Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

สัมผปั ปลาปะ ๔๓๐ สัมมตั ตะ ๑ ในวิรัติ ๓) สัมภตู สาณวาสี ชื่อพระเถระองคห นงึ่ ใน สมั ผปั ปลาปะ พดู เพอ เจอ , พดู เหลวไหล, การกสงฆ ผูทําสังคายนาคร้งั ท่ี ๒ พดู ไมเ ปน ประโยชน ไมม เี หตผุ ล ไรส าระ สัมโภคนาสนา ใหฉิบหายเสียจากการ ไมถ กู กาลถกู เวลา (ขอ ๗ ในอกศุ ล- กนิ รว ม, เปน ศัพทผูกใหมทส่ี มเด็จพระ กรรมบถ ๑๐) มหาสมณเจา กรมพระยาวชรญิ าณวโรรส สมั ผัปปลาปา เวรมณี เวนจากพดู เพอ วา นา จะใชแ ทนคาํ วา ทณั ฑกรรมนาสนา เจอ, เวนจากพูดเหลวไหลไมเปน (การใหฉ ิบหายดวยทณั ฑกรรม คือ ลง ประโยชน, พูดคําจริง มีเหตุผล มี โทษสามเณรผูกลาวตูพระธรรมเทศนา ประโยชน ถกู กาลเทศะ (ขอ ๗ ในกศุ ล- โดยไลจากสํานัก และไมใหภิกษุทั้ง กรรมบถ ๑๐) หลายคบดว ยตามสิกขาบทที่ ๑๐ แหง สมั ผสั ความกระทบ, การถกู ตอ งทใี่ ห สัปปาณกวรรค ปาจิตตยิ กณั ฑ) เกิดความรูสึก, ความประจวบกันแหง สัมมตกิ า กัปปยภูมทิ ่ีสงฆสมมติ คอื กฎุ ี อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ ท่ีสงฆเลือกจะใชเปนกัปปยกุฎีแลวสวด วญิ ญาณ มี ๖ เรม่ิ แต จักขุสมั ผัส ประกาศดว ยญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม; ดู กปั ปย ภมู ิ สมั ผสั ทางตา เปน ตน จนถงึ มโนสมั ผสั สัมมสนญาณ ญาณหย่งั รูดวยพจิ ารณา สมั ผสั ทางใจ (เรยี งตามอายตนะภายใน นามรปู โดยไตรลกั ษณ, ญาณทพ่ี จิ ารณา ๖); ผสั สะ กเ็ รียก หรือตรวจตรานามรูปหรือสังขาร มอง สมั พนั ธ 1. เกี่ยวขอ ง, ผูกพัน, เนอื่ งกนั เหน็ ตามแนวไตรลกั ษณ คอื รวู า ไม 2. ในทางอักขรวิธีภาษาบาลี หมายถึง เทยี่ ง ทนอยไู มไ ด ไมใ ชต วั ตน (ขอ ๓ มีตางบทมาสนธิเชื่อมเขาดวยกัน เชน ในญาณ ๑๖) ตณุ หฺ ิสสฺ หรือ ตณุ หฺ สฺส (= ตณุ หฺ ี + สมั มตั ตะ ความเปนถกู , ภาวะทีถ่ กู มี อสสฺ );ในความหมายน้ี ตรงขา มกบั ววตั ถติ ะ ๑๐ อยา ง ๘ ขอตน ตรงกับองคม รรคทง้ั สัมพทุ ธะ ทา นผตู รสั รเู อง, พระพทุ ธเจา ๘ ขอ เพ่ิม ๒ ขอทา ย คือ ๙. สัมมา- สมั ภเวสี ผูแสวงสมภพ; ดู ภตู ะ ญาณ รูชอบ ไดแ กผลญาณและปจ จ- สัมภาระ สิ่งของตางๆ, วัตถุ, วัสดุ, เวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวมิ ุตติ หลุดพน เคร่อื งใช, องค, สวนประกอบ, บริขาร, ชอบ ไดแกพระอรหัตตผลวมิ ุตต;ิ เรียก ปจจัย, ความดีหรอื ความชวั่ ท่ปี ระกอบ อีกอยา งวา อเสขธรรม ๑๐; ตรงขา มกบั มิจฉตั ตะ ๑๐ หรอื ทาํ สะสมไว; การประชุมเขา

สมั มัปปธาน ๔๓๑ สมั มาสมั พทุ ธเจดยี  สมั มัปปธาน ความเพียรชอบ; ดู ปธาน, ดําเนินในมรรคมีองค ๘ ประการ โพธิปก ขยิ ธรรม (ปฏบิ ตั ติ ามมรรค) สัมมา โดยชอบ, ดี, ถกู ตอ ง, ถูกถว น, สัมมาปาสะ “บวงคลอ งไวม ั่น”, ความรู สมบรู ณ, จรงิ , แท จักผูกผสานรวมใจประชาชน ดว ยการ สมั มากมั มนั ตะ ทาํ การชอบ หรอื การงาน สงเสริมอาชพี เชน ใหค นจนกยู ืมทุนไป ชอบ ไดแ ก การกระทาํ ทเ่ี วน จากความ สรางตัวในพาณิชยกรรม เปนตน (ขอ ประพฤตชิ วั่ ทางกายสามอยา ง คอื ฆา สตั ว ๓ ใน ราชสังคหวตั ถุ ๔) ลกั ทรพั ย ประพฤตผิ ดิ ในกาม คอื เวน สัมมาวาจา เจรจาชอบ คอื เวนจากวจ-ี จากกายทจุ ริต๓ (ขอ ๔ ในมรรค) ทจุ ริต ๔ (ขอ ๓ ในมรรค) สัมมาญาณะ รชู อบ ไดแกผลญาณ คือ สัมมาวายามะ เพยี รชอบ คอื เพียรในที่ ญาณอันเปนผลสืบเน่ืองมาจากมรรค- ๔ สถาน ไดแก ๑. สังวรปธาน ๒. ญาณ เชน โสดาปต ติผล เปน ตน และ ปหานปธาน ๓. ภาวนาปธาน ๔. อน-ุ ปจ จเวกขณญาณ (ขอ ๙ ในสมั มตั ตะ๑๐) รกั ขนาปธาน (ขอ ๖ ในมรรค); ดู ปธาน สัมมาทิฏฐิ ปญญาอนั เหน็ ชอบ คือ เหน็ สมั มาวิมุตติ หลดุ พนชอบ ไดแ กอรหัตต อรยิ สจั จ ๔, เหน็ ชอบตามคลองธรรมวา ผลวิมุตติ (ขอ ๑๐ ในสัมมตั ตะ ๑๐) ทาํ ดมี ีผลดี ทําช่ัวมีผลชวั่ มารดาบดิ ามี สมั มาสติ ระลกึ ชอบ คอื ระลึกใน สต-ิ (คือมีคุณความดีควรแกฐานะหนึ่งที่ ปฏฐาน ๔ (ขอ ๗ ในมรรค) เรยี กวา มารดาบิดา) ฯลฯ, เห็นถูกตอ ง สัมมาสมาธิ ตง้ั จิตม่นั ชอบ, จิตมน่ั ชอบ ตามที่เปนจริงวาขันธ ๕ ไมเที่ยง คือสมาธิที่เจริญตามแนวของ ฌาน ๔ เปนตน (ขอ ๑ ในมรรค) (ขอ ๘ ในมรรค) สัมมาทิฏฐิสูตร พระสูตรแสดงความ สัมมาสังกัปปะ ดําริชอบ คือ ๑. หมายตา งๆ แหงสัมมาทฏิ ฐิ เปนภาษติ เนกขัมมสังกัปปะ ดาํ ริจะออกจากกาม ของพระสารีบตุ ร (สูตรที่ ๙ ในมัชฌิม- หรือปลอดจากโลภะ ๒. อัพยาปาท- นกิ าย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎ ก) สังกัปปะ ดําริในอันไมพยาบาท ๓. สัมมานะ ความนับถอื , การยกยอ ง, การ อวิหิงสาสังกัปปะ ดําริในอันไมเบียด ใหเ กียรต;ิ ตรงขา มกบั อวมานะ, ดู มานะ เบียน (ขอ ๒ ในมรรค) สมั มาปฏบิ ัติ ปฏบิ ตั ชิ อบ คือปฏบิ ัติชอบ สัมมาสัมพุทธเจดีย เจดียเกี่ยวเน่ือง ธรรม, ปฏิบัติถูกทํานองคลองธรรม, ดวยพระสมั มาสัมพุทธเจา, เจดยี ทีเ่ ปน

สมฺมาสมพฺ ุทโฺ ธ ๔๓๒ สาเกต เคร่ืองเตือนจิตใหระลึกถึงสมเด็จพระ ธรรม ถกู วนิ ยั ); สมั มุขาวนิ ยั ใชเ ปน สมั มาสัมพุทธเจา; ดู เจดยี  เครอื่ งระงบั อธิกรณไ ดทกุ อยาง สมฺมาสมฺพุทฺโธ (พระผูมีพระภาคเจา สัมโมทนียกถา “ถอยคําเปนท่ีบันเทิง น้ัน) เปนผูตรัสรูเองโดยชอบ คือรู ใจ”, คําตอ นรบั ทกั ทาย, คาํ ปราศรัย; อรยิ สัจจ ๔ โดยไมเ คยไดเรยี นรจู ากผู ปจจุบันนิยมเรียกสุนทรพจนท่ีพระสงฆ อ่นื จงึ ทรงเปนผเู ร่ิมประกาศสจั จธรรม กลาววา สมั โมทนยี กถา เปนผูประดษิ ฐานพระพุทธศาสนา และ สมั ฤทธิ์ ความสาํ เร็จ จงึ ไดพ ระนามอยา งหนงึ่ วา ธรรมสามี คอื สัลลวตี แมน้ําที่กันอาณาเขตมัชฌิม- เปน เจา ของธรรม (ขอ ๒ ในพทุ ธคณุ ๙) ชนบท ดานทศิ ตะวันออกเฉยี งใต สัมมาสัมโพธิญาณ ญาณเปนเคร่ือง สัสสตทฏิ ฐิ ความเห็นวาเทยี่ ง คือความ ตรัสรเู องโดยชอบ เห็นวาอัตตาและโลก เปนส่ิงเที่ยงแท สัมมาอาชวี ะ เลย้ี งชีวิตชอบ คอื เวนจาก ยง่ั ยนื คงอยตู ลอดไป เชน เห็นวาคน เล้ียงชีวิตโดยทางที่ผิด เชน โกงเขา และสัตวตายไปแลว รางกายเทาน้ัน หลอกลวง สอพลอ บบี บงั คับขูเข็ญ คา ทรุดโทรมไป สวนดวงชีพหรือเจตภูต คน คายาเสพติด คายาพิษ เปนตน (ขอ หรือมนสั เปนธรรมชาตไิ มส ูญ ยอ มถอื ๕ ในมรรค) ปฏิสนธิในกาํ เนดิ อ่นื สืบไป เปนมิจฉา- สัมมุขาวินัย ระเบียบอันพึงทําในท่ี ทฏิ ฐิอยางหนึง่ ; ตรงขา มกบั อุจเฉททฏิ ฐิ พรอ มหนา , วิธีระงับตอ หนา ไดแ ก การ (ขอ ๑ ในทฏิ ฐิ ๒) ระงบั อธกิ รณใ นทพี่ รอ มหนา สงฆ (สงั ฆ- สัสสเมธะ ความฉลาดในการบํารุงขาว สัมมุขตา คือภิกษุเขาประชุมครบองค กลา, ปรีชาในการบํารุงพืชพันธุ สงฆ), ในที่พรอ มหนา บุคคล (ปคุ คล- ธัญญาหาร สงเสริมการเกษตรใหอุดม สมั มขุ ตา คอื บคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ งในเรอื่ ง สมบรู ณ เปนสงั คหวัตถปุ ระการหนง่ึ ที่ผู นั้นอยูพรอมหนากัน), ในท่ีพรอมหนา ปกครองบา นเมอื งจะพึงบาํ เพญ็ (ขอ ๑ วัตถุ (วัตถุสัมมุขตา คือยกเรื่องที่เกิด ในราชสังคหวตั ถุ ๔) ข้ึนนั้นวินิจฉัย), ในที่พรอมธรรมวินัย สากัจฉา การพดู จา, การสนทนา (ธมั มสมั มขุ ตา และวินยสมั มขุ ตา คอื นํา สากยิ านี เจา หญงิ วงศศ ากยะ เอาหลักเกณฑท่ีกําหนดไวตามพระ สาเกต ช่อื มหานครแหงหนง่ึ อยใู นแควน ธรรมวนิ ัยมาใชปฏบิ ตั ิ ไดแกว นิ ิจฉัยถูก โกศล หางจากเมืองสาวตั ถี ๗ โยชน

สาขนคร ๔๓๓ สาธารณสกิ ขาบท ธนญั ชยั เศรษฐี บิดาของนางวิสาขา ได ไดโตวาทะกบั พระนาคเสน, ปจ จุบันอยู รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจา ในแควนปญจาป; แควนมัททะนั้นบาง ปเสนทิโกศล ใหเขาต้งั ถิ่นฐานและสราง คราบถูกเขาใจสับสนกับแควน มัจฉะ ข้ึน เม่ือคราวท่ีทานเศรษฐีอพยพจาก ทําใหสาคละพลอยถูกเรียกเปนเมือง เมืองราชคฤหมาอยูในแควนโกศลตาม หลวงของแควน มัจฉะไปก็มี คําเชิญชวนของพระองค, ตามทีก่ ําหนด สาชีพ แบบแผนแหงความประพฤติท่ีดี กันไดในปจจุบัน ท่ีตั้งของเมืองสาเกต ทําใหมีชวี ติ รวมเปน อนั เดยี วกัน ไดแก อยูท่ีฝงลางของแมนํ้าฆาฆระ (GhŒ- สิกขาบททั้งปวงที่พระพุทธเจาไดทรง ghara, สาขาใหญสายหน่ึงของแมนํ้า บญั ญตั ไิ วใ นพระวินยั อันทําใหภ ิกษทุ ั้ง คงคา) ตรงกบั เมืองอโยธยา (Ayodhya) หลายผูมาจากถิ่นฐานชาติตระกูลตางๆ หางจากเมอื ง Kasia (กุสนิ ารา) ตรงไป กนั มามีความเปน อยเู สมอเปนอันหนึง่ ทางทศิ ตะวันตก ประมาณ ๑๗๐ กม. อนั เดียวกัน; มาคูกับ สิกขา สาขนคร เมืองกิ่ง, เมืองเลก็ สาณะ ผาทาํ ดวยเปลอื กปาน, ผาปา น สาคตะ พระมหาสาวกองคหนงึ่ เกิดใน สาณัตตกิ ะ อาบัติทตี่ อ งเพราะสง่ั คอื สัง่ ตระกูลพราหมณในพระนครสาวตั ถี ได ผูอ่ืนทํา ตัวเองไมไดทํา ก็ตองอาบัติ ฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดามี เชน สัง่ ใหผูอ่ืนลักทรพั ย เปนตน ความเล่ือมใส ขอบวชแลวทําความ สาฎก ผา , ผา หม , ผา คลมุ เพยี รเจริญสมาบตั ิ ๘ ประการ จนมี สาตรปู รปู เปนทชี่ ื่นใจ; ดู ปย รูป ความชํานาญในสมาบัติ ทานเปนตน สาเถยยะ โออ วด, ความโออ วดหลอก บัญญัติสุราปานสิกขาบท และเพราะ เขา; เขียน สาไถย ก็ได (ขอ ๖ ในมละ เกิดความสังเวชในเกตุการณท่ีเกิดกับ ๙, ขอ ๑๐ ในอุปกิเลส ๑๖) ตนคร้ังนี้ จึงเจริญวิปสสนากัมมัฏฐาน สาธก อางตังอยางใหเห็นสม, ยกตัว จนไดสําเร็จพระอรหตั ไดรับยกยอ งวา อยา งมาอางใหเห็น เปน เอตทคั คะในทางเตโชธาตุสมาบัติ สาธยาย การทอง, การสวด สาคร ทะเล สาธารณ ทว่ั ไป, ทวั่ ไปแกหม,ู ของสวน สาคละ ชอ่ื นครหลวงของแควน มทั ทะ รวม ไมใ ชข องใครโดยเฉพาะ ตอมาภายหลังพุทธกาลไดเปนราชธานี สาธารณสถาน สถานทสี่ าํ หรบั คนทั่วไป ของพระเจามลิ นิ ท กษตั ริยน ักปราชญท ี่ สาธารณสิกขาบท สิกขาบทที่ทั่วไป,

สาธุ ๔๓๔ สามเณร สิกขาบทท่ีใชบังคับท่ัวกันหรือเสมอ “เพลงสาธุการ” นีข้ ้ึน เพอ่ื อญั เชิญพระ เหมือนกัน หมายถึง สิกขาบทสําหรบั พุทธเจาในเวลาท่ีเสด็จลงจากเศียรของ ภิกษุณี ที่เหมือนกันกับสิกขาบทของ พระพรหมนั้น (อางอิงเรื่องใน พรหม- ภกิ ษุ เชน ปาราชกิ ๔ ขอตน ในจาํ นวน นิมนตนกิ สูตร, ม.ม.ู ๑๒/๕๕๑/๕๙๐) ๘ ขอ ของภกิ ษุณเี หมือนกันกบั สิกขาบท สาธุกีฬา กีฬาท่ีดี, การละเลนทีด่ ีงาม ของภิกษุ; เทยี บ อสาธารณสกิ ขาบท เปนประโยชน; เปนคําในช้ันอรรถกถา สาธุ “ดแี ลว ”, “ชอบแลว ”, คาํ ทพ่ี ระสงฆ เฉพาะอยางยิ่งทีเ่ ลาวา เมื่อพระพุทธเจา เปลงออกมาเพ่ือแสดงความเห็นชอบตอ ปรินพิ พานแลว มีสาธุกีฬา ๗ วัน ตอ การกระทาํ ตอ เรอื่ งราวทด่ี าํ เนนิ ไป หรอื เน่ืองและประสานกับการบูชาพระบรม ตอ กจิ กรรมในพธิ นี น้ั ๆ, โดยนยั หมายถงึ สารีริกธาตุ, แมในการปรินิพพานของ เปลง วาจาแสดงความชน่ื ชม อนโุ มทนา พระปจเจกพุทธเจาและพระอรหันต หรอื เหน็ ชอบ, อกี นยั หนงึ่ มกั ใชเ ปน คาํ หลายทา น กม็ เี รอ่ื งเลา ถงึ การเลน สาธกุ ฬี า บอกแกเด็ก เพ่ือใหแสดงความเคารพ ๗ วนั และการบชู าพระธาต;ุ สาธกุ ฬี ามี ดว ยการทาํ กริ ยิ าไหว (บางทคี าํ กรอ นลง ลักษณะสําคัญคือ มิใชเลนเพ่ือความ เหลอื เพยี งพดู สน้ั ๆ วา “ธ”ุ ) สนุกสนานบนั เทิงของตนเอง แตเลนให สาธุการ 1. การเปลงวาจาวา สาธุ (แปล เปนประโยชนแกผูอ่ืน และไมขัดตอ วา “ดแี ลว ” “ชอบแลว ”) เพอื่ แสดงความ สัมปรายิกัตถะ (ประโยชนดานจิตใจ เห็นชอบดวย ชื่นชม หรือยกยอง และปญ ญา) ใหกอ กศุ ลมาก เชนมีคตี ะ สรรเสรญิ 2. ช่ือเพลงหนา พาทยเพลง คือเพลงหรือการขับรองท่ีกระตุนเตือน หน่ึง ถอื วา มคี วามสาํ คญั อยางยงิ่ ใช ใจใหระลึกถึงความจริงของชีวิตและคิด บรรเลงในการเร่ิมพิธี เพ่ือบูชาพระ ท่ีจะไมประมาทเรงสรางสรรคทําความดี รัตนตรัย เชนในเวลาที่พระธรรมกถึก พรอมท้ังเปนการสักการะบูชาพระผู ขึ้นสูธรรมาสนเพ่ือแสดงธรรม ตลอด ปรนิ พิ พาน จนใชอัญเชิญเทพเจาและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ สาธุชน คนดี, คนมีศีลธรรม, คนมี อนื่ ๆ, มตี าํ นานของไทยเลา สบื มาวา พก- กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม พรหม (พระพรหมนามวา “พกะ”) ซ่ึง สะอาดบริสุทธ์,ิ คนที่ประพฤตสิ จุ ริต เดมิ เปนผูมีมจิ ฉาทฏิ ฐิ เม่ือพระพทุ ธเจา สานต สงบ เสดจ็ ไปโปรดจนละทฏิ ฐนิ ้นั แลว ไดแ ตง สามเณร เหลากอแหงสมณะ, บรรพชติ

สามเณรเปสกะ ๔๓๕ สามคั คีปวารณา ในพระพุทธศาสนาผูยังมิไดอุปสมบท อยา งภกิ ษุ แมม ไิ ดไ ปรว มประชมุ ทาํ สงั ฆ- เพียงแตรับบรรพชาดวยไตรสรณคมน กรรม แตมอบใหฉ นั ทะ เรียกวา จิต- ถอื สิกขาบท ๑๐ และกิจวัตรบางอยาง สามัคคี (สามคั คดี วยใจ); ความพรอ ม ตามปกติ มอี ายยุ งั ไมค รบ ๒๐ ปบ รบิ รู ณ; เพรยี งแหง สงฆ คอื สงั ฆสามคั คี เปน พระราหุลเปนสามเณรองคแรกในพระ หลกั การสาํ คญั ยง่ิ ในพระวนิ ยั ทจ่ี ะดาํ รง พทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา จงึ มพี ทุ ธบญั ญตั หิ ลาย สามเณรเปสกะ ภกิ ษผุ ไู ดร บั สมมติ คือ อยางเพื่อใหสงฆมีวิธีปฏิบัติในการรักษา แตงต้ังจากสงฆ ใหทําหนาที่เปนผูใช สงั ฆสามคั คนี นั้ สว นการทาํ ใหส งฆแ ตก สามเณร, เปน ตาํ แหนงหน่ึงในบรรดา เจา แยก กค็ อื การทาํ ลายสงฆ เรยี กวา สงั ฆ- อธิการแหง อาราม เภท ถอื วา เปน กรรมชว่ั รา ยแรง ถงึ ขน้ั เปน สามเณรี สามเณรผูหญิง, หญิงรับ อนนั ตรยิ กรรม (ถามีการทะเลาะวิวาท บรรพชาในสํานักภิกษุณี ถือสิกขาบท บาดหมาง กดี กนั้ กนั ไมเ ออื้ เฟอ กนั ไม ๑๐ เหมอื นสามเณร รว มมอื กนั ไมป ฏบิ ตั ขิ อ วตั รตอ กนั ยงั ไม สามเพท ชอื่ คมั ภรี ที่ ๓ ของพระเวท; ดู ไตรเพท ถอื วา สงฆแ ตกกนั แตเ ปน ความรา วราน สามัคคี ความพรอ มเพรียง, ความกลม แหงสงฆ เรียกวา สงั ฆราชี แตเ ม่อื ใด ภิกษุท้ังหลายแตกแยกกันถึงข้ันคุมกัน เกลียว, ความมีจุดรวมตัวเขาดวยกัน เปน คณะ แยกทาํ อโุ บสถ แยกทาํ ปวารณา หรือมุงไปดวยกัน (โดยวิเคราะหวา แยกทาํ สงั ฆกรรม แยกทาํ กรรมใหญน อ ย อคเฺ คน สขิ เรน สงฺคตํ สมคคฺ ํ, สมคฺค- ภายในสมี า เมอื่ นนั้ เปน สงั ฆเภท); หลกั ภาโว สามคคฺ )ี , คาํ เสรมิ ทมี่ กั มาดว ยกนั ธรรมสําคัญที่พระพุทธเจาทรงแสดงไว กบั สามคั คี คอื สงั คหะ (ความยดึ เหนยี่ ว เพอื่ ใหส งฆม สี ามคั คเี ปน แบบอยา ง ไดแ ก ใจใหร วมกนั ) อววิ าท (ความไมว วิ าทถอื สาราณยี ธรรม ๖ สว นหลกั ธรรมสาํ คญั ตา ง) และเอกภี าพ (ความเปน อนั หนง่ึ อนั สาํ หรับเสริมสรางสามัคคีในสังคมท่ัวไป เดยี วกนั ); เมอ่ื บคุ คลทเี่ กย่ี วขอ งมารว ม ไดแ ก สงั คหวตั ถุ ๔ ประชุมพรักพรอมกัน เรียกวา กาย- สามัคคีปวารณา กรณีอยางสามัคคี- สามคั คี (สามคั คดี ว ยกาย) เมอื่ บคุ คล อโุ บสถน่ันเอง เม่อื ทําปวารณา เรียกวา เหลาน้ันมีความชื่นชมยินดีเห็นชอบรวม สามคั คปี วารณา และวนั ที่ทาํ นน้ั กเ็ รียก กนั พอใจรวมเปน อยา งเดยี วกนั หรอื วนั สามัคคี

สามคั คอี โุ บสถ ๔๓๖ สายสิญจน สามัคคีอุโบสถ อุโบสถที่ทําขน้ึ เปน กรณี กระทําท่ีสมควร, การแสดงความเคารพ พิเศษเม่ือสงฆสองฝายซ่ึงแตกกันกลับ สามจี ปิ ฏปิ นโฺ น (พระสงฆ) เปนผปู ฏิบตั ิ มาปรองดองสมานกันเขาได สามัคคี ชอบ, ปฏิบัติสมควรไดรับสามีจิกรรม อโุ บสถไมกําหนดดวยวันที่ตายตวั สงฆ คอื ปฏิบัตินาเคารพนบั ถือ (ขอ ๔ ใน พรอมเพรียงกันเมื่อใด ก็ทําเมื่อนั้น สังฆคณุ ๙) เรยี กวนั นัน้ วา วันสามคั คี สามุกกังสิกา แปลตามอรรถกถาวา สามัญ 1. ปรกติ, ธรรมดา, ทว่ั ๆ ไป 2. “พระธรรมเทศนาท่ีพระพุทธเจาทรงยก ความเปน สมณะ; มกั เขยี นสามัญญะ ข้ึนถือเอาเอง” คือ ทรงเห็นดวยพระ สามัญญผลสตู ร สตู ร ๒ ในคมั ภีรท ฆี - สยมั ภญู าณ (ตรัสรูเอง) ไดแกอริยสจั จ- นิกาย สลี ขันธวรรค พระสตุ ตันตปฎก เทศนา, ตามแบบเรยี น แปลวา “ธรรม วาดวยผลของความเปนสมณะคือ เทศนาท่ีพระพุทธเจาทรงยกข้ึนแสดง ประโยชนท่ีจะไดจากการดํารงเพศเปน เอง” คือ ไมตอ งปรารภคําถามเปน ตน สมณะ หรอื บําเพญ็ สมณธรรม ของผูฟ ง ไดแกเ ทศนาเร่ืองอริยสจั จ สามญั ญลักษณะ ดู สามญั ลกั ษณะ สายโยค สายรดั ใชแ กถุงตา งๆ เชน ที่ สามญั ญสโมธาน ดู โอธานสโมธาน ประกอบกบั ถงุ บาตรแปลกนั วา สายโยค สามัญผล ผลแหงความเปน สมณะ; ดู บาตร (บาลีวา อํสวทฺธก); บางแหงแปล สามญั ญผลสตู ร อาโยค คอื ผารัดเขา หรือ สายรัดเขา วา สามัญลกั ษณะ 1. ลกั ษณะทเ่ี ปน สามัญ สายโยค กม็ ี แตใ นพระวนิ ยั ปฎ ก ไมแ ปล คือรวมกันหรือเสมอกัน; คูก บั ปจจตั ต- เชน นนั้ (พจนานกุ รมเขยี นสายโยก) ลกั ษณะ 2. ลักษณะท่เี สมอกันแกสังขาร สายสิญจน เสนดายสีขาวท่ีใชโยงใน ทง้ั ปวง; ในความหมายน้ี ดู ไตรลักษณ ศาสนพิธีเพ่ือเปนสิริมงคลหรือเพ่ือ สามันตราช พระราชาแควนใกลเ คียง ความคุมครองปอ งกนั เปนตน เชน ท่ี สามิษ, สามสิ เจือดวยอามสิ คอื เครอ่ื ง พระถือในเวลาสวดมนต และทน่ี ํามาวง ลอ , ตอ งขน้ึ ตอ วตั ถหุ รอื อารมณภ ายนอก รอบบานเรือนหรือบริเวณท่ีตองการ สามิสสุข สุขเจอื อามสิ , สุขทต่ี องอาศยั ความคุมครอง, ตามทีป่ ฏบิ ัติสืบกันมา เหย่ือลอ ไดแกสุขที่เกิดจากกามคุณ ใชดายดบิ นาํ มาจบั ทบเปน ๓ หรือ ๙ (ขอ ๑ ในสขุ ๒) เสน , ถาพจิ ารณาตามรูปศพั ท “สญิ จน” สามจี ิกรรม การชอบ, กจิ ชอบ, การ คอื การรดนาํ้ ซง่ึ คงหมายถงึ การรดนาํ้ ใน

สายัณห ๔๓๗ สาราณยี ธรรม พธิ อี ภเิ ษก สายสญิ จนจ งึ อาจจะหมายถงึ ทรงแสดงปฐมเทศนา เคยเจรญิ รงุ เรอื งมาก สายมงคลหรือสายศักด์ิสิทธ์ิ ซ่ึงสืบมา เปนศูนยกลางการศึกษาทางพุทธศาสนา จากเสนดายหรือสายเชือกที่ใชในพิธี ท่ีสาํ คญั แหงหนึง่ มเี จดยี ใหญส ูง ๒๐๐ อภเิ ษก, บางทตี น เดมิ ของสายสญิ จนอ าจ ฟุต ถกู ชาวฮนิ ดทู าํ ลายกอ น แลว ถกู มาจาก “ปริตฺตสุตตฺ ” (ปริตตสูตร-สาย นายทัพมุสลิมทําลายส้ินเชิงใน พ.ศ. พระปรติ ร) ในคัมภีรบาลีชั้นหลัง ซึ่ง ๑๗๓๘ (สารนาถมาจาก สารังคนาถ หมายถงึ เสน ดา ยเพอื่ ความคมุ ครองปอง แปลวา “ทพ่ี ึง่ ของเหลากวางเนอื้ ”) กนั หรือเสน ดา ยในการสวดพระปรติ ร; ดู สารมณั ฑกปั ดู กัป ปริตร, ปรติ ต สารตั ถทีปนี ชอ่ื คัมภีรฎ กี าอธิบายความ สายณั ห เวลาเย็น ในสมนั ตปาสาทกิ า ซงึ่ เปน อรรถกถาแหง สารกปั ดู กปั พระวินัยปฎก พระสารีบุตรเถระแหง สารณา การใหระลกึ ไดแกกริ ยิ าที่สอบ เกาะลังกา เปนผูรจนาในรัชกาลของ ถามเพื่อฟงคําใหการของจําเลย, การ พระเจา ปรักกมพาหุท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖– สอบสวน ๑๗๒๙) สารท 1. “อนั เกิดมีหรือเปน ไปในสรท- สารัตถปกาสินี ช่ือคัมภีรอรรถกถา สมยั ”, เชน ดวงจนั ทรใ นฤดใู บไมรวง อธิบายความในสังยุตตนกิ าย แหงพระ อนั นวลแจม สดใส 2. เทศกาลทําบุญสิน้ สุตตนั ตปฎ ก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บ เดอื นสบิ เดิมเปน ฤดูทําบุญดว ยเอาขาว เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา ท่ีกาํ ลังทอง (ขาวรวงเปนน้ํานม) มาทํา สงิ หฬทสี่ บื มาแตเ ดมิ เปน หลกั เมอ่ื พ.ศ. ยาคูและกวนขาวปายาสเลี้ยงพราหมณ ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, เรยี กวา กวนขา วทพิ ย สวนผนู บั ถอื พระ อรรถกถา พุทธศาสนานําคตินั้นมาใช แตเปล่ียน สารนั ทเจดยี  เจดียสถานแหงหน่งึ ท่เี มือง เปนถวายแกพระภิกษุสงฆ อุทิศสวน เวสาลี นครหลวงของแควนวัชชี ณ ท่ีน้ี กุศลใหแกญาติในปรโลก สาํ หรับชาว พระพุทธเจาเคยทาํ นิมิตตโอภาสแกพ ระ บา นทว่ั ไปมกั ทาํ แตก ระยาสารท เปน ตน อานนท บาลเี ปน สารนั ททเจดยี  (ตา งจาก ศราทธ) สารมั ภะ แขง ดี (ขอ ๑๒ ในอปุ กเิ ลส ๑๖) สารนาถ ชอ่ื ปจ จบุ นั ของอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั สาราค ราคะกลา , ความกาํ หนดั ยอมใจ ใกลนครพาราณสี สถานทพ่ี ระพทุ ธเจา สาราณียธรรม ธรรมเปน ทตี่ ัง้ แหงความ

สารี ๔๓๘ สารบี ตุ ร ใหระลึกถึง, ธรรมเปนเหตุใหระลึกถึง ท่ียอดเขาดวยกัน คราวหนึ่งไปดูแลว กนั ทาํ ใหม คี วามเคารพกนั ชวยเหลอื เกดิ ความสลดใจ คดิ ออกแสวงหาโมกข- กนั และสามัคคีพรอ มเพรยี งกัน มี ๖ ธรรม และตอมาไดไปบวชอยใู นสํานัก อยา ง คือ ๑. ตัง้ กายกรรมประกอบดว ย ของสญั ชยั ปรพิ าชก แตก็ไมบ รรลจุ ุดมงุ เมตตาในเพอื่ นภกิ ษุสามเณร ๒. ตั้ง หมาย จนวันหนง่ึ อุปตสิ สปรพิ าชก พบ วจีกรรมประกอบดวยเมตตาในเพ่ือน พระอัสสชเิ ถระขณะทานบิณฑบาต เกดิ ภิกษุสามเณร ๓. ตัง้ มโนกรรมประกอบ ความเล่ือมใสติดตามไปสนทนาขอถาม ดว ยเมตตาในเพอื่ นภกิ ษสุ ามเณร ๔. แบง หลกั คําสอน ไดฟง ความยอ เพียงคาถา ปน ลาภที่ไดมาโดยชอบธรรม ๕. รักษา เดียวก็ไดด วงตาเหน็ ธรรม กลับไปบอก ศีลบริสุทธิ์เสมอกับเพื่อนภิกษุสามเณร ขาวแกโกลิตะ แลวพากันไปเฝาพระ (มสี ลี สามัญญตา) ๖. มคี วามเห็นรว ม พุทธเจา มีปริพาชกที่เปนศิษยตามไป กันไดกับภิกษุสามเณรอ่ืนๆ (มีทิฏฐิ- ดวยถึง ๒๕๐ คน ไดรับเอหิภิกขุ- สามญั ญตา); สารณยี ธรรม กเ็ ขยี น อุปสมบททง้ั หมดทเี่ วฬวุ นั เมอ่ื บวชแลว สารี ชื่อนางพราหมณีผูเปนมารดาของ ได ๑๕ วัน พระสารีบตุ รไดฟงพระ พระสารีบตุ ร ธรรมเทศนาเวทนาปริคคหสูตรท่ีพระ สารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระ พทุ ธเจา ทรงแสดงแกท ฆี นขปริพาชก ณ พุทธเจา เกิดท่ีหมูบ า นนาลกะ (บางแหง ถํ้าสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ก็ไดบรรลุ เรยี กนาลนั ทะ) ไมไ กลจากเมอื งราชคฤห พระอรหัต ไดรับยกยอ งเปนเอตทคั คะ เปนบุตรแหงตระกูลหัวหนาหมูบานนั้น ในทางมีปญญามาก และเปนพระอัคร- บิดาชอื่ วงั คันตพราหมณ มารดาช่ือสารี สาวกฝายขวา ทานไดเปนกําลังสําคัญ จึงไดนามวาสารีบุตร แตเมื่อยังเยาว ของพระพุทธเจาในการประกาศพระ เรยี กวา อปุ ตสิ สะ มเี พอื่ นสนทิ ชอื่ โกลติ ะ ศาสนา และไดรบั การยกยองเปน พระ ซ่ึงตอมาคือพระมหาโมคคัลลานะ มี ธรรมเสนาบดี คําสอนของทานปรากฏ นอ งชาย ๓ คนชอื่ จนุ ทะ อปุ เสนะ และ อยูในพระไตรปฎกเปนอันมาก เชน เรวตะ นอ งหญงิ ๓ คน ชอ่ื จาลา อปุ จาลา สังคตี สิ ูตร และทสตุ ตรสูตร ที่เปน แบบ และสีสุปจาลา ซึ่งตอมาไดบวชในพระ อยา งแหง การสังคายนา เปน ตน ทา น ธรรมวนิ ยั ทงั้ หมด เมอื่ อปุ ตสิ สะและโกลติ ะ ปรินิพพานกอนพระพุทธเจาไมก่ีเดือน จะบวชน้นั ทัง้ สองคนไปเทย่ี วดมู หรสพ เม่ือจวนจะปรินิพพาน ทานเดินทางไป

สารรี ิกธาตุ ๔๓๙ สารรี กิ ธาตุ โปรดมารดาของทานซึ่งยังเปนมิจฉาทิฐิ เชน พระเกสา, มักใชวา พระบรม ใ ห ม า ร ด า ไ ด เ ป น พ ร ะ โ ส ด า บั น แ ล ว สารีริกธาตุ; เม่ือพระพุทธเจาเสด็จดับ ปรนิ พิ พานทบ่ี า นเกดิ ดว ยปก ขนั ทกิ าพาธ ขนั ธปรนิ ิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมอื ง หลังจากปลงศพแลว พระจุนทะนองชาย กุสินารา และมีพิธีถวายพระเพลิงพระ ของทานนําอัฐิธาตุไปถวายพระบรม- พุทธสรรี ะ ท่มี กุฏพันธนเจดยี แลว ไดมี ศาสดา พระองคต รสั วาใหกอสถปู บรรจุ กษตั ริยผคู รองแควนตางๆ ๖ กบั มหา- อัฐธิ าตุของทานไว ณ พระเชตวัน เมอื ง พราหมณเจาเมอื ง ๑ รวมเปน ๗ สาวัตถี (อรรถกถาวา ทานปรนิ พิ พานใน นคร (คอื ๑. พระเจา อชาตศตั รู เมอื ง วันเพญ็ เดือน ๑๒ จึงเทากบั ๖ เดือน ราชคฤห ๒. กษตั รยิ ล จิ ฉวี เมืองเวสาลี กอ นพุทธปรนิ ิพพาน) ๓. ศากยกษัตรยิ  เมืองกบลิ พสั ดุ ๔. ถูลีกษตั รยิ  อลั ลกัปปนคร ๕. โกลยิ - พระสารีบุตรมีคุณธรรมและจริยา- กษตั ริย แหงรามคาม ๖. มลั ลกษตั รยิ  วัตรทีเ่ ปนแบบอยา งหลายประการ เชน เมอื งปาวา ๗. มหาพราหมณ เจาเมอื ง เปนผูมีความกตัญูสูง ดังไดแสดง เวฏฐทีปกนคร) สงทูตมาขอสวนแบง ออกเก่ยี วกับพระอัสสชิ (นอนหันศรี ษะ พระสารีรกิ ธาต,ุ หลงั จากเจรจากนั นาน ไปทางท่ีพระอัสสชพิ าํ นักอย)ู และราธ- และในที่สุดไดฟงสุนทรพจนของโทณ- พราหมณ (ระลกึ ถงึ บิณฑบาตหนึ่งทัพพี พราหมณแลว ท้ัง ๗ เมอื งนัน้ รวมกับ และรบั เปน อปุ ช ฌายแกร าธะ) สมบูรณ มลั ลกษตั ริยแหงเมืองกสุ นิ ารา เปน ๘ ดวยขันติธรรมตอคาํ วากลา ว (ยอมรบั พระนคร ไดต กลงมอบใหโ ทณพราหมณ คาํ แนะนําแมข องสามเณร ๗ ขวบ) เปน เปนผูแบงพระบรมธาตุเปน ๘ สวน ผูเ อาใจใสอ นุเคราะหเด็ก (เชน ชว ยเอา เทา ๆ กนั ใหแกพ ระนครทงั้ ๘ น้นั เด็กยากไรม าบรรพชา มีสามเณรอยใู น เสร็จแลวโทณพราหมณไดขอตุมพะคือ ความปกครองดแู ล ซ่งึ เกง กลาสามารถ ทะนานทองที่ใชตวงพระธาตุไปบูชา, หลายรูป) และเอาใจใสคอยดูแลภิกษุ ฝายโมรยิ กษตั รยิ  เมืองปปผลวิ นั ได อาพาธเปน ตน ทราบขาว ก็สงราชทูตมาขอสวนแบง สารรี กิ ธาตุ สว นสาํ คญั แหง พระพทุ ธสรรี ะ พระสารีรกิ ธาตุ แตไ มทนั จงึ ไดแ ตพ ระ ซงึ่ คงอยเู ปน ทเ่ี คารพบชู า โดยเฉพาะพระ องั คารไปบชู า, พระนครทง้ั ๘ ทีไ่ ดสวน อฐั ,ิ กระดกู ของพระพุทธเจา และสว น แบงพระสารีรกิ ธาตุ กไ็ ดสรา งพระสถูป สําคัญอ่ืนๆ แหงพระสรรี ะของพระองค

สารูป ๔๔๐ สาสนวงส บรรจุ เปนพระธาตุสถูป ๘ แหง โทณ- สาวก ผฟู ง , ผูฟ งคาํ สอน, ศิษย; คูกับ พราหมณก็อัญเชิญตุมพะไปกอพระ สาวิกา สถปู บรรจุ เปนตุมพสถูป ๑ แหง โมริย- สาวนะ, สาวนมาส เดือน ๙ กษัตริย ก็อัญเชิญพระอังคารไปสราง สาวัตถี นครหลวงของแควนโกศล; พระสถูปบรรจุไว เปนพระอังคารสถูป แควนโกศลต้ังอยูระหวางภูเขาหิมาลัย ๑ แหง รวมมพี ระสถปู เจดียสถานใน กบั แมนาํ้ คงคาตอนกลาง อาณาเขตทิศ ยคุ แรกเรมิ่ ๑๐ แหง ฉะนี้ เหนอื จดเทือกเขาเนปาล ทศิ ตะวนั ออก นอกจากน้ี คาถาสุดทายแหงมหา- จดแควนกาสี ตอกับแควน มคธ ทิศใต ปรินพิ พานสูตร กลา วความเพ่ิมเตมิ อีก และทิศตะวันตกจดแมน้ําคงคา; พระ วา ยังมีพระสารีริกธาตุอีกทะนานหนึ่ง นครสาวัตถีเปนศูนยกลางการเผยแผ ซ่ึงพวกนาคราชบูชากันอยูในรามคาม พระพุทธศาสนาคร้ังพุทธกาล เปนท่ีท่ี พระทาฐธาตุองคหน่ึงอันเทพชาวไตร- พระพุทธเจาประทับจําพรรษามากที่สุด ทิพยบ ูชา (คือในพระจุฬามณเี จดีย) อีก รวมถงึ ๒๕ พรรษา, บัดน้เี รียก สะเหต- องคหนึ่งอยูในคันธารบุรี อีกองคหนึ่ง มะเหต (Sahet-Mahet, ลา สุด รื้อฟนชือ่ อยใู นแควน กาลงิ คะ (คอื องคทต่ี อ ไปยงั ในภาษาสนั สกฤตข้นึ มาใชวา ÏrŒvasti ลังกาทวีป) และอกี องคห นึ่งพระยานาค คือ ศราวสั ต)ี ; ดู โกศล, เชตวัน, บพุ พา บูชากนั อยู; ดู ทาฐธาตุ ราม สารปู เหมาะ, สมควร; ธรรมเนียมควร สาวกิ า หญิงผูฟงคาํ สอน, สาวกหญิง, ประพฤติในเวลาเขาบาน, เปนหมวดท่ี ศิษยผ ูหญงิ ; คกู ับ สาวก ๑ แหง เสขิยวตั ร มี ๒๖ สกิ ขาบท สาสนวงส ช่ือหนังสือตํานานพระพุทธ- สาละ ไมยืนตนชนิดหน่ึงของอินเดีย ศาสนา วาดวยเรื่องพระศาสนทูต ๙ พระพุทธเจาประสูติและปรินิพพานใต สาย ทพ่ี ระโมคคัลลีบุตรติสสเถระสงไป รมไมสาละ (เคยแปลกันวา ตนรัง) ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ในดิน สาลคาม ช่อื ตาํ บลหนึ่งในสกั กชนบท แดนตางๆ เมื่อเสร็จการสังคายนาครั้ง สาลพฤกษ ตน สาละ ที่ ๓ ในพระบรมราชูปถัมภของพระเจา สาลวโนทยาน สวนปา ไมส าละ อโศกมหาราช ประมาณ พ.ศ.๒๓๕, สาลวนั ปา ไมส าละ แตงโดยพระปญญาสามี ในประเทศ สาโลหติ สายโลหติ , ผรู ว มสายเลอื ด พมา เม่ือ พ.ศ.๒๔๐๔, ขอที่นาสังเกต

สาสวะ ๔๔๑ สิกขมานา เปนพิเศษ คือ ตํานานสาสนวงสน้ีบอก ถึงลักดวยมือของตนเอง เปนอวหาร วา มหารัฐ ที่พระมหาธรรมรักขิตเถระ อยา งหนงึ่ ใน ๒๕ อยา ง ทพี่ ระอรรถกถา- ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนา คือดิน จารยแ สดงไวใ นปาราชกิ สกิ ขาบทที่ ๒ แดนใกลสยามรัฐ, อปรันตรัฐ ท่ีพระ สาฬหะ ชอื่ พระเถระองคห นง่ึ ในการกสงฆ โยนกธรรมรักขิตเถระ เปนพระศาสน- ผทู าํ สังคายนาคร้งั ที่ ๒ ทูตนําคณะไป สาสนวงสวา ก็คือสนุ า- สาํ นอง รบั ผดิ ชอบ, ตอ งรบั ใช, ตอบแทน ปรนั ตชนบท ที่พระปุณณะไดอ าราธนา สาํ นัก อยู, ทอ่ี ย,ู ทีพ่ กั , ท่อี าศยั , แหลง พระพุทธเจาเสดจ็ ไปในพทุ ธกาล และวา สาํ รวม ระมัดระวัง, เหนย่ี วรง้ั , ระวงั เปนดินแดนสวนหนึ่งในประเทศพมา รกั ษาใหส งบเรยี บรอย เชน สํารวมตา, แถบฝงขวาของแมนํ้าอิรวดี ใกลเมือง สํารวมกาย, ครอง เชนสาํ รวมสติ คอื พกุ าม (Pagan) แตนกั ปราชญบางทา น ครองสต;ิ ดู สงั วร; รวม ประสมปนกัน อยา ง Dr. G.P. Malalasekera เห็นวา เชน อาหารสํารวม สุนาปรันตะนาจะเปนดินแดนทางตะวัน สํารวมอนิ ทรีย ดู อินทรียสงั วร ตกตอนกลางของประเทศอินเดียนั่นเอง สํารอก ทําสิ่งที่ไมตองการใหหลุดออก แถบรัฐ Gujarat ไปจนถึงแควน มา, นาํ ออก, เอาออก เชน สาํ รอกสี จติ Sindh ดานปากีสถาน (สอดคลอ งกบั สํารอกจากอาสวะ อวิชชาสํารอกไป เร่ืองในอรรถกถาทวี่ า พระพทุ ธเจา เสด็จ (วิราคะ) ไ ป ที่ น่ั น ผ า น แ ม น้ํานั ม ม ท า คื อ สาํ ลาน สเี หลืองปนแดง Narmada), สว น สวุ รรณภมู ิ สาสนวงส สําเหนียก กาํ หนด, จดจาํ , คอยเอาใจใส, วา ไดแกรามัญรัฐ คือแควนมอญ ต้ัง ฟง, ใสใจคิดท่ีจะนาํ ไปปฏิบัติ, ใสใจ แตหงสาวดี ลงมาถึงเมาะตะมะ โดยมี สังเกตพิจารณาจับเอาสาระเพื่อจะนําไป ศูนยกลางของสุวรรณภูมิ ท่ีเมืองหลวง ปฏิบัติใหสําเร็จประโยชน (คําพระวา ชื่อสุธรรมนคร อันไดแกสะเทิม สกิ ขา หรือ ศึกษา) (Thaton); ดู โมคคัลลีบตุ รติสสเถระ, สิกขมานา นางผกู าํ ลงั ศกึ ษา, สามเณรผี ู ปณุ ณสุนาปรันตะ, สุวรรณภูมิ มีอายถุ ึง ๑๘ ปแ ลว อีก ๒ มจี ะครบ สาสวะ เปนไปกับดวยอาสวะ, ประกอบ บวชเปนภิกษุณี ภิกษุณีสงฆสวดให ดว ยอาสวะ, ยังมอี าสวะ, เปนโลกยิ ะ สิกขาสมมติ คือ ตกลงใหสมาทาน สาหตั ถกิ ะ ทาํ ดว ยมอื ของตนเอง หมาย สกิ ขาบท ๖ ประการ ตง้ั แต ปาณาตปิ าตา

สกิ ขา ๔๔๒ สกิ ขาบท เวรมณี จนถงึ วกิ าลโภชนา เวรมณี ให บาทแหง วปิ ส สนา เปน อธจิ ติ ; แตส มาบตั ิ รักษาอยางเครง ครัดไมข าดเลย ตลอด ๘ นนั้ แหละ ถา ปฏบิ ตั ดิ ว ยความเขาใจ เวลา ๒ ปเ ต็ม (ถา ลว งขอ ใดขอ หนึง่ มุงใหเปนเครื่องหนุนนําออกจากวัฏฏะ ตองสมาทานต้ังตนไปใหมอีก ๒ ป) กเ็ ปน อธจิ ติ ) ๓. อธิปญ ญาสิกขา สกิ ขา ครบ ๒ ป ภิกษุณีสงฆจึงทําพิธี คือปญญาอันย่งิ , อธิปญญาอนั เปน ขอ ที่ อปุ สมบทให ขณะทสี่ มาทานสกิ ขาบท ๖ จะตอ งศกึ ษา, ขอ ปฏบิ ตั เิ พอื่ การฝก อบรม ประการอยางเครงครัดน้ีเรียกวา นาง พัฒนาปญญาอยางสูง (ความรูเขาใจ สิกขมานา หลักเหตผุ ลถกู ตอ งอยา งสามญั อนั เปน สิกขา การศกึ ษา, การสาํ เหนียก, การ กัมมัสสกตาญาณคอื ความรจู กั วา ทกุ คน เรยี น, การฝกฝนปฏบิ ัต,ิ การเลา เรียน เปนเจาของแหงกรรมของตน เปน ใหรเู ขา ใจ และฝกหัดปฏบิ ตั ใิ หเปน คณุ ปญ ญา, วปิ ส สนาปญ ญาทกี่ าํ หนดรคู วาม สมบัติที่เกิดมีข้ึนในตนหรือใหทําไดทํา จรงิ แหง ไตรลกั ษณ เปน อธปิ ญ ญา; แต เปน ตลอดจนแกไขปรบั ปรงุ หรอื พัฒนา โดยนยั อยางเพลา กัมมัสสกตาปญญาที่ ใหด ยี ่งิ ขึน้ ไปจนถงึ ความสมบรู ณ; ขอ ท่ี โยงไปใหมองเห็นทุกขท่ีเน่ืองดวยวัฏฏะ จะตอ งศกึ ษา, ขอ ปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ฝก อบรม หรือแมกระทั่งความรูความเขาใจท่ีถูก พฒั นาบคุ คล; สกิ ขา ๓ คอื ๑. อธสิ ลี - ตอ งในการระลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั ซงึ่ สิกขา สิกขาคอื ศลี อันยิง่ , อธิศีลอนั เปน จะเปนปจจัยหนุนใหกาวไปในมรรค ก็ ขอท่ีจะตอ งศึกษา, ขอปฏิบัตเิ พอื่ การฝก เปน อธปิ ญ ญา); สิกขา ๓ น้ี นิยมเรยี ก อบรมพัฒนาศีลอยางสงู (ศีล ๕ ศีล ๘ วา ไตรสกิ ขา และเรยี กขอ ยอ ยทงั้ สาม ศลี ๑๐ เปนศลี , ปาฏโิ มกขสังวรศีล งา ยๆ สนั้ ๆ วา ศลี สมาธิ ปญ ญา เปนอธิศีล; แตศ ลี ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐ ที่ สิกขาคารวตา ดู คารวะ รักษาดวยความเขาใจ ใหเปนเคร่ือง สกิ ขานุตตรยิ ะ การศึกษาอันเยี่ยม ได หนนุ นาํ ออกจากวฏั ฏะ กเ็ ปน อธศิ ลี ) ๒. แก การฝกอบรมในอธิศีล อธจิ ิตตและ อธจิ ติ ตสกิ ขา สิกขาคอื จิตอนั ย่งิ , อธจิ ติ อธปิ ญญา (ขอ ๔ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) อนั เปนขอทจ่ี ะตอ งศึกษา, ขอปฏิบตั เิ พอ่ื สิกขาบท ขอที่ตอ งศกึ ษา, ขอ ศลี , ขอ การฝกอบรมพัฒนาจิตใจใหมีสมาธิ วินยั , บทบญั ญัตขิ อ หนง่ึ ๆ ในพระวนิ ยั เปน ตนอยางสงู (กศุ ลจติ ทงั้ หลายจนถงึ ที่ภกิ ษพุ ึงศกึ ษาปฏิบัติ, ศีล ๕ ศลี ๘ สมาบตั ิ ๘ เปน จติ , ฌานสมาบตั ทิ เี่ ปน ศลี ๑๐ ศลี ๒๒๗ ศลี ๓๑๑ แตล ะขอ ๆ

สกิ ขาสมมติ ๔๔๓ สิตธัตถกมุ าร เรยี กวา สกิ ขาบท เพราะเปน ขอที่จะตอ ง ธรรมเทศนากไ็ ดบรรลพุ ระอรหตั ไดร ับ ศกึ ษา หรือเปนบทฝก ฝนอบรมตนของ ยกยอ งวา เปน เอตทคั คะในทางศรัทธา- สาธุชน อุบาสก อุบาสิกา สามเณร วิมุต; สคิ าลกมาตา หรอื สิงคาลมาตา สามเณรี ภกิ ษุ และภิกษุณี ตามลําดบั กเ็ รยี ก สิกขาสมมติ ความตกลงยินยอมของ สิง อย,ู เขาอยู ภกิ ษุณสี งฆท จ่ี ะใหสามเณรีผูมอี ายุ ๑๘ สิงคิวรรณ ผาเน้ือเกล้ียงสีดังทองสิงคี ปเต็มแลว เร่ิมรักษาสิกขาบท ๖ บุตรของมัลลกษัตรยิ  ชอ่ื ปกุ กสุ ะถวาย ประการ ตลอดเวลา ๒ ป กอนท่ีจะได แดพระพทุ ธเจา ในวนั ทจี่ ะปรินิพพาน อุปสมบท, เมื่อภิกษุณีสงฆใหสิกขา- สิงหนาท ดู สหี นาท สมมติแลว สามเณรีน้ันไดชื่อวาเปน สงิ หล, สิงหฬ ชาวสิงหล, ชาวลังกา, ซ่ึง สิกขมานา มีหรืออยูในประเทศลังกา, ชนเชื้อชาติ สิขี พระนามของพระพุทธเจาพระองค สิงหลหรือเผาสิงหล ท่ีตางหากจากชน หนง่ึ ในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๗ เชอ้ื ชาตอิ นื่ มีทมฬิ เปนตน ในประเทศ สคิ าลมาตา พระมหาสาวิกาองคหนึ่งเปน ศรีลังกา; สีหล หรือ สหี ฬ กเ็ รยี ก ธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤหเจรญิ วยั สถิ ลิ พยญั ชนะทอ่ี อกเสยี งเพลา (ถกู ฐาน แลว แตง งาน มบี ตุ รคนหนงึ่ ชอื่ สงิ คาล- ของตนหยอนๆ มีเสียงเบา) ไดแก กุมาร วันหนึ่งไดฟงธรรมีกถาของพระ พยญั ชนะท่ี ๑ ที่ ๓ ในวรรคทง้ั ๕ คอื ศาสดา มีความเล่ือมใส (คัมภีรอ ปทาน ก, ค; จ, ช; ฏ, ฑ; ต, ท; ป, พ; คูกบั วา ไดฟงสิงคาลกสูตรที่พระพุทธเจา ธนติ (เทยี บระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ี่ธนติ ) ทรงแสดงแกบ ตุ รของนาง ซง่ึ วา ดว ยเรอ่ื ง สิตธัตถกุมาร พระนามเดิมของพระ อบายมขุ มติ รแท มติ รเทยี ม ทศิ ๖ พทุ ธเจา กอ นเสดจ็ ออกบรรพชา ทรงเปน เปน ตน และไดบ รรลโุ สดาปต ตผิ ล) ขอ พระราชโอรสของพระเจาสุทโธทนะและ บวชเปนภิกษุณี ตอมาไดไปฟงธรรม- พระนางสิรมิ หามายา คําวา สทิ ธัตถะ เทศนาทพี่ ระศาสดาทรงแสดง นางคอย แปลวา “มีความตองการสาํ เรจ็ ” หรือ ต้ังตาดูพระพุทธสิริสมบัติดวยศรัทธา “สําเร็จตามท่ีตองการ” คือสมประสงค อนั แรงกลา พระพทุ ธองคท รงทราบดงั นนั้ จะตอ งการอะไรไดห มด ทรงอภเิ ษกสมรส ก็ทรงแสดงธรรมใหเหมาะกับอัธยาศัย กบั พระนางยโสธราเมอื่ พระชนมายุ ๑๖ ป ของนาง นางสงใจไปตามกระแสพระ เสดจ็ ออกบรรพชาเมอื่ พระชนมายุ ๒๙ ป

สนิ ไถ ๔๔๔ สมี าวบิ ตั ิ ไดต รสั รเู ปน พระพทุ ธเจา เมอ่ื พระชนมายุ ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๔); ดู มาตรา ๓๕ ป ปรนิ พิ พานเมอ่ื พระชนมายุ ๘๐ ป สกี า คําทพ่ี ระภกิ ษใุ ชเ รียกผูห ญิงอยางไม สนิ ไถ เงนิ ไถคา ตวั ทาส เปน ทางการ เลือนมาจาก อบุ าสิกา บดั นี้ สินธพ มา พันธดุ เี กดิ ที่ลุมนํ้าสินธุ ไดยนิ ใชน อ ย ส้ินพระชนม หมดอาย,ุ ตาย สีตะ เย็น, หนาว สเิ นรุ ชือ่ ภาษาบาลีของภูเขาเมร;ุ ดู เมรุ สีมสมั เภท ดู สมี าสัมเภท สบิ สองตาํ นาน “สบิ สองเรอ่ื ง” คอื พระ สีมนั ตริก เขตค่นั ระหวางมหาสมี า กับ ปริตรที่มีอํานาจคุมครองปองกันตาม ขัณฑสีมาเพ่ือมิใหระคนกัน เชนเดียว เรอ่ื งตน เดมิ ทเี่ ลา ไว ซงึ่ ไดจ ดั รวมเปน ชดุ กับชานท่ีกั้นเขตของกันและกันใน รวม ๑๒ พระปรติ ร; อกี นยั หนง่ึ วา “สบิ ระหวา ง สองปรติ ร” แตต ามความหมายน้ี นา จะ สีมา เขตกาํ หนดความพรอมเพรยี งสงฆ, เขยี น สิบสองตํานาณ คอื สบิ สองตาณ เขตชมุ นุมของสงฆ, เขตทีส่ งฆต กลงไว (ตาณ=ปรติ ต, แผลงตาณ เปน ตาํ นาณ); สําหรับภิกษุท้ังหลายที่อยูภายในเขตนั้น ดู ปรติ ร, ปรติ ต สิริ ศรี, มง่ิ ขวัญ, มงคล, ความนานิยม, จะตองทาํ สังฆกรรมรวมกัน แบง เปน ๒ ประเภทใหญคือ ๑. พัทธสีมา แดนทผ่ี กู ลักษณะดีงามที่นําโชคหรือตอนรับเรียก ไดแก เขตท่ีสงฆกําหนดข้ึนเอง ๒. มาซึ่งความเจรญิ รงุ เรอื ง; ตรงขา มกับ กาฬ- อพทั ธสมี า แดนทไ่ี มไดผ ูก ไดแกเขตท่ี กรรณี ทางบานเมืองกําหนดไวแลวตามปกติ สิลฏิ ฐพจน คาํ สละสลวย, คาํ ไพเราะ, ของเขา หรอื ทม่ี อี ยา งอน่ื ในทางธรรมชาติ ไดแกคําควบกับอีกคําหนึ่งเพ่ือใหฟง เปนเคร่ืองกําหนด สงฆถือเอาตาม ไพเราะในภาษา หาไดมีใจความพิเศษ กําหนดน้นั ไมว างกําหนดข้นึ เองใหม ออกไปไม เชน ในคําวา “คณะสงฆ” สีมามีฉายาเปนนมิ ติ สมี าที่ทําเงาอยา ง คณะ กค็ อื สงฆ ซึง่ แปลวา หมู หมายถึง ใดอยา งหนงึ่ มเี งาภเู ขาเปน ตน เปน นมิ ติ หมแู หง ภกิ ษจุ าํ นวนหนงึ่ คาํ วา คณะ ใน (มตสิ มเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา ทีน่ ี้เรยี กวา เปน สิลฏิ ฐพจน ในภาษาไทย วชริ ญาณวโรรสวา สีมาทีถ่ ือเงาเปน แนว เรยี กวา คําตดิ ปาก ไมไ ดเ พงเนอ้ื ความ นมิ ติ ) จัดเปน สมี าวบิ ัติอยา งหนึ่ง สิสิระ, สิสริ กาล, สสิ ริ ฤดู ฤดเู ยือก, สมี าวิบตั ิ ความเสียโดยสมี า, เสยี เพราะ ฤดูทายหนาว (แรม ๑ ค่ํา เดือน ๒ ถึง เขตชุมนุม (ไมถ กู ตอ งหรอื ไมส มบูรณ) ,

สมี าสมบตั ิ ๔๔๕ สีมาสัมเภท สีมาใชไ มได ทําใหส ังฆกรรมซง่ึ ทํา ณ ท่ี ภาวนา (และเจริญพรหมวหิ ารขอ อื่นทกุ ขอ ) สมี าสมั เภท เปนขน้ั ตอนสําคญั ของ น้นั วิบตั ิคอื เสียหรือใชไ มไ ด (เปนโมฆะ) ความสาํ เรจ็ กลา วคือ เบื้องตน ผปู ฏบิ ัติ เจริญเมตตาตอบุคคลทรี่ กั เคารพเริ่มแต ไปดว ย, คัมภีรปรวิ ารแสดงเหตุใหก รรม เมตตาตอตนเองเพ่ือเอาตัวเปนพยาน แลว ขยายจากคนทรี่ กั มาก (ตอนนไ้ี มร วม เสยี โดยสีมา ๑๑ อยา ง เชน ๑. สมมติ เพศตรงขา มและคนที่ตายแลว ) ออกไป ยังคนที่รักที่พอใจ ตอไปสูคนท่ีเฉยๆ สมี าใหญเ กนิ กําหนด (เกนิ ๓ โยชน) เปนกลางๆ จนกระท่ังคนท่ีเกลียดชัง เปนศัตรูหรือคนคูเวร เมื่อใดทําใจให ๒. สมมติสีมาเลก็ เกนิ กําหนด (จไุ มพ อ เมตตาปรารถนาดีตอคน ๔ กลุมได เสมอกันหมด คอื ตอ ตนเอง ตอคนท่ี ภิกษุ ๒๑ รูปนง่ั เขา หตั ถบาสกัน) ๓. รัก ตอคนที่เปน กลางๆ และตอศัตรคู น คูเ วร เมอื่ น้นั เรยี กวาเปน “สมี าสัมเภท” สมมตสิ ีมามีนิมิตขาด ๔. สมมตสิ มี า (คือเหมือนกําแพงท่ีกั้นพังทลายใหสี่ แดนคือคนสี่กลุมน้ันรวมเขามาเปนอัน ฉายาเปนนิมิต ๕. สมมติสมี าไมมีนมิ ติ หน่ึงอันเดียว) ลุถึงข้ันท่ีมีจิตเมตตา เปนตนเสมอกันหมดตอสรรพสัตวท่ัว ฯลฯ, สังฆกรรมที่ทาํ ในที่เชน น้กี เ็ ทา กบั สรรพโลก ทําในที่มใิ ชส มี านัน่ เอง จึงยอมใชไมได; ในแงการปฏิบัติ เมื่อจติ หมดความ ดู วบิ ัติ (ของสงั ฆกรรม) แบงแยกรวมเรียบเสมอลงได กเ็ กดิ เปน สีมาสมบัติ ความพรอมมูลโดยสีมา, อปุ จารสมาธิ และสมี าสมั เภทนัน่ เองก็ ความสมบูรณแหงเขตชุมนุม, สีมาซ่ึง เปนนิมิตสําหรับการเจริญพรหมวิหาร- ภาวนา สงฆสมมติแลวโดยชอบ ไมวิบตั ิ ทําให ผูท่ีเจรญิ เมตตาก็ดี เจรญิ กรุณาก็ดี สังฆกรรมซึ่งทําใหสีมานั้นมีผลสมบูรณ เจริญมุทิตาก็ดี เม่ือเสพเจริญนิมิตนั้น ไป ในท่ีสุดก็จะเกิดเปนอัปปนาสมาธิ กลาวคือ สีมาปราศจากขอบกพรอง เขา ถงึ ปฐมฌาน แลว เสพเจริญนิมิตน้นั ตางๆ ที่เปนเหตุใหสีมาวิบัติ (ดู สีมา วิบตั ิ) สงั ฆกรรมซึ่งทาํ ณ ทีน้นั จงึ ชือ่ วา ทําในสีมา จึงใชไดในขอนี้; ดู สมบัติ (ของสังฆกรรม) สีมาสงั กระ สมี าคาบเก่ยี วกัน, เปน เหตุ สมี าวิบัติอยา งหน่ึง สีมาสัมเภท การทําเขตแดนใหระคน ปะปนกนั , การทลายขีดคนั่ รวมแดน 1. ในทางพระวนิ ยั หมายถึงการทีส่ มี ากา ย เกยคาบเกยี่ วกัน คือเปนสีมาสังกระ; ดู สีมาสังกระ 2. ในการเจริญเมตตา

สีลกถา ๔๔๖ สลี พั พตปรามาส ตอ ไปอกี กจ็ ะเขา ถงึ ทตุ ยิ ฌาน และตตยิ - บุญกริ ยิ าวตั ถุ ๓ และ ๑๐) ฌาน ตามลําดบั ตอ จากตตยิ ฌานน้นั สีลวบิ ตั ิ เสียศีล, สําหรับภกิ ษุ คือตอ ง เขาเจริญอเุ บกขาภาวนา จนกระทั่งมจี ติ อาบตั ปิ าราชิกหรือสงั ฆาทเิ สส (ขอ ๑ เปนอุเบกขาตอสรรพสัตวเสมอกันได ในวิบตั ิ ๔) เปนสีมาสัมเภท และเสพเจริญนิมติ แหง สีลวิสุทธิ ความหมดจดแหงศีล คือ สีมาสัมเภทนน้ั ไปจนเกดิ จตุตถฌาน รักษาศีลใหบริสุทธ์ิตามภูมิของตน ซ่ึง สําหรับบุคคลท่กี ลาวมานี้ เมือ่ มจี ติ จะชวยเปน ฐานใหเกิดสมาธิได (ขอ ๑ เปนอัปปนาแลว ตั้งแตข นั้ ปฐมฌาน จะมี ในวสิ ทุ ธิ ๗) วกิ พุ พนา คือ เพราะจติ สงบปลอดโปรง สลี สัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี คือ ถาเปน แคลวคลองและเปนจริง ก็จึงสามารถ คฤหัสถ ก็รักษากายวาจาใหเรียบรอย แผกผนั ปรบั แปรการแผเ มตตา เปน ตน ประพฤติอยูในคลองธรรม ถาเปน ภกิ ษุ นั้น ท้ังในแบบทั่วตลอดไรขอบเขต ก็สาํ รวมในพระปาฏิโมกข มีมารยาทดี เปนอโนธโิ สผรณา ทั้งในแบบเจาะจง งาม เปน ตน (ขอ ๒ ในสมั ปรายกิ ตั ถ- จาํ กดั ขอบเขต เปน โอธโิ สผรณา และใน สงั วตั ตนกิ ธรรม ๔, ขอ ๑ ในจรณะ ๑๕) แบบจาํ เพาะทิศจาํ เพาะแถบ เปนทสิ า- สลี สามญั ญตา ความสมา่ํ เสมอกนั โดยศลี ผรณา ชอ่ื วาเปน ผปู ระกอบพรอ มดวย คือ รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพ่ือน อปั ปมญั ญาธรรม; ดูแผเ มตตา,วกิ พุ พนา, ภกิ ษสุ ามเณร ไมท าํ ตนใหเ ปน ทนี่ า รงั เกยี จ อโนธิโสผรณา,โอธิโสผรณา,ทสิ าผรณา ของหมคู ณะ (ขอ ๕ ในสาราณยี ธรรม ๖) สีลกถา ถอยคําที่ชักนําใหตั้งอยูในศีล สลี สิกขา ดู อธสิ ีลสิกขา สลี ัพพตปรามาส ความยึดถือวา บุคคล (ขอ ๖ ในกถาวัตถุ ๑๐) สลี ขันธ กองศีล, หมวดธรรมวา ดวยศลี จะบริสุทธิ์หลุดพนไดดวยศีลและวัตร เชน กายสุจริต สมั มาอาชวี ะ อินทรยี - (คือถือวาเพียงประพฤติศีลและวัตรให สงั วร โภชเนมัตตัญตุ า เปน ตน (ขอ เครงครัดก็พอท่ีจะบริสุทธ์ิหลุดพนได ๑ ในธรรมขนั ธ ๕) ไมตอ งอาศัยสมาธิและปญ ญากต็ าม ถอื สลี ขันธวรรค ตอนท่ี ๑ ใน ๓ ตอนแหง ศีลและวัตรท่ีงมงายหรืออยางงมงายก็ คมั ภรี ท ีฆนกิ าย พระสุตตันตปฎก ตาม), ความถือศีลพรต โดยสักวา ทาํ สีลมยั บุญสําเร็จดว ยการรกั ษาศลี , ทํา ตามๆ กันไปอยางงมงาย หรือโดยนยิ ม บุญดว ยการประพฤตดิ งี าม (ขอ ๒ ใน วา ขลงั วาศกั ดสิ์ ิทธิ์ ไมเ ขา ใจความหมาย

สลี ัพพตุปาทาน ๔๔๗ สหี นาท และความมุงหมายทแ่ี ทจริง, ความเชอ่ื พระอรหตั ทา นสมบูรณด ว ยปจจยั ลาภ ถือศกั ด์ิสิทธดิ์ ว ยเขา ใจวา จะมีไดด ว ยศีล และทําใหลาภเกิดแกภิกษุสงฆเปนอัน หรือพรตอยางน้ีลวงธรรมดาวิสัย (ขอ มาก ไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะใน ๓ ในสังโยชน ๑๐, ขอ ๖ ในสงั โยชน ทางมลี าภมาก ๑๐ ตามนยั พระอภิธรรม) สหี นาท “การบนั ลือของราชสีห” หรือ สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นศีลและ “การบันลืออยางราชสีห”, การสําแดง วัตรดวยอาํ นาจกิเลส, ความถือมั่นศีล ความจรงิ ประกาศสถานะของตน หรือ พรต คือธรรมเนียมทีป่ ระพฤติกันมาจน ยืนยันหลักการบนฐานแหงความจริง ชินโดยเช่ือวาขลังเปนเหตุใหงมงาย, ดวยการช้ีแจงแถลงเร่ืองราวหรือขอมูล คัมภีรธัมมสังคณีแสดงความหมาย อยางเปดเผยตัวฉะฉานชดั แจง และไม อยางเดียวกับ สีลพั พตปรามาส (ขอ ๓ หวาดหว่ันครัน่ ครา ม เชน พระพทุ ธเจา ในอุปาทาน ๔) ทรงบันลือสีหนาท ในกรณีท่ีมีผูตูหรือ สีลานุสติ ระลึกถึงศีลของตนท่ีได กลา วรา ย แลว ลมลางคาํ ตหู รอื คาํ กลา ว ประพฤติมาดวยดีบริสุทธิ์ไมดางพรอย รา ยนนั้ ได สยบผตู ูผ ูกลาวรายหรือทาํ ให (ขอ ๔ ในอนสุ ติ ๑๐) เขายอมรบั และทาํ ใหผ ศู รทั ธายง่ิ มคี วาม สวี ลี พระมหาสาวกองคห นง่ึ เปน พระ มั่นใจ, พระสูตรบางเร่ือง อรรถกถา โอรสพระนางสุปปวาสา ซ่ึงเปนพระ บอกวาเปนพุทธสหี นาททัง้ พระสูตร เชน ราชธิดาของเจากรุงโกลิยะ ปรากฏวา ตั้ง วมี งั สกสตู ร (ม.มู.๑๒/๕๓๕/๕๗๖) ที่ แตทานปฏิสนธิในครรภ เกิดลาภ พระพุทธเจาตรัสแสดงวิธีที่สาวกจะ สกั การะแกพระมารดาเปนอนั มาก ตาม ตรวจสอบพระองค ใหเหน็ วามพี ระคุณ ตํานานวาอยูในครรภม ารดาถึง ๗ ป สมควรหรอื ไมทจ่ี ะเขา ไปหาเพือ่ ฟงธรรม พระมารดาเจบ็ พระครรภถงึ ๗ วัน ครง้ั จะไดมีศรัทธาท่ีประกอบดวยปญญา, ประสตู แิ ลว กท็ าํ กจิ การตา งๆ ไดท นั ที ตอ นอกจากการบันลือสีหนาทของพระพทุ ธ มาทา นบวชในสาํ นกั ของพระสารบี ตุ ร ใน เจา แลว พบการบันลอื สหี นาทของพระ วันท่ีบวช พอมีดโกนตัดกลมุ ผมคร้ังที่ สาวกมากแหง , บางแหงสหี นาทมาดวย ๑ ไดบรรลุโสดาปตตผิ ล ครง้ั ที่ ๒ ได กันกับอาสภิวาจา (เชน พระสารีบุตร บรรลสุ กทาคามผิ ล คร้งั ท่ี ๓ ไดบ รรลุ เปลง อาสภวิ าจาบนั ลอื สหี นาท, ท.ี ม.๑๐/ อนาคามิผล พอปลงผมเสร็จกไ็ ดส ําเร็จ ๗๗/๙๖) แตพ ระสาวกทเ่ี ปลง อาสภวิ าจา

สหี ล,สีหฬ ๔๔๘ สุขของคฤหัสถ นนั้ ปรากฏนอ ยนกั เทา ทไ่ี ดพ บคอื พระ อยางอื่นอีก เชน ไมไดฌ านสมาบัติ ไม สารบี ตุ ร และพระอนรุ ทุ ธ; สงิ หนาท ก็ ไดอ ภญิ ญา เปนตน; ดู อรหันต ใช; ดู อาสภวิ าจา สุกรขาตา ช่ือถา้ํ อยูท ่ภี ูเขาคชิ ฌกูฏ พระ สหี ล, สหี ฬ ดู สิงหล นครราชคฤห ณ ที่นพ้ี ระสารีบตุ รได สีหลทวปี “เกาะของชาวสิงหล”, เกาะ สาํ เร็จพระอรหตั เพราะไดฟงพระธรรม ลงั กา, ประเทศศรีลงั กา เทศนาท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงแก สีหไสยา นอนอยางราชสีห คือนอน ปรพิ าชกท่ีทีฆนขะ; ดู ทฆี นขะ ตะแคงขวา ซอนเทาเหลื่อมเทา มี สขุ ความสบาย, ความสําราญ, ความฉํา่ สตสิ ัมปชัญญะ กําหนดใจถงึ การลกุ ขึน้ ชืน่ ร่ืนกายรื่นใจ มี ๒ คือ ๑. กายิกสุข ไว (มีคาํ อธบิ ายเพิ่มอกี วา มอื ซา ยพาด สขุ ทางกาย ๒. เจตสกิ สขุ สขุ ทางใจ, อีก ไปตามลาํ ตัว มอื ขวาชอ นศีรษะไมพ ลิก หมวดหนง่ึ มี ๒ คอื ๑. สามิสสุข สขุ องิ อามสิ คอื อาศยั กามคณุ ๒. นิรามสิ สุข กลบั ไปมา) สหี หนุ กษตั รยิ ศ ากยวงศ เปน พระราชบตุ ร สุขไมอิงอามิส คอื องิ เนกขัมมะ หรอื ของพระเจาชยเสนะ เปนพระราชบิดา สุขท่ีเปน อิสระ ไมข ้ึนตอวัตถุ (ทานแบง ของพระเจาสุทโธทนะ เปนพระอัยกา เปนคูๆ อยางนีอ้ ีกหลายหมวด) ของพระพุทธเจา สุขของคฤหัสถ สุขอันชอบธรรมท่ีผู สุกกะ นา้ํ กาม, นํ้าอสจุ ิ ครองเรอื นควรมี และควรขวนขวายให สกุ โกทนะ กษัตรยิ ศากยวงศ เปน พระ มีอยูเสมอ มี ๔ อยา ง คอื ๑. อัตถิสขุ ราชบุตรองคที่ ๒ ของพระเจา สหี หนุ สุขเกิดจากความมที รพั ย (ทีไ่ ดมาดว ย เปนพระอนุชาของพระเจาสุทโธทนะ เรย่ี วแรงของตน โดยทางชอบธรรม) ๒. เปน พระบดิ าของพระเจา มหานาม และ โภคสุข สุขเกิดจากการใชจายทรัพย พระอนุรุทธะ (นวี้ า ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏี. (เล้ียงตน เล้ียงคนควรเลี้ยง และทํา ๓/๓๔๙ เปนตน แตวาตามหนงั สอื เรยี น ประโยชน) ๓. อนณสุข สุขเกิดจาก เปนพระบิดาของพระอานนท) มีเร่ือง ความไมเ ปน หนี้ ๔. อนวชั ชสุข สุขเกิด ราว (ธ.อ.๖/๑๕๙) ทแี่ สดงวา เจา สุกโกทนะ จากประกอบการอันไมมีโทษ (มีสุจรติ มีราชธิดาดว ย คอื เจา หญิงโรหิณี ท้ัง กาย วาจา และใจ), เฉพาะขอ ๔ สุกขวิปสสก พระผูเจริญวิปสสนาลวน ตามแบบเรียนวา สุขเกิดแตประกอบ สําเร็จพระอรหัต มิไดทรงคุณวิเศษ การงานทป่ี ราศจากโทษ

สขุ เวทนา ๔๔๙ สุคโต สุขเวทนา ความรูสกึ สุขสบาย (ขอ ๑ ใน สคุ ต สคุ ติ คตดิ ,ี ทางดาํ เนนิ ทด่ี ,ี แดนกาํ เนดิ อนั เวทนา ๓) สขุ สมบัติ สมบัตคิ ือความสขุ , ความถงึ ดที สี่ ตั วผ ทู าํ กรรมดตี ายแลว ไปเกดิ ไดแ ก มนษุ ย และ เทพ; ตรงขา มกบั ทคุ ต;ิ ดู คติ พรอมดวยความสขุ สขุ าวดี แดนทมี่ คี วามสขุ , เปน แดนสถติ สคุ โต (พระผมู พี ระภาคเจา นนั้ ) “เสด็จไป ของพระอมิตาภพุทธ ฝา ยมหายาน ดีแลว” คือ ทรงมที างเสด็จทด่ี ีงามอันได สขุ มุ ละเอยี ด, ละเอยี ดออ น, นม่ิ นวล, ซงึ้ แกอริยมรรค, เสด็จไปสูที่ดีงามกลาว สขุ มุ รปู รูปละเอียด, ในพระไตรปฎก คือพระนิพพาน, เสด็จไปดวยดีโดย เรียกวา “อนทิ ัสสนอปั ปฏิฆรูป” คือเปน ชอบ กลาวคือ ทรงดาํ เนินรุดหนาไม รปู ท่มี องไมเห็นและกระทบไมไ ด มี ๑๖ หวนกลบั มาสกู เิ ลสที่ทรงละไดแ ลว ทรง อยา ง ไดแ ก อาโปธาตุ และอุปาทายรูป ดาํ เนนิ สผู ลสาํ เรจ็ ไมถ อยหลงั ไมก ลบั ตก ที่เหลอื เวน ปสาทรปู และวิสัยรูป (คือ จากฐานะท่ีลุถึง ทรงดําเนินในทางอัน เปนมหาภูตรปู ๑ และอุปาทายรูป ๑๕ ถูกตองคือมัชฌิมาปฏิปทา ไมเฉเชือน แจกแจงออกไปดงั น้ี อาโปธาตุ ๑ ภาว- ไปในทางทผ่ี ิด คอื กามสุขัลลกิ านุโยค รปู ๒ หทยั รปู ๑ ชวี ติ รูป ๑ อาหารรูป ๑ และอตั ตกิลมถานุโยค เสด็จไปดี เสด็จ ปรจิ เฉทรปู ๑ วิญญัตติรูป ๒ วิการรูป ท่ีใดก็ทรงทําประโยชนใหแกมหาชนในท่ี ๓ และลกั ขณรูป ๔), สุขมุ รูปเหลานี้ รับ นน้ั เสดจ็ ไปโดยสวสั ดแี ละนาํ ใหเ กดิ ความ รูไมไดดวยประสาทท้ัง ๕ แตเปน สวสั ดี แมแ ตพ บองคลุ มิ าลมหาโจรราย ธรรมารมณ อนั รไู ดด วยใจ; ดู รูป ๒๘, ก็ทรงกลับใจใหเขากลายเปนคนดีไมมี อนทิ ัสสนอัปปฏิฆรูป, ธมั มายตนะ ภัย เสด็จผานไปแลวดวยดี ไดทรง สขุ มุ าลชาติ มพี ระชาตลิ ะเอยี ดออน, มี บําเพ็ญพุทธกจิ ไวบ รบิ รู ณ ประดิษฐาน ตระกูลสงู พระพทุ ธศาสนาไว เพ่ือชาวโลก ใหเ ปน สุคต ผูเสด็จไปดีแลว,เปนพระนามของ เครื่องเผล็ดประโยชนแกประชาชนท้ัง พระพทุ ธเจา ; ดู สุคโต ดว ย ปวงผูเกิดมาในภายหลัง, ทรงมีพระ สุคตประมาณ ขนาดหรือประมาณของ วาจาดี หรือตรัสโดยชอบ คอื ตรสั แตค าํ พระสคุ ต คอื พระพุทธเจา, เกณฑหรือ จรงิ แท ประกอบดว ยประโยชน ในกาลท่ี มาตรวดั ของพระสุคต ควรตรัส และบุคคลทค่ี วรตรัส (ขอ ๔ สุคตาณัตติพจน พระดํารัสสั่งของพระ ในพทุ ธคณุ ๙)

สุคโตวาท ๔๕๐ สญุ ญตา สุคโตวาท โอวาทของพระสุคต, พระ เห็นความวาง หมดความยึดมั่น คือ ดํารัสสอนของพระพุทธเจา พจิ ารณาเหน็ นามรปู โดยความเปน อนตั ตา สคุ นธชาติ ของหอม, เครื่องหอม พดู สนั้ ๆ วา หลดุ พน เพราะเห็นอนตั ตา สุคนธวารี น้ําหอม (ขอ ๑ ในวิโมกข ๓) สุงกฆาตะ ดา นภาษี สุญญตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาเห็น สุงสุมารคีระ ชื่อนครหลวงแหงแควน ความวาง ไดแก วิปส สนาท่ีใหถงึ ความ ภัคคะ ที่พระพทุ ธเจา ประทบั จาํ พรรษาท่ี หลดุ พนดว ยกาํ หนดอนัตตลักษณะ (ขอ ๘; สุงสมุ ารครี ี กเ็ รียก ๑ ในสมาธิ ๓) สุจริต ประพฤติดี, ประพฤติชอบ, สุญญตา “ความเปน สภาพสญู ” ความวาง ประพฤติถูกตองตามคลองธรรม มี ๓ 1. ความเปนสภาพท่ีวางจากความเปน คือ ๑. กายสจุ รติ ประพฤตชิ อบดว ยกาย สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา เฉพาะ ๒. วจสี จุ ริต ประพฤตชิ อบดวยวาจา ๓. อยา งยง่ิ ภาวะที่ขันธ ๕ เปน อนัตตา คือ มโนสุจรติ ประพฤติชอบดวยใจ; เทยี บ ไรตัวมิใชตน วางจากความเปนตน ทุจรติ ตลอดจนวา งจากสาระตางๆ เชน สาระ สุชาดา อบุ าสกิ าสําคญั คนหนึง่ เปน ธดิ า คือความเที่ยง สาระคือความสวยงาม ของผูมีทรัพยซึ่งเปนนายใหญแหงชาว สาระคือความสขุ เปน ตน, โดยปริยาย บานเสนานิคม ตําบลอุรุเวลา ไดถวาย หมายถงึ หลักธรรมฝายปรมตั ถ ดังเชน ขาวปายาส (ในคัมภีรท้ังหลาย นิยม ขนั ธ ธาตุ อายตนะ และปจ จยาการ เรยี กเต็มวา “มธปุ ายาส”) แกพ ระมหา (อิทปั ปจ จยตา หรือ ปฏจิ จสมุปบาท) ท่ี บรุ ุษในเวลาเชาของวนั ท่จี ะตรัสรู มีบุตร แสดงแตตัวสภาวะใหเห็นความวางเปลา ช่ือยส ซ่ึงตอมาออกบวชเปนพระ ปราศจากสัตว บุคคล เปนเพยี งธรรม อรหันต นางสุชาดาไดเ ปนปฐมอบุ าสกิ า หรือกระบวนธรรมลว นๆ 2. ความวา ง พรอ มกับภรรยาเกา ของยสะ และไดร บั จากกเิ ลส มรี าคะ โทสะ โมหะ เปน ตน ยกยองวาเปนเอตทัคคะ ในบรรดา กด็ ี สภาวะทวี่ างจากสังขารทงั้ หลายกด็ ี อุบาสิกาผูถงึ สรณะเปนปฐม; ดู ปายาส, หมายถึง นิพพาน 3. โลกุตตรมรรค ได มธปุ ายาส, สูกรมทั ทวะ ชื่อวาปนสุญญตาดวยเหตุผล ๓ สุญญตวิโมกข ความหลุดพนโดยวาง ประการ คือ เพราะลุดวยปญญาที่ จาก ราคะ โทสะ โมหะ หมายถงึ มอง กําหนดพิจารณาความเปนอนตั ตา มอง

สญุ ญาคาร ๔๕๑ สุทธันตปริวาส เห็นภาวะท่ีสังขารเปนสภาพวาง (จาก หน่ึงของผูท่ีจะเจริญงอกงาม ไมวาจะ ความเปน สตั ว บุคคล ตัวตน) เพราะวาง เปนคฤหสั ถห รอื บรรพชิต โดยเปนเหตุ จากกิเลสมีราคะเปนตน และเพราะมี ปจจัยใหไดปญญา ทเ่ี ปนเบ้อื งตน หรือ สญุ ญตา คอื นิพพาน เปนอารมณ 4. เปนฐานของพรหมจรยิ ะ และเปนเครอื่ ง ความวาง ทีเ่ กดิ จากกําหนดหมายในใจ เจริญปญญาใหพัฒนาจนไพบูลย หรือทําใจเพ่ือใหความวางนั้นเปน บรบิ รู ณ (ที.ปา.๑๑/๔๔๔/๓๑๖) พระพทุ ธเจา อารมณของจิตในการเจริญสมาบตั ิ เชน จึงทรงสอนใหเปนผูมีสุตะมาก (เปน ผูเจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติ พหูสูต หรอื มพี าหสุ จั จะ) และเปนผูเขา กําหนดใจถึงภาวะวางเปลาไมมีอะไร ถึงโดยสุตะ (อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๖/๙), (ขอ ๓ เลย; สุญตา ก็เขยี น ในอรยิ วัฑฒิ ๕); เทยี บ ปญ ญา, ดู พหูสูต, สญุ ญาคาร “เรอื นวา ง”, โดยนยั หมายถงึ พาหุสัจจะ สถานท่ีทีส่ งดั ปลอดคน ปราศจากเสียง สตุ ตนบิ าต ช่อื คัมภรี ท่ี ๕ แหงขุททก- รบกวน, มกั มาในขอ ความวา “ภิกษใุ น นกิ าย พระสตุ ตนั ตปฎ ก ธรรมวินัยนี้ ไปสปู า ก็ดี ไปสโู คนไม ก็ดี สตุ ตนั ตปฎก ดู ไตรปฎก ไปสสู ุญญาคาร ก็ดี …” ซ่งึ ทานมัก สตุ บท คําวา สุต, สุตา; ดู ปาฏโิ มกขย อ อธิบายวา สญุ ญาคาร ไดแก เสนาสนะ สุตพทุ ธะ ผูรเู พราะไดฟง , ผรู โู ดยสตุ ะ (อนั สงดั ) ทงั้ ๗ ทนี่ อกจากปา และโคนไม หมายถึง บคุ คลทเ่ี ปนพหูสูต; ดู พทุ ธะ กลาวคอื ภเู ขา ซอกเขา ถาํ้ ปา ชา ปาชฏั สุตมยปญ ญา ดู ปญ ญา ๓ สทุ ธันตปริวาส ปรวิ าสที่ภกิ ษผุ ูตองการ ทแ่ี จง ลอมฟาง สุตะ “สงิ่ สดับ”, สง่ิ ที่ไดฟ ง มา, สิ่งทไ่ี ดย นิ จะออกจากอาบัติสังฆาทิเสสอยูไปจน ไดฟง, ความรจู ากการเลา เรียนหรือรับ กวาจะเห็นวาบริสุทธ์ิ หมายความวา ถา ยทอดจากผอู น่ื , ขอ มลู ความรจู ากการ ภิกษุตองอาบัติสังฆาทิเสสแลวปดไว อา นการฟง บอกเลา ถา ยทอด; สาํ หรับผู หลายคราวจนจําจํานวนอาบัติและ ศึกษาปฏิบตั ิ “สตุ ะ” หมายถึงความรูท่ี จํานวนวันที่ปดไมไ ด หรอื จําไดแตบาง ไดเ ลาเรียนสดับฟง ธรรม ความรใู นพระ จํานวน ทานใหขอปริวาสประมวล ธรรมวินัย ความรูคําสั่งสอนของพระ จํานวนอาบัติและจํานวนวันที่ปดเขา พทุ ธเจา ทีเ่ รยี กวา นวังคสตั ถุศาสน หรอื ดวยกัน แลวอยูใชไปจนกวาจะเห็นวา ปรยิ ัต,ิ สุตะเปน คณุ สมบตั สิ าํ คัญอยาง บรสิ ทุ ธิ์ มี ๒ อยา งคอื จฬู สุทธันต-

สุทธาวาส ๔๕๒ สุพาหุ ปรวิ าส และ มหาสทุ ธันตปริวาส ๗ วนั กอนปรินพิ พาน สุทธาวาส ที่อยูของทานผูบริสุทธิ์ท่ีเกิด สธุ รรมภิกษุ ชอื่ ภิกษุรปู หนงึ่ มีความมกั ของพระอนาคามี ไดแ ก พรหม ๕ ช้นั ที่ ใหญ ไดดาจติ ตคฤหบดี และถกู สงฆ สงู สุดในรปู าวจร คอื อวหิ า อตปั ปา ลงปฏสิ ารณยี กรรม ใหไ ปขอขมาคฤหบดี สทุ สั สา สุทัสสี อกนฏิ ฐา นนั้ นบั เปน ตน บญั ญตั ใิ นเรอื่ งน้ี สุทธิ ความบริสทุ ธ,์ิ ความสะอาดหมดจด สนุ ทร ดี, งาม, ไพเราะ มี ๒ คอื ๑. ปริยายสทุ ธิ บรสิ ุทธิโ์ ดย สนุ ทรพจน คาํ พูดท่ไี พเราะ, คําพดู ทีด่ ;ี เอกเทศ (คือเพียงบางสวนบางแง) ๒. คําพูดอันเปนพิธีการ, คํากลาวแสดง นิปปริยายสุทธิ บริสุทธิ์โดยส้ินเชิง ความรูสึกที่ดีอยางเปนพิธีการในท่ี (ความบริสทุ ธิข์ องพระอรหันต) ประชุม สุทธิกปาจิตติยะ อาบัติปาจิตตียลวน สุนาปรนั ตะ ดู ปุณณสนุ าปรนั ตะ คืออาบัติปาจิตตียที่ไมตองใหเสียสละ สุเนตตะ นามของพระศาสดาองคอนึง่ ใน สิ่งของ มี ๙๒ สกิ ขาบท ตามปกตเิ รียก อดตี มคี ณุ สมบตั คิ อื กาเมสุ วตี ราโค (มี กันเพยี งวา ปาจิตติยะ หรอื ปาจติ ตีย ราคะไปปราศแลวในกามทั้งหลาย) มี สทุ โธทนะ กษัตริยศ ากยวงศซงึ่ เปนราชา ศษิ ยจาํ นวนมาก ไดเ จริญเมตตาจติ ถงึ ผคู รองแควน ศากยะ หรอื สกั กชนบท ณ ๗ ป แตกไ็ มอ าจพน จากชาติ ชรามรณะ นครกบิลพัสดุ มีพระมเหสพี ระนามวา เพราะไมรูอริยศีล อริยสมาธิ อริย- พระนางสริ ิมหามายา หรอื เรียกสนั้ ๆ ปญญา และอรยิ วิมตุ ติ วา มายา เมื่อพระนางมายาสวรรคตแลว สปุ ฏิปนฺโน (พระสงฆ) เปน ผปู ฏบิ ตั ิดี พระนางมหาปชาบดีโคตมีไดเปนพระ คือ ปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา มเหสีตอ มา พระเจาสุทโธทนะเปนพระ ปฏิบตั ิไมถ อยหลงั ปฏบิ ตั สิ อดคลอ งกบั ราชบุตรองคที่ ๑ ของพระเจาสีหหนุ คําสอนของพระพุทธเจา ดํารงอยูใน เปน พระราชบดิ าของพระสิทธตั ถะ เปน ธรรมวนิ ยั (ขอ ๑ ในสงั ฆคณุ ๙) พระอัยกาของพระราหุล และเปนพระ สุปปพุทธะ กษัตริยโกลยิ วงฆ เปนพระ พทุ ธบดิ า พระองคส วรรคตในปท ่ี ๕ แหง ราชบตุ รองคท ี่ ๑ ของพระเจา อัญชนะ พทุ ธกิจ กอ นสวรรคต พระพทุ ธเจา ได เปนพระบิดาของพระเทวทัตและพระ เสด็จไปแสดงธรรมโปรดใหไดทรง นางยโสธราพิมพา บรรลุอรหัตผล และไดเสวยวิมุตติสุข สพุ าหุ บุตรเศรษฐเี มืองพาราณสี เปน

สภุ ทั ทะ ๔๕๓ สภุ ทั ทะวุฒบรรพชิต สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว เขาเฝา แลว ทูลถามวา สมณพราหมณ ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม เจาลัทธทิ ม่ี ีช่ือเสยี งทั้งหลาย คอื เหลา พรอมดว ยสหายอีก ๓ คน คอื วิมละ ครทู ัง้ ๖ น้ัน ลว นไดต รสั รจู ริงทง้ั หมด ปณุ ณชิ และควมั ปติ ไดเ ปน สาวกรนุ ตามท่ีตนปฏิญญา หรือไดตรัสรูเพียง แรกที่พระพุทธเจาสงไปประกาศพระ บางสวน หรือไมมีใครตรัสรูจริงเลย ศาสนา พระพุทธเจาทรงหามเสียและตรัสวาจะ สุภัททะ ปจ ฉิมสักขิสาวก (สาวกผทู ัน ทรงแสดงธรรม คือ หลกั การหรอื หลกั เห็นองคสุดทาย) ของพระพุทธเจา ความจริงใหฟง แลว ตรสั วา อรยิ มรรค เรียกสัน้ ๆ วา ปจ ฉิมสาวก เดิมเปน มีองค ๘ หาไมไดในธรรมวินัยใด พราหมณตระกูลใหญ ตอมาออกบวช สมณะ (คอื อริยบคุ คลท้งั ๔) ก็หาไมไ ด เปน ปรพิ าชก อยใู นเมอื งกสุ นิ ารา ในวนั ท่ี ในธรรมวินยั นนั้ อริยมรรคมีองค ๘ หา พระพุทธเจาจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไดในธรรมวินัยใด สมณะก็หาไดใน สุภทั ทปรพิ าชกไดย ินขา วแลว คดิ วาตน ธรรมวัยนั้น อริยมรรคมอี งค ๘ หาได มีขอสงสยั อยอู ยางหนง่ึ อยากจะขอให ในธรรมวินัยน้ี ลัทธิอ่ืนๆ วางจาก พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมเพ่ือแกขอ สมณะ และตรัสสรุปวา ถาภิกษุท้ัง สงสัยน้ันเสียกอนท่ีจะปรินิพพาน จึง หลายเปนอยูโดยชอบ โลกก็จะไมวาง เดินทางไปยังสาลวัน ตรงไปหาพระ จากพระอรหันตท้ังหลาย เมื่อจบพระ อานนท แจงความประสงคจะเขาเฝา ธรรมเทศนา สภุ ทั ทปรพิ าชกเลอื่ มใส ทลู พระบรมศาสดา พระอานนทไดห ามไว ขอบรรพชาอปุ สมบท พระพทุ ธเจา ตรสั เพราะเกรงวาพระองคเหน็ดเหน่ือยอยู สั่งพระอานนทใหบวชสุภัททะในสํานัก แลว จะเปนการรบกวนใหทรงลําบาก ของพระองค โดยประทานพทุ ธานญุ าต สุภัททปริพาชกก็คะยั้นคะยอจะขอเขา พิเศษใหยกเวนไมตองอยูติตถิยปริวาส เฝา ใหได พระอานนทก็ยืนกรานหา มอยู ทา นสภุ ทั ทะบวชแลว ไมน าน (อรรถกถา ถึง ๓ วาระ จนพระผูมพี ระภาคทรงได วาในวันน้ันเอง) ก็ไดบรรลุอรหัตตผล ยินเสียงโตตอบกันน้ัน จึงตรัสสั่งพระ นบั เปน พทุ ธปจ ฉมิ สกั ขสิ าวก อานนทวาสุภัททะมุงหาความรู มิใช สภุ ัททะ วฒุ บรรพชติ “พระสภุ ทั ทะผู ประสงคจะเบียดเบียนพระองค ขอให บวชเมื่อแก” ซึ่งเปนตนเหตุแหงการ ปลอยใหเขาเขา เฝาเถิด สภุ ัททปริพาชก ปรารภทีจ่ ะสังคายนาครัง้ ท่ี ๑ กอนบวช

สภุ าพ ๔๕๔ สภุ ูติ เปนชางตัดผมในเมืองอาตุมา มีบุตร รองไหคร่ําครวญเปนอันมาก ในขณะ ชาย ๒ คน ออกบวชแลวคราวหนงึ่ ได นั้นเองพระสุภัททะวุฒบรรพชิต ก็รอ ง ขาววาพระพุทธเจาพรอมดวยสงฆหมู หามขนึ้ วา “อยาเลย ทา นผมู ีอายุ พวก ใหญจะเสด็จมายังเมืองอาตุมา จึงให ทานอยาเศราโศก อยารา่ํ ไหไ ปเลย พวก บุตรท้ังสองเอาเครื่องมือตัดผมออกไป เราพนดีแลว พระมหาสมณะน้ันคอย เท่ียวขอตัดผมตามบานเรือนทุกแหง เบียดเบียนพวกเราวา สิ่งนี้ควรแกเธอ แลกเอาเคร่ืองปรุงยาคูมาไดมากมาย สง่ิ นไ้ี มค วรแกเ ธอ บดั นพี้ วกเราปรารถนา แลวบัญชาการใหผูคนจัดเตรียมขาว สงิ่ ใด กจ็ กั กระทาํ สงิ่ นน้ั ไมป รารถนาสงิ่ ยาคูไวเปนอันมาก เม่ือพระพุทธเจา ใด กจ็ กั ไมก ระทาํ สงิ่ นน้ั ” พระมหากสั สป- เสด็จมาถึง ก็นําเอาขาวยาคูนั้นเขาไป เถระไดฟงแลวเกิดธรรมสังเวช ดําริวา ถวาย พระพทุ ธเจา ตรสั ถาม ทรงทราบ พระพทุ ธเจา ปรนิ พิ พานเพยี ง ๗ วนั ก็ ความวาพระสุภัททะไดขาวนั้นมาอยาง ยังเกิดเสี้ยนหนามข้ึนแลวในพระศาสนา ไรแลว ไมท รงรับ และทรงตเิ ตียน แลว หากตอไปคนชั่วไดพวกพองมีกําลังเติบ ทรงบัญญัติสิกขาบท ๒ ขอคือ กลาข้นึ ก็จะทาํ พระศาสนาใหเสอ่ื มถอย บรรพชิตไมพึงซักชวนคนทําในส่ิงท่ีเปน ดงั นนั้ หลงั จากเสรจ็ งานถวายพระเพลิง อกัปปย ะ และภิกษุผเู คยเปน ชา งกัลบก พระพทุ ธสรีระแลว ทา นจงึ ไดย กถอยคํา ไมพึงเก็บรักษาเคร่ืองตัดโกนผมไว ของสุภัททะวุฒบรรพชิต ซ่ึงเรียกกัน ประจําตัว จากการที่ไดถูกติเตียนและ สั้นๆ วา คาํ กลาวจว งจาบพระธรรมวนิ ยั เสียของเสียหนาเสียใจในเหตุการณคร้ัง น้ีข้ึนเปนขอปรารภ ชักชวนพระเถระ นน้ั พระสภุ ทั ทะกไ็ ดผกู อาฆาตไว ตอ ท้ังหลายรวมกันทําสังคายนาคร้ังแรก; มา เม่ือพระพุทธเจาเสด็จดับขันธ- สภุ ัททวุฑฒบรรพชติ กเ็ ขียน (คําบาลวี า ปรินพิ พานแลว ได ๗ วัน พระสภุ ทั ทะ สภุ ทฺโท วฑุ ฺฒปพฺพชโิ ต) รวมอยูในคณะของพระมหากัสสปเถระ สุภาพ เรียบรอย, ออนโยน, ละมุน ซึ่งกําลังเดินทางจากเมืองปาวาสูเมือง ละมอ ม กุสินารา ระหวางทางนนั้ คณะไดท ราบ สุภาษิต ถอยคําที่กลา วดแี ลว , คําพดู ท่ี ขาวพุทธปรินิพพานจากอาชีวกผูหนึ่ง ถือเปนคติได ภกิ ษทุ ั้งหลายทีย่ ังไมส ิ้นราคะ (คือพระ สุภูติ พระมหาสาวกองคหน่ึงเปนบุตร ปุถชุ น โสดาบนั และสกทาคาม)ี พากนั สุมนเศรษฐี ในพระนครสาวตั ถี ไดไ ป

สุมนะ ๔๕๕ สุวรรณภูมิ รวมงานฉลองวัดเชตวันของทานอนาถ- สุรเสนะ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ บิณฑิกเศรษฐี ไดฟงพระธรรมเทศนา แควน ใหญแ หง ชมพทู วีป ต้งั อยูทางใต ของพระศาสดา มีความเลอื่ มใสบวชใน ของแควน กุรุ ระหวา งแมน ้าํ สนิ ธกุ บั แม พระพุทธศาสนา ตอมาเจริญวิปสสนา น้ํายมุนาตอนลาง นครหลวงชื่อมธุรา ทาํ เมตตาฌานใหเปนบาท ไดสาํ เร็จพระ แตปจ จบุ นั เรยี กมถรุ า (Mathura) อรหัต พระศาสดาทรงยกยองวาเปน สรุ า เหลา, น้ําเมาท่กี ล่ันแลว เอตทัคคะ ๒ ทาง คือในทางอรณวหิ าร สุราบาน การด่มื เหลา , นํา้ เหลา (เจริญฌานประกอบดวยเมตตา) และ สุราปานวรรค ตอนท่ีวา ดว ยเรอ่ื งดมื่ น้าํ เปน ทักขิไณยบุคคล เมา เปน ตน เปน วรรคท่ี ๖ ในปาจติ ตยิ - สมุ นะ ชอื่ พระเถระองคห น่ึงในการกสงฆ กณั ฑ สุรามฤต น้ําที่ทําผูด่ืมใหไมตายของ ผูทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ สุมังคลวิลาสินี ชื่อคัมภีรอรรถกถา เทวดา, น้าํ อมฤตของเทวดา อธิบายความในทีฆนิกาย แหงพระ สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี สุตตันตปฎ ก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บ เวนจากนาํ้ เมา คือสุราและเมรัย อนั เปน เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา ทตี่ ้งั แหงความประมาท (ขอท่ี ๕ ในศลี สงิ หฬทส่ี บื มาแตเ ดมิ เปน หลกั เมอื่ พ.ศ. ๕ ศีล ๘ และศีล ๑๐) ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, สุริยคติ การนับวันโดยถือเอาการเดิน อรรถกถา ของพระอาทิตยเ ปน หลกั เชน วันท่ี ๑, สุเมรุ ชือ่ หน่งึ ของภเู ขาเมรุ; ดู เมรุ ๒, ๓ เดือนเมษายน เปนตน สุรนาทโวหาร ถอ ยคําทีฮ่ ึกหา ว สรุ ิยปุ ราคา การจับอาทติ ย คอื เงาดวง สุรสิงหนาท การเปลงเสียงพูดอยาง จนั ทรบ งั ดวงอาทิตย องอาจกลา หาญ หรือพระดํารสั ทเี่ ราใจ สวุ รรณภูมิ “แผน ดินทอง”, “แหลมทอง”, ปลุกใหตื่นฟนสติขึ้น เหมือนด่ังเสียง ดินแดนที่พระเจาอโศกมหาราชทรง บันลือของราชสีห เชนที่พระพุทธเจา อปุ ถมั ภก ารสง พระโสณะและพระอตุ ตระ ตรัสวา “กิจอยา งใด อันพระศาสดาผู หวั หนาพระศาสนทตู สายท่ี ๘ (ใน ๙ เอ็นดู แสวงประโยชน เพ่ือสาวกทั้ง สาย) ไปประกาศพระศาสนา ปราชญ หลายจะพึงทํา กิจน้ันอันเราทาํ แลวแก สันนิษฐานวาไดแกดินแดนบริเวณ พวกเธอทกุ อยาง” จังหวัดนครปฐม (พมาวาไดแกเมือง

สู ๔๕๖ สตู ร สะเทมิ หรอื สธุ รรมนครในประเทศพมา ), เมื่อเสด็จถึงเมืองกุสินาราแลว ก็เสด็จ สุวรรณภูมิปรากฏในรายชื่อดินแดน ดบั ขนั ธปรินพิ พานในราตรนี ั้น ตางๆ ในคัมภีรมหานิทเทส แหงพระ “สูกรมัททวะ” นี้ มักแปลกนั วา เนื้อ สตุ ตนั ตปฎ ก ซ่ึงมีชวาดว ย และถัดจาก สุกรออน แตอรรถกถาแปลตางเปน สวุ รรณภูมิ ก็มีตมั พปณ ณิ (ชว คจฺฉติ หลายนัย อรรถกถาแหงหน่ึงใหความ … สวุ ณณฺ ภมู ึ คจฉฺ ติ ตมพฺ ปณณฺ ึ คจฉฺ ต,ิ หมายไวถงึ ๔ อยา ง (อุ.อ.๔๒๗) วา ๑. ข.ุ ม.๒๙/๒๕๔/๑๘๘, ๘๑๐/๕๐๔) ช่ือเหลาน้ี มหาอัฏฐกถาซ่ึงเปนอรรถกถาโบราณ จะตรงกบั ดินแดนทเี่ ขา ใจกัน หรือเปน บอกไวว า เปน เนือ้ หมู ทนี่ มุ รสสนิท ๒. ชอ่ื พอง หรือตงั้ ตามกัน ไมอ าจวินจิ ฉยั อาจารยบางพวกวาเปนหนอไม ที่หมู ใหเดด็ ขาดได (ในชั้นอรรถกถา มเี รื่อง ชอบไปดดุ ยาํ่ ๓. อาจารยอ กี พวกหน่งึ ราวมากมาย เกย่ี วกับคนลงเรอื เดินทาง วาเปนเห็ด ซึ่งเกิดในบรเิ วณที่หมดู ุดยา่ํ ทะเลจากชมพทู วีปไปยังสวุ รรณภูม)ิ ; ดู และ ๔. ยังมอี าจารยพ วกอื่นอกี วา เปน ตัมพปณณิ ยาอายุวฒั นะขนานหนึ่ง สว นอรรถกถา สู ทา น อีกแหงหน่ึง (ที.อ.๒/๑๗๒) บอกความ สูกรมัททวะ ช่ืออาหารซึ่งนายจุนทะ หมายไว ๓ นยั วา เปน เนือ้ หมตู ัวเอกท่ไี ม กัมมารบตุ ร แหงเมอื งปาวา ถวายแด ออนไมแกเกินไป บางวาเปนขาวที่นุม พระพุทธเจา ในวันเสด็จดับขันธ- นวลกลมกลอม ซึ่งมีวิธีปรุงโดยใช ปรินิพพาน เปน บิณฑบาตมือ้ สุดทายท่ี เบญจโครส (ผลผลติ จากน้ํานมโค ๕ พระพุทธเจาเสวยกอนจะเสด็จดับขันธ- อยา ง คอื นมสด นมเปรี้ยว เปรียง เนย ปรินิพพาน ซึ่งพระพุทธเจาตรัสวาเปน ใส เนยขน ) บา งวาเปน ยาอายุวัฒนะ; ดู บิณฑบาตที่มีผลเสมอกับบิณฑบาตที่ พุทธปรินพิ พาน พระองคเสวยแลวไดต รสั รสู มั มาสัมโพธิ สญู วางเปลา, หายส้ินไป; ในทางธรรม ญาณ และบิณฑบาต ๒ คร้งั น้มี ผี ลมี “สูญ” มคี วามหมายหลายแงห ลายระดบั อานิสงสมากย่ิงกวาบิณฑบาตครั้งอ่ืนใด พึงศกึ ษาในคําวา สญุ ญตา, และพงึ แยก ทั้งส้ิน (ที.ม.๑๐/๑๒๖/๑๕๘; บิณฑบาตที่ จากคาํ วา “ขาดสญู ” ซงึ่ หมายถงึ อจุ เฉทะ เสวยในวันตรสั รู คือขา วมธปุ ายาสทีน่ าง ซง่ึ พงึ ศกึ ษาในคาํ วา อจุ เฉททฏิ ฐิ สุชาดาถวาย), หลังจากเสวยสกู รมทั ทวะ สตู ร พระธรรมเทศนาหรือธรรมกถาเรือ่ ง แลว พระพุทธเจา ก็ประชวรหนกั และ หน่ึงๆ ในพระสตุ ตันตปฎ ก แสดงเจอื

สูปะ ๔๕๗ เสนาสนะ ดวยบุคคลาธิษฐาน, ถาพูดวา พระสตู ร ขอ ปฏบิ ตั ขิ องพระเสขะ ไดแ ก จรณะ ๑๕ มกั หมายถงึ พระสตุ ตนั ตปฎ กทงั้ หมด เสขภูมิ ภมู ิของพระเสขะ, ระดบั จิตใจ สปู ะ แกง; คกู บั พยัญชนะ 2. และคุณธรรมของพระอริยบุคคลท่ียัง เสกขสมมต ผูไดรับสมมติเปนเสขะ ตอ งศกึ ษา หมายถึงครอบครัวที่สงฆประชุมตกลง เสขิยวัตร วัตรที่ภิกษุจะตองศึกษา, แตงต้ังใหเปนเสขะ ภิกษุใดไมเจ็บไข ธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาทท่ีภิกษุพึง และเขาไมไดน มิ นตไว ไปรับเอาอาหาร สาํ เหนียกหรือพึงฝกฝนปฏบิ ตั ิ มี ๗๕ จากครอบครัวน้ันมาขบฉนั ตอ งอาบัติ สกิ ขาบท จาํ แนกเปน สารปู ๒๖, โภชน- เปนปาฏิเทสนยี ะสกิ ขาบทที่ ๓ ปฏิสังยุต ๓๐, ธัมมเทสนาปฏิสังยุต เสกขสมมติ สังฆกรรมที่สงฆประกาศ ๑๖ และปกิณกะคือเบ็ดเตลด็ ๓, เปน ความตกลงต้ังสกุลคือครอบครัวที่ยิ่ง หมวดที่ ๗ แหงสิกขาบท ในบรรดา ดวยศรทั ธาแตหยอนดวยโภคะ ใหเ ปน สิกขาบท ๒๒๗ ของพระภกิ ษุ ทานให เสกขสมมต คอื ใหถือวาเปน เสขะ เพือ่ มิ สามเณรถือปฏิบัติดว ย ใหภกิ ษรุ บกวนไปรบั อาหารมาฉัน นอก เสตกัณณิกคม นิคมท่ีกั้นอาณาเขต จากไดร ับนิมนตไ วกอน หรืออาพาธ; ดูที่ มชั ฌิมชนบท ดานทศิ ใต ปกาสนียกรรม, อสัมมขุ ากรณยี  เสโท, เสท น้าํ เหงอื่ , ไคล เสขะ ผูยังตองศึกษา ไดแก พระ เสนา กองทพั ในครัง้ โบราณหมายถึงพล อรยิ บคุ คลทย่ี ังไมบ รรลอุ รหัตตผล โดย ชาง พลมา พลรถ พลเดินเทา เรยี กวา พิสดารมี ๗ คือ ทา นผตู ง้ั อยใู นโสดา- จตุรงคนิ ีเสนา (เสนามีองค ๔ หรือเสนา ปตติมรรค ในโสดาปตติผล ใน สเ่ี หลา) สกทาคามมิ รรค ในสกทาคามิผล ใน เสนานิคม ช่ือหมูบานในตําบลอุรุเวลา อนาคามิมรรค ในอนาคามผิ ล และใน นางสุชาดาผูถวายขาวปายาสแดพระ อรหตั ตมรรค, พดู เอาแตระดับเปน ๓ มหาบรุ ษุ ในวนั ทจี่ ะตรสั รู อยทู ห่ี มบู า นน้ี คอื พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระ เสนามาตย ขา ราชการฝา ยทหารและพล อนาคามี; คูกบั อเสขะ เรอื น เสขบคุ คล บคุ คลทย่ี งั ตอ งศกึ ษาอยู; ดู เสนามาร กองทพั มาร, ทหารของพระยา เสขะ มาร เสขปฏิปทา ทางดําเนินของพระเสขะ, เสนาสนะ เสนะ “ทีน่ อน” + อาสนะ “ท่ี

เสนาสนขันธกะ ๔๕๘ โสณะ, โสณกะ น่งั ” หมายเอาทีอ่ ยอู าศยั เชน กุฏิ วิหาร กระจดั กระจายสบั สนกบั ทอ่ี น่ื เปน ตน และเครือ่ งใชเ กีย่ วกบั สถานที่ เชน โตะ เสนาสนะปา เสนาสนะอันอยูไกลจาก เกาอ้ี แมโคนไม เม่อื ใชเ ปน ทีอ่ ยอู าศยั บา นคนอยางนอ ย ๒๕ เสน กเ็ รียกเสนาสนะ เสพ บรโิ ภค, ใชส อย, อยอู าศยั , คบหา เสนาสนขนั ธกะ ช่ือขันธกะท่ี ๖ แหง จลุ เสพเมถุน รว มประเวณ,ี รวมสังวาส วรรคในพระวินัยปฎก วาดวยเร่ือง เสมหะ เสลด, เมือกท่อี อกจากลาํ คอหรือ เสนาสนะ ลําไส เสนาสนคาหาปกะ ผูใหถือเสนาสนะ เสมหฺ สมุฏ านา อาพาธา ความเจบ็ ไข หมายถงึ ภกิ ษผุ ูไดร บั สมมติ คอื แตงต้ัง มเี สมหะเปนสมุฏฐาน; ดู อาพาธ จากสงฆ ใหเปนผูทําหนาท่ีจัดแจก เสละ พระมหาสาวกองคหน่ึง เกิดใน เสนาสนะของสงฆ วาจะใหภิกษุรูปใด ตระกลู พราหมณ ในอังคุตตราปะ เรียน เขาอยูที่ไหน, เปน ตาํ แหนง หนงึ่ ในบรรดา จบไตรเพท เปนคณาจารยสอนศิษย เจา อธกิ ารแหงเสนาสนะ ๓๐๐ คน ไดพ บพระพทุ ธเจาทีอ่ าปณ- เสนาสนปจจัย ปจจัยคือเสนาสนะ, นิคม เหน็ วา พระองคส มบรู ณดวยมหา- เคร่ืองอาศัยของชีวิตที่อยู เปนอยาง ปุริสลักษณะครบถวนและไดทูลถาม หนง่ึ ในปจ จยั ส่ี ปญหาตา งๆ เมอื่ ฟงพระดาํ รสั ตอบแลว เสนาสนปญ ญาปกะ ผูแตงตงั้ เสนาสนะ มคี วามเล่อื มใส ขอบวช ตอ มาไมช า กไ็ ด หมายถงึ ภิกษุผไู ดรับสมมติ คือ แตงตั้ง บรรลุพระอรหัต จากสงฆ ใหเปนผูม หี นาทจ่ี ัดแจงแตงตง้ั แสโ ทษ หาความผดิ ใส, หาเรือ่ งให ดูแลความเรียบรอยแหงเสนาสนะ แสนยากร หมทู หาร, กองทัพ สําหรับภิกษุท้ังหลายจะไดเขาพักอาศัย, โสกะ ความโศก, ความเศรา , ความมใี จ เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจาอธิการ หมนไหม, ความแหงใจ, ความรูสึก แหง เสนาสนะ หมองไหมใจแหงผาก เพราะประสบ เสนาสนวัตร ธรรมเนียมหรือขอที่ภิกษุ ความพลัดพรากหรือสูญเสียอยางใด ควรปฏิบตั ิเกีย่ วกับเสนาสนะ เชน ไมท าํ อยางหน่ึง (บาล:ี โสก; สันสกฤต: โศก) เปรอะเปอ น รักษาความสะอาด จดั วาง โสกาดรู เดอื ดรอ นดว ยความโศก, รอ งไห ของใหเปนระเบียบเรียบรอย ใชสอย สะอึกสะอืน้ ระวังไมทําใหชํารุดและเก็บของใชไมให โสณะ, โสณกะ พระเถระรูปหนึ่งใน

โสณกฏุ ิกัณณะ ๔๕๙ โสณา จาํ นวน ๒ รูป (อกี รูปหน่งึ คือ พระ เดมิ เปน กลุ บตุ รชอื่ โสณะ ตระกลู โกฬวิ สิ ะ อุตตรเถระ) ที่พระโมคคัลลีบุตรติสส- เปนบุตรของอุสภเศรษฐี แหงวรรณะ เถระ สงเปนพระศาสนทูตมาประกาศ แพศย ในเมืองกาฬจัมปากะ แควน พระศาสนา ในดนิ แดนสุวรรณภูมิ เมอ่ื อังคะ โสณกุลบุตรมีลักษณะพิเศษใน เสร็จสิ้นการสังคายนาครั้งท่ี ๓ รางกาย คือ มฝี ามือฝา เทา ออนนุม และ (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔) นบั เปน สายหน่งึ มีขนออนขึ้นภายใน อีกท้ังมีความเปน ในพระศาสนทูต ๙ สาย อยูอยางดี ไดรับการบํารุงบําเรอทุก โสณกุฏิกัณณะ พระมหาสาวกองคห นึ่ง ประการ อยใู นปราสาท ๓ ฤดู จงึ ได เปนบตุ รของอบุ าสิกา ช่ือ กาฬี ซ่งึ เปน สมญาวา เปน สขุ มุ าลโสณะ ตอ มาพระ พระโสดาบนั เกดิ ทีบ่ า นเดิมของมารดา เจาพิมพิสารทรงสดับกิตติศัพท จึงรับ ในเมืองราชคฤหแลวกลับไปอยูใน ส่ังใหโสณะเดินทางไปเฝาและใหแสดง ตระกูลบิดาที่แควนอวันตี ทักขิณาบถ ขนท่ีฝามือฝาเทาใหทอดพระเนตร พระมหากัจจายนะใหบรรพชาเปน คราวน้ันโสณะมีโอกาสไดไปเฝาพระ สามเณรแลวรอตอ มาอกี ๓ ป เม่อื ทาน พุทธเจา ไดส ดับพระธรรมเทศนา เกิด หาภกิ ษไุ ด ๑๐ รปู แลวจึงใหอ ปุ สมบท ความเลื่อมใสขอบวช ทานทําความ เปนภิกษุ บวชแลวไมนานก็สาํ เร็จพระ เพียรอยางแรงกลาจนเทาแตกและเริ่ม อรหตั ตอ มา ทา นไดเ ดินทางมาเฝา พระ ทอแทใจ พระพุทธเจาจึงทรงประทาน ศาสดาทเ่ี มอื งสาวัตถพี รอ มท้ังนาํ ความท่ี โอวาทดวยขออุปมาเรื่องพิณสามสาย พระอุปชฌายส่ังมากราบทูลขอพระ ทานปฏิบัติตาม ไมชาก็ไดสําเร็จพระ พุทธานญุ าตดวยรวม ๘ ขอ ทําใหเกดิ มี อรหัต พระศาสดาทรงยกยองวาเปน พระพุทธานุญาตพิเศษสําหรับปจจันต- เอตทคั คะในทางปรารภความเพยี ร ชนบท เชน ใหส งฆมีภิกษุ ๕ รูปให โสณทณั ฑพราหมณ พราหมณช ่อื โสณ- อปุ สมบทได ใหใ ชรองเทา หนาหลายชัน้ ทัณฑะ เปนผูท่ีพระเจาพิมพิสารให ได ใหอ าบน้ําไดตลอดทกุ เวลา เปนตน ปกครองนครจมั ปา ทานแสดงธรรมมีเสยี งไพเราะแจมใสชัด โสณทัณฑสตู ร สูตรที่ ๔ ในคัมภีรท ฆี - เจน จึงไดรับยกยองจากพระศาสดาวา นกิ าย สลี ขนั ธวรรค พระสตุ ตันตปฎก เปน เอตทคั คะ ในทางกลา วกลั ยาณพจน ทรงแสดงแกโสณทัณฑพราหมณ โสณโกฬิวิสะ พระมหาสาวกองคหน่ึง โสณา พระมหาสาวิกาองคหนง่ึ เปน ธิดา

โสดาบัน ๔๖๐ โสตสัมผัสสชาเวทนา ของผูมีตระกูลในพระนครสาวัตถี ได ๗ คร้งั เปนอยางมาก แตง งาน มีบตุ รชาย ๑๐ คน ซง่ึ ลวนมี โสดาปตติผล ผลคือการถึงกระแสสู รูปรา งงามสงา ตอ มา สามพี รอมทง้ั บตุ ร นิพพาน, ผลทไ่ี ดรับจากการละสกั กาย- ท้ังสิบน้ันออกบวช ตัวทานชราลงแลว ทิฏฐิ วจิ กิ ิจฉา สีลัพพตปรามาส ดว ย เห็นวา ไมค วรอยเู ดยี วดาย จงึ ออกบวช โสดาปตติมรรค ทําใหไดเปนพระ เปน ภิกษุณี มีความเพียรแรงกลา เจรญิ โสดาบนั วปิ ส สนา ไดบ รรลุพระอรหัต ไดรบั ยก โสดาปตติมรรค ทางปฏิบัติเพ่ือบรรลุ ยองวาเปนเอตทคั คะในทางปรารภความ ผล คือความเปนพระโสดาบนั , ญาณ เพยี ร; อยา งไรกด็ ี ประวตั นิ ี้ เลาตาม คอื ความรเู ปนเหตุละสงั โยชนไ ด ๓ คือ เรื่องในคัมภรี อปทาน (ในเถรีคาถา ก็ สักกายทฏิ ฐิ วจิ ิกิจฉา สลี ัพพตปรามาส เลา ไวค ลา ยกนั แมจ ะสน้ั กวามาก) แต โสต ห,ู ชองหู ในอรรถกถาแหงเอกนิบาต อังคุตตร- โสตถิยะ ช่ือคนหาบหญาท่ีถวายหญา แด นกิ าย ทานเลาเร่ืองตา งออกไปวา กอ น พระมหาบุรุษในวันทจี่ ะตรสั รู พระองค บวช พระโสณามบี ุตรและธดิ ามาก เมือ่ รับหญาจากโสตถิยะแลวนําไปลาดตาง บุตรธิดามีครอบครัวแยกออกไปแลว บัลลังก ณ ควงตนพระศรีมหาโพธ์ิ ตอมา มีอาการแสดงออกท่ีขาดความ ดานทิศตะวันออก แลวประทับนั่งขัด เคารพตอ ทา น ทาํ ใหท า นไมเ หน็ ประโยชน สมาธิผินพระพกั ตรไ ปทางทศิ ตะวนั ออก ที่จะอยูครองเรือนตอไป จึงออกบวช จนกระท่งั ตรัสรู และเปนที่เรียกขานกันวา “พระโสณา โสตถวิ ดี ช่ือนครหลวงของแควน เจตี เถรีผมู ลี ูกมาก” จนกระทั่งตอ มา ทาน โสตวิญญาณ ความรูที่เกิดขึ้นเพราะ บําเพ็ญเพียรและไดบรรลุอรหัตตผล เสียงกระทบหู, เสียงกระทบหู เกิด แลว จึงเปนท่ีรูจักกันในนามใหมวา ความรูข้ึน, การไดย นิ (ขอ ๒ ใน “พระโสณาเถรผี เู พียรมุงมั่น” วญิ ญาณ ๖) โสดาบัน ผูถึงกระแสที่จะนําไปสูพระ โสตสมั ผสั อาการท่ีหู เสียง และโสต- นพิ พาน, พระอรยิ บคุ คลผูไ ดบ รรลุโสดา วิญญาณประจวบกนั เกิดการไดยนิ ปต ตผิ ล มี ๓ ประเภทคอื ๑. เอกพีชี โสตสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดขึ้น เกดิ อีกครัง้ เดียว ๒. โกลงั โกละ เกดิ อกี เพราะโสตสัมผัส, ความรูสึกที่เกิดข้ึน ๒–๓ ครง้ั ๓. สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ เกิดอกี เพราะการทีห่ ู เสียง และโสตวญิ ญาณ

โสภณเจตสกิ ๔๖๑ ไสยาสน กระทบกัน ศาสดา มีความเล่ือมใส ขอบวช ไมช าก็ โสภณเจตสิก เจตสิกฝา ยดงี าม มี ๒๕ บรรลุพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน แบงเปน ก. โสภณสาธารณเจตสิก เอตทคั คะในทางปพุ เพนวิ าสนสุ สตญิ าณ (เจตสิกท่ีเกิดทั่วไปกับจิตดีงามทุกดวง) โสมนัส ความดใี จ, ความสขุ ใจ, ความ ๑๙ คือ ศรทั ธา สติ หริ ิ โอตตัปปะ ปลาบปลม้ื ; ดู เวทนา อโลภะ อโทสะ ตัตรมัชฌตั ตตา (ความ โสรจั จะ ความเสงย่ี ม, ความมอี ัธยาศัย เปน กลางในอารมณน นั้ ๆ=อเุ บกขา) กาย- งาม รักความประณตี หมดจดและสงบ ปส สทั ธิ ความคลายสงบแหง กองเจตสกิ ) เรียบรอย (ขอ ๒ ในธรรมทําใหงาม ๒) จติ ตปส สทั ธิ (แหง จติ ) กายลหตุ า (ความ โสวจสั สตา ความเปน บคุ คลทพ่ี ดู ดว ยงา ย, เบาแหง กองเจตสกิ ) จิตตลหุตา(แหงจิต) ความเปน ผวู า งา ยสอนงา ย รจู กั รบั ฟง เหตุ กายมทุ ตุ า (ความนมุ นวลแหง กองเจตสกิ ) ผล (ขอ ๔ ในนาถกรณธรรม ๑๐) จติ ตมทุ ุตา (แหง จติ ) กายกมั มญั ญตา โสสานิกังคะ องคแ หงผูถอื อยูปา ชาเปน (ความควรแกง านแหง กองเจตสกิ ) จติ ต- วัตร คืออยูแรมคืนในปาชาเปนประจํา กมั มญั ญตา (แหง จติ ) กายปาคญุ ญตา (ขอ ๑๑ ในธุดงค ๑๓) (ความคลอ งแคลว แหง กองเจตสกิ ) จติ ต- โสโส โรคมองครอ (มเี สมหะแหง อยูใน ปาคญุ ญตา (แหง จิต) กายุชกุ ตา (ความ ลาํ หลอดปอด) ซอ่ื ตรงแหง กองเจตสกิ ) จติ ตชุ ุกตา (แหง โสฬสญาณ ญาณ ๑๖ (เปน ศัพทท ่ผี ูก จติ ) ข. วรี ตเี จตสกิ (เจตสกิ ทเ่ี ปน ตวั งด ข้นึ ภายหลัง); ดู ญาณ ๑๖ เวน ) ๓ คอื สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ ไสยา การนอน (บาลี: เสยฺยา) สัมมาอาชีวะ ค. อัปปมัญญาเจตสิก ไสยาวสาน การนอนครงั้ สุดทา ย, การ (เจตสิกคืออปั ปมญั ญา) ๒ คอื กรุณา นอนคร้งั ทีส่ ุด มทุ ิตา (อีก ๒ ซาํ้ กบั อโทสะ และตตั ร- ไสยาสน นอน (เปนคําเพยี้ น ถาเขยี น มชั ฌัตตตา) ง. ปญญินทรยี เจตสกิ ๑ เปนคาํ บาลี กเ็ ปน “เสยยฺ าสน” ซึ่งแปล คือ ปญ ญินทรยี  หรอื อโมหะ วา การนอนและท่ีนงั่ แตไมมีท่ใี ช คาํ ที่ โสภิตะ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เกดิ ใน ใชจรงิ คือ “เสนาสน” ซงึ่ แปลวา ทนี่ อน ตระกูลพราหมณ ในพระนครสาวัตถี และท่นี ัง่ , ตามปกติ เม่อื จะวา นอน กใ็ ช ตอมาไดฟงพระธรรมเทศนาของพระ เพียงวา “ไสยา” ซง่ึ มาจาก “เสยฺยา”)

หงายบาตร ๔๖๒ หัตถกะอาฬวกะ ห หงายบาตร การระงบั โทษอบุ าสกซ่ึงเคย คราน ๘. เพ่อื ความเลย้ี งยาก, ธรรม ปรารถนารายตอพระรัตนตรัย สงฆ เหลา น้ี พึงรวู า ไมใ ชธ รรม ไมใชวนิ ัย ไม ประกาศคว่ําบาตรไวมิใหภิกษุทั้งหลาย ใชสตั ถุศาสน, ข. ธรรมเหลา ใดเปน ไป คบหาดว ย ตอ มาอบุ าสกนัน้ รูสึกโทษตน ๑. เพื่อความคลายหายตดิ ๒. เพือ่ กลับประพฤติดี สงฆจึงประกาศระงับ ความไมประกอบทกุ ข ๓. เพอ่ื ความไม โทษนนั้ ใหภ กิ ษทุ ง้ั หลายคบกบั เขาไดอ กี พอกพูนกิเลส ๔. เพ่ือความมกั นอ ย ๕. เชน รบั บณิ ฑบาต รบั นมิ นต รบั ไทยธรรม เพื่อความสนั โดษ ๖. เพ่ือความสงดั ๗. ของเขาได เปนตน การทส่ี งฆประกาศ เพือ่ การประกอบความเพยี ร ๘. เพอ่ื ระงบั การลงโทษนนั้ เรยี กวา หงายบาตร, ความเล้ียงงาย, ธรรมเหลาน้ีพึงรูวา คาํ เดิมตามบาลวี า “ปต ตอุกกุชชนา” ดูที่ เปนธรรม เปน วินยั เปนสัตถุศาสน ปกาสนยี กรรม, อสัมมขุ ากรณยี ; คูกับ หลิททวสนนคิ ม นคิ มหนึ่งอยใู นโกลยิ - ควา่ํ บาตร ชนบท หทัย หัวใจ หัตถ, หัตถะ 1. มือ 2. ในมาตราวัด คอื หน ทิศ เชน หนบรู (ทศิ ตะวนั ออก) ๑ ศอก หฤทัย หัวใจ หัตถกรรม การทาํ ดวยฝมือ, การชาง หลักกําหนดธรรมวินัย หลักตัดสิน หัตถกะอาฬวกะ อริยสาวกสําคัญทาน ธรรมวินัย หรือลักษณะตัดสินธรรม หน่งึ ในฝายอุบาสก เปนอนาคามี ถอื กัน วนิ ัย ๘ อยาง คือ ก. ธรรมเหลา ใดเปน วาเปน อัครอุบาสก เน่อื งจากเปน ผทู ่ีพระ ไป ๑. เพื่อความยอมใจตดิ ๒. เพื่อ พุทธเจาทรงยกยองวาเปนตราชูของ ความประกอบทุกข ๓. เพ่ือความพอก อุบาสกบรษิ ทั (คูกบั จติ ตคฤหบดี) ทา น พูนกิเลส ๔. เพื่อความมกั มากอยาก เปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกท่ี ใหญ ๕. เพ่อื ความไมสนั โดษ ๖. เพือ่ สงเคราะหบริษัทดวยสังคหวัตถุ ๔, ความคลุกคลีในหมู ๗. เพือ่ ความเกียจ อริยสาวกทานนี้มีตํานานประวัติตามที่

หัตถกะอาฬวกะ ๔๖๓ หัตถกะอาฬวกะ อรรถกถาเลา ไวว า เปนโอรสของพระเจา จะทรงสงมนุษยไปใหอาฬวกยักษกิน อาฬวกะ ราชาแหงแควนอาฬวี เมื่อ พรอ มทัง้ กับแกลมวนั ละ ๑ คน ตอน ประสูติ ไดน ามวา อาฬวกกมุ าร ตอ มา แรกก็สงนักโทษประหารไปให ตอมา ไดมคี าํ นาํ หนา นามเดมิ เพ่ิมขนึ้ วาหตั ถกะ นักโทษหมด ตอ งใชวิธีลอคนโดยใหเอา โดยมีความเปนมาวา แตเดมิ มา กอ น เงนิ หลวงไปทง้ิ ไวตามถนนหนทาง ใคร อาฬวกกุมารประสตู ิ ตามปกติ ราชา หยบิ หรือแมแตจ บั ตอง ก็ตัง้ ขอ หาแลว อาฬวกะทรงนํากองทหารเสด็จออกปา จบั ตวั มาสง ใหอาฬวกยักษ พอคนรกู นั ลาสัตวเปนประจําทุกสัปดาห เพ่ือเปน กไ็ มมีใครจบั ตองเงินหลวงนนั้ ในขัน้ สุด การหามปรามโจรผูรา ย และปอ งกนั อริ- ทาย เมื่อไมม คี นท่ีจะจบั ได ก็วางกตกิ า ราชศัตรู พรอ มทง้ั ซอ มกําลงั ทพั ไว ครงั้ ใหจ บั เด็กทน่ี อนหงายสงไป ทําใหแมลูก หนง่ึ ทรงต้งั กติกากับเหลาทหารวา ถา ออนและสตรีมีครรภพากันหนีไปอยูใน เนื้อวิ่งหนีออกไปทางขางของผูใด ให ตางแควนจนเด็กโต จึงพากลับเขามา เปนภาระของผูนั้นท่ีจะไปจับเนื้อมา เวลาลว งไป ในทสี่ ดุ หาเดก็ ไมไ ด อาฬวก- จําเพาะวาเน้ือหนีออกไปทางขางของ ราชถงึ กบั ตอ งยอมใหส ง โอรสคอื อาฬวก- พระองค จึงทรงไลตามเน้ือน้ันไปเปน กุมารสงไปใหแกอาฬวกยักษ คร้ังนั้น หนทาง ๓ โยชน จนเน้ือน้นั หมดแรง พระพุทธเจาทรงมองเห็นอุปนิสัยของ ยืนน่ิงแชนํ้าอยู ก็ทรงจับมันฆาเสียได อาฬวกกมุ ารท่ีจะบรรลอุ นาคามผิ ล และ แตแ มก ารจะสาํ เรจ็ กท็ รงเหนด็ เหนอ่ื ย จงึ ข อ ง อ า ฬ ว ก ยั ก ษ ท่ี จ ะ เ ป น โ ส ด า บั น แวะเขาไปประทับน่ังพักใตรมไทรใหญ พรอมทั้งประโยชนที่จะเกิดแกมหาชน ตน หนงึ่ บดั นน้ั เทวดาซงึ่ สงิ สถติ ทนี่ นั่ ก็ จึงเสดจ็ ออกจากพระเชตวัน ทรงดาํ เนิน เขามาจับพระหตั ถไว และบอกวา ตนคอื ดวยพระบาทแตลําพังพระองคเดียว อาฬวกยักษ ไดรับพรจากทาวมหาราช ผานหนทาง ๓๐ โยชน จนมาถึงทอี่ ยู (คือทาวโลกบาล) วา สัตวใ ดกต็ ามท่ี ของอาฬวกยักษ และเสด็จเขาไป ลวงล้ําเขตซ่ึงเงาตนไมน้ันตกในเวลา ประทับขางในขณะที่อาฬวกยักษไมอยู เทีย่ งวนั เขา ไป ใหจ ับกินได อาฬวกราช เม่ือยักษกลับมาและขับไลพระองคดวย จึงจะตองเปนอาหารของตน พระราชา อาการหยาบคายและรนุ แรงตางๆ กไ็ ด ทรงหาทางรอด ในทีส่ ุด อาฬวกยกั ษ ทรงใชวิธีออนโยนและขันติธรรมเขา ยอมปลอยโดยมีเงื่อนไขวา อาฬวกราช ตอบ จนอาฬวกยักษมีใจออนโยนลง

หัตถบาส ๔๖๔ หนิ ยาน,หีนยาน ทายสุดเปลี่ยนเปนถามปญหา ซึ่งพระ ศอก ๑ คบื หรอื ๒ ศอกครง่ึ ) วดั จาก องคก็ทรงตอบตรงจุด ทาํ ใหอ าฬวกยักษ สวนสุดดานหลังของผูเหยียดมือออกไป เกิดความเขาใจแจมแจงเห็นธรรมบรรลุ (เชน ถา ยนื วดั จากสน เทา , ถา นงั่ วดั จาก โสดาปตติผล การทรงผจญและสอน สดุ หลงั อวยั วะทนี่ งั่ , ถา นอน วดั จากสดุ ยักษดําเนินไปตลอดคืนจนอาฬวกยักษ ขางดา นท่นี อน) ถึงสว นสดุ ดา นใกลแหง บรรลธุ รรมตอนรงุ สวา ง ก็พอดีราชบุรษุ กายของอีกคนหนึ่งนั้น (ไมนับมือที่ นําอาฬวกกุมารมาถึง เมื่ออาฬวกยักษ เหยยี ดออกมา), โดยนยั นี้ ตามพระมติ ไดรบั มอบอาฬวกกมุ ารมา ก็ถวายกุมาร ทที่ รงไวใ นวินัยมขุ เลม ๑ และ ๒ สรุป นั้นแดพระพุทธเจา และพระพทุ ธเจาก็ ไดวา ใหห างกนั ไมเ กิน ๑ ศอก คอื มี ทรงมอบอาฬวกกุมารคืนใหแกพวกราช ชอ งวางระหวางกนั ไมเ กนิ ๑ ศอก บุรุษทนี่ ํามา พรอมทง้ั ตรสั วา ใหพ วก หายนะ ความเสื่อม เขาเลี้ยงราชกุมารนั้นจนเติบโตแลวจึง หิตานหุ ติ ประโยชนเ ก้อื กูลนอยใหญ คอยนํามาถวายแดพระองคใหมอีก หินยาน, หีนยาน “ยานเลว”, “ยานท่ี และดวยเหตุที่อาฬวกกุมารนั้นเหมือน ดอ ย” (คาํ เดมิ ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต เดินทาง ผานจากมือของราชบุรุษสูมือ เปน ‘หนี ยาน’, ในภาษาไทย นยิ มเขยี น ยักษ จากมือยักษสูพระหัตถของพระ ‘หนิ ยาน’), เปนคาํ ที่นกิ ายพุทธศาสนาซง่ึ พทุ ธเจา และจากพระหตั ถของพระพุทธ เกิดภายหลงั เม่อื ประมาณ พ.ศ.๕๐๐– เจา วนกลบั สมู อื ของราชบรุ ษุ อกี อาฬวก- ๖๐๐ คิดขึ้น โดยเรียกตนเองวา กมุ ารกจ็ งึ ไดม คี าํ วา “หตั ถกะ” มานาํ หนา มหายาน (ยานพาหนะใหญม ีคณุ ภาพดี ชอ่ื เปน หตั ถกะอาฬวกะ เหตกุ ารณน เี้ ปน ที่จะชว ยขนพาสตั วออกไปจากสังสารวฏั เคร่ืองเช่อื มโยงใหห ตั ถกะอาฬวกะ เมื่อ ไดม ากมายและอยา งไดผ ลด)ี แลวเรียก เจรญิ วยั ขึ้นมา กไ็ ดมาใกลชดิ พระพทุ ธ พระพุทธศาสนาแบบอ่ืนที่มีอยูกอนรวม กันไปวาหีนยาน (ยานพาหนะตํ่าตอย เจาและพระสงฆ และไมช า ไมนานนัก ก็ ไดบรรลุอนาคามผิ ล; ดู ตลุ า, เอตทคั คะ ดอยคุณภาพท่ีขนพาสัตวออกไปจาก หตั ถบาส บว งมอื คอื ทใี่ กลต วั ชว่ั คนหนง่ึ สังสารวัฏไดนอยและดอยผล), พุทธ- (นงั่ ตวั ตรง) เหยยี ดแขนออกไปจบั ตวั อกี ศาสนาแบบเถรวาท (อยางที่บัดน้นี บั ถอื คนหนง่ึ ได อรรถกถา (เชน วนิ ย.อ.๒/๔๐๔) กนั อยูในไทย พมา ลังกา เปนตน) ก็ถกู อธบิ ายวา เทา กบั ชว งสองศอกคบื (๒ เรียกรวมไวในช่ือวาเปนนิกายหินยาน

หิมพานต ๔๖๕ หริ ญั ญวดี ดวย เลศิ กวา มหายาน ปจจุบัน พุทธศาสนาหินยานที่เปน ถา ยอมรบั คาํ วา มหายาน และหนิ ยาน นกิ ายยอ ยๆ ทั้งหลายไดส ญู สนิ้ ไปหมด แลว เทยี บจาํ นวนรวมของศาสนกิ ตาม (ตัวอยางนิกายยอยหน่ึงของหินยาน ท่ี ตวั เลขในป ๒๕๔๘ วา มีพุทธศาสนกิ เคยเดน ในอดตี บางสมยั คอื สรวาสตวิ าท ชนทว่ั โลก ๓๗๘ ลานคน แบงเปน หรอื เรยี กแบบบาลวี า สพั พตั ถกิ วาท แต มหายาน ๕๖% เปน หนิ ยาน ๓๘% กส็ ูญไปนานแลว) เหลือแตเถรวาทอยาง (วัชรยานนับตางหากจากมหายานเปน เดียว เม่ือพูดถึงหินยานจึงหมายถึง ๖%) แตถาเทียบระหวางประดานิกาย เถรวาท จนคนทวั่ ไปมกั เขา ใจวา หนิ ยาน ยอ ยของสองยานนั้น (ไมนับประเทศจนี กบั เถรวาทมีความหมายเปนอนั เดยี วกนั แผนดินใหญที่มีตัวเลขไมชัด) ปรากฏ บางทีจึงถือวาหินยานกับเถรวาทเปนคํา วา เถรวาทเปนนิกายท่ีใหญมีผูนับถือ ที่ใชแทนกันได แตเม่ือคนรูเขาใจเรื่อง มากทส่ี ดุ ; บางทีเรยี กมหายานวา อุตร- ราวดขี นึ้ บดั นจี้ งึ นยิ มเรยี กวา เถรวาท นิกาย เพราะมีศาสนิกสวนใหญอยูใน ไมเ รยี กวา หินยาน แถบเหนือของทวีปเอเชีย และเรียก เนื่องจากคําวา “มหายาน” และ หนิ ยานวา ทกั ษณิ นกิ าย เพราะมศี าสนกิ “หินยาน” เกิดข้ึนในยุคท่ีพุทธศาสนา สวนใหญอยใู นแถบใตข องทวปี เอเชยี ; ดู แบบเดมิ เลอื นลางไปจากชมพทู วปี หลงั เถรวาท, เทียบ มหายาน พทุ ธกาลนานถงึ ๕-๖ ศตวรรษ คาํ ทง้ั หมิ พานต มีหมิ ะ, ปกคลมุ ดวยหมิ ะ, ชอ่ื สองน้ีจึงไมมีในคัมภีรบาลีแมแตรุนหลัง ภูเขาใหญท่ีอยูทางทิศเหนือของประเทศ ในชน้ั ฎกี าและอนฎุ กี า, ปจ จบุ นั ขณะที่ อนิ เดยี บดั นเ้ี รียกภูเขาหมิ าลัย, ปาท่อี ยู นิกายยอยของหินยานหมดไป เหลือ รอบบรเิ วณภูเขานี้ ก็เรียกกนั วา ปา หิม- เพียงเถรวาทอยางเดียว แตมหายาน พานต; หิมวันต ก็เรียก กลับแตกแยกเปนนิกายยอยเพิ่มขึ้น หมิ วนั ต ดู หิมพานต มากมาย บางนิกายยอยถึงกับไมยอม หริ ญั ญวดี แมน า้ํ สายสดุ ทา ยทพ่ี ระพทุ ธ- รับที่ไดถูกจัดเปนมหายาน แตถือตนวา เจาเสด็จขา ม เมอื่ เสด็จไปเมืองกสุ ินารา เปนนิกายใหญอีกนิกายหนึ่งตางหาก ในวันท่จี ะปรินพิ พาน สาลวโนทยานของ คือ พุทธศาสนาแบบทิเบต ซงึ่ เรยี กตน มัลลกษตั ริย ท่พี ระพุทธเจา ปรนิ พิ พาน วา เปน วชั รยาน และถอื ตนวาประเสรฐิ อยูริมฝงแมน้ํานี้, ปจจุบันเรียกแมน้ํา

หริ ิ ๔๖๖ อกปั ปยะ คัณฑักนอย (Little Gandak) อยหู างจาก ในอนาคต คือชาติ ชรา มรณะ); เทียบ แมน า้ํ คณั ฑกั ใหญไ ปทางตะวนั ตกประมาณ ผลเหตุสนธิ ๑๓ กิโลเมตร และไหลลงไปบรรจบ เหน็ ชอบ ดู สัมมาทฏิ ฐิ แมนาํ้ สรภู ซึง่ ปจจุบนั เรียก Gogrā เหมกมาณพ [เห-มะ-กะ-มา-นบ] ศษิ ย หิริ ความละอายแกใจ คือละอายตอ คนหนึ่งในจํานวน ๑๖ คน ของ ความชัว่ (ขอ ๑ ในธรรมคมุ ครองโลก พราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถามปญหากะ ๒, ขอ ๓ ในอริยทรพั ย ๗, ขอ ๒ ใน พระศาสดา ท่ปี าสาณเจดยี  สัทธรรม ๗) เหมันต, เหมันตฤดู ฤดหู นาว (แรม ๑ เหฏฐิมทิส ”ทศิ เบื้องตาํ่ ” หมายถึงบาว ค่าํ เดือน ๑๒ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น คอื คนรบั ใชหรอื คนงาน; ดู ทิศหก ๔); ดู มาตรา เหตุ สิง่ ท่ีใหเกิดผล, เคา มูล, เรอ่ื งราว, ใหกลาวธรรมโดยบท สอนธรรมโดยให สง่ิ ทีก่ อ เร่อื ง วา พรอ มกนั กบั ตน คอื วา ขนึ้ พรอ มกนั จบ เหตุผลสนธิ “ตอ เหตเุ ขา กบั ผล” หมายถงึ ลงพรอมกัน (สิกขาบทที่ ๓ แหง หัวเงื่อนระหวางเหตุในอดีตกับผลใน มสุ าวาทวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ) ปจจุบัน หรือหัวเง่ือนระหวางเหตุใน ใหท านโดยเคารพ ต้ังใจใหอยางดี เอื้อ ปจจุบัน กับผลในอนาคต ในวงจร เฟอแกของที่ตัวใหแ ละผูรบั ทาน ไมท ํา ปฏจิ จสมปุ บาท (เหตุในอดตี คอื อวชิ ชา อาการดจุ ทิ้งเสีย และสังขาร, ผลในปจ จบุ นั คอื วญิ ญาณ ใหน ิสยั ดู นสิ ัย นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา, เหตุ ใหล ําบาก ดู วเิ ทสกกรรม ในปจ จบุ นั คือตณั หา อปุ าทาน ภพ, ผล ใหโ อกาส ดู โอกาส อ อกนิษฐ รูปพรหมชั้นสูงสุดในพรหมสิบ คอื ๑. เสพเมถนุ ๒. ลักของเขาตงั้ แต หกช้ัน และเปนสุทธาวาสภูมิชั้นสูงสุด ๕ มาสกขึ้นไป ๓. ฆา มนุษย ๔. อวด (ขอ ๕ ในสุทธาวาส ๕) คุณพิเศษ (อตุ ริมนุสธรรม) ทไี มม ใี น อกรณยี ะ กจิ อนั บรรพชติ ไมค วรทํา ๔ ตน (สาํ หรบั ภิกษุณี มี ๘); ดู อนุศาสน อยาง ทําแลวขาดจากความเปนภิกษุ อกัปปยะ ไมควร, ไมสมควรแกภ ิกษจุ ะ

อกปั ปย วตั ถุ ๔๖๗ อกุศลเจตสกิ บรโิ ภคใชส อย คอื ตอ งหามดวยพระ หมด; เทยี บ กุปปธรรม พุทธเจาไมทรงอนุญาตใหภิกษุใชหรือ อกศุ ล “ไมฉลาด”, สภาวะทีเ่ ปน ปฏิปกษ ฉัน, สิ่งท่ตี รงกันขามกับ กปั ปยะ หรอื ตรงขา มกบั กศุ ล, บาป, ชว่ั , ความชว่ั อกัปปยวัตถุ สิง่ ท่ไี มเหมาะไมควร คือ (อกศุ ลธรรม), กรรมชวั่ (อกุศลกรรม); เทียบ กศุ ล ภกิ ษุไมควรบริโภคใชส อย อกปฺปเย กปฺปยสฺิตา อาการท่ีจะ อกุศลกรรม กรรมท่เี ปน อกศุ ล, กรรม ตอ งอาบตั ดิ ว ยสาํ คัญวา ควร ในของทไ่ี ม ชั่ว, บาป, การกระทาํ ที่ไมดี คอื เกดิ ควร จาก อกุศลมูล; ดู อกศุ ล, กรรม อกาละ เวลาอนั ไมค วร อกุศลกรรมบถ ทางแหงกรรมชัว่ , ทาง อกาลจวี ร จวี รทเ่ี กดิ ขนึ้ นอกเขต จวี รกาล แหงกรรมทเ่ี ปนอกศุ ล, กรรมช่วั อนั เปน นอกเขตอานิสงสก ฐนิ ทางนําไปสูทคุ ติ มี ๑๐ อยาง คอื ก. อกาลิโก (พระธรรม) ไมประกอบดวย กายกรรม ๓ ไดแ ก ๑. ปาณาติบาต การ ทาํ ลายชวี ติ ๒. อทินนาทาน ถอื เอาของ กาล, ใหผลไมจํากดั กาล คอื ไมข้ึนกับ ท่ีเขามิไดให ๓. กาเมสุมิจฉาจาร กาลเวลา ไมจ าํ กัดดว ยกาล ใหผลแกผู ปฏิบตั ิทุกเวลา ทุกโอกาส บรรลเุ มอ่ื ใด ประพฤติผดิ ในกาม ข. วจีกรรม ๔ ได ก็ไดร ับผลเม่อื นั้น ไมเหมือนผลไมทีใ่ ห แก ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ๕. ปสุณาวาจา ผลตามฤด,ู อกี อยา งหน่ึงวา เปนจริงอยู พูดสอ เสียด ๖. ผรุสวาจา พูดคําหยาบ อยางไร ก็เปนจริงอยูอยางนั้นเร่ือยไป ๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพอเจอ ค. มโนกรรม ๓ ไดแก ๘. อภชิ ฌา ละโมบ (ขอ ๓ ในธรรมคณุ ๖) อกิริยทิฏฐิ ความเห็นวาไมเปนอันทํา, คอยจอ งอยากไดข องเขา ๙.พยาบาทคดิ เห็นวาการกระทําไมมีผล อธิบายอยา ง รา ยเขา ๑๐.มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลอง งา ย เชน ทาํ ชัว่ หากไมม คี นรู คนเห็น ธรรม; เทียบ กุศลกรรมบถ, ดู กรรมบถ ไมม คี นชม ไมมีคนลงโทษ กช็ อื่ วาไม อกุศลจิตตบุ าท จิตอกศุ ลเกดิ ข้นึ , ความ เปนอนั ทํา เปน มจิ ฉาทฏิ ฐริ า ยแรงอยา ง คิดชวั่ หน่งึ (ขอ ๑ ในทิฏฐิ ๓) อกศุ ลเจตนา เจตนาท่ีเปนอกศุ ล, ความ อกุปปธรรม ผมู ีธรรมท่ีไมกําเริบ คือผูท่ี ต้ังใจชัว่ , ความคดิ ชวั่ เม่ือไดสมาบัติแลว สมาบัติน้ันจะไม อกุศลเจตสิก เจตสกิ อันเปน อกศุ ล ได เส่ือมไปเลย ไดแกพระอริยบุคคลท้ัง แก ความชั่วทีเ่ กดิ ข้นึ ภายในใจ แตงจิต

อกุศลธรรม ๔๖๘ องคฌาน ใหเ ปนบาป มี ๑๔ อยา ง แยกเปน ก. อโคจร บุคคลและสถานท่อี นั ภิกษุไมควร สพั พากุศลสาธารณเจตสิก (เจตสกิ ท่เี กดิ ไปมาหาสู มี ๖ คอื หญิงแพศยา หญิง ท่วั ไปกบั อกศุ ลจิตทุกดวง) ๔ คือ โมหะ หมาย สาวเท้ือ ภิกษุณี บัณเฑาะก อหริ ิกะ (ไมละอายตอ บาป) อโนตตัปปะ (กะเทย) และรา นสุรา (ไมก ลัวบาป) อทุ ธจั จะ ข. ปกิณณก- อโคจรัคคาหกิ รูป ดทู ี่ รปู ๒๘ อกุศลเจตสิก (อกุศลเจตสิกท่ีเกิดกับ อโฆสะ พยัญชนะทมี่ ีเสียงไมกอง ไดแ ก อกศุ ลจติ เรยี่ รายไป) ๑๐ คอื โลภะ ทฏิ ฐิ พยญั ชนะท่ี ๑ และ ๒ ในวรรคทั้ง ๕ มานะ โทสะ อสิ สา (รษิ ยา) มจั ฉรยิ ะ คอื ก ข, จ ฉ, ฏ , ต ถ, ป ผ, และ ส กุกกุจจะ (เดอื ดรอนใจ) ถีนะ (หดหู) รวม ๑๑ ตวั ; ตรงขามกับ โฆสะ (เทยี บ ระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ี่ ธนติ ) มทิ ธะ (ซึมเซา) วจิ กิ จิ ฉา อกุศลธรรม ธรรมท่ีเปนอกศุ ล, ธรรม องค 1. สว น, ภาค, ตวั , อวยั วะ, ลกั ษณะ, ฝายอกศุ ล, ธรรมที่ช่ัว, ธรรมฝา ยชัว่ ; ดู คณุ สมบัติ, สว นประกอบ 2. ลักษณ- อกศุ ล นามใชเรียกภิกษุสามเณร นักบวชอ่ืน อกุศลมลู รากเหงาของอกุศล, ตน เหตุ บางพวก และส่ิงท่เี คารพบชู าบางอยาง ของอกุศล, ตน เหตุของความช่วั มี ๓ ในทางศาสนา เชน พระพทุ ธรูป ๒ องค อยาง คอื โลภะ โทสะ โมหะ พระเจดีย ๔ องค, สําหรบั ภกิ ษุสามเณร อกุศลวิตก ความตริตรึกที่เปนอกุศล, ในภาษาเขียนทานใหใช รปู ความนกึ คิดที่ไมด ี มี ๓ อยาง คอื ๑. องคฌ าน (บาลี วา ฌานงคฺ ) องคป ระกอบ กามวิตก คดิ แสไปในทางกาม หาทาง ของฌาน, องคธรรมทง้ั หลายทปี่ ระกอบ ปรนปรือตน ๒. พยาบาทวติ ก คิดใน กันเขา เปน ฌานขน้ั หนึง่ ๆ เชน ปต ิ สุข ทางพยาบาท ๓. วิหิงสาวติ ก คิดในทาง เอกัคคตา รวมกันเรียกวา ฌานท่ี ๒ หรือทุติยฌาน; องคฌานทั้งหมดใน เบียดเบียนผอู นื่ อคติ ฐานะอันไมพึงถึง, ทางความ ฌานตา งๆ นับแยกเปนหนว ยๆ ไมซ้ํา ประพฤติท่ผี ดิ , ความลาํ เอียง มี ๔ คือ กนั มที ้งั หมด ๖ อยาง คือ วติ ก ความ ๑.ฉนั ทาคติ ลาํ เอยี งเพราะรกั ๒.โทสาคติ ตรึก วจิ าร ความตรอง ปต ิ ความอม่ิ ใจ ลาํ เอยี งเพราะชงั ๓. โมหาคติ ลาํ เอยี ง สขุ ความสุข อเุ บกขา ความมีจิตเรียบ เพราะเขลา ๔.ภยาคติ ลาํ เอยี งเพราะกลวั ; สมดุลเปน กลาง และ เอกคั คตา ความมี ดู คิหิวินยั อารมณห นึง่ เดยี ว; ดู ฌาน

องคมรรค ๔๖๙ อเจลก องคมรรค (บาลี วา มคฺคงคฺ ) องค ประพฤตดิ ี เพื่อนศิษยดว ยกันรษิ ยา ยุ ประกอบของมรรค, องคธรรม ๘ อยาง อาจารยใหก ําจดั เสีย อาจารยลวงอบุ าย มีสัมมาทิฏฐิเปนตน ท่ีประกอบกันเขา ใหไปฆาคนครบหน่ึงพันแลวจะมอบวิชา เปนมรรค หรอื ทเ่ี รียกชอ่ื เตม็ วา อริย- อัฏฐังคกิ มรรค; ดู มรรค 1. วิเศษอยางหนงึ่ ให จงึ กลายไปเปนมหา องคแหง ธรรมกถึก ๕ คือ ๑. แสดง โจรผโู หดรายทารุณ ตัดนวิ้ มอื คนทีต่ น ธรรมไปตามลําดับไมตัดลัดใหสับสน ฆาตายแลว รอ ยเปน พวงมาลยั จงึ ไดช อ่ื วา องคลุ มิ าล (แปลวา “มีนิว้ เปนพวง หรือขาดความ ๒. ชแ้ี จงยกเหตผุ ลมา มาลัย”) ภายหลังพระพุทธเจาเสด็จไป แสดงใหผูฟงเขาใจ ๓. สอนเขาดวย โปรดกลับใจได ขอบวช ตอมาก็ได เมตตา ตง้ั จติ ปรารถนาใหเ ปนประโยชน สาํ เร็จพระอรหตั ทา นเปน ตน แหงพทุ ธ- แกผูฟง ๔. ไมแ สดงธรรมเพราะเหน็ แก บญั ญัติไมใหบ วชโจรทีข่ นึ้ ช่อื โดง ดงั ลาภ ๕. ไมแ สดงธรรมกระทบตนและผู อจติ ตกะ ไมมีเจตนา เปน ชือ่ ของอาบตั ิ อนื่ คือ ไมย กตน ไมเ สียดสขี ม ขผี่ ูอนื่ พวกหน่ึง ท่ีเกิดขนึ้ โดยสมฏุ ฐานทแ่ี มไ ม องคแหง ภิกษใุ หม ๕ คือ ๑. ปาฏิโมกข- มีเจตนา คือ ถึงแมไมจงใจทําก็ตอง สังวร สํารวมในพระปาฏิโมกข ๒. อาบตั ิ เชน ฉันอาหารในเวลาวกิ าล ด่ืม อนิ ทรียสงั วร สาํ รวมอินทรยี ท้ัง ๖ ๓. นา้ํ เมา เปนตน ภสั สปรยิ ันตะ พดู คยุ มขี อบเขต ไมเ อกิ อจิรวดี แมนา้ํ ใหญสายสาํ คัญลําดบั ท่ี ๓ เกริกเฮฮา ๔. กายวูปกาสะ อยูใน ในมหานที ๕ ของชมพทู วีป ไหลผาน เสนาสนะอันสงัด ๕. สมั มทัสสนะ ตงั้ เมอื งสําคญั คือ สาวัตถี เมอื งหลวงของ ตนไวใ นความเห็นชอบ แควน โกศล, เมื่อพระเจาวิฑูฑภะยกทัพ องคุลิมาล พระมหาสาวกองคหนึ่งของ ไปกําจัดเจาศากยะเสร็จแลวกลับมาพัก พระพุทธเจา เคยเปนมหาโจรโดงดัง ต้ังคายคางแรมอยูท่ีริมฝงแมน้ําน้ี ถงึ เปนบุตรของภัคควพราหมณ ผูเปน ราตรี นา้ํ ไดข น้ึ ทว มพดั พาพระเจา วฑิ ฑู ภะ ปุโรหิตของพระเจาโกศล มารดาชือ่ นาง พรอมทั้งกองทัพไปถึงความพินาศแทบ มันตานีพราหมณี เดิมชื่ออหิงสกะ หมดสนิ้ , ปจจบุ ัน อจิรวดเี ปน แมน าํ้ ที่ไม (แปลวา “ผไู มเ บยี ดเบยี น”) ไปศกึ ษา สําคญั อะไรนัก มชี ่ือในภาษาอังกฤษวา ศลิ ปศาสตรใ นสาํ นกั อาจารยท ศิ าปาโมกข Rapti; ดู มหานที ๕ เมืองตักสิลา มีความรูและความ อเจลก ชเี ปลอื ย, นกั บวชไมนงุ ผา

อเจลกวรรค ๔๗๐ อดิเรก อเจลกวรรค ตอนที่วา ดวยเรือ่ งเกี่ยวกบั “เปนศัตรูตั้งแตยังไมเกิด” ในท่ีสุดเจา ชีเปลอื ย เปนตน , เปน ชอื่ หมวดอาบตั ิ ชายอชาตศัตรูก็คบคิดกับพระเทวทัตฆา ปาจิตตยี  วรรคที่ ๕ พระราชบิดาตามท่ีโหรทํานายไวและได อชฏากาศ ดู อัชฏากาศ ขึ้นครองราชสมบัตแิ ควนมคธ ณ กรงุ อชปาลนิโครธ ตนไทรเปนที่พักอาศัย ราชคฤห แตท รงสาํ นึกและกลับพระทัย ของคนเลี้ยงแพะ, ชือ่ ตนไมท พ่ี ระพุทธ- ได หนั มาทรงอุปถัมภบ ํารงุ พระศาสนา เจาประทับนงั่ เสวยวมิ ตุ ตสิ ุขเปน เวลา ๗ และไดเปนพุทธศาสนูปถัมภก ในการ วนั อยทู ศิ ตะวนั ออกของตน ศรมี หาโพธ;์ิ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ (คาํ อชาตศตั รู บาง ดู วมิ ุตติสุข ทานแปลใหมว า “มไิ ดเกดิ มาเปนศัตรู”) อชาตปฐพี ปฐพไี มแท คือดินท่ีเปนหิน อชิตมาณพ หวั หนา ศษิ ย ๑๖ คนของ เปน กรวด เปน กระเบอื้ ง เปน แร เปน พราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถามปญหากะ ทรายลว น หรอื มดี นิ รว นดนิ เหนยี วนอ ย พระศาสดา ทปี่ าสาณเจดีย เปน ของอนื่ มากกด็ ี ดนิ ทไ่ี ฟเผาแลว กด็ ี อชนิ ปเวณิ เครอ่ื งลาดทท่ี าํ ดว ยหนงั สตั ว กองดนิ รว น หรอื กองดนิ เหนยี วทฝ่ี นตก ชอื่ อชนิ ะ มขี นออ นนมุ จดั เปน อจุ จาสยนะ รดหยอ นกวา ๔ เดอื นกด็ ี มหาสยนะอยางหนึ่ง อชาตศตั รู โอรสของพระเจา พมิ พิสารกบั อญาณตา อาการที่จะตองอาบตั ิดวยไมรู พระนางโกศลเทวี กษัตริยแควนมคธ อณุ, อณู สิ่งเลก็ ๆ, ละเอยี ด ขณะพระนางโกศลเทวที รงครรภ ไดแ พ อดิเทพ, อติเทพ เทพผูยิ่งกวาเทพทั้ง ทอ งอยากเสวยโลหติ ของพระเจา พมิ พสิ าร หลาย, เทพเหนือเทพ หมายถึงพระ พระเจาพิมพิสารทรงทราบจึงเอาพระ อรหนั ต เฉพาะอยางย่ิง พระพทุ ธเจา , ขรรคแทงพระชานุ (เขา) รองพระโลหิต บางแหง หมายถงึ จอมเทพ คือทาวสักกะ ใหพระนางเสวย โหรทํานายวา พระ (พระอนิ ทร) โอรสที่อยูในครรภเกิดมาจะทําปตุฆาต อดเิ รก 1. เกนิ กวา กาํ หนด, ย่งิ กวาปกต,ิ พระนางโกศลเทวีพยายามทําลายดวย สวนเกิน, เหลือเฟอ, สวนเพิ่มเติม, การใหแทงเสีย แตไมส าํ เรจ็ ในทส่ี ุดคิด สว นเพ่มิ พิเศษ 2. ถวายอติเรก หรอื จะรีด แตพระเจาพิมพิสารทรงหามไว ถวายอดิเรก คือ พระสงฆถวายพระพร เมื่อครบกาํ หนดประสูตเิ ปน กมุ าร จงึ ตั้ง ท่ีเปนสวนเพ่ิมพิเศษ แดพระบาท พระนามโอรสวา อชาตศัตรู แปลวา สมเด็จพระเจาอยูหัว และหรือสมเด็จ

อดเิ รก ๔๗๑ อดเิ รก พระบรมราชนิ ี ทายพระราชพธิ บี ําเพ็ญ องค ผทู รงพระคณุ อันประเสริฐ. พระราชกุศล ในระหวางอนุโมทนา ถา ขอถวายพระพร กลาวในพระราชฐาน ตองตอทายดวย แบบที่ ๒ สาํ หรับ ๒ พระองค - คําถวายอดิเรก ถวายพรลา, เรียกอยา งนเ้ี พราะข้ึนตน วา “อติเรกวสฺสสตํ ชีวตุฯ” อตเิ รกวสสฺ สตํ ชีวต.ุ อตเิ รกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ คาํ ถวายอดิเรก และคําถวายพระพร อติเรกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ ทีฆายโุ ก โหตุ อโรโค โหต.ุ ลา ทีใ่ ชเปน แบบในบัดน้ี ดังนี้ ทฆี ายุโก โหตุ อโรโค โหต.ุ สุขิโต โหตุ ปรมนิ ฺทมหาราชา สราชนิ ี. แบบท่ี ๑ เฉพาะพระบาทสมเดจ็ พระเจา สทิ ฺธกิ จิ ฺจํ สิทฺธกิ มฺมํ สิทธฺ ิลาโภ ชโย นิจจฺ ํ. ปรมนิ ทฺ มหาราชวรสสฺ ราชนิ ยิ าสหภวตุสพพฺ ทา. อยูห วั พระองคเ ดยี ว - คําถวายอดิเรก ขอถวายพระพร อติเรกวสฺสสตํ ชีวต.ุ - คําถวายพระพรลา อตเิ รกวสฺสสตํ ชีวตุ. ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ อติเรกวสสฺ สตํ ชีวตุ. ทีฆายโุ ก โหตุ อโรโค โหตุ. สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ. สขุ ิโต โหตุ ปรมนิ ทฺ มหาราชา. ประการ จงมีแดสมเด็จบรมบพติ รพระ สิทฺธิกจิ ฺจํ สทิ ฺธิกมฺมํ สทิ ฺธิลาโภ ชโย นิจฺจ.ํ ปรมนิ ทฺ มหาราชวรสสฺ ภวตุ สพพฺ ทา. ราชสมภารเจาทัง้ ๒ พระองค ผูทรง ขอถวายพระพร พระคุณอนั ประเสริฐ เวลานีส้ มควรแลว - คําถวายพระพรลา อาตมภาพท้ังปวง ขอถวายพระพรลา ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ แดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจา สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก ทั้ง ๒ พระองค ผูทรงพระคุณอัน ประการ จงมีแดสมเด็จบรมบพิตรพระ ประเสริฐ. ราชสมภารพระองค สมเดจ็ พระปรมนิ ทร ขอถวายพระพร ธรรมกิ มหาราชาธริ าชเจา ผทู รงพระคณุ แบบที่ ๓ เฉพาะสมเด็จพระบรมราชนิ ี อันประเสริฐ เวลานส้ี มควรแลว อาตม- - คําถวายอดิเรก ภาพท้ังปวง ขอถวายพระพรลา แด อติเรกวสสฺ สตํ ชีวต.ุ อติเรกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร พระ

อดเิ รกจีวร ๔๗๒ อตมั มยตา อตเิ รกวสฺสสตํ ชีวต.ุ คณุ ประดับพระปญญาบารมี ถา รับพระ ทีฆายกุ า โหตุ อโรคา โหตุ. ราชทานถวายวิสัชนาไป มิไดตองตาม ทฆี ายกุ า โหตุ อโรคา โหต.ุ โวหารอรรถาธิบาย ในพระธรรมเทศนา สขุ ิตา โหตุ สริ ิกิตตฺ ิปรมราชิน.ี ณ บทใดบทหน่ึงกด็ ี ขอเดชะ๒ พระ สทิ ฺธกิ จิ ฺจํ สทิ ธฺ ิกมมฺ ํ สิทธฺ ิลาโภ ชโย นิจจฺ ํ. เมตตาคณุ พระกรณุ าคุณ พระขันติคุณ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานอภัย สริ กิ ติ ฺตปิ รมราชนิ ยิ าภวตุ สพพฺ ทา. แกอ าตมะ ผูม สี ตปิ ญ ญานอ ย. ขอถวายพระพร ขอถวายพระพร - คําถวายพระพรลา (๑ ถาเปนพระองคอ่ืน พึงเปลี่ยนไปตาม ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ สวัสด์ิพิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก กรณี เชน สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถวา ประการ จงมแี ดสมเดจ็ บรมบพติ รพระ “จงมีแด สมเด็จบรมบพิตรพระราช ราชสมภารพระองค สมเด็จพระนางเจา สมภารพระองค สมเดจ็ พระนางเจา สริ กิ ติ ์ิ สิรกิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ ผทู รงพระ พระบรมราชินีนาถ”; ๒ ถามิใชพระบาท คุณอันประเสริฐ เวลาน้ีสมควรแลว สมเดจ็ พระเจาอยูหัว หรือมิไดประทับ อาตมภาพทั้งปวง ขอถวายพระพรลา อยูในท่ีเฉพาะหนา ใหเวนคําวา “ขอ แดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร เดชะ”) พระองค ผทู รงพระคณุ อันประเสรฐิ . อดิเรกจวี ร ดู อตเิ รกจวี ร ขอถวายพระพร อดีต ลว งแลว นอกจากน้ี เห็นควรนําแบบคาํ ถวาย อดีตกาล เวลาทีล่ วงแลว พระพรเทศนา มาแสดงไวด ว ย ดังนี้ อตัมมยตา “ภาวะท่ีไมเนื่องดวยสง่ิ นัน้ ”, คาํ ถวายพระพรเทศนา “ความไมเกาะเกี่ยวกับมัน”, ความเปน ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ อิสระ ไมติดไมขอ งไมค างใจกบั สง่ิ ใดๆ สวัสด์ิพิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก ไมมีอะไรยึดถือผูกพันที่จะไดจะมีจะ ประการ จงมีแด สมเด็จบรมบพิตรพระ เปนอยางหนึ่งอยางใด ไดแกความ ราชสมภารพระองค สมเดจ็ พระปรมนิ ทร ปลอดพนปราศจากตัณหา (รวมทั้ง ธรรมกิ มหาราชาธริ าชเจา ๑ ผทู รงพระคุณ มานะและทิฏฐิท่ีเนื่องกันอยู), ภาวะไร อันประเสริฐ บัดน้ีจักรับพระราชทาน ตณั หา; อตัมมยตา (รวมท้งั “อตมั มโย” ถวายวิสัชนาใน . . . ฉลองพระเดชพระ หรืออตัมมัย ทเ่ี ปน คณุ ศพั ท) พระพทุ ธ

อตถิ ิพลี ๔๗๓ อติถิพลี เจา ตรสั แสดงไวใ นพระสตู ร ๔ สตู ร และ สตั บุรษุ “กระทาํ ปฏิปทาไวภ ายใน” (ใจ มาในคาํ อธบิ ายของพระสารบี ตุ รในคมั ภรี  อยูกับการปฏิบัติท่ีถูกตองเปนหลัก มหานทิ เทสอีก ๑ แหง พระพทุ ธพจน หรือเอาการปฏิบัติที่ถูกตองมาต้ังเปน และคาํ อธิบายดังกลาวจะชวยใหผูศึกษา หลักไวในใจ) จึงไมเอาคุณสมบัติใดๆ เขาใจความประณีตแหงธรรมที่ปญญา มาเปนเหตุใหยกตน-ขมผูอื่น สวนใน อันรูจาํ แนกแยกแยะจะมองเหน็ ความย่ิง ความสําเร็จข้ันฌานสมาบัติ สัตบุรุษ ความหยอ น และความเหมาะควรพอดี “กระทาํ อตัมมยตาไวภ ายใน” (ใจอยกู บั ถูกผิดข้ันตอนหรือไม เปนตน ในการ อตมั มยตาทตี่ ระหนกั รอู ยู) จงึ ไมถ อื การ ปฏิบัติ โดยเฉพาะการปฏิบัติตอการ ไดฌานสมาบัติมาเปนเหตุยกตน-ขมผู ปฏบิ ตั ขิ องตน เชน ทา นกลาววา (ข.ุ ม.๒๙/ อ่นื (เหนอื ขนั้ ฌานสมาบัติข้นึ ไป เปน ข้นั ๓๓๘/๒๒๘) สาํ หรับอกุศลธรรม เราควร ถึงความสิ้นอาสวะ ซง่ึ เปน สตั บรุ ุษอยาง สลดั ละ แตสาํ หรับกุศลธรรมทั้งสามภมู ิ เดียว ไมมีอสัตบุรุษ จึงไมมีความ เราควรมีอตัมมยตา (ความไมติดยึด), สําคัญม่ันหมายอะไรที่จะเปนเหตุใหยก ในสัปปุริสสูตร (ม.อุ.๑๔/๑๙๑/๑๔๑) พระ ตนขม ใครอีกตอ ไป), ใน อตัมมยสูตร พุทธเจาตรัสแสดงสัปปุริสธรรม และ (อง.ฺ ฉกกฺ .๒๒/๓๗๕/๔๙๓) ตรสั วา อานสิ งส อสัปปุริสธรรม ใหเห็นความแตกตาง อยา งแรก (ใน ๖ อยา ง) ของการตงั้ ระหวา งอสตั บรุ ุษ กับสตั บรุ ุษวา อสตั - อนัตตสัญญาอยางไมจาํ เพาะในธรรมทง้ั บรุ ุษถอื เอาคุณสมบัติ การปฏิบัติ หรอื ปวง คอื จะเปนผูอตัมมยั ในท้งั โลก, ใน ความกาวหนาความสําเร็จในการปฏิบัติ วิสทุ ธมิ คั ค กลา วถึงอตมั มยตา ทตี่ รสั ของตน เชน ความมชี าตติ ระกูลสูง ลาภ ในสฬายตนวิภังคสตู ร วาเปน วุฏฐาน- ยศ ความเปน พหสู ตู ความเปน ธรรมกถกึ คามินีวปิ ส สนา (ม.อ.ุ ๑๔/๖๓๒/๔๐๗; วิสทุ ฺธิ. การถือธุดงควัตรมีการอยูปาอยูโคนไม ๓/๓๑๘) เปน ตน จนถงึ การไดฌ านสมาบตั ิ มา อติถิพลี การจัดสรรสละรายไดหรือ เปนเหตุยกตน-ขมผูอื่น สวนสัตบุรุษ ทรัพยสวนหนึ่งเปนคาใชจายสําหรับเอื้อ จะมีดีหรือกาวไปไดสูงเทาใด ก็ไมถือ เฟอเก้ือกูลกันในดานการตอนรับแขก, เปน เหตยุ กตน-ขมผูอ่ืนเชน นนั้ ในเร่ือง การใชรายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือ นี้ มขี อ พงึ สังเกตที่สําคัญคอื ในระดบั แสดงน้ําใจเออ้ื เฟอ ในการตอ นรบั ผไู ปมา แหงคุณสมบัติและการถือปฏิบัติท่ัวไป หาสู (ขอ ๒ในพลี๕แหง โภคอาทยิ ะ ๕)

อติเทพ ๔๗๔ อทิสสมานกาย อตเิ ทพ ดู อดเิ ทพ อตีตังสญาณ ญาณหย่ังรูสวนอดีต, อติมานะ ดูหมิ่นทาน, ความถือตัววา ปรีชากําหนดรูเหตุการณท่ีลวงไปแลว เหนือกวายิ่งกวาเขา (ขอ ๑๔ ใน อันเปนเหตุใหไดรับผลในปจจุบัน (ขอ อปุ กเิ ลส ๑๖); ดู มานะ ๑ ในญาณ ๓) อติเรก ดู อดเิ รก อเตกิจฉา แกไขไมได, เยียวยาไมได อตเิ รกจีวร จีวรเหลือเฟอ , ผา สว นเกิน หมายถึงอาบัติมีโทษหนักถึงที่สุดตอง หมายถึงผาท่ีเขาถวายภิกษุเพิ่มเขามา แลว ขาดจากความเปน ภิกษุ คอื อาบัติ นอกจากผาท่ีอธิษฐานเปน ไตรจีวร และ ปาราชิก; คูกับ สเตกิจฉา มิไดวิกัปไว; ตรงขามกับ จีวรอธิษฐาน; อถัพพนเพท ชื่อคัมภีรพระเวทลําดับที่ อดเิ รกจวี ร กเ็ รยี ก; ดู วิกัป, อธิษฐาน ๔ วา ดว ยคาถาอาคมทางไสยศาสตร การ อติเรกบาตร บาตรของภิกษุที่เขาถวาย ปลุกเสกตางๆ เปนสวนเพิ่มเขามาตอ เพ่ิมเขามา นอกจากบาตรอธิษฐาน, จาก ไตรเพท; อาถัพพนเวท, อถรรพเวท, พระพุทธเจาอนุญาตใหภิกษุมีบาตรไว อาถรรพณเวท ก็เขียน ใชใบเดียว ซ่ึงเรียกวาบาตรอธิษฐาน อทวารรูป ดูท่ี รปู ๒๘ หากมีหลายใบ ตง้ั แตใบที่ ๒ ขน้ึ ไป อทินนาทาน ถือเอาส่ิงของท่ีเจาของไม และมิไดว ิกัปไว เรยี กวา อตเิ รกบาตร; ดู ไดใหดวยอาการแหงขโมย, ขโมยสิ่ง วกิ ปั , อธิษฐาน ของ, ลกั ทรพั ย (ขอ ๒ ในกรรมกิเลส อตเิ รกปก ษ เกินเวลาปกษห น่งึ คอื เกนิ ๔ ในอกศุ ลกรรมบถ ๑๐) อทินนาทานา เวรมณี เวนจากการถอื ๑๕ วัน แตย ังไมถึงเดือน อติเรกมาส เกินเวลาเดอื นหนงึ่ เอาส่งิ ของทีเ่ จาของไมไดให, เวน การลกั อติเรกลาภ ลาภเหลือเฟอ, ลาภสวน ขโมย (ขอ ๒ ในศลี ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ พเิ ศษ, ลาภเกนิ ปรกติ กุศลกรรมบถ ๑๐) อติเรกวีสติวรรค สงฆพวกท่ีกําหนด อทิสสมานกาย กายท่ีมองไมเห็น,ผูมี จํานวนเกิน ๒๐ รูป กายไมป รากฏ, ไมปรากฏราง, มองไม อตีตภวังค ดู วถิ จี ติ เหน็ ตวั กลาวคอื เปนวสิ ยั ของผมู ีฤทธ์ิ อตีตานาคตังสญาณ ญาณเปนเครื่องรู บางประเภท (วิกุพพนฤทธิ์) อาจทําการ ถงึ เร่อื งทล่ี ว งมาแลว และเร่ืองทยี่ ังไมม า บางอยางโดยไมใหผูอื่นมองเห็นราง ถึง, ญาณหยงั่ รูท ้ังอดตี และอนาคต กาย; อีกอยางหนึง่ เปน ความเช่อื ของ

อทุกขมสขุ ๔๗๕ อธกิ มาส พวกพราหมณว า บรรพบรุ ุษทตี่ ายไป มี จึงส้นั กวา ปส ุรยิ คติ ๑๑ วนั , เมอ่ื เวลา ถน่ิ เปน ทอี่ ยเู รยี กวา ปต ฤโลก ยงั ทรงอยู ผา นไปนานๆ วันเดือนปแ บบจนั ทรคติ ดวยเปน อทสิ สมานกาย ความเช่ือนี้คน ก็จะหางกับวันเดือนปแบบสุริยคติมาก ขึ้นไปเร่ือยๆ และจะไมตรงกับฤดูกาล ไทยกร็ ับมา แตใ หบรรพบรุ ษุ เหลา น้ันคง จนกระท่ังเขาพรรษาก็จะไมตรงฤดูฝน อยทู บ่ี า นเรอื นเดมิ อยา งทเ่ี รยี กวา ผเี รอื น จึงตองมีวิธีที่จะปรับปจันทรคติใหตรง อทุกขมสุข (ความรูสึก)ไมทุกขไมสุข, หรอื ใหใ กลเ คยี งกบั ปสุรยิ คติ ความรสู กึ เฉยๆ (ขอ ๓ ในเวทนา ๓) บางทเี รยี ก อเุ บกขา (คอื อเุ บกขาเวทนา) ดวยเหตุที่ปจันทรคติสั้นกวาปสุริย- อเทสนาคามนิ ี ดู เทสนาคามินี คติ ๑๑ วนั เมื่อผา นไป ๓ ป ก็จะส้ัน อโทสะ ความไมคดิ ประทษุ รา ย, ธรรมที่ กวา รวมได ๓๓ วัน จงึ วางเปน หลักมา เปนปฏปิ ก ษ คอื ตรงขามกบั โทสะ ได แตโ บราณวา ทุก ๓ ปจันทรคติ ใหเ พ่ิม แก เมตตา (ขอ ๒ ในกุศลมูล ๓) เดอื นแปดข้ึนมาอกี เดอื นหนึ่ง (คอื เพม่ิ อธรรม ไมใชธ รรม, ไมเ ปน ธรรม, ผดิ ขนึ้ ๓๐ วนั ) จงึ เปนเดอื นแปดสองหน ธรรม, ชว่ั รา ย และเรียกเดือนแปดที่เพิ่มข้ึนมานั้นวา อธรรมวาที ผูกลาวสง่ิ ทม่ี ิใชธ รรม, ผูไม “อธกิ มาส”, สวนทย่ี งั ขาดอีก ๓ วัน ให พูดตามหลกั ไมพ ูดตามธรรม, ผูพดู ไม กระจายไปเติมในปตางๆ โดยเพม่ิ เดือน ๗ ทีเ่ ปนเดอื นขาดมี ๒๙ วัน ใหปน น้ั ๆ เปนธรรม, ผูไมเ ปน ธรรมวาที เปนเดือนเตม็ มี ๓๐ วนั (มแี รม ๑๕ อธกิ มาส “เดอื นท่เี กนิ ”, เดอื นท่ีเพมิ่ ขึน้ ค่ํา เดอื น ๗) และเรียกวนั ทเ่ี พมิ่ ขน้ึ ทา ย ในปจ นั ทรคติ (คือในปนน้ั มเี ดือน ๘ เดอื น ๗ นั้นวา “อธิกวาร” สองหน รวมเปน ๑๓ เดือน) ตามวิธีคาํ นวณทก่ี ลาวมานน้ั สามปมี อธกิ มาสคร้ังหนึง่ กค็ ือ ๑๘ ปม ีอธกิ มาส การที่ตองมีอธิกมาสนั้น เนื่องจาก ๖ คร้งั (และเหมอื นจะตองมีอธกิ วารทุก ป) แตเ ม่ือคํานวณละเอียด ปรากฏวายงั เดอื นจันทรคตสิ ัน้ กวา เดอื นสุรยิ คติ คือ ไมตรงแท เชนวา ปส รุ ยิ คตมิ ิใชมี ๓๖๕ วันถวน แตม ี ๓๖๕.๒๔๒๑๙๙ วัน (ดัง เดือนจันทรคติมี ๓๐ วนั (เดือนคูหรือ ที่ทกุ ๔ ป ตอ งเพ่ิมปส รุ ิยคตเิ ปน ๓๖๖ วัน โดยใหเดอื นกุมภาพันธเ พมิ่ จาก ๒๘ เดอื นเตม็ ) บา ง มี ๒๙ วัน (เดือนคห่ี รือ เดือนขาด) บา ง รวมปห นึ่งมี ๓๕๔ วนั , สวนเดือนสรุ ยิ คติมี ๓๐ วันบา ง มี ๓๑ วนั บา ง (เวน เดอื นกมุ ภาพนั ธท ม่ี ี ๒๘ วนั ) รวมปห นง่ึ มี ๓๖๕ วนั , ดงั นนั้ ปจ นั ทรคติ

อธกิ รณ ๔๗๖ อธิกสุรทิน“ เปน ๒๙ วัน), พรอ มกันนั้น ปจ นั ทรคติ หนา ๒. สติวนิ ัย วธิ รี ะงบั โดยถอื สตเิ ปน ก็มิใชม ี ๓๕๔ วันถวน แตมี ๓๕๔.๓๖ วนั หลกั ๓. อมูฬหวินยั วิธรี ะงับสําหรบั ผู ดังน้ีเปนตน, เมื่อจะใหปฏิทินแมนยํา หายจากเปน บา ๔. ปฏิญญาตกรณะ การ มากข้ึน จึงไดวางหลักที่ซบั ซอนข้ึนกวา ทาํ ตามทรี่ บั ๕. ตัสสปาปย สกิ า การ เดมิ เปนวา ในรอบ ๑๙ ป ใหม ีอธกิ มาส ตัดสินลงโทษแกผูผิด (ที่ไมรับ) ๖. ๗ คร้ัง (สวนอธิกวารก็หางออกไป เยภยุ ยสิกา การตดั สนิ ตามคําของคนขา ง ประมาณ ๕-๗ ป หรอื บางทีนานกวา นน้ั มาก ๗. ติณวัตถารกวินัย วธิ ีดจุ กลบไว จึงมคี รั้งหนึ่ง และถือเปน หลกั วา ไมให ดวยหญา (ประนปี ระนอม) เพ่ิมอธิกวารในปอธกิ มาส คอื ปอ ธกิ มาส อธกิ วาร “วันอนั เกนิ ”, วันที่เพิ่มขึ้นในป ตอ งเปน ปกตวิ าร) จนั ทรคติ (คือในปน้ัน เตมิ ใหเดือนเจ็ด อน่ึง เมื่อจะเทียบกับปที่มีอธิกมาส เปนเดือนเต็มมี ๓๐ วัน) เพ่ือเสริม จึงเรียกปปกติท่ีไมมีอธิกมาส วาเปน อธิกมาส ในการปรับใหป ฏทิ นิ จนั ทรคติ ปกตมิ าส มีฤดูกาลตรงหรือใกลเคียงกับปฏิทิน อธกิ รณ เร่ืองที่เกดิ ขน้ึ แลวจะตอ งจดั ตอ ง สรุ ยิ คติ แตถ อื เปน หลกั วา มใิ หม อี ธกิ วาร ทาํ , เรอ่ื งทส่ี งฆต อ งดาํ เนนิ การ มี ๔ อยา ง ในปเ ดยี วกนั กบั อธกิ มาส, เมื่อเทียบกับ คอื ๑. วิวาทาธิกรณ การเถียงกนั เก่ยี ว ปท ีม่ อี ธกิ วาร ใหเ รียกปปกตทิ ไ่ี มมีอธกิ - กับพระธรรมวินัย ๒. อนุวาทาธิกรณ วาร วาเปน ปกติวาร; ดู อธกิ มาส การโจทหรือกลาวหากันดวยอาบัติ ๓. อธกิ สรุ ทนิ “วนั สุรยิ คติอันเกนิ ”, วันท่ี อาปต ตาธกิ รณ การตอ งอาบัติ การปรบั เพม่ิ ขึน้ ในปส รุ ยิ คติ คือ ในปน้นั เดอื น อาบตั ิ และการแกไขตัวใหพ น จากอาบตั ิ กุมภาพันธมีจํานวนวันเพ่ิมข้ึนวันหน่ึง ๔. กจิ จาธิกรณ กิจธุระตา งๆ ทส่ี งฆจ ะ จาก ๒๘ เปน ๒๙ วัน, ท้งั นี้มีหลกั วา ตอ งทาํ เชน ใหอุปสมบท ใหผ า กฐนิ , ใน ตามปกติ ๔ ป มอี ธกิ สรุ ทนิ ครัง้ หนึ่ง ภาษาไทยอธิกรณมีความหมายเลือน โดยมวี ธิ ีคํานวณ คอื เอาจาํ นวน ๕๔๓ ลางลงและแคบเขา กลายเปน คดีความ หกั ออกจากพุทธศักราช ใหเ หลอื ตัวเลข โทษ เปน ตน เทากับ ค.ศ. แลวหารดว ย ๔ ถา ปใด อธิกรณสมถะ ธรรมเคร่ืองระงบั อธกิ รณ, หารลงตวั ปน นั้ มอี ธกิ สุรทิน (เชน พ.ศ. วธิ ดี าํ เนนิ การเพอ่ื ระงบั อธกิ รณม ี ๗ วิธี ๒๕๔๗–๕๔๓ = ๒๐๐๔ ÷ ๔ = ๕๐๑ คอื ๑. สัมมุขาวินยั วธิ รี ะงบั ในทพี่ รอม ลงตัว จงึ เปน ปท ี่มอี ธิกสุรทิน) แตท ง้ั น้ี

อธิการ ๔๗๗ อธิคมธรรม ยกเวนตัวเลขที่ครบเปนหลักรอย (ลง คาํ หรอื ขอ ความทจี่ ะตอ งนาํ ไปเตมิ หรอื ใส ทาย ๐๐) ตอ งหารดวย ๔๐๐ ลงตัว จึง เพ่ิมในที่น้ันๆ เพื่อใหเขาใจความหมาย จะมอี ธิกสรุ ทนิ (เชน พ.ศ.๒๔๔๓–๕๔๓ หรือไดกฎเกณฑท่ีจะปฏิบัติใหถูกตอง = ๑๙๐๐ แมจ ะหารดวย ๔ ลงตวั แต ครบถว น 4. อาํ นาจ, ตาํ แหนง , หนา ท,ี่ หารดวย ๔๐๐ ไมได ก็ไมมอี ธกิ สุรทิน) กจิ การ, ภาระ อธิการ 1. “ตวั การ”, ตวั ทําการ, เจา การ, มีธรรมเนียมเรียกเจาอาวาสที่ไมเปน เจา กรณ,ี เจาของเร่ือง, เรอื่ งหรือกรณีที่ เปรียญและไมมีสมณศักดิ์อยางอื่นวา กําลงั พิจารณา, เรอื่ งที่เกย่ี วของ, เร่อื งที่ พระอธิการ และเรียกเจาคณะตําบล เปนขอสําคัญ หรือท่ีเปนขอพิจารณา, หรอื พระอุปชฌาย ทไ่ี มเ ปนเปรียญและ สวนหรือตอนที่วาดวยเร่ืองน้ันๆ เชน ไมมีสมณศักดิ์อยางอื่นวา เจาอธิการ, “ในอธกิ ารนี”้ หมายความวา ในเร่อื งน้ี ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความในวรรคสุด หรอื ในตอนน้ี 2. “การอนั ย่ิง” ๑) การทํา ทา ยของมาตรา ๑๒ แหงพระราชบัญญตั ิ ความดีที่ยิ่งใหญหรืออยางพิเศษ, บุญ ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ ร.ศ. ๑๒๑ หรือคุณความดีสําคัญท่ีไดบําเพ็ญมา, วา “อน่งึ เจาอาวาสทั้งปวงนั้น ถา ไมไ ด ความประพฤติปฏิบัติท่ีเคยประกอบไว อยูในสมณศักด์ิท่ีสูงกวา ก็ใหมีสมณ- หรือการอันไดบําเพ็ญมาแตกาลกอน ศักดิ์เปนอธิการ” ซ่ึงมีเชิงอรรถใต หรือท่ีไดส่ังสมตระเตรียมเปนทุนไว มาตรา อันเปนพระนิพนธของสมเด็จ เชน “พระเถระนนั้ เปนผมู อี ธกิ ารอันได พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณ- ทําไว ในสมถะและวิปส สนา” ๒) การ วโรรส กาํ กบั ไวดวยวา “(๑๕) เจา อาวาส อันสาํ คัญหรอื ทที่ าํ อยางจรงิ จงั อนั เปน เปนพระอธิการ รองแขวงท่ีเรียกอีก การแสดงความเคารพรักนับถือหรือ โวหารหนึ่งวาเจาคณะหมวด เปนเจา เกอ้ื กลู ตลอดจนโปรดปราน เชน การบชู า อธกิ าร ในบดั น้พี ระอปุ ชฌายะก็เปนเจา การชวยเหลือที่สําคัญ การทําความดี อธิการเหมอื นกนั ” ความชอบ การใหรางวลั 3. “การทาํ ให อธคิ ม การบรรลุ, การเขาถงึ , ปฏิเวธ, เกนิ ”, “การทาํ ใหเพม่ิ ข้นึ ”, การเติมคํา การลุผลปฏบิ ัติ เชน บรรลุมรรคผล หรือขอความที่ละไว หรือใสเพ่มิ เขา มา อธิคมธรรม ธรรมข้ันบรรลุผลแหงการ เพอ่ื ใหไดค วามหมายครบถวน, คาํ หรอื ปฏิบตั ิ, อุตตริมนุสสธรรม เชน ฌาน ขอความท่ีเติมหรือใสเพ่ิมเขามาเชนน้ัน, อภญิ ญา มรรค ผล; ดูอตุ ตรมิ นสุ สธรรม

อธิจิต,อธจิ ิตต ๔๗๘ อธศิ ลี สกิ ขา อธจิ ติ , อธจิ ติ ต จิตอนั ยิ่ง, เร่ืองของการ แหงไตรลักษณ; ดู สกิ ขา เจรญิ สมาธอิ ยา งสงู หมายถงึ ฌานสมาบตั ิ อธิปญญาสิกขา เร่ืองอธิปญญาอันจะ ทเี่ ปน บาทแหง วปิ ส สนา หรอื แมส มาธทิ ่ี ตองศกึ ษา, การศกึ ษาในอธปิ ญ ญา, ขอ เจริญดวยความรูเขาใจโดยมุงใหเปน ปฏิบัติสําหรับฝกอบรมพัฒนาปญญา ปจ จยั แหง การกา วไปในมรรค; ดูสกิ ขา อยางสูง เพื่อใหเกิดความรูแจง มองเห็น อธิจิตตสิกขา เรื่องอธิจิตตอันจะตอง ส่ิงทัง้ หลายตามเปนจรงิ อันจะทาํ ใหจติ ศึกษา, การศึกษาในอธิจติ ต, ขอปฏิบตั ิ ใจหลดุ พน เปน อสิ ระ ปราศจากกเิ ลสและ สําหรับฝกอบรมพัฒนาจิตใจอยางสูง ความทกุ ข (ขอ ๓ ในสกิ ขา ๓ หรือไตร- เพ่ือใหเกิดสมาธิ ความเขมแข็งม่ันคง สิกขา) เรยี กกนั งา ยๆวาปญ ญา; ดูสกิ ขา พรอมท้ังคุณธรรมและคุณสมบัติท่ี อธิมุตติ อัธยาศัย, ความโนมเอียง, เกือ้ กลู ทั้งหลาย เชน สติ ขนั ติ เมตตา ความคิดมุงไป, ความมุงหมาย กรณุ า สดชนื่ เบกิ บาน เปน สขุ ผองใส อธิโมกข 1. ความปลงใจ, ความตกลงใจ, อันจะทําใหจิตใจมีสภาพที่เหมาะแกการ ความปกใจในอารมณ (ขอ ๑๐ ใน ใชงาน เฉพาะอยา งย่งิ ใหเ ปนฐานแหง อัญญสมานาเจตสิก ๑๓) 2. ความนอม การเจรญิ ปญ ญา (ขอ ๒ ในสิกขา ๓ ใจเชื่อ, ความเชื่อสนิทแนว, ความ หรือไตรสิกขา) เรียกกันงายๆ วา ซาบซ้ึงศรัทธาหรือเลื่อมใสอยางแรงกลา สมาธิ; ดู สกิ ขา ซ่ึงทําใหจิตใจเจิดจาหมดความเศรา อธฏิ ฐาน ดู อธิษฐาน หมอง (ขอ ๖ ในวิปสสนปู กิเลส ๑๐) อธิบดี ใหญย ่งิ , ผูเปน ใหญ, หัวหนา อธิวาสนขันติ ความอดทนคอื ความอด อธิบาย ไขความ, ขยายความ, ช้ีแจง; กลัน้ อธศิ ีล ศีลอนั ยงิ่ หมายถึงปาฏิโมกขสงั วร- ความประสงค อธปิ เตยยะ, อธปิ ไตย ความเปน ใหญม ี ศลี ตลอดลงมาจนถงึ ศีล ๕ ศลี ๘ ศีล ๓ อยา ง คอื ๑. อัตตาธปิ ไตย ความมี ๑๐ ทร่ี กั ษาดว ยความเขา ใจ ใหเ ปน เครอ่ื ง ตนเปน ใหญ ๒. โลกาธปิ ไตย ความมี หนนุ นาํ ออกจากวฏั ฏะ หรอื เปน ปจ จยั ให โลกเปน ใหญ ๓. ธัมมาธิปไตย ความมี กา วไปในมรรค; ดู สกิ ขา อธิศลี สิกขา เร่ืองอธศิ ีลอันจะตอ งศกึ ษา, ธรรมเปน ใหญ อธิปญญา ปญญาอันย่ิง โดยเฉพาะ การศึกษาในอธิศีล, ขอปฏิบัติสําหรับ วิปสสนาปญญา ท่ีกําหนดรูความจริง ฝกอบรมพัฒนาศีลอยา งสูง ทจี่ ะใหต ้ัง

อธิษฐาน ๔๗๙ อธิษฐานธรรม อยูในวนิ ัย รูจกั ใชอ นิ ทรยี  และมีพฤติ- ความตัง้ ใจมน่ั , การตดั สินใจเดด็ เด่ียว, กรรมทางกายวาจาดีงาม ในการสัมพันธ ความต้ังใจม่ันแนวท่ีจะทําการใหส ําเรจ็ ลุ ที่จะอยูรวมสังคมกับผูอ่ืนและอยูในส่ิง จุดหมาย, ความต้ังใจหนักแนนเด็ด แวดลอมตา งๆ ดวยดี ใหเ ปนประโยชน เดยี่ ววาจะทําการนั้นๆ ใหสาํ เร็จ และ เก้ือกูล ไมเ บยี ดเบยี น ไมท าํ ลาย และให ม่ันคงแนวแนในทางดําเนินและจุดมุง เปนพ้ืนฐานแหงการฝกอบรมพัฒนาจิต หมายของตน เปน บารมีอยางหนึ่ง เรยี ก ใจในอธจิ ติ ตสกิ ขา (ขอ ๑ ในสิกขา ๓ วา อธิษฐานบารมี หรอื อธฏิ ฐานบารมี หรือไตรสิกขา), เขียนอยางบาลีเปน (ขอ ๘ ในบารมี ๑๐) 3. ธรรมเปน ทม่ี น่ั , อธสิ ีลสกิ ขา และเรียกกันงา ยๆ วา ศีล; ดู สกิ ขา ในแบบเรียนธรรมของไทย เรียกวา อธษิ ฐาน 1. ในทางพระวินยั แปลวา อธิษฐานธรรม; ดู อธษิ ฐานธรรม 4. ใน ภาษาไทย ใชเปนคาํ กริยา และมักมี การต้งั เอาไว ตั้งใจกําหนดแนน อนลงไป ความหมายเพยี้ นไปวา ตง้ั ใจมงุ ขอใหไ ด เชน อธษิ ฐานพรรษา ต้งั เอาไวเ ปนของ ผลอยางใดอยางหน่ึง, ต้ังจิตปรารถนา เพ่อื การนัน้ ๆ หรอื ตงั้ ใจกําหนดลงไปวา เฉพาะอยางยิ่ง ต้ังจิตขอตอส่ิงที่ถือวา ใหเ ปน ของใชป ระจาํ ตวั ชนดิ นนั้ ๆ เชน ได ศักดิ์สิทธ์ิใหสาํ เร็จผลอยางใดอยา งหนง่ึ ; ผา มาผนื หนง่ึ ตง้ั ใจวา จะใชเ ปน อะไร คอื มีขอสังเกตวา ในความหมายเดิม จะเปน สังฆาฏิ อตุ ตราสงค อันตรวาสก อธิษฐานเปนการตัง้ ใจที่จะทํา (ใหสําเรจ็ ก็อธิษฐานเปน อยา งนั้นๆ เมื่ออธิษฐาน ดวยความพยายามของตน) แตความ แลว ของนั้นเรียกวาเปนของอธิษฐาน หมายในภาษาไทยกลายเปนอธิษฐาน เชน เปน สงั ฆาฏอิ ธิษฐาน จวี รอธษิ ฐาน โดยตงั้ ใจขอเพอื่ จะไดห รอื จะเอา เฉพาะ (นยิ มเรยี กกนั วา จวี รครอง) ตลอดจน อยางยิ่งดวยอํานาจดลบันดาลโดยตน บาตรอธษิ ฐาน สว นของชนดิ นน้ั ทไ่ี ด เองไมต อ งทํา (บาล:ี อธฏิ าน) เพม่ิ มาอกี หรอื เกนิ จากนนั้ ไปกเ็ ปน อตเิ รก อธษิ ฐานธรรม ธรรมทค่ี วรตงั้ ไวใ นใจ, เชน เปน อตเิ รกจวี ร, อตเิ รกบาตร, คาํ ธรรมเปนทีม่ ่ัน, หลกั ธรรมทใ่ี ชตัง้ ตวั ให อธิษฐาน เชน “อมิ ํ สงฺฆาฏึ อธิฏ าม”ิ มั่นหรือเปนที่ต้ังตัวใหมั่น เพื่อจะ (ถา อธิษฐานของอ่ืน กเ็ ปลี่ยนไปตามช่ือ สามารถยึดเอาหรือลุถึงผลสําเร็จท่ีเปน ของน้ัน เชน วา อตุ ฺตราสงคฺ ํ, อนฺตรวาสกํ, จดุ หมาย เฉพาะอยา งยง่ิ พระภิกษุใชต้ัง ปตตฺ ํ เปน ตน ); ดู วกิ ปั , ปจจทุ ธรณ 2. ตัวเพื่อจะบรรลอุ รหตั ตผล มี ๔ อยา ง