สัมผปั ปลาปะ ๔๓๐ สัมมตั ตะ ๑ ในวิรัติ ๓) สัมภตู สาณวาสี ชื่อพระเถระองคห นงึ่ ใน สมั ผปั ปลาปะ พดู เพอ เจอ , พดู เหลวไหล, การกสงฆ ผูทําสังคายนาคร้งั ท่ี ๒ พดู ไมเ ปน ประโยชน ไมม เี หตผุ ล ไรส าระ สัมโภคนาสนา ใหฉิบหายเสียจากการ ไมถ กู กาลถกู เวลา (ขอ ๗ ในอกศุ ล- กนิ รว ม, เปน ศัพทผูกใหมทส่ี มเด็จพระ กรรมบถ ๑๐) มหาสมณเจา กรมพระยาวชรญิ าณวโรรส สมั ผัปปลาปา เวรมณี เวนจากพดู เพอ วา นา จะใชแ ทนคาํ วา ทณั ฑกรรมนาสนา เจอ, เวนจากพูดเหลวไหลไมเปน (การใหฉ ิบหายดวยทณั ฑกรรม คือ ลง ประโยชน, พูดคําจริง มีเหตุผล มี โทษสามเณรผูกลาวตูพระธรรมเทศนา ประโยชน ถกู กาลเทศะ (ขอ ๗ ในกศุ ล- โดยไลจากสํานัก และไมใหภิกษุทั้ง กรรมบถ ๑๐) หลายคบดว ยตามสิกขาบทที่ ๑๐ แหง สมั ผสั ความกระทบ, การถกู ตอ งทใี่ ห สัปปาณกวรรค ปาจิตตยิ กณั ฑ) เกิดความรูสึก, ความประจวบกันแหง สัมมตกิ า กัปปยภูมทิ ่ีสงฆสมมติ คอื กฎุ ี อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ ท่ีสงฆเลือกจะใชเปนกัปปยกุฎีแลวสวด วญิ ญาณ มี ๖ เรม่ิ แต จักขุสมั ผัส ประกาศดว ยญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม; ดู กปั ปย ภมู ิ สมั ผสั ทางตา เปน ตน จนถงึ มโนสมั ผสั สัมมสนญาณ ญาณหย่งั รูดวยพจิ ารณา สมั ผสั ทางใจ (เรยี งตามอายตนะภายใน นามรปู โดยไตรลกั ษณ, ญาณทพ่ี จิ ารณา ๖); ผสั สะ กเ็ รียก หรือตรวจตรานามรูปหรือสังขาร มอง สมั พนั ธ 1. เกี่ยวขอ ง, ผูกพัน, เนอื่ งกนั เหน็ ตามแนวไตรลกั ษณ คอื รวู า ไม 2. ในทางอักขรวิธีภาษาบาลี หมายถึง เทยี่ ง ทนอยไู มไ ด ไมใ ชต วั ตน (ขอ ๓ มีตางบทมาสนธิเชื่อมเขาดวยกัน เชน ในญาณ ๑๖) ตณุ หฺ ิสสฺ หรือ ตณุ หฺ สฺส (= ตณุ หฺ ี + สมั มตั ตะ ความเปนถกู , ภาวะทีถ่ กู มี อสสฺ );ในความหมายน้ี ตรงขา มกบั ววตั ถติ ะ ๑๐ อยา ง ๘ ขอตน ตรงกับองคม รรคทง้ั สัมพทุ ธะ ทา นผตู รสั รเู อง, พระพทุ ธเจา ๘ ขอ เพ่ิม ๒ ขอทา ย คือ ๙. สัมมา- สมั ภเวสี ผูแสวงสมภพ; ดู ภตู ะ ญาณ รูชอบ ไดแ กผลญาณและปจ จ- สัมภาระ สิ่งของตางๆ, วัตถุ, วัสดุ, เวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวมิ ุตติ หลุดพน เคร่อื งใช, องค, สวนประกอบ, บริขาร, ชอบ ไดแกพระอรหัตตผลวมิ ุตต;ิ เรียก ปจจัย, ความดีหรอื ความชวั่ ท่ปี ระกอบ อีกอยา งวา อเสขธรรม ๑๐; ตรงขา มกบั มิจฉตั ตะ ๑๐ หรอื ทาํ สะสมไว; การประชุมเขา
สมั มัปปธาน ๔๓๑ สมั มาสมั พทุ ธเจดยี สมั มัปปธาน ความเพียรชอบ; ดู ปธาน, ดําเนินในมรรคมีองค ๘ ประการ โพธิปก ขยิ ธรรม (ปฏบิ ตั ติ ามมรรค) สัมมา โดยชอบ, ดี, ถกู ตอ ง, ถูกถว น, สัมมาปาสะ “บวงคลอ งไวม ั่น”, ความรู สมบรู ณ, จรงิ , แท จักผูกผสานรวมใจประชาชน ดว ยการ สมั มากมั มนั ตะ ทาํ การชอบ หรอื การงาน สงเสริมอาชพี เชน ใหค นจนกยู ืมทุนไป ชอบ ไดแ ก การกระทาํ ทเ่ี วน จากความ สรางตัวในพาณิชยกรรม เปนตน (ขอ ประพฤตชิ วั่ ทางกายสามอยา ง คอื ฆา สตั ว ๓ ใน ราชสังคหวตั ถุ ๔) ลกั ทรพั ย ประพฤตผิ ดิ ในกาม คอื เวน สัมมาวาจา เจรจาชอบ คอื เวนจากวจ-ี จากกายทจุ ริต๓ (ขอ ๔ ในมรรค) ทจุ ริต ๔ (ขอ ๓ ในมรรค) สัมมาญาณะ รชู อบ ไดแกผลญาณ คือ สัมมาวายามะ เพยี รชอบ คอื เพียรในที่ ญาณอันเปนผลสืบเน่ืองมาจากมรรค- ๔ สถาน ไดแก ๑. สังวรปธาน ๒. ญาณ เชน โสดาปต ติผล เปน ตน และ ปหานปธาน ๓. ภาวนาปธาน ๔. อน-ุ ปจ จเวกขณญาณ (ขอ ๙ ในสมั มตั ตะ๑๐) รกั ขนาปธาน (ขอ ๖ ในมรรค); ดู ปธาน สัมมาทิฏฐิ ปญญาอนั เหน็ ชอบ คือ เหน็ สมั มาวิมุตติ หลดุ พนชอบ ไดแ กอรหัตต อรยิ สจั จ ๔, เหน็ ชอบตามคลองธรรมวา ผลวิมุตติ (ขอ ๑๐ ในสัมมตั ตะ ๑๐) ทาํ ดมี ีผลดี ทําช่ัวมีผลชวั่ มารดาบดิ ามี สมั มาสติ ระลกึ ชอบ คอื ระลึกใน สต-ิ (คือมีคุณความดีควรแกฐานะหนึ่งที่ ปฏฐาน ๔ (ขอ ๗ ในมรรค) เรยี กวา มารดาบิดา) ฯลฯ, เห็นถูกตอ ง สัมมาสมาธิ ตง้ั จิตม่นั ชอบ, จิตมน่ั ชอบ ตามที่เปนจริงวาขันธ ๕ ไมเที่ยง คือสมาธิที่เจริญตามแนวของ ฌาน ๔ เปนตน (ขอ ๑ ในมรรค) (ขอ ๘ ในมรรค) สัมมาทิฏฐิสูตร พระสูตรแสดงความ สัมมาสังกัปปะ ดําริชอบ คือ ๑. หมายตา งๆ แหงสัมมาทฏิ ฐิ เปนภาษติ เนกขัมมสังกัปปะ ดาํ ริจะออกจากกาม ของพระสารีบตุ ร (สูตรที่ ๙ ในมัชฌิม- หรือปลอดจากโลภะ ๒. อัพยาปาท- นกิ าย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎ ก) สังกัปปะ ดําริในอันไมพยาบาท ๓. สัมมานะ ความนับถอื , การยกยอ ง, การ อวิหิงสาสังกัปปะ ดําริในอันไมเบียด ใหเ กียรต;ิ ตรงขา มกบั อวมานะ, ดู มานะ เบียน (ขอ ๒ ในมรรค) สมั มาปฏบิ ัติ ปฏบิ ตั ชิ อบ คือปฏบิ ัติชอบ สัมมาสัมพุทธเจดีย เจดียเกี่ยวเน่ือง ธรรม, ปฏิบัติถูกทํานองคลองธรรม, ดวยพระสมั มาสัมพุทธเจา, เจดยี ทีเ่ ปน
สมฺมาสมพฺ ุทโฺ ธ ๔๓๒ สาเกต เคร่ืองเตือนจิตใหระลึกถึงสมเด็จพระ ธรรม ถกู วนิ ยั ); สมั มุขาวนิ ยั ใชเ ปน สมั มาสัมพุทธเจา; ดู เจดยี เครอื่ งระงบั อธิกรณไ ดทกุ อยาง สมฺมาสมฺพุทฺโธ (พระผูมีพระภาคเจา สัมโมทนียกถา “ถอยคําเปนท่ีบันเทิง น้ัน) เปนผูตรัสรูเองโดยชอบ คือรู ใจ”, คําตอ นรบั ทกั ทาย, คาํ ปราศรัย; อรยิ สัจจ ๔ โดยไมเ คยไดเรยี นรจู ากผู ปจจุบันนิยมเรียกสุนทรพจนท่ีพระสงฆ อ่นื จงึ ทรงเปนผเู ร่ิมประกาศสจั จธรรม กลาววา สมั โมทนยี กถา เปนผูประดษิ ฐานพระพุทธศาสนา และ สมั ฤทธิ์ ความสาํ เร็จ จงึ ไดพ ระนามอยา งหนงึ่ วา ธรรมสามี คอื สัลลวตี แมน้ําที่กันอาณาเขตมัชฌิม- เปน เจา ของธรรม (ขอ ๒ ในพทุ ธคณุ ๙) ชนบท ดานทศิ ตะวันออกเฉยี งใต สัมมาสัมโพธิญาณ ญาณเปนเคร่ือง สัสสตทฏิ ฐิ ความเห็นวาเทยี่ ง คือความ ตรัสรเู องโดยชอบ เห็นวาอัตตาและโลก เปนส่ิงเที่ยงแท สัมมาอาชวี ะ เลย้ี งชีวิตชอบ คอื เวนจาก ยง่ั ยนื คงอยตู ลอดไป เชน เห็นวาคน เล้ียงชีวิตโดยทางที่ผิด เชน โกงเขา และสัตวตายไปแลว รางกายเทาน้ัน หลอกลวง สอพลอ บบี บงั คับขูเข็ญ คา ทรุดโทรมไป สวนดวงชีพหรือเจตภูต คน คายาเสพติด คายาพิษ เปนตน (ขอ หรือมนสั เปนธรรมชาตไิ มส ูญ ยอ มถอื ๕ ในมรรค) ปฏิสนธิในกาํ เนดิ อ่นื สืบไป เปนมิจฉา- สัมมุขาวินัย ระเบียบอันพึงทําในท่ี ทฏิ ฐิอยางหนึง่ ; ตรงขา มกบั อุจเฉททฏิ ฐิ พรอ มหนา , วิธีระงับตอ หนา ไดแ ก การ (ขอ ๑ ในทฏิ ฐิ ๒) ระงบั อธกิ รณใ นทพี่ รอ มหนา สงฆ (สงั ฆ- สัสสเมธะ ความฉลาดในการบํารุงขาว สัมมุขตา คือภิกษุเขาประชุมครบองค กลา, ปรีชาในการบํารุงพืชพันธุ สงฆ), ในที่พรอ มหนา บุคคล (ปคุ คล- ธัญญาหาร สงเสริมการเกษตรใหอุดม สมั มขุ ตา คอื บคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ งในเรอื่ ง สมบรู ณ เปนสงั คหวัตถปุ ระการหนง่ึ ที่ผู นั้นอยูพรอมหนากัน), ในท่ีพรอมหนา ปกครองบา นเมอื งจะพึงบาํ เพญ็ (ขอ ๑ วัตถุ (วัตถุสัมมุขตา คือยกเรื่องที่เกิด ในราชสังคหวตั ถุ ๔) ข้ึนนั้นวินิจฉัย), ในที่พรอมธรรมวินัย สากัจฉา การพดู จา, การสนทนา (ธมั มสมั มขุ ตา และวินยสมั มขุ ตา คอื นํา สากยิ านี เจา หญงิ วงศศ ากยะ เอาหลักเกณฑท่ีกําหนดไวตามพระ สาเกต ช่อื มหานครแหงหนง่ึ อยใู นแควน ธรรมวนิ ัยมาใชปฏบิ ตั ิ ไดแกว นิ ิจฉัยถูก โกศล หางจากเมืองสาวตั ถี ๗ โยชน
สาขนคร ๔๓๓ สาธารณสกิ ขาบท ธนญั ชยั เศรษฐี บิดาของนางวิสาขา ได ไดโตวาทะกบั พระนาคเสน, ปจ จุบันอยู รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจา ในแควนปญจาป; แควนมัททะนั้นบาง ปเสนทิโกศล ใหเขาต้งั ถิ่นฐานและสราง คราบถูกเขาใจสับสนกับแควน มัจฉะ ข้ึน เม่ือคราวท่ีทานเศรษฐีอพยพจาก ทําใหสาคละพลอยถูกเรียกเปนเมือง เมืองราชคฤหมาอยูในแควนโกศลตาม หลวงของแควน มัจฉะไปก็มี คําเชิญชวนของพระองค, ตามทีก่ ําหนด สาชีพ แบบแผนแหงความประพฤติท่ีดี กันไดในปจจุบัน ท่ีตั้งของเมืองสาเกต ทําใหมีชวี ติ รวมเปน อนั เดยี วกัน ไดแก อยูท่ีฝงลางของแมนํ้าฆาฆระ (Gh- สิกขาบททั้งปวงที่พระพุทธเจาไดทรง ghara, สาขาใหญสายหน่ึงของแมนํ้า บญั ญตั ไิ วใ นพระวินยั อันทําใหภ ิกษทุ ั้ง คงคา) ตรงกบั เมืองอโยธยา (Ayodhya) หลายผูมาจากถิ่นฐานชาติตระกูลตางๆ หางจากเมอื ง Kasia (กุสนิ ารา) ตรงไป กนั มามีความเปน อยเู สมอเปนอันหนึง่ ทางทศิ ตะวันตก ประมาณ ๑๗๐ กม. อนั เดียวกัน; มาคูกับ สิกขา สาขนคร เมืองกิ่ง, เมืองเลก็ สาณะ ผาทาํ ดวยเปลอื กปาน, ผาปา น สาคตะ พระมหาสาวกองคหนงึ่ เกิดใน สาณัตตกิ ะ อาบัติทตี่ อ งเพราะสง่ั คอื สัง่ ตระกูลพราหมณในพระนครสาวตั ถี ได ผูอ่ืนทํา ตัวเองไมไดทํา ก็ตองอาบัติ ฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดามี เชน สัง่ ใหผูอ่ืนลักทรพั ย เปนตน ความเล่ือมใส ขอบวชแลวทําความ สาฎก ผา , ผา หม , ผา คลมุ เพยี รเจริญสมาบตั ิ ๘ ประการ จนมี สาตรปู รปู เปนทชี่ ื่นใจ; ดู ปย รูป ความชํานาญในสมาบัติ ทานเปนตน สาเถยยะ โออ วด, ความโออ วดหลอก บัญญัติสุราปานสิกขาบท และเพราะ เขา; เขียน สาไถย ก็ได (ขอ ๖ ในมละ เกิดความสังเวชในเกตุการณท่ีเกิดกับ ๙, ขอ ๑๐ ในอุปกิเลส ๑๖) ตนคร้ังนี้ จึงเจริญวิปสสนากัมมัฏฐาน สาธก อางตังอยางใหเห็นสม, ยกตัว จนไดสําเร็จพระอรหตั ไดรับยกยอ งวา อยา งมาอางใหเห็น เปน เอตทคั คะในทางเตโชธาตุสมาบัติ สาธยาย การทอง, การสวด สาคร ทะเล สาธารณ ทว่ั ไป, ทวั่ ไปแกหม,ู ของสวน สาคละ ชอ่ื นครหลวงของแควน มทั ทะ รวม ไมใ ชข องใครโดยเฉพาะ ตอมาภายหลังพุทธกาลไดเปนราชธานี สาธารณสถาน สถานทสี่ าํ หรบั คนทั่วไป ของพระเจามลิ นิ ท กษตั ริยน ักปราชญท ี่ สาธารณสิกขาบท สิกขาบทที่ทั่วไป,
สาธุ ๔๓๔ สามเณร สิกขาบทท่ีใชบังคับท่ัวกันหรือเสมอ “เพลงสาธุการ” นีข้ ้ึน เพอ่ื อญั เชิญพระ เหมือนกัน หมายถึง สิกขาบทสําหรบั พุทธเจาในเวลาท่ีเสด็จลงจากเศียรของ ภิกษุณี ที่เหมือนกันกับสิกขาบทของ พระพรหมนั้น (อางอิงเรื่องใน พรหม- ภกิ ษุ เชน ปาราชกิ ๔ ขอตน ในจาํ นวน นิมนตนกิ สูตร, ม.ม.ู ๑๒/๕๕๑/๕๙๐) ๘ ขอ ของภกิ ษุณเี หมือนกันกบั สิกขาบท สาธุกีฬา กีฬาท่ีดี, การละเลนทีด่ ีงาม ของภิกษุ; เทยี บ อสาธารณสกิ ขาบท เปนประโยชน; เปนคําในช้ันอรรถกถา สาธุ “ดแี ลว ”, “ชอบแลว ”, คาํ ทพ่ี ระสงฆ เฉพาะอยางยิ่งทีเ่ ลาวา เมื่อพระพุทธเจา เปลงออกมาเพ่ือแสดงความเห็นชอบตอ ปรินพิ พานแลว มีสาธุกีฬา ๗ วัน ตอ การกระทาํ ตอ เรอื่ งราวทด่ี าํ เนนิ ไป หรอื เน่ืองและประสานกับการบูชาพระบรม ตอ กจิ กรรมในพธิ นี น้ั ๆ, โดยนยั หมายถงึ สารีริกธาตุ, แมในการปรินิพพานของ เปลง วาจาแสดงความชน่ื ชม อนโุ มทนา พระปจเจกพุทธเจาและพระอรหันต หรอื เหน็ ชอบ, อกี นยั หนงึ่ มกั ใชเ ปน คาํ หลายทา น กม็ เี รอ่ื งเลา ถงึ การเลน สาธกุ ฬี า บอกแกเด็ก เพ่ือใหแสดงความเคารพ ๗ วนั และการบชู าพระธาต;ุ สาธกุ ฬี ามี ดว ยการทาํ กริ ยิ าไหว (บางทคี าํ กรอ นลง ลักษณะสําคัญคือ มิใชเลนเพ่ือความ เหลอื เพยี งพดู สน้ั ๆ วา “ธ”ุ ) สนุกสนานบนั เทิงของตนเอง แตเลนให สาธุการ 1. การเปลงวาจาวา สาธุ (แปล เปนประโยชนแกผูอ่ืน และไมขัดตอ วา “ดแี ลว ” “ชอบแลว ”) เพอื่ แสดงความ สัมปรายิกัตถะ (ประโยชนดานจิตใจ เห็นชอบดวย ชื่นชม หรือยกยอง และปญ ญา) ใหกอ กศุ ลมาก เชนมีคตี ะ สรรเสรญิ 2. ช่ือเพลงหนา พาทยเพลง คือเพลงหรือการขับรองท่ีกระตุนเตือน หน่ึง ถอื วา มคี วามสาํ คญั อยางยงิ่ ใช ใจใหระลึกถึงความจริงของชีวิตและคิด บรรเลงในการเร่ิมพิธี เพ่ือบูชาพระ ท่ีจะไมประมาทเรงสรางสรรคทําความดี รัตนตรัย เชนในเวลาที่พระธรรมกถึก พรอมท้ังเปนการสักการะบูชาพระผู ขึ้นสูธรรมาสนเพ่ือแสดงธรรม ตลอด ปรนิ พิ พาน จนใชอัญเชิญเทพเจาและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ สาธุชน คนดี, คนมีศีลธรรม, คนมี อนื่ ๆ, มตี าํ นานของไทยเลา สบื มาวา พก- กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม พรหม (พระพรหมนามวา “พกะ”) ซ่ึง สะอาดบริสุทธ์,ิ คนที่ประพฤตสิ จุ ริต เดมิ เปนผูมีมจิ ฉาทฏิ ฐิ เม่ือพระพทุ ธเจา สานต สงบ เสดจ็ ไปโปรดจนละทฏิ ฐนิ ้นั แลว ไดแ ตง สามเณร เหลากอแหงสมณะ, บรรพชติ
สามเณรเปสกะ ๔๓๕ สามคั คีปวารณา ในพระพุทธศาสนาผูยังมิไดอุปสมบท อยา งภกิ ษุ แมม ไิ ดไ ปรว มประชมุ ทาํ สงั ฆ- เพียงแตรับบรรพชาดวยไตรสรณคมน กรรม แตมอบใหฉ นั ทะ เรียกวา จิต- ถอื สิกขาบท ๑๐ และกิจวัตรบางอยาง สามัคคี (สามคั คดี วยใจ); ความพรอ ม ตามปกติ มอี ายยุ งั ไมค รบ ๒๐ ปบ รบิ รู ณ; เพรยี งแหง สงฆ คอื สงั ฆสามคั คี เปน พระราหุลเปนสามเณรองคแรกในพระ หลกั การสาํ คญั ยง่ิ ในพระวนิ ยั ทจ่ี ะดาํ รง พทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา จงึ มพี ทุ ธบญั ญตั หิ ลาย สามเณรเปสกะ ภกิ ษผุ ไู ดร บั สมมติ คือ อยางเพื่อใหสงฆมีวิธีปฏิบัติในการรักษา แตงต้ังจากสงฆ ใหทําหนาที่เปนผูใช สงั ฆสามคั คนี นั้ สว นการทาํ ใหส งฆแ ตก สามเณร, เปน ตาํ แหนงหน่ึงในบรรดา เจา แยก กค็ อื การทาํ ลายสงฆ เรยี กวา สงั ฆ- อธิการแหง อาราม เภท ถอื วา เปน กรรมชว่ั รา ยแรง ถงึ ขน้ั เปน สามเณรี สามเณรผูหญิง, หญิงรับ อนนั ตรยิ กรรม (ถามีการทะเลาะวิวาท บรรพชาในสํานักภิกษุณี ถือสิกขาบท บาดหมาง กดี กนั้ กนั ไมเ ออื้ เฟอ กนั ไม ๑๐ เหมอื นสามเณร รว มมอื กนั ไมป ฏบิ ตั ขิ อ วตั รตอ กนั ยงั ไม สามเพท ชอื่ คมั ภรี ที่ ๓ ของพระเวท; ดู ไตรเพท ถอื วา สงฆแ ตกกนั แตเ ปน ความรา วราน สามัคคี ความพรอ มเพรียง, ความกลม แหงสงฆ เรียกวา สงั ฆราชี แตเ ม่อื ใด ภิกษุท้ังหลายแตกแยกกันถึงข้ันคุมกัน เกลียว, ความมีจุดรวมตัวเขาดวยกัน เปน คณะ แยกทาํ อโุ บสถ แยกทาํ ปวารณา หรือมุงไปดวยกัน (โดยวิเคราะหวา แยกทาํ สงั ฆกรรม แยกทาํ กรรมใหญน อ ย อคเฺ คน สขิ เรน สงฺคตํ สมคคฺ ํ, สมคฺค- ภายในสมี า เมอื่ นนั้ เปน สงั ฆเภท); หลกั ภาโว สามคคฺ )ี , คาํ เสรมิ ทมี่ กั มาดว ยกนั ธรรมสําคัญที่พระพุทธเจาทรงแสดงไว กบั สามคั คี คอื สงั คหะ (ความยดึ เหนยี่ ว เพอื่ ใหส งฆม สี ามคั คเี ปน แบบอยา ง ไดแ ก ใจใหร วมกนั ) อววิ าท (ความไมว วิ าทถอื สาราณยี ธรรม ๖ สว นหลกั ธรรมสาํ คญั ตา ง) และเอกภี าพ (ความเปน อนั หนง่ึ อนั สาํ หรับเสริมสรางสามัคคีในสังคมท่ัวไป เดยี วกนั ); เมอ่ื บคุ คลทเี่ กย่ี วขอ งมารว ม ไดแ ก สงั คหวตั ถุ ๔ ประชุมพรักพรอมกัน เรียกวา กาย- สามัคคีปวารณา กรณีอยางสามัคคี- สามคั คี (สามคั คดี ว ยกาย) เมอื่ บคุ คล อโุ บสถน่ันเอง เม่อื ทําปวารณา เรียกวา เหลาน้ันมีความชื่นชมยินดีเห็นชอบรวม สามคั คปี วารณา และวนั ที่ทาํ นน้ั กเ็ รียก กนั พอใจรวมเปน อยา งเดยี วกนั หรอื วนั สามัคคี
สามคั คอี โุ บสถ ๔๓๖ สายสิญจน สามัคคีอุโบสถ อุโบสถที่ทําขน้ึ เปน กรณี กระทําท่ีสมควร, การแสดงความเคารพ พิเศษเม่ือสงฆสองฝายซ่ึงแตกกันกลับ สามจี ปิ ฏปิ นโฺ น (พระสงฆ) เปนผปู ฏิบตั ิ มาปรองดองสมานกันเขาได สามัคคี ชอบ, ปฏิบัติสมควรไดรับสามีจิกรรม อโุ บสถไมกําหนดดวยวันที่ตายตวั สงฆ คอื ปฏิบัตินาเคารพนบั ถือ (ขอ ๔ ใน พรอมเพรียงกันเมื่อใด ก็ทําเมื่อนั้น สังฆคณุ ๙) เรยี กวนั นัน้ วา วันสามคั คี สามุกกังสิกา แปลตามอรรถกถาวา สามัญ 1. ปรกติ, ธรรมดา, ทว่ั ๆ ไป 2. “พระธรรมเทศนาท่ีพระพุทธเจาทรงยก ความเปน สมณะ; มกั เขยี นสามัญญะ ข้ึนถือเอาเอง” คือ ทรงเห็นดวยพระ สามัญญผลสตู ร สตู ร ๒ ในคมั ภีรท ฆี - สยมั ภญู าณ (ตรัสรูเอง) ไดแกอริยสจั จ- นิกาย สลี ขันธวรรค พระสตุ ตันตปฎก เทศนา, ตามแบบเรยี น แปลวา “ธรรม วาดวยผลของความเปนสมณะคือ เทศนาท่ีพระพุทธเจาทรงยกข้ึนแสดง ประโยชนท่ีจะไดจากการดํารงเพศเปน เอง” คือ ไมตอ งปรารภคําถามเปน ตน สมณะ หรอื บําเพญ็ สมณธรรม ของผูฟ ง ไดแกเ ทศนาเร่ืองอริยสจั จ สามญั ญลักษณะ ดู สามญั ลกั ษณะ สายโยค สายรดั ใชแ กถุงตา งๆ เชน ที่ สามญั ญสโมธาน ดู โอธานสโมธาน ประกอบกบั ถงุ บาตรแปลกนั วา สายโยค สามัญผล ผลแหงความเปน สมณะ; ดู บาตร (บาลีวา อํสวทฺธก); บางแหงแปล สามญั ญผลสตู ร อาโยค คอื ผารัดเขา หรือ สายรัดเขา วา สามัญลกั ษณะ 1. ลกั ษณะทเ่ี ปน สามัญ สายโยค กม็ ี แตใ นพระวนิ ยั ปฎ ก ไมแ ปล คือรวมกันหรือเสมอกัน; คูก บั ปจจตั ต- เชน นนั้ (พจนานกุ รมเขยี นสายโยก) ลกั ษณะ 2. ลักษณะท่เี สมอกันแกสังขาร สายสิญจน เสนดายสีขาวท่ีใชโยงใน ทง้ั ปวง; ในความหมายน้ี ดู ไตรลักษณ ศาสนพิธีเพ่ือเปนสิริมงคลหรือเพ่ือ สามันตราช พระราชาแควนใกลเ คียง ความคุมครองปอ งกนั เปนตน เชน ท่ี สามิษ, สามสิ เจือดวยอามสิ คอื เครอ่ื ง พระถือในเวลาสวดมนต และทน่ี ํามาวง ลอ , ตอ งขน้ึ ตอ วตั ถหุ รอื อารมณภ ายนอก รอบบานเรือนหรือบริเวณท่ีตองการ สามิสสุข สุขเจอื อามสิ , สุขทต่ี องอาศยั ความคุมครอง, ตามทีป่ ฏบิ ัติสืบกันมา เหย่ือลอ ไดแกสุขที่เกิดจากกามคุณ ใชดายดบิ นาํ มาจบั ทบเปน ๓ หรือ ๙ (ขอ ๑ ในสขุ ๒) เสน , ถาพจิ ารณาตามรูปศพั ท “สญิ จน” สามจี ิกรรม การชอบ, กจิ ชอบ, การ คอื การรดนาํ้ ซง่ึ คงหมายถงึ การรดนาํ้ ใน
สายัณห ๔๓๗ สาราณยี ธรรม พธิ อี ภเิ ษก สายสญิ จนจ งึ อาจจะหมายถงึ ทรงแสดงปฐมเทศนา เคยเจรญิ รงุ เรอื งมาก สายมงคลหรือสายศักด์ิสิทธ์ิ ซ่ึงสืบมา เปนศูนยกลางการศึกษาทางพุทธศาสนา จากเสนดายหรือสายเชือกที่ใชในพิธี ท่ีสาํ คญั แหงหนึง่ มเี จดยี ใหญส ูง ๒๐๐ อภเิ ษก, บางทตี น เดมิ ของสายสญิ จนอ าจ ฟุต ถกู ชาวฮนิ ดทู าํ ลายกอ น แลว ถกู มาจาก “ปริตฺตสุตตฺ ” (ปริตตสูตร-สาย นายทัพมุสลิมทําลายส้ินเชิงใน พ.ศ. พระปรติ ร) ในคัมภีรบาลีชั้นหลัง ซึ่ง ๑๗๓๘ (สารนาถมาจาก สารังคนาถ หมายถงึ เสน ดา ยเพอื่ ความคมุ ครองปอง แปลวา “ทพ่ี ึง่ ของเหลากวางเนอื้ ”) กนั หรือเสน ดา ยในการสวดพระปรติ ร; ดู สารมณั ฑกปั ดู กัป ปริตร, ปรติ ต สารตั ถทีปนี ชอ่ื คัมภีรฎ กี าอธิบายความ สายณั ห เวลาเย็น ในสมนั ตปาสาทกิ า ซงึ่ เปน อรรถกถาแหง สารกปั ดู กปั พระวินัยปฎก พระสารีบุตรเถระแหง สารณา การใหระลกึ ไดแกกริ ยิ าที่สอบ เกาะลังกา เปนผูรจนาในรัชกาลของ ถามเพื่อฟงคําใหการของจําเลย, การ พระเจา ปรักกมพาหุท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖– สอบสวน ๑๗๒๙) สารท 1. “อนั เกิดมีหรือเปน ไปในสรท- สารัตถปกาสินี ช่ือคัมภีรอรรถกถา สมยั ”, เชน ดวงจนั ทรใ นฤดใู บไมรวง อธิบายความในสังยุตตนกิ าย แหงพระ อนั นวลแจม สดใส 2. เทศกาลทําบุญสิน้ สุตตนั ตปฎ ก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บ เดอื นสบิ เดิมเปน ฤดูทําบุญดว ยเอาขาว เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา ท่ีกาํ ลังทอง (ขาวรวงเปนน้ํานม) มาทํา สงิ หฬทสี่ บื มาแตเ ดมิ เปน หลกั เมอ่ื พ.ศ. ยาคูและกวนขาวปายาสเลี้ยงพราหมณ ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, เรยี กวา กวนขา วทพิ ย สวนผนู บั ถอื พระ อรรถกถา พุทธศาสนานําคตินั้นมาใช แตเปล่ียน สารนั ทเจดยี เจดียสถานแหงหน่งึ ท่เี มือง เปนถวายแกพระภิกษุสงฆ อุทิศสวน เวสาลี นครหลวงของแควนวัชชี ณ ท่ีน้ี กุศลใหแกญาติในปรโลก สาํ หรับชาว พระพุทธเจาเคยทาํ นิมิตตโอภาสแกพ ระ บา นทว่ั ไปมกั ทาํ แตก ระยาสารท เปน ตน อานนท บาลเี ปน สารนั ททเจดยี (ตา งจาก ศราทธ) สารมั ภะ แขง ดี (ขอ ๑๒ ในอปุ กเิ ลส ๑๖) สารนาถ ชอ่ื ปจ จบุ นั ของอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั สาราค ราคะกลา , ความกาํ หนดั ยอมใจ ใกลนครพาราณสี สถานทพ่ี ระพทุ ธเจา สาราณียธรรม ธรรมเปน ทตี่ ัง้ แหงความ
สารี ๔๓๘ สารบี ตุ ร ใหระลึกถึง, ธรรมเปนเหตุใหระลึกถึง ท่ียอดเขาดวยกัน คราวหนึ่งไปดูแลว กนั ทาํ ใหม คี วามเคารพกนั ชวยเหลอื เกดิ ความสลดใจ คดิ ออกแสวงหาโมกข- กนั และสามัคคีพรอ มเพรยี งกัน มี ๖ ธรรม และตอมาไดไปบวชอยใู นสํานัก อยา ง คือ ๑. ตัง้ กายกรรมประกอบดว ย ของสญั ชยั ปรพิ าชก แตก็ไมบ รรลจุ ุดมงุ เมตตาในเพอื่ นภกิ ษุสามเณร ๒. ตั้ง หมาย จนวันหนง่ึ อุปตสิ สปรพิ าชก พบ วจีกรรมประกอบดวยเมตตาในเพ่ือน พระอัสสชเิ ถระขณะทานบิณฑบาต เกดิ ภิกษุสามเณร ๓. ตัง้ มโนกรรมประกอบ ความเล่ือมใสติดตามไปสนทนาขอถาม ดว ยเมตตาในเพอื่ นภกิ ษสุ ามเณร ๔. แบง หลกั คําสอน ไดฟง ความยอ เพียงคาถา ปน ลาภที่ไดมาโดยชอบธรรม ๕. รักษา เดียวก็ไดด วงตาเหน็ ธรรม กลับไปบอก ศีลบริสุทธิ์เสมอกับเพื่อนภิกษุสามเณร ขาวแกโกลิตะ แลวพากันไปเฝาพระ (มสี ลี สามัญญตา) ๖. มคี วามเห็นรว ม พุทธเจา มีปริพาชกที่เปนศิษยตามไป กันไดกับภิกษุสามเณรอ่ืนๆ (มีทิฏฐิ- ดวยถึง ๒๕๐ คน ไดรับเอหิภิกขุ- สามญั ญตา); สารณยี ธรรม กเ็ ขยี น อุปสมบททง้ั หมดทเี่ วฬวุ นั เมอ่ื บวชแลว สารี ชื่อนางพราหมณีผูเปนมารดาของ ได ๑๕ วัน พระสารีบตุ รไดฟงพระ พระสารีบตุ ร ธรรมเทศนาเวทนาปริคคหสูตรท่ีพระ สารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระ พทุ ธเจา ทรงแสดงแกท ฆี นขปริพาชก ณ พุทธเจา เกิดท่ีหมูบ า นนาลกะ (บางแหง ถํ้าสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ก็ไดบรรลุ เรยี กนาลนั ทะ) ไมไ กลจากเมอื งราชคฤห พระอรหัต ไดรับยกยอ งเปนเอตทคั คะ เปนบุตรแหงตระกูลหัวหนาหมูบานนั้น ในทางมีปญญามาก และเปนพระอัคร- บิดาชอื่ วงั คันตพราหมณ มารดาช่ือสารี สาวกฝายขวา ทานไดเปนกําลังสําคัญ จึงไดนามวาสารีบุตร แตเมื่อยังเยาว ของพระพุทธเจาในการประกาศพระ เรยี กวา อปุ ตสิ สะ มเี พอื่ นสนทิ ชอื่ โกลติ ะ ศาสนา และไดรบั การยกยองเปน พระ ซ่ึงตอมาคือพระมหาโมคคัลลานะ มี ธรรมเสนาบดี คําสอนของทานปรากฏ นอ งชาย ๓ คนชอื่ จนุ ทะ อปุ เสนะ และ อยูในพระไตรปฎกเปนอันมาก เชน เรวตะ นอ งหญงิ ๓ คน ชอ่ื จาลา อปุ จาลา สังคตี สิ ูตร และทสตุ ตรสูตร ที่เปน แบบ และสีสุปจาลา ซึ่งตอมาไดบวชในพระ อยา งแหง การสังคายนา เปน ตน ทา น ธรรมวนิ ยั ทงั้ หมด เมอื่ อปุ ตสิ สะและโกลติ ะ ปรินิพพานกอนพระพุทธเจาไมก่ีเดือน จะบวชน้นั ทัง้ สองคนไปเทย่ี วดมู หรสพ เม่ือจวนจะปรินิพพาน ทานเดินทางไป
สารรี ิกธาตุ ๔๓๙ สารรี กิ ธาตุ โปรดมารดาของทานซึ่งยังเปนมิจฉาทิฐิ เชน พระเกสา, มักใชวา พระบรม ใ ห ม า ร ด า ไ ด เ ป น พ ร ะ โ ส ด า บั น แ ล ว สารีริกธาตุ; เม่ือพระพุทธเจาเสด็จดับ ปรนิ พิ พานทบ่ี า นเกดิ ดว ยปก ขนั ทกิ าพาธ ขนั ธปรนิ ิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมอื ง หลังจากปลงศพแลว พระจุนทะนองชาย กุสินารา และมีพิธีถวายพระเพลิงพระ ของทานนําอัฐิธาตุไปถวายพระบรม- พุทธสรรี ะ ท่มี กุฏพันธนเจดยี แลว ไดมี ศาสดา พระองคต รสั วาใหกอสถปู บรรจุ กษตั ริยผคู รองแควนตางๆ ๖ กบั มหา- อัฐธิ าตุของทานไว ณ พระเชตวัน เมอื ง พราหมณเจาเมอื ง ๑ รวมเปน ๗ สาวัตถี (อรรถกถาวา ทานปรนิ พิ พานใน นคร (คอื ๑. พระเจา อชาตศตั รู เมอื ง วันเพญ็ เดือน ๑๒ จึงเทากบั ๖ เดือน ราชคฤห ๒. กษตั รยิ ล จิ ฉวี เมืองเวสาลี กอ นพุทธปรนิ ิพพาน) ๓. ศากยกษัตรยิ เมืองกบลิ พสั ดุ ๔. ถูลีกษตั รยิ อลั ลกัปปนคร ๕. โกลยิ - พระสารีบุตรมีคุณธรรมและจริยา- กษตั ริย แหงรามคาม ๖. มลั ลกษตั รยิ วัตรทีเ่ ปนแบบอยา งหลายประการ เชน เมอื งปาวา ๗. มหาพราหมณ เจาเมอื ง เปนผูมีความกตัญูสูง ดังไดแสดง เวฏฐทีปกนคร) สงทูตมาขอสวนแบง ออกเก่ยี วกับพระอัสสชิ (นอนหันศรี ษะ พระสารีรกิ ธาต,ุ หลงั จากเจรจากนั นาน ไปทางท่ีพระอัสสชพิ าํ นักอย)ู และราธ- และในที่สุดไดฟงสุนทรพจนของโทณ- พราหมณ (ระลกึ ถงึ บิณฑบาตหนึ่งทัพพี พราหมณแลว ท้ัง ๗ เมอื งนัน้ รวมกับ และรบั เปน อปุ ช ฌายแกร าธะ) สมบูรณ มลั ลกษตั ริยแหงเมืองกสุ นิ ารา เปน ๘ ดวยขันติธรรมตอคาํ วากลา ว (ยอมรบั พระนคร ไดต กลงมอบใหโ ทณพราหมณ คาํ แนะนําแมข องสามเณร ๗ ขวบ) เปน เปนผูแบงพระบรมธาตุเปน ๘ สวน ผูเ อาใจใสอ นุเคราะหเด็ก (เชน ชว ยเอา เทา ๆ กนั ใหแกพ ระนครทงั้ ๘ น้นั เด็กยากไรม าบรรพชา มีสามเณรอยใู น เสร็จแลวโทณพราหมณไดขอตุมพะคือ ความปกครองดแู ล ซ่งึ เกง กลาสามารถ ทะนานทองที่ใชตวงพระธาตุไปบูชา, หลายรูป) และเอาใจใสคอยดูแลภิกษุ ฝายโมรยิ กษตั รยิ เมืองปปผลวิ นั ได อาพาธเปน ตน ทราบขาว ก็สงราชทูตมาขอสวนแบง สารรี กิ ธาตุ สว นสาํ คญั แหง พระพทุ ธสรรี ะ พระสารีรกิ ธาตุ แตไ มทนั จงึ ไดแ ตพ ระ ซงึ่ คงอยเู ปน ทเ่ี คารพบชู า โดยเฉพาะพระ องั คารไปบชู า, พระนครทง้ั ๘ ทีไ่ ดสวน อฐั ,ิ กระดกู ของพระพุทธเจา และสว น แบงพระสารีรกิ ธาตุ กไ็ ดสรา งพระสถูป สําคัญอ่ืนๆ แหงพระสรรี ะของพระองค
สารูป ๔๔๐ สาสนวงส บรรจุ เปนพระธาตุสถูป ๘ แหง โทณ- สาวก ผฟู ง , ผูฟ งคาํ สอน, ศิษย; คูกับ พราหมณก็อัญเชิญตุมพะไปกอพระ สาวิกา สถปู บรรจุ เปนตุมพสถูป ๑ แหง โมริย- สาวนะ, สาวนมาส เดือน ๙ กษัตริย ก็อัญเชิญพระอังคารไปสราง สาวัตถี นครหลวงของแควนโกศล; พระสถูปบรรจุไว เปนพระอังคารสถูป แควนโกศลต้ังอยูระหวางภูเขาหิมาลัย ๑ แหง รวมมพี ระสถปู เจดียสถานใน กบั แมนาํ้ คงคาตอนกลาง อาณาเขตทิศ ยคุ แรกเรมิ่ ๑๐ แหง ฉะนี้ เหนอื จดเทือกเขาเนปาล ทศิ ตะวนั ออก นอกจากน้ี คาถาสุดทายแหงมหา- จดแควนกาสี ตอกับแควน มคธ ทิศใต ปรินพิ พานสูตร กลา วความเพ่ิมเตมิ อีก และทิศตะวันตกจดแมน้ําคงคา; พระ วา ยังมีพระสารีริกธาตุอีกทะนานหนึ่ง นครสาวัตถีเปนศูนยกลางการเผยแผ ซ่ึงพวกนาคราชบูชากันอยูในรามคาม พระพุทธศาสนาคร้ังพุทธกาล เปนท่ีท่ี พระทาฐธาตุองคหน่ึงอันเทพชาวไตร- พระพุทธเจาประทับจําพรรษามากที่สุด ทิพยบ ูชา (คือในพระจุฬามณเี จดีย) อีก รวมถงึ ๒๕ พรรษา, บัดน้เี รียก สะเหต- องคหนึ่งอยูในคันธารบุรี อีกองคหนึ่ง มะเหต (Sahet-Mahet, ลา สุด รื้อฟนชือ่ อยใู นแควน กาลงิ คะ (คอื องคทต่ี อ ไปยงั ในภาษาสนั สกฤตข้นึ มาใชวา Ïrvasti ลังกาทวีป) และอกี องคห นึ่งพระยานาค คือ ศราวสั ต)ี ; ดู โกศล, เชตวัน, บพุ พา บูชากนั อยู; ดู ทาฐธาตุ ราม สารปู เหมาะ, สมควร; ธรรมเนียมควร สาวกิ า หญิงผูฟงคาํ สอน, สาวกหญิง, ประพฤติในเวลาเขาบาน, เปนหมวดท่ี ศิษยผ ูหญงิ ; คกู ับ สาวก ๑ แหง เสขิยวตั ร มี ๒๖ สกิ ขาบท สาสนวงส ช่ือหนังสือตํานานพระพุทธ- สาละ ไมยืนตนชนิดหน่ึงของอินเดีย ศาสนา วาดวยเรื่องพระศาสนทูต ๙ พระพุทธเจาประสูติและปรินิพพานใต สาย ทพ่ี ระโมคคัลลีบุตรติสสเถระสงไป รมไมสาละ (เคยแปลกันวา ตนรัง) ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ในดิน สาลคาม ช่อื ตาํ บลหนึ่งในสกั กชนบท แดนตางๆ เมื่อเสร็จการสังคายนาครั้ง สาลพฤกษ ตน สาละ ที่ ๓ ในพระบรมราชูปถัมภของพระเจา สาลวโนทยาน สวนปา ไมส าละ อโศกมหาราช ประมาณ พ.ศ.๒๓๕, สาลวนั ปา ไมส าละ แตงโดยพระปญญาสามี ในประเทศ สาโลหติ สายโลหติ , ผรู ว มสายเลอื ด พมา เม่ือ พ.ศ.๒๔๐๔, ขอที่นาสังเกต
สาสวะ ๔๔๑ สิกขมานา เปนพิเศษ คือ ตํานานสาสนวงสน้ีบอก ถึงลักดวยมือของตนเอง เปนอวหาร วา มหารัฐ ที่พระมหาธรรมรักขิตเถระ อยา งหนงึ่ ใน ๒๕ อยา ง ทพี่ ระอรรถกถา- ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนา คือดิน จารยแ สดงไวใ นปาราชกิ สกิ ขาบทที่ ๒ แดนใกลสยามรัฐ, อปรันตรัฐ ท่ีพระ สาฬหะ ชอื่ พระเถระองคห นง่ึ ในการกสงฆ โยนกธรรมรักขิตเถระ เปนพระศาสน- ผทู าํ สังคายนาคร้งั ที่ ๒ ทูตนําคณะไป สาสนวงสวา ก็คือสนุ า- สาํ นอง รบั ผดิ ชอบ, ตอ งรบั ใช, ตอบแทน ปรนั ตชนบท ที่พระปุณณะไดอ าราธนา สาํ นัก อยู, ทอ่ี ย,ู ทีพ่ กั , ท่อี าศยั , แหลง พระพุทธเจาเสดจ็ ไปในพทุ ธกาล และวา สาํ รวม ระมัดระวัง, เหนย่ี วรง้ั , ระวงั เปนดินแดนสวนหนึ่งในประเทศพมา รกั ษาใหส งบเรยี บรอย เชน สํารวมตา, แถบฝงขวาของแมนํ้าอิรวดี ใกลเมือง สํารวมกาย, ครอง เชนสาํ รวมสติ คอื พกุ าม (Pagan) แตนกั ปราชญบางทา น ครองสต;ิ ดู สงั วร; รวม ประสมปนกัน อยา ง Dr. G.P. Malalasekera เห็นวา เชน อาหารสํารวม สุนาปรันตะนาจะเปนดินแดนทางตะวัน สํารวมอนิ ทรีย ดู อินทรียสงั วร ตกตอนกลางของประเทศอินเดียนั่นเอง สํารอก ทําสิ่งที่ไมตองการใหหลุดออก แถบรัฐ Gujarat ไปจนถึงแควน มา, นาํ ออก, เอาออก เชน สาํ รอกสี จติ Sindh ดานปากีสถาน (สอดคลอ งกบั สํารอกจากอาสวะ อวิชชาสํารอกไป เร่ืองในอรรถกถาทวี่ า พระพทุ ธเจา เสด็จ (วิราคะ) ไ ป ที่ น่ั น ผ า น แ ม น้ํานั ม ม ท า คื อ สาํ ลาน สเี หลืองปนแดง Narmada), สว น สวุ รรณภมู ิ สาสนวงส สําเหนียก กาํ หนด, จดจาํ , คอยเอาใจใส, วา ไดแกรามัญรัฐ คือแควนมอญ ต้ัง ฟง, ใสใจคิดท่ีจะนาํ ไปปฏิบัติ, ใสใจ แตหงสาวดี ลงมาถึงเมาะตะมะ โดยมี สังเกตพิจารณาจับเอาสาระเพื่อจะนําไป ศูนยกลางของสุวรรณภูมิ ท่ีเมืองหลวง ปฏิบัติใหสําเร็จประโยชน (คําพระวา ชื่อสุธรรมนคร อันไดแกสะเทิม สกิ ขา หรือ ศึกษา) (Thaton); ดู โมคคัลลีบตุ รติสสเถระ, สิกขมานา นางผกู าํ ลงั ศกึ ษา, สามเณรผี ู ปณุ ณสุนาปรันตะ, สุวรรณภูมิ มีอายถุ ึง ๑๘ ปแ ลว อีก ๒ มจี ะครบ สาสวะ เปนไปกับดวยอาสวะ, ประกอบ บวชเปนภิกษุณี ภิกษุณีสงฆสวดให ดว ยอาสวะ, ยังมอี าสวะ, เปนโลกยิ ะ สิกขาสมมติ คือ ตกลงใหสมาทาน สาหตั ถกิ ะ ทาํ ดว ยมอื ของตนเอง หมาย สกิ ขาบท ๖ ประการ ตง้ั แต ปาณาตปิ าตา
สกิ ขา ๔๔๒ สกิ ขาบท เวรมณี จนถงึ วกิ าลโภชนา เวรมณี ให บาทแหง วปิ ส สนา เปน อธจิ ติ ; แตส มาบตั ิ รักษาอยางเครง ครัดไมข าดเลย ตลอด ๘ นนั้ แหละ ถา ปฏบิ ตั ดิ ว ยความเขาใจ เวลา ๒ ปเ ต็ม (ถา ลว งขอ ใดขอ หนึง่ มุงใหเปนเครื่องหนุนนําออกจากวัฏฏะ ตองสมาทานต้ังตนไปใหมอีก ๒ ป) กเ็ ปน อธจิ ติ ) ๓. อธิปญ ญาสิกขา สกิ ขา ครบ ๒ ป ภิกษุณีสงฆจึงทําพิธี คือปญญาอันย่งิ , อธิปญญาอนั เปน ขอ ที่ อปุ สมบทให ขณะทสี่ มาทานสกิ ขาบท ๖ จะตอ งศกึ ษา, ขอ ปฏบิ ตั เิ พอื่ การฝก อบรม ประการอยางเครงครัดน้ีเรียกวา นาง พัฒนาปญญาอยางสูง (ความรูเขาใจ สิกขมานา หลักเหตผุ ลถกู ตอ งอยา งสามญั อนั เปน สิกขา การศกึ ษา, การสาํ เหนียก, การ กัมมัสสกตาญาณคอื ความรจู กั วา ทกุ คน เรยี น, การฝกฝนปฏบิ ัต,ิ การเลา เรียน เปนเจาของแหงกรรมของตน เปน ใหรเู ขา ใจ และฝกหัดปฏบิ ตั ใิ หเปน คณุ ปญ ญา, วปิ ส สนาปญ ญาทกี่ าํ หนดรคู วาม สมบัติที่เกิดมีข้ึนในตนหรือใหทําไดทํา จรงิ แหง ไตรลกั ษณ เปน อธปิ ญ ญา; แต เปน ตลอดจนแกไขปรบั ปรงุ หรอื พัฒนา โดยนยั อยางเพลา กัมมัสสกตาปญญาที่ ใหด ยี ่งิ ขึน้ ไปจนถงึ ความสมบรู ณ; ขอ ท่ี โยงไปใหมองเห็นทุกขท่ีเน่ืองดวยวัฏฏะ จะตอ งศกึ ษา, ขอ ปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ฝก อบรม หรือแมกระทั่งความรูความเขาใจท่ีถูก พฒั นาบคุ คล; สกิ ขา ๓ คอื ๑. อธสิ ลี - ตอ งในการระลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั ซงึ่ สิกขา สิกขาคอื ศลี อันยิง่ , อธิศีลอนั เปน จะเปนปจจัยหนุนใหกาวไปในมรรค ก็ ขอท่ีจะตอ งศึกษา, ขอปฏิบัตเิ พอื่ การฝก เปน อธปิ ญ ญา); สิกขา ๓ น้ี นิยมเรยี ก อบรมพัฒนาศีลอยางสงู (ศีล ๕ ศีล ๘ วา ไตรสกิ ขา และเรยี กขอ ยอ ยทงั้ สาม ศลี ๑๐ เปนศลี , ปาฏโิ มกขสังวรศีล งา ยๆ สนั้ ๆ วา ศลี สมาธิ ปญ ญา เปนอธิศีล; แตศ ลี ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐ ที่ สิกขาคารวตา ดู คารวะ รักษาดวยความเขาใจ ใหเปนเคร่ือง สกิ ขานุตตรยิ ะ การศึกษาอันเยี่ยม ได หนนุ นาํ ออกจากวฏั ฏะ กเ็ ปน อธศิ ลี ) ๒. แก การฝกอบรมในอธิศีล อธจิ ิตตและ อธจิ ติ ตสกิ ขา สิกขาคอื จิตอนั ย่งิ , อธจิ ติ อธปิ ญญา (ขอ ๔ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) อนั เปนขอทจ่ี ะตอ งศึกษา, ขอปฏิบตั เิ พอ่ื สิกขาบท ขอที่ตอ งศกึ ษา, ขอ ศลี , ขอ การฝกอบรมพัฒนาจิตใจใหมีสมาธิ วินยั , บทบญั ญัตขิ อ หนง่ึ ๆ ในพระวนิ ยั เปน ตนอยางสงู (กศุ ลจติ ทงั้ หลายจนถงึ ที่ภกิ ษพุ ึงศกึ ษาปฏิบัติ, ศีล ๕ ศลี ๘ สมาบตั ิ ๘ เปน จติ , ฌานสมาบตั ทิ เี่ ปน ศลี ๑๐ ศลี ๒๒๗ ศลี ๓๑๑ แตล ะขอ ๆ
สกิ ขาสมมติ ๔๔๓ สิตธัตถกมุ าร เรยี กวา สกิ ขาบท เพราะเปน ขอที่จะตอ ง ธรรมเทศนากไ็ ดบรรลพุ ระอรหตั ไดร ับ ศกึ ษา หรือเปนบทฝก ฝนอบรมตนของ ยกยอ งวา เปน เอตทคั คะในทางศรัทธา- สาธุชน อุบาสก อุบาสิกา สามเณร วิมุต; สคิ าลกมาตา หรอื สิงคาลมาตา สามเณรี ภกิ ษุ และภิกษุณี ตามลําดบั กเ็ รยี ก สิกขาสมมติ ความตกลงยินยอมของ สิง อย,ู เขาอยู ภกิ ษุณสี งฆท จ่ี ะใหสามเณรีผูมอี ายุ ๑๘ สิงคิวรรณ ผาเน้ือเกล้ียงสีดังทองสิงคี ปเต็มแลว เร่ิมรักษาสิกขาบท ๖ บุตรของมัลลกษัตรยิ ชอ่ื ปกุ กสุ ะถวาย ประการ ตลอดเวลา ๒ ป กอนท่ีจะได แดพระพทุ ธเจา ในวนั ทจี่ ะปรินิพพาน อุปสมบท, เมื่อภิกษุณีสงฆใหสิกขา- สิงหนาท ดู สหี นาท สมมติแลว สามเณรีน้ันไดชื่อวาเปน สงิ หล, สิงหฬ ชาวสิงหล, ชาวลังกา, ซ่ึง สิกขมานา มีหรืออยูในประเทศลังกา, ชนเชื้อชาติ สิขี พระนามของพระพุทธเจาพระองค สิงหลหรือเผาสิงหล ท่ีตางหากจากชน หนง่ึ ในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๗ เชอ้ื ชาตอิ นื่ มีทมฬิ เปนตน ในประเทศ สคิ าลมาตา พระมหาสาวิกาองคหนึ่งเปน ศรีลังกา; สีหล หรือ สหี ฬ กเ็ รยี ก ธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤหเจรญิ วยั สถิ ลิ พยญั ชนะทอ่ี อกเสยี งเพลา (ถกู ฐาน แลว แตง งาน มบี ตุ รคนหนงึ่ ชอื่ สงิ คาล- ของตนหยอนๆ มีเสียงเบา) ไดแก กุมาร วันหนึ่งไดฟงธรรมีกถาของพระ พยญั ชนะท่ี ๑ ที่ ๓ ในวรรคทง้ั ๕ คอื ศาสดา มีความเล่ือมใส (คัมภีรอ ปทาน ก, ค; จ, ช; ฏ, ฑ; ต, ท; ป, พ; คูกบั วา ไดฟงสิงคาลกสูตรที่พระพุทธเจา ธนติ (เทยี บระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ี่ธนติ ) ทรงแสดงแกบ ตุ รของนาง ซง่ึ วา ดว ยเรอ่ื ง สิตธัตถกุมาร พระนามเดิมของพระ อบายมขุ มติ รแท มติ รเทยี ม ทศิ ๖ พทุ ธเจา กอ นเสดจ็ ออกบรรพชา ทรงเปน เปน ตน และไดบ รรลโุ สดาปต ตผิ ล) ขอ พระราชโอรสของพระเจาสุทโธทนะและ บวชเปนภิกษุณี ตอมาไดไปฟงธรรม- พระนางสิรมิ หามายา คําวา สทิ ธัตถะ เทศนาทพี่ ระศาสดาทรงแสดง นางคอย แปลวา “มีความตองการสาํ เรจ็ ” หรือ ต้ังตาดูพระพุทธสิริสมบัติดวยศรัทธา “สําเร็จตามท่ีตองการ” คือสมประสงค อนั แรงกลา พระพทุ ธองคท รงทราบดงั นนั้ จะตอ งการอะไรไดห มด ทรงอภเิ ษกสมรส ก็ทรงแสดงธรรมใหเหมาะกับอัธยาศัย กบั พระนางยโสธราเมอื่ พระชนมายุ ๑๖ ป ของนาง นางสงใจไปตามกระแสพระ เสดจ็ ออกบรรพชาเมอื่ พระชนมายุ ๒๙ ป
สนิ ไถ ๔๔๔ สมี าวบิ ตั ิ ไดต รสั รเู ปน พระพทุ ธเจา เมอ่ื พระชนมายุ ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๔); ดู มาตรา ๓๕ ป ปรนิ พิ พานเมอ่ื พระชนมายุ ๘๐ ป สกี า คําทพ่ี ระภกิ ษใุ ชเ รียกผูห ญิงอยางไม สนิ ไถ เงนิ ไถคา ตวั ทาส เปน ทางการ เลือนมาจาก อบุ าสิกา บดั นี้ สินธพ มา พันธดุ เี กดิ ที่ลุมนํ้าสินธุ ไดยนิ ใชน อ ย ส้ินพระชนม หมดอาย,ุ ตาย สีตะ เย็น, หนาว สเิ นรุ ชือ่ ภาษาบาลีของภูเขาเมร;ุ ดู เมรุ สีมสมั เภท ดู สมี าสัมเภท สบิ สองตาํ นาน “สบิ สองเรอ่ื ง” คอื พระ สีมนั ตริก เขตค่นั ระหวางมหาสมี า กับ ปริตรที่มีอํานาจคุมครองปองกันตาม ขัณฑสีมาเพ่ือมิใหระคนกัน เชนเดียว เรอ่ื งตน เดมิ ทเี่ ลา ไว ซงึ่ ไดจ ดั รวมเปน ชดุ กับชานท่ีกั้นเขตของกันและกันใน รวม ๑๒ พระปรติ ร; อกี นยั หนง่ึ วา “สบิ ระหวา ง สองปรติ ร” แตต ามความหมายน้ี นา จะ สีมา เขตกาํ หนดความพรอมเพรยี งสงฆ, เขยี น สิบสองตํานาณ คอื สบิ สองตาณ เขตชมุ นุมของสงฆ, เขตทีส่ งฆต กลงไว (ตาณ=ปรติ ต, แผลงตาณ เปน ตาํ นาณ); สําหรับภิกษุท้ังหลายที่อยูภายในเขตนั้น ดู ปรติ ร, ปรติ ต สิริ ศรี, มง่ิ ขวัญ, มงคล, ความนานิยม, จะตองทาํ สังฆกรรมรวมกัน แบง เปน ๒ ประเภทใหญคือ ๑. พัทธสีมา แดนทผ่ี กู ลักษณะดีงามที่นําโชคหรือตอนรับเรียก ไดแก เขตท่ีสงฆกําหนดข้ึนเอง ๒. มาซึ่งความเจรญิ รงุ เรอื ง; ตรงขา มกับ กาฬ- อพทั ธสมี า แดนทไ่ี มไดผ ูก ไดแกเขตท่ี กรรณี ทางบานเมืองกําหนดไวแลวตามปกติ สิลฏิ ฐพจน คาํ สละสลวย, คาํ ไพเราะ, ของเขา หรอื ทม่ี อี ยา งอน่ื ในทางธรรมชาติ ไดแกคําควบกับอีกคําหนึ่งเพ่ือใหฟง เปนเคร่ืองกําหนด สงฆถือเอาตาม ไพเราะในภาษา หาไดมีใจความพิเศษ กําหนดน้นั ไมว างกําหนดข้นึ เองใหม ออกไปไม เชน ในคําวา “คณะสงฆ” สีมามีฉายาเปนนมิ ติ สมี าที่ทําเงาอยา ง คณะ กค็ อื สงฆ ซึง่ แปลวา หมู หมายถึง ใดอยา งหนงึ่ มเี งาภเู ขาเปน ตน เปน นมิ ติ หมแู หง ภกิ ษจุ าํ นวนหนงึ่ คาํ วา คณะ ใน (มตสิ มเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา ทีน่ ี้เรยี กวา เปน สิลฏิ ฐพจน ในภาษาไทย วชริ ญาณวโรรสวา สีมาทีถ่ ือเงาเปน แนว เรยี กวา คําตดิ ปาก ไมไ ดเ พงเนอ้ื ความ นมิ ติ ) จัดเปน สมี าวบิ ัติอยา งหนึ่ง สิสิระ, สิสริ กาล, สสิ ริ ฤดู ฤดเู ยือก, สมี าวิบตั ิ ความเสียโดยสมี า, เสยี เพราะ ฤดูทายหนาว (แรม ๑ ค่ํา เดือน ๒ ถึง เขตชุมนุม (ไมถ กู ตอ งหรอื ไมส มบูรณ) ,
สมี าสมบตั ิ ๔๔๕ สีมาสัมเภท สีมาใชไ มได ทําใหส ังฆกรรมซง่ึ ทํา ณ ท่ี ภาวนา (และเจริญพรหมวหิ ารขอ อื่นทกุ ขอ ) สมี าสมั เภท เปนขน้ั ตอนสําคญั ของ น้นั วิบตั ิคอื เสียหรือใชไ มไ ด (เปนโมฆะ) ความสาํ เรจ็ กลา วคือ เบื้องตน ผปู ฏบิ ัติ เจริญเมตตาตอบุคคลทรี่ กั เคารพเริ่มแต ไปดว ย, คัมภีรปรวิ ารแสดงเหตุใหก รรม เมตตาตอตนเองเพ่ือเอาตัวเปนพยาน แลว ขยายจากคนทรี่ กั มาก (ตอนนไ้ี มร วม เสยี โดยสีมา ๑๑ อยา ง เชน ๑. สมมติ เพศตรงขา มและคนที่ตายแลว ) ออกไป ยังคนที่รักที่พอใจ ตอไปสูคนท่ีเฉยๆ สมี าใหญเ กนิ กําหนด (เกนิ ๓ โยชน) เปนกลางๆ จนกระท่ังคนท่ีเกลียดชัง เปนศัตรูหรือคนคูเวร เมื่อใดทําใจให ๒. สมมติสีมาเลก็ เกนิ กําหนด (จไุ มพ อ เมตตาปรารถนาดีตอคน ๔ กลุมได เสมอกันหมด คอื ตอ ตนเอง ตอคนท่ี ภิกษุ ๒๑ รูปนง่ั เขา หตั ถบาสกัน) ๓. รัก ตอคนที่เปน กลางๆ และตอศัตรคู น คูเ วร เมอื่ น้นั เรยี กวาเปน “สมี าสัมเภท” สมมตสิ ีมามีนิมิตขาด ๔. สมมตสิ มี า (คือเหมือนกําแพงท่ีกั้นพังทลายใหสี่ แดนคือคนสี่กลุมน้ันรวมเขามาเปนอัน ฉายาเปนนิมิต ๕. สมมติสมี าไมมีนมิ ติ หน่ึงอันเดียว) ลุถึงข้ันท่ีมีจิตเมตตา เปนตนเสมอกันหมดตอสรรพสัตวท่ัว ฯลฯ, สังฆกรรมที่ทาํ ในที่เชน น้กี เ็ ทา กบั สรรพโลก ทําในที่มใิ ชส มี านัน่ เอง จึงยอมใชไมได; ในแงการปฏิบัติ เมื่อจติ หมดความ ดู วบิ ัติ (ของสงั ฆกรรม) แบงแยกรวมเรียบเสมอลงได กเ็ กดิ เปน สีมาสมบัติ ความพรอมมูลโดยสีมา, อปุ จารสมาธิ และสมี าสมั เภทนัน่ เองก็ ความสมบูรณแหงเขตชุมนุม, สีมาซ่ึง เปนนิมิตสําหรับการเจริญพรหมวิหาร- ภาวนา สงฆสมมติแลวโดยชอบ ไมวิบตั ิ ทําให ผูท่ีเจรญิ เมตตาก็ดี เจรญิ กรุณาก็ดี สังฆกรรมซึ่งทําใหสีมานั้นมีผลสมบูรณ เจริญมุทิตาก็ดี เม่ือเสพเจริญนิมิตนั้น ไป ในท่ีสุดก็จะเกิดเปนอัปปนาสมาธิ กลาวคือ สีมาปราศจากขอบกพรอง เขา ถงึ ปฐมฌาน แลว เสพเจริญนิมิตน้นั ตางๆ ที่เปนเหตุใหสีมาวิบัติ (ดู สีมา วิบตั ิ) สงั ฆกรรมซึ่งทาํ ณ ทีน้นั จงึ ชือ่ วา ทําในสีมา จึงใชไดในขอนี้; ดู สมบัติ (ของสังฆกรรม) สีมาสงั กระ สมี าคาบเก่ยี วกัน, เปน เหตุ สมี าวิบัติอยา งหน่ึง สีมาสัมเภท การทําเขตแดนใหระคน ปะปนกนั , การทลายขีดคนั่ รวมแดน 1. ในทางพระวนิ ยั หมายถึงการทีส่ มี ากา ย เกยคาบเกยี่ วกัน คือเปนสีมาสังกระ; ดู สีมาสังกระ 2. ในการเจริญเมตตา
สีลกถา ๔๔๖ สลี พั พตปรามาส ตอ ไปอกี กจ็ ะเขา ถงึ ทตุ ยิ ฌาน และตตยิ - บุญกริ ยิ าวตั ถุ ๓ และ ๑๐) ฌาน ตามลําดบั ตอ จากตตยิ ฌานน้นั สีลวบิ ตั ิ เสียศีล, สําหรับภกิ ษุ คือตอ ง เขาเจริญอเุ บกขาภาวนา จนกระทั่งมจี ติ อาบตั ปิ าราชิกหรือสงั ฆาทเิ สส (ขอ ๑ เปนอุเบกขาตอสรรพสัตวเสมอกันได ในวิบตั ิ ๔) เปนสีมาสัมเภท และเสพเจริญนิมติ แหง สีลวิสุทธิ ความหมดจดแหงศีล คือ สีมาสัมเภทนน้ั ไปจนเกดิ จตุตถฌาน รักษาศีลใหบริสุทธ์ิตามภูมิของตน ซ่ึง สําหรับบุคคลท่กี ลาวมานี้ เมือ่ มจี ติ จะชวยเปน ฐานใหเกิดสมาธิได (ขอ ๑ เปนอัปปนาแลว ตั้งแตข นั้ ปฐมฌาน จะมี ในวสิ ทุ ธิ ๗) วกิ พุ พนา คือ เพราะจติ สงบปลอดโปรง สลี สัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี คือ ถาเปน แคลวคลองและเปนจริง ก็จึงสามารถ คฤหัสถ ก็รักษากายวาจาใหเรียบรอย แผกผนั ปรบั แปรการแผเ มตตา เปน ตน ประพฤติอยูในคลองธรรม ถาเปน ภกิ ษุ นั้น ท้ังในแบบทั่วตลอดไรขอบเขต ก็สาํ รวมในพระปาฏิโมกข มีมารยาทดี เปนอโนธโิ สผรณา ทั้งในแบบเจาะจง งาม เปน ตน (ขอ ๒ ในสมั ปรายกิ ตั ถ- จาํ กดั ขอบเขต เปน โอธโิ สผรณา และใน สงั วตั ตนกิ ธรรม ๔, ขอ ๑ ในจรณะ ๑๕) แบบจาํ เพาะทิศจาํ เพาะแถบ เปนทสิ า- สลี สามญั ญตา ความสมา่ํ เสมอกนั โดยศลี ผรณา ชอ่ื วาเปน ผปู ระกอบพรอ มดวย คือ รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพ่ือน อปั ปมญั ญาธรรม; ดูแผเ มตตา,วกิ พุ พนา, ภกิ ษสุ ามเณร ไมท าํ ตนใหเ ปน ทนี่ า รงั เกยี จ อโนธิโสผรณา,โอธิโสผรณา,ทสิ าผรณา ของหมคู ณะ (ขอ ๕ ในสาราณยี ธรรม ๖) สีลกถา ถอยคําที่ชักนําใหตั้งอยูในศีล สลี สิกขา ดู อธสิ ีลสิกขา สลี ัพพตปรามาส ความยึดถือวา บุคคล (ขอ ๖ ในกถาวัตถุ ๑๐) สลี ขันธ กองศีล, หมวดธรรมวา ดวยศลี จะบริสุทธิ์หลุดพนไดดวยศีลและวัตร เชน กายสุจริต สมั มาอาชวี ะ อินทรยี - (คือถือวาเพียงประพฤติศีลและวัตรให สงั วร โภชเนมัตตัญตุ า เปน ตน (ขอ เครงครัดก็พอท่ีจะบริสุทธ์ิหลุดพนได ๑ ในธรรมขนั ธ ๕) ไมตอ งอาศัยสมาธิและปญ ญากต็ าม ถอื สลี ขันธวรรค ตอนท่ี ๑ ใน ๓ ตอนแหง ศีลและวัตรท่ีงมงายหรืออยางงมงายก็ คมั ภรี ท ีฆนกิ าย พระสุตตันตปฎก ตาม), ความถือศีลพรต โดยสักวา ทาํ สีลมยั บุญสําเร็จดว ยการรกั ษาศลี , ทํา ตามๆ กันไปอยางงมงาย หรือโดยนยิ ม บุญดว ยการประพฤตดิ งี าม (ขอ ๒ ใน วา ขลงั วาศกั ดสิ์ ิทธิ์ ไมเ ขา ใจความหมาย
สลี ัพพตุปาทาน ๔๔๗ สหี นาท และความมุงหมายทแ่ี ทจริง, ความเชอ่ื พระอรหตั ทา นสมบูรณด ว ยปจจยั ลาภ ถือศกั ด์ิสิทธดิ์ ว ยเขา ใจวา จะมีไดด ว ยศีล และทําใหลาภเกิดแกภิกษุสงฆเปนอัน หรือพรตอยางน้ีลวงธรรมดาวิสัย (ขอ มาก ไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะใน ๓ ในสังโยชน ๑๐, ขอ ๖ ในสงั โยชน ทางมลี าภมาก ๑๐ ตามนยั พระอภิธรรม) สหี นาท “การบนั ลือของราชสีห” หรือ สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นศีลและ “การบันลืออยางราชสีห”, การสําแดง วัตรดวยอาํ นาจกิเลส, ความถือมั่นศีล ความจรงิ ประกาศสถานะของตน หรือ พรต คือธรรมเนียมทีป่ ระพฤติกันมาจน ยืนยันหลักการบนฐานแหงความจริง ชินโดยเช่ือวาขลังเปนเหตุใหงมงาย, ดวยการช้ีแจงแถลงเร่ืองราวหรือขอมูล คัมภีรธัมมสังคณีแสดงความหมาย อยางเปดเผยตัวฉะฉานชดั แจง และไม อยางเดียวกับ สีลพั พตปรามาส (ขอ ๓ หวาดหว่ันครัน่ ครา ม เชน พระพทุ ธเจา ในอุปาทาน ๔) ทรงบันลือสีหนาท ในกรณีท่ีมีผูตูหรือ สีลานุสติ ระลึกถึงศีลของตนท่ีได กลา วรา ย แลว ลมลางคาํ ตหู รอื คาํ กลา ว ประพฤติมาดวยดีบริสุทธิ์ไมดางพรอย รา ยนนั้ ได สยบผตู ูผ ูกลาวรายหรือทาํ ให (ขอ ๔ ในอนสุ ติ ๑๐) เขายอมรบั และทาํ ใหผ ศู รทั ธายง่ิ มคี วาม สวี ลี พระมหาสาวกองคห นง่ึ เปน พระ มั่นใจ, พระสูตรบางเร่ือง อรรถกถา โอรสพระนางสุปปวาสา ซ่ึงเปนพระ บอกวาเปนพุทธสหี นาททัง้ พระสูตร เชน ราชธิดาของเจากรุงโกลิยะ ปรากฏวา ตั้ง วมี งั สกสตู ร (ม.มู.๑๒/๕๓๕/๕๗๖) ที่ แตทานปฏิสนธิในครรภ เกิดลาภ พระพุทธเจาตรัสแสดงวิธีที่สาวกจะ สกั การะแกพระมารดาเปนอนั มาก ตาม ตรวจสอบพระองค ใหเหน็ วามพี ระคุณ ตํานานวาอยูในครรภม ารดาถึง ๗ ป สมควรหรอื ไมทจ่ี ะเขา ไปหาเพือ่ ฟงธรรม พระมารดาเจบ็ พระครรภถงึ ๗ วัน ครง้ั จะไดมีศรัทธาท่ีประกอบดวยปญญา, ประสตู แิ ลว กท็ าํ กจิ การตา งๆ ไดท นั ที ตอ นอกจากการบันลือสีหนาทของพระพทุ ธ มาทา นบวชในสาํ นกั ของพระสารบี ตุ ร ใน เจา แลว พบการบันลอื สหี นาทของพระ วันท่ีบวช พอมีดโกนตัดกลมุ ผมคร้ังที่ สาวกมากแหง , บางแหงสหี นาทมาดวย ๑ ไดบรรลุโสดาปตตผิ ล ครง้ั ที่ ๒ ได กันกับอาสภิวาจา (เชน พระสารีบุตร บรรลสุ กทาคามผิ ล คร้งั ท่ี ๓ ไดบ รรลุ เปลง อาสภวิ าจาบนั ลอื สหี นาท, ท.ี ม.๑๐/ อนาคามิผล พอปลงผมเสร็จกไ็ ดส ําเร็จ ๗๗/๙๖) แตพ ระสาวกทเ่ี ปลง อาสภวิ าจา
สหี ล,สีหฬ ๔๔๘ สุขของคฤหัสถ นนั้ ปรากฏนอ ยนกั เทา ทไ่ี ดพ บคอื พระ อยางอื่นอีก เชน ไมไดฌ านสมาบัติ ไม สารบี ตุ ร และพระอนรุ ทุ ธ; สงิ หนาท ก็ ไดอ ภญิ ญา เปนตน; ดู อรหันต ใช; ดู อาสภวิ าจา สุกรขาตา ช่ือถา้ํ อยูท ่ภี ูเขาคชิ ฌกูฏ พระ สหี ล, สหี ฬ ดู สิงหล นครราชคฤห ณ ที่นพ้ี ระสารีบตุ รได สีหลทวปี “เกาะของชาวสิงหล”, เกาะ สาํ เร็จพระอรหตั เพราะไดฟงพระธรรม ลงั กา, ประเทศศรีลงั กา เทศนาท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงแก สีหไสยา นอนอยางราชสีห คือนอน ปรพิ าชกท่ีทีฆนขะ; ดู ทฆี นขะ ตะแคงขวา ซอนเทาเหลื่อมเทา มี สขุ ความสบาย, ความสําราญ, ความฉํา่ สตสิ ัมปชัญญะ กําหนดใจถงึ การลกุ ขึน้ ชืน่ ร่ืนกายรื่นใจ มี ๒ คือ ๑. กายิกสุข ไว (มีคาํ อธบิ ายเพิ่มอกี วา มอื ซา ยพาด สขุ ทางกาย ๒. เจตสกิ สขุ สขุ ทางใจ, อีก ไปตามลาํ ตัว มอื ขวาชอ นศีรษะไมพ ลิก หมวดหนง่ึ มี ๒ คอื ๑. สามิสสุข สขุ องิ อามสิ คอื อาศยั กามคณุ ๒. นิรามสิ สุข กลบั ไปมา) สหี หนุ กษตั รยิ ศ ากยวงศ เปน พระราชบตุ ร สุขไมอิงอามิส คอื องิ เนกขัมมะ หรอื ของพระเจาชยเสนะ เปนพระราชบิดา สุขท่ีเปน อิสระ ไมข ้ึนตอวัตถุ (ทานแบง ของพระเจาสุทโธทนะ เปนพระอัยกา เปนคูๆ อยางนีอ้ ีกหลายหมวด) ของพระพุทธเจา สุขของคฤหัสถ สุขอันชอบธรรมท่ีผู สุกกะ นา้ํ กาม, นํ้าอสจุ ิ ครองเรอื นควรมี และควรขวนขวายให สกุ โกทนะ กษัตรยิ ศากยวงศ เปน พระ มีอยูเสมอ มี ๔ อยา ง คอื ๑. อัตถิสขุ ราชบุตรองคที่ ๒ ของพระเจา สหี หนุ สุขเกิดจากความมที รพั ย (ทีไ่ ดมาดว ย เปนพระอนุชาของพระเจาสุทโธทนะ เรย่ี วแรงของตน โดยทางชอบธรรม) ๒. เปน พระบดิ าของพระเจา มหานาม และ โภคสุข สุขเกิดจากการใชจายทรัพย พระอนุรุทธะ (นวี้ า ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏี. (เล้ียงตน เล้ียงคนควรเลี้ยง และทํา ๓/๓๔๙ เปนตน แตวาตามหนงั สอื เรยี น ประโยชน) ๓. อนณสุข สุขเกิดจาก เปนพระบิดาของพระอานนท) มีเร่ือง ความไมเ ปน หนี้ ๔. อนวชั ชสุข สุขเกิด ราว (ธ.อ.๖/๑๕๙) ทแี่ สดงวา เจา สุกโกทนะ จากประกอบการอันไมมีโทษ (มีสุจรติ มีราชธิดาดว ย คอื เจา หญิงโรหิณี ท้ัง กาย วาจา และใจ), เฉพาะขอ ๔ สุกขวิปสสก พระผูเจริญวิปสสนาลวน ตามแบบเรียนวา สุขเกิดแตประกอบ สําเร็จพระอรหัต มิไดทรงคุณวิเศษ การงานทป่ี ราศจากโทษ
สขุ เวทนา ๔๔๙ สุคโต สุขเวทนา ความรูสกึ สุขสบาย (ขอ ๑ ใน สคุ ต สคุ ติ คตดิ ,ี ทางดาํ เนนิ ทด่ี ,ี แดนกาํ เนดิ อนั เวทนา ๓) สขุ สมบัติ สมบัตคิ ือความสขุ , ความถงึ ดที สี่ ตั วผ ทู าํ กรรมดตี ายแลว ไปเกดิ ไดแ ก มนษุ ย และ เทพ; ตรงขา มกบั ทคุ ต;ิ ดู คติ พรอมดวยความสขุ สขุ าวดี แดนทมี่ คี วามสขุ , เปน แดนสถติ สคุ โต (พระผมู พี ระภาคเจา นนั้ ) “เสด็จไป ของพระอมิตาภพุทธ ฝา ยมหายาน ดีแลว” คือ ทรงมที างเสด็จทด่ี ีงามอันได สขุ มุ ละเอยี ด, ละเอยี ดออ น, นม่ิ นวล, ซงึ้ แกอริยมรรค, เสด็จไปสูที่ดีงามกลาว สขุ มุ รปู รูปละเอียด, ในพระไตรปฎก คือพระนิพพาน, เสด็จไปดวยดีโดย เรียกวา “อนทิ ัสสนอปั ปฏิฆรูป” คือเปน ชอบ กลาวคือ ทรงดาํ เนินรุดหนาไม รปู ท่มี องไมเห็นและกระทบไมไ ด มี ๑๖ หวนกลบั มาสกู เิ ลสที่ทรงละไดแ ลว ทรง อยา ง ไดแ ก อาโปธาตุ และอุปาทายรูป ดาํ เนนิ สผู ลสาํ เรจ็ ไมถ อยหลงั ไมก ลบั ตก ที่เหลอื เวน ปสาทรปู และวิสัยรูป (คือ จากฐานะท่ีลุถึง ทรงดําเนินในทางอัน เปนมหาภูตรปู ๑ และอุปาทายรูป ๑๕ ถูกตองคือมัชฌิมาปฏิปทา ไมเฉเชือน แจกแจงออกไปดงั น้ี อาโปธาตุ ๑ ภาว- ไปในทางทผ่ี ิด คอื กามสุขัลลกิ านุโยค รปู ๒ หทยั รปู ๑ ชวี ติ รูป ๑ อาหารรูป ๑ และอตั ตกิลมถานุโยค เสด็จไปดี เสด็จ ปรจิ เฉทรปู ๑ วิญญัตติรูป ๒ วิการรูป ท่ีใดก็ทรงทําประโยชนใหแกมหาชนในท่ี ๓ และลกั ขณรูป ๔), สุขมุ รูปเหลานี้ รับ นน้ั เสดจ็ ไปโดยสวสั ดแี ละนาํ ใหเ กดิ ความ รูไมไดดวยประสาทท้ัง ๕ แตเปน สวสั ดี แมแ ตพ บองคลุ มิ าลมหาโจรราย ธรรมารมณ อนั รไู ดด วยใจ; ดู รูป ๒๘, ก็ทรงกลับใจใหเขากลายเปนคนดีไมมี อนทิ ัสสนอัปปฏิฆรูป, ธมั มายตนะ ภัย เสด็จผานไปแลวดวยดี ไดทรง สขุ มุ าลชาติ มพี ระชาตลิ ะเอยี ดออน, มี บําเพ็ญพุทธกจิ ไวบ รบิ รู ณ ประดิษฐาน ตระกูลสงู พระพทุ ธศาสนาไว เพ่ือชาวโลก ใหเ ปน สุคต ผูเสด็จไปดีแลว,เปนพระนามของ เครื่องเผล็ดประโยชนแกประชาชนท้ัง พระพทุ ธเจา ; ดู สุคโต ดว ย ปวงผูเกิดมาในภายหลัง, ทรงมีพระ สุคตประมาณ ขนาดหรือประมาณของ วาจาดี หรือตรัสโดยชอบ คอื ตรสั แตค าํ พระสคุ ต คอื พระพุทธเจา, เกณฑหรือ จรงิ แท ประกอบดว ยประโยชน ในกาลท่ี มาตรวดั ของพระสุคต ควรตรัส และบุคคลทค่ี วรตรัส (ขอ ๔ สุคตาณัตติพจน พระดํารัสสั่งของพระ ในพทุ ธคณุ ๙)
สุคโตวาท ๔๕๐ สญุ ญตา สุคโตวาท โอวาทของพระสุคต, พระ เห็นความวาง หมดความยึดมั่น คือ ดํารัสสอนของพระพุทธเจา พจิ ารณาเหน็ นามรปู โดยความเปน อนตั ตา สคุ นธชาติ ของหอม, เครื่องหอม พดู สนั้ ๆ วา หลดุ พน เพราะเห็นอนตั ตา สุคนธวารี น้ําหอม (ขอ ๑ ในวิโมกข ๓) สุงกฆาตะ ดา นภาษี สุญญตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาเห็น สุงสุมารคีระ ชื่อนครหลวงแหงแควน ความวาง ไดแก วิปส สนาท่ีใหถงึ ความ ภัคคะ ที่พระพทุ ธเจา ประทบั จาํ พรรษาท่ี หลดุ พนดว ยกาํ หนดอนัตตลักษณะ (ขอ ๘; สุงสมุ ารครี ี กเ็ รียก ๑ ในสมาธิ ๓) สุจริต ประพฤติดี, ประพฤติชอบ, สุญญตา “ความเปน สภาพสญู ” ความวาง ประพฤติถูกตองตามคลองธรรม มี ๓ 1. ความเปนสภาพท่ีวางจากความเปน คือ ๑. กายสจุ รติ ประพฤตชิ อบดว ยกาย สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา เฉพาะ ๒. วจสี จุ ริต ประพฤตชิ อบดวยวาจา ๓. อยา งยง่ิ ภาวะที่ขันธ ๕ เปน อนัตตา คือ มโนสุจรติ ประพฤติชอบดวยใจ; เทยี บ ไรตัวมิใชตน วางจากความเปนตน ทุจรติ ตลอดจนวา งจากสาระตางๆ เชน สาระ สุชาดา อบุ าสกิ าสําคญั คนหนึง่ เปน ธดิ า คือความเที่ยง สาระคือความสวยงาม ของผูมีทรัพยซึ่งเปนนายใหญแหงชาว สาระคือความสขุ เปน ตน, โดยปริยาย บานเสนานิคม ตําบลอุรุเวลา ไดถวาย หมายถงึ หลักธรรมฝายปรมตั ถ ดังเชน ขาวปายาส (ในคัมภีรท้ังหลาย นิยม ขนั ธ ธาตุ อายตนะ และปจ จยาการ เรยี กเต็มวา “มธปุ ายาส”) แกพ ระมหา (อิทปั ปจ จยตา หรือ ปฏจิ จสมุปบาท) ท่ี บรุ ุษในเวลาเชาของวนั ท่จี ะตรัสรู มีบุตร แสดงแตตัวสภาวะใหเห็นความวางเปลา ช่ือยส ซ่ึงตอมาออกบวชเปนพระ ปราศจากสัตว บุคคล เปนเพยี งธรรม อรหันต นางสุชาดาไดเ ปนปฐมอบุ าสกิ า หรือกระบวนธรรมลว นๆ 2. ความวา ง พรอ มกับภรรยาเกา ของยสะ และไดร บั จากกเิ ลส มรี าคะ โทสะ โมหะ เปน ตน ยกยองวาเปนเอตทัคคะ ในบรรดา กด็ ี สภาวะทวี่ างจากสังขารทงั้ หลายกด็ ี อุบาสิกาผูถงึ สรณะเปนปฐม; ดู ปายาส, หมายถึง นิพพาน 3. โลกุตตรมรรค ได มธปุ ายาส, สูกรมทั ทวะ ชื่อวาปนสุญญตาดวยเหตุผล ๓ สุญญตวิโมกข ความหลุดพนโดยวาง ประการ คือ เพราะลุดวยปญญาที่ จาก ราคะ โทสะ โมหะ หมายถงึ มอง กําหนดพิจารณาความเปนอนตั ตา มอง
สญุ ญาคาร ๔๕๑ สุทธันตปริวาส เห็นภาวะท่ีสังขารเปนสภาพวาง (จาก หน่ึงของผูท่ีจะเจริญงอกงาม ไมวาจะ ความเปน สตั ว บุคคล ตัวตน) เพราะวาง เปนคฤหสั ถห รอื บรรพชิต โดยเปนเหตุ จากกิเลสมีราคะเปนตน และเพราะมี ปจจัยใหไดปญญา ทเ่ี ปนเบ้อื งตน หรือ สญุ ญตา คอื นิพพาน เปนอารมณ 4. เปนฐานของพรหมจรยิ ะ และเปนเครอื่ ง ความวาง ทีเ่ กดิ จากกําหนดหมายในใจ เจริญปญญาใหพัฒนาจนไพบูลย หรือทําใจเพ่ือใหความวางนั้นเปน บรบิ รู ณ (ที.ปา.๑๑/๔๔๔/๓๑๖) พระพทุ ธเจา อารมณของจิตในการเจริญสมาบตั ิ เชน จึงทรงสอนใหเปนผูมีสุตะมาก (เปน ผูเจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติ พหูสูต หรอื มพี าหสุ จั จะ) และเปนผูเขา กําหนดใจถึงภาวะวางเปลาไมมีอะไร ถึงโดยสุตะ (อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๖/๙), (ขอ ๓ เลย; สุญตา ก็เขยี น ในอรยิ วัฑฒิ ๕); เทยี บ ปญ ญา, ดู พหูสูต, สญุ ญาคาร “เรอื นวา ง”, โดยนยั หมายถงึ พาหุสัจจะ สถานท่ีทีส่ งดั ปลอดคน ปราศจากเสียง สตุ ตนบิ าต ช่อื คัมภรี ท่ี ๕ แหงขุททก- รบกวน, มกั มาในขอ ความวา “ภิกษใุ น นกิ าย พระสตุ ตนั ตปฎ ก ธรรมวินัยนี้ ไปสปู า ก็ดี ไปสโู คนไม ก็ดี สตุ ตนั ตปฎก ดู ไตรปฎก ไปสสู ุญญาคาร ก็ดี …” ซ่งึ ทานมัก สตุ บท คําวา สุต, สุตา; ดู ปาฏโิ มกขย อ อธิบายวา สญุ ญาคาร ไดแก เสนาสนะ สุตพทุ ธะ ผูรเู พราะไดฟง , ผรู โู ดยสตุ ะ (อนั สงดั ) ทงั้ ๗ ทนี่ อกจากปา และโคนไม หมายถึง บคุ คลทเ่ี ปนพหูสูต; ดู พทุ ธะ กลาวคอื ภเู ขา ซอกเขา ถาํ้ ปา ชา ปาชฏั สุตมยปญ ญา ดู ปญ ญา ๓ สทุ ธันตปริวาส ปรวิ าสที่ภกิ ษผุ ูตองการ ทแ่ี จง ลอมฟาง สุตะ “สงิ่ สดับ”, สง่ิ ที่ไดฟ ง มา, สิ่งทไ่ี ดย นิ จะออกจากอาบัติสังฆาทิเสสอยูไปจน ไดฟง, ความรจู ากการเลา เรียนหรือรับ กวาจะเห็นวาบริสุทธ์ิ หมายความวา ถา ยทอดจากผอู น่ื , ขอ มลู ความรจู ากการ ภิกษุตองอาบัติสังฆาทิเสสแลวปดไว อา นการฟง บอกเลา ถา ยทอด; สาํ หรับผู หลายคราวจนจําจํานวนอาบัติและ ศึกษาปฏิบตั ิ “สตุ ะ” หมายถึงความรูท่ี จํานวนวันที่ปดไมไ ด หรอื จําไดแตบาง ไดเ ลาเรียนสดับฟง ธรรม ความรใู นพระ จํานวน ทานใหขอปริวาสประมวล ธรรมวินัย ความรูคําสั่งสอนของพระ จํานวนอาบัติและจํานวนวันที่ปดเขา พทุ ธเจา ทีเ่ รยี กวา นวังคสตั ถุศาสน หรอื ดวยกัน แลวอยูใชไปจนกวาจะเห็นวา ปรยิ ัต,ิ สุตะเปน คณุ สมบตั สิ าํ คัญอยาง บรสิ ทุ ธิ์ มี ๒ อยา งคอื จฬู สุทธันต-
สุทธาวาส ๔๕๒ สุพาหุ ปรวิ าส และ มหาสทุ ธันตปริวาส ๗ วนั กอนปรินพิ พาน สุทธาวาส ที่อยูของทานผูบริสุทธิ์ท่ีเกิด สธุ รรมภิกษุ ชอื่ ภิกษุรปู หนงึ่ มีความมกั ของพระอนาคามี ไดแ ก พรหม ๕ ช้นั ที่ ใหญ ไดดาจติ ตคฤหบดี และถกู สงฆ สงู สุดในรปู าวจร คอื อวหิ า อตปั ปา ลงปฏสิ ารณยี กรรม ใหไ ปขอขมาคฤหบดี สทุ สั สา สุทัสสี อกนฏิ ฐา นนั้ นบั เปน ตน บญั ญตั ใิ นเรอื่ งน้ี สุทธิ ความบริสทุ ธ,์ิ ความสะอาดหมดจด สนุ ทร ดี, งาม, ไพเราะ มี ๒ คอื ๑. ปริยายสทุ ธิ บรสิ ุทธิโ์ ดย สนุ ทรพจน คาํ พูดท่ไี พเราะ, คําพดู ทีด่ ;ี เอกเทศ (คือเพียงบางสวนบางแง) ๒. คําพูดอันเปนพิธีการ, คํากลาวแสดง นิปปริยายสุทธิ บริสุทธิ์โดยส้ินเชิง ความรูสึกที่ดีอยางเปนพิธีการในท่ี (ความบริสทุ ธิข์ องพระอรหันต) ประชุม สุทธิกปาจิตติยะ อาบัติปาจิตตียลวน สุนาปรนั ตะ ดู ปุณณสนุ าปรนั ตะ คืออาบัติปาจิตตียที่ไมตองใหเสียสละ สุเนตตะ นามของพระศาสดาองคอนึง่ ใน สิ่งของ มี ๙๒ สกิ ขาบท ตามปกตเิ รียก อดตี มคี ณุ สมบตั คิ อื กาเมสุ วตี ราโค (มี กันเพยี งวา ปาจิตติยะ หรอื ปาจติ ตีย ราคะไปปราศแลวในกามทั้งหลาย) มี สทุ โธทนะ กษัตริยศ ากยวงศซงึ่ เปนราชา ศษิ ยจาํ นวนมาก ไดเ จริญเมตตาจติ ถงึ ผคู รองแควน ศากยะ หรอื สกั กชนบท ณ ๗ ป แตกไ็ มอ าจพน จากชาติ ชรามรณะ นครกบิลพัสดุ มีพระมเหสพี ระนามวา เพราะไมรูอริยศีล อริยสมาธิ อริย- พระนางสริ ิมหามายา หรอื เรียกสนั้ ๆ ปญญา และอรยิ วิมตุ ติ วา มายา เมื่อพระนางมายาสวรรคตแลว สปุ ฏิปนฺโน (พระสงฆ) เปน ผปู ฏบิ ตั ิดี พระนางมหาปชาบดีโคตมีไดเปนพระ คือ ปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา มเหสีตอ มา พระเจาสุทโธทนะเปนพระ ปฏิบตั ิไมถ อยหลงั ปฏบิ ตั สิ อดคลอ งกบั ราชบุตรองคที่ ๑ ของพระเจาสีหหนุ คําสอนของพระพุทธเจา ดํารงอยูใน เปน พระราชบดิ าของพระสิทธตั ถะ เปน ธรรมวนิ ยั (ขอ ๑ ในสงั ฆคณุ ๙) พระอัยกาของพระราหุล และเปนพระ สุปปพุทธะ กษัตริยโกลยิ วงฆ เปนพระ พทุ ธบดิ า พระองคส วรรคตในปท ่ี ๕ แหง ราชบตุ รองคท ี่ ๑ ของพระเจา อัญชนะ พทุ ธกิจ กอ นสวรรคต พระพทุ ธเจา ได เปนพระบิดาของพระเทวทัตและพระ เสด็จไปแสดงธรรมโปรดใหไดทรง นางยโสธราพิมพา บรรลุอรหัตผล และไดเสวยวิมุตติสุข สพุ าหุ บุตรเศรษฐเี มืองพาราณสี เปน
สภุ ทั ทะ ๔๕๓ สภุ ทั ทะวุฒบรรพชิต สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว เขาเฝา แลว ทูลถามวา สมณพราหมณ ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม เจาลัทธทิ ม่ี ีช่ือเสยี งทั้งหลาย คอื เหลา พรอมดว ยสหายอีก ๓ คน คอื วิมละ ครทู ัง้ ๖ น้ัน ลว นไดต รสั รจู ริงทง้ั หมด ปณุ ณชิ และควมั ปติ ไดเ ปน สาวกรนุ ตามท่ีตนปฏิญญา หรือไดตรัสรูเพียง แรกที่พระพุทธเจาสงไปประกาศพระ บางสวน หรือไมมีใครตรัสรูจริงเลย ศาสนา พระพุทธเจาทรงหามเสียและตรัสวาจะ สุภัททะ ปจ ฉิมสักขิสาวก (สาวกผทู ัน ทรงแสดงธรรม คือ หลกั การหรอื หลกั เห็นองคสุดทาย) ของพระพุทธเจา ความจริงใหฟง แลว ตรสั วา อรยิ มรรค เรียกสัน้ ๆ วา ปจ ฉิมสาวก เดิมเปน มีองค ๘ หาไมไดในธรรมวินัยใด พราหมณตระกูลใหญ ตอมาออกบวช สมณะ (คอื อริยบคุ คลท้งั ๔) ก็หาไมไ ด เปน ปรพิ าชก อยใู นเมอื งกสุ นิ ารา ในวนั ท่ี ในธรรมวินยั นนั้ อริยมรรคมีองค ๘ หา พระพุทธเจาจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไดในธรรมวินัยใด สมณะก็หาไดใน สุภทั ทปรพิ าชกไดย ินขา วแลว คดิ วาตน ธรรมวัยนั้น อริยมรรคมอี งค ๘ หาได มีขอสงสยั อยอู ยางหนง่ึ อยากจะขอให ในธรรมวินัยน้ี ลัทธิอ่ืนๆ วางจาก พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมเพ่ือแกขอ สมณะ และตรัสสรุปวา ถาภิกษุท้ัง สงสัยน้ันเสียกอนท่ีจะปรินิพพาน จึง หลายเปนอยูโดยชอบ โลกก็จะไมวาง เดินทางไปยังสาลวัน ตรงไปหาพระ จากพระอรหันตท้ังหลาย เมื่อจบพระ อานนท แจงความประสงคจะเขาเฝา ธรรมเทศนา สภุ ทั ทปรพิ าชกเลอื่ มใส ทลู พระบรมศาสดา พระอานนทไดห ามไว ขอบรรพชาอปุ สมบท พระพทุ ธเจา ตรสั เพราะเกรงวาพระองคเหน็ดเหน่ือยอยู สั่งพระอานนทใหบวชสุภัททะในสํานัก แลว จะเปนการรบกวนใหทรงลําบาก ของพระองค โดยประทานพทุ ธานญุ าต สุภัททปริพาชกก็คะยั้นคะยอจะขอเขา พิเศษใหยกเวนไมตองอยูติตถิยปริวาส เฝา ใหได พระอานนทก็ยืนกรานหา มอยู ทา นสภุ ทั ทะบวชแลว ไมน าน (อรรถกถา ถึง ๓ วาระ จนพระผูมพี ระภาคทรงได วาในวันน้ันเอง) ก็ไดบรรลุอรหัตตผล ยินเสียงโตตอบกันน้ัน จึงตรัสสั่งพระ นบั เปน พทุ ธปจ ฉมิ สกั ขสิ าวก อานนทวาสุภัททะมุงหาความรู มิใช สภุ ัททะ วฒุ บรรพชติ “พระสภุ ทั ทะผู ประสงคจะเบียดเบียนพระองค ขอให บวชเมื่อแก” ซึ่งเปนตนเหตุแหงการ ปลอยใหเขาเขา เฝาเถิด สภุ ัททปริพาชก ปรารภทีจ่ ะสังคายนาครัง้ ท่ี ๑ กอนบวช
สภุ าพ ๔๕๔ สภุ ูติ เปนชางตัดผมในเมืองอาตุมา มีบุตร รองไหคร่ําครวญเปนอันมาก ในขณะ ชาย ๒ คน ออกบวชแลวคราวหนงึ่ ได นั้นเองพระสุภัททะวุฒบรรพชิต ก็รอ ง ขาววาพระพุทธเจาพรอมดวยสงฆหมู หามขนึ้ วา “อยาเลย ทา นผมู ีอายุ พวก ใหญจะเสด็จมายังเมืองอาตุมา จึงให ทานอยาเศราโศก อยารา่ํ ไหไ ปเลย พวก บุตรท้ังสองเอาเครื่องมือตัดผมออกไป เราพนดีแลว พระมหาสมณะน้ันคอย เท่ียวขอตัดผมตามบานเรือนทุกแหง เบียดเบียนพวกเราวา สิ่งนี้ควรแกเธอ แลกเอาเคร่ืองปรุงยาคูมาไดมากมาย สง่ิ นไ้ี มค วรแกเ ธอ บดั นพี้ วกเราปรารถนา แลวบัญชาการใหผูคนจัดเตรียมขาว สงิ่ ใด กจ็ กั กระทาํ สงิ่ นน้ั ไมป รารถนาสงิ่ ยาคูไวเปนอันมาก เม่ือพระพุทธเจา ใด กจ็ กั ไมก ระทาํ สงิ่ นน้ั ” พระมหากสั สป- เสด็จมาถึง ก็นําเอาขาวยาคูนั้นเขาไป เถระไดฟงแลวเกิดธรรมสังเวช ดําริวา ถวาย พระพทุ ธเจา ตรสั ถาม ทรงทราบ พระพทุ ธเจา ปรนิ พิ พานเพยี ง ๗ วนั ก็ ความวาพระสุภัททะไดขาวนั้นมาอยาง ยังเกิดเสี้ยนหนามข้ึนแลวในพระศาสนา ไรแลว ไมท รงรับ และทรงตเิ ตียน แลว หากตอไปคนชั่วไดพวกพองมีกําลังเติบ ทรงบัญญัติสิกขาบท ๒ ขอคือ กลาข้นึ ก็จะทาํ พระศาสนาใหเสอ่ื มถอย บรรพชิตไมพึงซักชวนคนทําในส่ิงท่ีเปน ดงั นนั้ หลงั จากเสรจ็ งานถวายพระเพลิง อกัปปย ะ และภิกษุผเู คยเปน ชา งกัลบก พระพทุ ธสรีระแลว ทา นจงึ ไดย กถอยคํา ไมพึงเก็บรักษาเคร่ืองตัดโกนผมไว ของสุภัททะวุฒบรรพชิต ซ่ึงเรียกกัน ประจําตัว จากการที่ไดถูกติเตียนและ สั้นๆ วา คาํ กลาวจว งจาบพระธรรมวนิ ยั เสียของเสียหนาเสียใจในเหตุการณคร้ัง น้ีข้ึนเปนขอปรารภ ชักชวนพระเถระ นน้ั พระสภุ ทั ทะกไ็ ดผกู อาฆาตไว ตอ ท้ังหลายรวมกันทําสังคายนาคร้ังแรก; มา เม่ือพระพุทธเจาเสด็จดับขันธ- สภุ ัททวุฑฒบรรพชติ กเ็ ขียน (คําบาลวี า ปรินพิ พานแลว ได ๗ วัน พระสภุ ทั ทะ สภุ ทฺโท วฑุ ฺฒปพฺพชโิ ต) รวมอยูในคณะของพระมหากัสสปเถระ สุภาพ เรียบรอย, ออนโยน, ละมุน ซึ่งกําลังเดินทางจากเมืองปาวาสูเมือง ละมอ ม กุสินารา ระหวางทางนนั้ คณะไดท ราบ สุภาษิต ถอยคําที่กลา วดแี ลว , คําพดู ท่ี ขาวพุทธปรินิพพานจากอาชีวกผูหนึ่ง ถือเปนคติได ภกิ ษทุ ั้งหลายทีย่ ังไมส ิ้นราคะ (คือพระ สุภูติ พระมหาสาวกองคหน่ึงเปนบุตร ปุถชุ น โสดาบนั และสกทาคาม)ี พากนั สุมนเศรษฐี ในพระนครสาวตั ถี ไดไ ป
สุมนะ ๔๕๕ สุวรรณภูมิ รวมงานฉลองวัดเชตวันของทานอนาถ- สุรเสนะ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ บิณฑิกเศรษฐี ไดฟงพระธรรมเทศนา แควน ใหญแ หง ชมพทู วีป ต้งั อยูทางใต ของพระศาสดา มีความเลอื่ มใสบวชใน ของแควน กุรุ ระหวา งแมน ้าํ สนิ ธกุ บั แม พระพุทธศาสนา ตอมาเจริญวิปสสนา น้ํายมุนาตอนลาง นครหลวงชื่อมธุรา ทาํ เมตตาฌานใหเปนบาท ไดสาํ เร็จพระ แตปจ จบุ นั เรยี กมถรุ า (Mathura) อรหัต พระศาสดาทรงยกยองวาเปน สรุ า เหลา, น้ําเมาท่กี ล่ันแลว เอตทัคคะ ๒ ทาง คือในทางอรณวหิ าร สุราบาน การด่มื เหลา , นํา้ เหลา (เจริญฌานประกอบดวยเมตตา) และ สุราปานวรรค ตอนท่ีวา ดว ยเรอ่ื งดมื่ น้าํ เปน ทักขิไณยบุคคล เมา เปน ตน เปน วรรคท่ี ๖ ในปาจติ ตยิ - สมุ นะ ชอื่ พระเถระองคห น่ึงในการกสงฆ กณั ฑ สุรามฤต น้ําที่ทําผูด่ืมใหไมตายของ ผูทาํ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๒ สุมังคลวิลาสินี ชื่อคัมภีรอรรถกถา เทวดา, น้าํ อมฤตของเทวดา อธิบายความในทีฆนิกาย แหงพระ สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี สุตตันตปฎ ก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บ เวนจากนาํ้ เมา คือสุราและเมรัย อนั เปน เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา ทตี่ ้งั แหงความประมาท (ขอท่ี ๕ ในศลี สงิ หฬทส่ี บื มาแตเ ดมิ เปน หลกั เมอื่ พ.ศ. ๕ ศีล ๘ และศีล ๑๐) ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, สุริยคติ การนับวันโดยถือเอาการเดิน อรรถกถา ของพระอาทิตยเ ปน หลกั เชน วันท่ี ๑, สุเมรุ ชือ่ หน่งึ ของภเู ขาเมรุ; ดู เมรุ ๒, ๓ เดือนเมษายน เปนตน สุรนาทโวหาร ถอ ยคําทีฮ่ ึกหา ว สรุ ิยปุ ราคา การจับอาทติ ย คอื เงาดวง สุรสิงหนาท การเปลงเสียงพูดอยาง จนั ทรบ งั ดวงอาทิตย องอาจกลา หาญ หรือพระดํารสั ทเี่ ราใจ สวุ รรณภูมิ “แผน ดินทอง”, “แหลมทอง”, ปลุกใหตื่นฟนสติขึ้น เหมือนด่ังเสียง ดินแดนที่พระเจาอโศกมหาราชทรง บันลือของราชสีห เชนที่พระพุทธเจา อปุ ถมั ภก ารสง พระโสณะและพระอตุ ตระ ตรัสวา “กิจอยา งใด อันพระศาสดาผู หวั หนาพระศาสนทตู สายท่ี ๘ (ใน ๙ เอ็นดู แสวงประโยชน เพ่ือสาวกทั้ง สาย) ไปประกาศพระศาสนา ปราชญ หลายจะพึงทํา กิจน้ันอันเราทาํ แลวแก สันนิษฐานวาไดแกดินแดนบริเวณ พวกเธอทกุ อยาง” จังหวัดนครปฐม (พมาวาไดแกเมือง
สู ๔๕๖ สตู ร สะเทมิ หรอื สธุ รรมนครในประเทศพมา ), เมื่อเสด็จถึงเมืองกุสินาราแลว ก็เสด็จ สุวรรณภูมิปรากฏในรายชื่อดินแดน ดบั ขนั ธปรินพิ พานในราตรนี ั้น ตางๆ ในคัมภีรมหานิทเทส แหงพระ “สูกรมัททวะ” นี้ มักแปลกนั วา เนื้อ สตุ ตนั ตปฎ ก ซ่ึงมีชวาดว ย และถัดจาก สุกรออน แตอรรถกถาแปลตางเปน สวุ รรณภูมิ ก็มีตมั พปณ ณิ (ชว คจฺฉติ หลายนัย อรรถกถาแหงหน่ึงใหความ … สวุ ณณฺ ภมู ึ คจฉฺ ติ ตมพฺ ปณณฺ ึ คจฉฺ ต,ิ หมายไวถงึ ๔ อยา ง (อุ.อ.๔๒๗) วา ๑. ข.ุ ม.๒๙/๒๕๔/๑๘๘, ๘๑๐/๕๐๔) ช่ือเหลาน้ี มหาอัฏฐกถาซ่ึงเปนอรรถกถาโบราณ จะตรงกบั ดินแดนทเี่ ขา ใจกัน หรือเปน บอกไวว า เปน เนือ้ หมู ทนี่ มุ รสสนิท ๒. ชอ่ื พอง หรือตงั้ ตามกัน ไมอ าจวินจิ ฉยั อาจารยบางพวกวาเปนหนอไม ที่หมู ใหเดด็ ขาดได (ในชั้นอรรถกถา มเี รื่อง ชอบไปดดุ ยาํ่ ๓. อาจารยอ กี พวกหน่งึ ราวมากมาย เกย่ี วกับคนลงเรอื เดินทาง วาเปนเห็ด ซึ่งเกิดในบรเิ วณที่หมดู ุดยา่ํ ทะเลจากชมพทู วีปไปยังสวุ รรณภูม)ิ ; ดู และ ๔. ยังมอี าจารยพ วกอื่นอกี วา เปน ตัมพปณณิ ยาอายุวฒั นะขนานหนึ่ง สว นอรรถกถา สู ทา น อีกแหงหน่ึง (ที.อ.๒/๑๗๒) บอกความ สูกรมัททวะ ช่ืออาหารซึ่งนายจุนทะ หมายไว ๓ นยั วา เปน เนือ้ หมตู ัวเอกท่ไี ม กัมมารบตุ ร แหงเมอื งปาวา ถวายแด ออนไมแกเกินไป บางวาเปนขาวที่นุม พระพุทธเจา ในวันเสด็จดับขันธ- นวลกลมกลอม ซึ่งมีวิธีปรุงโดยใช ปรินิพพาน เปน บิณฑบาตมือ้ สุดทายท่ี เบญจโครส (ผลผลติ จากน้ํานมโค ๕ พระพุทธเจาเสวยกอนจะเสด็จดับขันธ- อยา ง คอื นมสด นมเปรี้ยว เปรียง เนย ปรินิพพาน ซึ่งพระพุทธเจาตรัสวาเปน ใส เนยขน ) บา งวาเปน ยาอายุวัฒนะ; ดู บิณฑบาตที่มีผลเสมอกับบิณฑบาตที่ พุทธปรินพิ พาน พระองคเสวยแลวไดต รสั รสู มั มาสัมโพธิ สญู วางเปลา, หายส้ินไป; ในทางธรรม ญาณ และบิณฑบาต ๒ คร้งั น้มี ผี ลมี “สูญ” มคี วามหมายหลายแงห ลายระดบั อานิสงสมากย่ิงกวาบิณฑบาตครั้งอ่ืนใด พึงศกึ ษาในคําวา สญุ ญตา, และพงึ แยก ทั้งส้ิน (ที.ม.๑๐/๑๒๖/๑๕๘; บิณฑบาตที่ จากคาํ วา “ขาดสญู ” ซงึ่ หมายถงึ อจุ เฉทะ เสวยในวันตรสั รู คือขา วมธปุ ายาสทีน่ าง ซง่ึ พงึ ศกึ ษาในคาํ วา อจุ เฉททฏิ ฐิ สุชาดาถวาย), หลังจากเสวยสกู รมทั ทวะ สตู ร พระธรรมเทศนาหรือธรรมกถาเรือ่ ง แลว พระพุทธเจา ก็ประชวรหนกั และ หน่ึงๆ ในพระสตุ ตันตปฎ ก แสดงเจอื
สูปะ ๔๕๗ เสนาสนะ ดวยบุคคลาธิษฐาน, ถาพูดวา พระสตู ร ขอ ปฏบิ ตั ขิ องพระเสขะ ไดแ ก จรณะ ๑๕ มกั หมายถงึ พระสตุ ตนั ตปฎ กทงั้ หมด เสขภูมิ ภมู ิของพระเสขะ, ระดบั จิตใจ สปู ะ แกง; คกู บั พยัญชนะ 2. และคุณธรรมของพระอริยบุคคลท่ียัง เสกขสมมต ผูไดรับสมมติเปนเสขะ ตอ งศกึ ษา หมายถึงครอบครัวที่สงฆประชุมตกลง เสขิยวัตร วัตรที่ภิกษุจะตองศึกษา, แตงต้ังใหเปนเสขะ ภิกษุใดไมเจ็บไข ธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาทท่ีภิกษุพึง และเขาไมไดน มิ นตไว ไปรับเอาอาหาร สาํ เหนียกหรือพึงฝกฝนปฏบิ ตั ิ มี ๗๕ จากครอบครัวน้ันมาขบฉนั ตอ งอาบัติ สกิ ขาบท จาํ แนกเปน สารปู ๒๖, โภชน- เปนปาฏิเทสนยี ะสกิ ขาบทที่ ๓ ปฏิสังยุต ๓๐, ธัมมเทสนาปฏิสังยุต เสกขสมมติ สังฆกรรมที่สงฆประกาศ ๑๖ และปกิณกะคือเบ็ดเตลด็ ๓, เปน ความตกลงต้ังสกุลคือครอบครัวที่ยิ่ง หมวดที่ ๗ แหงสิกขาบท ในบรรดา ดวยศรทั ธาแตหยอนดวยโภคะ ใหเ ปน สิกขาบท ๒๒๗ ของพระภกิ ษุ ทานให เสกขสมมต คอื ใหถือวาเปน เสขะ เพือ่ มิ สามเณรถือปฏิบัติดว ย ใหภกิ ษรุ บกวนไปรบั อาหารมาฉัน นอก เสตกัณณิกคม นิคมท่ีกั้นอาณาเขต จากไดร ับนิมนตไ วกอน หรืออาพาธ; ดูที่ มชั ฌิมชนบท ดานทศิ ใต ปกาสนียกรรม, อสัมมขุ ากรณยี เสโท, เสท น้าํ เหงอื่ , ไคล เสขะ ผูยังตองศึกษา ไดแก พระ เสนา กองทพั ในครัง้ โบราณหมายถึงพล อรยิ บคุ คลทย่ี ังไมบ รรลอุ รหัตตผล โดย ชาง พลมา พลรถ พลเดินเทา เรยี กวา พิสดารมี ๗ คือ ทา นผตู ง้ั อยใู นโสดา- จตุรงคนิ ีเสนา (เสนามีองค ๔ หรือเสนา ปตติมรรค ในโสดาปตติผล ใน สเ่ี หลา) สกทาคามมิ รรค ในสกทาคามิผล ใน เสนานิคม ช่ือหมูบานในตําบลอุรุเวลา อนาคามิมรรค ในอนาคามผิ ล และใน นางสุชาดาผูถวายขาวปายาสแดพระ อรหตั ตมรรค, พดู เอาแตระดับเปน ๓ มหาบรุ ษุ ในวนั ทจี่ ะตรสั รู อยทู ห่ี มบู า นน้ี คอื พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระ เสนามาตย ขา ราชการฝา ยทหารและพล อนาคามี; คูกบั อเสขะ เรอื น เสขบคุ คล บคุ คลทย่ี งั ตอ งศกึ ษาอยู; ดู เสนามาร กองทพั มาร, ทหารของพระยา เสขะ มาร เสขปฏิปทา ทางดําเนินของพระเสขะ, เสนาสนะ เสนะ “ทีน่ อน” + อาสนะ “ท่ี
เสนาสนขันธกะ ๔๕๘ โสณะ, โสณกะ น่งั ” หมายเอาทีอ่ ยอู าศยั เชน กุฏิ วิหาร กระจดั กระจายสบั สนกบั ทอ่ี น่ื เปน ตน และเครือ่ งใชเ กีย่ วกบั สถานที่ เชน โตะ เสนาสนะปา เสนาสนะอันอยูไกลจาก เกาอ้ี แมโคนไม เม่อื ใชเ ปน ทีอ่ ยอู าศยั บา นคนอยางนอ ย ๒๕ เสน กเ็ รียกเสนาสนะ เสพ บรโิ ภค, ใชส อย, อยอู าศยั , คบหา เสนาสนขนั ธกะ ช่ือขันธกะท่ี ๖ แหง จลุ เสพเมถุน รว มประเวณ,ี รวมสังวาส วรรคในพระวินัยปฎก วาดวยเร่ือง เสมหะ เสลด, เมือกท่อี อกจากลาํ คอหรือ เสนาสนะ ลําไส เสนาสนคาหาปกะ ผูใหถือเสนาสนะ เสมหฺ สมุฏ านา อาพาธา ความเจบ็ ไข หมายถงึ ภกิ ษผุ ูไดร บั สมมติ คอื แตงต้ัง มเี สมหะเปนสมุฏฐาน; ดู อาพาธ จากสงฆ ใหเปนผูทําหนาท่ีจัดแจก เสละ พระมหาสาวกองคหน่ึง เกิดใน เสนาสนะของสงฆ วาจะใหภิกษุรูปใด ตระกลู พราหมณ ในอังคุตตราปะ เรียน เขาอยูที่ไหน, เปน ตาํ แหนง หนงึ่ ในบรรดา จบไตรเพท เปนคณาจารยสอนศิษย เจา อธกิ ารแหงเสนาสนะ ๓๐๐ คน ไดพ บพระพทุ ธเจาทีอ่ าปณ- เสนาสนปจจัย ปจจัยคือเสนาสนะ, นิคม เหน็ วา พระองคส มบรู ณดวยมหา- เคร่ืองอาศัยของชีวิตที่อยู เปนอยาง ปุริสลักษณะครบถวนและไดทูลถาม หนง่ึ ในปจ จยั ส่ี ปญหาตา งๆ เมอื่ ฟงพระดาํ รสั ตอบแลว เสนาสนปญ ญาปกะ ผูแตงตงั้ เสนาสนะ มคี วามเล่อื มใส ขอบวช ตอ มาไมช า กไ็ ด หมายถงึ ภิกษุผไู ดรับสมมติ คือ แตงตั้ง บรรลุพระอรหัต จากสงฆ ใหเปนผูม หี นาทจ่ี ัดแจงแตงตง้ั แสโ ทษ หาความผดิ ใส, หาเรือ่ งให ดูแลความเรียบรอยแหงเสนาสนะ แสนยากร หมทู หาร, กองทัพ สําหรับภิกษุท้ังหลายจะไดเขาพักอาศัย, โสกะ ความโศก, ความเศรา , ความมใี จ เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจาอธิการ หมนไหม, ความแหงใจ, ความรูสึก แหง เสนาสนะ หมองไหมใจแหงผาก เพราะประสบ เสนาสนวัตร ธรรมเนียมหรือขอที่ภิกษุ ความพลัดพรากหรือสูญเสียอยางใด ควรปฏิบตั ิเกีย่ วกับเสนาสนะ เชน ไมท าํ อยางหน่ึง (บาล:ี โสก; สันสกฤต: โศก) เปรอะเปอ น รักษาความสะอาด จดั วาง โสกาดรู เดอื ดรอ นดว ยความโศก, รอ งไห ของใหเปนระเบียบเรียบรอย ใชสอย สะอึกสะอืน้ ระวังไมทําใหชํารุดและเก็บของใชไมให โสณะ, โสณกะ พระเถระรูปหนึ่งใน
โสณกฏุ ิกัณณะ ๔๕๙ โสณา จาํ นวน ๒ รูป (อกี รูปหน่งึ คือ พระ เดมิ เปน กลุ บตุ รชอื่ โสณะ ตระกลู โกฬวิ สิ ะ อุตตรเถระ) ที่พระโมคคัลลีบุตรติสส- เปนบุตรของอุสภเศรษฐี แหงวรรณะ เถระ สงเปนพระศาสนทูตมาประกาศ แพศย ในเมืองกาฬจัมปากะ แควน พระศาสนา ในดนิ แดนสุวรรณภูมิ เมอ่ื อังคะ โสณกุลบุตรมีลักษณะพิเศษใน เสร็จสิ้นการสังคายนาครั้งท่ี ๓ รางกาย คือ มฝี ามือฝา เทา ออนนุม และ (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔) นบั เปน สายหน่งึ มีขนออนขึ้นภายใน อีกท้ังมีความเปน ในพระศาสนทูต ๙ สาย อยูอยางดี ไดรับการบํารุงบําเรอทุก โสณกุฏิกัณณะ พระมหาสาวกองคห นึ่ง ประการ อยใู นปราสาท ๓ ฤดู จงึ ได เปนบตุ รของอบุ าสิกา ช่ือ กาฬี ซ่งึ เปน สมญาวา เปน สขุ มุ าลโสณะ ตอ มาพระ พระโสดาบนั เกดิ ทีบ่ า นเดิมของมารดา เจาพิมพิสารทรงสดับกิตติศัพท จึงรับ ในเมืองราชคฤหแลวกลับไปอยูใน ส่ังใหโสณะเดินทางไปเฝาและใหแสดง ตระกูลบิดาที่แควนอวันตี ทักขิณาบถ ขนท่ีฝามือฝาเทาใหทอดพระเนตร พระมหากัจจายนะใหบรรพชาเปน คราวน้ันโสณะมีโอกาสไดไปเฝาพระ สามเณรแลวรอตอ มาอกี ๓ ป เม่อื ทาน พุทธเจา ไดส ดับพระธรรมเทศนา เกิด หาภกิ ษไุ ด ๑๐ รปู แลวจึงใหอ ปุ สมบท ความเลื่อมใสขอบวช ทานทําความ เปนภิกษุ บวชแลวไมนานก็สาํ เร็จพระ เพียรอยางแรงกลาจนเทาแตกและเริ่ม อรหตั ตอ มา ทา นไดเ ดินทางมาเฝา พระ ทอแทใจ พระพุทธเจาจึงทรงประทาน ศาสดาทเ่ี มอื งสาวัตถพี รอ มท้ังนาํ ความท่ี โอวาทดวยขออุปมาเรื่องพิณสามสาย พระอุปชฌายส่ังมากราบทูลขอพระ ทานปฏิบัติตาม ไมชาก็ไดสําเร็จพระ พุทธานญุ าตดวยรวม ๘ ขอ ทําใหเกดิ มี อรหัต พระศาสดาทรงยกยองวาเปน พระพุทธานุญาตพิเศษสําหรับปจจันต- เอตทคั คะในทางปรารภความเพยี ร ชนบท เชน ใหส งฆมีภิกษุ ๕ รูปให โสณทณั ฑพราหมณ พราหมณช ่อื โสณ- อปุ สมบทได ใหใ ชรองเทา หนาหลายชัน้ ทัณฑะ เปนผูท่ีพระเจาพิมพิสารให ได ใหอ าบน้ําไดตลอดทกุ เวลา เปนตน ปกครองนครจมั ปา ทานแสดงธรรมมีเสยี งไพเราะแจมใสชัด โสณทัณฑสตู ร สูตรที่ ๔ ในคัมภีรท ฆี - เจน จึงไดรับยกยองจากพระศาสดาวา นกิ าย สลี ขนั ธวรรค พระสตุ ตันตปฎก เปน เอตทคั คะ ในทางกลา วกลั ยาณพจน ทรงแสดงแกโสณทัณฑพราหมณ โสณโกฬิวิสะ พระมหาสาวกองคหน่ึง โสณา พระมหาสาวิกาองคหนง่ึ เปน ธิดา
โสดาบัน ๔๖๐ โสตสัมผัสสชาเวทนา ของผูมีตระกูลในพระนครสาวัตถี ได ๗ คร้งั เปนอยางมาก แตง งาน มีบตุ รชาย ๑๐ คน ซง่ึ ลวนมี โสดาปตติผล ผลคือการถึงกระแสสู รูปรา งงามสงา ตอ มา สามพี รอมทง้ั บตุ ร นิพพาน, ผลทไ่ี ดรับจากการละสกั กาย- ท้ังสิบน้ันออกบวช ตัวทานชราลงแลว ทิฏฐิ วจิ กิ ิจฉา สีลัพพตปรามาส ดว ย เห็นวา ไมค วรอยเู ดยี วดาย จงึ ออกบวช โสดาปตติมรรค ทําใหไดเปนพระ เปน ภิกษุณี มีความเพียรแรงกลา เจรญิ โสดาบนั วปิ ส สนา ไดบ รรลุพระอรหัต ไดรบั ยก โสดาปตติมรรค ทางปฏิบัติเพ่ือบรรลุ ยองวาเปนเอตทคั คะในทางปรารภความ ผล คือความเปนพระโสดาบนั , ญาณ เพยี ร; อยา งไรกด็ ี ประวตั นิ ี้ เลาตาม คอื ความรเู ปนเหตุละสงั โยชนไ ด ๓ คือ เรื่องในคัมภรี อปทาน (ในเถรีคาถา ก็ สักกายทฏิ ฐิ วจิ ิกิจฉา สลี ัพพตปรามาส เลา ไวค ลา ยกนั แมจ ะสน้ั กวามาก) แต โสต ห,ู ชองหู ในอรรถกถาแหงเอกนิบาต อังคุตตร- โสตถิยะ ช่ือคนหาบหญาท่ีถวายหญา แด นกิ าย ทานเลาเร่ืองตา งออกไปวา กอ น พระมหาบุรุษในวันทจี่ ะตรสั รู พระองค บวช พระโสณามบี ุตรและธดิ ามาก เมือ่ รับหญาจากโสตถิยะแลวนําไปลาดตาง บุตรธิดามีครอบครัวแยกออกไปแลว บัลลังก ณ ควงตนพระศรีมหาโพธ์ิ ตอมา มีอาการแสดงออกท่ีขาดความ ดานทิศตะวันออก แลวประทับนั่งขัด เคารพตอ ทา น ทาํ ใหท า นไมเ หน็ ประโยชน สมาธิผินพระพกั ตรไ ปทางทศิ ตะวนั ออก ที่จะอยูครองเรือนตอไป จึงออกบวช จนกระท่งั ตรัสรู และเปนที่เรียกขานกันวา “พระโสณา โสตถวิ ดี ช่ือนครหลวงของแควน เจตี เถรีผมู ลี ูกมาก” จนกระทั่งตอ มา ทาน โสตวิญญาณ ความรูที่เกิดขึ้นเพราะ บําเพ็ญเพียรและไดบรรลุอรหัตตผล เสียงกระทบหู, เสียงกระทบหู เกิด แลว จึงเปนท่ีรูจักกันในนามใหมวา ความรูข้ึน, การไดย นิ (ขอ ๒ ใน “พระโสณาเถรผี เู พียรมุงมั่น” วญิ ญาณ ๖) โสดาบัน ผูถึงกระแสที่จะนําไปสูพระ โสตสมั ผสั อาการท่ีหู เสียง และโสต- นพิ พาน, พระอรยิ บคุ คลผูไ ดบ รรลุโสดา วิญญาณประจวบกนั เกิดการไดยนิ ปต ตผิ ล มี ๓ ประเภทคอื ๑. เอกพีชี โสตสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดขึ้น เกดิ อีกครัง้ เดียว ๒. โกลงั โกละ เกดิ อกี เพราะโสตสัมผัส, ความรูสึกที่เกิดข้ึน ๒–๓ ครง้ั ๓. สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ เกิดอกี เพราะการทีห่ ู เสียง และโสตวญิ ญาณ
โสภณเจตสกิ ๔๖๑ ไสยาสน กระทบกัน ศาสดา มีความเล่ือมใส ขอบวช ไมช าก็ โสภณเจตสิก เจตสิกฝา ยดงี าม มี ๒๕ บรรลุพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน แบงเปน ก. โสภณสาธารณเจตสิก เอตทคั คะในทางปพุ เพนวิ าสนสุ สตญิ าณ (เจตสิกท่ีเกิดทั่วไปกับจิตดีงามทุกดวง) โสมนัส ความดใี จ, ความสขุ ใจ, ความ ๑๙ คือ ศรทั ธา สติ หริ ิ โอตตัปปะ ปลาบปลม้ื ; ดู เวทนา อโลภะ อโทสะ ตัตรมัชฌตั ตตา (ความ โสรจั จะ ความเสงย่ี ม, ความมอี ัธยาศัย เปน กลางในอารมณน นั้ ๆ=อเุ บกขา) กาย- งาม รักความประณตี หมดจดและสงบ ปส สทั ธิ ความคลายสงบแหง กองเจตสกิ ) เรียบรอย (ขอ ๒ ในธรรมทําใหงาม ๒) จติ ตปส สทั ธิ (แหง จติ ) กายลหตุ า (ความ โสวจสั สตา ความเปน บคุ คลทพ่ี ดู ดว ยงา ย, เบาแหง กองเจตสกิ ) จิตตลหุตา(แหงจิต) ความเปน ผวู า งา ยสอนงา ย รจู กั รบั ฟง เหตุ กายมทุ ตุ า (ความนมุ นวลแหง กองเจตสกิ ) ผล (ขอ ๔ ในนาถกรณธรรม ๑๐) จติ ตมทุ ุตา (แหง จติ ) กายกมั มญั ญตา โสสานิกังคะ องคแ หงผูถอื อยูปา ชาเปน (ความควรแกง านแหง กองเจตสกิ ) จติ ต- วัตร คืออยูแรมคืนในปาชาเปนประจํา กมั มญั ญตา (แหง จติ ) กายปาคญุ ญตา (ขอ ๑๑ ในธุดงค ๑๓) (ความคลอ งแคลว แหง กองเจตสกิ ) จติ ต- โสโส โรคมองครอ (มเี สมหะแหง อยูใน ปาคญุ ญตา (แหง จิต) กายุชกุ ตา (ความ ลาํ หลอดปอด) ซอ่ื ตรงแหง กองเจตสกิ ) จติ ตชุ ุกตา (แหง โสฬสญาณ ญาณ ๑๖ (เปน ศัพทท ่ผี ูก จติ ) ข. วรี ตเี จตสกิ (เจตสกิ ทเ่ี ปน ตวั งด ข้นึ ภายหลัง); ดู ญาณ ๑๖ เวน ) ๓ คอื สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ ไสยา การนอน (บาลี: เสยฺยา) สัมมาอาชีวะ ค. อัปปมัญญาเจตสิก ไสยาวสาน การนอนครงั้ สุดทา ย, การ (เจตสิกคืออปั ปมญั ญา) ๒ คอื กรุณา นอนคร้งั ทีส่ ุด มทุ ิตา (อีก ๒ ซาํ้ กบั อโทสะ และตตั ร- ไสยาสน นอน (เปนคําเพยี้ น ถาเขยี น มชั ฌัตตตา) ง. ปญญินทรยี เจตสกิ ๑ เปนคาํ บาลี กเ็ ปน “เสยยฺ าสน” ซึ่งแปล คือ ปญ ญินทรยี หรอื อโมหะ วา การนอนและท่ีนงั่ แตไมมีท่ใี ช คาํ ที่ โสภิตะ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เกดิ ใน ใชจรงิ คือ “เสนาสน” ซงึ่ แปลวา ทนี่ อน ตระกูลพราหมณ ในพระนครสาวัตถี และท่นี ัง่ , ตามปกติ เม่อื จะวา นอน กใ็ ช ตอมาไดฟงพระธรรมเทศนาของพระ เพียงวา “ไสยา” ซง่ึ มาจาก “เสยฺยา”)
หงายบาตร ๔๖๒ หัตถกะอาฬวกะ ห หงายบาตร การระงบั โทษอบุ าสกซ่ึงเคย คราน ๘. เพ่อื ความเลย้ี งยาก, ธรรม ปรารถนารายตอพระรัตนตรัย สงฆ เหลา น้ี พึงรวู า ไมใ ชธ รรม ไมใชวนิ ัย ไม ประกาศคว่ําบาตรไวมิใหภิกษุทั้งหลาย ใชสตั ถุศาสน, ข. ธรรมเหลา ใดเปน ไป คบหาดว ย ตอ มาอบุ าสกนัน้ รูสึกโทษตน ๑. เพื่อความคลายหายตดิ ๒. เพือ่ กลับประพฤติดี สงฆจึงประกาศระงับ ความไมประกอบทกุ ข ๓. เพอ่ื ความไม โทษนนั้ ใหภ กิ ษทุ ง้ั หลายคบกบั เขาไดอ กี พอกพูนกิเลส ๔. เพ่ือความมกั นอ ย ๕. เชน รบั บณิ ฑบาต รบั นมิ นต รบั ไทยธรรม เพื่อความสนั โดษ ๖. เพ่ือความสงดั ๗. ของเขาได เปนตน การทส่ี งฆประกาศ เพือ่ การประกอบความเพยี ร ๘. เพอ่ื ระงบั การลงโทษนนั้ เรยี กวา หงายบาตร, ความเล้ียงงาย, ธรรมเหลาน้ีพึงรูวา คาํ เดิมตามบาลวี า “ปต ตอุกกุชชนา” ดูที่ เปนธรรม เปน วินยั เปนสัตถุศาสน ปกาสนยี กรรม, อสัมมขุ ากรณยี ; คูกับ หลิททวสนนคิ ม นคิ มหนึ่งอยใู นโกลยิ - ควา่ํ บาตร ชนบท หทัย หัวใจ หัตถ, หัตถะ 1. มือ 2. ในมาตราวัด คอื หน ทิศ เชน หนบรู (ทศิ ตะวนั ออก) ๑ ศอก หฤทัย หัวใจ หัตถกรรม การทาํ ดวยฝมือ, การชาง หลักกําหนดธรรมวินัย หลักตัดสิน หัตถกะอาฬวกะ อริยสาวกสําคัญทาน ธรรมวินัย หรือลักษณะตัดสินธรรม หน่งึ ในฝายอุบาสก เปนอนาคามี ถอื กัน วนิ ัย ๘ อยาง คือ ก. ธรรมเหลา ใดเปน วาเปน อัครอุบาสก เน่อื งจากเปน ผทู ่ีพระ ไป ๑. เพื่อความยอมใจตดิ ๒. เพื่อ พุทธเจาทรงยกยองวาเปนตราชูของ ความประกอบทุกข ๓. เพ่ือความพอก อุบาสกบรษิ ทั (คูกบั จติ ตคฤหบดี) ทา น พูนกิเลส ๔. เพื่อความมกั มากอยาก เปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกท่ี ใหญ ๕. เพ่อื ความไมสนั โดษ ๖. เพือ่ สงเคราะหบริษัทดวยสังคหวัตถุ ๔, ความคลุกคลีในหมู ๗. เพือ่ ความเกียจ อริยสาวกทานนี้มีตํานานประวัติตามที่
หัตถกะอาฬวกะ ๔๖๓ หัตถกะอาฬวกะ อรรถกถาเลา ไวว า เปนโอรสของพระเจา จะทรงสงมนุษยไปใหอาฬวกยักษกิน อาฬวกะ ราชาแหงแควนอาฬวี เมื่อ พรอ มทัง้ กับแกลมวนั ละ ๑ คน ตอน ประสูติ ไดน ามวา อาฬวกกมุ าร ตอ มา แรกก็สงนักโทษประหารไปให ตอมา ไดมคี าํ นาํ หนา นามเดมิ เพ่ิมขนึ้ วาหตั ถกะ นักโทษหมด ตอ งใชวิธีลอคนโดยใหเอา โดยมีความเปนมาวา แตเดมิ มา กอ น เงนิ หลวงไปทง้ิ ไวตามถนนหนทาง ใคร อาฬวกกุมารประสตู ิ ตามปกติ ราชา หยบิ หรือแมแตจ บั ตอง ก็ตัง้ ขอ หาแลว อาฬวกะทรงนํากองทหารเสด็จออกปา จบั ตวั มาสง ใหอาฬวกยักษ พอคนรกู นั ลาสัตวเปนประจําทุกสัปดาห เพ่ือเปน กไ็ มมีใครจบั ตองเงินหลวงนนั้ ในขัน้ สุด การหามปรามโจรผูรา ย และปอ งกนั อริ- ทาย เมื่อไมม คี นท่ีจะจบั ได ก็วางกตกิ า ราชศัตรู พรอ มทง้ั ซอ มกําลงั ทพั ไว ครงั้ ใหจ บั เด็กทน่ี อนหงายสงไป ทําใหแมลูก หนง่ึ ทรงต้งั กติกากับเหลาทหารวา ถา ออนและสตรีมีครรภพากันหนีไปอยูใน เนื้อวิ่งหนีออกไปทางขางของผูใด ให ตางแควนจนเด็กโต จึงพากลับเขามา เปนภาระของผูนั้นท่ีจะไปจับเนื้อมา เวลาลว งไป ในทสี่ ดุ หาเดก็ ไมไ ด อาฬวก- จําเพาะวาเน้ือหนีออกไปทางขางของ ราชถงึ กบั ตอ งยอมใหส ง โอรสคอื อาฬวก- พระองค จึงทรงไลตามเน้ือน้ันไปเปน กุมารสงไปใหแกอาฬวกยักษ คร้ังนั้น หนทาง ๓ โยชน จนเน้ือน้นั หมดแรง พระพุทธเจาทรงมองเห็นอุปนิสัยของ ยืนน่ิงแชนํ้าอยู ก็ทรงจับมันฆาเสียได อาฬวกกมุ ารท่ีจะบรรลอุ นาคามผิ ล และ แตแ มก ารจะสาํ เรจ็ กท็ รงเหนด็ เหนอ่ื ย จงึ ข อ ง อ า ฬ ว ก ยั ก ษ ท่ี จ ะ เ ป น โ ส ด า บั น แวะเขาไปประทับน่ังพักใตรมไทรใหญ พรอมทั้งประโยชนที่จะเกิดแกมหาชน ตน หนงึ่ บดั นน้ั เทวดาซงึ่ สงิ สถติ ทนี่ นั่ ก็ จึงเสดจ็ ออกจากพระเชตวัน ทรงดาํ เนิน เขามาจับพระหตั ถไว และบอกวา ตนคอื ดวยพระบาทแตลําพังพระองคเดียว อาฬวกยักษ ไดรับพรจากทาวมหาราช ผานหนทาง ๓๐ โยชน จนมาถึงทอี่ ยู (คือทาวโลกบาล) วา สัตวใ ดกต็ ามท่ี ของอาฬวกยักษ และเสด็จเขาไป ลวงล้ําเขตซ่ึงเงาตนไมน้ันตกในเวลา ประทับขางในขณะที่อาฬวกยักษไมอยู เทีย่ งวนั เขา ไป ใหจ ับกินได อาฬวกราช เม่ือยักษกลับมาและขับไลพระองคดวย จึงจะตองเปนอาหารของตน พระราชา อาการหยาบคายและรนุ แรงตางๆ กไ็ ด ทรงหาทางรอด ในทีส่ ุด อาฬวกยกั ษ ทรงใชวิธีออนโยนและขันติธรรมเขา ยอมปลอยโดยมีเงื่อนไขวา อาฬวกราช ตอบ จนอาฬวกยักษมีใจออนโยนลง
หัตถบาส ๔๖๔ หนิ ยาน,หีนยาน ทายสุดเปลี่ยนเปนถามปญหา ซึ่งพระ ศอก ๑ คบื หรอื ๒ ศอกครง่ึ ) วดั จาก องคก็ทรงตอบตรงจุด ทาํ ใหอ าฬวกยักษ สวนสุดดานหลังของผูเหยียดมือออกไป เกิดความเขาใจแจมแจงเห็นธรรมบรรลุ (เชน ถา ยนื วดั จากสน เทา , ถา นงั่ วดั จาก โสดาปตติผล การทรงผจญและสอน สดุ หลงั อวยั วะทนี่ งั่ , ถา นอน วดั จากสดุ ยักษดําเนินไปตลอดคืนจนอาฬวกยักษ ขางดา นท่นี อน) ถึงสว นสดุ ดา นใกลแหง บรรลธุ รรมตอนรงุ สวา ง ก็พอดีราชบุรษุ กายของอีกคนหนึ่งนั้น (ไมนับมือที่ นําอาฬวกกุมารมาถึง เมื่ออาฬวกยักษ เหยยี ดออกมา), โดยนยั นี้ ตามพระมติ ไดรบั มอบอาฬวกกมุ ารมา ก็ถวายกุมาร ทที่ รงไวใ นวินัยมขุ เลม ๑ และ ๒ สรุป นั้นแดพระพุทธเจา และพระพทุ ธเจาก็ ไดวา ใหห างกนั ไมเ กิน ๑ ศอก คอื มี ทรงมอบอาฬวกกุมารคืนใหแกพวกราช ชอ งวางระหวางกนั ไมเ กนิ ๑ ศอก บุรุษทนี่ ํามา พรอมทง้ั ตรสั วา ใหพ วก หายนะ ความเสื่อม เขาเลี้ยงราชกุมารนั้นจนเติบโตแลวจึง หิตานหุ ติ ประโยชนเ ก้อื กูลนอยใหญ คอยนํามาถวายแดพระองคใหมอีก หินยาน, หีนยาน “ยานเลว”, “ยานท่ี และดวยเหตุที่อาฬวกกุมารนั้นเหมือน ดอ ย” (คาํ เดมิ ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต เดินทาง ผานจากมือของราชบุรุษสูมือ เปน ‘หนี ยาน’, ในภาษาไทย นยิ มเขยี น ยักษ จากมือยักษสูพระหัตถของพระ ‘หนิ ยาน’), เปนคาํ ที่นกิ ายพุทธศาสนาซง่ึ พทุ ธเจา และจากพระหตั ถของพระพุทธ เกิดภายหลงั เม่อื ประมาณ พ.ศ.๕๐๐– เจา วนกลบั สมู อื ของราชบรุ ษุ อกี อาฬวก- ๖๐๐ คิดขึ้น โดยเรียกตนเองวา กมุ ารกจ็ งึ ไดม คี าํ วา “หตั ถกะ” มานาํ หนา มหายาน (ยานพาหนะใหญม ีคณุ ภาพดี ชอ่ื เปน หตั ถกะอาฬวกะ เหตกุ ารณน เี้ ปน ที่จะชว ยขนพาสตั วออกไปจากสังสารวฏั เคร่ืองเช่อื มโยงใหห ตั ถกะอาฬวกะ เมื่อ ไดม ากมายและอยา งไดผ ลด)ี แลวเรียก เจรญิ วยั ขึ้นมา กไ็ ดมาใกลชดิ พระพทุ ธ พระพุทธศาสนาแบบอ่ืนที่มีอยูกอนรวม กันไปวาหีนยาน (ยานพาหนะตํ่าตอย เจาและพระสงฆ และไมช า ไมนานนัก ก็ ไดบรรลุอนาคามผิ ล; ดู ตลุ า, เอตทคั คะ ดอยคุณภาพท่ีขนพาสัตวออกไปจาก หตั ถบาส บว งมอื คอื ทใี่ กลต วั ชว่ั คนหนง่ึ สังสารวัฏไดนอยและดอยผล), พุทธ- (นงั่ ตวั ตรง) เหยยี ดแขนออกไปจบั ตวั อกี ศาสนาแบบเถรวาท (อยางที่บัดน้นี บั ถอื คนหนง่ึ ได อรรถกถา (เชน วนิ ย.อ.๒/๔๐๔) กนั อยูในไทย พมา ลังกา เปนตน) ก็ถกู อธบิ ายวา เทา กบั ชว งสองศอกคบื (๒ เรียกรวมไวในช่ือวาเปนนิกายหินยาน
หิมพานต ๔๖๕ หริ ญั ญวดี ดวย เลศิ กวา มหายาน ปจจุบัน พุทธศาสนาหินยานที่เปน ถา ยอมรบั คาํ วา มหายาน และหนิ ยาน นกิ ายยอ ยๆ ทั้งหลายไดส ญู สนิ้ ไปหมด แลว เทยี บจาํ นวนรวมของศาสนกิ ตาม (ตัวอยางนิกายยอยหน่ึงของหินยาน ท่ี ตวั เลขในป ๒๕๔๘ วา มีพุทธศาสนกิ เคยเดน ในอดตี บางสมยั คอื สรวาสตวิ าท ชนทว่ั โลก ๓๗๘ ลานคน แบงเปน หรอื เรยี กแบบบาลวี า สพั พตั ถกิ วาท แต มหายาน ๕๖% เปน หนิ ยาน ๓๘% กส็ ูญไปนานแลว) เหลือแตเถรวาทอยาง (วัชรยานนับตางหากจากมหายานเปน เดียว เม่ือพูดถึงหินยานจึงหมายถึง ๖%) แตถาเทียบระหวางประดานิกาย เถรวาท จนคนทวั่ ไปมกั เขา ใจวา หนิ ยาน ยอ ยของสองยานนั้น (ไมนับประเทศจนี กบั เถรวาทมีความหมายเปนอนั เดยี วกนั แผนดินใหญที่มีตัวเลขไมชัด) ปรากฏ บางทีจึงถือวาหินยานกับเถรวาทเปนคํา วา เถรวาทเปนนิกายท่ีใหญมีผูนับถือ ที่ใชแทนกันได แตเม่ือคนรูเขาใจเรื่อง มากทส่ี ดุ ; บางทีเรยี กมหายานวา อุตร- ราวดขี นึ้ บดั นจี้ งึ นยิ มเรยี กวา เถรวาท นิกาย เพราะมีศาสนิกสวนใหญอยูใน ไมเ รยี กวา หินยาน แถบเหนือของทวีปเอเชีย และเรียก เนื่องจากคําวา “มหายาน” และ หนิ ยานวา ทกั ษณิ นกิ าย เพราะมศี าสนกิ “หินยาน” เกิดข้ึนในยุคท่ีพุทธศาสนา สวนใหญอยใู นแถบใตข องทวปี เอเชยี ; ดู แบบเดมิ เลอื นลางไปจากชมพทู วปี หลงั เถรวาท, เทียบ มหายาน พทุ ธกาลนานถงึ ๕-๖ ศตวรรษ คาํ ทง้ั หมิ พานต มีหมิ ะ, ปกคลมุ ดวยหมิ ะ, ชอ่ื สองน้ีจึงไมมีในคัมภีรบาลีแมแตรุนหลัง ภูเขาใหญท่ีอยูทางทิศเหนือของประเทศ ในชน้ั ฎกี าและอนฎุ กี า, ปจ จบุ นั ขณะที่ อนิ เดยี บดั นเ้ี รียกภูเขาหมิ าลัย, ปาท่อี ยู นิกายยอยของหินยานหมดไป เหลือ รอบบรเิ วณภูเขานี้ ก็เรียกกนั วา ปา หิม- เพียงเถรวาทอยางเดียว แตมหายาน พานต; หิมวันต ก็เรียก กลับแตกแยกเปนนิกายยอยเพิ่มขึ้น หมิ วนั ต ดู หิมพานต มากมาย บางนิกายยอยถึงกับไมยอม หริ ญั ญวดี แมน า้ํ สายสดุ ทา ยทพ่ี ระพทุ ธ- รับที่ไดถูกจัดเปนมหายาน แตถือตนวา เจาเสด็จขา ม เมอื่ เสด็จไปเมืองกสุ ินารา เปนนิกายใหญอีกนิกายหนึ่งตางหาก ในวันท่จี ะปรินพิ พาน สาลวโนทยานของ คือ พุทธศาสนาแบบทิเบต ซงึ่ เรยี กตน มัลลกษตั ริย ท่พี ระพุทธเจา ปรนิ พิ พาน วา เปน วชั รยาน และถอื ตนวาประเสรฐิ อยูริมฝงแมน้ํานี้, ปจจุบันเรียกแมน้ํา
หริ ิ ๔๖๖ อกปั ปยะ คัณฑักนอย (Little Gandak) อยหู างจาก ในอนาคต คือชาติ ชรา มรณะ); เทียบ แมน า้ํ คณั ฑกั ใหญไ ปทางตะวนั ตกประมาณ ผลเหตุสนธิ ๑๓ กิโลเมตร และไหลลงไปบรรจบ เหน็ ชอบ ดู สัมมาทฏิ ฐิ แมนาํ้ สรภู ซึง่ ปจจุบนั เรียก Gogrā เหมกมาณพ [เห-มะ-กะ-มา-นบ] ศษิ ย หิริ ความละอายแกใจ คือละอายตอ คนหนึ่งในจํานวน ๑๖ คน ของ ความชัว่ (ขอ ๑ ในธรรมคมุ ครองโลก พราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถามปญหากะ ๒, ขอ ๓ ในอริยทรพั ย ๗, ขอ ๒ ใน พระศาสดา ท่ปี าสาณเจดยี สัทธรรม ๗) เหมันต, เหมันตฤดู ฤดหู นาว (แรม ๑ เหฏฐิมทิส ”ทศิ เบื้องตาํ่ ” หมายถึงบาว ค่าํ เดือน ๑๒ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น คอื คนรบั ใชหรอื คนงาน; ดู ทิศหก ๔); ดู มาตรา เหตุ สิง่ ท่ีใหเกิดผล, เคา มูล, เรอ่ื งราว, ใหกลาวธรรมโดยบท สอนธรรมโดยให สง่ิ ทีก่ อ เร่อื ง วา พรอ มกนั กบั ตน คอื วา ขนึ้ พรอ มกนั จบ เหตุผลสนธิ “ตอ เหตเุ ขา กบั ผล” หมายถงึ ลงพรอมกัน (สิกขาบทที่ ๓ แหง หัวเงื่อนระหวางเหตุในอดีตกับผลใน มสุ าวาทวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ) ปจจุบัน หรือหัวเง่ือนระหวางเหตุใน ใหท านโดยเคารพ ต้ังใจใหอยางดี เอื้อ ปจจุบัน กับผลในอนาคต ในวงจร เฟอแกของที่ตัวใหแ ละผูรบั ทาน ไมท ํา ปฏจิ จสมปุ บาท (เหตุในอดตี คอื อวชิ ชา อาการดจุ ทิ้งเสีย และสังขาร, ผลในปจ จบุ นั คอื วญิ ญาณ ใหน ิสยั ดู นสิ ัย นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา, เหตุ ใหล ําบาก ดู วเิ ทสกกรรม ในปจ จบุ นั คือตณั หา อปุ าทาน ภพ, ผล ใหโ อกาส ดู โอกาส อ อกนิษฐ รูปพรหมชั้นสูงสุดในพรหมสิบ คอื ๑. เสพเมถนุ ๒. ลักของเขาตงั้ แต หกช้ัน และเปนสุทธาวาสภูมิชั้นสูงสุด ๕ มาสกขึ้นไป ๓. ฆา มนุษย ๔. อวด (ขอ ๕ ในสุทธาวาส ๕) คุณพิเศษ (อตุ ริมนุสธรรม) ทไี มม ใี น อกรณยี ะ กจิ อนั บรรพชติ ไมค วรทํา ๔ ตน (สาํ หรบั ภิกษุณี มี ๘); ดู อนุศาสน อยาง ทําแลวขาดจากความเปนภิกษุ อกัปปยะ ไมควร, ไมสมควรแกภ ิกษจุ ะ
อกปั ปย วตั ถุ ๔๖๗ อกุศลเจตสกิ บรโิ ภคใชส อย คอื ตอ งหามดวยพระ หมด; เทยี บ กุปปธรรม พุทธเจาไมทรงอนุญาตใหภิกษุใชหรือ อกศุ ล “ไมฉลาด”, สภาวะทีเ่ ปน ปฏิปกษ ฉัน, สิ่งท่ตี รงกันขามกับ กปั ปยะ หรอื ตรงขา มกบั กศุ ล, บาป, ชว่ั , ความชว่ั อกัปปยวัตถุ สิง่ ท่ไี มเหมาะไมควร คือ (อกศุ ลธรรม), กรรมชวั่ (อกุศลกรรม); เทียบ กศุ ล ภกิ ษุไมควรบริโภคใชส อย อกปฺปเย กปฺปยสฺิตา อาการท่ีจะ อกุศลกรรม กรรมท่เี ปน อกศุ ล, กรรม ตอ งอาบตั ดิ ว ยสาํ คัญวา ควร ในของทไ่ี ม ชั่ว, บาป, การกระทาํ ที่ไมดี คอื เกดิ ควร จาก อกุศลมูล; ดู อกศุ ล, กรรม อกาละ เวลาอนั ไมค วร อกุศลกรรมบถ ทางแหงกรรมชัว่ , ทาง อกาลจวี ร จวี รทเ่ี กดิ ขนึ้ นอกเขต จวี รกาล แหงกรรมทเ่ี ปนอกศุ ล, กรรมช่วั อนั เปน นอกเขตอานิสงสก ฐนิ ทางนําไปสูทคุ ติ มี ๑๐ อยาง คอื ก. อกาลิโก (พระธรรม) ไมประกอบดวย กายกรรม ๓ ไดแ ก ๑. ปาณาติบาต การ ทาํ ลายชวี ติ ๒. อทินนาทาน ถอื เอาของ กาล, ใหผลไมจํากดั กาล คอื ไมข้ึนกับ ท่ีเขามิไดให ๓. กาเมสุมิจฉาจาร กาลเวลา ไมจ าํ กัดดว ยกาล ใหผลแกผู ปฏิบตั ิทุกเวลา ทุกโอกาส บรรลเุ มอ่ื ใด ประพฤติผดิ ในกาม ข. วจีกรรม ๔ ได ก็ไดร ับผลเม่อื นั้น ไมเหมือนผลไมทีใ่ ห แก ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ๕. ปสุณาวาจา ผลตามฤด,ู อกี อยา งหน่ึงวา เปนจริงอยู พูดสอ เสียด ๖. ผรุสวาจา พูดคําหยาบ อยางไร ก็เปนจริงอยูอยางนั้นเร่ือยไป ๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพอเจอ ค. มโนกรรม ๓ ไดแก ๘. อภชิ ฌา ละโมบ (ขอ ๓ ในธรรมคณุ ๖) อกิริยทิฏฐิ ความเห็นวาไมเปนอันทํา, คอยจอ งอยากไดข องเขา ๙.พยาบาทคดิ เห็นวาการกระทําไมมีผล อธิบายอยา ง รา ยเขา ๑๐.มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลอง งา ย เชน ทาํ ชัว่ หากไมม คี นรู คนเห็น ธรรม; เทียบ กุศลกรรมบถ, ดู กรรมบถ ไมม คี นชม ไมมีคนลงโทษ กช็ อื่ วาไม อกุศลจิตตบุ าท จิตอกศุ ลเกดิ ข้นึ , ความ เปนอนั ทํา เปน มจิ ฉาทฏิ ฐริ า ยแรงอยา ง คิดชวั่ หน่งึ (ขอ ๑ ในทิฏฐิ ๓) อกศุ ลเจตนา เจตนาท่ีเปนอกศุ ล, ความ อกุปปธรรม ผมู ีธรรมท่ีไมกําเริบ คือผูท่ี ต้ังใจชัว่ , ความคดิ ชวั่ เม่ือไดสมาบัติแลว สมาบัติน้ันจะไม อกุศลเจตสิก เจตสกิ อันเปน อกศุ ล ได เส่ือมไปเลย ไดแกพระอริยบุคคลท้ัง แก ความชั่วทีเ่ กดิ ข้นึ ภายในใจ แตงจิต
อกุศลธรรม ๔๖๘ องคฌาน ใหเ ปนบาป มี ๑๔ อยา ง แยกเปน ก. อโคจร บุคคลและสถานท่อี นั ภิกษุไมควร สพั พากุศลสาธารณเจตสิก (เจตสกิ ท่เี กดิ ไปมาหาสู มี ๖ คอื หญิงแพศยา หญิง ท่วั ไปกบั อกศุ ลจิตทุกดวง) ๔ คือ โมหะ หมาย สาวเท้ือ ภิกษุณี บัณเฑาะก อหริ ิกะ (ไมละอายตอ บาป) อโนตตัปปะ (กะเทย) และรา นสุรา (ไมก ลัวบาป) อทุ ธจั จะ ข. ปกิณณก- อโคจรัคคาหกิ รูป ดทู ี่ รปู ๒๘ อกุศลเจตสิก (อกุศลเจตสิกท่ีเกิดกับ อโฆสะ พยัญชนะทมี่ ีเสียงไมกอง ไดแ ก อกศุ ลจติ เรยี่ รายไป) ๑๐ คอื โลภะ ทฏิ ฐิ พยญั ชนะท่ี ๑ และ ๒ ในวรรคทั้ง ๕ มานะ โทสะ อสิ สา (รษิ ยา) มจั ฉรยิ ะ คอื ก ข, จ ฉ, ฏ , ต ถ, ป ผ, และ ส กุกกุจจะ (เดอื ดรอนใจ) ถีนะ (หดหู) รวม ๑๑ ตวั ; ตรงขามกับ โฆสะ (เทยี บ ระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ี่ ธนติ ) มทิ ธะ (ซึมเซา) วจิ กิ จิ ฉา อกุศลธรรม ธรรมท่ีเปนอกศุ ล, ธรรม องค 1. สว น, ภาค, ตวั , อวยั วะ, ลกั ษณะ, ฝายอกศุ ล, ธรรมที่ช่ัว, ธรรมฝา ยชัว่ ; ดู คณุ สมบัติ, สว นประกอบ 2. ลักษณ- อกศุ ล นามใชเรียกภิกษุสามเณร นักบวชอ่ืน อกุศลมลู รากเหงาของอกุศล, ตน เหตุ บางพวก และส่ิงท่เี คารพบชู าบางอยาง ของอกุศล, ตน เหตุของความช่วั มี ๓ ในทางศาสนา เชน พระพทุ ธรูป ๒ องค อยาง คอื โลภะ โทสะ โมหะ พระเจดีย ๔ องค, สําหรบั ภกิ ษุสามเณร อกุศลวิตก ความตริตรึกที่เปนอกุศล, ในภาษาเขียนทานใหใช รปู ความนกึ คิดที่ไมด ี มี ๓ อยาง คอื ๑. องคฌ าน (บาลี วา ฌานงคฺ ) องคป ระกอบ กามวิตก คดิ แสไปในทางกาม หาทาง ของฌาน, องคธรรมทง้ั หลายทปี่ ระกอบ ปรนปรือตน ๒. พยาบาทวติ ก คิดใน กันเขา เปน ฌานขน้ั หนึง่ ๆ เชน ปต ิ สุข ทางพยาบาท ๓. วิหิงสาวติ ก คิดในทาง เอกัคคตา รวมกันเรียกวา ฌานท่ี ๒ หรือทุติยฌาน; องคฌานทั้งหมดใน เบียดเบียนผอู นื่ อคติ ฐานะอันไมพึงถึง, ทางความ ฌานตา งๆ นับแยกเปนหนว ยๆ ไมซ้ํา ประพฤติท่ผี ดิ , ความลาํ เอียง มี ๔ คือ กนั มที ้งั หมด ๖ อยาง คือ วติ ก ความ ๑.ฉนั ทาคติ ลาํ เอยี งเพราะรกั ๒.โทสาคติ ตรึก วจิ าร ความตรอง ปต ิ ความอม่ิ ใจ ลาํ เอยี งเพราะชงั ๓. โมหาคติ ลาํ เอยี ง สขุ ความสุข อเุ บกขา ความมีจิตเรียบ เพราะเขลา ๔.ภยาคติ ลาํ เอยี งเพราะกลวั ; สมดุลเปน กลาง และ เอกคั คตา ความมี ดู คิหิวินยั อารมณห นึง่ เดยี ว; ดู ฌาน
องคมรรค ๔๖๙ อเจลก องคมรรค (บาลี วา มคฺคงคฺ ) องค ประพฤตดิ ี เพื่อนศิษยดว ยกันรษิ ยา ยุ ประกอบของมรรค, องคธรรม ๘ อยาง อาจารยใหก ําจดั เสีย อาจารยลวงอบุ าย มีสัมมาทิฏฐิเปนตน ท่ีประกอบกันเขา ใหไปฆาคนครบหน่ึงพันแลวจะมอบวิชา เปนมรรค หรอื ทเ่ี รียกชอ่ื เตม็ วา อริย- อัฏฐังคกิ มรรค; ดู มรรค 1. วิเศษอยางหนงึ่ ให จงึ กลายไปเปนมหา องคแหง ธรรมกถึก ๕ คือ ๑. แสดง โจรผโู หดรายทารุณ ตัดนวิ้ มอื คนทีต่ น ธรรมไปตามลําดับไมตัดลัดใหสับสน ฆาตายแลว รอ ยเปน พวงมาลยั จงึ ไดช อ่ื วา องคลุ มิ าล (แปลวา “มีนิว้ เปนพวง หรือขาดความ ๒. ชแ้ี จงยกเหตผุ ลมา มาลัย”) ภายหลังพระพุทธเจาเสด็จไป แสดงใหผูฟงเขาใจ ๓. สอนเขาดวย โปรดกลับใจได ขอบวช ตอมาก็ได เมตตา ตง้ั จติ ปรารถนาใหเ ปนประโยชน สาํ เร็จพระอรหตั ทา นเปน ตน แหงพทุ ธ- แกผูฟง ๔. ไมแ สดงธรรมเพราะเหน็ แก บญั ญัติไมใหบ วชโจรทีข่ นึ้ ช่อื โดง ดงั ลาภ ๕. ไมแ สดงธรรมกระทบตนและผู อจติ ตกะ ไมมีเจตนา เปน ชือ่ ของอาบตั ิ อนื่ คือ ไมย กตน ไมเ สียดสขี ม ขผี่ ูอนื่ พวกหน่ึง ท่ีเกิดขนึ้ โดยสมฏุ ฐานทแ่ี มไ ม องคแหง ภิกษใุ หม ๕ คือ ๑. ปาฏิโมกข- มีเจตนา คือ ถึงแมไมจงใจทําก็ตอง สังวร สํารวมในพระปาฏิโมกข ๒. อาบตั ิ เชน ฉันอาหารในเวลาวกิ าล ด่ืม อนิ ทรียสงั วร สาํ รวมอินทรยี ท้ัง ๖ ๓. นา้ํ เมา เปนตน ภสั สปรยิ ันตะ พดู คยุ มขี อบเขต ไมเ อกิ อจิรวดี แมนา้ํ ใหญสายสาํ คัญลําดบั ท่ี ๓ เกริกเฮฮา ๔. กายวูปกาสะ อยูใน ในมหานที ๕ ของชมพทู วีป ไหลผาน เสนาสนะอันสงัด ๕. สมั มทัสสนะ ตงั้ เมอื งสําคญั คือ สาวัตถี เมอื งหลวงของ ตนไวใ นความเห็นชอบ แควน โกศล, เมื่อพระเจาวิฑูฑภะยกทัพ องคุลิมาล พระมหาสาวกองคหนึ่งของ ไปกําจัดเจาศากยะเสร็จแลวกลับมาพัก พระพุทธเจา เคยเปนมหาโจรโดงดัง ต้ังคายคางแรมอยูท่ีริมฝงแมน้ําน้ี ถงึ เปนบุตรของภัคควพราหมณ ผูเปน ราตรี นา้ํ ไดข น้ึ ทว มพดั พาพระเจา วฑิ ฑู ภะ ปุโรหิตของพระเจาโกศล มารดาชือ่ นาง พรอมทั้งกองทัพไปถึงความพินาศแทบ มันตานีพราหมณี เดิมชื่ออหิงสกะ หมดสนิ้ , ปจจบุ ัน อจิรวดเี ปน แมน าํ้ ที่ไม (แปลวา “ผไู มเ บยี ดเบยี น”) ไปศกึ ษา สําคญั อะไรนัก มชี ่ือในภาษาอังกฤษวา ศลิ ปศาสตรใ นสาํ นกั อาจารยท ศิ าปาโมกข Rapti; ดู มหานที ๕ เมืองตักสิลา มีความรูและความ อเจลก ชเี ปลอื ย, นกั บวชไมนงุ ผา
อเจลกวรรค ๔๗๐ อดิเรก อเจลกวรรค ตอนที่วา ดวยเรือ่ งเกี่ยวกบั “เปนศัตรูตั้งแตยังไมเกิด” ในท่ีสุดเจา ชีเปลอื ย เปนตน , เปน ชอื่ หมวดอาบตั ิ ชายอชาตศัตรูก็คบคิดกับพระเทวทัตฆา ปาจิตตยี วรรคที่ ๕ พระราชบิดาตามท่ีโหรทํานายไวและได อชฏากาศ ดู อัชฏากาศ ขึ้นครองราชสมบัตแิ ควนมคธ ณ กรงุ อชปาลนิโครธ ตนไทรเปนที่พักอาศัย ราชคฤห แตท รงสาํ นึกและกลับพระทัย ของคนเลี้ยงแพะ, ชือ่ ตนไมท พ่ี ระพุทธ- ได หนั มาทรงอุปถัมภบ ํารงุ พระศาสนา เจาประทับนงั่ เสวยวมิ ตุ ตสิ ุขเปน เวลา ๗ และไดเปนพุทธศาสนูปถัมภก ในการ วนั อยทู ศิ ตะวนั ออกของตน ศรมี หาโพธ;์ิ สงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ (คาํ อชาตศตั รู บาง ดู วมิ ุตติสุข ทานแปลใหมว า “มไิ ดเกดิ มาเปนศัตรู”) อชาตปฐพี ปฐพไี มแท คือดินท่ีเปนหิน อชิตมาณพ หวั หนา ศษิ ย ๑๖ คนของ เปน กรวด เปน กระเบอื้ ง เปน แร เปน พราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถามปญหากะ ทรายลว น หรอื มดี นิ รว นดนิ เหนยี วนอ ย พระศาสดา ทปี่ าสาณเจดีย เปน ของอนื่ มากกด็ ี ดนิ ทไ่ี ฟเผาแลว กด็ ี อชนิ ปเวณิ เครอ่ื งลาดทท่ี าํ ดว ยหนงั สตั ว กองดนิ รว น หรอื กองดนิ เหนยี วทฝ่ี นตก ชอื่ อชนิ ะ มขี นออ นนมุ จดั เปน อจุ จาสยนะ รดหยอ นกวา ๔ เดอื นกด็ ี มหาสยนะอยางหนึ่ง อชาตศตั รู โอรสของพระเจา พมิ พิสารกบั อญาณตา อาการที่จะตองอาบตั ิดวยไมรู พระนางโกศลเทวี กษัตริยแควนมคธ อณุ, อณู สิ่งเลก็ ๆ, ละเอยี ด ขณะพระนางโกศลเทวที รงครรภ ไดแ พ อดิเทพ, อติเทพ เทพผูยิ่งกวาเทพทั้ง ทอ งอยากเสวยโลหติ ของพระเจา พมิ พสิ าร หลาย, เทพเหนือเทพ หมายถึงพระ พระเจาพิมพิสารทรงทราบจึงเอาพระ อรหนั ต เฉพาะอยางย่ิง พระพทุ ธเจา , ขรรคแทงพระชานุ (เขา) รองพระโลหิต บางแหง หมายถงึ จอมเทพ คือทาวสักกะ ใหพระนางเสวย โหรทํานายวา พระ (พระอนิ ทร) โอรสที่อยูในครรภเกิดมาจะทําปตุฆาต อดเิ รก 1. เกนิ กวา กาํ หนด, ย่งิ กวาปกต,ิ พระนางโกศลเทวีพยายามทําลายดวย สวนเกิน, เหลือเฟอ, สวนเพิ่มเติม, การใหแทงเสีย แตไมส าํ เรจ็ ในทส่ี ุดคิด สว นเพ่มิ พิเศษ 2. ถวายอติเรก หรอื จะรีด แตพระเจาพิมพิสารทรงหามไว ถวายอดิเรก คือ พระสงฆถวายพระพร เมื่อครบกาํ หนดประสูตเิ ปน กมุ าร จงึ ตั้ง ท่ีเปนสวนเพ่ิมพิเศษ แดพระบาท พระนามโอรสวา อชาตศัตรู แปลวา สมเด็จพระเจาอยูหัว และหรือสมเด็จ
อดเิ รก ๔๗๑ อดเิ รก พระบรมราชนิ ี ทายพระราชพธิ บี ําเพ็ญ องค ผทู รงพระคณุ อันประเสริฐ. พระราชกุศล ในระหวางอนุโมทนา ถา ขอถวายพระพร กลาวในพระราชฐาน ตองตอทายดวย แบบที่ ๒ สาํ หรับ ๒ พระองค - คําถวายอดิเรก ถวายพรลา, เรียกอยา งนเ้ี พราะข้ึนตน วา “อติเรกวสฺสสตํ ชีวตุฯ” อตเิ รกวสสฺ สตํ ชีวต.ุ อตเิ รกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ คาํ ถวายอดิเรก และคําถวายพระพร อติเรกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ ทีฆายโุ ก โหตุ อโรโค โหต.ุ ลา ทีใ่ ชเปน แบบในบัดน้ี ดังนี้ ทฆี ายุโก โหตุ อโรโค โหต.ุ สุขิโต โหตุ ปรมนิ ฺทมหาราชา สราชนิ ี. แบบท่ี ๑ เฉพาะพระบาทสมเดจ็ พระเจา สทิ ฺธกิ จิ ฺจํ สิทฺธกิ มฺมํ สิทธฺ ิลาโภ ชโย นิจจฺ ํ. ปรมนิ ทฺ มหาราชวรสสฺ ราชนิ ยิ าสหภวตุสพพฺ ทา. อยูห วั พระองคเ ดยี ว - คําถวายอดิเรก ขอถวายพระพร อติเรกวสฺสสตํ ชีวต.ุ - คําถวายพระพรลา อตเิ รกวสฺสสตํ ชีวตุ. ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ อติเรกวสสฺ สตํ ชีวตุ. ทีฆายโุ ก โหตุ อโรโค โหตุ. สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ. สขุ ิโต โหตุ ปรมนิ ทฺ มหาราชา. ประการ จงมีแดสมเด็จบรมบพติ รพระ สิทฺธิกจิ ฺจํ สทิ ฺธิกมฺมํ สทิ ฺธิลาโภ ชโย นิจฺจ.ํ ปรมนิ ทฺ มหาราชวรสสฺ ภวตุ สพพฺ ทา. ราชสมภารเจาทัง้ ๒ พระองค ผูทรง ขอถวายพระพร พระคุณอนั ประเสริฐ เวลานีส้ มควรแลว - คําถวายพระพรลา อาตมภาพท้ังปวง ขอถวายพระพรลา ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ แดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจา สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก ทั้ง ๒ พระองค ผูทรงพระคุณอัน ประการ จงมีแดสมเด็จบรมบพิตรพระ ประเสริฐ. ราชสมภารพระองค สมเดจ็ พระปรมนิ ทร ขอถวายพระพร ธรรมกิ มหาราชาธริ าชเจา ผทู รงพระคณุ แบบที่ ๓ เฉพาะสมเด็จพระบรมราชนิ ี อันประเสริฐ เวลานส้ี มควรแลว อาตม- - คําถวายอดิเรก ภาพท้ังปวง ขอถวายพระพรลา แด อติเรกวสสฺ สตํ ชีวต.ุ อติเรกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร พระ
อดเิ รกจีวร ๔๗๒ อตมั มยตา อตเิ รกวสฺสสตํ ชีวต.ุ คณุ ประดับพระปญญาบารมี ถา รับพระ ทีฆายกุ า โหตุ อโรคา โหตุ. ราชทานถวายวิสัชนาไป มิไดตองตาม ทฆี ายกุ า โหตุ อโรคา โหต.ุ โวหารอรรถาธิบาย ในพระธรรมเทศนา สขุ ิตา โหตุ สริ ิกิตตฺ ิปรมราชิน.ี ณ บทใดบทหน่ึงกด็ ี ขอเดชะ๒ พระ สทิ ฺธกิ จิ ฺจํ สทิ ธฺ ิกมมฺ ํ สิทธฺ ิลาโภ ชโย นิจจฺ ํ. เมตตาคณุ พระกรณุ าคุณ พระขันติคุณ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานอภัย สริ กิ ติ ฺตปิ รมราชนิ ยิ าภวตุ สพพฺ ทา. แกอ าตมะ ผูม สี ตปิ ญ ญานอ ย. ขอถวายพระพร ขอถวายพระพร - คําถวายพระพรลา (๑ ถาเปนพระองคอ่ืน พึงเปลี่ยนไปตาม ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ สวัสด์ิพิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก กรณี เชน สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถวา ประการ จงมแี ดสมเดจ็ บรมบพติ รพระ “จงมีแด สมเด็จบรมบพิตรพระราช ราชสมภารพระองค สมเด็จพระนางเจา สมภารพระองค สมเดจ็ พระนางเจา สริ กิ ติ ์ิ สิรกิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ ผทู รงพระ พระบรมราชินีนาถ”; ๒ ถามิใชพระบาท คุณอันประเสริฐ เวลาน้ีสมควรแลว สมเดจ็ พระเจาอยูหัว หรือมิไดประทับ อาตมภาพทั้งปวง ขอถวายพระพรลา อยูในท่ีเฉพาะหนา ใหเวนคําวา “ขอ แดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร เดชะ”) พระองค ผทู รงพระคณุ อันประเสรฐิ . อดิเรกจวี ร ดู อตเิ รกจวี ร ขอถวายพระพร อดีต ลว งแลว นอกจากน้ี เห็นควรนําแบบคาํ ถวาย อดีตกาล เวลาทีล่ วงแลว พระพรเทศนา มาแสดงไวด ว ย ดังนี้ อตัมมยตา “ภาวะท่ีไมเนื่องดวยสง่ิ นัน้ ”, คาํ ถวายพระพรเทศนา “ความไมเกาะเกี่ยวกับมัน”, ความเปน ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ อิสระ ไมติดไมขอ งไมค างใจกบั สง่ิ ใดๆ สวัสด์ิพิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก ไมมีอะไรยึดถือผูกพันที่จะไดจะมีจะ ประการ จงมีแด สมเด็จบรมบพิตรพระ เปนอยางหนึ่งอยางใด ไดแกความ ราชสมภารพระองค สมเดจ็ พระปรมนิ ทร ปลอดพนปราศจากตัณหา (รวมทั้ง ธรรมกิ มหาราชาธริ าชเจา ๑ ผทู รงพระคุณ มานะและทิฏฐิท่ีเนื่องกันอยู), ภาวะไร อันประเสริฐ บัดน้ีจักรับพระราชทาน ตณั หา; อตัมมยตา (รวมท้งั “อตมั มโย” ถวายวิสัชนาใน . . . ฉลองพระเดชพระ หรืออตัมมัย ทเ่ี ปน คณุ ศพั ท) พระพทุ ธ
อตถิ ิพลี ๔๗๓ อติถิพลี เจา ตรสั แสดงไวใ นพระสตู ร ๔ สตู ร และ สตั บุรษุ “กระทาํ ปฏิปทาไวภ ายใน” (ใจ มาในคาํ อธบิ ายของพระสารบี ตุ รในคมั ภรี อยูกับการปฏิบัติท่ีถูกตองเปนหลัก มหานทิ เทสอีก ๑ แหง พระพทุ ธพจน หรือเอาการปฏิบัติที่ถูกตองมาต้ังเปน และคาํ อธิบายดังกลาวจะชวยใหผูศึกษา หลักไวในใจ) จึงไมเอาคุณสมบัติใดๆ เขาใจความประณีตแหงธรรมที่ปญญา มาเปนเหตุใหยกตน-ขมผูอื่น สวนใน อันรูจาํ แนกแยกแยะจะมองเหน็ ความย่ิง ความสําเร็จข้ันฌานสมาบัติ สัตบุรุษ ความหยอ น และความเหมาะควรพอดี “กระทาํ อตัมมยตาไวภ ายใน” (ใจอยกู บั ถูกผิดข้ันตอนหรือไม เปนตน ในการ อตมั มยตาทตี่ ระหนกั รอู ยู) จงึ ไมถ อื การ ปฏิบัติ โดยเฉพาะการปฏิบัติตอการ ไดฌานสมาบัติมาเปนเหตุยกตน-ขมผู ปฏบิ ตั ขิ องตน เชน ทา นกลาววา (ข.ุ ม.๒๙/ อ่นื (เหนอื ขนั้ ฌานสมาบัติข้นึ ไป เปน ข้นั ๓๓๘/๒๒๘) สาํ หรับอกุศลธรรม เราควร ถึงความสิ้นอาสวะ ซง่ึ เปน สตั บรุ ุษอยาง สลดั ละ แตสาํ หรับกุศลธรรมทั้งสามภมู ิ เดียว ไมมีอสัตบุรุษ จึงไมมีความ เราควรมีอตัมมยตา (ความไมติดยึด), สําคัญม่ันหมายอะไรที่จะเปนเหตุใหยก ในสัปปุริสสูตร (ม.อุ.๑๔/๑๙๑/๑๔๑) พระ ตนขม ใครอีกตอ ไป), ใน อตัมมยสูตร พุทธเจาตรัสแสดงสัปปุริสธรรม และ (อง.ฺ ฉกกฺ .๒๒/๓๗๕/๔๙๓) ตรสั วา อานสิ งส อสัปปุริสธรรม ใหเห็นความแตกตาง อยา งแรก (ใน ๖ อยา ง) ของการตงั้ ระหวา งอสตั บรุ ุษ กับสตั บรุ ุษวา อสตั - อนัตตสัญญาอยางไมจาํ เพาะในธรรมทง้ั บรุ ุษถอื เอาคุณสมบัติ การปฏิบัติ หรอื ปวง คอื จะเปนผูอตัมมยั ในท้งั โลก, ใน ความกาวหนาความสําเร็จในการปฏิบัติ วิสทุ ธมิ คั ค กลา วถึงอตมั มยตา ทตี่ รสั ของตน เชน ความมชี าตติ ระกูลสูง ลาภ ในสฬายตนวิภังคสตู ร วาเปน วุฏฐาน- ยศ ความเปน พหสู ตู ความเปน ธรรมกถกึ คามินีวปิ ส สนา (ม.อ.ุ ๑๔/๖๓๒/๔๐๗; วิสทุ ฺธิ. การถือธุดงควัตรมีการอยูปาอยูโคนไม ๓/๓๑๘) เปน ตน จนถงึ การไดฌ านสมาบตั ิ มา อติถิพลี การจัดสรรสละรายไดหรือ เปนเหตุยกตน-ขมผูอื่น สวนสัตบุรุษ ทรัพยสวนหนึ่งเปนคาใชจายสําหรับเอื้อ จะมีดีหรือกาวไปไดสูงเทาใด ก็ไมถือ เฟอเก้ือกูลกันในดานการตอนรับแขก, เปน เหตยุ กตน-ขมผูอ่ืนเชน นนั้ ในเร่ือง การใชรายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือ นี้ มขี อ พงึ สังเกตที่สําคัญคอื ในระดบั แสดงน้ําใจเออ้ื เฟอ ในการตอ นรบั ผไู ปมา แหงคุณสมบัติและการถือปฏิบัติท่ัวไป หาสู (ขอ ๒ในพลี๕แหง โภคอาทยิ ะ ๕)
อติเทพ ๔๗๔ อทิสสมานกาย อตเิ ทพ ดู อดเิ ทพ อตีตังสญาณ ญาณหย่ังรูสวนอดีต, อติมานะ ดูหมิ่นทาน, ความถือตัววา ปรีชากําหนดรูเหตุการณท่ีลวงไปแลว เหนือกวายิ่งกวาเขา (ขอ ๑๔ ใน อันเปนเหตุใหไดรับผลในปจจุบัน (ขอ อปุ กเิ ลส ๑๖); ดู มานะ ๑ ในญาณ ๓) อติเรก ดู อดเิ รก อเตกิจฉา แกไขไมได, เยียวยาไมได อตเิ รกจีวร จีวรเหลือเฟอ , ผา สว นเกิน หมายถึงอาบัติมีโทษหนักถึงที่สุดตอง หมายถึงผาท่ีเขาถวายภิกษุเพิ่มเขามา แลว ขาดจากความเปน ภิกษุ คอื อาบัติ นอกจากผาท่ีอธิษฐานเปน ไตรจีวร และ ปาราชิก; คูกับ สเตกิจฉา มิไดวิกัปไว; ตรงขามกับ จีวรอธิษฐาน; อถัพพนเพท ชื่อคัมภีรพระเวทลําดับที่ อดเิ รกจวี ร กเ็ รยี ก; ดู วิกัป, อธิษฐาน ๔ วา ดว ยคาถาอาคมทางไสยศาสตร การ อติเรกบาตร บาตรของภิกษุที่เขาถวาย ปลุกเสกตางๆ เปนสวนเพิ่มเขามาตอ เพ่ิมเขามา นอกจากบาตรอธิษฐาน, จาก ไตรเพท; อาถัพพนเวท, อถรรพเวท, พระพุทธเจาอนุญาตใหภิกษุมีบาตรไว อาถรรพณเวท ก็เขียน ใชใบเดียว ซ่ึงเรียกวาบาตรอธิษฐาน อทวารรูป ดูท่ี รปู ๒๘ หากมีหลายใบ ตง้ั แตใบที่ ๒ ขน้ึ ไป อทินนาทาน ถือเอาส่ิงของท่ีเจาของไม และมิไดว ิกัปไว เรยี กวา อตเิ รกบาตร; ดู ไดใหดวยอาการแหงขโมย, ขโมยสิ่ง วกิ ปั , อธิษฐาน ของ, ลกั ทรพั ย (ขอ ๒ ในกรรมกิเลส อตเิ รกปก ษ เกินเวลาปกษห น่งึ คอื เกนิ ๔ ในอกศุ ลกรรมบถ ๑๐) อทินนาทานา เวรมณี เวนจากการถอื ๑๕ วัน แตย ังไมถึงเดือน อติเรกมาส เกินเวลาเดอื นหนงึ่ เอาส่งิ ของทีเ่ จาของไมไดให, เวน การลกั อติเรกลาภ ลาภเหลือเฟอ, ลาภสวน ขโมย (ขอ ๒ ในศลี ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ พเิ ศษ, ลาภเกนิ ปรกติ กุศลกรรมบถ ๑๐) อติเรกวีสติวรรค สงฆพวกท่ีกําหนด อทิสสมานกาย กายท่ีมองไมเห็น,ผูมี จํานวนเกิน ๒๐ รูป กายไมป รากฏ, ไมปรากฏราง, มองไม อตีตภวังค ดู วถิ จี ติ เหน็ ตวั กลาวคอื เปนวสิ ยั ของผมู ีฤทธ์ิ อตีตานาคตังสญาณ ญาณเปนเครื่องรู บางประเภท (วิกุพพนฤทธิ์) อาจทําการ ถงึ เร่อื งทล่ี ว งมาแลว และเร่ืองทยี่ ังไมม า บางอยางโดยไมใหผูอื่นมองเห็นราง ถึง, ญาณหยงั่ รูท ้ังอดตี และอนาคต กาย; อีกอยางหนึง่ เปน ความเช่อื ของ
อทุกขมสขุ ๔๗๕ อธกิ มาส พวกพราหมณว า บรรพบรุ ุษทตี่ ายไป มี จึงส้นั กวา ปส ุรยิ คติ ๑๑ วนั , เมอ่ื เวลา ถน่ิ เปน ทอี่ ยเู รยี กวา ปต ฤโลก ยงั ทรงอยู ผา นไปนานๆ วันเดือนปแ บบจนั ทรคติ ดวยเปน อทสิ สมานกาย ความเช่ือนี้คน ก็จะหางกับวันเดือนปแบบสุริยคติมาก ขึ้นไปเร่ือยๆ และจะไมตรงกับฤดูกาล ไทยกร็ ับมา แตใ หบรรพบรุ ษุ เหลา น้ันคง จนกระท่ังเขาพรรษาก็จะไมตรงฤดูฝน อยทู บ่ี า นเรอื นเดมิ อยา งทเ่ี รยี กวา ผเี รอื น จึงตองมีวิธีที่จะปรับปจันทรคติใหตรง อทุกขมสุข (ความรูสึก)ไมทุกขไมสุข, หรอื ใหใ กลเ คยี งกบั ปสุรยิ คติ ความรสู กึ เฉยๆ (ขอ ๓ ในเวทนา ๓) บางทเี รยี ก อเุ บกขา (คอื อเุ บกขาเวทนา) ดวยเหตุที่ปจันทรคติสั้นกวาปสุริย- อเทสนาคามนิ ี ดู เทสนาคามินี คติ ๑๑ วนั เมื่อผา นไป ๓ ป ก็จะส้ัน อโทสะ ความไมคดิ ประทษุ รา ย, ธรรมที่ กวา รวมได ๓๓ วัน จงึ วางเปน หลักมา เปนปฏปิ ก ษ คอื ตรงขามกบั โทสะ ได แตโ บราณวา ทุก ๓ ปจันทรคติ ใหเ พ่ิม แก เมตตา (ขอ ๒ ในกุศลมูล ๓) เดอื นแปดข้ึนมาอกี เดอื นหนึ่ง (คอื เพม่ิ อธรรม ไมใชธ รรม, ไมเ ปน ธรรม, ผดิ ขนึ้ ๓๐ วนั ) จงึ เปนเดอื นแปดสองหน ธรรม, ชว่ั รา ย และเรียกเดือนแปดที่เพิ่มข้ึนมานั้นวา อธรรมวาที ผูกลาวสง่ิ ทม่ี ิใชธ รรม, ผูไม “อธกิ มาส”, สวนทย่ี งั ขาดอีก ๓ วัน ให พูดตามหลกั ไมพ ูดตามธรรม, ผูพดู ไม กระจายไปเติมในปตางๆ โดยเพม่ิ เดือน ๗ ทีเ่ ปนเดอื นขาดมี ๒๙ วัน ใหปน น้ั ๆ เปนธรรม, ผูไมเ ปน ธรรมวาที เปนเดือนเตม็ มี ๓๐ วนั (มแี รม ๑๕ อธกิ มาส “เดอื นท่เี กนิ ”, เดอื นท่ีเพมิ่ ขึน้ ค่ํา เดอื น ๗) และเรียกวนั ทเ่ี พมิ่ ขน้ึ ทา ย ในปจ นั ทรคติ (คือในปนน้ั มเี ดือน ๘ เดอื น ๗ นั้นวา “อธิกวาร” สองหน รวมเปน ๑๓ เดือน) ตามวิธีคาํ นวณทก่ี ลาวมานน้ั สามปมี อธกิ มาสคร้ังหนึง่ กค็ ือ ๑๘ ปม ีอธกิ มาส การที่ตองมีอธิกมาสนั้น เนื่องจาก ๖ คร้งั (และเหมอื นจะตองมีอธกิ วารทุก ป) แตเ ม่ือคํานวณละเอียด ปรากฏวายงั เดอื นจันทรคตสิ ัน้ กวา เดอื นสุรยิ คติ คือ ไมตรงแท เชนวา ปส รุ ยิ คตมิ ิใชมี ๓๖๕ วันถวน แตม ี ๓๖๕.๒๔๒๑๙๙ วัน (ดัง เดือนจันทรคติมี ๓๐ วนั (เดือนคูหรือ ที่ทกุ ๔ ป ตอ งเพ่ิมปส รุ ิยคตเิ ปน ๓๖๖ วัน โดยใหเดอื นกุมภาพันธเ พมิ่ จาก ๒๘ เดอื นเตม็ ) บา ง มี ๒๙ วัน (เดือนคห่ี รือ เดือนขาด) บา ง รวมปห นึ่งมี ๓๕๔ วนั , สวนเดือนสรุ ยิ คติมี ๓๐ วันบา ง มี ๓๑ วนั บา ง (เวน เดอื นกมุ ภาพนั ธท ม่ี ี ๒๘ วนั ) รวมปห นง่ึ มี ๓๖๕ วนั , ดงั นนั้ ปจ นั ทรคติ
อธกิ รณ ๔๗๖ อธิกสุรทิน“ เปน ๒๙ วัน), พรอ มกันนั้น ปจ นั ทรคติ หนา ๒. สติวนิ ัย วธิ รี ะงบั โดยถอื สตเิ ปน ก็มิใชม ี ๓๕๔ วันถวน แตมี ๓๕๔.๓๖ วนั หลกั ๓. อมูฬหวินยั วิธรี ะงับสําหรบั ผู ดังน้ีเปนตน, เมื่อจะใหปฏิทินแมนยํา หายจากเปน บา ๔. ปฏิญญาตกรณะ การ มากข้ึน จึงไดวางหลักที่ซบั ซอนข้ึนกวา ทาํ ตามทรี่ บั ๕. ตัสสปาปย สกิ า การ เดมิ เปนวา ในรอบ ๑๙ ป ใหม ีอธกิ มาส ตัดสินลงโทษแกผูผิด (ที่ไมรับ) ๖. ๗ คร้ัง (สวนอธิกวารก็หางออกไป เยภยุ ยสิกา การตดั สนิ ตามคําของคนขา ง ประมาณ ๕-๗ ป หรอื บางทีนานกวา นน้ั มาก ๗. ติณวัตถารกวินัย วธิ ีดจุ กลบไว จึงมคี รั้งหนึ่ง และถือเปน หลกั วา ไมให ดวยหญา (ประนปี ระนอม) เพ่ิมอธิกวารในปอธกิ มาส คอื ปอ ธกิ มาส อธกิ วาร “วันอนั เกนิ ”, วันที่เพิ่มขึ้นในป ตอ งเปน ปกตวิ าร) จนั ทรคติ (คือในปน้ัน เตมิ ใหเดือนเจ็ด อน่ึง เมื่อจะเทียบกับปที่มีอธิกมาส เปนเดือนเต็มมี ๓๐ วัน) เพ่ือเสริม จึงเรียกปปกติท่ีไมมีอธิกมาส วาเปน อธิกมาส ในการปรับใหป ฏทิ นิ จนั ทรคติ ปกตมิ าส มีฤดูกาลตรงหรือใกลเคียงกับปฏิทิน อธกิ รณ เร่ืองที่เกดิ ขน้ึ แลวจะตอ งจดั ตอ ง สรุ ยิ คติ แตถ อื เปน หลกั วา มใิ หม อี ธกิ วาร ทาํ , เรอ่ื งทส่ี งฆต อ งดาํ เนนิ การ มี ๔ อยา ง ในปเ ดยี วกนั กบั อธกิ มาส, เมื่อเทียบกับ คอื ๑. วิวาทาธิกรณ การเถียงกนั เก่ยี ว ปท ีม่ อี ธกิ วาร ใหเ รียกปปกตทิ ไ่ี มมีอธกิ - กับพระธรรมวินัย ๒. อนุวาทาธิกรณ วาร วาเปน ปกติวาร; ดู อธกิ มาส การโจทหรือกลาวหากันดวยอาบัติ ๓. อธกิ สรุ ทนิ “วนั สุรยิ คติอันเกนิ ”, วันท่ี อาปต ตาธกิ รณ การตอ งอาบัติ การปรบั เพม่ิ ขึน้ ในปส รุ ยิ คติ คือ ในปน้นั เดอื น อาบตั ิ และการแกไขตัวใหพ น จากอาบตั ิ กุมภาพันธมีจํานวนวันเพ่ิมข้ึนวันหน่ึง ๔. กจิ จาธิกรณ กิจธุระตา งๆ ทส่ี งฆจ ะ จาก ๒๘ เปน ๒๙ วัน, ท้งั นี้มีหลกั วา ตอ งทาํ เชน ใหอุปสมบท ใหผ า กฐนิ , ใน ตามปกติ ๔ ป มอี ธกิ สรุ ทนิ ครัง้ หนึ่ง ภาษาไทยอธิกรณมีความหมายเลือน โดยมวี ธิ ีคํานวณ คอื เอาจาํ นวน ๕๔๓ ลางลงและแคบเขา กลายเปน คดีความ หกั ออกจากพุทธศักราช ใหเ หลอื ตัวเลข โทษ เปน ตน เทากับ ค.ศ. แลวหารดว ย ๔ ถา ปใด อธิกรณสมถะ ธรรมเคร่ืองระงบั อธกิ รณ, หารลงตวั ปน นั้ มอี ธกิ สุรทิน (เชน พ.ศ. วธิ ดี าํ เนนิ การเพอ่ื ระงบั อธกิ รณม ี ๗ วิธี ๒๕๔๗–๕๔๓ = ๒๐๐๔ ÷ ๔ = ๕๐๑ คอื ๑. สัมมุขาวินยั วธิ รี ะงบั ในทพี่ รอม ลงตัว จงึ เปน ปท ี่มอี ธิกสุรทิน) แตท ง้ั น้ี
อธิการ ๔๗๗ อธิคมธรรม ยกเวนตัวเลขที่ครบเปนหลักรอย (ลง คาํ หรอื ขอ ความทจี่ ะตอ งนาํ ไปเตมิ หรอื ใส ทาย ๐๐) ตอ งหารดวย ๔๐๐ ลงตัว จึง เพ่ิมในที่น้ันๆ เพื่อใหเขาใจความหมาย จะมอี ธิกสรุ ทนิ (เชน พ.ศ.๒๔๔๓–๕๔๓ หรือไดกฎเกณฑท่ีจะปฏิบัติใหถูกตอง = ๑๙๐๐ แมจ ะหารดวย ๔ ลงตวั แต ครบถว น 4. อาํ นาจ, ตาํ แหนง , หนา ท,ี่ หารดวย ๔๐๐ ไมได ก็ไมมอี ธกิ สุรทิน) กจิ การ, ภาระ อธิการ 1. “ตวั การ”, ตวั ทําการ, เจา การ, มีธรรมเนียมเรียกเจาอาวาสที่ไมเปน เจา กรณ,ี เจาของเร่ือง, เรอื่ งหรือกรณีที่ เปรียญและไมมีสมณศักดิ์อยางอื่นวา กําลงั พิจารณา, เรอื่ งที่เกย่ี วของ, เร่อื งที่ พระอธิการ และเรียกเจาคณะตําบล เปนขอสําคัญ หรือท่ีเปนขอพิจารณา, หรอื พระอุปชฌาย ทไ่ี มเ ปนเปรียญและ สวนหรือตอนที่วาดวยเร่ืองน้ันๆ เชน ไมมีสมณศักดิ์อยางอื่นวา เจาอธิการ, “ในอธกิ ารนี”้ หมายความวา ในเร่อื งน้ี ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความในวรรคสุด หรอื ในตอนน้ี 2. “การอนั ย่ิง” ๑) การทํา ทา ยของมาตรา ๑๒ แหงพระราชบัญญตั ิ ความดีที่ยิ่งใหญหรืออยางพิเศษ, บุญ ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ ร.ศ. ๑๒๑ หรือคุณความดีสําคัญท่ีไดบําเพ็ญมา, วา “อน่งึ เจาอาวาสทั้งปวงนั้น ถา ไมไ ด ความประพฤติปฏิบัติท่ีเคยประกอบไว อยูในสมณศักด์ิท่ีสูงกวา ก็ใหมีสมณ- หรือการอันไดบําเพ็ญมาแตกาลกอน ศักดิ์เปนอธิการ” ซ่ึงมีเชิงอรรถใต หรือท่ีไดส่ังสมตระเตรียมเปนทุนไว มาตรา อันเปนพระนิพนธของสมเด็จ เชน “พระเถระนนั้ เปนผมู อี ธกิ ารอันได พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณ- ทําไว ในสมถะและวิปส สนา” ๒) การ วโรรส กาํ กบั ไวดวยวา “(๑๕) เจา อาวาส อันสาํ คัญหรอื ทที่ าํ อยางจรงิ จงั อนั เปน เปนพระอธิการ รองแขวงท่ีเรียกอีก การแสดงความเคารพรักนับถือหรือ โวหารหนึ่งวาเจาคณะหมวด เปนเจา เกอ้ื กลู ตลอดจนโปรดปราน เชน การบชู า อธกิ าร ในบดั น้พี ระอปุ ชฌายะก็เปนเจา การชวยเหลือที่สําคัญ การทําความดี อธิการเหมอื นกนั ” ความชอบ การใหรางวลั 3. “การทาํ ให อธคิ ม การบรรลุ, การเขาถงึ , ปฏิเวธ, เกนิ ”, “การทาํ ใหเพม่ิ ข้นึ ”, การเติมคํา การลุผลปฏบิ ัติ เชน บรรลุมรรคผล หรือขอความที่ละไว หรือใสเพ่มิ เขา มา อธิคมธรรม ธรรมข้ันบรรลุผลแหงการ เพอ่ื ใหไดค วามหมายครบถวน, คาํ หรอื ปฏิบตั ิ, อุตตริมนุสสธรรม เชน ฌาน ขอความท่ีเติมหรือใสเพ่ิมเขามาเชนน้ัน, อภญิ ญา มรรค ผล; ดูอตุ ตรมิ นสุ สธรรม
อธิจิต,อธจิ ิตต ๔๗๘ อธศิ ลี สกิ ขา อธจิ ติ , อธจิ ติ ต จิตอนั ยิ่ง, เร่ืองของการ แหงไตรลักษณ; ดู สกิ ขา เจรญิ สมาธอิ ยา งสงู หมายถงึ ฌานสมาบตั ิ อธิปญญาสิกขา เร่ืองอธิปญญาอันจะ ทเี่ ปน บาทแหง วปิ ส สนา หรอื แมส มาธทิ ่ี ตองศกึ ษา, การศกึ ษาในอธปิ ญ ญา, ขอ เจริญดวยความรูเขาใจโดยมุงใหเปน ปฏิบัติสําหรับฝกอบรมพัฒนาปญญา ปจ จยั แหง การกา วไปในมรรค; ดูสกิ ขา อยางสูง เพื่อใหเกิดความรูแจง มองเห็น อธิจิตตสิกขา เรื่องอธิจิตตอันจะตอง ส่ิงทัง้ หลายตามเปนจรงิ อันจะทาํ ใหจติ ศึกษา, การศึกษาในอธิจติ ต, ขอปฏิบตั ิ ใจหลดุ พน เปน อสิ ระ ปราศจากกเิ ลสและ สําหรับฝกอบรมพัฒนาจิตใจอยางสูง ความทกุ ข (ขอ ๓ ในสกิ ขา ๓ หรือไตร- เพ่ือใหเกิดสมาธิ ความเขมแข็งม่ันคง สิกขา) เรยี กกนั งา ยๆวาปญ ญา; ดูสกิ ขา พรอมท้ังคุณธรรมและคุณสมบัติท่ี อธิมุตติ อัธยาศัย, ความโนมเอียง, เกือ้ กลู ทั้งหลาย เชน สติ ขนั ติ เมตตา ความคิดมุงไป, ความมุงหมาย กรณุ า สดชนื่ เบกิ บาน เปน สขุ ผองใส อธิโมกข 1. ความปลงใจ, ความตกลงใจ, อันจะทําใหจิตใจมีสภาพที่เหมาะแกการ ความปกใจในอารมณ (ขอ ๑๐ ใน ใชงาน เฉพาะอยา งย่งิ ใหเ ปนฐานแหง อัญญสมานาเจตสิก ๑๓) 2. ความนอม การเจรญิ ปญ ญา (ขอ ๒ ในสิกขา ๓ ใจเชื่อ, ความเชื่อสนิทแนว, ความ หรือไตรสิกขา) เรียกกันงายๆ วา ซาบซ้ึงศรัทธาหรือเลื่อมใสอยางแรงกลา สมาธิ; ดู สกิ ขา ซ่ึงทําใหจิตใจเจิดจาหมดความเศรา อธฏิ ฐาน ดู อธิษฐาน หมอง (ขอ ๖ ในวิปสสนปู กิเลส ๑๐) อธิบดี ใหญย ่งิ , ผูเปน ใหญ, หัวหนา อธิวาสนขันติ ความอดทนคอื ความอด อธิบาย ไขความ, ขยายความ, ช้ีแจง; กลัน้ อธศิ ีล ศีลอนั ยงิ่ หมายถึงปาฏิโมกขสงั วร- ความประสงค อธปิ เตยยะ, อธปิ ไตย ความเปน ใหญม ี ศลี ตลอดลงมาจนถงึ ศีล ๕ ศลี ๘ ศีล ๓ อยา ง คอื ๑. อัตตาธปิ ไตย ความมี ๑๐ ทร่ี กั ษาดว ยความเขา ใจ ใหเ ปน เครอ่ื ง ตนเปน ใหญ ๒. โลกาธปิ ไตย ความมี หนนุ นาํ ออกจากวฏั ฏะ หรอื เปน ปจ จยั ให โลกเปน ใหญ ๓. ธัมมาธิปไตย ความมี กา วไปในมรรค; ดู สกิ ขา อธิศลี สิกขา เร่ืองอธศิ ีลอันจะตอ งศกึ ษา, ธรรมเปน ใหญ อธิปญญา ปญญาอันย่ิง โดยเฉพาะ การศึกษาในอธิศีล, ขอปฏิบัติสําหรับ วิปสสนาปญญา ท่ีกําหนดรูความจริง ฝกอบรมพัฒนาศีลอยา งสูง ทจี่ ะใหต ้ัง
อธิษฐาน ๔๗๙ อธิษฐานธรรม อยูในวนิ ัย รูจกั ใชอ นิ ทรยี และมีพฤติ- ความตัง้ ใจมน่ั , การตดั สินใจเดด็ เด่ียว, กรรมทางกายวาจาดีงาม ในการสัมพันธ ความต้ังใจม่ันแนวท่ีจะทําการใหส ําเรจ็ ลุ ที่จะอยูรวมสังคมกับผูอ่ืนและอยูในส่ิง จุดหมาย, ความต้ังใจหนักแนนเด็ด แวดลอมตา งๆ ดวยดี ใหเ ปนประโยชน เดยี่ ววาจะทําการนั้นๆ ใหสาํ เร็จ และ เก้ือกูล ไมเ บยี ดเบยี น ไมท าํ ลาย และให ม่ันคงแนวแนในทางดําเนินและจุดมุง เปนพ้ืนฐานแหงการฝกอบรมพัฒนาจิต หมายของตน เปน บารมีอยางหนึ่ง เรยี ก ใจในอธจิ ติ ตสกิ ขา (ขอ ๑ ในสิกขา ๓ วา อธิษฐานบารมี หรอื อธฏิ ฐานบารมี หรือไตรสิกขา), เขียนอยางบาลีเปน (ขอ ๘ ในบารมี ๑๐) 3. ธรรมเปน ทม่ี น่ั , อธสิ ีลสกิ ขา และเรียกกันงา ยๆ วา ศีล; ดู สกิ ขา ในแบบเรียนธรรมของไทย เรียกวา อธษิ ฐาน 1. ในทางพระวินยั แปลวา อธิษฐานธรรม; ดู อธษิ ฐานธรรม 4. ใน ภาษาไทย ใชเปนคาํ กริยา และมักมี การต้งั เอาไว ตั้งใจกําหนดแนน อนลงไป ความหมายเพยี้ นไปวา ตง้ั ใจมงุ ขอใหไ ด เชน อธษิ ฐานพรรษา ต้งั เอาไวเ ปนของ ผลอยางใดอยางหน่ึง, ต้ังจิตปรารถนา เพ่อื การนัน้ ๆ หรอื ตงั้ ใจกําหนดลงไปวา เฉพาะอยางยิ่ง ต้ังจิตขอตอส่ิงที่ถือวา ใหเ ปน ของใชป ระจาํ ตวั ชนดิ นนั้ ๆ เชน ได ศักดิ์สิทธ์ิใหสาํ เร็จผลอยางใดอยา งหนง่ึ ; ผา มาผนื หนง่ึ ตง้ั ใจวา จะใชเ ปน อะไร คอื มีขอสังเกตวา ในความหมายเดิม จะเปน สังฆาฏิ อตุ ตราสงค อันตรวาสก อธิษฐานเปนการตัง้ ใจที่จะทํา (ใหสําเรจ็ ก็อธิษฐานเปน อยา งนั้นๆ เมื่ออธิษฐาน ดวยความพยายามของตน) แตความ แลว ของนั้นเรียกวาเปนของอธิษฐาน หมายในภาษาไทยกลายเปนอธิษฐาน เชน เปน สงั ฆาฏอิ ธิษฐาน จวี รอธษิ ฐาน โดยตงั้ ใจขอเพอื่ จะไดห รอื จะเอา เฉพาะ (นยิ มเรยี กกนั วา จวี รครอง) ตลอดจน อยางยิ่งดวยอํานาจดลบันดาลโดยตน บาตรอธษิ ฐาน สว นของชนดิ นน้ั ทไ่ี ด เองไมต อ งทํา (บาล:ี อธฏิ าน) เพม่ิ มาอกี หรอื เกนิ จากนนั้ ไปกเ็ ปน อตเิ รก อธษิ ฐานธรรม ธรรมทค่ี วรตงั้ ไวใ นใจ, เชน เปน อตเิ รกจวี ร, อตเิ รกบาตร, คาํ ธรรมเปนทีม่ ่ัน, หลกั ธรรมทใ่ี ชตัง้ ตวั ให อธิษฐาน เชน “อมิ ํ สงฺฆาฏึ อธิฏ าม”ิ มั่นหรือเปนที่ต้ังตัวใหมั่น เพื่อจะ (ถา อธิษฐานของอ่ืน กเ็ ปลี่ยนไปตามช่ือ สามารถยึดเอาหรือลุถึงผลสําเร็จท่ีเปน ของน้ัน เชน วา อตุ ฺตราสงคฺ ํ, อนฺตรวาสกํ, จดุ หมาย เฉพาะอยา งยง่ิ พระภิกษุใชต้ัง ปตตฺ ํ เปน ตน ); ดู วกิ ปั , ปจจทุ ธรณ 2. ตัวเพื่อจะบรรลอุ รหตั ตผล มี ๔ อยา ง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: