ทิฏฐวิ สิ ุทธิ ๑๓๐ ทิศหก นอกแบบแผน ทําความผิดอยูเสมอ ของมนุษย (ขอ ๓ ในวบิ ัติ ๔) ทพิ ยจักษุ ตาทิพย, ญาณพเิ ศษทที่ าํ ใหดู ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง ความเหน็ อะไรเหน็ ไดห มดตามปรารถนา; ดู ทิพพ- คือ เกิดความรูความเขาใจ มองเห็น จกั ขุ นามรูปตามสภาวะท่ีเปนจริงคลายความ ทิวงคต ไปสูส วรรค, ตาย หลงผดิ วาเปน สัตว บคุ คล ตวั ตน ลงได ทิวาวิหาร การพกั ผอนในเวลากลางวนั ทิศ ดาน, ขา ง, ทาง, แถบ; ทศิ แปด คอื (ขอ ๓ ในวิสทุ ธิ ๗) ทิฏฐิสามัญญตา ความเปนผูมีความ อุดร อีสาน บรู พา อาคเนย ทกั ษิณ เสมอกนั โดยทิฏฐ,ิ มีความเหน็ รวมกนั , หรดี ประจิม พายัพ; ทศิ สบิ คือ ทิศ มีความคดิ เหน็ ลงกันได (ขอ ๖ ในสาร- แปดนนั้ และทศิ เบอ้ื งบน (อปุ รมิ ทิศ) ทิศเบ้อื งลา ง (เหฏฐมิ ทิศ) ณยี ธรรม ๖) ทิฏุชุกัมม การทําความเห็นใหตรง, ทศิ ทกั ษณิ ทศิ ใต, ทิศเบ้ืองขวา การแกไขปรับปรุงความคิดเห็นใหถูก ทิศบรู ทิศตะวันออก, ทิศเบ้ืองหนา ตอง (ขอ ๑๐ ในบญุ กิรยิ าวัตถุ ๑๐) ทิศบูรพา ทศิ ตะวันออก ทฏิ ุปาทาน ความถอื ม่นั ในทฏิ ฐิ, ความ ทิศปจ ฉมิ ทศิ ตะวันตก, ทิศเบ้อื งหลัง ยดึ ติดฝง ใจในลทั ธิ ทฤษฎี และหลัก ทศิ พายัพ ทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนอื ความเช่ือตา งๆ (ขอ ๒ ในอุปาทาน ๔) ทศิ หก บคุ คลประเภทตา งๆ ท่ีเราตอ ง ทิพพจกั ขุ จกั ษุทิพย, ตาทิพย, ญาณ เก่ียวของสัมพันธ ดุจทิศท่ีอยูรอบตัว พิเศษของพระพุทธเจา และทานผูได จดั เปน ๖ ทิศ ดงั นี้ ๑. ปรุ ัตถมิ ทสิ ทิศ อภญิ ญาท้ังหลาย ทําใหส ามารถเลง็ เหน็ เบอ้ื งหนา ไดแก บดิ ามารดา: บตุ รธดิ า หมสู ัตวท เ่ี ปน ไปตา งๆ กันเพราะอาํ นาจ พงึ บาํ รงุ มารดาบดิ า ดังนี้ ๑. ทา นเลยี้ ง กรรม เรยี กอีกอยางวา จุตูปปาตญาณ เรามาแลว เลยี้ งทานตอบ ๒. ชวยทํากิจ (ขอ ๗ ในวชิ ชา ๘, ขอ ๕ ในอภิญญา ๖) ของทาน ๓. ดํารงวงศสกุล ๔. ทิพพจักขุญาณ ญาณคือทิพพจักขุ, ประพฤติตนใหเหมาะสมกับความเปน ความรดู จุ ดวงตาทิพย ทายาท ๕. เมอื่ ทา นลว งลบั ไปแลว ทาํ ทิพพโสต หทู พิ ย, ญาณพเิ ศษท่ที าํ ใหฟง บญุ อุทิศใหท าน; มารดาบดิ าอนุเคราะห อะไรไดย นิ หมดตามปรารถนา; ดู อภญิ ญา บุตรธดิ า ดังน้ี ๑. หามปรามจากความ ทิพย เปน ของเทวดา, วิเศษ, เลศิ กวา ชว่ั ๒. ใหต้ังอยูในความดี ๓. ใหศึกษา
ทศิ หก ๑๓๑ ทิศหก ศิลปวทิ ยา ๔. หาคูครองท่ีสมควรให ๕. สตั ยจ รงิ ใจตอ กนั ; มติ รสหายอนเุ คราะห มอบทรัพยสมบัติใหในโอกาสอันสม ตอบดังน้ี ๑. เมือ่ เพือ่ นประมาท ชวย ควร ๒. ทกั ขิณทิส ทศิ เบอ้ื งขวา ไดแ ก รักษาปองกัน ๒. เม่ือเพื่อนประมาท ครอู าจารย: ศษิ ยพงึ บาํ รุงครูอาจารย ดงั ชวยรักษาทรัพยสมบัตขิ องเพ่อื น ๓. ใน นี้ ๑. ลุกตอ นรับ แสดงความเคารพ ๒. คราวมภี ยั เปนทพี่ ึง่ ได ๔. ไมละทิง้ ใน เขา ไปหา ๓. ใฝใ จเรยี น ๔. ปรนนบิ ตั ิ ๕. ยามทกุ ขย าก ๕. นับถือตลอดถึงวงศ เรยี นศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ; ครอู าจารย ญาติของมติ ร ๕. เหฏฐิมทิส ทิศเบ้อื ง อนุเคราะหศ ษิ ยดงั นี้ ๑. ฝก ฝนแนะนํา ลาง ไดแก คนรบั ใชและคนงาน: นาย ใหเปน คนดี ๒. สอนใหเขา ใจแจมแจง พงึ บํารุงคนรับใชแ ละคนงาน ดงั นี้ ๑. ๓. สอนศิลปวทิ ยาใหสิ้นเชงิ ๔. ยกยอง จัดการงานใหทาํ ตามกาํ ลังความสามารถ ใหปรากฏในหมูเพอ่ื น ๕. สรางเครอื่ ง ๒. ใหคาจางรางวัลสมควรแกงานและ คุม กนั ภยั ในสารทศิ คือ สอนใหศ ษิ ย ความเปนอยู ๓. จดั สวัสดกิ ารดี มีชวย ปฏบิ ตั ิไดจ ริง นําวิชาไปเลย้ี งชีพทาํ การ รักษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข เปน ตน ๔. งานได ๓. ปจ ฉมิ ทิส ทิศเบือ้ งหลัง ได ไดของแปลกๆ พเิ ศษมา ก็แบง ปนให แก บุตรภรรยา: สามพี ึงบาํ รุงภรรยาดัง ๕. ใหมีวันหยุดและพักผอนหยอนใจ น้ี ๑. ยกยอ งสมฐานะภรรยา ๒. ไมดู ตามโอกาสอันควร; คนรับใชและคน หม่นิ ๓. ไมนอกใจ ๔. มอบความเปน งาน อนุเคราะหน ายดังนี้ ๑. เร่มิ ทํางาน ใหญในงานบา นให ๕. หาเคร่ืองประดบั กอ น ๒. เลิกงานทหี ลัง ๓. เอาแตข องท่ี มาใหเปนของขวัญตามโอกาส; ภรรยา นายให ๔. ทําการงานใหเรยี บรอยและดี อนเุ คราะหสามี ดงั นี้ ๑. จดั งานบานให ย่ิงขึน้ ๕. นาํ ความดีของนายไปเผยแพร เรยี บรอ ย ๒. สงเคราะหญ าตมิ ิตรท้ัง ๖. อปุ รมิ ทิส ทศิ เบ้อื งบน ไดแ ก พระ สองฝา ยดว ยดี ๓. ไมนอกใจ ๔. รักษา สงฆ สมณพราหมณ: คฤหัสถพ ึงบาํ รงุ สมบัตทิ ีห่ ามาได ๕. ขยนั ไมเ กยี จครา น พระสงฆ ดงั นี้ ๑. จะทําสงิ่ ใดกท็ ําดว ย ในงานทัง้ ปวง ๔. อตุ ตรทสิ ทศิ เบ้อื ง เมตตา ๒. จะพูดส่ิงใด ก็พูดดวย ซาย ไดแก มติ รสหาย: พึงบํารงุ มิตร เมตตา ๓. จะคดิ สิ่งใด ก็คดิ ดวยเมตตา สหาย ดงั นี้ ๑. เผอ่ื แผแ บงปน ๒. พูด ๔. ตอนรับดวยความเต็มใจ ๕. จามนี ํา้ ใจ ๓. ชวยเหลือเกอ้ื กลู กนั ๔. มี อุปถัมภดวยปจจัย ๔; พระสงฆ ตนเสมอ รว มสขุ รวมทุกขดว ย ๕. ซอื่ อนุเคราะหคฤหัสถ ดังน้ี ๑. หามปราม
ทศิ หรดี ๑๓๒ ทีฆนขสตู ร จากความชั่ว ๒. ใหต ั้งอยใู นความดี ๓. กถามกั เรยี กวา เวทนาปรคิ คหสตู ร) พระ อนุเคราะหด วยความปรารถนาดี ๔. ให สารีบุตรน่ังถวายงานพดั อยู ณ เบื้อง ไดฟ งสง่ิ ท่ียงั ไมเ คยฟง ๕. ทาํ ส่ิงทีเ่ คย พระปฤษฎางคข องพระพทุ ธองค ไดฟ ง ฟง แลว ใหแจม แจง ๖. บอกทางสวรรค เทศนานั้น และไดสําเรจ็ พระอรหตั สวน สอนวิธีดําเนินชีวิตใหประสบความสุข ทีฆนขะ เพียงแตไดดวงตาเห็นธรรม ความเจริญ; ดู คิหวิ นิ ัย แสดงตนเปนอบุ าสก ทศิ หรดี ทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต ทีฆนขสตู ร พระสูตรท่ีพระพุทธเจา ทรง ทศิ อาคเนย ทิศตะวนั ออกเฉียงใต แสดงแกทีฆนขปริพาชก (ม.ม.๑๓/๒๖๙/ ทิศอีสาน ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๒๖๓; ในอรรถกถามกั เรยี กวา เวทนา- ทิศอดุ ร ทศิ เหนือ, ทศิ เบื้องซา ย ปรคิ คหสตู ร) ทถี่ า้ํ สกุ รขาตา เขาคชิ ฌกฏู ทศิ านทุ ิศ ทิศนอ ยทิศใหญ, ทิศท่ัวๆ ไป เมอื งราชคฤห ในวนั ขนึ้ ๑๕ คา่ํ แหง ทิศาปาโมกข อาจารยผ เู ปน ประธานใน มาฆมาส หลังตรสั รไู ด ๙ เดือน ซึ่งพระ ทิศ, อาจารยผูมชี ่อื เสียงโดง ดงั สารีบุตรสดับแลวไดบรรลุอรหัตตผล, ทิสาผรณา “แผไปในทิศ” หมายถึง วาดวยการยึดถือทิฏฐิหรือทฤษฎีตางๆ เมตตาที่แผไปตอสัตวท้งั หลายในทิศนนั้ ซง่ึ เปนเหตใุ หทะเลาะววิ าทกัน ทรงสอน ทิศน้ี เปน แถบ เปน ภาค หรือเปน สว น วา เม่ือมองเห็นสภาวะของชวี ิตรางกายน้ี เฉพาะซอยลงไป (แมพรหมวหิ ารขออ่นื ที่ไมเที่ยง ไมค งทน เปน ตน ตลอดจน ก็เชนเดียวกัน); เทียบ อโนธิโสผรณา, ไมเปน ตวั ตนจริงแทแ ลว กจ็ ะละความ โอธิโสผรณา; ดู แผเมตตา, วิกุพพนา, ติดใครเยื่อใยและความเปนทาสตาม สมี าสมั เภท สนองรางกายเสียได อีกท้ังเมื่อรูเขาใจ ทก่ี ลั ปนา [ท-่ี กนั -ละ-ปะ-นา] ทซี่ ง่ึ มผี อู ทุ ศิ เวทนาท้ัง ๓ วาไมเทย่ี ง เปน สิ่งท่ีปจ จยั แตผ ลประโยชนใ หว ดั หรอื พระศาสนา ปรุงแตงขึ้นมา ปรากฏข้ึนเพราะเหตุ ทฆี ะ (สระ) มเี สยี งยาว ในภาษาบาลี ได ปจจัย จะตองสิ้นสลายไปเปน ธรรมดา แก อา อี อู เอ โอ; คกู ับ รัสสะ ก็จะจางคลายหายติดในเวทนาทั้งสาม ทฆี นขะ ชอื่ ปรพิ าชกผหู นง่ึ ตระกลู อคั ค-ิ นนั้ หลดุ พนเปน อสิ ระได และผทู ่ีมจี ติ เวสสนะ เปนหลานของพระสารีบุตร, หลดุ พนแลว อยา งนี้ กจ็ ะไมเขา ขา งใคร ขณะที่พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมแก ไมวิวาทกบั ใคร อนั ใดเขาใชพดู จากันใน ปรพิ าชกผนู ้ี (คอื ทฆี นขสตู ร แตใ นอรรถ- โลก ก็กลา วไปตามนนั้ โดยไมยึดติดถือ
ทีฆนิกาย ๑๓๓ ทุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา มั่น; ดู ทีฆนขะ เปน ความผดิ ถดั รองลงมาจากปาฏเิ ทสนยี ะ ทีฆนกิ าย นิกายทห่ี น่ึงแหง พระสุตตนั ต- เชน ภิกษุสวมเสือ้ สวมหมวก ใชผ า ปฎก; ดู ไตรปฎก โพกศีรษะ ตอ งอาบตั ิทุกกฏ; ดู อาบตั ิ ทฆี ายุ อายยุ ืน ทกุ ข 1. สภาพทท่ี นอยไู ดย าก, สภาพทค่ี ง ทีฆาวุ พระราชโอรสของพระเจาทีฆีติ ทนอยไู มไ ด เพราะถกู บบี คน้ั ดว ยความ ราชาแหงแควนโกศล ซ่ึงถูกพระเจา เกดิ ขนึ้ และความดบั สลาย เนอ่ื งจากตอ ง พรหมทัต กษัตริยแหงแควนกาสีชิง เปนไปตามเหตุปจจัยท่ีไมขึ้นตอตัวมัน แควน จบั ได และประหารชวี ติ เสยี ทฆี าว-ุ เอง (ขอ ๒ ในไตรลกั ษณ) 2. อาการแหง กุมารดํารงอยูในโอวาทของพระบิดาท่ี ทกุ ขท ปี่ รากฏขนึ้ หรอื อาจปรากฏขน้ึ ไดแ ก ตรัสกอนจะถูกประหาร ภายหลังได คน (ไดใ นคาํ วา ทกุ ขสจั จะ หรอื ทกุ ข- ครองราชสมบตั ิทง้ั ๒ แควน คอื แควน อรยิ สจั จ ซงึ่ เปน ขอ ที่ ๑ ในอรยิ สจั จ ๔) กาสีกบั แควนโกศล 3. สภาพทที่ นไดย าก, ความรสู กึ ไมส บาย ที่ธรณีสงฆ [ที่-ทอ-ระ-นี-สง] ท่ีซึ่งเปน ไดแ ก ทกุ ขเวทนา, ถา มาคกู บั โทมนสั สมบตั ขิ องวดั (ในเวทนา ๕) ทุกขหมายถึงความไม ท่ลี ับตา ทีม่ วี ตั ถุกําบงั แลเห็นไมได พอ สบายกายคือทุกขกาย (โทมนัสคือไม จะทาํ ความช่วั ได สบายใจ) แตถ า มาลาํ พงั (ในเวทนา ๓) ทล่ี ับหู ท่ีแจง ไมมีอะไรบัง แตอ ยูหาง คน ทุกข หมายถึงความไมสบายกายไม อืน่ ไมไ ดย นิ พอจะพดู เก้ียวกนั ได สบายใจ คอื ทงั้ ทกุ ขก ายและทกุ ขใ จ ทว่ี ดั ทซี่ ง่ึ ตง้ั วดั ตลอดจนเขตของวดั นนั้ ทกุ ขขันธ กองทกุ ข ทส่ี ดุ ๒ อยาง ขอ ปฏบิ ัตทิ ี่ผดิ พลาดไม ทกุ ขขัย สนิ้ ทุกข, หมดทุกข อาจนาํ ไปสูค วามพนทุกขไ ด ๒ อยา งคือ ทกุ ขตา ความเปนทุกข, ภาวะทคี่ งทนอยู ๑. การประกอบตนใหพ ัวพันดว ยความ ไมได; ดู ทุกขลักษณะ สุขในกามทั้งหลาย เรยี กวา กามสุขลั ล-ิ ทกุ ขนิโรธ ความดับทกุ ข หมายถึง พระ กานุโยค ๒. การประกอบความเหนด็ นพิ พาน เรยี กสัน้ ๆ วา นิโรธ เรยี กเต็ม เหนอื่ ยแกต นเปลา หรอื การทรมานตนให วา ทกุ ขนิโรธอริยสจั จ ลาํ บากเปลา เรียกวา อัตตกลิ มถานุโยค ทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา ขอ ปฏิบตั ใิ ห ทกุ ะ หมวด ๒ ถึงความดับทุกข หมายถึงมรรคมีองค ทุกกฏ “ทําไมด ี” ชือ่ อาบตั เิ บาอยางหน่งึ แปด เรยี กส้นั ๆ วา มรรค เรียกเต็มวา
ทุกขลักษณะ ๑๓๔ ทุคติ ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทาอริยสัจจ ทรงเลิกละเสียเพราะไมสาํ เร็จประโยชน ทกุ ขลกั ษณะ เครอ่ื งกาํ หนดวา เปน ทกุ ข, ไดจ รงิ ; เขยี นเตม็ เปน ทุกกรกริ ิยา ลักษณะที่จัดวาเปนทุกข, ลักษณะท่ี ทุคติ คติไมด ,ี ทางดาํ เนินทไ่ี มดีมคี วาม แสดงใหเหน็ วา เปน ทกุ ข คือ ๑. ถูกการ เดอื ดรอน, ที่ไปเกดิ อนั ชว่ั หรอื ที่ไปเกิด เกิดข้ึนและการดับสลายบีบค้ันอยู ของผูทํากรรมชั่ว, แดนกําเนิดท่ีไมดี ตลอดเวลา ๒. ทนไดย ากหรือคงอยูใน มากไปดวยความทกุ ข มี ๓ ไดแก นรก สภาพเดิมไมไ ด ๓. เปน ท่ีต้ังแหง ความ ดิรัจฉาน เปรต; คตทิ ไี่ มดี คือ ทุคติ ๓ ทุกข ๔. แยงตอ สขุ หรอื เปน สภาวะที่ นี้ ตรงขามกับคติทด่ี ี คือ สคุ ติ ๒ ปฏิเสธความสุข; ดู อนิจจลักษณะ, (มนษุ ย และเทพ) รวมทง้ั หมดเปน คติ๕ อนัตตลักษณะ ทกุ ขเวทนา ความรสู กึ ลาํ บาก, ความรสู กึ ทไ่ี ปเกิดหรอื แดนกําเนดิ ไมดีนี้ บาง ทเี รยี กวา อบาย หรอื อบายภูมิ (แปลวา เจบ็ ปวด, ความรสู กึ เปน ทกุ ข, การเสวย แดนซ่ึงปราศจากความเจรญิ ) แตอ บาย- อารมณท ไี่ มส บาย (ขอ ๒ ในเวทนา ๓) ภมู ิน้นั มี ๔ คอื นรก เปรต อสุรกาย ทุกขสมทุ ัย เหตุใหเ กิดทุกข หมายถึง ตัณหาสาม คือ กามตณั หา ภวตัณหา ดริ ัจฉาน, เหตุใหจ าํ นวนไมเ ทา กนั น้ัน มี วภิ วตัณหา เรียกสัน้ ๆ วา สมุทยั (ขอ ๒ ในอรยิ สจั จ ๔) เรยี กเตม็ วา ทกุ ขสมทุ ยั - คาํ อธิบาย ดงั ทอี่ รรถกถาบางแหง กลาว อรยิ สจั จ ทุกขสัญญา ความหมายรูวาเปนทุกข, ไววา (อ.ุ อ.๑๔๕; อิต.ิ อ.๑๔๕) ในกรณนี ี้ รวม อสุรกาย เขาในจาํ พวกเปรตดวย จงึ เปนทคุ ติ ๓; ตรงขามกับ สุคต;ิ ดู คติ, อบาย อน่งึ ในความหมายทล่ี ึกลงไป ถอื วา การกําหนดหมายใหมองเห็นสังขารวา นรก เปรต จนถงึ ตริ ัจฉาน ท่ีเปนทุคติก็ เปนทุกข โดยเทียบวามีทุกขเดือดรอนกวาเทวะ ทกุ รกริ ยิ า กริ ยิ าทที่ าํ ไดโ ดยยาก, การทาํ และมนุษย แตกําเนิดหรือแดนเกิดทั้ง ความเพยี รอนั ยากทใี่ ครๆ จะทาํ ได ไดแ ก หมดท้ังสิน้ แมแตทีเ่ รยี กวาสคุ ติน้ัน ไม การบําเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษ วาจะเปนเทวดา หรือพรหมชนั้ ใดๆ ก็ ดว ยวธิ กี ารทรมานตนตา งๆ เชน กลนั้ ลม เปน ทคุ ติ ท้ังนนั้ (เนตตฺ ิ.๖๑/๔๕; ๑๐๖/๑๐๕) อัสสาสะปส สาสะและอดอาหาร เปนตน เมื่อเทียบกับนพิ พาน เพราะคตเิ หลานั้น ซึ่งพระพุทธเจาไดทรงปฏิบัติกอนตรัสรู ยงั ประกอบดว ยทกุ ข หรือเปน คตขิ องผู อันเปนฝายอัตตกิลมถานุโยค และได ทย่ี ังมที ุกข
ทุจริต ๑๓๕ ทตู านทุ ตู นิกร ทุจริต ความประพฤติช่ัว, ความ กระทบใหอ ปั ยศ ตอ งอาบัติทุกกฏ แต ประพฤตไิ มดีมี ๓ คอื ๑. กายทุจรติ ถามุงเพยี งลอเลน ตองอาบัติทุพภาสิต; ประพฤติชั่วดวยกาย ๒. วจีทุจริต ดู อาบตั ิ ประพฤติช่ัวดวยวาจา ๓. มโนทุจริต ทพุ ภกิ ขภยั ภยั ดว ยหาอาหารไดย าก, ภยั ประพฤติชวั่ ดว ยใจ; เทียบ สจุ ริต ขาดแคลนอาหาร, ภยั ขา วยากหมากแพง ทุฏุลลวาจา วาจาช่ัวหยาบ เปนช่ือ ทลุ ลภธรรม สงิ่ ทไี่ ดย าก, ความปรารถนา อาบัติสงั ฆาทเิ สสขอท่ี ๓ ที่วา ภกิ ษผุ ูม ี ของคนในโลกท่ีไดสมหมายโดยยาก มี ความกําหนัด พูดเคาะมาตุคามดวย ๔ คอื ๑. ขอโภคสมบตั จิ งเกดิ มีแกเ รา วาจาชวั่ หยาบ คอื พดู เก้ยี วหญงิ กลาว โดยทางชอบธรรม ๒. ขอยศจงเกดิ มี วาจาหยาบโลนพาดพงิ เมถนุ แกเรากบั ญาติพวกพอ ง ๓. ขอเราจง ทุฏลุ ลาบตั ิ อาบัตชิ ่ัวหยาบ ไดแ กอาบัติ รักษาอายุอยไู ดยืนนาน ๔. เม่อื สิน้ ชีพ ปาราชิก และสงั ฆาทิเสส แตในบางกรณี แลว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค; ดู ทานหมายเอาเฉพาะอาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย ดวย ทตุ ิยฌาน ฌานท่ี ๒ มีองค ๓ ละวติ ก ทศุ ลี “ผูมีศีลชวั่ ”, คํานเ้ี ปน เพยี งสาํ นวน วิจารได คงมีแต ปติและสขุ อันเกิดแต ภาษาที่พูดใหแรง อรรถกถาทั้งหลาย สมาธิ กบั เอกัคคตา อธิบายวา ศีลที่ช่ัวยอ มไมม ี แตท ศุ ีล ทตุ ยิ สงั คายนา การรอยกรองพระธรรม หมายความวา ไมม ศี ลี หรอื ไรศ ลี นนั่ เอง, วินัยครง้ั ท่ี ๒ ราว ๑๐๐ ปแตพ ุทธ- ภกิ ษทุ ศุ ลี คอื ภกิ ษทุ ต่ี อ งอาบตั ปิ าราชิก ปรินพิ พาน; ดู สงั คายนา ครั้งที่ ๒ ขาดจากความเปนภิกษุแลว แตไมละ ทุติยสังคตี ิ การสงั คายนารอยกรองพระ ภกิ ขปุ ฏญิ ญา (การแสดงตวั หรอื ยนื ยนั ธรรมวินยั คร้งั ท่ี ๒ วาตนเปนภิกษุ), ความเปนผูทุศีลนั้น ทพุ พฏุ ฐภิ ยั ภยั ฝนแลง , ภยั แลง , ภยั หนักย่ิงกวาความเปนอลัชชี, คฤหัสถ ดว ยฝนไมต กตอ งตามฤดกู าล ทุศีล คอื ผูท ีล่ ะเมดิ ศีล ๕ ทง้ั หมด ทพุ ภาสติ “พูดไมด”ี “คําช่ัว” “คาํ เสยี ทูต ผทู ีไ่ ดร ับมอบหมายใหเปนผแู ทนทาง หาย” ชื่ออาบัติเบาทีส่ ดุ ทเี่ ก่ียวกับคําพูด ราชการแผนดิน, ผูท่ไี ดร บั แตง ต้ังใหไ ป เปนความผิดในลําดับถัดรองจากทุกกฏ เจรจาแทน เชน ภิกษุพูดกับภิกษุท่ีมีกําเนิดเปน ทตู านุทตู ทตู นอยใหญ, พวกทตู จัณฑาล วาเปน คนชาติจัณฑาล ถามุงวา ทูตานุทูตนิกร หมูพ วกทูต
ทูเตนปุ สัมปทา ๑๓๖ เทวทัตต ทูเตนุปสัมปทา การอปุ สมบทโดยใชท ตู , และชน้ั พรหม) การอปุ สมบทภกิ ษณุ โี ดยผา นทตู , ทเู ตนะ เทวดา หมูเทพ, ชาวสวรรค เปน คํารวม อปุ สมั ปทา หรอื ทเู ตนปู สมั ปทา กเ็ ขยี น; เรยี กชาวสวรรคท งั้ เพศชายและเพศหญงิ ดูท่ี ปกาสนียกรรม, อสัมมุขากรณีย, เทวตานสุ ติ ระลึกถงึ เทวดา คือระลึกถงึ อปุ สัมปทา คุณธรรมท่ีทําบุคคลใหเปนเทวดาตามที่ ทเู รนทิ าน “เรอ่ื งหา งไกล” หมายถงึ พทุ ธ- มีอยใู นตน (ขอ ๖ ในอนุสติ ๑๐) ประวัติต้ังแตเริ่มเปนพระโพธิสัตว เทวตาพลี ทาํ บุญอทุ ศิ ใหเทวดา, การจัด บําเพ็ญบารมีเสวยพระชาติในอดีตมา สรรสละรายไดหรือทรัพยสวนหนึ่งเปน โดยลําดับ จนถึงชาติสุดทาย คือ คาใชจายสําหรับทําบุญอุทิศแกเทวดา เวสสันดร และอบุ ัติในสวรรคชน้ั ดุสิต; โดยความเอ้ือเฟอหรือตามความเชื่อถือ, ดู พุทธประวัติ การใชรายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือ ทเู รรปู ดู รปู ๒๘ บําเพ็ญทักขิณาทานแกเทวดาคือผูควร เทพ เทพเจา , ชาวสวรรค, เทวดา; ใน แกทักขิณาที่นับถือกันสืบมา (ขอ ๕ ทางพระศาสนา ทานจดั เปน ๓ คอื ๑. แหงพลี ๕ ในโภคอาทยิ ะ ๕) สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ = พระ เทวทหะ ชอื่ นครหลวงของแควน โกลยิ ะ ราชา, พระเทวี พระราชกมุ าร ๒. อปุ ปต ต-ิ ท่ีกษตั ริยโ กลยิ วงศป กครอง พระนางสิริ เทพ เทวดาโดยกาํ เนิด = เทวดาใน มหามายาพุทธมารดา เปนชาวเทวทหะ สวรรคแ ละพรหมทงั้ หลาย ๓. วสิ ุทธ-ิ เทวทหนคิ ม คือกรุงเทวทหะ นครหลวง เทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ = พระ ของแควน โกลยิ ะนั่นเอง แตใ นพระสตู ร พทุ ธเจา พระปจ เจกพุทธเจา และพระ บางแหง เรยี ก นคิ ม เทวทตั ต ราชบตุ รของพระเจา สปุ ปพทุ ธะ อรหนั ตท้ังหลาย เทพเจา พระเจา บนสวรรค ลทั ธพิ ราหมณ เปน เชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนาง ถือวาเปนผูดลบันดาลสุขทุกขใหแก พิมพาผูเปนพระชายาของสิทธัตถกุมาร มนษุ ย เจาชายเทวทัตตออกบวชพรอมกับพระ เทพธิดา นางฟา, หญิงชาวสวรรค, อนรุ ุทธะ พระอานนท และ กัลบกอบุ าลี เทวดาผหู ญงิ เปน ตน บาํ เพญ็ ฌานจนไดโ ลกยี อภญิ ญา เทพบตุ ร เทวดาผชู าย, ชาวสวรรคเ พศชาย ตอมามีความมักใหญ ไดยุยงพระเจา เทวะ เทวดา, เทพ, เทพเจา (ช้ันสวรรค อชาตศัตรูและคบคิดกันพยายาม
เทวทูต ๑๓๗ เทโวโรหณะ ประทุษรา ยพระพทุ ธเจา กอ เร่อื งวนุ วาย ตอความช่วั และ โอตตัปปะ ความกลวั ในสงั ฆมณฑล จนถึงทําสังฆเภท และ บาป คอื เกรงกลวั ตอความชว่ั ถกู แผน ดินสบู ในท่ีสุด; ดู ปกาสนียกรรม เทวบตุ ร เทวดาผชู าย, ชาวสวรรคเ พศชาย เทวทูต ทูตของยมเทพ, สือ่ แจง ขาวของ เทวปตุ ตมาร มารคอื เทพบตุ ร, เทวบตุ ร มฤตย,ู สญั ญาณที่เตือนใหร ะลกึ ถึงคติ เปนมาร เพราะเทวบุตรบางตนท่ีมุง รา ย ธรรมดาของชีวิต มิใหมคี วามประมาท คอยขัดขวางเหนี่ยวร้ังบุคคลไวไมให จดั เปน ๓ ก็มี ไดแ ก คนแก คนเจ็บ สละความสุขออกไปบําเพ็ญคุณธรรมที่ และคนตาย, จัดเปน ๕ ก็มี ไดแก เดก็ ยิ่งใหญ ทาํ ใหบคุ คลน้ันพนิ าศจากความ แรกเกิด คนแก คนเจ็บ คนถูกลง ดี, คัมภีรสมัยหลังๆ ออกช่ือวา ราชทณั ฑ และคนตาย (เทวทตู ๓ มาใน พญาวสวัตดีมาร (ขอ ๕ ในมาร ๕) องั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต, เทวทตู ๕ มา เทวรปู รปู เทวดาท่ีนับถอื ตามลัทธทิ ่ีนับ ในเทวทูตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริ- ถือเทวดา ปณณาสก) ; สวน เทวทูต ๔ ที่เจาชาย เทวโลก โลกของเทวดา, ทอี่ ยเู ทวดา ได สทิ ธตั ถะพบกอ นบรรพชา คือ คนแก แกส วรรคก ามาพจร ๖ ชนั้ คือ ๑. จาตุ- คนเจบ็ คนตาย สมณะนน้ั ๓ อยา งแรก มหาราชกิ า ๒. ดาวดงึ ส ๓. ยามา ๔. เปนเทวทูต สวนสมณะเรียกรวมเปน ดสุ ติ ๕. นมิ มานรดี ๖. ปรนมิ มติ วสวตั ดี เทวทูตไปดวยโดยปริยาย เพราะมาใน เทฺววาจิก “มวี าจาสอง” หมายถงึ ผกู ลา ว หมวดเดยี วกัน แตใ นบาลี ทา นเรยี กวา วาจาถงึ สรณะสอง คือ พระพทุ ธและ นมิ ติ ๔ หาเรยี กเทวทตู ๔ ไม อรรถกถา พระธรรม ในสมยั ทยี่ งั ไมม พี ระสงฆ ไดแ ก บางแหงพูดแยกวา พระสิทธัตถะเห็น พาณชิ สอง คอื ตปสุ สะ และภัลลกิ ะ; เทวทตู ๓ และสมณะ (มีอรรถกถาแหง เทียบ เตวาจกิ หนึ่งอธิบายในเชิงวาอาจเรียกทั้งส่ีอยาง เทวสถาน ท่ีประดษิ ฐานเทวรปู , โบสถ เปนเทวทูตได โดยความหมายวาเปน พราหมณ ของท่ีเทวดานริ มิตไว ระหวางทางเสด็จ เทวาธิบาย ความประสงคของเทวดา เทเวศร เทวดาผูใหญ, หัวหนา เทวดา ของพระสิทธตั ถะ) เทวธรรม ธรรมของเทวดา, ธรรมที่ทํา เทโวโรหณะ “การลงจากเทวโลก” หมาย ใหเปนเทวดา หมายถงึ ธรรม ๒ อยา ง ถึงการที่พระพุทธเจาเสด็จลงจากเทว- คอื หริ ิ ความละอายแกใจ คอื ละอาย โลก ตาํ นานเลา วา ในพรรษาที่ ๗ แหง การ
เทศกาล ๑๓๘ โทมนัส บาํ เพญ็ พทุ ธกจิ พระพทุ ธเจา ไดเ สดจ็ ไป สารท เปน ตน ประทบั จาํ พรรษาในดาวดงึ สเทวโลกทรง เทศนา การแสดงธรรมส่ังสอนในทาง แสดงพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธมารดา ศาสนา, การชแ้ี จงใหร ูจ กั ดรี จู ักชว่ั , คาํ พรอมทง้ั หมูเทพ ณ ท่ีนนั้ เมือ่ ถงึ เวลา สอน; มี ๒ อยา ง คอื ๑. บคุ คลาธษิ ฐาน ออกพรรษาในวนั มหาปวารณา (วันขนึ้ เทศนา เทศนามีบุคคลเปนท่ีต้ัง ๒. ๑๕ คา่ํ เดือน ๑๑) ไดเ สด็จลงมาจาก ธรรมาธษิ ฐาน เทศนา เทศนามธี รรม สวรรคช้นั ดาวดึงส กลับคืนสโู ลกมนุษย เปนทต่ี ง้ั ณ ประตูเมืองสังกัสสะ โดยมีเทวดา เทสนาคามินี อาบัติท่ีภิกษุตองเขาแลว และมหาพรหมทั้งหลายแวดลอมลงมา จะพนไดดวยวิธีแสดง, อาบัติที่แสดง สงเสด็จ ฝูงชนจํานวนมากมายก็ไดไป แลวก็พนได, อาบัติที่ปลงตกดวยการ คอยรับเสด็จ กระทํามหาบูชาเปนการ แสดงทเ่ี รยี กวา แสดงอาบตั ิ หรือ ปลง เอิกเกริกมโหฬารและพระพุทธเจาได อาบตั ิ ไดแก อาบัติถุลลจั จัย ปาจติ ตยี ทรงแสดงธรรม มีผูบรรลุคุณวิเศษ ปาฏิเทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; ตรงขามกบั จํานวนมาก ชาวพุทธในภายหลังได อเทสนาคามนิ ี ซึง่ เปน อาบัติท่ีไมอ าจพน ปรารภเหตกุ ารณพ ิเศษครัง้ นี้ถือเปน กาล ไดดว ยการแสดง ไดแ ก ปาราชิก และ กําหนดสาํ หรับบําเพญ็ การกุศล ทาํ บุญ สังฆาทเิ สส; เทียบ วุฏฐานคามนิ ี ตักบาตรคราวใหญแดพระสงฆ เปน เทสนาปริสุทธิ ความหมดจดแหงการ ประเพณีนิยมสืบมา ดังปรากฏใน แสดงธรรม ประเทศไทย เรยี กกันวา ตกั บาตรเทโว- เทอื กเถา ตน วงศท นี่ บั สายตรงลงมา, ญาติ โรหณะ หรือนยิ มเรียกสั้นๆ วา ตกั โดยตรงต้ังแตบ ดิ ามารดาขนึ้ ไปถงึ ทวด บาตรเทโว บางวัดก็จัดพิธีในวันออก โทณพราหมณ พราหมณผ ใู หญซ งึ่ มฐี านะ พรรษา คือวนั มหาปวารณา ข้ึน ๑๕ คา่ํ เปน ครอู าจารย เปน ทเี่ คารพนบั ถอื ของคน เดอื น ๑๑ บางวดั จัดถัดเลยจากน้ัน ๑ จาํ นวนมากในชมพทู วปี เปน ผแู บง พระ วัน คือวันแรม ๑ ค่ํา เดอื น ๑๑; ดู ยมก- บรมสารีริกธาตุใหสําเร็จไดโดยสันติวิธี ปาฏหิ าริย เปน ผสู รา งตมุ พสตปู บรรจทุ ะนานทองท่ี เทศกาล คราวสมัยที่กําหนดไวเปน ใชต วงแบง พระบรมสารรี กิ ธาตุ ประเพณี เพื่อทําบุญและการรื่นเริงใน โทมนัส ความเสียใจ, ความเปน ทกุ ขใจ; ทองถิน่ เชน ตรษุ สงกรานต เขาพรรษา ดู เวทนา
โทสะ ๑๓๙ ธมกรก โทสะ ความคดิ ประทษุ รา ย (ขอ ๒ ใน โทสาคติ ลําเอียงเพราะไมชอบกัน, อกุศลมลู ๓) ลาํ เอยี งเพราะชงั (ขอ ๒ ในอคติ ๔) โทสจริต คนมีพื้นนิสัยหนักในโทสะ ไทยธรรม ของควรให, ของทาํ บญุ ตา งๆ, หงดุ หงดิ โกรธงาย แกด ว ยเจริญเมตตา ของถวายพระ (ขอ ๒ ในจริต ๖) ธ ธงแหงคฤหัสถ เคร่ืองนุงหมของ พยัญชนะทั้งหลายเทียบกัน กลาวคือ คฤหัสถ, การนุงหมอยางนิยมกันของ ในวรรคทงั้ ๕ นน้ั เรยี งจากพยญั ชนะท่ี ชาวบา น ๑ ซึง่ มีเสยี งเบาท่สี ดุ ไปจนถึงพยญั ชนะ ธงแหงเดียรถีย เคร่ืองนุงหมของ ท่ี ๔ ซึง่ มเี สยี งดงั กองที่สดุ (พยญั ชนะท่ี เดียรถยี เชน หนงั เสือ ผา คากรอง ๕ มเี สียงดังเทากับพยญั ชนะท่ี ๓) ดงั นี้ เปน ตน , การนงุ หมอยางที่ช่ืนชมกันของ พยญั ชนะท่ี๑ (ก จ ฏ ต ป) เปน สถิ ลิ อโฆสะ นกั บวชนอกพระศาสนา พยัญชนะท่ี๒ (ข ฉ ถ ผ) เปน ธนิตอโฆสะ ธชพทั โธ, ธชพทั ธ “ผ[ู ดุจ]ผูกธง”, โจร พยญั ชนะที่๓ (ค ช ฑ ท พ) เปน สิถิลโฆสะ ผรู า ยทีข่ ึ้นชื่อโดงดงั เหมอื นตดิ ธง ไมพ งึ พยญั ชนะท่ี๔ (ฆ ฌ ฒ ธ ภ) เปน ธนติ โฆสะ ใหบวช, มหาโจรองคุลิมาล เปนตน พยัญชนะท่ี๕ (ง ณ น ม) เปน สถิ ลิ โฆสะ บญั ญัติขอนี้ ธนิยะ ช่ือพระที่เอาไมหลวงไปทํากุฎี ธตรฐ ดู จาตมุ หาราช เปน ตนบัญญัตทิ ตุ ยิ ปาราชิกสิกขาบท ธนสมบัติ สมบัติคอื ทรพั ยสนิ เงินทอง ธนู มาตราวัดระยะทางเทากับ ๑ วา คือ ธนติ พยัญชนะออกเสียงแข็ง (ถูกฐาน ๔ ศอก ของตนหนัก บันลือเสียงดัง) ไดแก ธมกรก [ทะ-มะ-กะ-หฺรก] กระบอก พยญั ชนะที่ ๒ ที่ ๔ ในวรรคท้งั ๕ คือ กรองน้ําท่ีเปนบริขารของพระภิกษุ, ข, ฆ; ฉ, ฌ; ฐ, ฒ; ถ, ธ; ผ, ภ; คกู บั สถิ ลิ กระบอกทใี่ ชก รองนาํ้ โดยเอาผา กรองปด เร่ืองเสียงพยัญชนะนี้ พึงเขาใจให คลุมดานปากไว สวนดานกนปดเหลือ ครบตามหลกั โฆสะ-อโฆสะ และ สถิ ลิ - เพียงเปนรูหรือมีกรวยตรงกลางใหลม ธนิต แลวพึงทราบระดับเสียงของ ผา น ซึ่งใชปลายน้ิวปด ได ใหนาํ้ ผานเขา
ธรรม ๑๔๐ ธรรมกาย ทางปากกระบอกผานผากรอง ขับลม อันมิใชว สิ ัยของโลกไดแ ก มรรค ๔ ผล ออกทางรูที่กนจนพอแลวเอาน้ิวปดรูน้ัน ๔ นพิ พาน ๑; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. ก็จะไดนํ้าในกระบอกท่ีกรองแลว, ธม- สงั ขตธรรม ธรรมท่ีปจ จัยปรงุ แตง ไดแ ก กรณ กว็ า (บางแหง เขยี นเปน ธมั มกรก ขนั ธ ๕ ทง้ั หมด ๒. อสงั ขตธรรม ธรรม บา ง ธมั มกรณ บา ง), ถา เปนผากรองนํ้า ที่ปจจยั ไมปรงุ แตง ไดแ ก นพิ พาน เรียก ปรสิ สาวนะ; ดู บรขิ าร ธรรมกถา การกลาวธรรม, คํากลาว ธรรม สภาพท่ีทรงไว, ธรรมดา, ธรรม- ธรรม, ถอยคําที่กลาวถึงธรรม, คํา ชาต,ิ สภาวธรรม, สจั จธรรม, ความ บรรยายหรอื อธบิ ายธรรม; ธรรมีกถา ก็ จริง; เหต,ุ ตน เหตุ; ส่ิง, ปรากฏการณ, ใช ธรรมารมณ, ส่ิงที่ใจคิด; คุณธรรม, ธรรมกถกึ ผกู ลา วสอนธรรม, ผูแสดง ความด,ี ความถูกตอ ง, ความประพฤติ ธรรม, นักเทศก ชอบ; หลกั การ, แบบแผน, ธรรมเนยี ม, ธรรมกามะ ผูใ ครธรรม, ผูชอบตริตรอง หนาท;่ี ความชอบ, ความยุตธิ รรม; พระ สอดสองธรรม ธรรม, คาํ ส่ังสอนของพระพทุ ธเจา ซ่ึง ธรรมกาย 1. “ผูมธี รรมเปนกาย” เปน แสดงธรรมใหเ ปด เผยปรากฏขน้ึ พระนามอยางหนึ่งของพระพุทธเจา ธรรม ในประโยควา “ใหกลาวธรรมโดย (ตามความในอัคคัญญสูตร แหงทีฆ- บท” บาลีแสดงคําสอนในพระพุทธ- นกิ าย ปาฏกิ วรรค) หมายความวา พระ ศาสนา ท่ที านเรียงไว จะเปนพุทธภาษิต องคทรงคิดพุทธพจนคําสอนดวยพระ ก็ตาม สาวกภาษติ ก็ตาม ฤษภี าษิตก็ หทัยแลวทรงนําออกเผยแพรดวยพระ ตาม เทวดาภาษิตกต็ าม เรยี กวา ธรรม วาจา เปน เหตใุ หพระองคก ค็ ือพระธรรม ในประโยคนี้ เพราะทรงเปนแหลงที่ประมวลหรือท่ี ธรรม (ในคําวา “การกรานกฐินเปน ประชุมอยูแหงพระธรรมอันปรากฏเปด ธรรม”) ชอบแลว , ถูกระเบยี บแลว เผยออกมาแกชาวโลก; พรหมกาย หรือ ธรรม ๒ หมวดหนึง่ คอื ๑. รูปธรรม ได พรหมภตู กเ็ รียก; 2. “กองธรรม” หรอื แกร ปู ขันธท ง้ั หมด ๒. อรปู ธรรม ไดแก “ชุมนุมแหงธรรม” ธรรมกายยอ มเจรญิ นามขนั ธ ๔ และนิพพาน; อีกหมวด งอกงามเติบขยายขึ้นไดโดยลําดับจน หนึง่ คอื ๑. โลกยี ธรรม ธรรมอนั เปน ไพบลู ย ในบคุ คลผเู มอื่ ไดส ดับคาํ สอน วสิ ยั ของโลก ๒. โลกตุ ตรธรรม ธรรม ของพระองคแลวฝกอบรมตนดวย
ธรรมของฆราวาส ๔ ๑๔๑ ธรรมเจดีย ไตรสิกขาเจริญมรรคาใหบรรลุภูมิแหง ดว ยตนเอง ๓. อกาลโิ ก ไมป ระกอบดว ย อรยิ ชน ดังตวั อยางดํารัสของพระมหา- กาล ๔. เอหปิ สสฺ โิ ก ควรเรยี กใหมาดู ปชาบดีโคตมี เม่ือคร้ังกราบทูลลาพระ ๕. โอปนยโิ ก ควรนอ มเขา มา ๖. ปจจฺ ตตฺ ํ พุทธเจาเพื่อปรินิพพานตามความใน เวทิตพฺโพ วิฺูหิ อันวิญูชนพึงรู คัมภีรอปทานตอนหน่ึงวา “ขาแตพระ เฉพาะตน สุคตเจา หมอมฉันเปน มารดาของพระ ธรรมคุมครองโลก ดู โลกบาลธรรม องค, ขา แตพ ระธรี เจา พระองคก ็เปน ธรรมจริยา การประพฤติธรรม, การ พระบิดาของหมอมฉนั ... รปู กายของ ประพฤติเปนธรรม, การประพฤติถูก พระองคน ี้ หมอ มฉันไดท าํ ใหเ จริญเตบิ ตามธรรม เปนชื่อหน่ึงของ กุศล- โต สวนธรรมกายอันเปนที่เอิบสุขของ กรรมบถ ๑๐ หมอ มฉนั ก็เปนสิง่ อนั พระองคไดทาํ ให ธรรมจักร จักรคอื ธรรม, วงลอธรรม เจริญเติบโต”; สรุปตามนัยอรรถกถา หรืออาณาจักรธรรม หมายถึงเทศนา ธรรมกาย ในความหมายนี้ ก็คือ กัณฑแรก ท่ีพระพทุ ธเจา แสดงแกพ ระ ปญจวคั คยี (ชื่อของปฐมเทศนา เรยี ก โลกุตตรธรรม ๙ หรอื อริยสัจจ ธรรมของฆราวาส ๔ ดู ฆราวาสธรรม ๔ เตม็ วา ธมั มจกั กัปปวัตตนสตู ร) ธรรมขันธ กองธรรม, หมวดธรรม, ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมคอื ปญ ญา ประมวลธรรมเขา เปนหมวดใหญ มี ๕ รูเห็นความจริงวา ส่ิงใดก็ตามมีความ คอื สีลขันธ สมาธขิ นั ธ ปญ ญาขันธ เกดิ ขนึ้ เปน ธรรมดา สง่ิ นน้ั ทง้ั ปวงลว นมี วิมุตติขันธ วิมุตติญาณทัสสนขันธ; ความดบั ไปเปน ธรรมดา; ธรรมจกั ษโุ ดย กําหนดหมวดธรรมในพระไตรปฎกวามี ท่ัวไป เชน ทเ่ี กิดแกท า นโกณฑัญญะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ แบงเปน วนิ ัย เม่ือสดับธรรมจักร ไดแกโสดาปตติ- ปฎ ก ๒๑,๐๐๐ สุตตนั ตปฎก ๒๑,๐๐๐ มรรคหรือโสดาปตติมัคคญาณ คือ และอภิธรรมปฎก ๔๒,๐๐๐ พระ ญาณทที่ ําใหเ ปนโสดาบัน ธรรมจารี ผปู ระพฤติธรรม, ผูประพฤติ ธรรมขนั ธ ธรรมคณุ คณุ ของพระธรรม มี ๖ อยา ง เปน ธรรม, ผปู ระพฤตถิ กู ธรรม คูกับ สม- คอื ๑. สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม พระ จารี ธรรมอันพระผูมีพระภาคเจาตรัสดีแลว ธรรมเจดยี เจดยี บ รรจพุ ระธรรมคอื จารกึ ๒. สนทฺ ิฏ โ ก อันผปู ฏบิ ตั ิจะพงึ เห็นชัด พระพทุ ธพจน เชน อรยิ สจั จ ปฏิจจ-
ธรรมเจตยิ สตู ร ๑๔๒ ธรรมบท สมุปบาท เปน ตน ลงในใบลาน แลวนํา ความมีอัธยาศัยประณีต ไปบรรจใุ นเจดยี (ขอ ๓ ในเจดยี ๔) ธรรมทนิ นา ดู ธมั มทนิ นา ธรรมเจติยสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณ ณาสก แหง พระ ๑๐; ดู อภิณหปจจเวกขณ สตุ ตนั ตปฎ ก วา ดว ยขอ ความทพ่ี ระเจา ธรรมเทศนา การแสดงธรรม, การ ปเสนทิโกศลกราบทูลพระพุทธเจา บรรยายธรรม พรรณนาความเลื่อมใสศรัทธาของพระ ธรรมเทศนาปฏิสงั ยุตต ธรรมเนียมท่ี องคท ่ีมีตอ พระรัตนตรัย เก่ยี วกบั การแสดงธรรม (หมวดที่ ๓ ธรรมชาติ ของท่ีเกิดเองตามวิสัยของ แหง เสขิยวัตร มี ๑๖ สิกขาบท) โลก เชน คน สตั ว ตนไม เปนตน ธรรมเทศนาสิกขาบท สิกขาบทปรับ ธรรมฐิติ ความดํารงคงตัวแหงธรรม, อาบตั ิปาจติ ตีย แกภ ิกษุผูแสดงธรรมแก ความตง้ั อยแู นน อนแหง กฎธรรมดา มาตคุ ามเกินกวา ๕–๖ คาํ เวน แตม ีบุรุษ ธรรมดา อาการหรือความเปนไปแหง ผรู ูเ ดียงสาอยดู วย (สกิ ขาบทที่ ๗ ใน ธรรมชาติ; สามญั , ปกติ, พ้ืนๆ มุสาวาทวรรคแหง ปาจิตตีย) ธรรมทาน การใหธรรม, การสั่งสอน ธรรมนยิ าม กาํ หนดแนน อนแหง ธรรมดา, แนะนําเกี่ยวกับธรรม, การใหความรู กฎธรรมชาต,ิ ความจรงิ ทม่ี อี ยหู รอื ดาํ รง ความเขา ใจท่ถี ูกตอง; ดู ทาน อยตู ามธรรมดาของมนั ซง่ึ พระพทุ ธเจา ธรรมทายาท ทายาทแหง ธรรม, ผูรับ ทรงคนพบแลวทรงนํามาแสดงชี้แจง มรดกธรรม, ผูรับเอาธรรมของพระ อธบิ ายใหค นทง้ั หลายไดร ตู าม มี ๓ อยา ง พุทธเจามาเปนสมบัติดวยการประพฤติ แสดงความตามพระบาลดี งั นี้ ๑. สพเฺ พ ปฏบิ ตั ใิ หเ ขา ถงึ ; โดยตรงหมายถงึ รบั เอา สงขฺ ารา อนิจจฺ า สังขารทง้ั ปวง ไมเทย่ี ง โลกุตตรธรรม ๙ ไวไดด ว ยการบรรลุ ๒. สพฺเพ สงฺขารา ทกุ ฺขา สังขารทงั้ ปวง เอง โดยออมหมายถึง รบั ปฏบิ ตั ิกุศล คงทนอยมู ไิ ด ๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรม จะเปน ทาน ศีล หรอื ภาวนาก็ตาม ธรรมทง้ั ปวง ไมเ ปน ตวั ตน; ดู ไตรลกั ษณ ตลอดจนการบชู า ที่เปน ไปเพ่ือบรรลุซึ่ง ธรรมเนียม ประเพณี, แบบอยางทีเ่ คย โลกตุ ตรธรรมนัน้ ; เทยี บ อามสิ ทายาท ทํากันมา, แบบอยางที่นิยมใชกนั ธรรมทําใหงาม ๒ คือ ๑. ขนั ติ ความ ธรรมบท บทแหงธรรม, บทธรรม, ขอ อดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงี่ยมหรอื ธรรม; ชื่อคาถาบาลีหมวดหนึ่งจัดเปน
ธรรมบูชา ๑๔๓ , คัมภีรท่ี ๒ ในขุททกนิกาย พระ ขอ สงสยั ขจดั ปด เปา ขอ ตดิ ขดั ยากลาํ บาก สตุ ตนั ตปฎ ก มี ๔๒๓ คาถา เดือดรอนทั้งหลาย ใหเขาลุลวงกิจอัน ธรรมบชู า 1. “การบูชาดว ยธรรม”, การ เปน กุศล พน ความอึดอัดขดั ของ (ขอ ๒ บชู าดว ยการปฏบิ ัตธิ รรม เฉพาะอยางย่งิ ในปฏสิ ันถาร ๒) การบูชาพระพุทธเจาดวยธรรมานุธรรม- ธรรมเปนโลกบาล ๒ คือ ๑. หริ ิ ความ ปฏบิ ัติ (ขอ ๒ ในบูชา ๒) 2. “การบชู า ละอายแกใจ ๒.โอตตปั ปะ ความกลวั ซึ่งธรรม”, การบชู าพระธรรม อนั เปน บาป; ดู โลกบาลธรรม อยา งหนึ่งในพระรตั นตรยั (คอื บชู าพระ ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย ธรรมที่จะ ธรรมรตั นะ) ดว ยดอกไม ธปู เทียน ชว ยใหไ ดท ลุ ลภธรรมสมหมาย มี ๔ คอื ของหอม เปนตน หรอื (ที.อ.๓/๙๖) บูชา ๑. สทั ธาสัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศรทั ธา ทานผูเปนพหูสูต ผูทรงธรรมทรงวินัย ๒. สลี สมั ปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. จาค- ดวยไตรจีวร เปนตน ตลอดจนเคารพ สัมปทา ถงึ พรอ มดวยการบรจิ าค ๔. ธรรม ถือธรรมเปน ใหญ ดงั ท่ีพระพทุ ธ ปญญาสัมปทา ถงึ พรอ มดว ยปญ ญา เจาทรงเคารพธรรม และทรงบําเพ็ญ ธรรมพเิ ศษ ดู ธรรมวเิ ศษ พุทธกิจดวยทรงเห็นแกธรรม เพ่ือให ธรรมไพบูลย ความไพบูลยแหง ธรรม, หมูชนเขาถึงธรรม ไดประโยชนจาก ความพร่ังพรอมเต็มเปยมแหงธรรม ธรรม (เชน ม.อ.๔/๒๐๘; ม.ฏี.๓/๔๗๐) ดวยการฝกฝนอบรมใหมีในตนจน ธรรมปฏิบัติ การปฏิบัติธรรม; การ บริบูรณ หรือดวยการประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัตทิ ถ่ี ูกตองตามธรรม กันในสังคมจนแพรหลายท่ัวไปท้ังหมด; ธรรมปฏริ ูป ธรรมปลอม, ธรรมทีไ่ ม ดู ไพบลู ย, เวปลุ ละ ธรรมภาษติ ถอยคาํ ท่เี ปน ธรรม, ถอ ยคํา แท, ธรรมเทียม ธรรมปฏิสันถาร การตอ นรบั ดว ยธรรม ทแ่ี สดงธรรม หรอื เก่ียวกบั ธรรม คือกลาวธรรมใหฟงหรือแนะนําในทาง ธรรมมีอุปการะมาก ๒ คือ ๑. สติ ธรรม อยางนี้เปนธรรมปฏิสันถารโดย ความระลกึ ได ๒.สมั ปชญั ญะ ความรตู วั เอกเทศคือสวนหน่ึงดานหนึ่ง ธรรม- ธรรมยุต, ธรรมยุติกนิกาย ดู คณะ ปฏิสันถารที่บําเพ็ญอยางบริบูรณ คือ ธรรมยตุ การตอนรับโดยธรรม ไดแก เอาใจใส ธรรมรตั นะ,ธรรมรัตน รตั นะคอื ธรรม, ชว ยเหลอื สงเคราะห แกไ ขปญ หาบรรเทา พระธรรมอนั เปน อยา งหนง่ึ ในรตั นะ ๓
ธรรมราชา ๑๔๔ ธรรมสภา ทเี่ รียกวาพระรตั นตรัย; ดู รตั นตรยั ธรรม = คําสอนแสดงหลกั ความจริง ธรรมราชา 1. “ผูย งั ชาวโลกใหช ื่นบาน และแนะนาํ ความประพฤต,ิ วินัย = บท ดวย(นวโลกตุ ตร)ธรรม”, พระราชาแหง บัญญัติกําหนดระเบียบความเปนอยู ธรรม, พระราชาผูเปนเจาแหงธรรม, และกาํ กบั ความประพฤต;ิ ธรรม = เครอื่ ง พระราชาโดยธรรม หมายถึงพระพุทธ ควบคมุ ใจ, วินัย = เครอื่ งควบคุมกาย เจา 2. “ผูย ังชาวโลกใหช่นื บานดวย(ทศ และวาจา กุศลกรรมบถ)ธรรม”, ราชาผทู รงธรรม, ธรรมวภิ าค การจาํ แนกธรรม, การจดั พระเจา จกั รพรรดิ ตามคติแหงพระพทุ ธ หัวขอธรรมจําแนกออกเปนหมวดหมู ศาสนา คือ ราชาผูมีชัยชนะและครอง เพื่อสะดวกแกการศึกษาคนควาอธิบาย แผน ดนิ โดยธรรม ไมต อ งใชท ณั ฑ ไม และทาํ ความเขาใจ ตองใชศ ัสตราวธุ ธรรมวิเศษ ธรรมชั้นสูง หมายถึง ธรรมวัตร ลักษณะเทศนทาํ นองธรรมดา โลกุตตรธรรม เรยี บๆ ทแี่ สดงอยทู ั่วไป อันตา งไปจาก ธรรมศาลา หอธรรม, โรงฟง ธรรม; เปน ทํานองเทศนแบบมหาชาติ, ทํานอง คําท่ีเกิดในยุคหลังมาก และใชกันไม แสดงธรรม ซึ่งมุงอธิบายตามแนวเหตุ มาก มักเปนชื่อวัด พบบางในคัมภีร ผล มใิ ชแ บบเรยี กเราอารมณ ประเภท “วงั สะ” คอื ตํานานตา งๆ เชน ธรรมวาที “ผูมปี กตกิ ลา วธรรม”, ผพู ูด มหาวงส สาสนวงส (รปู บาลีเปน “ธมมฺ - เปนธรรม, ผพู ูดตามธรรม, ผูพูดตรง สาลา”) ตามธรรมหรอื พูดถูกตองตามหลัก ไม ธรรมสภา ทปี่ ระชมุ ฟง ธรรม, โรงธรรม; พดู ผดิ ธรรม ไมพดู นอกหลักธรรม แตเดิม ในพระไตรปฎ ก “ธรรมสภา” ธรรมวจิ ยั การเฟนธรรม; ดู ธมั มวิจยะ เปนคําท่ีใชนอย (พบในเรื่องอดีตกอน ธรรมวจิ ารณ การใครค รวญพจิ ารณาขอ พทุ ธกาลครั้งหนง่ึ คือ ในวิธุรชาดก, ขุ.ชา. ธรรมตา งๆ วา แตล ะขอ มีอรรถคือความ ๒๘/๑๐๔๐/๓๖๒, เปนอาคารหลวงในเมอื ง หมายอยา งไร ตน้ื ลกึ เพยี งไร แลว แสดง อินทปตถ หรอื อินทปตต ในกรุ รุ ัฐ, และ ความคิดเห็นออกมาวาธรรมขอน้ันขอนี้ อกี คร้งั หน่งึ เปน คาถาประพนั ธข องพระ มีอรรถคือความหมายอยางนน้ั อยา งนี้ อบุ าลีมหาสาวก, ข.ุ อป.๓๒/๘/๖๓, กลา ว ธรรมวินยั ธรรมและวนิ ัย, คําสั่งสอนทัง้ เปนความอุปมาวาพระพุทธเจาทรงเปน หมดของพระพุทธเจา ซึ่งประกอบดวย พระธรรมราชา ไดทรงสรางธรรมนคร
ธรรมสมโภค ๑๔๕ ธรรมสามคั คี ขึ้น ในธรรมนครนี้ มีพระสุตตันตะ ไป, บางอยางใหทุกขในปจจบุ นั แตมสี ขุ พระอภธิ รรม พระวินัย และพทุ ธพจนม ี เปนวิบากตอไป, บางอยางใหสุขใน องค ๙ ทัง้ สิ้น เปนธรรมสภา), ตอ มา ปจจุบัน แตมที กุ ขเ ปนวิบากตอ ไป, บาง ในชนั้ อรรถกถา “ธรรมสภา” ไดกลาย อยางใหสุขในปจจุบัน และมีสุขเปน เปนคําสามัญอันใชเรียกที่ประชุมฟง วบิ ากตอ ไป พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา เชน ธรรมสวนะ การฟง ธรรม, การหาความ ในวัดพระเชตวัน เชนเดียวกับคําวา รูความเขาใจในหลักความจริงความถูก “คันธกุฎี” ทีอ่ รรถกถาใชเ รียกพระวิหาร ตองดงี าม ดว ยการเลาเรยี น อา นและ ท่ีประทับของพระพุทธเจา ดงั ขอ ความ สดับฟง, การศึกษาหาความรูท่ี ในอรรถกถา (เชน อง.ฺ อ.๑/๑๐๑/๗๔) วา ปราศจากโทษ; ธมั มสั สวนะ ก็เขียน “พระผูมีพระภาคเจาเสด็จออกจากพระ ธรรมสวามิศร ผเู ปนใหญโดยฐานเปน คันธกุฎี มาประทับน่ังเหนือพระบวร เจา ของธรรม หมายถึงพระพทุ ธเจา พุทธอาสนท่ีเขาปูลาดไวในธรรมสภา”, ธรรมสังคาหกะ พระอรหันต ๕๐๐ อาคารที่อรรถกถาเรียกวาธรรมสภานี้ องค ผรู วบรวมรอ ยกรองพระธรรมวินยั ตามปกติก็คืออาคารท่ีในพระไตรปฎก ในคราวปฐมสงั คายนา เรียกวา “อุปฏฐานศาลา” (ศาลาที่ภกิ ษุ ธรรมสังคาหกาจารย อาจารยผูรอย ทั้งหลายมาเฝาเพ่ือฟงพระพุทธโอวาท กรองธรรม; ดู ธรรมสงั คาหกะ และสดับพระธรรมเทศนา) ดังทท่ี านไข ธรรมสงั คีติ การสงั คายนาธรรม, การ ความวา “คําวา ‘ในอุปฏฐานศาลา’ รอยกรองธรรม, การจัดสรรธรรมเปน หมายความวา ‘ในธรรมสภา’” (อปุ ฏ าน- หมวดหมู สาลายนตฺ ิ ธมมฺ สภาย,ํ วนิ ย.ฏี.๒/๑๓๔/ ธรรมสงั เวช ความสงั เวชโดยธรรมเมอ่ื ๒๗๗); ดู คนั ธกุฎี, อุปฏ ฐานศาลา เห็นความแตกดับของสังขาร (เปน ธรรมสมโภค คบหากนั ในทางเรยี นธรรม อารมณของพระอรหนั ต) ; ดู สังเวช ไดแ ก สอนธรรมให หรอื ขอเรยี นธรรม ธรรมสากจั ฉา การสนทนาธรรม, การ ธรรมสมาทาน การสมาทานยึดถือ สนทนากนั ในทางธรรม ปฏิบัติธรรม, การทํากรรม จดั ไดเปน ๔ ธรรมสามัคคี ความพรอมเพรียงของ ประเภท คือ การทาํ กรรมบางอยางให องคธรรม, องคธรรมท้ังหลายท่ีเก่ียว ทกุ ขในปจจบุ นั และมีทกุ ขเปน วิบากตอ ของทุกอยางทํากิจหนาที่ของแตละ
ธรรมสามสิ ร ๑๔๖ ธญั ชาติ อยางๆ พรอมเพรียงและประสานสอด ปฏิบัติธรรมถกู ตองตามหลกั เชน หลัก คลองกัน ใหสําเร็จผลท่ีเปนจุดหมาย ยอยสอดคลองกับหลักใหญ และเขา เชน ในการบรรลมุ รรคผล เปนตน แนวกบั ธรรมท่ีเปนจุดมงุ หมาย, ปฏิบตั ิ ธรรมสามิสร ดู ธรรมสวามศิ ร ถูกตองตามกระบวนธรรม; ดู วุฑฒิ ธรรมสามี ผเู ปนเจาของธรรม เปนคํา ธรรมาภิสมัย การตรัสรูธรรม, การ เรียกพระพุทธเจา สําเรจ็ มรรคผล ธรรมเสนา กองทัพธรรม, กองทัพพระ ธรรมารมณ อารมณค อื ธรรม, สง่ิ ทถ่ี กู รบั รู สงฆผปู ระกาศพระศาสนา ทางใจ, สงิ่ ทรี่ ดู ว ยใจ, สง่ิ ทใี่ จรสู กึ นกึ คดิ ; ดู ธรรมเสนาบดี แมท พั ธรรม, ผูเปน นาย ธัมมายตนะ, อารมณ ทพั ธรรม เปน คาํ เรยี กยกยอ งพระสารบี ตุ ร ธรรมาสน ทส่ี าํ หรบั น่งั แสดงธรรม ซ่ึงเปนกําลังใหญของพระศาสดาในการ ธรรมิกอุบาย อุบายที่ประกอบดวย ประกาศพระศาสนา ธรรม, อุบายทีช่ อบธรรม, วธิ ีท่ถี กู ธรรม ธรรมันเตวาสิก อันเตวาสิกผูเรียน ธรรมิศราธิบดี ผูเปนอธิบดีโดยฐาน ธรรมวินยั , ศษิ ยผ ูเรียนธรรมวินยั ; คกู บั เปนใหญในธรรม หมายถึงพระพุทธเจา อทุ เทศาจารย (คํากวี) ธรรมาธิปไตย ถอื ธรรมเปน ใหญ, ถือ ธรรมกี ถา ถอ ยคําที่ประกอบดวยธรรม, หลักการ ความจริง ความถูกตอง ความ การพูดหรือสนทนาเก่ียวกับธรรม, คาํ ดีงามและเหตุผลเปนใหญ ทาํ การดว ย บรรยายหรืออธิบายธรรม; นิยมใชวา ปญ ญา โดยเคารพหลกั การ กฎ ระเบยี บ ธรรมกถา กติกา มุงเพื่อความดีงาม ความจริง ธรรมุเทศ ธรรมท่ีแสดงขึ้นเปนหัวขอ, ความชอบธรรมเปน ประมาณ; ดู อธปิ ไตย หัวขอ ธรรม ธรรมาธิษฐาน มีธรรมเปนท่ีตั้ง คือ ธรรมธุ จั จ ดู ธมั มทุ ธจั จะ;วปิ ส สนปู กเิ ลส เทศนายกธรรมข้นึ แสดง เชนวา ศรัทธา ธญั ชาติ ขาวชนิดตา งๆ, พชื จาํ พวกขา ว; ศลี คืออยางน้ี ธรรมทป่ี ระพฤตดิ ีแลว ธญั ชาติ ๗ คอื สาลิ (ขา วสาล)ี , วหี ิ (ขา ว ยอมนําสุขมาให ดังนี้เปนตน; คูกับ เจา ), ยวะ (ขา วเหนยี ว), โคธมุ ะ (โคธมู ะ บคุ คลาธิษฐาน กว็ า ; ขา วละมาน), กงั คุ (ขา วฟา ง), วรกะ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ การประพฤติ (ลกู เดอื ย), กทุ รสู ะ (หญา กบั แก) ; คาํ วา ธรรมสมควรแกธรรม หมายถึงการ “ธญั ชาตดิ บิ สด” (อามกธญั ญะ) หมายถงึ
ธมั มกามตา ๑๔๗ ธัมมเทสนามยั ธญั ชาติ ๗ นเ้ี อง ทย่ี งั ไมไ ดข ดั สหี รอื ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร “พระสูตรวา กะเทาะเปลอื กออก (ยงั ไมเ ปน ตณั ฑลุ ะ) ดวยการยังธรรมจักรใหเปนไป”, พระ และยงั ไมไ ดท าํ ใหส กุ (ยงั ไมเ ปน โอทนะ) สูตรวา ดว ยการหมนุ วงลอธรรม เปน ชอื่ เชน วหี ิ คอื ขา วเปลอื กของขา วเจา ของ ปฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนา อนึ่ง พืชทีเ่ ปนของกนิ คือเปน อาหาร ครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจาทรงแสดงแก ท่ีรับประทาน (อันนะ) น้นั แบงเปน ๒ พระปญ จวคั คยี ทป่ี า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั พวก ไดแ ก บพุ พณั ณะ (แปลสบื กนั มาวา แขวงเมืองพาราณสี ในวันขน้ึ ๑๕ ค่ํา “ของทจ่ี ะพงึ กนิ กอ น” แตต ามคาํ อธิบาย เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรสู องเดอื น วา ในคมั ภรี ห ลายแหง นา จะแปลวา “ของกนิ ดว ยมชั ฌิมาปฏิปทา คอื ทางสายกลาง ทม่ี เี ปน หลกั ขน้ึ กอ น”) ไดแ ก ธญั ชาติ ๗ ซึ่งเวนท่ีสุด ๒ อยาง และวาดวย นี้ (รวมทั้งพืชท่ีอนุโลมหรือเขาพวกนี้) อรยิ สัจจ ๔ ซ่งึ พระพุทธเจา ไดต รัสรู อัน และ อปรณั ณะ (แปลสบื กนั มาวา “ของ ทําใหพระองคสามารถปฏิญาณวาได ท่ีจะพึงกินในภายหลัง” แตตามคํา ตรัสรูอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณ อธบิ ายในคมั ภรี ห ลายแหง นา จะแปลวา คือความตรัสรูเองโดยชอบอันยอด “ของกนิ ทม่ี เี พม่ิ มาอกี ทหี ลงั ” ทาํ นองของ เย่ยี ม) ทานโกณฑญั ญะ หัวหนาคณะ กนิ ประกอบ) ไดแ กพ ชื จาํ พวกถว่ั งาและ ปญจวัคคยี ฟงพระธรรมเทศนานแ้ี ลว ผักท่ีทําเปนกับแกง เชนที่ทานยกตัว ไดด วงตาเหน็ ธรรม (ธรรมจกั ษ)ุ และ อยา งบอ ย คอื มคุ คะ (ถว่ั เขยี ว) มาส ขอบวชเปนพระภิกษุรูปแรก เรียกวา (ถวั่ ราชมาส) ตลิ ะ (งา) กลุ ตั ถ (ถวั่ พ)ู เปน ปฐมสาวก อลาพุ (นา้ํ เตา ) กมุ ภณั ฑ (ฟก เขยี ว); ธมั มทินนา พระเถรมี หาสาวิกาองคห น่ึง ทั้งน้ี มคี ติโบราณเช่ือวา ครั้งตน กัป เมือ่ เปนกุลธิดาชาวพระนครราชคฤห เปน ส่งิ ทง้ั หลายแรกเกิดมีขนึ้ นน้ั บุพพัณณะ ภรรยาของวสิ าขเศรษฐี มคี วามเลื่อมใส เกิดมีกอน อปรณั ณะเกดิ ทีหลัง ในพระพุทธศาสนาบวชในสํานักนาง ธมั มกามตา ความเปน ผใู ครธ รรม, ความ ภิกษณุ ี บําเพ็ญเพียรไมน านก็ไดสําเร็จ พอใจและสนใจในธรรม, ความใฝธ รรม พระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน รักความจริง ใฝศึกษาหาความรู และใฝ เอตทัคคะในทางเปนธรรมกถกึ (เขยี น ในความดี (ขอ ๖ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ธรรมทินนา ก็ม)ี ธมั มคารวตา ดู คารวะ ธมั มเทสนามัย บุญสําเร็จดวยการแสดง
ธัมมปฏสิ ันถาร ๑๔๘ ธมั มปั ปมาณิกา ธรรม (ขอ ๙ ในบุญกิริยาวตั ถุ ๑๐) มีแบบแผน ในทีน่ ี้หมายถงึ ภาษาบาลี), ธมั มปฏสิ นั ถาร ดู ธรรมปฏสิ ันถาร ธัมมปทัฏฐกถาน้ี มชี อ่ื เฉพาะรวมอยูใน ธัมมปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน ชุดทเี่ รียกวา ปรมัตถโชตกิ า; ดู ปรมัตถ- ธรรม, เหน็ คําอธบิ ายพิสดาร ก็สามารถ โชตกิ า, อรรถกถา, โปราณฏั ฐกถา จับใจความมาตัง้ เปน หวั ขอ ได เหน็ ผลก็ ธัมมมัจฉริยะ ตระหนีธ่ รรม ไดแก หวง สืบสาวไปหาเหตุได (ขอ ๒ ใน แหนความรู ไมย อมบอก ไมยอมสอน ปฏิสัมภิทา ๔) คนอน่ื เพราะเกรงวาเขาจะรูเ ทาตน (ขอ ธัมมปทฏั ฐกถา คมั ภรี อรรถกถาอธบิ าย ๕ ในมัจฉริยะ ๕) ความในธรรมบท แหงขทุ ทกนกิ าย ใน ธมั มวจิ ยะ ความเฟนธรรม, ความสอด พระสุตตันตปฎ ก พระพุทธโฆสาจารย สอ ง สืบคนธรรม, การวิจัยหรือคน ควา นําเน้ือความในอรรถกถาเกาที่ใชศึกษา ธรรม (ขอ ๒ ในโพชฌงค ๗) และรักษาสบื ตอกนั มาในลงั กาทวปี อนั ธัมมสัมมขุ ตา ความเปน ตอ หนา ธรรม, เปนภาษาสิงหฬ เอามาเรียบเรียงกลับ พรอ มหนาธรรม ในววิ าทาธิกรณ หมาย ขนึ้ เปนภาษาบาลี เม่ือ พ.ศ. ใกลจ ะถงึ ความวา ปฏิบัติถูกตองตามธรรมวินัย ๑๐๐๐ ดังที่ทานเลาไวในปณามคาถา และสัตถุศาสนอันเปนเครื่องระงับ ของคัมภีรนี้วา พระกุมารกัสสปเถระ อธิกรณน้ัน จึงเทากับวาธรรมมาอยูท่ี (พระเถระรูปหนึ่งในลังกาทวีป ไมใช นน้ั ดว ย; ดู สัมมขุ าวินยั ทานท่ีเปนมหาสาวกในพุทธกาล) คิด ธมั มสากจั ฉา ดู ธรรมสากัจฉา หวังวา “อรรถกถาแหงพระธรรมบท ธมั มญั ุตา ความเปนผรู ูจกั เหตุ เชน รู อันละเอียดลึกซ้ึง ที่นําสืบกันมาใน จกั วา สง่ิ นเ้ี ปนเหตแุ หง สุข สง่ิ น้เี ปนเหตุ ตามพปณณทิ วีป ดาํ รงอยโู ดยภาษาของ แหง ทกุ ข; ตามอธบิ ายในบาลหี มายถงึ รหู ลกั ชาวเกาะ ไมชวยใหประโยชนสําเร็จ หรอื รหู ลกั การ เชน ภกิ ษุเปนธัมมญั ู พรอ มบรู ณแกคนพวกอน่ื ทเ่ี หลอื ได ทํา คอื รูห ลกั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ท่จี ดั อยางไรจะใหอรรถกถาแหงพระธรรม- เปนนวังคสตั ถุศาสน; ดู สัปปรุ ิสธรรม บทนั้นยังประโยชนใหสําเร็จแกโลกท้ัง ธมั มปั ปมาณกิ า ถอื ธรรมเปน ประมาณ, ปวงได” จึงไดอ าราธนาทา นใหทาํ งานนี้ ผูเลื่อมใสเพราะพอใจในเนื้อหาธรรม และทานก็ไดนําอรรถกถาน้ันออกจาก และการปฏบิ ตั ดิ ีปฏิบตั ชิ อบ เชน ชอบ ภาษาสงิ หฬ ยกขึน้ สูต ันตภิ าษา (ภาษาท่ี ฟงธรรม ชอบเห็นภิกษุรักษามารยาท
ธมั มสั สวนะ ๑๔๙ ธาต๑ุ เรียบรอ ยสํารวมอินทรีย แลนตามไปดวยธรรม”, พระอริยบคุ คล ธัมมสั สวนะ การฟงธรรม, การสดับคํา ผูตั้งอยใู นโสดาปต ตมิ รรค ท่ีมปี ญ ญนิ - แนะนําสั่งสอน; ดู ธรรมสวนะ ทรยี แรงกลา (เมอื่ บรรลผุ ล กลายเปน ธัมมัสสวนมัย บุญสําเร็จดวยการฟง ทิฏฐิปปต ตะ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ ธรรม (ขอ ๘ ในบุญกิริยาวตั ถุ ๑๐) ธัมมายตนะ อายตนะคือธรรม, ธัมมสั สวนานิสงส อานิสงสแหง การฟง ธรรมารมณ, เปนขอ ท่ี ๖ ในอายตนะ ธรรม, ผลดีของการฟง ธรรม, ประโยชน ภายนอก ๖ (คูกบั มนายตนะ [อายตนะ ที่จะไดจากการฟงธรรม มี ๕ อยางคอื คือใจ] ในฝา ยอายตนะภายใน ๖), ได ๑. ไดฟ ง สง่ิ ทยี่ งั ไมเ คยฟง ๒. สง่ิ ทเ่ี คยฟง แกส ภาวธรรมตอ ไปนี้ คือ นามขนั ธ ๓ กเ็ ขา ใจแจม แจง ชดั เจนยง่ิ ขนึ้ ๓. บรรเทา (เวทนา สญั ญา สงั ขาร) และรปู บางอยา ง ความสงสยั เสยี ได ๔. ทําความเหน็ ให ในรปู ขันธ (คอื เฉพาะอนทิ สั สนอปั ปฏฆิ - ถกู ตองได ๕. จิตของเขายอมผองใส รปู อนั ไดแ กส ขุ มุ รปู ๑๖) กบั ทง้ั อสงั ขต- ธัมมาธิปเตยยะ ถือธรรมเปนใหญ คอื ธาตุ คือนพิ พาน ซึ่งเปน ขนั ธวนิ ิมตุ คอื นึกถึงความจริง ความถูกตองสมควร เปนสภาวะพน จากขันธ ๕ (อภิ.วิ.๓๕/๑๐๐/ กอนแลว จงึ ทาํ บัดนีน้ ยิ มเขยี น ธรรมา- ๘๖); ดู สขุ ุมรปู , อายตนะ ธิปไตย; ดู อธปิ เตยยะ ธมั มกี ถา ดู ธรรมีกถา ธัมมานุธมั มปฏปิ ตติ ดู ธรรมานธุ รรม- ธัมมุทธจั จะ ความฟงุ ซา นดวยสําคัญผดิ ปฏิบตั ิ ในธรรม คอื ความฟุงซานเน่ืองจากเกดิ ธัมมานุปสสนา การตั้งสติกําหนด วิปสสนูปกิเลสอยา งใดอยางหนึ่งข้นึ แลว พิจารณาธรรม, สตพิ จิ ารณาธรรมที่เปน สําคัญผิดวาตนบรรลุธรรมคือมรรคผล กุศลหรืออกุศลที่บังเกิดกับใจเปน นิพพาน จิตก็เลยคลาดเขวออกไป อารมณวา ธรรมน้ีก็สักวาธรรมไมใช เพราะความฟงุ ซานนน้ั ไมเกิดปญ ญาท่ี สัตวบคุ คลตวั ตนเราเขา (ขอ ๔ ในสต-ิ จะเห็นไตรลกั ษณไ ดจรงิ , ธรรมธุ จั จ ก็ ปฏฐาน ๔) เขียน; ดู วปิ สสนูปกิเลส ธัมมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ธาตุ๑ สิ่งท่ีทรงสภาวะของมันอยูเองตาม (ขอ ๒ ในอนสุ ติ ๑๐) เขียนอยา งรปู ธรรมดาของเหตปุ จจยั , ธาตุ ๔ คอื ๑. เดิมในภาษาบาลเี ปน ธมั มานสุ สติ ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผไปหรือกินเน้ือที่ ธมั มานุสารี “ผแู ลน ไปตามธรรม”, “ผู เรียกสามัญวาธาตุแขนแข็งหรือธาตุดิน
ธาต๒ุ ๑๕๐ ธดุ งค ๒. อาโปธาตุ สภาวะทเ่ี อิบอาบดูดซึม ใชต ัวตนของเรา เรยี กสามัญวา ธาตเุ หลวหรอื ธาตุนาํ้ ๓. ธาตุเจดีย เจดียบรรจุพระบรม- เตโชธาตุ สภาวะที่ทําใหรอน เรียก สารีรกิ ธาตุ (ขอ ๑ ในเจดีย ๔) สามัญวา ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ สภาวะท่ี ธิติ 1. ความเพยี ร, ความเขมแขง็ มัน่ คง, ทาํ ใหเคลื่อนไหว เรยี กสามัญวา ธาตุ ความหนักแนน, ความอดทน 2. ลม; ธาตุ ๖ คือ เพ่มิ ๕. อากาสธาตุ ปญ ญา สภาวะที่วาง ๖. วิญญาณธาตุ สภาวะทีร่ ู ธรี ะ นักปราชญ, ผฉู ลาด ธดุ งค องคค ุณเคร่อื งกําจัดกเิ ลส, ช่อื ขอ แจง อารมณ หรอื ธาตรุ ู ธาต๒ุ สวนสําคญั แหง สรรี ะ ของพระพุทธ ปฏิบัติประเภทวัตร ท่ีผูสมัครใจจะพึง เจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระอรหนั ต สมาทานประพฤตไิ ด เปนอบุ ายขดั เกลา ทั้งหลาย ซึ่งคงอยูหรือรักษาไวเปนท่ี กิเลส สงเสริมความมักนอยสันโดษ เคารพบูชา เฉพาะอยางย่ิงอัฐิ รวมท้ัง เปนตน มี ๑๓ ขอคือ หมวดที่ ๑ จีวร- ปฏสิ งั ยตุ ต เกย่ี วกบั จวี ร มี ๑. ปง สกุ ูล-ิ สวนสําคัญอืน่ ๆ เชน เกสา (เกศธาต)ุ , กงั คะ ถอื ใชแตผา บังสุกุล ๒. เตจีวริ- กังคะ ใชผ าเพยี งสามผืน; หมวดท่ี ๒ เรยี กรวมๆ วา พระธาตุ (ถา กลา วถงึ ธาตุ ปณ ฑปาตปฏสิ งั ยตุ ต เกยี่ วกบั บณิ ฑบาต ของพระพุทธเจาโดยเฉพาะ เรียกวา มี ๓. ปณฑปาติกังคะ เทยี่ วบณิ ฑบาต พระบรมธาตุ พระบรมสารรี กิ ธาตุ พระ เปนประจํา ๔. สปทานจารกิ ังคะ บิณฑ- สารีริกธาตุ หรือระบุชื่อพระธาตุสวน บาตตามลําดับบาน ๕. เอกาสนิกังคะ น้ันๆ เชน พระทาฐธาตุ พระอุณหิส- ฉันม้ือเดียว ๖. ปตตปณฑิกังคะ ฉัน ธาต)ุ ; ดู สารีริกธาตุ เฉพาะในบาตร ๗. ขลปุ จ ฉาภัตตกิ ังคะ ธาตุกถา ช่ือคัมภีรท่ีสามแหงพระ อภิธรรมปฎก วาดวยการสงเคราะห ธรรมท้ังหลายเขากับ ขันธ อายตนะ ลงมือฉันแลวไมยอมรับเพ่ิม; หมวดท่ี และธาตุ (พระไตรปฎกเลม ๓๖) ๓ เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต เกย่ี วกบั เสนาสนะ ธาตุกัมมัฏฐาน กรรมฐานที่พิจารณา มี ๘. อารญั ญกิ งั คะ ถอื อยปู า ๙. รกุ ขมลู -ิ ธาตุเปนอารมณ, กําหนดพิจารณาราง กังคะ อยูโคนไม ๑๐. อัพโภกาสิกงั คะ อยูก ลางแจง ๑๑. โสสานกิ งั คะ อยปู า ชา กายแยกเปนสวนๆ ใหเห็นวาเปนแต ๑๒. ยถาสนั ถตกิ งั คะ อยูในทีแ่ ลวแตเ ขา เพียงธาตุ ๔ คอื ดิน นํา้ ไฟ ลม ประชุมกันอยู ไมใชเ รา ไมใ ชข องเรา ไม จัดให; หมวดท่ี ๔ วริ ิยปฏสิ ังยุตต เกีย่ ว
ธรุ ะ ๑๕๑ นกุลบิดา กับความเพยี ร มี ๑๓. เนสชั ชกิ ังคะ ถอื ธุวยาคู ยาคูท่ีเขาถวายเปนประจําเชนท่ี นั่งอยางเดียวไมนอน (นีแ้ ปลเอาความ นางวิสาขาถวายเปนประจําหรือที่จัดทํา สั้นๆ ความหมายละเอียดพึงดูตาม เปนของวัดแจกกนั เอง ลําดับอกั ษรของคํานนั้ ๆ) โธตกมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจาํ นวน ๑๖ ธรุ ะ “สงิ่ ทจี่ ะตอ งแบกไป”, หนา ท,่ี ภารกจิ , คน ของพราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถาม การงาน, เร่อื งทจี่ ะตอ งรบั ผิดชอบ, กจิ ปญหากะพระศาสดา ท่ีปาสาณเจดีย ในพระศาสนา แสดงไวในอรรถกถา ๒ โธโตทนะ กษตั ริยศ ากยวงศ เปน พระ อยา งคอื คนั ถธรุ ะ และวปิ ส สนาธรุ ะ ราชบุตรองคท่ี ๔ ของพระเจา สีหหนุ ธลุ ี ฝนุ , ละออง, ผง เปนพระอนุชาของพระเจาสุทโธทนะ ธุวภตั อาหารท่ถี วายเปนประจาํ , นติ ยภัต เปนพระเจาอาของพระพุทธเจา น นกลุ บดิ า “พอ ของนกลุ ”, คฤหบดชี าว ตอกันอยางบริสุทธิ์และม่ันคงยั่งยืน เมืองสุงสุมารคีรี ในแควนภัคคะ มี ตราบเทาชรา ทั้งยงั ปรารถนาจะพบกนั ภรรยาชอื่ นกลุ มารดา สมยั หนง่ึ พระ ทง้ั ชาตนิ แ้ี ละชาตหิ นา เคยทลู ขอใหพ ระ พุทธเจาเสด็จมายังเมืองสุงสุมารคีรี พุทธเจาแสดงหลักธรรมท่ีจะทําใหสามี ประทับที่ปาเภสกลาวัน ทานคฤหบดี ภรรยาครองรักกันยั่งยนื ตลอดไปท้งั ภพ และภรรยาไปเฝาพรอมกับชาวเมืองคน นแ้ี ละภพหนา เมอื่ ทา นนกลุ บดิ าเจบ็ ปว ย อื่นๆ พอไดเห็นครงั้ แรก ทงั้ สองสามี ออดแอดรา งกายออ นแอ ไมส บายดว ย ภรรยาก็เกิดความรูสึกสนิทหมายใจ โรคชรา ทา นไดฟ ง พระธรรมเทศนาครงั้ เหมือนวาพระพุทธเจาเปนบุตรของตน หนง่ึ ทท่ี า นประทบั ใจมากคอื พระดาํ รสั ไดเขา ไปถงึ พระองคแ ละแสดงความรสู กึ ทแ่ี นะนาํ ใหท าํ ใจวา “ถงึ แมร า งกายของ นนั้ พระพทุ ธเจา ไดแ สดงธรรมโปรด ทง้ั เราจะปว ย แตใ จของเราจะไมป ว ย” ทา น สองทานไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบัน นกุลบิดาไดรับยกยองจากพระพุทธเจา ทานนกุลบิดาและนกุลมารดานี้ เปนคู ใหเ ปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกผสู นทิ สามภี รรยาตวั อยา ง ผมู คี วามจงรกั ภกั ดี สนมคุนเคย (วิสสาสิกะ) ทานนกุล-
นขา ๑๕๒ นวรหคณุ มารดากเ็ ปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกิ า นลาฏ หนาผาก นวกะ 1. หมวด ๙ 2. ภิกษใุ หม, ภิกษมุ ี ผสู นทิ สนมคนุ เคยเชน เดยี วกนั นขา เล็บ พรรษายงั ไมค รบ ๕; เทยี บ เถระ, มชั ฌมิ ะ นคร เมืองใหญ, กรงุ นวกภูมิ ขน้ั ชั้น หรอื ระดบั พระนวกะ, นครโศภนิ ี หญงิ งามเมือง, หญงิ ขายตัว ระดบั อายุ คุณธรรม ความรู ที่นบั วายงั (พจนานุกรมเขียน นครโสภิณ,ี นคร- เปน ผใู หม คอื มพี รรษาตา่ํ กวา ๕ ยงั ตอ ง โสเภณี) ถอื นสิ ยั เปน ตน ; เทยี บ เถรภมู ,ิ มชั ฌมิ ภมู ิ นที แมน า้ํ ในพระวินยั หมายเอาแมน ํ้าท่ี นวกรรม การกอ สราง มีกระแสนํา้ ไหลอยู ไมใ ชแ มน า้ํ ตนั นวกัมมาธิฏฐายี ผอู าํ นวยการกอสราง นทกี สั สป นักบวชชฎลิ แหง กัสสปโคตร เชน ทพี่ ระมหาโมคคัลลานะไดรับมอบ นองชายของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายของ หมายจากพระบรมศาสดาใหเปนผู คยากสั สปะ ออกบวชตามพช่ี าย พรอม อํานวยการสรางบุพพารามท่ีนางวิสาขา ดว ยชฎิลบรวิ าร ๓๐๐ คน สําเรจ็ อรหตั บริจาคทนุ สรางท่ีกรงุ สาวตั ถี ดว ยฟง อาทติ ตปรยิ ายสตู ร เปน มหาสาวก นวกมั มกิ ะ ผดู แู ลนวกรรม, ภกิ ษผุ ไู ดร บั องคหนง่ึ ในอสีติมหาสาวก สมมติ คอื แตงตง้ั จากสงฆ ใหทาํ หนา ที่ นทีปารสีมา สีมาฝง นา้ํ คือ สีมาที่สมมติ ดูแลการกอสรางและปฏิสังขรณใน ครอ มฝงนาํ้ ท้ังสอง เปดแมน ้ําไวก ลาง อาราม, เปน ตาํ แหนง หนงึ่ ในบรรดา เจา นพเคราะห ดู ดาวพระเคราะห อธิการแหงอาราม นมสั การ “การทาํ ความนอบนอ ม” การ นวโกวาท คาํ สอนสาํ หรับผูบวชใหม, คาํ ไหว, การเคารพ, การนอบนอ ม; ใชเ ปน สอนสําหรับภิกษุสามเณรผูบวชใหม, คําข้ึนตนและสวนหน่ึงของคําลงทาย ชื่อหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นตรี จดหมายท่ีคฤหัสถมีไปถึงพระภิกษุ เปนพระนิพนธของสมเด็จพระมหา- สามเณร สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส นรก เหวแหงความทกุ ข, ท่ีอนั ไมมคี วาม นวนีตะ เนยขน ; ดู เบญจโครส สุขความเจริญ, ภาวะเรารอนกระวน นวรหคุณ คุณของพระอรหนั ต ๙ หมาย กระวาย, ที่ไปเกิดและเสวยความทุกข ถึง คุณของพระพุทธเจาผูเปนพระ ของสตั วผ ูทําบาป (ขอ ๑ ในทุคติ ๓, อรหนั ต ๙ ประการ ไดแกพทุ ธคณุ ๙ ขอ ๑ ในอบาย ๔); ดู นริ ยะ, คติ นนั่ เอง เขยี น นวารหคณุ ก็ได แต
นวังคสตั ถุศาสน ๑๕๓ นันทะ เพี้ยนไปเปน นวหรคณุ ก็มี แลเห็นกนั ไดในเวลานอน นวังคสัตถุศาสน คําส่ังสอนของพระ นอ ม ในประโยควา “ภิกษนุ อมลาภเชน ศาสดา มีองค ๙, พุทธพจนมีองค นัน้ มาเพือ่ ตน” ขอหรอื พูดเลยี บเคยี งชกั ประกอบ ๙ อยา ง, สวนประกอบ ๙ จงู เพอ่ื จะใหเ ขาให อยา งท่ีเปน คาํ สอนของพระพุทธเจา คอื นักบญุ ผูใ ฝบุญ, ผถู อื ศาสนาอยา งเครง ๑. สุตตะ (พระสูตรทัง้ หลาย รวมท้ัง ครดั , ผทู าํ ประโยชนแ กพ ระศาสนา พระวินัยปฎกและนิทเทส) ๒. เคยยะ นกั ปราชญ ผรู ู, ผูมีปญ ญา (ความที่มีรอยแกวและรอยกรองผสม นกั พรต คนถอื บวช, ผปู ระพฤติพรต กัน ไดแกพ ระสูตรทีม่ ีคาถาทัง้ หมด) ๓. นกั ษัตรฤกษ ดาวฤกษซ ึ่งอยูบนทองฟา เวยยากรณะ (ไวยากรณ คือความรอ ย มชี ือ่ ตา งๆ กัน เชนดาวมา ดาวลกู ไก แกวลว น ไดแ ก พระอภธิ รรมปฎกทงั้ ดาวคางหมู ดาวจระเข ดาวคันฉัตร หมด และพระสตู รทีไ่ มมคี าถา เปน ตน ) เปนตน ; ดู ดาวนักษัตร ๔. คาถา (ความรอยกรองลวนเชน นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นวา ไมม ี เชนเหน็ วา ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา เปน ตน) ผลบุญผลบาปไมมี บิดามารดาไมมี ๕. อุทาน (ไดแก พระคาถาพทุ ธอทุ าน ความดคี วามช่ัวไมมี เปนมจิ ฉาทิฏฐคิ อื ๘๒ สูตร) ๖. อิตวิ ตุ ตกะ (พระสตู รที่ ความเหน็ ผดิ ทรี่ า ยแรงอยา งหนงึ่ ; ดู ทฏิ ฐิ เรยี กวา อติ วิ ตุ ตกะ ๑๑๐ สตู ร) ๗. ชาตกะ นันทะ พระอนชุ าของพระพทุ ธเจา แตต าง (ชาดก ๕๕๐ เร่ือง) ๘. อพั ภตู ธรรม พระมารดา คอื ประสูตแิ ตพระนางมหา- (เร่ืองอัศจรรย คอื พระสูตรท่กี ลาวถึงขอ ปชาบดีโคตมี ไดออกบวชในวันมงคล อศั จรรยต า งๆ) ๙. เวทลั ละ (พระสตู ร สมรสกับนางชนปทกัลยาณี เบื้องแรก แบบถามตอบท่ีใหเกิดความรูและความ ประพฤติพรหมจรรยอยูดวยความจําใจ พอใจแลวซกั ถามย่ิงๆ ข้นึ ไป เชน จูฬ- แตตอมาพระพุทธเจาทรงสอนดวย เวทัลลสูตร มหาเวทัลลสตู ร เปน ตน); อุบาย จนพระนันทะเปล่ียนมาต้ังใจ เขียนอยา งบาลเี ปน นวงั คสตั ถสุ าสน; ดู ปฏิบัติธรรม และในท่ีสุดก็ไดบรรลุ ไตรปฎ ก อรหัตตผล ไดร ับยกยอ งเปน เอตทคั คะ นหารู เอ็น ในบรรดาภิกษุผูสํารวมอินทรีย พระ นหตุ ชือ่ มาตรานบั เทา กับหนง่ึ หมืน่ นันทะมีรูปพรรณสัณฐานคลายพระ นอนรวม นอนในท่ีมุงท่ีบังอันเดียวกัน พุทธเจา แตตา่ํ กวาพระพทุ ธองค ๔ นิ้ว
นนั ทกะ ๑๕๔ นันทมารดา นันทกะ พระเถระมหาสาวกองคหนึ่ง ขชุ ชตุ ตรานน้ั (เชน อง.จตกุ กฺ .๒๑/๑๗๖/๒๒๒) เกิดในตระกูลผูดีมีฐานะในพระนคร ครั้งหนง่ึ ที่วดั พระเชตวัน เวฬกุ ัณฏกี นันทมารดา ถวายทานแดพ ระสงฆม พี ระ สาวัตถี ไดฟง พระธรรมเทศนาของพระ สารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเปน ประมุข พระพุทธเจาตรัสแกภิกษุทั้ง ศาสดา มีความเลื่อมใส ขอบวช เจริญ หลายวา อุบาสิกาทานน้ันประดิษฐาน วิปส สนากมั มัฏฐาน ไดสําเรจ็ พระอรหัต ทกั ขณิ าท่ีพรอมดว ยองค ๖ คือ ทายกมี องค ๓ ไดแ ก กอนให ก็ดีใจ กาํ ลงั ให ทานมีความสามารถในการแสดงธรรม อยู ก็ทาํ จิตใหผุดผองเลอ่ื มใส คร้ันให แลว ก็ช่นื ชมปลม้ื ใจ และปฏิคาหกมีองค จนเปนที่เล่ืองลือ ครั้งหน่ึงทานแสดง ๓ ไดแ ก เปน ผปู ราศจากราคะหรอื ปฏบิ ตั ิ ธรรมแกน างภกิ ษณุ ี ปรากฏวา นางภกิ ษณุ ี เพื่อบําราศราคะ เปนผูปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพ่ือบําราศโทสะ เปนผู ไดส ําเรจ็ พระอรหัตถึง ๕๐๐ องค ทา น ปราศจากโมหะหรือปฏิบัติเพื่อบําราศ โมหะ ทักขิณาน้ันเปนบุญย่ิงใหญ มีผล ไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะในทางให มากยากจะประมาณได (อง.ฉกกฺ .๒๒/๓๐๘/ โอวาทแกน างภิกษุณี ๓๗๕) 2. อุตตรานนั ทมารดา เปน ธดิ า นันทกุมาร พระราชบุตรของพระเจา ของนายปณุ ณะ หรอื ปณุ ณสหี ะ แหง สุทโธทนะ และพระนางปชาบดีโคตมี เมอื งราชคฤห ซงึ่ ตอ มาพระราชาไดท รง ตอมาออกบวชมีชื่อวาพระนันทะ คือ แตง ตง้ั ใหเ ปนธนเศรษฐี เม่อื ทานเศรษฐี ใหมจัดงานมงคลฉลองและถวายทาน องคท มี่ รี ปู พรรณสณั ฐานคลา ยพระพทุ ธ- อุตตราไดสดับพระดํารัสอนุโมทนาของ พระพทุ ธเจา กไ็ ดบ รรลโุ สดาปต ตผิ ลใน องคนั่นเอง คราวเดยี วกบั บดิ าและมารดา อตุ ตรานนั้ นนั ทมาณพ ศษิ ยค นหนงึ่ ในจาํ นวน ๑๖ รกั ษาอโุ บสถเปน ประจาํ เดอื นละ ๘ วนั คน ของพราหมณพ าวรี ท่ไี ปทลู ถาม ตอ มา เมอ่ื แตง งานไปอยกู บั สามี กข็ อ โอกาสรกั ษาอโุ บสถบา ง แตส ามไี มย อม ปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี รบั นางจงึ ไมม โี อกาสทาํ การบญุ อยา งท่ี นนั ทมารดา อุบาสกิ าสาํ คญั มีช่ือซ้าํ กัน ๒ ทาน แยกโดยเรียกชอื่ นาํ ท่ีตางกนั คือ 1. เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดา (นนั ทมารดา ชาวเมอื งเวฬกุ ณั ฏกะ [เมอื งหนามไผ] ใน แควน อวนั ต)ี ไดฌาน ๔ เปนอนาคามี และเปน อคั รอบุ าสกิ า คกู บั นางขชุ ชตุ ตรา พระพุทธเจาทรงยกยองวาเปน “ตุลา” คอื เปน ตราชู หรอื เปน แบบอยา งสาํ หรับ สาวิกาท้ังหลายทีเ่ ปนอบุ าสกิ า คกู บั นาง
นนั ทมารดา ๑๕๕ นันทมารดา เคยปฏบิ ตั ิ จนกระทง่ั คราวหนง่ึ อตุ ตรา ทุบตีนางสิริมา กวานางอุตตราจะหาม ตกลงวา จะถอื อโุ บสถครงึ่ เดอื น และใช สําเรจ็ นางสิริมากบ็ อบชํา้ มาก ทาํ ใหนาง เวลาในการใหทานและฟงธรรมใหเต็มท่ี สิริมาสํานึกไดถึงฐานะท่ีแทจริงของตนท่ี โดยใชว ิธจี า งโสเภณชี ่ือสริ ิมาใหมาอยูก บั เปนคนขางนอกรับจางเจาของบานมา สามแี ทนตวั ตลอดเวลา ๑๕ วนั นน้ั เมอื่ จึงเขาไปขอขมาตออุตตรา แตอุตตรา ครบครง่ึ เดอื น ในวนั ทเ่ี ตรยี มจะออกจาก บอกวาตนจะใหอภัยไดตอเมื่อบิดาทาง อุโบสถ ไดยุงอยูในโรงครัวจัดเตรียม ธรรมคือพระพทุ ธเจาใหอ ภยั แลว ตอมา อาหาร ตอนนน้ั สามมี องลงมาทางหนา เม่ือพระพุทธเจาเสด็จมาที่บานของ ตาง เห็นอุตตราในสภาพมอมแมม อุตตรา นางสิรมิ าเขาไปกราบทลู ขอขมา ขมีขมัน ก็นึกในใจวานางน้ันอยูครอบ แลว อตุ ตรากใ็ หอ ภยั แกน าง และในวนั ครองสมบตั อิ ยแู สนสบาย กลบั ทง้ิ ความ นนั้ นางสริ มิ าฟง พระธรรมกถาแลว กไ็ ด สุขมาทาํ งานกับพวกคนรับใชจ นตวั เลอะ บรรลโุ สดาปต ตผิ ล (เรอ่ื งนี้ อรรถกถา เทอะเปรอะเปอ น ไมม เี หตไุ มม ผี ล แลว ก็ ตา งคมั ภรี เชน อง.อ.๑/๕๖๒/๓๙๐; ธ.อ.๖/๑๗๑; ยม้ิ อยา งสมเพช ฝา ยอตุ ตราพอดมี องขน้ึ วิมาน.อ.๑๒๓/๗๒ เลา รายละเอยี ดแตกตาง ไป เหน็ อยา งนนั้ กร็ ทู นั และนกึ ในใจวา กันไปบาง โดยเฉพาะอรรถกถาแหง สามีเปนพาลชน มัวจมอยูในความ วมิ านวตั ถุ นอกจากวา นางสริ มิ าไดบ รรลุ ประมาท หลงไปวาสมบัติจะย่ังยืนอยู โสดาปตติผลแลว ยังบอกวาอุตตราได ตลอดไป นกึ แลว กย็ ม้ิ บา ง ฝา ยนางสริ มิ า เปน สกทาคามนิ ี และสามพี รอ มทง้ั บดิ า อยมู าหลายวนั ชกั จะลมื ตวั พอเหน็ สามี และมารดาของสามีไดเปนโสดาบัน) ตอ กบั ภรรยายม้ิ กนั กเ็ กดิ ความหงึ ขนึ้ มา มา ในทปี่ ระชมุ ณ วดั พระเชตวนั พระ แลว วง่ิ ลงจากชน้ั บน ผา นเขา ครวั ฉวย พุทธเจาไดตรัสยกยองนางอุตตรานันท- กระบวย ตกั นา้ํ มนั ทเี่ ขากาํ ลงั ปรงุ อาหาร มารดา เปน เอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกา แลวปร่ีเขามาเทนํ้ามันราดลงบนศีรษะ ผูม ฌี าน หรอื นักบาํ เพ็ญฌาน (ฌายี) ของอตุ ตรา ฝา ยอตุ ตรามสี ตดิ ี รตู วั วา อะไรจะเกิดข้ึน ก็เขาเมตตาฌานยนื รับ แมว า โดยหลกั ฐานตา งๆ เชน เมอื งท่ี น้ํามันที่รอนก็ไมเปนอันตรายแกเธอ อยู เวฬุกณั ฏกนี ันทมารดา กบั อตุ ตรา ขณะนน้ั พวกคนรบั ใชข องอตุ ตราซง่ึ ได นันทมารดา นา จะเปน ตา งบคุ คลกนั แต เหน็ เหตกุ ารณ กเ็ ขา มาพากนั รมุ บรภิ าษ ก็ยังมีชองใหสงสัยวาอาจจะเปนบุคคล เดยี วกนั ได อยา งนอ ย พระสาวกและ
นนั ทาเถรี ๑๕๖ นัมมทา พระสาวกิ า ทไี่ ดร บั กยอ งเปน คตู ลุ า หรอื เอตทัคคะ คอู คั รสาวก คอู คั รสาวกิ า และคอู คั ร- นนั ทาเถรี ชือ่ ภกิ ษุณี ผเู ปน พระนอ งนาง อบุ าสก กล็ ว นเปน เอตทคั คะมาตลอด ๓ ของพระเจา กาลาโศก คแู รก แตพ อถงึ คตู ลุ าฝา ยอบุ าสกิ า หรอื นนั ทิ ความยนิ ด,ี ความตดิ ใจเพลดิ เพลนิ , คอู คั รอบุ าสกิ า กลายเปน นางขชุ ชตุ ตราที่ ความระเริง, ความสนุก, ความชนื่ มื่น เปน เอตทคั คะดว ย กบั เวฬกุ ณั ฏกนี นั ท- นัมมทา ช่อื แมนํ้าสายสาํ คญั ในภาคกลาง มารดา ทมี่ ไิ ดเ ปน เอตทคั คะ (สว นอตุ ตรา ของอินเดีย ไหลไปคลายจะเคียงคูกับ นนั ทมารดา เปน เอตทคั คะ แตไ มไ ดเ ปน เทือกเขาวินธยะ ถือวาเปนเสนแบง ตลุ า หรอื อคั รอบุ าสกิ า) ทเ่ี ปน เชน นอ้ี าจ ระหวางอุตราบถ (ดินแดนแถบเหนือ) เปน เพราะวา เรอ่ื งราวของนนั ทมารดาทงั้ กับทักขณิ าบถ (ดินแดนแถบใต) ของ สองนาม ซงึ่ กระจายอยใู นทตี่ า งๆ ขาด ชมพทู วีป, บดั นเ้ี รยี กวา Narmada แต ขอมูลท่ีจะเปนจุดประสานใหเกิดความ บางทเี รยี ก Narbada หรือ Nerbudda ชดั เจน, นอกจากนนั้ เมอ่ื อา นขอ ความใน ชาวฮินดูถือวาเปนแมน้ําศักดิ์สิทธิ์ท่ีสุด คมั ภรี พ ทุ ธวงส ทกี่ ลา วถงึ คอู คั รอบุ าสกิ า รองจากแมน าํ้ คงคา, แมน าํ้ นมั มทายาว วา “นนทฺ มาตา จ อตุ ตฺ รา อคคฺ า เหสสฺ น-ฺ ประมาณ ๑,๓๐๐ กม. ไหลจากทศิ ตะวนั ตปุ ฏ ิกา” (ฉบบั อกั ษรพมา มแี หง หนงึ่ วา ออกเฉียงเหนือไปทางตะวันตกเฉียงใต “อตุ ตฺ รา นนทฺ มาตา จ อคคฺ า เหสสฺ นตฺ -ุ ออกทะเลทใี่ ตเ มืองทา ภารกุ ัจฉะ (บดั นี้ ปฏ ิกา” เลยทเี ดยี ว) บางทา นกอ็ าจจะยง่ิ เรยี ก Bharuch) สอู า ว Khambhat งง อาจจะเขาใจไปวา พระบาลีในท่ีน้ี (Cambay กเ็ รยี ก), อรรถกถาเลา วา เมอ่ื หมายถึงนางอุตตรานันทมารดา แตท่ี คร้ังที่พระพุทธเจาเสด็จไปสุนาปรันตรัฐ จรงิ ไมใช เพราะในทนี่ ้ีทา นกลา วถงึ สอง ตามคําอาราธนาของพระปุณณะผูเปน บุคคล คือ อตุ ตราเปน บคุ คลหนงึ่ ไดแ ก ชาวแควนน้ันแลว ระหวางทางเสด็จ ขุชชุตตรา และนันทมารดาเปนอีกคน กลับ ถึงแมน้าํ นัมมทา ไดแ สดงธรรม หน่งึ ไดแ กเ วฬุกณั ฏกนี นั ทมารดา (ใน โปรดนมั มทานาคราช ซ่งึ ไดทูลขอของที่ คัมภรี อ ปทานแหง หนง่ึ , ข.ุ อป.๓๓/๗๙/๑๑๗ ระลึกไวบูชา จึงทรงประทับรอยพระ กลา วถงึ ขอ ความอยา งเดยี วกนั แตระบุ บาทไวท่ีรมิ ฝงแมน ้ํานมั มทาน้ัน อันถือ ไวช ัดกวา นีว้ า “ขชุ ฺชตุ ฺตรา นนฺทมาตา กันมาวาเปนพระพุทธบาทแหงแรก; ดู อคฺคา เหสสฺ นตฺ ปุ าสกิ า”); ดู อุตตรา, ทกั ขณิ าบถ, อตุ ราบถ, ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ
นัย ๑๕๗ นานาภัณฑะ นยั อบุ าย, อาการ, วธิ ี, ขอ สําคญั , เคา องั คตุ ตรนกิ าย ๒–๓ แหง นางเรด็ ช่ือขนมชนิดหน่งึ ทําเปนแผน ความ, เคาเงอ่ื น, แงค วามหมาย นยั นา ดวงตา กลมโรยน้ําตาล พจนานุกรมเขียน นาค งใู หญในนยิ าย; ชาง; ผูประเสรฐิ ; นางเล็ด ใชเ ปนคาํ เรียกคนทกี่ าํ ลงั จะบวชดว ย นาถ ทพ่ี ง่ึ , ผูเปนทพี่ ง่ึ นาคเสน พระอรหนั ตเถระผโู ตว าทะชนะ นาถกรณธรรม ธรรมทําท่ีพ่งึ , ธรรม พระยามลิ นิ ท กษตั รยิ แ หง สาคลประเทศ สรา งทีพ่ ง่ึ , คณุ ธรรมทที่ าํ ใหพ่ึงตนได มี ดังมคี าํ โตต อบปญ หามาในคมั ภรี ม ลิ นิ ท- ๑๐ อยา งคือ ๑. ศลี มคี วามประพฤตดิ ี ปญ หา ทานเกดิ หลงั พทุ ธกาลประมาณ ๒. พาหสุ จั จะ ไดเ ลา เรยี นสดบั ฟง มาก ๔๐๐ ป ทหี่ มบู า นกชงั คละในหมิ วนั ต- ๓. กัลยาณมิตตตา มีมิตรดงี าม ๔. ประเทศ เปนบุตรของพราหมณช่ือ โสวจัสสตา เปน คนวางาย ฟงเหตุผล โสณตุ ตระ ทา นเปน ผชู าํ นาญในพระเวท ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา เอาใจใสกิจธรุ ะ และตอ มาไดอ ปุ สมบท โดยมพี ระโรหณะ ของเพ่อื นรวมหมคู ณะ ๖. ธัมมกามตา เปนพระอุปชฌาย; ดู มิลินท, มิลนิ ท- เปนผูใครธรรม ๗. วิรยิ ะ ขยนั หมัน่ ปญ หา เพียร ๘. สนั ตฏุ ฐี มีความสนั โดษ ๙. นาคาวโลก การเหลียวมองอยางพญา สติ มสี ติ ๑๐. ปญญา มีปญญาเขา ใจส่ิง ชาง, มองอยางชางเหลียวหลัง คือ ทง้ั หลายตามความเปนจรงิ เหลียวดูโดยหันกายกลับมาทั้งหมด นานาธาตุญาณ ปรีชาหย่ังรูธาตุตางๆ เปน กิริยาของพระพุทธเจา ตามเรื่องใน คอื รจู กั แยกสมมตอิ อกเปน ขนั ธ อายตนะ พุทธประวตั ิ ครัง้ ทท่ี อดพระเนตรเมือง ธาตุตา งๆ (ขอ ๔ ในทศพลญาณ) เวสาลีเปนปจฉิมทัศน กอนเสด็จไป นานาธมิ ตุ ตกิ ญาณ ปรชี าหยง่ั รอู ธั ยาศยั ปรนิ พิ พานที่เมอื งกสุ ินารา; เปนชอื่ พระ ของสตั ว ทโ่ี นม เอยี ง เชอื่ ถอื สนใจ พอใจ พุทธรูปปางหนง่ึ ซ่งึ ทํากิรยิ าอยา งนนั้ ; ดู ตางๆ กนั (ขอ ๕ ในทศพลญาณ) พทุ ธปรนิ พิ พาน นานานิกาย นกิ ายตางๆ คอื หมแู หง สงฆ นาคิตะ พระเถระมหาสาวกองคหนึ่ง ตางหมูตางคณะ เคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองค มี นานาภัณฑะ ทรัพยตางกันคอื หลายส่ิง, พระสูตรท่ีพระพุทธเจาตรัสแกท านเกย่ี ว ภัณฑะตางๆ, สิ่งของตางชนิดตาง กับเนกขัมมสุข ปรากฏอยูในคัมภีร ประเภท
นานาสงั วาส ๑๕๘ นาลกะ นานาสงั วาส มีธรรมเปนเครื่องอยูรว ม นามธรรม สภาวะที่นอมไปหาอารมณ, (คืออุโบสถและสังฆกรรมเปนตน) ท่ี ใจและอารมณที่เกดิ กบั ใจ คือ จติ และ ตา งกนั , สงฆผ ูไมร ว มสังวาส คอื ไม เจตสิก, สิ่งของท่ไี มม รี ูป คือรูไมไ ดทาง รว มอุโบสถและสังฆกรรมดว ยกนั เรียก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แตร ไู ดทางใจ; ดู วา เปน นานาสังวาสของกนั และกนั เหตุ นาม; คูกบั รปู ธรรม ท่ีทําใหนานาสงั วาสมี ๒ คือ ภกิ ษุทาํ ตน นามรูป นามธรรม และรูปธรรม ใหเ ปน นานาสงั วาสเอง เชน อยูในนกิ าย นามธรรม หมายถึง สิง่ ที่ไมม รี ปู คอื รู หน่ึงไปขอเขานิกายอื่น หรือแตกจาก ไมไดทาง ตา หู จมูก ลิน้ กาย แตรไู ด พวกเพราะเหตุวิวาทาธิกรณอยางหน่ึง ดว ยใจ ไดแกเ วทนา สญั ญา สงั ขาร อีกอยางหนึ่งถูกสงฆพรอมกันยกออก วิญญาณ รปู ธรรม หมายถงึ ส่ิงท่มี รี ูป จากสังวาส สง่ิ ท่ีเปนรปู ไดแกรปู ขนั ธท้งั หมด นาบ,ี นบี ศาสดาผปู ระกาศศาสนาอสิ ลาม นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกําหนด ทําหนาที่แทนพระผูเปนเจา, ผูเทศนา, แยกนามรปู , ญาณหยงั่ รวู าสงิ่ ทั้งหลาย ผูประกาศขาว ชาวมุสลิมถือวาพระ เปนแตเพียงนามและรูป และกําหนด มะหะหมัดเปน นาบีองคส ุดทาย จาํ แนกไดว าสงิ่ ใดเปน รปู สิ่งใดเปน นาม นาม ธรรมทร่ี ูจักกันดวยชือ่ กําหนดรู (ขอ ๑ ในญาณ ๑๖) ดวยใจเปน เรือ่ งของจติ ใจ, สิ่งท่ีไมม รี ูป นามรูปปจจัยปริคคหญาณ ญาณ ราง ไมใ ชรปู แตน อมมาเปน อารมณของ กาํ หนดจบั ปจ จยั แหง นามรปู , ญาณหยงั่ จติ ได 1. ในทที่ วั่ ไปหมายถงึ อรปู ขนั ธ ๔ รทู กี่ าํ หนดจบั ไดซ ง่ึ ปจ จยั แหง นามและรปู คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ โดยอาการที่เปนไปตามหลักปฏิจจ- 2. บางแหง หมายถงึ อรปู ขันธ ๔ นั้นและ สมปุ บาท เปน ตน (ขอ ๒ ในญาณ ๑๖) นพิ พาน (รวมทั้งโลกตุ ตรธรรมอน่ื ๆ) 3. เรยี กกันส้นั ๆ วา ปรคิ คหญาณ บางแหงเชนในปฏิจจสมปุ บาท บางกรณี นารายณ ช่อื เรียกพระวิษณุ ซึ่งเปน พระ หมายเฉพาะเจตสกิ ธรรมทง้ั หลาย; เทยี บ รปู เจา องคหนึง่ ของศาสนาพราหมณ นามกาย “กองแหงนามธรรม” หมายถึง นารี ผูหญงิ , นาง เจตสกิ ท้งั หลาย; เทยี บ รูปกาย นาลกะ 1. หลานชายของอสิตดาบส นามขนั ธ ขนั ธท ี่เปนฝายนามธรรม มี ๔ ออกบวชตามคาํ แนะนาํ ของลุง และไป คือ เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ บําเพ็ญสมณธรรมรอการตรัสรูของพระ
นาลนั ทะ ๑๕๙ นาลนั ทา พุทธเจาอยูในปาหิมพานต ครั้นพระ กษัตริยราชวงศคุปตะพระองคหน่ึงพระ นามวาศกั ราทติ ยหรือ กุมารคุปตะที่ ๑ พุทธเจาตรัสรูแลว ไดมาทูลถามเร่ือง ซึ่งครองราชยประมาณ พ.ศ. ๙๕๘– ๙๙๘ ไดท รงสรา งวดั เปน สถานศกึ ษาขนึ้ โมไนยปฏิปทา และกลับไปบําเพ็ญ แหงหน่ึงที่เมืองนาลันทา และกษัตริย พระองคต อ ๆ มาในราชวงศน ก้ี ็ไดสราง สมณธรรมในปาหิมพานต ไดบรรลุ วดั อน่ื ๆ เพิ่มข้ึนในโอกาสตางๆ จนมถี งึ ๖ วดั อยูในบริเวณใกลเ คยี งกนั ในที่ อรหัตแลว ดาํ รงอายอุ ยูอีก ๗ เดอื น ก็ สุดไดมีการสรางกําแพงใหญอันเดียว ลอ มรอบ ทาํ ใหว ัดทงั้ ๖ รวมเขา ดว ยกนั ปรินิพพานในปา หิมพานตน ้นั เอง; ทาน เปน หนง่ึ เดยี ว เรยี กวา นาลนั ทามหาวหิ าร และไดกลายเปนศูนยกลางการศึกษาท่ี จัดเปนมหาสาวกองคหนึ่งในอสีติ- ยิ่งใหญ แหงสาํ คัญย่ิง ที่นักประวัติ- ศาสตรส มัยปจจุบัน เรียกกันท่ัวไปวา มหาสาวกดว ย 2. ชอื่ หมูบานอนั เปนที่ มหาวิทยาลัยนาลันทา พระเจาหรรษ- วรรธนะ มหาราชพระองคหน่ึงของ เกิดของพระสารีบุตร ไมไกลจากเมือง อินเดีย ซึ่งครองราชยระหวาง พ.ศ. ราชคฤห บางทีเรียก นาลันทคาม ๑๑๔๙–๑๑๙๑ กไ็ ดท รงเปน องคอ ปุ ภมั ภก นาลนั ทะ ชอ่ื หมูบ า นแหงหนงึ่ ไมไ กลจาก ของมหาวิทยาลัยนาลันทา หลวงจีน กรงุ ราชคฤห เปน บา นเกดิ ของพระสาร-ี เห้ียนจงั (พระถังซัมจงั๋ ) ซึ่งจารกิ มาสืบ บตุ ร; ดู นาลกะ 2. พระศาสนาในอนิ เดียในรัชกาลนี้ ในชวง นาลนั ทา ชอ่ื เมอื งเลก็ ๆ เมอื งหนง่ึ ในแควน พ.ศ. ๑๑๗๒–๑๑๘๗ ไดมาศึกษาท่ี มคธ อยูหางจากพระนครราชคฤห นาลนั ทามหาวิหาร และไดเขียนบันทกึ บรรยายอาคารสถานท่ีท่ีใหญโตและ ประมาณ ๑ โยชน ณ เมอื งนี้ มีสวน ศิลปกรรมทีว่ ิจิตรงดงาม ทานเลา ถึงกิจ- มะมวงชื่อ ปาวารกิ ัมพวนั (สวนมะมว ง กรรมทางการศึกษาที่รุงเรืองยิ่ง นัก ของปาวาริกเศรษฐี) ซ่ึงพระพุทธเจา ศกึ ษามปี ระมาณ ๑๐,๐๐๐ คน และมี อาจารยป ระมาณ ๑,๕๐๐ คน พระมหา- เสด็จมาประทับแรมหลายคร้ัง คัมภีร ฝา ยมหายานกลา ววา พระสารบี ตุ ร อคั ร- สาวก เกดิ ทเ่ี มอื งนาลนั ทา แตค มั ภรี ฝ า ย บาลีเรียกถิ่นเกิดของพระสารีบุตรวา หมูบา นนาลกะ หรือ นาลนั ทคาม ภายหลงั พทุ ธกาล ชอ่ื เมอื งนาลนั ทา เงยี บหายไประยะหนงึ่ หลวงจนี ฟาเหยี น ซึ่งจาริกมาสืบศาสนาในชมพูทวีป ราว พ.ศ. ๙๔๔–๙๕๓ บนั ทกึ ไวว า ไดพ บเพยี ง สถปู องคห นง่ึ ทน่ี าลนั ทา แตต อ มาไมน าน
นาลันทา ๑๖๐ นาลันทา กษัตริยพระราชทานหมูบ าน ๒๐๐ หมู พุทธศาสนาแบบตันตระ ท่ีทําใหเกิด โดยรอบถวายโดยทรงยกภาษีท่ีเก็บได ความยอหยอนและหลงเพลินทาง ใหเ ปนคาบํารงุ มหาวทิ ยาลัย ผูเ ลา เรยี น กามารมณ และทําใหพุทธศาสนากลม ไมต อ งเสียคา ใชจ ายใดๆ ทงั้ สน้ิ วิชาท่ี กลืนกับศาสนาฮินดูมากข้ึน เปนเหตุ สอนมที ัง้ ปรชั ญา โยคะ ศพั ทศาสตร สําคัญอยางหนึ่งแหงความเส่ือมโทรม เวชชศาสตร ตรรกศาสตร นิตศิ าสตร ของพระพุทธศาสนา คร้ันถึงประมาณ นิรุกติศาสตร ตลอดจนโหราศาสตร พ.ศ. ๑๗๔๒ กองทพั มสุ ลมิ เตริ กสไ ดย ก ไสยศาสตร และตนั ตระ แตที่เดนชัดก็ มารุกรานรบชนะกษัตริยแหงชมพูทวีป คือนาลันทาเปนศูนยกลางการศึกษา ฝายเหนือ และเขา ครอบครองดินแดน พุทธศาสนาฝายมหายาน และเพราะ โดยลําดับ กองทัพมุสลิมเติรกสไดเ ผา ความทมี่ ีกิตตศิ พั ทเ ล่อื งลือมาก จงึ มีนกั ผลาญทําลายวัดและปูชนียสถานใน ศึกษาเดินทางมาจากตางประเทศหลาย พทุ ธศาสนาลงแทบทงั้ หมด และสงั หารผู แหง เชน จนี ญป่ี นุ เอเชยี กลาง สมุ าตรา ทไี่ มย อมเปลย่ี นศาสนา นาลนั ทามหาวหิ าร ชวา ทเิ บต และมองโกเลยี เปน ตน หอ กถ็ กู เผาผลาญทาํ ลายลงในชว งระยะเวลา สมุดของนาลันทาใหญโตมากและมีชื่อ น้นั ดว ย มีบนั ทึกของนักประวัตศิ าสตร เสียงไปทั่วโลก เม่ือคราวที่ถูกเผา ชาวมสุ ลมิ เลา วา ทน่ี าลนั ทา พระภกิ ษถุ กู ทําลายในสมัยตอมา มีบันทึกกลาววา สังหารแทบหมดสิ้น และมหาวิทยาลยั หอสมุดน้ีไหมอยูเปนเวลาหลายเดือน นาลันทาก็ไดถึงความพินาศสูญสิ้นลง ห ล ว ง จี น อ้ี จิ ง ซึ่ ง จ า ริ ก ม า ใ น ร ะ ย ะ แตบ ดั นน้ั มา ซากของนาลนั ทาทถ่ี กู ขดุ พบ ประมาณ พ.ศ. ๑๒๒๓ กไ็ ดม าศกึ ษาที่ ในภายหลงั ยงั ประกาศยนื ยนั อยา งชดั เจน นาลันทาและไดเขียนบันทึกเลาไวอีก ถงึ ความยง่ิ ใหญของนาลันทาในอดีต นาลันทารุงเรืองสืบมาชานานจนถึงสมัย ราชวงศปาละ (พ.ศ. ๑๓๐๓–๑๖๘๕) ในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ กษัตริยราชวงศน้ีก็ทรงอุปถัมภมหา- อินเดียไดเร่ิมตื่นตัว และตระหนักถึง วิหารแหงนี้ เชนเดียวกับมหาวิทยาลัย ความสําคัญของพระพุทธศาสนาที่ไดมี อื่นๆ โดยเฉพาะโอทันตปุระที่ไดทรง บทบาทอันย่ิงใหญในการสรางสรรค สถาปนาขน้ึ ใหม อยางไรกด็ ี ในระยะ อารยธรรมของชมพูทวีป รวมทั้งบท หลังๆ นาลนั ทาไดหันไปสนใจการศกึ ษา บาทของมหาวิทยาลัยนาลันทาน้ีดวย และใน พ.ศ. ๒๔๙๔ กไ็ ดมกี ารจดั ตั้ง
นาสนะ ๑๖๑ นคิ คหติ สถาบนั บาลนี าลนั ทา ชอ่ื วา นวนาลนั ทา- นกิ รสัตว หมสู ตั ว มหาวิหาร (นาลนั ทามหาวิหารแหงใหม) นกิ าย พวก, หมวด, หมู, ชมุ นมุ , กอง; ขึ้น เพ่ือแสดงความรําลึกคุณและยก 1. หมวดตอนใหญแ หง พทุ ธพจนใ นพระ ยอ งเกียรตแิ หงพระพุทธศาสนา พรอม สุตตันตปฎก ซึ่งแยกเปน ทีฆนิกาย ทั้งเพื่อเปนอนุสรณแกนาลันทามหา- มัชฌมิ นิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตร- นิกาย และขทุ ทกนิกาย; ดู ไตรปฎก 2. วหิ าร มหาวทิ ยาลยั ทย่ี งิ่ ใหญใ นอดตี สมยั นาสนะ ดู นาสนา คณะนักบวช หรอื ศาสนิกชนในศาสนา นาสนา ใหฉบิ หายเสีย คอื การลงโทษ เดยี วกนั ทแ่ี ยกเปนพวกๆ; ในพระพุทธ- บุคคลผูไ มส มควรถอื เพศ มี ๓ อยาง ศาสนามีนิกายใหญท่ีเรียกไดวาเปน คอื ๑. ลงิ คนาสนา ใหฉิบหายจากเพศ นกิ ายพุทธศาสนาในปจ จบุ นั ๒ นิกาย คอื ใหส กึ เสยี ๒. ทณั ฑกรรมนาสนา ให คือ มหายาน หรือนิกายฝายเหนือ ฉบิ หายดว ยการลงโทษ ๓. สงั วาสนาสนา (อุตรนกิ าย) พวกหนึง่ และ เถรวาท ใหฉ บิ หายจากสงั วาส หรือนกิ ายฝา ยใต (ทักษิณนิกาย) ทีบ่ าง นาสิก จมกู ทีเรียก หนี ยาน พวกหนงึ่ ; ในประเทศ นาสิกัฏานชะ อักษรเกิดในจมูก คอื ไทยปจจุบนั พระภิกษสุ งฆในพระพทุ ธ นิคคหิต (-)ํ , พยัญชนะทีส่ ดุ วรรคทัง้ ๕ ศาสนาฝายเถรวาทดวยกัน แยกออก คือ ง ณ น ม นอกจากเกดิ ในฐาน เปน ๒ นิกาย แตเ ปน เพียงนิกายสงฆ ของตนๆ แลว กเ็ กิดในจมกู ดว ย (คอื มิใชถึงกับเปนนิกายพุทธศาสนา (คือ เกิดใน ๒ ฐาน) แยกกันเฉพาะในหมูนักบวช) ไดแก นาฬี ชือ่ มาตราตวง แปลวา “ทะนาน”; ดู มหานกิ าย และ ธรรมยตุ กิ นกิ าย ซ่งึ บางที มาตรา เรยี กเพียงเปนคณะวา คณะมหานกิ าย นํ้าทพิ ย นํ้าทที่ ําผดู ่ืมใหไ มตาย หมายถงึ และ คณะธรรมยตุ นิคคหะ ดู นิคหะ นาํ้ อมฤต หรือน้ําสุรามฤต น้าํ อมฤต ดู อมฤต นิคคหกรรม ดู นิคหกรรม นกิ เขปบท บทต้ัง, คาํ หรอื ขอ ความ ทีย่ อ นิคคหวธิ ี วธิ ีขม , วิธีทาํ นคิ หะ, วิธลี ง จับเอาสาระมาวางตั้งลงเปนแมบท เพ่ือ โทษ; ดู นิคหกรรม จะขยายความ หรอื แจกแจงอธบิ ายตอ ไป นิคคหติ อักขระทวี่ า กดเสียง, อักขระท่ี นิกร หม,ู พวก วาหบุ ปากกดกรณไวไ มป ลอ ย มีรูปเปน
นคิ ม ๑๖๒ นทิ านกถา จุดกลวง เชน สงฆฺ ํ อปุ สมฺปท;ํ บดั นี้ สังฆกรรมประเภทลงโทษผูทําความผิด นิยมเขียน นิคหติ ทานแสดงไว ๖ อยา งคอื ตัชชนียกรรม นคิ ม 1. หมบู านใหญ, เมืองขนาดเล็ก, นยิ สกรรม ปพ พาชนยี กรรม ปฏสิ ารณยี - กรรม อกุ เขปนยี กรรม และ ตสั สปาปย - ยา นการคา 2. คําลงทายของเร่ือง นคิ มกถา 1. การสนทนาถกเถียงกันเรือ่ ง สกิ ากรรม นิคม วานิคมน้ันนิคมนี้เปนอยางน้ัน นคิ ณั ฐนาฏบตุ ร ดู นคิ รนถนาฏบตุ ร อยา งน้ี แบบเพอ เจอ , เปนตริ จั ฉานกถา นโิ ครธ ตนไทร อยางหนง่ึ ; ดู ติรัจฉานกถา 2. ถอ ยแถลง นิโครธาราม อารามที่พระญาติสราง ทายเรอื่ ง, ขอความลงทา ย, คาํ กลา วปด ถวายพระพทุ ธเจา อยใู กลก รงุ กบลิ พสั ดุ เร่อื ง, ในภาษาบาลี นยิ มเขยี น “นคิ มน- นิจศีล ศีลที่พึงรักษาเปนประจํา, ศีล กถา”, คกู บั นทิ านกถา คอื คํากลา วนํา ประจําตัวของอุบาสกอุบาสิกา ไดแก หรือคาํ แถลงเรม่ิ เรือ่ ง ศลี ๕ นิคมพจน, นิคมวจนะ คาํ ลงทา ย, คํา นติ ย เท่ียง, ย่งั ยนื , เสมอ, เปน ประจาํ กลา วปด เรอื่ ง, ในภาษาบาลี นยิ มเขียน นติ ยกาล ตลอดเวลา, ตลอดกาลเปน นติ ย “นคิ มนวจน”, คกู บั นทิ านพจน หรือ นิตยภัต อาหารหรือคา อาหารที่ถวายแก นทิ านวจนะ คือคาํ นํา หรือคาํ เรม่ิ เรอื่ ง ภิกษุสามเณรเปน ประจํา นคิ มสีมา แดนนคิ ม, อพทั ธสมี าทส่ี งฆ นทิ เทส คําแสดง, คาํ จําแนกอธบิ าย, คาํ กาํ หนดดวยเขตนิคมทีต่ นอาศัยอยู ไขความ (พจนานกุ รม เขียน นเิ ทศ) นิครนถ นกั บวชนอกพระพุทธศาสนาที่ นิทัศนะ, นทิ สั น ตวั อยา งที่นาํ มาแสดง เปน สาวกของนิครนถนาฏบุตร, นักบวช ใหเ ห็น, อทุ าหรณ (พจนานกุ รม เขยี น ในศาสนาเชน นทิ ัศน) นิครนถนาฏบตุ ร คณาจารยเ จาลัทธคิ น นทิ าน เหตุ, ท่ีมา, ตนเร่ือง, ความเปนมา หนึง่ ในจํานวนครูทง้ั ๖ มีคนนับถอื มาก แตเ ดมิ หรือเรอ่ื งเดมิ ทเ่ี ปนมา เชน ในคํา มชี อ่ื เรยี กหลายอยา ง เชน วรรธมานบา ง วา “ใหทาน ที่เปนสุขนิทานของสรรพ พระมหาวรี ะบา ง เปน ตน ศาสนาเชน ซึง่ สตั ว” สุขนิทาน คอื เหตุแหง ความสขุ ; ยังมอี ยใู นประเทศอินเดีย ในภาษาไทย ความหมายไดเพี้ยนไป นคิ หะ การขม, การกําราบ, การลงโทษ กลายเปนวา เร่อื งทีเ่ ลากนั มา นคิ หกรรม การลงโทษตามพระธรรมวนิ ยั , นิทานกถา คําแถลงความเปนมา, ขอ
นทิ านพจน, นิทานวจนะ ๑๖๓ นพิ ทั ธทุกข ความตน เรอื่ ง, ความนาํ , บทนาํ กัน หรือหนายในมรรยาทของกันและ นิทานพจน, นิทานวจนะ คําชี้แจง กัน อยา งนีไ้ มจัดเปนนพิ พิทา; ความ ความเปนมา, ถอยคาํ ตน เร่ือง, คาํ เรม่ิ เบ่อื หนา ยในกองทกุ ข เรอื่ ง, คํานํา นพิ พทิ าญาณ ความรูท ท่ี ําใหเ บอ่ื หนาย นิบาต ศพั ทภาษาบาลที วี่ างไวร ะหวา งขอ ในกองทุกข, ปรีชาหย่ังเห็นสงั ขารดวย ความในประโยคเพ่ือเช่ือมขอความหรือ ความหนาย; ดู วปิ สสนาญาณ เสริมความ เปนอัพยยศพั ทอ ยางหนง่ึ นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ ปรชี าคาํ นงึ ถงึ นิปปริยาย ไมอ อมคอ ม, ตรง, ส้ินเชิง สงั ขารดวยความหนาย เพราะมีแตโ ทษ (พจนานกุ รมเขียน นปิ ริยาย) มากมาย แตไมใชทําลายตนเองเพราะ นปิ ปรยิ ายสทุ ธิ ความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชงิ เบื่อสงั ขาร เรียกสนั้ วา นิพพทิ าญาณ ไมมีการละและการบําเพ็ญอีก ไดแก นิพัทธทาน ทานเนอื งนติ ย, ทานทถี่ วาย ความบรสิ ุทธข์ิ องพระอรหันต; ตรงขา มกับ หรือใหตอเน่อื งเปนประจาํ ปริยายสทุ ธิ; ดู สทุ ธิ นิพัทธทุกข ทุกขเนืองนิตย, ทุกข นปิ ผันนรปู ดูที่ รูป ๒๘ ประจาํ , ทกุ ขเ ปน เจา เรือน ไดแ ก หนาว นปิ จ จการ การเคารพ, การออนนอม, รอน หิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปวด การยอมเช่ือฟง ปสสาวะ นพิ พาน การดบั กเิ ลสและกองทกุ ข เปน นิพัทธุปฏฐาก อุปฏฐากประจาํ ตาม โลกตุ ตรธรรม และเปนจุดหมายสูงสดุ ปกติ หมายถึงพระอุปฏ ฐากประจาํ พระ ในพระพุทธศาสนา; ดู นพิ พานธาตุ องคของพระพุทธเจา คือพระอานนท นพิ พานธาตุ ภาวะแหง นพิ พาน; นพิ พาน ซึ่งไดรับหนาท่ีเปนพระอุปฏฐากประจํา หรอื นพิ พานธาตุ ๒ คอื ๑. สอปุ าทเิ สส- พระองคตงั้ แตพรรษาท่ี ๒๐ แหงพทุ ธ- นพิ พาน ดบั กิเลสมีเบญจขนั ธเหลอื ๒. กิจ เปนตนไปจนสิ้นพุทธกาล, กอน อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไมมี พรรษาที่ ๒๐ นน้ั พระเถระมากหลาย เบญจขนั ธเหลอื รูป รวมท้ังพระอานนท และพระ นิพพิทา “ความหนาย” หมายถงึ ความ มหาสาวกทงั้ ปวง ไดเ ปล่ียนกนั ทาํ หนาท่ี หนายท่ีเกิดขึ้นจากปญญาพิจารณาเห็น เปนพระอุปฏฐากของพระพุทธเจา ดัง ความจริง ถาหญิงชายอยูกินกันเกิด บางทานที่ปรากฏนามเพราะมีเหตุการณ หนายกนั เพราะความประพฤติไมด ตี อ เก่ียวขอ ง เทาท่พี บ คือ พระนาคสมาละ
นิมนต ๑๖๔ นิรยบาล พระอปุ วาณะ พระสุนักขัตตะ พระจนุ ทะ เปนของบริสุทธ์ิ จะนึกขยายหรือยอ พระนันทะ พระสาคตะ พระโพธิ พระ สวนก็ไดตามปรารถนา 4. สิ่งท่ีพระ เมฆยิ ะ; ดู อานนท, อุปฏฐาก, พร ๘ โพธิสัตวทอดพระเนตรเห็นกอนเสด็จ นมิ นต เชญิ หมายถงึ เชญิ พระ เชญิ นกั บวช ออกบรรพชา ๔ อยาง; ดู เทวทูต นิมมานรดี สวรรคชั้นที่ ๕ มีทาว นมิ ติ ขาด (ในคําวา “สีมามีนมิ ติ ขาด”) สุนิมมิตเทวราชปกครอง เทวดาชั้นน้ี สีมามนี ิมิตแนวเดียว ชกั แนวบรรจบไม ปรารถนาสิง่ หนึ่งสิง่ ใด นิรมติ เอาได ถึงกัน; ตามนัยอรรถกถาวา ทกั นิมิตไม นิมนั ตนะ การนมิ นต หรืออาหารท่ีไดใ น ครบรอบถงึ จดุ เดมิ ท่ีเริม่ ตน ทีน่ มิ นต หมายเอาการนมิ นตข องทายก นิมิตต ดู นิมติ นมิ ติ ตโ อภาส ตรัสขอ ความเปน เชงิ เปด เพ่อื ไปฉนั ทีบ่ า นเรือนของเขา นิมติ 1. เครื่องหมาย ไดแกว ัตถุอนั เปน โอกาสใหอาราธนาเพ่ือดํารงพระชนมอยู เครือ่ งหมายแหง สมี า, วัตถทุ คี่ วรใชเปน ตอไป นมิ ิตมี ๘ อยาง ภูเขา ศิลา ปาไม ตนไม นิยม กําหนด, ชอบ, นับถอื จอมปลวก หนทาง แมนา้ํ นํ้า 2. (ในคํา นยิ ยานิกะ เปนเครอ่ื งนําสตั วอ อกไปจาก วาทาํ นิมติ ) ทําอาการเปน เชิงชวนใหเขา กองทุกข ถวาย, ขอเขาโดยวธิ ใี หร โู ดยนยั ไมขอ นยิ สกรรม กรรมอนั สงฆพ ึงทาํ ใหเ ปน ผู ตรงๆ 3. เครื่องหมายสําหรับใหจิต ไรย ศ ไดแกการถอดยศ, เปนชอ่ื นคิ ห- กําหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพท่ี กรรมที่สงฆทําแกภิกษุผูมีอาบัติมาก เปนอารมณกรรมฐานมี ๓ คือ ๑. หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ ดวยการคลุก บริกรรมนิมิต นมิ ิตแหง บริกรรม หรอื คลีอันไมสมควร โดยปรับใหถือนิสัย นิมติ ตระเตรียม ไดแก สิง่ ท่ีเพง หรือ ใหมอ ีก; ดู นิคหกรรม กําหนดนึกเปนอารมณกรรมฐาน ๒. นิยาย เร่ืองที่เลากันมา, นิทานท่ีเลา อคุ คหนมิ ติ นิมติ ท่ีใจเรยี น หรอื นมิ ติ ตดิ เปรยี บเทียบเพอ่ื ไดใ จความเปนสุภาษิต ตาตดิ ใจ ไดแก สง่ิ ทเี่ พง หรือนึกน้นั เอง นิรยะ นรก, ภพที่ไมม คี วามเจรญิ , ภูมิที่ ที่แมนในใจ จนหลับตามองเห็น ๓. เสวยทุกขของคนผูทําบาปตายแลวไป ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิต เกิด (ขอ ๑ ในทคุ ติ ๓, ขอ ๑ ในอบาย เทยี บเคียง ไดแ ก อุคคหนมิ ติ นั้น เจน ๔) ดู นรก, คติ ใจจนกลายเปนภาพท่ีเกิดจากสัญญา นริ ยบาล ผูค ุมนรก, ผูล งโทษสัตวน รก
นิรฺวาณมฺ ๑๖๕ นสิ สัคคิยกัณฑ นิรฺวาณมฺ ความดับ เปนคาํ สันสกฤต คือ กําหนดหมายการดับตณั หาอนั เปน เทียบกับภาษาบาลี ก็ไดแกศัพทวา อริยผลวา เปนธรรมละเอยี ดประณตี ; ดู นพิ พาน นัน่ เอง ปจ จบุ นั นยิ มใชเ พียงวา สญั ญา นิรวาณ กับ นิรวาณะ น้ิวพระสคุ ต, น้ิวสุคต ดู มาตรา นิรันดร ติดตอกัน, เสมอมา, ไมมี นวิ รณ, นิวรณธรรม ธรรมที่กั้นจิตไม ระหวางคัน่ , ไมเ วนวาง ใหบ รรลคุ วามด,ี สิง่ ท่ขี ดั ขวางจิตไมให นิรันตราย ปราศจากอันตราย กา วหนาในคณุ ธรรม, อกุศลธรรมทก่ี ด นริ ามิษ, นิรามสิ หาเหยอื่ มิได, ไมมี ทบั จติ ปดกนั้ ปญ ญา มี ๕ อยาง คอื ๑. อามิสคือเหยื่อที่เปนเครื่องลอใจ, ไม กามฉนั ท พอใจใฝกามคณุ ๒. พยาบาท แคนเคอื งคดิ รา ยเขา ๓. ถีนมทิ ธะ หดหู ตอ งอาศยั วตั ถุ นริ ามิสสขุ สุขไมเ จืออามิส, สุขไมตอง ซึมเซา ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุงซาน อาศยั เครื่องลอหรือกามคณุ ไดแก สุขที่ รําคาญใจ ๕. วิจิกิจฉา ลังเลสงสัย อิงเนกขมั มะ; ดู สขุ นิวรณูปกิเลส โทษเครอ่ื งเศราหมองคือ นิรุตติปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน นิวรณ ภาษา คอื เขา ใจภาษา รูจักใชถอยคําให นิเวศน ท่อี ยู คนเขาใจ ตลอดทั้งรูภาษาตา งประเทศ นิสสยาจารย อาจารยผ ใู หน ิสัย นิสสรณวมิ ุตติ ความหลดุ พน ดวยออก (ขอ ๓ ในปฏสิ ัมภทิ า ๔) นิโรธ ความดบั ทกุ ข คอื ดบั ตณั หาไดส ิน้ ไปเสยี หรือสลดั ออกได เปน การพน ท่ี เชิง, ภาวะปลอดทุกขเ พราะไมมที ุกขท ี่ ยั่งยืนตลอดไป ไดแกนิพพาน, เปน จะเกิดขน้ึ ได หมายถึงพระนิพพาน โลกตุ ตรวิมตุ ติ (ขอ ๕ ในวิมุตติ ๕) นิโรธสมาบัติ การเขา นิโรธ คอื ดบั นสิ สคั คยิ ะ, นิสสัคคยี “อนั ใหตองสละ สัญญาความจําไดหมายรู และเวทนา สงิ่ ของ” เปน คณุ บทแหง อาบัตปิ าจติ ตยี การเสวยอารมณ เรียกเต็มวา เขา หมวดทม่ี ีการตอ งสละสงิ่ ของ ซง่ึ เรียกวา สัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันตและ นิสสัคคิยปาจิตตีย; “อันจะตองสละ” พระอนาคามที ีไ่ ดส มาบตั ิ ๘ แลวจึงจะ เปนคุณบทแหงส่ิงของที่จะตองสละเมื่อ เขา นโิ รธสมาบตั ไิ ด (ขอ ๙ ในอนุปพุ พ- ตองอาบตั ิปาจติ ตียห มวดน้ัน กลาวคอื วิหาร ๙) นสิ สคั คยิ วัตถุ นิโรธสญั ญา ความสาํ คัญหมายในนิโรธ นสิ สคั คยิ กัณฑ ตอน หรือ สว นอนั วา
นสิ สัคคยิ ปาจติ ตีย ๑๖๖ นิสสันท,นิสสนั ทะ ดวยอาบัตินสิ สคั คิยปาจิตตยี อฺ ตฺรภิกฺขุสมมฺ ติยา นสิ ฺสคฺคยิ , อิมาห นิสสคั คิยปาจติ ตยี อาบัติปาจิตตยี อัน อายสฺมโต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ”, ถา ๒ ผนื วา ทําใหตองสละสิ่งของ ภิกษุตองอาบัติ “ทฺวิจีวร”ํ ถา ท้ัง ๓ ผืน วา “ติจวี ร”ํ (คาํ ประเภทน้ี ตองสละสิ่งของท่ีทําใหตอง คนื ผา ให และคําเปลยี่ นท้งั หลาย พึง อาบตั กิ อ น จงึ จะปลงอาบตั ติ ก, มที งั้ หมด ทราบเหมอื นในสกิ ขาบทแรก) โกสยิ วรรค สกิ ขาบทที่ ๘ (รบั ทอง ๓๐ สกิ ขาบท จดั เปน ๓ วรรค คือ จวี ร- เงนิ - ตอ งสละในสงฆ) วา “อหํ ภนเฺ ต วรรค (มี ๑๐ สกิ ขาบท) โกสยิ วรรค (มี รูปยํ ปฏิคคฺ เหส,ึ อทิ ํ เม นิสฺสคคฺ ยิ , อิมาห สงฆฺ สสฺ นสิ ฺสชชฺ าม.ิ ” ๑๐ สกิ ขาบท) และปต ตวรรค (มี ๑๐ โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๙ (แลก สิกขาบท) เปลย่ี นดว ยรปู ย ะ - ตองสละในสงฆ) วา ตวั อยา งคาํ เสยี สละ ในบางสกิ ขาบท: “อห ภนเฺ ต นานปฺปการก รปู ย สโวหาร จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๑ (ทรงอตเิ รก- สมาปชฺชึ, อิทํ เม นิสฺสคฺคิยํ, อิมาห จวี รเกนิ ๑๐ วนั ) ของอยใู นหตั ถบาส วา สงฆฺ สฺส นิสฺสชชฺ ามิ.” “อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ทสาหาติกฺกนตฺ นสิ สฺ คคฺ ยิ ,ํ อมิ าหํ อายสมฺ โต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ” ปต ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ (เกบ็ เภสชั (ถา ผสู ละแกพ รรษากวา ผรู บั วา “อาวุโส” ไวฉ นั ลว ง ๗ วนั ) วา “อิทํ เม ภนฺเต เภสชชฺ ํ สตตฺ าหาติกฺกนฺตํ นิสฺสคคฺ ยิ ํ, แทน “ภนฺเต”), ถาสละ ๒ ผืนขน้ึ ไป วา อิมาห อายสฺมโต นิสสฺ ชฺชามิ.” คําคนื ให “อิมานิ เม ภนเฺ ต จีวรานิ ทสาหา- วา “อิมํ เภสชชฺ ํ อายสฺมโต ทมฺม”ิ (เภสชั ตกิ ฺกนตฺ านิ นิสฺสคฺคิยาน,ิ อิมานาห อายสมฺ โต นสิ สฺ ชชฺ ามิ.”; ถาของอยู นอกหัตถบาส วา “เอต”ํ แทน “อิทํ” ทไ่ี ดค นื มา มใิ หฉ นั พงึ ใชใ นกจิ อนื่ ) และ “เอตาหํ” แทน “อิมาห”ํ , วา “เอตานิ” นิสสคั คิยวัตถุ ของท่เี ปนนสิ สัคคยี , ของ แทน “อิมาน”ิ และ “เอตานาหํ” แทน ทตี่ องสละ, ของทท่ี ําใหภ กิ ษตุ อ งอาบัติ “อิมานาห”ํ ; คําคืนให (ถาหลายผนื หรือ นิสสัคคิยปาจิตตยี จาํ ตองสละกอนจงึ อยนู อกหัตถบาส พึงเปล่ียนโดยนัยขา ง จะปลงอาบตั ิตก ตน ) วา “อิมํ จีวร อายสฺมโต ทมฺม”ิ นสิ สคั คีย ดู นิสสัคคยิ ะ จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๒ (อยปู ราศ นิสสันท, นสิ สนั ทะ “สภาวะที่หล่งั ไหล จากไตรจวี รลว งราตร)ี ของอยใู นหตั ถบาส ออก”, สงิ่ ทีเ่ กดิ ตามมา, ส่งิ ท่ีออกมาเปน วา “อิท เม ภนเฺ ต จวี รํ รตตฺ วิ ปิ ฺปวุตถฺ ํ ผล, ผลสืบเนอ่ื ง หรือผลตอตาม เชน
นสิ สัย ๑๖๗ นิสสารณา แสงสวางและควัน เปนนิสสันทของไฟ, มีชีวติ ท่ไี มดีแลว ครอบครวั ญาติพ่นี อง มูตรและคถู เปน ตน เปน นสิ สันทข องสิ่ง ของเขาเกิดความเดือดรอนเปนอยูยาก ทไี่ ดด่มื กนิ , อปุ าทายรปู เปนนสิ สันทของ ลําบาก เปนนิสสนั ท; นิสสันท หมายถงึ มหาภตู รูป, โทสะเปน นิสสันทข องโลภะ ผลสืบเนื่องหรือผลพวงพลอยที่ดีหรือ (เพราะโลภะถูกขดั โทสะจงึ เกดิ ), อรูป- รายก็ได ตางจากอานิสงสซึ่งหมายถึง ฌานเปน นสิ สนั ทข องกสณิ , นโิ รธสมาบตั ิ ผลไดพเิ ศษในฝา ยดีอยางเดียว; ดู ผล, เปน นิสสนั ทของสมถะและวิปสสนา เทยี บ วบิ าก, อานสิ งส นิสสันท ใชกบั ผลดหี รอื ผลรา ยก็ได นิสสัย ปจจัยเคร่ืองอาศัยของบรรพชิต เชน เดียวกบั วบิ าก แตว บิ ากหมายถึงผล ๔ อยา ง คอื ๑. ปณ ฑยิ าโลปโภชนะ ของกรรมที่เกิดขึ้นแกกระแสสืบตอแหง โภชนะท่ีไดมาดวยกําลังปลีแขง คือ ชวี ติ ของผทู าํ กรรมนนั้ (คอื แกช วี ติ สนั ตติ เทีย่ วบิณฑบาต รวมทั้งภตั ตาหารท่เี ปน หรอื แกเ บญจขนั ธ) สว นนสิ สนั ทน ้ี ใชก ับ อตเิ รกลาภ ๑๐ อยา ง ๒. บังสุกุลจวี ร ผลของกรรมก็ได ใชกับผลของธรรม ผา นุงหม ทท่ี ําจากของเขาทิง้ รวมทง้ั ผา ที่ และเรื่องราวทั้งหลายไดท ัว่ ไป ถาใชก บั เปน อตเิ รกลาภ ๖ อยาง ๓. รุกขมลู - ผลของกรรม นสิ สันทหมายถึงผลพว ง เสนาสนะ ทอี่ ยอู าศัยคือโคนไม รวมท้งั พลอย ผลขา งเคยี ง หรอื ผลโดยออ ม ซงึ่ ที่อยูอาศัยที่เปนอติเรกลาภ ๕ อยาง สืบเนื่องตอออกไปจากวิบาก (คือ ๔. ปตู มิ ตุ ตเภสัช ยานา้ํ มตู รเนา รวมทั้ง อิฏฐารมณหรืออนิฏฐารมณท่ีเกิดพวง เภสัชทเี่ ปน อติเรกลาภ ๕ อยา ง (เรยี ก มาขางนอก อันจะกอใหเกิดความสุข สนั้ ๆ วา จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ หรือความทกุ ข) เชน ทาํ กรรมดีแลว เกดิ คิลานเภสชั ); คําบาลีวา “นสิ สฺ ย” ใน ผลดตี อ ชีวติ เปนวิบาก จากนน้ั พลอยมี ภาษาไทย เขียน นสิ สยั หรือ นสิ ยั ก็ ลาภมีความสะดวกสบายเกิดตามมา ได; ดู ปจจยั 2., อนศุ าสน (๘) เปน นสิ สันท หรอื ทํากรรมช่ัวแลว ชวี ติ นิสสารณา การไลอ อก, การขบั ออกจาก สืบตอแปรเปล่ียนไปในทางที่ไมนา หมู เชน นาสนะสามเณรผกู ลาวตูพ ระผู ปรารถนา เปน วิบาก และเกิดความโศก มีพระภาคเจา ออกไปเสยี จากหมู (อยใู น เศรา เสยี ใจ เปนนิสสนั ท และนสิ สันท อปโลกนกมั ม) ประกาศถอนธรรมกถกึ น้ันหมายถึงผลท่ีพลอยเกิดแกคนอื่น ผูไมแ ตกฉานในธรรมในอรรถ คัดคา น ดว ย เชน บคุ คลเสวยวบิ ากของกรรมชั่ว คดีโดยหาหลักฐานมิได ออกเสียจาก
นสิ ยั ๑๖๘ นสิ ัยมุตตกะ การระงับอธกิ รณ (อยใู นญตั ติกัมม); คู วา “สาห”ุ (ดลี ะ) “ลห”ุ (เบาใจดอก) กับ โอสารณา “โอปายกิ ”ํ (ชอบแกอ บุ าย) “ปฏริ ปู ” (สม นิสัย 1. ท่ีพึ่ง, ทอ่ี าศัย เชน ขอนสิ ยั ใน ควรอย)ู “ปาสาทเิ กน สมปฺ าเทหิ” (จง การอุปสมบท (คือกลาวคําขอรองตอ ใหถึงพรอมดวยอาการอันนาเล่ือมใส อุปชฌายในพธิ อี ปุ สมบท ขอใหทา นเปน เถิด) คาํ ใดคาํ หน่งึ หรอื ใหรูเ ขา ใจดวย ที่พ่ึงท่ีอาศัยของตน ทาํ หนาท่ีปกครอง อาการทางกายก็ตาม ก็เปนอันไดถือ สง่ั สอนใหก ารศกึ ษาอบรมตอ ไป), อาจารย อุปชฌายแลว แตนิยมกันมาใหผูขอ ผูใหน สิ ัย เรียกวา นสิ สยาจารย (อาจารย กลาวรับคําของทานแตละคําวา “สาธุ ผูรับท่ีจะเปนที่พ่ึงท่ีอาศัย ทําหนา ท่ปี ก ภนเฺ ต” หรือ “สมฺปฏจิ ฉฺ าม”ิ แลว กลาว ครองแนะนาํ ในการศกึ ษาอบรม); คําบาลี ตอ ไปอกี วา “อชชฺ ตคฺเคทานิ เถโร มยหฺ ํ วา “นิสฺสย” ในภาษาไทย เขยี น นสิ สัย ภาโร, อหมปฺ เถรสสฺ ภาโร” (วา ๓ หน) หรอื นสิ ัย กไ็ ด (= ตงั้ แตว นั น้เี ปน ตนไป พระเถระเปน การขอนสิ ยั (ขออยใู นปกครองหรอื ภาระของขา พเจา แมขา พเจาก็เปน ภาระ ขอใหเ ปนท่พี ึ่งในการศึกษา) สาํ เรจ็ ดวย ของพระเถระ) การถืออุปชฌาย (ขอใหเปนอุปชฌาย) ภิกษุนวกะถาไมไดอยูในปกครอง นน่ั เอง ในพธิ อี ปุ สมบทอยา งทป่ี ฏบิ ตั กิ นั ของอุปชฌายดวยเหตอุ ยา งใดอยา งหนึ่ง อยู การขอนสิ ยั ถอื อปุ ช ฌายเ ปน บพุ กจิ ตอน ทท่ี ําใหนสิ ัยระงบั เชน อปุ ชฌายไปอยู หน่ึงของการอุปสมบท กอนจะทําการ เสยี ทอ่ี น่ื ตอ งถอื ภกิ ษอุ นื่ ทม่ี คี ณุ สมบตั ิ สอนซอ มถามตอบอนั ตรายิกธรรม ผขู อ สมควร เปน อาจารย และอาศัยทานแทน อุปสมบทเปลงวาจาขอนิสัยถอื อปุ ชฌาย วิธีถืออาจารยก็เหมือนกับวิธีถือ ดงั น้ี (เฉพาะขอ ความทพ่ี ิมพตัวหนาเทา อุปชฌาย เปล่ยี นแตค ําขอวา “อาจรโิ ย เม นนั้ เปน วนิ ยั บญั ญตั ิ นอกนน้ั ทานเสริม ภนเฺ ต โหห,ิ อายสมฺ โต นสิ สฺ าย วจฺฉาม”ิ เขามาเพื่อใหหนักแนน): “อหํ ภนฺเต (ขอทานจงเปนอาจารยของขาพเจา นสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ ทตุ ยิ มปฺ อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ขาพเจา จกั อยูอ าศยั ทาน) ยาจาม,ิ ตตยิ มปฺ อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ 2. ปจ จยั เครอื่ งอาศยั ของบรรพชติ ๔ อุปชฌฺ าโย เม ภนฺเต โหหิ, อปุ ชฌฺ าโย เม อยา ง ดู นิสสยั 3. ความประพฤตทิ เ่ี คย ภนเฺ ต โหห,ิ อปุ ชฌฺ าโย เม ภนเฺ ต โหหิ” ชิน เชน ทําจนเปน นสิ ยั ลําดับน้ันผูจะเปนอุปชฌายะกลาวตอบ นิสัยมุตตกะ ภิกษุผูพนการถือนิสัย
นิสยั สมี า ๑๖๙ เนา หมายถึงภกิ ษุมีพรรษาพน ๕ แลว มี ๑๔๐,๗๙๗ ตารางกิโลเมตร มีพลเมือง ความรธู รรมวินัยพอรักษาตวั ไดแลว ไม ประมาณ ๑๓,๔๒๐,๐๐๐ คน (พ.ศ. ตองถือนิสัยในอุปชฌาย หรืออาจารย ๒๕๒๑); หนังสือเกาเขยี น เนปอล ตอ ไป; เรยี กงายวา นิสัยมตุ ก เนยยะ ผพู อแนะนําได คอื พอจะฝกสอน นิสัยสีมา คามสีมาเปนที่อาศัยของ อบรมใหเขา ใจธรรมไดต อ ไป (ขอ ๓ ใน พัทธสีมา บุคคล ๔ เหลา) นิสิต ศิษยผูเลาเรียนอยูในสํานัก, ผู เนยยัตถะ ดู อัตถะ 2. เนรเทศ ขบั ไลอ อกจากถ่นิ เดิม, ใหออก อาศยั , ผถู อื นิสยั นิสิตสีมา พทั ธสมี าอาศัยคามสีมา ไปเสียจากประเทศ นิสที นะ ผาปูน่งั สาํ หรบั ภิกษุ เนรญั ชรา ชอื่ แมน้ําสาํ คัญ พระพุทธเจา นตี ตั ถะ ดู อัตถะ 2. ไดตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เนกขมั มะ การออกจากกาม, การออก ที่ภายใตตนโพธ์ิ ซึ่งอยูริมแมน้ําสายนี้ บวช, ความปลอดโปรง จากส่ิงลอเรา เยา และกอนหนานั้นในวันตรัสรูทรงลอย ยวน (พจนานกุ รมเขยี น เนกขัม); (ขอ ถาดขาวมธุปายาสท่ีนางสุชาดาถวายใน ๓ ในบารมี ๑๐) แมน าํ้ สายนี้ เนกขัมมวิตก ความตรึกท่ีจะออกจาก เนวสัญญานาสัญญายตนะ ภาวะที่มี กาม หรือตรึกท่จี ะออกบวช, ความดําริ สัญญากไ็ มใช ไมม สี ัญญากไ็ มใช เปน หรอื ความคิดท่ปี ลอดจากความโลภ (ขอ ชอ่ื อรูปฌาน หรืออรูปภพที่ ๔ ๓ ในกุศลวติ ก ๓) เนวสัญญีนาสัญญี มีสัญญากไ็ มใช ไม เนตติ แบบแผน, เยยี่ งอยา ง, ขนบธรรม- มสี ญั ญาก็ไมใ ช เนียม (พจนานกุ รม เขยี น เนติ) เนสัชชกิ ังคะ องคแหง ภิกษุผูถ อื การน่งั เนตร ตา, ดวงตา เปน วตั ร คอื ถอื น่ัง ยืน เดนิ เทาน้นั เนปาล ช่ือประเทศอันเคยเปนที่ต้ังของ ไมน อน (ขอ ๑๓ ในธุดงค ๑๓) แควน ศากยะบางสว น รวมทั้งลุมพนิ อี ัน เนา เอาผา ทาบกนั เขา เอาเข็มเย็บเปน ชวง เปน ทป่ี ระสตู ขิ องเจา ชายสทิ ธตั ถะ ตง้ั อยู ยาวๆ พอกนั ผา เคลอ่ื นจากกัน ครั้นเย็บ ทางทิศเหนือของประเทศอินเดียและ แลว กเ็ ลาะเนานัน้ ออกเสีย ทางใตของประเทศจีน มีเน้ือที่
บทภาชนะ ๑๗๐ บรรยาย บ บทภาชนะ บทไขความ, บทขยายความ บรรพ ขอทว่ี า ดวยการกาํ หนดลมหายใจ บทภาชนีย บทท่ีตั้งไวเพื่อขยายความ, เขา ออก เปนตน บรรพชา การบวช (แปลวา “เวน ความชวั่ บททตี่ อ งอธบิ าย บรม อยา งยง่ิ , ท่ีสดุ ทุกอยาง”) หมายถึง การบวชท่ัวไป, บรมธาตุ กระดูกพระพุทธเจา ก า ร บ ว ช อั น เ ป น บุ ร พ ป ร ะ โ ย ค แ ห ง บรมพุทโธบาย อุบายคือวิธีของพระ อุปสมบท, การบวชเปนสามเณร (เดิมที พุทธเจา ผยู อดเยยี่ ม จากศัพทวา บรม เดยี ว คาํ วา บรรพชา หมายความวา (ปรม) + พทุ ธ (พทุ ธฺ ) + อบุ าย (อปุ าย) บวชเปนภิกษุ เชน เสด็จออกบรรพชา บรมศาสดา ศาสดาที่ยอดเยีย่ ม, พระผู อคั รสาวกบรรพชา เปน ตน ในสมัยตอ เปน ครูท่ีสงู สุด, พระบรมครู หมายถึง มาจนถึงปจจุบันน้ี คําวา บรรพชา พระพทุ ธเจา หมายถึง บวชเปน สามเณร ถาบวชเปน บรมสารีรกิ ธาตุ ดู สารีริกธาตุ ภกิ ษุ ใชคาํ วา อุปสมบท โดยเฉพาะเมือ่ บรมสุข สขุ อยางยง่ิ ไดแก พระนพิ พาน ใชค วบกันวา บรรพชาอุปสมบท) บรมอัฏฐิ กระดูกกษัตรยิ บรรพชิต ผบู วช, นกั บวช เชน ภิกษุ บรรจถรณ ผา ปนู อน, เครือ่ งลาด (คือ สมณะ ดาบส ฤษี เปนตน แตเ ฉพาะใน ปจจัตถรณะ) พระพุทธศาสนา ไดแก ภิกษุและ บรรจบ ครบ, ถว น, จดกัน, ประสมเขา, สามเณร (และภิกษุณี สิกขมานา ตดิ ตอ กนั , สมทบ สามเณร)ี มักใชค ูกบั คฤหัสถ (ในภาษา บรรทม นอน ไทยปจ จบุ นั ใหใ ชห มายเฉพาะนกั บวชใน บรรเทา ทาํ ใหสงบ, คลาย, เบาลง, ทําให พระพุทธศาสนา ไมวาในฝายเถรวาท เบาลง, ทเุ ลา หรือฝา ยมหายาน) บรรพ ขอ, เลม, หมวด, ตอน, กณั ฑ บรรพต ภูเขา ดังคําวา กายานุปส สนา พจิ ารณาเห็น บรรยาย การสอน, การแสดง, การชี้ ซงึ่ กาย โดยบรรพ ๑๔ ขอ มี อานาปาน- แจง; นัยโดยออม, อยาง, ทาง
บรรลุ ๑๗๑ บรขิ าร บรรลุ ถงึ , สําเรจ็ เข็ม ประคดเอว ผากรองน้ํา (ปริส- บรกิ รรม 1. (ในคาํ วา “ถาผากฐนิ นัน้ มี สาวนะ, หรอื กระบอกกรองนา้ํ คอื ธมกรก, บริกรรมสําเร็จดีอยู”) การตระเตรียม, ธมกรณ, ธมั มกรก หรอื ธมั มกรณ) ดงั กลาวในอรรถกถา (เชน วนิ ย.อ.๑/๒๘๔) วา การทาํ ความเรียบรอยเบอื้ งตน เชน ซัก ตจิ วี รฺจปตโฺ ตจ วาสีสจู ิจพนธฺ น ยอ ม กะ ตดั เยบ็ เสรจ็ แลว 2. สถานที่ ปรสิ สฺ าวเนนฏเเต ยตุ ตฺ โยคสสฺ ภกิ ขฺ โุ น. ตามปกติ อรรถกถากลาวถึงบริขาร ๘ เขาลาดปูน ปูไม ขัดเงา หรอื ชักเงา โบก เมื่อเลาเร่ืองของทานผูบรรลุธรรมเปนพระ ปจ เจกพทุ ธเจา ซึง่ มบี ริขาร ๘ เกดิ ข้นึ เอง ปนู ทาสี เขียนสี แตง อยา งอืน่ เรียกวา พรอมกบั การหายไปของเพศคฤหัสถ และ ที่ทาํ บรกิ รรม หามภกิ ษุถมน้าํ ลาย หรือ เรือ่ งของพระสาวกในยุคตนพุทธกาล ซึง่ มี นงั่ พงิ 3. การนวดฟน ประคบ หรอื ถู บริขาร ๘ เกดิ ขนึ้ เอง เม่ือไดรบั อุปสมบท เปนเอหิภิกขุ นอกจากนี้ ทานอธิบาย ตัว 4. การกระทําขัน้ ตนในการเจรญิ ลักษณะของภิกษุผูสันโดษวา ภิกษุผู สันโดษท่ีพระพุทธเจาทรงมุงหมายในพระ สมถกรรมฐานคือ กําหนดใจโดยเพง สตู ร (เชน สามัญญผลสตู ร, ที.ส.ี ๙/๙๑/๖๑) ซ่ึง เบาตัวจะไปไหนเมื่อใดก็ไดตามปรารถนา วัตถุ หรือนึกถงึ อารมณทก่ี าํ หนดนัน้ วา ดังนกที่มีแตปกจะบินไปไหนเม่ือใดไดดัง ใจน้นั คอื ทานทีม่ ีบรขิ าร ๘ สว นผทู ีม่ ี ซํา้ ๆ อยใู นใจอยางใดอยา งหน่ึง เพื่อทาํ บริขาร ๙ (เพิ่มผาปลู าด หรอื ลูกกญุ แจ) มี บริขาร ๑๐ (เพ่ิมผา นสิ ที นะ หรอื แผน หนงั ) ใจใหสงบ 5. เลือนมาเปนความหมายใน มบี รขิ าร ๑๑ (เพ่ิมไมเ ทา หรอื ทะนานนาํ้ มนั ) หรอื มบี ริขาร ๑๒ (เพ่มิ รม หรือรอง ภาษาไทย หมายถงึ ทองบน , เสกเปา เทา ) ก็เรยี กวามกั นอย สนั โดษ แตม ใิ ชผู บริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นตนหรือข้ัน ท่ที รงมุงหมายในพระสูตรดังกลา วนั้น ตระเตรยี ม คือ กําหนดใจ โดยเพง ดู รายการบรขิ ารในพระไตรปฎ ก ทม่ี ชี ื่อ และจาํ นวนใกลเ คยี งกบั บริขาร ๘ น้ี พบ วัตถุ หรือนึกวาพุทธคุณ ธรรมคุณ ในสิกขาบทที่ ๑๐ แหงสุราปานวรรค สังฆคณุ เปน ตน ซํา้ ๆ อยูในใจ บรขิ าร ของใชสวนตวั ของพระ, เคร่ืองใช สอยประจําตัวของภิกษุ; บริขารทจี่ าํ เปน แทจ ริง คือ บาตร และ[ไตร]จวี ร ซ่ึงตอ ง มพี รอ มกอ นจงึ จะอปุ สมบทได แตไ ดย ดึ ถอื กนั สบื มาใหม ี บรขิ าร ๘ (อัฐบริขาร) คือ ไตรจวี ร (สังฆาฏิ อุตราสงค อนั ตร- วาสก) บาตร มดี เลก็ (วาส,ี อรรถกถามกั อธบิ ายวา เปนมีดตดั เหลาไมสฟี น แตเรา นิยมพูดกันมาวามีดโกนหรือมีดตดั เลบ็ )
บริขารโจล ๑๗๒ บรโิ ภคเจดีย ปาจิตตีย (ภิกษุซอนบริขารของภิกษุอ่ืน) อปรันตกชนบท (สนั นษิ ฐานวา เปน ดนิ แดน ไดแก บาตร [ไตร]จีวร ผา นสิ ที นะ กลอง แถบรฐั Gujarat ในอนิ เดยี ถงึ Sind ใน เข็ม ประคดเอว (นับได ๗ ขาดมดี และ ปากสี ถานปจจุบัน) เคร่ืองกรองน้ํา แตมีนิสีทนะเพิ่มเขามา), บริขารโจล ทอนผา ใชเปน บรขิ าร เชน ในคราวจะมสี งั คายนาครงั้ ที่ ๒ พวกภกิ ษุ ผากรองน้าํ ถงุ บาตร ยาม ผา หอของ วัชชีบุตรไดเที่ยวหาพวกดวยการจัด บริจาค สละให, เสยี สละ, สละออกไป เตรียมบริขารเปนอันมากไปถวายพระ จากตัว, การสละใหหมดความเห็นแก เถระบางรปู (วนิ ย.๗/๖๔๓/๔๑๐) ไดแ ก บาตร ตัว หรืออยางมิใหมีความเห็นแกตน จีวร นิสีทนะ กลองเขม็ ประคดเอว ผา โดยมุงเพ่ือประโยชนของผูอ่ืน เพ่ือ กรองนํ้า และธมกรก (ครบ ๘ แตมี ความดงี าม หรือเพ่ือการกาวสงู ขนึ้ ไปใน นสิ ีทนะมาแทนมีด) ธรรม เชน ธนบรจิ าค (การสละทรพั ย) คัมภีรอปทาน (ขุ.อป.๓๓/๒๐๘/๕๔๙) ชีวิตบริจาค (การสละชีวิต) กามสุข- นอกจากบรรยายเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ บรจิ าค (การสละกามสขุ ) อกุศลบรจิ าค ท่ไี ดร ับการอญั เชิญไปบรรจุไว ณ สถูป- (การสละละอกุศล); บัดนี้ มักหมาย เจดยี สถานตา งๆ แลว ยังไดก ลาวถงึ เฉพาะการรวมใหหรือการสละเพ่ือการ บรขิ ารของพระพุทธเจา ซงึ่ ประดษิ ฐานอยู บุญอยางเปน พิธี ในท่ีตางๆ (หลายแหงไมอาจกําหนดไดวา บริจารกิ า หญงิ รับใช ในบดั นค้ี อื ทีใ่ ด) คอื บาตร ไมเทา และ บรภิ ณั ฑ ดู สตั ตบรภิ ัณฑ จีวรของพระผมู ีพระภาค อยูในวชิรานคร บริโภค กิน, ใชสอย, เสพ; ในประโยควา สบงอยูในกุลฆรนคร (เมืองหน่ึงใน “ภิกษุใดรูอยู บรโิ ภคน้าํ มตี วั สตั ว เปน แควนอวันตี) บรรจถรณอยูเมืองกบิล ปาจิตตยิ ะ” หมายถึง ด่ืม อาบ และใช ธมกรกและประคดเอวอยูนครปาฏลิบุตร สอยอยางอืน่ ผาสรงอยูที่เมืองจัมปา ผากาสาวะอยูใน บริโภคเจดยี เจดยี ค ือสิ่งของหรือสถาน พรหมโลก ผาโพกอยูที่ดาวดึงส ผา ท่ีท่ีพระพุทธเจาเคยทรงใชสอยเกี่ยว นิสีทนะอยูในแควนอวันตี ผาลาดอยูใน ขอ ง ไดแ ก ตมุ พสตปู อังคารสตูป และ เทวรฐั ไมสไี ฟอยูใ นมถิ ิลานคร ผากรอง สงั เวชนยี สถานทัง้ ๔ ตลอดถึงบาตร นํ้าอยูในวิเทหรัฐ มีดและกลองเข็มอยูที่ จวี ร เตียง ตั่ง กฎุ ี วิหาร ท่พี ระพทุ ธเจา เมืองอินทปต ถ บรขิ ารเหลือจากน้นั อยใู น ทรงใชส อย
บรวิ าร ๑๗๓ บอกศกั ราช บรวิ าร 1. ผูแวดลอ ม, ผูหอ มลอมตดิ บอกวัตร บอกขอปฏิบัติในพระพุทธ- ตาม, ผรู บั ใช 2. สง่ิ แวดลอ ม, ของสมทบ, ศาสนา เมื่อทําวัตรเยน็ เสรจ็ แลว ภกิ ษุ ส่งิ ประกอบรว ม เชน ผา บริวาร บรวิ าร รปู เดียวเปนผบู อก อาจใชว ิธีหมนุ เวยี น กฐิน เปนตน 3. ชอ่ื คัมภรี พระวินัยปฎก กนั ไปทลี ะรปู ขอ ความทบี่ อก วา เปน ภาษา หมวดสุดทายใน ๕ หมวดคือ อาทกิ ัมม บาลี กลา วถงึ ปฏิบตั ิบูชา คาถา โอวาท- ปาจิตตีย มหาวรรค จลุ วรรค บริวาร; ปาฏิโมกข คณุ านิสงสแหง ขันตธิ รรม คํา เรยี กตามรปู เดมิ ในบาลวี า ปริวาร ก็มี เตือนใหใสใจในธรรมในเมื่อไดมีโอกาส บรษิ ทั หมเู หลา, ท่ีประชุม, คนรวมกัน, เกิดมาเปนมนุษยพบพระพุทธศาสนา กลุม ชน ความไมประมาท เรงเพียรพยายามใน บรษิ ทั ๔ ชุมชนชาวพทุ ธ ๔ พวก คือ ทางธรรมเพื่อนอมไปสูพระนิพพาน ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อบุ าสิกา และพน จากทคุ ติ แลวกลา วถึงพทุ ธกจิ บริสุทธ, บรสิ ุทธิ์ สะอาด, หมดจด, ประจําวนั ๕ ประการ ลาํ ดบั กาลในพระ ปราศจากมลทิน, ผุดผอง; ครบถว น, พุทธประวัติ สิ่งแทนพระองคภายหลัง ถกู ตองตามระเบยี บอยา งบรบิ ูรณ พุทธปรินพิ พาน ชอ่ื วัน เดือน ป และ บริหาร ดูแล, รกั ษา, ปกครอง ดาวนักษัตร ๒๗ จบลงดว ยคาํ เช้ือเชิญ บริหารคณะ ปกครองหมู, ดูแลหมู ใหต้ังอยูในพระพุทธโอวาท บําเพ็ญ บวงสรวง บูชา (ใชแ กผสี าง เทวดา) ปฏิบัติบูชา เพื่อบรรลุสมบัติทั้งที่เปน บวงแหง มาร ไดแ ก วัตถุกาม คอื รูป โลกยี ะและโลกตุ ตระ; ธรรมเนียมน้ี บัด เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ทน่ี า รักใคร นเ้ี ลือนลางไปแลว นา พอใจ บอกศักราช เปนธรรมเนียมของพระ บวช การเวน ทว่ั คือเวน ความชว่ั ทกุ อยา ง สงฆไ ทยแตโ บราณ มีการบอกกาลเวลา (ออกมาจากคาํ วา ป + วช) หมายถงึ การ เรยี กวา บอกศกั ราช ตอนทายสวดมนต ถอื เพศเปนนักพรตทว่ั ไป; บวชพระ คอื และกอ นจะแสดงพระธรรมเทศนา (หลงั บวชเปน ภกิ ษุ เรยี กวา อุปสมบท, บวช จากใหศีลจบแลว) วาท้ังภาษาบาลแี ละ เณรคอื บวชเปน สามเณร เรยี กวา บรรพชา คาํ แปลเปนภาษาไทย การบอกอยางเกา บอก ในประโยควา “ภกิ ษใุ ด ไมไ ดรับ บอกป ฤดู เดอื น วัน ทง้ั ท่ีเปนปจ จบุ ัน บอกกอน กา วลว งธรณีเขา ไป” ไมไ ดร ับ อดีต และอนาคต คอื บอกวา ลว งไปแลว บอก คือยงั ไมไ ดรบั อนญุ าต เทา ใด และยงั จะมมี าอกี เทา ใด จงึ จะครบ
บงั คม ๑๗๔ บงั สุกุลตาย-บงั สุกุลเปน จํานวนอายุพระพทุ ธศาสนา ๕ พนั ป สมเด็จพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมา แตป ระมาณ พ.ศ. ๒๔๘๔ ทร่ี ฐั บาล สัมพุทธเจาน้ัน มีนัยอันจะพึงกําหนด ประกาศใชวนั ท่ี ๑ มกราคม เปนวันข้ึน นับ ดว ยประการฉะนี้. ปใหม เปน ตน มา ไดมีวธิ บี อกศักราช อยา งใหมข ้ึนใชแ ทน บอกเฉพาะป พ.ศ. [วนั เรยี งลาํ ดับจากวันอาทติ ยไป เปน เดอื น วันท่ี และวันในปจ จบุ นั ทง้ั บาลี คาํ บาลีวา : รวิ จนทฺ ภมุ มฺ วธุ ครุ สกุ กฺ และคําแปล บดั น้ไี มนิยมกันแลว คง โสร; เดือน เรยี งลําดบั จากเมษายนไป เปนเพราะมีปฏิทินและเคร่ืองบอกเวลา เปน คําบาลีวา: จติ รฺ วสิ าข เชฏ อยา งอ่ืนใชกันด่ืนท่ัวไป อาสาฬหฺ สาวน โปฏ ปท (หรอื ภททฺ - ปท) อสสฺ ยชุ กตตฺ กิ มคิ สริ ปสุ สฺ มาฆ ในทน่ี ี้ แสดงคาํ บอกศกั ราชอยา งใหม ผคฺคุณ; สวนวันที่ และเลขป พึง ไวเปนตัวอยาง (เม่อื ใกล พ.ศ.๒๕๐๐ ประกอบตามหลักบาลไี วยากรณ] ยังถือปฏบิ ัติกันอย)ู ดงั นี้ บงั คม ไหว อทิ านิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺ บังสุกลุ ผาบังสกุ ลุ หรือ บงั สกุ ุลจีวร; ใน มา-สมพฺ ทุ ธฺ สสฺ , ปรนิ ิพพฺ านโต ปฏ ภาษาไทยปจจุบัน มักใชเปนคํากริยา ฐาย, เอกสํวจฺฉรตุ ตฺ รปจฺ สตาธิกา หมายถึงการที่พระสงฆชักเอาผาซึ่งเขา น,ิ เทวฺ สวํ จฺฉรสหสฺสานิ อตกิ ฺกนฺ ทอดวางไวท ศ่ี พ ทห่ี บี ศพ หรอื ทสี่ ายโยง ตานิ, ปจฺจุปฺ-ปนฺนกาลวเสน จิตฺร ศพ โดยกลาวขอความท่ีเรียกวา คํา มาสสฺส เตรสมํ ทนิ ,ํ วารวเสน ปน พิจารณาผา บงั สุกลุ ดงั นี้ รววิ าโร โหต.ิ เอวํ ตสฺส ภควโต ปริ อนิจฺจา วต สงขฺ ารา อปุ ฺปาทวยธมฺมโิ น นพิ พฺ านา, สาสนายกุ าล-คณนา สลฺล อุปฺปชชฺ ิตวฺ า นริ ุชฺฌนฺติ เตสํ วปู สโม สโุ ข กเฺ ขตพพฺ าติ. บังสุกุลจีวร ผาท่ีเกลือกกลั้วดวยฝุน, ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล ผาท่ไี ดม าจาก กองฝุน กองหยากเย่อื ซง่ึ จําเดิมแตปรินิพพานแหงพระองค เขาท้ิงแลว ตลอดถงึ ผาหอคลุมศพทเี่ ขา สมเด็จพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมา ท้ิงไวในปาชา ไมใชผาท่ีชาวบานถวาย, สมั พทุ ธเจา น้ัน บัดน้ีลว งแลว ๒๕๐๑ ปจจุบันมักหมายถึงผาท่ีพระชักจากศพ พรรษา ปจ จบุ นั สมยั เมษายนมาส สรุ ทนิ โดยตรงกต็ าม จากสายโยงศพก็ตาม ที่ ๑๓ อาทติ ยวาร พระพทุ ธศาสนายกุ าล บังสุกลุ ตาย-บงั สกุ ุลเปน ตามประเพณี จําเดิมแตปรินิพพานแหงพระองค เก่ียวกับการศพ หลังจากเผาศพแลว
บญั ญตั ิ ๑๗๕ บณั เฑาะว เมอ่ื จะเก็บอัฐิ (เก็บในวันที่เผากไ็ ด แต อจริ ํ วตยํ กาโย ปวึ อธเิ สสสฺ ติ นยิ มเก็บตอนเชา วันรุงขึน้ ) มีการนมิ นต ฉุฑโฺ ฑอเปตวิฺาโณ นิรตถฺ ํว กลิงฺครํ พระมาบงั สุกลุ อัฐิ เรียกวา “แปรรูป” หรอื บังสุกุลตาย-บังสุกุลเปนนี้ ตอมามี “แปรธาต”ุ (พระก่รี ูปก็ได แตนิยมกนั วา การนําไปใชในการสะเดาะเคราะหดวย ๔ รปู , บางทานวา ทีจ่ รงิ ไมค วรเกนิ ๓ ทํานองจะใหมีความหมายวา ตายหรือ รูป คงจะเพอ่ื ใหส อดคลองกับกรณที ่ีมี วบิ ตั แิ ลว กใ็ หก ลบั ฟน ขนึ้ มา, อยา งไรกด็ ี การทําบุญสามหาบ ซึ่งถวายแกพระ ๓ ถาไมระวังไว แทนที่จะเปนการใชใหมี รูป) ในการแปรรูปน้ัน กอ นจะบงั สกุ ลุ ความหมายเชงิ ปริศนาธรรม ก็จะกลาย บางทีก็นิมนตพระสงฆทําน้ํามนตมา เปนการใชในแงถอื โชคลาง; ดู บังสกุ ลุ ประพรมอฐั ิ เรียกวาดบั ธาตกุ อน แลว บัญญตั ิ การต้งั ขึน้ , ขอท่ตี ั้งข้ึน, การ เจา หนา ท่ี (สัปเหรอ) จัดอัฐทิ ีเ่ ผาแลว นัน้ กาํ หนดเรียก, การเรียกชอ่ื , การวางเปน ใหรวมเปนสวนๆ ตามรูปของรางกาย กฎไว, ขอ บงั คบั หนั ศรี ษะไปทศิ ตะวนั ตก พรอมแลว บัณฑิต ผูมีปญญา, นักปราชญ, ผู ญาติจุดธูปเคารพ บอกกลา ว และเอา ดาํ เนินชีวติ ดวยปญ ญา ดอกพิกุลเงินพิกุลทองหรือสตางควาง บัณฑติ ชาติ เผาพันธบุ ัณฑิต, เหลานกั กระจายลงไปท่ัวรางของอัฐิ แลว ปราชญ, เชอ้ื นกั ปราชญ ประพรมดวยนํ้าอบน้าํ หอม จากนั้นจึง บณั ฑกุ มั พลศิลาอาสน แทน หินมสี ีดุจ ทอดผา บงั สกุ ลุ และพระสงฆก ็กลา วคํา ผา กมั พลเหลอื ง เปนที่ประทับของพระ พิจารณาวา “อนิจฺจา วต สงฺขารา” อินทรในสวรรคชนั้ ดาวดงึ ส (อรรถกถา เปน ตน อยา งท่ีวา ตามปกติทวั่ ไป เรยี ก วา สีแดง) วา บงั สุกุลตาย เสร็จแลวเจาหนาท่ีก็ บณั เฑาะก [บนั -เดาะ] กะเทย, คนไม หมุนรางอัฐิใหหันศีรษะไปทิศตะวัน ปรากฏชัดวาเปนเพศชายหรือเพศหญิง ออก และพระสงฆกลาวคําพิจารณา ไดแ ก กะเทยโดยกําเนิด ๑ ชายผถู กู เปลี่ยนเปนบงั สกุ ลุ เปน มคี วามหมาย ตอนที่เรยี กวาขนั ที ๑ ชายมรี าคะกลา วาตายแลวไปเกดิ จบแลว เมอ่ื ถวาย ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและ ดอกไมธูปเทียนแกพระสงฆเสร็จ เจา ยว่ั ยวนชายอืน่ ใหเปน เชน น้นั ๑ ภาพกเ็ ก็บอฐั ิ (เลอื กเก็บจากศีรษะลงไป บณั เฑาะว [บัน-เดาะ] 1. กลองเล็กชนดิ ปลายเทา ),คาํ พจิ ารณาบงั สกุ ลุ เปน นน้ั วา หนึ่งมีหนังสองหนาตรงกลางคอด ริม
บนั ดาล ๑๗๖ บารมี ท้ังสองใหญ พราหมณใชในพิธีตางๆ หลังเดยี ว สองหลงั สามหลงั หรอื มาก ขับโดยใชลูกตุมกระทบหนากลองท้ัง กวา นน้ั หรอื รวมบา นเหลา นนั้ เขา เปน หมู สองขา ง; 2. สีมามสี ณั ฐานดุจบัณเฑาะว ก็เรียกวา บาน คําวา คามสมี า หมายถึง คอื มลี กั ษณะทรวดทรงเหมอื นบณั เฑาะว แดนบานตามนัยหลงั น้ี บันดาล ใหเกิดมีขน้ึ หรอื ใหเปน ไปอยาง บาป ความชวั่ , ความราย, ความช่ัวราย, ใดอยางหน่ึงดวยฤทธ์ิหรือดวยแรง กรรมชวั่ , กรรมลามก, อกุศลกรรมทสี่ ง อาํ นาจ ใหถ ึงความเดือดรอ น, สภาพท่ที ําใหถ งึ บัลลงั ก ในคาํ วา “นงั่ ขัดบัลลงั ก” หรอื คติอันชวั่ , สิง่ ท่ีทาํ จติ ใหตกสทู ่ชี วั่ คือ “นัง่ คูบลั ลงั ก” คอื น่ังขัดสมาธ;ิ ความ ทําใหเลวลง ใหเส่ือมลง หมายทวั่ ไปวา แทน, พระแทน , ท่ีน่งั ผู บารมี คณุ ความดีทบ่ี ําเพญ็ อยา งยิง่ ยวด พพิ ากษาเม่ือพิจารณาคดีในศาล, สว น เพ่ือบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง, บารมีท่ี ของสถูปเจดียบางแบบ มีรูปเปนแทน พระโพธิสัตวตองบําเพ็ญใหครบ เหนือคอระฆงั บริบูรณ จึงจะบรรลโุ พธิญาณ เปน พระ บัว ๔ เหลา ดู บคุ คล ๔ จาํ พวก พุทธเจา มี ๑๐ คือ ๑.ทาน (การให การ บาตร ภาชนะทภี่ ิกษุสามเณรใชรับอาหาร เสียสละเพ่ือชวยเหลือมวลมนุษยสรรพ บิณฑบาต เปนบริขารประจําตัวคูกับ สัตว) ๒.ศีล (ความประพฤติถูกตอง สุจริต) ๓.เนกขัมมะ (ความปลีกออก ไตรจีวร ซึ่งผูจะอุปสมบทจําเปน ตอ งมี จงึ จะบวชได ดงั ที่เรยี กรวมกนั วา “ปตฺต- จากกามได ไมเห็นแกการเสพบําเรอ, จีวรํ” และจดั เปนอยา งหน่งึ ในบริขาร ๘ การออกบวช) ๔.ปญญา (ความรอบรู ของภกิ ษ,ุ บาตรทท่ี รงอนญุ าต มี ๒ อยา ง เขาถงึ ความจรงิ รจู กั คดิ พจิ ารณาแกไข (วนิ ย.๗/๓๔/๑๗) คอื บาตรเหลก็ (อโย- ปญหาและดําเนินการจัดการตางๆ ให สําเรจ็ ) ๕.วิริยะ (ความเพียรแกลว กลา ปตฺต) และบาตรดิน (มตฺติกาปตฺต, บากบน่ั ทาํ การ ไมทอดท้ิงธรุ ะหนา ท่)ี ๖. ขนั ติ (ความอดทน ควบคุมตนอยไู ดใน หมายเอาบาตรดนิ เผาซงึ่ สมุ ดําสนิท) บาตรอธิษฐาน บาตรท่ีพระพุทธเจา อนญุ าตใหภ กิ ษมุ ีไวใ ชประจาํ ตัวหน่งึ ใบ ธรรม ในเหตผุ ล และในแนวทางเพอื่ จุด บาทยุคล คแู หง บาท, พระบาททง้ั สอง หมายอนั ชอบ ไมย อมลุอํานาจกเิ ลส) ๗. สัจจะ (ความจรงิ ซื่อสัตย จริงใจ จริง (เทาสองขาง) จงั ) ๘.อธิษฐาน (ความตง้ั ใจม่นั ต้งั จดุ บาน ท่อี ยูของคนครัวเดยี วกัน มเี รือน
บารมี ๓๐ทศั ๑๗๗ บาลีประเทศ หมายไวด ีงามชัดเจนและมงุ ไปเดด็ เดี่ยว ๓๐ เรียกเปน คําศพั ทว า สมดงึ สบารมี แนวแน) ๙.เมตตา (ความรักความ (หรือสมติงสบารมี) แปลวา บารมี ปรารถนาดี คดิ เก้ือกูลหวังใหสรรพสตั ว สามสบิ ถว น หรอื บารมีครบเตม็ สามสบิ อยดู ีมคี วามสขุ ) ๑๐.อุเบกขา (ความวาง แตใ นภาษาไทย บางทีเรยี กสืบๆ กนั มา ใจเปนกลาง อยูในธรรม เรียบสงบ วา “บารมี ๓๐ ทศั ”; ดู ทศั , สมดึงส- สมํา่ เสมอ ไมเ อนเอยี ง ไมหวน่ั ไหวไป บารมี ๓๐ ทศั ดู บารมี, สมดึงส- ดวยความยินดียินรายชอบชังหรือแรง บาลี 1. “ภาษาอันรักษาไวซ ึ่งพทุ ธพจน” , เยา ยวนย่ัวยใุ ดๆ) ภาษาทใ่ี ชท รงจาํ และจารกึ รกั ษาพทุ ธพจน บารมี ๑๐ นัน้ จะบริบูรณต อเม่ือ แตเ ดมิ มา อนั เปน หลกั ในพระพทุ ธศาสนา พระโพธิสัตวบําเพ็ญแตละบารมีครบ ฝายเถรวาท ถือกันวาไดแกภาษามคธ สามข้นั หรือสามระดับ จงึ แบงบารมีเปน 2. พระพทุ ธวจนะ ซ่งึ พระสงั คตี ิกาจารย ๓ ระดับ คือ ๑.บารมี คอื คณุ ความดที ี่ รวบรวมไว คอื พระธรรมวนิ ัยทพี่ ระ บาํ เพญ็ อยางยิง่ ยวด ขนั้ ตน ๒.อปุ บารมี อรหนั ต ๕๐๐ องคประชมุ กนั รวบรวม คือคุณความดีที่บําเพ็ญอยางย่ิงยวด จัดสรรใหเปนหมวดหมูในคราวปฐม- ขัน้ จวนสูงสดุ ๓.ปรมตั ถบารมี คอื คุณ สงั คายนา และรกั ษาไวด ว ยภาษาบาลี สบื ความดีทบี่ ําเพญ็ อยา งยง่ิ ยวด ขัน้ สูงสุด ตอกันมาในรูปท่ีเรียกวาพระไตรปฎก เกณฑในการแบงระดับของบารมี อนั เปน คมั ภรี พ ระพทุ ธศาสนาตน เดิม ท่ี น้ัน มีหลายแงหลายดา น ขอยกเกณฑ เปนหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท, อยา งงา ยมาใหทราบพอเขาใจ เชน ใน พทุ ธพจน, ขอ ความทมี่ าในพระไตรปฎ ก; ขอทาน สละทรัพยภายนอกทกุ อยางได ในการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา มปี ระเพณี เพื่อประโยชนแกผูอื่น เปนทานบารมี ทป่ี ฏบิ ตั กิ นั มาในเมอื งไทย ใหแ ยกคาํ วา สละอวัยวะเพ่ือประโยชนแกผ ูอ น่ื เปน “บาล”ี ในความหมาย ๒ อยา งน้ี ดว ย ทานอปุ บารมี สละชีวติ เพ่อื ประโยชนแก การเรยี กใหต า งกนั คอื ถา หมายถงึ บาลี ผูอ่ืน เปน ทานปรมัตถบารมี ในความหมายที่ 1. ใหใ ชค าํ วา ภาษาบาลี บารมีในแตละขั้นมี ๑๐ จึงแยกเปน (หรอื ศพั ทบ าลี คาํ บาลี หรอื บาล)ี แตถ า บารมี ๑๐ (ทศบารม)ี อุปบารมี ๑๐ หมายถงึ บาลใี นความหมายท่ี 2. ใหใ ชค าํ (ทศอปุ บารม)ี และปรมตั ถบารมี ๑๐ วา พระบาลี (ทศปรมตั ถบารม)ี รวมทง้ั ส้ินเปน บารมี บาลีประเทศ ขอความตอนหนึ่งแหง
บาลพี ทุ ธอทุ าน ๑๗๘ บุคคล ๔๒ บาล,ี ขอ ความจากพระไตรปฎก พระไปบิณฑบาต คอื ไปรับอาหารทีเ่ ขา บาลพี ทุ ธอทุ าน คาํ อุทานท่พี ระพุทธเจา จะใสล งในบาตร บุคคล “ผูกลืนกินอาหารอันทําอายุให ทรงเปลงเปน บาลี เชนท่วี า ยทา หเว ปาตภุ วนฺติ ธมฺมา ครบเตม็ ”, คนแตละคน, คนรายตวั ; อาตาปโน ฌายโต พรฺ าหฺมณสสฺ อตั ตา, อาตมนั ; ในพระวินยั โดยเฉพาะ อถสฺส กงขฺ า วปยนตฺ ิ สพฺพา ในสังฆกรรม หมายถึงภิกษุรูปเดียว; ฯเปฯ เทยี บ สงฆ, คณะ (“ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก บุคคล ๔๑ บุคคล ๔ จําพวก คือ ๑. อุค- พราหมณผูเพียรเพงพิจารณา ในกาล ฆฏิตัญู ผูรเู ขา ใจไดฉ บั พลนั แตพอ น้ัน ความสงสยั ท้งั ปวงของพราหมณน นั้ ทา นยกหัวขอข้นึ แสดง ๒. วิปจติ ญั ู ผู รเู ขา ใจตอ เมอื่ ทา นขยายความ ๓. เนยยะ ยอ มสิน้ ไป ...”) บําบวง บนบาน, เซนสรวง, บูชา ผทู ่ีพอจะแนะนําตอไปได ๔. ปทปรมะ บําเพ็ญ ทาํ , ทาํ ดวยความตัง้ ใจ, ปฏบิ ตั ิ, ผูไดแคตัวบทคือถอยคําเปนอยางย่ิง ทําใหเ ตม็ , ทาํ ใหม ีขนึ้ , ทาํ ใหส ําเร็จผล ไมอ าจเขาใจความหมาย (ใชแกสิ่งที่ดงี ามเปน บุญกศุ ล) พระอรรถกถาจารยเปรียบบุคคล บณิ ฑจารกิ วตั ร วตั รของผเู ทยี่ วบณิ ฑบาต, ๔ จําพวกนี้กับบวั ๔ เหลาตามลาํ ดบั คอื ธรรมเนียมหรือขอควรปฏิบัติสําหรับ ๑. ดอกบวั ทีต่ งั้ ขน้ึ พน นา้ํ รอสมั ผัสแสง ภิกษทุ ่ีจะไปรับบิณฑบาต เชน นงุ หมให อาทติ ยกจ็ ะบานในวันน้ี ๒. ดอกบัวที่ตัง้ เรยี บรอ ย สํารวมกริ ิยาอาการ ถอื บาตร อยูเสมอนํ้า จักบานในวันพรุงน้ี ๓. ภายในจีวรเอาออกเฉพาะเม่ือจะรับ ดอกบัวท่ียังอยูในน้ํา ยังไมโผลพนนํ้า บิณฑบาต กําหนดทางเขาออกแหง บา น จักบานในวันตอ ๆ ไป ๔. ดอกบวั จมอยู และอาการของชาวบานที่จะใหภิกขา ในน้ําท่ีกลายเปนภักษาแหงปลาและเตา หรือไม รับบณิ ฑบาตดวยอาการสํารวม (ในพระบาลี ตรัสถึงแตบัว ๓ เหลา ตน รปู ที่กลับมากอน จัดทฉี่ นั รูปที่มาทีหลงั เทานนั้ ) ฉันแลวเก็บกวาด บุคคล ๔๒ บคุ คล ๔ จําพวกทแ่ี บง ตาม บิณฑบาต อาหารท่ีใสลงในบาตรพระ, ประมาณ ไดแ ก ๑. รปู ป ปมาณกิ า ๒. โฆ- อาหารถวายพระ; ในภาษาไทยใชใน สปั ปมาณกิ า ๓. ลขู ัปปมาณิกา และ ๔. ความหมายวา รบั ของใสบ าตร เชน ทว่ี า ธมั มัปปมาณกิ า; ดู ประมาณ
บคุ คลหาไดย าก ๒ ๑๗๙ บุญ บุคคลหาไดยาก ๒ คือ ๑. บุพการี ๒. เจริญเพม่ิ พนู อยางน้ี”, และมพี ทุ ธพจน กตญั กู ตเวที (ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๐) ตรัสไวด วยวา “ภิกษุ บุคคลาธิษฐาน มีบุคคลเปนที่ต้ัง, ทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายอยา ไดก ลวั ตอ บญุ เทศนายกบุคคลขึ้นตั้ง คือ วิธีแสดง เลย คาํ วา บุญน้ี เปน ชือ่ ของความสขุ ” ธรรมโดยยกบุคคลขึ้นอาง; คูกับ (บุญ ในพทุ ธพจนน ี้ ทรงเนน ทกี่ ารเจรญิ ธรรมาธษิ ฐาน เมตตาจิต), พระพุทธเจาตรัสสอนให บคุ คลิกาวาส ดู ปคุ คลกิ าวาส ศกึ ษาบญุ (“ปุ ฺเมว โส สกิ เฺ ขยยฺ ” - บุคลิก เนือ่ งดว ยบคุ คล, จาํ เพาะคน (= ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๑; ๒๓๘/๒๗๐) คอื ฝก ปคุ คลิก) ปฏิบัติหัดทาํ ใหชีวิตเจริญงอกงามข้ึนใน บญุ เครอ่ื งชาํ ระสนั ดาน, ความด,ี กรรมด,ี ความดแี ละสมบรู ณด ว ยคณุ สมบตั ทิ ด่ี ี ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ, กุศลกรรม, ความสขุ , กศุ ลธรรม ในการทาํ บญุ ไมพ งึ ละเลยพนื้ ฐานท่ี ตรงตามสภาพความเปน จรงิ ของชวี ติ ให ที่กลาวนั้น เปนความหมายท่ัวไป ชีวิตและสิ่งแวดลอมเจริญงอกงามหนุน โดยสรุป ตอน้ีพึงทราบคําอธิบาย กนั ขนึ้ ไปสคู วามดงี ามทส่ี มบรู ณ เชน พงึ ละเอียดข้ึน เริ่มแตความหมายตามรปู ระลกึ ถงึ พทุ ธพจน (ส.ํ ส.๑๕/๑๔๖/๔๖) ทวี่ า ศัพทวา “กรรมที่ชําระสันดานของผู “ชนเหลา ใด ปลกู สวน ปลกู ปา สรา ง กระทําใหส ะอาด”, “สภาวะอันทําใหเกดิ สะพาน (รวมทั้งจัดเรือขามฟาก) จัด ความนาบูชา”, “การกระทําอันทําใหเต็ม บรกิ ารนาํ้ ดมื่ และบงึ บอ สระนาํ้ ใหท พ่ี กั อิม่ สมนา้ํ ใจ”, ความด,ี กรรมทดี่ งี ามเปน อาศยั บญุ ของชนเหลา นนั้ ยอ มเจรญิ ประโยชน, ความประพฤตชิ อบทางกาย งอกงาม ทงั้ คนื ทง้ั วนั ตลอดทกุ เวลา, ชน วาจาใจ, กศุ ล (มักหมายถึงโลกียกศุ ล เหลา นนั้ ผตู ง้ั อยใู นธรรม ถงึ พรอ มดว ย หรือความดีที่ยังกอปรดวยอุปธิ คือ ศีล เปนผูเดินทางสวรรค”, คมั ภรี ท งั้ เก่ียวของกับส่ิงท่ีปรารถนากันในหมูชาว หลายกลาวถึงบุญกรรมที่ชาวบานควร โลก เชน โภคสมบตั ิ); บางทีหมายถึงผล รว มกนั ทาํ ไวเ ปน อนั มาก เชน (ชา.อ.๑/๒๙๙) ของการประกอบกุศล หรือผลบุญน่ัน การปรับปรงุ ซอมแซมถนนหนทาง สราง เอง เชนในพุทธพจน (ที.ปา.๑๑/๓๓/๖๒) สะพาน ขุดสระน้าํ สรางศาลาทพ่ี กั และ วา “ภิกษุท้งั หลาย เพราะการสมาทาน ที่ประชุม ปลูกสวนปลูกปา ใหทาน กุศลธรรมท้ังหลายเปนเหตุ บุญนี้ยอม รักษาศีล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: