ๖. ปฏิสนฺถารคารวตา ความเคารพใน คิลานปจจัย ปจจยั สาํ หรบั คนไข, สิ่งเกอ้ื ปฏสิ นั ถาร คอื การตอ นรบั ปราศรยั หนนุ คนเจบ็ ไข, ส่ิงทแ่ี กไ ขคนเจ็บไขให คาวุต ชอื่ มาตราวัดระยะทาง เทากบั ๘๐ กลับคืนเปนปกติคือใหหายโรค, ยา อุสภะ หรือ ๑๐๐ เสน (๔ คาวุตเปน ๑ บําบดั โรค; ใน ปจ จยั ปจ จเวกขณ (การ โยชน); ดู มาตรา พจิ ารณาปจจยั ๔) ใชค าํ เตม็ วา “คิลาน-
คิลานภัต ๕๑ คูถภกั ขา ปจจัยเภสัชชบริขาร” คอื (คลิ าน+ คีเวยยกะ แผนผาท่ีเย็บทาบเตมิ ลงไปบน ปจ จยั +เภสชั ช) + บรขิ าร แปลวา หยกู ยา จวี รตรงทหี่ มุ คอ, นว้ี าตามคาํ อธิบายใน เครื่องเก้ือหนุนรักษาผูเจ็บไข อันเปน อรรถกถา แตพ ระมตขิ องสมเดจ็ พระมหา บริขาร คือเคร่ืองปกปองชีวิตไวชวย สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ใน ปรับเสรมิ ใหชีวติ เปนไปไดย ืนยาว วนิ ยั มขุ เลม ๒ วา ในจวี รหา ขณั ฑๆ คิลานภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุ กลาง ชอ่ื คเี วยยกะ เพราะเมอื่ หม จวี ร อาพาธ อฑั ฒมณฑลของขณั ฑน น้ั อยทู คี่ อ; ดู จวี ร คลิ านเภสัช ยาสาํ หรับผูเจบ็ ไข, ยารกั ษา คบื พระสุคต ชอื่ มาตราวดั ตามอรรถ- ผปู ว ย, เภสชั เพ่ือภกิ ษุอาพาธ กถานยั วา เทา กบั ๓ คบื ของคนปานกลาง คลิ านศาลา โรงพกั คนไข, หอรกั ษาคนไข, คอื เทา กบั ศอกคบื ชา งไม แตม ตนิ ไี้ มส ม สถานพยาบาล จริง ปจ จบุ ันยุตกิ ันวาใหถ ือตามไมเมตร คิลานปุ ฐาก ผปู ฏิบตั ิภกิ ษไุ ข คือ เทา กับ ๒๕ เซนตเิ มตร ประมาณ คิลานุปฏฐากภัต อาหารที่เขาถวาย กันกับคืบชางไม ซ่ึงเปนการสะดวก เฉพาะภิกษุผูพยาบาลไข และถาหากจะส้ันกวาขนาดจริงก็ไมเสีย คหิ นิ ี หญงิ ผูค รองเรอื น, คฤหัสถห ญงิ เพราะจะไมเกนิ กาํ หนด ไมเ สยี ทางวนิ ยั (เขยี นเปน คิหณิ ี ก็ม)ี คณุ ของพระรัตนตรัย คณุ ของรัตนะ ๓ คิหปิ ฏบิ ัติ ขอปฏิบตั ิสําหรับคฤหสั ถ คือ ๑. พระพทุ ธเจา รดู ีรชู อบดวยพระ คหิ วิ นิ ยั วินยั ของคฤหสั ถ, คาํ สอนทง้ั องคเองกอนแลวทรงสอนผูอื่นใหรูตาม หมดในสงิ คาลกสตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๗๒/๑๙๔, ดว ย ๒. พระธรรม เปน หลกั แหง ความ สคิ าโลวาทสตู ร กเ็ รยี ก) ทีพ่ ระพุทธเจาตรสั จริงและความดีงาม ยอมรักษาผูปฏบิ ัติ แกน ายสงิ คาลกะ คหบดบี ตุ ร ผกู าํ ลงั ไหว ตามไมใหตกไปในที่ชั่ว ๓. พระสงฆ ทิศ บนทางเสด็จจะเขาไปบิณฑบาตใน ปฏิบัติชอบตามคําสอนของพระพทุ ธเจา เมืองราชคฤห ชอ่ื วา เปน คิหิวนิ ยั มใี จ แลว สอนผอู น่ื ใหก ระทาํ ตามดว ย ความวาใหละเวนความช่ัว ๑๔ อยาง คณุ ธรรม ธรรมทเ่ี ปนคุณ, ความดีงาม, (กรรมกเิ ลส ๔, อคติ ๔, อบายมขุ ๖) สภาพทเ่ี ก้อื กลู แลว เปน ผปู กแผท ศิ ทง้ั ๖ (เวน หา งมติ ร คณุ บท บททแ่ี สดงคณุ , บททก่ี ลาวถงึ เทยี ม ๔, คบหามติ รแท ๔, จดั สรรทรพั ย คุณงามความด,ี คาํ แสดงคณุ สมบัติ เปน โภควภิ าค ๔, บาํ รงุ ทศิ ๖) คูถภักขา มีคูถเปนอาหาร ไดแกสัตว
คูบ ลั ลงั ก ๕๒ ; จาํ พวก ไก สุกร สนุ ขั เปน ตน ปลกุ ใจใหป สาทะ เกดิ ความชน่ื บาน มนั่ คูบัลลงั ก ดู บลั ลังก แนว เขม แขง็ มกี าํ ลงั ทาํ ใหจ ติ มสี ตแิ ละ เครื่องกัณฑ ส่ิงของสําหรับถวายพระ สมาธทิ จี่ ะทาํ การนนั้ ๆ อยา งไดผ ลดเี ตม็ ท่ี เทศน; กัณฑเทศน ก็เรยี ก และใจสวาง ใชปญญาคิดการไดโปรง เครือ่ งตน เครอื่ งทรงสําหรบั กษัตริย, สิง่ โลง ทําการไดลรุ อดและลุลว งสําเรจ็ ถึง ของทีพ่ ระเจา แผนดนิ ทรงใชและเสวย จดุ หมาย ถา ใชถ กู ตอ งอยา งน้ี กจ็ ะไมผ ดิ เครื่องราง ของท่ีนับถือวาเปน เคร่ืองคมุ หลกั กรรม ไมข ัดตอ ศรทั ธาในกรรม คือ ครองปองกันอันตราย โดยทําใหรอด เช่ือการกระทํา วาจะตองทําเหตุปจจัย ปลอดภยั เชน พระเครอ่ื ง ตะกรดุ ผา ยนั ต ใหเกิดผลที่ตองการดวยเร่ียวแรงความ มกั เชอ่ื กนั ในทางรนุ แรง เชน วา ยิงไม เพียรพยายามของตน และจะเกดิ ผลดี ออก ฟน ไมเขา เปน ตน, นิยมพดู รวม ทงั้ ระยะสน้ั และระยะยาว แตถ า ไมร จู กั ใช กบั คาํ “ของขลัง” (ของท่ีเช่ือกันวาศักดิ์ คือใชผิดหลักกรรม ขัดตอศรัทธาใน สิทธิ์มีอํานาจบันดาลใหสําเร็จผลดัง กรรม ก็จะเกิดความเส่ือมทั้งแกชีวิต ประสงค เชน นาํ โชคลาภมาให) ควบคกู นั และสงั คม; ดู ปรติ ร วา เครอ่ื งรางของขลงั ; เมอ่ื ประมาณ เคลือบแฝง อาการชักใหเปนที่สงสัย, ๒๐–๓๐ ป หลงั พ.ศ.๒๕๐๐ ไดมผี ูคดิ แสดงความจริงไมกระจางทําใหเปนที่ คําใหมขน้ึ มาใชว า วตั ถุมงคล และนิยม สงสัย ใชตามกันท่ัวไป จนบัดน้ีเหมือนวาได เคหสถาน ที่ตง้ั เหยา เรอื น แทนทีค่ ําวา เคร่อื งรางของขลงั แมว า คํา เคหสิตเปมะ ความรกั อนั อาศัยเรอื น ได “วัตถุมงคล” จะแปลความหมายได แกรักกันโดยฉันเปนคนเนื่องถึงกัน กวา งกวา วา ส่ิงทเี่ ปนสิรมิ งคล หรอื สิง่ ที่ เปนญาติกัน เปน คนรวมเรอื นเดยี วกนั นําสิริมงคลคือความดีงามความสุข ความรักฉันพอ แมลูกและญาตพิ ่ีนอ ง ความเจริญมาให แตคนท่ัวไปมักเห็น เคารพ ความนับถอื , ความมคี ารวะ ความหมายอยางเคร่ืองรางของขลังเทา เคาะ ในประโยควา “เหมอื นชายหนุมพูด เดมิ ; สาํ หรบั พทุ ธศาสนกิ ชน การนบั ถอื เคาะหญิงสาว” พดู ใหร ทู า พระเครอ่ื ง คอื เปน หลกั ยดึ เหนยี่ ว ทสี่ อื่ เคาะแคะ พดู แทะโลม, พดู เกย้ี ว ใจโยงใหส นทิ แนว ในพระพทุ ธคณุ มาจน แคชเมียร ช่ือแควนหนึ่งของชมพูทวีป ถงึ คณุ มารดาบดิ าอปุ ช ฌายอ าจารย และ เรียกเพี้ยนมาจาก “กัศมีร” ; ดู กัศมีร,
โคจร ๕๓ โคธาวรี คนั ธาระ ทางทิศใตของเมืองเวสาลี เปนที่ท่ีพระ โคจร “ทโ่ี คเทยี่ วไป”, “เทย่ี วไปดงั โค”; 1. พุทธเจาเคยประทับหลายคร้ังและเคย ทซ่ี งึ่ อนิ ทรยี ท ง้ั หลาย มตี าเปน ตน ทอ ง ทรงทาํ นิมติ ตโอภาสแกพ ระอานนท เทยี่ วไป ไดแ ก อารมณ (กรรมฐาน บาง โคตมโคตร ตระกูลโคตมะ เปนชื่อ ครงั้ กเ็ รยี กวา “โคจร” เพราะเปน อารมณ ตระกูลของพระพทุ ธเจา ของการเจรญิ ภาวนา) 2. สถานทที่ เ่ี ทย่ี ว โคตมนิโครธ ตําบลท่ีพระพทุ ธเจาเคยทํา ไปเสมอ หรอื ไปเปน ประจาํ เชน ท่ภี กิ ษุ นมิ ติ ตโอภาสแกพ ระอานนท อยูท่ีพระ ไปเที่ยวบิณฑบาต, บุคคลหรือสถานที่ท่ี นครราชคฤห ไปมาหาสู; เทียบ อโคจร 3. เทย่ี วไป, แวะ โคตมี ชื่อเรยี กสตรแี หงโคตมโคตร เชน เวยี นไป, ดาํ เนนิ ไปตามวถิ ี เชน ดวงดาว พระนางมหาปชาบดี ผูเปนพระแมนา โคจร; การดาํ เนนิ ไปในวถิ แี หง การปฏบิ ตั ิ ของพระสทิ ธตั ถะ เปนตน เชน ในการเจรญิ สมาธิ ซงึ่ จะกา วไปดว ย โคตร ตระกลู , เผาพันธุ, วงศ ดีได ตองมีสติสัมปชัญญะท่ีจะใหรูจัก โคตรภู ผูตั้งอยูในญาณซึ่งเปนลําดับทจ่ี ะ หลกี เวน ธรรมทไ่ี มเ หมาะไมเ ออื้ และเสพ ถึงอริยมรรค, ผูอยูในหัวตอระหวาง ธรรมอนั เออ้ื เกอ้ื กลู เปน ตน ความเปน ปถุ ชุ นกบั ความเปน อรยิ บคุ คล โคจรคาม หมบู า นทอ่ี าศยั เทยี่ วภกิ ขาจาร, โคตรภูญาณ “ญาณครอบโคตร” คือ หมบู านที่ภิกษไุ ปเท่ียวบณิ ฑบาตประจํา ปญญาที่อยูในลําดับจะถึงอริยมรรค โคจรวบิ ตั ิ วบิ ตั แิ หงโคจร, เสียในเร่ืองที่ หรืออยูในหัวตอที่จะขามพน ภาวะปุถุชน เที่ยว, ความเสียหายในการไปมาหาสู ขนึ้ สภู าวะเปน อริยะ; ดู ญาณ ๑๖ เชน ภิกษไุ ปในทีอ่ โคจรมรี านสุรา หญงิ โคตรภูสงฆ พระสงฆท่ีไมเครงครัด แพศยา แมห มา ย บอ นการพนนั เปน ตน ปฏิบตั ิเหินหา งธรรมวนิ ยั แตยงั มีเคร่อื ง โคจรคั คาหกิ รปู ดทู ี่ รปู ๒๘ หมายเพศ เชน ผาเหลืองเปน ตน และ โคณกะ ผาขน มีขนยาวกวา ๔ นวิ้ ถือตนวายังเปนภิกษุสงฆอยู, สงฆใน โคดม, โคตมะ ช่ือตระกูลของพระ ระยะหัวตอ จะส้นิ ศาสนา พุทธเจา มหาชนเรยี กพระพุทธเจา ตาม โคธาวรี ชือ่ แมนา้ํ สายหนึง่ ระหวางเมอื ง พระโคตรวา พระโคดม พระโคตมะ อัสสกะกบั เมืองอาฬกะ พราหมณพ าวรี หรอื พระสมณโคดม ต้ังอาศรมสอนไตรเพทอยูที่ฝงแมนํ้า โคตมกเจดีย ชือ่ เจดยี สถานแหงหนึ่งอยู สายนี้ (มกั เพยี้ นเปน โคธาวารี ในฝา ย
โคนสิ าทกิ า ๕๔ ฆานสมั ผัส สันสกฤตเขยี นเปน โคทาวรี) ๒/๒๑๘ วา หมายรวมถงึ เย่ียวววั ข้ีแพะ โคนิสาทิกา “กัปปยภูมิอันดุจเปนที่โค ตลอดจนข้มี าดว ย ก็มี) จอ ม” คือเรือนครวั นอยๆ ท่ไี มไ ดปก เสา โครส “รสแหง โค หรอื รสเกิดแตโค” คอื ตั้งอยูกบั ท่ี ต้ังฝาบนคาน ยกเลอื่ นไป ผลผลติ จากนมโค ซง่ึ มี ๕ อยา ง ไดแ ก จากทไ่ี ด; ดู กัปปยภูมิ นมสด (ขรี ะ) นมสม (ทธิ) เปรยี ง (ตกั กะ) โคมัย “สงิ่ ทสี่ ําเร็จโดยโค, สงิ่ ทโ่ี คทํา หรือ เนยใส (สปั ป) เนยขน (นวนีตะ) เรยี ก รวมวา เบญจโครส ส่งิ ทีเ่ กดิ จากโค”, ข้วี วั (บางแหง เชน อง.ฺ อ. ฆ ฆฏิการพรหม พระพรหมผูนําสมณ- ๒. ทมะ ความฝก ฝนปรบั ปรงุ ตน เชน รู บรขิ ารมบี าตรและจวี ร เปน ตน มาถวาย จกั ขม ใจ ควบคมุ อารมณ บงั คบั ตนเอง แดพระโพธิสัตวเม่ือคราวเสด็จออก ปรบั ตวั เขา กบั การงานและสง่ิ แวดลอ มให พรรพชา (มติของพระอรรถกถาจารย) ไดดี ๓. ขันติ ความอดทน ๔. จาคะ ฆนะ กอน, แทง ความเสียสละ เผือ่ แผ แบงปน มีนา้ํ ใจ ฆนสัญญา ความสําคัญวาเปนกอน, ฆราวาสวสิ ยั วิสยั ของฆราวาส, ลักษณะ ความสําคัญเห็นเปนชิ้นเปนอัน ซ่ึงบัง ท่ีเปนภาวะของผูครองเรือน, เร่ืองของ ปญ ญาไมใหเหน็ ภาวะที่เปน อนตั ตา ชาวบาน ฆนโิ ตทนะ กษัตริยศ ากยวงศ เปนพระ ฆราวาสสมบัติ วิสัยของฆราวาส, ราชบุตรองคท่ี ๕ ของพระเจาสีหหนุ ลักษณะที่เปนภาวะของผูครองเรือน, เปนพระอนุชาองคที่ ๔ ของพระเจา เรือ่ งของชาวบา น สทุ โธทนะ เปน พระเจา อาของพระพทุ ธเจา ฆานะ จมูก ฆราวาส การอยูครองเรือน, ชีวิตชาว ฆานวิญญาณ ความรูที่เกิดข้ึนเพราะ บาน; ในภาษาไทย มักใชหมายถึงผู กลิ่นกระทบจมูก, กลน่ิ กระทบจมกู เกิด ครองเรอื น คอื คฤหสั ถ ความรูขึน้ , ความรกู ลิน่ (ขอ ๓ ใน ฆราวาสธรรม หลกั ธรรมสาํ หรบั การครอง วญิ ญาณ ๖) เรอื น, ธรรมของผคู รองเรอื น มี ๔ อยา ง ฆานสัมผสั อาการที่ จมูก กลนิ่ และ คอื ๑. สจั จะ ความจรงิ เชน ซอื่ สตั ยต อ กนั ฆานวญิ ญาณประจวบกัน
ฆานสมั ผสั ชาเวทนา ๕๕ จตุบริษัท ฆานสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดข้ึน โฆสัปปมาณิกา คนพวกท่ีถือเสียงเปน เพราะฆานสัมผัส, ความรูสึกท่ีเกิดขึ้น ประมาณ, คนทีน่ ิยมเสียง เกดิ ความ เพราะการที่จมูก กลิ่น และ ฆาน- เล่ือมใสศรทั ธาเพราะเสยี ง ชอบฟง เสยี ง วญิ ญาณประจวบกัน ไพเราะ เชน เสียงสวดสรภัญญะเทศน โฆสะ พยัญชนะที่มีเสียงกอง ไดแก มหาชาติเปนทํานอง เสียงประโคม พยญั ชนะท่ี ๓ ๔ และ ๕ ในวรรคทง้ั ๕ เปนตน; อีกนัยหน่ึงวา ผูถือชื่อเสียง คือ ค ฆ ง, ช ฌ , ฑ ฒ ณ, ท ธ น, กิตติศัพท หรือความโดงดังเปน พ ภ ม, และ ย ร ล ว ห ฬ รวม ๒๑ ประมาณ เห็นใครมชี ่ือเสยี งก็ตืน่ ไปตาม ตวั (นคิ คหติ นกั ปราชญท างศพั ทศาสตร โฆสิตาราม ชื่อวัดสําคัญในกรุงโกสัมพี ถือเปนโฆสะ, สวนนักปราชญฝาย คร้ังพุทธกาล พระพุทธเจาเคยประทบั ศาสนา ถอื เปนโฆสาโฆสวมิ ตุ คอื พน หลายครงั้ เชน คราวท่ภี ิกษชุ าวโกสัมพี จากโฆสะและอโฆสะ); ตรงขา มกับ อโฆสะ แตกกัน เปนตน ง(เทยี บระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ี่ ธนติ ) งมงาย ไมร ทู า , ไมเขาใจ, เซอ เซอะ, หลง ฟงผอู นื่ เช่อื โดยไมม ีเหตผุ ล หรอื โดยไมยอมรับ จ จงกรม เดินไปมาโดยมสี ตกิ าํ กบั จตุธาตุววตั ถาน การกาํ หนดธาตุ ๔ คอื จตุกกะ หมวด ๔ พิจารณารางกายนี้ แยกแยะออกไป จตุกกชั ฌาน ฌานหมวด ๔ คอื รปู ฌาน มองเห็นแตสว นประกอบตางๆ ทีจ่ ดั เขา ทแี่ บงเปน ๔ ชัน้ อยางทรี่ จู กั กนั ทั่วไป, ในธาตุ ๔ คอื ปฐวี อาโป เตโช วาโย “ฌานจตุกกนยั ” ก็เรยี ก; ดู ฌาน ๔; เทียบ ทาํ ใหรูภาวะความเปนจริงของรางกายวา ปญ จกัชฌาน เปนเพยี งธาตุ ๔ ประชุมกนั เขา เทา นนั้ จตุตถฌาน ฌานท่ี ๔ มอี งค ๒ ละสขุ ไมเปนตัวสตั วบคุ คลท่ีแทจริง เสยี ได มแี ตอุเบกขากับเอกคั คตา จตุบริษัท บริษัทส่ีเหลา คือ ภิกษุ
จตปุ จจยั ๕๖ จรติ ภิกษุณี อุบาสก อบุ าสกิ า (วินย.อ.๓/๓๗๔), เรียกใหส ้นั วา จตรุ ารกั ข, จตปุ จจยั เคร่อื งอาศัยของชวี ติ หรอื สงิ่ ในนวโกวาท เรียกวา อารักขกมั มัฏฐาน จาํ เปน สาํ หรับชวี ิต ส่อี ยาง คอื จวี ร ๔; ดู อารกั ขกัมมัฏฐาน บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช จตุราริยสัจจ อริยสัจจส่ีประการ คือ ทกุ ข สมุทัย นิโรธ มรรค ดู อริยสัจจ (เครอื่ งนงุ หม อาหาร ที่อยู ยา) จตุยุค, จตรุ ยุค ยคุ ๔; ดู กปั จตโุ ลกบาล ทา วโลกบาลส,ี่ ทา วมหาราชสี่ จตรุ งคินเี สนา กองทพั มีกาํ ลังสีเ่ หลา คอื ดู จาตุมหาราช เหลาชาง เหลา มา เหลา รถ เหลา ราบ จตโุ วการ, จตุโวการภพ ดู โวการ จตรุ บท สตั วส่เี ทา มี ชา ง มา ววั ควาย จรณะ เครือ่ งดําเนิน, ปฏปิ ทา คอื ขอ เปนตน ปฏิบัตอิ ันเปน ทางบรรลวุ ิชา มี ๑๕ คอื จตุรพิธพร พร ๔ ประการ คอื อายุ สีลสัมปทา ความถึงพรอมดวยศีล (ความมอี ายุยนื ) วรรณะ (ความมผี วิ อปณ ณกปฏปิ ทา ๓ สัทธรรม ๗ และ พรรณผอ งใส) สขุ ะ (ความสขุ กายสขุ ใจ) ฌาน ๔ พละ (ความมกี าํ ลงั แขง็ แรง สขุ ภาพด)ี ; จริต ความประพฤติ; บคุ คลผูมพี ้นื นิสัย ดู พร หรือพ้ืนเพจิตใจที่หนักไปดานใดดาน จตรุ ยุค ยุค ๔; ดู กัป หนงึ่ แตกตา งกันไป จาํ แนกเปน ๖ ตาม จตรุ วรรค, จตุวรรค สงฆพ วกส,ี่ สงฆที่ จริยา ๖ คอื ๑. ราคจริต ผูมรี าคะเปน กาํ หนดจาํ นวนภิกษุอยา งต่าํ เพยี ง ๔ รปู ความประพฤติปกติ (หนักไปทางรัก สวยรักงาม มกั ตดิ ใจ) ๒. โทสจรติ ผมู ี เชน สงฆท ท่ี าํ อโุ บสถกรรมเปนตน จตรุ าธฏิ ฐาน ดู อธิษฐานธรรม โทสะเปน ความประพฤตปิ กติ (หนักไป จตุรารกั ขา การเจรญิ ภาวนาท่เี ปน เครอ่ื ง ทางใจรอ นขี้หงดุ หงิด) ๓. โมหจริต ผูมี รักษาตัวใหมีใจสงบและตั้งอยูในความ โมหะเปนความประพฤติปกติ (หนักไป ไมป ระมาท มี ๔ อยา ง คือ พุทธานุสต-ิ ทางเหงาซึมงมงาย) ๔. สทั ธาจรติ ผมู ี ภาวนา มรณสตภิ าวนา อสภุ ภาวนา และ ศรทั ธาเปน ความประพฤตปิ กติ (หนักไป เมตตาภาวนา, พดู ใหส้ันวา กรรมฐาน ทางนอมใจเชือ่ ) ๕. พุทธจิ ริต ผูม ีความ เปน เครอื่ งรักษา ๔ คือ พุทธานุสติ รเู ปนความประพฤติปกติ (หนักไปทาง อสุภะ เมตตา และมรณสติ, ทา นจดั ขน้ึ คิดพจิ ารณา) ๖. วิตกจรติ ผูมวี ิตกเปน เปนชุดที่มีชื่ออยางน้ีในยุคอรรถกถา ความประพฤติปกติ (หนกั ไปทางคดิ จับ
จรมิ กจิต ๕๗ จรยิ า จดฟงุ ซา น), ในการท่ีจะเจริญกรรมฐาน ตัณหาเปนสังสารนายิกา สําหรับคน ทานแนะนําใหเลือกกรรมฐานใหเหมาะ ตณั หาจรติ แมถ งึ หลกั อรยิ สจั จ ๔ กว็ า หรือเขา กับจรติ โดยสอดคลอ งกับจริยา พระพุทธเจาตรัสโดยสัมพันธกับเรื่อง ของเขา (จรยิ านกุ ูล) ตณั หาจรติ และทฏิ ฐจิ รติ น;ี้ ดู จรยิ า ในการเจริญวิปสสนา บางครั้งทาน จรมิ กจติ จติ ดวงสดุ ทา ย ซง่ึ จะดบั ไปเมอ่ื กลา วถงึ จรติ ๒ คอื ตณั หาจรติ (ผมู พี นื้ พระอรหันตปรินิพพานดวยอนุปาทิเสส- จติ หนกั ไปทางตณั หา) และทิฏฐิจรติ (ผู นิพพานธาตุ ไดแก ปรินิพพานจิต, มพี นื้ จติ หนกั ไปทางทฏิ ฐ)ิ โดยโยงไปถงึ จรมิ กวิญญาณ ก็เรยี ก หลกั สตปิ ฏ ฐานวา สตปิ ฏ ฐานทม่ี ี ๔ ขอ นนั้ จริยธรรม “ธรรมคือความประพฤติ”, พระพทุ ธเจา ทรงแสดงไวไ มข าด ไมเ กนิ “ธรรมคือการดําเนินชีวิต”, หลักความ เพอ่ื ใหเ กอ้ื กลู เหมาะกนั กบั คน ๔ จาํ พวก ประพฤติ, หลักการดาํ เนนิ ชวี ิต; 1. ธรรม คอื กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน มอี ารมณ ทเี่ ปน ขอ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ศลี ธรรม หรอื หยาบ เปน วสิ ทุ ธมิ รรค (ทางแหง วิสุทธิ) กฎศีลธรรม (ความหมายตามบัญญัติ สมยั ปจ จุบัน ซง่ึ กําหนดให จริยธรรม สําหรบั เวไนยสตั วต ัณหาจรติ ทมี่ ปี ญ ญา เฉ่ือย เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน มี เปนคําแปลสําหรับคําภาษาอังกฤษวา อารมณล ะเอียด เปนวิสุทธมิ รรค สาํ หรบั ethics) 2. จรยิ ะ (หรอื จรยิ ธรรม) อนั ประเสริฐ เรียกวา พรหมจริยะ เวไนยสตั วต ณั หาจรติ ทม่ี ปี ญ ญาเฉยี บ (พรหมจริยธรรม หรอื พรหมจรรย) จติ ตานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน ซง่ึ มอี ารมณ แตกประเภทไมม ากนกั เปน วสิ ทุ ธมิ รรค แปลวา “ความประพฤติอันประเสริฐ” สาํ หรับเวไนยสตั วทิฏฐจิ ริต ทมี่ ปี ญ ญา หรือ การดําเนินชีวิตอยางประเสริฐ เฉอ่ื ย ธมั มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน ซงึ่ มี หมายถึง มรรคมอี งค ๘ หรอื ศีล สมาธิ อารมณแ ตกประเภทมากยงิ่ เปน วสิ ทุ ธ-ิ ปญญา; เทียบ ศีลธรรม มรรค สาํ หรบั เวไนยสตั วท ฏิ ฐจิ รติ ทม่ี ี จริยา 1. ความประพฤต,ิ การครองตน, ปญ ญาเฉยี บ, นอกจากนี้ ทา นนาํ เรอ่ื ง การดําเนินชีวิต 2. ลักษณะความ ตัณหาจริต และทิฏฐิจริตไปใชอธิบาย ประพฤติหรือการแสดงออกท่ีเปนพ้ืน หลกั อนื่ ๆ อกี มาก เชน ในเรอ่ื งปฏจิ จ- ประจําตัว, พื้นจิตพ้ืนนิสัยของแตละ สมุปบาทวา อวิชชาเปนสังสารนายิกา บุคคลท่หี นักไปดานนั้นดา นน้ี แตกตาง (ตวั นาํ สงั สาระ) สาํ หรบั คนทฏิ ฐจิ รติ สว น กันไป ทา นแสดงไว ๖ อยา ง (เชน วิสทุ ธฺ .ิ ๑/
จว งจาบ ๕๘ จักกวตั ติสตู ร ๑๒๗) คอื ราคจริยา โทสจริยา โมหจรยิ า ทรงประพฤติตามหลักจักรวรรดิวัตร สทั ธาจรยิ า พุทธิจรยิ า และวติ กจรยิ า, อันสืบกันมาแตบรรพชนของพระองค บุคคลมจี ริยาอยางใด ก็เรียกวา เปนจริต ยอมทําใหจักรรัตนะบังเกิดข้ึนมาเอง, อยา งน้นั เชน ผูม รี าคจรยิ า ก็เปนราค- จักรวรรดวิ ตั ร น้ันมี ๔ ขอ ใหญ ใจ จริต, ในภาษาไทย นิยมใชค ําวา “จรติ ” ความวา ๑. พระเจาจักรพรรดิเปน และมักเขาใจความหมายของจริตเปน ธรรมาธิปไตย และจดั การคุมครองปอง จริยา กันโดยชอบธรรมแกชนทุกหมูเหลาใน แผนดิน ตลอดไปถึงสัตวท่ีควรสงวน ทา นกลา วไวด ว ยวา มบี างอาจารยจ ดั พันธุทง้ั หลาย ๒. มิใหม กี ารอันอธรรม จริยาไวอีกชุดหน่ึงตามกิเลสสําคัญ ๓ เกดิ ข้ึนในแผนดนิ ๓. ปน ทรพั ยเ ฉลย่ี อยา ง (ปปญ จะ ๓) เปน จรยิ า ๓ คอื ใหแ กผ ไู รท รพั ย ๔. ปรกึ ษาสอบถามการ ตัณหาจรยิ า มานจรยิ า และทิฏฐจิ รยิ า ดชี ่วั ขอควรและไมค วรประพฤติ กะ แตในคัมภีร ทานไมแสดงไวตางหาก สมณพราหมณ ผปู ระพฤติดี ปฏิบัติ เพราะตณั หาจริยา และมานจรยิ า จดั ชอบ อยเู สมอ; จกั รวรรดวิ ตั ร ๔ ขอนี้ เขาในราคจริยา และทิฏฐิจริยา กร็ วม บางทจี ัดเปน ๕ โดยแยกขอ ๑. เปน ๒ อยใู นโมหจริยา; ดู จริต, ปปญจะ ขอ คอื เปนธรรมาธิปไตย ถือธรรมเปน จวงจาบ พดู จาลว งเกนิ , วา รา ย, พดู ลบ ใหญอ ยางหนง่ึ กับจดั การคุมครองปอง หลู, พูดลดคุณคาลบความสําคัญ; ใน กันอันชอบธรรม อยา งหน่งึ , นอกจาก หนงั สอื เรยี นพทุ ธประวตั ิ มกั หมายถงึ คาํ นั้น สมยั ตอมา อรรถกถาจดั แบงซอย ที่ สภุ ทั ทะวฒุ บรรพชติ กลา วแกภ กิ ษทุ งั้ ออกไป และเพิ่มเขามาอกี รวมเปน ๑๒ หลายเมอื่ พระพทุ ธเจา ปรนิ พิ พานใหมๆ ขอ เรยี กวา จักรวรรดิวตั ร ๑๒; พระ จกั กวตั ตสิ ตู ร ชอื่ สตู รท่ี ๓ แหง ทฆี นกิ าย สู ต ร นี้ ถื อ ว า เ ป น คําส อ น แ ส ด ง ห ลั ก ปาฏกิ วรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก พระพทุ ธ- วิวัฒนาการของสังคมตามแนวจริย- เจา ตรัสสอนภิกษุทง้ั หลายใหพ งึ่ ตน คือ ธรรมกลา วถงึ หลกั การปกครอง และหลกั พง่ึ ธรรม ดว ยการเจรญิ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ความสัมพันธระหวางเศรษฐกิจกับจริย- ซึ่งจะทําใหไดชื่อวาเปนผูดําเนินอยูใน ธรรม; เร่ือง พระศรีอารยเมตไตรย กม็ ี แดนของตนเองที่สืบมาแตบ ดิ า จะมแี ต ตน เคา มาจากพระสูตรน้ี; ดู จักรวรรดิ- ความดีงามเจริญขึ้น ไมเปดชองใหแก วตั ร ๑๒ มาร เชนเดียวกับพระเจาจักรพรรดิที่
จกั ขุ ๕๙ จักรวรรดิวัตร ๑๒ จักขุ ตา, จกั ขขุ องพระพุทธเจา มี ๕ คือ ชางแกว มา แกว นางแกว ขนุ คลงั แกว มังสจักขุ ทพิ พจกั ขุ ปญญาจักขุ พทุ ธ- ขนุ พลแกว จักรแกว แกวมณี จักขุ สมนั ตจักขุ (ดทู ่คี าํ นนั้ ๆ) จกั รพรรดิราชสมบัติ สมบัติ คอื ความ จักขุวิญญาณ ความรูท่ีเกิดข้ึนเพราะรปู เปนพระเจา จักรพรรดิ, ความพรงั่ พรอม กระทบตา, รูปกระทบตา เกิดความรู สมบรู ณแ หงพระเจา จักรพรรดิ ขึ้น, การเหน็ (ขอ ๑ ในวญิ ญาณ ๖) จักรรัตนะ จักรแกว หมายถงึ ตัวอํานาจ จกั ขสุ มั ผัส อาการท่ี ตา รปู และจักขุ แหง พระเจา จกั รพรรดิ จกั รวรรดิวตั ร ๑๒ ๑. อนฺโตชนสมฺ ึ พล- วิญญาณประจวบกนั จักขุสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดขึน้ กายสมฺ ึ คมุ ครองสงเคราะหแ กช นในพระ เพราะจักขุสัมผัส, ความรูสึกที่เกิดข้ึน ราชฐานและพยุหเสนา ๒. ขตตฺ เิ ยสุ แก เพราะการที่ ตา รูป และจกั ขวุ ิญญาณ กษัตริยเมืองข้ึนหรือผูครองนครภายใต พระบรมเดชานภุ าพ ๓. อนุยนเฺ ตสุ แก ประจวบกัน จกั ร ลอ , ลอรถ, ธรรมนําชวี ติ ไปสคู วาม กษตั รยิ ท ต่ี ามเสดจ็ คอื เหลา เชอื้ พระวงศ ผเู ปน ราชบรพิ าร ๔. พรฺ าหมฺ ณคหปตเิ กสุ เจริญรุง เรือง ดจุ ลอ นํารถไปสทู ่ีหมาย มี แกพราหมณและคฤหบดีท้ังหลาย ๕. ๔ อยาง คือ ๑. ปฏิรปู เทสวาสะ อยใู น เนคมชานปเทสุ แกชาวนิคมและชาว ถน่ิ ทเ่ี หมาะ ๒. สปั ปรุ ิสูปสสยะ สมาคม ชนบทคือ ราษฎรพ้นื เมืองท้งั หลาย ๖. กบั คนดี ๓. อัตตสัมมาปณธิ ิ ต้ังตนไว สมณพรฺ าหมฺ เณสุ แกเ หลา สมณพราหมณ ชอบ ๔. ปุพเพกตปุญญตา ไดทาํ ความดี ๗. มคิ ปกขฺ สี ุ แกเ หลา เนอ้ื นกอนั พงึ บาํ รงุ ไวใ หมสี ืบพันธุ ๘. อธมฺมการปฏกิ เฺขโป ไวก อ น จกั รธรรม ธรรมเปรยี บดว ยลอ รถ ซ่งึ จะ นําไปสูความเจริญ หรือใหถึงจุดมุง หา มปรามมใิ หม คี วามประพฤตกิ ารอนั ไม หมาย มี ๔ อยา ง; ดู จกั ร เปน ธรรม ๙. อธนานํ ธนานปุ ปฺ ทานํ เจอื จกั รพรรดิ พระราชาธริ าช หมายถงึ พระ ราชาผยู ง่ิ ใหญ มรี าชอาณาเขตปกครอง จานทรัพยทํานุบํารุงแกผ ขู ดั สนไรท รัพย ๑๐.สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ า- กวางขวางมาก บานเมืองในปกครองมี ปุจฺฉนํ ไปสูหาสมณพราหมณไตถาม อรรถปรศิ นา ๑๑. อธมมฺ ราคสสฺ ปหานํ ความรมเย็นเปนสุข ปราบขาศึกศัตรู ดว ยธรรม ไมตอ งใชอ าชญาและศัสตรา เวนความกําหนัดในกามโดยอาการไม มรี ัตนะ ๗ ประการประจาํ พระองค คอื เปน ธรรม ๑๒. วิสมโลภสฺส ปหานํ เวน
จักษุ ๖๐ จาคานสุ สติ โลภกลา ไมเ ลือกควรไมควร อยูบนฝงแมนํ้าจัมปา ไมหางไกลมาก จกั รวรรดวิ ตั ร ๑๒ น้ี มาในอรรถกถา นกั จากจดุ ท่ีบรรจบกบั แมน ้ําคงคา โดยแบงซอยและเพ่ิมเติมจากของเดิม จัมเปยยขนั ธกะ ช่อื ขนั ธกะท่ี ๙ แหง ใน จักกวัตตสิ ตู ร; ดู จักกวัตตสิ ตู ร คมั ภรี ม หาวรรค วนิ ยั ปฎ ก วา ดว ยขอ ควร จักษุ ตา, นยั นตา; จกั ษุ ๕ ดู จกั ขุ ทราบบางแงเกี่ยวกับนิคหกรรมตา งๆ จกั ษทุ พิ ย ตาทพิ ย คอื ดอู ะไรเหน็ ไดห มด; จัมมขันธกะ ชอื่ ขันธกะที่ ๕ แหง คัมภรี ดู ทิพพจักขุ มหาวรรค วนิ ยั ปฎ ก วาดวยเครื่องหนัง จงั หัน ขา ว, อาหาร (ใชแ กพ ระสงฆ) ตางๆ มีรองเทา และเครอ่ื งลาดเปน ตน จัญไร ชัว่ รา ย, เลวทราม, เสีย จาคะ การสละ, การเสียสละ, การทําให จัณฑปชโชต พระเจาแผนดินแควน หมดไปจากตน, การใหหรอื ยอมใหหรอื อวนั ตี ครองราชสมบตั ิอยทู ี่กรงุ อุชเชนี ปลอ ยสละละวาง ทจ่ี ะทําใหหมดความ จัณฑาล ลูกตางวรรณะ เชนบิดาเปน ยึดติดถือมั่นตัวตนหรือลดสลายความมี ศูทร มารดาเปนพราหมณ มลี กู ออกมา ใจคบั แคบหวงแหน, การเปดใจกวางมี เรียกวา จัณฑาล ถือวาเปน คนตา่ํ ทราม นา้ํ ใจ, การสละส่ิงที่เปนขาศึกแกค วาม ถูกเหยียดหยามท่ีสุดในระบบวรรณะ จรงิ ใจ, การสละกเิ ลส (ขอ ๔ ใน ของศาสนาพราหมณ ฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๓ ในอธิษฐาน- จันทน ไมจนั ทน เปนไมม กี ล่ินหอมใชทํา ธรรม ๔, ขอ ๖ ในอรยิ ทรพั ย ๗) จาคสัมปทา ถึงพรอมดวยการบริจาค ยาและปรุงเคร่อื งหอม จนั ทรคติ การนับวันโดยถอื เอาการเดนิ ทาน เปนการเฉล่ียสุขใหแกผูอื่น; ดู ของพระจันทรเปนหลกั เชน ๑ คาํ่ ๒ สัมปรายิกัตถะ คํา่ และเดอื นอา ย เดือนยี่ เดอื น ๓ จาคาธฏิ ฐาน ทมี่ น่ั คอื จาคะ, ธรรมทคี่ วร เปน ตน ; คกู ับ สรุ ิยคติ ตง้ั ไวใ นใจใหเ ปน ฐานทมี่ นั่ คอื จาคะ, ผมู ี จนั ทรปุ ราคา การจบั จนั ทร คอื เงาโลกเขา การใหก ารสละละวางเปน ฐานทมี่ น่ั (ขอ ไปปรากฏทดี่ วงจนั ทร ขณะเมอ่ื ดวงจนั ทร ๓ ในอธฏิ ฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรม กับดวงอาทิตยอยูตรงกันขามโดยมีโลก จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาค คือ อยรู ะหวา งกลางทเ่ี รยี กวา ราหูอมจันทร; ระลึกถึงทานท่ีตนบริจาคแลว และ คกู บั สุรยิ ุปราคา พิจารณาเห็นจาคธรรมที่มีในตน; ดู จัมปา ชื่อนครหลวงของแควนองั คะ ต้งั อนุสติ
จาตมุ หาราช ๖๑ จําพรรษา จาตมุ หาราช ทา วมหาราชส่ี, เทวดาผู หยอน ๕ ใหจายบาตรใหม” ใหจ ายคือ รกั ษาโลกในส่ที ศิ , ทาวโลกบาลท้งั ส่ี คอื ใหขอบาตรใหม ๑. ทา วธตรฐ จอมภตู หรอื จอมคนธรรพ จาร เขียนตัวหนังสือหรือเลขลงบนใบ ครองทิศตะวันออก ๒. ทาววิรุฬหก ลาน เปนตน โดยใชเ หลก็ แหลมขีด, ใช จอมกุมภัณฑ ครองทิศใต ๓. ทาว เหล็กแหลมเขยี นตวั หนังสอื วริ ปู ก ษ จอมนาค ครองทศิ ตะวันตก ๔. จาริก เทีย่ วไป, เดินทางเพอ่ื ศาสนกิจ ทาวกุเวร หรือ เวสสวัณ จอมยักษ จารีต ธรรมเนียมท่ีประพฤติกันมา, ครองทศิ เหนอื ประเพณี, ความประพฤตทิ ่ีดี จาตุมหาราชกิ า สวรรคช ้ันที่ ๑ มมี หาราช จารกึ เขยี น, เขยี นเปนตวั อกั ษร, เขียน ๔ องค เปนประธาน ปกครองประจําทศิ รอยลกึ เปน ตัวอักษรลงในใบลาน หรอื ทงั้ ๔, ทาวมหาราช ๔ นน้ั อยูภ ายใต ลงแผนศิลา แผนโลหะ การบังคับบัญชาของทาวสักกะ (พระ จาํ นาํ พรรษา ดู ผาจํานําพรรษา อนิ ทร) เชน มหี นาทร่ี ายงานสภาพความ จาํ เนียรกาล เวลาชานาน เปนไปของสังคมมนุษยแกหมูเทพชั้น จําปา ชื่อเมืองในมัธยมประเทศ ที่ถูก ดาวดึงสในสุธรรมสภาเปนประจํา ถา เขยี น จมั ปา ทัพอสูรรุกผานดานเบ้ืองตนใกลเขามา จาํ พรรษา อยูประจาํ วัดสามเดือนในฤดู ทา วมหาราช ๔ กท็ าํ หนาทไี่ ปรายงานตอ ฝน คอื ตั้งแตแ รม ๑ คํ่า เดอื น ๘ ถึง พระอินทร; ดู จาตุมหาราช, อินทร ขึน้ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๑๑ (อยา งนเี้ รยี ก จาตุรงคสันนิบาต การประชุมพรอม ปรุ มิ พรรษา แปลวา “พรรษาตน”) หรอื ดวยองค ๔ คือ ๑. วันน้นั ดวงจนั ทร ตัง้ แตแ รม ๑ ค่ําเดือน ๙ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เสวยมาฆฤกษ (เพ็ญเดือนสาม) ๒. เดือน ๑๒ (อยางนีเ้ รยี ก ปจ ฉมิ พรรษา พระสงฆ ๑๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิ แปลวา “พรรษาหลงั ”); วนั เขา พรรษาตน คอื แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๘ เรยี กวา ปรุ มิ กิ า- ไดนัดหมาย ๓. พระสงฆเหลาน้ันทั้ง วัสสูปนายิกา, วันเขาพรรษาหลังคือ แรม ๑ คํ่าเดอื น ๙ เรยี กวา ปจ ฉิมิกา- หมดลว นเปน พระอรหนั ตผ ไู ดอ ภญิ ญา ๖ วัสสูปนายิกา; คําอธิษฐานพรรษาวา “อิมสฺมึ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ อเุปม;ิ ๔. พระสงฆเ หลา นนั้ ทง้ั หมดลว นเปน เอหิ ทุติยมปฺ อิมสมฺ ึ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ ภิกข;ุ ดู มาฆบชู า จาบจว ง ดู จว งจาบ จาย ในประโยควา “ภกิ ษุใดมบี าตรมีแผล
จําวัด ๖๒ จิตตปาคญุ ญตา อเุปม;ิ ตตยิ มปฺ อิมสมฺ ึ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ จิตกา, จิตกาธาน เชงิ ตะกอน, ทเี่ ผาศพ วสสฺ ํ อเุปม”ิ แปลวา “ขา พเจา เขา อยจู าํ จิตตะ เอาใจฝกใฝในสิ่งนั้นไมวางธุระ, พรรษาตลอด ๓ เดือนในวัดนี้” (วิหาเร ความคิดฝกใฝไมปลอยใจฟุงซานเลื่อน จะเปลีย่ นเปน อาวาเส กไ็ ด) ; อานสิ งส ลอย, ความมจี ติ จดจอ อทุ ศิ ตวั อทุ ศิ ใจตอ การจาํ พรรษามี ๕ อยา ง คอื ๑. เทย่ี วไป สง่ิ นนั้ (ขอ ๓ ในอทิ ธบิ าท ๔) ไมต อ งบอกลา ๒. จารกิ ไปไมต อ งเอาไตร จิตตกัมมัญญตา ความควรแกการงาน จวี รไปครบสาํ รบั ๓. ฉนั คณโภชนและ แหงจิต, ธรรมชาติท่ีทาํ จิตใหเหมาะแก ปรมั ปรโภชนได ๔. เก็บอดเิ รกจวี รได การใชง าน (ขอ ๑๕ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) ตามปรารถนา ๕. จีวรอนั เกิดขนึ้ ในท่ี จิตตกา เครื่องลาดทําดวยขนแกะ ท่ปี ก น้ัน เปน ของไดแ กพวกเธอ อานสิ งสท ้งั หรือทอเปน ลวดลายตา งๆ หาน้ีไดช่ัวเวลาเดือนหนึ่ง นับแตออก จิตตคฤหบดี ชื่ออบุ าสกสาํ คญั ทา นหนง่ึ พรรษาแลว คอื ถงึ ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๒ เปนพระอนาคามี มีปญญาสามารถใน นอกจากนั้นยังไดสิทธิท่ีจะกรานกฐิน การแสดงธรรม พระพทุ ธเจา ทรงยกยอง และไดร บั อานิสงส ๕ นนั้ ตอออกไปอกี วาเปนเอตทัคคะในบรรดาอบุ าสกธรรม- ๔ เดือน (ภิกษผุ ูเขา พรรษาหลัง ไมไ ด กถึก กับทั้งทรงยกยองวาเปนตราชู อานิสงสหรอื สทิ ธพิ เิ ศษเหลา น้ี) (ตุลา) ของอบุ าสกบริษทั จึงไดช่ือวาเปน จําวัด นอนหลบั (ใชแ กพ ระสงฆ) อัครอุบาสก (คูกับหัตถกะอาฬวกะ), จาํ ศลี อยรู ักษาศีล, ถอื ศีลเปนกิจวตั ร จิ ต ต ค ฤ ห บ ดี ไ ด ส ร า ง วั ด ห น่ึ ง ช่ื อ ว า จําหลกั แกะใหเปนลวดลาย, สลัก อมั พาฏการาม; ทานผูน้ีเคยถูกภกิ ษชุ อื่ จิต, จิตต ธรรมชาตทิ ร่ี ูอ ารมณ, สภาพที่ สุธรรมดา เปน เหตุใหพ ระพุทธเจา ทรง นึกคดิ , ความคดิ , ใจ; ตามหลกั ฝา ย บัญญตั ิปฏสิ าราณียกรรม คอื การลงโทษ อภิธรรม จาํ แนกจิตเปน ๘๙ (หรือ ภกิ ษผุ ดู า วา คฤหสั ถท ไ่ี มม คี วามผดิ ดว ย พสิ ดารเปน ๑๒๑) แบง โดยชาติ เปน การใหไ ปขอขมาเขา; ดู ตุลา, เอตทคั คะ อกศุ ลจติ ๑๒ กศุ ลจติ ๒๑ (พสิ ดารเปน จติ ตชรูป ดทู ี่ รูป ๒๘ ๓๗) วปิ ากจติ ๓๖ (๕๒) และ กริ ยิ าจติ จิตตปาคุญญตา ความคลอ งแคลวแหง ๒๐; แบง โดยภมู ิ เปน กามาวจรจติ ๕๔ จิต, ธรรมชาติที่ทําจิตใหสละสลวย รปู าวจรจติ ๑๕ อรปู าวจรจติ ๑๒ และโล คลอ งแคลว วอ งไว (ขอ ๑๗ ในโสภณ- กตุ ตรจติ ๘ (พสิ ดารเปน ๔๐) เจตสิก ๒๕)
จติ ตภาวนา ๖๓ จีวร จติ ตภาวนา ดู ภาวนา โทสะ โมหะ กร็ วู า จติ ปราศจาก ราคะ จติ ตมาส เดอื น ๕ โทสะ โมหะ (ขอ ๓ ในสตปิ ฏ ฐาน ๔) จติ ตมทุ ตุ า ความออ นแหง จติ , ธรรมชาติ จติ ตชุ กุ ตา ความซอ่ื ตรงแหง จติ , ธรรมชาติ ทําจิตใหน มุ นวลออนละมนุ (ขอ ๑๓ ใน ที่ทําใหจิตซื่อตรงตอหนาที่การงานของ โสภณเจตสิก ๒๕) มนั (ขอ ๑๙ ในโสภณเจตสิก ๒๕) จิตตลหุตา ความเบาแหง จติ , ธรรมชาติ จติ ตปุ บาท [จิด-ตุบ-บาด] ความเกิดข้ึน ที่ทําใหจิตเบาพรอมที่จะเคลื่อนไหวทํา แหงจิต หมายถึงจิตพรอมท้ังเจตสิกที่ หนา ท่ี (ขอ ๑๑ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) ประกอบอยูดวย ซ่ึงเกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ, จิตตวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง จิต คอื ได การเกิดความคิดผดุ ข้ึน, ความคดิ ท่ผี ดุ ฝกอบรมจิตจนเกิดสมาธิพอเปนบาท ขนึ้ ฐานแหงวปิ ส สนา (ขอ ๒ ใน วสิ ทุ ธิ ๗) จติ ประภสั สร ดู ภวงั คจติ จติ ตสังขาร 1. ปจ จัยปรุงแตง จิตไดแ ก จินตกวี นักปราชญผูชํานาญคิดคํา สญั ญาและเวทนา 2. สภาพทปี่ รุงแตง ประพนั ธ, ผสู ามารถในการแตง รอ ยกรอง การกระทําทางใจ ไดแกเจตนาที่กอให ตามแนวความคิดของตน เกดิ มโนกรรม; ดู สงั ขาร จนิ ตามยปญ ญา ดู ปญ ญา๓ จิตตสันดาน การสืบตอมาโดยไมขาด จีวร ผาที่ใชนุงหมของพระภิกษุในพระ สายของจติ ; ในภาษาไทย หมายถึงพืน้ พทุ ธศาสนา ผืนใดผนื หนึง่ ในจาํ นวน ๓ ผืนที่เรียกวา ไตรจีวร คือผาซอน ความรูสึกนึกคิดหรืออุปนิสัยใจคอท่ีฝง นอกหรอื ผาทาบซอ น (สังฆาฏ)ิ ผา หม (อุตราสงค) และผา นงุ (อนั ตรวาสก), อยูในสวนลึกของจิตใจมาแตกําเนิด แตใ นภาษาไทย นิยมเรียกเฉพาะผาหม (ความหมายนยั หลงั น้ี มใิ ชมาในบาล)ี คืออุตราสงค วาจีวร; จีวรมีขนาดท่ี จิตตสามคั ค,ี จติ สามัคคี ดู สามัคคี จติ ตสิกขา ดู อธจิ ติ ตสิกขา กําหนดตามพุทธบัญญัติในสิกขาบทท่ี จิตตานุปสสนา สติพิจารณาใจท่ีเศรา หมองหรอื ผอ งแผว เปน อารมณว า ใจนก้ี ส็ กั ๑๐ แหง รตนวรรค (ปาจติ ตีย ขอ ท่ี ๙๒; วาใจ ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา วินย.๒/๗๗๖/๕๑๑) คอื มใิ หเทา หรือเกิน กาํ หนดรูจิตตามสภาพที่เปนอยูในขณะ กวาสคุ ตจวี ร ซงึ่ ยาว ๙ คืบ กวาง ๖ คบื นนั้ ๆ เชน จติ มี ราคะ โทสะ โมหะ กร็ วู า จติ โดยคืบพระสุคต, ผาทําจีวรท่ีทรง มี ราคะ โทสะ โมหะ จติ ปราศจาก ราคะ อนุญาตมี ๖ ชนิด ดังท่ีตรัสวา
จวี ร ๖๔ จวี ร (วินย.๒/๑๓๙/๑๙๓) “ภิกษทุ งั้ หลาย เรา คเี วยยกะ ชังเฆยยกะ พาหันตะ ทั้งน้ี อนุญาตจีวร ๖ ชนดิ คอื โขมะ จีวรผา เมื่อเปนผาท่ีถูกตัด ก็จะเปนของเศรา เปลอื กไม ๑ กัปปาสกิ ะ จีวรผาฝา ย ๑ หมองดวยศัสตรา คือมีตําหนิ เสียรูป โกเสยยะ จวี รผาไหม ๑ กมั พละ จวี ร เสยี ความสวยงาม เส่อื มคา เสียราคา ผา ขนสตั ว (หา มผมและขนมนษุ ย) ๑ สมควรแกส มณะ และพวกคนทปี่ ระสงค สาณะ จวี รผา ปา น ๑ ภงั คะ จวี รผา ของ รา ยไมเ พง จอ งอยากได ในหา อยางนนั้ เจือกนั ๑”; สตี องหา ม สําหรบั จวี ร คือ (วินย.๕/๑๖๙/๒๓๔) นีลกะ มีพุทธบัญญัติวา (วินย.๕/๙๗/๑๓๗) ลวน (สีเขียวคราม) ปตกะลว น (สี จวี รผนื หนึ่งๆ ตองตัดเปน ปญ จกะ (มี เหลอื ง) โลหติ กะลว น (สแี ดง) มัญ- สวนประกอบหาชนิ้ หรอื หา ผืนยอย, ช้นิ เชฏฐกลวน (สบี านเย็น) กัณหะลว น ใหญหรือผืนยอยนี้ ตอ มาในช้ันอรรถ- (สีดาํ ) มหารงครตั ตลว น (สีแดงมหา- กถา เรยี กวา “ขณั ฑ” จงึ พูดวา จีวรหา รงค อรรถกถาอธิบายวาสีอยางหลัง ขัณฑ) หรอื เกนิ กวา ปญ จกะ (พูดอยา ง ตะขาบ แปลกันมาวาสแี สด) มหานาม- อรรถกถาวา มากกวา ๕ ขัณฑ เชน รัตตลวน (สีแดงมหานาม อรรถกถา เปน ๗ ขัณฑ ๙ ขณั ฑ หรือ ๑๑ ขัณฑ) อธบิ ายวา สแี กมกนั อยา งสใี บไมเ หลือง ตามพุทธบัญญัตเิ ดมิ น้ัน จวี รทัง้ ๓ บา งวา สกี ลบี ดอกปทมุ ออน แปลกนั มา (คอื สงั ฆาฏิ อุตราสงค และอันตรวาสก) ตอ งเปน ผาท่ถี ูกตดั เปน ชน้ิ ๆ นํามาเยบ็ วา สชี มพ)ู ทง้ั นี้ สที ร่ี บั รองกนั มา คอื สี ประกอบกันขึ้นอยา งท่กี ลาวขา งตน แต ภิกษบุ างรปู ทาํ จีวร เมื่อจะใหเ ปน จีวรผา เหลืองเจือแดงเขม หรือสีเหลืองหมน ตดั ทุกผืน ผาไมพ อ จงึ เปนเหตปุ รารภ ใหมีพุทธานุญาตยกเวนวา (วินย.๕/๑๖๑/ เชนสยี อมแกน ขนนุ ท่ีเรยี กวา สกี รัก ๒๑๙) “ภิกษทุ ั้งหลาย เราอนุญาตจวี รผา ตดั ๒ ผืน จวี รผาไมต ัด ๑ ผนื ” เมอื่ ผา จีวรน้ัน พระพุทธเจาโปรดใหพระ ยงั ไมพ อ กต็ รสั อนญุ าตวา “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตจวี รผา ไมต ดั ๒ ผนื จวี รผา อานนทออกแบบจัดทําตามรูปนาของ ตัด ๑ ผืน” ถงึ อยา งนน้ั กม็ ีกรณีทผ่ี า ยัง ไมพ ออกี จึงตรัสวา “ภกิ ษทุ ั้งหลาย เรา ชาวมคธ (วินย.๕/๑๔๙/๒๐๒) ทําใหมีรูป อนุญาตใหเพ่ิมผาเพลาะ แตผาไมตัด ลักษณเปนระเบียบแบบแผน โดยทรง กาํ หนดใหเ ปน ผาที่ถูกตดั เปนชน้ิ ๆ นํามา เย็บประกอบกันขึ้นตามแบบที่จัดวางไว ชิ้นทง้ั หลายมีช่อื ตางๆ เปน กุสิ อัฑฒกุสิ มณฑล อฑั ฒมณฑล วิวัฏฏะ อนุววิ ฏั ฏ ะ
จวี ร ๖๕ จวี ร เลยหมดทกุ ผนื ภิกษุไมพ ึงใช รูปใดใช (ตามคําอธิบายของอรรถกถา วนิ ย.อ.๓/๒๓๖) คือ ขัณฑก ลาง ชื่อววิ ฏั ฏะ (แปลตามศัพทว า ตองอาบตั ทิ ุกกฏ” คลขี่ ยายออกไป), ขัณฑท่อี ยูขา งววิ ฏั ฏะ ท้ังสองดาน ช่ืออนุวิวัฏฏะ (แปลตาม ในสมยั ตอมา นยิ มนําคาํ วา “ขัณฑ” ศัพทวาคล่ีขยายไปตาม), ขัณฑที่อยู ขอบนอกทงั้ สองขา ง ชอ่ื พาหนั ตะ (แปล มาใชเปนหลักในการกําหนดและเรียก วา สุดแขน หรอื ปลายพาดบนแขน) นี้ ชอ่ื สว นตางๆ ของจีวร ทาํ ใหกําหนดงาย สาํ หรับจีวร ๕ ขณั ฑ, ถา เปนจวี รที่มี ขนึ้ อีก ดังไดกลา วแลว วา จีวรมอี ยา ง ขณั ฑมากกวา น้ี (คือมี ๗ ขณั ฑข ้ึนไป) นอย ๕ ขัณฑ คือ จีวรที่มรี ปู ส่เี หลย่ี ม ขัณฑทุกขัณฑที่อยูระหวางวิวัฏฏะกับ ผนื ผาผนื หนงึ่ น้ี เมอื่ คลแี่ ผอ อกไปตาม พาหันตะ ชื่อวา อนุวิวฏั ฏะท้งั หมด (บาง ยาว จะเห็นวามีขณั ฑ คือผาผนื ยอย ทเี รียกใหต า งกันเปน จฬู านุวิวัฏฏ กบั ขนาดประมาณเทา ๆ กนั ยาวตลอดจาก มหานวุ ิวัฏฏ) ; นอกจากนี้ มแี ผนผา เยบ็ บนลงลาง ๕ ผืน เรยี งตอกันจากซายไป ทาบเติมลงไปตรงท่ีหุมคอ เรียกวา คเี วยยกะ และแผนผาเย็บทาบเติมลง สดุ ขวา ครบเปน จีวร ๑ ผืน; ขณั ฑท้ัง ไปตรงท่ถี กู แขง เรียกวา ชงั เฆยยกะ (น้ี วา ตามคําอธบิ ายในอรรถกถา แตพ ระมติ ๕ น้ี แตล ะขณั ฑม ีสวนประกอบครบใน ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา ตวั คือ มี ๒ กระทง ไดแก กระทงใหญ เรยี กวา มณฑล กบั กระทงเล็ก (ราวครึง่ วชริ ญาณวโรรส ในหนงั สอื วนิ ยั มขุ เลม ๒ ของกระทงใหญ) เรียกวา อฑั ฒมณฑล, วา ในจวี รหา ขณั ฑๆ กลาง ชอื่ คเี วยยกะ ระหวางมณฑลกับอัฑฒมณฑล มีเสน เพราะเมอื่ หม จวี ร อฑั ฒมณฑลของขณั ฑ ค่ันดุจคันนาขวาง เรียกวาอัฑฒกุสิ, มณฑล กับอัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ นน้ั อยทู คี่ อ, ขณั ฑถ ดั ออกมาทง้ั ๒ ขา ง รวมเปนขัณฑหน่ึง โดยมีเสนค่ัน ชอื่ ชงั เฆยยกะ เพราะอฑั ฒมณฑลของ ระหวางขณั ฑน น้ั กับขณั ฑอ นื่ อยสู อง ๒ ขณั ฑน น้ั อยทู แ่ี ขง ในเวลาหม , ขณั ฑ ขางของขัณฑ ดุจคันนายืน เรียกวา กสุ ,ิ ถดั ออกมาอกี ทงั้ ๒ ขา ง ชอื่ พาหนั ตะ เม่ือรวมเปนจีวรครบผืน (นิยมเรียง เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ขณั ฑน นั้ อยู ขัณฑท่ีตอกัน ใหดานมณฑลกับดาน ทแี่ ขนในเวลาหม ); ตอ มา มีเหตุการณอ นั อฑั ฒมณฑลสลับกัน) มีผา ขอบจวี รทั้งส่ี เปนกรณีตางหาก ซึ่งเปนขอปรารภให ดา น เรียกวา อนวุ าต (แปลวาพล้ิวตาม ลม, อนวุ าตกเ็ ปน กุสอิ ยางหนง่ึ ); ขณั ฑ แตละขัณฑมีชื่อเรียกเฉพาะตางกันไป
จีวรกรรม ๖๖ จุณณยิ บท ทรงอนญุ าตลกู ดุม (คณั ฐกิ า) และรังดุม ยังไมไ ดทาํ จวี ร หรอื ทําคา งหรอื หายเสีย (ปาสกะ) (วินย.๗/๑๖๖/๖๕); ดู ไตรจีวร, ในเวลาทํา แตยังไมสิ้นความหวังวาจะ ขัณฑ ไดจ วี รอีก จีวรกรรม การทําจีวร, งานเกี่ยวกับจวี ร จีวรภาชก “ผูแจกจีวร”, ภิกษุท่ีสงฆ เชน ตัด เย็บ ยอ ม เปน ตน สมมติ คือแตงตงั้ ใหเ ปน เจา หนาทแ่ี จก จวี รการสมัย คราวที่พระทําจวี ร, เวลาท่ี จีวร, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจา อธิการแหง จวี ร กําลงั ทําจีวร จวี รกาล ฤดูถวายจวี ร, ฤดูถวายผา แก จีวรมรดก จีวรของภิกษุหรือสามเณรผู พระสงฆ; ดู จวี รกาลสมัย ถงึ มรณภาพ (มตกจีวร) สงฆพงึ มอบให จีวรกาลสมัย สมัยหรือคราวท่ีเปนฤดู แกค ิลานปุ ฐาก (ผูพยาบาลคนไข) ดวย ถวายจวี ร; งวดหน่ึง สําหรับภิกษทุ มี่ ไิ ด ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม อยา งไรกต็ าม อรรถกถา กรานกฐิน ต้ังแตแรมคํา่ หน่ึงเดอื น ๑๑ แสดงมติไววา กรณีเชนนี้เปนกรรมไม ถึงเพ็ญเดือนสิบสอง (คือเดือนเดียว), สาํ คญั นกั จะทาํ ดว ยอปโลกนกรรม กค็ วร อีกงวดหนึง่ สําหรบั ภิกษุที่ไดก รานกฐิน จวี รลาภ การไดจ วี ร แลว ตง้ั แตแรมคํา่ หนง่ึ เดอื น ๑๑ ไปจน จวี รวรรค ตอนท่ีวาดวยเรอื่ งจีวร เปน หมดฤดูหนาวคือถึงข้ัน ๑๕ คา่ํ เดอื น ๔ วรรคที่ ๑ แหงนสิ สคั คิยกัณฑ (รวม ๕ เดอื น) จีวรอธิษฐาน จีวรครอง, ผาจํากัด จีวรทานสมัย สมัยที่เปนฤดูถวายจีวร จาํ นวน ๓ ผนื ท่ีอธษิ ฐาน คือกําหนดไว ตรงกบั จวี รกาลสมัย ใชประจําตัวตามที่พระวินัยอนุญาตไว; จวี รนทิ หกะ “ผเู กบ็ จวี ร”, ภกิ ษุท่ีสงฆ ตรงขา มกับ อตเิ รกจวี ร สมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่เก็บ จีวรักขนั ธกะ ชอ่ื ขนั ธกะที่ ๘ แหงคัมภรี รักษาจีวร, เปนตําแหนงหน่ึงในบรรดา มหาวรรค วนิ ัยปฎ ก วา ดว ยเร่ืองจวี ร เจา อธกิ ารแหงจวี ร จุณณ ละเอียด จีวรปฏคิ คาหก “ผูรับจวี ร”, ภิกษุที่สงฆ จณุ ณยิ บท คาํ รอ ยแกว , ขอ ความรอ ยแกว สมมติ คือแตงต้ังใหเปนเจาหนาที่รับ ท่ีกระจายความออกไป ตรงขามกับคาํ จีวร, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจา ประพันธท่ีผูกเปนคาํ รอยกรอง ซึ่งเรยี ก อธิการแหงจีวร วา คาถาพันธ หรอื คาถา; ในการจดั จวี รปลโิ พธ ความกังวลในจวี ร คือภกิ ษุ พุทธพจนเปนประเภทตางๆ ที่เรียกวา
จตุ ิ ๖๗ จุลกฐนิ นวังคสัตถุศาสน พุทธพจนอันเปนคํา เรยี กอีกอยา งวา ทพิ พจักขุ (ขอ ๒ ใน วิสัชนาท่ีเปนจุณณิยบทลวน จัดเปน ญาณ ๓ หรอื วชิ ชา ๓, ขอ ๗ ในวชิ ชา เวยยากรณะ, พทุ ธพจนท เ่ี ปน คาถาลว น ๘, ขอ ๕ ในอภญิ ญา ๖) จดั เปน คาถา, พทุ ธพจนท เ่ี ปน จณุ ณยิ บท จุนทะ พระเถระผูใ หญชัน้ มหาสาวก เปน และมคี าถาระคน จดั เปน เคยยะ; ใน นองชายของพระสารีบุตร เคยเปน ประเพณไี ทย เมอ่ื พระเทศน มธี รรม- อปุ ฏ ฐากของพระพทุ ธองค และเปน ผนู าํ เนียมใหยกขอความบาลีขึ้นมาวา นาํ กอ น อัฐิธาตุของพระสารีบุตรจากบานเกิดที่ และในการเทศนท ว่ั ไป มกั ยกคาถาพทุ ธ ทานปรินิพพานมาถวายแดพระพุทธ- ภาษติ ขนึ้ เปน บทตง้ั เรยี กวา นกิ เขปบท องคท ี่พระเชตวัน แตใ นการเทศนม หาชาติ ซง่ึ เปน เทศนาที่ จุนทกัมมารบุตร นายจุนทะ บุตร มลี กั ษณะเฉพาะพเิ ศษ นยิ มยกขอ ความ ชางทอง ชาวเมืองปาวา ผูถวายสูกร- รอ ยแกว ภาษาบาลจี ากอรรถกถาชาดกมา มทั ทวะ เปนภตั ตาหารครงั้ สดุ ทาย แด กลาวนาํ ทีละเลก็ นอ ยกอนดาํ เนนิ เรือ่ งใน พระพทุ ธเจา ในเชา วนั ปรนิ พิ พาน, จนุ ทะ ภาษาไทยตอ ไป และนคี่ งเปน เหตใุ หเ กดิ กัมมารบุตร ก็เขียน; ดู สูกรมัททวะ, ความเขาใจท่ีเปนความหมายใหมขึ้นใน พทุ ธปรนิ พิ พาน ภาษาไทยวา จุณณยี บท คอื บทบาลี (รอ ย จลุ กฐนิ “กฐนิ นอ ย”, “กฐนิ จวิ๋ ”, กฐนิ วนั แกว) เล็กนอย ที่ยกข้ึนแสดงกอนเนื้อ เดยี วเสรจ็ , พธิ ที าํ บญุ ทอดกฐนิ แบบหนงึ่ ความ (พจนานกุ รมเขียนจุณณียบท); ตรง ทีไ่ ดพฒั นาขึ้นมาในประเพณีไทย (บาง ขา มกบั คาถา,คาถาพนั ธ; ดูนวงั คสตั ถศุ าสน ถิ่นเรียกวากฐินแลน) โดยมีกําหนดวา จตุ ิ “เคลอื่ น” (จากภพหน่ึง ไปสภู พอ่ืน), ตอ งทาํ ทกุ อยา งตง้ั แตป น ฝา ย ทอ ตดั ตาย (ในภาษาบาลี ใชไดท ่ัวไป แตใ น เยบ็ เปน จวี รผนื ใดผนื หนง่ึ (ตามปกตทิ าํ ภาษาไทยสวนมากใชแกเทวดา); ใน เปน สบง คงเพราะเปน ผนื เลก็ ทส่ี ดุ ทนั ได ภาษาไทย บางทีเขาใจและใชกันผิดไป งา ย) ยอ ม และนาํ ผา กฐนิ ไปทอดถวายแก ไกล ถงึ กบั เพยี้ นเปน วา เกดิ ก็มี พระสงฆ ใหท นั ภายในวนั เดยี ว (พระสงฆ จุตูปปาตญาณ ปรีชารูจุติและอุบัติของ ไดร บั แลว กจ็ ะทาํ การกรานกฐนิ และ สัตวทัง้ หลาย, มีจักษุทิพยมองเห็นสตั ว อนโุ มทนาเสรจ็ ในวนั นนั้ ตามธรรมดาของ กําลังจุตบิ า ง กาํ ลังเกดิ บาง มีอาการดี พระวนิ ยั การทง้ั หมดของทุกฝายจงึ เปน บา ง เลวบางเปนตน ตามกรรมของตน อันเสร็จในวันเดยี วกนั ), เหตทุ ี่นิยมทํา
จุลกาล ๖๘ จฬุ ามณีเจดีย และถือวาเปนบุญมาก คงเพราะตอง วัตตขันธกะ วาดวยวัตรตางๆ เชน สําเร็จดวยความสามัคคีของคนจํานวน อาคันตุกวตั ร เปนตน ๙. ปาติโมกขฏั - มากท่ีทํางานกันอยางแข็งขันขมีขมัน ฐปนขันธกะ วา ดวยระเบยี บในการงด และประสานกนั อยางดีย่ิง; โดยปริยาย สวดปาฏิโมกขในเมื่อภิกษุมีอาบตั ิตดิ ตัว หมายถงึ งานทต่ี อ งทาํ เรง ดว นอยา งชลุ มนุ มารว มฟง อยู ๑๐. ภกิ ขนุ ขี นั ธกะ วา ดว ย วนุ วายเพอ่ื ใหเ สรจ็ ทนั เวลาอนั จํากัด เร่ืองภิกษุณีเริ่มแตประวัติการอนุญาต จุลกาล ชื่อนองชายของพระมหากาลที่ ใหมีการบวชคร้ังแรก ๑๑. ปญจสติก- บวชตามพ่ชี าย แตไ มไดบ รรลุมรรคผล ขันธกะ วา ดวยเรื่องสงั คายนาครัง้ ที่ ๑ ๑๒. สัตตสตกิ ขันธกะ วา ดวยสงั คายนา สกึ เสียในระหวา ง จลุ คณั ฐี ชอ่ื นกิ ายพระสงฆพ มา นกิ ายหนงึ่ ครง้ั ที่ ๒ (พระไตรปฎกเลม ๖–๗); ตอ จลุ ราชปรติ ร ปรติ รหลวงชดุ เลก็ คอื เจด็ จาก มหาวรรค ตาํ นาน ดู ปรติ ร,ปรติ ต จุลศักราช ศักราชนอย ตั้งขึ้นโดย จลุ วรรค ชอื่ คมั ภรี อ นั เปน หมวดหนงึ่ แหง กษตั ริยพมา องคห นึง่ ใน พ.ศ. ๑๑๘๒ พระวนิ ยั ปฎ ก ซง่ึ มที ง้ั หมด ๕ หมวด คอื ภายหลังมหาศกั ราช, เปนศักราชทเี่ ราใช อาทิกมั ม ปาจติ ตยี มหาวรรค จลุ วรรค กนั มากอ นใชร ัตนโกสินทรศก, นบั รอบ ปริวาร; คมั ภีรจุลวรรค มี ๑๒ ขันธกะ ปต ง้ั แต ๑๖ เมษายน ถงึ ๑๕ เมษายน คอื ๑. กัมมขันธกะ วาดว ยเร่อื งนคิ ห- เขยี นยอ วา จ.ศ. (พ.ศ. ๒๕๒๒ ตรงกบั กรรม ๒. ปาริวาสิกขันธกะ วาดวยวตั ร จ.ศ.๑๓๔๐–๑๓๔๑) ของภิกษผุ ูอยูปริวาส ผปู ระพฤตมิ านตั จุลศีล ดู จูฬมชั ฌิมมหาศลี และผเู ตรยี มจะอพั ภาน ๓.สมจุ จยขนั ธกะ จุฬามณีเจดีย พระเจดียที่บรรจุพระ วาดวยระเบียบปฏิบัติตางๆ ในการ จุฬาโมลี (มวยผม) ของพระพทุ ธเจาใน ประพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ ี ๔. สมถขนั ธกะ วา ดาวดงึ สเทวโลก อรรถกถาเลาวา เมื่อ ดวยการระงบั อธกิ รณ ๕. ขทุ ทกวตั ถ-ุ พระโพธิสัตวเสด็จออกบรรพชา เสด็จ ขนั ธกะ วา ดว ยขอ บญั ญตั ปิ ลกี ยอ ยจาํ นวน ขามแมน้ําอโนมาแลวจะอธิษฐานเพศ มาก เชน การปลงผม ตดั เลบ็ ไมจ้มิ ฟน บรรพชติ ทรงตดั มวยพระเกศาขวา งไปใน ของใชต า งๆ เปน ตน ๖. เสนาสนขนั ธกะ อากาศ พระอนิ ทรน าํ ผอบแกวมารองรบั วา ดว ยเรอ่ื งเสนาสนะ ๗. สงั ฆเภทขนั ธกะ เอาไปประดิษฐานในพระเจดียจุฬามณี วาดวยสังฆเภทและสังฆสามัคคี ๘. ตอมาเม่ือพระพุทธเจาเสด็จดับขันธ-
จฬู ปน ถกะ ๖๙ จฬู มชั ฌิมมหาศีล ปรินิพพานแลว ในขณะแจกพระบรม- (ปรากฏในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค คือ พระไตรปฎ กบาลอี กั ษรไทย เลม ๙ ทง้ั สารีริกธาตุ พระอินทรไดมานําเอาพระ ๑๓ สตู ร มีสาระเหมอื นกันหมด) และ ทาฐธาตุ (พระเขยี้ วแกว ) ขา งขวาทโ่ี ทณ- เน่ืองจากมีรายละเอียดมากมาย พระ พราหมณซ อ นไวใ นผา โพกศรี ษะ ใสผ อบ ธรรมสังคาหกาจารยจึงจัดเปน ๓ หมวด และตัง้ ชื่อหมวดอยางท่ีกลาวนนั้ ทอง นาํ ไปบรรจใุ นจุฬามณีเจดียด วย ตามลําดับ, ในพระสตู รแรกท่ตี รัสแสดง จูฬปนถกะ พระมหาสาวกองคหนึ่งใน ศลี ชุดนี้ (คอื พรหมชาลสูตร) พระองค อสีติมหาสาวก เปนบตุ รของธิดาเศรษฐี ตรัสเพื่อใหรูกันวา เร่ืองที่ปุถุชนจะเอา มากลา วสรรเสริญพระองค กค็ ือความมี กรงุ ราชคฤห และเปนนองชายของมหา- ศีลอยางน้ี ซง่ึ แทจ ริงแลว เปน เร่ืองตํา่ ๆ เล็กนอ ย แตเ รื่องทีจ่ ะใชเปนขอสําหรบั ปนถกะ ออกบวชในพระพุทธศาสนา สรรเสริญพระองคไดถูกตองนั้น เปน เร่ืองลกึ ซงึ้ ซ่งึ บณั ฑิตจะพึงรู คือการท่ี ปรากฏวามีปญญาทึบอยางยิ่ง พ่ีชาย ทรงมีพระปญญาที่ทําใหขามพนทิฏฐิท่ี ผดิ ทง้ั ๖๒ ประการ สวนในพระสตู ร มอบคาถาเพียง ๑ คาถาใหทอ งตลอด นอกน้ัน ตรสั ศลี ชุดนี้เพ่อื ใหเหน็ ลาํ ดบั การปฏิบัติของบุคคลที่มีศรัทธาออก เวลา ๔ เดอื น กท็ อ งไมไ ด จึงถูกพช่ี าย บวชแลว วา จะดาํ เนนิ กา วไปอยา งไร โดย เริม่ ดว ยเปนผถู ึงพรอ มดว ยศลี สาํ รวม ขับไล เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระ อินทรีย ประกอบดวยสติสัมปชัญญะ เปนผูสนั โดษ เมื่อพรอ มอยางน้แี ลว ก็ พทุ ธเจา พระองคต รสั ปลอบแลว ประทาน เจริญสมาธิ จนเขาถึงจตุตถฌาน แลว โนมจิตที่เปนสมาธิดีแลวน้ัน ใหมุงไป ผาขาวบริสุทธ์ิใหไปลูบคลําพรอมทั้ง เพื่อญาณทัศนะ แลวกาวไปในวชิ ชา ๘ บรกิ รรมสั้นๆ วา “รโชหรณํ ๆ ๆ” ผา ประการ จนบรรลอุ าสวกั ขยญาณในทสี่ ดุ น้ันหมองเพราะมือคลาํ อยูเสมอ ทําให โดยเฉพาะในขน้ั ตน ทต่ี รสั ถงึ ศลี นน้ั พระ องคไ ดท รงตั้งเปน คาํ ถามวา “ภกิ ษเุ ปน ผู ทานมองเห็นไตรลักษณ และไดสําเร็จ พระอรหตั ทา นมคี วามชาํ นาญแคลว คลอ ง ในอภญิ ญา ๖ ไดร บั ยกยอ งเปน เอตทคั คะ ในบรรดาผฉู ลาดในเจโตววิ ฏั ฏ; ช่ือทาน เรียกงา ยๆ วา จฬู บนั ถก, บางแหงเขยี น เปน จลุ ลบนั ถก จฬู มชั ฌมิ มหาศลี จูฬศีล (ศีลยอย) มชั ฌมิ ศีล (ศีลกลาง) และมหาศีล (ศีล ใหญ), หมายถึงศีลท่ีเปนหลักความ ประพฤติของพระภิกษุ ซ่งึ พระพทุ ธเจา ตรัสแจกแจงไวในพระสูตรบางสูตร
จฬู มชั ฌมิ มหาศลี ๗๐ จฬู มัชฌมิ มหาศีล ถงึ พรอ มดว ยศลี อยา งไร?” จากนน้ั จึงได ท่ีตรสั ไว ยืดยาว มรี ายละเอียดมาก ใน ทรงแจกแจงรายละเอยี ดในเรอื่ งศลี อยา ง ท่ีนี้ จะแสดงเพียงหัวขอท่ีจะขยายเอง มากมาย ดงั ทเี่ รยี กวา จฬู ศลี มชั ฌิมศีล ได หรือพอใหเ หน็ เคา ความ (ผตู องการ และมหาศลี ทก่ี ลาวนี้ รายละเอียด พึงดู ที.สี.๙/๓-๒๕/๕-๑๕; ๑๐๓–๑๒๐/๘๓–๙๒) พึงสังเกตวา ในพระสูตรท้ังหลาย ทรงจํากัดความ หรือแสดงความหมาย จฬู ศีล ของ “ภกิ ษผุ ถู งึ พรอ มดว ยศลี ” ดวยจูฬ- ๑ . ล ะ ป า ณ า ติ บ า ต … ๒ . ล ะ มัชฌิมมหาศีลชุดน้ี หรือไมก็ตรัส อทนิ นาทาน… ๓.ละอพรหมจรรย… ๔. อธิบายเพียงส้ันๆ วา (เชน องฺ.จตุกฺก.๒๑/ ละมุสาวาท… ๕.ละปสุณาวาจา… ๖. ๓๗/๕๐) “ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เปน ผมู ีศีล ละผรุสวาจา… ๗.ละสมั ผปั ปลาปะ… ๘. สํารวมดวยปาฏิโมกขสังวร ถึงพรอม เวนจากการพรากพีชคามและภูตคาม ดว ยอาจาระและโคจร มปี รกตเิ หน็ ภยั ใน ๙.ฉันมื้อเดียว…งดจากการฉันในเวลา โทษแมแคน ดิ หนอย สมาทานศกึ ษาอยู วิกาล ๑๐.เวนจากการฟอนรําขับรอง ในสิกขาบททั้งหลาย” สวนในอรรถกถา ประโคมดนตรีและดูการเลนอันเปน มบี อยคร้งั (เชน ม.อ.๒/๑๒/๕๔; ส.ํ อ.๓/๑๕๔/ ขาศึกแกกุศล ๑๑.เวนจากการทัดทรง ๑๙๗; อติ ิ.อ.๕๖/๕๔๕) ทอ่ี ธบิ าย “ความถงึ ประดับและตกแตงรางกายดวยดอกไม พรอ มดว ยศลี ”วา หมายถึงปาริสทุ ธศิ ีล ๔ ของหอมและเครอ่ื งประเทอื งผิว อันเปน แตทัง้ หมดนน้ั กเ็ ปน เพยี งวิธอี ธิบาย ซ่ึง ฐานแหง การแตง ตัว ๑๒.เวนจากการน่งั ในทส่ี ุดกไ็ ดส าระอนั เดียวกนั กลา วคือ นอนบนทน่ี ่งั ท่ีนอนอนั สงู ใหญ ๑๓.เวน ศีลทต่ี รัสในพระสูตร ไมว าโดยยอหรือ จากการรับทองและเงนิ ๑๔.เวนจากการ โดยพสิ ดาร และศีลทีอ่ รรถกถาจดั เปน รับธัญญาหารดิบ ๑๕.เวนจากการรับ ชุดขึ้นมานัน้ กค็ อื ความประพฤติท่ีเปน เนื้อดิบ ๑๖.เวนจากการรับสตรีและ วิถีชีวิตของพระภิกษุ ซึ่งเปนจุดหมาย กุมารี ๑๗.เวน จากการรับทาสีและทาส ของการบัญญัติประดาสิกขาบทในพระ ๑๘.เวนจากการรับแพะและแกะ ๑๙. วนิ ยั ปฎก และเปน ผลท่จี ะเกิดมีเมื่อได เวนจากการรบั ไกแ ละสุกร ๒๐.เวนจาก ปฏิบตั ิตามสกิ ขาบทเหลา น้นั การรบั ชาง โค มา และลา ๒๑.เวนจาก การรับไรนาและทีด่ นิ ๒๒.เวน จากการ เน่อื งจากจฬู ศลี (ในภาษาไทย นยิ ม ประกอบทูตกรรมรับใชเดินขาว ๒๓. เรยี กวา จลุ ศลี ) มชั ฌิมศลี และมหาศีล
จฬู วงส ๗๑ จฬู วงส เวน จากการซอ้ื การขาย ๒๔.เวน จากการ ลักษณะสตั ว) ๓.เวน จากมจิ ฉาชีพดวย โกงดวยตาช่ัง การโกงดวยของปลอม ตริ จั ฉานวิชา (จําพวกดฤู กษดชู ยั ) ๔.เวน และการโกงดวยเคร่อื งตวงวดั ๒๕.เวน จากมิจฉาชพี ดวยตริ ัจฉานวชิ า (จําพวก จากการรบั สนิ บน การลอ ลวง และการ ทาํ นายจนั ทรคราส สรุ ยิ คราส อกุ กาบาต ตลบตะแลง ๒๖.เวนจากการเฉือนห่ัน และนักษัตรที่เปนไปและที่ผิดแปลก ฟน ฆา จองจาํ ตีชิง ปลน และกรรโชก ตา งๆ) ๕.เวน จากมจิ ฉาชพี ดว ยตริ จั ฉาน- มชั ฌมิ ศลี วชิ า (จําพวกทํานายชะตาบานเมือง เรอื่ ง ๑.เวนจากการพรากพีชคามและภูต- ฝนฟา ภัยโรค ภัยแลง ภยั ทพุ ภกิ ขา คาม (แจกแจงรายละเอยี ดดวย มใิ ชเ พียงกลา ว เปนตน) ๖.เวนจากมิจฉาชีพดวย กวางๆ อยา งในจูฬศีล, ในขอตอ ๆ ไป ก็เชนกัน) ตริ จั ฉานวชิ า (จาํ พวกใหฤ กษ แกเ คราะห ๒. เวนจากการบริโภคของที่ทําการ เปนหมอเวทมนตร ทรงเจา บวงสรวง สู สะสมไว ๓.เวนจากการดูการเลนอัน ขวญั ) ๗.เวน จากมจิ ฉาชพี ดว ยตริ จั ฉาน- เปนขาศึกแกกุศล ๔.เวนจากการพนัน วชิ า (จําพวกทาํ พิธบี นบาน แกบ น ทาํ พิธี อันเปนท่ีต้ังแหงความประมาท ๕.เวน ต้งั ศาล ปลกู เรือน บําบวงเจา ที่ บชู าไฟ จากการนั่งนอนบนท่ีน่ังที่นอนอันสูง เปน หมอยา หมอผาตัด) ใหญ ๖.เวนจากการมัววุนประดับตก จะเหน็ วา จฬู มชั ฌมิ มหาศีลท้ังหมด แตง รางกาย ๗.เวนจากตริ จั ฉานกถา (ดู น้ี เนนศีลดานท่ีทานจัดเปนอาชีวปาริ- ติรัจฉานกถา) ๘.เวนจากถอยคําทุม สุทธิศีล และที่ตรัสรายละเอียดไวม าก เถียงแกงแยง ๙.เวนจากการประกอบ ในพระสตู รกลุม น้ี นาจะเปน เพราะทรง ทตู กรรมรับใชเ ดนิ ขาว ๑๐.เวนจากการ มุงใหเห็นวิถีชีวิตและลักษณะความ พูดหลอกลวงเลยี บเคยี งทาํ เลศหาลาภ ประพฤติของพระสงฆในพระพุทธ มหาศีล ศาสนา ท่แี ตกตา งจากสภาพของนักบวช ๑.เวนจากมิจฉาชีพดวยติรัจฉานวชิ า มากมายท่ีเปนมาและเปนไปในสมัยน้ัน; (จําพวกทํานายทายทัก ทาํ พิธีเก่ียวกับ ดู ปารสิ ทุ ธิศีล, ดิรัจฉานวชิ า โชคลาง เสกเปา เปน หมอดู หมองู จูฬวงส ช่ือหนังสือพงศาวดารลังกา หมอผี, แจงรายละเอียด มตี ัวอยา งมาก) ๒. คมั ภีร “เลก็ ” แตงโดยพระเถระหลายรูป เวนจากมิจฉาชีพดวยติรัจฉานวิชา พรรณนาความเปนมาของพระพุทธ (จําพวกทายลักษณะคน ลักษณะของ ศาสนาและชาติลังกา ตอจากคัมภีร
จฬู เวทลั ลสตู ร ๗๒ เจตนา มหาวงส ตงั้ แต พ.ศ.๘๔๕ จนถงึ พ.ศ. เคยทรงใชสอย ๓. ธรรมเจดีย บรรจุ ๒๓๕๘ ในสมัยท่ีถูกอังกฤษเขาครอง พระธรรม คอื พทุ ธพจน ๔. อทุ เทสกิ - เปน อาณานคิ ม (จฬู วงส ก็คอื ภาค ๒ เจดยี คอื พระพทุ ธรปู ; ในทางศลิ ปกรรม ของมหาวงสนน่ั เอง) ไทยหมายถึงสิ่งที่กอเปนยอดแหลมเปน จฬู เวทลั ลสตู ร ชอื่ สตู รหนง่ึ ในมชั ฌมิ นกิ าย ทบ่ี รรจุสิ่งที่เคารพนบั ถือ เชน พระธาตุ มูลปณณาสก แหงพระสุตตันตปฎก และอัฐิบรรพบรุ ษุ เปนตน แสดงโดยพระธรรมทินนาเถรี เปนคํา เจตนา ความต้งั ใจ, ความมุงใจหมายจะ ตอบปญหาทีว่ ิสาขอุบาสกถาม ทาํ , เจตจํานง, ความจํานง, ความจงใจ, จูฬศลี ดูที่ จูฬมชั ฌมิ มหาศลี เปน เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เปน ตัว จฬู สงั คาม ช่ือตอนหนง่ึ ในคัมภีรปริวาร นาํ ในการคดิ ปรงุ แตง หรอื เปน ประธาน แหง พระวนิ ยั ปฎก ในสังขารขันธ และเปน ตัวการในการทาํ จูฬสุทธันตปริวาส “สุทธันตปริวาส กรรม หรือกลาวไดวาเปนตัวกรรมที อยา งเลก็ ” หมายความวา ปรวิ าสทภ่ี กิ ษุ เดียว ดังพทุ ธพจนว า “เจตนาหํ ภกิ ฺขเว กมมฺ ํ วทามิ” แปลวา “เรากลา วเจตนาวา ตองอาบัติสังฆาทิเสสหลายคราวดวย กนั จําจํานวนอาบตั ิและวนั ทีป่ ดไดบ า ง เปนกรรม”; เจตนา ๓ คือ เจตนาใน ๓ อยปู ริวาสไปจนกวาจะเห็นวาบริสุทธิ์ กาล ซ่ึงใชเปน ขอ พจิ ารณาในเร่ืองกรรม เจด็ ตาํ นาน “เจด็ เรอื่ ง” คอื พระปรติ รทม่ี ี และการใหผ ลของกรรม ไดแก ๑. ปพุ พ- เจตนาเจตนากอ นจะทาํ ๒.สนั นฏิ ฐาปก- อาํ นาจคุมครองปองกันตามเรื่องตนเดิม เจตนา เจตนาอันใหสําเร็จการกระทํา หรือใหสําเร็จความมุงหมาย ๓. อปร- ทเ่ี ลา ไว ซง่ึ ไดจ ดั รวมเปน ชดุ รวม ๗ เจตนา เจตนาสบื เนือ่ งตอ ๆ ไปจากการ พระปรติ ร; อกี นยั หนง่ึ วา “เจด็ ปรติ ร” แต ตามความหมายน้ี นา จะเขยี น เจด็ ตาํ นาณ คอื เจด็ ตาณ (ตาณ=ปรติ ต, แผลงตาณ กระทําน้ัน (อปราปรเจตนา ก็เรียก), เปน ตาํ นาณ); ดู ปรติ ร, ปรติ ต เจตนา ๓ น้ี เปนคาํ ในช้นั อรรถกถา แต เจดยี ทเี่ คารพนบั ถอื , บคุ คล สถานที่ ก็โยงกบั พระไตรปฎ ก โดยเปน การสรุป หรอื วตั ถทุ ค่ี วรเคารพบชู า, เจดยี เ กย่ี วกบั ความในพระไตรปฎ กบา ง เปนการสรร พระพทุ ธเจา มี ๔ อยา งคอื ๑. ธาตเุ จดยี ถอยคําที่จะใชอธิบายหลักกรรมตาม บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ ๒. บรโิ ภค- พระไตรปฎ กนน้ั บา ง เฉพาะอยา งยงิ่ ใช เจดีย คือสิ่งหรือสถานท่ีที่พระพุทธเจา แนะนําเปนหลักในการท่ีจะทําบุญคือ
เจตภตู ๗๓ เจโตปริยญาณ กรรมทีด่ ี ใหไดผ ลมาก และมกั เนน ใน ใหแลว ก็ชื่นชมปลื้มใจ”; ดู กรรม, เร่อื งทาน (แตใ นเรือ่ งทานน้ี เจตนาท่ี ๒ ทกั ขณิ า,เวฬกุ ณั ฏก-ี นนั ทมารดา ทา นมกั เรียกวา “มญุ จนเจตนา” เพอ่ื ให เจตภตู สภาพเปน ผคู ดิ อา น, ตามที่เขาใจ ชัดวาเปนความตั้งใจในขณะใหทาน กัน หมายถึงดวงวิญญาณหรือดวงชีพ จรงิ ๆ คอื ขณะทีป่ ลอยของออกไป แทน อันเทยี่ งแทท ส่ี งิ อยูในตวั คน กลาวกนั วา ท่ีจะใชวาสนั นฏิ ฐาปกเจตนา หรือความ ออกจากรางไดในเวลานอนหลับ และ จงใจอนั ใหสําเร็จการกระทํา ซ่งึ ในหลาย เปนตัวไปเกิดใหมเมื่อกายน้ีแตกทําลาย กรณี ไมตรงกับเวลาของเหตุการณ เชน เปน คาํ ทไ่ี ทยเราใชเ รยี กแทนคาํ วา อาตมนั คนที่ทําบาปโดยขุมหลุมดักใหคนอื่นตก หรือ อัตตา ของลัทธพิ ราหมณ และเปน ลงไปตาย เม่ือคนตกลงไปตายสมใจ ความเชือ่ นอกพระพทุ ธศาสนา เจตนาท่ีลุผลใหขุดหลุมดักสําเร็จในวัน เจตสิก ธรรมทป่ี ระกอบกบั จิต, อาการ กอน เปนสนั นฏิ ฐาปกเจตนา) ดงั ทท่ี าน หรอื คุณสมบตั ติ า งๆ ของจิต เชน ความ สอนวา ควรถวายทานหรือใหท านดวย โลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เจตนาในการให ท่ีครบทัง้ ๓ กาล คือ เมตตา สติ ปญ ญา เปนตน มี ๕๒ ๑. กอนให มีใจยนิ ดี (ปพุ พเจตนา หรอื อยาง จดั เปน อญั ญสมานาเจตสิก ๑๓ บพุ เจตนา) ๒. ขณะให ทาํ ใจผองใส อกศุ ลเจตสกิ ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕; (มญุ จนเจตนา) ๓. ใหแ ลว ชนื่ ชมปลม้ื ใจ ถา จดั โดยขนั ธ ๕ เจตสกิ กค็ อื เวทนาขนั ธ (อปรเจตนา), คาํ อธบิ ายของอรรถกถาน้ี สัญญาขันธ และสงั ขารขันธ น่ันเอง ก็อางพุทธพจนในพระไตรปฎกนั่นเอง เจตสิกสุข สุขทางใจ, ความสบายใจ โดยเฉพาะหลกั เรอ่ื งทกั ขณิ าทพ่ี รอ มดว ย แชมชนื่ ใจ; ดู สขุ องค ๖ อนั มผี ลยงิ่ ใหญ ซงึ่ ในดา นทายก เจตี แควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควน ใหญ หรอื ทายกิ า คอื ฝา ยผใู ห มอี งค ๓ ดงั ที่ แหง ชมพูทวปี ต้ังอยลู มุ แมน้ําคงคา ตดิ พระพุทธเจาตรัสในเรื่องการถวายทาน ตอ กบั แควน วงั สะ นครหลวงชอื่ โสตถวิ ดี ของเวฬุกัณฏกีนันทมารดา(อง.ฉกฺก.๒๒/ เจโตปริยญาณ ปรีชากําหนดรูใจผูอื่น ๓๐๘/๓๗๕) วา “ปพุ เฺ พว ทานา สมุ โน ได, รูใจผูอ่ืนอานความคิดของเขาได โหติ กอ นให ก็ดใี จ, ทท จติ ตฺ ปสา เชน รวู า เขากําลังคิดอะไรอยู ใจเขาเศรา เทติ กําลังใหอ ยู กท็ ําจติ ใหผุดผอ ง หมองหรือผอ งใส เปน ตน (ขอ ๕ ใน เลอ่ื มใส, ทตฺวา อตฺตมโน โหติ ครั้น วิชชา ๘, ขอ ๓ ในอภญิ ญา ๖)
เจโตวมิ ุตติ ๗๔ เจาอธกิ ารแหง อาหาร เจโตวมิ ุตติ ความหลุดพน แหง จิต, การ อธกิ ารแหง เสนาสนะ ๔. เจา อธกิ ารแหง หลุดพนจากกิเลสดวยอํานาจการฝกจิต อาราม ๕. เจา อธกิ ารแหง คลงั หรอื ดว ยกําลงั สมาธิ เชน สมาบัติ ๘ เจา อธกิ าร 1. ดู อธิการ 2. เจาหนาท่,ี ผู เปนเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต ไดรับมอบหมายหรือแตงต้ังใหมีหนาที่ (สันตเจโตวมิ ุตติ) รบั ผดิ ชอบในเรอ่ื งราวหรือกิจการน้นั ๆ เจรญิ พร คาํ เรม่ิ และคาํ รบั ทภ่ี กิ ษสุ ามเณร เจาอธิการแหงคลัง ภิกษุท่ีสงฆสมมติ ใชพูดกับคฤหัสถผูใหญและสุภาพชน คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่เกี่ยวกบั คลงั ทัว่ ไป ตลอดจนใชเปน คาํ ขึ้นตน และลง เกบ็ พสั ดขุ องสงฆ มี ๒ อยา ง คอื ผู ทายจดหมายที่ภิกษุสามเณรมีไปถึง รกั ษาคลงั ทเี่ กบ็ พสั ดขุ องสงฆ (ภณั ฑา- บุคคลเชนนั้นดวย (เทียบไดกับคําวา คารกิ ) และผจู า ยของเลก็ นอ ยใหแ กภ กิ ษุ เรยี น และ ครบั หรอื ขอรับ) ทง้ั หลาย (อปั ปมัตตวสิ ัชกะ) เจรญิ วปิ ส สนา ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนา, บาํ เพญ็ เจาอธิการแหงจีวร คือ ภิกษุท่ีสงฆ วิปส สนา, ฝก อบรมปญญาโดยพิจารณา สมมติ คือแตงตง้ั ใหเ ปน เจาหนาที่เกยี่ ว สงั ขาร คอื รปู ธรรมและนามธรรมทง้ั กับจีวร มี ๓ อยา ง คอื ผรู ับจีวร หมดแยกออกเปนขันธๆ กําหนดดวย (จวี รปฏคิ าหก) ผเู กบ็ จวี ร (จวี รนทิ หก) ผู ไตรลักษณวาไมเที่ยงเปนทุกข เปน แจกจวี ร (จวี รภาชก) อนัตตา เจาอธิการแหงเสนาสนะ ภิกษุที่สงฆ เจากรม หัวหนา กรมในราชการ หรอื ใน สมมติ คือแตง ต้งั ใหเปนเจาหนา ทเ่ี กยี่ ว เจานายท่ที รงกรม กบั เสนาสนะ แยกเปน ๒ คอื ผแู จก เจาภาพ เจาของงาน เสนาสนะใหภ กิ ษถุ อื (เสนาสนคาหาปก) เจา สงั กดั ผมู ีอํานาจในหมูคนทข่ี น้ึ อยูกบั และผจู ดั ตงั้ เสนาสนะ (เสนาสนปญ ญาปก) ตน เจาอธิการแหงอาราม ภิกษุท่ีสงฆ เจา หนา ทท่ี าํ การสงฆ ภกิ ษผุ ไู ดร บั สมมติ สมมติ คอื แตงตงั้ ใหเ ปนเจา หนา ทเ่ี กี่ยว คือแตงตั้งจากสงฆ (ดวยญัตติทุติย- กบั กิจการงานของวดั แยกเปน ๓ คอื กรรมวาจา) ใหท าํ หนา ทต่ี า งๆ เกย่ี วกบั ผูใชคนงานวัด (อารามิกเปสก) ผูใช การของสว นรวมในวดั ตามพระวนิ ยั แบง สามเณร (สามเณรเปสก) และผดู แู ล ไวเ ปน ๕ ประเภท คอื ๑. เจา อธกิ ารแหง การปลกู สราง (นวกัมมิก) จวี ร ๒. เจา อธกิ ารแหง อาหาร ๓. เจา เจาอธิการแหงอาหาร ภิกษุที่สงฆ
เจาอาวาส ๗๕ ฉัน สมมติ คอื แตงตั้งใหเ ปน เจาหนาทีเ่ กยี่ ว โจทนากัณฑ ชื่อตอนหนึ่งในคัมภีร กบั อาหาร มี ๔ อยา ง คอื ผจู ดั แจกภตั ปริวารแหง พระวนิ ยั ปฎ ก (ภตั ตเุ ทศก) ผแู จกยาคู (ยาคภุ าชก) และ โจรกรรม การลัก, การขโมย, การ ผูแจกของเคย้ี ว (ขัชชภาชก) กระทาํ ของขโมย เจา อาวาส สมภารวดั , หวั หนา สงฆในวัด โจรดุจผูกธง โจรผูรายทข่ี ้ึนชอื่ โดง ดงั มีอํานาจและหนาท่ีปกครองดูแลอํานวย ใจจดื ขาดเมตตา เชน พอแม มีกําลงั พอ กิจการทุกอยา งเกย่ี วกับวัด ที่จะเล้ียงดูลูกได ก็ไมเล้ียงดูลูกใหสม โจท ฟอ งรอ ง; ทักทว ง; ดู โอกาส ควรแกส ถานะ เปน ตน , ไมเ ออื้ เฟอ แกใ คร โจทก ผฟู อ งรอง ใจดาํ ขาดกรณุ า คอื ตนมีกาํ ลังสามารถ โจทนา กริ ิยาทโี่ จท, การโจท, การฟอง, จะชวยใหพ น ทุกขไดก็ไมช ว ย เชน เห็น การทกั ทว ง, การกลาวหา; คาํ ฟอ ง คนตกน้ําแลวไมช ว ย เปน ตน ฉ ฉกามาพจรสวรรค สวรรคท่ียังเก่ียว ใจรธู รรมารมณแลว ไมด ใี จ ไมเ สียใจ ขอ งกาม ๖ ช้ัน คอื ๑. จาตมุ หาราชิกา วางจิตอเุ บกขา มสี ตสิ ัมปชัญญะอยู (ข.ุ ม. ๒. ดาวดึงส ๓. ยามา ๔. ดุสิต ๕. ๒๙/๔๑๓/๒๘๙) เปนคณุ สมบตั อิ ยา งหน่ึง นมิ มานรดี ๖. ปรนมิ มติ วสวัตตี ของพระอรหนั ต ซง่ึ มอี ุเบกขาดวยญาณ ฉงน สงสยั , ไมแนใ จ, เคลือบแคลง, คือดวยความรูเทาทันถึงสภาวะของส่ิง สนเทห ท้ังหลาย อันทําใหไมถูกความชอบชัง ฉลอง 1. แทน, ตอบแทน 2. ทาํ บญุ ยินดียินรายครอบงําในการรับรูอารมณ สมโภชหรอื บูชา ทั้งหลาย ตลอดจนไมหวั่นไหวเพราะ ฉลองพระบาท รองเทา โลกธรรมทัง้ ปวง; ดู อเุ บกขา ฉลองพระองค เส้ือ ฉอ โกง เชน รับฝากของ คร้ันเจาของมา ฉวี ผิวกาย ขอคืน กลาวปฏิเสธวา ไมไดร ับไว หรือ ฉฬงั คุเบกขา อุเบกขามีองค ๖ คือ ดวย ไดใ หคนื ไปแลว ตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกสูดดม ฉกั กะ หมวด ๖ กล่นิ ลน้ิ ล้มิ รส กายถูกตองโผฏฐัพพะ ฉัน กิน, รับประทาน (ใชส าํ หรบั ภิกษแุ ละ
ฉนั ท ๗๖ ฉนั ทาคติ สามเณร) กลา ววา “ฉนฺทํ ทมมฺ ,ิ ฉนทฺ ํ เม หร, ฉันท คําประพนั ธป ระเภทหน่ึง กาํ หนด ฉนทฺ ํ เม อาโรเจหิ” (ถาผูม อบออ น พรรษากวา เปลี่ยน หร เปน หรถ และ ดวยครุลหุ และกําหนดจํานวนคําตาม เปล่ยี น อาโรเจหิ เปน อาโรเจถ); เฉพาะในการทําอุโบสถ มีขอพิเศษวา ขอ บังคับ ฉนั ทะ 1. ความพอใจ, ความชอบใจ, ความยนิ ด,ี ความตอ งการ, ความรกั ใคร ภิกษุที่อาพาธหรือมีกิจจําเปนจะเขารวม ใฝปรารถนาในสิ่งน้ันๆ (เปนกลางๆ ประชุมไมไดน้ัน นอกจากมอบฉันทะ เปนอกุศลก็ได เปนกุศลก็ได, เปน แลว พงึ มอบปารสิ ทุ ธดิ ว ย (ในสงั ฆกรรม อญั ญสมานาเจตสกิ ขอ ๑๓, ทเ่ี ปน อกศุ ล อน่ื ไมต อ งมอบปารสิ ทุ ธ)ิ , วธิ มี อบปาริ เชน ในคาํ วา กามฉนั ทะ ทเี่ ปน กศุ ล เชน ในคาํ วา อวหิ งิ สาฉนั ทะ) 2. ฉนั ทะ ทใ่ี ช สทุ ธิ คอื มอบแกภ ิกษรุ ูปหนึง่ ควบไปกบั ฉนั ทะ โดยมอบปาริสทุ ธิวา “ปาริสุทธฺ ึ เปน คาํ เฉพาะ มาเดย่ี วๆ โดยทวั่ ไปหมาย ทมฺมิ, ปารสิ ทุ ธฺ ึ เม หร, ปารสิ ทุ ธฺ ึ เม อาโรเจห”ิ และมอบฉันทะอยางท่แี สดง ถงึ กศุ ลฉนั ทะ หรอื ธรรมฉนั ทะ ไดแ ก กตั ตกุ มั ยตาฉนั ทะ คอื ความตอ งการท่ี ขา งตน (ภกิ ษใุ ดทําอโุ บสถทว่ี ัดอน่ื แลว จะทําหรือความอยากทํา(ใหดี) เชน มายังวัดน้ัน ถาเธอไมเขารวมประชุม ฉนั ทะทเี่ ปน ขอ ๑ ใน อทิ ธบิ าท ๔; ตรงขา ม เพ่ือเปนการใหกายสามัคคี ก็พึงมอบ กบั ตณั หาฉนั ทะ คอื ความอยากเสพ ฉนั ทะอยางเดยี ว ไมต อ งมอบปารสิ ทุ ธ)ิ อยากได อยากเอาเพ่ือตัว ที่เปนฝาย ฉนั ทราคะ ความพอใจตดิ ใคร, ความ อกศุ ล 3. ความยนิ ยอม, ความยนิ ยอม ชอบใจจนติด, ความอยากทีแ่ รงขน้ึ เปน ใหท่ีประชุมทาํ กิจน้ันๆ ในเมื่อตนมิได ความตดิ ; ฉันทะ ในท่นี ี้ หมายถงึ อกศุ ล- รวมอยูดวย, เปนธรรมเนียมของภิกษุ ฉันทะ คือตัณหาฉันทะ ซ่ึงในข้ันตน ทอี่ ยูใ นวดั เดยี วกนั ภายในสมี า มสี ิทธิท่ี เมื่อเปนราคะอยางออน (ทุพพลราคะ) จะเขา ประชุมทํากิจของสงฆ พึงเขารวม ก็เรียกแควาเปนฉันทะ แตเม่ือมีกําลัง ประชุมทําสังฆกรรม เวนแตภิกษุใดมี มากขน้ึ กก็ ลายเปน ฉนั ทราคะ คอื ราคะ เหตุจําเปนจะเขารวมประชุมดวยไมได อยา งแรง (พลวราคะ หรอื สเิ นหะ); ดู เชน อาพาธ ก็มอบฉนั ทะคอื แสดงความ ฉันทะ 1. ยนิ ยอมใหสงฆทํากิจนั้นๆ ได, วธิ ีมอบ ฉนั ทาคติ ลาํ เอยี งเพราะรักใคร (ขอ ๑ ฉันทะ คือบอกแกภิกษุรูปหนึ่งโดย ในอคติ ๔)
ฉันทารหะ ๗๗ ฉันนะ ฉนั ทารหะ “ผคู วรแกฉ นั ทะ”, ภกิ ษทุ ส่ี งฆ กนิ ในชว งเชา ถงึ กอ นเทย่ี งวนั และสาย- ควรไดร บั มอบฉนั ทะของเธอ คอื เมอ่ื สงฆ มาสภตั (มอ้ื สาย, สายในภาษาบาลี คอื คาํ เดยี วกบั สายณั ห) ไดแ กอ าหารทกี่ นิ ใน ครบองคป ระชมุ แลว ภกิ ษใุ ดในสมี าน้ันมี ชวงหลังเที่ยงวันถึงกอนอรุณวันใหม สิทธิเขา รว มประชมุ แตเธออาพาธหรอื ตามความหมายนี้ ภกิ ษฉุ นั มอื้ เดยี ว (มี ตดิ กจิ จําเปนไมอ าจมารว มประชุม ภกิ ษุ ภัตเดียว) จึงหมายถึง ฉันอาหารม้ือ น้ันเปนฉันทารหะ (ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง กอ นเท่ยี งวนั ทีว่ ามาน้ี ตรงกบั ขอ ความ พึงรับมอบฉันทะของเธอมาแจงแกสงฆ คือแกท ี่ประชมุ นน้ั ); ดู กมั มปต ตะ บาลีท่ีนํามาใหค รบวา (เชน ที.สี.๙/๑๐๓/๘๔) ฉันนะ อํามาตยคนสนิทผูเปนสหชาติ “เอกภตฺตโิ ก โหติ รตฺตปู รโต วิรโต และเปนสารถีของเจา ชายสทิ ธัตถะในวัน วิกาลโภชนา” (แปลวา: เปนผูฉันมื้อ เดยี ว/มภี ตั เดยี ว งดอาหารคา่ํ คนื เวน เสด็จออกบรรพชา ฉันนะตามเสด็จไป จากโภชนะนอกเวลา) นคี่ อื เมอื่ บอกวา ดว ย ภายหลงั บวชเปน ภกิ ษุ ถอื ตวั วา ฉนั มอ้ื เดยี วแลว กอ็ าจถามวา มอ้ื ไหน จงึ เปนคนใกลชิดพระพุทธเจามาแตเกา พูดกันชวงเวลาใหญคือกลางคืนท่ีตรง กอน ใครวา ไมฟ ง เกดิ ความบอ ยๆ หลัง ขา มกบั กลางวนั ออกไปกอ น แลว กก็ าํ กบั จากพระพุทธเจาปรินิพพานแลว ถูก ทา ยวา ถงึ แมใ นชว งกลางวนั นน้ั กไ็ มฉ นั สงฆลงพรหมทัณฑหายพยศ และได นอกเวลา คอื ไมเ ลยเทยี่ งวนั โดยนยั น้ี สาํ เร็จเปนพระอรหนั ต ฉนั มอื้ เดยี ว ขอความภาษาไทยน้ี ในแง ภิกษุตามปกติจึงเปนผูฉันภัตเดียวคือ ธรรมวินัย ยงั มคี วามหมายกํากวม เมอื่ อาหารมอื้ กอ นเทย่ี งวนั นี้ และอรรถกถา จะทาํ ความเขาใจ พงึ แยกเปน ๒ นัย คอื ๑. ตามคําบรรยายวถิ ีชีวิตของพระ จงึ อธบิ ายวา ฉนั มอื้ เดยี วนี้ ถงึ จะฉนั ๑๐ ภกิ ษุ เชน ในจูฬศลี วา ภิกษุเปน ผู “ฉนั ครง้ั เมอ่ื ไมเ ลยเทยี่ ง กเ็ ปน เอกภตั ตกิ ะ ม้ือเดียว” น้ีคือคําแปลจากคําบาลีวา (เชน ที.อ.๑/๑๐/๗๔) ๒. ภกิ ษทุ ตี่ ามปกติ เปน เอกภตั ตกิ ะฉนั มอื้ เดยี วนแี้ หละ เมอ่ื “เอกภตั ตกิ ะ” ซง่ึ แปลรกั ษาศพั ทว า “มี จะฝกตนใหย่ิงขึ้นไปอีก อาจปฏิบัติให ภตั เดยี ว” ตามวฒั นธรรมของชมพทู วปี เครง ครดั โดยเปน เอกาสนกิ ะ แปลวา สมยั นนั้ ภตั หมายถงึ อาหารทจี่ ดั เปน มอื้ “ผฉู นั ทีน่ ง่ั เดยี ว” หรอื ฉันทอี่ าสนะเดียว ตามชว งเวลาของวนั ซงึ่ มมี อ้ื หลกั ๒ มอ้ื คอื ปาตราสภตั (มอ้ื เชา ) ไดแ กอ าหารที่ หมายความวา ในวนั หนง่ึ ๆ กอ นเทย่ี งนนั้ เม่อื ลงน่งั ฉันจนเสรจ็ ลกุ จากทนี่ ั่นแลว
ฉพั พรรณรังสี ๗๘ เฉวยี ง จะไมฉันอีกเลย น่ีคือฉันม้ือเดียวใน ฉายา 1. เงา, อาการทีเ่ ปน เงาๆ คือไมช ัด ความหมายวาฉันวันละครั้งเดียว (เปน ออกไป, อาการเคลอื บแฝง 2. ช่ือที่พระ ท้ังเอกภัตติกะ และเอกาสนิกะ) และถา อุปชฌายะตั้งใหแกผูขอบวชเปนภาษา ตอ งการ จะถอื ปฏบิ ตั จิ รงิ จงั เปน วตั รเลย บาลี เรียกวา ชอ่ื ฉายา ทีเ่ รียกเชน นี้ กไ็ ด เรยี กวา ถอื ธดุ งค ขอ “เอกาสนกิ งั คะ” เพราะเดมิ เม่อื เสรจ็ การบวชแลว ตอ งมี โดยสมาทานวา (เชน วิสุทฺธิ.๑/๘๕) การวัดฉายาคือเงาแดดดวยการสืบเทา “นานาสนโภชน ปฏิกฺขิปามิ เอกา สนกิ งคฺ สมาทิยาม”ิ (แปลวา : ขา พเจา วาเงาหดหรือเงาขยายแคไหน ช่ัวกี่สืบ งดการฉันท่ีอาสนะตางๆ ขาพเจา เทา การวัดเงาดว ยเทา น้ันเปนมาตรานับ เวลา เรียกวา บาท เม่อื วัดแลวจดเวลา สมาทานองคแหงภิกษุผูมีการฉันท่ี ไวและจดสงิ่ อ่ืนๆ เชน ชือ่ พระอุปชฌายะ อาสนะเดยี วเปน วตั ร) ผทู เี่ ปน เอกาสนกิ ะ พระกรรมวาจาจารย จาํ นวนสงฆ และ อยา งเครง ทส่ี ดุ (เรยี กวา ถอื อยา งอกุ ฤษฏ) ช่อื ผอู ุปสมบท ท้ังภาษาไทยและมคธลง เมอื่ นงั่ ลงเขา ท่ี ตนมอี าหารเทา ใดกต็ าม ในนน้ั ดวย ช่อื ใหมท ี่จดลงตอนวัดฉายา พอหยอนมือลงท่โี ภชนะจะฉัน กไ็ มรับ นนั้ จงึ เรียกวา ชอ่ื ฉายา อาหารเพ่ิมเติมใดๆ อีก จนลุกจากที่ที ฉายาปาราชิก “เงาแหงปาราชิก” คือ เดยี ว; ดู เอกภตั ตกิ ะ, เอกาสนกิ ะ; จฬู ศีล, ประพฤติตนในฐานะที่ลอแหลมตอ ธดุ งค ปาราชกิ อาจเปน ปาราชกิ ได แตจ บั ไม ฉพั พรรณรงั สี รศั มี ๖ ประการ ซง่ึ เปลง ถนัด เรยี กวา ฉายาปาราชิก เปน ผทู ่ี ออกจากพระวรกายของพระพทุ ธเจา คอื สงฆรังเกียจ ๑. นลี ะ เขยี วเหมอื นดอกอญั ชนั ๒. ปต ะ ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ ไมได เหลืองเหมือนหรดาลทอง ๓. โลหิตะ บรรลุโลกุตตรธรรม, หมดโอกาสท่ีจะ แดงเหมือนตะวันออ น ๔. โอทาตะ ขาว บรรลโุ ลกตุ ตรธรรม เหมือนแผนเงนิ ๕. มัญเชฐ สหี งสบาท เฉทนกปาจิตตีย อาบัติปาจิตตยี ท ี่ตอง เหมือนดอกเซงหรือหงอนไก ๖. ตัดส่ิงของที่เปนเหตุใหตองอาบัติเสีย ประภสั สร เลอ่ื มพรายเหมอื นแกว ผลกึ กอ น จงึ แสดงอาบตั ิตก ไดแก สิกขาบท ฉาตกภัย ภัยคอื ความหิว, ภัยอดอยาก, ที่ ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แหง รตนวรรค มกั มากบั ภัยแลง (ทุพพฏุ ฐภิ ัย) หรือภยั (ปาจติ ตยี ขอ ๘๗, ๘๙, ๙๐, ๙๑, ๙๒) ขา วยากหมากแพง (ทุพภิกขภัย) เฉวียง (ในคําวา “ทําผาอุตตราสงค
ชฎา ๗๙ ชมพูทวีป เฉวยี งบา”) ซาย, ในที่นี้หมายถงึ พาด จวี รไวท่บี า ซาย ช ชฎา ผมท่ีเกลาเปนมวยสูงขึ้น, เครื่อง ชนมายุกาล เวลาท่ีดํารงชีวิตอยูแตปที่ ประดบั สาํ หรบั สวมศรี ษะ รปู คลา ยมงกฎุ เกิดมา ชฎลิ นกั บวชประเภทหน่งึ เกลาผมมนุ ชนเมชยะ พระเจา แผน ดนิ ในคร้งั โบราณ เปน มวยสงู ขน้ึ มักถอื ลทั ธบิ ูชาไฟ บาง เคยทําพิธีอัศวเมธ เพื่อประกาศความ คร้ังจดั เขาในพวกฤษี เปนพระเจาจกั รพรรดิ ชฎลิ สามพ่ีนอ ง ดู ชฎิลกัสสปะ ชนวสภสตู ร สตู รหนงึ่ ในคมั ภรี ท ฆี นกิ าย ชฎิลกสั สปะ กัสสปะสามพนี่ อง คือ อรุ -ุ มหาวรรค สตุ ตันตปฎ ก วา ดว ยเรอ่ื งท่ี เวลกัสสปะ นทีกสั สปะ คยากัสสปะ ผู พระเจาพิมพิสารซ่ึงสวรรคตไปเกิดเปน เปน นกั บวชประเภทชฎลิ (ฤๅษกี ัสสปะ ชนวสภยกั ษ มาสําแดงตนแกพ ระพุทธ- สามพีน่ อง) เจา และพระอานนท แลว เลา เหตกุ ารณ ชตุกณั ณมี าณพ ศษิ ยคนหนงึ่ ในจาํ นวน ที่พวกเทวดามาประชุมในสวรรคชั้น ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ท่ีไปทลู ดาวดึงส พากันช่ือชมขาวดีที่เทวดามี ถามปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี จํานวนเพ่ิมขึ้นเพราะคนประพฤติตาม ชตเุ ภสัช พืชทม่ี ียางเปน ยา, ยาทําจาก คาํ สอนของพระพุทธเจา ยางพืช เชน มหาหงิ คุ กาํ ยาน เปน ตน ชมพทู วปี “ทวปี ทกี่ าํ หนดหมายดว ยตน ชนกกรรม กรรมทนี่ าํ ใหเกิด, กรรมท่ี หวา (มตี น หวา เปน เครอ่ื งหมาย) หรอื เปนกุศลหรืออกุศลก็ตามที่เปนตัวแตง ทวปี ทมี่ ตี น หวา ใหญ (มหาชมพ)ู เปน สัตวใหเกิด คือชักนําใหถือปฏิสนธิใน ประธาน”, ตามคตโิ บราณวา มสี ณั ฐาน ภพใหม เมอ่ื ส้ินชีวติ จากภพน้ี (ขอ ๕ คือรูปรางเหมือนเกวียน, เปนชื่อครั้ง ในกรรม ๑๒) โบราณอันใชเรียกดินแดนท่ีกําหนด ชนนี หญงิ ผใู หเกดิ , แม ครา วๆ วา คอื ประเทศอนิ เดยี ในปจ จบุ นั ชนบท “ถิ่นแดนที่ประชาชนไปถึงมาถึง (แตแ ทจ รงิ นน้ั ชมพทู วปี กวา งใหญก วา หรอื ไปมาถงึ กัน” 1. แวน แควน , ประเทศ อนิ เดยี ปจ จบุ นั มาก เพราะครอบคลมุ ถงึ 2. บา นนอก; ดู มหาชนบท, ชมพูทวีป ปากีสถานและอัฟกานิสถาน เปนตน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: