Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

อธิษฐานพรรษา ๔๘๐ อนัตตลกั ขณสูตร คอื ๑. ปญญา ๒. สัจจะ ๓. จาคะ ๔. จองจะเอาของเขา (ขอ ๘ ในกศุ ล- อปุ สมะ หรอื สันติ นยิ มเรยี กชื่อเตม็ ของ กรรมบถ ๑๐) แตละขอ วา ๑. ปญญาธิฏฐาน ๒. สจั จา- อนริยปริเยสนา การแสวงหาท่ีไมเปน ธิฏฐาน ๓. จาคาธิฏฐาน ๔. อุปสมา- อริยะ คอื แสวงหาสง่ิ ที่ยังตกอยใู นชาติ ธิฏฐาน และเรียกรวมวา อธิฏฐาน ๔ ชรามรณะ หรือสิ่งท่ีระคนอยดู ว ยทุกข หรอื จตรุ าธฏิ ฐาน ทงั้ นม้ี หี ลกั การปฏบิ ตั ิ กลาวคอื แสวงหาส่ิงอันทําใหตดิ อยูใ น ตามพทุ ธพจนว า ๑. พงึ ไมป ระมาท[หมนั่ โลก, สาํ หรบั ชาวบานทา นวา หมายถึง ใชหมั่นพัฒนา]ปญญา ๒. พึงรักษา การแสวงหาในทางมิจฉาชพี (ขอ ๑ ใน [อนรุ กั ษ] สจั จะ ๓. พงึ เพมิ่ พนู จาคะ ๔. ปรเิ ยสนา ๒) พึงศึกษาสันติ (เรียงคําอยางบาลีเปน อนวเิ สส หาสว นเหลอื มไิ ด, ไมเ หลือเลย, สนั ตศิ กึ ษา) ส้นิ เชิง อธิษฐานพรรษา ความตั้งใจกําหนดลง อนังคณสตู ร ช่อื สตู รที่ ๕ แหง มชั ฌมิ - ไปวาจะอยูจําพรรษา ณ ท่ีใดที่หนึ่ง นิกาย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎก ตลอดไตรมาส (๓ เดือน); ดู จําพรรษา เปนคําสนทนาระหวางพระสารีบุตรกับ อธิษฐานอุโบสถ อุโบสถท่ีทําดวยการ พระโมคคัลลานะ วา ดวยกเิ ลสอนั ยวน อธิษฐาน ไดแ ก อโุ บสถทภ่ี ิกษุรูปเดยี ว ใจ และความตางแหงผูมีกิเลสยวนใจ ทํา กลา วคอื เมอื่ ในวัดมภี กิ ษรุ ูปเดียว กบั ผูไมมีกเิ ลสยวนใจ ถึงวันอุโบสถ เธอพึงอธิษฐานคือตั้งใจ อนัญญาตญั ญสั สามตี นิ ทรีย (อนัญญ- หรอื กําหนดใจวา “อชฺช เม อุโปสโถ” ตญั ญัสสามตี ินทรยี  ก็เขยี น) ดู อินทรีย แปลวา “วนั นีอ้ ุโบสถของเรา” เรยี กอีก ๒๒ อยางหนึ่งวา ปุคคลอุโบสถ (อโุ บสถ อนตั ตตา ความเปนอนัตตา คอื มใิ ชตวั มิ ของบคุ คล หรอื ทาํ โดยบคุ คล); ดู อโุ บสถ ใชตน (ขอ ๓ ในไตรลักษณ); ดู อนัตต- อนตริ ติ ตะ (อาหาร) ซึ่งไมเปน เดน (ทีว่ า ลักษณะ เปน เดน มี ๒ คอื เปนเดนภกิ ษไุ ข ๑ อนัตตลักขณสูตร ชื่อพระสูตรที่แสดง เปนของทีภ่ ิกษุทําใหเปน เดน ๑) ลักษณะแหงเบญจขนั ธ วาเปน อนตั ตา อนธการ ความมืด, ความโงเ ขลา; เวลา พระศาสดาทรงแสดงแกภิกษุปญจ- คาํ่ วัคคีย ภิกษุปญจวัคคียไดสําเร็จพระ อนภชิ ฌา ไมโลภอยากไดของเขา, ไมคดิ อรหัต ดวยไดฟงอนัตตลักขณสูตรน้ี

อนตั ตลกั ษณะ ๔๘๑ อนาคามมิ รรค (มาในมหาวรรค พระวนิ ยั ปฎ ก และใน อนัตตานุปสสนา การพิจารณาเห็นใน สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระ สภาพท่ีเปนอนัตตา คือหาตัวตนเปน สุตตนั ตปฎก) แกนสารมิได อนัตตลักษณะ ลักษณะที่เปนอนัตตา, อนันต ไมมีท่ีส้ินสุด, มากเหลือเกิน, ลักษณะท่ีใหเห็นวาเปนของมิใชตัวตน มากจนนบั ไมได โดยอรรถตา งๆ เชน ๑. เปน ของสูญ คอื อนนั ตริยกรรม กรรมหนัก, กรรมที่เปน วา งเปลาจากความเปน สัตว บุคคล ตัว บาปหนกั ทสี่ ดุ ตัดทางสวรรค ตัดทาง ตน เรา เขา หรอื การสมมติเปนตา งๆ นิพพาน, กรรมทีใ่ หผ ลคือ ความเดือด (ในแงสังขตธรรม คอื สงั ขาร กเ็ ปนเพียง รอนไมเวน ระยะเลย มี ๕ อยางคอื ๑. การประชุมเขาขององคประกอบที่เปน มาตุฆาต ฆา มารดา ๒. ปตฆุ าต ฆา บดิ า สวนยอยๆ ท้งั หลาย) ๒. เปนสภาพหา ๓. อรหนั ตฆาต ฆา พระอรหนั ต ๔. โลห-ิ เจาของมิได ไมเปนของใครจรงิ ๓. ไม ตุปบาท ทํารายพระพุทธเจาจนถึงยัง อยูในอํานาจ ไมเปนไปตามความ พระโลหิตใหห อขนึ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ทาํ ปรารถนา ไมข้ึนตอการบงั คับบัญชาของ สงฆใหแ ตกกัน ใครๆ ๔. เปน สภาวธรรมท่ดี าํ รงอยหู รอื อนาคต ยังไมม าถงึ , เรอื่ งทีย่ งั ไมมาถึง, เปน ไปตามธรรมดาของมนั (ในแงส งั ขต- เวลาท่ยี งั ไมมาถงึ ธรรม คือสงั ขาร ก็เปน ไปตามเหตุปจ จยั อนาคตังสญาณ ญาณหย่ังรูสวน ข้ึนตอเหตุปจจัย ไมมีอยูโดยลําพังตัว อนาคต, ปรีชากาํ หนดรูคาดผลขางหนา แตเปนไปโดยสัมพันธ อิงอาศัยกันอยู อันสืบเน่ืองจากเหตุในปจจุบันหรือใน กับส่งิ อ่นื ๆ) ๕. โดยสภาวะของมนั เองก็ อนาคตกอ นเวลานน้ั (ขอ ๒ ในญาณ ๓) แยงหรือคานตอความเปนอัตตา มีแต อนาคามิผล ผลท่ีไดรับจากการละ ภาวะท่ีตรงขามกับความเปนอัตตา; ดู สงั โยชน คือ กามราคะ และปฏฆิ ะดวย ทกุ ขลกั ษณะ, อนจิ จลักษณะ อนาคามิมรรค อันทําใหเปนพระ อนัตตสัญญา กําหนดหมายถึงความ อนาคามี เปน อนตั ตาแหงธรรมทง้ั หลาย (ขอ ๒ อนาคามิมรรค ทางปฏบิ ัตเิ พ่อื บรรลุผล ในสญั ญา ๑๐) คือความเปนพระอนาคามี, ญาณคือ อนตั ตา ไมใชอตั ตา, ไมใชต ัวใชตน; ดู ความรูเปนเหตุละโอรัมภาคิยสังโยชน อนตั ตลักษณะ ไดท้ัง ๕ (คอื ละไดเ ด็ดขาดอกี ๒ อยา ง

อนาคามี ๔๘๒ อนาโรจนา ไดแ ก กามราคะ และปฏฆิ ะ เพมิ่ จาก ๓ ศาสนา บรรลุโสดาปตติผล เปนผูมี อยา งทีพ่ ระโสดาบนั ละไดแลว) ศรัทธาแรงกลา สรางวัดพระเชตวัน อนาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ ถวายแดพระพุทธเจาและภิกษุสงฆท่ี อนาคามิผล มี ๕ ประเภท คือ ๑. เมอื งสาวัตถี ซง่ึ พระพทุ ธเจาไดประทับ อันตราปรินิพพายี ผูปรินิพพานใน จําพรรษารวมทั้งหมดถงึ ๑๙ พรรษา ระหวางอายุยังไมถึงก่ึง (หมายถึงโดย ทานอนาถบิณฑิก นอกจากอุปถัมภ กเิ ลสปรนิ พิ พาน) ๒. อปุ หจั จปรนิ พิ พายี ผู ปรินิพพานเม่ือจวนจะถึงสิ้นอายุ ๓. บํารุงพระภิกษุสงฆแลวยังไดสงเคราะห อสงั ขารปรนิ พิ พายี ผนู พิ พานโดยไมต อ งใช ความเพยี รนกั ๔. สสงั ขารปรนิ พิ พายี ผู คนยากไรอนาถาอยางมากมายเปน ประจาํ จึงไดชอื่ วา อนาถบิณฑกิ ซึง่ แปลวา “ผูมีกอนขาวเพื่อคนอนาถา” ปรินิพพานโดยตองใชความเพียรมาก ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะในหมู ๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ผูม กี ระแส ทายกฝายอุบาสก; ดู เชตวัน อนาถา ไมม ีที่พง่ึ , ยากจน, เขญ็ ใจ ในเบอ้ื งบนไปสอู กนิฏฐภพ อนาคาริยวินัย วินัยของอนาคาริก; ดู อนาบัติ ไมเปน อาบตั ิ วนิ ยั ๒ อนาปต ตวิ าร ตอนวา ดวยขอ ยกเวนทีไ่ ม อนาจาร ความประพฤติไมดีไมงามไม ตองปรบั อาบัตนิ ้ันๆ ตามปกตอิ ยทู ายคาํ เหมาะสมแกบรรพชิต แยกเปน ๓ อธิบายสิกขาบทแตละขอในคัมภีรวิภังค ประเภท คอื ๑. การเลน ตา งๆ เชน เลน พระวินยั ปฎ ก อยา งเด็ก ๒. การรอ ยดอกไม ๓. การ อนามัฏฐบิณฑบาต อาหารที่ภิกษุ เรยี นดริ จั ฉานวชิ า เชน ทายหวย ทาํ บิณฑบาตไดม ายงั ไมไ ดฉ นั จะใหแ กผู เสนห  อ่ืนท่ีไมใชภิกษุดวยกันไมได นอกจาก อนาณัตติกะ อาบัติท่ีตองเฉพาะทําเอง มารดาบิดา ไมต องเพราะสง่ั คือสง่ั ใหผอู นื่ ทาํ ไมต อง อนามาส วัตถุอันภิกษุไมควรจับตอง อาบตั ิ เชน สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทที่ ๑ เชน รางกายและเคร่ืองแตงกายสตรี (แตสงั่ ใหทาํ แกต น ไมพนอาบตั ิ) เงินทอง อาวธุ เปนตน อนาถบณิ ฑิก อบุ าสกคนสาํ คัญในสมยั อนาโรจนา “การไมบอก” คอื ไมบ อก พทุ ธกาล เดิมชื่อ สุทตั ต เปนเศรษฐีอยู ประจานตัวแกภิกษุท้ังหลายภายในเขต ทเี่ มอื งสาวตั ถี ตอ มาไดน บั ถอื พระพทุ ธ- ๒ เลฑฑุบาตจากเครื่องลอมหรือจาก

อนาวรณญาณ ๔๘๓ อนทิ สั สนอปั ปฏิฆรูป อปุ จารแหงอาวาส ใหรูท่ัวกนั วาตนตอ ง แปลงแปรสภาพไปเรื่อยๆ ๓. เปน ของ อาบัติสังฆาทิเสส กําลังอยูปริวาสหรือ ช่ัวคราว อยไู ดช่ัวขณะๆ ๔. แยงตอ ประพฤติมานตั ; เปน เหตอุ ยา งหนงึ่ ของ ความเท่ยี ง คือ โดยสภาวะของมันเอง การขาดราตรีแหงมานัตหรือปริวาส ผู ก็ปฏิเสธความเทยี่ งอยใู นตวั ; ดู ทุกข- ประพฤติมานตั ตอ งบอกทุกวนั แตผ อู ยู ลกั ษณะ, อนตั ตลกั ษณะ ปรวิ าส ไมตอ งบอกทกุ วนั ปกตัตตภิกษุ อนิจจสัญญา กําหนดหมายถึงความไม รปู ใดยงั ไมไดร บั บอก เธอบอกแกภกิ ษุ เทีย่ งแหง สงั ขาร (ขอ ๑ ในสญั ญา ๑๐) รูปนั้นคร้ังหน่ึงแลว ไมตองบอกอีก อนิจจงั ไมเ ท่ยี ง, ไมค งท่ี, สภาพที่เกดิ มี ตลอดกาลท่ีอยูในอาวาสหรือในอนาวาส ข้ึนแลวก็ดับลวงไป; ดู อนิจจลักษณะ, น้ัน แตตองบอกในทายอุโบสถ ทาย ไตรลกั ษณ ปวารณา เมอื่ ถงึ วันน้ันๆ และภกิ ษใุ ดไดั อนิฏฐารมณ อารมณท่ีไมนาปรารถนา, รับบอกแลวออกจากอาวาสหรืออนาวาส สิ่งท่ีคนไมอยากไดไมอยากพบ แสดง นั้นไปเมือ่ กลับมาใหมต อ งไดร บั บอกอกี ; ในแงต รงขามกบั กามคณุ ๕ ไดแก รปู ดู รตั ตเิ ฉท เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ที่ไมนา รัก อนาวรณญาณ ปรชี าหยัง่ รูที่ไมมีอะไรๆ ใคร ไมน า ชอบใจ แสดงในแงโ ลกธรรม มาก้นั ได หมายความวา รตู ลอด, รทู ะลุ ไดแก ความเสือ่ มลาภ ความเส่อื มยศ ปรุโปรง เปนพระปรีชาญาณเฉพาะของ การนินทา และความทุกข; ตรงขามกับ พระพทุ ธเจา ไมท่วั ไปแกพ ระสาวก อิฏฐารมณ อนาวาส ถนิ่ ที่มิใชอาวาส คอื ไมเปน วดั อนทิ ัสสนรปู ดทู ่ี อนทิ ัสสนอปั ปฏฆิ รปู , อนาสวะ ไมม อี าสวะ, อันหาอาสวะมิได รปู ๒๘ อนิจจตา ความเปน ของไมเ ทีย่ ง, ภาวะท่ี อนิทัสสนสัปปฏฆิ รปู ดทู ่ี รปู ๒๘ สงั ขารทั้งปวงเปน สง่ิ ไมเ ท่ยี งไมค งที่ (ขอ อนทิ ัสสนอปั ปฏฆิ รปู รปู ที่มองไมเ หน็ ๑ ในไตรลกั ษณ) และกระทบไมได คือรับรูไมไดดวย อนิจจลักษณะ ลักษณะที่เปนอนิจจะ, ประสาทใดๆ ไมว า จะดว ยจกั ษุ หรอื ดว ย ลักษณะที่ใหเ หน็ วาเปน ของไมเทยี่ ง ไม โสตะ ฆานะ ชวิ หา และกาย แตเ ปน คงที่ ไดแ ก ๑. เปน ไปโดยการเกดิ ข้ึน ธรรมารมณ อนั รดู ว ยใจ, ไดแ กส ขุ มุ รปู และสลายไป คอื เกิดดบั ๆ มีแลวกไ็ มม ี ๑๖ ๒. เปนของแปรปรวน คือ เปลยี่ น รปู ในชดุ ทใี่ กลเ คยี ง และตรงขา ม อนั

อนนิ ทรยี รปู ๔๘๔ อนุตฺตรํปุฺ กเฺขตฺตํ โลกสสฺ พงึ ทราบไวด ว ยกนั คอื วิมุตติสขุ สนิทัสสนรปู รูปซ่งึ มองเห็นได คือตา อนยิ ต ไมแน, ไมแ นน อน เปนชอื่ อาบตั ทิ ่ี มองเห็น มี ๑ ไดแ กรปู ารมณ (หมายถงึ ยังไมแน ระหวางปาราชิก สงั ฆาทเิ สส วณั ณะ คือสี), คูกบั อนทิ สั สนรปู รปู ซง่ึ หรือปาจิตตีย ซ่ึงพระวินัยจะตอง มองไมเ หน็ มี ๒๗ ไดแ กร ปู อน่ื นอกจาก วินจิ ฉยั นน้ั (มหาภตู รปู ๔ และอปุ าทายรปู อกี ๒๓) อนิยตสิกขาบท สิกขาบทท่ีวางอาบตั ไิ ว สปั ปฏิฆรูป รูปซ่ึงมกี ารกระทบได คือ ไมแน คือยังไมระบุชัดลงไปวาเปน รับรูทางประสาททั้ง ๕ ทต่ี รงคกู ัน มี ๑๒ ปาราชกิ หรอื สงั ฆาทเิ สส หรอื ปาจติ ตยี , ไดแกป สาทรูป ๕ และวสิ ัยรปู ๗ (๗ คอื มี ๒ สกิ ขาบท นับโผฏฐพั พะเปน ๓ ไดแก ปฐวี เตโช อนึก กองทัพ คือ ชาง มา รถ พลเดนิ ที่ และวาโย), คูกับ อัปปฏิฆรูป รูปซ่ึง จัดเปน กองๆ แลว กระทบไมไ ด อนั รบั รไู มไ ดท างประสาททงั้ อนุเคราะห เอ้อื เฟอ, ชว ยเหลอื ; ความ ๕ มี ๑๖ ไดแ กร ปู ทเ่ี หลอื จากนนั้ (คอื สขุ มุ เอ้ือเฟอ , การชวยเหลอื รปู ๑๖ นนั่ เอง); ดู สขุ มุ รปู ,รปู ๒๘ อนชุ น คนที่เกิดตามมา, คนรุนหลงั , คน อนนิ ทรยี รปู ดูที่ รปู ๒๘ รนุ ตอ ๆ ไป อนปิ ผันนรูป ดูท่ี รูป ๒๘ อนชุ า ผเู กดิ ทหี ลัง, นอ ง อนมิ ิตตวโิ มกข หลุดพน ดว ยไมถ ือนิมติ อนญุ าต ยินยอม, ยอมให, ตกลง คือ หลุดพนดวยพิจารณาเห็นนามรูป อนุฎีกา ปกรณท่ีพระอาจารยท้ังหลาย เปน อนจิ จะ แลวถอนนิมติ ได (ขอ ๒ แตงแกหรืออธิบายเพิ่มเติมฎีกา; ดู ในวิโมกข ๓) อรรถกถา อนิมิตตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาธรรม อนุฏฐานไสยา “การนอนท่ีไมมกี ารลกุ ไมมีนิมิต คือ วิปสสนาที่ใหถึงความ ขึ้น”, การนอนคร้ังสดุ ทาย โดยท่วั ไป หลุดพน ดวยกําหนดอนิจจลักษณะ (ขอ หมายถึง การบรรทมครั้งสุดทายของ ๒ ในสมาธิ ๓) พระพุทธเจา ในคราวเสด็จดับขันธ- อนิมิสเจดีย สถานที่พระพุทธเจาเสด็จ ปรนิ ิพพาน ยืนจองดูตนพระศรีมหาโพธิ์ดวยมิได อนุตฺตรํ ปุฺกเฺ ขตฺตํ โลกสฺส (พระ กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วนั อยูทาง สงฆ) เปนนาบุญอนั ยอดเยี่ยมของโลก ทิศอีสานของตนพระศรีมหาโพธ์ิ; ดู เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดี

อนตุ ตริยะ ๔๘๕ อนปุ าทิเสสนิพพาน อยา งสงู สดุ เพราะพระสงฆเ ปน ผบู รสิ ทุ ธิ์ อนุทูต ทตู ตดิ ตาม, ในพระวินยั หมาย เปน ผฝู ก ฝนอบรมตน และเปน ผเู ผยแพร ถึงภิกษุท่ีสงฆสมมติใหเปนตัวแทนของ ธรรม ไทยธรรมทถี่ วายแกท า น ยอ มมผี ล สงฆ เดินทางรวมไปกับภิกษุผูถูกสงฆ อาํ นวยประโยชนสุขอยางกวางขวางและ ลงโทษดว ย ปฏสิ ารณียกรรม ใหไ ปขอ ตลอดกาลยาวนาน เหมอื นผืนนาดนิ ดี ขมาคฤหัสถ ในกรณีทเ่ี ธอไมอ าจไปตาม พืชที่หวานลงไปยอมเผล็ดผลไพบูลย ลําพัง อนุทูตทําหนาท่ีชวยพูดกับ (ขอ ๙ ในสังฆคณุ ๙) คฤหัสถนั้นเปนสวนตนหรือในนามของ อนุตตรยิ ะ ภาวะทย่ี อดเยย่ี ม, สงิ่ ที่ยอด สงฆ เพ่อื ใหตกลงรบั ขมา เมือ่ ตกลงกัน เย่ยี ม มี ๓ คอื ๑. ทสั สนานุตตริยะ แลว รับอาบัติท่ีภิกษุนั้นแสดงตอหนา การเห็นอันเยีย่ ม คอื เห็นธรรม ๒. เขาแลวจึงใหข มา ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันเย่ียม อนบุ ญั ญตั ิ บญั ญตั เิ พ่มิ เตมิ , บทแกไข คอื มรรคมอี งค ๘ ๓. วมิ ตุ ตานตุ ตรยิ ะ เพ่ิมเติมท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติเสริม การพนอันเย่ียม คือ พน กิเลสและกอง หรือผอนพระบัญญัติที่วางไวเดิม; คูกับ ทกุ ข; อนตุ ตริยะ อีกหมวดหนงึ่ มี ๖ คอื บญั ญตั ิ หรือ มลู บญั ญตั ิ ๑. ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันเยี่ยม อนบุ ุพพิกถา ดู อนุปุพพกิ ถา ๒. สวนานตุ ตรยิ ะ การฟงอันเยีย่ ม ๓. อนุบุรษุ คนรุนหลงั , คนท่เี กดิ ทีหลงั ลาภานุตตริยะ ลาภหรอื การไดอันเย่ียม อนปุ สมั บนั ผยู งั มไิ ดอปุ สมบท ไดแก ๔. สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันเย่ียม คฤหสั ถและสามเณร (รวมท้งั สกิ ขมานา ๕. ปารจิ ริยานตุ ตริยะ การบาํ รงุ อนั เยยี่ ม และสามเณร)ี , ผูมใิ ชภกิ ษุหรือภิกษุณี; ๖. อนสุ สตานตุ ตรยิ ะ การระลกึ อนั เยยี่ ม เทยี บ อุปสมั บัน อนุปาทินนกสังขาร สังขารท่ีกรรมไม ดคู าํ อธบิ ายทคี่ าํ นน้ั ๆ อนตุ ฺตโร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ (พระผมู พี ระ ยึดครอง แปลกันงายๆ วา “สงั ขารทีไ่ ม ภาคเจานั้น) ทรงเปน สารถี ฝก คนท่คี วร มีใจครอง” เชน ตนไม ภูเขา เปนตน ฝก ได ท่ียอดเยีย่ ม โดยทรงรจู กั ใชอ บุ าย (ขอ ๒ ในสังขาร ๒) ใหเ หมาะแกบ คุ คล สอนเขาไดโ ดยไมต อ ง อนุปาทินนรูป, อนุปาทินนกรูป ดูที่ รูป ใชอ าชญา และทาํ ใหเ ขาบรรลผุ ลทพ่ี งึ ได ๒๘ เตม็ ตามกาํ ลงั ความสามารถของเขา (ขอ อนปุ าทเิ สสนพิ พาน นพิ พานไมม อี ปุ าทิ ๖ ในพทุ ธคณุ ๙) เหลือ, ดับกิเลสไมมีเบญจขันธเหลือ

อนปุ าทเิ สสบคุ คล ๔๘๖ อนุพยัญชนะ คอื สน้ิ ทง้ั กเิ ลสและชวี ิต หมายถงึ พระ อริยสัจจ มี ๕ คือ ๑. ทานกถา อรหันตสิ้นชีวิต, นิพพานในแงท่ีเปน พรรณนาทาน ๒. สีลกถา พรรณนาศีล ภาวะดับภพ; เทยี บ สอุปาทิเสสนพิ พาน ๓. สคั คกถา พรรณนาสวรรค คอื ความ อนุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูไมมีเชื้อ สุขท่ีพร่งั พรอ มดวยกาม ๔. กามาทีนว- กิเลสเหลือ, ผหู มดอปุ าทานสนิ้ เชงิ ได กถา พรรณนาโทษของกาม ๕. เนกขัม- แก พระอเสขะ คือ พระอรหันต; เทยี บ มานิสังสกถา พรรณนาอานิสงสแหง สอุปาทิเสสบคุ คล การออกจากกาม อนปุ พุ พกี ถา ก็มใี ช อนุปยนิคม นิคมแหงหน่ึงของมัลล- อนุพยัญชนะ ลักษณะนอยๆ, พระ กษตั รยิ  ในแขวงมัลลชนบท อยูทางทิศ ลักษณะขอปลีกยอยของพระมหาบุรุษ ตะวันออกของเมืองกบลิ พสั ดุ (นอกเหนือจากมหาบุรุษลักษณะ ๓๒) อนปุ ย อัมพวัน ชอื่ สวน อยใู นเขตอน-ุ อกี ๘๐ ประการ คือ ๑. มีนว้ิ พระหัตถ ปย นคิ ม แขวงมัลลชนบท เปนท่พี ระ และนว้ิ พระบาทอันเหลืองงาม, ๒. นว้ิ มหาบุรษุ เสดจ็ พักแรม ๗ วนั หลงั จาก พระหัตถแลนิ้วพระบาทเรียวออกไป เสดจ็ ออกบรรพชาใหมๆ กอ นเสดจ็ ตอ ไป โดยลําดบั แตต นจนปลาย, ๓. น้ิวพระ สเู มอื งราชคฤห ในแควน มคธ และตอ มา หัตถ แลนิ้วพระบาทกลมดุจนายชาง เปน ทเี่ จา ศากยะ มอี นรุ ทุ ธะ และอานนท กลึงเปน อันดี, ๔. พระนขาทัง้ ๒๐ มีสี เปน ตน พรอ มดว ยอบุ าลี ออกบวช อันแดง, ๕. พระนขาทง้ั ๒๐ นัน้ งอน อนุปุพพปฏิปทา ขอปฏิบัติโดยลาํ ดับ, งามชอนขึ้นเบื้องบนมิไดคอมลงเบ้ืองต่ํา การปฏบิ ตั ิตามลําดับ ดุจเล็บแหงสามญั ชนทง้ั ปวง, ๖. พระ อนุปุพพวิหาร ธรรมเปน เครื่องอยูโดย นขานนั้ มพี รรณอันเกล้ียงกลมสนทิ กันมิ ลําดบั , ธรรมเครอ่ื งอยทู ่ีประณตี ตอ กัน ไดเปนร้ิวรอย, ๗. ขอ พระหัตถและขอ ข้นึ ไปโดยลาํ ดับ มี ๙ คอื รูปฌาน ๔ พระบาทซอนอยูในพระมังสะมิไดสูงข้ึน อรปู ฌาน ๔ และ สญั ญาเวทยติ นิโรธ ปรากฏออกมาภายนอก, ๘. พระบาท (สมาบตั ิที่ดับสัญญาและเวทนา) ทั้งสองเสมอกันมิไดยอมใหญกวากัน อนุปุพพิกถา เทศนาที่แสดงไปโดย มาตรวาเทา เมล็ดงา ๙. พระดาํ เนินงาม ลําดับ เพ่ือฟอกอัธยาศัยของสัตวให ดจุ อาการเดินแหง กญุ ชรชาต,ิ ๑๐. พระ หมดจดเปนชน้ั ๆ จากงา ยไปหายาก เพอื่ ดาํ เนนิ งามดุจสีหราช, ๑๑. พระดาํ เนนิ เตรียมจิตของผูฟงใหพรอมที่จะรับฟง งามดุจดําเนินแหงหงส, ๑๒. พระ

อนุพยญั ชนะ ๔๘๗ อนุพยญั ชนะ ดําเนินงามดุจอสุ ภราชดําเนนิ ๑๓. ขณะ ประมาณดวยกําลังบุรุษก็ไดถึงแสนโกฏิ เมื่อยืนจะยางดําเนินน้ัน ยกพระบาท บรุ ุษ, ๒๘. มพี ระนาสกิ อนั สูง, ๒๙. เบ้ืองขวายางไปกอน พระกายเย้ืองไป สัณฐานพระนาสิกงามแฉลม ๓๐. มี เบื้องขวากอน, ๑๔. พระชานุมณฑล พระโอษฐเบื้องบนเบ้ืองต่ํามิไดเขาออก เกล้ียงกลมงามบริบรู ณ บม ไิ ดเห็นอัฏฐิ กวากนั เสมอเปน อนั ดี มพี รรณแดงงาม สะบาปรากฏออกมาภายนอก, ๑๕. มี ดจุ สีผลตําลงึ สุก, ๓๑. พระทนตบรสิ ุทธ์ิ บุรุษพยัญชนะบริบูรณคือมิไดมีกิริยา ปราศจากมูลมลทิน, ๓๒. พระทนตขาว มารยาทคลา ยสตรี ๑๖. พระนาภีมิได ดจุ ดังสีสงั ข, ๓๓. พระทนตเกลีย้ งสนิท บกพรอง กลมงามมิไดวิกลในที่ใดท่ี มไิ ดเ ปนรว้ิ รอย, ๓๔. พระอินทรยี ทัง้ ๕ หนึง่ , ๑๗. พระอทุ รมีสณั ฐานอันลึก, มีจักขุนทรียเปนอาทิงามบริสุทธ์ิท้ังสิ้น, ๑๘. ภายในพระอุทรมีรอยเวียนเปน ๓๕. พระเขีย้ วทง้ั ๔ กลมบรบิ รู ณ, ๓๖. ทักขิณาวัฏฏ, ๑๙. ลําพระเพลาทั้งสอง ดวงพระพักตรมีสณั ฐานยาวสวย ๓๗. กลมงามดจุ ลาํ สุวรรณกัททลี ๒๐. ลาํ พระปรางคทั้งสองดูเปลงงามเสมอกัน, พระกรทั้งสองงามดุจงวงแหงเอราวัณ ๓๘. ลายพระหตั ถม รี อยอันลกึ , ๓๙. เทพยหตั ถี, ๒๑. พระองั คาพยพใหญ ลายพระหัตถม ีรอยอนั ยาว ๔๐. ลาย นอ ยท้ังปวงจาํ แนกเปน อันดี คือ งาม พระหัตถมีรอยอันตรง บมิไดคอมคด พรอมทุกส่ิงหาที่ตําหนิบมิได, ๒๒. ๔๑. ลายพระหัตถมีรอยแดงรุงเรือง, พระมังสะที่ควรจะหนาก็หนา ท่คี วรจะ ๔๒. รศั มีพระกายโอภาสเปน ปริมณฑล บางกบ็ างตามที่ท่ัวทง้ั พระสรรี กาย, ๒๓. โดยรอบ ๔๓. กระพงุ พระปรางคท ง้ั สอง พระมังสะมิไดหดหูในที่ใดที่หน่ึง ๒๔. เครง ครดั บรบิ ูรณ ๔๔. กระบอกพระ พระสรีรกายท้ังปวงปราศจากตอมและ เนตรกวางแลยาวงามพอสมกัน ๔๕. ไฝปานมูลแมลงวันมิไดมีในที่ใดท่ีหนึ่ง, ดวงพระเนตรกอปรดวยประสาทท้ัง ๕ ๒๕. พระกายงามบริสุทธ์ิพรอมสมกัน มีขาวเปนอาทิผองใสบริสทุ ธ์ทิ ั้งสน้ิ ๔๖. โดยตามลําดับทั้งเบื้องบนแลเบื้องลาง, ปลายเสนพระโลมาท้ังหลายมิไดงอมิได ๒๖. พระกายงามบริสุทธ์ิพรอมสิ้น คด ๔๗. พระชิวหามีสัณฐานอันงาม ปราศจากมลทนิ ทั้งปวง, ๒๗. ทรงพระ ๔๘. พระชวิ หาออนบมิไดกระดา ง ๔๙. กําลังมาก เสมอดวยกําลังแหงกุญชร- พระกรรณทั้งสองมีสัณฐานอันยาวดุจ ชาติ ประมาณถึงพันโกฏิชาง ถาจะ กลีบปทุมชาติ ๕๐. ชองพระกรรณมี

อนพุ ุทธะ ๔๘๘ อนมุ านสูตร สัณฐานอนั กลมงาม ๕๑. ระเบียบพระ กลิ่นพระเกสาหอมฟุงขจรตลบ ๗๔. เสนท้ังปวงนั้นสละสลวยบมิไดห ดหูใ นที่ พระเกสาหอมดุจกลิ่นโกมลบุปผชาติ อันใดอันหน่ึง ๕๒. แถวพระเสนทั้ง ๗๕. พระเกสามสี ัณฐานเสน กลมสลวย หลายซอ นอยใู นพระมังสะท้งั สิ้น บมไิ ด ทุกเสน ๗๖. พระเกสาดําสนิทท้งั สนิ้ เปนคลื่นฟูขึ้นเหมือนสามัญชนท้ังปวง ๗๗. พระเกสากอปรดวยเสนอัน ๕๓. พระเศียรมีสัณฐานงามเหมือนฉตั ร ละเอยี ด ๗๘. เสน พระเกสามไิ ดย งุ เหยงิ แกว ๕๔. ปริมณฑลพระนลาฏโดย ๗๙. เสน พระเกสาเวยี นเปน ทกั ขณิ าวฏั ฏ กวา งยาวพอสมกัน ๕๕. ประนลาฏมี ทกุ ๆ เสน ๘๐. วจิ ติ รไปดว ยระเบยี บ สณั ฐานอนั งาม ๕๖. พระโขนงมสี ัณฐาน พระเกตุมาลา กลาวคือถองแถวแหง อันงามดุจคันธนูอันกงไว ๕๗. พระ พระรัศมอี นั โชตนาการข้ึน ณ เบือ้ งบน โลมาทพ่ี ระโขนงมเี สน อนั ละเอียด ๕๘. พระอุตมังคสิโรตมฯ นิยมเรียกวา เสนพระโลมาท่ีพระโขนงงอกขึ้นแลวลม อสตี ยานพุ ยญั ชนะ; ดู มหาบรุ ุษลกั ษณะ ราบไปโดยลาํ ดบั ๕๙. พระโขนงนนั้ ใหญ อนพุ ทุ ธะ ผตู รสั รตู าม คือ ตรสั รดู ว ยได ๖๐. พระโขนงนน้ั ยาวสดุ หางพระเนตร สดับเลาเรียนและปฏิบัติตามที่พระ ๖๑. ผวิ พระมงั สะละเอยี ดทว่ั ทง้ั พระกาย สมั มาสมั พทุ ธเจา ทรงสอน ไดแ ก พระ ๖๒. พระสรรี กายรงุ เรอื งไปดว ยสิริ ๖๓. อรหนั ตสาวกท้ังหลาย; ดู พทุ ธะ พระสรีรกายมิไดมัวหมอง ผองใสอยู อนุพุทธปวัตติ ประวัติของพระสาวกผู เปน นิตย ๖๔. พระสรีรกายสดช่ืนดุจ ตรัสรูตามพระพุทธเจา; เขียนสามัญ ดวงดอกปทุมชาติ ๖๕. พระสรีรสมั ผัส เปน อนุพทุ ธประวตั ิ ออนนุมสนิทบมิไดกระดางทั่วท้ังพระ อนมุ ตั ิ เหน็ ตาม, ยินยอม, เหน็ ชอบตาม กาย ๖๖. กลิน่ พระกายหอมฟุงดจุ กล่นิ ระเบียบท่ีกาํ หนดไว สุคนธกฤษณา ๖๗. พระโลมามีเสน อนุมาน คาดคะเน, ความคาดหมาย เสมอกันทั้งส้ิน ๖๘. พระโลมามีเสน อนมุ านสตู ร สตู รท่ี ๑๕ ในมัชฌิม- ละเอยี ดทว่ั ทง้ั พระกาย ๖๙. ลมอสั สาสะ นกิ าย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎก ปสสาสะลมหายพระทัยเขาออกก็เดิน เปนภาษิตของพระมหาโมคคัลลานะ ละเอยี ด ๗๐. พระโอษฐม สี ณั ฐานอนั งาม กลาวสอนภิกษุทั้งหลาย วาดวยธรรม ดจุ แยม ๗๑. กลนิ่ พระโอษฐห อมดจุ กลน่ิ อนั ทาํ คนใหเปนผวู า ยากหรือวางาย การ อบุ ล ๗๒. พระเกสาดาํ เปน แสง ๗๓. แนะนําตักเตือนตนเอง และการ

อนโุ มทนา ๔๘๙ อนวุ าท พจิ ารณาตรวจสอบตนเองของภิกษุ พุทฺธ.อ.๘๕ ซึ่งขดั กับทอี่ นื่ ๆ และวาตาม อนุโมทนา 1. ความยนิ ดีตาม, ความยนิ หนงั สอื เรยี น เปน โอรสของเจา อมโิ ตทนะ) ดีดวย, การพลอยยินดี, การแสดง และเปน อนชุ าของเจา มหานามะ ภายหลัง ความเหน็ ชอบ; เห็นดว ย, แสดงความ ออกบวชพรอมกับเจาชายอานนท ช่ืนชมหรือซาบซ้ึงเห็นคุณคาแหงการ เปนตน เรียนกรรมฐานในสํานักของ กระทาํ ของผูอน่ื (บัดนี้ บางทใี ชในความ พระสารีบุตร ไดบรรลุพระอรหัตที่ปา หมายคลายคําวา ขอบคุณ) 2. ในภาษา ปาจนี วงั สทายวนั ในแควนเจตี พระ ไทย นยิ มใชสําหรบั พระสงฆ หมายถงึ ศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะใน ใหพร เชน เรยี กคําใหพ รของพระสงฆวา ทางทพิ ยจกั ษุ คําอนุโมทนา อนรุ ทุ ธาจารย ดู อภธิ มั มัตถสังคหะ อนุโยค ความพยายาม, ความเพียร, อนรุ ูป สมควร, เหมาะสม, พอเพียง, ความประกอบเนืองๆ เปนไปตาม อนรุ กั ขนาปธาน เพียรรกั ษากศุ ลธรรม อนโุ ลม เปน ไปตาม, คลอ ยตาม, ตาม ทเ่ี กิดข้ึนแลวไมใหเ ส่ือม และบําเพ็ญให ลําดับ เชน วา ตจปญจกกรรมฐานไป ตามลาํ ดบั อยา งน้ี เกสา โลมา นขา ทนั ตา เจรญิ ยง่ิ ข้นึ ไปจนไพบูลย (ขอ ๔ ใน ตโจ; ตรงขามกบั ปฏโิ ลม 1. 2. สาวออกไป ปธาน ๔) ตามลาํ ดบั จากเหตไุ ปหาผลขา งหนา เชน อนุรกั ษ รกั ษาและเสรมิ ทว,ี รักษาส่ิงที่ เกิดมีข้ึนแลวและทําสิ่งท่ีเกิดมีขึ้นแลว อวชิ ชาเปนปจจัย สงั ขารจึงมี, สงั ขาร นั้นใหงอกงามเพ่ิมทวีย่ิงขึ้นไปจน เปนปจจัย วิญญาณจึงมี เปน ตน ตรงขา ม ไพบลู ย; ในภาษาไทย ใชในความหมาย กับ ปฏโิ ลม 2. 3. จัดเขาได, นับไดว า เปน อยา งนนั้ เชน อนโุ ลมมสุ า วา รักษาใหค งเดมิ อนุราธ ชื่อเมืองหลวงของลังกาสมัย อนุโลมมุสา ถอยคําที่เปนพวกมุสา, โบราณ; เรยี กกนั วา อนุราธปุระ บาง ถอยคาํ ทจี่ ัดไดว า เปนมสุ า คือ พูดเทจ็ อนุราธบรุ ี บา ง อนวุ ตั ทาํ ตาม, ประพฤตติ าม, ปฏบิ ตั ติ าม; อนุรทุ ธะ พระมหาสาวกองคหน่ึง เปน บางแหงเขียน อนุวัตน, อนุวรรต, เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจา อนุวรรตน, อนวุ ัตร, หรือ อนวุ ัติ ก็มี สุกโกทนะ (นี้วา ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏ.ี อนวุ าต ผา ขอบจวี ร; ดู จีวร ๓/๓๔๙ เปน ตน แตวา ตาม อง.ฺ อ.๑/๑๗๑ และ อนวุ าท การโจท, การฟอง, การกลา วหา

อนวุ าทาธิกรณ ๔๙๐ อนุสาวนา กันดวยอาบตั ิ พระสงฆ ๔. สีลานุสติ ระลกึ ถึงศลี ทตี่ น อนุวาทาธิกรณ การโจทท่ีจัดเปน รักษา ๕. จาคานสุ ติ ระลึกถงึ ทานท่ีตน บริจาคแลว ๖. เทวตานุสติ ระลกึ ถงึ คณุ อธิกรณ คือ การโจทกันดวยอาบัติ, ที่ทําคนใหเปนเทวดา ๗. มรณัสสติ เรือ่ งการกลา วหากนั ; ดู อธกิ รณ อนุศาสน การสอน, คําชแ้ี จง; คําสอนท่ี ร ะ ลึ ก ถึ ง ค ว า ม ต า ย ที่ จ ะ ต อ ง มี เ ป น ธรรมดา ๘. กายคตาสติ ระลึกทัว่ ไปใน อุปชฌายหรือกรรมวาจาจารยบอกแก กายใหเห็นวาไมงาม ๙. อานาปานสติ ตั้งสติกําหนดลมหายใจเขาออก ๑๐. ภกิ ษใุ หมใ นเวลาอปุ สมบทเสรจ็ ประกอบ อุปสมานุสติ ระลึกธรรมเปนท่ีสงบ ดวย นิสสัย ๔ และ อกรณยี กิจ ๔, นิสสัย คือ ปจจัยเครื่องอาศัยของ บรรพชติ มี ๔ อยางไดแก ๑. เทย่ี ว ระงับกิเลสและความทกุ ข คอื นพิ พาน; บิณฑบาต ๒. นุงหม ผา บังสกุ ุล ๓. อยู เขียนอยางรูปเดิมในภาษาบาลีเปน โคนไม ๔. ฉันยาดองดว ยนาํ้ มตู รเนา อนสุ สติ (ทานบอกไวเปนทางแสวงหาปจ จยั ๔ อนสุ นธิ การตดิ ตอ , การสืบเนอื่ งความ พรอ มทง้ั อตเิ รกลาภของภกิ ษ)ุ , อกรณยี กจิ หรอื เรอ่ื งที่ติดตอ หรือสืบเนอ่ื งกันมา กจิ ทไ่ี มค วรทาํ หมายถงึ กจิ ทบ่ี รรพชติ ทาํ อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันเยี่ยม ไมไ ด มี ๔ อยา ง ไดแก ๑. เสพเมถุน ไดแก การระลึกถงึ พระตถาคต และ ๒. ลักของเขา ๓. ฆา สตั ว (ทใ่ี หขาดจาก ตถาคตสาวก ซึ่งจะเปนไปเพ่ือความ ความเปน ภิกษุ หมายเอาฆา มนษุ ย) ๔. บริสุทธิ์ลว งพนทุกขได (ขอ ๖ ใน พดู อวดคณุ วเิ ศษที่ไมม ใี นตน อนุตตรยิ ะ ๖) อนศุ าสนี คาํ สง่ั สอน, คาํ แนะนาํ พรา่ํ สอน; อนุสัย กิเลสที่แฝงตัวนอนเนื่องอยูใน (บาล:ี อนสุ าสน;ี สันสกฤต: อนศุ าสน)ี สันดาน มี ๗ คือ ๑. กามราคะ ความ อนุศาสนีปาฏิหาริยะ ดู อนุสาสนี- กําหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ ความ ปาฏิหาริย หงดุ หงิด ๓. ทฏิ ฐิ ความเห็นผดิ ๔. อนุสติ ความระลึกถึง, อารมณที่ควร วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะ ระลกึ ถงึ เนอื งๆ มี ๑๐ อยา งคอื ๑. ความถือตวั ๖. ภวราคะ ความกําหนัด พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธ- ในภพ ๗. อวิชชา ความไมร จู รงิ เจา ๒. ธมั มานุสติ ระลึกถงึ คุณของพระ อนสุ ยกิเลส ดู อนสุ ยั , กเิ ลส ๓ ระดบั ธรรม ๓. สงั ฆานุสติ ระลึกถึงคณุ ของ อนสุ าวนา คําสวดประกาศ, คาํ ประกาศ

อนุสาสนี ๔๙๑ อบาย,อบายภมู ิ ความปรกึ ษาและตกลงของสงฆ, คาํ ขอมติ อารยชนจงเปนสุข” “ขอใหประดาสัตว อนสุ าสนี คาํ สงั่ สอน, คาํ แนะนาํ พรา่ํ สอน; ปาจงอยูด มี สี ุข ไมถ ูกเบียดเบียน” ฯลฯ (บาลี: อนสุ าสนี; สนั สกฤต: อนุศาสนี) ก็เปนแบบจํากัด เรียกวา “โอธิโส- อนุสาสนีปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคืออนุ- ผรณา” (แผโดยมขี อบเขต), นอกจาก ศาสน,ี คําสอนเปน จริง สอนใหเ หน็ จริง น้ัน ถาแผไปตอสัตวเ ฉพาะในทศิ นน้ั ทิศ นําไปปฏบิ ตั ิไดผลสมจริง เปน อศั จรรย นี้ ยังเรียกตางออกไปอีกวา “ทสิ า- (ขอ ๓ ใน ปาฏหิ ารยิ  ๓) ผรณา” (แผไปเฉพาะทศิ ), ไมเ ฉพาะ อเนกนัย นยั มใิ ชน อย, หลายนัย เมตตาเทา น้นั แมพ รหมวิหารขออ่ืนๆ ก็ อเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงภพ มีท้ัง อโนธโิ สผรณา โอธโิ สผรณา และ อนั ม่ันคง ไมห ว่นั ไหว ไดแ กภาวะจิตที่ ทสิ าผรณา, อนึ่ง บางทีเรยี ก โอธโิ ส- ม่ันคงแนวแนดวยสมาธิแหงจตุตถฌาน ผรณา วา “โอทสิ สกผรณา” (แผเ จาะจง) (ขอ ๓ ในอภิสังขาร ๓); ตามหลักเขยี น และเรยี ก อโนธโิ สผรณาวา “อโนทสิ สก- อาเนญชาภสิ งั ขาร ผรณา” (แผไมเจาะจง); เทียบ โอธิโส- อเนสนา การหาเลยี้ งชพี ในทางทไ่ี มส มควร ผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเ มตตา, วกิ พุ พนา, แกภ กิ ษ,ุ เลยี้ งชวี ติ ผดิ สมณะ เชน หลอก สมี าสมั เภท ลวงเขาดว ยการอวดอุตรมิ นุสธรรม ทํา อโนมา ช่ือแมน้ํากั้นพรมแดนระหวาง วิญญัติคือออกปากขอตอคนที่ไมควร แควน สกั กะกบั แควน มลั ละ พระสทิ ธตั ถะ ขอ ใชเงนิ ลงทุนหาผลประโยชน ตอ ลาภ เสดจ็ ออกบรรพชา มาถงึ ฝง แมน าํ้ อโนมา ดวยลาภ คือใหแตนอยเพ่ือหวังตอบ ตรัสสั่งนายฉันนะใหนํามาพระท่ีนั่งกลับ แทนมาก เปนหมอเวทมนตเสกเปา คนื พระนคร ทรงตดั พระเมาลีดว ยพระ เปน ตน ขรรค อธษิ ฐานเพศบรรพชิต ณ ฝง แม อโนธิโสผรณา “แผไปโดยไมมีขีดขั้น” นาํ้ อโนมาน้ี หมายถึงเมตตาที่แผไปตอสัตวทั้งปวง อบท สัตวไมม เี ทา เชน งู และไสเดือน อยางไมจํากัดขอบเขต (อยางในคาํ แผ เปนตน เมตตาทนี่ ยิ มนาํ มาใชก นั ทว่ั ไปวา “สพเฺ พ อบาย, อบายภูมิ ภมู ิกาํ เนิดทปี่ ราศจาก สตฺตา อเวรา โหนตฺ ุ … สุขี อตตฺ านํ ความเจริญ มี ๔ อยาง คือ ๑. นริ ยะ ปริหรนฺตุ”) แตถาตั้งใจแผเมตตานั้น นรก ๒. ตริ ัจฉานโยนิ กําเนิดดริ ัจฉาน โดยจํากัดขอบเขต เชนวา “ขอใหเหลา ๓. ปต ติวิสัย ภมู แิ หง เปรต ๔. อสุรกาย

อบายมขุ ๔๙๒ อปริหานยิ ธรรม พวกอสรุ กาย; ดู คต,ิ ทคุ ติ ดู โมคคลั ลบี ตุ รติสสเถระ, สาสนวงส อบายมุข ชอ งทางของความเสือ่ ม, เหตุ อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่เปน เคร่ืองฉิบหาย, เหตุยอยยับแหงโภค- กุศลกด็ ี อกศุ ลกด็ ี ซึ่งใหผ ลในภพตอ ๆ ทรพั ย, ทางแหง ความพนิ าศ มี ๔ อยาง ไป (ขอ ๓ ในกรรม ๑๒) คือ ๑. เปน นกั เลงหญงิ ๒. เปนนกั เลง อปริหานิยธรรม ธรรมไมเปนท่ีตั้งแหง สรุ า ๓. เปน นักเลงการพนัน ๔. คบคน ความเสอ่ื ม, ธรรมทที่ าํ ใหไ มเ สอื่ ม เปน ชวั่ เปน มิตร; อกี หมวดหนงึ่ มี ๖ คอื ๑. ไปเพอื่ ความเจรญิ ฝา ยเดยี ว มี ๗ ขอ ที่ ตดิ สุราและของมึนเมา ๒. ชอบเทยี่ ว ตรสั สาํ หรบั ภกิ ษุ (ภกิ ขอุ ปรหิ านยิ ธรรม) กลางคนื ๓. ชอบเท่ียวดกู ารเลน ๔. ยกมาแสดงหมวดหนง่ึ ดงั นี้ ๑. หมนั่ เลนการพนัน ๕. คบคนช่วั เปนมิตร ๖. ประชมุ กนั เนอื งนติ ย ๒. เมอ่ื ประชมุ ก็ เกียจครา นการงาน; ดู คหิ ิวนิ ยั พรอ มเพรยี งกนั ประชมุ เมอ่ื เลกิ ประชมุ ก็ อปจายนมยั บญุ สาํ เร็จดวยการประพฤติ พรอ มเรยี งกนั เลกิ และพรอ มเพรยี งชว ย ออ นนอมถอมตน (ขอ ๔ ในบญุ กริ ิยา กนั ทาํ กจิ ทส่ี งฆจ ะตอ งทาํ ๓. ไมบ ญั ญตั ิ วตั ถุ ๑๐) สงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ไมบ ญั ญตั ขิ น้ึ ไมถ อน อปฏิจฉนั นาบัติ อาบตั ิ (สังฆาทเิ สส) ท่ี ส่ิงท่ีพระองคบัญญัติไวแลว สมาทาน ภิกษุตองแลว ไมไ ดป ด ไว ศึกษาอยูในสิกขาบทตามที่พระองคทรง อปทาน ดู ไตรปฎ ก (เลม ๓๒–๓๓) บญั ญตั ไิ ว ๔. ภกิ ษเุ หลา ใด เปน ผใู หญ อปมาโร โรคลมบาหมู เปนประธานในสงฆ เคารพนบั ถือภิกษุ อปรกาล เวลาชว งหลงั , ระยะเวลาของ เหลา นนั้ เชอื่ ฟง ถอ ยคาํ ของทา น ๕. ไมล ุ เร่ืองที่มีข้ึนในภายหลัง คือ หลังจาก อาํ นาจแกค วามอยากทเี่ กดิ ขน้ึ ๖. ยนิ ดี พระพุทธเจา ปรนิ ิพพานแลว ไดแกเรือ่ ง ในเสนาสนะปา ๗. ตง้ั ใจอยวู า เพอื่ น ถวายพระเพลิง และแจกพระบรม- ภกิ ษสุ ามเณรซง่ึ เปน ผมู ศี ลี ซง่ึ ยงั ไมม าสู สารรี กิ ธาต;ุ ดู พทุ ธประวตั ิ อปรณั ณะ ดู ธญั ชาติ; เทียบ บพุ พณั ณะ อาวาส ขอใหม า ทมี่ าแลว ขอใหอ ยเู ปน สขุ อปรนั ตะ, อปรนั ตกะ ชอื่ รฐั ทพ่ี ระโยนก- อปรหิ านยิ ธรรมทตี่ รสั แกก ษตั รยิ ว ชั ชี (วัชชีอปรหิ านยิ ธรรม) สาํ หรบั ผรู ับผดิ ธรรมรักขิตเถระ เปนพระศาสนทูตไป ชอบตอ บา นเมอื ง มอี กี หมวดหนงึ่ คอื ๑. ประดิษฐานพระพุทธศาสนา เม่ือเสร็จ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย ๒. พรอม การสังคายนาคร้ังท่ี ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๕; เพรียงกันประชุม พรอมเพรียงกันเลิก

อปโลกน ๔๙๓ อพัทธสีมา ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั ทาํ กจิ ทพ่ี งึ ทาํ ๓. อปณ ณกปฏปิ ทา ขอ ปฏบิ ตั ทิ ไ่ี มผ ดิ , ทาง ไมถ อื อาํ เภอใจบญั ญตั สิ งิ่ ทม่ี ไิ ดบ ญั ญตั ไิ ว ดาํ เนนิ ทไี่ มผ ดิ มี ๓ คอื ๑. อนิ ทรยี สังวร ไมล ม ลา งส่ิงที่ไดบ ัญญัติ ถอื ปฏบิ ตั มิ น่ั การสาํ รวมอนิ ทรยี  ๒. โภชเนมตั ตญั ตุ า ตามวชั ชธี รรม ๔. ทา นเหลา ใดเปน ผใู หญ ความเปนผูรูจักประมาณในการบริโภค ในชนชาววชั ชี เคารพนบั ถอื ทา นเหลา นน้ั ๓. ชาคริยานุโยค การหม่ันประกอบ เหน็ ถอ ยคาํ ของทา นวา เปน สงิ่ อนั พงึ รบั ฟง ความต่ืน ไมเหน็ แกน อน ๕. บรรดากลุ สตรกี ลุ กมุ ารที งั้ หลายมใิ ห อปสเสนธรรม ธรรมทเ่ี ปน ทพ่ี ึ่งท่ีพํานกั อยูอยางถูกขมเหงรังแก ๖. เคารพ ดจุ พนกั พงิ มี ๔ คือ ๑. ของอยางหน่ึง สกั การะบชู าเจดยี ข องวชั ชี ทง้ั ภายในและ พิจารณาแลว เสพ เชน ปจจัยสี่ ๒. ของ ภายนอก ไมล ะเลยการทาํ ธรรมกิ พลี ๗. อยา งหนึง่ พจิ ารณาแลวอดกลั้น ไดแก จัดใหความอารักขาคุมครองปองกันอัน อนิฏฐารมณตางๆ ๓. ของอยางหนงึ่ ชอบธรรมแกพระอรหันต (หมายถึง พิจารณาแลวเวนเสีย เชน สุราเมรัย บรรพชติ ทเ่ี ปน หลกั ใจของประชาชน) ตงั้ การพนัน คนพาล ๔. ของอยางหนึ่ง ใจใหทานท่ียังมิไดมาพึงมาสูแวนแควน พจิ ารณาแลว บรรเทาเสยี เชน อกศุ ล- ทมี่ าแลว พงึ อยโู ดยผาสกุ วติ กตา งๆ อปโลกน บอกเลา, การบอกเลา, การ อปายโกศล ดู โกศล ๓ บอกกลาวแกท่ีประชุมเพื่อใหรับทราบ อปุญญาภสิ ังขาร สภาพทปี่ รงุ แตง กรรม พรอ มกัน หรอื ขอความเห็นชอบรวมกัน ฝายชั่ว ไดแก อกุศลเจตนาท้ังหลาย ในกิจบางอยางของสว นรวม, ใชใ น อป- (ขอ ๒ ในอภิสังขาร ๓) โลกนกรรม อพยาบาท ความไมค ดิ รา ย, ไมพยาบาท อปโลกนธรรม กรรมคือการบอกเลา, ปองรายเขา, มเี มตตา (ขอ ๙ ในกุศล- กรรมอันทําดวยการบอกกันในท่ีประชุม กรรมบถ ๑๐) สงฆ ไมตอ งตง้ั ญัตติ คอื คาํ เผดียงไม อพยาบาทวิตก ความตรึกในทางไม ตอ งสวด อนุสาวนา คอื ประกาศความ พยาบาท, การคิดแผเมตตาแกผูอื่น ปรึกษาและตกลงของสงฆ เชน ประกาศ ปรารถนาใหเ ขามคี วามสุข (ขอ ๒ ใน ลงพรหมทัณฑ นาสนะสามเณรผกู ลา ว กุศลวติ ก ๓) ตูพระพุทธเจา อปโลกนแจกอาหารใน อพัทธสมี า “แดนทไ่ี มไ ดผกู ” หมายถึง โรงฉัน เปน ตน เขตชุมนุมสงฆที่สงฆไมไดกําหนดขึ้น

อภยคริ ิวหิ าร ๔๙๔ อภิณหปจ จเวกขณ เอง แตถือเอาตามเขตทเ่ี ขาไดกําหนดไว ยงิ่ , ความรชู ัน้ สูง มี ๖ อยา งคือ ๑. อทิ ธวิ ธิ ิ แสดงฤทธติ์ า งๆ ได ๒. ทพิ พ- ตามปรกติของบานเมอื ง หรอื มบี ญั ญัติ โสต หทู ิพย ๓. เจโตปริยญาณ ญาณท่ี ใหท ายใจคนอนื่ ได ๔. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ อยา งอ่ืนเปน เครื่องกาํ หนด แบง เปน ๓ ญาณท่ที ําใหระลึกชาตไิ ด ๕. ทพิ พจกั ขุ ประเภท คือ ๑. คามสีมา หรือ นคิ ม- ตาทพิ ย ๖. อาสวกั ขยญาณ ญาณทาํ ให สมี า ๒. สัตตพั ภนั ตรสมี า๓. อทุ กุกเขป อภยคิริวิหาร ชื่อวัดที่พระเจาวัฏฏ- คามณีอภยั ไดสรา งถวายพระตสิ สเถระ อาสวะสิ้นไป, ๕ อยางแรกเปนโลกยี - ในเกาะลงั กา ซ่งึ ไดกลายเปนเหตุใหสงฆ อภญิ ญา ขอ สดุ ทา ยเปน โลกตุ ตรอภญิ ญา ลังกาแตกแยกกัน แบงเปนคณะมหา อภิญญาเทสิตธรรม ธรรมท่ีพระพุทธ วิหารเดิมฝายหน่ึง คณะอภยคิริวิหาร เจาทรงแสดงดวยพระปญญาอันย่ิง ฝายหน่ึง; มักเรยี ก อภยั คีรี หมายถึง โพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ ประการ อภพั ไมค วร, ไมอ าจ, ไมส ามารถ, ไมอ าจ มสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนตน เปน ไปได, เปน ไปไมได (บาล:ี อภพฺพ; อภิฐาน ฐานะอยางหนกั , ความผดิ สถาน ไทยเพยี้ นเปน อาภพั ); ดู อาภพั หนกั มี ๖ อยา ง คอื ๑. มาตฆุ าต ฆา อภพั บคุ คล บุคคลผูไ มส มควร, มีความ มารดา ๒. ปต ฆุ าต ฆา บดิ า ๓. อรหนั ต- หมายตามขอความแวดลอ ม เชน คนท่ี ฆาต ฆาพระอรหนั ต ๔. โลหิตุปบาท ไมอ าจบรรลโุ ลกตุ ตรธรรมได คนท่ขี าด ทํารายพระพุทธเจาใหถึงหอพระโลหิต คุณสมบัติ ไมอาจใหอุปสมบทได ๕. สงั ฆเภท ทาํ สงฆใ หแ ตกกนั ๖. อญั ญ- เปนตน สตั ถุทเทส ถือศาสดาอื่น อภัยทาน ใหความไมมีภัย, ใหความ อภิณหปจจเวกขณ ขอท่ีควรพิจารณา ปลอดภัย เนอื งๆ, เรอ่ื งทคี่ วรพจิ ารณาทกุ ๆ วนั มี อภิชฌา โลภอยากไดของเขา, ความคิด ๕ อยา ง คอื ๑. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา เพงเล็งจองจะเอาของของคนอ่นื (ขอ ๘ เรามีความแกเปนธรรมดา ไมลวงพน ในอกศุ ลกรรมบถ ๑๐) ความแกไ ปได ๒. วา เรามคี วามเจบ็ ไข อภิชฌาวิสมโลภ ละโมบไมสมํ่าเสมอ, เปนธรรมดา ไมล วงพนความเจบ็ ไขไ ป ความโลภอยา งแรงกลา จอ งจะเอาไมเ ลอื ก ได ๓. วา เรามคี วามตายเปน ธรรมดา ไม วา ควรไมค วร (ขอ ๑ ในอปุ กเิ ลส ๑๖) ลว งพน ความตายไปได ๔. วา เราจะตอ ง อภญิ ญา ความรูย่ิง, ความรเู จาะตรงยวด พลัดพรากจากของรักของชอบใจท้ังส้ิน

อภธิ รรม ๔๙๕ อภิธรรมปฎ ก ๕. วา เรามกี รรมเปน ของตวั เราทาํ ดจี กั อติเรก) คือมากกวาธรรมอยางปกติ ไดด ี เราทาํ ชวั่ จกั ไดช วั่ ; อกี หมวดหนงึ่ และย่งิ พิเศษ (อภิวเิ สส) คอื เหนือกวา สําหรับบรรพชิต แปลวา “ธรรมท่ี ธรรมอยางปกติ, หลักและคําอธิบาย บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ” มี ๑๐ ธรรมท่เี ปนเน้ือหาสาระแทๆ ลว นๆ ซ่ึง อยา ง (ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ) คอื จัดเรียงอยางเปนระเบียบและเปนลําดับ ๑. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา บดั จนจบความอยา งบรบิ รู ณ โดยไมก ลา วถงึ น้ี เรามเี พศตา งจากคฤหสั ถแ ลว ๒. วา ไมอ า งองิ และไมข น้ึ ตอ บคุ คล ชมุ ชน การเล้ียงชีพของเราเนื่องดวยผูอื่น ๓. หรือเหตุการณ อันแสดงโดยเวน วา เรามอี ากปั กริ ยิ าอยา งอนื่ ทจี่ ะพงึ ทาํ ๔. บัญญตั โิ วหาร มุง ตรงตอสภาวธรรม ท่ี วาตัวเราเองยังติเตียนตัวเราเองโดยศีล ตอมานิยมจัดเรียกเปนปรมัตถธรรม ไมไ ดอ ยหู รอื ไม ๕. วา เพอื่ นพรหมจรรย ๔ คอื จติ เจตสิก รปู นพิ พาน, เมือ่ พูด ผเู ปน วญิ ู ใครค รวญแลว ยงั ตเิ ตยี น วา “อภิธรรม” บางทีหมายถึงพระ เราโดยศลี ไมไ ดอ ยหู รอื ไม ๖. วา เราจะ อภิธรรมปฎก บางทหี มายถงึ คําสอนใน ตองพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั พระอภิธรรมปฎกน้ัน ตามที่ไดนํามา สน้ิ ๗. วา เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ ดี อธิบายและเลาเรียนกันสืบมา เฉพาะ จกั ไดด ี เราทาํ ชวั่ จกั ไดช ว่ั ๘. วา วนั คนื อยางยิง่ ตามแนวทปี่ ระมวลแสดงไวใ น ลว งไปๆ บดั นเ้ี ราทาํ อะไรอยู ๙. วา เรา คัมภีรอ ภธิ มั มัตถสังคหะ, บางที เพื่อให ยินดีในที่สงัดอยูหรือไม ๑๐. วาคุณ ชัดวา หมายถึงพระอภธิ รรมปฎ ก ก็พูด วเิ ศษทเี่ ราบรรลแุ ลว มอี ยหู รอื ไม ทจ่ี ะทาํ วา “อภิธรรมเจ็ดคัมภีร” ; ดู อภิธรรม- ใหเราเปนผูไมเกอเขิน เม่ือถูกเพื่อน ปฎ ก, อภธิ ัมมตั ถสังคหะ, อภวิ นิ ยั บรรพชติ ถามในกาลภายหลงั (ขอ ๑. อภิธรรมปฎก ชื่อปฎกทีส่ าม ในพระไตร ทา นเตมิ ทา ยวา อาการกริ ยิ าใดๆ ของ ปฎก, คาํ สอนของพระพุทธเจา สว นที่ สมณะ เราตอ งทาํ อาการกริ ยิ านนั้ ๆ ขอ แสดงพระอภิธรรม ซึ่งไดร วบรวมรกั ษา ๒. เตมิ วา เราควรทาํ ตวั ใหเ ขาเลย้ี งงา ย ไวเปนหมวดที่สาม อันเปนหมวดสุด ขอ ๓. ทา นเขยี นวา อาการกายวาจา ทายแหงพระไตรปฎก ประกอบดวย อยางอื่นท่ีเราจะตองทําใหดีขึ้นไปกวานี้ คัมภีรตา งๆ ๗ คัมภรี  (สตั ตัปปกรณะ, ยงั มอี ยอู กี ไมใ ชเ พยี งเทา น)ี้ สดับปกรณ) คือ สงั คณี (หรอื ธัมม- อภิธรรม ธรรมอันยง่ิ ท้งั ยิง่ เกนิ (อภ-ิ สงั คณี) วภิ งั ค ธาตกุ ถา ปคุ คลบญั ญตั ิ

อภธิ ัมมัตถวภิ าวนิ ี ๔๙๖ อภวิ ินัย กถาวตั ถุ ยมก และ ปฏ ฐาน; ในอรรถ- ย่งิ หมายถงึ การออกบวช, ผนวช กถา (เชน สงคณ.ี อ.๒๐/๑๖) มีความเลา วา อภบิ าล เล้ียงด,ู ดแู ล, บํารงุ รกั ษา, ปก พระอภิธรรมเปนพระธรรมเทศนาท่ีพระ ปก รักษา, คุม ครอง, ปกครอง พุทธเจาทรงแสดงโปรดพระพุทธมารดา อภริ มย รืน่ เริงย่งิ , ยนิ ดยี งิ่ , พักผอ น ตลอดพรรษา ณ ดาวดึงสเทวโลก ในป อภิลักขิตกาล, อภิลักขิตสมัย เวลาท่ี ท่ี ๗ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ; ดู กําหนดไว, วนั กําหนด อภธิ รรม, ไตรปฎก อภิวันทน, อภิวาท, อภิวาทน การ อภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ี ชอื่ คมั ภรี ฎ กี า อธบิ าย กราบไหว ความในคัมภรี อภธิ ัมมัตถสังคหะ พระ อภิวนิ ยั “วินัยอนั ย่งิ ”, ในพระไตรปฎ ก สมุ งั คละผเู ปน ศษิ ยข องพระอาจารยส ารี- คําวา “อภิวินัย” มักมาดว ยกันเปนคูกับ บุตร ซึ่งเปนปราชญในรัชกาลของพระ คาํ วา “อภธิ รรม” และในอรรถกถา มีคํา เจา ปรกั กมพาหุที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖– อธบิ ายไว ๒-๓ นัย เชน นัยหน่งึ วา ๑๗๒๙) รจนาขึน้ ในลงั กาทวีป ธรรม หมายถึง พระสุตตันตปฎก อภิธัมมัตถสังคหะ คัมภีรประมวล อภธิ รรม หมายถงึ เจด็ พระคัมภีร (คือ ความในพระอภธิ รรมปฎ ก สรุปเนอื้ หา อภิธรรมเจ็ดคัมภีร, สัตตัปปกรณะ) สาระลงในหลักใหญท่ีนิยมเรียกกันวา วนิ ยั หมายถงึ อุภโตวภิ ังค (คอื มหา- “ปรมตั ถธรรม ๔” พระอนุรทุ ธาจารย วิภงั คห รอื ภกิ ขุวภิ งั ค และภิกขุนวี ิภงั ค) แหงมูลโสมวิหารในลงั กาทวีป รจนา แต อภวิ นิ ยั หมายถึง ขันธกะ และปรวิ าร, ไมปรากฏเวลาชัดเจน นักปราชญ อีกนัยหนึ่ง ธรรม หมายถึง พระ สันนิษฐานกันตางๆ บางทานวาในยุค สตุ ตนั ตปฎก อภธิ รรม หมายถงึ มรรค เดยี วกนั หรอื ใกลเ คยี งกบั พระพทุ ธโฆสา- ผล วนิ ยั หมายถึง วนิ ยปฎกทงั้ หมด จารย แตโดยทว่ั ไปยอมรับกนั วา แตง ข้ึน อภวิ นิ ยั หมายถึง การกําจัดกิเลสให ไมก อ น พ.ศ.๑๒๕๐ และวานาจะอยูใน สงบระงับไปได, นอกจากนี้ ในพระวนิ ัย ชวงระหวาง พ.ศ. ๑๕๐๐–๑๖๕๐; ดู ปฎก มีคําอธิบายเฉพาะวินัยและอภิ- ปรมตั ถธรรม, พทุ ธโฆสาจารย วนิ ยั วา (เชน วินย.๘/๒/๒) วนิ ยั หมายถึง อภินหิ าร อํานาจแหง บารม,ี อาํ นาจบุญท่ี พระบญั ญัติ (คอื ตวั สิกขาบท) อภวิ นิ ยั สรางสมไว หมายถึง การแจกแจงอธิบายความแหง อภิเนษกรมณ การเสด็จออกเพื่อคณุ อัน พระบญั ญตั ิ; ดู อภธิ รรม, ไตรปฎก

อภิเษก ๔๙๗ อภสิ ัมพุทธคาถา อภเิ ษก การรดน้ํา, การแตงตงั้ โดยการทํา อภสิ ัมพทุ ธคาถา “คาถาของพระองคผู พิธีรดน้าํ , การไดบ รรลุ ตรสั รแู ลว ”, เปนคาํ ทแี่ ทบไมพบในที่อน่ื อภิสมาจาร ความประพฤติดีงามที่ นอกจากอรรถกถาชาดก (พบในอรรถ- ประณีตย่ิงขน้ึ ไป, ขนบธรรมเนยี มเพ่ือ กถาเปตวัตถุ ๑ คร้งั ) ท้ังนี้เพราะใน ความประพฤติดีงามย่ิงขึ้นไปของพระ ชาดกน้ัน พระพทุ ธเจาทรงเลาเร่อื งอดตี ภิกษุ และเพ่ือความเรียบรอยงดงาม ครั้งทรงเปนพระโพธิสัตว และตรัสคํา แหงสงฆ; เทยี บ อาทพิ รหมจรรย สอนของพระองคเชนคติท่ีพึงไดจาก อภิสมาจาริกวัตร วัตรเก่ียวดวยความ เร่ืองอดีตนั้นดว ย ดงั น้ัน คําพูดในเรื่อง ประพฤติอันดี, ธรรมเนียมเก่ียวกับ จึงมีท้ังคําของพระโพธิสัตวในอดีตเม่ือ มรรยาทและความเปนอยทู ด่ี ีงาม ยังไมตรัสรู มีทั้งคําของบุคคลอื่นท่ีโต อภิสมาจาริกาสิกขา หลักการศึกษา ตอบในเรื่องน้ัน และมีพระดํารัสของ อบรมในฝายขนบธรรมเนียมที่จะชักนํา พระพุทธเจาที่ตรสั คตหิ รือขอสรุปไว คํา ความประพฤติ ความเปนอยูของพระ ของทุกบุคคลในเร่ืองมาดวยกันในพระ สงฆใหดงี ามมคี ุณย่งิ ขึน้ ไป, สิกขาฝาย ไตรปฎ กตอนนน้ั และตามปกตเิ ปน คาถา อภสิ มาจาร; เทยี บ อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา ทง้ั นน้ั บางครงั้ พระอรรถกถาจารยจ ะให อภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงแหงการ เราแยกได จึงบอกใหรูวาในเร่ืองนั้นๆ กระทาํ ของบคุ คล, เจตนาทเ่ี ปน ตวั การใน คาถาตรงนๆี้ เปนอภสิ ัมพทุ ธคาถา คือ การทาํ กรรม มี ๓ อยา งคอื ๑. ปุญญา- เปนคาถาที่พระองคตรัสเอง ไมใชของ ภสิ งั ขาร อภสิ งั ขารทเี่ ปน บญุ ๒. อปญุ ญา- บุคคลอื่นในเรื่อง และไมใชของพระ ภิสังขาร อภิสงั ขารทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษต อ บญุ โพธิสัตวใ นเรอื่ ง คอื บาป ๓. อาเนญชาภสิ งั ขาร อภสิ งั ขาร ดังตัวอยางในชาดกเร่ืองแมนกไส ที่เปนอเนญชา คอื กศุ ลเจตนาท่ีเปน ตรัสเลา วา แมนกไส (นกชนดิ นี้วางไข อรูปาวจร ๔; เรียกงายๆ ไดแก บุญ บนพ้ืนดิน) มีลูกหลายตัวเพิ่งออกจาก บาป ฌาน ไข ยังบนิ ไมได และพอดอี ยูบนทางท่ี อภิสังขารมาร อภสิ งั ขารเปนมารเพราะ ชา งเทีย่ วหากนิ วนั น้ัน ชางโพธิสตั วนํา เปนตัวปรงุ แตงกรรม ทําใหเกดิ ชาติชรา ชางโขลงใหญผานมา แมนกไสเขาไปยนื เปนตน ขัดขวางไมใ หหลดุ พนจากทกุ ข ขวางหนา และกลา ว (เปน คาถา) วา “ฉนั ในสงั สารวฏั ฏ (ขอ ๓ ในมาร ๕) ขอไหวท า นพญาชา งผสู งู วยั อายถุ งึ ๖๐

อมนษุ ย ๔๙๘ อมนษุ ย ป มกี าํ ลงั ออ นถอยลง แตเ ปน เจา โขลง นกไสก ็คิดวางแผน และไปขอความรวม ยง่ิ ใหญแ หง แดนปา ฉนั ขอทาํ อญั ชลี มือจากสตั วเ ล็กอ่ืนอกี ๓ ตวั คือ กา ทานดวยปกทั้งสอง โปรดอยาฆา ลูก กบ และแมลงวนั หวั เขียว เริม่ ดวยกาหา ออ นตวั นอ ยๆ ของฉนั เสยี เลย” ชาง จังหวะจิกลูกตาท้ังสองขางของเจาชาง โพธิสัตวฟงแลวก็สงสาร เขามายืน พาล แลว แมลงวนั หัวเขียวก็มาไขใสล กู ครอ มบังลูกนกท้ังหมดไว จนโขลงชา ง ตาท่บี อด พอถกู หนอนชอนไชตา ชา ง ผานเลยไป และลูกนกปลอดภยั แตตอ เจ็บปวดมาก และกระหายเท่ียวหาน้าํ ทงั้ มา ชางรา ยตัวหนง่ึ ซึ่งเทยี่ วไปลาํ พังผา น ท่ตี ามองไมเหน็ ถงึ ทกี บกข็ ึน้ ไปรอ งบน มา แมนกไสก็เขาไปยืนขวางหนาและ ยอดเขา ชา งนกึ วามนี า้ํ ท่นี นั่ กข็ ้นึ ไป กบ กลา ววา “ฉนั ขอไหวท า นพญาชา งผจู ร กล็ งมารอ งทห่ี นาผา ชางมงุ หนา มาหาน้าํ เดย่ี วแหง แดนปา เทยี่ วหาอาหารตาม ขนุ เขา ฉนั ขอทาํ อญั ชลที า นดว ยปก ทง้ั ถึงหนาผาก็ล่ืนไถลตกลงไปตายอยูท่ีเชิง สอง โปรดอยา ฆา ลกู ออ นตวั นอ ยๆ ของ ฉนั เสยี เลย” แตเ จา ชา งพาลไมป รานี กลบั เขา แมน กไสกบ็ ินลงมาเดนิ ไปมาบนตวั พดู แสดงอาํ นาจวา “แนะ นางนกไส ขา จะฆา ลกู นอ ยของเจา เสยี เจา ไมม กี าํ ลงั ชางดวยความสมใจดีใจ เร่อื งจบลงโดย จะมาทาํ อะไรขา ได อยา งพวกเจา นใ่ี ห พระพุทธเจาตรสั วา “จงดเู ถดิ แมน กไส รอ ยตัวพนั ตวั ขา จะเอาเทา ซา ยขา ง กา กบ และแมลงวนั หวั เขยี ว สตั วท ง้ั ส่ี เดยี วขยใี้ หล ะเอยี ดไปเลย” วา แลว กเ็ อา นร้ี ว มใจกนั ฆา ชา งเสยี ได ทา นจงดคู ติ ของคนมเี วรทที่ าํ ตอ กนั เพราะฉะนนั้ แล ทา นทงั้ หลาย ไมค วรกอ เวรกบั ใครๆ ถงึ จะเปน คนทไ่ี มร กั ไมช อบกนั ” ในชาดกนี้ เทาเหยียบขยี้ลูกนกแหลกละเอียดท้ัง มีคาํ กลา ว ๕ คาถา จะเห็นชดั วา ๔ คาถา หมดและรอ งแปรแ ปรน วงิ่ แลน ไป ฝา ย แรกเปน คาถาของบุคคลอนื่ ในเรือ่ ง แต แมนกไสแ คน นกั ฮึดขึน้ มาในใจวา “มิ เฉพาะคาถาท่ี ๕ เปนอภสิ ัมพุทธคาถา ใชว า ใครมกี าํ ลงั แลว จะทาํ อะไรกไ็ ดไ ป อมนุษย ผมู ิใชม นุษย, ไมใชคน, มกั ทวั่ ทงั้ หมด กาํ ลงั ของคนพาลนแ่ี หละ มี หมายถึงสัตวในภพที่มีฤทธิ์มีอํานาจนา ไวฆ า คนพาล เจา ชา งใหญเ อย ใครฆา กลัว อยางที่คนไทยเรียกวาพวกภูตผี ลกู ออ นตวั นอ ยๆ ของขา ขา จกั ทาํ ให ปศาจ แตใ นภาษาบาลี หมายถงึ ยักษ มนั ยอ ยยบั ” ผกู ใจวาจะไดร ูกันระหวา ง หรอื เปรต บอ ยครง้ั หมายถงึ เทวดา บางที กําลังรางกายกับกําลังปญญา แลวแม หมายถงึ ทาวสักกะ คอื พระอินทร (เชน

อมร, อมระ ๔๙๙ อมูฬหวินัย ชา.อ.๑๐/๑๓๔) อมิตา เจา หญงิ ศากยวงศ เปน พระราช- อมร, อมระ ผูไ มต าย เปนคาํ เรยี กเทวดา บุตรีของพระเจาสีหหนุ เปน พระกนิฏฐ- ผูไดด ื่มนาํ้ อมฤต ภคนิ ขี องพระเจาสุทโธทนะ เปนพระเจา อมฤต เปนชอ่ื นํ้าทพิ ยท ที่ าํ ผดู ื่มใหไมต าย อาของพระพุทธเจา มีโอรสซ่ึงออก ตามเร่ืองวา เทวดาทั้งหลายคิดหาของ ผนวชนามวา พระติสสเถระ (ตาม เครอื่ งกันตาย พากันไปถามพระเปน เจา คมั ภีรมหาวงส วาเปนมเหสขี องพระเจา พระเปนเจารับส่ังใหกวนมหาสมุทร สุปปพุทธะ จึงเปนพระมารดาของพระ เทวดาทั้งหลายก็ทําตามโดยวิธีใชภูเขา เทวทัตและเจาหญิงยโสธราพิมพา) รองขางลางลูกหน่งึ วางขางบนลกู หนงึ่ อมิโตทนะ กษัตรยิ ศากยวงศ เปนพระ ท่ีกลางมหาสมุทร ลักษณะคลายโม ราชบตุ รองคท ี่ ๓ ของพระเจา สหี หนุ สาํ หรับโมแ ปง เอานาคพนั เขาทภ่ี เู ขาลูก เปนพระอนุชาองคท่ี ๒ ของพระเจา บนแลว ชว ยกนั ชกั สองขาง อาศัยความ สุทโธทนะ เปนพระเจาอาของพระพทุ ธ- รอนท่ีเกิดจากความหมุนเวียนเบียด เจา เปนพระบิดาของพระอานนท (น้วี า เสียดแหงภูเขา ตนไมทั้งหลายท่ีเปน ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏี. ๓/๓๔๙ เปนตน ยาบนภูเขา ไดค ายรสลงไปในมหาสมทุ ร แตว า ตาม องฺ.อ.๑/๑๗๑ และ พุทธฺ .อ.๘๕ ซ่งึ จนขนเปน ปลักแลว เกดิ เปนน้ําทิพยข้นึ ขัดกับท่ีอ่ืนๆ และวาตามหนังสือเรียน ในทามกลางมหาสมุทร เรียกวา นํ้า เปนพระบิดาของพระมหานามะ และ อมฤต บา ง นาํ้ สุรามฤต บา ง; ทัง้ หมดน้ี พระอนุรุทธะ) เปนเรื่องตามคตขิ องศาสนาพราหมณ อมูฬหวนิ ยั ระเบยี บท่ีใหแ กภ ิกษผุ ูหาย อมฤตธรรม ธรรมทที่ ําใหไมต าย, ธรรม เปนบาแลว, วิธีระงับอธิกรณสําหรับ ซ่ึงเปรียบดวยน้ําอมฤตอันทําผูด่ืมใหไม ภกิ ษุผหู ายจากเปนบา ไดแก กริ ิยาที่ ตาย หมายถึงพระนพิ พาน สงฆสวดประกาศใหสมมติแกภิกษุผู อมาตย ขา ราชการ, ขาเฝา, ขุนนาง, มกั หายเปน บา แลว เพอ่ื ระงบั อนวุ าทาธกิ รณ เรียก อํามาตย อธิบายวา จําเลยเปนบาทําการลวง อมาวสี ดิถีเปน ทีอ่ ยูรวมแหงพระอาทิตย ละเมดิ อาบตั ิ แมจ ะเปน จรงิ กเ็ ปน อนาบตั ิ และพระจันทร, วันพระจันทรด ับ หรอื เมื่อเธอหายบาแลวมีผูโจทดวยอาบัติ วันดับ คือวันส้ินเดือนทางจันทรคติ ระหวางเปนบานั้นไมรูจบ ทานใหสงฆ (แรม ๑๕ หรือ ๑๔ ค่าํ ) สวดกรรมวาจาประกาศความขอนี้ไว

อโมหะ ๕๐๐ อรรถกถา เรียกวา อมูฬหวินัย ยกฟองโจทเสีย เยีย่ ม, ศิษยผเู ลิศกวา ศษิ ยอน่ื ของพระ ภายหลังมีผูโจทดวยอาบัติน้ัน หรือ พุทธเจา หมายถงึ พระสารบี ตุ ร และ อาบัติเชนน้ัน ในคราวที่เปนบา ก็ให พระมหาโมคคัลลานะ; ดู อคั รสาวก อธิกรณเปนอันระงับดวยอมูฬหวินัย อรรถ เนอ้ื ความ, ใจความ, ความหมาย, (ขอ ๓ ในอธิกรณสมถะ ๗) ความมงุ หมาย, ผล, ประโยชน อโมหะ ความไมหลง, ธรรมท่ีเปน อรรถ ๒, ๓ ดู อัตถะ ปฏิปก ษตอ โมหะ คอื ความรจู ริง ไดแ ก อรรถกถา “เคร่ืองบอกความหมาย”, ปญญา (ขอ ๓ ในกุศลมูล ๓) ถอยคําบอกแจงช้ีแจงอรรถ, คําอธิบาย อยกู รรม ดู ปรวิ าส อตั ถะ คอื ความหมายของพระบาลี อนั อยูปรวิ าส ดู ปริวาส ไดแกพุทธพจน รวมทั้งขอความและ อยรู ว ม ในประโยควา “ภิกษุใดรอู ยกู ิน เร่ืองราวเกี่ยวของแวดลอมที่รักษาสืบ รว มกด็ ี อยรู ว มก็ดี สําเร็จการนอนดวย ทอดมาในพระไตรปฎก, คัมภรี อ ธิบาย กันก็ด”ี รวมอโุ บสถสังฆกรรม ความในพระไตรปฎก; ในภาษาบาลี อโยนิโสมนสิการ การทําในใจโดยไม เขยี น อฏ กถา, มคี วามหมายเทา กบั คาํ แยบคาย, การไมใชปญญาพิจารณา, วา อตฺถวณณฺ นา หรือ อตถฺ สวํ ณณฺ นา ความไมรูจักคิด, การปลอยใหอวิชชา (คัมภีรสัททนีติ ธาตุมาลา กลาววา ตณั หาครอบงาํ นาํ ความคดิ ; เทยี บ โยนโิ ส- อรรถกถา คือเครื่องพรรณนาอธิบาย มนสิการ ความหมาย ที่ดาํ เนินไปตามพยัญชนะ อรดี ธิดามารคนหนึ่งใน ๓ คน อาสา และอตั ถะ อนั สมั พนั ธก บั เหตอุ นั เปน ท่ี พระยามารผูเปนบิดา เขาไปประโลม มาและเรอ่ื งราว) พระพทุ ธเจา ดวยอาการตางๆ ในสมยั ที่ อรรถกถามีมาเดิมสืบแตพุทธกาล พระองคเสด็จอยูท่ีไมอชปาลนิโครธภาย เปนของเนื่องอยูดว ยกนั กบั การศึกษาคาํ หลังตรัสรูใหมๆ (อีก ๒ คน คอื ตัณหา สอนของพระพุทธเจา ดังท่ีเขาใจงายๆ กับ ราคา) วา “อรรถกถา” ก็คือคาํ อธบิ ายพทุ ธพจน อรติ ความขงึ้ เคียด, ความไมยินดีดวย, และคาํ อธบิ ายพทุ ธพจนน นั้ กเ็ รม่ิ ตน ท่ี ความริษยา พทุ ธพจน คอื พระดาํ รสั ของพระพทุ ธเจา อรรค ดู อคั ร นน่ั เอง ซง่ึ เปน พระดํารสั ท่ีตรัสประกอบ อรรคสาวก สาวกผูเลศิ , สาวกผยู อด เสริมขยายความในเรื่องที่ตรัสเปนหลัก

อรรถกถา ๕๐๑ อรรถกถา ในคราวนน้ั ๆ บา ง เปน ขอที่ทรงชี้แจง เจนข้นึ พระสาวกทงั้ หลายจึงกําหนดจด อธิบายพุทธพจนอ่ืนท่ีตรัสไวกอนแลว จําปกิณกเทศนาเหลานี้ไวประกอบพวง บาง เปนพระดํารัสปลีกยอยที่ตรัส คมู ากบั พุทธพจนใ นพระไตรปฎ ก เพือ่ อธบิ ายเร่ืองเลก็ ๆ นอ ยๆ ทาํ นองเรือ่ ง เปนหลักฐานที่ชวยใหเขาใจชัดเจนใน เบ็ดเตล็ดบาง ดังที่ทานยกตัวอยางวา พระพุทธประสงคของหลักธรรมท่ีตรัส เม่ือพระพุทธเจาทรงไดรับนิมนตเสด็จ ในคราวนัน้ ๆ และเฉพาะอยา งย่ิงจะได ไปประทับใชอาคารเปน ปฐม ในคราวที่ ใชในการชี้แจงอธิบายหลักธรรมในพุทธ เจาศากยะสรางหอประชุม (สันถาคาร) พจนนั้นแกศิษยเปนตน พระปกณิ ก- เสร็จใหม ในพระไตรปฎ กกลาวไวเพียง เทศนานแ้ี หละ ทีเ่ ปนแกนหรอื เปนที่กอ วาไดทรงแสดงธรรมกถาแกเจาศากยะ รูปของส่ิงท่ีเรียกวาอรรถกถา แตใน อยูจนดึก เมื่อจะทรงพัก จงึ รบั สัง่ ให ขณะที่สวนซ่งึ เรียกวา พระไตรปฎก ทาน พระอานนทแสดงธรรมเรื่องเสขปฏิปทา รักษาไวในรูปแบบและในฐานะท่ีเปน แกเ จาศากยะเหลาน้นั และในพระสูตร หลกั สว นที่เปน อรรถกถาน้ี ทา นนําสบื น้ันไดบันทึกสาระไวเฉพาะเร่ืองท่ีพระ กันมาในรูปลักษณและในฐานะที่เปนคํา อานนทแสดง สวนธรรมกถาของพระ อธิบายประกอบ แตก ็ถอื เปนสําคญั ย่งิ พุทธเจา เองมวี า อยางไร ทา นไมไ ดร วม ดงั ที่เม่อื สังคายนาพระไตรปฎ ก อรรถ- ไวในตัวพระสตู รน้ี เรอ่ื งอยางน้มี ีบอยๆ กถาเหลาน้กี เ็ ขา สูการสงั คายนาดวย (ดู แมแ ตพ ระสูตรใหญๆ ก็บันทกึ ไวเฉพาะ หลักหรือสาระสําคัญ สวนท่ีเปนพระ ตวั อยา งท่ี ม.ม.๑๓/๒๕/๒๕; ม.อ.๓/๖/๒๐; วนิ ย.ฏ.ี ดํารัสรายละเอียดหรือขอปลีกยอย ขยายความ ซึ่งเรียกวาปกิณกเทศนา ๒/๒๘/๗๐; ท.ี ฏ.ี ๒/๑๘๘/๒๐๗) ทง้ั น้ี มเิ ฉพาะ (จะเรยี กวาปกณิ กธรรมเทศนา ปกิณก- พระพทุ ธดํารสั เทานนั้ แมคาํ อธบิ ายของ ธรรมกถา ปกิณกกถา หรือบาลีมุต- พระมหาสาวกบางทานก็มีท้ังที่เปนสวน ธรรมกถา ก็ได) แมจะไมไดรวมไวเปน ในพระไตรปฎก (อยางเชนพระสูตร สวนของพระไตรปฎก แตพระสาวกก็ หลายสูตรของพระสารีบุตร) และสวน ถือวาสําคัญย่ิง คือเปนสวนอธิบาย อธิบายประกอบท่ีถือวาเปนอรรถกถา ขยายความที่ชวยใหเขาใจพุทธพจนที่ คําอธิบายท่ีสําคัญของพระสาวกผูใหญ บันทึกไวเปนพระสูตรเปนตนน้ันไดชัด อันเปนท่ยี อมรับนบั ถือเปนหลัก กไ็ ดร ับ การถายทอดรักษาผานการสังคายนาสืบ ตอ มาดว ย

อรรถกถา ๕๐๒ อรรถกถา คําอธิบายท่ีเปนเร่ืองใหญบางเร่ือง สงั คายนาทง้ั ๓ ครง้ั จนกระทงั่ เมอื่ พระ สําคัญมากถึงกับวา ท้ังท่ีเรียกวาเปน มหินทเถระไปประดิษฐานพระพุทธ- อรรถกถา กจ็ ดั รวมเขา เปน สว นหนึ่งใน ศาสนาในลงั กาทวปี เมอื่ พ.ศ. ๒๓๕ ก็ พระไตรปฎกดวย ดงั ทท่ี านเลา ไว คือ นาํ อรรถกถาเหลา นนั้ ซงึ่ ยงั เปน ภาษาบาลี “อัฏฐกถากัณฑ” ซึ่งเปนภาคหรือคัมภีร พว งไปกบั พระไตรปฎ กบาลดี ว ย แตเ พื่อ ยอยที่ ๓ ในคมั ภรี ธ มั มสงั คณี แหง พระ ใหพระสงฆตลอดจนพุทธศาสนิกทั้ง อภธิ รรมปฎ ก (พระไตรปฎก เลม ๓๔, หลายในลังกาทวีปน้ัน สามารถศึกษา อัฏฐกถากัณฑนมี้ อี ีกช่อื หนงึ่ วา “อตั ถุท- พระไตรปฎกซึ่งเปนภาษาบาลีไดสะดวก ธารกัณฑ” และพระไตรปฎ กฉบบั สยาม พระพุทธศาสนาจะไดเจริญมั่นคงดวย รัฐไดเลือกใชชื่อหลัง) ตามเรื่องท่ีทาน หลักพระธรรมวนิ ัย คมั ภีรเลาวา พระ บนั ทึกไวว า (สงฺคณี.อ.๔๖๖) สทั ธิวหิ ารกิ รปู มหินทเถระไดแปลอรรถกถาจากภาษา หนึ่งของพระสารีบุตรไมสามารถกําหนด บาลใี หเปน ภาษาของผเู ลา เรยี น คอื ภาษา จับคําอธิบายธรรมในภาคหรือคัมภีร สงิ หฬ ซง่ึ เรียกกันตอ มาวา “มหาอัฏฐ- ยอยที่ ๒ ทช่ี อ่ื วา นกิ เขปกณั ฑ ในคมั ภรี  กถา” และใชเปนเครื่องมือศึกษาพระ ธมั มสงั คณนี ั้น พระสารบี ตุ รจงึ พดู ใหฟ ง ไตรปฎกบาลีสืบมา ตอ แตน นั้ อรรถกถา ก็เกิดเปนอัฏฐกถากัณฑหรืออัตถุทธาร- ทงั้ หลายกส็ บื ทอดกนั มาในภาษาสงิ หฬ กณั ฑน นั้ ข้ึนมา (แตค ัมภีรมหาอฏั ฐกถา กลา ววา พระสารบี ตุ รพาสทั ธวิ หิ าริกรูป ตอมา พระพทุ ธศาสนาในชมพทู วีป น้ันไปเฝาพระพุทธเจา และพระองค เส่ือมลง แมว าพระไตรปฎกจะยังคงอยู ตรัสแสดง), คมั ภรี มหานิทเทส (พระ แตอรรถกถาไดส ูญสนิ้ หมดไป ครั้งน้นั ไตรปฎก เลม ๒๙) และจูฬนทิ เทส มพี ระภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ออกบวชจากตระกลู (พระไตรปฎก เลม ๓๐) ก็เปนคาํ อธิบาย พราหมณ เลา เรยี นพระไตรปฎ กแลว มี ของพระสารีบุตร ท่ีไขและขยายความ ความเชยี่ วชาญจนปรากฏนามวา “พทุ ธ- แหง พทุ ธพจนใ นคมั ภรี สตุ ตนิบาต (พระ โฆส” ไดเรียบเรียงคมั ภรี ชือ่ วา ญาโณทยั ไตรปฎก เลม ๒๕, อธบิ ายเฉพาะ ๓๒ (คัมภีรมหาวงสกลาววาทานเรียบเรียง สูตร ในจํานวนทัง้ หมด ๗๑ สตู ร) อรรถกถาแหงคัมภีรธัมมสังคณี ชื่อวา อฏั ฐสาลนิ ใี นคราวนน้ั ดว ย แตไ มส มจรงิ อรรถกถาท้ังหลายแตครั้งพุทธกาล เพราะอฏั ฐสาลนิ อี า งวสิ ทุ ธมิ คั ค และอา ง นั้น ไดพ วงมากับพระไตรปฎกผานการ สมนั ตปาสาทกิ า มากมายหลายแหง จงึ

อรรถกถา ๕๐๓ อรรถกถา คงตอ งแตง ทหี ลงั ) เสรจ็ แลว เรมิ่ จะเรยี บ มอบคมั ภรี แ กท า น พระพุทธโฆสเริ่มงาน เรยี งอรรถกถาแหง พระปรติ รขน้ึ อาจารย แปลใน พ.ศ.๙๗๓ ต้ังตนท่ีอรรถกถา ของทา น ซง่ึ มชี อ่ื วา พระเรวตเถระ บอก วา อรรถกถามีอยูบ ริบูรณในลงั กาทวีป แหงพระวนิ ัยปฎก (คอื สมันตปาสาทกิ า, เปนภาษาสงิ หฬ และใหทา นไปแปลเปน ภาษาบาลีแลว นํามายงั ชมพทู วปี คาํ นวณปจ าก วนิ ย.อ.๓/๖๓๕) เมอื่ ทาํ งานแปล เสร็จพอควรแลว ก็เดินทางกลับไปยัง พระพุทธโฆสไดเดินทางไปยังลังกา- ทวีปในรัชกาลของพระเจามหานาม ชมพทู วปี (พ.ศ.๙๕๓–๙๗๕; ปท่ีทานไป หลกั ฐาน บางแหง วา พ.ศ.๙๕๖ แตบ างแหง วา พ.ศ. งานแปลของพระพทุ ธโฆสนน้ั แทจ รงิ ๙๖๕) พระพทุ ธโฆสพํานักในมหาวหิ าร มใิ ชเ ปน การแปลอยา งเดยี ว แตเ ปน การ เมอื งอนรุ าธปรุ ะ ไดสดบั อรรถกถาภาษา สงิ หฬครบทงั้ มหาอฏฐ กถา มหาปจจฺ รี แปลและเรียบเรียง ดังที่ทานเองเขียน (มหาปจจฺ รยิ กเ็ รยี ก) และกรุ นุ ทฺ ี (อรรถ- กถาเกากอ นเหลานี้ รวมทั้งสงฺเขปฏ - บอกไววา ในการสังวรรณนาพระวินัย กถาซงึ่ เปน ความยอ ของมหาปจ จรี และ ทานใชมหาอรรถกถาเปนเน้ือหาหลัก อนฺธกฏกถาที่พระพุทธโฆสไดคุนมา (เปน สรรี ะ) พรอ มทง้ั เกบ็ เอาอรรถะทค่ี วร กอนนั้นแลว จัดเปนโปราณัฏฐกถา) เม่ือจบแลว ทานก็ไดขอแปลอรรถกถา กลาวถึงจากขอวินิจฉัยที่มีในอรรถกถา ภาษาสงิ หฬ เปน ภาษามคธ แตส งั ฆะแหง มหาปจ จรี และอรรถกถากรุ นุ ที เปน ตน มหาวิหารไดมอบคาถาพุทธพจนใหทาน (คือรวมตลอดถึงอันธกัฏฐกถา และ ไปเขียนอธิบายกอน เปนการทดสอบ สังเขปฏฐกถา) อธิบายใหครอบคลุม ความสามารถ พระพุทธโฆสไดเขียน ประดาเถรวาทะ (คอื ขอ วินิจฉัยของพระ ขยายความคาถานนั้ โดยประมวลความ ในพระไตรปฎกพรอมทั้งอรรถกถามา มหาเถระวินัยธรโบราณในลังกาทวีป ถงึ เรียบเรียงตามหลกั ไตรสกิ ขา สาํ เร็จเปน คัมภีรวิสุทธิมัคค คร้ันเห็นความ พ.ศ.๖๕๓), แตในสวนของพระ สามารถแลว สังฆะแหงมหาวิหารจึงได สุตตันตปฎกและพระอภิธรรมปฎก อรรถกถาโบราณ (โปราณฏั ฐกถา) ภาษา สงิ หฬ มเี พียงมหาอรรถกถาอยางเดยี ว (มมี หาอรรถกถาในสว นของคมั ภรี แ ตล ะ หมวดนนั้ ๆ ซง่ึ ถอื วา เปน มลู ฏั ฐกถา) พระ พุทธโฆสจึงใชมหาอรรถกถานั้น เปน แกน ขอ ความทยี่ ดื ยาวกลา วซาํ้ ๆ กจ็ บั เอาสาระมาเรียบเรียง แปลเปนภาษา มคธ โดยเกบ็ เอาวาทะ เรอ่ื งราว และขอ

อรรถกถา ๕๐๔ อรรถกถา วินิจฉัยของพระเถระสิงหฬโบราณ ถึง คาถา ปรมัตถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๙. พ.ศ.๖๕๓ มารวมไวด ว ย เถรคี าถา ปรมตั ถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๑๐.ชาดก ชาตกฏั ฐกถา (*) ๑๑.นทิ เทส พระพุทธโฆสาจารยเปนผูเร่ิมตนยุค สทั ธมั มปชโชตกิ า (พระอปุ เสนะ) ๑๒. อรรถกถาท่ีกลับมีเปนภาษาบาลีขึ้นใหม ปฏิสมั ภิทามัคค สัทธัมมปกาสนิ ี (พระ แมวาพระพุทธโฆสจะมิไดจัดทําอรรถ- มหานาม) ๑๓.อปทาน วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี กถาขึ้นครบบริบูรณ แตในระยะเวลา (**) ๑๔.พทุ ธวงส มธรุ ัตถวลิ าสนิ ี (พระ ใกลเคียงกันน้ันและตอจากนั้นไมนาน พทุ ธทัตตะ) ๑๕.จรยิ าปฎก ปรมตั ถ- ก็ไดมีพระอรรถกถาจารยรูปอ่ืนๆ มา ทปี นี (พระธรรมปาละ) ค.พระอภิธรรม- ทํางานสวนท่ยี ังขาดอยจู นเสร็จสิ้น ปฎ ก ๑.ธัมมสงั คณี อัฏฐสาลนิ ี (พฆ.) ๒.วภิ ังค สมั โมหวิโนทนี (พฆ.) ๓.หา รายชอื่ อรรถกถา พรอมท้ังนามพระ คมั ภรี ท เี่ หลอื ปญ จปกรณฏั ฐกถา (พฆ.) เถระผูรจนา (พระอรรถกถาจารย) แสดงตามลําดับคัมภีรในพระไตรปฎก [พงึ ทราบ: @ ปรมตั ถทปี นี ทเ่ี ปน ทอี่ รรถกถานน้ั ๆ อธบิ าย มีดงั นี้ (พฆ. อรรถกถา แหง วิมานวัตถุ และเปตวัตถุ หมายถึง พระพุทธโฆสาจารย) มีอกี ชอื่ หน่งึ วา วมิ ลวลิ าสนิ ;ี (*) คอื ธมั มปทฏั ฐกถา และชาตกฏั ฐกถา นัน้ ก.พระวนิ ยั ปฎก (ท้ังหมด) สมนั ต- ท่ีจริงก็มีชื่อเฉพาะวา ปรมัตถโชติกา ปาสาทกิ า (พฆ.) ข.พระสตุ ตันตปฎก และถือกันมาวาพระพุทธโฆสเปนผู ๑.ทฆี นิกาย สุมังคลวลิ าสินี (พฆ.) ๒.มชั ฌมิ นิกาย ปปญจสูทนี (พฆ.) เรยี บเรยี งคัมภรี ท ง้ั สองนี้ แตอ าจเปนได ๓.สังยุตตนกิ าย สารัตถปกาสนิ ี (พฆ.) ๔.อังคุตตรนิกาย มโนรถปรู ณี (พฆ.) วา ทานเปน หัวหนา คณะ โดยมีผอู ่ืนรวม ๕.ขทุ ทกนกิ าย ๑.ขทุ ทกปาฐะ ปรมตั ถ- งานดว ย; (**) วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี นน้ั โชติกา (พฆ.) ๒.ธรรมบท ธัมมปทัฏฐ- นามผรู จนาไมแ จง แตค มั ภรี จ ฬู คนั ถวงส กถา (*) ๓.อทุ าน ปรมัตถทปี นี (พระ ธรรมปาละ) ๔.อิติวตุ ตกะ ปรมัตถทีปนี (แตงในพมา) วาเปนผลงานของพระ (พระธรรมปาละ) ๕.สตุ ตนบิ าต ปรมตั ถ- โชติกา (พฆ.) ๖.วิมานวตั ถุ ปรมตั ถ- พทุ ธโฆส; มอี รรถกถาอื่นที่พึงทราบอกี ทีปนี@ (พระธรรมปาละ) ๗.เปตวัตถุ บา ง คอื กงั ขาวติ รณี (อรรถกถาแหง ปรมตั ถทีปนี@ (พระธรรมปาละ) ๘.เถร- พระปาฏโิ มกข) ซ่งึ ก็เปน ผลงานของพระ พุทธโฆส, อรรถกถาแหงเนตติปกรณ เปน ผลงานของพระธรรมปาละ]

อรรถกถา ๕๐๕ อรรถกถา เน้ือตัวแทๆ ของอรรถกถา หรือ ของพระอรรถกถาจารยตอเรื่องท่ีกําลัง ความเปน อรรถกถา กต็ รงกับชอ่ื ทเี่ รยี ก พจิ ารณา และพรอ มนน้ั กอ็ าจจะกลา วถงึ คือ อยูที่เปนคาํ บอกความหมาย หรอื มตทิ ข่ี ัดแยง หรือทสี่ นบั สนุน ของ “เกจ”ิ เปนถอยคําช้ีแจงอธิบายอัตถะของศัพท (อาจารยบ างพวก) “อฺเ” (อาจารย หรือขอความในพระไตรปฎก เฉพาะ พวกอน่ื ) “อปเร” (อาจารยอ ีกพวกหนง่ึ ) อยางยง่ิ คืออธิบายพุทธพจน เชน เรา เปนตน นอกจากนน้ั ในการอธบิ ายหลัก อานพระไตรปฎก พบคาํ วา “วิริยสฺส หรือสาระบางอยาง บางทกี ย็ กเรื่องราว สณฺ าน”ํ กไ็ มเขาใจ สงสยั วา ทรวดทรง มาประกอบหรือเปนตัวอยาง ประเภท สัณฐานอะไรของความเพียร จึงไปเปด เร่อื งปนอทิ ธฤิ ทธ์ิปาฏิหารยิ บาง เร่อื งใน ดูอรรถกถา ก็พบไขความวา สัณฐานใน วิถีชีวิตและความเช่ือของชาวบานบาง ทนี่ หี้ มายความวา “ปนา อปปฺ วตตฺ นา…” ตลอดจนเหตุการณในยุคสมัยตางๆ ซ่งึ ก็เขาใจและแปลไดวาหมายถึงการหยุด มากทีเดียวเปนเรื่องความเปนไปของ ยง้ั การไมด ําเนนิ ความเพียรตอไป ถา บานเมืองในลังกาทวีป ซึ่งในอดีตผาน พูดในข้ันพ้ืนฐาน ก็คลายกับพจนานุ- ยุคสมัยตางๆ ระหวางท่ีพระสงฆเลา กรมท่ีเราอาศัยคนหาความหมายของ เรียนกัน คงมกี ารนําเอาเร่ืองราวในยคุ ศพั ท แตต างกนั ตรงท่ีวา อรรถกถามิใช สมัยนั้นๆ มาเลาสอนและบันทึกไวสืบ เรียงตามลําดับอักษร แตเรียงไปตาม กันมา จึงเปนเรอื่ งตาํ นานบาง ประวัติ- ลําดับเนอื้ ความในพระไตรปฎ ก ยง่ิ กวา ศาสตรบา ง แหงกาลเวลาหลายศตวรรษ น้นั อรรถกถาอาจจะแปลความหมายให อนั เห็นไดชดั วา พระอรรถกถาจารยดัง ทั้งประโยค หรอื ท้ังทอ นทั้งตอน และ เชนพระพุทธโฆสาจารย ไมอ าจรูไปถึง ความท่ีทานชํ่าชองในพระไตรปฎก ก็ ได นอกจากยกเอาจากคมั ภีรทเ่ี รียกวา อาจจะอางอิงหรือโยงคําหรือความตอน โปราณฏั ฐกถาข้นึ มาถายทอดตอไป นั้น ไปเทียบหรอื ไปบรรจบกับขอความ เรือ่ งราวท่ีอ่นื ในพระไตรปฎ กดวย นอก สําหรับผูที่เขาใจรูจักอรรถกถา ส่ิง เหนอื จากนี้ ในกรณีเปนขอ ปญหา หรอื สาํ คัญทเี่ ขาตอ งการจากอรรถกถา ก็คอื ไมชัดเจน ก็อาจจะบอกขอยุติหรือคํา สวนท่ีเปนคําบอกความหมายไขความ วินิจฉัยที่สังฆะไดตกลงไวและรักษากัน อธิบายเน้ือหาในพระไตรปฎก ซง่ึ กค็ อื มา บางทีก็มีการแสดงความเหน็ หรอื มติ ตอ งการตวั อรรถกถาแทๆ นัน่ เอง และ ก็ตรงกันกับหนาที่การงานของอรรถกถา

อรรถกถา ๕๐๖ อรรถกถา อันไดแกการรักษาสืบทอดคาํ บอกความ เกาภาษาสิงหฬ ที่ถูกเรียกแยกออกไป หมายทเ่ี ปนอัตถะในพระไตรปฎก สว น ใหเ ปนตา งหากวา “โปราณัฏฐกถา” ขอ ท่ี อน่ื นอกเหนือจากนี้ เชนเรอื่ งราวเลาขาน ควรทราบอันสําคัญก็คือ ในอรรถกถา ตา งๆ เปนเพียงเครอื่ งเสริมประกอบ ที่ ภาษาบาลีที่เปนรุนใหมน้ี ทานอางอิง จริง มนั ไมใชอรรถกถา แตเปน สง่ิ ท่ีพวง โปราณฏั ฐกถาบอ ยๆ โดยบางทกี อ็ อกชอ่ื มาดวยในหนังสือหรือคัมภีรท่ีเรียกวา เฉพาะของอรรถกถาเกาน้ันชัดออกมา อรรถกถา แตบางทีก็กลาวเพียงวา “ในอรรถกถา กลาววา…” คําวา อรรถกถา ท่ีอรรถกถา เนื่องจากผูอานพระไตรปฎกบาลี ภาษาบาลกี ลา วถงึ นน้ั โดยทว่ั ไป หมายถงึ ตองพบศัพทท่ีตนไมรูเขาใจบอยคร้ัง อรรถกถาเกา หรอื โปราณฏั ฐกถา ทเ่ี ปน และจงึ ตอ งปรึกษาอรรถกถา คลายคน ภาษาสงิ หฬ (พระอรรถกถาจารยร นุ ใหม ปรึกษาพจนานุกรม เมื่อแปลพระไตร- นี้ บางทานยงั ไมพบวา ไดเ รียกงานทีท่ าน ปฎกมาเปน ภาษาไทย เปนตน จึงมกั เองทาํ วา เปน อรรถกถา) พดู สน้ั ๆ วา คน แปลไปตามคําไขความหรืออธิบายของ ปจ จบุ นั พดู ถงึ อรรถกถา หมายถงึ อรรถ- อรรถกถา พระไตรปฎ กแปลภาษาไทย กถาภาษาบาลที เ่ี กดิ มใี นยคุ พ.ศ.๑๐๐๐ เปนตนน้ัน จึงมีสวนท่ีเปนคําแปลผา น แตอรรถกถาภาษาบาลีน้ันเอยคําวา อรรถกถา หรือเปนคําแปลของอรรถ อรรถกถา โดยมกั หมายถงึ อรรถกถาเกา กถาอยเู ปน อันมาก และผอู านพระไตร- ภาษาสงิ หฬ ปฎกแปลก็ไมรูตัววาตนกาํ ลังอานอรรถ- กถาพรอ มไปดว ย หรือวาตนกําลงั อา น ตอจากอรรถกถา ยังมีคัมภีรที่ พระไตรปฎกตามคําแปลของอรรถกถา อธิบายรุนตอมาอีกหลายชั้นเปนอันมาก เชน “ฎีกา” แจงไขขยายความตอจาก มขี อพงึ ทราบอีกอยา งหนึ่งวา เวลาน้ี อรรถกถา “อนุฎีกา” แจงไขขยายความ เม่ือพูดถึงอรรถกถา ทุกคนเขาใจวา ตอจากฎีกา แตใ นที่นี้จะไมก ลา วถึง เวน หมายถึงอรรถกถาภาษาบาลที ่ีพระพทุ ธ- แตจ ะขอบอกนามทา นผแู ตง “ฎกี า” ท่ี โฆสาจารย เปนตน ไดเรยี บเรียงขึน้ ใน สาํ คญั พอใหท ราบไว ชว งระยะใกล พ.ศ.๑๐๐๐ แตด ังไดเลา ใหท ราบแลววา พระอรรถกถาจารยรุน พระอาจารยธ รรมปาละ ซง่ึ เปนพระ ใหม พ.ศ.ใกลห น่งึ พนั นี้ ไดเ รียบเรยี ง อรรถกถาจารยสาํ คัญที่เรียบเรียงอรรถ- อรรถกถาภาษาบาลีขึ้นมาจากอรรถกถา กถาไวมาก รองจากพระพุทธโฆส ได

อรรถกถาจารย ๕๐๗ อรหัตตผล เรียบเรียงฎีกาสําคัญ ซึ่งอธิบายอรรถ- อรรถรส “รสแหง เนอื้ ความ”, “รสแหง กถาที่พระพุทธโฆสไดเรียบเรียงไวอีก ความหมาย” สาระทต่ี อ งการของเนอื้ ความ, ดวย คอื ลนี ตั ถปกาสินี (เปนฎีกาซึ่ง เนอื้ แทข องความหมาย, ความหมายแทท ี่ อธบิ ายอรรถกถาแหง นกิ ายทงั้ ส่ี คอื ทฆี - ตอ งการ, ความมงุ หมายทแ่ี ทรกซมึ อยใู น นกิ าย มชั ฌมิ นกิ าย สงั ยตุ ตนกิ าย และ เนื้อความ คลายกับทม่ี ักพูดกันในบดั นี้ อังคุตตรนิกาย และอธิบายอรรถกถา วา เจตนารมณ (พจนานกุ รมวา “ถอ ยคํา แหง ชาดก) นอกจากนนั้ กย็ งั ไดเ รยี บเรยี ง ที่ทาํ ใหเกดิ ความซาบซึง้ ”) ปรมตั ถทปี นี (ฎกี าอธบิ ายอรรถกถาแหง อรรถศาสน คาํ สอนวา ดว ยเรอื่ งประโยชน พทุ ธวงส ทพ่ี ระพทุ ธทตั ตะเรยี บเรยี งไว) ๓ อยาง คือ ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ และปรมัตถมัญชุสา (ฎีกาแหงวิสุทธิ- ประโยชนใ นปจ จบุ นั ๒. สมั ปรายกิ ตั ถะ มคั ค ทเ่ี รยี กกนั วา มหาฎกี า), ฎกี าจารย ประโยชนท จี่ ะไดใ นภายหนา ๓. ปรมตั ถะ ทา นหนง่ึ ชอื่ พระวาจสิ สระ รจนา ลนี ตั ถ- ประโยชนอยา งยิ่ง คอื พระนพิ พาน ทีปนี (ฎีกาอนั อธิบายตอ จากอรรถกถา อรหํ (พระผูมพี ระภาคเจาน้นั ) เปน พระ แหง ปฏสิ มั ภทิ ามคั ค) ; นอกจากน้ี มฎี กี า อรหนั ต คอื เปนผูไ กลจากกเิ ลสและ อกี ๒ เรอื่ ง ทค่ี วรกลา วไวด ว ย เพราะ บาปธรรม ทรงความบริสุทธิ์, หรอื เปน ผู กําหนดใหใชเลาเรียนในหลักสูตรพระ กําจัดขา ศึกคอื กิเลสสนิ้ แลว, หรอื เปนผู ปรยิ ตั ธิ รรมแผนกบาลขี องคณะสงฆไ ทย หกั กาํ แหง สงั สารจกั ร อันไดแ ก อวชิ ชา คอื สารตั ถทปี นี (ฎกี าแหง วนิ ยฏั ฐกถา) ตัณหา อุปาทาน กรรม, หรอื เปน ผคู วร ผูแตง คือพระอาจารยช ือ่ สารบี ุตร (ไมใ ช แนะนาํ สง่ั สอน เปน ผคู วรรบั ความเคารพ พระสารบี ตุ รอคั รสาวก) และ อภธิ มั มตั ถ- ควรแกทักษิณา และการบูชาพิเศษ, วภิ าวนิ ี (ฎกี าแหง อภธิ มั มตั ถสงั คหะ) ผู หรือเปน ผไู มมีขอเรนลับ คือไมม ีขอ เสีย แตงคือพระสุมังคละ; ดู โปราณฏั ฐกถา หายอนั ควรปกปด (ขอ ๑ ในพทุ ธคุณ ๙) อรรถกถาจารย อาจารยผ แู ตง อรรถกถา อรหัต ความเปน พระอรหนั ต, ช่อื มรรค อรรถกถานัย เคาความในอรรถกถา, ผลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซง่ึ ตัด แนวคําอธิบายในอรรถกถา, แงแหง กเิ ลสในสันดานไดเ ด็ดขาด; เขยี นอยาง ความหมายทแ่ี สดงไวในอรรถกถา คาํ เดิมเปน อรหัตต อรรถคดี เร่ืองท่ีฟองรองกันในโรงศาล, อรหัตตผล ผลคือการสําเร็จเปนพระ ขอ ทกี่ ลาวหากนั อรหันต, ผลคอื ความเปนพระอรหันต,

อรหตั ตมรรค ๕๐๘ อรญั ,อรัญญ ผลท่ีไดรับจากการละสังโยชนทั้งหมด คอื กเิ ลสหมดสิน้ แลว ๓. เปน ผหู กั คือ อันสืบเน่ืองมาจากอรหตั ตมรรค ทําให รื้อทําลายกาํ (อร+หต) แหงสงั สารจกั ร เสร็จแลว ๔. เปน ผคู วร (อรห) แกการ เปน พระอรหันต อรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพ่ือบรรลุผล บูชาพิเศษของเทพและมนุษยทั้งหลาย คือความเปนพระอรหันต, ญาณคือ ๕. ไมม ที ่ลี ับ (น+รห) ในการทําบาป ความรูเปน เหตุละ สังโยชน ไดท ้ัง ๑๐ คือไมมีความช่ัวความเสียหายท่ีจะตอง อรหัตตวิโมกข ความพนจากกิเลสดวย ปด บงั ; ความหมายท้งั ๕ น้ี ตามปกติ อรหัต หรือเพราะสําเรจ็ อรหัต คือหลดุ ใชอธิบายคาํ วา อรหันต ที่เปนพุทธคุณ พนขั้นละกิเลสไดสิ้นเชิงและเด็ดขาด ขอท่ี ๑; ดู อรหํ อรหนั ตขณี าสพ พระอรหนั ตผ สู น้ิ อาสวะ สําเรจ็ เปนพระอรหันต อรหนั ต ผสู าํ เร็จธรรมวเิ ศษสูงสุดในพระ แลว ใชส าํ หรบั พระสาวก, สําหรับพระ พุทธศาสนา, พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด พทุ ธเจา ใชค าํ วา อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธ- ผูไ ดบ รรลอุ รหัตตผล, พระอรหันต ๒ เจา พระอรหนั ตผูตรสั รูช อบเอง ประเภท คอื พระสุกขวปิ ส สก กบั พระ อรหันตฆาต ฆา พระอรหันต (ขอ ๓ ใน สมถยานกิ ; พระอรหันต ๔ คือ ๑. พระ อนนั ตรยิ กรรม ๕) สุกขวปิ ส สก ๒. พระเตวิชชะ (ผูไ ด อรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระอรหนั ต วิชชา ๓) ๓. พระฉฬภญิ ญะ (ผไู ด ผตู รัสรชู อบดว ยพระองคเอง หมายถงึ อภญิ ญา ๖) ๔. พระปฏสิ มั ภิทปั ปตตะ พระพุทธเจา (ผูบรรลปุ ฏิสัมภิทา ๔); พระอรหนั ต ๕ อรัญ, อรญั ญ ปา, ตามกําหนดในพระ คือ ๑. พระปญ ญาวิมุต ๒. พระอุภโต- วินัย (วินย.๑/๘๕/๘๕) วา “ที่เวนบาน (คาม) ภาควมิ ุต ๓. พระเตวชิ ชะ ๔. พระฉฬ- และอปุ จารบา น นอกนน้ั ชอ่ื วา ปา (อรญั )” ภิญญะ ๕. พระปฏสิ ัมภทิ ปั ปตตะ; ดู และตามนยั พระอภธิ รรม (อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๖๑๖/ อรยิ บคุ คล ๓๓๘; ซ่งึ ตรงกับพระสูตร, ขุ.ปฏิ.๓๑/๓๘๘/๒๖๔) พระอรรถกถาจารยแสดงความ วา “คาํ วา ปา (อรญั ) คอื ออกนอกหลกั หมายของ อรหนั ต ไว ๕ นัย คอื ๑. เขตไปแลว ทท่ี งั้ หมดนน้ั ชอ่ื วา ปา ”; สว น เปน ผไู กล (อารกะ) จากกเิ ลส (คือหาง เสนาสนะปา (รวมทง้ั วดั ปา ) มกี ําหนดใน ไกลไมอยูในกระแสกิเลสที่จะทําใหมัว พระวินัย (วินย.๒/๑๔๖/๑๖๖; ๗๙๖/๕๒๘) วา หมองไดเลย) ๒. กําจัดขา ศกึ (อริ+หต) “เสนาสนะทช่ี อื่ วา ปา มรี ะยะไกล ๕๐๐

อรญั ญกิ ธุดงค ๕๐๙ อรญั วาสี ชวั่ ธนู (=๕๐๐ วา คอื ๑ กม.) เปน อยา ง ธรรมวนิ ัยน้ี ไปอยใู นปาก็ดี โคนไมก ็ดี นอ ย”; เทยี บ วนะ เรอื นวา งกด็ …ี ; ที่ตรัสรองลงไปคือ “… อรญั ญิกธดุ งค องคคณุ เคร่อื งขจัดกเิ ลส วิวิตตฺ  เสนาสน ภชติ อรฺ  รกุ ฺขมลู  ของผถู ืออยูใ นปาเปนวัตร ไดแกธดุ งค ปพฺพต กนฺทร คริ ิคุหํ สสุ าน วนปตฺถ ขอ อารัญญิกังคะ อพฺโภกาส ปลาลปุชฺ …” – [ภกิ ษนุ น้ั ] อรญั ญิกวตั ร ขอปฏบิ ัตสิ ําหรับภกิ ษผุ อู ยู …เขา หาเสนาสนะอนั สงดั คอื ปา โคนไม ปา, ธรรมเนยี มในการอยูปา ของภกิ ษ;ุ ดู ภูเขา ซอกเขา ถ้าํ ในเขา ปา ชา ดงเปลีย่ ว อารัญญกวัตร ท่ีแจง ลอมฟาง…) แนวทางปฏบิ ตั เิ ชนน้ี อรญั วาสี “ผอู ยปู า ”, พระปา หมายถึง ทา นถอื แนน แฟน สบื กนั มา แมว า สาระจะ พระภิกษุท่ีอยูวัดในปา, เปนคูกับ อยทู ม่ี เี สนาสนะอนั สงดั แตป า ซงึ่ ในอดีต คามวาสี หรือพระบาน ซึง่ หมายถึงพระ มพี รอ มและเปนทสี่ งดั อันแนนอน ก็เปน ภิกษุที่อยูวัดในบานในเมือง; ใน ทีพ่ ึงเลือกเดนอันดบั แรก จึงนบั วาเปน ตัวแทนที่เต็มความหมายของเสนาสนะ พทุ ธกาล ไมมกี ารแบงแยกวา พระบา น อันสงัด ดังปรากฏเปน คาถาทก่ี ลา วกนั วาพระธรรมสังคาหกาจารยไดรจนาไว -พระปา และคาํ วา คามวาส-ี อรัญวาสี ก็ อันเปนที่อางองิ ในคมั ภีรท้งั หลาย ตง้ั แต มลิ ินทปญหา จนถงึ วิสทุ ธิมัคค และใน ไมมีในพระไตรปฎก เพราะในสมัย อรรถกถาเปนอนั มาก มีความวา พุทธกาลนั้น พระสงฆมีพระพุทธเจา ยถาป ทีปโ ก นาม นิลยี ติ วฺ า คณหฺ ตี มเิ ค ตเถวาย พทุ ฺธปตุ โฺ ต ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก เปนศูนยรวม และมีการจาริกอยูเสมอ อรฺ  ปวิสิตฺวาน คณฺหาติ ผลมตุ ตฺ มํ ฯ โดยเฉพาะพระพุทธองคเองทรงนําสงฆ (พุทธบุตรน้ี ประกอบความเพียร เจริญวิปสสนา เขา ไปสปู า จะถอื เอาผล หมูใหญจาริกไปในถ่ินแดนท้ังหลายเปน อันอุดม [อรหัตตผล] ได เหมอื นดังเสอื ซมุ ตวั จับเนือ้ ) ประจํา ภิกษุท้ังหลายท่ียังไมจบกิจใน ตามคตนิ ้ี การไปเจรญิ ภาวนาในปา พระศาสนา นอกจากเสาะสดบั คําสอน เปนขอพึงปฏิบัติสําหรับภิกษุทุกรูป เสมอเหมอื นกนั ไมม กี ารแบง แยก ดงั นน้ั ของพระพุทธเจาแลว ก็ยอมระลึกอยู เสมอถึงพระดํารัสเตือนใหเสพเสนาสนะ อันสงัดเจริญภาวนา โดยทรงระบุปา เปนสถานที่แรกแหงเสนาสนะอันสงัด น้ัน (ท่ตี รัสท่ัวไปคอื “อธิ ภกิ ฺขเว ภกิ ขฺ ุ อรฺ คโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุฺา- คารคโต วา…” – ภิกษุทัง้ หลาย ภิกษใุ น

อรญั วาสี ๕๑๐ อรญั วาสี จึงเปนธรรมดาที่วา ในคัมภีรมิลินท- ความเขาใจถูกตอง อีกทัง้ ตอ งเก็บรวบ ปญหา (ประมาณ พ.ศ.๕๐๐) ก็ยงั ไมมี รวมคําอธิบายของอาจารยรุนตอๆ มา คาํ วา คามวาสี และอรัญวาสี (พบคําวา ท่ีมีเพม่ิ ข้นึ ๆ จนเกดิ เปนงานหรอื หนาท่ี “อรฺ วาสา” แหง เดยี ว แตห มายถึง ท่ีเรียกวา “คนั ถธุระ” (ธรุ ะในการเลา ดาบสชาย-หญงิ ) แมว า ตอ มาในอรรถกถา เรยี นพระคัมภีร) เปน ภาระซึง่ ทําใหรวม (กอ น จนถงึ ใกล พ.ศ.๑๐๐๐) จะมคี ําวา กันอยูท่ีแหลงการเลาเรียนศึกษาในชุม คามวาสี และอรัญวาสี เกิดข้นึ แลว แต ชนหรอื ในเมอื ง พรอมกันนน้ั ภิกษผุ ไู ป กใ็ ชเ ปน ถอ ยคาํ สามญั หมายถึงใครก็ได เจริญภาวนาในปา เมอ่ื องคพ ระศาสดา ต้ังแตพระสงฆ ไปจนถึงสิงสาราสัตว ปรินิพพานแลว ก็อิงอาศัยอาจารยท่ี (มกั ใชแกชาวบา นทว่ั ไป) ทอี่ ยูบ า น อยู จําเพาะมากขึ้น มีความรูสึกท่ีจะตอง ใกลบาน หรืออยูในปา มิไดมีความ ผอนและเผ่ือเวลามากขึ้น อยูประจําที่ หมายจาํ เพาะอยางท่ีเขาใจกันในบัดนี้ แนนอนมากข้ึน เพื่ออุทิศตัวแกกิจใน การเจริญภาวนา ซึ่งกลายเปน งานหรอื พระภิกษุที่ไปเจริญภาวนาในปานั้น หนาที่ท่ีเรยี กวา “วปิ ส สนาธรุ ะ” (ธุระใน อาจจะไปอยชู ว่ั ระยะเวลาหนึง่ ยาวบาง การเจริญกรรมฐานอันมีวิปสสนาเปน ส้นั บา ง และอาจจะไปๆ มาๆ แตบางรปู ยอด) โดยนยั นี้ แนวโนมทจี่ ะแบงเปน กอ็ าจจะอยูนานๆ ภิกษุทอ่ี ยูปา นัน้ ทา น พระบาน-พระปา ก็ชัดเจนข้นึ เรอื่ ยๆ เรยี กวา “อารญั ญกะ” (อารญั ญกิ ะ กเ็ รยี ก) และการถอื อยปู า เปน ธดุ งคอ ยา งหน่ึง ซึง่ การแบง พระสงฆเปน ๒ ฝา ย คือ ภกิ ษจุ ะเลอื กถอื ไดต ามสมัครใจ กับทง้ั คามวาสี และอรัญวาสี เกดิ ขน้ึ ในลังกา จะถือในชวงเวลายาวหรือสั้น หรือแม ทวปี และปรากฏชดั เจนในรชั กาลพระเจา แตต ลอดชวี ติ ก็ได ปรกั กมพาหุ ท่ี ๑ มหาราช (พ.ศ. ๑๖๙๖ –๑๗๒๙) ตอมา เม่ือพอ ขุนรามคําแหง สันนิษฐานวา เมื่อเวลาลวงผานหาง มหาราชแหงอาณาจักรสุโขทัย ทรงรับ พุทธกาลมานาน พระภิกษุอยูประจําที่ พระพุทธศาสนาและพระสงฆลังกาวงศ มากข้ึน อีกท้งั มภี าระผูกมดั ตวั มากข้นึ อันสืบเน่ืองจากสมัยพระเจาปรักกม- ดวย โดยเฉพาะการเลาเรยี นและทรงจาํ พาหุน้ีเขามาในชวงใกล พ.ศ.๑๘๒๐ พุ ท ธ พ จ น ใ น ยุ ค ที่ อ ง ค พ ร ะ ศ า ส ด า ระบบพระสงฆ ๒ แบบ คอื คามวาสี ปรินิพพานแลว ซ่ึงจะตองรักษาไวแก และอรัญวาสี ก็มาจากศรีลังกาเขาสู คนรุนหลังใหค รบถว นและแมนยําโดยมี

อริ ๕๑๑ อริยบคุ คล ๗ ประเทศไทยดวย; คูกับ คามวาสี, ดู อริยชาติ หรืออริยกชาติที่มีมาแตเดิม วปิ สสนาธรุ ะ ซงึ่ จํากัดดวยชาติคือกําเนิด อริ ขาศึก, ศัตร,ู คนที่ไมช อบกนั อริยทรัพย ทรัพยอันประเสริฐเปนของ อริฏฐภิกษุ ช่ือภิกษุรูปหนึ่งในครั้ง ติดตวั อยูภ ายในจิตใจ ดกี วา ทรัพยภาย พุทธกาล เปนบุคคลแรกท่ีถูกสงฆลง นอก เชนเงนิ ทอง เปน ตน เพราะโจร อกุ เขปนยี กรรมเพราะไมส ละทิฏฐบิ าป หรือใครๆ แยงชิงไมได และทาํ ใหเ ปน อริยะ เจริญ, ประเสรฐิ , ผไู กลจากขา ศึก คนประเสรฐิ อยา งแทจ รงิ มี ๗ คอื ๑. คอื กเิ ลส, บคุ คลผบู รรลธุ รรมวิเศษ มี ศรทั ธา ๒. ศีล ๓. หิริ ๔. โอตตัปปะ ๕. โสดาปตติมรรคเปน ตน ; ดู อรยิ บคุ คล พาหุสจั จะ ๖. จาคะ ๗. ปญ ญา อรยิ กะ คนเจริญ, คนประเสริฐ, คนได อริยบุคคล บุคคลผูเปนอริยะ, ทานผู รับการศึกษาอบรมดี; เปนช่ือเรียกชน บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปตติมรรค ชาติหนึ่งที่อพยพจากทางเหนือเขาไปใน เปน ตน มี ๔ คอื ๑. พระโสดาบนั ๒. อินเดียตั้งแตกอนพุทธกาล ถือตัววา พระสกทาคามี (หรอื สกทิ าคาม)ี ๓. พระ เปนพวกเจรญิ และเหยยี ดพวกเจาถิ่น อนาคามี ๔. พระอรหนั ต; แบง พสิ ดาร เดมิ ลงวาเปน มลิ กั ขะ คือพวกคนปา คน เปน ๘ คอื พระผตู ง้ั อยใู นโสดาปต ต-ิ ดอย, พวกอรยิ กะอพยพเขา ไปในยโุ รป มรรค และพระผตู ง้ั อยใู นโสดาปต ตผิ ลคู ดวย คือ พวกที่เรยี กวา อารยัน ๑, พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามมิ รรค และ อริยกชาติ หมูคนที่ไดรับการศึกษาอบ พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามผิ ล คู ๑, พระผู รมด,ี พวกทีม่ คี วามเจริญ, พวกชนชาติ ตงั้ อยใู นอนาคามมิ รรค และพระผตู ง้ั อยู อรยิ กะ ในอนาคามผิ ล คู ๑, พระผตู งั้ อยใู น อรยิ ชาติ “เกิดเปน อริยะ” คือ บรรลุ อรหัตตมรรค และพระผูตั้งอยูใน มรรคผล กลายเปน อริยบคุ คล เปรียบ อรหตั ตผล คู ๑ เหมือนเกิดใหมอีกครั้งหนึ่ง ดวยการ อรยิ บุคคล ๗ บุคคลผเู ปน อรยิ ะ, บคุ คล เปล่ียนจากปุถุชนเปนพระอริยะ, อีก ผปู ระเสรฐิ , ทา นผบู รรลุธรรมวิเศษ มี อยางหน่งึ วา ชาตอิ รยิ ะ หรอื ชาวอริยะ โสดาปต ตมิ รรค เปน ตน นยั หนงึ่ จาํ แนก ซ่ึงเปนผูเจริญในทางพระพุทธศาสนา เปน ๗ คอื สทั ธานสุ ารี ธมั มานุสารี หมายถึงผูก ําจดั กเิ ลสได ซึง่ ชนวรรณะ สัทธาวิมุต ทิฏฐิปปตตะ กายสักขี ไหน เผา ไหน ก็อาจเปน ได ตา งจาก ปญ ญาวมิ ตุ และ อุภโตภาควมิ ุต (ดูคํา

อรยิ ปริเยสนา ๕๑๒ อรยิ อัฏฐงั คกิ มรรค น้นั ๆ) ศรัทธา ความเชื่อมีเหตผุ ล ความมน่ั ใจ อรยิ ปรเิ ยสนา การแสวงหาทป่ี ระเสรฐิ คอื ในพระรัตนตรัย ในหลกั แหง ความจริง แสวงหาสิ่งที่ไมตกอยูในอาํ นาจแหงชาติ ความดีงาม และในการที่จะทํากรรมดี ชรามรณะ หรอื กองทกุ ข โดยความได ๒. ศีล ความประพฤตดิ ี มวี นิ ยั เลย้ี งชพี แกแ สวงหาโมกขธรรมเพอื่ ความหลดุ พน สจุ รติ ๓. สตุ ะ ความรหู ลักธรรมคาํ สอน จากกิเลสและกองทุกข, ความหมาย และใฝใจเลาเรียนสดับฟงศึกษาหา อยางงาย ไดแก การแสวงหาในทาง ความรู ๔. จาคะ ความเผอื่ แผเ สยี สละ มี สมั มาชพี (ขอ ๒ ในปรเิ ยสนา ๒) นาํ้ ใจและใจกวาง พรอมที่จะรับฟง และ อรยิ ผล ผลอนั ประเสริฐ มี ๔ ชัน้ คือ รวมมือ ไมคบั แคบเอาแตตัว ๕. ปญญา โสดาปต ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล ความรอบรู รคู ิด รพู จิ ารณา เขา ใจเหตุ และอรหัตตผล ผล มองเหน็ โลกและชีวติ ตามเปนจรงิ อรยิ มรรค ทางอันประเสรฐิ , ทางดําเนิน อริยสจั ความจริงอยางประเสรฐิ , ความ ของพระอรยิ ะ, ญาณอนั ใหสาํ เร็จความ จรงิ ของพระอรยิ ะ, ความจริงท่ีทําคนให เปน พระอรยิ ะ มี ๔ คอื โสดาปต ต-ิ เปน พระอรยิ ะ มี ๔ อยาง คือ ทุกข มรรค สกทาคามิมรรค อนาคามมิ รรค (หรอื ทกุ ขสจั จะ) สมทุ ยั (หรอื สมทุ ยั - และอรหัตตมรรค; บางทีเรียกมรรคมี สจั จะ) นิโรธ (หรือ นโิ รธสจั จะ) มรรค องค ๘ วา อริยมรรค กม็ ี แตค วรเรยี ก (หรอื มคั คสจั จะ) เรียกเตม็ วา ทุกข- เตม็ วา อริยอัฏฐงั คิกมรรค [อรยิ สจั จ] ทกุ ขสมทุ ยั [อรยิ สจั จ] ทกุ ข- อริยวงศ ปฏปิ ทาที่พระอรยิ บุคคลผูเ ปน นโิ รธ[อรยิ สจั จ] และ ทกุ ขนโิ รธคามินี- สมณะ ปฏิบัติสืบกันมาไมขาดสาย, ปฏิปทา[อริยสัจจ] อรยิ ประเพณี มี ๔ คอื ๑. สนั โดษดว ย อริยสัจจ ดู อรยิ สัจ จีวร ๒. สันโดษดวยบณิ ฑบาต ๓. อริยสาวก 1. สาวกผูเปนพระอริยะ, สันโดษดว ยเสนาสนะ ๔. ยินดใี นการ สาวกผูบรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปตติ- บาํ เพญ็ กศุ ล ละอกุศล มรรค เปนตน 2. สาวกของพระอริยะ อรยิ วัฑฒิ, อารยวฒั ิ ความเจรญิ อยา ง (คอื ของพระพทุ ธเจา ผูเปน อรยิ ะ) ประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารยชน, อริยสาวิกา สาวิกาที่เปนพระอริยะ, ความเจริญงอกงามที่ไดสาระสมเปน อริยสาวกหญิง อริยสาวกอรยิ สาวิกา มี ๕ คอื ๑. อริยอัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค ๘

อรณุ ๕๑๓ อวตั ถุรปู ประการอันประเสรฐิ ; ดู มรรค อลังการ เคร่อื งประดบั ประดา อรุณ เวลาใกลอาทติ ยจ ะขน้ึ มีสองระยะ อลชฺชิตา อาการที่ตองอาบัติดวยไม คอื มแี สงขาวเรือ่ ๆ (แสงเงิน) และแสง ละอาย แดง (แสงทอง), เวลายํา่ รงุ อลัชชี ผูไมม ีความละอาย, ผูหนาดา น, อรปู ฌานมอี รปู ธรรมเปนอารมณ ไดแ ก ภิกษุผูมักประพฤติละเมิดพุทธบัญญัติ อรูปฌาน, ภพของสัตวผูเขาถึงอรูป โดยจงใจละเมดิ หรือทําผิดแลว ไมแกไข ฌาน, ภพของอรปู พรหม มี ๔ คอื ๑. อเลอ แปลง, ทีอ่ เลออนื่ คือทแ่ี ปลงอืน่ อากาสานญั จายตนะ (กาํ หนดท่วี างหาที่ อโลภะ ความไมโ ลภ, ไมโลภอยากได สุดมิไดเปนอารมณ) ๒. วิญญาณัญ- ของเขา, ธรรมที่เปนปฏิปกษกับความ จายตนะ (กาํ หนดวิญญาณหาที่สุดมิได โลภ คือ ความคิดเผ่ือแผเสียสละ, เปนอารมณ) ๓. อากิญจัญญายตนะ จาคะ (ขอ ๑ ในกศุ ลมูล ๓) (กาํ หนดภาวะทไ่ี มม อี ะไรๆ เปน อารมณ) อวตาร การลงมาเกดิ , การแบง ภาคมาเกดิ , ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ภาวะมี เปนความหมายในศาสนาพราหมณหรือ สัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญาก็ไมใช) ฮนิ ดู เชน พระนารายณอวตาร คือแบง อรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเปนอารมณ ภาคลงมาจากสวรรคมาเกิดเปนมนุษย มี ๔; ดู อรูป เปนตน อรูปพรหม พรหมผูเขาถึงอรูปฌาน, อวมานะ การดถู ูกเหยียดหยาม, การลบ พรหมไมมรี ปู , พรหมในอรปู ภพ มี ๔; หล;ู ตรงขา มกับ สัมมานะ, ดู มานะ ดู อรูป อวสาน ท่ีสดุ , ที่จบ อรูปภพ โลกเปนทอี่ ยขู องพรหมไมม ีรูป; อวสานกาล เวลาสดุ ทาย, ครง้ั สดุ ทา ย ดู อรปู อวหาร การลัก, อาการท่ีถือวาเปนลัก อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม, ทรพั ย ในอรรถกถาแสดงไว ๒๕ อยา ง ความติดใจในอารมณแหงอรูปฌาน, พงึ ทราบในท่ีน้ี ๑๓ อยา ง คือ ๑. ลกั ความปรารถนาในอรปู ภพ (ขอ ๗ ใน ๒. ชิงหรอื ว่ิงราว ๓. ลกั ตอน ๔. แยง สงั โยชน ๑๐) ๕. ลกั สบั ๖. ตู ๗. ฉอ ๘. ยักยอก ๙. อรูปาวจร ซ่ึงทองเที่ยวไปในอรูปภพ, ตระบัด ๑๐. ปลน ๑๑. หลอกลวง ๑๒. อยูในระดับจิตชั้นอรูปฌาน, ยังเกี่ยว กดขห่ี รอื กรรโชก ๑๓. ลกั ซอน ขอ งอยกู ับอรูปธรรม; ดู ภพ, ภูมิ อวัตถรุ ูป ดทู ี่ รูป ๒๘

อวันตี ๕๑๔ อวินพิ โภครูป อวนั ตี ชอื่ แควน หนงึ่ ในบรรดา ๑๖ แควน ถงึ ความดบั ทกุ ข) อวชิ ชา ๘ คอื อวิชชา ใหญแหง ชมพทู วีป ตง้ั อยทู างตะวันตก ๔ นน้ั และเพม่ิ ๕. ไมรอู ดีต ๖. ไมรู เฉยี งใตข องแควน วงั สะ มนี ครหลวงชอื่ อนาคต ๗. ไมรทู ง้ั อดตี ทั้งอนาคต ๘. อชุ เชนี ราชาผคู รองอวนั ตใี นพทุ ธกาล มี ไมรูปฏิจจสมุปบาท (ขอ ๑๐ ใน พระนามวา พระเจา จณั ฑปช โชต; เดมิ นั้น สงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระอภธิ รรม, ขอ แควน อวนั ตมี เี มอื งหลวงเกา ชอื่ มาหษิ มตี ๗ ในอนุสยั ๗) (นา จะไดแ กเ มอื ง Godarpura ในบดั นี้) อวิชชาสวะ อาสวะคอื อวชิ ชา, กิเลสที่ ซึ่งต้ังอยูท่ีฝงแมน้ํานัมมทา ตอมาจึง หมักหมมหรือดองอยูในสันดาน ทําให ยายข้ึนเหนือมาต้ังท่ีอุชเชนี, ในคัมภีร ไมร ตู ามความเปน จรงิ (ขอ ๓ ในอาสวะ บาลีบางท่ี มีคาํ เรยี กอวนั ตวี า “อวนั ต-ี ๓, ขอ ๔ ในอาสวะ ๔) ทักขิณาบถ” ถาถือแมนา้ํ คงคาเปนเสน อวญิ ญาณกะ พัสดุท่ไี มมวี ิญญาณ เชน แบง ท้ังแควนอวนั ตกี อ็ ยใู นทกั ขณิ าบถ เงนิ ทอง ผานุงหม และเครอ่ื งใชส อย แตถาถือแมนํ้านัมมทาเปนเสนแบง เปน ตน; เทียบ สวญิ ญาณกะ อวันตีก็มีทั้งสวนที่เปนอุตราบถ และ อวิทยา ความไมร,ู อวิชชา สวนทเี่ ปน ทักขิณาบถ คือ แถบท่ีต้งั ของ อวทิ ูเรนทิ าน “เรื่องไมไกลนัก” หมายถึง มาหิษมตีเมืองหลวงเกาลงไป เปน เรื่องราวความเปนไปเก่ียวกับพระพุทธ ทักขิณาบถ เจา ต้ังแตจ ุตจิ ากสวรรคช ้นั ดสุ ติ จนถงึ อวนั ทนียกรรม สังฆกรรมทภี่ กิ ษุณสี งฆ ตรสั รู; ดู พุทธประวตั ิ มีมติประกาศใหถือภิกษุผูแสดงอาการ อวนิ พิ โภครูป “รปู ท่ีแยกออกจากกนั ไม อันไมนาเล่ือมใส วาเปนผูที่ภิกษุณีทั้ง ได” , รปู ทม่ี อี ยดู ว ยกนั เปน ประจาํ เสมอไป หลายไมพึงไหว; ดูท่ี ปกาสนียกรรม, อยางขาดมิไดเลยในสิ่งท่ีเปนรูปทุก อสมั มุขากรณีย อยาง กลาวคือในสิ่งที่เปนรูปทุกอยาง อวัสดา ฐานะ, ความเปน อย,ู ความ แมแตปรมาณูท่ีเล็กท่ีสุดก็จะตองมี กําหนด, เวลา, สมยั รูปธรรมชุดนี้อยูเปนอยางนอย, คุณ- อวชิ ชา ความไมรูจริง, ความหลงอนั เปน เหตุไมร จู ริง มี ๔ คือความไมรอู ริยสัจจ สมบัติพื้นฐานท่ีมีอยูเปนประจําในวัตถุ, มี ๘ อยาง คือ ปฐวี (ภาวะแผขยาย ๔ แตล ะอยาง (ไมร ูทกุ ข ไมรเู หตเุ กดิ หรือรองรบั ) อาโป (ภาวะเอิบอาบเกาะ กุม) เตโช (ภาวะรอน) วาโย (ภาวะ แหง ทุกข ไมร ูความดับทกุ ข ไมร ทู างให

อวิหงิ สาวิตก ๕๑๕ อโศกมหาราช เคลอ่ื นไหวเครง ตงึ ) วณั ณะ (ส)ี คนั ธะ สงคราม หนั มาถอื หลัก “ธรรมวชิ ยั ” คือ (กลิน่ ) รสะ (รส) โอชา (อาหารรปู ); ใน ชนะใจดวยธรรม มงุ ทาํ นุบํารงุ พระพทุ ธ ๘ อยา งน้ี สอ่ี ยา งแรกเปน มหาภตู รปู หรอื ศาสนา สรางสรรคประโยชนสุขของ ธาตุ ๔, สอี่ ยางหลังเปน อปุ าทายรปู ; รปู ประชาชน และความเจริญรุงเรืองของ ทเ่ี หลอื จากนี้ ๒๐ อยาง เปน วินิพโภค- ประเทศในทางสนั ติ โปรดใหเขยี นสลัก รูป (รูปทแ่ี ยกจากกันได) ; ดู รปู ๒๘ ศิลาจารึก (เรยี กวา “ธรรมลิป” คือ ลาย อวิหิงสาวิตก ความตริตรึกในทางไม สือธรรม หรือธรรมโองการ) ไวในท่ี เบียดเบียน, ความตรึกดวยอํานาจ ตา งๆ ท่ัวมหาอาณาจักร เพื่อสื่อพระราช กรุณา ไมค ดิ ทําความลําบากเดอื ดรอน กรณียกจิ พระบรมราโชบาย และสอน แกผูอื่น คิดแตจะชวยเหลือเขาใหพน ธรรมแกข า ราชการและประชาชน ทรง จากทุกข (ขอ ๓ ในกศุ ลวิตก ๓) สรางมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แหง เปนศูนย อศภุ ดู อสภุ กลางการศึกษา ทรงอุปถัมภการ อโศกมหาราช มหาราชแหงชมพูทวีป สังคายนาครัง้ ที่ ๓ และการสง ศาสนทตู ซึ่งเปนราชาผูย่ิงใหญที่สุดพระองคหนึ่ง ออกไปเผยแพรพระพุทธศาสนาใน ในประวัติศาสตรโลก และเปนพุทธ นานาประเทศ เชน พระมหนิ ทเถระไป ศาสนูปถัมภกที่สําคัญยิ่ง เปนกษตั รยิ  ยงั ลังกาทวีป และพระโสณะพระอุตตระ พระองคท ่ี ๓ แหง ราชวงศโ มรยิ ะ ครอง มายังสุวรรณภูมิ เปน ตน, กอ นทรงหนั ราชสมบตั ิ ณ พระนครปาฏลบี ุตร ใน มานับถือพระพุทธศาสนา ทรงปรากฏ พ.ศ.๒๑๘-๒๖๐ เม่อื ครองราชยไ ด ๘ พระนามวา จัณฑาโศก คอื อโศกผโู หด พรรษา ทรงยกทพั ไปปราบแควน กลงิ คะ ราย คร้ันหันมาทรงนับถือพระพุทธ (ปจจบุ นั คอื ดนิ แดนแถบแควน Orissa) ศาสนาและดําเนินนโยบายธรรมวิชัย ที่เปนชนชาตเิ ขม แข็งลงได ทําใหอ าณา- แลว ไดรับขนานพระนามใหมวา จักรของพระองคกวางใหญท่ีสุดใน ธรรมาโศก คือ อโศกผทู รงธรรม ชาว ประวัติชาติอินเดีย แตในการสงคราม พุทธไทยแตเดิมมามักเรียกพระองควา น้นั มีผคู นลม ตายและประสบภัยพบิ ตั ิ พระเจา ศรธี รรมาโศกราช; เมือ่ อนิ เดีย มากมาย ทําใหพระองคสลดพระทัย เปนเอกราชพนจากการปกครองของ พอดีไดทรงสดับคําสอนในพระพุทธ องั กฤษใน พ.ศ.๒๔๙๐ แลว ก็ไดนาํ เอา ศาสนา ทรงเลื่อมใส ไดทรงเลิกการ รูปพระธรรมจักร ซึ่งทูนอยูบนหัวสิงห

อโศการาม ๕๑๖ อสังหารมิ ะ ยอดเสาศิลาจารึกของพระเจาอโศก จดั แขง ได ซง่ึ ไดช อ่ื วา เปน อสทสิ ทาน สน้ิ มหาราช ท่ีสารนาถ (ปาอิสิปตนมฤค- พระราชทรพั ยไ ปในวนั เดยี วถงึ ๑๔ โกฏ,ิ ทายวนั ทท่ี รงแสดงปฐมเทศนา) มาเปน ในพุทธกาลหน่ึงๆ คือในสมัยของพระ ตราสญั ลกั ษณท กี่ ลางผนื ธงชาติ และใช พทุ ธเจา พระองคห นง่ึ ๆ มอี สทสิ ทานครง้ั รปู สงิ หท ง้ั สที่ ท่ี นู พระธรรมจกั รนนั้ เปน เดยี ว (เรอื่ งมาใน ธ.อ.๖/๕๑) ตราแผน ดนิ สบื มา อสมานาสนิกะ ภกิ ษุผูมพี รรษาออนแก อโศการาม ชอ่ื วดั สําคัญท่พี ระเจา อโศก กวากนั เกนิ ๓ พรรษา น่ังอาสนะคือ มหาราชทรงสรางในกรุงปาฏลีบุตรเปน เตียงตง่ั สาํ หรับ ๒ รปู เสมอกนั ไมได ทที่ าํ สังคายนาครง้ั ท่ี ๓ (แตน งั่ อาสนะยาวดว ยกนั ได) ; เทยี บ สมา- อสงไขยกปั ดู กปั นาสนกิ ะ อสทสิ ทาน “ทานอนั ไมม อี นื่ แมน เหมอื น”, อสังขตะ ธรรมที่ปจจัยมิไดปรุงแตง, เปนคําในช้ันอรรถกถา หมายถึงการ ธรรมท่ีไมเกิดจากเหตุปจจัย ไดแก บาํ เพ็ญทานถวายแดพระพุทธเจาพรอม พระนิพพาน; ตรงขา มกบั สงั ขตะ ดว ยภกิ ษสุ งฆ ครงั้ ใหญท ส่ี ดุ ซงึ่ ไมม ใี คร อสังขตธรรม ธรรมอันมิไดถกู ปรงุ แตง สามารถทาํ เทยี มเทา ไดอ กี ไดแ ก ทานที่ ไดแ ก นิพพาน (ขอ ๒ ในธรรม ๒); ตรง พระเจา ปเสนทโิ กศลจดั ถวาย ตามเรอื่ ง ขามกับ สงั ขตธรรม วา ครงั้ หนงึ่ พระเจา ปเสนทโิ กศลถวาย อสังขารปรนิ พิ พายี พระอนาคามี ผจู ะ ทานแดพ ระพทุ ธเจาพรอ มดว ยภกิ ษสุ งฆ ปรินิพพานดวยไมตองใชความเพียร และใหชาวเมืองสาวัตถีมาชมดวย ชาว มากนกั (ขอ ๓ ในอนาคามี ๕) เมืองเห็นแลว ก็ไปจัดถวายทานใหดี อสังขารกิ “ไมเ ปนไปกับดวยการชักนํา” เหนอื กวา พระองคจ งึ จดั ถวายครงั้ ใหม ไมมีการชักนํา ใชแกจิตท่ีคิดดีหรือช่ัว อกี ใหเ หนอื กวา ชาวเมอื ง แตช าวเมอื งก็ โดยเริม่ ขึ้นเอง มใิ ชถ ูกกระตุนหรอื ชกั จงู แขงกับพระองคโดยจัดใหเหนือกวาอีก จากภายนอก จงึ มกี ําลังมาก ตรงขา มกบั เปน เชน นถ้ี งึ ๖ ครงั้ เปน เหตใุ หท รงทกุ ข สสงั ขาริก พระทัยเกรงวาจะทรงพายแพแกราษฎร อสงั สัคคกถา ถอยคําทชี่ ักนาํ ไมใหคลกุ แตในทส่ี ดุ ทรงไดรบั คาํ ทูลแนะนาํ ของ คลีดว ยหมู (ขอ ๔ ในกถาวตั ถุ ๑๐) พระมเหสี คอื พระนางมลั ลกิ า จงึ ทรง อสงั หาริมะ ซงึ่ นาํ เอาไปไมไ ด, เคล่อื นที่ สามารถถวายทานที่ชาวเมืองไมสามารถ ไมไ ด, ของติดท่ี ขนเอาไปไมไ ด เชน ที่

อสงั หารมิ ทรัพย ๕๑๗ อสติ ดาบส ดนิ โบสถ วหิ าร เจดยี  ตน ไม เรอื น ก็เปนเร่ืองเฉพาะตัวของเธอ ไมผ กู พัน เปน ตน ; เทียบ สังหาริมะ ตอสงฆ) ๘.อวันทนียกรรม (การที่ อสังหาริมทรพั ย ทรัพยเ คล่อื นทไ่ี มไ ด ภิกษุณีสงฆประกาศภิกษุผูแสดงอาการ ไดแ ก ท่ดี นิ และทรพั ยซึง่ ตดิ อยูกับทเ่ี ชน อันไมนาเล่ือมใส ใหเปนผูที่ภิกษุณีทั้ง ตึก โรงรถ เปนตน; คกู บั สงั หารมิ ทรัพย หลายไมพ ึงไหว); ดทู ี่ ปกาสนียกรรม อสญั ญีสัตว สตั วจาํ พวกไมมสี ัญญา ไม อสาธารณสิกขาบท สกิ ขาบททไ่ี มท่ัวไป เสวยเวทนา (ขอ ๕ ในสตั ตาวาส ๙) หมายถึงสิกขาบทเฉพาะของภิกษุณี ท่ี อสทั ธรรม ธรรมของอสัตบุรษุ มีหลาย แผกออกไปจากสกิ ขาบทของภกิ ษุ; เทียบ หมวด เชน อสทั ธรรม ๗ คอื ท่ีตรงขา ม สาธารณสิกขาบท กับ สัทธรรม ๗ มีปราศจากศรัทธา อสิตดาบส ดาบสผคู ุนเคย และเปน ที่ ปราศจากหิริ เปน ตน; ในคาํ วา “ทอด นบั ถอื ของศากยราชสกุล มีเรือ่ งปรากฏ กายเพ่ือเสพอสัทธรรมก็ดี” หมายถึง ในนาลกสตู ร (ข.ุ สุ.๒๕/๓๘๘/๔๖๗) วา ใน เมถนุ ธรรม คือการรว มประเวณี วนั ทพี่ ระโพธิสัตวประสตู ิ ทานไดท ราบ อสัมปตตโคจรัคคาหิกรปู ดทู ่ี รปู ๒๘ ขาวประสูติแหงพระราชโอรสของพระ อสมั มุขากรณีย สังฆกรรมซ่ึงไมตอ งทํา เจาสุทโธทนะ จงึ เขาไปเยีย่ ม พระราชา ในทตี่ อ หนา (หรอื พรอ มหนา ) บคุ คลทถี่ กู ทรงนําพระราชโอรสออกมาเพื่อจะให สงฆท าํ กรรม มี ๘ อยา ง คอื ๑.ทเู ตน-ุ วันทาพระดาบส แตพระบาททง้ั สองของ ปสัมปทา (การอุปสมบทภิกษุณีโดยใช พระราชโอรสกลับเบ่ียงขึ้นไปประดิษ- ทตู ) ๒.ปต ตนกิ กุชชนา (การคว่ําบาตร) ฐานบนเศียรของพระดาบส เมื่อพระ ๓.ปตตอกุ กุชชนา (การหงายบาตร) ๔. ดาบสพจิ ารณาพระลกั ษณะของพระราช- อุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศให โอรสแลว มน่ั ใจวาพระราชโอรสนัน้ จกั ถอื ภกิ ษเุ ปนผวู กิ ลจรติ ) ๕.เสกขสมมติ ตรสั รูเ ปนพระพทุ ธเจาแนนอน นอกจาก (การสวดประกาศตงั้ สกุลเปน เสขะ) ๖. ทําอัญชลีนบไหวแลว ก็ไดแยมยิ้ม พรหมทัณฑ (การลงโทษภิกษุหัวดื้อวา แสดงความแชมช่ืนใจออกมา แตเมื่อ ยาก โดยวธิ พี รอ มกนั ไมวากลาว) ๗. มองเห็นวาตนจะไมมีชีวิตอยูจนถึงเวลา ปกาสนียกรรม (การประกาศใหเปนท่ีรู แหงการตรสั รู กเ็ สียใจรองไห กระนัน้ ก็ ท่ัวกัน ถึงสภาวะของภิกษุซ่ึงไมเปนที่ ตาม พระดาบสไดไปบอกหลานชายของ ยอมรับของสงฆ ใหถ ือวา การใดทีเ่ ธอทาํ ทา น ช่อื วา นาลกะ ใหอ อกบวชรอเวลา

อสตี ยานุพยัญชนะ ๕๑๘ อสภุ ,อสภุ ะ ที่พระโพธิสัตวจะไดตรัสรู (ขอความที่ มหาปน ถก, มหาโมคคลั ลานะ, เมฆยิ ะ, วา พระบาททั้งสองของพระราชโอรส เมตตค,ู โมฆราช,ยสะ, ยโสชะ, รฏั ฐปาละ, เบ่ียงข้ึนไปประดิษฐานบนเศียรหรือบน ราธะ, ราหลุ , เรวตะ ขทริ วนยิ ะ, ลกณุ ฏก- ชฎาของพระดาบสนั้น เปน คําเลาขยาย ภทั ทิยะ, วักกล,ิ วังคสี ะ, วปั ปะ, วิมละ, ความของอรรถกถา, เชน สตุ ฺต.อ.๒/๖๘๒/ สภิยะ, สาคตะ, สารีบุตร, สวี ลี, สพุ าห,ุ ๓๑๘; ชา.อ.๑/๘๖); อสติ ดาบสนี้ มชี ือ่ เรยี ก สภุ ตู ,ิ เสละ, โสณกฏุ กิ ณั ณะ,โสณโกฬวิ สิ ะ, อีกอยางหน่ึงวา กาฬเทวิล หรือ กาฬ- โสภิตะ, เหมกะ, องคลุ มิ าล, อชิตะ, เทวลั ดาบส (เรียกวา กัณหเทวิลฤาษี ก็ อนุรุทธะ, อัญญาโกณฑญั ญะ, อสั สช,ิ มี); ดู มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ, นาลกะ 1.; เทียบ อานนท, อทุ ยะ, อทุ าย,ี อบุ าล,ี อปุ วาณะ, พราหมณท ํานายพระมหาบุรษุ อุปสวี ะ, อุปเสนวังคันตบุตร, อุรุเวล- อสตี ยานุพยัญชนะ อนุพยญั ชนะ ๘๐; กัสสปะ ดู อนพุ ยญั ชนะ อสภุ , อสภุ ะ สภาพทไี่ มง าม, พจิ ารณารา ง อสตี มิ หาสาวก พระสาวกผใู หญ ๘๐ องค กายของตนและผอู นื่ ใหเ หน็ สภาพทไี่ มง าม; บางทเี รียกอนุพุทธ ๘๐ องค มรี ายนาม ในความหมายเฉพาะ หมายถงึ ซากศพใน ตามลําดบั อักษร ดังนี้ (ทพี่ ิมพต ัวเอน คอื ทา นทเ่ี ปน เอตทคั คะดว ย): กงั ขาเรวตะ, สภาพตา งๆ ซงึ่ ใชเ ปน อารมณก รรมฐาน กปั ปะ, กาฬทุ าย,ี กมิ พลิ ะ, กมุ ารกสั สปะ, รวม ๑๐ อยา ง คอื ๑. อทุ ธมุ าตกะ ซาก กณุ ฑธาน, คยากสั สปะ, ควมั ปต,ิ จนุ ทะ, ศพที่เนาพอง ๒. วินลี กะ ซากศพทม่ี สี ี จูฬปนถก, ชตุกณั ณิ, ตสิ สเมตเตยยะ, เขียวคลา้ํ ๓. วปิ ุพพกะ ซากศพท่มี นี า้ํ โตเทยยะ, ทพั พมลั ลบตุ ร, โธตกะ, นท-ี เหลอื งไหลออกอยู ๔. วจิ ฉทิ ทกะ ซากศพ กสั สปะ, นนั ทะ, นันทกะ, นันทกะ, ท่ขี าดกลางตัว ๕. วิกขายติ กะ ซากศพที่ นาคิตะ, นาลกะ, ปง คยิ ะ, ปณ โฑล- สตั วก ดั กนิ แลว ๖. วกิ ขติ ตกะ ซากศพท่ี ภารทวาช, ปล นิ ทวจั ฉะ, ปณุ ณกะ, ปณุ ณช,ิ มมี อื เทา ศรี ษะขาด ๗. หตวกิ ขติ ตกะ ปุณณมันตานีบุตร, ปุณณสุนาปรันตะ, โปสาละ, พากลุ ะ (พกั กลุ ะ กเ็ รยี ก), พาหยิ - ซากศพที่คนมีเวรเปนขาศึกกัน สบั ฟน ทารจุ รี ยิ ะ, ภค,ุ ภทั ทยิ ะ (ศากยะ), ภทั ทยิ ะ, เปน ทอ นๆ ๘. โลหติ กะ ซากศพท่ีถูก ภทั ราวธุ , มหากจั จายนะ, มหากปั ปน ะ, มหากัสสปะ, มหาโกฏฐติ ะ, มหานามะ, ประหารดวยศัสตรามีโลหิตไหลอาบอยู ๙. ปฬุ วุ กะ ซากศพทมี่ ีตวั หนอนคลาน คล่ําไปอยู ๑๐. อฏั ฐกิ ะ ซากศพท่ยี ัง เหลอื อยแู ตรางกระดูก

อสุภสัญญา ๕๑๙ อโหสกิ รรม อสุภสัญญา กําหนดหมายถึงความไม คอื พระอรหันต; คูกับ เสขะ งามแหงรางกาย (ขอ ๓ ในสัญญา ๑๐) อเสขบุคคล บุคคลผูไมตองศึกษา; ดู อสุรกาย “พวกอสูร” ภพแหงสัตวเ กิดใน อเสขะ อบายพวกหนงึ่ เปน พวกสะดงุ หวาด อหงั การ การทาํ (ความยึดถอื วา) “ตวั ขา”, หวั่นไรค วามรื่นเรงิ (ขอ ๔ ในอบาย ๔); การยดึ ถือวาตัวก;ู มักมาคกู บั มมงั การ ดู คติ คือ การทํา (ความยึดถือวา) “ของขา”, อสรู สัตวกึ่งเทพหรอื เทพชนั้ ตาํ่ พวกหนงึ่ การยึดถือวา ของกู, และมักพดู ควบกัน ตาํ นานกลาววา เดมิ เปน เทวดาเกา (บพุ - เปน “อหังการ-มมงั การ” แปลกนั งายๆ เทวา) เปนเจาถ่ินครอบครองดาวดงึ ส- วา การถือวา ตัวเรา ของเรา; มมงั การ เทวโลก ตอมาถูกเทวดาพวกใหม มที า ว เปนตณั หา สว น อหงั การ บางแหงวา สกั กะเปนหัวหนา แยง ถิ่นไป โดยถกู เทพ เปน ทิฏฐิ บางแหง วาเปนมานะ บางแหง พวกใหมน้ันจับเหว่ียงลงมาในระหวาง วาเปนมานะและทิฏฐิ (ในคําวา พิธีเล้ียงเมื่อพวกตนดื่มสุราจนเมามาย “อหงั การมมงั การมานานุสยั ” อรรถกถา ไดช่ือใหมวาอสูร เพราะเม่ือฟนคืนสติ หนึ่งอธิบายวา อหังการ เปนทิฏฐิ ขน้ึ ระหวา งทางที่ตกจากดาวดงึ สน ้ัน ได มมงั การ เปนตัณหา มานานสุ ยั เปน กลาวกันวา “พวกเราไมดื่มสุราแลว” มานะ – ม.อ.๓/๑๔๖); ในภาษาไทย (อสูร จงึ แปลวา “ผูไมดมื่ สรุ า”) พวก อหงั การ มักใชในความหมายทีเ่ พยี้ นไป อสูรไดครองพิภพใหมที่เชิงเขาสิเนรุ กลายเปนความเยอหยิง่ ความทะนงตวั หรือเขาพระทุเมรุ และมสี ภาพความเปน จองหอง กาวราวอวดดี อยู มีอายุ วรรณะ ยศ และอิสรยิ - อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นวา ไมมีเหตุ คอื สมบัติ คลายกันกับเทวดาช้ันดาวดึงส ความเห็นผิดวา คนเราจะไดดีหรือช่ัว พวกอสูรเปนศัตรูโดยตรงกับเทวดา ตามคราวเคราะห ถึงคราวจะดี ก็ดีเอง และมีเรื่องราวขัดแยงทําสงครามกัน ถงึ คราวจะราย ก็รายเอง ไมมีเหตอุ น่ื จะ บอ ยๆ พวกอสูรออกจะเจา โทสะ จงึ มกั ทําใหค นดคี นช่วั ได (ขอ ๒ ในทิฏฐิ ๓) ถูกกลาวถึงในฐานะเปนพวกมีนิสัยพาล อโหสิกรรม กรรมเลิกใหผล ไมมีผลอีก หรอื เปนฝายผดิ ไดแกกรรมทั้งท่ีเปนกุศลและอกุศลที่ อเสขะ ผไู มตอ งศกึ ษา เพราะศกึ ษาเสรจ็ เลกิ ใหผ ล เหมือนพชื ท่หี มดยาง เพาะ สนิ้ แลว ไดแ กบ คุ คลผตู งั้ อยใู นอรหตั ตผล ปลกู ไมข้ึนอีก (ขอ ๔ ในกรรม ๑๒)

อกั โกสวตั ถุ ๕๒๐ อัคฆสโมธาน อักโกสวตั ถุ เรื่องสําหรบั ดา มี ๑๐ อยา ง แปลงตามลําดับ จนเกิดมีมนุษยที่อยู คือ ๑. ชาติ ไดแกช ้ันหรือกําเนดิ ของคน รวมกันเปนหมูเปนพวก เกิดความจํา ๒. ชอ่ื ๓. โคตร คือตระกลู หรอื แซ ๔. เปนตองมีการปกครอง และมีการ การงาน ๕. ศลิ ปะ ๖. โรค ๗. รปู พรรณ ประกอบอาชพี การงานตา งๆ กนั วรรณะ สัณฐาน ๘. กิเลส ๙. อาบตั ิ ๑๐. คําสบ ท้ังสี่ก็เกิดจากความเปล่ียนแปลงเหลาน้ี ประมาทอยา งอืน่ ๆ มิใชเ ปน เรอื่ งของพรหมสรางสรรค แต อกั ขระ ตวั หนังสอื , วชิ าหนังสือ, คาํ , เกดิ จากธรรม (ธรรมดา, กฎธรรมชาต)ิ เสยี ง, สระ และพยญั ชนะ ทุกวรรณะประพฤติช่ัวก็ไปอบายได อักขรวิธี ตําราวาดวยวิธีเขียนและอาน ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได ธรรม หนังสอื ใหถ ูกตอง เปนเคร่ืองตัดสิน และธรรมเปนของ อักษร ตัวหนงั สอื ประเสริฐสุด ผทู ส่ี ้นิ อาสวกเิ ลสแลว เปน อคั คสาวก ดู อัครสาวก ผูประเสริฐสุดในวรรณะทั้งสี่ ผูที่ อคั คญั ญสตู ร ชอ่ื สตู รที่ ๔ แหง ทฆี นกิ าย สมบูรณดวยวิชชาและจรณะ เปนผู ปาฏกิ วรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทรงแสดง ประเสรฐิ สดุ ในบรรดาเทวะ และมนษุ ย แกสามเณรวาเสฏฐะ และสามเณร ท้งั ปวง ภารัทวาชะ ผูออกบวชจากตระกูล อัคคิ ไฟ, ไฟกเิ ลส, กิเลสดจุ ไฟเผาลนจติ พราหมณ ทรงคดั คา นคาํ กลา วอา งของ ใจใหเรา รอน มี ๓ คือ ๑. ราคคั คิ ไฟคือ พวกพราหมณ ที่ถือวาพราหมณเปน ราคะ ๒. โทสคั คิ ไฟคอื โทสะ ๓.โมหคั คิ วรรณะประเสริฐท่ีสุด และถือวาชาติ ไฟคือโมหะ กําเนิดเปนเคร่ืองตัดสินความประเสริฐ อัคคเิ วสสนโคตร ตระกลู อัคคเิ วสสนะ และความตํา่ ทรามของมนุษย ทรงแสดง เปนตระกูลของปริพาชกคนหน่ึงช่ือ ใหเห็นวา ความประเสริฐหรือตาํ่ ทรามนน้ั ทีฆนขะ อยูท่ีความประพฤติ โดยมีธรรมเปน อคั ฆสโมธาน การประมวลโดยคา , เปน เครือ่ งตดั สิน คนวรรณะตา งๆ ออกบวช ช่ือปริวาสที่ภิกษุผูปรารถนาจะออกจาก ในพระพุทธศาสนาแลว ยอ มช่อื วาเปนผู อาบัติสังฆาทิเสสซ่ึงตองหลายคราว มี เกิดจากธรรมเสมอกันหมด แลวทรง จาํ นวนวันปดไมเทา กนั ประมวลอาบตั ิ แสดงความเปน มาของสังคมมนุษย เริ่ม และวนั เขาดว ยกนั อยูป รวิ าสเทาจาํ นวน แตเกิดมีสัตวขึ้นในโลกแลวเปลี่ยน วนั ทมี่ ากท่ีสุด เชน ตองอาบัติ ๓ คราว,

อัคร ๕๒๑ อังครี ส คราวหนึง่ ปด ไว ๓ วนั คราวหน่งึ ปด ไว จติ ตคฤหบดีและหตั ถกะอาฬวกะ; ดู ตลุ า ๕ วัน คราวหน่ึงปดไว ๗ วนั อยูปรวิ าส อคั รอปุ ฏฐายิกา อุบาสกิ าผดู ูแลอปุ ถมั ภ เทา จาํ นวนมากทส่ี ุด คอื ๗ วัน; ดู บาํ รุงพระพทุ ธเจาอยางเยยี่ มยอด ไดแ ก สโมธานปริวาส วสิ าขามหาอุบาสิกา (แตพ บในอรรถกถา อคั ร เลศิ , ยอด, ลา้ํ เลศิ , ประเสรฐิ , สงู สดุ แหงหน่ึง จัดเจาหญิงสปุ ปวาสา โกลิย- อคั รพหสู ูต พหูสูตผูเ ลศิ , ยอดพหสู ตู , ราชธดิ า เปนอคั รอปุ ฏฐ ายิกา); ดู ตุลา ผูคงแกเรยี นอยา งยอดเยีย่ ม หมายถงึ อัครอุปฏฐิกาอุบาสิกา อุบาสิกาผู พระอานนท อุปถัมภบํารุงท่ีเลิศ, บางทีเรียกสั้นวา อคั รสาวก สาวกผเู ลศิ , สาวกผยู อดเยยี่ ม อัครอุบาสิกา คืออุบาสิกาผูยอดเย่ียม หมายถึงพระสารีบุตร (เปนอัครสาวก หมายถึง เวฬุกณั ฏกีนันทมารดา และ เบื้องขวา) และพระมหาโมคคัลลานะ ขชุ ชุตตรา; ดู ตุลา (เปน อัครสาวกเบ้ืองซาย); ดู ตลุ า องั คะ๑ องค, สว นประกอบ, คุณสมบตั ,ิ อคั รสาวกิ า สาวกิ าผเู ลศิ , สาวกิ าผยู อด อวยั วะ เชนในคาํ วา องั คบริจาค (การ เยย่ี ม หมายถงึ พระเขมา (เปน อคั รสาวกิ า สละใหอ วัยวะ); ดู องค 1. เบื้องขวา) และพระอบุ ลวรรณา (เปน อังคะ๒ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ อคั รสาวกิ าเบ้อื งซาย); ดู ตลุ า แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูทิศ อคั รอบุ าสก อุบาสกผูเลิศ, อบุ าสกผยู อด ตะวนั ออกของแควน มคธ มแี มน า้ํ จมั ปา เยย่ี ม หมายถึงจติ ตคฤหบดี และหตั ถกะ ก้ันแดน และมนี ครหลวงชอ่ื จมั ปา ใน อาฬวกะ; ดู ตุลา พทุ ธกาล แควนอังคะข้นึ กับแควนมคธ อคั รอบุ าสิกา อุบาสกิ าผเู ลิศ, อบุ าสกิ าผู อังคาร ถานเถาท่ีถวายพระเพลิงพระ ยอดเยย่ี ม หมายถงึ เวฬกุ ัณฏกนี นั ท- พุทธสรรี ะ มารดา และขุชชตุ ตรา; ดู ตุลา อังคารสตปู พระสถูปท่บี รรจพุ ระองั คาร อัครอุปฏฐาก ผูเฝารับใชพระพุทธเจา ซ่ึงโมริยกษตั รยิ สรางไวท ี่เมอื งปปผลวิ ัน อยางเย่ียมยอด ไดแกพระอานนท; ดู อังคาส ถวายพระ, เลยี้ งพระ ตลุ า อังคีรส “มีพระรศั มเี ปลง จากพระองค” , อคั รอปุ ฏ ฐ ากอบุ าสก อุบาสกผูอุปถัมภ พระนามอยางหน่ึง ในบรรดาพระนาม บํารุงท่ีเลิศ, บางทีเรียกสั้นวา อัคร- มากมายที่เปนกลางๆ ใชแกพระพุทธ อบุ าสก คอื อบุ าสกผยู อดเยย่ี ม หมายถึง เจาพระองคใดก็ได, ที่ใชแกพระพุทธ

องั คดุ ร ๕๒๒ อังคุลิมาละ เจา พระองคป จ จุบนั พบในพระไตรปฎ ก คํากลาวของพระกาฬุทายีน้ี มีคําวา หลายแหง เชน ในอาฏานาฏยิ สูตร (ที.ปา. “อังครี ส” ซึ่งพระอรรถกถาจารยอ ธบิ าย ๑๑/๒๐๙/๒๑๐) ที่สวดกันอยเู ปน ประจําวา วา “คําวา ‘องั คีรส’ แปลวา ผสู มั ฤทธิ์ “องคฺ รี สสสฺ นมตถฺ ุ สกยฺ ปตุ ตฺ สสฺ สริ มี โต” พระคุณมีศีลเปนตน ท่ีทําใหเปนองค หรืออยางท่ีพระวังคีสะประพันธคาถา เปนอัน (หรือเปนเนื้อเปนตัว) แลว, ถวายพระสดุดี (สํ.ส.๑๕/๗๕๙/๒๘๗, ขุ.เถร. อาจารยอ กี พวกหน่งึ (อปเร) แปลวา ‘ผู ๒๖/๔๐๑/๔๓๗) ใชค าํ วา “พระองั ครี ส มหา- มีพระรัศมีเปลงฉายออกจากพระวรกาย มุนี”, แตมีบันทึกในอรรถกถาบางแหง ทุกสวน’ แตอาจารยบางพวก (เกจิ) (เถร.อ.๒/๕๐/๑๙๑; อป.อ.๒/๓๕๐/๗๐) ซง่ึ อา ง กลา ววา ‘พระพุทธบดิ าน่นั แหละ ไดท รง อิงเร่ืองท่ีพระเจาสุทโธทนะสงกาฬุทายี เลือกเอาพระนาม ๒ อยางน้ี คือ อํามาตยไปอาราธนาพระพุทธเจาเสด็จ องั ครี ส และสทิ ธตั ถะ’” คาํ อธบิ ายนี้ บอก กรุงกบิลพัสดุ กาฬุทายีน้ันเมื่อไปเฝา ใหรูถึงมติอันหน่ึง ซึ่งเปนของเกจิ พระพทุ ธเจา ไดฟ ง ธรรม บรรลุอรหตั ต- อาจารย ที่บอกวา ‘อังคีรส’ กเ็ ปนพระ ผล บวชแลว ตอมา เม่อื พระพทุ ธเจา รับ นามสวนพระองคของพระพุทธเจาพระ อาราธนาและออกเสด็จพุทธดําเนินมา องคป จจุบนั เชน เดยี วกับ ‘สทิ ธัตถะ’; ดู เพ่ือจะทรงเยยี่ มพระพทุ ธบิดา ครัน้ มา พระพทุ ธเจา ในระหวางทาง ทา นพระกาฬทุ ายีไดเ ดนิ อังคุดร หมายถงึ อังคตุ ตรนิกาย ทางลว งหนา มาแจง ขา ว พระเจา สทุ โธทนะ อังคุตตรนิกาย ช่ือนิกายท่ีสี่ในบรรดา ทอดพระเนตรเห็นพระกาฬุทายีในเพศ นกิ าย ๕ แหง พระสุตตนั ตปฎ ก เปน ที่ ภิกษุ ทรงจาํ ไมได ตรสั ถามวา ทา นเปน ชมุ นมุ พระสตู รซงึ่ จดั เขา ลาํ ดบั ตามจาํ นวน ใคร พระกาฬุทายีจึงกลาวตอบถวาย หวั ขอ ธรรม เปน หมวด ๑ (เอกนบิ าต) พระพรวา “อาตมภาพเปนบุตรของพระ หมวด ๒ (ทุกนบิ าต) เปนตน จนถึง พุทธเจา ผูทรงฝา ไปไดใ นสิ่งทใี่ ครๆ ไม หมวด ๑๑ (เอกาทสกนิบาต) อาจทนไหว องคพ ระอังคีรส ผูค งท่ี ไม องั คตุ ตราปะ ชอื่ แควน หนงึ่ ในชมพทู วปี มผี ูใดเปรยี บปาน ดกู รมหาบพิตร พระ ครง้ั พทุ ธกาล มเี ขตตดิ ตอ กบั แควน องั คะ องคเ ปน โยมบดิ าแหง พระบดิ าของอาตม- ทอี่ ยทู างตะวนั ออกของมคธ เมอื งหลวง ภาพ ดูกรทา วศากยะโคดม พระองคเ ปน เปน เพยี งนคิ มชอื่ อาปณะ พระอยั กาของอาตมภาพ โดยธรรม” ใน องั คุลมิ าละ ดู องคลุ ิมาล

อังคุลมิ าลปริตร ๕๒๓ อัญญภาคยิ สิกขาบท องั คลุ มิ าลปริตร ดู ปรติ ร อัชฌัตติกทาน (ทานภายใน, ใหของ องั สะ ผาทภี่ กิ ษใุ ชห อยเฉวยี งบา ภายใน) อชั ฌัตตกิ ายตนะ (อายตนะ อัจเจกจีวร จีวรรีบรอน หรือผาดวน ภายใน); ตรงขา มกบั พาหริ ะ หมายถึง ผา จํานําพรรษาทีท่ ายกผมู ีเหตุ อชั ฌัตติกรปู ดูที่ รูป ๒๘ รบี รอ น ขอถวายกอนกาํ หนดเวลาปกติ อัชฌาจาร ความประพฤติชั่ว, การ (กําหนดเวลาปกติสําหรับถวายผาจํานํา ละเมิดศีล, การลวงมรรยาท, การ พรรษา คือ จวี รกาลนั่นเอง กลา วคือ ละเมดิ ประเพณี ตอ งผานวนั ปวารณาไปแลว เร่มิ แตแ รม อชั ฌาสยั นสิ ัยใจคอ, ความนยิ ม, ความ ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่า เดือน มีนํ้าใจ ๑๒ และถา กรานกฐนิ แลว นับตอ ไปอีก อัญชนะ กษัตริยโกลิยวงศผูครอง ถงึ ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดือน ๔; เหตุรบี รอนน้ัน เทวทหนคร มมี เหสีพระนามวา ยโสธรา เชน เขาจะไปทัพ หรือเจ็บไขไมไวใจ เปนพระชนกของพระมหามายาเทวีผู ชีวติ หรอื มศี รทั ธาเล่อื มใสเกิดขน้ึ ใหม) เปนพระพุทธมารดาและพระนางมหา- อจั เจกจีวรเชนน้ี มพี ทุ ธานุญาตใหภิกษุ ปชาบดีโคตมี (ตาํ นานวา มีโอรสดวย ๒ รบั เก็บไวไ ด แตต อ งรับกอนวนั ปวารณา องค คือ ทณั ฑปาณิ และสปุ ปพทุ ธะ) ไมเ กนิ ๑๐ วนั (คือตงั้ แตข ้นึ ๖ คํา่ ถึง อัญชลีกรรม การประนมมอื แสดงความ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๑) (สกิ ขาบทที่ ๘ แหง เคารพ ปตตวรรค นสิ สัคคิยปาจติ ตยี ) อชฺ ลกี รณโี ย (พระสงฆ) เปน ผคู วรไดร บั อัจฉริยะ “เหตุอนั ควรทจี่ ะดดี นว้ิ เปาะ”, อญั ชลกี รรม คอื การประนมมอื ไหว กราบ อศั จรรย, แปลกวิเศษ, นา ทึ่งควรยอม ไหว เพราะมีความดีที่ควรแกการไหว รับนบั ถือ, ดีเลิศลาํ้ นาพศิ วง, มคี วามรู ทําใหผูไหวผูกราบ ไมตองกระดากใจ ความสามารถทรงคณุ สมบตั เิ หนอื สามญั (ขอ ๘ในสงั ฆคณุ ๙); อชฺ ลกิ รณโี ย กใ็ ช อญั ญเดยี รถีย ผถู อื ลัทธนิ อกพระพทุ ธ- หรือเกินกวาระดบั ปกติ อชั ฏากาศ “อากาศท่ีไมมชี ฏั ” (ท่ีวา งอนั ศาสนา ไรส ิง่ รกรงุ รงั ), อากาศทีเ่ วง้ิ วาง คือ ทอ ง อัญญภาคยิ สิกขาบท ชอ่ื สิกขาบทที่ ๙ ฟา กลางหาว, อชฏากาศ ก็เขยี น (บาล:ี แหงสังฆาทิเสส (ภิกษุหาเลสโจทภิกษุ อชฏากาส); ดู อากาศ ๓, ๔ อน่ื ดว ยอาบตั ิปาราชิก), เรียกอีกชือ่ หนึ่ง อัชฌัตตกิ ะ ภายใน, ขา งใน เชนในคําวา วา ทุตยิ ทฏุ ฐโทสสิกขาบท

อญั ญวาทกกรรม ๕๒๔ อญั ญาโกณฑัญญะ อัญญวาทกกรรม กรรมทจ่ี ะพงึ กระทํา อญั ญสัตถุเทศ การถือศาสดาอนื่ จดั แกภ ิกษผุ ูกลาวคําอื่น คือภกิ ษปุ ระพฤติ เปน ความผดิ พลาดสถานหนกั (ขอ ๖ อนาจาร สงฆเ รียกตวั มาถาม แกลง ยก ในอภิฐาน ๖) เรอ่ื งอ่นื ๆ มาพูดกลบเกล่อื นเสยี ไมให อญั ญสตั ววสิ ยั วสิ ัยของสัตวอนื่ , วิสยั การตามตรง, สงฆสวดประกาศความ ของสัตวท ัว่ ๆ ไป น้ันดวยญัตติทุติยกรรม เรียกวายก อญั ญาโกณฑัญญะ พระมหาสาวกผูเปน อญั ญวาทกกรรมข้นึ , เม่อื สงฆประกาศ ปฐมสาวกของพระพทุ ธเจา เปน รูปหนึ่ง เชนน้ีแลว ภิกษุน้ันยังขืนทําอยางเดิม ในคณะพระปญจวัคคีย เปนบุตร อกี ตองอาบัติปาจิตตีย (สิกขาบทที่ ๒ พราหมณมหาศาล เกิดทหี่ มูบ านโทณ- แหงภูตคามวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ) ; คกู ับ วตั ถุ ไมไกลจากกรงุ กบิลพัสดุ เดิมชื่อ วิเหสกกรรม โกณฑญั ญะ เปน พราหมณหนมุ ทสี่ ดุ ใน อญั ญสมานาเจตสกิ เจตสิกทีม่ ีเสมอกนั บรรดาพราหมณ ๘ คน ผทู าํ นายลกั ษณะ แกจติ ตพวกอืน่ คอื ประกอบเขา ไดกับ ของสิทธัตถกุมาร และเปนผูเดียวท่ี จิตตทกุ ฝา ยท้งั กศุ ลและอกุศล มใิ ชเ ขา ทาํ นายวา พระกมุ ารจะทรงออกบรรพชา ไดฝายหนงึ่ ฝา ยเดียว มี ๑๓ แยกเปน ไดตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาอยาง ก. สัพพจิตตสาธารณเจตสกิ (เจตสิกที่ แนนอน มคี ตเิ ปน อยางเดียว ตอมาทา น เกิดทั่วไปกับจิตตทุกดวง) ๗ คือ ออกบวชตามเสด็จพระสิทธตั ถะ ขณะ ผัสสะ (ความกระทบอารมณ) เวทนา บําเพ็ญทุกรกิริยา เปนหัวหนาพระ สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย เบญจวคั คยี  และไดนําคณะหลกี หนีไป มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไวในใจ, เม่ือพระมหาบุรุษเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยา ใสใ จ) กลับเสวยพระกระยาหาร ตอมาเมื่อพระ ข. ปกิณณกเจตสิก (เจตสกิ ท่ีเร่ยี รายคือ พุทธเจาตรัสรูแลวเสด็จไปโปรด ทา น เกิดกับจิตตไดท้ังฝายกุศลและอกุศล สดบั ปฐมเทศนาไดด วงตาเหน็ ธรรม ขอ แตไ มแนนอนเสมอไปทุกดวง) ๖ คอื บรรพชาอุปสมบทเปนปฐมสาวกของ วติ ก (ความตรกึ อารมณ) วิจาร (ความ ตรองอารมณ) อธิโมกข (ความปกใจใน พระพุทธเจา อารมณ) วิริยะ ปติ ฉนั ทะ (ความพอใจ โกณฑัญญะ ที่ไดชอื่ วา อัญญา- โกณฑญั ญะ เพราะเมอ่ื ทา นฟง ปฐมเทศนา ในอารมณ) ของพระพทุ ธเจา และไดธ รรมจกั ษุ พระ

อญั ญาตาวินทรยี  ๕๒๕ อตั ตนยิ ะ พทุ ธเจา ทรงเปลง อทุ านวา “อฺ าสิ วต หนัก, แสดงอาบัติมีสวนเหลือวาเปน โภ โกณฑฺ โฺ  ๆ” (โกณฑญั ญะไดร ู อาบตั ไิ มมีสว นเหลอื , แสดงอาบัตหิ ยาบ แลว หนอๆ) คาํ วา อญั ญา จงึ มารวมเขา คายวามิใชอาบัติหยาบคาย (ฝายคูก็ กับช่ือของทาน ตอมาทานไดสําเร็จ ตรงขามจากนี้ตามลําดับ เชน แสดง อรหัตดวยฟงอนัตตลักขณสูตร ไดร บั ธรรมวามิใชธรรม, แสดงวินัยวามิใช ยกยอ งเปน เอตทคั คะในทางรตั ตญั ู (รู วินัย ฯลฯ แสดงอาบัตไิ มห ยาบคายวา ราตรีนาน คือ บวชนาน รูเ หน็ เหตกุ ารณ เปน อาบตั หิ ยาบคาย) มากมาแตต น ) ทา นทลู ลาพระพทุ ธเจา ไป อัฏฐิ กระดกู , บัดนี้เขียน อฐั ิ อยูท่ีฝงสระมันทากินี ในปาฉัททันตวัน อัฏฐมิ ญิ ชะ เย่อื ในกระดกู (ปจจบุ นั แปล แดนหิมพานต อยู ณ ท่ีนั้น ๑๒ ป ก็ วา ไขกระดกู ) ปรินิพพานกอนพุทธปรินิพพาน; ดู อฐั บริขาร บริขาร ๘; ดู บรขิ าร โกณฑญั ญะ อัฑฒกุสิ เสนค่ันดุจคันนาขวางระหวาง อญั ญาตาวนิ ทรยี  ดู อินทรยี  ๒๒ ขัณฑกับขณั ฑของจวี ร; เทียบ กสุ ,ิ ดู จีวร อัญญินทรีย ดู อินทรยี  ๒๒ อัณฑชะ สตั วเ กดิ ในไข คอื ออกไขเปน อัฏฐกะ หมวด ๘ ฟองแลว จึงฟกออกเปนตวั เชน ไก นก อัฏฐบาน ปานะท้ัง ๘, นํา้ ปานะคือน้าํ ค้ัน จ้งิ จก เปนตน (ขอ ๒ ในโยนิ ๔) ผลไม ๘ อยา ง; ดู ปานะ อัฑฒมณฑล ชิ้นสวนของจีวรพระที่ อัฏฐารสเภทกรวตั ถุ เร่ืองทาํ ความแตก เรียกวา กระทงนอ ย หรือกระทงเลก็ มี กัน ๑๘ อยา ง, เรอ่ื งท่ีจะกอใหเ กดิ ขนาดคร่ึงหนึ่งของมณฑล (กระทง ความแตกแยกแกส งฆ ๑๘ ประการ ใหญ); เทียบ มณฑล, ดู จีวร ทา นจดั เปน ๙ คู (แสดงแตฝา ยคี่) คือ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบตนให ภิกษุแสดงสิ่งมิใชธรรมวาเปนธรรม, ลําบากเปลา คือ ความพยายามเพ่ือ แสดงสง่ิ มิใชว นิ ยั วา เปน วินยั , แสดงสง่ิ บรรลุผลท่ีหมายดวยวิธีทรมานตนเอง ทีพ่ ระตถาคตมิไดต รัสวา ไดต รสั , แสดง เชน การบาํ เพ็ญตบะตางๆ ทีน่ ยิ มกันใน สิ่งท่ีพระตถาคตมิไดประพฤติวาได หมนู กั บวชอนิ เดียจํานวนมาก (ขอ ๒ ประพฤติ, แสดงสิ่งท่ีพระตถาคตมิได ใน ท่ีสุด ๒ อยา ง) บญั ญัติ วา ไดบัญญตั ิ, แสดงอาบตั ิวา มิ อตั ตนยิ ะ สงิ่ ทเี่ นอ่ื งดว ยตน, สงิ่ ทเ่ี ปน ของ ใชอาบัติ, แสดงอาบัติเบาวาเปนอาบัติ ตน; ในภาษาไทย มกั พดู ใหส ะดวกปาก

อัตตภาพ ๕๒๖ อตั ตาธิปไตย เปนอัตตนิยา หรืออัตตนียา, เปนคาํ ตน หรอื เปน ทพ่ี งึ่ แกต นได ไมว า จะเปน ประกอบที่ใชในการอธิบายหรือถกเถียง ทิฏฐธมั มกิ ัตถะ สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื เรอื่ งอตั ตา-อนตั ตา เชน วา เมอื่ มอี ตั ตา ก็ ปรมัตถะ, ความมีชีวิตและส่ิงอันเก้ือ มอี ตั ตนยิ า จะมอี ตั ตนยิ า กต็ อ งมอี ตั ตา หนุนใหชีวิตเพียบพรอมดวยคุณสมบัติ อตั ตภาพ ความเปน ตวั ตน, ชวี ติ , เบญจ- ท้งั หลาย ท้ังทางกาย ทางสงั คม ทางจติ ขันธ, บดั น้เี ขยี น อตั ภาพ ใจ และทางปญ ญา, ชวี ิตท่ีมคี ณุ ภาพ มี อัตตวาทุปาทาน การถือมั่นวาทะวาตน คณุ คา และมีความหมาย; เทยี บ ปรตั ถะ คือความยึดถือสําคัญมั่นหมายวานั่นนี่ อัตตัตถสมบัติ “ความถึงพรอมดวย เปนตวั ตน เชน มองเหน็ เบญจขนั ธเปน ประโยชนตน” เปนพุทธคุณอยางหนึ่ง อตั ตา, อยางหยาบขึ้นมา เชน ยดึ ถอื มน่ั คือ การทไ่ี ดท รงบาํ เพ็ญพระบารมธี รรม หมายวา นเ่ี รา นัน่ ของเรา จนเปน เหตุ กําจัดอาสวกิเลสท้ังปวงและทําศีล แบงแยกเปนพวกเรา พวกเขา และเกดิ สมาธิ ปญ ญาใหบรบิ ูรณ สมบูรณดวย ความถอื พวก (ขอ ๔ ในอปุ าทาน ๔) พระญาณทั้งหลาย เพียบพรอมดวย อตั ตวินบิ าต การทําลายตัวเอง, ฆาตวั พระคุณสมบัติมากมาย เปนท่ีพึ่งของ เอง; บดั นเี้ ขียน อตั วนิ บิ าต พระองคเองได และเปนผูพรอมที่จะ อตั ตสมั มาปณิธิ การตั้งตนไวช อบ คือ บําเพ็ญกิจเพ่ือประโยชนแกชาวโลกตอ ดํารงตนอยใู นศลี ธรรม และดําเนนิ แนว ไป มกั ใชคําที่แทนกันไดวา อัตตหติ - แนในวิถีทางที่จะนําไปสูจุดหมายที่ดี สมบัติ ซึง่ แปลเหมือนกนั ; เปน คูกันกับ ปรัตถปฏบิ ตั ิ หรอื ปรหติ ปฏบิ ัติ งาม (ขอ ๓ ในจกั ร ๔) อัตตสทุ ธิ การทาํ ตนใหบรสิ ุทธิจ์ ากบาป อตั ตา ตวั ตน, อาตมนั ; ปถุ ชุ นยอ มยึด อัตตหิตสมบัติ ดู อัตตัตถสมบตั ิ มัน่ มองเห็นขันธ ๕ อยา งใดอยางหนง่ึ อตั ตญั ตุ า ความเปน ผรู จู กั ตน เชน รวู า หรือท้ังหมดเปนอัตตา หรือยึดถือวามี เรามคี วามรู ความถนดั คณุ ธรรม ความ อตั ตาเน่อื งดว ยขันธ ๕ โดยอาการอยาง สามารถ และฐานะ เปน ตน แคไ หนเพยี ง ใดอยางหนึ่ง; เทียบ อนัตตา ไร แลว ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสมเพอ่ื อตั ตาธิปเตยยะ ดู อตั ตาธปิ ไตย ใหเ กดิ ผลดี (ขอ ๓ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) อตั ตาธิปไตย ความถอื ตนเปนใหญ จะ อัตตตั ถะ ประโยชนตน, สงิ่ ทเ่ี ปน คุณแก ทําอะไรก็นึกถึงตน คํานึงถึงฐานะ ชวี ติ ชว ยใหเ ปน อยดู ว ยดี สามารถพงึ่ เกียรติศักด์ิศรี หรือผลประโยชนของ

อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ๕๒๗ อันตคาหกิ ทิฏฐิ ตนเปนสําคัญ, พึงใชแตในขอบเขตที่ อัตถจริยา ประพฤติส่ิงท่ีเปนประโยชน เปน ความดี คอื เวน ช่วั ทาํ ดดี ว ยเคารพ แกผูอ ื่น, การบาํ เพ็ญประโยชน (ขอ ๓ ตน (ขอ ๑ ในอธิปไตย ๓) ในสังคหวัตถุ ๔) อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ความตามเหน็ วา เปน ตวั ตน อัตถปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน อตั ถะ 1. ประโยชน, ผลทมี่ งุ หมาย, จดุ อรรถ, ความแตกฉานสามารถอธิบาย หมาย, อตั ถะ ๓ คอื ๑. ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ เน้ือความยอของภาษิตโดยพิสดารและ ประโยชนปจจุบัน, ประโยชนในภพน้ี ความเขาใจท่ีสามารถคาดหมายผลขาง ๒. สมั ปรายิกตั ถะ ประโยชนเบอื้ งหนา, หนาอันจะเกิดสืบเน่ืองไปจากเหตุ (ขอ ประโยชนในภพหนา ๓. ปรมัตถะ ๑ ในปฏสิ ัมภทิ า ๔) ประโยชนอ ยา งยิ่ง, ประโยชนส งู สดุ คอื อัตถสาธกะ ยังอรรถใหส าํ เรจ็ , ทําเนื้อ พระนพิ พาน; อตั ถะ ๓ อกี หมวดหนง่ึ คอื ความใหส ําเรจ็ ๑. อตั ตตั ถะ ประโยชนต น ๒. ปรัตถะ อัตถัญุตา ความเปนผรู จู กั ผล เชน รจู ัก ประโยชนผ ูอนื่ ๓. อุภยตั ถะ ประโยชน วา สุขเปน ผลแหงเหตอุ ันน้ี ทุกขเปนผล ท้ังสองฝาย 2. ความหมาย, ความ แหงเหตอุ นั นี้, รคู วามมุงหมายและรจู กั หมายแหงพุทธพจน, พระสูตร พระ ผล; ตามบาลีวา รูความหมาย เชน วา ธรรมเทศนา หรือพุทธพจน วาโดยการ ธรรมขอน้ีๆ มีความหมายอยางนี้ๆ แปลความหมาย แยกเปน อตั ถะ ๒ คอื หลักขอ น้ีๆ มีเนื้อความอยา งน้ๆี (ขอ ๒ ๑. เนยยัตถะ (พระสตู ร) ซึง่ มีความ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) หมายที่จะตองไขความ, พุทธพจนท่ี อัตถปุ ปตติ เหตุทใ่ี หม ีเร่ืองข้นึ , เหตใุ ห ตรัสตามสมมติ อันจะตองเขาใจความ เกดิ เรอื่ ง จริงแทท่ีซอนอยูอีกช้ันหนึ่ง เชนที่ตรัส อัธยาจาร ดู อชั ฌาจาร เร่ืองบุคคล ตัวตน เรา-เขา วา บุคคล ๔ อธั ยาศัย นสิ ยั ใจคอ, ความนยิ มในใจ ประเภท, ตนเปน ท่ีพง่ึ ของตน เปน ตน อันตะ ไสใหญ ๒. นีตัตถะ (พระสตู ร) ซ่ึงมีความหมาย อนั ตคาหกิ ทฏิ ฐิ ความเหน็ ทย่ี ดึ เอาทส่ี ดุ ท่ีแสดงชัดโดยตรงแลว, พุทธพจนที่ คอื แลน ไปถงึ ทสี่ ดุ ในเรอ่ื งหนงึ่ ๆ มี ๑๐ ตรัสโดยปรมัตถ ซ่ึงมีความหมายตรง อยา ง คอื ๑. โลกเทยี่ ง ๒. โลกไมเ ทยี่ ง ไปตรงมาตามสภาวะ เชน ท่ตี รัสวา รปู ๓. โลกมที ส่ี ดุ ๔. โลกไมม ที ส่ี ดุ ๕. ชพี เสียง กล่ิน รส เปนตน ; อรรถ ก็เขยี น อนั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นน้ั ๖. ชพี กอ็ ยา ง สรรี ะ

อนั ตคุณ ๕๒๘ อันเตวาสกิ กอ็ ยา ง ๗. สตั วต ายแลว ยงั มอี ยู ๘. สตั ว ตราย นา้ํ หลากมา (หรือฝนตกเมอื่ สวด ตายแลว ยอ มไมม ี ๙. สตั วต ายแลว ทงั้ มี กลางแจง ; เพอื่ หนนี าํ้ ) ๕. มนสุ สนั ตราย อยู ทง้ั ไมม ี ๑๐. สตั วต ายแลว จะมอี ยู ก็ คนมามาก (เพื่อรูเหตุหรือปฏิสันถาร) ๖. อมนสุ สันตราย ผีเขาภิกษุ (เพื่อขบั ไมใ ช ไมม อี ยู กไ็ มใ ช ผี) ๗. วาฬนั ตราย สัตวรายเชน เสือมา อนั ตคณุ ไสน อ ย, ไสท บ ในวัด (เพ่ือไลส ัตว) ๘. สิริงสปนตราย อนั ตรกปั ดู กปั งูเลอื้ ยเขามา (เพ่ือไลงู) ๙. ชวี ิตันตราย อนั ตรธานหายไป, เสอื่ มสน้ิ ไป, สญู หายไป อนั ตรวาสก ผา นงุ , สบง, เปน ผนื หนงึ่ ใน มีเรือ่ งเปนตาย เชนภกิ ษอุ าพาธโรคราย ไตรจวี ร (เพื่อชว ยแกไข) ๑๐. พรหมจรยิ นั ตราย อนั ตราบตั ิ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ทต่ี อ งใหม มีอนั ตรายแกพ รหมจรรย เชน มีคนมา อกี ในระหวา งประพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ ี คอื ตง้ั จบั ภกิ ษุ (เลิกเพราะอลหมา น); ดู ปาฏ-ิ โมกขย อ ,อเุ ทศ แตเ รม่ิ อยปู รวิ าสไปจนถงึ กอ นอพั ภาน อันตราปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ อน่ึง ภกิ ษตุ อ งอาบัตสิ ังฆาทเิ สสถา ปรนิ พิ พาน ในระหวา งอายยุ งั ไมท นั ถงึ กง่ึ มีอันตรายเหลาน้ีอยางใดอยางหน่ึงแม (ขอ ๑ ในอนาคามี ๕) ไมไดบอกอาบัติของตนพนคืนไปยังไม อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม ถอื วา ปด อาบตั ิ เหตุท่ีจะทําใหผูบวชในธรรมวินัยน้ี อันตรายิกธรรม ธรรมอันกระทํา ประพฤตพิ รหมจรรยอ ยไู ดไ มย งั่ ยนื มี ๔ อนั ตราย คือ เหตุขดั ขวางตา งๆ เชน อยา ง คอื ๑. อดทนตอ คาํ สง่ั สอนไมไ ด เหตขุ ดั ขวางการอปุ สมบท ๑๓ อยา ง มี ๒. เหน็ แกป ากแกท อ ง ๓. ฝน ใฝท ะยาน การเปนโรคเรอื้ น เปนตน อยากไดก ามคณุ ๔. รกั ผหู ญงิ อันตมิ วัตถุ “วัตถุมใี นทส่ี ุด” หมายถงึ อนั ตราย ๑๐ เหตฉุ กุ เฉนิ หรอื เหตขุ ดั ขอ ง อาบัติปาราชกิ ซึง่ ทาํ ใหภ ิกษแุ ละภิกษณุ ี ที่ทรงอนุญาตใหเลิกสวดปาฏิโมกขได ผตู อ ง มโี ทษถงึ ทส่ี ุด คือขาดจากภาวะ โดยใหส วดปาฏโิ มกขย อ แทน มี ๑๐ อยา ง ของตน (และจะบวชใหมกลับคืนสูภาวะ คอื ๑. ราชนั ตราย พระราชาเสดจ็ มา (เลกิ น้ันกไ็ มไดดว ย) สวดเพื่อรบั เสดจ็ ) ๒. โจรันตราย โจรมา อันเตวาสกิ ผอู ยใู นสํานกั , ภกิ ษผุ ขู ออยู ปลน (เพอ่ื หนภี ยั ) ๓. อคั ยนั ตราย ไฟ รวมสาํ นกั , ศิษย (ภกิ ษุผรู ับใหอ ยูรว ม ไหม (เพอื่ ดบั หรอื ปอ งกนั ไฟ) ๔. อทุ กนั - สาํ นกั เรยี กอาจารย); อนั เตวาสิกมี ๔

อันธกวินทะ ๕๒๙ อปั ปมาทะ ประเภทคือ ๑. ปพพชนั เตวาสกิ อนั เต- หมายถงึ เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา วาสกิ ในบรรพชา ๒. อปุ สมั ปทนั เตวาสกิ ท่ีแผไปในมนุษยและสัตวทั้งหลายอยาง อันเตวาสกิ ในอปุ สมบท ๓. นิสสยันเต- กวา งขวางสมาํ่ เสมอกนั ไมจ าํ กดั ขอบเขต วาสกิ อนั เตวาสกิ ผถู อื นสิ ยั ๔. ธมั มนั เต- มี ๔ คอื เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา วาสิก อันเตวาสกิ ผเู รียนธรรม ทกี่ ลาวแลว นั้น; ดู พรหมวิหาร อันธกวินทะ ชื่อหมูบานแหงหนึ่งใน อัปปมัตตกวิสัชชกะ ภิกษุผูไดรับ แควนมคธ อยูหางจากกรุงราชคฤห สมมติ คือแตงตง้ั จากสงฆ ใหมหี นาท่ี ประมาณ ๑ คาวุต คัมภีรฉบับสิงหลวา เปน ผูจ ายของเลก็ นอ ย เชน เข็มเยบ็ ผา ๓ คาวตุ ) มดี ตัดเล็บ ประคด เภสชั ทงั้ หา เปน ตน อนั ธกฏั ฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถ- ใหแกภิกษุทั้งหลาย, เปนตําแหนงหน่ึง กถา ในบรรดา เจา อธิการแหง คลัง อัปปฏิฆรูป ดูที่ อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป, อัปปมาณะ “ไมม ปี ระมาณ”, สภาวะที่ รูป ๒๘ ประมาณมิได หมายถึงธรรมท่ีเปน อปั ปณิหิตวโิ มกข ความหลดุ พนดว ยไม โลกุตตระ; ดู ปรติ ต 2. ทําความปรารถนา คือ พิจารณาเห็น อัปปมาทะ ความไมประมาท, ความเปน นามรูปเปนทุกข แลวถอนความ อยูอยางไมขาดสติ, ความไมเผลอ, ปรารถนาเสยี ได (ขอ ๓ ในวิโมกข ๓) ความไมเลินเลอเผลอสติ, ความไม อัปปณิหติ สมาธิ การเจริญสมาธิท่ที าํ ให ปลอยปละละเลย, ความระมดั ระวงั ทีจ่ ะ ถึงความหลุดพนดวยกําหนดทุกข- ไมทําเหตุแหงความผิดพลาดเสียหาย ลกั ษณะ (ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) และไมละเลยโอกาสท่ีจะทําเหตุแหง อปั ปนาปรวิ าส ดู ปรวิ าส 2. ความดีงามและความเจริญ, ความมีสติ อปั ปนาภาวนา ภาวนาขั้นแนวแน คือ รอบคอบ ฝกสมาธิถึงข้ันเปนอัปปนา เปนข้ัน ความไมประมาท พงึ กระทําในท่ี ๔ บรรลปุ ฐมฌาน (ขอ ๓ ในภาวนา ๓) สถาน คือ ๑. ในการละกายทุจริต อปั ปนาสมาธิ สมาธิแนว แน, จติ ตต งั้ มัน่ ประพฤติกายสุจริต ๒. ในการละวจี- สนิท เปน สมาธิในฌาน (ขอ ๒ ในสมาธิ ทุจริต ประพฤติวจีสจุ ริต ๓. ในการละ ๒, ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) มโนทจุ รติ ประพฤตมิ โนสจุ รติ ๔. ใน อัปปมญั ญา ธรรมท่ีแผไปไมม ีประมาณ การละความเหน็ ผดิ ประกอบความเหน็