บุญกริ ิยาวัตถุ ๑๘๐ บพุ การ พระพทุ ธเจา ตรสั ประมวลหลกั การทาํ บุณฑริก บวั ขาว บญุ ทพี่ งึ ศกึ ษาไว เรยี กวา บญุ กริ ิยาวตั ถุ บุณม,ี บรู ณมี ดถิ ีท่ีพระจันทรเต็มดวง, ๓ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๓๘/๒๗๐) ซงึ่ พระอรรถกถา- วนั เพ็ญ, วนั ขน้ึ ๑๕ คาํ่ , วันกลางเดอื น; จารยไดแจกแจงใหเห็นตัวอยางในการ ปณุ มี หรอื ปรู ณมี กเ็ ขยี น (บาล:ี ปณุ ณฺ ม;ี ขยายความออกไปเปน บญุ กริ ยิ าวตั ถุ๑๐ สันสกฤต: ปูรณฺ ม)ี (เชน สงคฺ ณ.ี อ.๒๐๘); ตรงขา มกบั บาป, เทียบ บถุ ชุ น ดู ปุถชุ น กศุ ล, ดู บญุ กริ ยิ าวตั ถ,ุ อปุ ธิ บุทคล บคุ คล (เขยี นอยางรูปสันสกฤต) บุญกิริยาวตั ถุ สิง่ ที่เปนทต่ี ้งั แหงการทํา บปุ ผวิกัติ ดอกไมท ี่ทาํ ใหแ ปลก, ดอกไม บญุ , เรือ่ งทีจ่ ัดเปนการทาํ บุญ, ทางทํา ทที่ าํ ใหวจิ ิตร โดยประดษิ ฐเ ปนรปู ตา งๆ ความด,ี หมวด ๓ คือ ๑. ทานมยั ทาํ บพุ กรณ ธรุ ะอนั จะพงึ ทาํ ในเบอ้ื งตน , งาน บญุ ดว ยการให ๒. สลี มยั ทําบญุ ดวย ที่จะตองกระทําทีแรก, เรื่องท่ีควร การรักษาศีลและประพฤติดี ๓. ตระเตรยี มใหเ สรจ็ กอ น เชน บพุ กรณ ภาวนามัย ทาํ บุญดวยการเจริญภาวนา; ของการทําอุโบสถ ไดแก เมื่อถึงวัน หมวด ๑๐ คือ ๑. ทานมัย ๒. สลี มัย ๓. อโุ บสถ พระเถระลงอโุ บสถกอ น สง่ั ภกิ ษุ ภาวนามยั ๔.อปจายนมยั ดว ยการประพฤติ ใหป ด กวาดโรงอโุ บสถ ตามไฟ ตง้ั นา้ํ ฉนั ออนนอ ม ๕. เวยยาวัจจมยั ดว ยการ นาํ้ ใช ตงั้ หรอื ปลู าดอาสนะไว; บพุ กรณ ชวยขวนขวายรับใช ๖. ปตติทานมัย แหง การกรานกฐนิ คอื ซกั ผา ๑ กะผา ๑ ดวยการเฉลี่ยสวนความดีใหผูอ่ืน ๗. ตดั ผา ๑ เนาหรอื ดน ผา ทต่ี ดั แลว ๑ เยบ็ ปตตานุโมทนามัย ดวยความยินดี เปน จวี ร ๑ ยอ มจวี รทเ่ี ยบ็ แลว ๑ ทาํ ความดขี องผอู นื่ ๘. ธัมมสั สวนมยั ดว ย กปั ปะคอื พนิ ทุ ๑ ดงั นเ้ี ปน ตน การฟง ธรรม ๙. ธัมมเทสนามัย ดว ย บุพการ 1. “อุปการะกอ น”, การชวย การสัง่ สอนธรรม ๑๐. ทฏิ ุชุกมั ม ดว ย เหลือเกื้อกูลทร่ี ิเรมิ่ ทําข้นึ กอ นเอง โดยมิ การทาํ ความเหน็ ใหตรง ไดคํานึงถึงเหตุเกาเชนวาเขาเคยทาํ อะไร บุญเขต เนื้อนาบุญ; ดู สังฆคุณ บุญญาภิสงั ขาร ดู ปุญญาภสิ งั ขาร ใหเราไว และมไิ ดหวงั ขา งหนาวาเขาจะ บุญนิธิ ขมุ ทรพั ยคอื บญุ ใหอะไรตอบแทนเรา (ในคําวา บพุ การี) บุญราศี กองบุญ 2. ความเกื้อหนุนชวยเหลอื โดยถอื เปน บญุ ฤทธิ์ ความสาํ เรจ็ ดว ยบญุ , อาํ นาจบญุ สําคัญอันดับแรก, การอุปถัมภบํารุง เกื้อกูลนับถือรับใชที่ทําโดยตั้งใจให
บุพการี ๑๘๑ บุพพณั หสมยั ความสําคัญนําหนาหรอื กอนอ่ืน (เชนใน ลว งหนา วามรรคจะเกดิ ข้นึ , ธรรม ๗ ขอ ๕ แหง สมบัตขิ องอบุ าสก ๕) ประการ ซง่ึ แตละอยางเปนเครื่องหมาย บุพการี บุคคลผทู ําอปุ การะกอ น คือ ผูมี บงบอกลวงหนาวาอริยอัฏฐังคิกมรรค พระคุณ ไดแ ก มาดาบิดา ครูอาจารย จะเกิดขึ้นแกผูนั้น ดุจแสงอรุณเปน เปนตน (ขอ ๑ ในบคุ คลหาไดย าก ๒); บุพนมิ ิตของดวงอาทิตยท ี่จะอทุ ยั , แสง ดู บุพการ 1. บพุ กิจ กิจอันจะพงึ ทํากอ น, กิจเบอื้ งตน เงนิ แสงทองของชวี ติ ทด่ี งี าม, รงุ อรณุ ของ เชน บพุ กจิ ในการทาํ อโุ บสถ ไดแ ก กอ น การศกึ ษา ๗ อยา ง คอื ๑.กลั ยาณมติ ตตา ความมีกัลยาณมิตร ๒. สีลสัมปทา สวดปาฏิโมกขตองนําปาริสุทธิของภิกษุ ความถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. ฉนั ทสมั ปทา ความถึงพรอมดวยฉันทะ ๔. อัตต- อาพาธมาแจง ใหส งฆท ราบ นาํ ฉนั ทะของ สมั ปทา ความถงึ พรอ มดว ยตนทฝ่ี ก ไวด ี ๕. ทฏิ ฐสิ มั ปทา ความถงึ พรอ มดว ย ภกิ ษอุ าพาธมา บอกฤดู นบั ภกิ ษุ ให โอวาทนางภิกษุณี; บุพกิจแหงการ อปุ สมบท ไดแ ก การใหบ รรพชา ขอนสิ ยั ทิฏฐิ (มีหลักความคิดความเชื่อที่ถูก ถืออุปชฌาย จนถึงสมมติภิกษุผูสอบ ตอง) ๖. อปั ปมาทสัมปทา ความถงึ ถามอนั ตรายกิ ธรรมกะอปุ สมั ปทาเปกขะ พรอมดวยความไมประมาท ๗. โยนิโสมนสิการสัมปทา ความถึง ทา มกลางสงฆ ดงั นเ้ี ปน ตน บพุ จรยิ า ความประพฤติปฏิบัตติ นทีส่ บื พรอมดว ยโยนโิ สมนสิการ มาแตเดิม, การที่ไดเคยดําเนินชีวิต บุพประโยค อาการหรือการทําความ ประพฤติปฏิบัติหรือทําการอยางน้ันๆ พยายามเบ้อื งตน , การกระทําทแี รก มาในกาลกอน, บางแหง หมายถงึ การ บุพเปตพลี การบาํ เพญ็ บญุ อุทิศแกญ าติ ทรงบําเพ็ญประโยชนทําความดีในปาง ทลี่ วงลับไปกอ น, การทําบญุ อุทิศใหแก กอนของพระพุทธเจาเม่ือคร้ังยังเปน ผูตาย; เขียนเต็มเปน บุพพเปตพลี หรอื ปพุ พเปตพลี; ดู ปพุ พเปตพลี พระโพธสิ ตั วโ ดยเฉพาะ บุพนิมิต เคร่ืองหมายใหรูลวงหนา, สิ่งท่ี บุพพสิกขาวัณณนา หนังสืออธิบาย ปรากฏใหเห็นกอนเปนเคร่ืองหมายวา พระวนิ ยั พระอมราภิรกั ขติ (อมร เกิด) จะมีเรื่องดีหรือรายบางอยางเกิดขึ้น, วดั บรมนิวาส เปนผูแตง ลาง; บรุ พนมิ ติ ต ก็เขียน บพุ พณั ณะ ดู ธญั ชาติ; เทียบ อปรัณณะ บุพนิมิตแหง มรรค เคร่ืองหมายทบ่ี อก บุพพัณหสมัย เวลาเบื้องตนแหงวัน,
บุพพาจารย ๑๘๒ บชู า เวลาเชา รวมทงั้ ชายและหญงิ บพุ พาจารย 1. อาจารยกอ นๆ, อาจารย บุรพประโยค ดู บุพประโยค รนุ กอ น, อาจารยป างกอน 2. อาจารย บรุ พาจารย ดู บพุ พาจารย ตน , อาจารยค นแรก คือ มารดาบดิ า บุรพาราม ดู บุพพาราม บุพพาราม วัดที่นางวิสาขาสรางถวาย บชู นยี สถาน สถานทคี่ วรบูชา พระพุทธเจาและภิกษุสงฆท่ีกรุงสาวัตถี บชู า นาํ ดอกไม ของหอม อาหาร ทรัพย พระพุทธเจาประทบั ทว่ี ดั น้ี รวมทั้งสน้ิ ๖ สินเงินทอง หรือของมีคา มามอบให พรรษา (ในชว งพรรษาท่ี ๒๑–๔๔ ซึ่ง เพ่ือแสดงความซาบซึ้งพระคุณ มอง ประทับสลับไปมาระหวางวัดพระเชตวัน เหน็ ความดีงาม เคารพนับถือ ช่ืนชม กบั วัดบพุ พารามน)ี้ ; ดู วสิ าขา เชิดชู หรือนํามาประกอบกิริยาอาการ บพุ เพนวิ าส “ขนั ธท เี่ คยอาศยั อยใู นกอ น”, ในการแสดงความยอมรบั นับถือ ตลอด ภพกอ น, ชาตกิ อ น, ปพุ เพนวิ าส กเ็ ขยี น; ดู จนจัดกิจกรรมตางๆ เพื่อแสดงความ ปพุ เพนวิ าสานสุ ติญาณ บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ดู ปพุ เพนวิ าสา- เคารพนับถือเชนน้ัน, แสดงความเคารพ นุสติญาณ บุพเพสันนิวาส การเคยอยูรวมกันใน เทดิ ทูน, เชดิ ชคู ณุ ความดี, ยกยองให ปรากฏความสาํ คญั ; บชู า มี ๒ (อง.ฺ ทกุ .๒๐/ กาลกอน เชน เคยเปน พอแมล กู พนี่ อ ง ๔๐๑/๑๑๗) คอื อามสิ บชู า (บชู าดวยอามิส คือดวยวัตถุส่ิงของ) และ ธรรมบูชา เพื่อนผัวเมยี กันในภพอดีต (ดู ชาดกท่ี (บูชาดวยธรรม คือดวยการปฏิบัติให ๖๘ และ ๒๓๗ เปนตน ) บรรลุจุดหมายท่ีพระพุทธเจาไดทรง บุพภาค สว นเบอ้ื งตน, ตอนตน บุรณะ, บรู ณะ ทําใหเต็ม, ซอมแซม แสดงธรรมไว), ในอรรถกถาแหง มงคล- บุรณมี วันเพญ็ , วันกลางเดอื น, วนั ข้นึ สูตร (ขุททฺ ก.อ.๑๑๓; สตุ ตฺ .อ.๒/๘๓) ทา นกลา ว ๑๕ ค่ํา ถึงบชู า ๒ อยา ง เปน อามสิ บชู า และ บรุ พทิศ ทศิ ตะวันออก ปฏิบัติบูชา (บูชาดวยการปฏิบัติ คือ บุรพนิมิตต ดู บุพนิมติ บูชาพระพุทธเจา ดว ยสรณคมน การรับ บรุ พบรุ ุษ คนกอนๆ, คนรุนกอ น, คน สกิ ขาบทมารักษาเพ่ือใหเปนผมู ีศีล การ ถอื อุโบสถ และคุณความดตี างๆ ของตน เกากอน, คนผูเปนตนวงศตระกูล, มีปารสิ ทุ ธิศลี ๔ เปนตน ตลอดจนการ บรรพบุรษุ ; คาํ วา บุรุษ ในทน่ี ี้ หมาย เคารพดูแลมารดาบิดา และบูชาปูชนีย-
บูชามยบญุ ราศี ๑๘๓ เบญจางค บคุ คลทัง้ หลาย) โดยเฉพาะปฏิบัตบิ ชู า โผฏฐัพพะ (สัมผสั ทางกาย) น้ั น ทานอางพุทธพจนในมหา - เบญจขนั ธ ขนั ธ ๕, กองหรอื หมวดทงั้ ๕ ปรินพิ พานสตู ร (ท.ี ม.๑๐/๑๒๙/๑๖๐) ที่ตรสั แหงรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบ วา “ดูกรอานนท ผใู ดแล จะเปน ภกิ ษุ เขา เปนชีวิต ไดแ ก ๑. รูปขนั ธ กองรูป ภกิ ษุณี อุบาสก หรืออุบาสกิ า ก็ตาม ๒. เวทนาขนั ธ กองเวทนา ๓. สญั ญา- เปนผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ขนั ธ กองสญั ญา ๔. สงั ขารขันธ กอง ปฏิบตั ิชอบ ปฏบิ ตั ิตามธรรมอยู ผนู ั้น สังขาร ๕. วญิ ญาณขันธ กองวิญญาณ ช่ือวาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เบญจโครส โครส คือ ผลผลิตจากนม ตถาคตดว ยการบูชาอยางยิ่ง” กลาวยอ โค ๕ อยาง ไดแก ขีระ (นมสด) ทธิ ปฏบิ ัตบิ ูชา ไดแก ธรรมานุธรรมปฏิบตั ิ (นมสม) ตักกะ (เปรียง) สัปป (เนยใส) บูชามยบุญราศี กองบุญที่สําเร็จดวย นวนีตะ (เนยขน), พึงทราบวา เนยขน การบชู า นั้น มลี ักษณะเปนกอน ทานจงึ เตมิ คํา บูชายัญ พิธีเซนสรวงเทพเจาของ วา “ปณ ฑะ” เขาไป เปน นวนีตปณ ฑะ พราหมณ, การเซน สรวงเทพเจาดว ยวธิ ี หรือโนนีตปณฑะ (เชน ขุ.เถร.๒๖/๑๑๕/ ฆา คนหรอื สตั วเ ปน เครอื่ งบูชา; ในภาษา ๒๑๔); ดู โครส บาลี ไมใชคําวา “บูชา” กับคําวา “ยญั ” เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ, ความดี ทพ่ี ดู กนั วา “บูชายญั ” น้นั แปลจากคํา ๕ อยางท่ีควรประพฤติคูกันไปกับการ บาลวี า “ยญั ญยชนะ” รักษาเบญจศีลตามลําดับขอดังน้ี ๑. บูร ทิศตะวันออก เมตตากรุณา ๒. สมั มาอาชีวะ ๓. กาม- บูรณะ ดู บุรณะ สังวร (สาํ รวมในกาม) ๔. สจั จะ ๕. สต-ิ บูรณมี ดู บุณมี สมั ปชัญญะ; บางตาํ ราวา แปลกไปบางขอ บรู พาจารย ดู บพุ พาจารย คอื ๒. ทาน ๓. สทารสนั โดษ = พอใจ เบญจกัลยาณี หญิงมีลักษณะงาม ๕ เฉพาะภรรยาของตน ๕. อัปปมาทะ = อยาง คอื ผมงาม เนือ้ งาม (คอื เหงอื ก ไมประมาท; เบญจกัลยาณธรรม กเ็ รยี ก และริมฝปากแดงงาม) ฟนงาม ผิวงาม เบญจมหานที ดู มหานที ๕ เบญจวัคคีย ดู ปญจวคั คีย วัยงาม (คือดงู ามทุกวัย) เบญจกามคุณ ส่ิงท่ีนาปรารถนานาใคร เบญจศีล ดู ศลี ๕ ๕ อยาง คอื รูป เสียง กลน่ิ รส และ เบญจางค อวยั วะทงั้ ๕ คอื ศีรษะ ๑
เบญจางคประดษิ ฐ ๑๘๔ ปกาสนียกรรม มอื ทั้ง ๒ เทาท้งั ๒ โบราณฏั ฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถา เบญจางคประดิษฐ การกราบดวยต้ัง ใบฎกี า 1. หนังสือนมิ นตพระ ตวั อยาง อวัยวะท้งั ๕ อยา งลงกับพ้นื คือกราบ “ขออาราธนาพระคุณเจา (พรอมดวย เอาเขาท้ังสอง มือทั้งสอง และศีรษะ พระสงฆใ นวดั น้ีอกี ... รูป) เจรญิ พระ (หนาผาก) จดลงกบั พื้น พุทธมนต (หรือสวดมนต หรือแสดง เบยี ดบัง การถอื เอาเศษ เชน ทา นใหเกบ็ พระธรรมเทศนา) ในงาน ... ทบ่ี าน เลข เงินคาเชาตางๆ เก็บไดมากแตใหทาน ที่ ... ตําบล ... อําเภอ ... ในวนั ท่ี ... แตน อย ใหไ มครบจาํ นวนที่เก็บได เดือน ... พ.ศ. ... เวลา ... น.” (หากจะ โบกขรณี สระบวั อาราธนาใหรับอาหารบิณฑบาตเชาหรือ โบกขรพรรษ “ฝนดุจตกลงบนใบบัว เพลหรอื มกี ารตกั บาตรใชป น โต กใ็ หร ะบุ หรือในกอบัว”, ฝนที่ตกลงมาในกาละ ไวด ว ย) 2. ตําแหนงพระฐานานุกรมรอง พเิ ศษ มสี แี ดง ผใู ดตอ งการใหเ ปย ก ก็ จากสมุหลงมา เปย ก ผใู ดไมต อ งการใหเ ปย ก กไ็ มเ ปย ก ใบปวารณา ใบแจง แกพ ระวา ใหข อได ตวั แตเ มด็ ฝนจะกลงิ้ หลน จากกาย ดจุ หยาด อยา ง “ขา พเจา ขอถวายจตปุ จ จยั อนั ควร นาํ้ หลน จากใบบวั เชน ฝนทต่ี กในพระ แกส มณบรโิ ภค แดพระคุณเจา เปน มลู ญาติสมาคมคราวเสด็จกรุงกบิลพัสดุ คา ... บาท ... สต. หากพระคณุ เจา ตอ ง ครง้ั แรก อนั เหมอื นกบั ทตี่ กในพระญาติ ประสงคสิ่งใดอันควรแกสมณบริโภค สมาคมของพระเวสสนั ดร แลว ขอไดโปรดเรียกรองจากกัปปย- โบราณ มีในกาลกอน, เปนของเกา แก การก ผปู ฏบิ ตั ขิ องพระคณุ เจา เทอญ” ป ปกครอง คมุ ครอง, ดแู ล, รกั ษา, ควบคมุ จากอาบัติสังฆาทิเสส และภิกษุที่ถูก ปกตัตตะ, ปกตตั ต “ผมู ีตนเปน ปกต”ิ , สงฆล งนิคหกรรมอืน่ ๆ; ดู กมั มปต ตะ, ภิกษุผูมีภาวะของตนกลาวคือศีลเปน กมั มารหะ, ฉนั ทารหะ ปกติ คือ ไมต องอาบัตปิ าราชกิ หรือถกู ปกตอิ โุ บสถ ดู อุโบสถ 2.๑. สงฆลงอุกเขปนียกรรม รวมท้ังมิใช ปกรณ คมั ภรี , ตาํ รา, หนงั สอื ภิกษุผูกําลังประพฤติวุฏฐานวิธีเพ่ือออก ปกาสนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก
ปกาสนียกรรม ๑๘๕ ปกาสนียกรรม ภกิ ษุผูทพี่ ึงถกู ประกาศ (แปลวา กรรม แกพระเทวทตั ผูกนิ เขฬะ (คอื บริโภค อันเปนเครอ่ื งประกาศ กไ็ ด) หมายถึง ปจจยั ซึ่งเกิดจากอาชีวะทไี่ มบ ริสทุ ธิ์ อนั การท่ีสงฆมีมติและทําการประกาศให อริยชนจะพงึ คายทิง้ ) ไดอยางไร พระ เปนท่ีรูกันทั่วไป ถึงสถานภาพในเวลา เทวทัตโกรธวาพระพุทธเจาตรัสใหตน นั้นของภิกษรุ ูปน้ันในสงฆ เชน ความไม เสียหนาในทปี่ ระชมุ แลวยังยกยอ งพระ เปน ที่ยอมรบั หรือการทส่ี งฆไ มย อมรบั สารีบุตรและพระโมคคัลลานะเสียอีก และไมรับผิดชอบตอการกระทําของ ดวย กผ็ ูกอาฆาต และทูลลาไป ถึงตอน ภิกษุรูปน้ัน, เปนกรรมท่ีพระพุทธเจา นี้ พระพุทธเจาจึงไดตรสั บอกวิธที ส่ี งฆ ตรัสบอกใหเปนวิธีปฏิบัติตอพระเทวทัต จะปฏิบัติตอพระเทวทัตดวยการทํา และสงฆก็ไดกระทําตอพระเทวทัตใน ปกาสนยี กรรม และใหสงฆส มมติ คอื เมอื งราชคฤห ตามเรอื่ งวา เมื่อพระเทว- ต้ั ง ใ ห พ ร ะ ส า รี บุ ต ร เ ป น ผู ไ ป ก ล า ว ทัตแสดงฤทธิ์แกเจาชายอชาตศัตรู ทํา ประกาศ (พระสารีบุตรเปนผูท่ีไดยก ใหราชกุมารนั้นเล่ือมใสแลว ก็ไดช่ือ ยองสรรเสริญพระเทวทัตไวในเมือง เสยี ง มลี าภสักการะเปน อนั มาก ตอมา ราชคฤหนั้น) คําประกาศมีวาดังนี้ วันหน่ึง ขณะที่พระพุทธเจาประทับนั่ง (วนิ ย.๗/๓๖๒/๑๗๓) “ปกติของพระเทวทตั ทรงแสดงธรรมอยู ในทปี่ ระชมุ ใหญซ ึง่ แตกอนเปนอยางหนึ่ง เดี๋ยวนี้เปนอีก มีพระราชาประทับอยูด ว ย พระเทวทตั อยา งหนึ่ง พระเทวทัตทาํ การใด ดวย ไดกราบทลู วา พระพุทธเจา ทรงพระชรา กาย วาจา ไมพ งึ มองเหน็ พระพุทธ พระ เปนผเู ฒา แกห งอมแลว ขอใหทรงพกั ธรรม หรือพระสงฆ ดว ยการนน้ั พงึ ผอน โดยมอบภิกษสุ งฆใ หพ ระเทวทตั เห็นเปน การเฉพาะตวั พระเทวทตั เอง” บริหารตอ ไป แตพระพุทธเจา ทรงหามวา “อยาเลย เทวทัต เธออยาพอใจที่จะ ทางดา นพระเทวทัต ตอมา ก็ไดไป บริหารภิกษุสงฆเลย” แมกระนัน้ พระ แนะนําเจาชายอชาตศัตรูใหปลงพระ เทวทัตก็ยังกราบทูลอยางเดิมอีกจนถึง ชนมพระราชบิดาแลวขึ้นครองราชย ครั้งท่ี ๓ พระพทุ ธเจาจึงตรสั วา แมแต โดยตนเองก็จะปลงพระชนมพระพุทธ พระสารีบุตรและพระโมคคลั ลานะ พระ เจาแลวเปนพระพุทธเจาเสียเอง มา องคก็ยังไมทรงปลอยมอบภิกษุสงฆให ประสานบรรจบกัน เจา ชายอชาตศตั รูได แลวจะทรงปลอยมอบภิกษุสงฆนั้นให เหน็บกริชแนบพระเพลาเขาไปเพ่ือทํา การตามแผน แตม พี ิรุธ ถกู จบั ได เมื่อ
ปกาสนียกรรม ๑๘๖ ปกาสนยี กรรม ถูกสอบสวนและสารภาพวาทรงทําตาม กําลังจากฝายบานเมืองมาดําเนินการ คํายุยงของพระเทวทัต มหาอํามาตย พยายามปลงพระชนมพระพุทธเจา ทง้ั พวกหนึ่งมีมติวา ควรประหารชีวติ ราช- จัดพรานธนูไปดักสังหาร ทั้งกล้ิงกอน กุมาร และฆาพระเทวทัตกับท้ังประดา ศลิ าลงมาจากเขาคิชฌกฏู จะใหทบั และ พระภิกษุเสียใหหมดส้ิน มหาอาํ มาตย ปลอยชางดุนาฬาคีรีใหเขามาทํารายบน พวกหนึ่งมีมติวา ไมควรฆาภิกษุท้ัง ทางเสด็จ แตไมสาํ เร็จ จนในครงั้ สุด หลาย เพราะพวกภิกษุไมไดท ําความผิด ทา ย มหาชนรเู ร่อื งกนั มากข้ึน กอ็ อกมา อะไร แตควรประหารชีวิตราชกุมาร แสดงความไมพอใจตอพระราชาวาเปน และฆาพระเทวทัตเสีย สวนมหา ผูสงเสริม เปนเหตุใหพ ระเจาอชาตศตั รู อํามาตยอีกพวกหน่ึงมีมติวา ไมควร ตองทรงถอนพระองคจากพระเทวทัต ประหารราชกมุ าร ไมค วรฆาพระเทวทัต ทําใหพระเทวทัตเส่ือมจากลาภสักการะ และไมค วรสังหารภกิ ษทุ ้งั หลาย แตค วร กอนถึงกาลจบสิน้ ในทีส่ ุด กราบทูลพระราชา แลวพระองครับส่ัง อยา งใด กท็ าํ อยา งนนั้ จากนนั้ พวกมหา ปกาสนยี กรรมนี้ เปน สังฆกรรมหนึ่ง อํามาตยก็คุมตัวอชาตศัตรูกุมารเขาไป ใน ๘ อยา ง ท่ีเปน อสมั มขุ ากรณยี คือ เฝาพระเจา พิมพิสาร กราบทลู รือ่ งนั้นให กรรมซ่ึงไมตองทําในท่ีตอหนา หรือ ทรงทราบ พระราชาทรงถามมติของ พรอมหนา บคุ คลทถี่ ูกสงฆทาํ กรรม ได พวกมหาอาํ มาตย ทรงตาํ หนพิ วกทใ่ี หฆ า แก ๑.ทเู ตนปุ สมั ปทา (การอปุ สมบท ภกิ ษทุ งั้ ปวงเสยี ใหห มด โดยทรงทว งวา โดยใชท ูต คอื ภกิ ษุณีใหมท่อี ปุ สมบทใน พระพุทธเจาไดใหประกาศไปแลวมิใช ภิกษุณีสงฆเสร็จแลว จะไปรับการ หรือวาสงฆมิไดยอมรับการกระทําของ อุปสมบทจากภิกษุสงฆเพื่อใหครบการ พระเทวทัต การกระทํานั้นเปนเรื่อง อุปสมบทจากสงฆสองฝาย แตถ า มีขอ เฉพาะตัวของพระเทวทัตเอง จากน้ัน ติดขัดเกรงวาการเดินทางจะไมปลอด เมอ่ื ทรงซกั ถามราชกมุ าร ไดความวาจะ ภยั กใ็ หภกิ ษุณีอ่นื เปนทูต คือเปนตัว ปลงพระชนมพระองคเพราะตองการ แทนแจงการขอรับอุปสมบทของตนตอ ราชสมบัติ ก็ไดทรงมอบราชสมบัติแก ที่ประชมุ ภิกษุสงฆ โดยตนเองไมต อ งไป เจาชายอชาตศัตรู เมื่อพระเจาอชาต- กไ็ ด) ๒.ปต ตนกิ กชุ ชนา (การควํา่ บาตร ศัตรูครองราชยแลว พระเทวทัตก็ได อุบาสกผูปรารถนารายตอพระรัตนตรัย) ๓.ปต ตอกุ กชุ ชนา (การหงายบาตร คือ
ปกณิ ณกทุกข ๑๘๗ ปฏกิ โกสนา ประกาศระงับโทษอุบาสกผูเคยมุงราย ภิกษุผูมีพฤติกรรมหรือแสดงอาการอัน ตอ พระรัตนตรยั ซ่งึ ไดกลบั ตัวแลว ) ๔. ไมเปนที่นาเล่ือมใส และใหถือวาภิกษุ อุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศ นั้นเปน ผทู ีภ่ กิ ษณุ ที ้งั หลายไมพึงไหว); ดู ความตกลงใหถือภิกษุผูวิกลจริตใน เทวทัต, นคิ หกรรม ระดับทีจ่ าํ อะไรไดบ างไมไ ดบ า ง วา เปนผู ปกิณณกทุกข ทุกขเบ็ดเตลด็ , ทุกขเรยี่ วิกลจริต เพื่อวาเม่ือภิกษุน้ันระลึก ราย, ทกุ ขจ ร ไดแก โสกะ ปรเิ ทวะ อโุ บสถหรอื สังฆกรรมไดก็ตาม ระลกึ ไม ทุกข โทมนัส อุปายาส ไดก็ตาม มารวมก็ตาม ไมมาก็ตาม ปกิรณกะ ขอเบ็ดเตล็ด, ขอเล็กๆ สงฆจะพรอมดวยเธอ หรือปราศจาก นอ ยๆ, ขอปลกี ยอ ย จากเธอก็ตาม กจ็ ะทาํ อุโบสถได ทาํ สงั ฆ- ปขาว ชายผจู ําศลี กรรมได) ๕.เสกขสมมติ (การสวด ปชาบดี 1. ภรรยา, เมยี 2. ดู มหาปชาบด-ี ประกาศความตกลงตั้งสกุลคือครอบ โคตมี ครัวท่ีย่ิงดวยศรัทธาแตหยอนดว ยโภคะ ปฏลิกา เครื่องลาดทําดวยขนแกะท่ีมี ใหถือวาเปนเสขะ เพอื่ มใิ หภ กิ ษรุ บกวน สัณฐานเปนพวงดอกไม ไปรบั อาหารมาฉนั นอกจากไดร บั นมิ นต ปฏาจารา พระมหาสาวกิ าองคห นง่ึ เปน ไวกอน หรืออาพาธ) ๖.พรหมทณั ฑ ธิดาเศรษฐีในพระนครสาวัตถีไดรับ (“การลงโทษอยางสูงสง” คือการทส่ี งฆม ี วปิ โยคทกุ ขอ ยา งหนกั เพราะสามตี าย ลกู มติลงโทษภิกษุหัวดื้อวายาก โดยวิธี ตาย พอ แมพ น่ี อ งตายหมด ในเหตกุ ารณ พรอมกันไมวากลาวสั่งสอนตักเตือน รายท่ีเกิดข้ึนฉับพลันทันทีและติดตอกัน ใดๆ ดงั ท่ีทําแกพระฉันนะเม่อื พระพุทธ ถึงกับเสียสติปลอยผานุงผาหมหลุดลุย เจาปรินิพพานแลว) ๗.ปกาสนยี กรรม เดนิ บน เพอ ไปในทตี่ า งๆ จนถงึ พระเชตวนั (การประกาศใหเ ปน ทร่ี ูทั่วกัน ถงึ สภาวะ พระศาสดาทรงแผพ ระเมตตา เปลง พระ ของภิกษุรูปน้ันซ่ึงไมเปนท่ียอมรับของ วาจาใหนางกลับไดสติ แลวแสดงพระ สงฆ อันพึงถือวาการใดที่เธอทําก็เปน ธรรมเทศนา นางไดฟ ง แลว บรรลโุ สดา- เร่ืองเฉพาะตัวของเธอ ไมผูกพันกบั สงฆ ปตติผล บวชเปน พระภกิ ษณุ ี ไมช า ก็ หรอื ตอ พระศาสนา ดงั ท่ที าํ แกพ ระเทว- สําเร็จพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน ทัต) ๘.อวนั ทนยี กรรม (การทภี่ กิ ษณุ ี เอตทคั คะในทางทรงพระวนิ ยั สงฆมีมติประกาศใหเปนท่ีรูทั่วกันถึง ปฏกิ โกสนา การกลา วคดั คา นจังๆ (ตา ง
ปฏิกรรม ๑๘๘ ปฏิกรรม จากทิฏฐาวิกมั ม ซึ่งเปนการแสดงความ นัน้ , “ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ เปน รปู กรยิ าของปฏิ เห็นแยง ช้ีแจงความเห็นท่ีไมรวมดวย กรรม) ๒. วินัยบัญญัติ (สําหรับพระ สงฆ) เรอ่ื งปวารณากรรม คือหลงั จาก เปน สว นตวั แตไ มไ ดค ดั คาน) อยูรวมกันมาตลอดพรรษา ภิกษุหรือ ปฏกิ รรม “การทําคืน”, “การแกกรรม”, การแกไข, การกลับทําใหมใหเปนดี, ภิกษุณีท้ังหลายประชุมกัน และแตละ เปนคําสอนสําคัญสวนหนึ่งในการทํา รูปกลาวคําเปดโอกาสหรือเชิญชวนแกท่ี กรรม มสี าระสําคัญ คอื ยอมรับความ ประชมุ เรม่ิ ดว ยรูปทเี่ ปนผใู หญท ่สี ุดวา (วนิ ย.๔/ ๒๒๖/๓๑๔) “สงฆฺ อาวโุ ส ปวาเร ผิดพลาดที่ไดทําไปแลว ละเลิกบาป มิ ทิฏเน วา สเุ ตน วา ปรสิ งกฺ าย วา, วทนตฺ ุ ม อายสมฺ นฺโต อนกุ มปฺ อุ อกุศลหรือการกระทําผิดพลาดเสียหาย ปาทาย, ปสสฺ นโฺ ต ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (เธอ ทง้ั หลาย ฉนั ปวารณาตอ สงฆ ดว ยได ท่ีเคยทําน้ัน และหันมาทําความดีงาม เหน็ กด็ ี ดว ยไดฟ ง ก็ดี ดว ยสงสัยกด็ ี ถกู ตองหรือบญุ กุศล แกไขปรบั ปรงุ ตน ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาวา เปลี่ยนแปรกรรมใหดี, ในทางปฏิบัติ กลาวฉัน ฉันเห็นอยู จักทาํ คนื , “ปฏกิ ริ สสฺ าม”ิ เปน รปู กรยิ าของ ปฏกิ รรม) ๓. พระพุทธเจาไดทรงนําหลักปฏิกรรมมา อริยวินัย (สําหรับทั้งพระสงฆและ คฤหัสถ) เรื่องอัจจยเทศนา คือการ วางเปนระบบวธิ ีปฏบิ ัติทางสังคม คือใน แสดงความยอมรับหรือสํานึกผิดในการ ดา นวนิ ยั ขนั้ พื้นฐาน ๓ ประการ ไดแก ที่ตนไดทําความผิดละเมิดหรือลวงเกิน ๑. วนิ ัยบัญญัติ (สาํ หรบั พระสงฆ) เรื่อง อาปตติปฏกิ รรม ซง่ึ แปลกันวา การทํา ผอู น่ื และมาบอกขอใหผูอื่นน้นั ยอมรบั คืนอาบัติ คือการที่ภิกษุหรือภิกษุณี ความสํานึกของตน เพื่อที่ตนจะได บอกแจง ความผิดของตน เพอ่ื จะสังวร สํารวมระวังตอไป ดังเชนในกรณีนาย ตอ ไป แมแ ตแคสงสัย ดงั เชน เมอ่ื ถึง ขมังธนูท่ีรับจางมาเพื่อสังหารพระพุทธ วนั อุโบสถ ภิกษุรปู หนึง่ เกิดความสงสัย เจา แลวสาํ นกึ ผดิ และเขา มากราบทูล วา ตนอาจจะไดต อ งอาบัติ ก็บอกแจงแก ความสํานกึ ผดิ ของตน พระพุทธเจา ได ภิกษอุ นื่ รปู หนง่ึ วา (เชน วนิ ย.๔/๑๘๖/๒๔๖) “อห อาวุโส อิตถฺ นนฺ ามาย อาปตฺตยิ า ตรัสขอความที่เปนหลักในเร่ืองน้ีวา เวมติโก, ยทา นิพฺเพมติโก ภวิสฺ (วินย.๗/๓๖๙/๑๘๐) “ยโต จ โข ตฺว สามิ, ตทา ต อาปตตฺ ึ ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (ทา นครบั ผมมคี วามสงสยั ในอาบัติช่ือนี้ หายสงสัยเมื่อใด จกั ทาํ คนื อาบัตินั้นเมื่อ
ปฏกิ สั สนา ๑๘๙ ปฏจิ จสมปุ บาท อาวุโส อจจฺ ย อจจฺ ยโต ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ ปฏิฆะ ความขดั ใจ, แคน เคือง, ความขง้ึ ปฏกิ โรส,ิ ตนเฺ ต มย ปฏิคฺคณหฺ าม, วุ เคียด, ความกระทบกระทง่ั แหง จิต ได ทธฺ ิ เหสา อาวุโส อรยิ สสฺ วนิ เย, โย แกความท่ีจิตหงุดหงิดดวยอํานาจโทสะ อจจฺ ย อจจฺ ยโต ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ ปฏกิ (ขอ ๕ ในสังโยชน ๑๐, ขอ ๒ ใน โรต,ิ อายตึ สวร อาปชฺชต”ิ (เพราะ สังโยชน ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ขอ การท่ีเธอมองเห็นโทษ โดยความเปน ๒ ในอนสุ ยั ๗) โทษ แลวทําคนื ตามธรรม เราจงึ ยอมรบั ปฏจิ จสมุปบาท [ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ- โทษนนั้ ของเธอ การท่ีผูใ ดเหน็ โทษโดย บาด]“การท่ีธรรมทั้งหลายอาศัยกัน เกดิ ความเปนโทษ แลว ทาํ คืนตามธรรม ถงึ ขึ้นพรอม”, สภาพอาศัยปจจัยเกิดข้ึน, ความสังวรตอไป ขอนั้น เปนความ การที่ส่ิงทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีข้ึน, เจรญิ ในอรยิ วินยั , “ปฏกิ โรส”ิ และ “ป การที่ทุกขเกิดข้ึนเพราะอาศัยปจจัยตอ ฏกิ โรต”ิ เปน รปู กรยิ าของปฏกิ รรม) เนอื่ งกนั มา มอี งคค อื หวั ขอ ๑๒ ดงั นี้ ปฏิกัสสนา กิริยาชักเขาหาอาบัติเดิม, ๑. อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงขฺ ารา เปนช่ือวุฏฐานวิธีสําหรับอันตราบัติคือ เพราะอวิชชา เปนปจ จยั สงั ขารจึงมี ระเบียบปฏิบัติในการออกจากอาบัติ ๒.สงขฺ ารปจจฺ ยา วิ ฺ าณํ สังฆาทิเสสสําหรับภิกษุผูตองอาบัติ เพราะสงั ขาร เปนปจจัย วญิ ญาณจงึ มี สังฆาทิเสสข้ึนใหมอีก ในเวลาใดเวลา ๓. วิฺ าณปจจฺ ยา นามรปู หน่ึงตั้งแตเร่ิมอยูปริวาสไปจนถึงกอน เพราะวิญญาณ เปน ปจจยั นามรปู จงึ มี อัพภาน ทําใหเธอตองกลับอยูปริวาส ๔. นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ หรือประพฤติมานัตต้ังแตเริ่มตนไป เพราะนามรปู เปน ปจ จยั สฬายตนะจงึ มี ใหม; สงฆจ ตุรวรรคใหป ฏิกัสสนาได; ดู ๕. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส อันตราบัติ ปฏิกา เครอื่ งลาดทําดว ยขนแกะทมี่ ีสีขาว เพราะสฬายตนะ เปนปจ จัย ผัสสะจึงมี ๖. ผสสฺ ปจฺจยา เวทนา ลว น เพราะผสั สะ เปน ปจ จยั เวทนาจึงมี ปฏกิ าร การตอบแทน, การสนองคณุ ผอู น่ื ปฏิกูล นา เกลียด, นา รังเกยี จ ๗. เวทนาปจจฺ ยา ตฺณหา ปฏคิ ม ผตู อ นรบั , ผรู บั แขก, ผดู แู ลตอ นรบั ปฏิคาหก ผรู ับทาน, ผูรับของถวาย เพราะเวทนา เปนปจ จัย ตณั หาจึงมี ๘. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ เพราะตณั หา เปนปจจยั อปุ าทานจงึ มี
ปฏิจจสมปุ บาท ๑๙๐ ปฏิจจสมปุ บาท ๙. อปุ าทานปจจฺ ยา ภโว คือความดับไปแหงทุกข จึงเรียกวา เพราะอปุ าทาน เปนปจ จัย ภพจงึ มี ปฏิจจสมปุ บาทแบบ นโิ รธวาร ๑๐. ภวปจจฺ ยา ชาติ ปฏิจจสมุปบาทน้ี บางทีเรียกชื่อ เต็มเปนคําซอนวา อิทัปปจจยตา เพราะภพ เปนปจ จัย ชาติจึงมี ปฏิจจสมปุ บาท (ภาวะที่อันนี้ๆ มี เพราะ อันน้ีๆ เปนปจจัย [หรือประชุมแหง ๑๑. ชาตปิ จฺจยา ชรามรณํ ปจ จัยเหลาน้ๆี ] กลา วคือการทธ่ี รรมทั้ง หลายอาศยั กันเกดิ ข้ึนพรอม), ในคมั ภีร เพราะชาติ เปน ปจ จยั ชรามรณะจึงมี ทายๆ ของพระสตุ ตันตปฎก และใน พระอภธิ รรมปฎ ก มคี าํ เรยี กปฏจิ จสมปุ - โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา บาทเพ่ิมขึ้นอกี อยา งหนึง่ วา ปจ จยาการ สมภฺ วนตฺ ิ (อาการที่เปนปจจัยแกกัน), เนื่องจาก ปฏิจจสมุปบาทแสดงอาการที่ธรรมท้ัง โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส หลายเปนปจจัยแกกันตอเนื่องไปเปน วงจรหรือหมุนเปนวงวน และเมื่อมอง จงึ มพี รอ ม ตอขึ้นมาอีกช้ันหน่ึง ก็เห็นสภาพชีวิต ของสัตวท้ังหลายที่เรรอนวายวนเวียน เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกขฺ กขฺ นธฺ สสฺ ไปในภพภมู ิตางๆ ดวยเหตนุ ี้ กไ็ ดเ กดิ มี สมทุ โย โหติ คาํ เรียกความเปนไปตามปฏิจจสมุปบาท นั้นวา “วัฏฏะ” (สภาพหมนุ วน) บา ง ความเกิดขึ้นแหงกองทุกขทั้งปวงน้ีจึง “สังสาระ” (การเท่ียวเรรอนไป) บาง “สงั สารวฏั ฏ” (วงวนแหง การเทย่ี วเรร อ น มีดว ยประการฉะน้ี ไป) บา ง ตลอดจนคาํ ในชนั้ อรรถกถา ซงึ่ บางทเี รยี กปฏจิ จสมปุ บาทวา “ภวจักร” ปฏิจจสมุปบาทที่ธรรมท้ังหลาย และ “สังสารจกั ร” เปนปจจัยแกกันไปตามลําดับอยางนี้ ในการอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจาเองก็ตรัสไววาเปนธรรม แสดงทุกขสมุทัยคือความเกิดขึ้นแหง ลกึ ซึง้ นี้ พระอรรถกถาจารยไ ดพยายาม ทุกข จงึ เรยี กวา สมทุ ยั วาร (พึงสังเกต วา คาํ วา สมปุ บาท กบั สมทุ ัย มีความ หมายเหมือนกันวา ความเกิดขึ้น พรอม), เมื่อทกุ ขเ กิดข้นึ อยา งนี้ การที่ จะดับทุกข กค็ ือดับธรรมทเ่ี ปน ปจจยั ให เกิดทุกข ดังนั้น ทา นจงึ แสดงกระบวน ธรรมแบบที่ตรงขา มไวดวย คอื ปฏจิ จ- สมุปบาทที่ธรรมอันเปนปจจัยดับตอๆ กันไป (เรม่ิ ตัง้ แตวา “เพราะอวิชชาดับ สงั ขารจึงดับ, เพราะสงั ขารดบั วญิ ญาณ จึงดับ ฯลฯ”) เปนการแสดงทกุ ขนิโรธ
ปฏจิ จสมปุ บาท ๑๙๑ ปฏจิ จสมปุ บาท ช้แี จงโดยจดั องค ๑๒ ของปฏิจจสมปุ - มไี ตรวฏั ฏตอ กัน ๒ รอบ คือ รอบท่ี ๑ องคที่ ๑ อวิชชา เปนกเิ ลส, องคท ่ี ๒ บาทน้ัน เปนกลมุ เปนประเภทและเปน สังขาร เปนกรรม, องคท่ี ๓-๗ วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ ชวงๆ คือ องคท ่ี ๑ อวชิ ชา องคท ่ี ๘ เวทนา เปน วบิ าก, รอบที่ ๒ องคท ี่ ๘ ตัณหา และองคท่ี ๙ อุปาทาน สาม ตณั หา และองคที่ ๙ อุปาทาน เปน กเิ ลส, อยางนเ้ี ปน กเิ ลส, องคท ี่ ๒ สงั ขาร องคที่ ๑๐ ภพ เปนกรรม, องคท ่ี ๑๑– และองคท ่ี ๑๐ ภพ สองอยา งน้เี ปน ๑๒ ชาติ ชรามรณะ เปน วิบาก, จากนนั้ กรรม, องคท ี่ ๓-๗ วญิ ญาณ นามรปู อธบิ ายตอ ไปวา องคทเี่ ปน กเิ ลส เปน สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา และองคท่ี กรรม เปน วิบาก ในรอบท่ี ๑ มองดู ๑๑–๑๒ ชาติ ชรามรณะ เจด็ องคน ี้เปน แตกตางกับองคที่เปนกเิ ลส เปน กรรม วิบาก, เมื่อมองตามกลุมหรือตาม เปน วบิ าก ในรอบที่ ๒ แตท ี่จริง โดย ประเภทอยางน้ี จะเห็นไดง ายวา กิเลส สาระไมตางกนั ความแตกตางทป่ี รากฏ น้ัน คือการพูดถึงสภาวะอยางเดียวกัน เปนเหตุใหกอกรรม แลวกรรมก็ทําให แตใชถอยคําตางกัน เพ่ือระบุชี้องค ธรรมที่ออกหนามีบทบาทเดนเปนตัว เกิดผลท่เี รยี กวาวบิ าก (แลววิบากก็เปน แสดงในวาระน้ัน สวนองคธรรมที่ไม ระบุ ก็มีอยูดวยโดยแฝงประกบอยู ปจ จยั ใหเ กิดกเิ ลส), เม่ือมองความเปน หรือถูกรวมเขาไวดวยคําสรุปหรือคําท่ี ใชแทนกนั ได เชน ในรอบ ๑ ทีร่ ะบุ ไปตลอดปฏิจจสมุปบาทครบทั้ง ๑๒ เฉพาะอวชิ ชาเปน กิเลสนน้ั ท่ีแทต ณั หา อุปาทานก็พวงพลอยอยูดวย สวนใน องค เปนการหมุนวนหนึ่งรอบ ก็คือ รอบ ๒ ท่วี า ตณั หาอุปาทานเปน กเิ ลส ครบ ๑๒ องคน นั้ เปน วฏั ฏะ กจ็ ะเห็น นัน้ ในขณะทตี่ ัณหาอุปาทานเปน เจา บท วาวัฏฏะนั้นแบงเปน ๓ ชวง คอื ชวง บาทออกโรงอยู ก็มีอวิชชาอยเู บอ้ื งหลงั ตลอดเวลา, ในรอบ ๑ ท่ยี กสงั ขารข้ึน กิเลส ชวงกรรม และชวงวิบาก เมือ่ มาระบุวาเปนกรรม ก็เพราะเนนที่การ ทํางาน สว นในรอบ ๒ ท่รี ะบวุ าภพเปน วัฏฏะมีสามชวงอยางน้ี ก็จึงเรียก ปฏจิ จสมปุ บาทวาเปน ไตรวัฏฏ (วงวน สามสว น หรอื วงวนสามซอน) ประกอบ ดวย กเิ ลสวฏั ฏ กรรมวัฏฏ และวิปาก- วฏั ฏ, การอธบิ ายแบบไตรวฏั ฏน้ี เปน วิธีที่ชวยใหเขาใจงายขึ้นอยางนอยในข้ัน เบอ้ื งตน ตอจากน้ัน อธิบายใหล กึ ลงไป โดยแยกแยะอีกชนั้ หนึ่งวา ในรอบใหญ ทคี่ รบ ๑๒ องคนนั้ มองใหช ดั จะเห็นวา
ปฏิจฉันนปริวาส ๑๙๒ ปฏภิ าค กรรม ก็เพราะจะใหมองที่ผลรวมของ ปฏปิ ทา ๔ การปฏิบัตขิ องทานผไู ดบรรลุ งานทที่ ําคือกรรมภพ, และ ชาติ ชรา- ธรรมพิเศษ มี ๔ ประเภท คือ ๑. ทุกฺขา มรณะ ท่ีวาเปน วิบากในรอบ ๒ น้นั ก็ ปฏปิ ทา ทนฺธาภิ ฺ า ปฏิบตั ิลาํ บาก ทง้ั หมายถึงการเกิดเปนตน ของวิญญาณ รูไดช า ๒. ทกุ ขฺ า ปฏปิ ทา ขิปฺปาภิ ฺ า นามรปู ฯลฯ ที่ระบุวาเปน วิบากในรอบ ปฏิบัติยาก แตร ูไ ดเ รว็ ๓. สุขา ปฏิปทา ๑ นั่นเอง ดงั น้ีเปนตน; ดู ไตรวฏั ฏ ทนธฺ าภิ ฺ า ปฏิบตั สิ ะดวก แตร ูไดชา ปฏจิ ฉนั นปริวาส ปรวิ าสเพือ่ ครกุ าบัตทิ ี่ ๔. สุขา ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิฺ า ปฏิบัติ ปดไว, ปรวิ าสทภ่ี ิกษผุ ูปรารถนาจะออก สะดวก ทัง้ รไู ดเร็ว จากอาบัติสังฆาทิเสสอยูใชเพื่ออาบัติที่ ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ความหมด ปด ไว ซ่ึงนับวนั ไดเ ปนจํานวนเดยี ว จดแหงญาณเปนเครื่องเห็นทางปฏิบัติ ปฏจิ ฉันนาบัติ อาบัติ (สงั ฆาทิเสส) ท่ี ไดแกว ิปสสนาญาณ ๙ (ขอ ๖ ในวสิ ทุ ธิ ภกิ ษุตองแลว ปดไว ๗) ปฏชิ าครอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๒. ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันยอด ปฏญิ ญา ใหค ําม่นั , แสดงความยืนยนั , เย่ียม ไดแกการปฏิบัติธรรมที่ไดเห็น ใหการยอมรับ แลว ในขอทัสสนานุตตริยะ ท้งั สว นท่ีจะ ปฏิญญาตกรณะ “ทําตามรับ” ไดแก พงึ ละและพงึ บําเพญ็ ; ดู อนตุ ตริยะ ปรับอาบัติตามปฏิญญาของจําเลยผูรับ ปฏิปกข, ปฏปิ ก ษ ฝายตรงกันขาม, คู เปน สตั ย การแสดงอาบตั กิ จ็ ดั เขา ในขอ น้ี ปรบั , ขา ศึก, ศตั รู ปฏิญาณ การใหคํามัน่ โดยสจุ ริตใจ, การ ปฏิปกขนัย นัยตรงกนั ขา ม ยืนยนั ปฏิปสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพนดวย ปฏบิ ตั ิ ประพฤติ, กระทาํ ; บาํ รุง, เล้ยี งดู สงบระงบั ไดแ ก การหลดุ พน จากกเิ ลส ปฏิบัติบูชา การบชู าดว ยการปฏิบตั ิ คอื ดวยอริยผล เปนการหลุดพนท่ียั่งยืน ประพฤติตามธรรมคําส่ังสอนของพระ ไมต อ งขวนขวายเพอื่ ละอีก เพราะกเิ ลส ทาน, บูชาดวยการประพฤติปฏิบัติ น้ันสงบไปแลว เปน โลกุตตรวมิ ตุ ติ (ขอ กระทําส่งิ ทีด่ งี าม (ขอ ๒ ในบชู า ๒) ๔ ในวมิ ตุ ติ ๕) ปฏิบัตสิ ทั ธรรม ดู สทั ธรรม ปฏพิ ัทธ เน่อื งกนั , ผกู พัน, รกั ใคร ปฏิปทา ทางดําเนนิ , ความประพฤติ, ขอ ปฏิภาค สวนเปรียบ, เทียบเคียง, ปฏิบตั ิ เหมือน
ปฏภิ าคนมิ ิต ๑๙๓ ปฏิสงั ขานปุ ส สนาญาณ ปฏภิ าคนิมติ นิมติ เสมอื น, นิมติ เทียบ มี เพราะสงั ขารเปน ปจ จยั , สงั ขารมี เพราะ เคียง เปนภาพเหมือนของอุคคหนิมิต อวิชชาเปนปจจัย เปนตน; ตรงขามกับ เกิดจากสัญญา สามารถนึกขยายหรือ อนโุ ลม 2. ยอสวน ใหใหญหรือเล็กไดตามความ ปฏิวัติ การเปลีย่ นแปลงอยา งพลกิ กลบั , ปรารถนา การหมุนกลับ, การผนั แปรเปลี่ยนหลกั ปฏิภาณ โตตอบไดทันทีทันควัน, มลู ปญญาแกการณเฉพาะหนา, ความคดิ ปฏเิ วธ เขาใจตลอด, แทงตลอด, ตรัสรู, ทันการ รูทะลุปรโุ ปรง , ลุลวงผลปฏบิ ตั ิ ปฏิภาณปฏิสมั ภิทา ความแตกฉานใน ปฏิเวธสทั ธรรม ดู สัทธรรม ปฏิภาณไดแกไหวพริบ คือ โตตอบ ปฏสิ นธิ เกดิ , เกิดใหม, แรกเกิดขึ้นใน ปญหาเฉพาะหนาไดทันทวงที หรือแก ครรภ ไขเหตุการณฉุกเฉินไดฉับพลันทันการ ปฏิสนธิจติ , ปฏิสนธิจิตต จติ ท่ีสบื ตอ (ขอ ๔ ในปฏสิ มั ภิทา ๔) ภพใหม, จติ ทเี่ กิดทแี รกในภพใหม ปฏิมา รปู เปรียบ, รปู แทน, รปู เหมอื น ปฏสิ สวะ การฝนคาํ รบั , รบั แลวไมท าํ ปฏริ ูป สมควร, เหมาะสม, ปรบั ปรงุ ให ตามรับ เชน รับนิมนตว าจะไปแลวหาไป สมควร; ถาอยูทายในคําสมาสแปลวา ไม (พจนานกุ รม เขยี น ปฏิสวะ) “เทยี ม” “ปลอม” “ไมแ ท” เชน สทั ธรรม- ปฏิสสวทุกกฏ ทุกกฏเพราะรับคํา, ปฏิรูป แปลวา “สัทธรรมเทียม” หรอื อาบัติทุกกฏเพราะไมทําตามท่ีรับปากไว “ธรรมปลอม” เชน ภกิ ษุรบั นิมนตของชาวบาน หรอื ปฏิรูปเทสวาสะ อยูในประเทศอันสม ตกลงกันไว วา จะอยูจําพรรษาในทหี่ นง่ึ ควร, อยใู นถิน่ ทเ่ี หมาะ หมายถงึ อยูใ น แตแลว โดยมิไดตงั้ ใจพดู เท็จ เธอพบ ถน่ิ เจริญ มีคนดี มีนกั ปราชญ (ขอ ๑ เหตุผลอนั ทําใหไมอยใู นท่นี ้นั เมอ่ื ทาํ ให ในจกั ร ๔; ขอ ๖ ในมงคล ๓๘) คลาดจากที่รับปากไว จึงตองปฏิสสว- ปฏิโลม 1. ทวนลาํ ดบั , ยอนจากปลายมา ทุกกฏ (ถา พูดเท็จท้ังท่รี ู เปน ปาจติ ตยี ) หาตน เชนวา ตจปญ จกกมั มฏั ฐาน จาก ปฏิสังขรณ ซอมแซมทําใหกลับดี คําทา ยมาหาคาํ ตนวา “ตโจ ทันตา นขา เหมอื นเดมิ โลมา เกสา”; ตรงขามกับ อนโุ ลม 1. 2. สาว ปฏิสงั ขานุปสสนาญาณ ญาณอันคาํ นงึ เรอ่ื งทวนจากผลเขา ไปหาเหตเุ ชน วญิ ญาณ พิจารณาหาทาง, ปรีชาคํานึงพิจารณา
ปฏสิ นั ถาร ๑๙๔ ปฐมโพธิกาล สงั ขาร เพ่ือหาทางเปน เครอื่ งพนไปเสีย; ภกิ ษอุ ันจะพงึ ใหกลบั ไป หมายถงึ การที่ ดู วิปส สนาญาณ สงฆลงโทษใหภิกษุไปขอขมาคฤหัสถ ปฏิสนั ถาร การทักทายปราศรัย, การ กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุปากกลา ดาวา ตอ นรบั แขก มี ๒ อยางคอื ๑. อามิส- คฤหัสถผูมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ- ปฏิสันถาร ตอนรับดวยส่ิงของ ๒. ศาสนาเปนทายกอุปฐากสงฆดวยปจจัย ธรรมปฏิสันถาร ตอ นรบั ดวยธรรม คอื ๔ เปน ทางจะยงั คนผยู ังไมเ ลอ่ื มใสมิให กลา วแนะนาํ ในทางธรรม อีกนัยหน่งึ วา เลื่อมใส จะยังคนผูเล่ือมใสอยูแลวให ตอ นรับโดยธรรม คอื การตอนรับท่ที าํ เปน อยางอนื่ ไปเสีย; ปฏิสาราณยี กรรม พอดสี มควรแกฐ านะของแขก มีการลกุ กเ็ ขยี น รับเปนตน หรือชวยเหลือสงเคราะห ปฏเิ สธ การหา ม, การไมร บั , การไมย อม ขจดั ปญ หาขอ ตดิ ขดั ทาํ กศุ ลกจิ ใหล ลุ ว ง รบั , การกดี กั้น ปฏสิ ันถารคารวตา ดู คารวะ ปฐพี แผนดิน; ดู ปฐวี ปฏสิ มั ภทิ า ความแตกฉาน, ความรแู ตก ปฐพีมณฑล แผน ดนิ , ผืนแผน ดิน ฉาน, ปญ ญาแตกฉาน มี ๔ คอื ๑. อตั ถ- ปฐม ทหี่ นึ่ง, ทีแรก, เบ้ืองตน ปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานในอรรถ ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มอี งค ๕ คือ วติ ก ๒. ธมั มปฏิสมั ภิทา ปญญาแตกฉานใน (ความตรึก) วจิ าร (ตรอง) ปต ิ (ความ ธรรม ๓. นริ ตุ ตปิ ฏสิ มั ภทิ า ปญญาแตก อม่ิ ใจ) สุข (ความสบายใจ) เอกคั คตา ฉานในทางนริ กุ ติ คอื ภาษา ๔. ปฏภิ าณ- (ความมีอารมณเ ปน หนง่ึ ) ปฏสิ ัมภทิ า ปญ ญาแตกฉานในปฏิภาณ ปฐมเทศนา เทศนาครง้ั แรก หมายถึง ปฏิสัมภิทามรรค ทางแหงปฏิสัมภิทา, ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจา ขอปฏิบัติที่ทําใหมีความแตกฉาน; ชื่อ ทรงแสดงแกพ ระปญ จวคั คยี ในวนั ขนึ้ คัมภีรหนึ่งแหงขุททกนิกาย ในพระ ๑๕ ค่ํา เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรสู อง สตุ ตนั ตปฎ ก เปน ภาษติ ของพระสารบี ตุ ร เดอื น ท่ปี าอิสปิ ตนมฤคทายวนั เมือง ปฏสิ ัลลานะ การหลกี เรน, การปลกี ตัว พาราณสี ออกไปจากความพลกุ พลา นวนุ วาย หรอื ปฐมโพธิกาล เวลาแรกตรัสรู, ระยะ จากอารมณหลากหลายทอี่ าจรบกวน สู เวลาชวงแรกหลังจากพระพุทธเจาตรัสรู ความสงัดวเิ วก, การอยูลําพัง แลว คือระยะประดิษฐานพระพุทธ- ปฏสิ ารณียกรรม กรรมอนั สงฆพ ึงทําแก ศาสนา นบั ครา วๆ ต้งั แตตรัสรูถึงได
ปฐมยาม ๑๙๕ ปฐวธี าตุ พระอัครสาวก; ดู พทุ ธประวตั ิ ภาษาไทย (ฉบบั ภาษาบาลีแบงเปน ๓๐ ปฐมยาม ยามตน , ยามทหี่ น่ึง, สว นท่ี ปริจเฉท โดยแบง ปรจิ เฉทท่ี ๑ เปน ๒ หนง่ึ แหงราตรี เมอื่ แบงกลางคนื เปน ๓ ตอน) สวน; เทียบ มชั ฌมิ ยาม, ปจ ฉิมยาม ปฐมสงั คายนา การสงั คายนาครัง้ ท่ี ๑; ดู ปฐมวัย วยั ตน, วยั แรก, วยั ซ่งึ ยงั เปน สังคายนาครั้งท่ี ๑ เดก็ ; ดู วยั ปฐมสังคีติ การสังคายนาคร้ังแรก; ดู ปฐมสมโพธิกถา ช่ือคัมภีรแสดงเร่ือง สังคายนาคร้งั ที่ ๑ ราวของพระพุทธเจา ต้ังแตประทับอยู ปฐมสาวก สาวกองคแรก คือพระ บนสวรรคช ัน้ ดสุ ิต เทวดาอญั เชิญใหม า อัญญาโกณฑญั ญะ อุบัติในมนษุ ยโลก แลว ออกบวชตรสั รู ปฐมอบุ าสก อบุ าสกคนแรกในพระพทุ ธ- ประกาศพระศาสนา ปรนิ ิพพาน จนถึง ศาสนา หมายถงึ ตปสุ สะ กบั ภลั ลกิ ะ ซ่งึ แจกพระธาตุ ตอทายดว ยเรอื่ งพระเจา ถงึ สรณะ ๒ คอื พระพทุ ธเจาและพระ อโศกยกยองพระศาสนา และการ ธรรม; บิดาของพระยสะเปนคนแรกที่ อนั ตรธานแหงพระศาสนาในทส่ี ุด ถึงสรณะครบ ๓ ปฐมสมโพธิกถาท่ีรูจักกันมากและ ปฐมอุบาสกิ า อุบาสิกาคนแรก หมายถงึ ใชศึกษาอยางเปนวรรณคดีสําคัญน้ัน มารดาและภรรยาเกา ของพระยสะ คือฉบับท่ีเปนพระนิพนธของสมเด็จ ปฐมาปตติกะ ใหตองอาบัติแตแรกทํา พระมหาสมณเจา กรมพระปรมานุชิต- หมายถงึ อาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ๙ สิกขาบท ชโิ นรส วดั พระเชตุพน ทรงรจนาถวาย ขางตนซ่ึงภิกษุลวงเขาแลว ตองอาบัติ ฉลองพระราชศรัทธาพระบาทสมเด็จ ทันที สงฆไมต อ งสวดสมนุภาสน; คกู บั พระนั่งเกลาเจาอยูหัวที่ไดทรงอาราธนา ยาวตตยิ กะ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ ฉบบั ท่ีทรงรจนาน้ี ปฐวี ดิน, แผนดิน; ปถวี กเ็ ขียน ทรงชําระปฐมสมโพธิกถาฉบับของเกา ปฐวธี าตุ ธาตดุ นิ , สภาวะท่ีมีลกั ษณะ ทรงตดั และเตมิ ขยายความสําคัญบาง แขนแข็ง; ในรางกายที่ใชเปนอารมณ ตอน เนื้อหามีคติท้ังทางมหายานและ กรรมฐาน ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เถรวาทปนกันมาแตเดิม และทรงจัด เน้ือ เอ็น กระดกู เยื่อในกระดกู มา ม เปน บทตอนเพมิ่ ขนึ้ รวมมี ๒๙ ปรจิ เฉท หัวใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไสใหญ ไส มีท้ังฉบับภาษาบาลีและฉบับแปลเปน นอย อาหารใหม อาหารเกา, อยา งนเ้ี ปน
ปณามคาถา ๑๙๖ การกลาวถึงปฐวีธาตุในลักษณะท่ีคน ไดอ ยา งมากทส่ี ุดกเ็ พียงถอยคํา หรือขอ สามัญทั่วไปจะเขาใจได และท่ีจะให ความ ไมอ าจเขา ใจความหมาย ไมอาจ สําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน เขา ใจธรรม; ดู บุคคล ๔ แตในทางพระอภิธรรม ปฐวีธาตุเปน ปทุม บัวหลวง สภาวะพื้นฐานที่มีอยูในรูปธรรมทุก ปธาน ความเพียร, ความเพียรทชี่ อบเปน อยาง แมแตในนาํ้ และในลมทเ่ี รียกกนั สัมมาวายามะ มี ๔ อยา งคอื ๑. สงั วร- สามัญ ซ่ึงรูสึกถูกตองไดดวยกาย ปธาน เพยี รระวงั บาปอกศุ ลทย่ี งั ไมเ กดิ สมั ผสั ; ปถวธี าตุ ก็เขยี น; ดูธาต,ุ รูป๒๘ มใิ หเ กดิ ขน้ึ ๒. ปหานปธาน เพยี รละ ปณามคาถา คาถานอมไหว, คาถาแสดง บาปอกศุ ลทเี่ กดิ ขน้ึ แลว ๓. ภาวนาปธาน ความเคารพพระรตั นตรยั เรยี กกนั งายๆ เพียรเจริญทํากุศลธรรมที่ยังไมเกิดให วา คาถาไหวค รู ซงึ่ ตามปกติ พระอาจารย เกดิ ขนึ้ ๔. อนรุ กั ขนาปธาน เพยี รรกั ษา ผแู ตง คมั ภรี ภ าษาบาลี เชน อรรถกถา กุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแลวไมใหเส่ือมไป ฎีกา เปนตน ถือเปนธรรมเนียมท่ีจะ และใหเ พม่ิ ไพบลู ย; สมั มปั ปธาน กเ็ รยี ก เรียบเรียงไวเปนเบื้องตน กอนข้ึนเนื้อ ปปญ จะ กเิ ลสเครอ่ื งเนิ่นชา , กเิ ลสทป่ี น ความของคมั ภีรน ัน้ ๆ ประกอบดว ยคาํ ใหเชือนแชชักชาอยูในสังสารวัฏ หรือ สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คําบอก ปน สังสารวัฏใหเวยี นวนยดื เรอ้ื , กเิ ลสที่ ความมุงหมายในการแตง คําอางถึง เปนตัวการปนเรื่องทําใหคิดปรุงแตงยืด บคุ คลทเี่ ก่ยี วขอ ง เชน ผูอ าราธนาให เยือ้ แผกเพย้ี นพิสดาร พาใหเขวออกไป แตง และขอควรทราบอ่ืนๆ เปนอยา ง จากความเปนจริง และกอ ปญหาความ คํานํา หรือคําปรารภ ยงุ ยากเดอื ดรอ นเพ่มิ ขยายทุกข มี ๓ ปณธิ าน การตง้ั ความปรารถนา คือ ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ปติวัตร ความจงรักในสามี, ความซ่อื ปปญจสูทนี ชื่อคัมภีรอรรถกถาที่ สัตยและภกั ดตี อ สาม,ี ขอ ควรปฏิบตั ิตอ อธิบายความในมัชฌมิ นิกาย แหงพระ สามี สุตตันตปฎก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บ ปถวี ดู ปฐวี ปถวีธาตุ ดู ปฐวธี าตุ เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา ปทปรมะ “ผูมบี ท (คอื ถอ ยคาํ ) เปน สงิ หฬทสี่ บื มาแตเ ดมิ เปน หลกั เมอ่ื พ.ศ. อยา งยงิ่ ”, บุคคลผูด อ ยปญญาเลา เรยี น ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, อรรถกถา
ปมาณกิ า ๑๙๗ ปรมตั ถโชติกา ปมาณกิ า ดู ประมาณ ตามความหมายสูงสุด, สภาวะท่ีมีใน ปมาทะ ความประมาท, ความขาดสต,ิ ความหมายทีแ่ ทจรงิ , สภาวธรรม บางที ความเลินเลอ, ความเผอเรอ, ความ ใชวา ปรมตั ถธรรม เผลอ, ความผดั เพี้ยน, ความปลอ ยปละ ปรมัตถที่พบในพระไตรปฎก ตาม ละเลย, ความชะลา ใจ; เทยี บ อัปปมาทะ ปกตใิ ชในความหมายนยั ที่ 1. คือจดุ ปมิตา เจาหญิงองคหนึ่งในวงศศากยะ หมาย หรอื ประโยชนส งู สุด เฉพาะอยาง เปน พระราชบตุ รขี องพระเจา สีหหนุ เปน ย่งิ ไดแกน พิ พาน แตในคัมภรี สมยั ตอ พระภคินีของพระนางอมิตา เปนพระ มา มกี ารใชใ นนัยที่ 2. บอยขึน้ คือใน เจาอาของพระพุทธเจา; บางท่ีกลาววา ความหมายวาเปน จริงหรอื ไม แตไมว า เจาหญิงปมิตาเปนเชษฐภคนิ ี ของพระ จะใชในแงความหมายอยางไหน ก็ นางอมิตา แตตามคัมภีรม หาวงส ซึง่ บรรจบท่ีนิพพาน เพราะนิพพานน้ัน ท้ัง เปนหลักฐานเดียวท่ีพบพระนามของเจา เปนประโยชนสูงสุด และเปนสภาวะที่ หญิงปมติ า นา จะเปนกนษิ ฐภคินี (ใน จรงิ แท (นิพพานเปน ปรมัตถใ นทัง้ สอง คัมภีรอืน่ บางแหง พระนามปมิตากลาย นยั ); ดู อัตถะ เปน ปาลิตา และในทน่ี น้ั เจา หญงิ ปาลติ า ปรมัตถโชติกา ชื่อคัมภีรอรรถกถา กเ็ ปน กนษิ ฐภคินขี องพระนางอมติ า) อธบิ ายความใน ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท ปรทาริกกรรม การประพฤตลิ ว งเมียคน สุตตนิบาต และชาดก แหงพระ อื่น, การเปนชเู มียเขา สุตตนั ตปฎ ก ซ่ึงพระพทุ ธโฆสาจารยนาํ ปรนปรอื บาํ รงุ เลยี้ ง, เลย้ี งดอู ยา งถงึ ขนาด เน้ือความในอรรถกถาเกาทีใ่ ชศ กึ ษาและ ปรนมิ มติ วสวตั ดี สวรรคช น้ั ที่ ๖ มี รักษาสบื ตอ กนั มาในลังกาทวปี อันเปน ทา วปรนมิ มติ วสวตั ดปี กครอง เทวดาชนั้ ภาษาสิงหฬ เอามาเรียบเรียงกลับข้ึน นปี้ รารถนาสงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ ไมต อ งนริ มติ เอง เปนภาษาบาลี เพื่อใหใชประโยชนในที่ มเี ทวดาอน่ื นริ มติ ใหอ กี ตอ หนงึ่ อ่นื นอกจากลงั กาทวปี ไดดว ย เมอ่ื พ.ศ. ใกลจะถึง ๑๐๐๐, มีบางทานสนั นิษฐาน ปรภพ ภพหนา, โลกหนา วา พระพุทธโฆสาจารยอาจจะมีคณะ ปรมตั ถ, ปรมตั ถะ 1. ประโยชนอ ยา งยง่ิ , ทํางาน โดยทานเปนหัวหนาในการ จดุ หมายสงู สดุ คือ พระนิพพาน 2. ก) ความหมายสงู สุด, ความหมายที่แทจ ริง ดําเนินงานแปลและเรียบเรียงทั้งหมด เชน ในคาํ วา ปรมตั ถสัจจะ ข) สภาวะ นน้ั ; ดู อรรถกถา, โปราณัฏฐกถา
ปรมตั ถทีปนี ๑๙๘ ปรมตั ถธรรม ปรมัตถทีปนี ชอ่ื คมั ภีรอรรถกถาอธิบาย ปรมตั ถธรรม ท้ังน้ี เห็นไดวาทานมุง ความใน อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ วมิ านวตั ถุ ความหมายในแงวา ประโยชนส ูงสุด เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรคี าถา และ จรยิ าปฎ ก แหง พระสตุ ตนั ตปฎก พระ ตอ มา ในคมั ภรี ช ้ันฎกี าลงมา มีการ ธรรมปาละอาศัยแนวของโปราณัฏฐกถา ใชคําวาปรมัตถธรรมบอยคร้ังข้ึนบาง (ไมบอยมาก) และใชในความหมายวา ที่รักษาสบื ตอกันมาในลงั กาทวีป ซึง่ เปน เปน ธรรมตามความหมายอยา งสงู สดุ คอื ในความหมายทแี่ ทจ รงิ มจี รงิ เปน จรงิ ซง่ึ ภาษาสงิ หฬ รจนาขึ้นเปน ภาษาบาลี ใน ตรงกับคําวาสภาวธรรม ยิ่งเม่ือคัมภีร อภิธัมมัตถสังคหะเกิดข้ึนแลว และมี สมัยภายหลังพระพทุ ธโฆสาจารยไ มน าน การศึกษาพระอภิธรรมตามแนวของอภ-ิ นกั ;ดูอรรถกถา, โปราณัฏฐกถา ธมั มตั ถสงั คหะนนั้ กม็ กี ารพดู กันท่ัวไป ปรมัตถธรรม ธรรมที่เปนปรมัตถ, ถึงหลักปรมัตถธรรม ๔ จนกลาวไดวา ธรรมที่เปนประโยชนสงู สุด, สภาวะท่มี ี อภิธัมมัตถสังคหะเปนแหลงเร่ิมตนหรือ เปนทม่ี าของเร่อื งปรมตั ถธรรม ๔ อยูโดยปรมตั ถ, สง่ิ ทีเ่ ปน จรงิ โดยความ อยางไรก็ดี ถาพูดอยางเครงครัด หมายสงู สดุ , สภาวธรรม, นยิ มพดู กนั มา ตามตัวอักษร ในคัมภีรอภิธัมมัตถ- สังคหะน้ันเอง ทานไมใ ชคาํ วา “ปรมตั ถ- เปนหลกั ทางพระอภธิ รรมวามี ปรมตั ถ- ธรรม” เลย แมแตในคาถาสาํ คญั เรม่ิ ธรรม ๔ คอื จิต เจตสิก รปู นิพพาน ปกรณห รอื ตน คมั ภรี ซง่ึ เปน บทตง้ั หลกั ท่ี ถอื วา จดั ประมวลปรมตั ถธรรม ๔ ขนึ้ มา พงึ สังเกตเคา ความทีเ่ ปนมาวา คาํ วา ใหศ กึ ษานนั้ แทจ รงิ กไ็ มม คี าํ วา “ปรมตถฺ - ธมมฺ ” แตอ ยา งใด ดงั คาํ ของทา นเองวา “ปรมตั ถธรรม” (บาล:ี ปรมตถฺ ธมมฺ ) นี้ ตตถฺ วตุ ตฺ าภธิ มมฺ ตถฺ า จตุธา ปรมตถฺ โต ไมพ บทใี่ ชใ นพระไตรปฎ กมาแตเดิม (ใน จิตฺต เจตสิก รูป นพิ พฺ านมติ ิ สพฺพถา พระไตรปฎ ก ใชเพยี งวา “ปรมตถฺ ” หรือ แปล: “อรรถแหงอภิธรรม ท่ีตรัสไว ในพระอภิธรรมน้ัน ท้งั หมดทงั้ สน้ิ โดย รวมกับคาํ อ่ืน, สวนในพระไตรปฎ กแปล ปรมตั ถ มี ๔ อยาง คือ จิต ๑ เจตสิก ๑ รปู ๑ นพิ พาน ๑” ภาษาไทย มีคาํ วา ปรมตั ถธรรม ซง่ึ ทา น ผูแปลใสหรือเติมเขามาตามคําอธิบาย ของอรรถกถาบาง ตามทเี่ หน็ เหมาะบา ง) ตอมาในชั้นอรรถกถา “ปรมัตถธรรม” จงึ ปรากฏบาง ๒-๓ แหง แตหมายถงึ เฉพาะนพิ พาน หรือไมก ็ใชอ ยา งกวา งๆ ทํานองวาเปนธรรมอันใหลุถึงนิพพาน ดังเชนสติปฏฐานก็เปนตัวอยางของ
ปรมตั ถธรรม ๑๙๙ ปรมตั ถธรรม (นเี้ ปน การแปลกนั ตามคาํ อธิบายของ การใชค าํ บาลีเปน “ปรมตถฺ ธมมฺ ” บา ง คัมภีรอภิธัมมัตถวิภาวินี แตมีอีกฎีกา แมจ ะไมมาก แตกไ็ มม ที ใี่ ดระบจุ าํ นวน หนึ่งในยุคหลังคานวาอภิธัมมัตถวิภาวินี วา ปรมตั ถธรรมส่ี จนกระทง่ั ในสมยั หลงั บอกผดิ ท่ถี กู ตอ งแปลวา “อภิธมั มตั ถะ มาก มคี มั ภรี บ าลแี ตง ในพมา บอกจาํ นวน ที่ขาพเจาคือพระอนุรุทธาจารยกลาวใน กบ็ อกเพยี งวา “ปรมตั ถ ๔” (จตตฺ าโร คาํ วา อภธิ ัมมัตถสังคหะน้ัน …”) ปรมตเฺ ถ, ปรมตถฺ ทปี นี สงคฺ หมหาฏกี าปาฐ, ๓๓๑) แลวก็มีอีกคัมภีรหนึ่งแตงในพมายุคไม ทายปริจเฉทที่ ๖ คือรูปสังคหวภิ าค นานน้ี ใชค าํ วา ปรมัตถธรรมโดยระบุวา ซ่งึ เปน บททแี่ สดงปรมตั ถม าครบ ๔ ถึง สังขารและนิพพาน เปนปรมัตถธรรม นิพพาน กม็ คี าถาคลา ยกนั ดังนี้ (นมกกฺ ารฏกี า, ๔๕) ยง่ิ กวา นน้ั ยอ นกลบั ไป ยุคเกา อาจจะกอนพระอนุรุทธาจารย อติ ิ จิตฺต เจตสกิ รูป นพิ พฺ านมจิ ฺจป แตงอภิธัมมัตถสังคหะเสียอีก คัมภีร ปรมตฺถ ปกาเสนตฺ ิ จตธุ าว ตถาคตา ฎีกาแหงอรรถกถาของสังยุตตนิกาย แหงพระสุตตันตปฎก ซ่ึงถือวารจนา แปล: “พระตถาคตเจาท้ังหลาย โดยพระธรรมปาละ ผูเปนอรรถกถา- ยอมทรงประกาศปรมัตถไวเพียง ๔ จารยใ หญท านหน่ึง ใชค าํ ปรมตั ถธรรม อยาง คือ จิต ๑ เจตสกิ ๑ รูป ในขอความที่ระบุวา “ปรมัตถธรรมอัน นิพพาน ๑ ดว ยประการฉะน้ี” แยกประเภทเปน ขนั ธ อายตนะ ธาตุ สจั จะ อนิ ทรยี และปฏจิ จสมปุ บาท” (ส.ํ ฏ.ี เม่ือพินิจดูก็จะเห็นไดที่น่ีวา คําวา ๒/๓๓๐๓/๖๕๑) นกี่ ค็ อื บอกวา ปรมตั ถธรรม “ปรมตั ถธรรม” เกดิ ขนึ้ จาก ประการแรก ไดแกประดาธรรม ชุดท่ีเรียกกันวา ผูจัดรูปคัมภีร (อยางที่ปจจุบันเรียกวา ปญ ญาภมู ิ หรือวปิ ส สนาภมู ิ นนั่ เอง บรรณกร) จบั ใจความตอนนน้ั ๆ ตง้ั ขน้ึ เปนหัวขอ เหมือนอยางในกรณีน้ี ใน ตามขอสังเกตและความท่ีกลาวมา คัมภีรบางฉบับ ตั้งเปนหัวขอขึ้นเหนือ พงึ ทราบวา ๑. การแปลขยายศัพทอ ยาง คาถานน้ั วา “จตปุ รมตถฺ ธมโฺ ม” (มใี นฉบบั ท่ีแปลปรมัตถะวาปรมัตถธรรมนี้ มิใช อกั ษรพมา , ฉบบั ไทยไมม )ี และประการ เปนความผิดพลาดเสียหาย แตเปน ทส่ี อง ผแู ปลเตมิ หรอื ใสเ พม่ิ เขา มา เชน เรื่องทั่วไปที่ควรรูเทาทันไว อันจะเปน คําบาลีวา “ปรมตฺถ” ก็แปลเปนไทยวา ประโยชนในบางแงบ างโอกาส (เหมือน ปรมตั ถธรรม ซง่ึ เปน กรณที เี่ ปน กนั ทวั่ ไป ในคัมภีรรุนตอมาที่อธิบายอภิธัม- มัตถสงั คหะ เชน อภธิ มั มัตถวิภาวนิ ี มี
ปรมัตถบารมี ๒๐๐ ปรมัตถบารมี ในการอานพระไตรปฎกฉบับแปลภาษา กถา”) มขี อ ความทเ่ี ปน บทตงั้ ซงึ่ บอกใจ ไทย ผอู านก็ควรทราบเปน พืน้ ไวว า คาํ ความท้ังหมดของคัมภีรอภิธัมมัตถ- แปลอาจจะไมตรงตามพระบาลีเดิมก็ได สงั คหะ คาถานจ้ี งึ สําคัญมาก ควรต้งั อยู เชน ในพระไตรปฎกบาลเี ดมิ วา พระ ในความเขาใจท่ีชัดเจนประจําใจของผู พุทธเจาเสด็จออกจากพระวิหาร [คือที่ ศกึ ษาเลยทเี ดยี ว ในกรณนี ี้ การแปลโดย ประทับ] แตในฉบบั แปล บางทีทา นแปล รกั ษารปู ศพั ท อาจชว ยใหช ดั ขนึ้ เชน อาจ ผานคําอธิบายของอรรถกถาวา พระ แปลวา “อภธิ ัมมัตถะ ที่กลาวในคําวา พุทธเจาเสดจ็ ออกจากพระคนั ธกฎุ )ี ๒. ‘อภิธัมมัตถสังคหะ’ นั้น ท้ังหมดท้ังส้ิน การประมวลอรรถแหงอภิธรรม (โดย โดยปรมัตถ มี ๔ อยาง คือ จติ เจตสกิ ท่ัวไปก็ถือวาเปนการประมวลธรรมท้ัง รูป นิพพาน” (พึงสงั เกตวา ถาถือเครง หมดทัง้ ปวงนัน่ เอง) จัดเปน ปรมัตถ ๔ ตามตัวอักษร ในคาถาเรมิ่ ปกรณน ี้ ทาน (ท่เี รียกกนั มาวาปรมัตถธรรม ๔) ตาม วา มอี ภธิ ัมมัตถะ ๔ สวนในคาถาทาย นัยของอภิธมั มัตถสงั คหะน้ี เปน ท่ยี อม ปรจิ เฉททห่ี ก ทา นกลาวถงึ ปรมัตถะ ๔ รับกันวาเปนระบบอันเย่ียม ซ่ึงเก้ือกูล แตโ ดยอรรถ ทงั้ สองนน้ั กอ็ ยา งเดยี วกนั ) ตอการศึกษาธรรมอยางย่ิง เรียกไดวา โดยเฉพาะคาํ วาอภิธัมมัตถะ จะชวยโยง เปนแนวอภธิ รรม แตถ าพบการจัดอยาง พระอภิธรรมปฎกท้ังหมดเขามาสูเร่ืองท่ี อน่ื ดังทย่ี กมาใหด เู ปนตวั อยาง [เปน ศึกษา เพราะทา นมงุ วา สาระในอภธิ รรม- สังขารและนิพพาน บาง เปนอยางที่ ปฎกท้งั หมดน่นั เอง ประมวลเขามาเปน เรียกวา ปญญาภูมิ บา ง] ก็ไมควรแปลก ๔ อยางนี้ ดังจะเห็นชัดต้ังแตพระ ใจ พึงทราบวาตางกันโดยวิธจี ัดเทา นั้น อภิธรรมปฎ กคมั ภีรแรก คือธัมมสังคณี สวนสาระก็ลงเปนอันเดียวกัน เหมือน ตลอดหมดทั้ง ๒๕๘ หนา ทีแ่ จงกสุ ลัต- จะวาเบญจขันธ หรือวานามรูป ก็อัน ติกะ อันเปนปฐมอภิธัมมมาติกา ก็ เดียวกนั ก็ดูแตว า วิธจี ดั แบบไหนจะงา ย ปรากฏออกมาชัดเจนวาเปนการแจง ตอการศึกษาหรือเอ้ือประโยชนท่ีมุง เร่อื ง จติ เจตสกิ รูป และนิพพาน นีเ้ อง; หมายมากกวากัน ๓. ในคาถาเร่ิมปกรณ ดู ปรมตั ถ, อภิธัมมตั ถสังคหะ (ในฉบับอักษรไทย ผูชําระ คือผูจัดรูป ปรมตั ถบารมี บารมียอดเยีย่ ม, บารมี คัมภีร ตั้งช่ือใหวา “ปกรณารมฺภคาถา” ในความหมายสงู สุด, บารมที เี่ ตม็ ความ แตฉ บบั อกั ษรพมาต้งั ชือ่ วา “คนฺถารมฺภ- หมายแทจรงิ , บารมีข้ันสงู สุด เหนอื อปุ -
ปรมัตถปฏปิ ทา ๒๐๑ ประเคน บารมี เชน การสละชวี ติ เพอื่ ประโยชน (เดมิ คอื ศาสนาพราหมณ) ซึง่ ถือวา ใน แกผ อู นื่ เปน ทานปรมตั ถบารม;ี ดู บารมี บคุ คลแตล ะคนนี้ มอี าตมนั คอื อตั ตา ปรมัตถปฏิปทา ขอปฏิบัติมีประโยชน หรือตัวตน สงิ สูอ ยูครอง เปน สภาวะ อันย่ิง, ทางดาํ เนินใหถึงปรมัตถ, ขอ เที่ยงแทถาวร เปนผูคิดผูนึกผูเสวย ปฏิบัติเพ่ือใหเขาถึงประโยชนสูดสุดคือ เวทนา เปนตน ซึ่งเปนสวนยอยที่แบง บรรลนุ พิ พาน ภาคออกมาจากปรมาตมันนน้ั เอง เมือ่ ปรมตั ถประโยชน ประโยชนอยางยงิ่ คอื คนตาย อาตมนั นีอ้ อกจากรา งไปสิงอยู พระนพิ พาน; เปน คาํ เรยี กกนั มาตดิ ปาก ในรางอ่ืนตอไป เหมือนถอดเสอื้ ผาเกา ความจรงิ คอื ปรมตั ถะ แปลวา “ประโยชน สวมเสื้อผาใหม หรือออกจากเรอื นเกา อยา งยงิ่ ” เหมอื น ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ แปลวา ไปอยูในเรอื นใหม ไดเสวยสุขหรอื ทกุ ข “ประโยชนป จ จบุ นั ” และ สมั ปรายกิ ตั ถะ เปนตน สุดแตกรรมที่ไดทําไว เวียน แปลวา “ประโยชนเบอ้ื งหนา ” กม็ กั เรียก วา ยตายเกิดเรื่อยไป จนกวา จะตระหนกั กันวา ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน และ รูวาตนเองเปนอันหน่ึงอันเดียวกับ สัมปรายิกตั ถประโยชน ปรมาตมนั และเขาถงึ ความบริสุทธจ์ิ าก ปรมัตถมัญชุสา ชื่อคัมภีรฎีกาที่พระ บาปโดยสิ้นเชิง จึงจะไดกลบั เขา รวมกบั ธรรมปาละรจนาขน้ึ เพอื่ อธบิ ายความใน ปรมาตมันดังเดิม ไมเวียนตายเวียน คัมภีรวิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสา- เกดิ อีกตอ ไป; ปรมาตมันน้ี กค็ ือ พรหม จารย; นยิ มเรียกวา มหาฎกี า หรอื พรหมัน นัน่ เอง ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ คือ ปรหติ ปฏบิ ัติ ดู ปรัตถปฏิบัติ ความจริงโดยความหมายสงู สดุ เชน รูป ประคด ผา ใชค าดเอวหรอื คาดอกสําหรบั เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ; ตรงขาม พระ (เรยี ก ประคดอก ประคดเอว) มี กับ สมมติสจั จะ จริงโดยสมมติ เชน ๒ อยา ง คอื ประคดแผน ๑ ประคดไส สัตว บคุ คล ฉนั เธอ มา รถ นาย ก. สุกร ๑ นาง ข. เปน ตน ประเคน สง ของถวายพระภายในหตั ถบาส, ปรมาตมัน อาตมนั สูงสดุ หรืออัตตาสงู สง ใหถงึ มือ; องคแหงการประเคนมี ๕ สดุ (บรมอาตมนั หรือบรมอตั ตา) เปน คือ ๑. ของไมใ หญโตหรอื หนกั เกินไป สภาวะแทจริงและเปนจุดหมายสูงสุด พอคนปานกลางคนเดียวยกได ๒. ผู ตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู ประเคนเขามาอยูในหัตถบาส คือหาง
ประจักษ ๒๐๒ ประธานาธิบดี ประมาณศอกหน่ึง ๓. เขานอ มของนัน้ ประดิษฐาน ต้งั ไว, แตงตัง้ , การตง้ั ไว, เขา มาให ๔. นอมใหดว ยกาย ดว ยของ การแตงต้งั เนอื่ งดวยกาย หรอื โยนใหกไ็ ด ๕. ภิกษุ ประเดน็ ขอความสาํ คัญ, หวั ขอหลกั รับดว ยกายกไ็ ด ดว ยของเน่ืองดว ยกาย ประถมวยั ดู ปฐมวัย ก็ได (ถาผูห ญงิ ประเคน ใชผ ากราบหรือ ประทม นอน ประทมอนุฏฐานไสยา นอนชนิดไมลุก ผา เชด็ หนา ทส่ี ะอาดรบั ) ประจกั ษ ชดั เจน, แจม แจง , ตอ หนา ตอ ตา ขึน้ อกี ประชวร เจ็บ, ปวย ประทักษิณ เบ้ืองขวา, การเวียนขวาคือ ประชวรพระครรภ ปวดทอ งคลอดลกู เวียนเล้ียวไปทางขวาอยางเข็มนาฬิกา ประชุมชาดก ประมวลความบรรจบเรื่อง เปนอาการแสดงความเคารพ ทา ยชาดก, เปนคําของอรรถกถาท่ลี ําดบั ประทบั อยู เชน ประทบั แรม (ใชแกเ จา ความในชาดกวา เม่ือพระพุทธเจาตรัส นาย); แนบอยู เชน เอาปนประทบั บา ; เลา ชาดกเรอื่ งนน้ั ๆ จบแลว กท็ รงประชมุ กดลง เชน ประทบั ตรา ชาดก (ชาตกสโมธาน หรือขอ ความใน ประทาน ให ประโยคบาลวี า “ชาตกํ สโมธาเนส”ิ ) คอื ประทปี ตะเกยี ง, โคม, ไฟทม่ี เี ปลวสวา ง บอกใหท ราบวา บคุ คลทั้งหลายในเรือ่ ง ประทุม บัวหลวง อดีตของชาดกน้ัน มาเปนใครบางใน ประทุษรา ยสกลุ ดู กลุ ทูสก ปจจุบันแหงพุทธกาลคือในเวลาท่ีพระ ประเทศบัญญัติ บัญญัติจําเพาะถ่ิน, องคก ําลงั ตรสั เลาเร่ืองน้นั สิกขาบทที่พระพุทธเจาทรงต้ังไวเฉพาะ ประณต นอ มไหว สําหรบั มัธยมประเทศ คอื จังหวัดกลาง ประณม ยกกระพุมมือแสดงความ แหง ชมพทู วีป เชน สกิ ขาบทท่ี ๗ แหง เคารพ, ยกมือไหว (พจนานุกรมเขียน สรุ าปานวรรค ในปาจติ ตยิ กัณฑ ไมใ ห ประนม) ภิกษุอาบน้ําในเวลาหางกันหยอนกวากึ่ง ประณาม 1. การนอมไหว 2. การขบั ไล เดอื น เวนแตสมยั ประเทศราช เมอื งอสิ ระทสี่ งั กดั ประเทศอนื่ 3. พูดวากดใหเ สยี หาย ประณีต ด,ี ดียิ่ง, ละเอียด ประธาน หวั หนา, ผเู ปน ใหญใ นหมู ประดษิ ฐ ต้งั ขึ้น, จัดทําขึ้น, สรางข้นึ , ประธานาธิบดี หัวหนาผูปกครองบาน คดิ ทาํ ขนึ้ เมอื งแบบสาธารณรัฐ
ประนม ๒๐๓ ประสตู ิ ประนม ยกกระพุมมือ การและความถกู ตองเปน ประมาณ ประนีประนอม ปรองดองกนั , ยอมกัน, ประมาท ดู ปมาทะ ประมุข ผูเ ปนหัวหนา ตกลงกนั ดว ยความไกลเกล่ยี ประพฤติ ความเปนไปท่ีเกี่ยวกับการ ประโยค การประกอบ, การกระทาํ , การ กระทําหรือปฏบิ ตั ติ น; กระทํา, ทําตาม, พยายาม ปฏบิ ัต,ิ ปฏิบตั ติ น, ดําเนินชีวิต ประโยชน (เกดิ แตก ารถอื เอาโภคทรพั ย) ๕; ดู ประพฤติในคณะอันพรอง เปน โภคอาทยิ ะ ๕ ประการหน่ึงในรัตติเฉท คือเหตุขาด ประลัย ความตาย, ความยอยยบั , ความ ราตรแี หง มานตั ๔ ประการ หมายถึง ปน ป ประพฤติมานัตในถ่ินเชนอาวาสที่มี ประวตั ิ ความเปนไป, เรอื่ งราว ปกตัตตภิกษุไมครบจํานวนสงฆ คือ ประศาสนวธิ ี วธิ กี ารปกครอง, ระเบยี บ หยอน ๔ รปู แหงการปกครองหมูคณะ ประพาส ไปเท่ียว, เที่ยวเลน, อยูแรม ประสก เปนคําเลือนมาจาก อุบาสก ประเพณี ขนบธรรมเนยี ม, แบบแผน, พระสงฆครั้งกอนมักใชเรียกคฤหัสถผู เชือ้ สาย ชาย คกู บั สีกา แตบ ัดนีไ้ ดย ินใชน อ ย ประมาณ การวดั , การกะ, เครอ่ื งวดั , ประสบ พบ, พบเหน็ , เจอะ, เจอ เกณฑ, การถอื เกณฑ; บคุ คลในโลก ประสพ กอ , ทาํ ใหเ กดิ , เผลด็ ผล, ไดร บั แบงตามประมาณคือหลักเกณฑในใจท่ี เปนผลตอบแทน (ปสวติ = นิปฺผาเทติ, ใชวัดในการท่ีจะเกิดความเช่ือถือหรือ ผลต,ิ อปุ ปฺ าเทต,ิ อปุ จนิ ต,ิ ปฏลิ ภต)ิ ความนยิ มเลอื่ มใส ทา นแสดงไว ๔ จาํ พวก ประสาท 1. เครอ่ื งนําความรูสึกสําหรับ คอื ๑. รปู ประมาณ หรอื รปู ป ปมาณกิ า ผู คนและสตั ว, ในอภธิ รรมวา เปน ประสาท- ถือรูปราง เปนประมาณ ๒. โฆษ- รปู (คาํ บาลวี า ปสาทรปู ) 2. ความ ประมาณ หรือ โฆสปั ปมาณิกา ผูถอื เลอ่ื มใส; ดู ปสาท 3. ยินดีให, โปรดให เสยี งหรือชอ่ื เสียงเปนประมาณ ๓. ลขู - ประสาทรูป รปู คือประสาท ประมาณ หรือ ลูขัปปมาณิกา ผูถือ ประสาธน ทาํ ใหส ําเรจ็ , เคร่อื งประดบั ความคร่าํ หรอื ปอนๆ เปนประมาณ ๔. ประสิทธ์ิ ความสาํ เร็จ, ทําใหส าํ เร็จ, ให ธรรมประมาณ หรอื ธมั มปั ปมาณกิ า ผู ประสทิ ธิพ์ ร ใหพ ร, ทาํ พรใหส าํ เร็จ ถือธรรมคือเอาเน้ือหาสาระเหตุผลหลัก ประสตู ิ เกิด, การเกดิ , การคลอด
ประเสริฐ ๒๐๔ ปริกรรมนิมิต ประเสรฐิ ดีที่สดุ , ดเี ลิศ, วิเศษ อยางใดอยางหน่ึงแลวไมไปฉันในท่ี ประหาณ ละ, กาํ จดั ; การละ, การกาํ จดั ; นมิ นตน ้ัน ไปฉันเสยี ในท่ีอ่ืนท่เี ขานมิ นต เปนรูปที่เขียนอยางสันสกฤต เขียน ทีหลงั ซึง่ พองเวลากนั อยางบาลีเปน ปหาน (บางทีเขียนผิด ปราการ กาํ แพง, เครอื่ งลอ มกน้ั เปน ประหาณ) ปราชญ ผรู ู, ผูม ีปญญา ประหาร การต,ี การทุบต,ี การฟน , การ ปรามาส๑ [ปฺรา-มาด] ดถู ูก, ดูหมิ่น ปรามาส๒ [ปะ-รา-มาด] การจับตอง, ลา งผลาญ; ฆา, ทาํ ลาย ปรัตถะ ประโยชนผ อู นื่ , ประโยชนเ พื่อ การยดึ ฉวย, การจับไวม ่นั , การลูบหรอื คนอืน่ อนั พึงบําเพ็ญดวยการชว ยใหเขา เสียดสีไปมา, ความยึดมัน่ ; มักแปลกัน เปน อยดู วยดี พึ่งตนเองได ไมวาจะเปน วา การลูบคลํา ทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือสัมปรายิกัตถะ ปราโมทย ความบนั เทงิ ใจ, ความปล้มื ใจ หรอื ปรมัตถะก็ตาม; เทียบ อัตตตั ถะ ปรารภ ตั้งตน , ดําริ, กลาวถงึ ปรัตถปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อประโยชน ปรารมภ เริม่ , ปรารภ, เร่มิ แรก, วิตก, แกผูอื่น เปนพุทธคุณอยางหนึ่ง คือ รําพึง, ครนุ คิด การทรงบําเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน ปราศรัย พดู ดว ยความเอน็ ด,ู กลา ว แกสัตวท้ังหลาย เปนที่พ่ึงของชาวโลก ปราสาท เรือนหลวง, เรือนช้นั (โลกนาถ) ซึ่งสาํ เรจ็ ดวยพระมหากรุณา ปรกิ ถา คาํ พูดหวานลอม, การพูดใหรู คุณเปนสาํ คัญ มักเขยี นเปน ปรหิต- โดยปรยิ าย, การพดู ออมไปออมมาเพอื่ ปฏิบตั ิ ซง่ึ แปลเหมอื นกนั ; เปน คกู นั กับ ใหเขาถวายปจจัย ๔ เปน การกระทาํ ท่ี อัตตัตถสมบตั ิ หรือ อัตตหิตสมบัติ ไมสมควรแกภิกษุ ถา ทาํ ปริกถาเพ่ือให ปรปั วาท [ปะ-รับ-ปะ-วาด] คํากลา วของ เขาถวายจีวรและบิณฑบาต ช่ือวามี คนพวกอ่ืนหรือลัทธิอ่ืน, คํากลาวโทษ อาชีวะไมบริสุทธ์ิ แตทานวาทําปริกถา คัดคานโตแยงของคนพวกอ่ืน, หลัก ในเรื่องเสนาสนะไดอยู เชน พูดวา การของฝายอืน่ , ลทั ธิภายนอก; คําสอน “เสนาสนะของสงฆค ับแคบ” อยา งไรก็ ที่คลาดเคล่ือนหรือวิปริตผิดเพ้ียนไป ตาม ถาถือธุดงคไมพึงทําปริกถาอยาง เปน อยางอนื่ หนงึ่ อยางใดเลย ปรมั ปรโภชน โภชนะทหี ลงั คือ ภิกษุ ปรกิ รรมนิมิต นิมิตแหงบริกรรม, นมิ ติ รับนิมนตในที่แหง หน่ึงดว ยโภชนะท้ัง ๕ ขั้นตระเตรียมหรือเร่ิมเจริญสมถ-
ปริกปั ๒๐๕ ปริตต,ปริตร กรรมฐานไดแกส่ิงท่ีกําหนดเปนอารมณ คบั แคบ หมายถึงธรรมทีเ่ ปน กามาวจร, พงึ ทราบวา ธรรมทงั้ ปวง หรอื สงิ่ ทงั้ หลาย เชน ดวงกสิณทีเ่ พงดู หรือพุทธคุณท่นี กึ ประดามนี น้ั นยั หนงึ่ ประมวลจดั แยกได เปน ๓ ประเภท ไดแ ก ปรติ ตะ (ธรรมที่ วาอยูใ นใจเปน ตน (ขอ ๑ ในนิมิต ๓) ดอยหรือคับแคบ คือเปนกามาวจร) ปริกัป 1. ความตรกึ , ความดําร,ิ ความ มหคั คตะ หรอื มหรคต (ธรรมทถี่ งึ ความ คํานึง, ความกําหนดในใจ 2. การ ยง่ิ ใหญ คอื เปน รปู าวจร หรืออรปู าวจร) และ อัปปมาณะ (ธรรมท่ีประมาณมิได กําหนดดว ยเง่ือนไข, ขอแม คือเปนโลกุตตระ); ดู กามาวจร 3. ปริกมั ม ดู บรกิ รรม [ปะ-หริด] “เคร่ืองคุมครองปองกัน”, ปริจฉนิ นากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ บทสวดท่นี ับถือเปนพระพุทธมนต คือ ปริจเฉท กําหนดตัด, ขอ ความท่ีกําหนด บาลภี าษติ ดัง้ เดิมในพระไตรปฎก ซึ่งได ไวเ ปนตอนๆ, ขอความทร่ี วบรวมเอามา ยกมาจัดไวเปนพวกหนึ่งในฐานะเปนคํา ขลัง หรือคาํ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ท่มี ีอานภุ าพคมุ จัดเปนหมวดๆ, บท, ตอน; การกาํ หนด ครองปองกันชวยใหพนจากภยันตราย และเปนสิริมงคลทําใหเกษมสวัสดีมี แยก, การพจิ ารณาตัดแยกออกใหเหน็ ความสุขความเจริญ (ในยุคหลังมีการ แตละสวน (พจนานุกรมเขียน ปรเิ ฉท) เรียบเรียงปริตรเพิ่มขึ้นนอกเหนือจาก ปริจเฉทรปู รูปท่ีกาํ หนดเทศะ ไดแ ก บาลภี าษติ ในพระไตรปฎกบา ง พึงทราบ อากาสธาตุ หรืออากาศ คือ ชองวางเชน ตามคาํ อธิบายตอ ไป และพึงแยกวา บท สวดท่ีมักสวดเพิ่มหรือพวงกับพระ ชองวางในสว นตา งๆ ของรางกาย ปรติ รในพิธีหรือในโอกาสเดยี วกนั มีอีก ปริจเฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ มาก มิใชมาจากพระไตรปฎก แตเ ปน ปริจารกิ า หญงิ รบั ใช, บรจิ าริกา กว็ า ของนิพนธข นึ้ ภายหลัง ไมใ ชพ ระปรติ ร ปริญญา การกําหนดรู, การทาํ ความเขา แตเ ปน บทสวดประกอบ โดยสวดนําบา ง ใจโดยครบถว น มี ๓ คอื ๑. ญาต- สวดตอทายบา ง), กลา วไดว า การสวด ปริญญา กําหนดรูขั้นรูจัก ๒. ตีรณ- พระปริตรเปนการปฏิบัติสืบเนื่องจาก ปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณา ๓. ค ว า ม นิ ย ม ใ น สั ง ค ม ซ่ึ ง มี ก า ร ส ว ด ปหานปรญิ ญา กําหนดรูถงึ ขน้ั ละได ปริณายก ผนู าํ , ผูเปนหวั หนา ปริตต, ปรติ ร 1. [ปะ-ริด] นอย, เลก็ นอ ย, นดิ หนอย, ต่าํ ตอย, ดอย, คับ แคบ, ไมสําคญั (ตรงขา มกับ มหา หรือ มหันต) 2. [ปะ-รดิ ] สภาวะที่ดอย หรอื
ปริตต, ปรติ ร ๒๐๖ ปริตต, ปริตร สาธยายรายมนต (มันตสัชฌายน, อ่ืนมา มนตทําใหมิตรผิดใจแตกกัน มันตปริชัปปน) ท่ีแพรหลายเปนหลัก ฯลฯ มนตเหลานี้ภิกษุณีจะเรียนหรือ สาํ คญั อยางหนึ่งในศาสนาพราหมณ แต สอนไมไ ด เปน การผิดพทุ ธบัญญัติ แต ไดปรับแกจัดและจํากัดท้ังความหมาย เรียนหรือสอนปริตรเพ่ือคมุ ครองตนเอง เน้ือหาและการปฏิบัติใหเขากับคติแหง หรือผูอื่นก็ตาม ไมผิด, นอกจากน้ัน พระพทุ ธศาสนา อยางนอ ยเพื่อชว ยให หลายครัง้ พระพทุ ธเจา ทรงแนะนําพระ ชนจํานวนมากท่ีเคยยึดถือมาตามคติ สาวก ใหเจริญเมตตาตอสัตวทั้งหลาย พราหมณและยังไมเขมแข็งมั่นคงใน เชนตองู บาง ใหทําสัจกิริยาคืออาง พุทธคติ หรืออยูในบรรยากาศของคติ สัจจะอา งคณุ ธรรมบา ง ใหร ะลึกถงึ คณุ พราหมณน น้ั และยงั อาจหวนั่ ไหว ใหม ี และเคารพนบนอมพระรัตนตรัยบาง เคร่ืองมั่นใจและใหมีหลักเชื่อมตอท่ีจะ เปนกําลังท่ีคุมครองรักษา แลวพระ ชว ยพาพฒั นากาวตอ ไป, ท้ังน้ี ในฝาย ดํารัสน้ันก็ไดรับความนับถือจัดเปน ภิกษุ มีพุทธบญั ญตั ิ (วินย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) ปริตรชื่อตางๆ, ที่กลาวน้ี พอใหเห็น หามมิใหเรียนมิใหบอกติรัจฉานวิชา ความเปน มาของพระปรติ ร ตอ ไปนี้ จะ หากฝาฝน ตองอาบัติทกุ กฏ โดยมไิ ด สรุปขอควรทราบเก่ียวกับพระปริตรไว แสดงขอยกเวนไว สวนในฝายภิกษุณี เปนความรูประกอบ (วินย.๓/๓๒๒-๗/๑๗๖–๑๗๘) มีพทุ ธบัญญตั ิ ๑) โดยชอ่ื : เรยี กวา “ปรติ ร” ตามความ หามมิใหเรียนมิใหบอกติรัจฉานวิชา หมายท่ีเปนเคร่ืองคุมครองปองกันอัน หากฝาฝน ตอ งอาบตั ิปาจิตตยี แตม ี ชอบธรรม ซ่งึ ตางจากมนต ทไ่ี ดม ีความ ขอยกเวนวาเรียนหรือบอกปริตรเพ่ือคุม หมายโนมไปในทางเปนอาถรรพณมนต ครอง (แกตนเองหรอื แกผ อู น่ื กต็ าม) ไม ตามลัทธขิ องพราหมณ อยา งทเ่ี รยี กใน ตอ งอาบตั ,ิ มคี าํ อธบิ ายวา ตริ จั ฉานวชิ า บัดนว้ี าเปน ไสยศาสตร ซึ่งมักใชท ําราย คือวิชาทํารายคนอื่น รวมท้ังมนต ผูอื่น และสนองความโลภ เปนตน อาถรรพ (อาถรรพณมนต ตามคมั ภรี ๒) โดยเนอื้ หา: ปรติ รเปน เร่อื งของคณุ อถรรพเวทของพราหมณ) เชน มนตใ น ธรรมท้ังในเน้ือหาและการปฏิบัติ คุณ การฝง รปู ฝง รอย มนตสะกดคนใหอยู ธรรมที่เปนพื้นท่ัวไปคือเมตตา บาง ใตอํานาจ มนตแผดเผาสรีรธาตุใหเขา ปริตรเปนคําแผเมตตาท้ังบท (เชน ผอมแหง มนตช ักลากเอาทรพั ยของคน กรณยี เมตตปรติ ร และขนั ธปรติ ร) แม
ปรติ ต, ปริตร ๒๐๗ ปรติ ต,ปริตร แตเมื่อจะเริ่มสวดพระปริตร ก็มีคํา พระพรหมมี ๕ พักตร กระทั่งคราวหนึง่ ประพันธที่แตงข้ึนมาใหสวดสําหรับ ถูกพระศิวะกร้ิวและทําลายพักตรที่หา ชุมนุมเทวดากอน ซ่ึงบอกใหผูสวดต้ัง เสยี จึงเหลือสพี่ ักตร) ปริตรไมอ งิ และ จิตแผเมตตาแตตน อยางที่เรียกวามี ไมเ ออ้ื ตอ กเิ ลสโลภะ โทสะ โมหะเลย เนน เมตตาเปนปุเรจาริก (และคําที่เชิญ แตธ รรม เฉพาะอยา งยงิ่ เมตตาและสจั จะ เทวดามาฟง ก็บอกวา เชิญมาฟง ธรรม) อยา งทกี่ ลา วแลว และอา งพทุ ธคณุ หรือ คุณธรรมสําคัญอีกอยางหนึ่งที่เปนแกน คุณพระรัตนตรัยท้ังหมดเปนอํานาจคุม ของปริตรคือสัจจะ บางปริตรเปน คาํ ต้ัง ครองรกั ษาอํานวยความเกษมสวัสดี ใน สจั กริ ยิ าทั้งบท (เชน อังคุลิมาลปริตร หลายปริตรมีคําแทรกเสริม บอกให และวฏั ฏกปรติ ร) บางปรติ รเปน คาํ ระลกึ เทวดามีเมตตาตอหมูมนุษย ทั้งเตือน คณุ พระรตั นตรยั (รตนปรติ ร โมรปรติ ร เทวดาวามนุษยไดพากันบวงสรวงบูชา ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร) บาง จงึ ขอใหท ําหนา ทด่ี แู ลรักษาเขาดว ยดี ปริตรเปนคําสอนหลักธรรมท่ีจะปฏิบัติ ๔) โดยประโยชน: ความหมายและการ ใหชีวิตสังคมเจริญงอกงามและหลัก ใชประโยชนจากปริตร ตางกันไปตาม ธรรมทเ่ี จรญิ จติ เจรญิ ปญ ญา (มงคลสตู ร ระดับการพัฒนาของบุคคล ตั้งแตชาว โพชฌังคปรติ ร, โพชฌังคปริตรนน้ั ทา น บา นทว่ั ไป ทมี่ งุ ใหเ ปน กาํ ลงั อาํ นาจปกปก นําสาระจากพระสูตรเดิมมาเรียบเรียง รักษาคุมครองปองกัน จนถึงพระ และเตมิ คาํ อางสจั จะตอ ทายทกุ ทอน) อรหันตซึ่งใชเจริญธรรมปติ แตที่ยืน ๓) โดยหลกั การ: ปริตรเปนไปตามหลกั เปนหลักคอื ชว ยใหจ ติ ของผสู วดและผู พระพุทธศาสนาท่ีถือธรรมเปนใหญสูง ฟงเจรญิ กุศล เชน ศรทั ธาปสาทะ ปติ สุด ไมมีการรองขอหรืออางอํานาจของ ปราโมทยแ ละความสุข ตลอดจนตั้งมัน่ เทพเจา (เทพท้งั หลายแมแตท ีน่ ับถือวา เปน สมาธิ รวมท้ังเตรียมจติ ใหพรอมที่ สูงสุด ก็ยังทํารายกัน ไมบริสุทธิ์แท จะกาวสูภูมิธรรมท่ีสูงขึ้นไป คือเปน และไมเ ปน มาตรฐานท่แี นนอน ตองขนึ้ กศุ ลภาวนา เปน จิตตภาวนา ตอธรรม มีธรรมเปน ตัวตัดสนิ ในท่ีสดุ ๕) โดยทมี่ า: แหลงท่มี าของพระปรติ ร เชน วา กอนโนน พราหมณถ ือวา พระ ไดแกคําแนะนําส่ังสอนของพระพุทธเจา พรหมเปน ใหญ สรางทกุ สิ่งทกุ อยาง แต กลา วคอื พระสตู ร พทุ ธานญุ าต ชาดก ตอมาลัทธินับถือพระศิวะเลาวา เดิมที เร่ืองไหนตอนใดมีเนื้อความซ่ึงไดความ
ปรติ ต, ปรติ ร ๒๐๘ ปรติ ต, ปริตร หมายตรงตามทต่ี อ งการ กน็ าํ มาสวดและ (วนิ ย.๗/๒๖/๑๑; อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๖๗/๙๔) เปน ทมี่ า นิยมสืบกันมา เชน มหาโจรองคุลิมาล ของขนั ธปรติ ร (คาถาทเี่ ปน ปรติ รนมี้ าในขนั ธ- เมื่อกลับใจมาบวชแลว วันหนึ่งไป ปรติ ตชาดกดว ย, ข.ุ ชา.๒๗/๒๕๕/๗๔), หรอื บณิ ฑบาต พบสตรีครรภแ กคลอดยาก อยางพระพุทธเจาตรัสสอนธรรมโดย มีอาการทุลักทุเลลําบาก ทานสงสาร ทรงเลาเร่ืองชาดกเปนตัวอยาง แลว กลับจากบิณฑบาตแลวก็มาเฝา ทลู ความ ชาดกบางเรื่องที่มีถอยคําซึ่งไดชวยให แดพ ระผูม พี ระภาคเจา พระองคจ ึงทรง บุคคลหรือสัตวในเร่ืองรอดพนอันตราย แนะนําใหทานเขาไปหาสตรีน้ันและ ก็มาเปนปริตร ดังเชน “คาถานกคุม ” ที่ กลาวคาํ เปนสจั กิริยาวา “ดกู รนอ งหญิง ลูกนกคุมกลาวเปนสจั กริ ยิ า ทาํ ใหไ ฟปา ตั้งแตอาตมาไดเกิดแลวในอริยชาติ มิ ไมล กุ ลามเขา มาไหมร งั (ข.ุ ชา.๒๗/๓๕/๑๒ มี ไดรูสึกเลยวาจะจงใจปลงสัตวเสียจาก ชวี ติ ดวยสจั วาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมี คาถาแตไ มค รบ, มาครบใน ข.ุ จรยิ า.๓๓/๒๓๗/๕๘๘) แกทาน ขอความสวัสดีจงมีแกครรภ ของทานเถิด” พระองคลุ ิมาลไดปฏบิ ตั ิ ก็มาเปนวัฏฏกปริตร, หรืออยางมงคล- ตาม สตรีนั้นก็คลอดบุตรไดงายโดย สตู ร (ขุ.ขุ.๒๕/๕/๓; ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๑๗/๓๗๖) ที่วา สวสั ดี (ม.ม.๑๓/๕๓๑/๔๘๕) คาํ บาลที กี่ ลา ว พระพุทธเจา เม่ือเหลาเทวดาทูลขอให สจั กริ ยิ านก้ี เ็ ปน ทน่ี ยิ มนาํ มาใช โดยมชี อ่ื ตรัสแสดงยอดมงคล แทนท่จี ะตรัสถึง วา องั คุลมิ าลปรติ ร ถือวา เปนมหาปริตร สิ่งที่พบเห็นไดย นิ ดรี า ยวา เปน มงคลหรอื ทีเดียว, บางทีมีเหตุรายเกิดขึ้น เชน ไมเปนมงคลอยา งทีค่ นยดึ ถอื กัน กลับ คราวหน่ึงมีภิกษุถูกงูกัดถึงมรณภาพ ทรงสอนหลักความประพฤติปฏิบัติใน เมื่อทรงทราบ ไดตรัสอนุญาตใหภิกษุ ชีวิตและสงั คม เชน การไมค บคนพาล ท้ังหลายแผเมตตาจิตไปยังพญางูสี่ การคบบัณฑิต การยกยองเชิดชูคนท่ี ตระกลู (วิรปู ก ข เอราบถ ฉพั ยาบุตร ควรยกยอ งเชดิ ชู ฯลฯ จนถงึ ความมจี ติ กณั หาโคตมกะ) เพอื่ คมุ ครองรกั ษาและ ใจเกษมศานตเปนอิสระไมหว่ันไหวดวย ปองกันตัว และไดตรัสคาถาแผเมตตา โลกธรรม วา เปนอดุ มมงคล มงคลสูตร แกตระกูลพญางูท้ังสี่น้ัน ตลอดจนแก นี้กเ็ ปน ทน่ี ิยมนับถอื นาํ มารวมไวใ นชดุ สรรพสตั ว ลงทา ยดว ยคณุ พระรตั นตรยั พระปรติ รเต็มท้งั พระสูตร และนมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค พระปริตรที่ชอ่ื วา อาฏานาฏยิ ปรติ ร จากอาฏานาฏยิ สตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๐๗/๒๐๘) นบั วา มกี าํ เนดิ แปลกออกไป คอื มใิ ชเ ปน
ปริตต, ปรติ ร ๒๐๙ ปรติ ต, ปรติ ร พุทธดํารัสที่ตรัสเอง แตมีเร่ืองในพระ ทาวมหาราชสี่รายพระองคที่พรอมดวย สตู รนั้นวา ณ ยามดกึ ราตรหี นง่ึ ทา ว โอรสและเหลาอมนุษยพากันนอมวันทา มหาราชสี่ (จาตมุ หาราช หรอื จตโุ ลกบาล) พระพุทธเจา , เมือ่ จบแลว ทา วเวสสวณั พรอ มดว ยบรวิ ารจาํ นวนมาก ไดม าเฝา กราบทูลยา้ํ วา คาถาอาฏานาฏยิ รักขานี้ พระพุทธเจา ที่เขาคิชฌกูฏ เมือง เพื่อเปนเคร่ืองคุมครองรักษาภิกษุ ราชคฤห ครน้ั แลว ทา วเวสสวณั ผคู รอง ภกิ ษุณี อุบาสก อบุ าสกิ า ใหอยูผาสกุ ทศิ อดุ ร (ไทยมกั เรยี ก เวสสวุ ณั , มอี กี ชอื่ ปลอดจากการถูกเบียดเบยี น เม่ือเรยี น หนง่ึ วา กเุ วร) ไดก ราบทลู (ในนามของผู ไวแมนยําดีแลว หากอมนุษยเชนยักษ มาเฝา ทงั้ หมด) วา พวกยกั ษท ไี่ มเ ลอ่ื มใส เปนตนตนใดมีใจประทุษรายมากล้ํา พระผมู พี ระภาคเจา กม็ ี ทเี่ ลอ่ื มใส กม็ ี กราย อมนุษยตนน้ันก็จะถูกตอตาน สวนมากที่ไมเลื่อมใสเพราะตนเองทํา และถูกลงโทษโดยพวกอมนุษยท ัง้ หลาย ปาณาตบิ าต เปน ตน จนถงึ ดมื่ สรุ าเมรยั หากตนใดไมเ ชื่อฟง กถ็ ือวา เปน ขบถตอ เมอ่ื พระผมู พี ระภาคเจา ทรงสอนใหง ดเวน ทาวมหาราชส่ีนั้น กลาวแลวก็พากัน กรรมช่ัวเหลาน้ัน จึงไมชอบใจ ทาว กราบทลู ลากลบั ไป ครน้ั ผานราตรีนัน้ ไป มหาราชทรงหว งใยวา มพี ระสาวกทไ่ี ปอยู แลว พระพทุ ธเจา ไดต รสั เลา เรอื่ งทงั้ หมด ในปาดงเงียบเปลี่ยวหางไกลอันนากลัว แกภ กิ ษทุ งั้ หลาย ตรสั วา อาฏานาฏยิ รกั ขา จงึ ขอถวายคาถา “อาฏานาฏยิ า รกขฺ า” นั้นกอปรดวยประโยชนในการคุมครอง (อาฏานาฏิยรักขา เรียกงายๆ วา รักษาดังกลาวแลว และทรงแนะนาํ ให อาฏานาฏยิ ารกั ข โดยเรยี กตามชอ่ื เทพ- เรยี นไว, คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขานเ้ี องได นครอาฏานาฏา ทที่ า วมหาราชประชมุ กัน มาเปน อาฏานาฏยิ ปรติ ร และอาฏานาฏยิ - ประพันธอ าฏานาฏยิ รกั ขานี้ขนึ้ ) โดยขอ ปริตรนี้นับวาเปนตัวอยางอันชัดเจนท่ี ใหทรงรับไว เพื่อทําใหยักษพวกนั้น แสดงถึงวิธีสอนท่ีนําประชาชนใหฝก เลอื่ มใส เปน เครอื่ งคุมครองรักษาภกิ ษุ ศึกษาพฒั นาชีวิตขึ้นมาตามลาํ ดบั จาก ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า ใหอ ยูผาสุก จุดเชื่อมตอกับความเช่ือถือพ้ืนฐานของ ปลอดจากการถูกเบียดเบยี น แลวทา ว เขา เพ่ือกาวเขามาสูคติแหงพระพุทธ เวสสวัณก็กลาวคําอารักขานั้น เร่ิมตน ศาสนา คือในแงความเช่ืออาํ นาจศักดิ์ ดว ยคาํ นมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค สทิ ธิ์ ถอื วา ตอ งเปน อาํ นาจทท่ี รงธรรมจงึ มพี ระวปิ ส สี เปน ตน ตอ ดว ยเรอ่ื งของ จะศักด์ิสิทธิ์จริงจังย่ังยืน และชําระ
ปริตต,ปริตร ๒๑๐ ปริตต, ปริตร อํานาจน้ันใหบริสุทธิ์เปนกุศลปราศจาก ฝนโบกขรพรรษก็ตกลงมาจนนํ้าทวม การใชก เิ ลสเชน โลภะและโทสะ ใหอ าํ นาจ พดั พาซากศพลอยลงแมน า้ํ คงคาไปหมด ท่ีเปนกุศลชนะอํานาจอกุศล และที่ และเมอ่ื เสด็จถึงเมอื งเวสาลี ทา วสักกะ สาํ คัญย่ิงคือไมใหขัดหลักกรรม แตให และประดาเทพกม็ าชุมนมุ รบั เสดจ็ เปน สนบั สนนุ ความเพยี รในการทาํ กศุ ลกรรม เหตใุ หพ วกอมนษุ ยห วาดกลวั พากนั หนี โดยมีความหมายในแงคุมครองปองกัน ไป ครงั้ นน้ั พระพทุ ธเจา ไดตรสั รตนสตู ร ใหปลอดโปรงปราศจากส่ิงขัดขวางกังวล ใหพระอานนทเรียนและเดินทําปริตรไป ทงั้ ภายนอกและในใจ เพอ่ื ใหพ รอ มหรอื ในระหวา งกาํ แพงเมอื งทั้ง ๓ ช้ัน พระ มั่นใจมีกําลังใจที่จะเพียรทํากิจที่มุง อานนทเรียนรตนสูตรน้ันแลวสวดเพ่ือ หมาย เชน ภกิ ษกุ จ็ ะเจรญิ สมณธรรมได เปนปริตร คือเปนเครื่องคุมครองปอง เตม็ ที่ (มใิ ชร ออาํ นาจศกั ดส์ิ ทิ ธมิ์ าบนั ดาล กัน พรอมทัง้ ถือบาตรของพระพทุ ธเจา ผลนน้ั ให) ใสนาํ้ เดินพรมไปทวั่ ทงั้ เมอื ง เปนอันวา ทง้ั ภยั แลง ภยั อมนษุ ย และภัยจากโรค เร่ืองราวอันเปนที่มาของปริตรทั้ง กส็ งบส้นิ ไป พระพุทธเจา ประทับทเี่ มือง หลายตามที่เลาในพระไตรปฎก มีเพียง เวสาลีครึ่งเดือนจึงเสด็จกลับ มีการ ส้นั ๆ ตรงๆ อยางท่กี ลาวแลว แตท ีม่ า ชมุ นมุ ครง้ั ใหญเ พ่อื สง เสด็จ เรยี กวา ของบางปริตรปรากฏในอรรถกถาเปน “คงฺโคโรหณสมาคม” (เปน ไทย=คงคา- เรือ่ งราวยืดยาวพิสดาร โดยเฉพาะรตน- โรหณสมาคม, การชมุ นมุ ในคราวเสดจ็ ปริตร จากรตนสตู ร (ขุ.ข.ุ ๒๕/๗/๕; ข.ุ ส.ุ ๒๕/ ลงแมนํ้าคงคาเพื่อเสด็จกลับสูเมือง ๓๑๔/๓๖๗) ซึ่งอรรถกถาเลาวา คราวหนึ่ง ราชคฤห; การชุมนุมใหญอยางน้ีมีอีก ทเ่ี มอื งเวสาลี ไดเ กิดทุพภิกขภยั ใหญ ผู ๒ ครั้ง คือ ยมกปาฏิหารยิ สมาคม คนลม ตาย ซากศพเกล่อื นเมอื ง พวก และเทโวโรหณสมาคม), พระสูตรนี้ อมนษุ ยก ็เขามา แถมอหวิ าตกโรคซาํ้ อกี แสดงคุณของพระรัตนตรัย จึงเรียกวา ในทสี่ ดุ กษตั รยิ ล จิ ฉวตี กลงไปอาราธนา รตนสตู ร (ในมลิ นิ ทปญ หาบางฉบบั เรยี ก พระพทุ ธเจา ซ่งึ เวลานัน้ ประทับที่เมือง วา สวุ ตั ถสิ ตู ร เพราะแตละคาถาลงทา ย ราชคฤห (ยังอยูในรัชกาลของพระเจา วา “สวุ ตฺถิ โหตุ” – ดวยสจั จะนี้ ขอ พมิ พสิ าร) ขอใหเ สดจ็ มา พระพทุ ธองค ความสวัสดจี งม)ี , เรื่องทอี่ รรถกถาเลา น้ี ประทบั เรอื เสดจ็ มา เมอ่ื ถงึ เขตแดน พอ นาจะเปนท่ีมาของประเพณีการเอานํ้าใส ยา งพระบาทลงทรงเหยยี บฝง แมน า้ํ คงคา
ปรติ ต,ปริตร ๒๑๑ ปริตต,ปรติ ร บาตรทําน้ํามนต แลวพรมนํา้ มนตเพื่อ ตอ มาในชนั้ อรรถกถา (ถงึ พ.ศ.๙๐๐ ความสุขสวสั ดี เศษ) พบรายชอื่ อยา งมาก ๘ ปรติ ร คอื ๖) โดยความเปน มา: เดมิ นัน้ “ปรติ ต” อาฏานาฏยิ ปรติ ร อสิ คิ ลิ ปิ รติ ร ธชคั ค- มคี วามหมายวา “เครอื่ งคมุ ครองปอ งกนั ” ปรติ ร โพชฌงั คปรติ ร ขนั ธปรติ ร โมร- เชนกลาวขอความนั้นๆ เพื่อเปนปริตร ปรติ ร เมตตปรติ ร รตนปรติ ร (อง.ฺ อ. หรือใหเปนปริตร (เปนเครือ่ งคุมครอง ๒/๒๑๐; นทิ ๑ฺ .อ.๓๓๖), ตอ นไี้ ป จะกลา วขอ ปองกัน) ยังไมเรียกขอความน้ันเองวา สงั เกตตามลาํ ดบั ดงั น้ี ปรติ ร จงึ ใชค าํ วา “ทาํ ปรติ ต” (ปรติ ต- ก. ปริตรท่ียืนตัวอยูในทุกรายช่ือตั้งแต กรณะ) เชน ทาํ การแผเ มตตา หรอื ทาํ การ มิลินทปญหามาจนวิสุทธิมัคคกระทั่งถึง นอมรําลึกหรือนมัสการอยางนั้นๆ ให คัมภีรแ มแ ตช ้นั ฎกี า มีเพยี ง ๕ คอื เปนเคร่ืองคุมครองปองกัน ไมใชคาํ วา รตนปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตร กลาวหรือสวดปริตต ตอมาจึงคอยๆ อาฏานาฏยิ ปรติ ร และโมรปรติ ร เรียกขอความท่ีสวดหรือบทสวดนั้นเอง ข. ตลอดยคุ ที่กลาวมา รายชอ่ื หลกั ขนึ้ วาปริตร แลวปริตรก็มีความหมายวา ตน ดว ยรตนปรติ ร ซงึ่ บางทเี รยี กชอ่ื เดมิ “บทสวดเพอื่ เปน เครอ่ื งคมุ ครองปอ งกนั ” เปน รตนสตู ร และในรายชอื่ ทกุ บญั ชี ไม ดงั ทใ่ี นบดั นี้ ใชค าํ วา “กลา วปรติ ร” หรอื มมี งคลสตู รเลย “สวดพระปรติ ร” (ปรติ ตภณนะ) เปน พนื้ ค. ไมชัดวามีมงคลสตู รเพม่ิ เขา มาในราย ชอ่ื ปรติ รเมอื่ ใด แตค งเพมิ่ ในยคุ สมยั ที่ ปริตรไดเปนคําเรียกบทสวด โดยมี ไมน านนกั นา สงั เกตวา ทานเพม่ิ เขา มา รายชื่อปรากฏในคัมภีรชั้นหลังจากพระ โดยจดั เปน ปรติ รแรกทเี ดยี วนาํ หนา รตน- ไตรปฎ ก เรมิ่ แตม ลิ นิ ทปญ หา ซงึ่ ถอื กนั ปริตร อีกท้ังเปนบทเดียวที่คงเรียกช่ือ วา เกดิ ขน้ึ ประมาณ พ.ศ.๕๐๐ ในมลิ นิ ท- เปน สูตรคงทย่ี นื ตวั ไมเรียกชือ่ วาปรติ ร ปญ หานนั้ มรี ายชอ่ื ๕-๗ ปรติ ร (ฉบบั ทง้ั นี้ พอเหน็ เหตผุ ลไดชัดวา เนอื้ ความ หนง่ึ ทเี่ ปน อกั ษรพมา มี ๗ ปรติ ร คอื ในมงคลสูตรไมมีลักษณะเปนปรติ รโดย รตนสตู ร เมตตสตู ร ขนั ธปรติ ร โมรปรติ ร ตรง คอื มใิ ชม งุ จะปอ งกนั ภยั ใดๆ อยา ง ธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร องคลุ มิ าล- ปริตรอ่ืน แตเปนเร่ืองของสิริมงคลคือ ปรติ ร, ฉบบั อกั ษรไทยมี ๕ ปรติ ร คอื เปนไปเพื่อความสุขความเจริญงอกงาม ขนั ธปรติ ร สวุ ตั ถปิ รติ ร [=รตนสตู ร] โมร- กวา งๆ ครอบคลมุ ทว่ั ไปหมด ถงึ จะไม ปรติ ร ธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร),
ปริตต, ปริตร ๒๑๒ ปรติ ต, ปริตร เปนปริตร ก็ดีมีคุณไมนอยกวาปริตร ทง้ั สตู ร แตคัดตัดมาเฉพาะสวนท่เี กี่ยว และควรเอามาสวดนาํ กอ นดว ยซาํ้ เพอ่ื ขอ ง จงึ เรียกวาปรติ รอยางเดียว ใหเกิดสิริมงคลเปนพ้ืนฐานหรือเปน จ. อาฏานาฏยิ ปรติ ร มาจากอาฏานาฏยิ - บรรยากาศไวกอน แลวจะแกหรือกัน สตู ร แตน าํ มาใชเ ฉพาะคาถา “อาฏานาฏยิ า อันตรายอยางไหนก็คอยวากันตอไป รกขฺ า” ทที่ าวมหาราชสี่ถวาย ไมน ํามา (และในแงเ นอื้ ความ มงคลสตู รกค็ รอบ เตม็ ทง้ั สตู ร (คือนํามาเพยี งเอกเทศของ คลุมความดีงามสุขสวัสดีทุกประการ พระสูตร) จงึ เรียกวา ปริตรเทา นัน้ ไม โดยมีหลักธรรมที่เหมาะแกทุกบุคคล เรยี กวา สตู ร ในแงน ี้ อาฏานาฏยิ ปรติ รก็ ครบทกุ ขน้ั ตอนของชวี ติ ) อกี ทง้ั ทา นเอา เหมือนกับปริตรอ่ืนๆ ท่ีเรียกวาปริตร มาใชเต็มท้ังพระสูตร ไมไดคัดตัดมา อยางเดียว แตแงที่แปลกกวานั้นก็คือ เพยี งบางสว น จงึ เปน อนั ไดเ หตผุ ลทน่ี าํ นํามาเฉพาะคาถานมัสการพระพุทธเจา มาสวดเขา ชดุ ปรติ ร และจดั เปน บทแรก เจ็ดพระองค ๖ คาถา สว นคาถาตอ จาก โดยเรียกชื่อคงเดิมวามงคลสูตร, ใน นั้นซึ่งวาดวยเร่ืองของทาวมหาราชสี่ คมั ภรี ข ทุ ทกปาฐะแหง พระไตรปฎ ก ทา น ทานตัดออก แลว ประพนั ธคาถาใหมซง่ึ เรียงลําดับมงคลสูตรและรตนสูตรไว สวนใหญพรรณนาพระคุณของพระ ถัดกัน โดยมีมงคลสูตรเปนสูตรแรก พุทธเจามากมายหลายพระองค นบ อรรถกถาอธบิ ายวา ลาํ ดบั นเี้ ขา กบั เหตผุ ล วันทาพระพุทธเจาเหลานั้น ขอใหพระ วา มงคลสตู รเปน อตั ตรกั ษ (รกั ษาตัว) คุณของพระองคปกปกรักษา และขอให รตนสูตรเปนปรารกั ษ (รกั ษาผอู น่ื ) ทาวมหาราชท้ังส่ีมารักษาดวย, การที่ ง. สวนปริตรอืน่ นนั้ ชัดอยูแลววา ปริตร พระโบราณาจารยก ระทําอยา งนี้ คงเปน ใดเดิมเปนพระสูตร และนํามาใชสวด เพราะทานเหน็ วา คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขา เต็มท้ังสูตร ปริตรน้ันจะเรียกชื่อเปน มิใชเปนพระพุทธวจนะ แตเปนคาํ ของ สูตร หรอื เรยี กเปน ปรติ ร กไ็ ด คือ รตน- เทพเทาน้ัน เม่ือจะนํามาใชในกิจนอก สูตร/ปริตร กรณียเมตตสูตร/ปริตร พระไตรปฎก ทานจึงแตงเพิ่มและเติม (บางทีเรียกสั้นๆ วา เมตตสตู ร/ปริตร) แทนได โดยเฉพาะคาถาทที่ า นแตง นน้ั ก็ และธชคั คสตู ร/ปริตร, ปริตรนอกนี้ มิ เ ป น ก า ร เ ส ริ ม เ จ ต น า ร ม ณ ข อ ง ท า ว ใชม าจากพระสูตร (เชน มาจากชาดก) มหาราชทง้ั สท่ี แ่ี สดงออกใน ๖ คาถาแรก หรือถามาจากพระสูตร ก็ไมนํามาเต็ม ใหปริตรหนักแนนมีกําลังมากยิ่งข้ึน,
ปรติ ต,ปริตร ๒๑๓ ปรติ ต,ปริตร โพชฌังคปริตรมีลักษณะพิเศษตางออก เปนชุดในงานสําคัญ มีการแยกวาพึง ไปอีก เนอ่ื งจากวา เร่ืองท่พี ระพทุ ธองค สวดชุดใดในงานไหนระดับใด ตลอด เอง พระมหากัสสปะ และพระมหา- จนจัดลําดับในชุดพรอมดวยบทสวด โมคคัลลานะ สดับคําแสดงโพชฌงค ประกอบตา งๆ เปน ตน , ในคมั ภรี ม ลิ นิ ท- แลวหายจากอาพาธนั้น กระจายอยูใน ปญ หา ซงึ่ เลา เรอื่ งราวเมอื่ ใกล พ.ศ.๕๐๐ สามพระสูตรตางหากกัน (สํ.ม.๑๙/๔๑๕- แมจ ะมไิ ดก ลา วถงึ พธิ สี วดพระปรติ รโดย ๔๒๘/๑๑๓-๗) พระโบราณาจารยจ ึงใชวิธี ตรง แตป ญ หาหนงึ่ ทพี่ ญามลิ นิ ทต รสั ถาม ประพันธคาถาประมวลเร่ืองสรุปความ พระนาคเสนวา ถา ปรติ รทาํ ใหค นพน จาก รวมไวเ ปน ปรติ รเดยี วกนั โพชฌงั คปรติ ร บวงมัจจุราชได จะไมขดั กันหรือกบั คาํ จึงมิใชเปนบาลีภาษิตจากพระไตรปฎก สอนทวี่ า ถงึ จะเหาะเหนิ ไปในฟากฟา ถงึ โดยตรง, เร่ืองของอาฏานาฏิยปริตร จะซอ นตวั ลกึ ถงึ กลางมหาสมทุ ร หรอื จะ (รวมทง้ั โพชฌงั คปรติ ร) นี้ นา จะเปน ตวั หนไี ปทไี่ หน กห็ าพน จากบว งมจั จรุ าชไป อยา งใหใ นยคุ หลงั มกี ารแตง คาถาใหมข น้ึ ไดไ ม และระบชุ อ่ื ปรติ รไวด ว ยหลายบท เปน ปรติ รชอ่ื ใหมๆ โดยนาํ เอาพทุ ธพจน (ฉบบั อกั ษรพมา ระบไุ ว ๗, ฉบบั อกั ษร หรือขอความในพระไตรปฎกมาตั้งเปน ไทยระบไุ ว ๕ ดงั กลา วขา งตน ) นแ้ี สดง แกน กม็ ี ไมม ขี อ ความจากพระไตรปฎ ก วา การสวดพระปรติ รคงจะเปน ทน่ี ยิ ม โดยตรงเลย กม็ ี ไดแ ก อภยปรติ ร และ ท่ัวไปแลวในชมพูทวีป รวมท้ังแควน ชยปริตร ในประมวลบทสวดที่เรยี กวา โยนก (โยนกเวลาน้ันขยายกวางตั้งแต “สบิ สองตาํ นาน” แถบเหนือของอาฟกานิสถานและปากี- ๗) โดยการจดั เปน แบบแผน: ตอมา สถาน มาจนถงึ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของ ในบานเมืองท่ีพระพุทธศาสนาเจริญ อนิ เดยี ปจ จบุ นั ) ตอ มา ในลังกาทวปี มี แพรหลาย มคี นทุกหมูเหลานบั ถอื แลว เร่ืองราวเปนหลักฐานชัดเจนตามคัมภีร ความนิยมสวดพระปริตรก็แพรหลาย มหาวงส (พงศาวดารลงั กายคุ ตน ) วา มากข้นึ ๆ จนเกดิ เปน ประเพณีขนึ้ โดยมี ในรัชกาลพระเจาอุปติสสะ ที่ ๑ (พ.ศ. พิธีกรรมเก่ียวกับการสวดพระปริตรน้ัน ๙๐๕–๙๕๒) เกดิ ทพุ ภิกขภัย พระองค และประเพณนี นั้ กพ็ ฒั นาตอ ๆ มา เชน ไดโปรดใหนิมนตพระสงฆประชุมใหญ มีการสวดปริตรน้ีในโอกาสนั้น สวด สวดพระปริตร แลว ฝนตกหายแลง ใน ปริตรนั้นในโอกาสนี้ มีการสวดปริตร สมัยหลงั ตอมา กม็ เี หตกุ ารณเชนนี้อีก,
ปริตต,ปรติ ร ๒๑๔ ปรติ ต, ปรติ ร พิธีสวดอยางน้ี นอกจากเปนงานใหญ วา อาจเปน “ตํานาณ” ท่ีแผลงจาก แลว กก็ ลายเปนประเพณี การสวดบาง “ตาณ” นีเ้ อง (คือเปน เจด็ ตาํ นาณ และ อยางก็ทําเปนประจําทุกป อยางนอยก็ สบิ สองตาํ นาณ) และเม่ือใชเปนแบบ ทํานองเปนการบาํ รงุ ขวญั ในบางคมั ภีร แผนในพระราชพิธี ก็ไดมีช่ือเปนคํา อยางวินยสังคหะ ถึงกับอธิบายวิธีจัด เตรียมการในการสวดพระปริตรในบาง ศัพทเฉพาะขึ้นวา “ราชปริตร” เรียก โอกาส เชน เมอื่ ไปสวดใหค นเจบ็ ไขฟ ง สัตตปริตตว า จลุ ราชปรติ ร (ปริตรหลวง พงึ ใหเ ขารบั สกิ ขาบทกอ น (เราเรยี กวา ให ชุดเล็ก) และเรียกทวาทสปริตตวา ศลี ) แลว กลา วธรรมแกเ ขา พงึ ทาํ ปรติ ร มหาราชปรติ ร (ปริตรหลวงชุดใหญ) ใหแ กผทู ต่ี งั้ อยใู นศีล ถาคนถกู ผเี ขา ไม ควรสวดอาฏานาฏิยปริตรกอน แตพึง เจ็ดตํานาน สวดเมตตสตู ร ธชคั คสตู ร และรตนสตู ร ๑. มงคลสตู ร ตลอดสปั ดาห ถาผีไมยอมออก จึงควร สวดอาฏานาฏิยปรติ ร ดงั น้ีเปน ตน ๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) ปริตรที่จัดเปนหมวดหรือเปนชุด ๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร) ตอมาก็มีการแยกเปนชุดเล็กและชุด ใหญ ดงั ที่เรียกวา “เจ็ดตาํ นาน” (ใชคาํ ๔/๐. ขนั ธปรติ ร บาลีเปน สัตตปริตต) และ “สิบสอง ตาํ นาน” (ทวาทสปริตต) แตม ีขอนา ๕/๐. โมรปรติ ร สงสัยวา “ตาํ นาน” ในท่ีน้หี มายถงึ เร่อื ง ราวเลาขานสบื กนั มาใชแนหรือไม พอดี ๖/๐. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร) วา “ปรติ ต” คือเครื่องคุมครองปองกนั น้ี มคี าํ บาลที เี่ ปน ไวพจนว า รกั ขา ตาณ เลณ ๗/๐. อาฏานาฏยิ ปรติ ร ทปี ะ นาถ สรณะ เปน ตน โดยเฉพาะ “ตาณ” นนั้ บางทใี ชอธิบายหรอื ใชแทน ๐/๗. โพชฌงั คปรติ ร มอี งั คลุ มิ าลปรติ รนาํ “ปรติ ตฺ ” อยา งชัดเจน (เชน ในโยชนา แหงอรรถกถาวินัยวา ยกฺขปริตฺตนฺติ (ลาํ ดบั ทา ยน้ี อาจเขา แทนลาํ ดบั ใดหนง่ึ ใน ๔-๗) ยกเฺ ขหิ สมนตฺ โต ตาณ)ํ จงึ นา สนั นษิ ฐาน สิบสองตํานาน ๑. มงคลสตู ร ๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) ๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร) ๔. ขนั ธปรติ ร มีฉทั ทนั ตปรติ รตาม ๕. โมรปรติ ร ๖. วฏั ฏกปรติ ร ๗. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร) ๘. อาฏานาฏยิ ปรติ ร ๙. องั คลุ มิ าลปรติ ร
ปริตต, ปรติ ร ๒๑๕ ปริตต,ปริตร ๑๐. โพชฌงั คปรติ ร สวดปริตรหน่ึงจบแลว กอนจะสวด ปรติ รลาํ ดบั ตอไป ก็หยดุ ใหหวั หนา (บัด ๑๑. อภยปรติ ร (มขี นึ้ ในยคุ หลงั ) นี้นิยมใหรูปที่ ๓ ผูขัดนํา คือรูปที่ ชุมนมุ เทวดา) ขดั ตาํ นาน คอื สวดบท ๑๒. ชยปรติ ร (มขี น้ึ ในยคุ หลงั ) แนะนําใหรูจักปริตรบทที่จะสวดตอไป นั้น (บทขัดของปริตรใด ก็เรยี กตามชอ่ื (พงึ ทราบวา องคฺ ลุ มิ าลปรติ ตฺ และ ของปริตรนั้น เชน บทขัดมงคลสูตร บทขดั รตนปริตร ฯลฯ ซง่ึ บอกใหรวู า โพชฌฺ งคฺ ปรติ ตฺ นนั้ เรยี กเปน ภาษาไทย ปริตรนั้นเกิดขึ้นมาอยางไร มีคุณหรือ อานสิ งสใ นการสวดอยา งไร และเชญิ ชวน วา องั คลุ มิ าลปรติ ร หรอื องคลุ มิ าลปรติ ร ใหส วด) ขดั คน่ั อยา งนไี้ ปจนจบปริตรท้งั หมด, อยา งไรก็ตาม ทุกวันนี้ แมแตใน และโพชฌงั คปรติ ร หรอื โพชฌงคปรติ ร พิธีใหญๆ ก็นอยนักที่จะมีการขัด ตํานานในการสวดเจ็ดตํานานหรือสิบ กไ็ ด ยงั ไมม กี าํ หนดเปน ยตุ )ิ สองตํานาน เพราะจะทําใหการสวดยาว ๘) โดยเครอ่ื งประกอบเสรมิ : อยา งท่ี นานมาก, แตที่ยงั นยิ มปฏบิ ตั ิกันอยู ก็ ไดก ลา ววา นอกจากตวั ปรติ รเองแลว มี คือ ในกรณีท่ีมีการสวดบทพิเศษเพิ่ม เขา มา เชน สวดธมั มจกั กัปปวตั ตนสตู ร บทสวดเสริมประกอบที่แตงหรือจัดเติม ในงานทาํ บญุ อายคุ รั้งสาํ คญั เม่ือขัดนาํ ตํานาน คือชมุ นมุ เทวดาแลว ก็ตอดว ย เพิ่มข้ึนมาตามกาลเวลาอกี มาก ใชส วด บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรติดไปเลย จากนั้นสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นาํ กอ นกม็ ี สวดแทรกกม็ ี สวดตอ ทา ยก็ และเจ็ดตาํ นานยอไปจนจบ โดยไมม ีการ มี เชน กอ นเรมิ่ สวด กม็ กี ารชมุ นมุ ขดั ตาํ นานใดๆ อกี , ทก่ี ลา วมาน้ี เปน เรอื่ ง เทวดา คอื กลา วคาํ เชญิ ชวนเทวดามาฟง ของแบบแผนในพิธีท่ีเพ่ิมขยายข้ึนมา เรียกวามาฟงธรรมหรือมาฟงพุทธวจนะ เปนเร่ืองของประเพณีและเนื่องดวย สงั คม แตผ ปู ฏบิ ตั ใิ นทางสว นตวั เมอื่ มงุ และเมอ่ื เรมิ่ สวด กอ นจะถงึ ตวั พระปรติ ร สาระ พงึ กาํ หนดชดั อยทู ตี่ วั พระปรติ ร กส็ วดตน ตาํ นาน ซง่ึ มีประมาณ ๔ บท แลวจึงสวดตัวตํานานคือพระปริตรไป ตามลาํ ดับ ครน้ั จบปริตรท้ังหมดแลว ก็ สวดทายตาํ นาน ทํานองบทแถมอีก จํานวนหน่งึ (อาจจะถงึ ๑๐ บท) เสรจ็ แลวจึงเปนอนั จบการสวด ย่ิงกวาน้ัน ถามีเวลาท่ีจะสวดอยาง เต็มพิธีจริงๆ นอกจากชุมนุมเทวดา (เรียกวาขัดนํา) ตอนจะเริม่ สวดแลว ใน ชว งท่ีสวดตัวตํานาน ก็มกี ารขัดตํานาน แทรกค่ันไปตลอดดว ย คอื ระหวา งท่ี
ปรเิ ทวะ ๒๑๖ ปริมณฑล นอกจากแบบแผนพิธีในการสวด ปริเทวนาการ ดู ปรเิ ทวะ แลว เครอ่ื งประกอบสําคัญทีร่ กู ันดกี ็คือ ปรินพิ พาน การดบั รอบ, การดบั สนิท น้ํามนต และสายสิญจน ซ่ึงมีมาแต 1. ดับกิเลสและทุกขส้ินเชิง, บรรลุ โบราณ แตใ นคมั ภรี ภ าษาบาลี ทา นเรยี ก อรหัตตผล (ไดแก กิเลสปรินิพพาน) 2. วา ปรติ โตทก (นา้ํ ปรติ ร) และปรติ ตสตู ร ตาย (ไดแ ก ขนั ธปรินิพพาน, ใชแ กพระ (สายหรอื ดา ยปรติ ร) ตามลาํ ดบั พุทธเจา และพระอรหนั ต; ในภาษาไทย รวมแลว ในเรอ่ื งปรติ รนี้ ขอ สาํ คญั บางทีแยก ใหใชแกพระพุทธเจาวา อยูที่ตองมีจิตใจเปนกุศล นอกจากมี ปรินพิ พาน และใหใชแกพระอรหนั ตทว่ั เมตตานําหนาและม่ันในสัจจะบนฐาน ไปวา นิพพาน แตใ นภาษาบาลี ไมม ีการ แหงธรรมแลว ก็พึงรูเขาใจสาระของ แยกเชน นนั้ ); ดู นพิ พาน ปรติ รนน้ั ๆ โดยมกี มั มสั สกตาปญ ญาอนั ปรนิ ิพพานบริกรรม การกระทาํ ขัน้ ตน มองเหน็ ความมกี รรมเปน ของตน ซงึ่ ผล กอนที่จะปรินิพพาน, การเตรียม ที่ประสงคจะสําเร็จดวยความพากเพียร ปรนิ ิพพาน ในพุทธประวตั ิ ไดแ ก การ ในการกระทาํ ของตน เมอ่ื มจี ติ ใจโลง เบา ทรงเขา อนปุ ุพพวิหารสมาบตั กิ อน แลว สดช่นื ผองใสดว ยมน่ั ใจในคณุ พระปรติ ร เสด็จปรนิ ิพพาน ทคี่ มุ ครองปอ งกนั ภยั อนั ตรายใหแ ลว ก็ ปรินิพพานสมัย เวลาท่ีพระพุทธเจา จะไดมีสติม่ันมีสมาธิแนวมุงหนาทําการ เสด็จปรินพิ พาน นั้นๆ ใหกาวตอไปดวยความเขม แขง็ มี ปริปุจฉา การสอบถาม, การคนควา, กําลังหนักแนนและแจมใสชัดเจนจนถึง การสบื คน หาความรู ความสาํ เรจ็ , สาํ หรบั พระภกิ ษุ ตอ งตง้ั ใจ ปริพาชก นักบวชผูชายนอกพระพุทธ- ปฏิบตั ใิ นเร่อื งปริตรน้ีตอ คฤหสั ถด ว ยจติ ศาสนาพวกหนึ่งในชมพูทวีปชอบสัญจร เมตตากรุณา พรอมไปกับความสังวร ไปในทตี่ างๆ สําแดงทรรศนะทางศาสนา ระวงั มใิ หผ ดิ พลาดจากพระวนิ ยั ในแง ปรัชญาของตน เขียนอยางรูปเดิมใน ดริ จั ฉานวชิ า และเวชกรรม เปน ตน ; ดู ภาษาบาลเี ปน ปรพิ พาชก ภาณยกั ษ, ภาณวาร ปรพิ าชิกา ปรพิ าชกเพศหญงิ เขียนอยา ง ปริเทวะ ความรํ่าไรรําพัน, ความคร่ํา รูปเดิมในภาษาบาลีเปน ปริพพาชิกา ครวญ, ความราํ พนั ดว ยเสยี ใจ, ความ ปริภัณฑ ดู สัตตบรภิ ณั ฑ บนเพอ ปรมิ ณฑล วงรอบ, วงกลม; เรียบรอย
ปรยิ ตั ิ ๒๑๗ ปริวาส ปรยิ ัติ พุทธพจนอนั จะพึงเลา เรยี น, สง่ิ ที่ ญาณ รวม ๔ ขอเปน ๑๒ เรียกวา มี ควรเลา เรยี น (โดยเฉพาะหมายเอาพระ อาการ ๑๒ บาลคี อื พระไตรปฎ ก พทุ ธพจนห รอื พระ ปริวารยศ ยศคอื (ความมี)บริวาร, ความ ธรรมวนิ ยั ); การเลา เรียนพระธรรมวนิ ยั เปน ใหญโ ดยบริวาร ดู ยศ ปรยิ ัตสิ ัทธรรม ดู สทั ธรรม ปริวาส “อยูรอบ”, อยูครบ, อยจู บ, อยู ปรยิ าย การเลา เรอ่ื ง, บรรยาย; อยา ง, ปรบั ตวั ใหพ รอ ม, อยพู อจนไดท ,่ี บม ตวั , ทาง, นยั ออ ม, แง อบ, หมกอยู 1. ในพระวนิ ยั แปลกนั มาวา ปรยิ ายสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธโ์ิ ดยปรยิ ายคอื “อยกู รรม” หรอื อยชู ดใช, เปน ชอ่ื วฏุ ฐาน- จัดเปนความบริสุทธ์ิไดบางแงบางดาน วธิ ี (ระเบียบปฏบิ ตั สิ าํ หรบั การออกจาก ยงั ไมบ รสิ ทุ ธส์ิ น้ิ เชงิ ยงั มกี ารละ และการ ครุกาบัติ) อยางหนึ่ง ซ่ึงภิกษุผูตอง บาํ เพญ็ อย;ู ตรงขา มกบั นปิ ปรยิ ายสทุ ธ;ิ ดู อาบัติสังฆาทเิ สสแลว ปกปด ไว จะตอ ง สทุ ธิ ประพฤติ เปน การลงโทษตนเองชดใชให ปรยิ ุฏฐานกิเลส ดู กิเลส ๓ ระดับ ครบเทา จาํ นวนวันที่ปดอาบตั ิ กอ นทจ่ี ะ ปรเิ ยสนา การแสวงหา มี ๒ คอื ๑. อนรยิ - ประพฤติมานัตอันเปนขั้นตอนปกติของ ปริเยสนา แสวงหาอยางไมประเสริฐ การออกจากอาบัติตอไป, ระหวางอยู ตนยงั มีทุกข ก็ยังแสวงหาสภาพทม่ี ีทุกข ปรวิ าส ตองประพฤติวตั รตา งๆ เชน งด ๒. อริยปริเยสนา แสวงหาอยาง ใชส ทิ ธิบางอยา ง ลดฐานะของตน และ ประเสริฐ ตนมที กุ ข แตแสวงหาสภาพท่ี ประจานตัว เปน ตน ; ปรวิ าส มี ๓ อยาง คือ ปฏิจฉนั นปรวิ าส สโมธานปริวาส ไมมีทุกข ไดแ กน พิ พาน; สาํ หรับคนทัว่ และ สุทธนั ตปริวาส; มปี รวิ าสอกี อยา ง ไป ทานอธิบายวา มิจฉาอาชีวะ เปน อนริยปรเิ ยสนา สมั มาอาชีวะ เปนอรยิ - หนง่ึ สาํ หรบั นกั บวชนอกศาสนา จะตอ ง ปริเยสนา ประพฤติ เปนการปรับตัวใหพรอม ปรโิ ยสาน ท่ีสุดลงโดยรอบ, จบ, จบ กอนท่จี ะบวชในพระธรรมวนิ ัย เรยี กวา อยา งสมบูรณ ตติ ถยิ ปรวิ าส ซง่ึ ทา นจดั เปน อปฏจิ ฉนั น- ปรวิ ัฏฏ หมนุ เวียน, รอบ; ญาณทัสสนะ ปริวาส (เมื่อเทียบกับติตถิยปริวาสนี้ มีปรวิ ัฏฏ ๓ หรอื เวยี นรอบ ๓ ใน บางทีเรียกปริวาสของภิกษุเพ่ือออกจาก อรยิ สัจจ ๔ หมายถงึ รอู ริยสจั จ ๔ แต อาบัตสิ ังฆาทิเสสขา งตนนั้นวา “อาปตติ- ละขอโดยสจั จญาณ กจิ จญาณและกต- ปริวาส”); ดู ติตถยิ ปรวิ าส 2. ในคมั ภรี ช้ัน
ปริวิตก ๒๑๘ ปรสิ สมบตั ิ อรรถกถาลงมา ทา นนาํ คําวา “ปรวิ าส” เหมือนกัน ผูทมี่ ีภวงั คปรวิ าสสน้ั รวดเรว็ ตามความหมายสามัญขางตนมาใช จะรบั รูและคดิ การตา งๆ ไดแคลว คลอ ง อธิบายธรรม เพื่อชวยใหเขาใจงายขึ้น รวดเร็ว จนดูเหมือนวาทําอะไรๆ ได ต้ังแตเรื่องพ้ืนๆ ไปจนถึงหลักธรรมท่ี หลายอยางในเวลาเดยี วกนั เชน พระ ลึกซ้งึ เชน อาหารทบ่ี รโิ ภคเขา ไปแลว มี พุทธเจาทรงมีภวังคปริวาสชั่ววิบแวบ ปริวาส คอื การคางรวมกันอยูใ นทอ งจน แมจะมีผูทูลถามปญหาพรอมกันหลาย ยอยเสร็จ, การอบเครื่องใชหรือท่ีอยู คน ก็ทรงทราบความไดทันทั้งหมด อาศัยดวยกล่ินหอมของดอกไมเปนตน และทรงจัดลําดับคําตอบไดเหมาะ ก็เปนปริวาส, การเรยี นมนตโ ดยอยูกับ จังหวะแกทกุ คน) กจิ กรรมทเี่ กยี่ วกบั มนตน นั้ เชน สาธยาย ปริวิตก ความคิดนึก, คาํ นึง; ไทยใช พิจารณา ทําความเขาใจ จนจบรอบหรือ หมายความวานกึ เปน ทกุ ขหนกั ใจ, นกึ เขาถงึ เรียกวา มนตปรวิ าส, ในสมถ- หวงใย ภาวนา ผเู จริญฌาน จะกาวจากอปุ จาร- ปรสิ ะ บริษทั , ทีป่ ระชุมสงฆผ ูท าํ กรรม สมาธิขนึ้ สูปฐมฌาน หรือกาวจากฌานท่ี ปริสทูสโก ผูประทษุ รา ยบรษิ ทั เปนคน ตํา่ กวา ข้ึนสฌู านชั้นทส่ี งู ข้นึ ไป คือมีองค พวกหน่ึงทีถ่ กู หา มบรรพชา หมายถงึ ผมู ี ฌานชน้ั ที่สูงตอ ข้ึนไปน้นั ปรากฏ โดยอยู รูปรา งแปลกเพอื่ น เชน สงู หรอื เตี้ยจน จบรอบอัปปนาสมาธิ (หรอื บม อปั ปนา- ประหลาด ศรี ษะโตหรือหลิมเหลือเกิน สมาธจิ นไดท)่ี เรยี กวา อัปปนาปรวิ าส, เปนตน ในการเจริญวิปสสนา ผูปฏิบัติจะยัง ปริสวิบัติ เสยี เพราะบรษิ ัท, วิบัติโดย มรรคใหเ กดิ ข้นึ โดยอยูจบรอบวปิ สสนา บริษัท, บกพรองเพราะบริษทั หมายถงึ (หรือบมวิปสสนาจนไดท่ี) เรียกวา เม่ือสงฆจะทําสังฆกรรม ภิกษุเขา วปิ สสนาปริวาส, ในการทํางานของจิต ประชุมไมครบองคกําหนด, หรือครบ ซ่งึ ดาํ เนินไปโดยจติ ขนึ้ สูวิถแี ละตกภวงั ค แตไมไดนําฉันทะของผูควรแกฉันทะ แลว ขนึ้ สวู ถิ แี ละตกภวงั ค เปน อยางนต้ี อ มา, หรอื มีผูค ัดคา นกรรมทสี่ งฆทาํ เนอื่ งไปนนั้ ชวงเวลาทีจ่ ิตอยใู นภวังคจ น ปริสสมบัติ ความพรอ มมลู แหง บริษทั , ขน้ึ สวู ถิ ีอกี เรยี กวา ภวงั คปรวิ าส (บุคคล ถงึ พรอมดวยบรษิ ทั , ความสมบรู ณของ ท้ังหลายมีภวังคปริวาส หรือชวงพัก ทป่ี ระชุม คือไมเ ปน ปริสวบิ ัติ (ตวั อยา ง ภวังคนี้ ยาวหรอื ส้ัน เรว็ หรอื ชา ไม ประชุมภกิ ษใุ หครบองคกําหนด เชน จะ
ปริสัญตุ า ๒๑๙ ปลโิ พธ ทํากฐนิ กรรม ตอ งมีภิกษอุ ยา งนอ ย ๕ จะตายเปนแนแ ทแ ลว รูป จะใหอุปสมบทในมัธยมประเทศ ปลงอาบัติ แสดงอาบัติเพื่อใหพนจาก ตองมีภิกษอุ ยางนอย ๑๐ รูปเปนตน) อาบัติ, ทําตนใหพนจากอาบตั ิดว ยการ ปริสัญุตา ความเปน ผูรูจกั ประชุมชน เปดเผยอาบัติของตนแกสงฆหรือแก และกิริยาที่จะตองปฏิบัติตอประชุมชน ภิกษุอื่น, แสดงความผิดของตนเพื่อ นน้ั ๆ เชน รจู กั วา ประชมุ ชนนี้ เมอ่ื เขา ไป เปลื้องโทษทางวินัย, ใชสาํ หรบั อาบตั ิที่ จะตองทํากิริยาอยางนี้จะตองพูดอยางนี้ แสดงแลว พน ได คอื ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี เปน ตน (ขอ ๖ ในสปั ปุริสธรรม ๗) ปาฏเิ ทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาสติ ปริสุปฏฐาปกะ ภิกษุผูเปนนิสัยมุตก ปลงอายสุ งั ขาร ดู อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะ คอื พน จากการถอื นสิ ยั แลว มคี ณุ สมบตั ิ ปละ [ปะ-ละ] ชอ่ื มาตราสาํ หรบั ชงั่ นา้ํ หนกั สมควรเปนผูปกครองหมู สงเคราะห ประมาณ ๕ ชง่ั มดี งั นี้ บรษิ ทั ได ๔ เมลด็ ขา วเปลอื กเปน ๑ กญุ ชา (กลอ ม) ปรชี า ความรอบร,ู ความหย่งั รู, ความ ๒ กญุ ชา ” ๑ มาสก (กลา่ํ ) กําหนดรู ๕ มาสก ” ๒ อกั ขะ ” ๑ ธรณะ ปฤษฎางค อวยั วะเบ้อื งหลัง, สวนหลัง, ๘ อกั ขะ ขางหลัง ๑๐ ธรณะ ” ๑ ปละ ปลงตก พจิ ารณาเห็นจริงตามสภาพของ ๑๐๐ ปละ ” ๑ ตลุ า สงั ขาร แลววางใจเปน ปกติได ๒๐ ตลุ า ” ๑ ภาระ ปลงบริขาร มอบบริขารใหแกผูอ่ืนใน หนงั สอื เกา เขยี น ปะละ เวลาใกลจะตาย เปนการใหอยางขาด ปลา ในโภชนะ ๕ อยางคือ ๑. ขา วสุก กรรมสิทธไ์ิ ปทเี ดียวต้ังแตเวลาน้ัน (ใช ๒. ขนมสด ๓. ขนมแหง ๔. ปลา ๕. เนอ้ื สาํ หรบั ภกิ ษุผูจะถงึ มรณภาพ เพ่อื ใหถ กู ปลาในที่น้ีหมายความรวมไปถึง หอย ตอ งตามพระวินัย) กุง และสัตวน ํา้ เหลา อืน่ ท่ีใชเ ปน อาหาร ปลงผม โกนผม (ใชแ กบ รรพชติ ) ปลาสะ ตเี สมอ คอื ยกตนเทยี มทา น (ขอ ปลงพระชนมายสุ งั ขาร ดู อายุสังขาร- ๖ ในอปุ กเิ ลส ๑๖) โวสสชั ชนะ ปลิโพธ เครื่องผูกพันหรือหนวงเหนี่ยว ปลงศพ เผาผ,ี จดั การเผาฝง ใหเ สรจ็ สน้ิ ไป เปน เหตใุ หใ จพะวกั พะวนหว งกงั วล, เหตุ ปลงสงั ขาร ทอดอาลัยในกายของตนวา กงั วล, ขอ ตดิ ขอ ง; ปลโิ พธทผี่ จู ะเจรญิ
ปวตั ตมังสะ ๒๒๐ ปวารณา กรรมฐานพึงตัดเสียใหได เพื่อใหเกิด วัดนั้นหรือหลีกไปแตยังผูกใจวาจะกลับ ความปลอดโปรงพรอมที่จะเจริญ มา) ๒. จวี รปลิโพธ ความกงั วลในจีวร กรรมฐานใหก า วหนา ไปไดด ี มี ๑๐ อยา ง (ยงั ไมไดทําจีวรหรอื ทําคา งอยู หรอื หาย คอื ๑. อาวาสปลโิ พธ ความกงั วลเกยี่ ว เสียในเวลาทําแตยังไมสิ้นหวังวาจะได กับวัดหรอื ทอี่ ยู ๒. กลุ ปลโิ พธ ความ จวี รอีก) ถาสิน้ ปลโิ พธครบท้งั สองอยาง กังวลเกี่ยวกับตระกูลญาติหรืออุปฏฐาก จึงเปนอนั เดาะกฐิน (หมดอานสิ งสแ ละ ๓. ลาภปลโิ พธ ความกงั วลเก่ียวกบั ลาภ สนิ้ เขตจวี รกาลกอ นกาํ หนด) ๔. คณปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับ ปวัตตมังสะ เนอ้ื ทมี่ ีอยูแลว คอื เน้อื สัตว คณะศิษยหรือหมูชนที่ตนตองรับผิด ท่ีเขาขายอยูตามปกตสิ ําหรบั คนทวั่ ๆ ไป ชอบ ๕. กรรมปลโิ พธ ความกงั วลเกย่ี ว ไมใชฆ า เพอื่ เอาเน้อื มาถวายพระ; ตรงขาม กับการงาน เชน การกอสราง ๖. กับ อทุ สิ สมงั สะ อัทธานปลิโพธ ความกงั วลเก่ยี วกับการ ปวัตตนิ ี คําเรียกผูท ําหนาทอ่ี ุปช ฌายใ น เดนิ ทางไกลเนอ่ื งดว ยกจิ ธุระ ๗. ญาติ- ฝา ยภิกษุณี ปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับญาติหรือ ปวารณา 1. ยอมใหข อ, เปดโอกาสใหขอ คนใกลชิดที่จะตองเปนหวงซ่ึงกําลังเจ็บ 2. ยอมใหว ากลา วตักเตือน, เปดโอกาส ปว ยเปนตน ๘. อาพาธปลิโพธ ความ กงั วลเกยี่ วกบั ความเจ็บไขข องตนเอง ๙. ใหวากลาวตักเตือน, ชื่อสังฆกรรมที่ คันถปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับการ ศกึ ษาเลาเรียน ๑๐. อทิ ธปิ ลิโพธ ความ พระสงฆทําในวันสุดทายแหงการจํา พรรษา คือ ในวนั ข้นึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๑ เรยี กวา วนั มหาปวารณา โดยภกิ ษทุ กุ รปู กังวลเกี่ยวกับฤทธ์ิของปุถุชนที่จะตอง จะกลา วปวารณา คอื เปด โอกาสใหก นั และ คอยรักษาไมใหเสื่อม (ขอทายนี้เปน กนั วา กลา วตกั เตอื นไดด งั นี้ “สงฆฺ มภฺ นฺเต ปลโิ พธสาํ หรบั ผจู ะเจรญิ วปิ ส สนาเทา นนั้ ) ปวาเรม,ิ ทิฏเน วา สเุ ตน วา ปริสงกฺ าย วา; วทนฺตุ มํ,อายสมฺ นฺโต อนุกมฺป อุปา- ในทางพระวินัยเกี่ยวกับการกราน ทาย; ปสฺสนโฺ ต ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุตยิ มฺป กฐิน ปลิโพธ หมายถงึ ความกงั วลทเ่ี ปน ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรม,ิ ... ตตยิ มปฺ ภนฺเต เหตุใหกฐินยังไมเดาะ (คือยังรักษา สงฺฆํ ปวาเรม,ิ ...” แปลวา “ขา พเจา ขอ อานิสงสกฐินและเขตแหงจีวรกาลตาม กาํ หนดไวไ ด) มี ๒ อยา งคอื ๑. อาวาส- ปวารณากะสงฆ ดวยไดเห็นกต็ าม ดวย ปลโิ พธ ความกงั วลในอาวาส (ยังอยูใ น ไดยนิ ก็ตาม ดว ยนา ระแวงสงสัยกต็ าม,
ปวารณา ๒๒๑ ปวารณา ขอทานผูมีอายุท้ังหลายจงวากลาวกะ ขนึ้ ไป) ๒. คณปวารณา (ปวารณาทีท่ าํ ขา พเจา ดว ยอาศยั ความหวงั ดเี อน็ ด,ู เมอ่ื โดยคณะคอื มภี กิ ษุ ๒–๔ รปู ) ๓. ปคุ คล- ขา พเจา มองเหน็ จกั แกไ ข แมค รั้งทีส่ อง ปวารณา (ปวารณาที่ทําโดยบุคคลคอื มี ... แมคร้ังทสี่ าม ...” (ภิกษุผมู พี รรษาสงู ภกิ ษุรูปเดยี ว) และโดยนัยน้ี อาการที่ทํา สุดในทีป่ ระชุมวา อาวุโส แทน ภนเฺ ต) ปวารณาจงึ มี ๓ อยาง คือ ๑. ปวารณา ตอที่ชมุ นมุ (ไดแก สังฆปวารณา) ๒. ปวารณาเปนสังฆกรรมประเภท ปวารณากันเอง (ไดแก คณปวารณา) ญตั ตกิ รรม คอื ทาํ โดยตง้ั ญตั ติ (คาํ เผดยี ง ๓. อธิษฐานใจ (ไดแ ก ปุคคลปวารณา) สงฆ) อยา งเดยี ว ไมตองสวดอนสุ าวนา (คําขอมต)ิ ; เปนกรรมทีต่ องทําโดยสงฆ ในการทําสังฆปวารณา ตองต้ัง ปญ จวรรค คอื มภี กิ ษตุ งั้ แต ๕ รปู ขน้ึ ไป ญตั ติ คือ ประกาศแกสงฆก อน แลว ภิกษุท้ังหลายจึงจะกลาวคําปวารณา ปวารณา ถาเรียกชื่อตามวันที่ทํา อยา งทแี่ สดงไวขางตน ตามธรรมเนียม แบง ไดเ ปน ๓ อยา ง คอื ๑. ปณ ณรสกิ า ทานใหปวารณารูปละ ๓ หน แตถ า มี ปวารณา (ปวารณาที่ทาํ โดยปกติในวัน อันตรายคือเหตุฉุกเฉินขัดของจะทํา ขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๑ คอื วนั ออก อยางนั้นไมไ ดตลอด (เชน แมแ ตทายก พรรษา) ๒. จาตทุ ทสิกา ปวารณา (ใน มาทําบุญ จะปวารณารูปละ ๒ หน หรือ กรณีที่มีเหตุสมควร ทานอนุญาตให ๑ หน หรือพรรษาเทากนั วา พรอ มกนั ก็ เลื่อนปวารณาออกไปปกษหน่ึงหรือ ได ทงั้ นี้ จะปวารณาอยา งไรกพ็ งึ ประกาศ เดือนหน่ีงโดยประกาศใหสงฆทราบ ถา ใหสงฆรดู วยญัตติกอน โดยนยั นี้ การ เล่ือนออกไปปก ษหนง่ึ ก็ตกในแรม ๑๔ ต้ังญัตติในสงั ฆปวารณาจึงมตี า งๆ กนั คํา่ เปน จาตทุ ทสกิ า แตถาเล่อื นไปเดือน ดงั มีอนุญาตไวดงั น้ี ๑. เตวาจกิ า ญตั ติ หนึ่งก็เปนปณ ณรสิกาอยางขอ แรก) ๓. คอื จะปวารณา ๓ หน พึงตง้ั ญัตตวิ า: สามัคคีปวารณา (ปวารณาที่ทําในวัน “สุณาตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ, อชฺช ปวารณา สามัคคี คอื ในวันทีส่ งฆซ ึ่งแตกกนั แลว ปณณฺ รสี, ยทิ สงฺฆสสฺ ปตตฺ กลลฺ ,ํ สงโฺ ฆ กลับปรองดองเขากันได อันเปนกรณี เตวาจกิ ํ ปวาเรยฺย” แปลวา “ทานเจา ขา พเิ ศษ) ขอสงฆจงฟงขาพเจา ปวารณาวันน้ีท่ี ๑๕ ถา ความพรงั่ พรอ มของสงฆถ งึ ทแี่ ลว ถาแบง โดยการก คอื ผทู ําปวารณา สงฆพ ึงปวารณาอยางกลาววาจา ๓ หน” แบง เปน ๓ อยา ง คอื ๑. สังฆปวารณา (ปวารณาทีท่ าํ โดยสงฆค อื มีภกิ ษุ ๕ รูป
ปวารณา ๒๒๒ ปวารณา (ถา เปน วนั แรม ๑๔ คาํ่ หรือวันสามัคคี ๑๕ ถาความพรอมพร่ังของทานทั้ง ก็พงึ เปลย่ี น ปณณฺ รสี เปน จาตทุ ทฺ สี หรอื สามคคฺ ี ตามลาํ ดบั ) ๒. เทวฺ วาจกิ า หลายถึงท่ีแลว เราทั้งหลายพงึ ปวารณา กันเถดิ ” (ถา ๓ รปู วา อายสมฺ นตฺ า แทน ญัตติ คอื จะปวารณา ๒ หน ตง้ั ญัตติ อายสมฺ นโฺ ต) จากนั้นแตละรูปปวารณา อยางเดยี วกัน แตเ ปลี่ยน เตวาจิกํ เปน ๓ หน ตามลําดบั พรรษาดังน้ี: มี ๓ รูป เทฺววาจิกํ ๓. เอกวาจิกา ญัตติ คือ จะ วา “อหํ อาวโุ ส อายสมฺ นเฺ ต ปวาเรมิ ฯเปฯ วทนตฺ ุ มํ อายสฺมนฺตา อนุกมปฺ ปวารณาหนเดยี ว ตงั้ ญตั ตอิ ยา งเดยี วกนั อุปาทาย, ปสสฺ นโฺ ต ปฏกิ กฺ ริสฺสามิ, ทุติ- นั้น แตเปลี่ยน เตวาจิกํ เปน เอกวาจิกํ ยมปฺ อาวโุ ส ฯเปฯ ตตยิ มปฺ อาวโุ ส ฯเปฯ ปฏิกฺกริสฺสามิ” (ถารูปออนกวาวา ๔. สมานวสั สกิ า ญัตติ คือ จัดใหภ ิกษทุ ่ี เปลี่ยน อาวโุ ส เปน ภนเฺต); มี ๔ รปู เปลย่ี น อายสมฺ นเฺ ต และ อายสมฺ นตฺ า เปน มพี รรษาเทากนั ปวารณาพรอ มกัน ตั้ง อายสฺมนโฺ ต อยา งเดยี ว; ถามี ๒ รูป ไม ญัตติกเ็ หมอื น แตเ ปลี่ยน เตวาจกิ ํ เปน ตอ งตงั้ ญตั ติ คาํ ปวารณากเ็ หมอื นอยา งนน้ั สมานวสฺสิกํ (จะวา ๓ หน ๒ หน หรือ เปลยี่ นแต อายสมฺ นเฺ ต เปน อายสมฺ นตฺ ,ํ อายสมฺ นตฺ า เปน อายสมฺ า และ วทนตฺ ุ หนเดียวไดทง้ั นั้น) ๕. สพั พสงั คาหกิ า เปน วทต.ุ ญตั ติ คอื แบบตง้ั ครอบทว่ั ไป ไมร ะบวุ า ถา ภกิ ษอุ ยรู ปู เดยี ว เธอพงึ ตระเตรยี ม กหี่ น ตง้ั ญตั ตคิ ลมุ ๆ โดยลงทา ยวา ... สงโฺ ฆ ปวาเรยยฺ (ตัดคําวา เตวาจกิ ํ ออก สถานท่ีไว และคอยภิกษอุ น่ื จนสนิ้ เวลา เมอ่ื เหน็ วา ไมม ใี ครอนื่ แลว พงึ ทาํ ปคุ คล- เสีย และไมใสค าํ ใดอื่นแทนลงไป อยาง ปวารณา โดยอธิษฐานคือกําหนดใจวา “อชฺช เม ปวารณา” แปลวา “ปวารณา น้จี ะปวารณาก่ีหนกไ็ ด) ; ธรรมเนยี มคง ของเราวันนี้” นยิ มแตแบบที่ ๑, ๒ และ ๔ และทา น เหตุท่ีจะอางเพ่ือเลื่อนวันปวารณา เรยี กชอ่ื ปวารณาตามนนั้ ดว ยวา เตวาจกิ า ปวารณา, เทฺววาจกิ า ปวารณา, สมาน- ได คือจะมีภิกษุจากท่ีอื่นมาสมทบ วสั สิกา ปวารณา ตามลาํ ดับ ปวารณาดว ย โดยหมายจะคดั คานผนู ้ัน ในการทําคณปวารณา ถามีภิกษุ ๓–๔ รปู พึงต้งั ญตั ตกิ อนวา : “สณุ นตฺ ุ ผูน้ีใหเกิดอธิกรณข้ึน หรืออยูดวยกัน เม อายสมฺ นโฺ ต, อชชฺ ปวารณา ปณณฺ รส,ี ยทายสมฺ นตฺ านํ ปตตฺ กลลฺ ,ํ มยํ อฺ มฺ ผาสกุ ถาปวารณาแลวตา งกจ็ ะจารกิ จาก ปวาเรยยฺ าม” แปลวา “ทา นเจา ขา ทาน ทั้งหลายจงฟงขาพเจา ปวารณาวันนี้ท่ี
ปวิเวกกถา ๒๒๓ ปก ขคณนา, ปกษคณนา กันไปเสีย ๕ ในสัญญา ๑๐) ปวิเวกกถา ถอยคําท่ีชักนําใหสงัดกาย ปะละ ดู ปละ ปกขคณนา, ปกษคณนา “การนับ สงัดใจ (ขอ ๓ ในกถาวตั ถุ ๑๐) ปศสุ ัตว, ปสุสัตว สตั วเลย้ี ง เชนเปด ปกษ”, วิธีคํานวณดิถีตามปกษ คือ ไก แพะ แกะ สุกร เปน ตน คาํ นวณหาวันขน้ึ แรมกี่คา่ํ ๆ ใหแ มน ยํา ปสาทะ ความเล่ือมใส, ความชื่นบาน ตรงตามการโคจรของดวงจันทรอยาง ผองใส, ความเช่อื ถือม่นั ใจ, ความรสู ึก แทจริง เฉพาะอยางย่ิงมงุ ใหไดวันพระ ยอมรบั นบั ถือ, ความเปด ใจรบั , อาการ จันทรเ ต็มดวงหรือวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๔– ท่ีจิตเกิดความแจมใสโปรงโลงเบิกบาน ๑๕ ค่ํา) วันพระจันทรดับหรอื วันดบั ปราศจากความอึดอัดขัดของขุนมัว (แรม ๑๔–๑๕ ค่ํา) และวันพระจนั ทรก ึง่ โดยเกดิ ความรูสึกชน่ื ชมนิยมนับถอื ตอ ดวง (ขน้ึ ๘ ค่ํา และ แรม ๘ ค่ํา) ตรง บุคคลหรือส่ิงท่ีพบเห็นสดับฟงหรือ กบั วันท่ีดวงจนั ทรเ ปนอยางนั้นจรงิ ๆ ซึง่ ระลกึ ถงึ ; มักใชค ูกับ ศรทั ธา; ดู สัทธา บางเดือนขางขึ้นอาจมีเพียง ๑๔ วัน ปเสนทิ [ปะ-เส-นะ-ทิ] พระเจาแผนดนิ (วันเพญ็ เมอ่ื ขึ้น ๑๔ คาํ่ ) ก็มี ขา งแรม แควนโกศล ครองราชสมบัติอยูที่พระ อาจมีเต็ม ๑๕ วันตดิ ตอ กนั หลายเดอื น นครสาวตั ถี กม็ ี ตอ งตรวจดูเปน ปก ษๆ ไป จึงใชค ํา ปหานะ ละ, กําจัด; การละ, การกาํ จดั ; วา ปก ษถว น ปกษข าด ไมใชเพียง เชน ละตณั หา, กาํ จัดกเิ ลส, กําจดั บาป เดือนเตม็ เดือนขาด เปนวธิ ีคาํ นวณท่ี อกศุ ลธรรม สลับซบั ซอน ตา งจากปฏทิ ินหลวง หรอื ปหานปธาน เพียรละบาปทเี่ กิดขน้ึ แลว ปฏิทินของราชการที่ใชวิธีคํานวณเฉล่ีย (ขอ ๒ ในปธาน ๔) ใหข า งขึน้ เตม็ ๑๕ วนั เสมอไป สวนขาง ปหานปริญญา กาํ หนดรูถึงข้ันละได คอื แรม เดอื นคูมี ๑๕ วนั เดือนค่เี รียกวา กําหนดรูสังขารวาเปนอนิจจัง ทุกขัง เดอื นขาด มี ๑๔ วัน สลับกนั ไป (แมจ ะ อนัตตา จนถึงข้ันละนิจจสัญญา คํานวณดวยวิธีที่พิเศษออกไป แตวัน เปนตน ในสังขารนัน้ ได (ขอ ๓ ใน เดือนเพ็ญเดือนดับท่ีตรงกันก็มาก ท่ี ปริญญา ๓) คลาดกันก็เพียงวันเดยี ว); ปกขคณนา ปหานสัญญา กําหนดหมายเพื่อละ นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาฯ ทรง อกุศลวิตก และบาปธรรมทั้งปวง (ขอ คนคิดวิธีคํานวณข้ึนใชในพระสงฆคณะ
ปกฺขหตตา ๒๒๔ ปจ จเวกขณญาณ ธรรมยุต เพื่อเปนเครื่องกําหนดวัน ตัณหา โดยรูจักพิจารณาท่ีจะกินใชให สาํ หรับพระสงฆทาํ อุโบสถ และสาํ หรบั เปนไปเพื่อประโยชนท่ีแทจริงตามความ อุบาสกอุบาสิการักษาอุโบสถศีลฟง หมายของสงิ่ น้ัน อนั จะมผี ลเปนการเสพ ธรรม เปน ขอปฏบิ ตั ขิ องคณะธรรมยตุ บริโภคอยางพอดี ที่เรียกวา โภชเน- สืบมา มัตตัญตุ า (เปนปารสิ ุทธศิ ีล ขอ ท่ี ๔, ปกขฺ หตตา ความเปน ผชู าไปซกี หนึ่ง ได ปจ จยสนั นสิ ติ ศลี กเ็ รยี ก) ปจจยปจจเวกขณะ การพิจารณาปจจัย, แกโรคอัมพาต ปก ขนั ทกิ าพาธ โรคทอ งรว ง พระสารบี ตุ ร พิจารณากอนจงึ บรโิ ภคปจ จัย ๔ คือ นิพพานดว ยโรคน้ี จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไม ปกขิกะ อาหารที่เขาถวายปกษละคร้ัง บริโภคดว ยตณั หา, เปน ปารสิ ุทธศิ ีลขอ ท่ี ๔ เรยี กเตม็ วา ปจ จยสนั นสิ ติ ศลี หรือ คือสบิ หา วนั ครั้งหนึง่ ปก ขิกภัต ดู ปก ขิกะ ปจ จยปฏเิ สวนศลี ปก ษ ปก , ฝาย, ขา ง, กึ่งของเดือนทาง ปจจยสันนิสิตศีล ศีลท่อี งิ อาศัยปจ จัย จนั ทรคติ คอื เดือนหน่ึงมี ๒ ปกษ ขา ง ๔ หรือศลี ทเี่ นือ่ งดวยปจ จยั ๔ ไดแ ก ขน้ึ เรยี ก ศกุ ลปก ษ (“ฝา ยขาว” หมายเอา พิจารณาเสพใชสอยปจจยั ส่ี ใหเ ปนไป แสงเดอื นสวา ง) ขา งแรมเรยี ก กาฬปก ษ เพื่อประโยชนท่ีแทจริงตามความหมาย (“ฝา ยดาํ ” หมายเอาเดอื นมดื ); ชณุ หปก ษ ของสงิ่ นัน้ ไมบ ริโภคดวยตณั หา (เปน และ กัณหปก ษ กเ็ รยี ก ปารสิ ุทธศิ ลี ขอที่ ๔, ปจ จยปฏเิ สวนศลี ก็ ปค คหะ การยกยอ ง (พจนานุกรมเขยี น เรยี ก) ปค หะ) ปจจยาการ อาการท่ีเปนปจจัยแกกัน, ปงสุกูลิกังคะ องคแหงผูถือผาบังสุกุล หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท เปนวัตร, ใชเ ฉพาะแตผ าบงั สกุ ุล คือ ไม ปจจเวกขณญาณ ญาณท่ีพิจารณาทบ รับจีวรจากทายก เท่ียวแสวงหาผา ทวน, ญาณหยั่งรูดว ยการพจิ ารณาทบ บังสุกุลมาเยบ็ ยอ มทําจวี รเอง (ขอ ๑ ใน ทวนตรวจตรามรรคผล กิเลสท่ียงั เหลือ ธดุ งค ๑๓) อยู และนพิ พาน (เวนพระอรหนั ตไมม ี ปจจยปฏิเสวนศีล ศีลในการเสพใช การพจิ ารณากเิ ลสท่ยี ังเหลืออย)ู ; ญาณ สอยปจ จัย ๔ คือ มพี ฤติกรรมในการ นี้เกดิ แกผ บู รรลมุ รรคผลแลว คอื ภาย เสพบริโภคดวยปญ ญา ไมบริโภคดว ย หลังจากผลญาณ; ดู ญาณ ๑๖
ปจจตั ตลักษณะ ๒๒๕ ปจฉมิ กจิ ปจจัตตลักษณะ ลักษณะเฉพาะตน, ปจจามติ ร ขา ศึก, ศัตรู ลักษณะเฉพาะของสิ่งตา งๆ เชนเวทนามี ปจ จุทธรณ ถอนคนื , ยกเลิก, ถอน ลักษณะเสวยอารมณ สัญญามลี ักษณะ อธิษฐาน คือ ยกเลิกบริขารเดิมที่ จาํ ไดเ ปน ตน ; คูกับ สามญั ลักษณะ 1. อธิษฐานไว เชน ไดอธษิ ฐานสบง คือต้ัง ปจจฺ ตฺตํ เวทิตพโฺ พ วิฺูหิ (พระธรรม) ใจกําหนดสบงผืนหน่ึงไวใหเปนสบง อันวิญูชนพึงรูเฉพาะตน ผูอื่นไม ครอง ภายหลังจะไมใชส บงผนื นน้ั เปน พลอยตามรูตามเห็นดวย เหมือนรส สบงครองอีกตอไป ก็ถอนคืนสบงน้ัน อาหาร ผูบริโภคเทา นั้นจึงจะรูรส ผไู ม คือยกเลิกการอธิษฐานเดิมน้ันเสีย ไดบริโภคจะพลอยรูรสดวยไมได (ขอ เรียกวา ปจจุทธรณสบง, คาํ ปจจทุ ธรณ สบงวา “อิมํ อนตฺ รวาสกํ ปจจฺ ุทฺธรามิ” ๖ ในธรรมคุณ ๖) ปจ จัตถรณะ ผา ปูนอน, บรรจถรณก็ใช (เปลีย่ น อนฺตรวาสกํ เปน สงฺฆาฏ,ึ เปน ปจ จนั ตชนบท ถนิ่ แควนชายแดนนอก อตุ ตฺ ราสงคฺ ํ, เปน ปตตฺ ํ เปนตน สุดแตวา มัชฌิมชนบทออกไป, ปจ จนั ติมชนบท จะถอนอะไร); ดู อธิษฐาน ก็ใช ปจจุปปนนังสญาณ ญาณหยั่งรูสวน ปจจันตประเทศ ประเทศปลายแดน, ปจจุบัน, ปรีชากาํ หนดรูเหตุปจจัยของ แวนแควนชายแดน, ถิ่นแดนชั้นนอก, เรื่องที่เปนไปอยู รูวาควรทาํ อยางไรใน ถนิ่ ทย่ี งั ไมเ จรญิ คอื นอกมธั ยมประเทศ เมื่อมีเหตุหรือผลเกิดข้ึนในปจจุบัน หรอื มัชฌิมชนบท เปน ตน (ขอ ๓ ในญาณ ๓) ปจจัย 1. เหตุที่ใหผลเปนไป, เหตุ, ปจ เจกพทุ ธะ พระพุทธเจา ประเภทหนึง่ เคร่ืองหนนุ ใหเ กิด 2. ของสําหรบั อาศยั ซงึ่ ตรัสรเู ฉพาะตวั มไิ ดส ัง่ สอนผูอื่น; ดู ใช, เคร่ืองอาศัยของชีวิต, สิ่งจาํ เปน พทุ ธะ สาํ หรบั ชีวติ มี ๔ อยาง คอื จวี ร (ผานงุ ปจฉาภัต ทีหลังฉัน, เวลาหลังอาหาร หม ) บณิ ฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่ หมายถึงเวลาเท่ยี งไปแลว; เทยี บ ปุเรภัต อยูอ าศัย) คิลานเภสัช (ยาบาํ บัดโรค) ปจ ฉาสมณะ พระตามหลงั , พระผตู ดิ ตาม ปจจัยปริคคหญาณ ดู นามรูปปจจัย- เชน พระพุทธเจามกั ทรงมพี ระอานนท ปรคิ คหญาณ เปนปจฉาสมณะ เปน ศพั ทค ูกับ ปุเร- ปจ จัยปจจเวกขณะ การพิจารณาปจ จยั สมณะ พระนําหนา ๔; ดู ปจจยปจ จเวกขณะ ปจ ฉมิ กิจ ธรุ ะทีพ่ งึ ทําภายหลัง, กิจทพี่ ึง
ปจฉมิ ชาติ ๒๒๖ ปจ ฉิมาชนตา ทําตอนทาย เชน ปจฉิมกิจแหง แหง ราตรี เมอื่ แบง กลางคนื เปน ๓ สว น; อปุ สมบทมี ๖ ไดแก วดั เงาแดด, บอก เทยี บ ปฐมยาม, มัชฌิมยาม ประมาณแหงฤดู, บอกสวนแหงวัน, ปจ ฉิมวัย วัยหลงั (มีอายุระยะ ๖๗ ป บอกสงั คีติ (บอกรวบหรือบอกประมวล ลว งไปแลว); ดู วัย เชน วดั ทบ่ี วช อปุ ช ฌาย กรรมวาจาจารย ปจฉมิ วาจา ดู ปจ ฉมิ โอวาท และจํานวนสงฆ เปน ตน ) บอกนสิ ัย ๔ ปจ ฉิมสกั ขสิ าวก สาวกผูเปน พยานการ และบอกอกรณียกิจ ๔ (ท่ีรวมเรียก ตรัสรูองคสุดทาย, สาวกท่ที นั เหน็ องค อนศุ าสน) สดุ ทา ย ไดแ กพ ระสุภทั ทะ ปจฉมิ ชาติ ชาติหลัง คือ ชาติสุดทา ย ไม ปจ ฉมิ โอวาท คาํ สอนครัง้ สดุ ทา ย หมาย มีชาติใหมหลังจากนี้อีกเพราะดับกิเลส ถึง ปจฉมิ วาจา คอื พระดํารสั สดุ ทา ย ไดส ้ินเชงิ แลว ของพระพุทธเจากอนจะปรินิพพานวา ปจ ฉมิ ทัสสนะ ดูครัง้ สดุ ทาย, เหน็ ครง้ั “วยธมมฺ า สงขฺ ารา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ” สุดทาย แปลวา “สังขารท้ังหลาย มคี วามเส่อื ม ปจ ฉมิ ทสิ ทศิ เบอื้ งหลัง หมายถงึ บตุ ร สลายไปเปนธรรมดา ทานท้ังหลายจง ภรรยา; ดู ทิศหก (ยังประโยชนตนและประโยชนผ อู ่นื ) ให ปจ ฉมิ พรรษา ดู ปจฉิมิกา ถึงพรอม ดวยความไมป ระมาทเถิด” ปจฉิมโพธิกาล โพธิกาลชว งหลงั , ระยะ ปจ ฉมิ าชนตา ชมุ ชนท่ีมีในภายหลงั , หมู เวลาบําเพ็ญพุทธกิจตอนทายคือ ชวง ชนท่จี ะเกดิ ตามมาภายหลงั , คนรุนหลงั ; ใกลจนถึงปรินิพพาน กําหนดคราวๆ โดยท่วั ไป มาในขอ ความเกี่ยวกับจริยา ตามมหาปรินิพพานสูตรต้ังแตปลงพระ ของพระพุทธเจาและพระอรหันต ที่ ชนมายุสังขารถึงปรินิพพาน; ดู พุทธ- คํานึงถึงประโยชนของคนรนุ หลงั หรือ ประวตั ิ ปฏิบัติเพื่อใหคนรุนหลังมีแบบอยางที่ ปจฉิมภพ ภพหลัง, ภพสุดทาย; ดู จะยดึ ถอื เชน ทีต่ รสั วา “ภิกษทุ ัง้ หลาย ปจฉมิ ชาติ เรามองเหน็ อาํ นาจประโยชน ๒ ประการ ปจฉิมภวิกสัตว สัตวผูเกิดในภพสุด จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือปาและปา ทาย, ทานผูเกิดในชาตินี้เปนชาติสุด เปลย่ี ว กลา วคอื มองเหน็ ความอยเู ปน สขุ ทา ย คอื ผทู ่ไี ดบรรลุอรหตั ตผลในชาตินี้ ในปจ จบุ นั ของตน และจะอนเุ คราะหห มู ปจฉิมยาม ยามสุดทาย, ชวงสุดทาย ชนในภายหลงั ” (อง.ทุก.๒๐/๒๗๔/๗๗) และ
ปจ ฉิมกิ า ๒๒๗ ที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจา ขนั ธ ถึงเหตุผลที่วา ถึงแมทานจะเปนผูเฒา ปญ จทวาราวชั ชนะ ดู วถิ จี ติ ชราลงแลว กย็ งั ขอถอื ธดุ งคต อ ไป ดงั นว้ี า ปญ จพธิ กามคณุ กามคุณ ๕ อยา งคอื “ขาแตพระองคผูเจริญ ขาพระองคเล็ง รูป, เสียง, กล่นิ , รส, โผฏฐพั พะท่ีนารกั เหน็ อํานาจประโยชน ๒ ประการ …กลา ว ใครน าชอบใจ คือ เล็งเห็นความอยูเปนสุขในปจ จบุ ัน ปญ จพธิ พันธนะ เคร่ืองตรึง ๕ อยา ง ของตน และจะอนุเคราะหช ุมชนในภาย คือตรึงเหลก็ อันรอ นที่มอื ท้ัง ๒ ขา ง ที่ หลัง ดวยหมายวา ชุมชนในภายหลงั จะ เทาทงั้ ๒ ขาง และที่กลางอก ซึง่ เปนการ พึงถงึ ทฏิ ฐานุคต”ิ (สํ.นิ.๑๖/๔๘๑/๒๓๙); คํา ลงโทษทนี่ ายนริ ยบาลกระทาํ ตอ สตั วน รก บาลีเดิมเปน ปจฉฺ ิมา ชนตา ปญ จเภสัช เภสัชท้งั ๕ คือ เนยใส เนย ปจ ฉิมิกา วนั เขาพรรษาหลัง ไดแ กวัน ขน นํ้ามนั นา้ํ ผึ้ง น้าํ ออ ย แรม ๑ คํ่า เดือน ๙; อกี นัยหนงึ่ ทาน ปญ จมฌาน ฌานที่ ๕ ตามแบบที่นิยม สนั นษิ ฐานวา เปน วันเขา พรรษาในปท ่มี ี ในอภิธรรม ตรงกับฌานท่ี ๔ แบบทว่ั อธกิ มาส (เดอื น ๘ สองหน); เทยี บ ปรุ มิ กิ า, ไป หรอื แบบพระสตู ร มอี งค ๒ คือ ปรุ มิ พรรษา อุเบกขา และเอกัคคตา; ดู ฌาน ๕ ปจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเขาพรรษา ปญจมหานที ดู มหานที ๕ หลัง; ดู ปจ ฉมิ กิ า ปญ จมหาบริจาค ดู มหาบรจิ าค ปญ จกะ หมวด ๕ ปญจมหาวิโลกนะ ดู มหาวิโลกนะ ปญ จกชั ฌาน ฌานหมวด ๕ หมายถงึ ปญจมหาสุบนิ ดู มหาสุบนิ รูปฌานท่ีตามปกติอยางในพระสูตรแบง ปญจวรรค สงฆพ วกทกี่ าํ หนดจาํ นวน ๕ เปน ๔ ขน้ั แตใ นพระอภิธรรมนยิ มแบง รูป จึงจะถือวาครบองค เชนท่ใี ชใ นการ ซอยละเอียดออกไปเปน ๕ ข้ัน (ทา นวา กรานกฐนิ และการอปุ สมบทในปจ จนั ต- ท่แี บง ๕ นี้ เปนการแบงในกรณีท่ีผู ชนบท เปน ตน เจรญิ ฌานมญี าณไมแกก ลา จงึ ละวิตก ปญจวัคคยี พระพวก ๕ คือ อญั ญา- และวิจารไดทีละองค) , “ฌานปญจกนัย” โกณฑัญญะ วัปปะ ภทั ทยิ ะ มหานาม กเ็ รยี ก; ดู ฌาน ๕; เทียบ จตุกกัชฌาน อัสสชิ เปนพระอรหันตสาวกรนุ แรกของ ปญจขนั ธ ขันธหา คือ รูปขนั ธ เวทนา- พระพุทธเจา ขันธ สัญญาขันธ สงั ขารขันธ วิญญาณ- ปญจวิญญาณ วิญญาณ ๕ มีจักขุ-
ปญ จโวการ, ปญ จโวการภพ ๒๒๘ ปญ ญา วิญญาณ เปนตน ดู วถิ จี ติ สดับเลาเรียน (ปญ ญาจากปรโตโฆสะ) ปญ จโวการ, ปญ จโวการภพ ดู โวการ ๓. ภาวนามยปญญา ปญญาเกดิ จาก ปญจสติกขันธกะ ชื่อขันธกะที่ ๑๑ การปฏิบัตบิ าํ เพ็ญ (ญาณอนั เกิดขึ้นแกผู แหงจุลวรรค วินยั ปฎก วา ดว ยเรื่องการ อาศัยจินตามยปญญา หรือทั้งสุตมย- ปญญาและจินตามยปญญานั่นแหละ สงั คายนาครัง้ ที่ ๑ ขะมักเขมนมนสิการในสภาวธรรมท้ัง ปญจังคะ เกาอม้ี ีพนักดา นเดยี ว, เกา อ้ี หลาย), ตามทีพ่ ูดกนั มักเรยี งสุตมย- ไมม แี ขน ปญ ญาเปน ขอ แรก แตใ นทน่ี ี้ เรยี งลาํ ดบั ปญจาละ ช่อื แควนหน่งึ ในบรรดา ๑๖ ตามพระบาลใี นพระไตรปฎก ท้งั ในพระ แควนใหญแหงชมพูทวีปคร้ังพุทธกาล สตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑) และพระอภธิ รรม (อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๗๙๗/๔๒๒) เรยี งจนิ ตามยปญ ญา ตั้งอยูทางดานตะวันออกของแควนกุรุ เปน ขอ แรก (แตใ นเนตตปิ กรณ เรยี งและ เรียกตางไปเล็กนอยเปน ๑. สุตมยี- มีแมนํ้าภาคีรถี ซง่ึ เปนแควหนึง่ ของแม ปญญา ๒. จินตามยีปญญา ๓. ภาวนามยีปญญา); การที่ทานเรียง น้าํ คงคาตอนบน ไหลผาน นครหลวง จนิ ตามยปญ ญากอ น หรอื สุตมยปญ ญา ช่ือ กมั ปลละ กอนนั้น พอจับเหตุไดวา ทานมองท่ี ปญ ญา ความรูทวั่ , ปรชี าหยงั่ รูเหตผุ ล, บคุ คลเปนหลัก คือ ทา นเร่มิ ตนมองที่ ความรูเ ขา ใจชัดเจน, ความรูเขาใจหยั่ง บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษกอน วา พระพทุ ธเจา (และพระปจ เจกพทุ ธเจา) แยกไดในเหตุผล ดีช่ัว คุณโทษ ผูคนพบและเปดเผยความจริงข้นึ นน้ั มิ ไดอาศัยปรโตโฆสะคือการฟงจากผูอ่ืน ประโยชนม ใิ ชป ระโยชน เปนตน และรทู ี่ แตรูจักโยนิโสมนสิการดวยตนเอง ก็ สามารถเรียงตอไลตามประสบการณท้ัง จะจัดแจง จดั สรร จดั การ ดําเนินการ หลายอยางถึงทันทั่วรอบทะลุตลอดหยง่ั เหน็ ความจรงิ ได ทา นจงึ เรมิ่ ดว ยจนิ ตา- ทาํ ใหล ุผล ลว งพนปญหา, ความรอบรู มยปญ ญา แลว ตอ เขา ภาวนามยปญญา ไปเลย แตเ ม่ือมองท่บี คุ คลท่ัวไป ทา น ในกองสังขารมองเห็นตามเปน จรงิ (ขอ ๓ ในไตรสิกขา, ขอ ๔ ในบารมี ๑๐, ขอ ๕ ในพละ ๕, ขอ ๗ ในสัทธรรม ๗, ขอ ๕ ในเวสารชั ชกรณธรรม ๕, ขอ ๑ ในอธษิ ฐานธรรม ๔, ขอ ๗ ในอรยิ ทรพั ย ๗); ปญญา ๓ คอื ๑. จินตามยปญ ญา ปญ ญาเกดิ จากการคดิ พจิ ารณา (ปญ ญา จากโยนิโสมนสิการท่ีตั้งขึ้นในตนเอง) ๒. สตุ มยปญ ญา ปญ ญาเกดิ จากการ
ปญญากถา ๒๒๙ ปญ ญาสมวาร จะเริ่มดวยสุตมยปญญาเปนขอแรก ในธรรมขันธ ๕) โดยมคี ําอธบิ ายตามลาํ ดับวา บคุ คลเลา ปญญาจักขุ, ปญญาจักษุ จักษุคือ เรยี นสดบั ฟง ธรรมแลว เกดิ ศรทั ธา นาํ ไป ปญ ญา, ตาปญ ญา; เปน คุณสมบตั อิ ยาง ใครครวญตรวจสอบช่ังตรองพิจารณา หนึ่งของพระพุทธเจา พระองคตรัสรู เกิดเปนสุตมยีปญญา อาศัยส่ิงที่ได พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณดวย เรียนสดบั น้ันเปนฐาน เขาตรวจสอบช่งั ปญญาจักขุ (ขอ ๓ ในจักขุ ๕) ตรองเพงพินิจขบคิดลึกชัดลงไป เกิด ปญ ญาธฏิ ฐาน ทม่ี นั่ คอื ปญ ญา, ธรรมที่ เปน จินตามยีปญ ญา เมอ่ื เขาใชปญ ญา ควรตั้งไวในใจใหเปนฐานที่ม่ัน คือ ทั้งสองน้ันขะมักเขมนมนสิการในสภาว- ปญ ญา, ผมู ปี ญ ญาเปน ฐานทมี่ นั่ (ขอ ๑ ธรรมทั้งหลาย แลวเกิดญาณเปน มรรค ในอธฏิ ฐาน ๔); ดู อธิษฐานธรรม ท่ีจะใหเกิดผลขึ้น ก็เปนภาวนามยี- ปญญาภาวนา ดู ภาวนา ปญ ญา, นาสงั เกตวา ในคมั ภรี ว ิภงั ค ปญญาภมู ิ ธรรมทเ่ี ปน ภมู ขิ องปญ ญา; ดู แหง อภธิ รรมปฎ ก ทา นอธบิ ายภาวนามย- วิปส สนาภมู ิ 2. ปญ ญาวา ไดแ ก “สมาปนนฺ สสฺ ปฺ า” ปญญาวิมุต “ผูหลุดพนดวยปญญา” (ปญ ญาของผเู ขา สมาบตั )ิ แตม คี าํ อธบิ าย หมายถงึ พระอรหนั ตผ สู าํ เรจ็ ดว ยบาํ เพญ็ ของคัมภีรตา งๆ เชน ปรมัตถมัญชสุ า วปิ ส สนาโดยมไิ ดอ รปู สมาบตั มิ ากอ น วา คาํ อธบิ ายดงั กลา วเปน เพยี งการแสดง ปญญาวิมุตติ ความหลุดพนดวย ตัวอยาง โดยสาระก็มุงเอาการเหน็ แจง ปญญา, ความหลุดพนทีบ่ รรลุดว ยการ ความจริงท่ีเปนมัคคปญญาน่ันเอง; กาํ จัดอวชิ ชาได ทําใหสําเร็จอรหตั ตผล ปญญา ๓ อีกหมวดหนึ่งทนี่ ารู ไดแก และทาํ ใหเจโตวิมตุ ติ เปน เจโตวิมตุ ตทิ ่ี ปญ ญาทมี่ ชี อื่ วา โกศล คอื ความฉลาด ๓ ไมก ําเริบ คือไมก ลบั กลายไดอกี ตอไป; อยา ง; ดู โกศล, อธปิ ญ ญาสกิ ขา เทยี บ เจโตวิมตุ ติ ปญญากถา ถอ ยคาํ ท่ีชักนาํ ใหเ กดิ ปญญา ปญญาสมวาร วาระท่ี ๕๐, คร้งั ที่ ๕๐; (ขอ ๘ ในกถาวตั ถุ ๑๐) ในภาษาไทย นยิ มใชในประเพณที ําบุญ ปญ ญาขันธ กองปญญา, หมวดธรรมวา อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวา ดว ยปญญา เชน ธรรมวจิ ยะ การเลือก วนั ที่ ๕๐ หรือวนั ทคี่ รบ ๕๐ เชน ในขอ เฟน ธรรม กมั มัสสกตาญาณ ความรูวา ความวา “บําเพ็ญกุศลปญญาสมวาร”, สตั วม ีกรรมเปน ของตวั เปน ตน (ขอ ๓ ทัง้ นี้ มีคําทีม่ ักใชใ นชดุ เดียวกนั อกี ๒
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: