อธิษฐานพรรษา ๔๘๐ อนัตตลกั ขณสูตร คอื ๑. ปญญา ๒. สัจจะ ๓. จาคะ ๔. จองจะเอาของเขา (ขอ ๘ ในกศุ ล- อปุ สมะ หรอื สันติ นยิ มเรยี กชื่อเตม็ ของ กรรมบถ ๑๐) แตละขอ วา ๑. ปญญาธิฏฐาน ๒. สจั จา- อนริยปริเยสนา การแสวงหาท่ีไมเปน ธิฏฐาน ๓. จาคาธิฏฐาน ๔. อุปสมา- อริยะ คอื แสวงหาสง่ิ ที่ยังตกอยใู นชาติ ธิฏฐาน และเรียกรวมวา อธิฏฐาน ๔ ชรามรณะ หรือสิ่งท่ีระคนอยดู ว ยทุกข หรอื จตรุ าธฏิ ฐาน ทงั้ นม้ี หี ลกั การปฏบิ ตั ิ กลาวคอื แสวงหาส่ิงอันทําใหตดิ อยูใ น ตามพทุ ธพจนว า ๑. พงึ ไมป ระมาท[หมนั่ โลก, สาํ หรบั ชาวบานทา นวา หมายถึง ใชหมั่นพัฒนา]ปญญา ๒. พึงรักษา การแสวงหาในทางมิจฉาชพี (ขอ ๑ ใน [อนรุ กั ษ] สจั จะ ๓. พงึ เพมิ่ พนู จาคะ ๔. ปรเิ ยสนา ๒) พึงศึกษาสันติ (เรียงคําอยางบาลีเปน อนวเิ สส หาสว นเหลอื มไิ ด, ไมเ หลือเลย, สนั ตศิ กึ ษา) ส้นิ เชิง อธิษฐานพรรษา ความตั้งใจกําหนดลง อนังคณสตู ร ช่อื สตู รที่ ๕ แหง มชั ฌมิ - ไปวาจะอยูจําพรรษา ณ ท่ีใดที่หนึ่ง นิกาย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎก ตลอดไตรมาส (๓ เดือน); ดู จําพรรษา เปนคําสนทนาระหวางพระสารีบุตรกับ อธิษฐานอุโบสถ อุโบสถท่ีทําดวยการ พระโมคคัลลานะ วา ดวยกเิ ลสอนั ยวน อธิษฐาน ไดแ ก อโุ บสถทภ่ี ิกษุรูปเดยี ว ใจ และความตางแหงผูมีกิเลสยวนใจ ทํา กลา วคอื เมอื่ ในวัดมภี กิ ษรุ ูปเดียว กบั ผูไมมีกเิ ลสยวนใจ ถึงวันอุโบสถ เธอพึงอธิษฐานคือตั้งใจ อนัญญาตญั ญสั สามตี นิ ทรีย (อนัญญ- หรอื กําหนดใจวา “อชฺช เม อุโปสโถ” ตญั ญัสสามตี ินทรยี ก็เขยี น) ดู อินทรีย แปลวา “วนั นีอ้ ุโบสถของเรา” เรยี กอีก ๒๒ อยางหนึ่งวา ปุคคลอุโบสถ (อโุ บสถ อนตั ตตา ความเปนอนัตตา คอื มใิ ชตวั มิ ของบคุ คล หรอื ทาํ โดยบคุ คล); ดู อโุ บสถ ใชตน (ขอ ๓ ในไตรลักษณ); ดู อนัตต- อนตริ ติ ตะ (อาหาร) ซึ่งไมเปน เดน (ทีว่ า ลักษณะ เปน เดน มี ๒ คอื เปนเดนภกิ ษไุ ข ๑ อนัตตลักขณสูตร ชื่อพระสูตรที่แสดง เปนของทีภ่ ิกษุทําใหเปน เดน ๑) ลักษณะแหงเบญจขนั ธ วาเปน อนตั ตา อนธการ ความมืด, ความโงเ ขลา; เวลา พระศาสดาทรงแสดงแกภิกษุปญจ- คาํ่ วัคคีย ภิกษุปญจวัคคียไดสําเร็จพระ อนภชิ ฌา ไมโลภอยากไดของเขา, ไมคดิ อรหัต ดวยไดฟงอนัตตลักขณสูตรน้ี
อนตั ตลกั ษณะ ๔๘๑ อนาคามมิ รรค (มาในมหาวรรค พระวนิ ยั ปฎ ก และใน อนัตตานุปสสนา การพิจารณาเห็นใน สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระ สภาพท่ีเปนอนัตตา คือหาตัวตนเปน สุตตนั ตปฎก) แกนสารมิได อนัตตลักษณะ ลักษณะที่เปนอนัตตา, อนันต ไมมีท่ีส้ินสุด, มากเหลือเกิน, ลักษณะท่ีใหเห็นวาเปนของมิใชตัวตน มากจนนบั ไมได โดยอรรถตา งๆ เชน ๑. เปน ของสูญ คอื อนนั ตริยกรรม กรรมหนัก, กรรมที่เปน วา งเปลาจากความเปน สัตว บุคคล ตัว บาปหนกั ทสี่ ดุ ตัดทางสวรรค ตัดทาง ตน เรา เขา หรอื การสมมติเปนตา งๆ นิพพาน, กรรมทีใ่ หผ ลคือ ความเดือด (ในแงสังขตธรรม คอื สงั ขาร กเ็ ปนเพียง รอนไมเวน ระยะเลย มี ๕ อยางคอื ๑. การประชุมเขาขององคประกอบที่เปน มาตุฆาต ฆา มารดา ๒. ปตฆุ าต ฆา บดิ า สวนยอยๆ ท้งั หลาย) ๒. เปนสภาพหา ๓. อรหนั ตฆาต ฆา พระอรหนั ต ๔. โลห-ิ เจาของมิได ไมเปนของใครจรงิ ๓. ไม ตุปบาท ทํารายพระพุทธเจาจนถึงยัง อยูในอํานาจ ไมเปนไปตามความ พระโลหิตใหห อขนึ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ทาํ ปรารถนา ไมข้ึนตอการบงั คับบัญชาของ สงฆใหแ ตกกัน ใครๆ ๔. เปน สภาวธรรมท่ดี าํ รงอยหู รอื อนาคต ยังไมม าถงึ , เรอื่ งทีย่ งั ไมมาถึง, เปน ไปตามธรรมดาของมนั (ในแงส งั ขต- เวลาท่ยี งั ไมมาถงึ ธรรม คือสงั ขาร ก็เปน ไปตามเหตุปจ จยั อนาคตังสญาณ ญาณหย่ังรูสวน ข้ึนตอเหตุปจจัย ไมมีอยูโดยลําพังตัว อนาคต, ปรีชากาํ หนดรูคาดผลขางหนา แตเปนไปโดยสัมพันธ อิงอาศัยกันอยู อันสืบเน่ืองจากเหตุในปจจุบันหรือใน กับส่งิ อ่นื ๆ) ๕. โดยสภาวะของมนั เองก็ อนาคตกอ นเวลานน้ั (ขอ ๒ ในญาณ ๓) แยงหรือคานตอความเปนอัตตา มีแต อนาคามิผล ผลท่ีไดรับจากการละ ภาวะท่ีตรงขามกับความเปนอัตตา; ดู สงั โยชน คือ กามราคะ และปฏฆิ ะดวย ทกุ ขลกั ษณะ, อนจิ จลักษณะ อนาคามิมรรค อันทําใหเปนพระ อนัตตสัญญา กําหนดหมายถึงความ อนาคามี เปน อนตั ตาแหงธรรมทง้ั หลาย (ขอ ๒ อนาคามิมรรค ทางปฏบิ ัตเิ พ่อื บรรลุผล ในสญั ญา ๑๐) คือความเปนพระอนาคามี, ญาณคือ อนตั ตา ไมใชอตั ตา, ไมใชต ัวใชตน; ดู ความรูเปนเหตุละโอรัมภาคิยสังโยชน อนตั ตลักษณะ ไดท้ัง ๕ (คอื ละไดเ ด็ดขาดอกี ๒ อยา ง
อนาคามี ๔๘๒ อนาโรจนา ไดแ ก กามราคะ และปฏฆิ ะ เพมิ่ จาก ๓ ศาสนา บรรลุโสดาปตติผล เปนผูมี อยา งทีพ่ ระโสดาบนั ละไดแลว) ศรัทธาแรงกลา สรางวัดพระเชตวัน อนาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ ถวายแดพระพุทธเจาและภิกษุสงฆท่ี อนาคามิผล มี ๕ ประเภท คือ ๑. เมอื งสาวัตถี ซง่ึ พระพทุ ธเจาไดประทับ อันตราปรินิพพายี ผูปรินิพพานใน จําพรรษารวมทั้งหมดถงึ ๑๙ พรรษา ระหวางอายุยังไมถึงก่ึง (หมายถึงโดย ทานอนาถบิณฑิก นอกจากอุปถัมภ กเิ ลสปรนิ พิ พาน) ๒. อปุ หจั จปรนิ พิ พายี ผู ปรินิพพานเม่ือจวนจะถึงสิ้นอายุ ๓. บํารุงพระภิกษุสงฆแลวยังไดสงเคราะห อสงั ขารปรนิ พิ พายี ผนู พิ พานโดยไมต อ งใช ความเพยี รนกั ๔. สสงั ขารปรนิ พิ พายี ผู คนยากไรอนาถาอยางมากมายเปน ประจาํ จึงไดชอื่ วา อนาถบิณฑกิ ซึง่ แปลวา “ผูมีกอนขาวเพื่อคนอนาถา” ปรินิพพานโดยตองใชความเพียรมาก ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะในหมู ๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ผูม กี ระแส ทายกฝายอุบาสก; ดู เชตวัน อนาถา ไมม ีที่พง่ึ , ยากจน, เขญ็ ใจ ในเบอ้ื งบนไปสอู กนิฏฐภพ อนาคาริยวินัย วินัยของอนาคาริก; ดู อนาบัติ ไมเปน อาบตั ิ วนิ ยั ๒ อนาปต ตวิ าร ตอนวา ดวยขอ ยกเวนทีไ่ ม อนาจาร ความประพฤติไมดีไมงามไม ตองปรบั อาบัตนิ ้ันๆ ตามปกตอิ ยทู ายคาํ เหมาะสมแกบรรพชิต แยกเปน ๓ อธิบายสิกขาบทแตละขอในคัมภีรวิภังค ประเภท คอื ๑. การเลน ตา งๆ เชน เลน พระวินยั ปฎ ก อยา งเด็ก ๒. การรอ ยดอกไม ๓. การ อนามัฏฐบิณฑบาต อาหารที่ภิกษุ เรยี นดริ จั ฉานวชิ า เชน ทายหวย ทาํ บิณฑบาตไดม ายงั ไมไ ดฉ นั จะใหแ กผู เสนห อ่ืนท่ีไมใชภิกษุดวยกันไมได นอกจาก อนาณัตติกะ อาบัติท่ีตองเฉพาะทําเอง มารดาบิดา ไมต องเพราะสง่ั คือสง่ั ใหผอู นื่ ทาํ ไมต อง อนามาส วัตถุอันภิกษุไมควรจับตอง อาบตั ิ เชน สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทที่ ๑ เชน รางกายและเคร่ืองแตงกายสตรี (แตสงั่ ใหทาํ แกต น ไมพนอาบตั ิ) เงินทอง อาวธุ เปนตน อนาถบณิ ฑิก อบุ าสกคนสาํ คัญในสมยั อนาโรจนา “การไมบอก” คอื ไมบ อก พทุ ธกาล เดิมชื่อ สุทตั ต เปนเศรษฐีอยู ประจานตัวแกภิกษุท้ังหลายภายในเขต ทเี่ มอื งสาวตั ถี ตอ มาไดน บั ถอื พระพทุ ธ- ๒ เลฑฑุบาตจากเครื่องลอมหรือจาก
อนาวรณญาณ ๔๘๓ อนทิ สั สนอปั ปฏิฆรูป อปุ จารแหงอาวาส ใหรูท่ัวกนั วาตนตอ ง แปลงแปรสภาพไปเรื่อยๆ ๓. เปน ของ อาบัติสังฆาทิเสส กําลังอยูปริวาสหรือ ช่ัวคราว อยไู ดช่ัวขณะๆ ๔. แยงตอ ประพฤติมานตั ; เปน เหตอุ ยา งหนงึ่ ของ ความเท่ยี ง คือ โดยสภาวะของมันเอง การขาดราตรีแหงมานัตหรือปริวาส ผู ก็ปฏิเสธความเทยี่ งอยใู นตวั ; ดู ทุกข- ประพฤติมานตั ตอ งบอกทุกวนั แตผ อู ยู ลกั ษณะ, อนตั ตลกั ษณะ ปรวิ าส ไมตอ งบอกทกุ วนั ปกตัตตภิกษุ อนิจจสัญญา กําหนดหมายถึงความไม รปู ใดยงั ไมไดร บั บอก เธอบอกแกภกิ ษุ เทีย่ งแหง สงั ขาร (ขอ ๑ ในสญั ญา ๑๐) รูปนั้นคร้ังหน่ึงแลว ไมตองบอกอีก อนิจจงั ไมเ ท่ยี ง, ไมค งท่ี, สภาพที่เกดิ มี ตลอดกาลท่ีอยูในอาวาสหรือในอนาวาส ข้ึนแลวก็ดับลวงไป; ดู อนิจจลักษณะ, น้ัน แตตองบอกในทายอุโบสถ ทาย ไตรลกั ษณ ปวารณา เมอื่ ถงึ วันน้ันๆ และภกิ ษใุ ดไดั อนิฏฐารมณ อารมณท่ีไมนาปรารถนา, รับบอกแลวออกจากอาวาสหรืออนาวาส สิ่งท่ีคนไมอยากไดไมอยากพบ แสดง นั้นไปเมือ่ กลับมาใหมต อ งไดร บั บอกอกี ; ในแงต รงขามกบั กามคณุ ๕ ไดแก รปู ดู รตั ตเิ ฉท เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ที่ไมนา รัก อนาวรณญาณ ปรชี าหยัง่ รูที่ไมมีอะไรๆ ใคร ไมน า ชอบใจ แสดงในแงโ ลกธรรม มาก้นั ได หมายความวา รตู ลอด, รทู ะลุ ไดแก ความเสือ่ มลาภ ความเส่อื มยศ ปรุโปรง เปนพระปรีชาญาณเฉพาะของ การนินทา และความทุกข; ตรงขามกับ พระพทุ ธเจา ไมท่วั ไปแกพ ระสาวก อิฏฐารมณ อนาวาส ถนิ่ ที่มิใชอาวาส คอื ไมเปน วดั อนทิ ัสสนรปู ดทู ่ี อนทิ ัสสนอปั ปฏฆิ รปู , อนาสวะ ไมม อี าสวะ, อันหาอาสวะมิได รปู ๒๘ อนิจจตา ความเปน ของไมเ ทีย่ ง, ภาวะท่ี อนิทัสสนสัปปฏฆิ รปู ดทู ่ี รปู ๒๘ สงั ขารทั้งปวงเปน สง่ิ ไมเ ท่ยี งไมค งที่ (ขอ อนทิ ัสสนอปั ปฏฆิ รปู รปู ที่มองไมเ หน็ ๑ ในไตรลกั ษณ) และกระทบไมได คือรับรูไมไดดวย อนิจจลักษณะ ลักษณะที่เปนอนิจจะ, ประสาทใดๆ ไมว า จะดว ยจกั ษุ หรอื ดว ย ลักษณะที่ใหเ หน็ วาเปน ของไมเทยี่ ง ไม โสตะ ฆานะ ชวิ หา และกาย แตเ ปน คงที่ ไดแ ก ๑. เปน ไปโดยการเกดิ ข้ึน ธรรมารมณ อนั รดู ว ยใจ, ไดแ กส ขุ มุ รปู และสลายไป คอื เกิดดบั ๆ มีแลวกไ็ มม ี ๑๖ ๒. เปนของแปรปรวน คือ เปลยี่ น รปู ในชดุ ทใี่ กลเ คยี ง และตรงขา ม อนั
อนนิ ทรยี รปู ๔๘๔ อนุตฺตรํปฺุ กเฺขตฺตํ โลกสสฺ พงึ ทราบไวด ว ยกนั คอื วิมุตติสขุ สนิทัสสนรปู รูปซ่งึ มองเห็นได คือตา อนยิ ต ไมแน, ไมแ นน อน เปนชอื่ อาบตั ทิ ่ี มองเห็น มี ๑ ไดแ กรปู ารมณ (หมายถงึ ยังไมแน ระหวางปาราชิก สงั ฆาทเิ สส วณั ณะ คือสี), คูกบั อนทิ สั สนรปู รปู ซง่ึ หรือปาจิตตีย ซ่ึงพระวินัยจะตอง มองไมเ หน็ มี ๒๗ ไดแ กร ปู อน่ื นอกจาก วินจิ ฉยั นน้ั (มหาภตู รปู ๔ และอปุ าทายรปู อกี ๒๓) อนิยตสิกขาบท สิกขาบทท่ีวางอาบตั ไิ ว สปั ปฏิฆรูป รูปซ่ึงมกี ารกระทบได คือ ไมแน คือยังไมระบุชัดลงไปวาเปน รับรูทางประสาททั้ง ๕ ทต่ี รงคกู ัน มี ๑๒ ปาราชกิ หรอื สงั ฆาทเิ สส หรอื ปาจติ ตยี , ไดแกป สาทรูป ๕ และวสิ ัยรปู ๗ (๗ คอื มี ๒ สกิ ขาบท นับโผฏฐพั พะเปน ๓ ไดแก ปฐวี เตโช อนึก กองทัพ คือ ชาง มา รถ พลเดนิ ที่ และวาโย), คูกับ อัปปฏิฆรูป รูปซ่ึง จัดเปน กองๆ แลว กระทบไมไ ด อนั รบั รไู มไ ดท างประสาททงั้ อนุเคราะห เอ้อื เฟอ, ชว ยเหลอื ; ความ ๕ มี ๑๖ ไดแ กร ปู ทเ่ี หลอื จากนนั้ (คอื สขุ มุ เอ้ือเฟอ , การชวยเหลอื รปู ๑๖ นนั่ เอง); ดู สขุ มุ รปู ,รปู ๒๘ อนชุ น คนที่เกิดตามมา, คนรุนหลงั , คน อนนิ ทรยี รปู ดูที่ รปู ๒๘ รนุ ตอ ๆ ไป อนปิ ผันนรูป ดูท่ี รูป ๒๘ อนชุ า ผเู กดิ ทหี ลัง, นอ ง อนมิ ิตตวโิ มกข หลุดพน ดว ยไมถ ือนิมติ อนญุ าต ยินยอม, ยอมให, ตกลง คือ หลุดพนดวยพิจารณาเห็นนามรูป อนุฎีกา ปกรณท่ีพระอาจารยท้ังหลาย เปน อนจิ จะ แลวถอนนิมติ ได (ขอ ๒ แตงแกหรืออธิบายเพิ่มเติมฎีกา; ดู ในวิโมกข ๓) อรรถกถา อนิมิตตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาธรรม อนุฏฐานไสยา “การนอนท่ีไมมกี ารลกุ ไมมีนิมิต คือ วิปสสนาที่ใหถึงความ ขึ้น”, การนอนคร้ังสดุ ทาย โดยท่วั ไป หลุดพน ดวยกําหนดอนิจจลักษณะ (ขอ หมายถึง การบรรทมครั้งสุดทายของ ๒ ในสมาธิ ๓) พระพุทธเจา ในคราวเสด็จดับขันธ- อนิมิสเจดีย สถานที่พระพุทธเจาเสด็จ ปรนิ ิพพาน ยืนจองดูตนพระศรีมหาโพธิ์ดวยมิได อนุตฺตรํ ปฺุกเฺ ขตฺตํ โลกสฺส (พระ กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วนั อยูทาง สงฆ) เปนนาบุญอนั ยอดเยี่ยมของโลก ทิศอีสานของตนพระศรีมหาโพธ์ิ; ดู เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดี
อนตุ ตริยะ ๔๘๕ อนปุ าทิเสสนิพพาน อยา งสงู สดุ เพราะพระสงฆเ ปน ผบู รสิ ทุ ธิ์ อนุทูต ทตู ตดิ ตาม, ในพระวินยั หมาย เปน ผฝู ก ฝนอบรมตน และเปน ผเู ผยแพร ถึงภิกษุท่ีสงฆสมมติใหเปนตัวแทนของ ธรรม ไทยธรรมทถี่ วายแกท า น ยอ มมผี ล สงฆ เดินทางรวมไปกับภิกษุผูถูกสงฆ อาํ นวยประโยชนสุขอยางกวางขวางและ ลงโทษดว ย ปฏสิ ารณียกรรม ใหไ ปขอ ตลอดกาลยาวนาน เหมอื นผืนนาดนิ ดี ขมาคฤหัสถ ในกรณีทเ่ี ธอไมอ าจไปตาม พืชที่หวานลงไปยอมเผล็ดผลไพบูลย ลําพัง อนุทูตทําหนาท่ีชวยพูดกับ (ขอ ๙ ในสังฆคณุ ๙) คฤหัสถนั้นเปนสวนตนหรือในนามของ อนุตตรยิ ะ ภาวะทย่ี อดเยย่ี ม, สงิ่ ที่ยอด สงฆ เพ่อื ใหตกลงรบั ขมา เมือ่ ตกลงกัน เย่ยี ม มี ๓ คอื ๑. ทสั สนานุตตริยะ แลว รับอาบัติท่ีภิกษุนั้นแสดงตอหนา การเห็นอันเยีย่ ม คอื เห็นธรรม ๒. เขาแลวจึงใหข มา ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันเย่ียม อนบุ ญั ญตั ิ บญั ญตั เิ พ่มิ เตมิ , บทแกไข คอื มรรคมอี งค ๘ ๓. วมิ ตุ ตานตุ ตรยิ ะ เพ่ิมเติมท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติเสริม การพนอันเย่ียม คือ พน กิเลสและกอง หรือผอนพระบัญญัติที่วางไวเดิม; คูกับ ทกุ ข; อนตุ ตริยะ อีกหมวดหนงึ่ มี ๖ คอื บญั ญตั ิ หรือ มลู บญั ญตั ิ ๑. ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันเยี่ยม อนบุ ุพพิกถา ดู อนุปุพพกิ ถา ๒. สวนานตุ ตรยิ ะ การฟงอันเยีย่ ม ๓. อนุบุรษุ คนรุนหลงั , คนท่เี กดิ ทีหลงั ลาภานุตตริยะ ลาภหรอื การไดอันเย่ียม อนปุ สมั บนั ผยู งั มไิ ดอปุ สมบท ไดแก ๔. สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันเย่ียม คฤหสั ถและสามเณร (รวมท้งั สกิ ขมานา ๕. ปารจิ ริยานตุ ตริยะ การบาํ รงุ อนั เยยี่ ม และสามเณร)ี , ผูมใิ ชภกิ ษุหรือภิกษุณี; ๖. อนสุ สตานตุ ตรยิ ะ การระลกึ อนั เยยี่ ม เทยี บ อุปสมั บัน อนุปาทินนกสังขาร สังขารท่ีกรรมไม ดคู าํ อธบิ ายทคี่ าํ นน้ั ๆ อนตุ ฺตโร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ (พระผมู พี ระ ยึดครอง แปลกันงายๆ วา “สงั ขารทีไ่ ม ภาคเจานั้น) ทรงเปน สารถี ฝก คนท่คี วร มีใจครอง” เชน ตนไม ภูเขา เปนตน ฝก ได ท่ียอดเยีย่ ม โดยทรงรจู กั ใชอ บุ าย (ขอ ๒ ในสังขาร ๒) ใหเ หมาะแกบ คุ คล สอนเขาไดโ ดยไมต อ ง อนุปาทินนรูป, อนุปาทินนกรูป ดูที่ รูป ใชอ าชญา และทาํ ใหเ ขาบรรลผุ ลทพ่ี งึ ได ๒๘ เตม็ ตามกาํ ลงั ความสามารถของเขา (ขอ อนปุ าทเิ สสนพิ พาน นพิ พานไมม อี ปุ าทิ ๖ ในพทุ ธคณุ ๙) เหลือ, ดับกิเลสไมมีเบญจขันธเหลือ
อนปุ าทเิ สสบคุ คล ๔๘๖ อนุพยัญชนะ คอื สน้ิ ทง้ั กเิ ลสและชวี ิต หมายถงึ พระ อริยสัจจ มี ๕ คือ ๑. ทานกถา อรหันตสิ้นชีวิต, นิพพานในแงท่ีเปน พรรณนาทาน ๒. สีลกถา พรรณนาศีล ภาวะดับภพ; เทยี บ สอุปาทิเสสนพิ พาน ๓. สคั คกถา พรรณนาสวรรค คอื ความ อนุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูไมมีเชื้อ สุขท่ีพร่งั พรอ มดวยกาม ๔. กามาทีนว- กิเลสเหลือ, ผหู มดอปุ าทานสนิ้ เชงิ ได กถา พรรณนาโทษของกาม ๕. เนกขัม- แก พระอเสขะ คือ พระอรหันต; เทยี บ มานิสังสกถา พรรณนาอานิสงสแหง สอุปาทิเสสบคุ คล การออกจากกาม อนปุ พุ พกี ถา ก็มใี ช อนุปยนิคม นิคมแหงหน่ึงของมัลล- อนุพยัญชนะ ลักษณะนอยๆ, พระ กษตั รยิ ในแขวงมัลลชนบท อยูทางทิศ ลักษณะขอปลีกยอยของพระมหาบุรุษ ตะวันออกของเมืองกบลิ พสั ดุ (นอกเหนือจากมหาบุรุษลักษณะ ๓๒) อนปุ ย อัมพวัน ชอื่ สวน อยใู นเขตอน-ุ อกี ๘๐ ประการ คือ ๑. มีนว้ิ พระหัตถ ปย นคิ ม แขวงมัลลชนบท เปนท่พี ระ และนว้ิ พระบาทอันเหลืองงาม, ๒. นว้ิ มหาบุรษุ เสดจ็ พักแรม ๗ วนั หลงั จาก พระหัตถแลนิ้วพระบาทเรียวออกไป เสดจ็ ออกบรรพชาใหมๆ กอ นเสดจ็ ตอ ไป โดยลําดบั แตต นจนปลาย, ๓. น้ิวพระ สเู มอื งราชคฤห ในแควน มคธ และตอ มา หัตถ แลนิ้วพระบาทกลมดุจนายชาง เปน ทเี่ จา ศากยะ มอี นรุ ทุ ธะ และอานนท กลึงเปน อันดี, ๔. พระนขาทัง้ ๒๐ มีสี เปน ตน พรอ มดว ยอบุ าลี ออกบวช อันแดง, ๕. พระนขาทง้ั ๒๐ นัน้ งอน อนุปุพพปฏิปทา ขอปฏิบัติโดยลาํ ดับ, งามชอนขึ้นเบื้องบนมิไดคอมลงเบ้ืองต่ํา การปฏบิ ตั ิตามลําดับ ดุจเล็บแหงสามญั ชนทง้ั ปวง, ๖. พระ อนุปุพพวิหาร ธรรมเปน เครื่องอยูโดย นขานนั้ มพี รรณอันเกล้ียงกลมสนทิ กันมิ ลําดบั , ธรรมเครอ่ื งอยทู ่ีประณตี ตอ กัน ไดเปนร้ิวรอย, ๗. ขอ พระหัตถและขอ ข้นึ ไปโดยลาํ ดับ มี ๙ คอื รูปฌาน ๔ พระบาทซอนอยูในพระมังสะมิไดสูงข้ึน อรปู ฌาน ๔ และ สญั ญาเวทยติ นิโรธ ปรากฏออกมาภายนอก, ๘. พระบาท (สมาบตั ิที่ดับสัญญาและเวทนา) ทั้งสองเสมอกันมิไดยอมใหญกวากัน อนุปุพพิกถา เทศนาที่แสดงไปโดย มาตรวาเทา เมล็ดงา ๙. พระดาํ เนินงาม ลําดับ เพ่ือฟอกอัธยาศัยของสัตวให ดจุ อาการเดินแหง กญุ ชรชาต,ิ ๑๐. พระ หมดจดเปนชน้ั ๆ จากงา ยไปหายาก เพอื่ ดาํ เนนิ งามดุจสีหราช, ๑๑. พระดาํ เนนิ เตรียมจิตของผูฟงใหพรอมที่จะรับฟง งามดุจดําเนินแหงหงส, ๑๒. พระ
อนุพยญั ชนะ ๔๘๗ อนุพยญั ชนะ ดําเนินงามดุจอสุ ภราชดําเนนิ ๑๓. ขณะ ประมาณดวยกําลังบุรุษก็ไดถึงแสนโกฏิ เมื่อยืนจะยางดําเนินน้ัน ยกพระบาท บรุ ุษ, ๒๘. มพี ระนาสกิ อนั สูง, ๒๙. เบ้ืองขวายางไปกอน พระกายเย้ืองไป สัณฐานพระนาสิกงามแฉลม ๓๐. มี เบื้องขวากอน, ๑๔. พระชานุมณฑล พระโอษฐเบื้องบนเบ้ืองต่ํามิไดเขาออก เกล้ียงกลมงามบริบรู ณ บม ไิ ดเห็นอัฏฐิ กวากนั เสมอเปน อนั ดี มพี รรณแดงงาม สะบาปรากฏออกมาภายนอก, ๑๕. มี ดจุ สีผลตําลงึ สุก, ๓๑. พระทนตบรสิ ุทธ์ิ บุรุษพยัญชนะบริบูรณคือมิไดมีกิริยา ปราศจากมูลมลทิน, ๓๒. พระทนตขาว มารยาทคลา ยสตรี ๑๖. พระนาภีมิได ดจุ ดังสีสงั ข, ๓๓. พระทนตเกลีย้ งสนิท บกพรอง กลมงามมิไดวิกลในที่ใดท่ี มไิ ดเ ปนรว้ิ รอย, ๓๔. พระอินทรยี ทัง้ ๕ หนึง่ , ๑๗. พระอทุ รมีสณั ฐานอันลึก, มีจักขุนทรียเปนอาทิงามบริสุทธ์ิท้ังสิ้น, ๑๘. ภายในพระอุทรมีรอยเวียนเปน ๓๕. พระเขีย้ วทง้ั ๔ กลมบรบิ รู ณ, ๓๖. ทักขิณาวัฏฏ, ๑๙. ลําพระเพลาทั้งสอง ดวงพระพักตรมีสณั ฐานยาวสวย ๓๗. กลมงามดจุ ลาํ สุวรรณกัททลี ๒๐. ลาํ พระปรางคทั้งสองดูเปลงงามเสมอกัน, พระกรทั้งสองงามดุจงวงแหงเอราวัณ ๓๘. ลายพระหตั ถม รี อยอันลกึ , ๓๙. เทพยหตั ถี, ๒๑. พระองั คาพยพใหญ ลายพระหัตถม ีรอยอนั ยาว ๔๐. ลาย นอ ยท้ังปวงจาํ แนกเปน อันดี คือ งาม พระหัตถมีรอยอันตรง บมิไดคอมคด พรอมทุกส่ิงหาที่ตําหนิบมิได, ๒๒. ๔๑. ลายพระหัตถมีรอยแดงรุงเรือง, พระมังสะที่ควรจะหนาก็หนา ท่คี วรจะ ๔๒. รศั มีพระกายโอภาสเปน ปริมณฑล บางกบ็ างตามที่ท่ัวทง้ั พระสรรี กาย, ๒๓. โดยรอบ ๔๓. กระพงุ พระปรางคท ง้ั สอง พระมังสะมิไดหดหูในที่ใดที่หน่ึง ๒๔. เครง ครดั บรบิ ูรณ ๔๔. กระบอกพระ พระสรีรกายท้ังปวงปราศจากตอมและ เนตรกวางแลยาวงามพอสมกัน ๔๕. ไฝปานมูลแมลงวันมิไดมีในที่ใดท่ีหนึ่ง, ดวงพระเนตรกอปรดวยประสาทท้ัง ๕ ๒๕. พระกายงามบริสุทธ์ิพรอมสมกัน มีขาวเปนอาทิผองใสบริสทุ ธ์ทิ ั้งสน้ิ ๔๖. โดยตามลําดับทั้งเบื้องบนแลเบื้องลาง, ปลายเสนพระโลมาท้ังหลายมิไดงอมิได ๒๖. พระกายงามบริสุทธ์ิพรอมสิ้น คด ๔๗. พระชิวหามีสัณฐานอันงาม ปราศจากมลทนิ ทั้งปวง, ๒๗. ทรงพระ ๔๘. พระชวิ หาออนบมิไดกระดา ง ๔๙. กําลังมาก เสมอดวยกําลังแหงกุญชร- พระกรรณทั้งสองมีสัณฐานอันยาวดุจ ชาติ ประมาณถึงพันโกฏิชาง ถาจะ กลีบปทุมชาติ ๕๐. ชองพระกรรณมี
อนพุ ุทธะ ๔๘๘ อนมุ านสูตร สัณฐานอนั กลมงาม ๕๑. ระเบียบพระ กลิ่นพระเกสาหอมฟุงขจรตลบ ๗๔. เสนท้ังปวงนั้นสละสลวยบมิไดห ดหูใ นที่ พระเกสาหอมดุจกลิ่นโกมลบุปผชาติ อันใดอันหน่ึง ๕๒. แถวพระเสนทั้ง ๗๕. พระเกสามสี ัณฐานเสน กลมสลวย หลายซอ นอยใู นพระมังสะท้งั สิ้น บมไิ ด ทุกเสน ๗๖. พระเกสาดําสนิทท้งั สนิ้ เปนคลื่นฟูขึ้นเหมือนสามัญชนท้ังปวง ๗๗. พระเกสากอปรดวยเสนอัน ๕๓. พระเศียรมีสัณฐานงามเหมือนฉตั ร ละเอยี ด ๗๘. เสน พระเกสามไิ ดย งุ เหยงิ แกว ๕๔. ปริมณฑลพระนลาฏโดย ๗๙. เสน พระเกสาเวยี นเปน ทกั ขณิ าวฏั ฏ กวา งยาวพอสมกัน ๕๕. ประนลาฏมี ทกุ ๆ เสน ๘๐. วจิ ติ รไปดว ยระเบยี บ สณั ฐานอนั งาม ๕๖. พระโขนงมสี ัณฐาน พระเกตุมาลา กลาวคือถองแถวแหง อันงามดุจคันธนูอันกงไว ๕๗. พระ พระรัศมอี นั โชตนาการข้ึน ณ เบือ้ งบน โลมาทพ่ี ระโขนงมเี สน อนั ละเอียด ๕๘. พระอุตมังคสิโรตมฯ นิยมเรียกวา เสนพระโลมาท่ีพระโขนงงอกขึ้นแลวลม อสตี ยานพุ ยญั ชนะ; ดู มหาบรุ ุษลกั ษณะ ราบไปโดยลาํ ดบั ๕๙. พระโขนงนนั้ ใหญ อนพุ ทุ ธะ ผตู รสั รตู าม คือ ตรสั รดู ว ยได ๖๐. พระโขนงนน้ั ยาวสดุ หางพระเนตร สดับเลาเรียนและปฏิบัติตามที่พระ ๖๑. ผวิ พระมงั สะละเอยี ดทว่ั ทง้ั พระกาย สมั มาสมั พทุ ธเจา ทรงสอน ไดแ ก พระ ๖๒. พระสรรี กายรงุ เรอื งไปดว ยสิริ ๖๓. อรหนั ตสาวกท้ังหลาย; ดู พทุ ธะ พระสรีรกายมิไดมัวหมอง ผองใสอยู อนุพุทธปวัตติ ประวัติของพระสาวกผู เปน นิตย ๖๔. พระสรีรกายสดช่ืนดุจ ตรัสรูตามพระพุทธเจา; เขียนสามัญ ดวงดอกปทุมชาติ ๖๕. พระสรีรสมั ผัส เปน อนุพทุ ธประวตั ิ ออนนุมสนิทบมิไดกระดางทั่วท้ังพระ อนมุ ตั ิ เหน็ ตาม, ยินยอม, เหน็ ชอบตาม กาย ๖๖. กลิน่ พระกายหอมฟุงดจุ กล่นิ ระเบียบท่ีกาํ หนดไว สุคนธกฤษณา ๖๗. พระโลมามีเสน อนุมาน คาดคะเน, ความคาดหมาย เสมอกันทั้งส้ิน ๖๘. พระโลมามีเสน อนมุ านสตู ร สตู รท่ี ๑๕ ในมัชฌิม- ละเอยี ดทว่ั ทง้ั พระกาย ๖๙. ลมอสั สาสะ นกิ าย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎก ปสสาสะลมหายพระทัยเขาออกก็เดิน เปนภาษิตของพระมหาโมคคัลลานะ ละเอยี ด ๗๐. พระโอษฐม สี ณั ฐานอนั งาม กลาวสอนภิกษุทั้งหลาย วาดวยธรรม ดจุ แยม ๗๑. กลนิ่ พระโอษฐห อมดจุ กลน่ิ อนั ทาํ คนใหเปนผวู า ยากหรือวางาย การ อบุ ล ๗๒. พระเกสาดาํ เปน แสง ๗๓. แนะนําตักเตือนตนเอง และการ
อนโุ มทนา ๔๘๙ อนวุ าท พจิ ารณาตรวจสอบตนเองของภิกษุ พุทฺธ.อ.๘๕ ซึ่งขดั กับทอี่ นื่ ๆ และวาตาม อนุโมทนา 1. ความยนิ ดีตาม, ความยนิ หนงั สอื เรยี น เปน โอรสของเจา อมโิ ตทนะ) ดีดวย, การพลอยยินดี, การแสดง และเปน อนชุ าของเจา มหานามะ ภายหลัง ความเหน็ ชอบ; เห็นดว ย, แสดงความ ออกบวชพรอมกับเจาชายอานนท ช่ืนชมหรือซาบซ้ึงเห็นคุณคาแหงการ เปนตน เรียนกรรมฐานในสํานักของ กระทาํ ของผูอน่ื (บัดนี้ บางทใี ชในความ พระสารีบุตร ไดบรรลุพระอรหัตที่ปา หมายคลายคําวา ขอบคุณ) 2. ในภาษา ปาจนี วงั สทายวนั ในแควนเจตี พระ ไทย นยิ มใชสําหรบั พระสงฆ หมายถงึ ศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะใน ใหพร เชน เรยี กคําใหพ รของพระสงฆวา ทางทพิ ยจกั ษุ คําอนุโมทนา อนรุ ทุ ธาจารย ดู อภธิ มั มัตถสังคหะ อนุโยค ความพยายาม, ความเพียร, อนรุ ูป สมควร, เหมาะสม, พอเพียง, ความประกอบเนืองๆ เปนไปตาม อนรุ กั ขนาปธาน เพียรรกั ษากศุ ลธรรม อนโุ ลม เปน ไปตาม, คลอ ยตาม, ตาม ทเ่ี กิดข้ึนแลวไมใหเ ส่ือม และบําเพ็ญให ลําดับ เชน วา ตจปญจกกรรมฐานไป ตามลาํ ดบั อยา งน้ี เกสา โลมา นขา ทนั ตา เจรญิ ยง่ิ ข้นึ ไปจนไพบูลย (ขอ ๔ ใน ตโจ; ตรงขามกบั ปฏโิ ลม 1. 2. สาวออกไป ปธาน ๔) ตามลาํ ดบั จากเหตไุ ปหาผลขา งหนา เชน อนุรกั ษ รกั ษาและเสรมิ ทว,ี รักษาส่ิงที่ เกิดมีข้ึนแลวและทําสิ่งท่ีเกิดมีขึ้นแลว อวชิ ชาเปนปจจัย สงั ขารจึงมี, สงั ขาร นั้นใหงอกงามเพ่ิมทวีย่ิงขึ้นไปจน เปนปจจัย วิญญาณจึงมี เปน ตน ตรงขา ม ไพบลู ย; ในภาษาไทย ใชในความหมาย กับ ปฏโิ ลม 2. 3. จัดเขาได, นับไดว า เปน อยา งนนั้ เชน อนโุ ลมมสุ า วา รักษาใหค งเดมิ อนุราธ ชื่อเมืองหลวงของลังกาสมัย อนุโลมมุสา ถอยคําที่เปนพวกมุสา, โบราณ; เรยี กกนั วา อนุราธปุระ บาง ถอยคาํ ทจี่ ัดไดว า เปนมสุ า คือ พูดเทจ็ อนุราธบรุ ี บา ง อนวุ ตั ทาํ ตาม, ประพฤตติ าม, ปฏบิ ตั ติ าม; อนุรทุ ธะ พระมหาสาวกองคหน่ึง เปน บางแหงเขียน อนุวัตน, อนุวรรต, เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจา อนุวรรตน, อนวุ ัตร, หรือ อนวุ ัติ ก็มี สุกโกทนะ (นี้วา ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏ.ี อนวุ าต ผา ขอบจวี ร; ดู จีวร ๓/๓๔๙ เปน ตน แตวา ตาม อง.ฺ อ.๑/๑๗๑ และ อนวุ าท การโจท, การฟอง, การกลา วหา
อนวุ าทาธิกรณ ๔๙๐ อนุสาวนา กันดวยอาบตั ิ พระสงฆ ๔. สีลานุสติ ระลกึ ถึงศลี ทตี่ น อนุวาทาธิกรณ การโจทท่ีจัดเปน รักษา ๕. จาคานสุ ติ ระลึกถงึ ทานท่ีตน บริจาคแลว ๖. เทวตานุสติ ระลกึ ถงึ คณุ อธิกรณ คือ การโจทกันดวยอาบัติ, ที่ทําคนใหเปนเทวดา ๗. มรณัสสติ เรือ่ งการกลา วหากนั ; ดู อธกิ รณ อนุศาสน การสอน, คําชแ้ี จง; คําสอนท่ี ร ะ ลึ ก ถึ ง ค ว า ม ต า ย ที่ จ ะ ต อ ง มี เ ป น ธรรมดา ๘. กายคตาสติ ระลึกทัว่ ไปใน อุปชฌายหรือกรรมวาจาจารยบอกแก กายใหเห็นวาไมงาม ๙. อานาปานสติ ตั้งสติกําหนดลมหายใจเขาออก ๑๐. ภกิ ษใุ หมใ นเวลาอปุ สมบทเสรจ็ ประกอบ อุปสมานุสติ ระลึกธรรมเปนท่ีสงบ ดวย นิสสัย ๔ และ อกรณยี กิจ ๔, นิสสัย คือ ปจจัยเครื่องอาศัยของ บรรพชติ มี ๔ อยางไดแก ๑. เทย่ี ว ระงับกิเลสและความทกุ ข คอื นพิ พาน; บิณฑบาต ๒. นุงหม ผา บังสกุ ุล ๓. อยู เขียนอยางรูปเดิมในภาษาบาลีเปน โคนไม ๔. ฉันยาดองดว ยนาํ้ มตู รเนา อนสุ สติ (ทานบอกไวเปนทางแสวงหาปจ จยั ๔ อนสุ นธิ การตดิ ตอ , การสืบเนอื่ งความ พรอ มทง้ั อตเิ รกลาภของภกิ ษ)ุ , อกรณยี กจิ หรอื เรอ่ื งที่ติดตอ หรือสืบเนอ่ื งกันมา กจิ ทไ่ี มค วรทาํ หมายถงึ กจิ ทบ่ี รรพชติ ทาํ อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันเยี่ยม ไมไ ด มี ๔ อยา ง ไดแก ๑. เสพเมถุน ไดแก การระลึกถงึ พระตถาคต และ ๒. ลักของเขา ๓. ฆา สตั ว (ทใ่ี หขาดจาก ตถาคตสาวก ซึ่งจะเปนไปเพ่ือความ ความเปน ภิกษุ หมายเอาฆา มนษุ ย) ๔. บริสุทธิ์ลว งพนทุกขได (ขอ ๖ ใน พดู อวดคณุ วเิ ศษที่ไมม ใี นตน อนุตตรยิ ะ ๖) อนศุ าสนี คาํ สง่ั สอน, คาํ แนะนาํ พรา่ํ สอน; อนุสัย กิเลสที่แฝงตัวนอนเนื่องอยูใน (บาล:ี อนสุ าสน;ี สันสกฤต: อนศุ าสน)ี สันดาน มี ๗ คือ ๑. กามราคะ ความ อนุศาสนีปาฏิหาริยะ ดู อนุสาสนี- กําหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ ความ ปาฏิหาริย หงดุ หงิด ๓. ทฏิ ฐิ ความเห็นผดิ ๔. อนุสติ ความระลึกถึง, อารมณที่ควร วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะ ระลกึ ถงึ เนอื งๆ มี ๑๐ อยา งคอื ๑. ความถือตวั ๖. ภวราคะ ความกําหนัด พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธ- ในภพ ๗. อวิชชา ความไมร จู รงิ เจา ๒. ธมั มานุสติ ระลึกถงึ คุณของพระ อนสุ ยกิเลส ดู อนสุ ยั , กเิ ลส ๓ ระดบั ธรรม ๓. สงั ฆานุสติ ระลึกถึงคณุ ของ อนสุ าวนา คําสวดประกาศ, คาํ ประกาศ
อนุสาสนี ๔๙๑ อบาย,อบายภมู ิ ความปรกึ ษาและตกลงของสงฆ, คาํ ขอมติ อารยชนจงเปนสุข” “ขอใหประดาสัตว อนสุ าสนี คาํ สงั่ สอน, คาํ แนะนาํ พรา่ํ สอน; ปาจงอยูด มี สี ุข ไมถ ูกเบียดเบียน” ฯลฯ (บาลี: อนสุ าสนี; สนั สกฤต: อนุศาสนี) ก็เปนแบบจํากัด เรียกวา “โอธิโส- อนุสาสนีปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคืออนุ- ผรณา” (แผโดยมขี อบเขต), นอกจาก ศาสน,ี คําสอนเปน จริง สอนใหเ หน็ จริง น้ัน ถาแผไปตอสัตวเ ฉพาะในทศิ นน้ั ทิศ นําไปปฏบิ ตั ิไดผลสมจริง เปน อศั จรรย นี้ ยังเรียกตางออกไปอีกวา “ทสิ า- (ขอ ๓ ใน ปาฏหิ ารยิ ๓) ผรณา” (แผไปเฉพาะทศิ ), ไมเ ฉพาะ อเนกนัย นยั มใิ ชน อย, หลายนัย เมตตาเทา น้นั แมพ รหมวิหารขออ่ืนๆ ก็ อเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงภพ มีท้ัง อโนธโิ สผรณา โอธโิ สผรณา และ อนั ม่ันคง ไมห ว่นั ไหว ไดแ กภาวะจิตที่ ทสิ าผรณา, อนึ่ง บางทีเรยี ก โอธโิ ส- ม่ันคงแนวแนดวยสมาธิแหงจตุตถฌาน ผรณา วา “โอทสิ สกผรณา” (แผเ จาะจง) (ขอ ๓ ในอภิสังขาร ๓); ตามหลักเขยี น และเรยี ก อโนธโิ สผรณาวา “อโนทสิ สก- อาเนญชาภสิ งั ขาร ผรณา” (แผไมเจาะจง); เทียบ โอธิโส- อเนสนา การหาเลยี้ งชพี ในทางทไ่ี มส มควร ผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเ มตตา, วกิ พุ พนา, แกภ กิ ษ,ุ เลยี้ งชวี ติ ผดิ สมณะ เชน หลอก สมี าสมั เภท ลวงเขาดว ยการอวดอุตรมิ นุสธรรม ทํา อโนมา ช่ือแมน้ํากั้นพรมแดนระหวาง วิญญัติคือออกปากขอตอคนที่ไมควร แควน สกั กะกบั แควน มลั ละ พระสทิ ธตั ถะ ขอ ใชเงนิ ลงทุนหาผลประโยชน ตอ ลาภ เสดจ็ ออกบรรพชา มาถงึ ฝง แมน าํ้ อโนมา ดวยลาภ คือใหแตนอยเพ่ือหวังตอบ ตรัสสั่งนายฉันนะใหนํามาพระท่ีนั่งกลับ แทนมาก เปนหมอเวทมนตเสกเปา คนื พระนคร ทรงตดั พระเมาลีดว ยพระ เปน ตน ขรรค อธษิ ฐานเพศบรรพชิต ณ ฝง แม อโนธิโสผรณา “แผไปโดยไมมีขีดขั้น” นาํ้ อโนมาน้ี หมายถึงเมตตาที่แผไปตอสัตวทั้งปวง อบท สัตวไมม เี ทา เชน งู และไสเดือน อยางไมจํากัดขอบเขต (อยางในคาํ แผ เปนตน เมตตาทนี่ ยิ มนาํ มาใชก นั ทว่ั ไปวา “สพเฺ พ อบาย, อบายภูมิ ภมู ิกาํ เนิดทปี่ ราศจาก สตฺตา อเวรา โหนตฺ ุ … สุขี อตตฺ านํ ความเจริญ มี ๔ อยาง คือ ๑. นริ ยะ ปริหรนฺตุ”) แตถาตั้งใจแผเมตตานั้น นรก ๒. ตริ ัจฉานโยนิ กําเนิดดริ ัจฉาน โดยจํากัดขอบเขต เชนวา “ขอใหเหลา ๓. ปต ติวิสัย ภมู แิ หง เปรต ๔. อสุรกาย
อบายมขุ ๔๙๒ อปริหานยิ ธรรม พวกอสรุ กาย; ดู คต,ิ ทคุ ติ ดู โมคคลั ลบี ตุ รติสสเถระ, สาสนวงส อบายมุข ชอ งทางของความเสือ่ ม, เหตุ อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่เปน เคร่ืองฉิบหาย, เหตุยอยยับแหงโภค- กุศลกด็ ี อกศุ ลกด็ ี ซึ่งใหผ ลในภพตอ ๆ ทรพั ย, ทางแหง ความพนิ าศ มี ๔ อยาง ไป (ขอ ๓ ในกรรม ๑๒) คือ ๑. เปน นกั เลงหญงิ ๒. เปนนกั เลง อปริหานิยธรรม ธรรมไมเปนท่ีตั้งแหง สรุ า ๓. เปน นักเลงการพนัน ๔. คบคน ความเสอ่ื ม, ธรรมทที่ าํ ใหไ มเ สอื่ ม เปน ชวั่ เปน มิตร; อกี หมวดหนงึ่ มี ๖ คอื ๑. ไปเพอื่ ความเจรญิ ฝา ยเดยี ว มี ๗ ขอ ที่ ตดิ สุราและของมึนเมา ๒. ชอบเทยี่ ว ตรสั สาํ หรบั ภกิ ษุ (ภกิ ขอุ ปรหิ านยิ ธรรม) กลางคนื ๓. ชอบเท่ียวดกู ารเลน ๔. ยกมาแสดงหมวดหนง่ึ ดงั นี้ ๑. หมนั่ เลนการพนัน ๕. คบคนช่วั เปนมิตร ๖. ประชมุ กนั เนอื งนติ ย ๒. เมอ่ื ประชมุ ก็ เกียจครา นการงาน; ดู คหิ ิวนิ ยั พรอ มเพรยี งกนั ประชมุ เมอ่ื เลกิ ประชมุ ก็ อปจายนมยั บญุ สาํ เร็จดวยการประพฤติ พรอ มเรยี งกนั เลกิ และพรอ มเพรยี งชว ย ออ นนอมถอมตน (ขอ ๔ ในบญุ กริ ิยา กนั ทาํ กจิ ทส่ี งฆจ ะตอ งทาํ ๓. ไมบ ญั ญตั ิ วตั ถุ ๑๐) สงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ไมบ ญั ญตั ขิ น้ึ ไมถ อน อปฏิจฉนั นาบัติ อาบตั ิ (สังฆาทเิ สส) ท่ี ส่ิงท่ีพระองคบัญญัติไวแลว สมาทาน ภิกษุตองแลว ไมไ ดป ด ไว ศึกษาอยูในสิกขาบทตามที่พระองคทรง อปทาน ดู ไตรปฎ ก (เลม ๓๒–๓๓) บญั ญตั ไิ ว ๔. ภกิ ษเุ หลา ใด เปน ผใู หญ อปมาโร โรคลมบาหมู เปนประธานในสงฆ เคารพนบั ถือภิกษุ อปรกาล เวลาชว งหลงั , ระยะเวลาของ เหลา นนั้ เชอื่ ฟง ถอ ยคาํ ของทา น ๕. ไมล ุ เร่ืองที่มีข้ึนในภายหลัง คือ หลังจาก อาํ นาจแกค วามอยากทเี่ กดิ ขน้ึ ๖. ยนิ ดี พระพุทธเจา ปรนิ ิพพานแลว ไดแกเรือ่ ง ในเสนาสนะปา ๗. ตง้ั ใจอยวู า เพอื่ น ถวายพระเพลิง และแจกพระบรม- ภกิ ษสุ ามเณรซง่ึ เปน ผมู ศี ลี ซง่ึ ยงั ไมม าสู สารรี กิ ธาต;ุ ดู พทุ ธประวตั ิ อปรณั ณะ ดู ธญั ชาติ; เทียบ บพุ พณั ณะ อาวาส ขอใหม า ทมี่ าแลว ขอใหอ ยเู ปน สขุ อปรนั ตะ, อปรนั ตกะ ชอื่ รฐั ทพ่ี ระโยนก- อปรหิ านยิ ธรรมทตี่ รสั แกก ษตั รยิ ว ชั ชี (วัชชีอปรหิ านยิ ธรรม) สาํ หรบั ผรู ับผดิ ธรรมรักขิตเถระ เปนพระศาสนทูตไป ชอบตอ บา นเมอื ง มอี กี หมวดหนงึ่ คอื ๑. ประดิษฐานพระพุทธศาสนา เม่ือเสร็จ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย ๒. พรอม การสังคายนาคร้ังท่ี ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๕; เพรียงกันประชุม พรอมเพรียงกันเลิก
อปโลกน ๔๙๓ อพัทธสีมา ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั ทาํ กจิ ทพ่ี งึ ทาํ ๓. อปณ ณกปฏปิ ทา ขอ ปฏบิ ตั ทิ ไ่ี มผ ดิ , ทาง ไมถ อื อาํ เภอใจบญั ญตั สิ งิ่ ทม่ี ไิ ดบ ญั ญตั ไิ ว ดาํ เนนิ ทไี่ มผ ดิ มี ๓ คอื ๑. อนิ ทรยี สังวร ไมล ม ลา งส่ิงที่ไดบ ัญญัติ ถอื ปฏบิ ตั มิ น่ั การสาํ รวมอนิ ทรยี ๒. โภชเนมตั ตญั ตุ า ตามวชั ชธี รรม ๔. ทา นเหลา ใดเปน ผใู หญ ความเปนผูรูจักประมาณในการบริโภค ในชนชาววชั ชี เคารพนบั ถอื ทา นเหลา นน้ั ๓. ชาคริยานุโยค การหม่ันประกอบ เหน็ ถอ ยคาํ ของทา นวา เปน สงิ่ อนั พงึ รบั ฟง ความต่ืน ไมเหน็ แกน อน ๕. บรรดากลุ สตรกี ลุ กมุ ารที งั้ หลายมใิ ห อปสเสนธรรม ธรรมทเ่ี ปน ทพ่ี ึ่งท่ีพํานกั อยูอยางถูกขมเหงรังแก ๖. เคารพ ดจุ พนกั พงิ มี ๔ คือ ๑. ของอยางหน่ึง สกั การะบชู าเจดยี ข องวชั ชี ทง้ั ภายในและ พิจารณาแลว เสพ เชน ปจจัยสี่ ๒. ของ ภายนอก ไมล ะเลยการทาํ ธรรมกิ พลี ๗. อยา งหนึง่ พจิ ารณาแลวอดกลั้น ไดแก จัดใหความอารักขาคุมครองปองกันอัน อนิฏฐารมณตางๆ ๓. ของอยางหนงึ่ ชอบธรรมแกพระอรหันต (หมายถึง พิจารณาแลวเวนเสีย เชน สุราเมรัย บรรพชติ ทเ่ี ปน หลกั ใจของประชาชน) ตงั้ การพนัน คนพาล ๔. ของอยางหนึ่ง ใจใหทานท่ียังมิไดมาพึงมาสูแวนแควน พจิ ารณาแลว บรรเทาเสยี เชน อกศุ ล- ทมี่ าแลว พงึ อยโู ดยผาสกุ วติ กตา งๆ อปโลกน บอกเลา, การบอกเลา, การ อปายโกศล ดู โกศล ๓ บอกกลาวแกท่ีประชุมเพื่อใหรับทราบ อปุญญาภสิ ังขาร สภาพทปี่ รงุ แตง กรรม พรอ มกัน หรอื ขอความเห็นชอบรวมกัน ฝายชั่ว ไดแก อกุศลเจตนาท้ังหลาย ในกิจบางอยางของสว นรวม, ใชใ น อป- (ขอ ๒ ในอภิสังขาร ๓) โลกนกรรม อพยาบาท ความไมค ดิ รา ย, ไมพยาบาท อปโลกนธรรม กรรมคือการบอกเลา, ปองรายเขา, มเี มตตา (ขอ ๙ ในกุศล- กรรมอันทําดวยการบอกกันในท่ีประชุม กรรมบถ ๑๐) สงฆ ไมตอ งตง้ั ญัตติ คอื คาํ เผดียงไม อพยาบาทวิตก ความตรึกในทางไม ตอ งสวด อนุสาวนา คอื ประกาศความ พยาบาท, การคิดแผเมตตาแกผูอื่น ปรึกษาและตกลงของสงฆ เชน ประกาศ ปรารถนาใหเ ขามคี วามสุข (ขอ ๒ ใน ลงพรหมทัณฑ นาสนะสามเณรผกู ลา ว กุศลวติ ก ๓) ตูพระพุทธเจา อปโลกนแจกอาหารใน อพัทธสมี า “แดนทไ่ี มไ ดผกู ” หมายถึง โรงฉัน เปน ตน เขตชุมนุมสงฆที่สงฆไมไดกําหนดขึ้น
อภยคริ ิวหิ าร ๔๙๔ อภิณหปจ จเวกขณ เอง แตถือเอาตามเขตทเ่ี ขาไดกําหนดไว ยงิ่ , ความรชู ัน้ สูง มี ๖ อยา งคือ ๑. อทิ ธวิ ธิ ิ แสดงฤทธติ์ า งๆ ได ๒. ทพิ พ- ตามปรกติของบานเมอื ง หรอื มบี ญั ญัติ โสต หทู ิพย ๓. เจโตปริยญาณ ญาณท่ี ใหท ายใจคนอนื่ ได ๔. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ อยา งอ่ืนเปน เครื่องกาํ หนด แบง เปน ๓ ญาณท่ที ําใหระลึกชาตไิ ด ๕. ทพิ พจกั ขุ ประเภท คือ ๑. คามสีมา หรือ นคิ ม- ตาทพิ ย ๖. อาสวกั ขยญาณ ญาณทาํ ให สมี า ๒. สัตตพั ภนั ตรสมี า๓. อทุ กุกเขป อภยคิริวิหาร ชื่อวัดที่พระเจาวัฏฏ- คามณีอภยั ไดสรา งถวายพระตสิ สเถระ อาสวะสิ้นไป, ๕ อยางแรกเปนโลกยี - ในเกาะลงั กา ซ่งึ ไดกลายเปนเหตุใหสงฆ อภญิ ญา ขอ สดุ ทา ยเปน โลกตุ ตรอภญิ ญา ลังกาแตกแยกกัน แบงเปนคณะมหา อภิญญาเทสิตธรรม ธรรมท่ีพระพุทธ วิหารเดิมฝายหน่ึง คณะอภยคิริวิหาร เจาทรงแสดงดวยพระปญญาอันย่ิง ฝายหน่ึง; มักเรยี ก อภยั คีรี หมายถึง โพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ ประการ อภพั ไมค วร, ไมอ าจ, ไมส ามารถ, ไมอ าจ มสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนตน เปน ไปได, เปน ไปไมได (บาล:ี อภพฺพ; อภิฐาน ฐานะอยางหนกั , ความผดิ สถาน ไทยเพยี้ นเปน อาภพั ); ดู อาภพั หนกั มี ๖ อยา ง คอื ๑. มาตฆุ าต ฆา อภพั บคุ คล บุคคลผูไ มส มควร, มีความ มารดา ๒. ปต ฆุ าต ฆา บดิ า ๓. อรหนั ต- หมายตามขอความแวดลอ ม เชน คนท่ี ฆาต ฆาพระอรหนั ต ๔. โลหิตุปบาท ไมอ าจบรรลโุ ลกตุ ตรธรรมได คนท่ขี าด ทํารายพระพุทธเจาใหถึงหอพระโลหิต คุณสมบัติ ไมอาจใหอุปสมบทได ๕. สงั ฆเภท ทาํ สงฆใ หแ ตกกนั ๖. อญั ญ- เปนตน สตั ถุทเทส ถือศาสดาอื่น อภัยทาน ใหความไมมีภัย, ใหความ อภิณหปจจเวกขณ ขอท่ีควรพิจารณา ปลอดภัย เนอื งๆ, เรอ่ื งทคี่ วรพจิ ารณาทกุ ๆ วนั มี อภิชฌา โลภอยากไดของเขา, ความคิด ๕ อยา ง คอื ๑. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา เพงเล็งจองจะเอาของของคนอ่นื (ขอ ๘ เรามีความแกเปนธรรมดา ไมลวงพน ในอกศุ ลกรรมบถ ๑๐) ความแกไ ปได ๒. วา เรามคี วามเจบ็ ไข อภิชฌาวิสมโลภ ละโมบไมสมํ่าเสมอ, เปนธรรมดา ไมล วงพนความเจบ็ ไขไ ป ความโลภอยา งแรงกลา จอ งจะเอาไมเ ลอื ก ได ๓. วา เรามคี วามตายเปน ธรรมดา ไม วา ควรไมค วร (ขอ ๑ ในอปุ กเิ ลส ๑๖) ลว งพน ความตายไปได ๔. วา เราจะตอ ง อภญิ ญา ความรูย่ิง, ความรเู จาะตรงยวด พลัดพรากจากของรักของชอบใจท้ังส้ิน
อภธิ รรม ๔๙๕ อภิธรรมปฎ ก ๕. วา เรามกี รรมเปน ของตวั เราทาํ ดจี กั อติเรก) คือมากกวาธรรมอยางปกติ ไดด ี เราทาํ ชวั่ จกั ไดช วั่ ; อกี หมวดหนงึ่ และย่งิ พิเศษ (อภิวเิ สส) คอื เหนือกวา สําหรับบรรพชิต แปลวา “ธรรมท่ี ธรรมอยางปกติ, หลักและคําอธิบาย บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ” มี ๑๐ ธรรมท่เี ปนเน้ือหาสาระแทๆ ลว นๆ ซ่ึง อยา ง (ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ) คอื จัดเรียงอยางเปนระเบียบและเปนลําดับ ๑. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา บดั จนจบความอยา งบรบิ รู ณ โดยไมก ลา วถงึ น้ี เรามเี พศตา งจากคฤหสั ถแ ลว ๒. วา ไมอ า งองิ และไมข น้ึ ตอ บคุ คล ชมุ ชน การเล้ียงชีพของเราเนื่องดวยผูอื่น ๓. หรือเหตุการณ อันแสดงโดยเวน วา เรามอี ากปั กริ ยิ าอยา งอนื่ ทจี่ ะพงึ ทาํ ๔. บัญญตั โิ วหาร มุง ตรงตอสภาวธรรม ท่ี วาตัวเราเองยังติเตียนตัวเราเองโดยศีล ตอมานิยมจัดเรียกเปนปรมัตถธรรม ไมไ ดอ ยหู รอื ไม ๕. วา เพอื่ นพรหมจรรย ๔ คอื จติ เจตสิก รปู นพิ พาน, เมือ่ พูด ผเู ปน วญิ ู ใครค รวญแลว ยงั ตเิ ตยี น วา “อภิธรรม” บางทีหมายถึงพระ เราโดยศลี ไมไ ดอ ยหู รอื ไม ๖. วา เราจะ อภิธรรมปฎก บางทหี มายถงึ คําสอนใน ตองพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั พระอภิธรรมปฎกน้ัน ตามที่ไดนํามา สน้ิ ๗. วา เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ ดี อธิบายและเลาเรียนกันสืบมา เฉพาะ จกั ไดด ี เราทาํ ชวั่ จกั ไดช ว่ั ๘. วา วนั คนื อยางยิง่ ตามแนวทปี่ ระมวลแสดงไวใ น ลว งไปๆ บดั นเ้ี ราทาํ อะไรอยู ๙. วา เรา คัมภีรอ ภธิ มั มัตถสังคหะ, บางที เพื่อให ยินดีในที่สงัดอยูหรือไม ๑๐. วาคุณ ชัดวา หมายถึงพระอภธิ รรมปฎ ก ก็พูด วเิ ศษทเี่ ราบรรลแุ ลว มอี ยหู รอื ไม ทจ่ี ะทาํ วา “อภิธรรมเจ็ดคัมภีร” ; ดู อภิธรรม- ใหเราเปนผูไมเกอเขิน เม่ือถูกเพื่อน ปฎ ก, อภธิ ัมมตั ถสังคหะ, อภวิ นิ ยั บรรพชติ ถามในกาลภายหลงั (ขอ ๑. อภิธรรมปฎก ชื่อปฎกทีส่ าม ในพระไตร ทา นเตมิ ทา ยวา อาการกริ ยิ าใดๆ ของ ปฎก, คาํ สอนของพระพุทธเจา สว นที่ สมณะ เราตอ งทาํ อาการกริ ยิ านนั้ ๆ ขอ แสดงพระอภิธรรม ซึ่งไดร วบรวมรกั ษา ๒. เตมิ วา เราควรทาํ ตวั ใหเ ขาเลย้ี งงา ย ไวเปนหมวดที่สาม อันเปนหมวดสุด ขอ ๓. ทา นเขยี นวา อาการกายวาจา ทายแหงพระไตรปฎก ประกอบดวย อยางอื่นท่ีเราจะตองทําใหดีขึ้นไปกวานี้ คัมภีรตา งๆ ๗ คัมภรี (สตั ตัปปกรณะ, ยงั มอี ยอู กี ไมใ ชเ พยี งเทา น)ี้ สดับปกรณ) คือ สงั คณี (หรอื ธัมม- อภิธรรม ธรรมอันยง่ิ ท้งั ยิง่ เกนิ (อภ-ิ สงั คณี) วภิ งั ค ธาตกุ ถา ปคุ คลบญั ญตั ิ
อภธิ ัมมัตถวภิ าวนิ ี ๔๙๖ อภวิ ินัย กถาวตั ถุ ยมก และ ปฏ ฐาน; ในอรรถ- ย่งิ หมายถงึ การออกบวช, ผนวช กถา (เชน สงคณ.ี อ.๒๐/๑๖) มีความเลา วา อภบิ าล เล้ียงด,ู ดแู ล, บํารงุ รกั ษา, ปก พระอภิธรรมเปนพระธรรมเทศนาท่ีพระ ปก รักษา, คุม ครอง, ปกครอง พุทธเจาทรงแสดงโปรดพระพุทธมารดา อภริ มย รืน่ เริงย่งิ , ยนิ ดยี งิ่ , พักผอ น ตลอดพรรษา ณ ดาวดึงสเทวโลก ในป อภิลักขิตกาล, อภิลักขิตสมัย เวลาท่ี ท่ี ๗ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ; ดู กําหนดไว, วนั กําหนด อภธิ รรม, ไตรปฎก อภิวันทน, อภิวาท, อภิวาทน การ อภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ี ชอื่ คมั ภรี ฎ กี า อธบิ าย กราบไหว ความในคัมภรี อภธิ ัมมัตถสังคหะ พระ อภิวนิ ยั “วินัยอนั ย่งิ ”, ในพระไตรปฎ ก สมุ งั คละผเู ปน ศษิ ยข องพระอาจารยส ารี- คําวา “อภิวินัย” มักมาดว ยกันเปนคูกับ บุตร ซึ่งเปนปราชญในรัชกาลของพระ คาํ วา “อภธิ รรม” และในอรรถกถา มีคํา เจา ปรกั กมพาหุที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖– อธบิ ายไว ๒-๓ นัย เชน นัยหน่งึ วา ๑๗๒๙) รจนาขึน้ ในลงั กาทวีป ธรรม หมายถึง พระสุตตันตปฎก อภิธัมมัตถสังคหะ คัมภีรประมวล อภธิ รรม หมายถงึ เจด็ พระคัมภีร (คือ ความในพระอภธิ รรมปฎ ก สรุปเนอื้ หา อภิธรรมเจ็ดคัมภีร, สัตตัปปกรณะ) สาระลงในหลักใหญท่ีนิยมเรียกกันวา วนิ ยั หมายถงึ อุภโตวภิ ังค (คอื มหา- “ปรมตั ถธรรม ๔” พระอนุรทุ ธาจารย วิภงั คห รอื ภกิ ขุวภิ งั ค และภิกขุนวี ิภงั ค) แหงมูลโสมวิหารในลงั กาทวีป รจนา แต อภวิ นิ ยั หมายถึง ขันธกะ และปรวิ าร, ไมปรากฏเวลาชัดเจน นักปราชญ อีกนัยหนึ่ง ธรรม หมายถึง พระ สันนิษฐานกันตางๆ บางทานวาในยุค สตุ ตนั ตปฎก อภธิ รรม หมายถงึ มรรค เดยี วกนั หรอื ใกลเ คยี งกบั พระพทุ ธโฆสา- ผล วนิ ยั หมายถึง วนิ ยปฎกทงั้ หมด จารย แตโดยทว่ั ไปยอมรับกนั วา แตง ข้ึน อภวิ นิ ยั หมายถึง การกําจัดกิเลสให ไมก อ น พ.ศ.๑๒๕๐ และวานาจะอยูใน สงบระงับไปได, นอกจากนี้ ในพระวนิ ัย ชวงระหวาง พ.ศ. ๑๕๐๐–๑๖๕๐; ดู ปฎก มีคําอธิบายเฉพาะวินัยและอภิ- ปรมตั ถธรรม, พทุ ธโฆสาจารย วนิ ยั วา (เชน วินย.๘/๒/๒) วนิ ยั หมายถึง อภินหิ าร อํานาจแหง บารม,ี อาํ นาจบุญท่ี พระบญั ญัติ (คอื ตวั สิกขาบท) อภวิ นิ ยั สรางสมไว หมายถึง การแจกแจงอธิบายความแหง อภิเนษกรมณ การเสด็จออกเพื่อคณุ อัน พระบญั ญตั ิ; ดู อภธิ รรม, ไตรปฎก
อภิเษก ๔๙๗ อภสิ ัมพุทธคาถา อภเิ ษก การรดน้ํา, การแตงตงั้ โดยการทํา อภสิ ัมพทุ ธคาถา “คาถาของพระองคผู พิธีรดน้าํ , การไดบ รรลุ ตรสั รแู ลว ”, เปนคาํ ทแี่ ทบไมพบในที่อน่ื อภิสมาจาร ความประพฤติดีงามที่ นอกจากอรรถกถาชาดก (พบในอรรถ- ประณีตย่ิงขน้ึ ไป, ขนบธรรมเนยี มเพ่ือ กถาเปตวัตถุ ๑ คร้งั ) ท้ังนี้เพราะใน ความประพฤติดีงามย่ิงขึ้นไปของพระ ชาดกน้ัน พระพทุ ธเจาทรงเลาเร่อื งอดตี ภิกษุ และเพ่ือความเรียบรอยงดงาม ครั้งทรงเปนพระโพธิสัตว และตรัสคํา แหงสงฆ; เทยี บ อาทพิ รหมจรรย สอนของพระองคเชนคติท่ีพึงไดจาก อภิสมาจาริกวัตร วัตรเก่ียวดวยความ เร่ืองอดีตนั้นดว ย ดงั น้ัน คําพูดในเรื่อง ประพฤติอันดี, ธรรมเนียมเก่ียวกับ จึงมีท้ังคําของพระโพธิสัตวในอดีตเม่ือ มรรยาทและความเปนอยทู ด่ี ีงาม ยังไมตรัสรู มีทั้งคําของบุคคลอื่นท่ีโต อภิสมาจาริกาสิกขา หลักการศึกษา ตอบในเรื่องน้ัน และมีพระดํารัสของ อบรมในฝายขนบธรรมเนียมที่จะชักนํา พระพุทธเจาที่ตรสั คตหิ รือขอสรุปไว คํา ความประพฤติ ความเปนอยูของพระ ของทุกบุคคลในเร่ืองมาดวยกันในพระ สงฆใหดงี ามมคี ุณย่งิ ขึน้ ไป, สิกขาฝาย ไตรปฎ กตอนนน้ั และตามปกตเิ ปน คาถา อภสิ มาจาร; เทยี บ อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา ทง้ั นน้ั บางครงั้ พระอรรถกถาจารยจ ะให อภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงแหงการ เราแยกได จึงบอกใหรูวาในเร่ืองนั้นๆ กระทาํ ของบคุ คล, เจตนาทเ่ี ปน ตวั การใน คาถาตรงนๆี้ เปนอภสิ ัมพทุ ธคาถา คือ การทาํ กรรม มี ๓ อยา งคอื ๑. ปุญญา- เปนคาถาที่พระองคตรัสเอง ไมใชของ ภสิ งั ขาร อภสิ งั ขารทเี่ ปน บญุ ๒. อปญุ ญา- บุคคลอื่นในเรื่อง และไมใชของพระ ภิสังขาร อภิสงั ขารทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษต อ บญุ โพธิสัตวใ นเรอื่ ง คอื บาป ๓. อาเนญชาภสิ งั ขาร อภสิ งั ขาร ดังตัวอยางในชาดกเร่ืองแมนกไส ที่เปนอเนญชา คอื กศุ ลเจตนาท่ีเปน ตรัสเลา วา แมนกไส (นกชนดิ นี้วางไข อรูปาวจร ๔; เรียกงายๆ ไดแก บุญ บนพ้ืนดิน) มีลูกหลายตัวเพิ่งออกจาก บาป ฌาน ไข ยังบนิ ไมได และพอดอี ยูบนทางท่ี อภิสังขารมาร อภสิ งั ขารเปนมารเพราะ ชา งเทีย่ วหากนิ วนั น้ัน ชางโพธิสตั วนํา เปนตัวปรงุ แตงกรรม ทําใหเกดิ ชาติชรา ชางโขลงใหญผานมา แมนกไสเขาไปยนื เปนตน ขัดขวางไมใ หหลดุ พนจากทกุ ข ขวางหนา และกลา ว (เปน คาถา) วา “ฉนั ในสงั สารวฏั ฏ (ขอ ๓ ในมาร ๕) ขอไหวท า นพญาชา งผสู งู วยั อายถุ งึ ๖๐
อมนษุ ย ๔๙๘ อมนษุ ย ป มกี าํ ลงั ออ นถอยลง แตเ ปน เจา โขลง นกไสก ็คิดวางแผน และไปขอความรวม ยง่ิ ใหญแ หง แดนปา ฉนั ขอทาํ อญั ชลี มือจากสตั วเ ล็กอ่ืนอกี ๓ ตวั คือ กา ทานดวยปกทั้งสอง โปรดอยาฆา ลูก กบ และแมลงวนั หวั เขียว เริม่ ดวยกาหา ออ นตวั นอ ยๆ ของฉนั เสยี เลย” ชาง จังหวะจิกลูกตาท้ังสองขางของเจาชาง โพธิสัตวฟงแลวก็สงสาร เขามายืน พาล แลว แมลงวนั หัวเขียวก็มาไขใสล กู ครอ มบังลูกนกท้ังหมดไว จนโขลงชา ง ตาท่บี อด พอถกู หนอนชอนไชตา ชา ง ผานเลยไป และลูกนกปลอดภยั แตตอ เจ็บปวดมาก และกระหายเท่ียวหาน้าํ ทงั้ มา ชางรา ยตัวหนง่ึ ซึ่งเทยี่ วไปลาํ พังผา น ท่ตี ามองไมเหน็ ถงึ ทกี บกข็ ึน้ ไปรอ งบน มา แมนกไสก็เขาไปยืนขวางหนาและ ยอดเขา ชา งนกึ วามนี า้ํ ท่นี นั่ กข็ ้นึ ไป กบ กลา ววา “ฉนั ขอไหวท า นพญาชา งผจู ร กล็ งมารอ งทห่ี นาผา ชางมงุ หนา มาหาน้าํ เดย่ี วแหง แดนปา เทยี่ วหาอาหารตาม ขนุ เขา ฉนั ขอทาํ อญั ชลที า นดว ยปก ทง้ั ถึงหนาผาก็ล่ืนไถลตกลงไปตายอยูท่ีเชิง สอง โปรดอยา ฆา ลกู ออ นตวั นอ ยๆ ของ ฉนั เสยี เลย” แตเ จา ชา งพาลไมป รานี กลบั เขา แมน กไสกบ็ ินลงมาเดนิ ไปมาบนตวั พดู แสดงอาํ นาจวา “แนะ นางนกไส ขา จะฆา ลกู นอ ยของเจา เสยี เจา ไมม กี าํ ลงั ชางดวยความสมใจดีใจ เร่อื งจบลงโดย จะมาทาํ อะไรขา ได อยา งพวกเจา นใ่ี ห พระพุทธเจาตรสั วา “จงดเู ถดิ แมน กไส รอ ยตัวพนั ตวั ขา จะเอาเทา ซา ยขา ง กา กบ และแมลงวนั หวั เขยี ว สตั วท ง้ั ส่ี เดยี วขยใี้ หล ะเอยี ดไปเลย” วา แลว กเ็ อา นร้ี ว มใจกนั ฆา ชา งเสยี ได ทา นจงดคู ติ ของคนมเี วรทที่ าํ ตอ กนั เพราะฉะนนั้ แล ทา นทงั้ หลาย ไมค วรกอ เวรกบั ใครๆ ถงึ จะเปน คนทไ่ี มร กั ไมช อบกนั ” ในชาดกนี้ เทาเหยียบขยี้ลูกนกแหลกละเอียดท้ัง มีคาํ กลา ว ๕ คาถา จะเห็นชดั วา ๔ คาถา หมดและรอ งแปรแ ปรน วงิ่ แลน ไป ฝา ย แรกเปน คาถาของบุคคลอนื่ ในเรือ่ ง แต แมนกไสแ คน นกั ฮึดขึน้ มาในใจวา “มิ เฉพาะคาถาท่ี ๕ เปนอภสิ ัมพุทธคาถา ใชว า ใครมกี าํ ลงั แลว จะทาํ อะไรกไ็ ดไ ป อมนุษย ผมู ิใชม นุษย, ไมใชคน, มกั ทวั่ ทงั้ หมด กาํ ลงั ของคนพาลนแ่ี หละ มี หมายถึงสัตวในภพที่มีฤทธิ์มีอํานาจนา ไวฆ า คนพาล เจา ชา งใหญเ อย ใครฆา กลัว อยางที่คนไทยเรียกวาพวกภูตผี ลกู ออ นตวั นอ ยๆ ของขา ขา จกั ทาํ ให ปศาจ แตใ นภาษาบาลี หมายถงึ ยักษ มนั ยอ ยยบั ” ผกู ใจวาจะไดร ูกันระหวา ง หรอื เปรต บอ ยครง้ั หมายถงึ เทวดา บางที กําลังรางกายกับกําลังปญญา แลวแม หมายถงึ ทาวสักกะ คอื พระอินทร (เชน
อมร, อมระ ๔๙๙ อมูฬหวินัย ชา.อ.๑๐/๑๓๔) อมิตา เจา หญงิ ศากยวงศ เปน พระราช- อมร, อมระ ผูไ มต าย เปนคาํ เรยี กเทวดา บุตรีของพระเจาสีหหนุ เปน พระกนิฏฐ- ผูไดด ื่มนาํ้ อมฤต ภคนิ ขี องพระเจาสุทโธทนะ เปนพระเจา อมฤต เปนชอ่ื นํ้าทพิ ยท ที่ าํ ผดู ื่มใหไมต าย อาของพระพุทธเจา มีโอรสซ่ึงออก ตามเร่ืองวา เทวดาทั้งหลายคิดหาของ ผนวชนามวา พระติสสเถระ (ตาม เครอื่ งกันตาย พากันไปถามพระเปน เจา คมั ภีรมหาวงส วาเปนมเหสขี องพระเจา พระเปนเจารับส่ังใหกวนมหาสมุทร สุปปพุทธะ จึงเปนพระมารดาของพระ เทวดาทั้งหลายก็ทําตามโดยวิธีใชภูเขา เทวทัตและเจาหญิงยโสธราพิมพา) รองขางลางลูกหน่งึ วางขางบนลกู หนงึ่ อมิโตทนะ กษัตรยิ ศากยวงศ เปนพระ ท่ีกลางมหาสมุทร ลักษณะคลายโม ราชบตุ รองคท ี่ ๓ ของพระเจา สหี หนุ สาํ หรับโมแ ปง เอานาคพนั เขาทภ่ี เู ขาลูก เปนพระอนุชาองคท่ี ๒ ของพระเจา บนแลว ชว ยกนั ชกั สองขาง อาศัยความ สุทโธทนะ เปนพระเจาอาของพระพทุ ธ- รอนท่ีเกิดจากความหมุนเวียนเบียด เจา เปนพระบิดาของพระอานนท (น้วี า เสียดแหงภูเขา ตนไมทั้งหลายท่ีเปน ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏี. ๓/๓๔๙ เปนตน ยาบนภูเขา ไดค ายรสลงไปในมหาสมทุ ร แตว า ตาม องฺ.อ.๑/๑๗๑ และ พุทธฺ .อ.๘๕ ซ่งึ จนขนเปน ปลักแลว เกดิ เปนน้ําทิพยข้นึ ขัดกับท่ีอ่ืนๆ และวาตามหนังสือเรียน ในทามกลางมหาสมุทร เรียกวา นํ้า เปนพระบิดาของพระมหานามะ และ อมฤต บา ง นาํ้ สุรามฤต บา ง; ทัง้ หมดน้ี พระอนุรุทธะ) เปนเรื่องตามคตขิ องศาสนาพราหมณ อมูฬหวนิ ยั ระเบยี บท่ีใหแ กภ ิกษผุ ูหาย อมฤตธรรม ธรรมทที่ ําใหไมต าย, ธรรม เปนบาแลว, วิธีระงับอธิกรณสําหรับ ซ่ึงเปรียบดวยน้ําอมฤตอันทําผูด่ืมใหไม ภกิ ษุผหู ายจากเปนบา ไดแก กริ ิยาที่ ตาย หมายถึงพระนพิ พาน สงฆสวดประกาศใหสมมติแกภิกษุผู อมาตย ขา ราชการ, ขาเฝา, ขุนนาง, มกั หายเปน บา แลว เพอ่ื ระงบั อนวุ าทาธกิ รณ เรียก อํามาตย อธิบายวา จําเลยเปนบาทําการลวง อมาวสี ดิถีเปน ทีอ่ ยูรวมแหงพระอาทิตย ละเมดิ อาบตั ิ แมจ ะเปน จรงิ กเ็ ปน อนาบตั ิ และพระจันทร, วันพระจันทรด ับ หรอื เมื่อเธอหายบาแลวมีผูโจทดวยอาบัติ วันดับ คือวันส้ินเดือนทางจันทรคติ ระหวางเปนบานั้นไมรูจบ ทานใหสงฆ (แรม ๑๕ หรือ ๑๔ ค่าํ ) สวดกรรมวาจาประกาศความขอนี้ไว
อโมหะ ๕๐๐ อรรถกถา เรียกวา อมูฬหวินัย ยกฟองโจทเสีย เยีย่ ม, ศิษยผเู ลิศกวา ศษิ ยอน่ื ของพระ ภายหลังมีผูโจทดวยอาบัติน้ัน หรือ พุทธเจา หมายถงึ พระสารบี ตุ ร และ อาบัติเชนน้ัน ในคราวที่เปนบา ก็ให พระมหาโมคคัลลานะ; ดู อคั รสาวก อธิกรณเปนอันระงับดวยอมูฬหวินัย อรรถ เนอ้ื ความ, ใจความ, ความหมาย, (ขอ ๓ ในอธิกรณสมถะ ๗) ความมงุ หมาย, ผล, ประโยชน อโมหะ ความไมหลง, ธรรมท่ีเปน อรรถ ๒, ๓ ดู อัตถะ ปฏิปก ษตอ โมหะ คอื ความรจู ริง ไดแ ก อรรถกถา “เคร่ืองบอกความหมาย”, ปญญา (ขอ ๓ ในกุศลมูล ๓) ถอยคําบอกแจงช้ีแจงอรรถ, คําอธิบาย อยกู รรม ดู ปรวิ าส อตั ถะ คอื ความหมายของพระบาลี อนั อยูปรวิ าส ดู ปริวาส ไดแกพุทธพจน รวมทั้งขอความและ อยรู ว ม ในประโยควา “ภิกษุใดรอู ยกู ิน เร่ืองราวเกี่ยวของแวดลอมที่รักษาสืบ รว มกด็ ี อยรู ว มก็ดี สําเร็จการนอนดวย ทอดมาในพระไตรปฎก, คัมภรี อ ธิบาย กันก็ด”ี รวมอโุ บสถสังฆกรรม ความในพระไตรปฎก; ในภาษาบาลี อโยนิโสมนสิการ การทําในใจโดยไม เขยี น อฏ กถา, มคี วามหมายเทา กบั คาํ แยบคาย, การไมใชปญญาพิจารณา, วา อตฺถวณณฺ นา หรือ อตถฺ สวํ ณณฺ นา ความไมรูจักคิด, การปลอยใหอวิชชา (คัมภีรสัททนีติ ธาตุมาลา กลาววา ตณั หาครอบงาํ นาํ ความคดิ ; เทยี บ โยนโิ ส- อรรถกถา คือเครื่องพรรณนาอธิบาย มนสิการ ความหมาย ที่ดาํ เนินไปตามพยัญชนะ อรดี ธิดามารคนหนึ่งใน ๓ คน อาสา และอตั ถะ อนั สมั พนั ธก บั เหตอุ นั เปน ท่ี พระยามารผูเปนบิดา เขาไปประโลม มาและเรอ่ื งราว) พระพทุ ธเจา ดวยอาการตางๆ ในสมยั ที่ อรรถกถามีมาเดิมสืบแตพุทธกาล พระองคเสด็จอยูท่ีไมอชปาลนิโครธภาย เปนของเนื่องอยูดว ยกนั กบั การศึกษาคาํ หลังตรัสรูใหมๆ (อีก ๒ คน คอื ตัณหา สอนของพระพุทธเจา ดังท่ีเขาใจงายๆ กับ ราคา) วา “อรรถกถา” ก็คือคาํ อธบิ ายพทุ ธพจน อรติ ความขงึ้ เคียด, ความไมยินดีดวย, และคาํ อธบิ ายพทุ ธพจนน นั้ กเ็ รม่ิ ตน ท่ี ความริษยา พทุ ธพจน คอื พระดาํ รสั ของพระพทุ ธเจา อรรค ดู อคั ร นน่ั เอง ซง่ึ เปน พระดํารสั ท่ีตรัสประกอบ อรรคสาวก สาวกผูเลศิ , สาวกผยู อด เสริมขยายความในเรื่องที่ตรัสเปนหลัก
อรรถกถา ๕๐๑ อรรถกถา ในคราวนน้ั ๆ บา ง เปน ขอที่ทรงชี้แจง เจนข้นึ พระสาวกทงั้ หลายจึงกําหนดจด อธิบายพุทธพจนอ่ืนท่ีตรัสไวกอนแลว จําปกิณกเทศนาเหลานี้ไวประกอบพวง บาง เปนพระดํารัสปลีกยอยที่ตรัส คมู ากบั พุทธพจนใ นพระไตรปฎ ก เพือ่ อธบิ ายเร่ืองเลก็ ๆ นอ ยๆ ทาํ นองเรือ่ ง เปนหลักฐานที่ชวยใหเขาใจชัดเจนใน เบ็ดเตล็ดบาง ดังที่ทานยกตัวอยางวา พระพุทธประสงคของหลักธรรมท่ีตรัส เม่ือพระพุทธเจาทรงไดรับนิมนตเสด็จ ในคราวนัน้ ๆ และเฉพาะอยา งย่ิงจะได ไปประทับใชอาคารเปน ปฐม ในคราวที่ ใชในการชี้แจงอธิบายหลักธรรมในพุทธ เจาศากยะสรางหอประชุม (สันถาคาร) พจนนั้นแกศิษยเปนตน พระปกณิ ก- เสร็จใหม ในพระไตรปฎ กกลาวไวเพียง เทศนานแ้ี หละ ทีเ่ ปนแกนหรอื เปนที่กอ วาไดทรงแสดงธรรมกถาแกเจาศากยะ รูปของส่ิงท่ีเรียกวาอรรถกถา แตใน อยูจนดึก เมื่อจะทรงพัก จงึ รบั สัง่ ให ขณะที่สวนซ่งึ เรียกวา พระไตรปฎก ทาน พระอานนทแสดงธรรมเรื่องเสขปฏิปทา รักษาไวในรูปแบบและในฐานะท่ีเปน แกเ จาศากยะเหลาน้นั และในพระสูตร หลกั สว นที่เปน อรรถกถาน้ี ทา นนําสบื น้ันไดบันทึกสาระไวเฉพาะเร่ืองท่ีพระ กันมาในรูปลักษณและในฐานะที่เปนคํา อานนทแสดง สวนธรรมกถาของพระ อธิบายประกอบ แตก ็ถอื เปนสําคญั ย่งิ พุทธเจา เองมวี า อยางไร ทา นไมไ ดร วม ดงั ที่เม่อื สังคายนาพระไตรปฎ ก อรรถ- ไวในตัวพระสตู รน้ี เรอ่ื งอยางน้มี ีบอยๆ กถาเหลาน้กี เ็ ขา สูการสงั คายนาดวย (ดู แมแ ตพ ระสูตรใหญๆ ก็บันทกึ ไวเฉพาะ หลักหรือสาระสําคัญ สวนท่ีเปนพระ ตวั อยา งท่ี ม.ม.๑๓/๒๕/๒๕; ม.อ.๓/๖/๒๐; วนิ ย.ฏ.ี ดํารัสรายละเอียดหรือขอปลีกยอย ขยายความ ซึ่งเรียกวาปกิณกเทศนา ๒/๒๘/๗๐; ท.ี ฏ.ี ๒/๑๘๘/๒๐๗) ทง้ั น้ี มเิ ฉพาะ (จะเรยี กวาปกณิ กธรรมเทศนา ปกิณก- พระพทุ ธดํารสั เทานนั้ แมคาํ อธบิ ายของ ธรรมกถา ปกิณกกถา หรือบาลีมุต- พระมหาสาวกบางทานก็มีท้ังที่เปนสวน ธรรมกถา ก็ได) แมจะไมไดรวมไวเปน ในพระไตรปฎก (อยางเชนพระสูตร สวนของพระไตรปฎก แตพระสาวกก็ หลายสูตรของพระสารีบุตร) และสวน ถือวาสําคัญย่ิง คือเปนสวนอธิบาย อธิบายประกอบท่ีถือวาเปนอรรถกถา ขยายความที่ชวยใหเขาใจพุทธพจนที่ คําอธิบายท่ีสําคัญของพระสาวกผูใหญ บันทึกไวเปนพระสูตรเปนตนน้ันไดชัด อันเปนท่ยี อมรับนบั ถือเปนหลัก กไ็ ดร ับ การถายทอดรักษาผานการสังคายนาสืบ ตอ มาดว ย
อรรถกถา ๕๐๒ อรรถกถา คําอธิบายท่ีเปนเร่ืองใหญบางเร่ือง สงั คายนาทง้ั ๓ ครง้ั จนกระทงั่ เมอื่ พระ สําคัญมากถึงกับวา ท้ังท่ีเรียกวาเปน มหินทเถระไปประดิษฐานพระพุทธ- อรรถกถา กจ็ ดั รวมเขา เปน สว นหนึ่งใน ศาสนาในลงั กาทวปี เมอื่ พ.ศ. ๒๓๕ ก็ พระไตรปฎกดวย ดงั ทท่ี านเลา ไว คือ นาํ อรรถกถาเหลา นนั้ ซงึ่ ยงั เปน ภาษาบาลี “อัฏฐกถากัณฑ” ซึ่งเปนภาคหรือคัมภีร พว งไปกบั พระไตรปฎ กบาลดี ว ย แตเ พื่อ ยอยที่ ๓ ในคมั ภรี ธ มั มสงั คณี แหง พระ ใหพระสงฆตลอดจนพุทธศาสนิกทั้ง อภธิ รรมปฎ ก (พระไตรปฎก เลม ๓๔, หลายในลังกาทวีปน้ัน สามารถศึกษา อัฏฐกถากัณฑนมี้ อี ีกช่อื หนงึ่ วา “อตั ถุท- พระไตรปฎกซึ่งเปนภาษาบาลีไดสะดวก ธารกัณฑ” และพระไตรปฎ กฉบบั สยาม พระพุทธศาสนาจะไดเจริญมั่นคงดวย รัฐไดเลือกใชชื่อหลัง) ตามเรื่องท่ีทาน หลักพระธรรมวนิ ัย คมั ภีรเลาวา พระ บนั ทึกไวว า (สงฺคณี.อ.๔๖๖) สทั ธิวหิ ารกิ รปู มหินทเถระไดแปลอรรถกถาจากภาษา หนึ่งของพระสารีบุตรไมสามารถกําหนด บาลใี หเปน ภาษาของผเู ลา เรยี น คอื ภาษา จับคําอธิบายธรรมในภาคหรือคัมภีร สงิ หฬ ซง่ึ เรียกกันตอ มาวา “มหาอัฏฐ- ยอยที่ ๒ ทช่ี อ่ื วา นกิ เขปกณั ฑ ในคมั ภรี กถา” และใชเปนเครื่องมือศึกษาพระ ธมั มสงั คณนี ั้น พระสารบี ตุ รจงึ พดู ใหฟ ง ไตรปฎกบาลีสืบมา ตอ แตน นั้ อรรถกถา ก็เกิดเปนอัฏฐกถากัณฑหรืออัตถุทธาร- ทงั้ หลายกส็ บื ทอดกนั มาในภาษาสงิ หฬ กณั ฑน นั้ ข้ึนมา (แตค ัมภีรมหาอฏั ฐกถา กลา ววา พระสารบี ตุ รพาสทั ธวิ หิ าริกรูป ตอมา พระพทุ ธศาสนาในชมพทู วีป น้ันไปเฝาพระพุทธเจา และพระองค เส่ือมลง แมว าพระไตรปฎกจะยังคงอยู ตรัสแสดง), คมั ภรี มหานิทเทส (พระ แตอรรถกถาไดส ูญสนิ้ หมดไป ครั้งน้นั ไตรปฎก เลม ๒๙) และจูฬนทิ เทส มพี ระภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ออกบวชจากตระกลู (พระไตรปฎก เลม ๓๐) ก็เปนคาํ อธิบาย พราหมณ เลา เรยี นพระไตรปฎ กแลว มี ของพระสารีบุตร ท่ีไขและขยายความ ความเชยี่ วชาญจนปรากฏนามวา “พทุ ธ- แหง พทุ ธพจนใ นคมั ภรี สตุ ตนิบาต (พระ โฆส” ไดเรียบเรียงคมั ภรี ชือ่ วา ญาโณทยั ไตรปฎก เลม ๒๕, อธบิ ายเฉพาะ ๓๒ (คัมภีรมหาวงสกลาววาทานเรียบเรียง สูตร ในจํานวนทัง้ หมด ๗๑ สตู ร) อรรถกถาแหงคัมภีรธัมมสังคณี ชื่อวา อฏั ฐสาลนิ ใี นคราวนน้ั ดว ย แตไ มส มจรงิ อรรถกถาท้ังหลายแตครั้งพุทธกาล เพราะอฏั ฐสาลนิ อี า งวสิ ทุ ธมิ คั ค และอา ง นั้น ไดพ วงมากับพระไตรปฎกผานการ สมนั ตปาสาทกิ า มากมายหลายแหง จงึ
อรรถกถา ๕๐๓ อรรถกถา คงตอ งแตง ทหี ลงั ) เสรจ็ แลว เรมิ่ จะเรยี บ มอบคมั ภรี แ กท า น พระพุทธโฆสเริ่มงาน เรยี งอรรถกถาแหง พระปรติ รขน้ึ อาจารย แปลใน พ.ศ.๙๗๓ ต้ังตนท่ีอรรถกถา ของทา น ซง่ึ มชี อ่ื วา พระเรวตเถระ บอก วา อรรถกถามีอยูบ ริบูรณในลงั กาทวีป แหงพระวนิ ัยปฎก (คอื สมันตปาสาทกิ า, เปนภาษาสงิ หฬ และใหทา นไปแปลเปน ภาษาบาลีแลว นํามายงั ชมพทู วปี คาํ นวณปจ าก วนิ ย.อ.๓/๖๓๕) เมอื่ ทาํ งานแปล เสร็จพอควรแลว ก็เดินทางกลับไปยัง พระพุทธโฆสไดเดินทางไปยังลังกา- ทวีปในรัชกาลของพระเจามหานาม ชมพทู วปี (พ.ศ.๙๕๓–๙๗๕; ปท่ีทานไป หลกั ฐาน บางแหง วา พ.ศ.๙๕๖ แตบ างแหง วา พ.ศ. งานแปลของพระพทุ ธโฆสนน้ั แทจ รงิ ๙๖๕) พระพทุ ธโฆสพํานักในมหาวหิ าร มใิ ชเ ปน การแปลอยา งเดยี ว แตเ ปน การ เมอื งอนรุ าธปรุ ะ ไดสดบั อรรถกถาภาษา สงิ หฬครบทงั้ มหาอฏฐ กถา มหาปจจฺ รี แปลและเรียบเรียง ดังที่ทานเองเขียน (มหาปจจฺ รยิ กเ็ รยี ก) และกรุ นุ ทฺ ี (อรรถ- กถาเกากอ นเหลานี้ รวมทั้งสงฺเขปฏ - บอกไววา ในการสังวรรณนาพระวินัย กถาซงึ่ เปน ความยอ ของมหาปจ จรี และ ทานใชมหาอรรถกถาเปนเน้ือหาหลัก อนฺธกฏกถาที่พระพุทธโฆสไดคุนมา (เปน สรรี ะ) พรอ มทง้ั เกบ็ เอาอรรถะทค่ี วร กอนนั้นแลว จัดเปนโปราณัฏฐกถา) เม่ือจบแลว ทานก็ไดขอแปลอรรถกถา กลาวถึงจากขอวินิจฉัยที่มีในอรรถกถา ภาษาสงิ หฬ เปน ภาษามคธ แตส งั ฆะแหง มหาปจ จรี และอรรถกถากรุ นุ ที เปน ตน มหาวิหารไดมอบคาถาพุทธพจนใหทาน (คือรวมตลอดถึงอันธกัฏฐกถา และ ไปเขียนอธิบายกอน เปนการทดสอบ สังเขปฏฐกถา) อธิบายใหครอบคลุม ความสามารถ พระพุทธโฆสไดเขียน ประดาเถรวาทะ (คอื ขอ วินิจฉัยของพระ ขยายความคาถานนั้ โดยประมวลความ ในพระไตรปฎกพรอมทั้งอรรถกถามา มหาเถระวินัยธรโบราณในลังกาทวีป ถงึ เรียบเรียงตามหลกั ไตรสกิ ขา สาํ เร็จเปน คัมภีรวิสุทธิมัคค คร้ันเห็นความ พ.ศ.๖๕๓), แตในสวนของพระ สามารถแลว สังฆะแหงมหาวิหารจึงได สุตตันตปฎกและพระอภิธรรมปฎก อรรถกถาโบราณ (โปราณฏั ฐกถา) ภาษา สงิ หฬ มเี พียงมหาอรรถกถาอยางเดยี ว (มมี หาอรรถกถาในสว นของคมั ภรี แ ตล ะ หมวดนนั้ ๆ ซง่ึ ถอื วา เปน มลู ฏั ฐกถา) พระ พุทธโฆสจึงใชมหาอรรถกถานั้น เปน แกน ขอ ความทยี่ ดื ยาวกลา วซาํ้ ๆ กจ็ บั เอาสาระมาเรียบเรียง แปลเปนภาษา มคธ โดยเกบ็ เอาวาทะ เรอ่ื งราว และขอ
อรรถกถา ๕๐๔ อรรถกถา วินิจฉัยของพระเถระสิงหฬโบราณ ถึง คาถา ปรมัตถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๙. พ.ศ.๖๕๓ มารวมไวด ว ย เถรคี าถา ปรมตั ถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๑๐.ชาดก ชาตกฏั ฐกถา (*) ๑๑.นทิ เทส พระพุทธโฆสาจารยเปนผูเร่ิมตนยุค สทั ธมั มปชโชตกิ า (พระอปุ เสนะ) ๑๒. อรรถกถาท่ีกลับมีเปนภาษาบาลีขึ้นใหม ปฏิสมั ภิทามัคค สัทธัมมปกาสนิ ี (พระ แมวาพระพุทธโฆสจะมิไดจัดทําอรรถ- มหานาม) ๑๓.อปทาน วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี กถาขึ้นครบบริบูรณ แตในระยะเวลา (**) ๑๔.พทุ ธวงส มธรุ ัตถวลิ าสนิ ี (พระ ใกลเคียงกันน้ันและตอจากนั้นไมนาน พทุ ธทัตตะ) ๑๕.จรยิ าปฎก ปรมตั ถ- ก็ไดมีพระอรรถกถาจารยรูปอ่ืนๆ มา ทปี นี (พระธรรมปาละ) ค.พระอภิธรรม- ทํางานสวนท่ยี ังขาดอยจู นเสร็จสิ้น ปฎ ก ๑.ธัมมสงั คณี อัฏฐสาลนิ ี (พฆ.) ๒.วภิ ังค สมั โมหวิโนทนี (พฆ.) ๓.หา รายชอื่ อรรถกถา พรอมท้ังนามพระ คมั ภรี ท เี่ หลอื ปญ จปกรณฏั ฐกถา (พฆ.) เถระผูรจนา (พระอรรถกถาจารย) แสดงตามลําดับคัมภีรในพระไตรปฎก [พงึ ทราบ: @ ปรมตั ถทปี นี ทเ่ี ปน ทอี่ รรถกถานน้ั ๆ อธบิ าย มีดงั นี้ (พฆ. อรรถกถา แหง วิมานวัตถุ และเปตวัตถุ หมายถึง พระพุทธโฆสาจารย) มีอกี ชอื่ หน่งึ วา วมิ ลวลิ าสนิ ;ี (*) คอื ธมั มปทฏั ฐกถา และชาตกฏั ฐกถา นัน้ ก.พระวนิ ยั ปฎก (ท้ังหมด) สมนั ต- ท่ีจริงก็มีชื่อเฉพาะวา ปรมัตถโชติกา ปาสาทกิ า (พฆ.) ข.พระสตุ ตันตปฎก และถือกันมาวาพระพุทธโฆสเปนผู ๑.ทฆี นิกาย สุมังคลวลิ าสินี (พฆ.) ๒.มชั ฌมิ นิกาย ปปญจสูทนี (พฆ.) เรยี บเรยี งคัมภรี ท ง้ั สองนี้ แตอ าจเปนได ๓.สังยุตตนกิ าย สารัตถปกาสนิ ี (พฆ.) ๔.อังคุตตรนิกาย มโนรถปรู ณี (พฆ.) วา ทานเปน หัวหนา คณะ โดยมีผอู ่ืนรวม ๕.ขทุ ทกนกิ าย ๑.ขทุ ทกปาฐะ ปรมตั ถ- งานดว ย; (**) วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี นน้ั โชติกา (พฆ.) ๒.ธรรมบท ธัมมปทัฏฐ- นามผรู จนาไมแ จง แตค มั ภรี จ ฬู คนั ถวงส กถา (*) ๓.อทุ าน ปรมัตถทปี นี (พระ ธรรมปาละ) ๔.อิติวตุ ตกะ ปรมัตถทีปนี (แตงในพมา) วาเปนผลงานของพระ (พระธรรมปาละ) ๕.สตุ ตนบิ าต ปรมตั ถ- โชติกา (พฆ.) ๖.วิมานวตั ถุ ปรมตั ถ- พทุ ธโฆส; มอี รรถกถาอื่นที่พึงทราบอกี ทีปนี@ (พระธรรมปาละ) ๗.เปตวัตถุ บา ง คอื กงั ขาวติ รณี (อรรถกถาแหง ปรมตั ถทีปนี@ (พระธรรมปาละ) ๘.เถร- พระปาฏโิ มกข) ซ่งึ ก็เปน ผลงานของพระ พุทธโฆส, อรรถกถาแหงเนตติปกรณ เปน ผลงานของพระธรรมปาละ]
อรรถกถา ๕๐๕ อรรถกถา เน้ือตัวแทๆ ของอรรถกถา หรือ ของพระอรรถกถาจารยตอเรื่องท่ีกําลัง ความเปน อรรถกถา กต็ รงกับชอ่ื ทเี่ รยี ก พจิ ารณา และพรอ มนน้ั กอ็ าจจะกลา วถงึ คือ อยูที่เปนคาํ บอกความหมาย หรอื มตทิ ข่ี ัดแยง หรือทสี่ นบั สนุน ของ “เกจ”ิ เปนถอยคําช้ีแจงอธิบายอัตถะของศัพท (อาจารยบ างพวก) “อฺเ” (อาจารย หรือขอความในพระไตรปฎก เฉพาะ พวกอน่ื ) “อปเร” (อาจารยอ ีกพวกหนง่ึ ) อยางยง่ิ คืออธิบายพุทธพจน เชน เรา เปนตน นอกจากนน้ั ในการอธบิ ายหลัก อานพระไตรปฎก พบคาํ วา “วิริยสฺส หรือสาระบางอยาง บางทกี ย็ กเรื่องราว สณฺ าน”ํ กไ็ มเขาใจ สงสยั วา ทรวดทรง มาประกอบหรือเปนตัวอยาง ประเภท สัณฐานอะไรของความเพียร จึงไปเปด เร่อื งปนอทิ ธฤิ ทธ์ิปาฏิหารยิ บาง เร่อื งใน ดูอรรถกถา ก็พบไขความวา สัณฐานใน วิถีชีวิตและความเช่ือของชาวบานบาง ทนี่ หี้ มายความวา “ปนา อปปฺ วตตฺ นา…” ตลอดจนเหตุการณในยุคสมัยตางๆ ซ่งึ ก็เขาใจและแปลไดวาหมายถึงการหยุด มากทีเดียวเปนเรื่องความเปนไปของ ยง้ั การไมด ําเนนิ ความเพียรตอไป ถา บานเมืองในลังกาทวีป ซึ่งในอดีตผาน พูดในข้ันพ้ืนฐาน ก็คลายกับพจนานุ- ยุคสมัยตางๆ ระหวางท่ีพระสงฆเลา กรมท่ีเราอาศัยคนหาความหมายของ เรียนกัน คงมกี ารนําเอาเร่ืองราวในยคุ ศพั ท แตต างกนั ตรงท่ีวา อรรถกถามิใช สมัยนั้นๆ มาเลาสอนและบันทึกไวสืบ เรียงตามลําดับอักษร แตเรียงไปตาม กันมา จึงเปนเรอื่ งตาํ นานบาง ประวัติ- ลําดับเนอื้ ความในพระไตรปฎ ก ยง่ิ กวา ศาสตรบา ง แหงกาลเวลาหลายศตวรรษ น้นั อรรถกถาอาจจะแปลความหมายให อนั เห็นไดชดั วา พระอรรถกถาจารยดัง ทั้งประโยค หรอื ท้ังทอ นทั้งตอน และ เชนพระพุทธโฆสาจารย ไมอ าจรูไปถึง ความท่ีทานชํ่าชองในพระไตรปฎก ก็ ได นอกจากยกเอาจากคมั ภีรทเ่ี รียกวา อาจจะอางอิงหรือโยงคําหรือความตอน โปราณฏั ฐกถาข้นึ มาถายทอดตอไป นั้น ไปเทียบหรอื ไปบรรจบกับขอความ เรือ่ งราวท่ีอ่นื ในพระไตรปฎ กดวย นอก สําหรับผูที่เขาใจรูจักอรรถกถา ส่ิง เหนอื จากนี้ ในกรณีเปนขอ ปญหา หรอื สาํ คัญทเี่ ขาตอ งการจากอรรถกถา ก็คอื ไมชัดเจน ก็อาจจะบอกขอยุติหรือคํา สวนท่ีเปนคําบอกความหมายไขความ วินิจฉัยที่สังฆะไดตกลงไวและรักษากัน อธิบายเน้ือหาในพระไตรปฎก ซง่ึ กค็ อื มา บางทีก็มีการแสดงความเหน็ หรอื มติ ตอ งการตวั อรรถกถาแทๆ นัน่ เอง และ ก็ตรงกันกับหนาที่การงานของอรรถกถา
อรรถกถา ๕๐๖ อรรถกถา อันไดแกการรักษาสืบทอดคาํ บอกความ เกาภาษาสิงหฬ ที่ถูกเรียกแยกออกไป หมายทเ่ี ปนอัตถะในพระไตรปฎก สว น ใหเ ปนตา งหากวา “โปราณัฏฐกถา” ขอ ท่ี อน่ื นอกเหนือจากนี้ เชนเรอื่ งราวเลาขาน ควรทราบอันสําคัญก็คือ ในอรรถกถา ตา งๆ เปนเพียงเครอื่ งเสริมประกอบ ที่ ภาษาบาลีที่เปนรุนใหมน้ี ทานอางอิง จริง มนั ไมใชอรรถกถา แตเปน สง่ิ ท่ีพวง โปราณฏั ฐกถาบอ ยๆ โดยบางทกี อ็ อกชอ่ื มาดวยในหนังสือหรือคัมภีรท่ีเรียกวา เฉพาะของอรรถกถาเกาน้ันชัดออกมา อรรถกถา แตบางทีก็กลาวเพียงวา “ในอรรถกถา กลาววา…” คําวา อรรถกถา ท่ีอรรถกถา เนื่องจากผูอานพระไตรปฎกบาลี ภาษาบาลกี ลา วถงึ นน้ั โดยทว่ั ไป หมายถงึ ตองพบศัพทท่ีตนไมรูเขาใจบอยคร้ัง อรรถกถาเกา หรอื โปราณฏั ฐกถา ทเ่ี ปน และจงึ ตอ งปรึกษาอรรถกถา คลายคน ภาษาสงิ หฬ (พระอรรถกถาจารยร นุ ใหม ปรึกษาพจนานุกรม เมื่อแปลพระไตร- นี้ บางทานยงั ไมพบวา ไดเ รียกงานทีท่ าน ปฎกมาเปน ภาษาไทย เปนตน จึงมกั เองทาํ วา เปน อรรถกถา) พดู สน้ั ๆ วา คน แปลไปตามคําไขความหรืออธิบายของ ปจ จบุ นั พดู ถงึ อรรถกถา หมายถงึ อรรถ- อรรถกถา พระไตรปฎ กแปลภาษาไทย กถาภาษาบาลที เ่ี กดิ มใี นยคุ พ.ศ.๑๐๐๐ เปนตนน้ัน จึงมีสวนท่ีเปนคําแปลผา น แตอรรถกถาภาษาบาลีน้ันเอยคําวา อรรถกถา หรือเปนคําแปลของอรรถ อรรถกถา โดยมกั หมายถงึ อรรถกถาเกา กถาอยเู ปน อันมาก และผอู านพระไตร- ภาษาสงิ หฬ ปฎกแปลก็ไมรูตัววาตนกาํ ลังอานอรรถ- กถาพรอ มไปดว ย หรือวาตนกําลงั อา น ตอจากอรรถกถา ยังมีคัมภีรที่ พระไตรปฎกตามคําแปลของอรรถกถา อธิบายรุนตอมาอีกหลายชั้นเปนอันมาก เชน “ฎีกา” แจงไขขยายความตอจาก มขี อพงึ ทราบอีกอยา งหนึ่งวา เวลาน้ี อรรถกถา “อนุฎีกา” แจงไขขยายความ เม่ือพูดถึงอรรถกถา ทุกคนเขาใจวา ตอจากฎีกา แตใ นที่นี้จะไมก ลา วถึง เวน หมายถึงอรรถกถาภาษาบาลที ่ีพระพทุ ธ- แตจ ะขอบอกนามทา นผแู ตง “ฎกี า” ท่ี โฆสาจารย เปนตน ไดเรยี บเรียงขึน้ ใน สาํ คญั พอใหท ราบไว ชว งระยะใกล พ.ศ.๑๐๐๐ แตด ังไดเลา ใหท ราบแลววา พระอรรถกถาจารยรุน พระอาจารยธ รรมปาละ ซง่ึ เปนพระ ใหม พ.ศ.ใกลห น่งึ พนั นี้ ไดเ รียบเรยี ง อรรถกถาจารยสาํ คัญที่เรียบเรียงอรรถ- อรรถกถาภาษาบาลีขึ้นมาจากอรรถกถา กถาไวมาก รองจากพระพุทธโฆส ได
อรรถกถาจารย ๕๐๗ อรหัตตผล เรียบเรียงฎีกาสําคัญ ซึ่งอธิบายอรรถ- อรรถรส “รสแหง เนอื้ ความ”, “รสแหง กถาที่พระพุทธโฆสไดเรียบเรียงไวอีก ความหมาย” สาระทต่ี อ งการของเนอื้ ความ, ดวย คอื ลนี ตั ถปกาสินี (เปนฎีกาซึ่ง เนอื้ แทข องความหมาย, ความหมายแทท ี่ อธบิ ายอรรถกถาแหง นกิ ายทงั้ ส่ี คอื ทฆี - ตอ งการ, ความมงุ หมายทแ่ี ทรกซมึ อยใู น นกิ าย มชั ฌมิ นกิ าย สงั ยตุ ตนกิ าย และ เนื้อความ คลายกับทม่ี ักพูดกันในบดั นี้ อังคุตตรนิกาย และอธิบายอรรถกถา วา เจตนารมณ (พจนานกุ รมวา “ถอ ยคํา แหง ชาดก) นอกจากนนั้ กย็ งั ไดเ รยี บเรยี ง ที่ทาํ ใหเกดิ ความซาบซึง้ ”) ปรมตั ถทปี นี (ฎกี าอธบิ ายอรรถกถาแหง อรรถศาสน คาํ สอนวา ดว ยเรอื่ งประโยชน พทุ ธวงส ทพ่ี ระพทุ ธทตั ตะเรยี บเรยี งไว) ๓ อยาง คือ ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ และปรมัตถมัญชุสา (ฎีกาแหงวิสุทธิ- ประโยชนใ นปจ จบุ นั ๒. สมั ปรายกิ ตั ถะ มคั ค ทเ่ี รยี กกนั วา มหาฎกี า), ฎกี าจารย ประโยชนท จี่ ะไดใ นภายหนา ๓. ปรมตั ถะ ทา นหนง่ึ ชอื่ พระวาจสิ สระ รจนา ลนี ตั ถ- ประโยชนอยา งยิ่ง คอื พระนพิ พาน ทีปนี (ฎีกาอนั อธิบายตอ จากอรรถกถา อรหํ (พระผูมพี ระภาคเจาน้นั ) เปน พระ แหง ปฏสิ มั ภทิ ามคั ค) ; นอกจากน้ี มฎี กี า อรหนั ต คอื เปนผูไ กลจากกเิ ลสและ อกี ๒ เรอื่ ง ทค่ี วรกลา วไวด ว ย เพราะ บาปธรรม ทรงความบริสุทธิ์, หรอื เปน ผู กําหนดใหใชเลาเรียนในหลักสูตรพระ กําจัดขา ศึกคอื กิเลสสนิ้ แลว, หรอื เปนผู ปรยิ ตั ธิ รรมแผนกบาลขี องคณะสงฆไ ทย หกั กาํ แหง สงั สารจกั ร อันไดแ ก อวชิ ชา คอื สารตั ถทปี นี (ฎกี าแหง วนิ ยฏั ฐกถา) ตัณหา อุปาทาน กรรม, หรอื เปน ผคู วร ผูแตง คือพระอาจารยช ือ่ สารบี ุตร (ไมใ ช แนะนาํ สง่ั สอน เปน ผคู วรรบั ความเคารพ พระสารบี ตุ รอคั รสาวก) และ อภธิ มั มตั ถ- ควรแกทักษิณา และการบูชาพิเศษ, วภิ าวนิ ี (ฎกี าแหง อภธิ มั มตั ถสงั คหะ) ผู หรือเปน ผไู มมีขอเรนลับ คือไมม ีขอ เสีย แตงคือพระสุมังคละ; ดู โปราณฏั ฐกถา หายอนั ควรปกปด (ขอ ๑ ในพทุ ธคุณ ๙) อรรถกถาจารย อาจารยผ แู ตง อรรถกถา อรหัต ความเปน พระอรหนั ต, ช่อื มรรค อรรถกถานัย เคาความในอรรถกถา, ผลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซง่ึ ตัด แนวคําอธิบายในอรรถกถา, แงแหง กเิ ลสในสันดานไดเ ด็ดขาด; เขยี นอยาง ความหมายทแ่ี สดงไวในอรรถกถา คาํ เดิมเปน อรหัตต อรรถคดี เร่ืองท่ีฟองรองกันในโรงศาล, อรหัตตผล ผลคือการสําเร็จเปนพระ ขอ ทกี่ ลาวหากนั อรหันต, ผลคอื ความเปนพระอรหันต,
อรหตั ตมรรค ๕๐๘ อรญั ,อรัญญ ผลท่ีไดรับจากการละสังโยชนทั้งหมด คอื กเิ ลสหมดสิน้ แลว ๓. เปน ผหู กั คือ อันสืบเน่ืองมาจากอรหตั ตมรรค ทําให รื้อทําลายกาํ (อร+หต) แหงสงั สารจกั ร เสร็จแลว ๔. เปน ผคู วร (อรห) แกการ เปน พระอรหันต อรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพ่ือบรรลุผล บูชาพิเศษของเทพและมนุษยทั้งหลาย คือความเปนพระอรหันต, ญาณคือ ๕. ไมม ที ่ลี ับ (น+รห) ในการทําบาป ความรูเปน เหตุละ สังโยชน ไดท ้ัง ๑๐ คือไมมีความช่ัวความเสียหายท่ีจะตอง อรหัตตวิโมกข ความพนจากกิเลสดวย ปด บงั ; ความหมายท้งั ๕ น้ี ตามปกติ อรหัต หรือเพราะสําเรจ็ อรหัต คือหลดุ ใชอธิบายคาํ วา อรหันต ที่เปนพุทธคุณ พนขั้นละกิเลสไดสิ้นเชิงและเด็ดขาด ขอท่ี ๑; ดู อรหํ อรหนั ตขณี าสพ พระอรหนั ตผ สู น้ิ อาสวะ สําเรจ็ เปนพระอรหันต อรหนั ต ผสู าํ เร็จธรรมวเิ ศษสูงสุดในพระ แลว ใชส าํ หรบั พระสาวก, สําหรับพระ พุทธศาสนา, พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด พทุ ธเจา ใชค าํ วา อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธ- ผูไ ดบ รรลอุ รหัตตผล, พระอรหันต ๒ เจา พระอรหนั ตผูตรสั รูช อบเอง ประเภท คอื พระสุกขวปิ ส สก กบั พระ อรหันตฆาต ฆา พระอรหันต (ขอ ๓ ใน สมถยานกิ ; พระอรหันต ๔ คือ ๑. พระ อนนั ตรยิ กรรม ๕) สุกขวปิ ส สก ๒. พระเตวิชชะ (ผูไ ด อรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระอรหนั ต วิชชา ๓) ๓. พระฉฬภญิ ญะ (ผไู ด ผตู รัสรชู อบดว ยพระองคเอง หมายถงึ อภญิ ญา ๖) ๔. พระปฏสิ มั ภิทปั ปตตะ พระพุทธเจา (ผูบรรลปุ ฏิสัมภิทา ๔); พระอรหนั ต ๕ อรัญ, อรญั ญ ปา, ตามกําหนดในพระ คือ ๑. พระปญ ญาวิมุต ๒. พระอุภโต- วินัย (วินย.๑/๘๕/๘๕) วา “ที่เวนบาน (คาม) ภาควมิ ุต ๓. พระเตวชิ ชะ ๔. พระฉฬ- และอปุ จารบา น นอกนน้ั ชอ่ื วา ปา (อรญั )” ภิญญะ ๕. พระปฏสิ ัมภทิ ปั ปตตะ; ดู และตามนยั พระอภธิ รรม (อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๖๑๖/ อรยิ บคุ คล ๓๓๘; ซ่งึ ตรงกับพระสูตร, ขุ.ปฏิ.๓๑/๓๘๘/๒๖๔) พระอรรถกถาจารยแสดงความ วา “คาํ วา ปา (อรญั ) คอื ออกนอกหลกั หมายของ อรหนั ต ไว ๕ นัย คอื ๑. เขตไปแลว ทท่ี งั้ หมดนน้ั ชอ่ื วา ปา ”; สว น เปน ผไู กล (อารกะ) จากกเิ ลส (คือหาง เสนาสนะปา (รวมทง้ั วดั ปา ) มกี ําหนดใน ไกลไมอยูในกระแสกิเลสที่จะทําใหมัว พระวินัย (วินย.๒/๑๔๖/๑๖๖; ๗๙๖/๕๒๘) วา หมองไดเลย) ๒. กําจัดขา ศกึ (อริ+หต) “เสนาสนะทช่ี อื่ วา ปา มรี ะยะไกล ๕๐๐
อรญั ญกิ ธุดงค ๕๐๙ อรญั วาสี ชวั่ ธนู (=๕๐๐ วา คอื ๑ กม.) เปน อยา ง ธรรมวนิ ัยน้ี ไปอยใู นปาก็ดี โคนไมก ็ดี นอ ย”; เทยี บ วนะ เรอื นวา งกด็ …ี ; ที่ตรัสรองลงไปคือ “… อรญั ญิกธดุ งค องคคณุ เคร่อื งขจัดกเิ ลส วิวิตตฺ เสนาสน ภชติ อรฺ รกุ ฺขมลู ของผถู ืออยูใ นปาเปนวัตร ไดแกธดุ งค ปพฺพต กนฺทร คริ ิคุหํ สสุ าน วนปตฺถ ขอ อารัญญิกังคะ อพฺโภกาส ปลาลปุชฺ …” – [ภกิ ษนุ น้ั ] อรญั ญิกวตั ร ขอปฏบิ ัตสิ ําหรับภกิ ษผุ อู ยู …เขา หาเสนาสนะอนั สงดั คอื ปา โคนไม ปา, ธรรมเนยี มในการอยูปา ของภกิ ษ;ุ ดู ภูเขา ซอกเขา ถ้าํ ในเขา ปา ชา ดงเปลีย่ ว อารัญญกวัตร ท่ีแจง ลอมฟาง…) แนวทางปฏบิ ตั เิ ชนน้ี อรญั วาสี “ผอู ยปู า ”, พระปา หมายถึง ทา นถอื แนน แฟน สบื กนั มา แมว า สาระจะ พระภิกษุท่ีอยูวัดในปา, เปนคูกับ อยทู ม่ี เี สนาสนะอนั สงดั แตป า ซงึ่ ในอดีต คามวาสี หรือพระบาน ซึง่ หมายถึงพระ มพี รอ มและเปนทสี่ งดั อันแนนอน ก็เปน ภิกษุที่อยูวัดในบานในเมือง; ใน ทีพ่ ึงเลือกเดนอันดบั แรก จึงนบั วาเปน ตัวแทนที่เต็มความหมายของเสนาสนะ พทุ ธกาล ไมมกี ารแบงแยกวา พระบา น อันสงัด ดังปรากฏเปน คาถาทก่ี ลา วกนั วาพระธรรมสังคาหกาจารยไดรจนาไว -พระปา และคาํ วา คามวาส-ี อรัญวาสี ก็ อันเปนที่อางองิ ในคมั ภีรท้งั หลาย ตง้ั แต มลิ ินทปญหา จนถงึ วิสทุ ธิมัคค และใน ไมมีในพระไตรปฎก เพราะในสมัย อรรถกถาเปนอนั มาก มีความวา พุทธกาลนั้น พระสงฆมีพระพุทธเจา ยถาป ทีปโ ก นาม นิลยี ติ วฺ า คณหฺ ตี มเิ ค ตเถวาย พทุ ฺธปตุ โฺ ต ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก เปนศูนยรวม และมีการจาริกอยูเสมอ อรฺ ปวิสิตฺวาน คณฺหาติ ผลมตุ ตฺ มํ ฯ โดยเฉพาะพระพุทธองคเองทรงนําสงฆ (พุทธบุตรน้ี ประกอบความเพียร เจริญวิปสสนา เขา ไปสปู า จะถอื เอาผล หมูใหญจาริกไปในถ่ินแดนท้ังหลายเปน อันอุดม [อรหัตตผล] ได เหมอื นดังเสอื ซมุ ตวั จับเนือ้ ) ประจํา ภิกษุท้ังหลายท่ียังไมจบกิจใน ตามคตนิ ้ี การไปเจรญิ ภาวนาในปา พระศาสนา นอกจากเสาะสดบั คําสอน เปนขอพึงปฏิบัติสําหรับภิกษุทุกรูป เสมอเหมอื นกนั ไมม กี ารแบง แยก ดงั นน้ั ของพระพุทธเจาแลว ก็ยอมระลึกอยู เสมอถึงพระดํารัสเตือนใหเสพเสนาสนะ อันสงัดเจริญภาวนา โดยทรงระบุปา เปนสถานที่แรกแหงเสนาสนะอันสงัด น้ัน (ท่ตี รัสท่ัวไปคอื “อธิ ภกิ ฺขเว ภกิ ขฺ ุ อรฺ คโต วา รุกฺขมูลคโต วา สฺุา- คารคโต วา…” – ภิกษุทัง้ หลาย ภิกษใุ น
อรญั วาสี ๕๑๐ อรญั วาสี จึงเปนธรรมดาที่วา ในคัมภีรมิลินท- ความเขาใจถูกตอง อีกทัง้ ตอ งเก็บรวบ ปญหา (ประมาณ พ.ศ.๕๐๐) ก็ยงั ไมมี รวมคําอธิบายของอาจารยรุนตอๆ มา คาํ วา คามวาสี และอรัญวาสี (พบคําวา ท่ีมีเพม่ิ ข้นึ ๆ จนเกดิ เปนงานหรอื หนาท่ี “อรฺ วาสา” แหง เดยี ว แตห มายถึง ท่ีเรียกวา “คนั ถธุระ” (ธรุ ะในการเลา ดาบสชาย-หญงิ ) แมว า ตอ มาในอรรถกถา เรยี นพระคัมภีร) เปน ภาระซึง่ ทําใหรวม (กอ น จนถงึ ใกล พ.ศ.๑๐๐๐) จะมคี ําวา กันอยูท่ีแหลงการเลาเรียนศึกษาในชุม คามวาสี และอรัญวาสี เกิดข้นึ แลว แต ชนหรอื ในเมอื ง พรอมกันนน้ั ภิกษผุ ไู ป กใ็ ชเ ปน ถอ ยคาํ สามญั หมายถึงใครก็ได เจริญภาวนาในปา เมอ่ื องคพ ระศาสดา ต้ังแตพระสงฆ ไปจนถึงสิงสาราสัตว ปรินิพพานแลว ก็อิงอาศัยอาจารยท่ี (มกั ใชแกชาวบา นทว่ั ไป) ทอี่ ยูบ า น อยู จําเพาะมากขึ้น มีความรูสึกท่ีจะตอง ใกลบาน หรืออยูในปา มิไดมีความ ผอนและเผ่ือเวลามากขึ้น อยูประจําที่ หมายจาํ เพาะอยางท่ีเขาใจกันในบัดนี้ แนนอนมากข้ึน เพื่ออุทิศตัวแกกิจใน การเจริญภาวนา ซึ่งกลายเปน งานหรอื พระภิกษุที่ไปเจริญภาวนาในปานั้น หนาที่ท่ีเรยี กวา “วปิ ส สนาธรุ ะ” (ธุระใน อาจจะไปอยชู ว่ั ระยะเวลาหนึง่ ยาวบาง การเจริญกรรมฐานอันมีวิปสสนาเปน ส้นั บา ง และอาจจะไปๆ มาๆ แตบางรปู ยอด) โดยนยั นี้ แนวโนมทจี่ ะแบงเปน กอ็ าจจะอยูนานๆ ภิกษุทอ่ี ยูปา นัน้ ทา น พระบาน-พระปา ก็ชัดเจนข้นึ เรอื่ ยๆ เรยี กวา “อารญั ญกะ” (อารญั ญกิ ะ กเ็ รยี ก) และการถอื อยปู า เปน ธดุ งคอ ยา งหน่ึง ซึง่ การแบง พระสงฆเปน ๒ ฝา ย คือ ภกิ ษจุ ะเลอื กถอื ไดต ามสมัครใจ กับทง้ั คามวาสี และอรัญวาสี เกดิ ขน้ึ ในลังกา จะถือในชวงเวลายาวหรือสั้น หรือแม ทวปี และปรากฏชดั เจนในรชั กาลพระเจา แตต ลอดชวี ติ ก็ได ปรกั กมพาหุ ท่ี ๑ มหาราช (พ.ศ. ๑๖๙๖ –๑๗๒๙) ตอมา เม่ือพอ ขุนรามคําแหง สันนิษฐานวา เมื่อเวลาลวงผานหาง มหาราชแหงอาณาจักรสุโขทัย ทรงรับ พุทธกาลมานาน พระภิกษุอยูประจําที่ พระพุทธศาสนาและพระสงฆลังกาวงศ มากข้ึน อีกท้งั มภี าระผูกมดั ตวั มากข้นึ อันสืบเน่ืองจากสมัยพระเจาปรักกม- ดวย โดยเฉพาะการเลาเรยี นและทรงจาํ พาหุน้ีเขามาในชวงใกล พ.ศ.๑๘๒๐ พุ ท ธ พ จ น ใ น ยุ ค ที่ อ ง ค พ ร ะ ศ า ส ด า ระบบพระสงฆ ๒ แบบ คอื คามวาสี ปรินิพพานแลว ซ่ึงจะตองรักษาไวแก และอรัญวาสี ก็มาจากศรีลังกาเขาสู คนรุนหลังใหค รบถว นและแมนยําโดยมี
อริ ๕๑๑ อริยบคุ คล ๗ ประเทศไทยดวย; คูกับ คามวาสี, ดู อริยชาติ หรืออริยกชาติที่มีมาแตเดิม วปิ สสนาธรุ ะ ซงึ่ จํากัดดวยชาติคือกําเนิด อริ ขาศึก, ศัตร,ู คนที่ไมช อบกนั อริยทรัพย ทรัพยอันประเสริฐเปนของ อริฏฐภิกษุ ช่ือภิกษุรูปหนึ่งในครั้ง ติดตวั อยูภ ายในจิตใจ ดกี วา ทรัพยภาย พุทธกาล เปนบุคคลแรกท่ีถูกสงฆลง นอก เชนเงนิ ทอง เปน ตน เพราะโจร อกุ เขปนยี กรรมเพราะไมส ละทิฏฐบิ าป หรือใครๆ แยงชิงไมได และทาํ ใหเ ปน อริยะ เจริญ, ประเสรฐิ , ผไู กลจากขา ศึก คนประเสรฐิ อยา งแทจ รงิ มี ๗ คอื ๑. คอื กเิ ลส, บคุ คลผบู รรลธุ รรมวิเศษ มี ศรทั ธา ๒. ศีล ๓. หิริ ๔. โอตตัปปะ ๕. โสดาปตติมรรคเปน ตน ; ดู อรยิ บคุ คล พาหุสจั จะ ๖. จาคะ ๗. ปญ ญา อรยิ กะ คนเจริญ, คนประเสริฐ, คนได อริยบุคคล บุคคลผูเปนอริยะ, ทานผู รับการศึกษาอบรมดี; เปนช่ือเรียกชน บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปตติมรรค ชาติหนึ่งที่อพยพจากทางเหนือเขาไปใน เปน ตน มี ๔ คอื ๑. พระโสดาบนั ๒. อินเดียตั้งแตกอนพุทธกาล ถือตัววา พระสกทาคามี (หรอื สกทิ าคาม)ี ๓. พระ เปนพวกเจรญิ และเหยยี ดพวกเจาถิ่น อนาคามี ๔. พระอรหนั ต; แบง พสิ ดาร เดมิ ลงวาเปน มลิ กั ขะ คือพวกคนปา คน เปน ๘ คอื พระผตู ง้ั อยใู นโสดาปต ต-ิ ดอย, พวกอรยิ กะอพยพเขา ไปในยโุ รป มรรค และพระผตู ง้ั อยใู นโสดาปต ตผิ ลคู ดวย คือ พวกที่เรยี กวา อารยัน ๑, พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามมิ รรค และ อริยกชาติ หมูคนที่ไดรับการศึกษาอบ พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามผิ ล คู ๑, พระผู รมด,ี พวกทีม่ คี วามเจริญ, พวกชนชาติ ตงั้ อยใู นอนาคามมิ รรค และพระผตู ง้ั อยู อรยิ กะ ในอนาคามผิ ล คู ๑, พระผตู งั้ อยใู น อรยิ ชาติ “เกิดเปน อริยะ” คือ บรรลุ อรหัตตมรรค และพระผูตั้งอยูใน มรรคผล กลายเปน อริยบคุ คล เปรียบ อรหตั ตผล คู ๑ เหมือนเกิดใหมอีกครั้งหนึ่ง ดวยการ อรยิ บุคคล ๗ บุคคลผเู ปน อรยิ ะ, บคุ คล เปล่ียนจากปุถุชนเปนพระอริยะ, อีก ผปู ระเสรฐิ , ทา นผบู รรลุธรรมวิเศษ มี อยางหน่งึ วา ชาตอิ รยิ ะ หรอื ชาวอริยะ โสดาปต ตมิ รรค เปน ตน นยั หนงึ่ จาํ แนก ซ่ึงเปนผูเจริญในทางพระพุทธศาสนา เปน ๗ คอื สทั ธานสุ ารี ธมั มานุสารี หมายถึงผูก ําจดั กเิ ลสได ซึง่ ชนวรรณะ สัทธาวิมุต ทิฏฐิปปตตะ กายสักขี ไหน เผา ไหน ก็อาจเปน ได ตา งจาก ปญ ญาวมิ ตุ และ อุภโตภาควมิ ุต (ดูคํา
อรยิ ปริเยสนา ๕๑๒ อรยิ อัฏฐงั คกิ มรรค น้นั ๆ) ศรัทธา ความเชื่อมีเหตผุ ล ความมน่ั ใจ อรยิ ปรเิ ยสนา การแสวงหาทป่ี ระเสรฐิ คอื ในพระรัตนตรัย ในหลกั แหง ความจริง แสวงหาสิ่งที่ไมตกอยูในอาํ นาจแหงชาติ ความดีงาม และในการที่จะทํากรรมดี ชรามรณะ หรอื กองทกุ ข โดยความได ๒. ศีล ความประพฤตดิ ี มวี นิ ยั เลย้ี งชพี แกแ สวงหาโมกขธรรมเพอื่ ความหลดุ พน สจุ รติ ๓. สตุ ะ ความรหู ลักธรรมคาํ สอน จากกิเลสและกองทุกข, ความหมาย และใฝใจเลาเรียนสดับฟงศึกษาหา อยางงาย ไดแก การแสวงหาในทาง ความรู ๔. จาคะ ความเผอื่ แผเ สยี สละ มี สมั มาชพี (ขอ ๒ ในปรเิ ยสนา ๒) นาํ้ ใจและใจกวาง พรอมที่จะรับฟง และ อรยิ ผล ผลอนั ประเสริฐ มี ๔ ชัน้ คือ รวมมือ ไมคบั แคบเอาแตตัว ๕. ปญญา โสดาปต ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล ความรอบรู รคู ิด รพู จิ ารณา เขา ใจเหตุ และอรหัตตผล ผล มองเหน็ โลกและชีวติ ตามเปนจรงิ อรยิ มรรค ทางอันประเสรฐิ , ทางดําเนิน อริยสจั ความจริงอยางประเสรฐิ , ความ ของพระอรยิ ะ, ญาณอนั ใหสาํ เร็จความ จรงิ ของพระอรยิ ะ, ความจริงท่ีทําคนให เปน พระอรยิ ะ มี ๔ คอื โสดาปต ต-ิ เปน พระอรยิ ะ มี ๔ อยาง คือ ทุกข มรรค สกทาคามิมรรค อนาคามมิ รรค (หรอื ทกุ ขสจั จะ) สมทุ ยั (หรอื สมทุ ยั - และอรหัตตมรรค; บางทีเรียกมรรคมี สจั จะ) นิโรธ (หรือ นโิ รธสจั จะ) มรรค องค ๘ วา อริยมรรค กม็ ี แตค วรเรยี ก (หรอื มคั คสจั จะ) เรียกเตม็ วา ทุกข- เตม็ วา อริยอัฏฐงั คิกมรรค [อรยิ สจั จ] ทกุ ขสมทุ ยั [อรยิ สจั จ] ทกุ ข- อริยวงศ ปฏปิ ทาที่พระอรยิ บุคคลผูเ ปน นโิ รธ[อรยิ สจั จ] และ ทกุ ขนโิ รธคามินี- สมณะ ปฏิบัติสืบกันมาไมขาดสาย, ปฏิปทา[อริยสัจจ] อรยิ ประเพณี มี ๔ คอื ๑. สนั โดษดว ย อริยสัจจ ดู อรยิ สัจ จีวร ๒. สันโดษดวยบณิ ฑบาต ๓. อริยสาวก 1. สาวกผูเปนพระอริยะ, สันโดษดว ยเสนาสนะ ๔. ยินดใี นการ สาวกผูบรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปตติ- บาํ เพญ็ กศุ ล ละอกุศล มรรค เปนตน 2. สาวกของพระอริยะ อรยิ วัฑฒิ, อารยวฒั ิ ความเจรญิ อยา ง (คอื ของพระพทุ ธเจา ผูเปน อรยิ ะ) ประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารยชน, อริยสาวิกา สาวิกาที่เปนพระอริยะ, ความเจริญงอกงามที่ไดสาระสมเปน อริยสาวกหญิง อริยสาวกอรยิ สาวิกา มี ๕ คอื ๑. อริยอัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค ๘
อรณุ ๕๑๓ อวตั ถุรปู ประการอันประเสรฐิ ; ดู มรรค อลังการ เคร่อื งประดบั ประดา อรุณ เวลาใกลอาทติ ยจ ะขน้ึ มีสองระยะ อลชฺชิตา อาการที่ตองอาบัติดวยไม คอื มแี สงขาวเรือ่ ๆ (แสงเงิน) และแสง ละอาย แดง (แสงทอง), เวลายํา่ รงุ อลัชชี ผูไมม ีความละอาย, ผูหนาดา น, อรปู ฌานมอี รปู ธรรมเปนอารมณ ไดแ ก ภิกษุผูมักประพฤติละเมิดพุทธบัญญัติ อรูปฌาน, ภพของสัตวผูเขาถึงอรูป โดยจงใจละเมดิ หรือทําผิดแลว ไมแกไข ฌาน, ภพของอรปู พรหม มี ๔ คอื ๑. อเลอ แปลง, ทีอ่ เลออนื่ คือทแ่ี ปลงอืน่ อากาสานญั จายตนะ (กาํ หนดท่วี างหาที่ อโลภะ ความไมโ ลภ, ไมโลภอยากได สุดมิไดเปนอารมณ) ๒. วิญญาณัญ- ของเขา, ธรรมที่เปนปฏิปกษกับความ จายตนะ (กาํ หนดวิญญาณหาที่สุดมิได โลภ คือ ความคิดเผ่ือแผเสียสละ, เปนอารมณ) ๓. อากิญจัญญายตนะ จาคะ (ขอ ๑ ในกศุ ลมูล ๓) (กาํ หนดภาวะทไ่ี มม อี ะไรๆ เปน อารมณ) อวตาร การลงมาเกดิ , การแบง ภาคมาเกดิ , ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ภาวะมี เปนความหมายในศาสนาพราหมณหรือ สัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญาก็ไมใช) ฮนิ ดู เชน พระนารายณอวตาร คือแบง อรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเปนอารมณ ภาคลงมาจากสวรรคมาเกิดเปนมนุษย มี ๔; ดู อรูป เปนตน อรูปพรหม พรหมผูเขาถึงอรูปฌาน, อวมานะ การดถู ูกเหยียดหยาม, การลบ พรหมไมมรี ปู , พรหมในอรปู ภพ มี ๔; หล;ู ตรงขา มกับ สัมมานะ, ดู มานะ ดู อรูป อวสาน ท่ีสดุ , ที่จบ อรูปภพ โลกเปนทอี่ ยขู องพรหมไมม ีรูป; อวสานกาล เวลาสดุ ทาย, ครง้ั สดุ ทา ย ดู อรปู อวหาร การลัก, อาการท่ีถือวาเปนลัก อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม, ทรพั ย ในอรรถกถาแสดงไว ๒๕ อยา ง ความติดใจในอารมณแหงอรูปฌาน, พงึ ทราบในท่ีน้ี ๑๓ อยา ง คือ ๑. ลกั ความปรารถนาในอรปู ภพ (ขอ ๗ ใน ๒. ชิงหรอื ว่ิงราว ๓. ลกั ตอน ๔. แยง สงั โยชน ๑๐) ๕. ลกั สบั ๖. ตู ๗. ฉอ ๘. ยักยอก ๙. อรูปาวจร ซ่ึงทองเที่ยวไปในอรูปภพ, ตระบัด ๑๐. ปลน ๑๑. หลอกลวง ๑๒. อยูในระดับจิตชั้นอรูปฌาน, ยังเกี่ยว กดขห่ี รอื กรรโชก ๑๓. ลกั ซอน ขอ งอยกู ับอรูปธรรม; ดู ภพ, ภูมิ อวัตถรุ ูป ดทู ี่ รูป ๒๘
อวันตี ๕๑๔ อวินพิ โภครูป อวนั ตี ชอื่ แควน หนงึ่ ในบรรดา ๑๖ แควน ถงึ ความดบั ทกุ ข) อวชิ ชา ๘ คอื อวิชชา ใหญแหง ชมพทู วีป ตง้ั อยทู างตะวันตก ๔ นน้ั และเพม่ิ ๕. ไมรอู ดีต ๖. ไมรู เฉยี งใตข องแควน วงั สะ มนี ครหลวงชอื่ อนาคต ๗. ไมรทู ง้ั อดตี ทั้งอนาคต ๘. อชุ เชนี ราชาผคู รองอวนั ตใี นพทุ ธกาล มี ไมรูปฏิจจสมุปบาท (ขอ ๑๐ ใน พระนามวา พระเจา จณั ฑปช โชต; เดมิ นั้น สงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระอภธิ รรม, ขอ แควน อวนั ตมี เี มอื งหลวงเกา ชอื่ มาหษิ มตี ๗ ในอนุสยั ๗) (นา จะไดแ กเ มอื ง Godarpura ในบดั นี้) อวิชชาสวะ อาสวะคอื อวชิ ชา, กิเลสที่ ซึ่งต้ังอยูท่ีฝงแมน้ํานัมมทา ตอมาจึง หมักหมมหรือดองอยูในสันดาน ทําให ยายข้ึนเหนือมาต้ังท่ีอุชเชนี, ในคัมภีร ไมร ตู ามความเปน จรงิ (ขอ ๓ ในอาสวะ บาลีบางท่ี มีคาํ เรยี กอวนั ตวี า “อวนั ต-ี ๓, ขอ ๔ ในอาสวะ ๔) ทักขิณาบถ” ถาถือแมนา้ํ คงคาเปนเสน อวญิ ญาณกะ พัสดุท่ไี มมวี ิญญาณ เชน แบง ท้ังแควนอวนั ตกี อ็ ยใู นทกั ขณิ าบถ เงนิ ทอง ผานุงหม และเครอ่ื งใชส อย แตถาถือแมนํ้านัมมทาเปนเสนแบง เปน ตน; เทียบ สวญิ ญาณกะ อวันตีก็มีทั้งสวนที่เปนอุตราบถ และ อวิทยา ความไมร,ู อวิชชา สวนทเี่ ปน ทักขิณาบถ คือ แถบท่ีต้งั ของ อวทิ ูเรนทิ าน “เรื่องไมไกลนัก” หมายถึง มาหิษมตีเมืองหลวงเกาลงไป เปน เรื่องราวความเปนไปเก่ียวกับพระพุทธ ทักขิณาบถ เจา ต้ังแตจ ุตจิ ากสวรรคช ้นั ดสุ ติ จนถงึ อวนั ทนียกรรม สังฆกรรมทภี่ กิ ษุณสี งฆ ตรสั รู; ดู พุทธประวตั ิ มีมติประกาศใหถือภิกษุผูแสดงอาการ อวนิ พิ โภครูป “รปู ท่ีแยกออกจากกนั ไม อันไมนาเล่ือมใส วาเปนผูที่ภิกษุณีทั้ง ได” , รปู ทม่ี อี ยดู ว ยกนั เปน ประจาํ เสมอไป หลายไมพึงไหว; ดูท่ี ปกาสนียกรรม, อยางขาดมิไดเลยในสิ่งท่ีเปนรูปทุก อสมั มุขากรณีย อยาง กลาวคือในสิ่งที่เปนรูปทุกอยาง อวัสดา ฐานะ, ความเปน อย,ู ความ แมแตปรมาณูท่ีเล็กท่ีสุดก็จะตองมี กําหนด, เวลา, สมยั รูปธรรมชุดนี้อยูเปนอยางนอย, คุณ- อวชิ ชา ความไมรูจริง, ความหลงอนั เปน เหตุไมร จู ริง มี ๔ คือความไมรอู ริยสัจจ สมบัติพื้นฐานท่ีมีอยูเปนประจําในวัตถุ, มี ๘ อยาง คือ ปฐวี (ภาวะแผขยาย ๔ แตล ะอยาง (ไมร ูทกุ ข ไมรเู หตเุ กดิ หรือรองรบั ) อาโป (ภาวะเอิบอาบเกาะ กุม) เตโช (ภาวะรอน) วาโย (ภาวะ แหง ทุกข ไมร ูความดับทกุ ข ไมร ทู างให
อวิหงิ สาวิตก ๕๑๕ อโศกมหาราช เคลอ่ื นไหวเครง ตงึ ) วณั ณะ (ส)ี คนั ธะ สงคราม หนั มาถอื หลัก “ธรรมวชิ ยั ” คือ (กลิน่ ) รสะ (รส) โอชา (อาหารรปู ); ใน ชนะใจดวยธรรม มงุ ทาํ นุบํารงุ พระพทุ ธ ๘ อยา งน้ี สอ่ี ยา งแรกเปน มหาภตู รปู หรอื ศาสนา สรางสรรคประโยชนสุขของ ธาตุ ๔, สอี่ ยางหลังเปน อปุ าทายรปู ; รปู ประชาชน และความเจริญรุงเรืองของ ทเ่ี หลอื จากนี้ ๒๐ อยาง เปน วินิพโภค- ประเทศในทางสนั ติ โปรดใหเขยี นสลัก รูป (รูปทแ่ี ยกจากกันได) ; ดู รปู ๒๘ ศิลาจารึก (เรยี กวา “ธรรมลิป” คือ ลาย อวิหิงสาวิตก ความตริตรึกในทางไม สือธรรม หรือธรรมโองการ) ไวในท่ี เบียดเบียน, ความตรึกดวยอํานาจ ตา งๆ ท่ัวมหาอาณาจักร เพื่อสื่อพระราช กรุณา ไมค ดิ ทําความลําบากเดอื ดรอน กรณียกจิ พระบรมราโชบาย และสอน แกผูอื่น คิดแตจะชวยเหลือเขาใหพน ธรรมแกข า ราชการและประชาชน ทรง จากทุกข (ขอ ๓ ในกศุ ลวิตก ๓) สรางมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แหง เปนศูนย อศภุ ดู อสภุ กลางการศึกษา ทรงอุปถัมภการ อโศกมหาราช มหาราชแหงชมพูทวีป สังคายนาครัง้ ที่ ๓ และการสง ศาสนทตู ซึ่งเปนราชาผูย่ิงใหญที่สุดพระองคหนึ่ง ออกไปเผยแพรพระพุทธศาสนาใน ในประวัติศาสตรโลก และเปนพุทธ นานาประเทศ เชน พระมหนิ ทเถระไป ศาสนูปถัมภกที่สําคัญยิ่ง เปนกษตั รยิ ยงั ลังกาทวีป และพระโสณะพระอุตตระ พระองคท ่ี ๓ แหง ราชวงศโ มรยิ ะ ครอง มายังสุวรรณภูมิ เปน ตน, กอ นทรงหนั ราชสมบตั ิ ณ พระนครปาฏลบี ุตร ใน มานับถือพระพุทธศาสนา ทรงปรากฏ พ.ศ.๒๑๘-๒๖๐ เม่อื ครองราชยไ ด ๘ พระนามวา จัณฑาโศก คอื อโศกผโู หด พรรษา ทรงยกทพั ไปปราบแควน กลงิ คะ ราย คร้ันหันมาทรงนับถือพระพุทธ (ปจจบุ นั คอื ดนิ แดนแถบแควน Orissa) ศาสนาและดําเนินนโยบายธรรมวิชัย ที่เปนชนชาตเิ ขม แข็งลงได ทําใหอ าณา- แลว ไดรับขนานพระนามใหมวา จักรของพระองคกวางใหญท่ีสุดใน ธรรมาโศก คือ อโศกผทู รงธรรม ชาว ประวัติชาติอินเดีย แตในการสงคราม พุทธไทยแตเดิมมามักเรียกพระองควา น้นั มีผคู นลม ตายและประสบภัยพบิ ตั ิ พระเจา ศรธี รรมาโศกราช; เมือ่ อนิ เดีย มากมาย ทําใหพระองคสลดพระทัย เปนเอกราชพนจากการปกครองของ พอดีไดทรงสดับคําสอนในพระพุทธ องั กฤษใน พ.ศ.๒๔๙๐ แลว ก็ไดนาํ เอา ศาสนา ทรงเลื่อมใส ไดทรงเลิกการ รูปพระธรรมจักร ซึ่งทูนอยูบนหัวสิงห
อโศการาม ๕๑๖ อสังหารมิ ะ ยอดเสาศิลาจารึกของพระเจาอโศก จดั แขง ได ซง่ึ ไดช อ่ื วา เปน อสทสิ ทาน สน้ิ มหาราช ท่ีสารนาถ (ปาอิสิปตนมฤค- พระราชทรพั ยไ ปในวนั เดยี วถงึ ๑๔ โกฏ,ิ ทายวนั ทท่ี รงแสดงปฐมเทศนา) มาเปน ในพุทธกาลหน่ึงๆ คือในสมัยของพระ ตราสญั ลกั ษณท กี่ ลางผนื ธงชาติ และใช พทุ ธเจา พระองคห นง่ึ ๆ มอี สทสิ ทานครง้ั รปู สงิ หท ง้ั สที่ ท่ี นู พระธรรมจกั รนนั้ เปน เดยี ว (เรอื่ งมาใน ธ.อ.๖/๕๑) ตราแผน ดนิ สบื มา อสมานาสนิกะ ภกิ ษุผูมพี รรษาออนแก อโศการาม ชอ่ื วดั สําคัญท่พี ระเจา อโศก กวากนั เกนิ ๓ พรรษา น่ังอาสนะคือ มหาราชทรงสรางในกรุงปาฏลีบุตรเปน เตียงตง่ั สาํ หรับ ๒ รปู เสมอกนั ไมได ทที่ าํ สังคายนาครง้ั ท่ี ๓ (แตน งั่ อาสนะยาวดว ยกนั ได) ; เทยี บ สมา- อสงไขยกปั ดู กปั นาสนกิ ะ อสทสิ ทาน “ทานอนั ไมม อี นื่ แมน เหมอื น”, อสังขตะ ธรรมที่ปจจัยมิไดปรุงแตง, เปนคําในช้ันอรรถกถา หมายถึงการ ธรรมท่ีไมเกิดจากเหตุปจจัย ไดแก บาํ เพ็ญทานถวายแดพระพุทธเจาพรอม พระนิพพาน; ตรงขา มกบั สงั ขตะ ดว ยภกิ ษสุ งฆ ครงั้ ใหญท ส่ี ดุ ซงึ่ ไมม ใี คร อสังขตธรรม ธรรมอันมิไดถกู ปรงุ แตง สามารถทาํ เทยี มเทา ไดอ กี ไดแ ก ทานที่ ไดแ ก นิพพาน (ขอ ๒ ในธรรม ๒); ตรง พระเจา ปเสนทโิ กศลจดั ถวาย ตามเรอื่ ง ขามกับ สงั ขตธรรม วา ครงั้ หนงึ่ พระเจา ปเสนทโิ กศลถวาย อสังขารปรนิ พิ พายี พระอนาคามี ผจู ะ ทานแดพ ระพทุ ธเจาพรอ มดว ยภกิ ษสุ งฆ ปรินิพพานดวยไมตองใชความเพียร และใหชาวเมืองสาวัตถีมาชมดวย ชาว มากนกั (ขอ ๓ ในอนาคามี ๕) เมืองเห็นแลว ก็ไปจัดถวายทานใหดี อสังขารกิ “ไมเ ปนไปกับดวยการชักนํา” เหนอื กวา พระองคจ งึ จดั ถวายครงั้ ใหม ไมมีการชักนํา ใชแกจิตท่ีคิดดีหรือช่ัว อกี ใหเ หนอื กวา ชาวเมอื ง แตช าวเมอื งก็ โดยเริม่ ขึ้นเอง มใิ ชถ ูกกระตุนหรอื ชกั จงู แขงกับพระองคโดยจัดใหเหนือกวาอีก จากภายนอก จงึ มกี ําลังมาก ตรงขา มกบั เปน เชน นถ้ี งึ ๖ ครงั้ เปน เหตใุ หท รงทกุ ข สสงั ขาริก พระทัยเกรงวาจะทรงพายแพแกราษฎร อสงั สัคคกถา ถอยคําทชี่ ักนาํ ไมใหคลกุ แตในทส่ี ดุ ทรงไดรบั คาํ ทูลแนะนาํ ของ คลีดว ยหมู (ขอ ๔ ในกถาวตั ถุ ๑๐) พระมเหสี คอื พระนางมลั ลกิ า จงึ ทรง อสงั หาริมะ ซงึ่ นาํ เอาไปไมไ ด, เคล่อื นที่ สามารถถวายทานที่ชาวเมืองไมสามารถ ไมไ ด, ของติดท่ี ขนเอาไปไมไ ด เชน ที่
อสงั หารมิ ทรัพย ๕๑๗ อสติ ดาบส ดนิ โบสถ วหิ าร เจดยี ตน ไม เรอื น ก็เปนเร่ืองเฉพาะตัวของเธอ ไมผ กู พัน เปน ตน ; เทียบ สังหาริมะ ตอสงฆ) ๘.อวันทนียกรรม (การที่ อสังหาริมทรพั ย ทรัพยเ คล่อื นทไ่ี มไ ด ภิกษุณีสงฆประกาศภิกษุผูแสดงอาการ ไดแ ก ท่ดี นิ และทรพั ยซึง่ ตดิ อยูกับทเ่ี ชน อันไมนาเล่ือมใส ใหเปนผูที่ภิกษุณีทั้ง ตึก โรงรถ เปนตน; คกู บั สงั หารมิ ทรัพย หลายไมพ ึงไหว); ดทู ี่ ปกาสนียกรรม อสญั ญีสัตว สตั วจาํ พวกไมมสี ัญญา ไม อสาธารณสิกขาบท สกิ ขาบททไ่ี มท่ัวไป เสวยเวทนา (ขอ ๕ ในสตั ตาวาส ๙) หมายถึงสิกขาบทเฉพาะของภิกษุณี ท่ี อสทั ธรรม ธรรมของอสัตบุรษุ มีหลาย แผกออกไปจากสกิ ขาบทของภกิ ษุ; เทียบ หมวด เชน อสทั ธรรม ๗ คอื ท่ีตรงขา ม สาธารณสิกขาบท กับ สัทธรรม ๗ มีปราศจากศรัทธา อสิตดาบส ดาบสผคู ุนเคย และเปน ที่ ปราศจากหิริ เปน ตน; ในคาํ วา “ทอด นบั ถอื ของศากยราชสกุล มีเรือ่ งปรากฏ กายเพ่ือเสพอสัทธรรมก็ดี” หมายถึง ในนาลกสตู ร (ข.ุ สุ.๒๕/๓๘๘/๔๖๗) วา ใน เมถนุ ธรรม คือการรว มประเวณี วนั ทพี่ ระโพธิสัตวประสตู ิ ทานไดท ราบ อสัมปตตโคจรัคคาหิกรปู ดทู ่ี รปู ๒๘ ขาวประสูติแหงพระราชโอรสของพระ อสมั มุขากรณีย สังฆกรรมซ่ึงไมตอ งทํา เจาสุทโธทนะ จงึ เขาไปเยีย่ ม พระราชา ในทตี่ อ หนา (หรอื พรอ มหนา ) บคุ คลทถี่ กู ทรงนําพระราชโอรสออกมาเพื่อจะให สงฆท าํ กรรม มี ๘ อยา ง คอื ๑.ทเู ตน-ุ วันทาพระดาบส แตพระบาททง้ั สองของ ปสัมปทา (การอุปสมบทภิกษุณีโดยใช พระราชโอรสกลับเบ่ียงขึ้นไปประดิษ- ทตู ) ๒.ปต ตนกิ กุชชนา (การคว่ําบาตร) ฐานบนเศียรของพระดาบส เมื่อพระ ๓.ปตตอกุ กุชชนา (การหงายบาตร) ๔. ดาบสพจิ ารณาพระลกั ษณะของพระราช- อุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศให โอรสแลว มน่ั ใจวาพระราชโอรสนัน้ จกั ถอื ภกิ ษเุ ปนผวู กิ ลจรติ ) ๕.เสกขสมมติ ตรสั รูเ ปนพระพทุ ธเจาแนนอน นอกจาก (การสวดประกาศตงั้ สกุลเปน เสขะ) ๖. ทําอัญชลีนบไหวแลว ก็ไดแยมยิ้ม พรหมทัณฑ (การลงโทษภิกษุหัวดื้อวา แสดงความแชมช่ืนใจออกมา แตเมื่อ ยาก โดยวธิ พี รอ มกนั ไมวากลาว) ๗. มองเห็นวาตนจะไมมีชีวิตอยูจนถึงเวลา ปกาสนียกรรม (การประกาศใหเปนท่ีรู แหงการตรสั รู กเ็ สียใจรองไห กระนัน้ ก็ ท่ัวกัน ถึงสภาวะของภิกษุซ่ึงไมเปนที่ ตาม พระดาบสไดไปบอกหลานชายของ ยอมรับของสงฆ ใหถ ือวา การใดทีเ่ ธอทาํ ทา น ช่อื วา นาลกะ ใหอ อกบวชรอเวลา
อสตี ยานุพยัญชนะ ๕๑๘ อสภุ ,อสภุ ะ ที่พระโพธิสัตวจะไดตรัสรู (ขอความที่ มหาปน ถก, มหาโมคคลั ลานะ, เมฆยิ ะ, วา พระบาททั้งสองของพระราชโอรส เมตตค,ู โมฆราช,ยสะ, ยโสชะ, รฏั ฐปาละ, เบ่ียงข้ึนไปประดิษฐานบนเศียรหรือบน ราธะ, ราหลุ , เรวตะ ขทริ วนยิ ะ, ลกณุ ฏก- ชฎาของพระดาบสนั้น เปน คําเลาขยาย ภทั ทิยะ, วักกล,ิ วังคสี ะ, วปั ปะ, วิมละ, ความของอรรถกถา, เชน สตุ ฺต.อ.๒/๖๘๒/ สภิยะ, สาคตะ, สารีบุตร, สวี ลี, สพุ าห,ุ ๓๑๘; ชา.อ.๑/๘๖); อสติ ดาบสนี้ มชี ือ่ เรยี ก สภุ ตู ,ิ เสละ, โสณกฏุ กิ ณั ณะ,โสณโกฬวิ สิ ะ, อีกอยางหน่ึงวา กาฬเทวิล หรือ กาฬ- โสภิตะ, เหมกะ, องคลุ มิ าล, อชิตะ, เทวลั ดาบส (เรียกวา กัณหเทวิลฤาษี ก็ อนุรุทธะ, อัญญาโกณฑญั ญะ, อสั สช,ิ มี); ดู มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ, นาลกะ 1.; เทียบ อานนท, อทุ ยะ, อทุ าย,ี อบุ าล,ี อปุ วาณะ, พราหมณท ํานายพระมหาบุรษุ อุปสวี ะ, อุปเสนวังคันตบุตร, อุรุเวล- อสตี ยานุพยัญชนะ อนุพยญั ชนะ ๘๐; กัสสปะ ดู อนพุ ยญั ชนะ อสภุ , อสภุ ะ สภาพทไี่ มง าม, พจิ ารณารา ง อสตี มิ หาสาวก พระสาวกผใู หญ ๘๐ องค กายของตนและผอู นื่ ใหเ หน็ สภาพทไี่ มง าม; บางทเี รียกอนุพุทธ ๘๐ องค มรี ายนาม ในความหมายเฉพาะ หมายถงึ ซากศพใน ตามลําดบั อักษร ดังนี้ (ทพี่ ิมพต ัวเอน คอื ทา นทเ่ี ปน เอตทคั คะดว ย): กงั ขาเรวตะ, สภาพตา งๆ ซงึ่ ใชเ ปน อารมณก รรมฐาน กปั ปะ, กาฬทุ าย,ี กมิ พลิ ะ, กมุ ารกสั สปะ, รวม ๑๐ อยา ง คอื ๑. อทุ ธมุ าตกะ ซาก กณุ ฑธาน, คยากสั สปะ, ควมั ปต,ิ จนุ ทะ, ศพที่เนาพอง ๒. วินลี กะ ซากศพทม่ี สี ี จูฬปนถก, ชตุกณั ณิ, ตสิ สเมตเตยยะ, เขียวคลา้ํ ๓. วปิ ุพพกะ ซากศพท่มี นี า้ํ โตเทยยะ, ทพั พมลั ลบตุ ร, โธตกะ, นท-ี เหลอื งไหลออกอยู ๔. วจิ ฉทิ ทกะ ซากศพ กสั สปะ, นนั ทะ, นันทกะ, นันทกะ, ท่ขี าดกลางตัว ๕. วิกขายติ กะ ซากศพที่ นาคิตะ, นาลกะ, ปง คยิ ะ, ปณ โฑล- สตั วก ดั กนิ แลว ๖. วกิ ขติ ตกะ ซากศพท่ี ภารทวาช, ปล นิ ทวจั ฉะ, ปณุ ณกะ, ปณุ ณช,ิ มมี อื เทา ศรี ษะขาด ๗. หตวกิ ขติ ตกะ ปุณณมันตานีบุตร, ปุณณสุนาปรันตะ, โปสาละ, พากลุ ะ (พกั กลุ ะ กเ็ รยี ก), พาหยิ - ซากศพที่คนมีเวรเปนขาศึกกัน สบั ฟน ทารจุ รี ยิ ะ, ภค,ุ ภทั ทยิ ะ (ศากยะ), ภทั ทยิ ะ, เปน ทอ นๆ ๘. โลหติ กะ ซากศพท่ีถูก ภทั ราวธุ , มหากจั จายนะ, มหากปั ปน ะ, มหากัสสปะ, มหาโกฏฐติ ะ, มหานามะ, ประหารดวยศัสตรามีโลหิตไหลอาบอยู ๙. ปฬุ วุ กะ ซากศพทมี่ ีตวั หนอนคลาน คล่ําไปอยู ๑๐. อฏั ฐกิ ะ ซากศพท่ยี ัง เหลอื อยแู ตรางกระดูก
อสุภสัญญา ๕๑๙ อโหสกิ รรม อสุภสัญญา กําหนดหมายถึงความไม คอื พระอรหันต; คูกับ เสขะ งามแหงรางกาย (ขอ ๓ ในสัญญา ๑๐) อเสขบุคคล บุคคลผูไมตองศึกษา; ดู อสุรกาย “พวกอสูร” ภพแหงสัตวเ กิดใน อเสขะ อบายพวกหนงึ่ เปน พวกสะดงุ หวาด อหงั การ การทาํ (ความยึดถอื วา) “ตวั ขา”, หวั่นไรค วามรื่นเรงิ (ขอ ๔ ในอบาย ๔); การยดึ ถือวาตัวก;ู มักมาคกู บั มมงั การ ดู คติ คือ การทํา (ความยึดถือวา) “ของขา”, อสรู สัตวกึ่งเทพหรอื เทพชนั้ ตาํ่ พวกหนงึ่ การยึดถือวา ของกู, และมักพดู ควบกัน ตาํ นานกลาววา เดมิ เปน เทวดาเกา (บพุ - เปน “อหังการ-มมงั การ” แปลกนั งายๆ เทวา) เปนเจาถ่ินครอบครองดาวดงึ ส- วา การถือวา ตัวเรา ของเรา; มมงั การ เทวโลก ตอมาถูกเทวดาพวกใหม มที า ว เปนตณั หา สว น อหงั การ บางแหงวา สกั กะเปนหัวหนา แยง ถิ่นไป โดยถกู เทพ เปน ทิฏฐิ บางแหง วาเปนมานะ บางแหง พวกใหมน้ันจับเหว่ียงลงมาในระหวาง วาเปนมานะและทิฏฐิ (ในคําวา พิธีเล้ียงเมื่อพวกตนดื่มสุราจนเมามาย “อหงั การมมงั การมานานุสยั ” อรรถกถา ไดช่ือใหมวาอสูร เพราะเม่ือฟนคืนสติ หนึ่งอธิบายวา อหังการ เปนทิฏฐิ ขน้ึ ระหวา งทางที่ตกจากดาวดงึ สน ้ัน ได มมงั การ เปนตัณหา มานานสุ ยั เปน กลาวกันวา “พวกเราไมดื่มสุราแลว” มานะ – ม.อ.๓/๑๔๖); ในภาษาไทย (อสูร จงึ แปลวา “ผูไมดมื่ สรุ า”) พวก อหงั การ มักใชในความหมายทีเ่ พยี้ นไป อสูรไดครองพิภพใหมที่เชิงเขาสิเนรุ กลายเปนความเยอหยิง่ ความทะนงตวั หรือเขาพระทุเมรุ และมสี ภาพความเปน จองหอง กาวราวอวดดี อยู มีอายุ วรรณะ ยศ และอิสรยิ - อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นวา ไมมีเหตุ คอื สมบัติ คลายกันกับเทวดาช้ันดาวดึงส ความเห็นผิดวา คนเราจะไดดีหรือช่ัว พวกอสูรเปนศัตรูโดยตรงกับเทวดา ตามคราวเคราะห ถึงคราวจะดี ก็ดีเอง และมีเรื่องราวขัดแยงทําสงครามกัน ถงึ คราวจะราย ก็รายเอง ไมมีเหตอุ น่ื จะ บอ ยๆ พวกอสูรออกจะเจา โทสะ จงึ มกั ทําใหค นดคี นช่วั ได (ขอ ๒ ในทิฏฐิ ๓) ถูกกลาวถึงในฐานะเปนพวกมีนิสัยพาล อโหสิกรรม กรรมเลิกใหผล ไมมีผลอีก หรอื เปนฝายผดิ ไดแกกรรมทั้งท่ีเปนกุศลและอกุศลที่ อเสขะ ผไู มตอ งศกึ ษา เพราะศกึ ษาเสรจ็ เลกิ ใหผ ล เหมือนพชื ท่หี มดยาง เพาะ สนิ้ แลว ไดแ กบ คุ คลผตู งั้ อยใู นอรหตั ตผล ปลกู ไมข้ึนอีก (ขอ ๔ ในกรรม ๑๒)
อกั โกสวตั ถุ ๕๒๐ อัคฆสโมธาน อักโกสวตั ถุ เรื่องสําหรบั ดา มี ๑๐ อยา ง แปลงตามลําดับ จนเกิดมีมนุษยที่อยู คือ ๑. ชาติ ไดแกช ้ันหรือกําเนดิ ของคน รวมกันเปนหมูเปนพวก เกิดความจํา ๒. ชอ่ื ๓. โคตร คือตระกลู หรอื แซ ๔. เปนตองมีการปกครอง และมีการ การงาน ๕. ศลิ ปะ ๖. โรค ๗. รปู พรรณ ประกอบอาชพี การงานตา งๆ กนั วรรณะ สัณฐาน ๘. กิเลส ๙. อาบตั ิ ๑๐. คําสบ ท้ังสี่ก็เกิดจากความเปล่ียนแปลงเหลาน้ี ประมาทอยา งอืน่ ๆ มิใชเ ปน เรอื่ งของพรหมสรางสรรค แต อกั ขระ ตวั หนังสอื , วชิ าหนังสือ, คาํ , เกดิ จากธรรม (ธรรมดา, กฎธรรมชาต)ิ เสยี ง, สระ และพยญั ชนะ ทุกวรรณะประพฤติช่ัวก็ไปอบายได อักขรวิธี ตําราวาดวยวิธีเขียนและอาน ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได ธรรม หนังสอื ใหถ ูกตอง เปนเคร่ืองตัดสิน และธรรมเปนของ อักษร ตัวหนงั สอื ประเสริฐสุด ผทู ส่ี ้นิ อาสวกเิ ลสแลว เปน อคั คสาวก ดู อัครสาวก ผูประเสริฐสุดในวรรณะทั้งสี่ ผูที่ อคั คญั ญสตู ร ชอ่ื สตู รที่ ๔ แหง ทฆี นกิ าย สมบูรณดวยวิชชาและจรณะ เปนผู ปาฏกิ วรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทรงแสดง ประเสรฐิ สดุ ในบรรดาเทวะ และมนษุ ย แกสามเณรวาเสฏฐะ และสามเณร ท้งั ปวง ภารัทวาชะ ผูออกบวชจากตระกูล อัคคิ ไฟ, ไฟกเิ ลส, กิเลสดจุ ไฟเผาลนจติ พราหมณ ทรงคดั คา นคาํ กลา วอา งของ ใจใหเรา รอน มี ๓ คือ ๑. ราคคั คิ ไฟคือ พวกพราหมณ ที่ถือวาพราหมณเปน ราคะ ๒. โทสคั คิ ไฟคอื โทสะ ๓.โมหคั คิ วรรณะประเสริฐท่ีสุด และถือวาชาติ ไฟคือโมหะ กําเนิดเปนเคร่ืองตัดสินความประเสริฐ อัคคเิ วสสนโคตร ตระกลู อัคคเิ วสสนะ และความตํา่ ทรามของมนุษย ทรงแสดง เปนตระกูลของปริพาชกคนหน่ึงช่ือ ใหเห็นวา ความประเสริฐหรือตาํ่ ทรามนน้ั ทีฆนขะ อยูท่ีความประพฤติ โดยมีธรรมเปน อคั ฆสโมธาน การประมวลโดยคา , เปน เครือ่ งตดั สิน คนวรรณะตา งๆ ออกบวช ช่ือปริวาสที่ภิกษุผูปรารถนาจะออกจาก ในพระพุทธศาสนาแลว ยอ มช่อื วาเปนผู อาบัติสังฆาทิเสสซ่ึงตองหลายคราว มี เกิดจากธรรมเสมอกันหมด แลวทรง จาํ นวนวันปดไมเทา กนั ประมวลอาบตั ิ แสดงความเปน มาของสังคมมนุษย เริ่ม และวนั เขาดว ยกนั อยูป รวิ าสเทาจาํ นวน แตเกิดมีสัตวขึ้นในโลกแลวเปลี่ยน วนั ทมี่ ากท่ีสุด เชน ตองอาบัติ ๓ คราว,
อัคร ๕๒๑ อังครี ส คราวหนึง่ ปด ไว ๓ วนั คราวหน่งึ ปด ไว จติ ตคฤหบดีและหตั ถกะอาฬวกะ; ดู ตลุ า ๕ วัน คราวหน่ึงปดไว ๗ วนั อยูปรวิ าส อคั รอปุ ฏฐายิกา อุบาสกิ าผดู ูแลอปุ ถมั ภ เทา จาํ นวนมากทส่ี ุด คอื ๗ วัน; ดู บาํ รุงพระพทุ ธเจาอยางเยยี่ มยอด ไดแ ก สโมธานปริวาส วสิ าขามหาอุบาสิกา (แตพ บในอรรถกถา อคั ร เลศิ , ยอด, ลา้ํ เลศิ , ประเสรฐิ , สงู สดุ แหงหน่ึง จัดเจาหญิงสปุ ปวาสา โกลิย- อคั รพหสู ูต พหูสูตผูเ ลศิ , ยอดพหสู ตู , ราชธดิ า เปนอคั รอปุ ฏฐ ายิกา); ดู ตุลา ผูคงแกเรยี นอยา งยอดเยีย่ ม หมายถงึ อัครอุปฏฐิกาอุบาสิกา อุบาสิกาผู พระอานนท อุปถัมภบํารุงท่ีเลิศ, บางทีเรียกสั้นวา อคั รสาวก สาวกผเู ลศิ , สาวกผยู อดเยยี่ ม อัครอุบาสิกา คืออุบาสิกาผูยอดเย่ียม หมายถึงพระสารีบุตร (เปนอัครสาวก หมายถึง เวฬุกณั ฏกีนันทมารดา และ เบื้องขวา) และพระมหาโมคคัลลานะ ขชุ ชุตตรา; ดู ตุลา (เปน อัครสาวกเบ้ืองซาย); ดู ตลุ า องั คะ๑ องค, สว นประกอบ, คุณสมบตั ,ิ อคั รสาวกิ า สาวกิ าผเู ลศิ , สาวกิ าผยู อด อวยั วะ เชนในคาํ วา องั คบริจาค (การ เยย่ี ม หมายถงึ พระเขมา (เปน อคั รสาวกิ า สละใหอ วัยวะ); ดู องค 1. เบื้องขวา) และพระอบุ ลวรรณา (เปน อังคะ๒ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ อคั รสาวกิ าเบ้อื งซาย); ดู ตลุ า แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูทิศ อคั รอบุ าสก อุบาสกผูเลิศ, อบุ าสกผยู อด ตะวนั ออกของแควน มคธ มแี มน า้ํ จมั ปา เยย่ี ม หมายถึงจติ ตคฤหบดี และหตั ถกะ ก้ันแดน และมนี ครหลวงชอ่ื จมั ปา ใน อาฬวกะ; ดู ตุลา พทุ ธกาล แควนอังคะข้นึ กับแควนมคธ อคั รอบุ าสิกา อุบาสกิ าผเู ลิศ, อบุ าสกิ าผู อังคาร ถานเถาท่ีถวายพระเพลิงพระ ยอดเยย่ี ม หมายถงึ เวฬกุ ัณฏกนี นั ท- พุทธสรรี ะ มารดา และขุชชตุ ตรา; ดู ตุลา อังคารสตปู พระสถูปท่บี รรจพุ ระองั คาร อัครอุปฏฐาก ผูเฝารับใชพระพุทธเจา ซ่ึงโมริยกษตั รยิ สรางไวท ี่เมอื งปปผลวิ ัน อยางเย่ียมยอด ไดแกพระอานนท; ดู อังคาส ถวายพระ, เลยี้ งพระ ตลุ า อังคีรส “มีพระรศั มเี ปลง จากพระองค” , อคั รอปุ ฏ ฐ ากอบุ าสก อุบาสกผูอุปถัมภ พระนามอยางหน่ึง ในบรรดาพระนาม บํารุงท่ีเลิศ, บางทีเรียกสั้นวา อัคร- มากมายที่เปนกลางๆ ใชแกพระพุทธ อบุ าสก คอื อบุ าสกผยู อดเยย่ี ม หมายถึง เจาพระองคใดก็ได, ที่ใชแกพระพุทธ
องั คดุ ร ๕๒๒ อังคุลิมาละ เจา พระองคป จ จุบนั พบในพระไตรปฎ ก คํากลาวของพระกาฬุทายีน้ี มีคําวา หลายแหง เชน ในอาฏานาฏยิ สูตร (ที.ปา. “อังครี ส” ซึ่งพระอรรถกถาจารยอ ธบิ าย ๑๑/๒๐๙/๒๑๐) ที่สวดกันอยเู ปน ประจําวา วา “คําวา ‘องั คีรส’ แปลวา ผสู มั ฤทธิ์ “องคฺ รี สสสฺ นมตถฺ ุ สกยฺ ปตุ ตฺ สสฺ สริ มี โต” พระคุณมีศีลเปนตน ท่ีทําใหเปนองค หรืออยางท่ีพระวังคีสะประพันธคาถา เปนอัน (หรือเปนเนื้อเปนตัว) แลว, ถวายพระสดุดี (สํ.ส.๑๕/๗๕๙/๒๘๗, ขุ.เถร. อาจารยอ กี พวกหน่งึ (อปเร) แปลวา ‘ผู ๒๖/๔๐๑/๔๓๗) ใชค าํ วา “พระองั ครี ส มหา- มีพระรัศมีเปลงฉายออกจากพระวรกาย มุนี”, แตมีบันทึกในอรรถกถาบางแหง ทุกสวน’ แตอาจารยบางพวก (เกจิ) (เถร.อ.๒/๕๐/๑๙๑; อป.อ.๒/๓๕๐/๗๐) ซง่ึ อา ง กลา ววา ‘พระพุทธบดิ าน่นั แหละ ไดท รง อิงเร่ืองท่ีพระเจาสุทโธทนะสงกาฬุทายี เลือกเอาพระนาม ๒ อยางน้ี คือ อํามาตยไปอาราธนาพระพุทธเจาเสด็จ องั ครี ส และสทิ ธตั ถะ’” คาํ อธบิ ายนี้ บอก กรุงกบิลพัสดุ กาฬุทายีน้ันเมื่อไปเฝา ใหรูถึงมติอันหน่ึง ซึ่งเปนของเกจิ พระพทุ ธเจา ไดฟ ง ธรรม บรรลุอรหตั ต- อาจารย ที่บอกวา ‘อังคีรส’ กเ็ ปนพระ ผล บวชแลว ตอมา เม่อื พระพทุ ธเจา รับ นามสวนพระองคของพระพุทธเจาพระ อาราธนาและออกเสด็จพุทธดําเนินมา องคป จจุบนั เชน เดยี วกับ ‘สทิ ธัตถะ’; ดู เพ่ือจะทรงเยยี่ มพระพทุ ธบิดา ครัน้ มา พระพทุ ธเจา ในระหวางทาง ทา นพระกาฬทุ ายีไดเ ดนิ อังคุดร หมายถงึ อังคตุ ตรนิกาย ทางลว งหนา มาแจง ขา ว พระเจา สทุ โธทนะ อังคุตตรนิกาย ช่ือนิกายท่ีสี่ในบรรดา ทอดพระเนตรเห็นพระกาฬุทายีในเพศ นกิ าย ๕ แหง พระสุตตนั ตปฎ ก เปน ที่ ภิกษุ ทรงจาํ ไมได ตรสั ถามวา ทา นเปน ชมุ นมุ พระสตู รซงึ่ จดั เขา ลาํ ดบั ตามจาํ นวน ใคร พระกาฬุทายีจึงกลาวตอบถวาย หวั ขอ ธรรม เปน หมวด ๑ (เอกนบิ าต) พระพรวา “อาตมภาพเปนบุตรของพระ หมวด ๒ (ทุกนบิ าต) เปนตน จนถึง พุทธเจา ผูทรงฝา ไปไดใ นสิ่งทใี่ ครๆ ไม หมวด ๑๑ (เอกาทสกนิบาต) อาจทนไหว องคพ ระอังคีรส ผูค งท่ี ไม องั คตุ ตราปะ ชอื่ แควน หนงึ่ ในชมพทู วปี มผี ูใดเปรยี บปาน ดกู รมหาบพิตร พระ ครง้ั พทุ ธกาล มเี ขตตดิ ตอ กบั แควน องั คะ องคเ ปน โยมบดิ าแหง พระบดิ าของอาตม- ทอี่ ยทู างตะวนั ออกของมคธ เมอื งหลวง ภาพ ดูกรทา วศากยะโคดม พระองคเ ปน เปน เพยี งนคิ มชอื่ อาปณะ พระอยั กาของอาตมภาพ โดยธรรม” ใน องั คุลมิ าละ ดู องคลุ ิมาล
อังคุลมิ าลปริตร ๕๒๓ อัญญภาคยิ สิกขาบท องั คลุ มิ าลปริตร ดู ปรติ ร อัชฌัตติกทาน (ทานภายใน, ใหของ องั สะ ผาทภี่ กิ ษใุ ชห อยเฉวยี งบา ภายใน) อชั ฌัตตกิ ายตนะ (อายตนะ อัจเจกจีวร จีวรรีบรอน หรือผาดวน ภายใน); ตรงขา มกบั พาหริ ะ หมายถึง ผา จํานําพรรษาทีท่ ายกผมู ีเหตุ อชั ฌัตติกรปู ดูที่ รูป ๒๘ รบี รอ น ขอถวายกอนกาํ หนดเวลาปกติ อัชฌาจาร ความประพฤติชั่ว, การ (กําหนดเวลาปกติสําหรับถวายผาจํานํา ละเมิดศีล, การลวงมรรยาท, การ พรรษา คือ จวี รกาลนั่นเอง กลา วคือ ละเมดิ ประเพณี ตอ งผานวนั ปวารณาไปแลว เร่มิ แตแ รม อชั ฌาสยั นสิ ัยใจคอ, ความนยิ ม, ความ ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่า เดือน มีนํ้าใจ ๑๒ และถา กรานกฐนิ แลว นับตอ ไปอีก อัญชนะ กษัตริยโกลิยวงศผูครอง ถงึ ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดือน ๔; เหตุรบี รอนน้ัน เทวทหนคร มมี เหสีพระนามวา ยโสธรา เชน เขาจะไปทัพ หรือเจ็บไขไมไวใจ เปนพระชนกของพระมหามายาเทวีผู ชีวติ หรอื มศี รทั ธาเล่อื มใสเกิดขน้ึ ใหม) เปนพระพุทธมารดาและพระนางมหา- อจั เจกจีวรเชนน้ี มพี ทุ ธานุญาตใหภิกษุ ปชาบดีโคตมี (ตาํ นานวา มีโอรสดวย ๒ รบั เก็บไวไ ด แตต อ งรับกอนวนั ปวารณา องค คือ ทณั ฑปาณิ และสปุ ปพทุ ธะ) ไมเ กนิ ๑๐ วนั (คือตงั้ แตข ้นึ ๖ คํา่ ถึง อัญชลีกรรม การประนมมอื แสดงความ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๑) (สกิ ขาบทที่ ๘ แหง เคารพ ปตตวรรค นสิ สัคคิยปาจติ ตยี ) อชฺ ลกี รณโี ย (พระสงฆ) เปน ผคู วรไดร บั อัจฉริยะ “เหตุอนั ควรทจี่ ะดดี นว้ิ เปาะ”, อญั ชลกี รรม คอื การประนมมอื ไหว กราบ อศั จรรย, แปลกวิเศษ, นา ทึ่งควรยอม ไหว เพราะมีความดีที่ควรแกการไหว รับนบั ถือ, ดีเลิศลาํ้ นาพศิ วง, มคี วามรู ทําใหผูไหวผูกราบ ไมตองกระดากใจ ความสามารถทรงคณุ สมบตั เิ หนอื สามญั (ขอ ๘ในสงั ฆคณุ ๙); อชฺ ลกิ รณโี ย กใ็ ช อญั ญเดยี รถีย ผถู อื ลัทธนิ อกพระพทุ ธ- หรือเกินกวาระดบั ปกติ อชั ฏากาศ “อากาศท่ีไมมชี ฏั ” (ท่ีวา งอนั ศาสนา ไรส ิง่ รกรงุ รงั ), อากาศทีเ่ วง้ิ วาง คือ ทอ ง อัญญภาคยิ สิกขาบท ชอ่ื สิกขาบทที่ ๙ ฟา กลางหาว, อชฏากาศ ก็เขยี น (บาล:ี แหงสังฆาทิเสส (ภิกษุหาเลสโจทภิกษุ อชฏากาส); ดู อากาศ ๓, ๔ อน่ื ดว ยอาบตั ิปาราชิก), เรียกอีกชือ่ หนึ่ง อัชฌัตตกิ ะ ภายใน, ขา งใน เชนในคําวา วา ทุตยิ ทฏุ ฐโทสสิกขาบท
อญั ญวาทกกรรม ๕๒๔ อญั ญาโกณฑัญญะ อัญญวาทกกรรม กรรมทจ่ี ะพงึ กระทํา อญั ญสัตถุเทศ การถือศาสดาอนื่ จดั แกภ ิกษผุ ูกลาวคําอื่น คือภกิ ษปุ ระพฤติ เปน ความผดิ พลาดสถานหนกั (ขอ ๖ อนาจาร สงฆเ รียกตวั มาถาม แกลง ยก ในอภิฐาน ๖) เรอ่ื งอ่นื ๆ มาพูดกลบเกล่อื นเสยี ไมให อญั ญสตั ววสิ ยั วสิ ัยของสัตวอนื่ , วิสยั การตามตรง, สงฆสวดประกาศความ ของสัตวท ัว่ ๆ ไป น้ันดวยญัตติทุติยกรรม เรียกวายก อญั ญาโกณฑัญญะ พระมหาสาวกผูเปน อญั ญวาทกกรรมข้นึ , เม่อื สงฆประกาศ ปฐมสาวกของพระพทุ ธเจา เปน รูปหนึ่ง เชนน้ีแลว ภิกษุน้ันยังขืนทําอยางเดิม ในคณะพระปญจวัคคีย เปนบุตร อกี ตองอาบัติปาจิตตีย (สิกขาบทที่ ๒ พราหมณมหาศาล เกิดทหี่ มูบ านโทณ- แหงภูตคามวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ) ; คกู ับ วตั ถุ ไมไกลจากกรงุ กบิลพัสดุ เดิมชื่อ วิเหสกกรรม โกณฑญั ญะ เปน พราหมณหนมุ ทสี่ ดุ ใน อญั ญสมานาเจตสกิ เจตสิกทีม่ ีเสมอกนั บรรดาพราหมณ ๘ คน ผทู าํ นายลกั ษณะ แกจติ ตพวกอืน่ คอื ประกอบเขา ไดกับ ของสิทธัตถกุมาร และเปนผูเดียวท่ี จิตตทกุ ฝา ยท้งั กศุ ลและอกุศล มใิ ชเ ขา ทาํ นายวา พระกมุ ารจะทรงออกบรรพชา ไดฝายหนงึ่ ฝา ยเดียว มี ๑๓ แยกเปน ไดตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาอยาง ก. สัพพจิตตสาธารณเจตสกิ (เจตสิกที่ แนนอน มคี ตเิ ปน อยางเดียว ตอมาทา น เกิดทั่วไปกับจิตตทุกดวง) ๗ คือ ออกบวชตามเสด็จพระสิทธตั ถะ ขณะ ผัสสะ (ความกระทบอารมณ) เวทนา บําเพ็ญทุกรกิริยา เปนหัวหนาพระ สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย เบญจวคั คยี และไดนําคณะหลกี หนีไป มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไวในใจ, เม่ือพระมหาบุรุษเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยา ใสใ จ) กลับเสวยพระกระยาหาร ตอมาเมื่อพระ ข. ปกิณณกเจตสิก (เจตสกิ ท่ีเร่ยี รายคือ พุทธเจาตรัสรูแลวเสด็จไปโปรด ทา น เกิดกับจิตตไดท้ังฝายกุศลและอกุศล สดบั ปฐมเทศนาไดด วงตาเหน็ ธรรม ขอ แตไ มแนนอนเสมอไปทุกดวง) ๖ คอื บรรพชาอุปสมบทเปนปฐมสาวกของ วติ ก (ความตรกึ อารมณ) วิจาร (ความ ตรองอารมณ) อธิโมกข (ความปกใจใน พระพุทธเจา อารมณ) วิริยะ ปติ ฉนั ทะ (ความพอใจ โกณฑัญญะ ที่ไดชอื่ วา อัญญา- โกณฑญั ญะ เพราะเมอ่ื ทา นฟง ปฐมเทศนา ในอารมณ) ของพระพทุ ธเจา และไดธ รรมจกั ษุ พระ
อญั ญาตาวินทรยี ๕๒๕ อตั ตนยิ ะ พทุ ธเจา ทรงเปลง อทุ านวา “อฺ าสิ วต หนัก, แสดงอาบัติมีสวนเหลือวาเปน โภ โกณฑฺ โฺ ๆ” (โกณฑญั ญะไดร ู อาบตั ไิ มมีสว นเหลอื , แสดงอาบัตหิ ยาบ แลว หนอๆ) คาํ วา อญั ญา จงึ มารวมเขา คายวามิใชอาบัติหยาบคาย (ฝายคูก็ กับช่ือของทาน ตอมาทานไดสําเร็จ ตรงขามจากนี้ตามลําดับ เชน แสดง อรหัตดวยฟงอนัตตลักขณสูตร ไดร บั ธรรมวามิใชธรรม, แสดงวินัยวามิใช ยกยอ งเปน เอตทคั คะในทางรตั ตญั ู (รู วินัย ฯลฯ แสดงอาบัตไิ มห ยาบคายวา ราตรีนาน คือ บวชนาน รูเ หน็ เหตกุ ารณ เปน อาบตั หิ ยาบคาย) มากมาแตต น ) ทา นทลู ลาพระพทุ ธเจา ไป อัฏฐิ กระดกู , บัดนี้เขียน อฐั ิ อยูท่ีฝงสระมันทากินี ในปาฉัททันตวัน อัฏฐมิ ญิ ชะ เย่อื ในกระดกู (ปจจบุ นั แปล แดนหิมพานต อยู ณ ท่ีนั้น ๑๒ ป ก็ วา ไขกระดกู ) ปรินิพพานกอนพุทธปรินิพพาน; ดู อฐั บริขาร บริขาร ๘; ดู บรขิ าร โกณฑญั ญะ อัฑฒกุสิ เสนค่ันดุจคันนาขวางระหวาง อญั ญาตาวนิ ทรยี ดู อินทรยี ๒๒ ขัณฑกับขณั ฑของจวี ร; เทียบ กสุ ,ิ ดู จีวร อัญญินทรีย ดู อินทรยี ๒๒ อัณฑชะ สตั วเ กดิ ในไข คอื ออกไขเปน อัฏฐกะ หมวด ๘ ฟองแลว จึงฟกออกเปนตวั เชน ไก นก อัฏฐบาน ปานะท้ัง ๘, นํา้ ปานะคือน้าํ ค้ัน จ้งิ จก เปนตน (ขอ ๒ ในโยนิ ๔) ผลไม ๘ อยา ง; ดู ปานะ อัฑฒมณฑล ชิ้นสวนของจีวรพระที่ อัฏฐารสเภทกรวตั ถุ เร่ืองทาํ ความแตก เรียกวา กระทงนอ ย หรือกระทงเลก็ มี กัน ๑๘ อยา ง, เรอ่ื งท่ีจะกอใหเ กดิ ขนาดคร่ึงหนึ่งของมณฑล (กระทง ความแตกแยกแกส งฆ ๑๘ ประการ ใหญ); เทียบ มณฑล, ดู จีวร ทา นจดั เปน ๙ คู (แสดงแตฝา ยคี่) คือ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบตนให ภิกษุแสดงสิ่งมิใชธรรมวาเปนธรรม, ลําบากเปลา คือ ความพยายามเพ่ือ แสดงสง่ิ มิใชว นิ ยั วา เปน วินยั , แสดงสง่ิ บรรลุผลท่ีหมายดวยวิธีทรมานตนเอง ทีพ่ ระตถาคตมิไดต รัสวา ไดต รสั , แสดง เชน การบาํ เพ็ญตบะตางๆ ทีน่ ยิ มกันใน สิ่งท่ีพระตถาคตมิไดประพฤติวาได หมนู กั บวชอนิ เดียจํานวนมาก (ขอ ๒ ประพฤติ, แสดงสิ่งท่ีพระตถาคตมิได ใน ท่ีสุด ๒ อยา ง) บญั ญัติ วา ไดบัญญตั ิ, แสดงอาบตั ิวา มิ อตั ตนยิ ะ สงิ่ ทเี่ นอ่ื งดว ยตน, สงิ่ ทเ่ี ปน ของ ใชอาบัติ, แสดงอาบัติเบาวาเปนอาบัติ ตน; ในภาษาไทย มกั พดู ใหส ะดวกปาก
อัตตภาพ ๕๒๖ อตั ตาธิปไตย เปนอัตตนิยา หรืออัตตนียา, เปนคาํ ตน หรอื เปน ทพ่ี งึ่ แกต นได ไมว า จะเปน ประกอบที่ใชในการอธิบายหรือถกเถียง ทิฏฐธมั มกิ ัตถะ สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื เรอื่ งอตั ตา-อนตั ตา เชน วา เมอื่ มอี ตั ตา ก็ ปรมัตถะ, ความมีชีวิตและส่ิงอันเก้ือ มอี ตั ตนยิ า จะมอี ตั ตนยิ า กต็ อ งมอี ตั ตา หนุนใหชีวิตเพียบพรอมดวยคุณสมบัติ อตั ตภาพ ความเปน ตวั ตน, ชวี ติ , เบญจ- ท้งั หลาย ท้ังทางกาย ทางสงั คม ทางจติ ขันธ, บดั น้เี ขยี น อตั ภาพ ใจ และทางปญ ญา, ชวี ิตท่ีมคี ณุ ภาพ มี อัตตวาทุปาทาน การถือมั่นวาทะวาตน คณุ คา และมีความหมาย; เทยี บ ปรตั ถะ คือความยึดถือสําคัญมั่นหมายวานั่นนี่ อัตตัตถสมบัติ “ความถึงพรอมดวย เปนตวั ตน เชน มองเหน็ เบญจขนั ธเปน ประโยชนตน” เปนพุทธคุณอยางหนึ่ง อตั ตา, อยางหยาบขึ้นมา เชน ยดึ ถอื มน่ั คือ การทไ่ี ดท รงบาํ เพ็ญพระบารมธี รรม หมายวา นเ่ี รา นัน่ ของเรา จนเปน เหตุ กําจัดอาสวกิเลสท้ังปวงและทําศีล แบงแยกเปนพวกเรา พวกเขา และเกดิ สมาธิ ปญ ญาใหบรบิ ูรณ สมบูรณดวย ความถอื พวก (ขอ ๔ ในอปุ าทาน ๔) พระญาณทั้งหลาย เพียบพรอมดวย อตั ตวินบิ าต การทําลายตัวเอง, ฆาตวั พระคุณสมบัติมากมาย เปนท่ีพึ่งของ เอง; บดั นเี้ ขียน อตั วนิ บิ าต พระองคเองได และเปนผูพรอมที่จะ อตั ตสมั มาปณิธิ การตั้งตนไวช อบ คือ บําเพ็ญกิจเพ่ือประโยชนแกชาวโลกตอ ดํารงตนอยใู นศลี ธรรม และดําเนนิ แนว ไป มกั ใชคําที่แทนกันไดวา อัตตหติ - แนในวิถีทางที่จะนําไปสูจุดหมายที่ดี สมบัติ ซึง่ แปลเหมือนกนั ; เปน คูกันกับ ปรัตถปฏบิ ตั ิ หรอื ปรหติ ปฏบิ ัติ งาม (ขอ ๓ ในจกั ร ๔) อัตตสทุ ธิ การทาํ ตนใหบรสิ ุทธิจ์ ากบาป อตั ตา ตวั ตน, อาตมนั ; ปถุ ชุ นยอ มยึด อัตตหิตสมบัติ ดู อัตตัตถสมบตั ิ มัน่ มองเห็นขันธ ๕ อยา งใดอยางหนง่ึ อตั ตญั ตุ า ความเปน ผรู จู กั ตน เชน รวู า หรือท้ังหมดเปนอัตตา หรือยึดถือวามี เรามคี วามรู ความถนดั คณุ ธรรม ความ อตั ตาเน่อื งดว ยขันธ ๕ โดยอาการอยาง สามารถ และฐานะ เปน ตน แคไ หนเพยี ง ใดอยางหนึ่ง; เทียบ อนัตตา ไร แลว ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสมเพอ่ื อตั ตาธิปเตยยะ ดู อตั ตาธปิ ไตย ใหเ กดิ ผลดี (ขอ ๓ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) อตั ตาธิปไตย ความถอื ตนเปนใหญ จะ อัตตตั ถะ ประโยชนตน, สงิ่ ทเ่ี ปน คุณแก ทําอะไรก็นึกถึงตน คํานึงถึงฐานะ ชวี ติ ชว ยใหเ ปน อยดู ว ยดี สามารถพงึ่ เกียรติศักด์ิศรี หรือผลประโยชนของ
อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ๕๒๗ อันตคาหกิ ทิฏฐิ ตนเปนสําคัญ, พึงใชแตในขอบเขตที่ อัตถจริยา ประพฤติส่ิงท่ีเปนประโยชน เปน ความดี คอื เวน ช่วั ทาํ ดดี ว ยเคารพ แกผูอ ื่น, การบาํ เพ็ญประโยชน (ขอ ๓ ตน (ขอ ๑ ในอธิปไตย ๓) ในสังคหวัตถุ ๔) อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ความตามเหน็ วา เปน ตวั ตน อัตถปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน อตั ถะ 1. ประโยชน, ผลทมี่ งุ หมาย, จดุ อรรถ, ความแตกฉานสามารถอธิบาย หมาย, อตั ถะ ๓ คอื ๑. ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ เน้ือความยอของภาษิตโดยพิสดารและ ประโยชนปจจุบัน, ประโยชนในภพน้ี ความเขาใจท่ีสามารถคาดหมายผลขาง ๒. สมั ปรายิกตั ถะ ประโยชนเบอื้ งหนา, หนาอันจะเกิดสืบเน่ืองไปจากเหตุ (ขอ ประโยชนในภพหนา ๓. ปรมัตถะ ๑ ในปฏสิ ัมภทิ า ๔) ประโยชนอ ยา งยิ่ง, ประโยชนส งู สดุ คอื อัตถสาธกะ ยังอรรถใหส าํ เรจ็ , ทําเนื้อ พระนพิ พาน; อตั ถะ ๓ อกี หมวดหนง่ึ คอื ความใหส ําเรจ็ ๑. อตั ตตั ถะ ประโยชนต น ๒. ปรัตถะ อัตถัญุตา ความเปนผรู จู กั ผล เชน รจู ัก ประโยชนผ ูอนื่ ๓. อุภยตั ถะ ประโยชน วา สุขเปน ผลแหงเหตอุ ันน้ี ทุกขเปนผล ท้ังสองฝาย 2. ความหมาย, ความ แหงเหตอุ นั นี้, รคู วามมุงหมายและรจู กั หมายแหงพุทธพจน, พระสูตร พระ ผล; ตามบาลีวา รูความหมาย เชน วา ธรรมเทศนา หรือพุทธพจน วาโดยการ ธรรมขอน้ีๆ มีความหมายอยางนี้ๆ แปลความหมาย แยกเปน อตั ถะ ๒ คอื หลักขอ น้ีๆ มีเนื้อความอยา งน้ๆี (ขอ ๒ ๑. เนยยัตถะ (พระสตู ร) ซึง่ มีความ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) หมายที่จะตองไขความ, พุทธพจนท่ี อัตถปุ ปตติ เหตุทใ่ี หม ีเร่ืองข้นึ , เหตใุ ห ตรัสตามสมมติ อันจะตองเขาใจความ เกดิ เรอื่ ง จริงแทท่ีซอนอยูอีกช้ันหนึ่ง เชนที่ตรัส อัธยาจาร ดู อชั ฌาจาร เร่ืองบุคคล ตัวตน เรา-เขา วา บุคคล ๔ อธั ยาศัย นสิ ยั ใจคอ, ความนยิ มในใจ ประเภท, ตนเปน ท่ีพง่ึ ของตน เปน ตน อันตะ ไสใหญ ๒. นีตัตถะ (พระสตู ร) ซ่ึงมีความหมาย อนั ตคาหกิ ทฏิ ฐิ ความเหน็ ทย่ี ดึ เอาทส่ี ดุ ท่ีแสดงชัดโดยตรงแลว, พุทธพจนที่ คอื แลน ไปถงึ ทสี่ ดุ ในเรอ่ื งหนงึ่ ๆ มี ๑๐ ตรัสโดยปรมัตถ ซ่ึงมีความหมายตรง อยา ง คอื ๑. โลกเทยี่ ง ๒. โลกไมเ ทยี่ ง ไปตรงมาตามสภาวะ เชน ท่ตี รัสวา รปู ๓. โลกมที ส่ี ดุ ๔. โลกไมม ที ส่ี ดุ ๕. ชพี เสียง กล่ิน รส เปนตน ; อรรถ ก็เขยี น อนั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นน้ั ๖. ชพี กอ็ ยา ง สรรี ะ
อนั ตคุณ ๕๒๘ อันเตวาสกิ กอ็ ยา ง ๗. สตั วต ายแลว ยงั มอี ยู ๘. สตั ว ตราย นา้ํ หลากมา (หรือฝนตกเมอื่ สวด ตายแลว ยอ มไมม ี ๙. สตั วต ายแลว ทงั้ มี กลางแจง ; เพอื่ หนนี าํ้ ) ๕. มนสุ สนั ตราย อยู ทง้ั ไมม ี ๑๐. สตั วต ายแลว จะมอี ยู ก็ คนมามาก (เพื่อรูเหตุหรือปฏิสันถาร) ๖. อมนสุ สันตราย ผีเขาภิกษุ (เพื่อขบั ไมใ ช ไมม อี ยู กไ็ มใ ช ผี) ๗. วาฬนั ตราย สัตวรายเชน เสือมา อนั ตคณุ ไสน อ ย, ไสท บ ในวัด (เพ่ือไลส ัตว) ๘. สิริงสปนตราย อนั ตรกปั ดู กปั งูเลอื้ ยเขามา (เพ่ือไลงู) ๙. ชวี ิตันตราย อนั ตรธานหายไป, เสอื่ มสน้ิ ไป, สญู หายไป อนั ตรวาสก ผา นงุ , สบง, เปน ผนื หนงึ่ ใน มีเรือ่ งเปนตาย เชนภกิ ษอุ าพาธโรคราย ไตรจวี ร (เพื่อชว ยแกไข) ๑๐. พรหมจรยิ นั ตราย อนั ตราบตั ิ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ทต่ี อ งใหม มีอนั ตรายแกพ รหมจรรย เชน มีคนมา อกี ในระหวา งประพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ ี คอื ตง้ั จบั ภกิ ษุ (เลิกเพราะอลหมา น); ดู ปาฏ-ิ โมกขย อ ,อเุ ทศ แตเ รม่ิ อยปู รวิ าสไปจนถงึ กอ นอพั ภาน อันตราปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ อน่ึง ภกิ ษตุ อ งอาบัตสิ ังฆาทเิ สสถา ปรนิ พิ พาน ในระหวา งอายยุ งั ไมท นั ถงึ กง่ึ มีอันตรายเหลาน้ีอยางใดอยางหน่ึงแม (ขอ ๑ ในอนาคามี ๕) ไมไดบอกอาบัติของตนพนคืนไปยังไม อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม ถอื วา ปด อาบตั ิ เหตุท่ีจะทําใหผูบวชในธรรมวินัยน้ี อันตรายิกธรรม ธรรมอันกระทํา ประพฤตพิ รหมจรรยอ ยไู ดไ มย งั่ ยนื มี ๔ อนั ตราย คือ เหตุขดั ขวางตา งๆ เชน อยา ง คอื ๑. อดทนตอ คาํ สง่ั สอนไมไ ด เหตขุ ดั ขวางการอปุ สมบท ๑๓ อยา ง มี ๒. เหน็ แกป ากแกท อ ง ๓. ฝน ใฝท ะยาน การเปนโรคเรอื้ น เปนตน อยากไดก ามคณุ ๔. รกั ผหู ญงิ อันตมิ วัตถุ “วัตถุมใี นทส่ี ุด” หมายถงึ อนั ตราย ๑๐ เหตฉุ กุ เฉนิ หรอื เหตขุ ดั ขอ ง อาบัติปาราชกิ ซึง่ ทาํ ใหภ ิกษแุ ละภิกษณุ ี ที่ทรงอนุญาตใหเลิกสวดปาฏิโมกขได ผตู อ ง มโี ทษถงึ ทส่ี ุด คือขาดจากภาวะ โดยใหส วดปาฏโิ มกขย อ แทน มี ๑๐ อยา ง ของตน (และจะบวชใหมกลับคืนสูภาวะ คอื ๑. ราชนั ตราย พระราชาเสดจ็ มา (เลกิ น้ันกไ็ มไดดว ย) สวดเพื่อรบั เสดจ็ ) ๒. โจรันตราย โจรมา อันเตวาสกิ ผอู ยใู นสํานกั , ภกิ ษผุ ขู ออยู ปลน (เพอ่ื หนภี ยั ) ๓. อคั ยนั ตราย ไฟ รวมสาํ นกั , ศิษย (ภกิ ษุผรู ับใหอ ยูรว ม ไหม (เพอื่ ดบั หรอื ปอ งกนั ไฟ) ๔. อทุ กนั - สาํ นกั เรยี กอาจารย); อนั เตวาสิกมี ๔
อันธกวินทะ ๕๒๙ อปั ปมาทะ ประเภทคือ ๑. ปพพชนั เตวาสกิ อนั เต- หมายถงึ เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา วาสกิ ในบรรพชา ๒. อปุ สมั ปทนั เตวาสกิ ท่ีแผไปในมนุษยและสัตวทั้งหลายอยาง อันเตวาสกิ ในอปุ สมบท ๓. นิสสยันเต- กวา งขวางสมาํ่ เสมอกนั ไมจ าํ กดั ขอบเขต วาสกิ อนั เตวาสกิ ผถู อื นสิ ยั ๔. ธมั มนั เต- มี ๔ คอื เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา วาสิก อันเตวาสกิ ผเู รียนธรรม ทกี่ ลาวแลว นั้น; ดู พรหมวิหาร อันธกวินทะ ชื่อหมูบานแหงหนึ่งใน อัปปมัตตกวิสัชชกะ ภิกษุผูไดรับ แควนมคธ อยูหางจากกรุงราชคฤห สมมติ คือแตงตง้ั จากสงฆ ใหมหี นาท่ี ประมาณ ๑ คาวุต คัมภีรฉบับสิงหลวา เปน ผูจ ายของเลก็ นอ ย เชน เข็มเยบ็ ผา ๓ คาวตุ ) มดี ตัดเล็บ ประคด เภสชั ทงั้ หา เปน ตน อนั ธกฏั ฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถ- ใหแกภิกษุทั้งหลาย, เปนตําแหนงหน่ึง กถา ในบรรดา เจา อธิการแหง คลัง อัปปฏิฆรูป ดูที่ อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป, อัปปมาณะ “ไมม ปี ระมาณ”, สภาวะที่ รูป ๒๘ ประมาณมิได หมายถึงธรรมท่ีเปน อปั ปณิหิตวโิ มกข ความหลดุ พนดว ยไม โลกุตตระ; ดู ปรติ ต 2. ทําความปรารถนา คือ พิจารณาเห็น อัปปมาทะ ความไมประมาท, ความเปน นามรูปเปนทุกข แลวถอนความ อยูอยางไมขาดสติ, ความไมเผลอ, ปรารถนาเสยี ได (ขอ ๓ ในวิโมกข ๓) ความไมเลินเลอเผลอสติ, ความไม อัปปณิหติ สมาธิ การเจริญสมาธิท่ที าํ ให ปลอยปละละเลย, ความระมดั ระวงั ทีจ่ ะ ถึงความหลุดพนดวยกําหนดทุกข- ไมทําเหตุแหงความผิดพลาดเสียหาย ลกั ษณะ (ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) และไมละเลยโอกาสท่ีจะทําเหตุแหง อปั ปนาปรวิ าส ดู ปรวิ าส 2. ความดีงามและความเจริญ, ความมีสติ อปั ปนาภาวนา ภาวนาขั้นแนวแน คือ รอบคอบ ฝกสมาธิถึงข้ันเปนอัปปนา เปนข้ัน ความไมประมาท พงึ กระทําในท่ี ๔ บรรลปุ ฐมฌาน (ขอ ๓ ในภาวนา ๓) สถาน คือ ๑. ในการละกายทุจริต อปั ปนาสมาธิ สมาธิแนว แน, จติ ตต งั้ มัน่ ประพฤติกายสุจริต ๒. ในการละวจี- สนิท เปน สมาธิในฌาน (ขอ ๒ ในสมาธิ ทุจริต ประพฤติวจีสจุ ริต ๓. ในการละ ๒, ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) มโนทจุ รติ ประพฤตมิ โนสจุ รติ ๔. ใน อัปปมญั ญา ธรรมท่ีแผไปไมม ีประมาณ การละความเหน็ ผดิ ประกอบความเหน็
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: