Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

ทิฏฐวิ สิ ุทธิ ๑๓๐ ทิศหก นอกแบบแผน ทําความผิดอยูเสมอ ของมนุษย (ขอ ๓ ในวบิ ัติ ๔) ทพิ ยจักษุ ตาทิพย, ญาณพเิ ศษทที่ าํ ใหดู ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง ความเหน็ อะไรเหน็ ไดห มดตามปรารถนา; ดู ทิพพ- คือ เกิดความรูความเขาใจ มองเห็น จกั ขุ นามรูปตามสภาวะท่ีเปนจริงคลายความ ทิวงคต ไปสูส วรรค, ตาย หลงผดิ วาเปน สัตว บคุ คล ตวั ตน ลงได ทิวาวิหาร การพกั ผอนในเวลากลางวนั ทิศ ดาน, ขา ง, ทาง, แถบ; ทศิ แปด คอื (ขอ ๓ ในวิสทุ ธิ ๗) ทิฏฐิสามัญญตา ความเปนผูมีความ อุดร อีสาน บรู พา อาคเนย ทกั ษิณ เสมอกนั โดยทิฏฐ,ิ มีความเหน็ รวมกนั , หรดี ประจิม พายัพ; ทศิ สบิ คือ ทิศ มีความคดิ เหน็ ลงกันได (ขอ ๖ ในสาร- แปดนนั้ และทศิ เบอ้ื งบน (อปุ รมิ ทิศ) ทิศเบ้อื งลา ง (เหฏฐมิ ทิศ) ณยี ธรรม ๖) ทิฏุชุกัมม การทําความเห็นใหตรง, ทศิ ทกั ษณิ ทศิ ใต, ทิศเบ้ืองขวา การแกไขปรับปรุงความคิดเห็นใหถูก ทิศบรู ทิศตะวันออก, ทิศเบ้ืองหนา ตอง (ขอ ๑๐ ในบญุ กิรยิ าวัตถุ ๑๐) ทิศบูรพา ทศิ ตะวันออก ทฏิ ุปาทาน ความถอื ม่นั ในทฏิ ฐิ, ความ ทิศปจ ฉมิ ทศิ ตะวันตก, ทิศเบ้อื งหลัง ยดึ ติดฝง ใจในลทั ธิ ทฤษฎี และหลัก ทศิ พายัพ ทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนอื ความเช่ือตา งๆ (ขอ ๒ ในอุปาทาน ๔) ทศิ หก บคุ คลประเภทตา งๆ ท่ีเราตอ ง ทิพพจกั ขุ จกั ษุทิพย, ตาทิพย, ญาณ เก่ียวของสัมพันธ ดุจทิศท่ีอยูรอบตัว พิเศษของพระพุทธเจา และทานผูได จดั เปน ๖ ทิศ ดงั นี้ ๑. ปรุ ัตถมิ ทสิ ทิศ อภญิ ญาท้ังหลาย ทําใหส ามารถเลง็ เหน็ เบอ้ื งหนา ไดแก บดิ ามารดา: บตุ รธดิ า หมสู ัตวท เ่ี ปน ไปตา งๆ กันเพราะอาํ นาจ พงึ บาํ รงุ มารดาบดิ า ดังนี้ ๑. ทา นเลยี้ ง กรรม เรยี กอีกอยางวา จุตูปปาตญาณ เรามาแลว เลยี้ งทานตอบ ๒. ชวยทํากิจ (ขอ ๗ ในวชิ ชา ๘, ขอ ๕ ในอภิญญา ๖) ของทาน ๓. ดํารงวงศสกุล ๔. ทิพพจักขุญาณ ญาณคือทิพพจักขุ, ประพฤติตนใหเหมาะสมกับความเปน ความรดู จุ ดวงตาทิพย ทายาท ๕. เมอื่ ทา นลว งลบั ไปแลว ทาํ ทิพพโสต หทู พิ ย, ญาณพเิ ศษท่ที าํ ใหฟง บญุ อุทิศใหท าน; มารดาบดิ าอนุเคราะห อะไรไดย นิ หมดตามปรารถนา; ดู อภญิ ญา บุตรธดิ า ดังน้ี ๑. หามปรามจากความ ทิพย เปน ของเทวดา, วิเศษ, เลศิ กวา ชว่ั ๒. ใหต้ังอยูในความดี ๓. ใหศึกษา

ทศิ หก ๑๓๑ ทิศหก ศิลปวทิ ยา ๔. หาคูครองท่ีสมควรให ๕. สตั ยจ รงิ ใจตอ กนั ; มติ รสหายอนเุ คราะห มอบทรัพยสมบัติใหในโอกาสอันสม ตอบดังน้ี ๑. เมือ่ เพือ่ นประมาท ชวย ควร ๒. ทกั ขิณทิส ทศิ เบอ้ื งขวา ไดแ ก รักษาปองกัน ๒. เม่ือเพื่อนประมาท ครอู าจารย: ศษิ ยพงึ บาํ รุงครูอาจารย ดงั ชวยรักษาทรัพยสมบัตขิ องเพ่อื น ๓. ใน นี้ ๑. ลุกตอ นรับ แสดงความเคารพ ๒. คราวมภี ยั เปนทพี่ ึง่ ได ๔. ไมละทิง้ ใน เขา ไปหา ๓. ใฝใ จเรยี น ๔. ปรนนบิ ตั ิ ๕. ยามทกุ ขย าก ๕. นับถือตลอดถึงวงศ เรยี นศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ; ครอู าจารย ญาติของมติ ร ๕. เหฏฐิมทิส ทิศเบ้อื ง อนุเคราะหศ ษิ ยดงั นี้ ๑. ฝก ฝนแนะนํา ลาง ไดแก คนรบั ใชและคนงาน: นาย ใหเปน คนดี ๒. สอนใหเขา ใจแจมแจง พงึ บํารุงคนรับใชแ ละคนงาน ดงั นี้ ๑. ๓. สอนศิลปวทิ ยาใหสิ้นเชงิ ๔. ยกยอง จัดการงานใหทาํ ตามกาํ ลังความสามารถ ใหปรากฏในหมูเพอ่ื น ๕. สรางเครอื่ ง ๒. ใหคาจางรางวัลสมควรแกงานและ คุม กนั ภยั ในสารทศิ คือ สอนใหศ ษิ ย ความเปนอยู ๓. จดั สวัสดกิ ารดี มีชวย ปฏบิ ตั ิไดจ ริง นําวิชาไปเลย้ี งชีพทาํ การ รักษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข เปน ตน ๔. งานได ๓. ปจ ฉมิ ทิส ทิศเบือ้ งหลัง ได ไดของแปลกๆ พเิ ศษมา ก็แบง ปนให แก บุตรภรรยา: สามพี ึงบาํ รุงภรรยาดัง ๕. ใหมีวันหยุดและพักผอนหยอนใจ น้ี ๑. ยกยอ งสมฐานะภรรยา ๒. ไมดู ตามโอกาสอันควร; คนรับใชและคน หม่นิ ๓. ไมนอกใจ ๔. มอบความเปน งาน อนุเคราะหน ายดังนี้ ๑. เร่มิ ทํางาน ใหญในงานบา นให ๕. หาเคร่ืองประดบั กอ น ๒. เลิกงานทหี ลัง ๓. เอาแตข องท่ี มาใหเปนของขวัญตามโอกาส; ภรรยา นายให ๔. ทําการงานใหเรยี บรอยและดี อนเุ คราะหสามี ดงั นี้ ๑. จดั งานบานให ย่ิงขึน้ ๕. นาํ ความดีของนายไปเผยแพร เรยี บรอ ย ๒. สงเคราะหญ าตมิ ิตรท้ัง ๖. อปุ รมิ ทิส ทศิ เบ้อื งบน ไดแ ก พระ สองฝา ยดว ยดี ๓. ไมนอกใจ ๔. รักษา สงฆ สมณพราหมณ: คฤหัสถพ ึงบาํ รงุ สมบัตทิ ีห่ ามาได ๕. ขยนั ไมเ กยี จครา น พระสงฆ ดงั นี้ ๑. จะทําสงิ่ ใดกท็ ําดว ย ในงานทัง้ ปวง ๔. อตุ ตรทสิ ทศิ เบ้อื ง เมตตา ๒. จะพูดส่ิงใด ก็พูดดวย ซาย ไดแก มติ รสหาย: พึงบํารงุ มิตร เมตตา ๓. จะคดิ สิ่งใด ก็คดิ ดวยเมตตา สหาย ดงั นี้ ๑. เผอ่ื แผแ บงปน ๒. พูด ๔. ตอนรับดวยความเต็มใจ ๕. จามนี ํา้ ใจ ๓. ชวยเหลือเกอ้ื กลู กนั ๔. มี อุปถัมภดวยปจจัย ๔; พระสงฆ ตนเสมอ รว มสขุ รวมทุกขดว ย ๕. ซอื่ อนุเคราะหคฤหัสถ ดังน้ี ๑. หามปราม

ทศิ หรดี ๑๓๒ ทีฆนขสตู ร จากความชั่ว ๒. ใหต ั้งอยใู นความดี ๓. กถามกั เรยี กวา เวทนาปรคิ คหสตู ร) พระ อนุเคราะหด วยความปรารถนาดี ๔. ให สารีบุตรน่ังถวายงานพดั อยู ณ เบื้อง ไดฟ งสง่ิ ท่ียงั ไมเ คยฟง ๕. ทาํ ส่ิงทีเ่ คย พระปฤษฎางคข องพระพทุ ธองค ไดฟ ง ฟง แลว ใหแจม แจง ๖. บอกทางสวรรค เทศนานั้น และไดสําเรจ็ พระอรหตั สวน สอนวิธีดําเนินชีวิตใหประสบความสุข ทีฆนขะ เพียงแตไดดวงตาเห็นธรรม ความเจริญ; ดู คิหวิ นิ ัย แสดงตนเปนอบุ าสก ทศิ หรดี ทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต ทีฆนขสตู ร พระสูตรท่ีพระพุทธเจา ทรง ทศิ อาคเนย ทิศตะวนั ออกเฉียงใต แสดงแกทีฆนขปริพาชก (ม.ม.๑๓/๒๖๙/ ทิศอีสาน ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๒๖๓; ในอรรถกถามกั เรยี กวา เวทนา- ทิศอดุ ร ทศิ เหนือ, ทศิ เบื้องซา ย ปรคิ คหสตู ร) ทถี่ า้ํ สกุ รขาตา เขาคชิ ฌกฏู ทศิ านทุ ิศ ทิศนอ ยทิศใหญ, ทิศท่ัวๆ ไป เมอื งราชคฤห ในวนั ขนึ้ ๑๕ คา่ํ แหง ทิศาปาโมกข อาจารยผ เู ปน ประธานใน มาฆมาส หลังตรสั รไู ด ๙ เดือน ซึ่งพระ ทิศ, อาจารยผูมชี ่อื เสียงโดง ดงั สารีบุตรสดับแลวไดบรรลุอรหัตตผล, ทิสาผรณา “แผไปในทิศ” หมายถึง วาดวยการยึดถือทิฏฐิหรือทฤษฎีตางๆ เมตตาที่แผไปตอสัตวท้งั หลายในทิศนนั้ ซง่ึ เปนเหตใุ หทะเลาะววิ าทกัน ทรงสอน ทิศน้ี เปน แถบ เปน ภาค หรือเปน สว น วา เม่ือมองเห็นสภาวะของชวี ิตรางกายน้ี เฉพาะซอยลงไป (แมพรหมวหิ ารขออ่นื ที่ไมเที่ยง ไมค งทน เปน ตน ตลอดจน ก็เชนเดียวกัน); เทียบ อโนธิโสผรณา, ไมเปน ตวั ตนจริงแทแ ลว กจ็ ะละความ โอธิโสผรณา; ดู แผเมตตา, วิกุพพนา, ติดใครเยื่อใยและความเปนทาสตาม สมี าสมั เภท สนองรางกายเสียได อีกท้ังเมื่อรูเขาใจ ทก่ี ลั ปนา [ท-่ี กนั -ละ-ปะ-นา] ทซี่ ง่ึ มผี อู ทุ ศิ เวทนาท้ัง ๓ วาไมเทย่ี ง เปน สิ่งท่ีปจ จยั แตผ ลประโยชนใ หว ดั หรอื พระศาสนา ปรุงแตงขึ้นมา ปรากฏข้ึนเพราะเหตุ ทฆี ะ (สระ) มเี สยี งยาว ในภาษาบาลี ได ปจจัย จะตองสิ้นสลายไปเปน ธรรมดา แก อา อี อู เอ โอ; คกู ับ รัสสะ ก็จะจางคลายหายติดในเวทนาทั้งสาม ทฆี นขะ ชอื่ ปรพิ าชกผหู นง่ึ ตระกลู อคั ค-ิ นนั้ หลดุ พนเปน อสิ ระได และผทู ่ีมจี ติ เวสสนะ เปนหลานของพระสารีบุตร, หลดุ พนแลว อยา งนี้ กจ็ ะไมเขา ขา งใคร ขณะที่พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมแก ไมวิวาทกบั ใคร อนั ใดเขาใชพดู จากันใน ปรพิ าชกผนู ้ี (คอื ทฆี นขสตู ร แตใ นอรรถ- โลก ก็กลา วไปตามนนั้ โดยไมยึดติดถือ

ทีฆนิกาย ๑๓๓ ทุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา มั่น; ดู ทีฆนขะ เปน ความผดิ ถดั รองลงมาจากปาฏเิ ทสนยี ะ ทีฆนกิ าย นิกายทห่ี น่ึงแหง พระสุตตนั ต- เชน ภิกษุสวมเสือ้ สวมหมวก ใชผ า ปฎก; ดู ไตรปฎก โพกศีรษะ ตอ งอาบตั ิทุกกฏ; ดู อาบตั ิ ทฆี ายุ อายยุ ืน ทกุ ข 1. สภาพทท่ี นอยไู ดย าก, สภาพทค่ี ง ทีฆาวุ พระราชโอรสของพระเจาทีฆีติ ทนอยไู มไ ด เพราะถกู บบี คน้ั ดว ยความ ราชาแหงแควนโกศล ซ่ึงถูกพระเจา เกดิ ขนึ้ และความดบั สลาย เนอ่ื งจากตอ ง พรหมทัต กษัตริยแหงแควนกาสีชิง เปนไปตามเหตุปจจัยท่ีไมขึ้นตอตัวมัน แควน จบั ได และประหารชวี ติ เสยี ทฆี าว-ุ เอง (ขอ ๒ ในไตรลกั ษณ) 2. อาการแหง กุมารดํารงอยูในโอวาทของพระบิดาท่ี ทกุ ขท ปี่ รากฏขนึ้ หรอื อาจปรากฏขน้ึ ไดแ ก ตรัสกอนจะถูกประหาร ภายหลังได คน (ไดใ นคาํ วา ทกุ ขสจั จะ หรอื ทกุ ข- ครองราชสมบตั ิทง้ั ๒ แควน คอื แควน อรยิ สจั จ ซงึ่ เปน ขอ ที่ ๑ ในอรยิ สจั จ ๔) กาสีกบั แควนโกศล 3. สภาพทที่ นไดย าก, ความรสู กึ ไมส บาย ที่ธรณีสงฆ [ที่-ทอ-ระ-นี-สง] ท่ีซึ่งเปน ไดแ ก ทกุ ขเวทนา, ถา มาคกู บั โทมนสั สมบตั ขิ องวดั (ในเวทนา ๕) ทุกขหมายถึงความไม ท่ลี ับตา ทีม่ วี ตั ถุกําบงั แลเห็นไมได พอ สบายกายคือทุกขกาย (โทมนัสคือไม จะทาํ ความช่วั ได สบายใจ) แตถ า มาลาํ พงั (ในเวทนา ๓) ทล่ี ับหู ท่ีแจง ไมมีอะไรบัง แตอ ยูหาง คน ทุกข หมายถึงความไมสบายกายไม อืน่ ไมไ ดย นิ พอจะพดู เก้ียวกนั ได สบายใจ คอื ทงั้ ทกุ ขก ายและทกุ ขใ จ ทว่ี ดั ทซี่ ง่ึ ตง้ั วดั ตลอดจนเขตของวดั นนั้ ทกุ ขขันธ กองทกุ ข ทส่ี ดุ ๒ อยาง ขอ ปฏบิ ัตทิ ี่ผดิ พลาดไม ทกุ ขขัย สนิ้ ทุกข, หมดทุกข อาจนาํ ไปสูค วามพนทุกขไ ด ๒ อยา งคือ ทกุ ขตา ความเปนทุกข, ภาวะทคี่ งทนอยู ๑. การประกอบตนใหพ ัวพันดว ยความ ไมได; ดู ทุกขลักษณะ สุขในกามทั้งหลาย เรยี กวา กามสุขลั ล-ิ ทกุ ขนิโรธ ความดับทกุ ข หมายถึง พระ กานุโยค ๒. การประกอบความเหนด็ นพิ พาน เรยี กสัน้ ๆ วา นิโรธ เรยี กเต็ม เหนอื่ ยแกต นเปลา หรอื การทรมานตนให วา ทกุ ขนิโรธอริยสจั จ ลาํ บากเปลา เรียกวา อัตตกลิ มถานุโยค ทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา ขอ ปฏิบตั ใิ ห ทกุ ะ หมวด ๒ ถึงความดับทุกข หมายถึงมรรคมีองค ทุกกฏ “ทําไมด ี” ชือ่ อาบตั เิ บาอยางหน่งึ แปด เรยี กส้นั ๆ วา มรรค เรียกเต็มวา

ทุกขลักษณะ ๑๓๔ ทุคติ ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทาอริยสัจจ ทรงเลิกละเสียเพราะไมสาํ เร็จประโยชน ทกุ ขลกั ษณะ เครอ่ื งกาํ หนดวา เปน ทกุ ข, ไดจ รงิ ; เขยี นเตม็ เปน ทุกกรกริ ิยา ลักษณะที่จัดวาเปนทุกข, ลักษณะท่ี ทุคติ คติไมด ,ี ทางดาํ เนินทไ่ี มดีมคี วาม แสดงใหเหน็ วา เปน ทกุ ข คือ ๑. ถูกการ เดอื ดรอน, ที่ไปเกดิ อนั ชว่ั หรอื ที่ไปเกิด เกิดข้ึนและการดับสลายบีบค้ันอยู ของผูทํากรรมชั่ว, แดนกําเนิดท่ีไมดี ตลอดเวลา ๒. ทนไดย ากหรือคงอยูใน มากไปดวยความทกุ ข มี ๓ ไดแก นรก สภาพเดิมไมไ ด ๓. เปน ท่ีต้ังแหง ความ ดิรัจฉาน เปรต; คตทิ ไี่ มดี คือ ทุคติ ๓ ทุกข ๔. แยงตอ สขุ หรอื เปน สภาวะที่ นี้ ตรงขามกับคติทด่ี ี คือ สคุ ติ ๒ ปฏิเสธความสุข; ดู อนิจจลักษณะ, (มนษุ ย และเทพ) รวมทง้ั หมดเปน คติ๕ อนัตตลักษณะ ทกุ ขเวทนา ความรสู กึ ลาํ บาก, ความรสู กึ ทไ่ี ปเกิดหรอื แดนกําเนดิ ไมดีนี้ บาง ทเี รยี กวา อบาย หรอื อบายภูมิ (แปลวา เจบ็ ปวด, ความรสู กึ เปน ทกุ ข, การเสวย แดนซ่ึงปราศจากความเจรญิ ) แตอ บาย- อารมณท ไี่ มส บาย (ขอ ๒ ในเวทนา ๓) ภมู ิน้นั มี ๔ คอื นรก เปรต อสุรกาย ทุกขสมทุ ัย เหตุใหเ กิดทุกข หมายถึง ตัณหาสาม คือ กามตณั หา ภวตัณหา ดริ ัจฉาน, เหตุใหจ าํ นวนไมเ ทา กนั น้ัน มี วภิ วตัณหา เรียกสัน้ ๆ วา สมุทยั (ขอ ๒ ในอรยิ สจั จ ๔) เรยี กเตม็ วา ทกุ ขสมทุ ยั - คาํ อธิบาย ดงั ทอี่ รรถกถาบางแหง กลาว อรยิ สจั จ ทุกขสัญญา ความหมายรูวาเปนทุกข, ไววา (อ.ุ อ.๑๔๕; อิต.ิ อ.๑๔๕) ในกรณนี ี้ รวม อสุรกาย เขาในจาํ พวกเปรตดวย จงึ เปนทคุ ติ ๓; ตรงขามกับ สุคต;ิ ดู คติ, อบาย อน่งึ ในความหมายทล่ี ึกลงไป ถอื วา การกําหนดหมายใหมองเห็นสังขารวา นรก เปรต จนถงึ ตริ ัจฉาน ท่ีเปนทุคติก็ เปนทุกข โดยเทียบวามีทุกขเดือดรอนกวาเทวะ ทกุ รกริ ยิ า กริ ยิ าทที่ าํ ไดโ ดยยาก, การทาํ และมนุษย แตกําเนิดหรือแดนเกิดทั้ง ความเพยี รอนั ยากทใี่ ครๆ จะทาํ ได ไดแ ก หมดท้ังสิน้ แมแตทีเ่ รยี กวาสคุ ติน้ัน ไม การบําเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษ วาจะเปนเทวดา หรือพรหมชนั้ ใดๆ ก็ ดว ยวธิ กี ารทรมานตนตา งๆ เชน กลนั้ ลม เปน ทคุ ติ ท้ังนนั้ (เนตตฺ ิ.๖๑/๔๕; ๑๐๖/๑๐๕) อัสสาสะปส สาสะและอดอาหาร เปนตน เมื่อเทียบกับนพิ พาน เพราะคตเิ หลานั้น ซึ่งพระพุทธเจาไดทรงปฏิบัติกอนตรัสรู ยงั ประกอบดว ยทกุ ข หรือเปน คตขิ องผู อันเปนฝายอัตตกิลมถานุโยค และได ทย่ี ังมที ุกข

ทุจริต ๑๓๕ ทตู านทุ ตู นิกร ทุจริต ความประพฤติช่ัว, ความ กระทบใหอ ปั ยศ ตอ งอาบัติทุกกฏ แต ประพฤตไิ มดีมี ๓ คอื ๑. กายทุจรติ ถามุงเพยี งลอเลน ตองอาบัติทุพภาสิต; ประพฤติชั่วดวยกาย ๒. วจีทุจริต ดู อาบตั ิ ประพฤติช่ัวดวยวาจา ๓. มโนทุจริต ทพุ ภกิ ขภยั ภยั ดว ยหาอาหารไดย าก, ภยั ประพฤติชวั่ ดว ยใจ; เทียบ สจุ ริต ขาดแคลนอาหาร, ภยั ขา วยากหมากแพง ทุฏุลลวาจา วาจาช่ัวหยาบ เปนช่ือ ทลุ ลภธรรม สงิ่ ทไี่ ดย าก, ความปรารถนา อาบัติสงั ฆาทเิ สสขอท่ี ๓ ที่วา ภกิ ษผุ ูม ี ของคนในโลกท่ีไดสมหมายโดยยาก มี ความกําหนัด พูดเคาะมาตุคามดวย ๔ คอื ๑. ขอโภคสมบตั จิ งเกดิ มีแกเ รา วาจาชวั่ หยาบ คอื พดู เก้ยี วหญงิ กลาว โดยทางชอบธรรม ๒. ขอยศจงเกดิ มี วาจาหยาบโลนพาดพงิ เมถนุ แกเรากบั ญาติพวกพอ ง ๓. ขอเราจง ทุฏลุ ลาบตั ิ อาบัตชิ ่ัวหยาบ ไดแ กอาบัติ รักษาอายุอยไู ดยืนนาน ๔. เม่อื สิน้ ชีพ ปาราชิก และสงั ฆาทิเสส แตในบางกรณี แลว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค; ดู ทานหมายเอาเฉพาะอาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย ดวย ทตุ ิยฌาน ฌานท่ี ๒ มีองค ๓ ละวติ ก ทศุ ลี “ผูมีศีลชวั่ ”, คํานเ้ี ปน เพยี งสาํ นวน วิจารได คงมีแต ปติและสขุ อันเกิดแต ภาษาที่พูดใหแรง อรรถกถาทั้งหลาย สมาธิ กบั เอกัคคตา อธิบายวา ศีลที่ช่ัวยอ มไมม ี แตท ศุ ีล ทตุ ยิ สงั คายนา การรอยกรองพระธรรม หมายความวา ไมม ศี ลี หรอื ไรศ ลี นนั่ เอง, วินัยครง้ั ท่ี ๒ ราว ๑๐๐ ปแตพ ุทธ- ภกิ ษทุ ศุ ลี คอื ภกิ ษทุ ต่ี อ งอาบตั ปิ าราชิก ปรินพิ พาน; ดู สงั คายนา ครั้งที่ ๒ ขาดจากความเปนภิกษุแลว แตไมละ ทุติยสังคตี ิ การสงั คายนารอยกรองพระ ภกิ ขปุ ฏญิ ญา (การแสดงตวั หรอื ยนื ยนั ธรรมวินยั คร้งั ท่ี ๒ วาตนเปนภิกษุ), ความเปนผูทุศีลนั้น ทพุ พฏุ ฐภิ ยั ภยั ฝนแลง , ภยั แลง , ภยั หนักย่ิงกวาความเปนอลัชชี, คฤหัสถ ดว ยฝนไมต กตอ งตามฤดกู าล ทุศีล คอื ผูท ีล่ ะเมดิ ศีล ๕ ทง้ั หมด ทพุ ภาสติ “พูดไมด”ี “คําช่ัว” “คาํ เสยี ทูต ผทู ีไ่ ดร ับมอบหมายใหเปนผแู ทนทาง หาย” ชื่ออาบัติเบาทีส่ ดุ ทเี่ ก่ียวกับคําพูด ราชการแผนดิน, ผูท่ไี ดร บั แตง ต้ังใหไ ป เปนความผิดในลําดับถัดรองจากทุกกฏ เจรจาแทน เชน ภิกษุพูดกับภิกษุท่ีมีกําเนิดเปน ทตู านุทตู ทตู นอยใหญ, พวกทตู จัณฑาล วาเปน คนชาติจัณฑาล ถามุงวา ทูตานุทูตนิกร หมูพ วกทูต

ทูเตนปุ สัมปทา ๑๓๖ เทวทัตต ทูเตนุปสัมปทา การอปุ สมบทโดยใชท ตู , และชน้ั พรหม) การอปุ สมบทภกิ ษณุ โี ดยผา นทตู , ทเู ตนะ เทวดา หมูเทพ, ชาวสวรรค เปน คํารวม อปุ สมั ปทา หรอื ทเู ตนปู สมั ปทา กเ็ ขยี น; เรยี กชาวสวรรคท งั้ เพศชายและเพศหญงิ ดูท่ี ปกาสนียกรรม, อสัมมุขากรณีย, เทวตานสุ ติ ระลึกถงึ เทวดา คือระลึกถงึ อปุ สัมปทา คุณธรรมท่ีทําบุคคลใหเปนเทวดาตามที่ ทเู รนทิ าน “เรอ่ื งหา งไกล” หมายถงึ พทุ ธ- มีอยใู นตน (ขอ ๖ ในอนุสติ ๑๐) ประวัติต้ังแตเริ่มเปนพระโพธิสัตว เทวตาพลี ทาํ บุญอทุ ศิ ใหเทวดา, การจัด บําเพ็ญบารมีเสวยพระชาติในอดีตมา สรรสละรายไดหรือทรัพยสวนหนึ่งเปน โดยลําดับ จนถึงชาติสุดทาย คือ คาใชจายสําหรับทําบุญอุทิศแกเทวดา เวสสันดร และอบุ ัติในสวรรคชน้ั ดุสิต; โดยความเอ้ือเฟอหรือตามความเชื่อถือ, ดู พุทธประวัติ การใชรายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือ ทเู รรปู ดู รปู ๒๘ บําเพ็ญทักขิณาทานแกเทวดาคือผูควร เทพ เทพเจา , ชาวสวรรค, เทวดา; ใน แกทักขิณาที่นับถือกันสืบมา (ขอ ๕ ทางพระศาสนา ทานจดั เปน ๓ คอื ๑. แหงพลี ๕ ในโภคอาทยิ ะ ๕) สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ = พระ เทวทหะ ชอื่ นครหลวงของแควน โกลยิ ะ ราชา, พระเทวี พระราชกมุ าร ๒. อปุ ปต ต-ิ ท่ีกษตั ริยโ กลยิ วงศป กครอง พระนางสิริ เทพ เทวดาโดยกาํ เนิด = เทวดาใน มหามายาพุทธมารดา เปนชาวเทวทหะ สวรรคแ ละพรหมทงั้ หลาย ๓. วสิ ุทธ-ิ เทวทหนคิ ม คือกรุงเทวทหะ นครหลวง เทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ = พระ ของแควน โกลยิ ะนั่นเอง แตใ นพระสตู ร พทุ ธเจา พระปจ เจกพุทธเจา และพระ บางแหง เรยี ก นคิ ม เทวทตั ต ราชบตุ รของพระเจา สปุ ปพทุ ธะ อรหนั ตท้ังหลาย เทพเจา พระเจา บนสวรรค ลทั ธพิ ราหมณ เปน เชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนาง ถือวาเปนผูดลบันดาลสุขทุกขใหแก พิมพาผูเปนพระชายาของสิทธัตถกุมาร มนษุ ย เจาชายเทวทัตตออกบวชพรอมกับพระ เทพธิดา นางฟา, หญิงชาวสวรรค, อนรุ ุทธะ พระอานนท และ กัลบกอบุ าลี เทวดาผหู ญงิ เปน ตน บาํ เพญ็ ฌานจนไดโ ลกยี อภญิ ญา เทพบตุ ร เทวดาผชู าย, ชาวสวรรคเ พศชาย ตอมามีความมักใหญ ไดยุยงพระเจา เทวะ เทวดา, เทพ, เทพเจา (ช้ันสวรรค อชาตศัตรูและคบคิดกันพยายาม

เทวทูต ๑๓๗ เทโวโรหณะ ประทุษรา ยพระพทุ ธเจา กอ เร่อื งวนุ วาย ตอความช่วั และ โอตตัปปะ ความกลวั ในสงั ฆมณฑล จนถึงทําสังฆเภท และ บาป คอื เกรงกลวั ตอความชว่ั ถกู แผน ดินสบู ในท่ีสุด; ดู ปกาสนียกรรม เทวบตุ ร เทวดาผชู าย, ชาวสวรรคเ พศชาย เทวทูต ทูตของยมเทพ, สือ่ แจง ขาวของ เทวปตุ ตมาร มารคอื เทพบตุ ร, เทวบตุ ร มฤตย,ู สญั ญาณที่เตือนใหร ะลกึ ถึงคติ เปนมาร เพราะเทวบุตรบางตนท่ีมุง รา ย ธรรมดาของชีวิต มิใหมคี วามประมาท คอยขัดขวางเหนี่ยวร้ังบุคคลไวไมให จดั เปน ๓ ก็มี ไดแ ก คนแก คนเจ็บ สละความสุขออกไปบําเพ็ญคุณธรรมที่ และคนตาย, จัดเปน ๕ ก็มี ไดแก เดก็ ยิ่งใหญ ทาํ ใหบคุ คลน้ันพนิ าศจากความ แรกเกิด คนแก คนเจ็บ คนถูกลง ดี, คัมภีรสมัยหลังๆ ออกช่ือวา ราชทณั ฑ และคนตาย (เทวทตู ๓ มาใน พญาวสวัตดีมาร (ขอ ๕ ในมาร ๕) องั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต, เทวทตู ๕ มา เทวรปู รปู เทวดาท่ีนับถอื ตามลัทธทิ ่ีนับ ในเทวทูตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริ- ถือเทวดา ปณณาสก) ; สวน เทวทูต ๔ ที่เจาชาย เทวโลก โลกของเทวดา, ทอี่ ยเู ทวดา ได สทิ ธตั ถะพบกอ นบรรพชา คือ คนแก แกส วรรคก ามาพจร ๖ ชนั้ คือ ๑. จาตุ- คนเจบ็ คนตาย สมณะนน้ั ๓ อยา งแรก มหาราชกิ า ๒. ดาวดงึ ส ๓. ยามา ๔. เปนเทวทูต สวนสมณะเรียกรวมเปน ดสุ ติ ๕. นมิ มานรดี ๖. ปรนมิ มติ วสวตั ดี เทวทูตไปดวยโดยปริยาย เพราะมาใน เทฺววาจิก “มวี าจาสอง” หมายถงึ ผกู ลา ว หมวดเดยี วกัน แตใ นบาลี ทา นเรยี กวา วาจาถงึ สรณะสอง คือ พระพทุ ธและ นมิ ติ ๔ หาเรยี กเทวทตู ๔ ไม อรรถกถา พระธรรม ในสมยั ทยี่ งั ไมม พี ระสงฆ ไดแ ก บางแหงพูดแยกวา พระสิทธัตถะเห็น พาณชิ สอง คอื ตปสุ สะ และภัลลกิ ะ; เทวทตู ๓ และสมณะ (มีอรรถกถาแหง เทียบ เตวาจกิ หนึ่งอธิบายในเชิงวาอาจเรียกทั้งส่ีอยาง เทวสถาน ท่ีประดษิ ฐานเทวรปู , โบสถ เปนเทวทูตได โดยความหมายวาเปน พราหมณ ของท่ีเทวดานริ มิตไว ระหวางทางเสด็จ เทวาธิบาย ความประสงคของเทวดา เทเวศร เทวดาผูใหญ, หัวหนา เทวดา ของพระสิทธตั ถะ) เทวธรรม ธรรมของเทวดา, ธรรมที่ทํา เทโวโรหณะ “การลงจากเทวโลก” หมาย ใหเปนเทวดา หมายถงึ ธรรม ๒ อยา ง ถึงการที่พระพุทธเจาเสด็จลงจากเทว- คอื หริ ิ ความละอายแกใจ คอื ละอาย โลก ตาํ นานเลา วา ในพรรษาที่ ๗ แหง การ

เทศกาล ๑๓๘ โทมนัส บาํ เพญ็ พทุ ธกจิ พระพทุ ธเจา ไดเ สดจ็ ไป สารท เปน ตน ประทบั จาํ พรรษาในดาวดงึ สเทวโลกทรง เทศนา การแสดงธรรมส่ังสอนในทาง แสดงพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธมารดา ศาสนา, การชแ้ี จงใหร ูจ กั ดรี จู ักชว่ั , คาํ พรอมทง้ั หมูเทพ ณ ท่ีนนั้ เมือ่ ถงึ เวลา สอน; มี ๒ อยา ง คอื ๑. บคุ คลาธษิ ฐาน ออกพรรษาในวนั มหาปวารณา (วันขนึ้ เทศนา เทศนามีบุคคลเปนท่ีต้ัง ๒. ๑๕ คา่ํ เดือน ๑๑) ไดเ สด็จลงมาจาก ธรรมาธษิ ฐาน เทศนา เทศนามธี รรม สวรรคช้นั ดาวดึงส กลับคืนสโู ลกมนุษย เปนทต่ี ง้ั ณ ประตูเมืองสังกัสสะ โดยมีเทวดา เทสนาคามินี อาบัติท่ีภิกษุตองเขาแลว และมหาพรหมทั้งหลายแวดลอมลงมา จะพนไดดวยวิธีแสดง, อาบัติที่แสดง สงเสด็จ ฝูงชนจํานวนมากมายก็ไดไป แลวก็พนได, อาบัติที่ปลงตกดวยการ คอยรับเสด็จ กระทํามหาบูชาเปนการ แสดงทเ่ี รยี กวา แสดงอาบตั ิ หรือ ปลง เอิกเกริกมโหฬารและพระพุทธเจาได อาบตั ิ ไดแก อาบัติถุลลจั จัย ปาจติ ตยี  ทรงแสดงธรรม มีผูบรรลุคุณวิเศษ ปาฏิเทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; ตรงขามกบั จํานวนมาก ชาวพุทธในภายหลังได อเทสนาคามนิ ี ซึง่ เปน อาบัติท่ีไมอ าจพน ปรารภเหตกุ ารณพ ิเศษครัง้ นี้ถือเปน กาล ไดดว ยการแสดง ไดแ ก ปาราชิก และ กําหนดสาํ หรับบําเพญ็ การกุศล ทาํ บุญ สังฆาทเิ สส; เทียบ วุฏฐานคามนิ ี ตักบาตรคราวใหญแดพระสงฆ เปน เทสนาปริสุทธิ ความหมดจดแหงการ ประเพณีนิยมสืบมา ดังปรากฏใน แสดงธรรม ประเทศไทย เรยี กกันวา ตกั บาตรเทโว- เทอื กเถา ตน วงศท นี่ บั สายตรงลงมา, ญาติ โรหณะ หรือนยิ มเรียกสั้นๆ วา ตกั โดยตรงต้ังแตบ ดิ ามารดาขนึ้ ไปถงึ ทวด บาตรเทโว บางวัดก็จัดพิธีในวันออก โทณพราหมณ พราหมณผ ใู หญซ งึ่ มฐี านะ พรรษา คือวนั มหาปวารณา ข้ึน ๑๕ คา่ํ เปน ครอู าจารย เปน ทเี่ คารพนบั ถอื ของคน เดอื น ๑๑ บางวดั จัดถัดเลยจากน้ัน ๑ จาํ นวนมากในชมพทู วปี เปน ผแู บง พระ วัน คือวันแรม ๑ ค่ํา เดอื น ๑๑; ดู ยมก- บรมสารีริกธาตุใหสําเร็จไดโดยสันติวิธี ปาฏหิ าริย เปน ผสู รา งตมุ พสตปู บรรจทุ ะนานทองท่ี เทศกาล คราวสมัยที่กําหนดไวเปน ใชต วงแบง พระบรมสารรี กิ ธาตุ ประเพณี เพื่อทําบุญและการรื่นเริงใน โทมนัส ความเสียใจ, ความเปน ทกุ ขใจ; ทองถิน่ เชน ตรษุ สงกรานต เขาพรรษา ดู เวทนา

โทสะ ๑๓๙ ธมกรก โทสะ ความคดิ ประทษุ รา ย (ขอ ๒ ใน โทสาคติ ลําเอียงเพราะไมชอบกัน, อกุศลมลู ๓) ลาํ เอยี งเพราะชงั (ขอ ๒ ในอคติ ๔) โทสจริต คนมีพื้นนิสัยหนักในโทสะ ไทยธรรม ของควรให, ของทาํ บญุ ตา งๆ, หงดุ หงดิ โกรธงาย แกด ว ยเจริญเมตตา ของถวายพระ (ขอ ๒ ในจริต ๖) ธ ธงแหงคฤหัสถ เคร่ืองนุงหมของ พยัญชนะทั้งหลายเทียบกัน กลาวคือ คฤหัสถ, การนุงหมอยางนิยมกันของ ในวรรคทงั้ ๕ นน้ั เรยี งจากพยญั ชนะท่ี ชาวบา น ๑ ซึง่ มีเสยี งเบาท่สี ดุ ไปจนถึงพยญั ชนะ ธงแหงเดียรถีย เคร่ืองนุงหมของ ท่ี ๔ ซึง่ มเี สยี งดงั กองที่สดุ (พยญั ชนะท่ี เดียรถยี  เชน หนงั เสือ ผา คากรอง ๕ มเี สียงดังเทากับพยญั ชนะท่ี ๓) ดงั นี้ เปน ตน , การนงุ หมอยางที่ช่ืนชมกันของ พยญั ชนะท่ี๑ (ก จ ฏ ต ป) เปน สถิ ลิ อโฆสะ นกั บวชนอกพระศาสนา พยัญชนะท่ี๒ (ข ฉ  ถ ผ) เปน ธนิตอโฆสะ ธชพทั โธ, ธชพทั ธ “ผ[ู ดุจ]ผูกธง”, โจร พยญั ชนะที่๓ (ค ช ฑ ท พ) เปน สิถิลโฆสะ ผรู า ยทีข่ ึ้นชื่อโดงดงั เหมอื นตดิ ธง ไมพ งึ พยญั ชนะท่ี๔ (ฆ ฌ ฒ ธ ภ) เปน ธนติ โฆสะ ใหบวช, มหาโจรองคุลิมาล เปนตน พยัญชนะท่ี๕ (ง  ณ น ม) เปน สถิ ลิ โฆสะ บญั ญัติขอนี้ ธนิยะ ช่ือพระที่เอาไมหลวงไปทํากุฎี ธตรฐ ดู จาตมุ หาราช เปน ตนบัญญัตทิ ตุ ยิ ปาราชิกสิกขาบท ธนสมบัติ สมบัติคอื ทรพั ยสนิ เงินทอง ธนู มาตราวัดระยะทางเทากับ ๑ วา คือ ธนติ พยัญชนะออกเสียงแข็ง (ถูกฐาน ๔ ศอก ของตนหนัก บันลือเสียงดัง) ไดแก ธมกรก [ทะ-มะ-กะ-หฺรก] กระบอก พยญั ชนะที่ ๒ ที่ ๔ ในวรรคท้งั ๕ คือ กรองน้ําท่ีเปนบริขารของพระภิกษุ, ข, ฆ; ฉ, ฌ; ฐ, ฒ; ถ, ธ; ผ, ภ; คกู บั สถิ ลิ กระบอกทใี่ ชก รองนาํ้ โดยเอาผา กรองปด เร่ืองเสียงพยัญชนะนี้ พึงเขาใจให คลุมดานปากไว สวนดานกนปดเหลือ ครบตามหลกั โฆสะ-อโฆสะ และ สถิ ลิ - เพียงเปนรูหรือมีกรวยตรงกลางใหลม ธนิต แลวพึงทราบระดับเสียงของ ผา น ซึ่งใชปลายน้ิวปด ได ใหนาํ้ ผานเขา

ธรรม ๑๔๐ ธรรมกาย ทางปากกระบอกผานผากรอง ขับลม อันมิใชว สิ ัยของโลกไดแ ก มรรค ๔ ผล ออกทางรูที่กนจนพอแลวเอาน้ิวปดรูน้ัน ๔ นพิ พาน ๑; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. ก็จะไดนํ้าในกระบอกท่ีกรองแลว, ธม- สงั ขตธรรม ธรรมท่ีปจ จัยปรงุ แตง ไดแ ก กรณ กว็ า (บางแหง เขยี นเปน ธมั มกรก ขนั ธ ๕ ทง้ั หมด ๒. อสงั ขตธรรม ธรรม บา ง ธมั มกรณ บา ง), ถา เปนผากรองนํ้า ที่ปจจยั ไมปรงุ แตง ไดแ ก นพิ พาน เรียก ปรสิ สาวนะ; ดู บรขิ าร ธรรมกถา การกลาวธรรม, คํากลาว ธรรม สภาพท่ีทรงไว, ธรรมดา, ธรรม- ธรรม, ถอยคําที่กลาวถึงธรรม, คํา ชาต,ิ สภาวธรรม, สจั จธรรม, ความ บรรยายหรอื อธบิ ายธรรม; ธรรมีกถา ก็ จริง; เหต,ุ ตน เหตุ; ส่ิง, ปรากฏการณ, ใช ธรรมารมณ, ส่ิงที่ใจคิด; คุณธรรม, ธรรมกถกึ ผกู ลา วสอนธรรม, ผูแสดง ความด,ี ความถูกตอ ง, ความประพฤติ ธรรม, นักเทศก ชอบ; หลกั การ, แบบแผน, ธรรมเนยี ม, ธรรมกามะ ผูใ ครธรรม, ผูชอบตริตรอง หนาท;่ี ความชอบ, ความยุตธิ รรม; พระ สอดสองธรรม ธรรม, คาํ ส่ังสอนของพระพทุ ธเจา ซ่ึง ธรรมกาย 1. “ผูมธี รรมเปนกาย” เปน แสดงธรรมใหเ ปด เผยปรากฏขน้ึ พระนามอยางหนึ่งของพระพุทธเจา ธรรม ในประโยควา “ใหกลาวธรรมโดย (ตามความในอัคคัญญสูตร แหงทีฆ- บท” บาลีแสดงคําสอนในพระพุทธ- นกิ าย ปาฏกิ วรรค) หมายความวา พระ ศาสนา ท่ที านเรียงไว จะเปนพุทธภาษิต องคทรงคิดพุทธพจนคําสอนดวยพระ ก็ตาม สาวกภาษติ ก็ตาม ฤษภี าษิตก็ หทัยแลวทรงนําออกเผยแพรดวยพระ ตาม เทวดาภาษิตกต็ าม เรยี กวา ธรรม วาจา เปน เหตใุ หพระองคก ค็ ือพระธรรม ในประโยคนี้ เพราะทรงเปนแหลงที่ประมวลหรือท่ี ธรรม (ในคําวา “การกรานกฐินเปน ประชุมอยูแหงพระธรรมอันปรากฏเปด ธรรม”) ชอบแลว , ถูกระเบยี บแลว เผยออกมาแกชาวโลก; พรหมกาย หรือ ธรรม ๒ หมวดหนึง่ คอื ๑. รูปธรรม ได พรหมภตู กเ็ รียก; 2. “กองธรรม” หรอื แกร ปู ขันธท ง้ั หมด ๒. อรปู ธรรม ไดแก “ชุมนุมแหงธรรม” ธรรมกายยอ มเจรญิ นามขนั ธ ๔ และนิพพาน; อีกหมวด งอกงามเติบขยายขึ้นไดโดยลําดับจน หนึง่ คอื ๑. โลกยี ธรรม ธรรมอนั เปน ไพบลู ย ในบคุ คลผเู มอื่ ไดส ดับคาํ สอน วสิ ยั ของโลก ๒. โลกตุ ตรธรรม ธรรม ของพระองคแลวฝกอบรมตนดวย

ธรรมของฆราวาส ๔ ๑๔๑ ธรรมเจดีย ไตรสิกขาเจริญมรรคาใหบรรลุภูมิแหง ดว ยตนเอง ๓. อกาลโิ ก ไมป ระกอบดว ย อรยิ ชน ดังตวั อยางดํารัสของพระมหา- กาล ๔. เอหปิ สสฺ โิ ก ควรเรยี กใหมาดู ปชาบดีโคตมี เม่ือคร้ังกราบทูลลาพระ ๕. โอปนยโิ ก ควรนอ มเขา มา ๖. ปจจฺ ตตฺ ํ พุทธเจาเพื่อปรินิพพานตามความใน เวทิตพฺโพ วิฺูหิ อันวิญูชนพึงรู คัมภีรอปทานตอนหน่ึงวา “ขาแตพระ เฉพาะตน สุคตเจา หมอมฉันเปน มารดาของพระ ธรรมคุมครองโลก ดู โลกบาลธรรม องค, ขา แตพ ระธรี เจา พระองคก ็เปน ธรรมจริยา การประพฤติธรรม, การ พระบิดาของหมอมฉนั ... รปู กายของ ประพฤติเปนธรรม, การประพฤติถูก พระองคน ี้ หมอ มฉันไดท าํ ใหเ จริญเตบิ ตามธรรม เปนชื่อหน่ึงของ กุศล- โต สวนธรรมกายอันเปนที่เอิบสุขของ กรรมบถ ๑๐ หมอ มฉนั ก็เปนสิง่ อนั พระองคไดทาํ ให ธรรมจักร จักรคอื ธรรม, วงลอธรรม เจริญเติบโต”; สรุปตามนัยอรรถกถา หรืออาณาจักรธรรม หมายถึงเทศนา ธรรมกาย ในความหมายนี้ ก็คือ กัณฑแรก ท่ีพระพทุ ธเจา แสดงแกพ ระ ปญจวคั คยี  (ชื่อของปฐมเทศนา เรยี ก โลกุตตรธรรม ๙ หรอื อริยสัจจ ธรรมของฆราวาส ๔ ดู ฆราวาสธรรม ๔ เตม็ วา ธมั มจกั กัปปวัตตนสตู ร) ธรรมขันธ กองธรรม, หมวดธรรม, ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมคอื ปญ ญา ประมวลธรรมเขา เปนหมวดใหญ มี ๕ รูเห็นความจริงวา ส่ิงใดก็ตามมีความ คอื สีลขันธ สมาธขิ นั ธ ปญ ญาขันธ เกดิ ขนึ้ เปน ธรรมดา สง่ิ นน้ั ทง้ั ปวงลว นมี วิมุตติขันธ วิมุตติญาณทัสสนขันธ; ความดบั ไปเปน ธรรมดา; ธรรมจกั ษโุ ดย กําหนดหมวดธรรมในพระไตรปฎกวามี ท่ัวไป เชน ทเ่ี กิดแกท า นโกณฑัญญะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ แบงเปน วนิ ัย เม่ือสดับธรรมจักร ไดแกโสดาปตติ- ปฎ ก ๒๑,๐๐๐ สุตตนั ตปฎก ๒๑,๐๐๐ มรรคหรือโสดาปตติมัคคญาณ คือ และอภิธรรมปฎก ๔๒,๐๐๐ พระ ญาณทที่ ําใหเ ปนโสดาบัน ธรรมจารี ผปู ระพฤติธรรม, ผูประพฤติ ธรรมขนั ธ ธรรมคณุ คณุ ของพระธรรม มี ๖ อยา ง เปน ธรรม, ผปู ระพฤตถิ กู ธรรม คูกับ สม- คอื ๑. สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม พระ จารี ธรรมอันพระผูมีพระภาคเจาตรัสดีแลว ธรรมเจดยี  เจดยี บ รรจพุ ระธรรมคอื จารกึ ๒. สนทฺ ิฏ โ ก อันผปู ฏบิ ตั ิจะพงึ เห็นชัด พระพทุ ธพจน เชน อรยิ สจั จ ปฏิจจ-

ธรรมเจตยิ สตู ร ๑๔๒ ธรรมบท สมุปบาท เปน ตน ลงในใบลาน แลวนํา ความมีอัธยาศัยประณีต ไปบรรจใุ นเจดยี  (ขอ ๓ ในเจดยี  ๔) ธรรมทนิ นา ดู ธมั มทนิ นา ธรรมเจติยสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณ ณาสก แหง พระ ๑๐; ดู อภิณหปจจเวกขณ สตุ ตนั ตปฎ ก วา ดว ยขอ ความทพ่ี ระเจา ธรรมเทศนา การแสดงธรรม, การ ปเสนทิโกศลกราบทูลพระพุทธเจา บรรยายธรรม พรรณนาความเลื่อมใสศรัทธาของพระ ธรรมเทศนาปฏิสงั ยุตต ธรรมเนียมท่ี องคท ่ีมีตอ พระรัตนตรัย เก่ยี วกบั การแสดงธรรม (หมวดที่ ๓ ธรรมชาติ ของท่ีเกิดเองตามวิสัยของ แหง เสขิยวัตร มี ๑๖ สิกขาบท) โลก เชน คน สตั ว ตนไม เปนตน ธรรมเทศนาสิกขาบท สิกขาบทปรับ ธรรมฐิติ ความดํารงคงตัวแหงธรรม, อาบตั ิปาจติ ตีย แกภ ิกษุผูแสดงธรรมแก ความตง้ั อยแู นน อนแหง กฎธรรมดา มาตคุ ามเกินกวา ๕–๖ คาํ เวน แตม ีบุรุษ ธรรมดา อาการหรือความเปนไปแหง ผรู ูเ ดียงสาอยดู วย (สกิ ขาบทที่ ๗ ใน ธรรมชาติ; สามญั , ปกติ, พ้ืนๆ มุสาวาทวรรคแหง ปาจิตตีย) ธรรมทาน การใหธรรม, การสั่งสอน ธรรมนยิ าม กาํ หนดแนน อนแหง ธรรมดา, แนะนําเกี่ยวกับธรรม, การใหความรู กฎธรรมชาต,ิ ความจรงิ ทม่ี อี ยหู รอื ดาํ รง ความเขา ใจท่ถี ูกตอง; ดู ทาน อยตู ามธรรมดาของมนั ซง่ึ พระพทุ ธเจา ธรรมทายาท ทายาทแหง ธรรม, ผูรับ ทรงคนพบแลวทรงนํามาแสดงชี้แจง มรดกธรรม, ผูรับเอาธรรมของพระ อธบิ ายใหค นทง้ั หลายไดร ตู าม มี ๓ อยา ง พุทธเจามาเปนสมบัติดวยการประพฤติ แสดงความตามพระบาลดี งั นี้ ๑. สพเฺ พ ปฏบิ ตั ใิ หเ ขา ถงึ ; โดยตรงหมายถงึ รบั เอา สงขฺ ารา อนิจจฺ า สังขารทง้ั ปวง ไมเทย่ี ง โลกุตตรธรรม ๙ ไวไดด ว ยการบรรลุ ๒. สพฺเพ สงฺขารา ทกุ ฺขา สังขารทงั้ ปวง เอง โดยออมหมายถึง รบั ปฏบิ ตั ิกุศล คงทนอยมู ไิ ด ๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรม จะเปน ทาน ศีล หรอื ภาวนาก็ตาม ธรรมทง้ั ปวง ไมเ ปน ตวั ตน; ดู ไตรลกั ษณ ตลอดจนการบชู า ที่เปน ไปเพ่ือบรรลุซึ่ง ธรรมเนียม ประเพณี, แบบอยางทีเ่ คย โลกตุ ตรธรรมนัน้ ; เทยี บ อามสิ ทายาท ทํากันมา, แบบอยางที่นิยมใชกนั ธรรมทําใหงาม ๒ คือ ๑. ขนั ติ ความ ธรรมบท บทแหงธรรม, บทธรรม, ขอ อดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงี่ยมหรอื ธรรม; ชื่อคาถาบาลีหมวดหนึ่งจัดเปน

ธรรมบูชา ๑๔๓ , คัมภีรท่ี ๒ ในขุททกนิกาย พระ ขอ สงสยั ขจดั ปด เปา ขอ ตดิ ขดั ยากลาํ บาก สตุ ตนั ตปฎ ก มี ๔๒๓ คาถา เดือดรอนทั้งหลาย ใหเขาลุลวงกิจอัน ธรรมบชู า 1. “การบูชาดว ยธรรม”, การ เปน กุศล พน ความอึดอัดขดั ของ (ขอ ๒ บชู าดว ยการปฏบิ ัตธิ รรม เฉพาะอยางย่งิ ในปฏสิ ันถาร ๒) การบูชาพระพุทธเจาดวยธรรมานุธรรม- ธรรมเปนโลกบาล ๒ คือ ๑. หริ ิ ความ ปฏบิ ัติ (ขอ ๒ ในบูชา ๒) 2. “การบชู า ละอายแกใจ ๒.โอตตปั ปะ ความกลวั ซึ่งธรรม”, การบชู าพระธรรม อนั เปน บาป; ดู โลกบาลธรรม อยา งหนึ่งในพระรตั นตรยั (คอื บชู าพระ ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย ธรรมที่จะ ธรรมรตั นะ) ดว ยดอกไม ธปู เทียน ชว ยใหไ ดท ลุ ลภธรรมสมหมาย มี ๔ คอื ของหอม เปนตน หรอื (ที.อ.๓/๙๖) บูชา ๑. สทั ธาสัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศรทั ธา ทานผูเปนพหูสูต ผูทรงธรรมทรงวินัย ๒. สลี สมั ปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. จาค- ดวยไตรจีวร เปนตน ตลอดจนเคารพ สัมปทา ถงึ พรอ มดวยการบรจิ าค ๔. ธรรม ถือธรรมเปน ใหญ ดงั ท่ีพระพทุ ธ ปญญาสัมปทา ถงึ พรอ มดว ยปญ ญา เจาทรงเคารพธรรม และทรงบําเพ็ญ ธรรมพเิ ศษ ดู ธรรมวเิ ศษ พุทธกิจดวยทรงเห็นแกธรรม เพ่ือให ธรรมไพบูลย ความไพบูลยแหง ธรรม, หมูชนเขาถึงธรรม ไดประโยชนจาก ความพร่ังพรอมเต็มเปยมแหงธรรม ธรรม (เชน ม.อ.๔/๒๐๘; ม.ฏี.๓/๔๗๐) ดวยการฝกฝนอบรมใหมีในตนจน ธรรมปฏิบัติ การปฏิบัติธรรม; การ บริบูรณ หรือดวยการประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัตทิ ถ่ี ูกตองตามธรรม กันในสังคมจนแพรหลายท่ัวไปท้ังหมด; ธรรมปฏริ ูป ธรรมปลอม, ธรรมทีไ่ ม ดู ไพบลู ย, เวปลุ ละ ธรรมภาษติ ถอยคาํ ท่เี ปน ธรรม, ถอ ยคํา แท, ธรรมเทียม ธรรมปฏิสันถาร การตอ นรบั ดว ยธรรม ทแ่ี สดงธรรม หรอื เก่ียวกบั ธรรม คือกลาวธรรมใหฟงหรือแนะนําในทาง ธรรมมีอุปการะมาก ๒ คือ ๑. สติ ธรรม อยางนี้เปนธรรมปฏิสันถารโดย ความระลกึ ได ๒.สมั ปชญั ญะ ความรตู วั เอกเทศคือสวนหน่ึงดานหนึ่ง ธรรม- ธรรมยุต, ธรรมยุติกนิกาย ดู คณะ ปฏิสันถารที่บําเพ็ญอยางบริบูรณ คือ ธรรมยตุ การตอนรับโดยธรรม ไดแก เอาใจใส ธรรมรตั นะ,ธรรมรัตน รตั นะคอื ธรรม, ชว ยเหลอื สงเคราะห แกไ ขปญ หาบรรเทา พระธรรมอนั เปน อยา งหนง่ึ ในรตั นะ ๓

ธรรมราชา ๑๔๔ ธรรมสภา ทเี่ รียกวาพระรตั นตรัย; ดู รตั นตรยั ธรรม = คําสอนแสดงหลกั ความจริง ธรรมราชา 1. “ผูย งั ชาวโลกใหช ื่นบาน และแนะนาํ ความประพฤต,ิ วินัย = บท ดวย(นวโลกตุ ตร)ธรรม”, พระราชาแหง บัญญัติกําหนดระเบียบความเปนอยู ธรรม, พระราชาผูเปนเจาแหงธรรม, และกาํ กบั ความประพฤต;ิ ธรรม = เครอื่ ง พระราชาโดยธรรม หมายถึงพระพุทธ ควบคมุ ใจ, วินัย = เครอื่ งควบคุมกาย เจา 2. “ผูย ังชาวโลกใหช่นื บานดวย(ทศ และวาจา กุศลกรรมบถ)ธรรม”, ราชาผทู รงธรรม, ธรรมวภิ าค การจาํ แนกธรรม, การจดั พระเจา จกั รพรรดิ ตามคติแหงพระพทุ ธ หัวขอธรรมจําแนกออกเปนหมวดหมู ศาสนา คือ ราชาผูมีชัยชนะและครอง เพื่อสะดวกแกการศึกษาคนควาอธิบาย แผน ดนิ โดยธรรม ไมต อ งใชท ณั ฑ ไม และทาํ ความเขาใจ ตองใชศ ัสตราวธุ ธรรมวิเศษ ธรรมชั้นสูง หมายถึง ธรรมวัตร ลักษณะเทศนทาํ นองธรรมดา โลกุตตรธรรม เรยี บๆ ทแี่ สดงอยทู ั่วไป อันตา งไปจาก ธรรมศาลา หอธรรม, โรงฟง ธรรม; เปน ทํานองเทศนแบบมหาชาติ, ทํานอง คําท่ีเกิดในยุคหลังมาก และใชกันไม แสดงธรรม ซึ่งมุงอธิบายตามแนวเหตุ มาก มักเปนชื่อวัด พบบางในคัมภีร ผล มใิ ชแ บบเรยี กเราอารมณ ประเภท “วงั สะ” คอื ตํานานตา งๆ เชน ธรรมวาที “ผูมปี กตกิ ลา วธรรม”, ผพู ูด มหาวงส สาสนวงส (รปู บาลีเปน “ธมมฺ - เปนธรรม, ผพู ูดตามธรรม, ผูพูดตรง สาลา”) ตามธรรมหรอื พูดถูกตองตามหลัก ไม ธรรมสภา ทปี่ ระชมุ ฟง ธรรม, โรงธรรม; พดู ผดิ ธรรม ไมพดู นอกหลักธรรม แตเดิม ในพระไตรปฎ ก “ธรรมสภา” ธรรมวจิ ยั การเฟนธรรม; ดู ธมั มวิจยะ เปนคําท่ีใชนอย (พบในเรื่องอดีตกอน ธรรมวจิ ารณ การใครค รวญพจิ ารณาขอ พทุ ธกาลครั้งหนง่ึ คือ ในวิธุรชาดก, ขุ.ชา. ธรรมตา งๆ วา แตล ะขอ มีอรรถคือความ ๒๘/๑๐๔๐/๓๖๒, เปนอาคารหลวงในเมอื ง หมายอยา งไร ตน้ื ลกึ เพยี งไร แลว แสดง อินทปตถ หรอื อินทปตต ในกรุ รุ ัฐ, และ ความคิดเห็นออกมาวาธรรมขอน้ันขอนี้ อกี คร้งั หน่งึ เปน คาถาประพนั ธข องพระ มีอรรถคือความหมายอยางนน้ั อยา งนี้ อบุ าลีมหาสาวก, ข.ุ อป.๓๒/๘/๖๓, กลา ว ธรรมวินยั ธรรมและวนิ ัย, คําสั่งสอนทัง้ เปนความอุปมาวาพระพุทธเจาทรงเปน หมดของพระพุทธเจา ซึ่งประกอบดวย พระธรรมราชา ไดทรงสรางธรรมนคร

ธรรมสมโภค ๑๔๕ ธรรมสามคั คี ขึ้น ในธรรมนครนี้ มีพระสุตตันตะ ไป, บางอยางใหทุกขในปจจบุ นั แตมสี ขุ พระอภธิ รรม พระวินัย และพทุ ธพจนม ี เปนวิบากตอไป, บางอยางใหสุขใน องค ๙ ทัง้ สิ้น เปนธรรมสภา), ตอ มา ปจจุบัน แตมที กุ ขเ ปนวิบากตอ ไป, บาง ในชนั้ อรรถกถา “ธรรมสภา” ไดกลาย อยางใหสุขในปจจุบัน และมีสุขเปน เปนคําสามัญอันใชเรียกที่ประชุมฟง วบิ ากตอ ไป พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา เชน ธรรมสวนะ การฟง ธรรม, การหาความ ในวัดพระเชตวัน เชนเดียวกับคําวา รูความเขาใจในหลักความจริงความถูก “คันธกุฎี” ทีอ่ รรถกถาใชเ รียกพระวิหาร ตองดงี าม ดว ยการเลาเรยี น อา นและ ท่ีประทับของพระพุทธเจา ดงั ขอ ความ สดับฟง, การศึกษาหาความรูท่ี ในอรรถกถา (เชน อง.ฺ อ.๑/๑๐๑/๗๔) วา ปราศจากโทษ; ธมั มสั สวนะ ก็เขียน “พระผูมีพระภาคเจาเสด็จออกจากพระ ธรรมสวามิศร ผเู ปนใหญโดยฐานเปน คันธกุฎี มาประทับน่ังเหนือพระบวร เจา ของธรรม หมายถึงพระพทุ ธเจา พุทธอาสนท่ีเขาปูลาดไวในธรรมสภา”, ธรรมสังคาหกะ พระอรหันต ๕๐๐ อาคารที่อรรถกถาเรียกวาธรรมสภานี้ องค ผรู วบรวมรอ ยกรองพระธรรมวินยั ตามปกติก็คืออาคารท่ีในพระไตรปฎก ในคราวปฐมสงั คายนา เรียกวา “อุปฏฐานศาลา” (ศาลาที่ภกิ ษุ ธรรมสังคาหกาจารย อาจารยผูรอย ทั้งหลายมาเฝาเพ่ือฟงพระพุทธโอวาท กรองธรรม; ดู ธรรมสงั คาหกะ และสดับพระธรรมเทศนา) ดังทท่ี านไข ธรรมสงั คีติ การสงั คายนาธรรม, การ ความวา “คําวา ‘ในอุปฏฐานศาลา’ รอยกรองธรรม, การจัดสรรธรรมเปน หมายความวา ‘ในธรรมสภา’” (อปุ ฏ าน- หมวดหมู สาลายนตฺ ิ ธมมฺ สภาย,ํ วนิ ย.ฏี.๒/๑๓๔/ ธรรมสงั เวช ความสงั เวชโดยธรรมเมอ่ื ๒๗๗); ดู คนั ธกุฎี, อุปฏ ฐานศาลา เห็นความแตกดับของสังขาร (เปน ธรรมสมโภค คบหากนั ในทางเรยี นธรรม อารมณของพระอรหนั ต) ; ดู สังเวช ไดแ ก สอนธรรมให หรอื ขอเรยี นธรรม ธรรมสากจั ฉา การสนทนาธรรม, การ ธรรมสมาทาน การสมาทานยึดถือ สนทนากนั ในทางธรรม ปฏิบัติธรรม, การทํากรรม จดั ไดเปน ๔ ธรรมสามัคคี ความพรอมเพรียงของ ประเภท คือ การทาํ กรรมบางอยางให องคธรรม, องคธรรมท้ังหลายท่ีเก่ียว ทกุ ขในปจจบุ นั และมีทกุ ขเปน วิบากตอ ของทุกอยางทํากิจหนาที่ของแตละ

ธรรมสามสิ ร ๑๔๖ ธญั ชาติ อยางๆ พรอมเพรียงและประสานสอด ปฏิบัติธรรมถกู ตองตามหลกั เชน หลัก คลองกัน ใหสําเร็จผลท่ีเปนจุดหมาย ยอยสอดคลองกับหลักใหญ และเขา เชน ในการบรรลมุ รรคผล เปนตน แนวกบั ธรรมท่ีเปนจุดมงุ หมาย, ปฏิบตั ิ ธรรมสามิสร ดู ธรรมสวามศิ ร ถูกตองตามกระบวนธรรม; ดู วุฑฒิ ธรรมสามี ผเู ปนเจาของธรรม เปนคํา ธรรมาภิสมัย การตรัสรูธรรม, การ เรียกพระพุทธเจา สําเรจ็ มรรคผล ธรรมเสนา กองทัพธรรม, กองทัพพระ ธรรมารมณ อารมณค อื ธรรม, สง่ิ ทถ่ี กู รบั รู สงฆผปู ระกาศพระศาสนา ทางใจ, สงิ่ ทรี่ ดู ว ยใจ, สง่ิ ทใี่ จรสู กึ นกึ คดิ ; ดู ธรรมเสนาบดี แมท พั ธรรม, ผูเปน นาย ธัมมายตนะ, อารมณ ทพั ธรรม เปน คาํ เรยี กยกยอ งพระสารบี ตุ ร ธรรมาสน ทส่ี าํ หรบั น่งั แสดงธรรม ซ่ึงเปนกําลังใหญของพระศาสดาในการ ธรรมิกอุบาย อุบายที่ประกอบดวย ประกาศพระศาสนา ธรรม, อุบายทีช่ อบธรรม, วธิ ีท่ถี กู ธรรม ธรรมันเตวาสิก อันเตวาสิกผูเรียน ธรรมิศราธิบดี ผูเปนอธิบดีโดยฐาน ธรรมวินยั , ศษิ ยผ ูเรียนธรรมวินยั ; คกู บั เปนใหญในธรรม หมายถึงพระพุทธเจา อทุ เทศาจารย (คํากวี) ธรรมาธิปไตย ถอื ธรรมเปน ใหญ, ถือ ธรรมกี ถา ถอ ยคําที่ประกอบดวยธรรม, หลักการ ความจริง ความถูกตอง ความ การพูดหรือสนทนาเก่ียวกับธรรม, คาํ ดีงามและเหตุผลเปนใหญ ทาํ การดว ย บรรยายหรืออธิบายธรรม; นิยมใชวา ปญ ญา โดยเคารพหลกั การ กฎ ระเบยี บ ธรรมกถา กติกา มุงเพื่อความดีงาม ความจริง ธรรมุเทศ ธรรมท่ีแสดงขึ้นเปนหัวขอ, ความชอบธรรมเปน ประมาณ; ดู อธปิ ไตย หัวขอ ธรรม ธรรมาธิษฐาน มีธรรมเปนท่ีตั้ง คือ ธรรมธุ จั จ ดู ธมั มทุ ธจั จะ;วปิ ส สนปู กเิ ลส เทศนายกธรรมข้นึ แสดง เชนวา ศรัทธา ธญั ชาติ ขาวชนิดตา งๆ, พชื จาํ พวกขา ว; ศลี คืออยางน้ี ธรรมทป่ี ระพฤตดิ ีแลว ธญั ชาติ ๗ คอื สาลิ (ขา วสาล)ี , วหี ิ (ขา ว ยอมนําสุขมาให ดังนี้เปนตน; คูกับ เจา ), ยวะ (ขา วเหนยี ว), โคธมุ ะ (โคธมู ะ บคุ คลาธิษฐาน กว็ า ; ขา วละมาน), กงั คุ (ขา วฟา ง), วรกะ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ การประพฤติ (ลกู เดอื ย), กทุ รสู ะ (หญา กบั แก) ; คาํ วา ธรรมสมควรแกธรรม หมายถึงการ “ธญั ชาตดิ บิ สด” (อามกธญั ญะ) หมายถงึ

ธมั มกามตา ๑๔๗ ธัมมเทสนามยั ธญั ชาติ ๗ นเ้ี อง ทย่ี งั ไมไ ดข ดั สหี รอื ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร “พระสูตรวา กะเทาะเปลอื กออก (ยงั ไมเ ปน ตณั ฑลุ ะ) ดวยการยังธรรมจักรใหเปนไป”, พระ และยงั ไมไ ดท าํ ใหส กุ (ยงั ไมเ ปน โอทนะ) สูตรวา ดว ยการหมนุ วงลอธรรม เปน ชอื่ เชน วหี ิ คอื ขา วเปลอื กของขา วเจา ของ ปฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนา อนึ่ง พืชทีเ่ ปนของกนิ คือเปน อาหาร ครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจาทรงแสดงแก ท่ีรับประทาน (อันนะ) น้นั แบงเปน ๒ พระปญ จวคั คยี  ทป่ี า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั พวก ไดแ ก บพุ พณั ณะ (แปลสบื กนั มาวา แขวงเมืองพาราณสี ในวันขน้ึ ๑๕ ค่ํา “ของทจ่ี ะพงึ กนิ กอ น” แตต ามคาํ อธิบาย เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรสู องเดอื น วา ในคมั ภรี ห ลายแหง นา จะแปลวา “ของกนิ ดว ยมชั ฌิมาปฏิปทา คอื ทางสายกลาง ทม่ี เี ปน หลกั ขน้ึ กอ น”) ไดแ ก ธญั ชาติ ๗ ซึ่งเวนท่ีสุด ๒ อยาง และวาดวย นี้ (รวมทั้งพืชท่ีอนุโลมหรือเขาพวกนี้) อรยิ สัจจ ๔ ซ่งึ พระพุทธเจา ไดต รัสรู อัน และ อปรณั ณะ (แปลสบื กนั มาวา “ของ ทําใหพระองคสามารถปฏิญาณวาได ท่ีจะพึงกินในภายหลัง” แตตามคํา ตรัสรูอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณ อธบิ ายในคมั ภรี ห ลายแหง นา จะแปลวา คือความตรัสรูเองโดยชอบอันยอด “ของกนิ ทม่ี เี พม่ิ มาอกี ทหี ลงั ” ทาํ นองของ เย่ยี ม) ทานโกณฑญั ญะ หัวหนาคณะ กนิ ประกอบ) ไดแ กพ ชื จาํ พวกถว่ั งาและ ปญจวัคคยี  ฟงพระธรรมเทศนานแ้ี ลว ผักท่ีทําเปนกับแกง เชนที่ทานยกตัว ไดด วงตาเหน็ ธรรม (ธรรมจกั ษ)ุ และ อยา งบอ ย คอื มคุ คะ (ถว่ั เขยี ว) มาส ขอบวชเปนพระภิกษุรูปแรก เรียกวา (ถวั่ ราชมาส) ตลิ ะ (งา) กลุ ตั ถ (ถวั่ พ)ู เปน ปฐมสาวก อลาพุ (นา้ํ เตา ) กมุ ภณั ฑ (ฟก เขยี ว); ธมั มทินนา พระเถรมี หาสาวิกาองคห น่ึง ทั้งน้ี มคี ติโบราณเช่ือวา ครั้งตน กัป เมือ่ เปนกุลธิดาชาวพระนครราชคฤห เปน ส่งิ ทง้ั หลายแรกเกิดมีขนึ้ นน้ั บุพพัณณะ ภรรยาของวสิ าขเศรษฐี มคี วามเลื่อมใส เกิดมีกอน อปรณั ณะเกดิ ทีหลัง ในพระพุทธศาสนาบวชในสํานักนาง ธมั มกามตา ความเปน ผใู ครธ รรม, ความ ภิกษณุ ี บําเพ็ญเพียรไมน านก็ไดสําเร็จ พอใจและสนใจในธรรม, ความใฝธ รรม พระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน รักความจริง ใฝศึกษาหาความรู และใฝ เอตทัคคะในทางเปนธรรมกถกึ (เขยี น ในความดี (ขอ ๖ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ธรรมทินนา ก็ม)ี ธมั มคารวตา ดู คารวะ ธมั มเทสนามัย บุญสําเร็จดวยการแสดง

ธัมมปฏสิ ันถาร ๑๔๘ ธมั มปั ปมาณิกา ธรรม (ขอ ๙ ในบุญกิริยาวตั ถุ ๑๐) มีแบบแผน ในทีน่ ี้หมายถงึ ภาษาบาลี), ธมั มปฏสิ นั ถาร ดู ธรรมปฏสิ ันถาร ธัมมปทัฏฐกถาน้ี มชี อ่ื เฉพาะรวมอยูใน ธัมมปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน ชุดทเี่ รียกวา ปรมัตถโชตกิ า; ดู ปรมัตถ- ธรรม, เหน็ คําอธบิ ายพิสดาร ก็สามารถ โชตกิ า, อรรถกถา, โปราณฏั ฐกถา จับใจความมาตัง้ เปน หวั ขอ ได เหน็ ผลก็ ธัมมมัจฉริยะ ตระหนีธ่ รรม ไดแก หวง สืบสาวไปหาเหตุได (ขอ ๒ ใน แหนความรู ไมย อมบอก ไมยอมสอน ปฏิสัมภิทา ๔) คนอน่ื เพราะเกรงวาเขาจะรูเ ทาตน (ขอ ธัมมปทฏั ฐกถา คมั ภรี อรรถกถาอธบิ าย ๕ ในมัจฉริยะ ๕) ความในธรรมบท แหงขทุ ทกนกิ าย ใน ธมั มวจิ ยะ ความเฟนธรรม, ความสอด พระสุตตันตปฎ ก พระพุทธโฆสาจารย สอ ง สืบคนธรรม, การวิจัยหรือคน ควา นําเน้ือความในอรรถกถาเกาที่ใชศึกษา ธรรม (ขอ ๒ ในโพชฌงค ๗) และรักษาสบื ตอกนั มาในลงั กาทวปี อนั ธัมมสัมมขุ ตา ความเปน ตอ หนา ธรรม, เปนภาษาสิงหฬ เอามาเรียบเรียงกลับ พรอ มหนาธรรม ในววิ าทาธิกรณ หมาย ขนึ้ เปนภาษาบาลี เม่ือ พ.ศ. ใกลจ ะถงึ ความวา ปฏิบัติถูกตองตามธรรมวินัย ๑๐๐๐ ดังที่ทานเลาไวในปณามคาถา และสัตถุศาสนอันเปนเครื่องระงับ ของคัมภีรนี้วา พระกุมารกัสสปเถระ อธิกรณน้ัน จึงเทากับวาธรรมมาอยูท่ี (พระเถระรูปหนึ่งในลังกาทวีป ไมใช นน้ั ดว ย; ดู สัมมขุ าวินยั ทานท่ีเปนมหาสาวกในพุทธกาล) คิด ธมั มสากจั ฉา ดู ธรรมสากัจฉา หวังวา “อรรถกถาแหงพระธรรมบท ธมั มญั ุตา ความเปนผรู ูจกั เหตุ เชน รู อันละเอียดลึกซ้ึง ที่นําสืบกันมาใน จกั วา สง่ิ นเ้ี ปนเหตแุ หง สุข สง่ิ น้เี ปนเหตุ ตามพปณณทิ วีป ดาํ รงอยโู ดยภาษาของ แหง ทกุ ข; ตามอธบิ ายในบาลหี มายถงึ รหู ลกั ชาวเกาะ ไมชวยใหประโยชนสําเร็จ หรอื รหู ลกั การ เชน ภกิ ษุเปนธัมมญั ู พรอ มบรู ณแกคนพวกอน่ื ทเ่ี หลอื ได ทํา คอื รูห ลกั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ท่จี ดั อยางไรจะใหอรรถกถาแหงพระธรรม- เปนนวังคสตั ถุศาสน; ดู สัปปรุ ิสธรรม บทนั้นยังประโยชนใหสําเร็จแกโลกท้ัง ธมั มปั ปมาณกิ า ถอื ธรรมเปน ประมาณ, ปวงได” จึงไดอ าราธนาทา นใหทาํ งานนี้ ผูเลื่อมใสเพราะพอใจในเนื้อหาธรรม และทานก็ไดนําอรรถกถาน้ันออกจาก และการปฏบิ ตั ดิ ีปฏิบตั ชิ อบ เชน ชอบ ภาษาสงิ หฬ ยกขึน้ สูต ันตภิ าษา (ภาษาท่ี ฟงธรรม ชอบเห็นภิกษุรักษามารยาท

ธมั มสั สวนะ ๑๔๙ ธาต๑ุ เรียบรอ ยสํารวมอินทรีย แลนตามไปดวยธรรม”, พระอริยบคุ คล ธัมมสั สวนะ การฟงธรรม, การสดับคํา ผูตั้งอยใู นโสดาปต ตมิ รรค ท่ีมปี ญ ญนิ - แนะนําสั่งสอน; ดู ธรรมสวนะ ทรยี แรงกลา (เมอื่ บรรลผุ ล กลายเปน ธัมมัสสวนมัย บุญสําเร็จดวยการฟง ทิฏฐิปปต ตะ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ ธรรม (ขอ ๘ ในบุญกิริยาวตั ถุ ๑๐) ธัมมายตนะ อายตนะคือธรรม, ธัมมสั สวนานิสงส อานิสงสแหง การฟง ธรรมารมณ, เปนขอ ท่ี ๖ ในอายตนะ ธรรม, ผลดีของการฟง ธรรม, ประโยชน ภายนอก ๖ (คูกบั มนายตนะ [อายตนะ ที่จะไดจากการฟงธรรม มี ๕ อยางคอื คือใจ] ในฝา ยอายตนะภายใน ๖), ได ๑. ไดฟ ง สง่ิ ทยี่ งั ไมเ คยฟง ๒. สง่ิ ทเ่ี คยฟง แกส ภาวธรรมตอ ไปนี้ คือ นามขนั ธ ๓ กเ็ ขา ใจแจม แจง ชดั เจนยง่ิ ขนึ้ ๓. บรรเทา (เวทนา สญั ญา สงั ขาร) และรปู บางอยา ง ความสงสยั เสยี ได ๔. ทําความเหน็ ให ในรปู ขันธ (คอื เฉพาะอนทิ สั สนอปั ปฏฆิ - ถกู ตองได ๕. จิตของเขายอมผองใส รปู อนั ไดแ กส ขุ มุ รปู ๑๖) กบั ทง้ั อสงั ขต- ธัมมาธิปเตยยะ ถือธรรมเปนใหญ คอื ธาตุ คือนพิ พาน ซึ่งเปน ขนั ธวนิ ิมตุ คอื นึกถึงความจริง ความถูกตองสมควร เปนสภาวะพน จากขันธ ๕ (อภิ.วิ.๓๕/๑๐๐/ กอนแลว จงึ ทาํ บัดนีน้ ยิ มเขยี น ธรรมา- ๘๖); ดู สขุ ุมรปู , อายตนะ ธิปไตย; ดู อธปิ เตยยะ ธมั มกี ถา ดู ธรรมีกถา ธัมมานุธมั มปฏปิ ตติ ดู ธรรมานธุ รรม- ธัมมุทธจั จะ ความฟงุ ซา นดวยสําคัญผดิ ปฏิบตั ิ ในธรรม คอื ความฟุงซานเน่ืองจากเกดิ ธัมมานุปสสนา การตั้งสติกําหนด วิปสสนูปกิเลสอยา งใดอยางหนึ่งข้นึ แลว พิจารณาธรรม, สตพิ จิ ารณาธรรมที่เปน สําคัญผิดวาตนบรรลุธรรมคือมรรคผล กุศลหรืออกุศลที่บังเกิดกับใจเปน นิพพาน จิตก็เลยคลาดเขวออกไป อารมณวา ธรรมน้ีก็สักวาธรรมไมใช เพราะความฟงุ ซานนน้ั ไมเกิดปญ ญาท่ี สัตวบคุ คลตวั ตนเราเขา (ขอ ๔ ในสต-ิ จะเห็นไตรลกั ษณไ ดจรงิ , ธรรมธุ จั จ ก็ ปฏฐาน ๔) เขียน; ดู วปิ สสนูปกิเลส ธัมมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ธาตุ๑ สิ่งท่ีทรงสภาวะของมันอยูเองตาม (ขอ ๒ ในอนสุ ติ ๑๐) เขียนอยา งรปู ธรรมดาของเหตปุ จจยั , ธาตุ ๔ คอื ๑. เดิมในภาษาบาลเี ปน ธมั มานสุ สติ ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผไปหรือกินเน้ือที่ ธมั มานุสารี “ผแู ลน ไปตามธรรม”, “ผู เรียกสามัญวาธาตุแขนแข็งหรือธาตุดิน

ธาต๒ุ ๑๕๐ ธดุ งค ๒. อาโปธาตุ สภาวะทเ่ี อิบอาบดูดซึม ใชต ัวตนของเรา เรยี กสามัญวา ธาตเุ หลวหรอื ธาตุนาํ้ ๓. ธาตุเจดีย เจดียบรรจุพระบรม- เตโชธาตุ สภาวะที่ทําใหรอน เรียก สารีรกิ ธาตุ (ขอ ๑ ในเจดีย ๔) สามัญวา ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ สภาวะท่ี ธิติ 1. ความเพยี ร, ความเขมแขง็ มัน่ คง, ทาํ ใหเคลื่อนไหว เรยี กสามัญวา ธาตุ ความหนักแนน, ความอดทน 2. ลม; ธาตุ ๖ คือ เพ่มิ ๕. อากาสธาตุ ปญ ญา สภาวะที่วาง ๖. วิญญาณธาตุ สภาวะทีร่ ู ธรี ะ นักปราชญ, ผฉู ลาด ธดุ งค องคค ุณเคร่อื งกําจัดกเิ ลส, ช่อื ขอ แจง อารมณ หรอื ธาตรุ ู ธาต๒ุ สวนสําคญั แหง สรรี ะ ของพระพุทธ ปฏิบัติประเภทวัตร ท่ีผูสมัครใจจะพึง เจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระอรหนั ต สมาทานประพฤตไิ ด เปนอบุ ายขดั เกลา ทั้งหลาย ซึ่งคงอยูหรือรักษาไวเปนท่ี กิเลส สงเสริมความมักนอยสันโดษ เคารพบูชา เฉพาะอยางย่ิงอัฐิ รวมท้ัง เปนตน มี ๑๓ ขอคือ หมวดที่ ๑ จีวร- ปฏสิ งั ยตุ ต เกย่ี วกบั จวี ร มี ๑. ปง สกุ ูล-ิ สวนสําคัญอืน่ ๆ เชน เกสา (เกศธาต)ุ , กงั คะ ถอื ใชแตผา บังสุกุล ๒. เตจีวริ- กังคะ ใชผ าเพยี งสามผืน; หมวดท่ี ๒ เรยี กรวมๆ วา พระธาตุ (ถา กลา วถงึ ธาตุ ปณ ฑปาตปฏสิ งั ยตุ ต เกยี่ วกบั บณิ ฑบาต ของพระพุทธเจาโดยเฉพาะ เรียกวา มี ๓. ปณฑปาติกังคะ เทยี่ วบณิ ฑบาต พระบรมธาตุ พระบรมสารรี กิ ธาตุ พระ เปนประจํา ๔. สปทานจารกิ ังคะ บิณฑ- สารีริกธาตุ หรือระบุชื่อพระธาตุสวน บาตตามลําดับบาน ๕. เอกาสนิกังคะ น้ันๆ เชน พระทาฐธาตุ พระอุณหิส- ฉันม้ือเดียว ๖. ปตตปณฑิกังคะ ฉัน ธาต)ุ ; ดู สารีริกธาตุ เฉพาะในบาตร ๗. ขลปุ จ ฉาภัตตกิ ังคะ ธาตุกถา ช่ือคัมภีรท่ีสามแหงพระ อภิธรรมปฎก วาดวยการสงเคราะห ธรรมท้ังหลายเขากับ ขันธ อายตนะ ลงมือฉันแลวไมยอมรับเพ่ิม; หมวดท่ี และธาตุ (พระไตรปฎกเลม ๓๖) ๓ เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต เกย่ี วกบั เสนาสนะ ธาตุกัมมัฏฐาน กรรมฐานที่พิจารณา มี ๘. อารญั ญกิ งั คะ ถอื อยปู า ๙. รกุ ขมลู -ิ ธาตุเปนอารมณ, กําหนดพิจารณาราง กังคะ อยูโคนไม ๑๐. อัพโภกาสิกงั คะ อยูก ลางแจง ๑๑. โสสานกิ งั คะ อยปู า ชา กายแยกเปนสวนๆ ใหเห็นวาเปนแต ๑๒. ยถาสนั ถตกิ งั คะ อยูในทีแ่ ลวแตเ ขา เพียงธาตุ ๔ คอื ดิน นํา้ ไฟ ลม ประชุมกันอยู ไมใชเ รา ไมใ ชข องเรา ไม จัดให; หมวดท่ี ๔ วริ ิยปฏสิ ังยุตต เกีย่ ว

ธรุ ะ ๑๕๑ นกุลบิดา กับความเพยี ร มี ๑๓. เนสชั ชกิ ังคะ ถอื ธุวยาคู ยาคูท่ีเขาถวายเปนประจําเชนท่ี นั่งอยางเดียวไมนอน (นีแ้ ปลเอาความ นางวิสาขาถวายเปนประจําหรือที่จัดทํา สั้นๆ ความหมายละเอียดพึงดูตาม เปนของวัดแจกกนั เอง ลําดับอกั ษรของคํานนั้ ๆ) โธตกมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจาํ นวน ๑๖ ธรุ ะ “สงิ่ ทจี่ ะตอ งแบกไป”, หนา ท,่ี ภารกจิ , คน ของพราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถาม การงาน, เร่อื งทจี่ ะตอ งรบั ผิดชอบ, กจิ ปญหากะพระศาสดา ท่ีปาสาณเจดีย ในพระศาสนา แสดงไวในอรรถกถา ๒ โธโตทนะ กษตั ริยศ ากยวงศ เปน พระ อยา งคอื คนั ถธรุ ะ และวปิ ส สนาธรุ ะ ราชบุตรองคท่ี ๔ ของพระเจา สีหหนุ ธลุ ี ฝนุ , ละออง, ผง เปนพระอนุชาของพระเจาสุทโธทนะ ธุวภตั อาหารท่ถี วายเปนประจาํ , นติ ยภัต เปนพระเจาอาของพระพุทธเจา น นกลุ บดิ า “พอ ของนกลุ ”, คฤหบดชี าว ตอกันอยางบริสุทธิ์และม่ันคงยั่งยืน เมืองสุงสุมารคีรี ในแควนภัคคะ มี ตราบเทาชรา ทั้งยงั ปรารถนาจะพบกนั ภรรยาชอื่ นกลุ มารดา สมยั หนง่ึ พระ ทง้ั ชาตนิ แ้ี ละชาตหิ นา เคยทลู ขอใหพ ระ พุทธเจาเสด็จมายังเมืองสุงสุมารคีรี พุทธเจาแสดงหลักธรรมท่ีจะทําใหสามี ประทับที่ปาเภสกลาวัน ทานคฤหบดี ภรรยาครองรักกันยั่งยนื ตลอดไปท้งั ภพ และภรรยาไปเฝาพรอมกับชาวเมืองคน นแ้ี ละภพหนา เมอื่ ทา นนกลุ บดิ าเจบ็ ปว ย อื่นๆ พอไดเห็นครงั้ แรก ทงั้ สองสามี ออดแอดรา งกายออ นแอ ไมส บายดว ย ภรรยาก็เกิดความรูสึกสนิทหมายใจ โรคชรา ทา นไดฟ ง พระธรรมเทศนาครงั้ เหมือนวาพระพุทธเจาเปนบุตรของตน หนง่ึ ทท่ี า นประทบั ใจมากคอื พระดาํ รสั ไดเขา ไปถงึ พระองคแ ละแสดงความรสู กึ ทแ่ี นะนาํ ใหท าํ ใจวา “ถงึ แมร า งกายของ นนั้ พระพทุ ธเจา ไดแ สดงธรรมโปรด ทง้ั เราจะปว ย แตใ จของเราจะไมป ว ย” ทา น สองทานไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบัน นกุลบิดาไดรับยกยองจากพระพุทธเจา ทานนกุลบิดาและนกุลมารดานี้ เปนคู ใหเ ปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกผสู นทิ สามภี รรยาตวั อยา ง ผมู คี วามจงรกั ภกั ดี สนมคุนเคย (วิสสาสิกะ) ทานนกุล-

นขา ๑๕๒ นวรหคณุ มารดากเ็ ปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกิ า นลาฏ หนาผาก นวกะ 1. หมวด ๙ 2. ภิกษใุ หม, ภิกษมุ ี ผสู นทิ สนมคนุ เคยเชน เดยี วกนั นขา เล็บ พรรษายงั ไมค รบ ๕; เทยี บ เถระ, มชั ฌมิ ะ นคร เมืองใหญ, กรงุ นวกภูมิ ขน้ั ชั้น หรอื ระดบั พระนวกะ, นครโศภนิ ี หญงิ งามเมือง, หญงิ ขายตัว ระดบั อายุ คุณธรรม ความรู ที่นบั วายงั (พจนานุกรมเขียน นครโสภิณ,ี นคร- เปน ผใู หม คอื มพี รรษาตา่ํ กวา ๕ ยงั ตอ ง โสเภณี) ถอื นสิ ยั เปน ตน ; เทยี บ เถรภมู ,ิ มชั ฌมิ ภมู ิ นที แมน า้ํ ในพระวินยั หมายเอาแมน ํ้าท่ี นวกรรม การกอ สราง มีกระแสนํา้ ไหลอยู ไมใ ชแ มน า้ํ ตนั นวกัมมาธิฏฐายี ผอู าํ นวยการกอสราง นทกี สั สป นักบวชชฎลิ แหง กัสสปโคตร เชน ทพี่ ระมหาโมคคัลลานะไดรับมอบ นองชายของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายของ หมายจากพระบรมศาสดาใหเปนผู คยากสั สปะ ออกบวชตามพช่ี าย พรอม อํานวยการสรางบุพพารามท่ีนางวิสาขา ดว ยชฎิลบรวิ าร ๓๐๐ คน สําเรจ็ อรหตั บริจาคทนุ สรางท่ีกรงุ สาวตั ถี ดว ยฟง อาทติ ตปรยิ ายสตู ร เปน มหาสาวก นวกมั มกิ ะ ผดู แู ลนวกรรม, ภกิ ษผุ ไู ดร บั องคหนง่ึ ในอสีติมหาสาวก สมมติ คอื แตงตง้ั จากสงฆ ใหทาํ หนา ที่ นทีปารสีมา สีมาฝง นา้ํ คือ สีมาที่สมมติ ดูแลการกอสรางและปฏิสังขรณใน ครอ มฝงนาํ้ ท้ังสอง เปดแมน ้ําไวก ลาง อาราม, เปน ตาํ แหนง หนงึ่ ในบรรดา เจา นพเคราะห ดู ดาวพระเคราะห อธิการแหงอาราม นมสั การ “การทาํ ความนอบนอ ม” การ นวโกวาท คาํ สอนสาํ หรับผูบวชใหม, คาํ ไหว, การเคารพ, การนอบนอ ม; ใชเ ปน สอนสําหรับภิกษุสามเณรผูบวชใหม, คําข้ึนตนและสวนหน่ึงของคําลงทาย ชื่อหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นตรี จดหมายท่ีคฤหัสถมีไปถึงพระภิกษุ เปนพระนิพนธของสมเด็จพระมหา- สามเณร สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส นรก เหวแหงความทกุ ข, ท่ีอนั ไมมคี วาม นวนีตะ เนยขน ; ดู เบญจโครส สุขความเจริญ, ภาวะเรารอนกระวน นวรหคุณ คุณของพระอรหนั ต ๙ หมาย กระวาย, ที่ไปเกิดและเสวยความทุกข ถึง คุณของพระพุทธเจาผูเปนพระ ของสตั วผ ูทําบาป (ขอ ๑ ในทุคติ ๓, อรหนั ต ๙ ประการ ไดแกพทุ ธคณุ ๙ ขอ ๑ ในอบาย ๔); ดู นริ ยะ, คติ นนั่ เอง เขยี น นวารหคณุ ก็ได แต

นวังคสตั ถุศาสน ๑๕๓ นันทะ เพี้ยนไปเปน นวหรคณุ ก็มี แลเห็นกนั ไดในเวลานอน นวังคสัตถุศาสน คําส่ังสอนของพระ นอ ม ในประโยควา “ภิกษนุ อมลาภเชน ศาสดา มีองค ๙, พุทธพจนมีองค นัน้ มาเพือ่ ตน” ขอหรอื พูดเลยี บเคยี งชกั ประกอบ ๙ อยา ง, สวนประกอบ ๙ จงู เพอ่ื จะใหเ ขาให อยา งท่ีเปน คาํ สอนของพระพุทธเจา คอื นักบญุ ผูใ ฝบุญ, ผถู อื ศาสนาอยา งเครง ๑. สุตตะ (พระสูตรทัง้ หลาย รวมท้ัง ครดั , ผทู าํ ประโยชนแ กพ ระศาสนา พระวินัยปฎกและนิทเทส) ๒. เคยยะ นกั ปราชญ ผรู ู, ผูมีปญ ญา (ความที่มีรอยแกวและรอยกรองผสม นกั พรต คนถอื บวช, ผปู ระพฤติพรต กัน ไดแกพ ระสูตรทีม่ ีคาถาทัง้ หมด) ๓. นกั ษัตรฤกษ ดาวฤกษซ ึ่งอยูบนทองฟา เวยยากรณะ (ไวยากรณ คือความรอ ย มชี ือ่ ตา งๆ กัน เชนดาวมา ดาวลกู ไก แกวลว น ไดแ ก พระอภธิ รรมปฎกทงั้ ดาวคางหมู ดาวจระเข ดาวคันฉัตร หมด และพระสตู รทีไ่ มมคี าถา เปน ตน ) เปนตน ; ดู ดาวนักษัตร ๔. คาถา (ความรอยกรองลวนเชน นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นวา ไมม ี เชนเหน็ วา ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา เปน ตน) ผลบุญผลบาปไมมี บิดามารดาไมมี ๕. อุทาน (ไดแก พระคาถาพทุ ธอทุ าน ความดคี วามช่ัวไมมี เปนมจิ ฉาทิฏฐคิ อื ๘๒ สูตร) ๖. อิตวิ ตุ ตกะ (พระสตู รที่ ความเหน็ ผดิ ทรี่ า ยแรงอยา งหนงึ่ ; ดู ทฏิ ฐิ เรยี กวา อติ วิ ตุ ตกะ ๑๑๐ สตู ร) ๗. ชาตกะ นันทะ พระอนชุ าของพระพทุ ธเจา แตต าง (ชาดก ๕๕๐ เร่ือง) ๘. อพั ภตู ธรรม พระมารดา คอื ประสูตแิ ตพระนางมหา- (เร่ืองอัศจรรย คอื พระสูตรท่กี ลาวถึงขอ ปชาบดีโคตมี ไดออกบวชในวันมงคล อศั จรรยต า งๆ) ๙. เวทลั ละ (พระสตู ร สมรสกับนางชนปทกัลยาณี เบื้องแรก แบบถามตอบท่ีใหเกิดความรูและความ ประพฤติพรหมจรรยอยูดวยความจําใจ พอใจแลวซกั ถามย่ิงๆ ข้นึ ไป เชน จูฬ- แตตอมาพระพุทธเจาทรงสอนดวย เวทัลลสูตร มหาเวทัลลสตู ร เปน ตน); อุบาย จนพระนันทะเปล่ียนมาต้ังใจ เขียนอยา งบาลเี ปน นวงั คสตั ถสุ าสน; ดู ปฏิบัติธรรม และในท่ีสุดก็ไดบรรลุ ไตรปฎ ก อรหัตตผล ไดร ับยกยอ งเปน เอตทคั คะ นหารู เอ็น ในบรรดาภิกษุผูสํารวมอินทรีย พระ นหตุ ชือ่ มาตรานบั เทา กับหนง่ึ หมืน่ นันทะมีรูปพรรณสัณฐานคลายพระ นอนรวม นอนในท่ีมุงท่ีบังอันเดียวกัน พุทธเจา แตตา่ํ กวาพระพทุ ธองค ๔ นิ้ว

นนั ทกะ ๑๕๔ นันทมารดา นันทกะ พระเถระมหาสาวกองคหนึ่ง ขชุ ชตุ ตรานน้ั (เชน อง.จตกุ กฺ .๒๑/๑๗๖/๒๒๒) เกิดในตระกูลผูดีมีฐานะในพระนคร ครั้งหนง่ึ ที่วดั พระเชตวัน เวฬกุ ัณฏกี นันทมารดา ถวายทานแดพ ระสงฆม พี ระ สาวัตถี ไดฟง พระธรรมเทศนาของพระ สารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเปน ประมุข พระพุทธเจาตรัสแกภิกษุทั้ง ศาสดา มีความเลื่อมใส ขอบวช เจริญ หลายวา อุบาสิกาทานน้ันประดิษฐาน วิปส สนากมั มัฏฐาน ไดสําเรจ็ พระอรหัต ทกั ขณิ าท่ีพรอมดว ยองค ๖ คือ ทายกมี องค ๓ ไดแ ก กอนให ก็ดีใจ กาํ ลงั ให ทานมีความสามารถในการแสดงธรรม อยู ก็ทาํ จิตใหผุดผองเลอ่ื มใส คร้ันให แลว ก็ช่นื ชมปลม้ื ใจ และปฏิคาหกมีองค จนเปนที่เล่ืองลือ ครั้งหน่ึงทานแสดง ๓ ไดแ ก เปน ผปู ราศจากราคะหรอื ปฏบิ ตั ิ ธรรมแกน างภกิ ษณุ ี ปรากฏวา นางภกิ ษณุ ี เพื่อบําราศราคะ เปนผูปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพ่ือบําราศโทสะ เปนผู ไดส ําเรจ็ พระอรหัตถึง ๕๐๐ องค ทา น ปราศจากโมหะหรือปฏิบัติเพื่อบําราศ โมหะ ทักขิณาน้ันเปนบุญย่ิงใหญ มีผล ไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะในทางให มากยากจะประมาณได (อง.ฉกกฺ .๒๒/๓๐๘/ โอวาทแกน างภิกษุณี ๓๗๕) 2. อุตตรานนั ทมารดา เปน ธดิ า นันทกุมาร พระราชบุตรของพระเจา ของนายปณุ ณะ หรอื ปณุ ณสหี ะ แหง สุทโธทนะ และพระนางปชาบดีโคตมี เมอื งราชคฤห ซงึ่ ตอ มาพระราชาไดท รง ตอมาออกบวชมีชื่อวาพระนันทะ คือ แตง ตง้ั ใหเ ปนธนเศรษฐี เม่อื ทานเศรษฐี ใหมจัดงานมงคลฉลองและถวายทาน องคท มี่ รี ปู พรรณสณั ฐานคลา ยพระพทุ ธ- อุตตราไดสดับพระดํารัสอนุโมทนาของ พระพทุ ธเจา กไ็ ดบ รรลโุ สดาปต ตผิ ลใน องคนั่นเอง คราวเดยี วกบั บดิ าและมารดา อตุ ตรานนั้ นนั ทมาณพ ศษิ ยค นหนงึ่ ในจาํ นวน ๑๖ รกั ษาอโุ บสถเปน ประจาํ เดอื นละ ๘ วนั คน ของพราหมณพ าวรี ท่ไี ปทลู ถาม ตอ มา เมอ่ื แตง งานไปอยกู บั สามี กข็ อ โอกาสรกั ษาอโุ บสถบา ง แตส ามไี มย อม ปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี  รบั นางจงึ ไมม โี อกาสทาํ การบญุ อยา งท่ี นนั ทมารดา อุบาสกิ าสาํ คญั มีช่ือซ้าํ กัน ๒ ทาน แยกโดยเรียกชอื่ นาํ ท่ีตางกนั คือ 1. เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดา (นนั ทมารดา ชาวเมอื งเวฬกุ ณั ฏกะ [เมอื งหนามไผ] ใน แควน อวนั ต)ี ไดฌาน ๔ เปนอนาคามี และเปน อคั รอบุ าสกิ า คกู บั นางขชุ ชตุ ตรา พระพุทธเจาทรงยกยองวาเปน “ตุลา” คอื เปน ตราชู หรอื เปน แบบอยา งสาํ หรับ สาวิกาท้ังหลายทีเ่ ปนอบุ าสกิ า คกู บั นาง

นนั ทมารดา ๑๕๕ นันทมารดา เคยปฏบิ ตั ิ จนกระทง่ั คราวหนง่ึ อตุ ตรา ทุบตีนางสิริมา กวานางอุตตราจะหาม ตกลงวา จะถอื อโุ บสถครงึ่ เดอื น และใช สําเรจ็ นางสิริมากบ็ อบชํา้ มาก ทาํ ใหนาง เวลาในการใหทานและฟงธรรมใหเต็มท่ี สิริมาสํานึกไดถึงฐานะท่ีแทจริงของตนท่ี โดยใชว ิธจี า งโสเภณชี ่ือสริ ิมาใหมาอยูก บั เปนคนขางนอกรับจางเจาของบานมา สามแี ทนตวั ตลอดเวลา ๑๕ วนั นน้ั เมอื่ จึงเขาไปขอขมาตออุตตรา แตอุตตรา ครบครง่ึ เดอื น ในวนั ทเ่ี ตรยี มจะออกจาก บอกวาตนจะใหอภัยไดตอเมื่อบิดาทาง อุโบสถ ไดยุงอยูในโรงครัวจัดเตรียม ธรรมคือพระพทุ ธเจาใหอ ภยั แลว ตอมา อาหาร ตอนนน้ั สามมี องลงมาทางหนา เม่ือพระพุทธเจาเสด็จมาที่บานของ ตาง เห็นอุตตราในสภาพมอมแมม อุตตรา นางสิรมิ าเขาไปกราบทลู ขอขมา ขมีขมัน ก็นึกในใจวานางน้ันอยูครอบ แลว อตุ ตรากใ็ หอ ภยั แกน าง และในวนั ครองสมบตั อิ ยแู สนสบาย กลบั ทง้ิ ความ นนั้ นางสริ มิ าฟง พระธรรมกถาแลว กไ็ ด สุขมาทาํ งานกับพวกคนรับใชจ นตวั เลอะ บรรลโุ สดาปต ตผิ ล (เรอ่ื งนี้ อรรถกถา เทอะเปรอะเปอ น ไมม เี หตไุ มม ผี ล แลว ก็ ตา งคมั ภรี  เชน อง.อ.๑/๕๖๒/๓๙๐; ธ.อ.๖/๑๗๑; ยม้ิ อยา งสมเพช ฝา ยอตุ ตราพอดมี องขน้ึ วิมาน.อ.๑๒๓/๗๒ เลา รายละเอยี ดแตกตาง ไป เหน็ อยา งนนั้ กร็ ทู นั และนกึ ในใจวา กันไปบาง โดยเฉพาะอรรถกถาแหง สามีเปนพาลชน มัวจมอยูในความ วมิ านวตั ถุ นอกจากวา นางสริ มิ าไดบ รรลุ ประมาท หลงไปวาสมบัติจะย่ังยืนอยู โสดาปตติผลแลว ยังบอกวาอุตตราได ตลอดไป นกึ แลว กย็ ม้ิ บา ง ฝา ยนางสริ มิ า เปน สกทาคามนิ ี และสามพี รอ มทง้ั บดิ า อยมู าหลายวนั ชกั จะลมื ตวั พอเหน็ สามี และมารดาของสามีไดเปนโสดาบัน) ตอ กบั ภรรยายม้ิ กนั กเ็ กดิ ความหงึ ขนึ้ มา มา ในทปี่ ระชมุ ณ วดั พระเชตวนั พระ แลว วง่ิ ลงจากชน้ั บน ผา นเขา ครวั ฉวย พุทธเจาไดตรัสยกยองนางอุตตรานันท- กระบวย ตกั นา้ํ มนั ทเี่ ขากาํ ลงั ปรงุ อาหาร มารดา เปน เอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกา แลวปร่ีเขามาเทนํ้ามันราดลงบนศีรษะ ผูม ฌี าน หรอื นักบาํ เพ็ญฌาน (ฌายี) ของอตุ ตรา ฝา ยอตุ ตรามสี ตดิ ี รตู วั วา อะไรจะเกิดข้ึน ก็เขาเมตตาฌานยนื รับ แมว า โดยหลกั ฐานตา งๆ เชน เมอื งท่ี น้ํามันที่รอนก็ไมเปนอันตรายแกเธอ อยู เวฬุกณั ฏกนี ันทมารดา กบั อตุ ตรา ขณะนน้ั พวกคนรบั ใชข องอตุ ตราซง่ึ ได นันทมารดา นา จะเปน ตา งบคุ คลกนั แต เหน็ เหตกุ ารณ กเ็ ขา มาพากนั รมุ บรภิ าษ ก็ยังมีชองใหสงสัยวาอาจจะเปนบุคคล เดยี วกนั ได อยา งนอ ย พระสาวกและ

นนั ทาเถรี ๑๕๖ นัมมทา พระสาวกิ า ทไี่ ดร บั กยอ งเปน คตู ลุ า หรอื เอตทัคคะ คอู คั รสาวก คอู คั รสาวกิ า และคอู คั ร- นนั ทาเถรี ชือ่ ภกิ ษุณี ผเู ปน พระนอ งนาง อบุ าสก กล็ ว นเปน เอตทคั คะมาตลอด ๓ ของพระเจา กาลาโศก คแู รก แตพ อถงึ คตู ลุ าฝา ยอบุ าสกิ า หรอื นนั ทิ ความยนิ ด,ี ความตดิ ใจเพลดิ เพลนิ , คอู คั รอบุ าสกิ า กลายเปน นางขชุ ชตุ ตราที่ ความระเริง, ความสนุก, ความชนื่ มื่น เปน เอตทคั คะดว ย กบั เวฬกุ ณั ฏกนี นั ท- นัมมทา ช่อื แมนํ้าสายสาํ คญั ในภาคกลาง มารดา ทมี่ ไิ ดเ ปน เอตทคั คะ (สว นอตุ ตรา ของอินเดีย ไหลไปคลายจะเคียงคูกับ นนั ทมารดา เปน เอตทคั คะ แตไ มไ ดเ ปน เทือกเขาวินธยะ ถือวาเปนเสนแบง ตลุ า หรอื อคั รอบุ าสกิ า) ทเ่ี ปน เชน นอ้ี าจ ระหวางอุตราบถ (ดินแดนแถบเหนือ) เปน เพราะวา เรอ่ื งราวของนนั ทมารดาทงั้ กับทักขณิ าบถ (ดินแดนแถบใต) ของ สองนาม ซงึ่ กระจายอยใู นทตี่ า งๆ ขาด ชมพทู วีป, บดั นเ้ี รยี กวา Narmada แต ขอมูลท่ีจะเปนจุดประสานใหเกิดความ บางทเี รยี ก Narbada หรือ Nerbudda ชดั เจน, นอกจากนนั้ เมอ่ื อา นขอ ความใน ชาวฮินดูถือวาเปนแมน้ําศักดิ์สิทธิ์ท่ีสุด คมั ภรี พ ทุ ธวงส ทกี่ ลา วถงึ คอู คั รอบุ าสกิ า รองจากแมน าํ้ คงคา, แมน าํ้ นมั มทายาว วา “นนทฺ มาตา จ อตุ ตฺ รา อคคฺ า เหสสฺ น-ฺ ประมาณ ๑,๓๐๐ กม. ไหลจากทศิ ตะวนั ตปุ ฏ ิกา” (ฉบบั อกั ษรพมา มแี หง หนงึ่ วา ออกเฉียงเหนือไปทางตะวันตกเฉียงใต “อตุ ตฺ รา นนทฺ มาตา จ อคคฺ า เหสสฺ นตฺ -ุ ออกทะเลทใี่ ตเ มืองทา ภารกุ ัจฉะ (บดั นี้ ปฏ ิกา” เลยทเี ดยี ว) บางทา นกอ็ าจจะยง่ิ เรยี ก Bharuch) สอู า ว Khambhat งง อาจจะเขาใจไปวา พระบาลีในท่ีน้ี (Cambay กเ็ รยี ก), อรรถกถาเลา วา เมอ่ื หมายถึงนางอุตตรานันทมารดา แตท่ี คร้ังที่พระพุทธเจาเสด็จไปสุนาปรันตรัฐ จรงิ ไมใช เพราะในทนี่ ้ีทา นกลา วถงึ สอง ตามคําอาราธนาของพระปุณณะผูเปน บุคคล คือ อตุ ตราเปน บคุ คลหนงึ่ ไดแ ก ชาวแควนน้ันแลว ระหวางทางเสด็จ ขุชชุตตรา และนันทมารดาเปนอีกคน กลับ ถึงแมน้าํ นัมมทา ไดแ สดงธรรม หน่งึ ไดแ กเ วฬุกณั ฏกนี นั ทมารดา (ใน โปรดนมั มทานาคราช ซ่งึ ไดทูลขอของที่ คัมภรี อ ปทานแหง หนง่ึ , ข.ุ อป.๓๓/๗๙/๑๑๗ ระลึกไวบูชา จึงทรงประทับรอยพระ กลา วถงึ ขอ ความอยา งเดยี วกนั แตระบุ บาทไวท่ีรมิ ฝงแมน ้ํานมั มทาน้ัน อันถือ ไวช ัดกวา นีว้ า “ขชุ ฺชตุ ฺตรา นนฺทมาตา กันมาวาเปนพระพุทธบาทแหงแรก; ดู อคฺคา เหสสฺ นตฺ ปุ าสกิ า”); ดู อุตตรา, ทกั ขณิ าบถ, อตุ ราบถ, ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ

นัย ๑๕๗ นานาภัณฑะ นยั อบุ าย, อาการ, วธิ ี, ขอ สําคญั , เคา องั คตุ ตรนกิ าย ๒–๓ แหง นางเรด็ ช่ือขนมชนิดหน่งึ ทําเปนแผน ความ, เคาเงอ่ื น, แงค วามหมาย นยั นา ดวงตา กลมโรยน้ําตาล พจนานุกรมเขียน นาค งใู หญในนยิ าย; ชาง; ผูประเสรฐิ ; นางเล็ด ใชเ ปนคาํ เรียกคนทกี่ าํ ลงั จะบวชดว ย นาถ ทพ่ี ง่ึ , ผูเปนทพี่ ง่ึ นาคเสน พระอรหนั ตเถระผโู ตว าทะชนะ นาถกรณธรรม ธรรมทําท่ีพ่งึ , ธรรม พระยามลิ นิ ท กษตั รยิ แ หง สาคลประเทศ สรา งทีพ่ ง่ึ , คณุ ธรรมทที่ าํ ใหพ่ึงตนได มี ดังมคี าํ โตต อบปญ หามาในคมั ภรี ม ลิ นิ ท- ๑๐ อยา งคือ ๑. ศลี มคี วามประพฤตดิ ี ปญ หา ทานเกดิ หลงั พทุ ธกาลประมาณ ๒. พาหสุ จั จะ ไดเ ลา เรยี นสดบั ฟง มาก ๔๐๐ ป ทหี่ มบู า นกชงั คละในหมิ วนั ต- ๓. กัลยาณมิตตตา มีมิตรดงี าม ๔. ประเทศ เปนบุตรของพราหมณช่ือ โสวจัสสตา เปน คนวางาย ฟงเหตุผล โสณตุ ตระ ทา นเปน ผชู าํ นาญในพระเวท ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา เอาใจใสกิจธรุ ะ และตอ มาไดอ ปุ สมบท โดยมพี ระโรหณะ ของเพ่อื นรวมหมคู ณะ ๖. ธัมมกามตา เปนพระอุปชฌาย; ดู มิลินท, มิลนิ ท- เปนผูใครธรรม ๗. วิรยิ ะ ขยนั หมัน่ ปญ หา เพียร ๘. สนั ตฏุ ฐี มีความสนั โดษ ๙. นาคาวโลก การเหลียวมองอยางพญา สติ มสี ติ ๑๐. ปญญา มีปญญาเขา ใจส่ิง ชาง, มองอยางชางเหลียวหลัง คือ ทง้ั หลายตามความเปนจรงิ เหลียวดูโดยหันกายกลับมาทั้งหมด นานาธาตุญาณ ปรีชาหย่ังรูธาตุตางๆ เปน กิริยาของพระพุทธเจา ตามเรื่องใน คอื รจู กั แยกสมมตอิ อกเปน ขนั ธ อายตนะ พุทธประวตั ิ ครัง้ ทท่ี อดพระเนตรเมือง ธาตุตา งๆ (ขอ ๔ ในทศพลญาณ) เวสาลีเปนปจฉิมทัศน กอนเสด็จไป นานาธมิ ตุ ตกิ ญาณ ปรชี าหยง่ั รอู ธั ยาศยั ปรนิ พิ พานที่เมอื งกสุ ินารา; เปนชอื่ พระ ของสตั ว ทโ่ี นม เอยี ง เชอื่ ถอื สนใจ พอใจ พุทธรูปปางหนง่ึ ซ่งึ ทํากิรยิ าอยา งนนั้ ; ดู ตางๆ กนั (ขอ ๕ ในทศพลญาณ) พทุ ธปรนิ พิ พาน นานานิกาย นกิ ายตางๆ คอื หมแู หง สงฆ นาคิตะ พระเถระมหาสาวกองคหนึ่ง ตางหมูตางคณะ เคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองค มี นานาภัณฑะ ทรัพยตางกันคอื หลายส่ิง, พระสูตรท่ีพระพุทธเจาตรัสแกท านเกย่ี ว ภัณฑะตางๆ, สิ่งของตางชนิดตาง กับเนกขัมมสุข ปรากฏอยูในคัมภีร ประเภท

นานาสงั วาส ๑๕๘ นาลกะ นานาสงั วาส มีธรรมเปนเครื่องอยูรว ม นามธรรม สภาวะที่นอมไปหาอารมณ, (คืออุโบสถและสังฆกรรมเปนตน) ท่ี ใจและอารมณที่เกดิ กบั ใจ คือ จติ และ ตา งกนั , สงฆผ ูไมร ว มสังวาส คอื ไม เจตสิก, สิ่งของท่ไี มม รี ูป คือรูไมไ ดทาง รว มอุโบสถและสังฆกรรมดว ยกนั เรียก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แตร ไู ดทางใจ; ดู วา เปน นานาสังวาสของกนั และกนั เหตุ นาม; คูกบั รปู ธรรม ท่ีทําใหนานาสงั วาสมี ๒ คือ ภกิ ษุทาํ ตน นามรูป นามธรรม และรูปธรรม ใหเ ปน นานาสงั วาสเอง เชน อยูในนกิ าย นามธรรม หมายถึง สิง่ ที่ไมม รี ปู คอื รู หน่ึงไปขอเขานิกายอื่น หรือแตกจาก ไมไดทาง ตา หู จมูก ลิน้ กาย แตรไู ด พวกเพราะเหตุวิวาทาธิกรณอยางหน่ึง ดว ยใจ ไดแกเ วทนา สญั ญา สงั ขาร อีกอยางหนึ่งถูกสงฆพรอมกันยกออก วิญญาณ รปู ธรรม หมายถงึ ส่ิงท่มี รี ูป จากสังวาส สง่ิ ท่ีเปนรปู ไดแกรปู ขนั ธท้งั หมด นาบ,ี นบี ศาสดาผปู ระกาศศาสนาอสิ ลาม นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกําหนด ทําหนาที่แทนพระผูเปนเจา, ผูเทศนา, แยกนามรปู , ญาณหยงั่ รวู าสงิ่ ทั้งหลาย ผูประกาศขาว ชาวมุสลิมถือวาพระ เปนแตเพียงนามและรูป และกําหนด มะหะหมัดเปน นาบีองคส ุดทาย จาํ แนกไดว าสงิ่ ใดเปน รปู สิ่งใดเปน นาม นาม ธรรมทร่ี ูจักกันดวยชือ่ กําหนดรู (ขอ ๑ ในญาณ ๑๖) ดวยใจเปน เรือ่ งของจติ ใจ, สิ่งท่ีไมม รี ูป นามรูปปจจัยปริคคหญาณ ญาณ ราง ไมใ ชรปู แตน อมมาเปน อารมณของ กาํ หนดจบั ปจ จยั แหง นามรปู , ญาณหยงั่ จติ ได 1. ในทที่ วั่ ไปหมายถงึ อรปู ขนั ธ ๔ รทู กี่ าํ หนดจบั ไดซ ง่ึ ปจ จยั แหง นามและรปู คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ โดยอาการที่เปนไปตามหลักปฏิจจ- 2. บางแหง หมายถงึ อรปู ขันธ ๔ นั้นและ สมปุ บาท เปน ตน (ขอ ๒ ในญาณ ๑๖) นพิ พาน (รวมทั้งโลกตุ ตรธรรมอน่ื ๆ) 3. เรยี กกันส้นั ๆ วา ปรคิ คหญาณ บางแหงเชนในปฏิจจสมปุ บาท บางกรณี นารายณ ช่อื เรียกพระวิษณุ ซึ่งเปน พระ หมายเฉพาะเจตสกิ ธรรมทง้ั หลาย; เทยี บ รปู เจา องคหนึง่ ของศาสนาพราหมณ นามกาย “กองแหงนามธรรม” หมายถึง นารี ผูหญงิ , นาง เจตสกิ ท้งั หลาย; เทยี บ รูปกาย นาลกะ 1. หลานชายของอสิตดาบส นามขนั ธ ขนั ธท ี่เปนฝายนามธรรม มี ๔ ออกบวชตามคาํ แนะนาํ ของลุง และไป คือ เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ บําเพ็ญสมณธรรมรอการตรัสรูของพระ

นาลนั ทะ ๑๕๙ นาลนั ทา พุทธเจาอยูในปาหิมพานต ครั้นพระ กษัตริยราชวงศคุปตะพระองคหน่ึงพระ นามวาศกั ราทติ ยหรือ กุมารคุปตะที่ ๑ พุทธเจาตรัสรูแลว ไดมาทูลถามเร่ือง ซึ่งครองราชยประมาณ พ.ศ. ๙๕๘– ๙๙๘ ไดท รงสรา งวดั เปน สถานศกึ ษาขนึ้ โมไนยปฏิปทา และกลับไปบําเพ็ญ แหงหน่ึงที่เมืองนาลันทา และกษัตริย พระองคต อ ๆ มาในราชวงศน ก้ี ็ไดสราง สมณธรรมในปาหิมพานต ไดบรรลุ วดั อน่ื ๆ เพิ่มข้ึนในโอกาสตางๆ จนมถี งึ ๖ วดั อยูในบริเวณใกลเ คยี งกนั ในที่ อรหัตแลว ดาํ รงอายอุ ยูอีก ๗ เดอื น ก็ สุดไดมีการสรางกําแพงใหญอันเดียว ลอ มรอบ ทาํ ใหว ัดทงั้ ๖ รวมเขา ดว ยกนั ปรินิพพานในปา หิมพานตน ้นั เอง; ทาน เปน หนง่ึ เดยี ว เรยี กวา นาลนั ทามหาวหิ าร และไดกลายเปนศูนยกลางการศึกษาท่ี จัดเปนมหาสาวกองคหนึ่งในอสีติ- ยิ่งใหญ แหงสาํ คัญย่ิง ที่นักประวัติ- ศาสตรส มัยปจจุบัน เรียกกันท่ัวไปวา มหาสาวกดว ย 2. ชอื่ หมูบานอนั เปนที่ มหาวิทยาลัยนาลันทา พระเจาหรรษ- วรรธนะ มหาราชพระองคหน่ึงของ เกิดของพระสารีบุตร ไมไกลจากเมือง อินเดีย ซึ่งครองราชยระหวาง พ.ศ. ราชคฤห บางทีเรียก นาลันทคาม ๑๑๔๙–๑๑๙๑ กไ็ ดท รงเปน องคอ ปุ ภมั ภก นาลนั ทะ ชอ่ื หมูบ า นแหงหนงึ่ ไมไ กลจาก ของมหาวิทยาลัยนาลันทา หลวงจีน กรงุ ราชคฤห เปน บา นเกดิ ของพระสาร-ี เห้ียนจงั (พระถังซัมจงั๋ ) ซึ่งจารกิ มาสืบ บตุ ร; ดู นาลกะ 2. พระศาสนาในอนิ เดียในรัชกาลนี้ ในชวง นาลนั ทา ชอ่ื เมอื งเลก็ ๆ เมอื งหนง่ึ ในแควน พ.ศ. ๑๑๗๒–๑๑๘๗ ไดมาศึกษาท่ี มคธ อยูหางจากพระนครราชคฤห นาลนั ทามหาวิหาร และไดเขียนบันทกึ บรรยายอาคารสถานท่ีท่ีใหญโตและ ประมาณ ๑ โยชน ณ เมอื งนี้ มีสวน ศิลปกรรมทีว่ ิจิตรงดงาม ทานเลา ถึงกิจ- มะมวงชื่อ ปาวารกิ ัมพวนั (สวนมะมว ง กรรมทางการศึกษาที่รุงเรืองยิ่ง นัก ของปาวาริกเศรษฐี) ซ่ึงพระพุทธเจา ศกึ ษามปี ระมาณ ๑๐,๐๐๐ คน และมี อาจารยป ระมาณ ๑,๕๐๐ คน พระมหา- เสด็จมาประทับแรมหลายคร้ัง คัมภีร ฝา ยมหายานกลา ววา พระสารบี ตุ ร อคั ร- สาวก เกดิ ทเ่ี มอื งนาลนั ทา แตค มั ภรี ฝ า ย บาลีเรียกถิ่นเกิดของพระสารีบุตรวา หมูบา นนาลกะ หรือ นาลนั ทคาม ภายหลงั พทุ ธกาล ชอ่ื เมอื งนาลนั ทา เงยี บหายไประยะหนงึ่ หลวงจนี ฟาเหยี น ซึ่งจาริกมาสืบศาสนาในชมพูทวีป ราว พ.ศ. ๙๔๔–๙๕๓ บนั ทกึ ไวว า ไดพ บเพยี ง สถปู องคห นง่ึ ทน่ี าลนั ทา แตต อ มาไมน าน

นาลันทา ๑๖๐ นาลันทา กษัตริยพระราชทานหมูบ าน ๒๐๐ หมู พุทธศาสนาแบบตันตระ ท่ีทําใหเกิด โดยรอบถวายโดยทรงยกภาษีท่ีเก็บได ความยอหยอนและหลงเพลินทาง ใหเ ปนคาบํารงุ มหาวทิ ยาลัย ผูเ ลา เรยี น กามารมณ และทําใหพุทธศาสนากลม ไมต อ งเสียคา ใชจ ายใดๆ ทงั้ สน้ิ วิชาท่ี กลืนกับศาสนาฮินดูมากข้ึน เปนเหตุ สอนมที ัง้ ปรชั ญา โยคะ ศพั ทศาสตร สําคัญอยางหนึ่งแหงความเส่ือมโทรม เวชชศาสตร ตรรกศาสตร นิตศิ าสตร ของพระพุทธศาสนา คร้ันถึงประมาณ นิรุกติศาสตร ตลอดจนโหราศาสตร พ.ศ. ๑๗๔๒ กองทพั มสุ ลมิ เตริ กสไ ดย ก ไสยศาสตร และตนั ตระ แตที่เดนชัดก็ มารุกรานรบชนะกษัตริยแหงชมพูทวีป คือนาลันทาเปนศูนยกลางการศึกษา ฝายเหนือ และเขา ครอบครองดินแดน พุทธศาสนาฝายมหายาน และเพราะ โดยลําดับ กองทัพมุสลิมเติรกสไดเ ผา ความทมี่ ีกิตตศิ พั ทเ ล่อื งลือมาก จงึ มีนกั ผลาญทําลายวัดและปูชนียสถานใน ศึกษาเดินทางมาจากตางประเทศหลาย พทุ ธศาสนาลงแทบทงั้ หมด และสงั หารผู แหง เชน จนี ญป่ี นุ เอเชยี กลาง สมุ าตรา ทไี่ มย อมเปลย่ี นศาสนา นาลนั ทามหาวหิ าร ชวา ทเิ บต และมองโกเลยี เปน ตน หอ กถ็ กู เผาผลาญทาํ ลายลงในชว งระยะเวลา สมุดของนาลันทาใหญโตมากและมีชื่อ น้นั ดว ย มีบนั ทึกของนักประวัตศิ าสตร เสียงไปทั่วโลก เม่ือคราวที่ถูกเผา ชาวมสุ ลมิ เลา วา ทน่ี าลนั ทา พระภกิ ษถุ กู ทําลายในสมัยตอมา มีบันทึกกลาววา สังหารแทบหมดสิ้น และมหาวิทยาลยั หอสมุดน้ีไหมอยูเปนเวลาหลายเดือน นาลันทาก็ไดถึงความพินาศสูญสิ้นลง ห ล ว ง จี น อ้ี จิ ง ซึ่ ง จ า ริ ก ม า ใ น ร ะ ย ะ แตบ ดั นน้ั มา ซากของนาลนั ทาทถ่ี กู ขดุ พบ ประมาณ พ.ศ. ๑๒๒๓ กไ็ ดม าศกึ ษาที่ ในภายหลงั ยงั ประกาศยนื ยนั อยา งชดั เจน นาลันทาและไดเขียนบันทึกเลาไวอีก ถงึ ความยง่ิ ใหญของนาลันทาในอดีต นาลันทารุงเรืองสืบมาชานานจนถึงสมัย ราชวงศปาละ (พ.ศ. ๑๓๐๓–๑๖๘๕) ในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ กษัตริยราชวงศน้ีก็ทรงอุปถัมภมหา- อินเดียไดเร่ิมตื่นตัว และตระหนักถึง วิหารแหงนี้ เชนเดียวกับมหาวิทยาลัย ความสําคัญของพระพุทธศาสนาที่ไดมี อื่นๆ โดยเฉพาะโอทันตปุระที่ไดทรง บทบาทอันย่ิงใหญในการสรางสรรค สถาปนาขน้ึ ใหม อยางไรกด็ ี ในระยะ อารยธรรมของชมพูทวีป รวมทั้งบท หลังๆ นาลนั ทาไดหันไปสนใจการศกึ ษา บาทของมหาวิทยาลัยนาลันทาน้ีดวย และใน พ.ศ. ๒๔๙๔ กไ็ ดมกี ารจดั ตั้ง

นาสนะ ๑๖๑ นคิ คหติ สถาบนั บาลนี าลนั ทา ชอ่ื วา นวนาลนั ทา- นกิ รสัตว หมสู ตั ว มหาวิหาร (นาลนั ทามหาวิหารแหงใหม) นกิ าย พวก, หมวด, หมู, ชมุ นมุ , กอง; ขึ้น เพ่ือแสดงความรําลึกคุณและยก 1. หมวดตอนใหญแ หง พทุ ธพจนใ นพระ ยอ งเกียรตแิ หงพระพุทธศาสนา พรอม สุตตันตปฎก ซึ่งแยกเปน ทีฆนิกาย ทั้งเพื่อเปนอนุสรณแกนาลันทามหา- มัชฌมิ นิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตร- นิกาย และขทุ ทกนิกาย; ดู ไตรปฎก 2. วหิ าร มหาวทิ ยาลยั ทย่ี งิ่ ใหญใ นอดตี สมยั นาสนะ ดู นาสนา คณะนักบวช หรอื ศาสนิกชนในศาสนา นาสนา ใหฉบิ หายเสีย คอื การลงโทษ เดยี วกนั ทแ่ี ยกเปนพวกๆ; ในพระพุทธ- บุคคลผูไ มส มควรถอื เพศ มี ๓ อยาง ศาสนามีนิกายใหญท่ีเรียกไดวาเปน คอื ๑. ลงิ คนาสนา ใหฉิบหายจากเพศ นกิ ายพุทธศาสนาในปจ จบุ นั ๒ นิกาย คอื ใหส กึ เสยี ๒. ทณั ฑกรรมนาสนา ให คือ มหายาน หรือนิกายฝายเหนือ ฉบิ หายดว ยการลงโทษ ๓. สงั วาสนาสนา (อุตรนกิ าย) พวกหนึง่ และ เถรวาท ใหฉ บิ หายจากสงั วาส หรือนกิ ายฝา ยใต (ทักษิณนิกาย) ทีบ่ าง นาสิก จมกู ทีเรียก หนี ยาน พวกหนงึ่ ; ในประเทศ นาสิกัฏานชะ อักษรเกิดในจมูก คอื ไทยปจจุบนั พระภิกษสุ งฆในพระพทุ ธ นิคคหิต (-)ํ , พยัญชนะทีส่ ดุ วรรคทัง้ ๕ ศาสนาฝายเถรวาทดวยกัน แยกออก คือ ง  ณ น ม นอกจากเกดิ ในฐาน เปน ๒ นิกาย แตเ ปน เพียงนิกายสงฆ ของตนๆ แลว กเ็ กิดในจมกู ดว ย (คอื มิใชถึงกับเปนนิกายพุทธศาสนา (คือ เกิดใน ๒ ฐาน) แยกกันเฉพาะในหมูนักบวช) ไดแก นาฬี ชือ่ มาตราตวง แปลวา “ทะนาน”; ดู มหานกิ าย และ ธรรมยตุ กิ นกิ าย ซ่งึ บางที มาตรา เรยี กเพียงเปนคณะวา คณะมหานกิ าย นํ้าทพิ ย นํ้าทที่ ําผดู ่ืมใหไ มตาย หมายถงึ และ คณะธรรมยตุ นิคคหะ ดู นิคหะ นาํ้ อมฤต หรือน้ําสุรามฤต น้าํ อมฤต ดู อมฤต นิคคหกรรม ดู นิคหกรรม นกิ เขปบท บทต้ัง, คาํ หรอื ขอ ความ ทีย่ อ นิคคหวธิ ี วธิ ีขม , วิธีทาํ นคิ หะ, วิธลี ง จับเอาสาระมาวางตั้งลงเปนแมบท เพ่ือ โทษ; ดู นิคหกรรม จะขยายความ หรอื แจกแจงอธบิ ายตอ ไป นิคคหติ อักขระทวี่ า กดเสียง, อักขระท่ี นิกร หม,ู พวก วาหบุ ปากกดกรณไวไ มป ลอ ย มีรูปเปน

นคิ ม ๑๖๒ นทิ านกถา จุดกลวง เชน สงฆฺ ํ อปุ สมฺปท;ํ บดั นี้ สังฆกรรมประเภทลงโทษผูทําความผิด นิยมเขียน นิคหติ ทานแสดงไว ๖ อยา งคอื ตัชชนียกรรม นคิ ม 1. หมบู านใหญ, เมืองขนาดเล็ก, นยิ สกรรม ปพ พาชนยี กรรม ปฏสิ ารณยี - กรรม อกุ เขปนยี กรรม และ ตสั สปาปย - ยา นการคา 2. คําลงทายของเร่ือง นคิ มกถา 1. การสนทนาถกเถียงกันเรือ่ ง สกิ ากรรม นิคม วานิคมน้ันนิคมนี้เปนอยางน้ัน นคิ ณั ฐนาฏบตุ ร ดู นคิ รนถนาฏบตุ ร อยา งน้ี แบบเพอ เจอ , เปนตริ จั ฉานกถา นโิ ครธ ตนไทร อยางหนง่ึ ; ดู ติรัจฉานกถา 2. ถอ ยแถลง นิโครธาราม อารามที่พระญาติสราง ทายเรอื่ ง, ขอความลงทา ย, คาํ กลา วปด ถวายพระพทุ ธเจา อยใู กลก รงุ กบลิ พสั ดุ เร่อื ง, ในภาษาบาลี นยิ มเขยี น “นคิ มน- นิจศีล ศีลที่พึงรักษาเปนประจํา, ศีล กถา”, คกู บั นทิ านกถา คอื คํากลา วนํา ประจําตัวของอุบาสกอุบาสิกา ไดแก หรือคาํ แถลงเรม่ิ เรือ่ ง ศลี ๕ นิคมพจน, นิคมวจนะ คาํ ลงทา ย, คํา นติ ย เท่ียง, ย่งั ยนื , เสมอ, เปน ประจาํ กลา วปด เรอื่ ง, ในภาษาบาลี นยิ มเขียน นติ ยกาล ตลอดเวลา, ตลอดกาลเปน นติ ย “นคิ มนวจน”, คกู บั นทิ านพจน หรือ นิตยภัต อาหารหรือคา อาหารที่ถวายแก นทิ านวจนะ คือคาํ นํา หรือคาํ เรม่ิ เรอื่ ง ภิกษุสามเณรเปน ประจํา นคิ มสีมา แดนนคิ ม, อพทั ธสมี าทส่ี งฆ นทิ เทส คําแสดง, คาํ จําแนกอธบิ าย, คาํ กาํ หนดดวยเขตนิคมทีต่ นอาศัยอยู ไขความ (พจนานกุ รม เขียน นเิ ทศ) นิครนถ นกั บวชนอกพระพุทธศาสนาที่ นิทัศนะ, นทิ สั น ตวั อยา งที่นาํ มาแสดง เปน สาวกของนิครนถนาฏบุตร, นักบวช ใหเ ห็น, อทุ าหรณ (พจนานกุ รม เขยี น ในศาสนาเชน นทิ ัศน) นิครนถนาฏบตุ ร คณาจารยเ จาลัทธคิ น นทิ าน เหตุ, ท่ีมา, ตนเร่ือง, ความเปนมา หนึง่ ในจํานวนครูทง้ั ๖ มีคนนับถอื มาก แตเ ดมิ หรือเรอ่ื งเดมิ ทเ่ี ปนมา เชน ในคํา มชี อ่ื เรยี กหลายอยา ง เชน วรรธมานบา ง วา “ใหทาน ที่เปนสุขนิทานของสรรพ พระมหาวรี ะบา ง เปน ตน ศาสนาเชน ซึง่ สตั ว” สุขนิทาน คอื เหตุแหง ความสขุ ; ยังมอี ยใู นประเทศอินเดีย ในภาษาไทย ความหมายไดเพี้ยนไป นคิ หะ การขม, การกําราบ, การลงโทษ กลายเปนวา เร่อื งทีเ่ ลากนั มา นคิ หกรรม การลงโทษตามพระธรรมวนิ ยั , นิทานกถา คําแถลงความเปนมา, ขอ

นทิ านพจน, นิทานวจนะ ๑๖๓ นพิ ทั ธทุกข ความตน เรอื่ ง, ความนาํ , บทนาํ กัน หรือหนายในมรรยาทของกันและ นิทานพจน, นิทานวจนะ คําชี้แจง กัน อยา งนีไ้ มจัดเปนนพิ พิทา; ความ ความเปนมา, ถอยคาํ ตน เร่ือง, คาํ เรม่ิ เบ่อื หนา ยในกองทกุ ข เรอื่ ง, คํานํา นพิ พทิ าญาณ ความรูท ท่ี ําใหเ บอ่ื หนาย นิบาต ศพั ทภาษาบาลที วี่ างไวร ะหวา งขอ ในกองทุกข, ปรีชาหย่ังเห็นสงั ขารดวย ความในประโยคเพ่ือเช่ือมขอความหรือ ความหนาย; ดู วปิ สสนาญาณ เสริมความ เปนอัพยยศพั ทอ ยางหนง่ึ นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ ปรชี าคาํ นงึ ถงึ นิปปริยาย ไมอ อมคอ ม, ตรง, ส้ินเชิง สงั ขารดวยความหนาย เพราะมีแตโ ทษ (พจนานกุ รมเขียน นปิ ริยาย) มากมาย แตไมใชทําลายตนเองเพราะ นปิ ปรยิ ายสทุ ธิ ความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชงิ เบื่อสงั ขาร เรียกสนั้ วา นิพพทิ าญาณ ไมมีการละและการบําเพ็ญอีก ไดแก นิพัทธทาน ทานเนอื งนติ ย, ทานทถี่ วาย ความบรสิ ุทธข์ิ องพระอรหันต; ตรงขา มกับ หรือใหตอเน่อื งเปนประจาํ ปริยายสทุ ธิ; ดู สทุ ธิ นิพัทธทุกข ทุกขเนืองนิตย, ทุกข นปิ ผันนรปู ดูที่ รูป ๒๘ ประจาํ , ทกุ ขเ ปน เจา เรือน ไดแ ก หนาว นปิ จ จการ การเคารพ, การออนนอม, รอน หิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปวด การยอมเช่ือฟง ปสสาวะ นพิ พาน การดบั กเิ ลสและกองทกุ ข เปน นิพัทธุปฏฐาก อุปฏฐากประจาํ ตาม โลกตุ ตรธรรม และเปนจุดหมายสูงสดุ ปกติ หมายถึงพระอุปฏ ฐากประจาํ พระ ในพระพุทธศาสนา; ดู นพิ พานธาตุ องคของพระพุทธเจา คือพระอานนท นพิ พานธาตุ ภาวะแหง นพิ พาน; นพิ พาน ซึ่งไดรับหนาท่ีเปนพระอุปฏฐากประจํา หรอื นพิ พานธาตุ ๒ คอื ๑. สอปุ าทเิ สส- พระองคตงั้ แตพรรษาท่ี ๒๐ แหงพทุ ธ- นพิ พาน ดบั กิเลสมีเบญจขนั ธเหลอื ๒. กิจ เปนตนไปจนสิ้นพุทธกาล, กอน อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไมมี พรรษาที่ ๒๐ นน้ั พระเถระมากหลาย เบญจขนั ธเหลอื รูป รวมท้ังพระอานนท และพระ นิพพิทา “ความหนาย” หมายถงึ ความ มหาสาวกทงั้ ปวง ไดเ ปล่ียนกนั ทาํ หนาท่ี หนายท่ีเกิดขึ้นจากปญญาพิจารณาเห็น เปนพระอุปฏฐากของพระพุทธเจา ดัง ความจริง ถาหญิงชายอยูกินกันเกิด บางทานที่ปรากฏนามเพราะมีเหตุการณ หนายกนั เพราะความประพฤติไมด ตี อ เก่ียวขอ ง เทาท่พี บ คือ พระนาคสมาละ

นิมนต ๑๖๔ นิรยบาล พระอปุ วาณะ พระสุนักขัตตะ พระจนุ ทะ เปนของบริสุทธ์ิ จะนึกขยายหรือยอ พระนันทะ พระสาคตะ พระโพธิ พระ สวนก็ไดตามปรารถนา 4. สิ่งท่ีพระ เมฆยิ ะ; ดู อานนท, อุปฏฐาก, พร ๘ โพธิสัตวทอดพระเนตรเห็นกอนเสด็จ นมิ นต เชญิ หมายถงึ เชญิ พระ เชญิ นกั บวช ออกบรรพชา ๔ อยาง; ดู เทวทูต นิมมานรดี สวรรคชั้นที่ ๕ มีทาว นมิ ติ ขาด (ในคําวา “สีมามีนมิ ติ ขาด”) สุนิมมิตเทวราชปกครอง เทวดาชั้นน้ี สีมามนี ิมิตแนวเดียว ชกั แนวบรรจบไม ปรารถนาสิง่ หนึ่งสิง่ ใด นิรมติ เอาได ถึงกัน; ตามนัยอรรถกถาวา ทกั นิมิตไม นิมนั ตนะ การนมิ นต หรืออาหารท่ีไดใ น ครบรอบถงึ จดุ เดมิ ท่ีเริม่ ตน ทีน่ มิ นต หมายเอาการนมิ นตข องทายก นิมิตต ดู นิมติ นมิ ติ ตโ อภาส ตรัสขอ ความเปน เชงิ เปด เพ่อื ไปฉนั ทีบ่ า นเรือนของเขา นิมติ 1. เครื่องหมาย ไดแกว ัตถุอนั เปน โอกาสใหอาราธนาเพ่ือดํารงพระชนมอยู เครือ่ งหมายแหง สมี า, วัตถทุ คี่ วรใชเปน ตอไป นมิ ิตมี ๘ อยาง ภูเขา ศิลา ปาไม ตนไม นิยม กําหนด, ชอบ, นับถอื จอมปลวก หนทาง แมนา้ํ นํ้า 2. (ในคํา นยิ ยานิกะ เปนเครอ่ื งนําสตั วอ อกไปจาก วาทาํ นิมติ ) ทําอาการเปน เชิงชวนใหเขา กองทุกข ถวาย, ขอเขาโดยวธิ ใี หร โู ดยนยั ไมขอ นยิ สกรรม กรรมอนั สงฆพ ึงทาํ ใหเ ปน ผู ตรงๆ 3. เครื่องหมายสําหรับใหจิต ไรย ศ ไดแกการถอดยศ, เปนชอ่ื นคิ ห- กําหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพท่ี กรรมที่สงฆทําแกภิกษุผูมีอาบัติมาก เปนอารมณกรรมฐานมี ๓ คือ ๑. หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ ดวยการคลุก บริกรรมนิมิต นมิ ิตแหง บริกรรม หรอื คลีอันไมสมควร โดยปรับใหถือนิสัย นิมติ ตระเตรียม ไดแก สิง่ ท่ีเพง หรือ ใหมอ ีก; ดู นิคหกรรม กําหนดนึกเปนอารมณกรรมฐาน ๒. นิยาย เร่ืองที่เลากันมา, นิทานท่ีเลา อคุ คหนมิ ติ นิมติ ท่ีใจเรยี น หรอื นมิ ติ ตดิ เปรยี บเทียบเพอ่ื ไดใ จความเปนสุภาษิต ตาตดิ ใจ ไดแก สง่ิ ทเี่ พง หรือนึกน้นั เอง นิรยะ นรก, ภพที่ไมม คี วามเจรญิ , ภูมิที่ ที่แมนในใจ จนหลับตามองเห็น ๓. เสวยทุกขของคนผูทําบาปตายแลวไป ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิต เกิด (ขอ ๑ ในทคุ ติ ๓, ขอ ๑ ในอบาย เทยี บเคียง ไดแ ก อุคคหนมิ ติ นั้น เจน ๔) ดู นรก, คติ ใจจนกลายเปนภาพท่ีเกิดจากสัญญา นริ ยบาล ผูค ุมนรก, ผูล งโทษสัตวน รก

นิรฺวาณมฺ ๑๖๕ นสิ สัคคิยกัณฑ นิรฺวาณมฺ ความดับ เปนคาํ สันสกฤต คือ กําหนดหมายการดับตณั หาอนั เปน เทียบกับภาษาบาลี ก็ไดแกศัพทวา อริยผลวา เปนธรรมละเอยี ดประณตี ; ดู นพิ พาน นัน่ เอง ปจ จบุ นั นยิ มใชเ พียงวา สญั ญา นิรวาณ กับ นิรวาณะ น้ิวพระสคุ ต, น้ิวสุคต ดู มาตรา นิรันดร ติดตอกัน, เสมอมา, ไมมี นวิ รณ, นิวรณธรรม ธรรมที่กั้นจิตไม ระหวางคัน่ , ไมเ วนวาง ใหบ รรลคุ วามด,ี สิง่ ท่ขี ดั ขวางจิตไมให นิรันตราย ปราศจากอันตราย กา วหนาในคณุ ธรรม, อกุศลธรรมทก่ี ด นริ ามิษ, นิรามสิ หาเหยอื่ มิได, ไมมี ทบั จติ ปดกนั้ ปญ ญา มี ๕ อยาง คอื ๑. อามิสคือเหยื่อที่เปนเครื่องลอใจ, ไม กามฉนั ท พอใจใฝกามคณุ ๒. พยาบาท แคนเคอื งคดิ รา ยเขา ๓. ถีนมทิ ธะ หดหู ตอ งอาศยั วตั ถุ นริ ามิสสขุ สุขไมเ จืออามิส, สุขไมตอง ซึมเซา ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุงซาน อาศยั เครื่องลอหรือกามคณุ ไดแก สุขที่ รําคาญใจ ๕. วิจิกิจฉา ลังเลสงสัย อิงเนกขมั มะ; ดู สขุ นิวรณูปกิเลส โทษเครอ่ื งเศราหมองคือ นิรุตติปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน นิวรณ ภาษา คอื เขา ใจภาษา รูจักใชถอยคําให นิเวศน ท่อี ยู คนเขาใจ ตลอดทั้งรูภาษาตา งประเทศ นิสสยาจารย อาจารยผ ใู หน ิสัย นิสสรณวมิ ุตติ ความหลดุ พน ดวยออก (ขอ ๓ ในปฏสิ ัมภทิ า ๔) นิโรธ ความดบั ทกุ ข คอื ดบั ตณั หาไดส ิน้ ไปเสยี หรือสลดั ออกได เปน การพน ท่ี เชิง, ภาวะปลอดทุกขเ พราะไมมที ุกขท ี่ ยั่งยืนตลอดไป ไดแกนิพพาน, เปน จะเกิดขน้ึ ได หมายถึงพระนิพพาน โลกตุ ตรวิมตุ ติ (ขอ ๕ ในวิมุตติ ๕) นิโรธสมาบัติ การเขา นิโรธ คอื ดบั นสิ สคั คยิ ะ, นิสสัคคยี  “อนั ใหตองสละ สัญญาความจําไดหมายรู และเวทนา สงิ่ ของ” เปน คณุ บทแหง อาบัตปิ าจติ ตยี  การเสวยอารมณ เรียกเต็มวา เขา หมวดทม่ี ีการตอ งสละสงิ่ ของ ซง่ึ เรียกวา สัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันตและ นิสสัคคิยปาจิตตีย; “อันจะตองสละ” พระอนาคามที ีไ่ ดส มาบตั ิ ๘ แลวจึงจะ เปนคุณบทแหงส่ิงของที่จะตองสละเมื่อ เขา นโิ รธสมาบตั ไิ ด (ขอ ๙ ในอนุปพุ พ- ตองอาบตั ิปาจติ ตียห มวดน้ัน กลาวคอื วิหาร ๙) นสิ สคั คยิ วัตถุ นิโรธสญั ญา ความสาํ คัญหมายในนิโรธ นสิ สคั คยิ กัณฑ ตอน หรือ สว นอนั วา

นสิ สัคคยิ ปาจติ ตีย ๑๖๖ นิสสันท,นิสสนั ทะ ดวยอาบัตินสิ สคั คิยปาจิตตยี  อฺ ตฺรภิกฺขุสมมฺ ติยา นสิ ฺสคฺคยิ , อิมาห นิสสคั คิยปาจติ ตยี  อาบัติปาจิตตยี  อัน อายสฺมโต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ”, ถา ๒ ผนื วา ทําใหตองสละสิ่งของ ภิกษุตองอาบัติ “ทฺวิจีวร”ํ ถา ท้ัง ๓ ผืน วา “ติจวี ร”ํ (คาํ ประเภทน้ี ตองสละสิ่งของท่ีทําใหตอง คนื ผา ให และคําเปลยี่ นท้งั หลาย พึง อาบตั กิ อ น จงึ จะปลงอาบตั ติ ก, มที งั้ หมด ทราบเหมอื นในสกิ ขาบทแรก) โกสยิ วรรค สกิ ขาบทที่ ๘ (รบั ทอง ๓๐ สกิ ขาบท จดั เปน ๓ วรรค คือ จวี ร- เงนิ - ตอ งสละในสงฆ) วา “อหํ ภนเฺ ต วรรค (มี ๑๐ สกิ ขาบท) โกสยิ วรรค (มี รูปยํ ปฏิคคฺ เหส,ึ อทิ ํ เม นิสฺสคคฺ ยิ , อิมาห สงฆฺ สสฺ นสิ ฺสชชฺ าม.ิ ” ๑๐ สกิ ขาบท) และปต ตวรรค (มี ๑๐ โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๙ (แลก สิกขาบท) เปลย่ี นดว ยรปู ย ะ - ตองสละในสงฆ) วา ตวั อยา งคาํ เสยี สละ ในบางสกิ ขาบท: “อห ภนเฺ ต นานปฺปการก รปู ย สโวหาร จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๑ (ทรงอตเิ รก- สมาปชฺชึ, อิทํ เม นิสฺสคฺคิยํ, อิมาห จวี รเกนิ ๑๐ วนั ) ของอยใู นหตั ถบาส วา สงฆฺ สฺส นิสฺสชชฺ ามิ.” “อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ทสาหาติกฺกนตฺ  นสิ สฺ คคฺ ยิ ,ํ อมิ าหํ อายสมฺ โต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ” ปต ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ (เกบ็ เภสชั (ถา ผสู ละแกพ รรษากวา ผรู บั วา “อาวุโส” ไวฉ นั ลว ง ๗ วนั ) วา “อิทํ เม ภนฺเต เภสชชฺ ํ สตตฺ าหาติกฺกนฺตํ นิสฺสคคฺ ยิ ํ, แทน “ภนฺเต”), ถาสละ ๒ ผืนขน้ึ ไป วา อิมาห อายสฺมโต นิสสฺ ชฺชามิ.” คําคนื ให “อิมานิ เม ภนเฺ ต จีวรานิ ทสาหา- วา “อิมํ เภสชชฺ ํ อายสฺมโต ทมฺม”ิ (เภสชั ตกิ ฺกนตฺ านิ นิสฺสคฺคิยาน,ิ อิมานาห อายสมฺ โต นสิ สฺ ชชฺ ามิ.”; ถาของอยู นอกหัตถบาส วา “เอต”ํ แทน “อิทํ” ทไ่ี ดค นื มา มใิ หฉ นั พงึ ใชใ นกจิ อนื่ ) และ “เอตาหํ” แทน “อิมาห”ํ , วา “เอตานิ” นิสสคั คิยวัตถุ ของท่เี ปนนสิ สัคคยี , ของ แทน “อิมาน”ิ และ “เอตานาหํ” แทน ทตี่ องสละ, ของทท่ี ําใหภ กิ ษตุ อ งอาบัติ “อิมานาห”ํ ; คําคืนให (ถาหลายผนื หรือ นิสสัคคิยปาจิตตยี  จาํ ตองสละกอนจงึ อยนู อกหัตถบาส พึงเปล่ียนโดยนัยขา ง จะปลงอาบตั ิตก ตน ) วา “อิมํ จีวร อายสฺมโต ทมฺม”ิ นสิ สคั คีย ดู นิสสัคคยิ ะ จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๒ (อยปู ราศ นิสสันท, นสิ สนั ทะ “สภาวะที่หล่งั ไหล จากไตรจวี รลว งราตร)ี ของอยใู นหตั ถบาส ออก”, สงิ่ ทีเ่ กดิ ตามมา, ส่งิ ท่ีออกมาเปน วา “อิท เม ภนเฺ ต จวี รํ รตตฺ วิ ปิ ฺปวุตถฺ ํ ผล, ผลสืบเนอ่ื ง หรือผลตอตาม เชน

นสิ สัย ๑๖๗ นิสสารณา แสงสวางและควัน เปนนิสสันทของไฟ, มีชีวติ ท่ไี มดีแลว ครอบครวั ญาติพ่นี อง มูตรและคถู เปน ตน เปน นสิ สันทข องสิ่ง ของเขาเกิดความเดือดรอนเปนอยูยาก ทไี่ ดด่มื กนิ , อปุ าทายรปู เปนนสิ สันทของ ลําบาก เปนนิสสนั ท; นิสสันท หมายถงึ มหาภตู รูป, โทสะเปน นิสสันทข องโลภะ ผลสืบเนื่องหรือผลพวงพลอยที่ดีหรือ (เพราะโลภะถูกขดั โทสะจงึ เกดิ ), อรูป- รายก็ได ตางจากอานิสงสซึ่งหมายถึง ฌานเปน นสิ สนั ทข องกสณิ , นโิ รธสมาบตั ิ ผลไดพเิ ศษในฝา ยดีอยางเดียว; ดู ผล, เปน นิสสนั ทของสมถะและวิปสสนา เทยี บ วบิ าก, อานสิ งส นิสสันท ใชกบั ผลดหี รอื ผลรา ยก็ได นิสสัย ปจจัยเคร่ืองอาศัยของบรรพชิต เชน เดียวกบั วบิ าก แตว บิ ากหมายถึงผล ๔ อยา ง คอื ๑. ปณ ฑยิ าโลปโภชนะ ของกรรมที่เกิดขึ้นแกกระแสสืบตอแหง โภชนะท่ีไดมาดวยกําลังปลีแขง คือ ชวี ติ ของผทู าํ กรรมนนั้ (คอื แกช วี ติ สนั ตติ เทีย่ วบิณฑบาต รวมทั้งภตั ตาหารท่เี ปน หรอื แกเ บญจขนั ธ) สว นนสิ สนั ทน ้ี ใชก ับ อตเิ รกลาภ ๑๐ อยา ง ๒. บังสุกุลจวี ร ผลของกรรมก็ได ใชกับผลของธรรม ผา นุงหม ทท่ี ําจากของเขาทิง้ รวมทง้ั ผา ที่ และเรื่องราวทั้งหลายไดท ัว่ ไป ถาใชก บั เปน อตเิ รกลาภ ๖ อยาง ๓. รุกขมลู - ผลของกรรม นสิ สันทหมายถึงผลพว ง เสนาสนะ ทอี่ ยอู าศัยคือโคนไม รวมท้งั พลอย ผลขา งเคยี ง หรอื ผลโดยออ ม ซงึ่ ที่อยูอาศัยที่เปนอติเรกลาภ ๕ อยาง สืบเนื่องตอออกไปจากวิบาก (คือ ๔. ปตู มิ ตุ ตเภสัช ยานา้ํ มตู รเนา รวมทั้ง อิฏฐารมณหรืออนิฏฐารมณท่ีเกิดพวง เภสัชทเี่ ปน อติเรกลาภ ๕ อยา ง (เรยี ก มาขางนอก อันจะกอใหเกิดความสุข สนั้ ๆ วา จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ หรือความทกุ ข) เชน ทาํ กรรมดีแลว เกดิ คิลานเภสชั ); คําบาลีวา “นสิ สฺ ย” ใน ผลดตี อ ชีวติ เปนวิบาก จากนน้ั พลอยมี ภาษาไทย เขียน นสิ สยั หรือ นสิ ยั ก็ ลาภมีความสะดวกสบายเกิดตามมา ได; ดู ปจจยั 2., อนศุ าสน (๘) เปน นสิ สันท หรอื ทํากรรมช่ัวแลว ชวี ติ นิสสารณา การไลอ อก, การขบั ออกจาก สืบตอแปรเปล่ียนไปในทางที่ไมนา หมู เชน นาสนะสามเณรผกู ลาวตูพ ระผู ปรารถนา เปน วิบาก และเกิดความโศก มีพระภาคเจา ออกไปเสยี จากหมู (อยใู น เศรา เสยี ใจ เปนนิสสนั ท และนสิ สันท อปโลกนกมั ม) ประกาศถอนธรรมกถกึ น้ันหมายถึงผลท่ีพลอยเกิดแกคนอื่น ผูไมแ ตกฉานในธรรมในอรรถ คัดคา น ดว ย เชน บคุ คลเสวยวบิ ากของกรรมชั่ว คดีโดยหาหลักฐานมิได ออกเสียจาก

นสิ ยั ๑๖๘ นสิ ัยมุตตกะ การระงับอธกิ รณ (อยใู นญตั ติกัมม); คู วา “สาห”ุ (ดลี ะ) “ลห”ุ (เบาใจดอก) กับ โอสารณา “โอปายกิ ”ํ (ชอบแกอ บุ าย) “ปฏริ ปู ” (สม นิสัย 1. ท่ีพึ่ง, ทอ่ี าศัย เชน ขอนสิ ยั ใน ควรอย)ู “ปาสาทเิ กน สมปฺ าเทหิ” (จง การอุปสมบท (คือกลาวคําขอรองตอ ใหถึงพรอมดวยอาการอันนาเล่ือมใส อุปชฌายในพธิ อี ปุ สมบท ขอใหทา นเปน เถิด) คาํ ใดคาํ หน่งึ หรอื ใหรูเ ขา ใจดวย ที่พ่ึงท่ีอาศัยของตน ทาํ หนาท่ีปกครอง อาการทางกายก็ตาม ก็เปนอันไดถือ สง่ั สอนใหก ารศกึ ษาอบรมตอ ไป), อาจารย อุปชฌายแลว แตนิยมกันมาใหผูขอ ผูใหน สิ ัย เรียกวา นสิ สยาจารย (อาจารย กลาวรับคําของทานแตละคําวา “สาธุ ผูรับท่ีจะเปนที่พ่ึงท่ีอาศัย ทําหนา ท่ปี ก ภนเฺ ต” หรือ “สมฺปฏจิ ฉฺ าม”ิ แลว กลาว ครองแนะนาํ ในการศกึ ษาอบรม); คําบาลี ตอ ไปอกี วา “อชชฺ ตคฺเคทานิ เถโร มยหฺ ํ วา “นิสฺสย” ในภาษาไทย เขยี น นสิ สัย ภาโร, อหมปฺ  เถรสสฺ ภาโร” (วา ๓ หน) หรอื นสิ ัย กไ็ ด (= ตงั้ แตว นั น้เี ปน ตนไป พระเถระเปน การขอนสิ ยั (ขออยใู นปกครองหรอื ภาระของขา พเจา แมขา พเจาก็เปน ภาระ ขอใหเ ปนท่พี ึ่งในการศึกษา) สาํ เรจ็ ดวย ของพระเถระ) การถืออุปชฌาย (ขอใหเปนอุปชฌาย) ภิกษุนวกะถาไมไดอยูในปกครอง นน่ั เอง ในพธิ อี ปุ สมบทอยา งทป่ี ฏบิ ตั กิ นั ของอุปชฌายดวยเหตอุ ยา งใดอยา งหนึ่ง อยู การขอนสิ ยั ถอื อปุ ช ฌายเ ปน บพุ กจิ ตอน ทท่ี ําใหนสิ ัยระงบั เชน อปุ ชฌายไปอยู หน่ึงของการอุปสมบท กอนจะทําการ เสยี ทอ่ี น่ื ตอ งถอื ภกิ ษอุ นื่ ทม่ี คี ณุ สมบตั ิ สอนซอ มถามตอบอนั ตรายิกธรรม ผขู อ สมควร เปน อาจารย และอาศัยทานแทน อุปสมบทเปลงวาจาขอนิสัยถอื อปุ ชฌาย วิธีถืออาจารยก็เหมือนกับวิธีถือ ดงั น้ี (เฉพาะขอ ความทพ่ี ิมพตัวหนาเทา อุปชฌาย เปล่ยี นแตค ําขอวา “อาจรโิ ย เม นนั้ เปน วนิ ยั บญั ญตั ิ นอกนน้ั ทานเสริม ภนเฺ ต โหห,ิ อายสมฺ โต นสิ สฺ าย วจฺฉาม”ิ เขามาเพื่อใหหนักแนน): “อหํ ภนฺเต (ขอทานจงเปนอาจารยของขาพเจา นสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ ทตุ ยิ มปฺ  อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ขาพเจา จกั อยูอ าศยั ทาน) ยาจาม,ิ ตตยิ มปฺ  อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ 2. ปจ จยั เครอื่ งอาศยั ของบรรพชติ ๔ อุปชฌฺ าโย เม ภนฺเต โหหิ, อปุ ชฌฺ าโย เม อยา ง ดู นิสสยั 3. ความประพฤตทิ เ่ี คย ภนเฺ ต โหห,ิ อปุ ชฌฺ าโย เม ภนเฺ ต โหหิ” ชิน เชน ทําจนเปน นสิ ยั ลําดับน้ันผูจะเปนอุปชฌายะกลาวตอบ นิสัยมุตตกะ ภิกษุผูพนการถือนิสัย

นิสยั สมี า ๑๖๙ เนา หมายถึงภกิ ษุมีพรรษาพน ๕ แลว มี ๑๔๐,๗๙๗ ตารางกิโลเมตร มีพลเมือง ความรธู รรมวินัยพอรักษาตวั ไดแลว ไม ประมาณ ๑๓,๔๒๐,๐๐๐ คน (พ.ศ. ตองถือนิสัยในอุปชฌาย หรืออาจารย ๒๕๒๑); หนังสือเกาเขยี น เนปอล ตอ ไป; เรยี กงายวา นิสัยมตุ ก เนยยะ ผพู อแนะนําได คอื พอจะฝกสอน นิสัยสีมา คามสีมาเปนที่อาศัยของ อบรมใหเขา ใจธรรมไดต อ ไป (ขอ ๓ ใน พัทธสีมา บุคคล ๔ เหลา) นิสิต ศิษยผูเลาเรียนอยูในสํานัก, ผู เนยยัตถะ ดู อัตถะ 2. เนรเทศ ขบั ไลอ อกจากถ่นิ เดิม, ใหออก อาศยั , ผถู อื นิสยั นิสิตสีมา พทั ธสมี าอาศัยคามสีมา ไปเสียจากประเทศ นิสที นะ ผาปูน่งั สาํ หรบั ภิกษุ เนรญั ชรา ชอื่ แมน้ําสาํ คัญ พระพุทธเจา นตี ตั ถะ ดู อัตถะ 2. ไดตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เนกขมั มะ การออกจากกาม, การออก ที่ภายใตตนโพธ์ิ ซึ่งอยูริมแมน้ําสายนี้ บวช, ความปลอดโปรง จากส่ิงลอเรา เยา และกอนหนานั้นในวันตรัสรูทรงลอย ยวน (พจนานกุ รมเขยี น เนกขัม); (ขอ ถาดขาวมธุปายาสท่ีนางสุชาดาถวายใน ๓ ในบารมี ๑๐) แมน าํ้ สายนี้ เนกขัมมวิตก ความตรึกท่ีจะออกจาก เนวสัญญานาสัญญายตนะ ภาวะที่มี กาม หรือตรึกท่จี ะออกบวช, ความดําริ สัญญากไ็ มใช ไมม สี ัญญากไ็ มใช เปน หรอื ความคิดท่ปี ลอดจากความโลภ (ขอ ชอ่ื อรูปฌาน หรืออรูปภพที่ ๔ ๓ ในกุศลวติ ก ๓) เนวสัญญีนาสัญญี มีสัญญากไ็ มใช ไม เนตติ แบบแผน, เยยี่ งอยา ง, ขนบธรรม- มสี ญั ญาก็ไมใ ช เนียม (พจนานกุ รม เขยี น เนติ) เนสัชชกิ ังคะ องคแหง ภิกษุผูถ อื การน่งั เนตร ตา, ดวงตา เปน วตั ร คอื ถอื น่ัง ยืน เดนิ เทาน้นั เนปาล ช่ือประเทศอันเคยเปนที่ต้ังของ ไมน อน (ขอ ๑๓ ในธุดงค ๑๓) แควน ศากยะบางสว น รวมทั้งลุมพนิ อี ัน เนา เอาผา ทาบกนั เขา เอาเข็มเย็บเปน ชวง เปน ทป่ี ระสตู ขิ องเจา ชายสทิ ธตั ถะ ตง้ั อยู ยาวๆ พอกนั ผา เคลอ่ื นจากกัน ครั้นเย็บ ทางทิศเหนือของประเทศอินเดียและ แลว กเ็ ลาะเนานัน้ ออกเสีย ทางใตของประเทศจีน มีเน้ือที่

บทภาชนะ ๑๗๐ บรรยาย บ บทภาชนะ บทไขความ, บทขยายความ บรรพ ขอทว่ี า ดวยการกาํ หนดลมหายใจ บทภาชนีย บทท่ีตั้งไวเพื่อขยายความ, เขา ออก เปนตน บรรพชา การบวช (แปลวา “เวน ความชวั่ บททตี่ อ งอธบิ าย บรม อยา งยง่ิ , ท่ีสดุ ทุกอยาง”) หมายถึง การบวชท่ัวไป, บรมธาตุ กระดูกพระพุทธเจา ก า ร บ ว ช อั น เ ป น บุ ร พ ป ร ะ โ ย ค แ ห ง บรมพุทโธบาย อุบายคือวิธีของพระ อุปสมบท, การบวชเปนสามเณร (เดิมที พุทธเจา ผยู อดเยยี่ ม จากศัพทวา บรม เดยี ว คาํ วา บรรพชา หมายความวา (ปรม) + พทุ ธ (พทุ ธฺ ) + อบุ าย (อปุ าย) บวชเปนภิกษุ เชน เสด็จออกบรรพชา บรมศาสดา ศาสดาที่ยอดเยีย่ ม, พระผู อคั รสาวกบรรพชา เปน ตน ในสมัยตอ เปน ครูท่ีสงู สุด, พระบรมครู หมายถึง มาจนถึงปจจุบันน้ี คําวา บรรพชา พระพทุ ธเจา หมายถึง บวชเปน สามเณร ถาบวชเปน บรมสารีรกิ ธาตุ ดู สารีริกธาตุ ภกิ ษุ ใชคาํ วา อุปสมบท โดยเฉพาะเมือ่ บรมสุข สขุ อยางยง่ิ ไดแก พระนพิ พาน ใชค วบกันวา บรรพชาอุปสมบท) บรมอัฏฐิ กระดูกกษัตรยิ  บรรพชิต ผบู วช, นกั บวช เชน ภิกษุ บรรจถรณ ผา ปนู อน, เครือ่ งลาด (คือ สมณะ ดาบส ฤษี เปนตน แตเ ฉพาะใน ปจจัตถรณะ) พระพุทธศาสนา ไดแก ภิกษุและ บรรจบ ครบ, ถว น, จดกัน, ประสมเขา, สามเณร (และภิกษุณี สิกขมานา ตดิ ตอ กนั , สมทบ สามเณร)ี มักใชค ูกบั คฤหัสถ (ในภาษา บรรทม นอน ไทยปจ จบุ นั ใหใ ชห มายเฉพาะนกั บวชใน บรรเทา ทาํ ใหสงบ, คลาย, เบาลง, ทําให พระพุทธศาสนา ไมวาในฝายเถรวาท เบาลง, ทเุ ลา หรือฝา ยมหายาน) บรรพ ขอ, เลม, หมวด, ตอน, กณั ฑ บรรพต ภูเขา ดังคําวา กายานุปส สนา พจิ ารณาเห็น บรรยาย การสอน, การแสดง, การชี้ ซงึ่ กาย โดยบรรพ ๑๔ ขอ มี อานาปาน- แจง; นัยโดยออม, อยาง, ทาง

บรรลุ ๑๗๑ บรขิ าร บรรลุ ถงึ , สําเรจ็ เข็ม ประคดเอว ผากรองน้ํา (ปริส- บรกิ รรม 1. (ในคาํ วา “ถาผากฐนิ นัน้ มี สาวนะ, หรอื กระบอกกรองนา้ํ คอื ธมกรก, บริกรรมสําเร็จดีอยู”) การตระเตรียม, ธมกรณ, ธมั มกรก หรอื ธมั มกรณ) ดงั กลาวในอรรถกถา (เชน วนิ ย.อ.๑/๒๘๔) วา การทาํ ความเรียบรอยเบอื้ งตน เชน ซัก ตจิ วี รฺจปตโฺ ตจ วาสีสจู ิจพนธฺ น ยอ ม กะ ตดั เยบ็ เสรจ็ แลว 2. สถานที่ ปรสิ สฺ าวเนนฏเเต ยตุ ตฺ โยคสสฺ ภกิ ขฺ โุ น. ตามปกติ อรรถกถากลาวถึงบริขาร ๘ เขาลาดปูน ปูไม ขัดเงา หรอื ชักเงา โบก เมื่อเลาเร่ืองของทานผูบรรลุธรรมเปนพระ ปจ เจกพทุ ธเจา ซึง่ มบี ริขาร ๘ เกดิ ข้นึ เอง ปนู ทาสี เขียนสี แตง อยา งอืน่ เรียกวา พรอมกบั การหายไปของเพศคฤหัสถ และ ที่ทาํ บรกิ รรม หามภกิ ษุถมน้าํ ลาย หรือ เรือ่ งของพระสาวกในยุคตนพุทธกาล ซึง่ มี นงั่ พงิ 3. การนวดฟน ประคบ หรอื ถู บริขาร ๘ เกดิ ขนึ้ เอง เม่ือไดรบั อุปสมบท เปนเอหิภิกขุ นอกจากนี้ ทานอธิบาย ตัว 4. การกระทําขัน้ ตนในการเจรญิ ลักษณะของภิกษุผูสันโดษวา ภิกษุผู สันโดษท่ีพระพุทธเจาทรงมุงหมายในพระ สมถกรรมฐานคือ กําหนดใจโดยเพง สตู ร (เชน สามัญญผลสตู ร, ที.ส.ี ๙/๙๑/๖๑) ซ่ึง เบาตัวจะไปไหนเมื่อใดก็ไดตามปรารถนา วัตถุ หรือนึกถงึ อารมณทก่ี าํ หนดนัน้ วา ดังนกที่มีแตปกจะบินไปไหนเม่ือใดไดดัง ใจน้นั คอื ทานทีม่ ีบรขิ าร ๘ สว นผทู ีม่ ี ซํา้ ๆ อยใู นใจอยางใดอยา งหน่ึง เพื่อทาํ บริขาร ๙ (เพิ่มผาปลู าด หรอื ลูกกญุ แจ) มี บริขาร ๑๐ (เพ่ิมผา นสิ ที นะ หรอื แผน หนงั ) ใจใหสงบ 5. เลือนมาเปนความหมายใน มบี รขิ าร ๑๑ (เพ่ิมไมเ ทา หรอื ทะนานนาํ้ มนั ) หรอื มบี ริขาร ๑๒ (เพ่มิ รม หรือรอง ภาษาไทย หมายถงึ ทองบน , เสกเปา เทา ) ก็เรยี กวามกั นอย สนั โดษ แตม ใิ ชผู บริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นตนหรือข้ัน ท่ที รงมุงหมายในพระสูตรดังกลา วนั้น ตระเตรยี ม คือ กําหนดใจ โดยเพง ดู รายการบรขิ ารในพระไตรปฎ ก ทม่ี ชี ื่อ และจาํ นวนใกลเ คยี งกบั บริขาร ๘ น้ี พบ วัตถุ หรือนึกวาพุทธคุณ ธรรมคุณ ในสิกขาบทที่ ๑๐ แหงสุราปานวรรค สังฆคณุ เปน ตน ซํา้ ๆ อยูในใจ บรขิ าร ของใชสวนตวั ของพระ, เคร่ืองใช สอยประจําตัวของภิกษุ; บริขารทจี่ าํ เปน แทจ ริง คือ บาตร และ[ไตร]จวี ร ซ่ึงตอ ง มพี รอ มกอ นจงึ จะอปุ สมบทได แตไ ดย ดึ ถอื กนั สบื มาใหม ี บรขิ าร ๘ (อัฐบริขาร) คือ ไตรจวี ร (สังฆาฏิ อุตราสงค อนั ตร- วาสก) บาตร มดี เลก็ (วาส,ี อรรถกถามกั อธบิ ายวา เปนมีดตดั เหลาไมสฟี น แตเรา นิยมพูดกันมาวามีดโกนหรือมีดตดั เลบ็ )

บริขารโจล ๑๗๒ บรโิ ภคเจดีย ปาจิตตีย (ภิกษุซอนบริขารของภิกษุอ่ืน) อปรันตกชนบท (สนั นษิ ฐานวา เปน ดนิ แดน ไดแก บาตร [ไตร]จีวร ผา นสิ ที นะ กลอง แถบรฐั Gujarat ในอนิ เดยี ถงึ Sind ใน เข็ม ประคดเอว (นับได ๗ ขาดมดี และ ปากสี ถานปจจุบัน) เคร่ืองกรองน้ํา แตมีนิสีทนะเพิ่มเขามา), บริขารโจล ทอนผา ใชเปน บรขิ าร เชน ในคราวจะมสี งั คายนาครงั้ ที่ ๒ พวกภกิ ษุ ผากรองน้าํ ถงุ บาตร ยาม ผา หอของ วัชชีบุตรไดเที่ยวหาพวกดวยการจัด บริจาค สละให, เสยี สละ, สละออกไป เตรียมบริขารเปนอันมากไปถวายพระ จากตัว, การสละใหหมดความเห็นแก เถระบางรปู (วนิ ย.๗/๖๔๓/๔๑๐) ไดแ ก บาตร ตัว หรืออยางมิใหมีความเห็นแกตน จีวร นิสีทนะ กลองเขม็ ประคดเอว ผา โดยมุงเพ่ือประโยชนของผูอ่ืน เพ่ือ กรองนํ้า และธมกรก (ครบ ๘ แตมี ความดงี าม หรือเพ่ือการกาวสงู ขนึ้ ไปใน นสิ ีทนะมาแทนมีด) ธรรม เชน ธนบรจิ าค (การสละทรพั ย) คัมภีรอปทาน (ขุ.อป.๓๓/๒๐๘/๕๔๙) ชีวิตบริจาค (การสละชีวิต) กามสุข- นอกจากบรรยายเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ บรจิ าค (การสละกามสขุ ) อกุศลบรจิ าค ท่ไี ดร ับการอญั เชิญไปบรรจุไว ณ สถูป- (การสละละอกุศล); บัดนี้ มักหมาย เจดยี สถานตา งๆ แลว ยังไดก ลาวถงึ เฉพาะการรวมใหหรือการสละเพ่ือการ บรขิ ารของพระพุทธเจา ซงึ่ ประดษิ ฐานอยู บุญอยางเปน พิธี ในท่ีตางๆ (หลายแหงไมอาจกําหนดไดวา บริจารกิ า หญงิ รับใช ในบดั นค้ี อื ทีใ่ ด) คอื บาตร ไมเทา และ บรภิ ณั ฑ ดู สตั ตบรภิ ัณฑ จีวรของพระผมู ีพระภาค อยูในวชิรานคร บริโภค กิน, ใชสอย, เสพ; ในประโยควา สบงอยูในกุลฆรนคร (เมืองหน่ึงใน “ภิกษุใดรูอยู บรโิ ภคน้าํ มตี วั สตั ว เปน แควนอวันตี) บรรจถรณอยูเมืองกบิล ปาจิตตยิ ะ” หมายถึง ด่ืม อาบ และใช ธมกรกและประคดเอวอยูนครปาฏลิบุตร สอยอยางอืน่ ผาสรงอยูที่เมืองจัมปา ผากาสาวะอยูใน บริโภคเจดยี  เจดยี ค ือสิ่งของหรือสถาน พรหมโลก ผาโพกอยูที่ดาวดึงส ผา ท่ีท่ีพระพุทธเจาเคยทรงใชสอยเกี่ยว นิสีทนะอยูในแควนอวันตี ผาลาดอยูใน ขอ ง ไดแ ก ตมุ พสตปู อังคารสตูป และ เทวรฐั ไมสไี ฟอยูใ นมถิ ิลานคร ผากรอง สงั เวชนยี สถานทัง้ ๔ ตลอดถึงบาตร นํ้าอยูในวิเทหรัฐ มีดและกลองเข็มอยูที่ จวี ร เตียง ตั่ง กฎุ ี วิหาร ท่พี ระพทุ ธเจา เมืองอินทปต ถ บรขิ ารเหลือจากน้นั อยใู น ทรงใชส อย

บรวิ าร ๑๗๓ บอกศกั ราช บรวิ าร 1. ผูแวดลอ ม, ผูหอ มลอมตดิ บอกวัตร บอกขอปฏิบัติในพระพุทธ- ตาม, ผรู บั ใช 2. สง่ิ แวดลอ ม, ของสมทบ, ศาสนา เมื่อทําวัตรเยน็ เสรจ็ แลว ภกิ ษุ ส่งิ ประกอบรว ม เชน ผา บริวาร บรวิ าร รปู เดียวเปนผบู อก อาจใชว ิธีหมนุ เวยี น กฐิน เปนตน 3. ชอ่ื คัมภรี พระวินัยปฎก กนั ไปทลี ะรปู ขอ ความทบี่ อก วา เปน ภาษา หมวดสุดทายใน ๕ หมวดคือ อาทกิ ัมม บาลี กลา วถงึ ปฏิบตั ิบูชา คาถา โอวาท- ปาจิตตีย มหาวรรค จลุ วรรค บริวาร; ปาฏิโมกข คณุ านิสงสแหง ขันตธิ รรม คํา เรยี กตามรปู เดมิ ในบาลวี า ปริวาร ก็มี เตือนใหใสใจในธรรมในเมื่อไดมีโอกาส บรษิ ทั หมเู หลา, ท่ีประชุม, คนรวมกัน, เกิดมาเปนมนุษยพบพระพุทธศาสนา กลุม ชน ความไมประมาท เรงเพียรพยายามใน บรษิ ทั ๔ ชุมชนชาวพทุ ธ ๔ พวก คือ ทางธรรมเพื่อนอมไปสูพระนิพพาน ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อบุ าสิกา และพน จากทคุ ติ แลวกลา วถึงพทุ ธกจิ บริสุทธ, บรสิ ุทธิ์ สะอาด, หมดจด, ประจําวนั ๕ ประการ ลาํ ดบั กาลในพระ ปราศจากมลทิน, ผุดผอง; ครบถว น, พุทธประวัติ สิ่งแทนพระองคภายหลัง ถกู ตองตามระเบยี บอยา งบรบิ ูรณ พุทธปรินพิ พาน ชอ่ื วัน เดือน ป และ บริหาร ดูแล, รกั ษา, ปกครอง ดาวนักษัตร ๒๗ จบลงดว ยคาํ เช้ือเชิญ บริหารคณะ ปกครองหมู, ดูแลหมู ใหต้ังอยูในพระพุทธโอวาท บําเพ็ญ บวงสรวง บูชา (ใชแ กผสี าง เทวดา) ปฏิบัติบูชา เพื่อบรรลุสมบัติทั้งที่เปน บวงแหง มาร ไดแ ก วัตถุกาม คอื รูป โลกยี ะและโลกตุ ตระ; ธรรมเนียมน้ี บัด เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ทน่ี า รักใคร นเ้ี ลือนลางไปแลว นา พอใจ บอกศักราช เปนธรรมเนียมของพระ บวช การเวน ทว่ั คือเวน ความชว่ั ทกุ อยา ง สงฆไ ทยแตโ บราณ มีการบอกกาลเวลา (ออกมาจากคาํ วา ป + วช) หมายถงึ การ เรยี กวา บอกศกั ราช ตอนทายสวดมนต ถอื เพศเปนนักพรตทว่ั ไป; บวชพระ คอื และกอ นจะแสดงพระธรรมเทศนา (หลงั บวชเปน ภกิ ษุ เรยี กวา อุปสมบท, บวช จากใหศีลจบแลว) วาท้ังภาษาบาลแี ละ เณรคอื บวชเปน สามเณร เรยี กวา บรรพชา คาํ แปลเปนภาษาไทย การบอกอยางเกา บอก ในประโยควา “ภกิ ษใุ ด ไมไ ดรับ บอกป ฤดู เดอื น วัน ทง้ั ท่ีเปนปจ จบุ ัน บอกกอน กา วลว งธรณีเขา ไป” ไมไ ดร ับ อดีต และอนาคต คอื บอกวา ลว งไปแลว บอก คือยงั ไมไ ดรบั อนญุ าต เทา ใด และยงั จะมมี าอกี เทา ใด จงึ จะครบ

บงั คม ๑๗๔ บงั สุกุลตาย-บงั สุกุลเปน จํานวนอายุพระพทุ ธศาสนา ๕ พนั ป สมเด็จพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมา แตป ระมาณ พ.ศ. ๒๔๘๔ ทร่ี ฐั บาล สัมพุทธเจาน้ัน มีนัยอันจะพึงกําหนด ประกาศใชวนั ท่ี ๑ มกราคม เปนวันข้ึน นับ ดว ยประการฉะนี้. ปใหม เปน ตน มา ไดมีวธิ บี อกศักราช อยา งใหมข ้ึนใชแ ทน บอกเฉพาะป พ.ศ. [วนั เรยี งลาํ ดับจากวันอาทติ ยไป เปน เดอื น วันท่ี และวันในปจ จบุ นั ทง้ั บาลี คาํ บาลีวา : รวิ จนทฺ ภมุ มฺ วธุ ครุ สกุ กฺ และคําแปล บดั น้ไี มนิยมกันแลว คง โสร; เดือน เรยี งลําดบั จากเมษายนไป เปนเพราะมีปฏิทินและเคร่ืองบอกเวลา เปน คําบาลีวา: จติ รฺ วสิ าข เชฏ อยา งอ่ืนใชกันด่ืนท่ัวไป อาสาฬหฺ สาวน โปฏ ปท (หรอื ภททฺ - ปท) อสสฺ ยชุ กตตฺ กิ มคิ สริ ปสุ สฺ มาฆ ในทน่ี ี้ แสดงคาํ บอกศกั ราชอยา งใหม ผคฺคุณ; สวนวันที่ และเลขป พึง ไวเปนตัวอยาง (เม่อื ใกล พ.ศ.๒๕๐๐ ประกอบตามหลักบาลไี วยากรณ] ยังถือปฏบิ ัติกันอย)ู ดงั นี้ บงั คม ไหว อทิ านิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺ บังสุกลุ ผาบังสกุ ลุ หรือ บงั สกุ ุลจีวร; ใน มา-สมพฺ ทุ ธฺ สสฺ , ปรนิ ิพพฺ านโต ปฏ ภาษาไทยปจจุบัน มักใชเปนคํากริยา ฐาย, เอกสํวจฺฉรตุ ตฺ รปจฺ สตาธิกา หมายถึงการที่พระสงฆชักเอาผาซึ่งเขา น,ิ เทวฺ สวํ จฺฉรสหสฺสานิ อตกิ ฺกนฺ ทอดวางไวท ศ่ี พ ทห่ี บี ศพ หรอื ทสี่ ายโยง ตานิ, ปจฺจุปฺ-ปนฺนกาลวเสน จิตฺร ศพ โดยกลาวขอความท่ีเรียกวา คํา มาสสฺส เตรสมํ ทนิ ,ํ วารวเสน ปน พิจารณาผา บงั สุกลุ ดงั นี้ รววิ าโร โหต.ิ เอวํ ตสฺส ภควโต ปริ อนิจฺจา วต สงขฺ ารา อปุ ฺปาทวยธมฺมโิ น นพิ พฺ านา, สาสนายกุ าล-คณนา สลฺล อุปฺปชชฺ ิตวฺ า นริ ุชฺฌนฺติ เตสํ วปู สโม สโุ ข กเฺ ขตพพฺ าติ. บังสุกุลจีวร ผาท่ีเกลือกกลั้วดวยฝุน, ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล ผาท่ไี ดม าจาก กองฝุน กองหยากเย่อื ซง่ึ จําเดิมแตปรินิพพานแหงพระองค เขาท้ิงแลว ตลอดถงึ ผาหอคลุมศพทเี่ ขา สมเด็จพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมา ท้ิงไวในปาชา ไมใชผาท่ีชาวบานถวาย, สมั พทุ ธเจา น้ัน บัดน้ีลว งแลว ๒๕๐๑ ปจจุบันมักหมายถึงผาท่ีพระชักจากศพ พรรษา ปจ จบุ นั สมยั เมษายนมาส สรุ ทนิ โดยตรงกต็ าม จากสายโยงศพก็ตาม ที่ ๑๓ อาทติ ยวาร พระพทุ ธศาสนายกุ าล บังสุกลุ ตาย-บงั สกุ ุลเปน ตามประเพณี จําเดิมแตปรินิพพานแหงพระองค เก่ียวกับการศพ หลังจากเผาศพแลว

บญั ญตั ิ ๑๗๕ บณั เฑาะว เมอ่ื จะเก็บอัฐิ (เก็บในวันที่เผากไ็ ด แต อจริ ํ วตยํ กาโย ปวึ อธเิ สสสฺ ติ นยิ มเก็บตอนเชา วันรุงขึน้ ) มีการนมิ นต ฉุฑโฺ ฑอเปตวิฺาโณ นิรตถฺ ํว กลิงฺครํ พระมาบงั สุกลุ อัฐิ เรียกวา “แปรรูป” หรอื บังสุกุลตาย-บังสุกุลเปนนี้ ตอมามี “แปรธาต”ุ (พระก่รี ูปก็ได แตนิยมกนั วา การนําไปใชในการสะเดาะเคราะหดวย ๔ รปู , บางทานวา ทีจ่ รงิ ไมค วรเกนิ ๓ ทํานองจะใหมีความหมายวา ตายหรือ รูป คงจะเพอ่ื ใหส อดคลองกับกรณที ่ีมี วบิ ตั แิ ลว กใ็ หก ลบั ฟน ขนึ้ มา, อยา งไรกด็ ี การทําบุญสามหาบ ซึ่งถวายแกพระ ๓ ถาไมระวังไว แทนที่จะเปนการใชใหมี รูป) ในการแปรรูปน้ัน กอ นจะบงั สกุ ลุ ความหมายเชงิ ปริศนาธรรม ก็จะกลาย บางทีก็นิมนตพระสงฆทําน้ํามนตมา เปนการใชในแงถอื โชคลาง; ดู บังสกุ ลุ ประพรมอฐั ิ เรียกวาดบั ธาตกุ อน แลว บัญญตั ิ การต้งั ขึน้ , ขอท่ตี ั้งข้ึน, การ เจา หนา ท่ี (สัปเหรอ) จัดอัฐทิ ีเ่ ผาแลว นัน้ กาํ หนดเรียก, การเรียกชอ่ื , การวางเปน ใหรวมเปนสวนๆ ตามรูปของรางกาย กฎไว, ขอ บงั คบั หนั ศรี ษะไปทศิ ตะวนั ตก พรอมแลว บัณฑิต ผูมีปญญา, นักปราชญ, ผู ญาติจุดธูปเคารพ บอกกลา ว และเอา ดาํ เนินชีวติ ดวยปญ ญา ดอกพิกุลเงินพิกุลทองหรือสตางควาง บัณฑติ ชาติ เผาพันธบุ ัณฑิต, เหลานกั กระจายลงไปท่ัวรางของอัฐิ แลว ปราชญ, เชอ้ื นกั ปราชญ ประพรมดวยนํ้าอบน้าํ หอม จากนั้นจึง บณั ฑกุ มั พลศิลาอาสน แทน หินมสี ีดุจ ทอดผา บงั สกุ ลุ และพระสงฆก ็กลา วคํา ผา กมั พลเหลอื ง เปนที่ประทับของพระ พิจารณาวา “อนิจฺจา วต สงฺขารา” อินทรในสวรรคชนั้ ดาวดงึ ส (อรรถกถา เปน ตน อยา งท่ีวา ตามปกติทวั่ ไป เรยี ก วา สีแดง) วา บงั สุกุลตาย เสร็จแลวเจาหนาท่ีก็ บณั เฑาะก [บนั -เดาะ] กะเทย, คนไม หมุนรางอัฐิใหหันศีรษะไปทิศตะวัน ปรากฏชัดวาเปนเพศชายหรือเพศหญิง ออก และพระสงฆกลาวคําพิจารณา ไดแ ก กะเทยโดยกําเนิด ๑ ชายผถู กู เปลี่ยนเปนบงั สกุ ลุ เปน มคี วามหมาย ตอนที่เรยี กวาขนั ที ๑ ชายมรี าคะกลา วาตายแลวไปเกดิ จบแลว เมอ่ื ถวาย ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและ ดอกไมธูปเทียนแกพระสงฆเสร็จ เจา ยว่ั ยวนชายอืน่ ใหเปน เชน น้นั ๑ ภาพกเ็ ก็บอฐั ิ (เลอื กเก็บจากศีรษะลงไป บณั เฑาะว [บัน-เดาะ] 1. กลองเล็กชนดิ ปลายเทา ),คาํ พจิ ารณาบงั สกุ ลุ เปน นน้ั วา หนึ่งมีหนังสองหนาตรงกลางคอด ริม

บนั ดาล ๑๗๖ บารมี ท้ังสองใหญ พราหมณใชในพิธีตางๆ หลังเดยี ว สองหลงั สามหลงั หรอื มาก ขับโดยใชลูกตุมกระทบหนากลองท้ัง กวา นน้ั หรอื รวมบา นเหลา นนั้ เขา เปน หมู สองขา ง; 2. สีมามสี ณั ฐานดุจบัณเฑาะว ก็เรียกวา บาน คําวา คามสมี า หมายถึง คอื มลี กั ษณะทรวดทรงเหมอื นบณั เฑาะว แดนบานตามนัยหลงั น้ี บันดาล ใหเกิดมีขน้ึ หรอื ใหเปน ไปอยาง บาป ความชวั่ , ความราย, ความช่ัวราย, ใดอยางหน่ึงดวยฤทธ์ิหรือดวยแรง กรรมชวั่ , กรรมลามก, อกุศลกรรมทสี่ ง อาํ นาจ ใหถ ึงความเดือดรอ น, สภาพท่ที ําใหถ งึ บัลลงั ก ในคาํ วา “นงั่ ขัดบัลลงั ก” หรอื คติอันชวั่ , สิง่ ท่ีทาํ จติ ใหตกสทู ่ชี วั่ คือ “นัง่ คูบลั ลงั ก” คอื น่ังขัดสมาธ;ิ ความ ทําใหเลวลง ใหเส่ือมลง หมายทวั่ ไปวา แทน, พระแทน , ท่ีน่งั ผู บารมี คณุ ความดีทบ่ี ําเพญ็ อยา งยิง่ ยวด พพิ ากษาเม่ือพิจารณาคดีในศาล, สว น เพ่ือบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง, บารมีท่ี ของสถูปเจดียบางแบบ มีรูปเปนแทน พระโพธิสัตวตองบําเพ็ญใหครบ เหนือคอระฆงั บริบูรณ จึงจะบรรลโุ พธิญาณ เปน พระ บัว ๔ เหลา ดู บคุ คล ๔ จาํ พวก พุทธเจา มี ๑๐ คือ ๑.ทาน (การให การ บาตร ภาชนะทภี่ ิกษุสามเณรใชรับอาหาร เสียสละเพ่ือชวยเหลือมวลมนุษยสรรพ บิณฑบาต เปนบริขารประจําตัวคูกับ สัตว) ๒.ศีล (ความประพฤติถูกตอง สุจริต) ๓.เนกขัมมะ (ความปลีกออก ไตรจีวร ซึ่งผูจะอุปสมบทจําเปน ตอ งมี จงึ จะบวชได ดงั ที่เรยี กรวมกนั วา “ปตฺต- จากกามได ไมเห็นแกการเสพบําเรอ, จีวรํ” และจดั เปนอยา งหน่งึ ในบริขาร ๘ การออกบวช) ๔.ปญญา (ความรอบรู ของภกิ ษ,ุ บาตรทท่ี รงอนญุ าต มี ๒ อยา ง เขาถงึ ความจรงิ รจู กั คดิ พจิ ารณาแกไข (วนิ ย.๗/๓๔/๑๗) คอื บาตรเหลก็ (อโย- ปญหาและดําเนินการจัดการตางๆ ให สําเรจ็ ) ๕.วิริยะ (ความเพียรแกลว กลา ปตฺต) และบาตรดิน (มตฺติกาปตฺต, บากบน่ั ทาํ การ ไมทอดท้ิงธรุ ะหนา ท่)ี ๖. ขนั ติ (ความอดทน ควบคุมตนอยไู ดใน หมายเอาบาตรดนิ เผาซงึ่ สมุ ดําสนิท) บาตรอธิษฐาน บาตรท่ีพระพุทธเจา อนญุ าตใหภ กิ ษมุ ีไวใ ชประจาํ ตัวหน่งึ ใบ ธรรม ในเหตผุ ล และในแนวทางเพอื่ จุด บาทยุคล คแู หง บาท, พระบาททง้ั สอง หมายอนั ชอบ ไมย อมลุอํานาจกเิ ลส) ๗. สัจจะ (ความจรงิ ซื่อสัตย จริงใจ จริง (เทาสองขาง) จงั ) ๘.อธิษฐาน (ความตง้ั ใจม่นั ต้งั จดุ บาน ท่อี ยูของคนครัวเดยี วกัน มเี รือน

บารมี ๓๐ทศั ๑๗๗ บาลีประเทศ หมายไวด ีงามชัดเจนและมงุ ไปเดด็ เดี่ยว ๓๐ เรียกเปน คําศพั ทว า สมดงึ สบารมี แนวแน) ๙.เมตตา (ความรักความ (หรือสมติงสบารมี) แปลวา บารมี ปรารถนาดี คดิ เก้ือกูลหวังใหสรรพสตั ว สามสบิ ถว น หรอื บารมีครบเตม็ สามสบิ อยดู ีมคี วามสขุ ) ๑๐.อุเบกขา (ความวาง แตใ นภาษาไทย บางทีเรยี กสืบๆ กนั มา ใจเปนกลาง อยูในธรรม เรียบสงบ วา “บารมี ๓๐ ทศั ”; ดู ทศั , สมดึงส- สมํา่ เสมอ ไมเ อนเอยี ง ไมหวน่ั ไหวไป บารมี ๓๐ ทศั ดู บารมี, สมดึงส- ดวยความยินดียินรายชอบชังหรือแรง บาลี 1. “ภาษาอันรักษาไวซ ึ่งพทุ ธพจน” , เยา ยวนย่ัวยใุ ดๆ) ภาษาทใ่ี ชท รงจาํ และจารกึ รกั ษาพทุ ธพจน บารมี ๑๐ นัน้ จะบริบูรณต อเม่ือ แตเ ดมิ มา อนั เปน หลกั ในพระพทุ ธศาสนา พระโพธิสัตวบําเพ็ญแตละบารมีครบ ฝายเถรวาท ถือกันวาไดแกภาษามคธ สามข้นั หรือสามระดับ จงึ แบงบารมีเปน 2. พระพทุ ธวจนะ ซ่งึ พระสงั คตี ิกาจารย ๓ ระดับ คือ ๑.บารมี คอื คณุ ความดที ี่ รวบรวมไว คอื พระธรรมวนิ ัยทพี่ ระ บาํ เพญ็ อยางยิง่ ยวด ขนั้ ตน ๒.อปุ บารมี อรหนั ต ๕๐๐ องคประชมุ กนั รวบรวม คือคุณความดีที่บําเพ็ญอยางย่ิงยวด จัดสรรใหเปนหมวดหมูในคราวปฐม- ขัน้ จวนสูงสดุ ๓.ปรมตั ถบารมี คอื คุณ สงั คายนา และรกั ษาไวด ว ยภาษาบาลี สบื ความดีทบี่ ําเพญ็ อยา งยง่ิ ยวด ขัน้ สูงสุด ตอกันมาในรูปท่ีเรียกวาพระไตรปฎก เกณฑในการแบงระดับของบารมี อนั เปน คมั ภรี พ ระพทุ ธศาสนาตน เดิม ท่ี น้ัน มีหลายแงหลายดา น ขอยกเกณฑ เปนหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท, อยา งงา ยมาใหทราบพอเขาใจ เชน ใน พทุ ธพจน, ขอ ความทมี่ าในพระไตรปฎ ก; ขอทาน สละทรัพยภายนอกทกุ อยางได ในการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา มปี ระเพณี เพื่อประโยชนแกผูอื่น เปนทานบารมี ทป่ี ฏบิ ตั กิ นั มาในเมอื งไทย ใหแ ยกคาํ วา สละอวัยวะเพ่ือประโยชนแกผ ูอ น่ื เปน “บาล”ี ในความหมาย ๒ อยา งน้ี ดว ย ทานอปุ บารมี สละชีวติ เพ่อื ประโยชนแก การเรยี กใหต า งกนั คอื ถา หมายถงึ บาลี ผูอ่ืน เปน ทานปรมัตถบารมี ในความหมายที่ 1. ใหใ ชค าํ วา ภาษาบาลี บารมีในแตละขั้นมี ๑๐ จึงแยกเปน (หรอื ศพั ทบ าลี คาํ บาลี หรอื บาล)ี แตถ า บารมี ๑๐ (ทศบารม)ี อุปบารมี ๑๐ หมายถงึ บาลใี นความหมายท่ี 2. ใหใ ชค าํ (ทศอปุ บารม)ี และปรมตั ถบารมี ๑๐ วา พระบาลี (ทศปรมตั ถบารม)ี รวมทง้ั ส้ินเปน บารมี บาลีประเทศ ขอความตอนหนึ่งแหง

บาลพี ทุ ธอทุ าน ๑๗๘ บุคคล ๔๒ บาล,ี ขอ ความจากพระไตรปฎก พระไปบิณฑบาต คอื ไปรับอาหารทีเ่ ขา บาลพี ทุ ธอทุ าน คาํ อุทานท่พี ระพุทธเจา จะใสล งในบาตร บุคคล “ผูกลืนกินอาหารอันทําอายุให ทรงเปลงเปน บาลี เชนท่วี า ยทา หเว ปาตภุ วนฺติ ธมฺมา ครบเตม็ ”, คนแตละคน, คนรายตวั ; อาตาปโน ฌายโต พรฺ าหฺมณสสฺ อตั ตา, อาตมนั ; ในพระวินยั โดยเฉพาะ อถสฺส กงขฺ า วปยนตฺ ิ สพฺพา ในสังฆกรรม หมายถึงภิกษุรูปเดียว; ฯเปฯ เทยี บ สงฆ, คณะ (“ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก บุคคล ๔๑ บุคคล ๔ จําพวก คือ ๑. อุค- พราหมณผูเพียรเพงพิจารณา ในกาล ฆฏิตัญู ผูรเู ขา ใจไดฉ บั พลนั แตพอ น้ัน ความสงสยั ท้งั ปวงของพราหมณน นั้ ทา นยกหัวขอข้นึ แสดง ๒. วิปจติ ญั ู ผู รเู ขา ใจตอ เมอื่ ทา นขยายความ ๓. เนยยะ ยอ มสิน้ ไป ...”) บําบวง บนบาน, เซนสรวง, บูชา ผทู ่ีพอจะแนะนําตอไปได ๔. ปทปรมะ บําเพ็ญ ทาํ , ทาํ ดวยความตัง้ ใจ, ปฏบิ ตั ิ, ผูไดแคตัวบทคือถอยคําเปนอยางย่ิง ทําใหเ ตม็ , ทาํ ใหม ีขนึ้ , ทาํ ใหส ําเร็จผล ไมอ าจเขาใจความหมาย (ใชแกสิ่งที่ดงี ามเปน บุญกศุ ล) พระอรรถกถาจารยเปรียบบุคคล บณิ ฑจารกิ วตั ร วตั รของผเู ทยี่ วบณิ ฑบาต, ๔ จําพวกนี้กับบวั ๔ เหลาตามลาํ ดบั คอื ธรรมเนียมหรือขอควรปฏิบัติสําหรับ ๑. ดอกบวั ทีต่ งั้ ขน้ึ พน นา้ํ รอสมั ผัสแสง ภิกษทุ ่ีจะไปรับบิณฑบาต เชน นงุ หมให อาทติ ยกจ็ ะบานในวันน้ี ๒. ดอกบัวที่ตัง้ เรยี บรอ ย สํารวมกริ ิยาอาการ ถอื บาตร อยูเสมอนํ้า จักบานในวันพรุงน้ี ๓. ภายในจีวรเอาออกเฉพาะเม่ือจะรับ ดอกบัวท่ียังอยูในน้ํา ยังไมโผลพนนํ้า บิณฑบาต กําหนดทางเขาออกแหง บา น จักบานในวันตอ ๆ ไป ๔. ดอกบวั จมอยู และอาการของชาวบานที่จะใหภิกขา ในน้ําท่ีกลายเปนภักษาแหงปลาและเตา หรือไม รับบณิ ฑบาตดวยอาการสํารวม (ในพระบาลี ตรัสถึงแตบัว ๓ เหลา ตน รปู ที่กลับมากอน จัดทฉี่ นั รูปที่มาทีหลงั เทานนั้ ) ฉันแลวเก็บกวาด บุคคล ๔๒ บคุ คล ๔ จําพวกทแ่ี บง ตาม บิณฑบาต อาหารท่ีใสลงในบาตรพระ, ประมาณ ไดแ ก ๑. รปู ป ปมาณกิ า ๒. โฆ- อาหารถวายพระ; ในภาษาไทยใชใน สปั ปมาณกิ า ๓. ลขู ัปปมาณิกา และ ๔. ความหมายวา รบั ของใสบ าตร เชน ทว่ี า ธมั มัปปมาณกิ า; ดู ประมาณ

บคุ คลหาไดย าก ๒ ๑๗๙ บุญ บุคคลหาไดยาก ๒ คือ ๑. บุพการี ๒. เจริญเพม่ิ พนู อยางน้ี”, และมพี ทุ ธพจน กตญั กู ตเวที (ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๐) ตรัสไวด วยวา “ภิกษุ บุคคลาธิษฐาน มีบุคคลเปนที่ต้ัง, ทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายอยา ไดก ลวั ตอ บญุ เทศนายกบุคคลขึ้นตั้ง คือ วิธีแสดง เลย คาํ วา บุญน้ี เปน ชือ่ ของความสขุ ” ธรรมโดยยกบุคคลขึ้นอาง; คูกับ (บุญ ในพทุ ธพจนน ี้ ทรงเนน ทกี่ ารเจรญิ ธรรมาธษิ ฐาน เมตตาจิต), พระพุทธเจาตรัสสอนให บคุ คลิกาวาส ดู ปคุ คลกิ าวาส ศกึ ษาบญุ (“ปุ ฺเมว โส สกิ เฺ ขยยฺ ” - บุคลิก เนือ่ งดว ยบคุ คล, จาํ เพาะคน (= ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๑; ๒๓๘/๒๗๐) คอื ฝก ปคุ คลิก) ปฏิบัติหัดทาํ ใหชีวิตเจริญงอกงามข้ึนใน บญุ เครอ่ื งชาํ ระสนั ดาน, ความด,ี กรรมด,ี ความดแี ละสมบรู ณด ว ยคณุ สมบตั ทิ ด่ี ี ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ, กุศลกรรม, ความสขุ , กศุ ลธรรม ในการทาํ บญุ ไมพ งึ ละเลยพนื้ ฐานท่ี ตรงตามสภาพความเปน จรงิ ของชวี ติ ให ที่กลาวนั้น เปนความหมายท่ัวไป ชีวิตและสิ่งแวดลอมเจริญงอกงามหนุน โดยสรุป ตอน้ีพึงทราบคําอธิบาย กนั ขนึ้ ไปสคู วามดงี ามทส่ี มบรู ณ เชน พงึ ละเอียดข้ึน เริ่มแตความหมายตามรปู ระลกึ ถงึ พทุ ธพจน (ส.ํ ส.๑๕/๑๔๖/๔๖) ทวี่ า ศัพทวา “กรรมที่ชําระสันดานของผู “ชนเหลา ใด ปลกู สวน ปลกู ปา สรา ง กระทําใหส ะอาด”, “สภาวะอันทําใหเกดิ สะพาน (รวมทั้งจัดเรือขามฟาก) จัด ความนาบูชา”, “การกระทําอันทําใหเต็ม บรกิ ารนาํ้ ดมื่ และบงึ บอ สระนาํ้ ใหท พ่ี กั อิม่ สมนา้ํ ใจ”, ความด,ี กรรมทดี่ งี ามเปน อาศยั บญุ ของชนเหลา นนั้ ยอ มเจรญิ ประโยชน, ความประพฤตชิ อบทางกาย งอกงาม ทงั้ คนื ทง้ั วนั ตลอดทกุ เวลา, ชน วาจาใจ, กศุ ล (มักหมายถึงโลกียกศุ ล เหลา นนั้ ผตู ง้ั อยใู นธรรม ถงึ พรอ มดว ย หรือความดีที่ยังกอปรดวยอุปธิ คือ ศีล เปนผูเดินทางสวรรค”, คมั ภรี ท งั้ เก่ียวของกับส่ิงท่ีปรารถนากันในหมูชาว หลายกลาวถึงบุญกรรมที่ชาวบานควร โลก เชน โภคสมบตั ิ); บางทีหมายถึงผล รว มกนั ทาํ ไวเ ปน อนั มาก เชน (ชา.อ.๑/๒๙๙) ของการประกอบกุศล หรือผลบุญน่ัน การปรับปรงุ ซอมแซมถนนหนทาง สราง เอง เชนในพุทธพจน (ที.ปา.๑๑/๓๓/๖๒) สะพาน ขุดสระน้าํ สรางศาลาทพ่ี กั และ วา “ภิกษุท้งั หลาย เพราะการสมาทาน ที่ประชุม ปลูกสวนปลูกปา ใหทาน กุศลธรรมท้ังหลายเปนเหตุ บุญนี้ยอม รักษาศีล