Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

วีตกิ กมะ ๓๘๐ วฒุ ิ สวดประกาศการทเี่ ธอทาํ ตวั เชน นนั้ ดว ย ภกิ ษุณี, นางสิกขมานาผูสมาทานสิกขา- ญัตติทตุ ยิ กรรม เมอื่ สงฆส วดประกาศ บท ๖ ขอ ต้ังแต ปาณาตปิ าตา เวรมณี แลวเธอยังขืนทําอยางนั้นอยูอีก ยอม ถงึ วกิ าลโภชนา เวรมณี โดยมิไดขาด ตอ งอาบตั ิปาจติ ตยี  (สิกขาบทที่ ๒ ใน ครบเวลา ๒ ปแลว จงึ มีสทิ ธขิ อวฏุ ฐาน ภตู คามวรรคที่ ๒); คกู บั อญั ญวาทกกรรม สมมติ เพื่ออปุ สมบทเปนภิกษณุ ีตอไป วีติกกมะ การละเมิดพระพุทธบัญญัติ, วฑุ ฒิ ธรรมเปนเครื่องเจริญ, ธรรมเปน เหตุใหถ ึงความเจรญิ มี ๔ อยางคือ ๑. การทาํ ผิดวนิ ยั วีติกกมกเิ ลส ดู กเิ ลส ๓ ระดับ สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสัตบุรุษ ๒. สทั - วีสติวรรค สงฆพวกท่ีกําหนดจํานวน ธมั มสั สวนะ ฟง สทั ธรรม ๓. โยนโิ ส- ๒๐ รปู (ทําอัพภานได); ดู วรรค มนสกิ าร ทาํ ในใจโดยแยบคาย ๔. ธมั มา- วฏุ ฐานะ การออก เชน ออกจากฌาน นุธัมมปฏิปตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก ธรรม, เรียกและเขียนเปน วฒุ ิ บาง ออกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส เปน ตน วุฏฐานคามินี 1. วิปส สนาทใี่ หถ ึงมรรค, วุฑฒธิ รรม บา ง วฒุ ิธรรม บาง, ในบาลี วิปสสนาที่เจริญแกกลาถึงจุดสดุ ยอดทํา เรียกวา ธรรมท่ีเปน ไปเพอ่ื ปญ ญาวฑุ ฒิ ใหเขา ถงึ มรรค (มรรคช่ือวา วุฏฐานะ หรอื ปญ ญาวฒุ ิ คือเพื่อความเจรญิ แหง โดยความหมายวาเปนที่ออกไปไดจาก ปญ ญา ส่ิงที่ยึดติดถือมั่น หรือออกไปพนจาก วฒุ ชน ผเู จรญิ , ผูใหญ, คนท่เี ปนวุฑฒะ สงั ขาร), วิปส สนาท่เี ชือ่ มตอใหถ งึ มรรค หรือมีวุฒิ; ดู วฒุ ิ 2. “อาบตั ิท่ีใหถ ึงวุฏฐานวิธี” คอื อาบตั ทิ ี่ วุฒบรรพชติ ผบู วชเมอ่ื แก จะพนไดดวยอยูกรรม หมายถึงอาบัติ วฒุ ิ ความเจรญิ , ความงอกงาม, ความเปน สงั ฆาทิเสส; เทยี บ เทสนาคามินี ผใู หญ; ธรรมใหถึงความเจริญ; ดู วฑุ ฒิ วุฏฐานวิธี ระเบียบเปนเครื่องออกจาก วุฒิ คอื ความเปนผูใหญ ๓ อยา ง อาบตั ิ หมายถงึ ระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั สิ าํ หรบั ท่ีนิยมพูดกันในภาษาไทยน้ันมาใน คมั ภีรช้นั อรรถกถาและฎกี า ไดแ ก ๑. ภิกษุผูจะเปลื้องตนจากอาบัติหนักขั้น ชาตวิ ฒุ ิ ความเปน ผูใ หญโ ดยชาติ คือ สงั ฆาทเิ สส, มที งั้ หมด ๔ อยา งคอื ปรวิ าส เกดิ ในชาตกิ ําเนดิ ฐานะอนั สูง ๒. วัยวฒุ ิ มานตั อพั ภานและ ปฏกิ สั สนา ความเปนผูใหญโดยวัย คือเกดิ กอน ๓. วุฏฐานสมมติ มติอนุญาตใหออกจาก คุณวุฒิ ความเปน ผูใหญโดยคุณความดี ความเปนสิกขมานาเพ่ืออุปสมบทเปน

เวชกรรม ๓๘๑ เวทนา หรอื โดยคณุ พเิ ศษที่ไดบรรลุ (ผลสําเรจ็ บคุ คล ๑๐ (สหธรรมกิ ๕ คอื ภกิ ษุ ทดี่ งี าม) (อนงึ่ ในคมั ภรี ท า นมไิ ดก ลา วถงึ ภกิ ษณุ ี สิกขมานา สามเณร สามเณรี, ภาวะแตกลาวถึงบุคคล คือไมกลาวถึง ปณฑุปลาสคือคนมาอยูวัดเตรียมบวช วฒุ ิ แตก ลา วถึง วุฑฒะ หรือ วฒุ เปน ไวยาวัจกรของตน มารดา บิดา อปุ ฐาก ชาตวิ ุฒ วัยวุฒ คุณวุฒ; นอกจากน้นั ใน ของมารดาบิดา) ญาติ ๑๐ (พ่ชี าย นอง อรรถกถาแหง สตุ ตนบิ าต ทา นแบง เปน ๔, ชาย พห่ี ญงิ นอ งหญงิ นา หญงิ ปา อา โดยเพิ่มปญญาวุฒ ผูใหญโดยปญญา ชาย ลงุ อาหญิง นาชาย; อนุชนมีบุตร เขา มาอกี อยา งหนึ่ง และเรยี งลาํ ดับตาม นดั ดาเปน ตนของญาติเหลา นั้น ๗ ชว่ั ความสําคัญในทางธรรม เมื่อเปลี่ยน เครือสกุล ทานก็จัดรวมเขาในคําวา วุฒ เปน วุฒิ จะไดด งั นี้ ๑. ปญ ญาวุฒิ “ญาติ ๑๐” ดวย) คน ๕ (คนจรมา โจร ๒. คุณวฒุ ิ ๓. ชาตวิ ุฒิ ๔. วัยวุฒิ) คนแพส งคราม คนเปน ใหญ คนทญ่ี าติ เวชกรรม “กรรมของหมอ”, “การงานของ ท้ิงจะไปจากถ่ิน) ถาเขาเจ็บปวยเขามา แพทย”, การบาํ บดั โรครักษาคนเจบ็ ไข, วดั พงึ ทาํ ยาใหเขา ทัง้ น้ี มีรายละเอยี ด อาชีพแพทย, การทาํ ตัวเปนหมอปรุงยา ในการที่จะตองระมัดระวังไมใหผิด ใชยาแกไขโรครกั ษาคนไข; การประกอบ พลาดหลายอยาง ขอ สําคัญคอื ใหเ ปน เวชกรรม ถือวาเปนมิจฉาชีพสําหรับ การทําดวยเมตตาการุณยแทจริง มิใช พระภิกษุ (เชน ท.ี ส.ี ๙/๒๕/๑๕; ขุ.จู.๓๐/๗๑๓/ หวังลาภ ไมใหเปนการรับใชหรือ ๓๖๐) ถงึ แมจ ะไมทาํ เพือ่ การเลี้ยงชพี หรอื ประจบประแจง จะหาลาภ ก็เสี่ยงตออาบัติในขอตติย- เวท, พระเวท ดู ไตรเพท ปาราชกิ (วินย.๑/๒๑๕/๑๕๘-๙) หรือไมกเ็ ขา เวทนา ความเสวยอารมณ, ความรสู ึก, ขา ยกลุ ทูสกสกิ ขาบท (สงั ฆาทิเสส ขอ ๑๓, ความรสู กึ สุขทุกข มี ๓ อยา ง คือ ๑. สขุ - วินย.๑/๖๒๔/๔๒๖ เรียกเวชกรรมวา ‘เวชชิกา’) เวทนา ความรสู กึ สขุ สบาย ๒. ทกุ ขเวทนา อยางไรก็ตาม ทานก็ไดเปดโอกาสไว ความรสู กึ ไมส บาย ๓. อทกุ ขมสขุ เวทนา สําหรับการดูแลชวยเหลือกันอันจําเปน ความรูสึกไมส ขุ ไมท ุกข คือ เฉยๆ เรยี ก และสมควร ดังท่ีมีขอสรุปในคัมภีรวา อกี อยางวา อเุ บกขาเวทนา; อกี หมวด ภิกษไุ มประกอบเวชกรรม แต (มงคล.๑/ หนึ่งจดั เปนเวทนา ๕ คอื ๑. สุข สบาย ๑๘๙ สรปุ จาก วินย.อ.๑/๕๗๓-๗) พงึ ทาํ ยาให กาย ๒. ทกุ ข ไมสบายกาย ๓. โสมนัส แกค นทท่ี า นอนุญาต ๒๕ ประเภท คือ สบายใจ ๔. โทมนสั ไมส บายใจ ๕.

เวทนาขันธ ๓๘๒ เวสารัชชกรณธรรม อเุ บกขา เฉยๆ; ในภาษาไทย ใชหมาย หลายท่วั ไปทัง้ หมด ความวา เจบ็ ปวดบา ง สงสารบา ง ก็มี เวภารบรรพต ช่ือภูเขาลูกหน่ึงในภูเขา เวทนาขนั ธ กองเวทนา (ขอ ๒ ในขนั ธ ๕) หา ลกู ทเ่ี รยี กเบญจครี ี อยทู กี่ รงุ ราชคฤห เวทนานปุ สสนา สติตามดูเวทนา คือ เวมานกิ เปรต เปรตอยวู ิมาน ไดเ สวยสขุ ความรสู กึ สขุ ทุกขและไมสุขไมท กุ ข เปน และทุกขสลับกันไป บางตนขางแรม อารมณโ ดยรเู ทา ทนั วา เวทนานี้ก็สกั วา เสวยทุกข ขา งข้ึนเสวยสขุ บางตนกลาง เวทนา ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา คืนเสวยสขุ กลางวนั เสวยทกุ ข เวลา (ขอ ๒ ในสตปิ ฏ ฐาน ๔) เสวยสขุ อยูใ นวมิ าน มรี างเปนทิพยส วย เวทนาปริคคหสูตร ดู ทีฆนขสูตร งาม เวลาจะเสวยทุกขตองออกจาก เวทมนตร คําที่เช่ือถือวาศักด์ิสิทธ์ิ วิมานไป และรางกายก็กลายเปนนา บรกิ รรมแลว ใหส ําเรจ็ ความประสงค เกลยี ดนา กลัว เวทัลละ ดูที่ นวงั คสัตถศุ าสน เวยยาวัจจมัย บุญสําเร็จดวยการชวย เวเนยยสัตว ดู เวไนยสตั ว ขวนขวายในกิจที่ชอบ, ทําดีดวยการ เวไนยสัตว สัตวผูควรแกก ารแนะนําสงั่ ชว ยเหลอื รบั ใชผ อู ื่น (ขอ ๕ ในบุญ- สอน, สัตวทพ่ี ึงแนะนาํ ได, สตั วท่พี อดัด กิริยาวัตถุ ๑๐); ไวยาวจั มัย ก็เขียน เวร ความแคน เคือง, ความปองรา ยกัน, ไดส อนได เวปลุ ละ ความไพบลู ย, ความเตม็ เปย ม, ความคดิ รายตอบแกผูทําราย; ในภาษา ความเจรญิ เต็มที่ มี ๒ อยาง คอื ๑. ไทยใชอีกความหมายหน่ึงดวยวาคราว, อามสิ เวปลุ ละ อามสิ ไพบลู ย หรอื ความ รอบ, การผลัดกันเปนคราวๆ, ตรงกับ ไพบูลยแ หง อามสิ หมายถงึ ความมาก วาร หรอื วาระ ในภาษาบาลี มายพรง่ั พรอมดว ยปจจยั ๔ ตลอดจน เวสสภู พระนามของพระพุทธเจาพระ วัตถุอํานวยความสุขความสะดวกสบาย องคห น่งึ ในอดตี ; ดู พระพทุ ธเจา ๗ ตา งๆ ๒. ธมั มเวปุลละ ธรรมไพบูลย เวสสวณั , เวสสวุ ณั ดู จาตมุ หาราช, จาต-ุ หรือความไพบูลยแหงธรรม หมายถึง มหาราชิกา, ปรติ ร ความเจริญเต็มเปยมเพียบพรอมแหง เวสารัชชกรณธรรม ธรรมทําความกลา ธรรม ดว ยการฝกอบรมปลกู ฝงใหม ีใน หาญ, ธรรมเปน เหตใุ หก ลา หาญ, คณุ ธรรม ตนจนเต็มบริบูรณ หรือดวยการ ทที่ ําใหเ กดิ ความแกลวกลา มี ๕ อยาง ประพฤติปฏิบัติกันในสังคมจนแพร คือ ๑. ศรัทธา เช่อื สง่ิ ทีค่ วรเชื่อ ๒. ศีล

เวสารชั ชญาณ ๓๘๓ เวกิ ผา มีความประพฤติดีงาม ๓. พาหุสัจจะ ๕ กม., ท่ีตงั้ ของเมอื งเวสาลี อยูเหนอื ไดสดับหรือศึกษามาก ๔. วิรยิ ารมั ภะ เมืองปาตลีบุตรนั้นข้ึนไป วัดตรงเปน เพียรทํากิจอยอู ยางจริงจัง ๕. ปญญา รู เสน บรรทดั ประมาณ ๔๓.๕ กม., เวสาลี รอบและรูชดั เจนในส่งิ ท่คี วรรู เปน คําภาษาบาลี เรยี กอยา งสันสกฤตวา เวสารัชชญาณ พระปรีชาญาณอันทําให ไวศาลี หรือ ไพศาลี พระพุทธเจาทรงมีความแกลวกลาไม เวหาสกุฎี โครงที่ตั้งขึ้นในวิหาร ปก คร่ันคราม ดวยไมทรงเห็นวาจะมีใคร เสาตอมอขน้ึ แลว วางรอดบนนน้ั สงู พอ ทวงพระองคไดโดยชอบธรรมในฐานะ ศีรษะไมก ระทบพ้นื ถา ไมปพู ้นื ขา งบนก็ ทัง้ ๔ คือ ๑. ทา นปฏิญญาวาเปน เอาเตียงวางลงไป ใหพืน้ เตยี งคานรอด สัมมาสมั พุทธะ ธรรมเหลา นีท้ า นยงั ไมรู อยู ขาเตยี งหอ ยลงไป ใชอ ยไู ดทัง้ ขาง แลว ๒. ทา นปฏิญญาวาเปน ขณี าสพ บนขางลาง ขางบนเรียกวาเวหาสกุฎี อาสวะเหลาน้ีของทานยงั ไมส ิ้นแลว ๓. เปนของตอ งหา มตามสิกขาบทที่ ๘ แหง ทานกลาวธรรมเหลาใดวาทําอันตราย ภตู คามวรรค ปาจติ ตีย ธรรมเหลานั้นไมอาจทําอันตรายแกผู เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดาดูนนั ทมารดา1. สอ งเสพไดจ รงิ ๔. ทา นแสดงธรรมเพอื่ เวฬุวะ ผลมะตูม ประโยชนอ ยา งใด ประโยชนอยางน้นั ไม เวฬุวคาม ชอื่ ตําบลหนง่ึ ใกลน ครเวสาลี เปนทางนําผูทําตามใหถึงความส้ินทุกข แควนวัชชี เปนท่ีพระพุทธเจาทรงจํา โดยชอบไดจริง พรรษาในพรรษาท่ี ๔๕ นับแตไ ดตรัสรู เวสาลี ช่อื นครหลวงของแควนวัชชี ตงั้ คือพรรษาสุดทายที่จะเสด็จปรินิพพาน; อยูบนฝงทิศตะวันออกของแมน้ําคงคา เพฬุวคาม กเ็ รียก สวนที่ปจจุบันเรียกชื่อเปนอีกแมนํา้ หนึ่ง เวฬวุ นั ปา ไผ สวนทปี่ ระพาสพกั ผอ นของ ตางหากวา แมน าํ้ คันทัก (Gandak) ซึ่ง พระเจา พมิ พสิ าร อยไู มใ กลไ มไกลจาก เปนสาขาใหญสาขาหนึ่งของแมนํ้าคงคา พระนครราชคฤห เปนทีร่ มร่ืนสงบเงยี บ น้ัน และเมื่อไหลลงมาจากเวสาลีอีก มีทางไปมาสะดวก พระเจาพิมพิสาร ประมาณ ๔๐ กม. ก็เขา รวมกบั แมน าํ้ ถวายเปนสังฆาราม นับเปนวัดแรกใน คงคาทจ่ี ดุ บรรจบ ซง่ึ หา งจากเมอื งปต นะ พระพทุ ธศาสนา (Patna, คือ ปาตลบี ตุ ร ในอดตี ) ไป เวิกผา ในประโยควา “เราจักไมไปใน ทางตะวันออกเฉียงเหนือเพียงประมาณ ละแวกบา นดว ยทัง้ เวกิ ผา ” เปด สีขา งให

โวการ ๓๘๔ ศตมวาร เหน็ เชนถกจีวรขึ้นพาดไวบ นบา แกธรรมจําพวกที่ทําใหเจริญงอกงามดี โวการ “ความแผกผัน”, “ภาวะหลาก ย่ิงข้ึนไปจนปลอดพนจากประดาส่ิงมัว หลาย”, เปนคําท่ีนิยมใชในพระอภิธรรม หมองบริสุทธ์ิบริบูรณ เชน โยนิโส- และคัมภรี อ รรถาธิบาย เชน อรรถกถา มนสกิ าร กุศลมลู สมถะและวปิ สสนา เปนตน ในความหมายวา ความหลาก ตลอดถงึ นพิ พาน; ตรงขา มกบั สงั กิเลส หลายหรือความเปนไปตางๆ แหงขันธ โวหาร ถอยคาํ , สํานวนพูด, ชน้ั เชิง หรอื หรือขันธที่ผันแปรหลากหลายเปนไป กระบวนแตงหนงั สือหรอื พดู ตางๆ โดยนยั หมายถึง ขันธ น่ันเอง, ไวพจน คาํ ทมี่ รี ปู ตา งกนั แตม คี วามหมาย มกั ใชแ สดงลกั ษณะของ “ภพ” ซง่ึ จาํ แนก คลา ยกัน, คําสําหรบั เรยี กแทนกนั เชน ไดเ ปน ๓ ประเภท คอื เอกโวการภพ คําวา มทนิมฺมทโน เปนตน เปน ไวพจน ภพทม่ี ขี ันธเ ดยี ว ไดแ ก อสัญญภี พ (มี ของ วริ าคะ คาํ วา วมิ ตุ ติ วิสทุ ธิ สันติ รปู ขันธเ ทานัน้ ) จตุโวการภพ ภพทีม่ ีส่ี อสงั ขตะ ววิ ฏั ฏ เปน ตน เปน ไวพจนข อง ขนั ธ ไดแ ก อรปู ภพ (มแี ตนามขันธ ๔ นพิ พาน ดงั นีเ้ ปน ตน คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ) ไวยากรณ 1. ระเบยี บของภาษา, วิชาวา ปญ จโวการภพ ภพทม่ี หี า ขันธ ไดแ ก ดว ยระเบียบแหง ภาษา 2. พทุ ธพจนที่ กามภพ และรปู ภพทน่ี อกจากอสญั ญภี พ เปนขอความรอยแกว คือเปนจุณณยิ - (ในพระสุตตันตปฎก มีเฉพาะนิทเทส บทลวน ไมม คี าถาเลย (ขอ ๓ ในนวงั ค- และปฏิสัมภิทามคั ค เทา นน้ั ท่ีใชค าํ วา สัตถศุ าสน); เทยี บ คาถา 2.; ดู จณุ ณยิ บท ไวยาวัจกร ผทู าํ กิจธรุ ะแทนสงฆ, ผชู วย โวการ หมายถงึ ขันธ) โวฏฐพั พนะ ดู วถิ จี ติ ขวนขวายทาํ กจิ ธรุ ะ, ผชู ว ยเหลอื รบั ใชพ ระ โวทาน ความบรสิ ทุ ธ์,ิ ความผอ งแผว , ไวยาวัจจะ การขวนขวายชวยทํากิจธุระ, การชําระลาง, การทําใหสะอาด, ธรรมที่ การชวยเหลือรับใช อยใู นวเิ สสภาค คือในฝายขางวเิ ศษ ได ไวยาวัจมัย ดู เวยยาวจั จมัย ศ ศตมวาร วาระที่ ๑๐๐, ครัง้ ท่ี ๑๐๐; ใน อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวา ภาษาไทย นิยมใชในประเพณีทําบุญ วนั ที่ ๑๐๐ หรือวนั ท่ีครบ ๑๐๐ เชน ใน

ศรัทธา ๓๘๕ ศสั ตรา ขอความวา “บําเพ็ญกุศลศตมวาร”, ทั้ง กวางออกไปแมในพิธีราษฎรท่ีจะจัดให นี้ มีคาํ ท่มี ักใชในชุดเดยี วกนั อีก ๒ คาํ เปนการใหญ คือ สัตมวาร (วนั ท่ี ๗ หรือวันท่ีครบ ศรี ม่ิงขวญั , ราศ,ี อาการท่นี านยิ ม; ดู สิริ ๗) และ ปญ ญาสมวาร (วนั ท่ี ๕๐ หรือ ศรีอารยเมตไตรย พระนามของพระ วนั ทีค่ รบ ๕๐); อน่ึง “ศตมวาร” (วารท่ี พุทธเจาพระองคหนึง่ ซ่ึงจะอุบัตขิ ้นึ ใน ๑๐๐) นี้ เปนคําจากภาษาสันสกฤต ภายหนา หลงั จากสนิ้ ศาสนาพระโคดมแลว ตรงกบั คาํ บาลวี า “สตมวาร” ไมพ งึ สบั สน ในคราวทีม่ นุษยมีอายยุ นื ๘๐,๐๐๐ ป กบั “สัตมวาร” (วารท่ี ๗) ท่ีมาจากคําเตม็ นับเปน พระพทุ ธเจาพระองคที่ ๕ แหง ในภาษาบาลีวา “สตฺตมวาร” ภัทรกัปนี้, เรียกวา พระศรีอริย- ศรทั ธา ความเชื่อ, ความเชอ่ื ถือ; ดู สัทธา เมตไตรย หรอื เรยี กสน้ั ๆ วา พระศรอี ารย ศรัทธาไทย ของที่เขาถวายดวยศรัทธา; บาง, พระนามเดิมในภาษาบาลีวา “ทาํ ศรัทธาไทยใหตกไป” คอื ทาํ ใหของ “เมตเฺ ตยฺย”; ดู พระพุทธเจา ๕ ท่ีเขาถวายดวยศรัทธาเส่ือมเสียคุณคา ศกั ดิ์ อาํ นาจ, ความสามารถ, กาํ ลงั , ฐานะ หรอื หมดความหมายไป หมายความวา ศักดินา อํานาจปกครองที่นา หมาย ปฏิบัติตอ ส่ิงท่ีเขาถวายดวยศรัทธา โดย ความวาพระมหากษัตริยพระราชทาน ไมส มควรแกศ รัทธาของเขา หรือโดยไม พระบรมราชานุญาตใหเ จา นาย และขุน เหน็ ความสาํ คัญแหง ศรทั ธาของเขา เชน นางเปนตน ถอื นาไดมกี าํ หนดจาํ นวนไร ภิกษุเอาอาหารบิณฑบาตท่ีเขาถวายโดย เปนเรือนหมื่นเรือนพันตามฐานานุรูป ตั้งใจทําบุญ ไปทิ้งเสีย หรือไปใหแก การพระราชทานใหถ ือศักดินาน้นั เปน คฤหัสถโ ดยยงั มิไดฉ นั ดว ยตนเองกอน เคร่ืองเทียบยศและเปนเคร่ืองปรับผู ศราทธ การทาํ บญุ ใหแ กญ าติผูลวงลบั ไป ก้ําเกนิ หรือเปน เครอ่ื งปรบั ผถู อื ศกั ดนิ า แลว (ตางจาก สารท) น่นั เอง เมือ่ ทําผดิ ศราทธพรต พิธีทําบุญอุทิศแกญาติผู ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ มอี าํ นาจ(ศกั ด)ิ์ ใหส าํ เรจ็ (สทิ ธ)ิ์ , ลวงลบั ไปแลว ; ศราทธพรตคาถา หรือ ขลัง, มีกําลังอํานาจท่ีจะทําใหเปนไป คาถาศราทธพรต หมายถงึ คาถาหมวด อยา งน้นั อยางน้ี หรอื ใหสาํ เร็จผลไดจรงิ หน่ึง (มีรอยแกวนําเล็กนอย) ที่พระ ศัพท เสียง, คาํ , คํายากทต่ี อ งแปล, คาํ สงฆใ ชสวดรับเทศน ในงานพระราชพธิ ี ยากทีต่ องอธบิ าย เผาศพในประเทศไทย แตบัดน้ีใชกัน ศัสตรา ของมีคมเปนเครอ่ื งแทงฟน

ศสั ตราวุธ ๓๘๖ ศิลปศาสตร ศัสตราวุธ อาวธุ มคี มเปน เครอื่ งฟนแทง หมายถึงลัทธิความเชื่อถืออยางหนึ่งๆ (ศสั ตรา = ของมีคมเปน เคร่ืองฟน แทง, พรอ มดว ยหลกั คาํ สอน ลทั ธิ พธิ ี องคก าร อาวธุ = เครอ่ื งประหาร) และกิจการทว่ั ไปของหมูช นผูน บั ถือลัทธิ ศากยะ ชือ่ กษัตริยพวกหน่งึ ซงึ่ สบื เชื้อ ความเชือ่ ถืออยา งนัน้ ๆ ทงั้ หมด สายมาจากพระเจา โอกกากราช ซ่ึงเปนผู ศาสนปู ถมั ภก ผูทะนุบํารงุ ศาสนา สรางและครองกรงุ กบิลพสั ดุ พระพทุ ธ- ศิลปะ ฝมือ, ความฉลาดในฝมือ, ฝมือ เจากเ็ ปนกษัตริยว งศน ี้; ศากยะ เปน คํา ทางการชา ง, การแสดงออกมาใหป รากฏ สนั สกฤต เรยี กอยา งบาลเี ปน สกั กะ บา ง, อยา งงดงามนา ชม, วชิ าทใี่ ชฝ ม อื , วชิ าชพี สกั ยะ บา ง, สากยิ ะ บา ง; ศากยะ หรอื ตา งๆ สกั กะ น้ี ใชเ ปน คาํ เรยี กชอื่ ถน่ิ หรอื แควน ศลิ ปวทิ ยา ศิลปะและวทิ ยาการ ของพวกเจาศากยะดวย; ดู สักกชนบท ศิลปศาสตร ตําราวาดวยวิชาความรู ศากยกมุ าร กมุ ารวงศศากยะ, เจาชาย ตางๆ มี ๑๘ ประการ เชนตาํ ราวาดว ย วงศศ ากยะ การคํานวณ ตํารายิงธนู เปน ตน อนั ได ศากยราช กษตั ริยศ ากยะ, พระเจา แผน มีการเรียนการสอนกันมาตั้งแตสมัย ดินวงศศ ากยะ กอนพุทธกาล; ๑๘ ประการน้นั มหี ลาย ศากยวงศ เชือ้ สายพวกศากยะ ศากยสกุล ตระกูลศากยะ, เหลา กอพวก แบบ ยกมาดแู บบหนง่ึ จากคมั ภรี โ ลกนติ ิ และธรรมนติ ิ ไดแ ก ๑. สตุ ิ ความรทู ั่ว ศากยะ ไป ๒. สมั มุติ ความรูกฎธรรมเนยี ม ๓. ศาสดา ผอู บรมสง่ั สอน, เปน พระนามอยา ง สงั ขยา วิชาคาํ นวณ ๔. โยคา การชาง การยนตร ๕. นีติ วิชาปกครอง (คอื หนึ่งทใี่ ชเ รียกพระพทุ ธเจา ; ปจจุบันใช เรยี กผูต้ังศาสนาโดยท่ัวไป, ในพทุ ธกาล ความหมายเดิมของ นิติศาสตร ใน ชมพูทวีป) ๖. วิเสสิกา ความรูการอนั ให ครทู ้ัง ๖ คือ ปูรณกสั สป มักขลโิ คสาล เกิดมงคล ๗. คนั ธัพพา วิชารองราํ ๘. คณกิ า วิชาบริหารรา งกาย ๙. ธนพุ เพธา อชิตเกสกัมพล ปกธุ กจั จายนะ สญั ชัย- วิชายงิ ธนู (ธนพุ เพทา กว็ า ) ๑๐. ปรู ณา วิชาบูรณะ ๑๑.ติกิจฉา วิชาบาํ บัดโรค เวลฏั ฐบตุ ร และนคิ รนถนาฏบตุ ร ถา เรยี ก (แพทยศาสตร) ๑๒. อติ หิ าสา ตํานาน หรอื ประวัตศิ าสตร ๑๓. โชติ ความรู ตามบาลี กเ็ ปน ศาสดา ๖ ศาสตร ตาํ รา, วิชา ศาสนทตู ดู โมคคัลลบี ุตรติสสเถระ ศาสนา คําสอน, คาํ สง่ั สอน; ปจจุบนั ใช

ศิลาดวด ๓๘๗ ศลี ๘ เรอ่ื งสงิ่ สอ งสวา งในทอ งฟา (ดาราศาสตร) ศีล ความประพฤติดีทางกายและวาจา, ๑๔.มายา ตาํ ราพชิ ยั สงคราม ๑๕.ฉนั ทสา การรกั ษากายและวาจาใหเรยี บรอ ย, ขอ วชิ าประพนั ธ ๑๖.เกตุ วชิ าพดู ๑๗.มนั ตา ปฏิบัติสําหรับควบคุมกายและวาจาให วิชาเวทมนตร ๑๘. สัททา วิชาหลัก ตงั้ อยใู นความดงี าม, การรกั ษาปกตติ าม ภาษาหรือไวยากรณ, ท้งั ๑๘ อยางนี้ ระเบยี บวนิ ยั , ปกตมิ ารยาททป่ี ราศจาก โบราณเรียกรวมวา สิปปะ หรอื ศลิ ปะ โทษ, ขอปฏิบัติในการฝกหัดกายวาจา ไทยแปลออกเปน ศิลปศาสตร (ตําราวา ใหดียิ่งขึ้น, ความสุจริตทางกายวาจา ดวยศลิ ปะตางๆ); แตใ นสมยั ปจ จบุ นั ได และอาชพี ; มักใชเ ปนคาํ เรียกอยา งงาย แยกความหมาย ศลิ ปะ กบั ศาสตร ออก สาํ หรับคําวา อธิศีลสกิ ขา (ขอ ๑ ในไตร จากกัน คอื ศลิ ปะ หมายถึง วิทยาการที่ สิกขา, ขอ ๒ ในบารมี ๑๐, ขอ ๒ ใน มวี ตั ถปุ ระสงคต รงความงาม เชน ดรุ ยิ างค- อริยทรพั ย ๗, ขอ ๒ ในอรยิ วัฑฒิ ๕) ศิลป นาฏศลิ ป และจติ รกรรม เปน ตน ศลี ๕ สําหรับทุกคน คอื ๑. เวน จาก ศาสตร หมายถงึ วทิ ยาการทมี่ วี ตั ถปุ ระสงค ทาํ ลายชวี ิต ๒. เวน จากถือเอาของที่เขา ตรงความจรงิ เชน คณติ ศาสตร และ มไิ ดใ ห ๓. เวนจากประพฤติผดิ ในกาม วิทยาศาสตร เปน ตน ๔. เวน จากพดู เทจ็ ๕. เวน จากของเมา ศลิ าดวด หินที่สูงขึน้ ไปบนพืน้ ดิน คือสุราเมรัยอันเปนที่ตั้งแหงความ ศิลาดาด หนิ ทีเ่ ปนแผนราบใหญ ประมาท; คาํ สมาทานวา ๑. ปาณาตปิ าตา ศิลาเทอื ก หนิ ท่ตี ดิ เปน พดื ยาว เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๒. อทินฺ- ศลิ าวดี ชอื่ นครหน่งึ ในสกั กชนบท นาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ศิวาราตรี พิธีลอยบาปของพราหมณทํา ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี สิกขฺ าปทํ ในวันเพญ็ เดอื น ๓ เปนประจําป วิธที ํา สมาทยิ ามิ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ คอื ลงอาบน้ําในแมน าํ้ สระเกลา ชําระ สมาทยิ ามิ ๕.สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา กายใหสะอาดหมดจด เทานี้ถือวาได เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนา ลอยบาปไปตามกระแสน้ําแลวเปนอัน ศีล ดว ย สิ้นบาปกันคราวหนึง่ ถงึ ปก็ทาํ ใหม (คาํ ศลี ๘ สําหรับฝกตนใหย ิ่งขน้ึ ไปโดยรักษา สันสกฤตเดิมเปน ศิวราตริ แปลวา ในบางโอกาส หรือมีศรัทธาจะรักษา “ราตรีของพระศิวะ” พจนานุกรม ประจาํ ใจกไ็ ด เชน แมช มี กั รกั ษาประจาํ สนั สกฤตวา ตรงกบั แรม ๑๔ คา่ํ เดอื น ๓) หวั ขอ เหมอื นศลี ๕ แตเ ปลยี่ นขอ ๓

ศลี ๑๐ ๓๘๘ ศลี วตั ร,ศีลพรต และเตมิ ขอ ๖, ๗, ๘ คอื ๓. เวน จากการ สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ๙. อุจฺจาสยน- ประพฤตผิ ดิ พรหมจรรย คอื เวน จากการ มหาสยนา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ รว มประเวณี ๖. เวน จากบรโิ ภคอาหารใน ๑๐. ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณี เวลาวกิ าล คอื เทย่ี งแลว ไป ๗. เวน จาก สิกขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนาศีล การฟอ นราํ ขบั รอ ง บรรเลงดนตรี ดกู าร ศลี ๒๒๗ ศลี สาํ หรบั พระภกิ ษุ มใี นภกิ ข-ุ เลน อนั เปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรย การทดั ปาฏิโมกข ทรงดอกไม ของหอมและเคร่ืองลูบไล ศีล ๓๑๑ ศีลสําหรับพระภิกษณุ ี มใี น ซงึ่ ใชเ ปน เครอ่ื งประดบั ตกแตง ๘. เวน ภกิ ขุนีปาฏโิ มกข จากที่นอนอันสูงใหญหรูหราฟุมเฟอย; ศีลธรรม ความประพฤตทิ ่ดี ีงามทางกาย คาํ สมาทาน (เฉพาะทต่ี า งจากศลี ๕) วา วาจา, ความประพฤตทิ ี่ดีท่ชี อบ, ความ ๓. อพฺรหมฺ จริยา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมา- สจุ ริตทางกายวาจาและอาชีวะ; โดยทาง ทยิ ามิ ๖. วกิ าลโภชนา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ ศัพท ศลี ธรรม แปลวา “ธรรมคอื ศลี ” สมาทยิ ามิ ๗. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ น- หมายถงึ ธรรมข้นั ศีล หรอื ธรรมในระดับ มาลาคนธฺ วเิลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา ศีล เพราะศีลเปนธรรมอยางหนึ่ง ใน เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๘. อจุ จฺ าสยน- บรรดาธรรมภาคปฏิบัติ ๓ อยา งคือ ศลี มหาสยนา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู สมาธิ และปญญา ดังน้นั ตอจากธรรม อาราธนาศลี ข้ันศลี จึงมีธรรมขั้นสมาธิ และธรรมขัน้ ศลี ๑๐ สาํ หรบั สามเณร แตผ ใู ดศรัทธาจะ ปญญา; ไดม ีผพู ยายามแปล ศีลธรรม รกั ษากไ็ ด หวั ขอ เหมอื นศลี ๘ แตแ ยกขอ อีกอยางหนง่ึ วา “ศีลและธรรม” (ถา แปล ๗ เปน ๒ ขอ (= ๗, ๘) เลอ่ื นขอ ๘ เปน ใหถูกตองจริงตองวาศีลและธรรมอ่ืนๆ ๙ และเตมิ ขอ ๑๐ คือ ๗. เวนจากฟอน คือศลี และธรรมอนื่ ๆ นอกจากศีล เชน รํา ขบั รอ ง ฯลฯ ๘. เวนจากการทัดทรง สมาธิ และปญ ญา เปน ตน เพราะศลี ก็ ดอกไม ฯลฯ ๙. เวนจากท่นี อนอนั สงู เปน ธรรรมอยา งหนงึ่ ) ถาแปลอยางน้ี จะ ใหญ ฯลฯ ๑๐. เวน จากการรบั ทองและ ตองเขาใจวาศีลธรรม มิใชเปนเพียง เงิน; คาํ สมาทาน (เฉพาะท่ตี า ง) วา ๗. ความประพฤตดิ ีงามเทาน้ัน แตรวมถึง นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นา เวรมณี สกิ ขฺ า- สมถะวิปส สนา ขนั ธ ๕ ปฏจิ จสมปุ บาท ปทํ สมาทิยามิ ๘. มาลาคนฺธวิเลปน- ไตรลกั ษณ เปน ตน ดว ย; เทียบ จรยิ ธรรม ธารณมณฺฑนวิภูสนฏานา เวรมณี ศีลวตั ร, ศลี พรต ศลี และวตั ร, ศลี และ

ศีลวิบตั ิ ๓๘๙ สกทาคามิมรรค พรต, ขอท่ีจะตองสํารวมระวังไมลวง ขางขนึ้ ; ชณุ หปกษ กเ็ รยี ก; ตรงขา มกบั ละเมิด ชอื่ วา ศลี ขอท่ีพึงถือปฏิบัติชอ่ื กัณหปกษ หรอื กาฬปก ษ วา วัตร, หลกั ความประพฤติท่ัวไปอัน ศุภวารฤกษ ฤกษง ามยามดี จะตอ งรกั ษาเปนพื้นฐานเสมอกัน ชื่อวา ศูทร ชื่อวรรณะที่ส่ี ในวรรณะสขี่ องคน ศีล ขอปฏิบัติพิเศษเพ่ือฝกฝนตนใหยิ่ง ในชมพูทวปี ตามหลกั ศาสนาพราหมณ ข้นึ ไป ชอ่ื วา วัตร จัดเปนชนชั้นต่ํา ไดแ ก พวกทาสและ ศลี วิบตั ิ ดู สลี วิบัติ กรรมกร; ดู วรรณะ ศีลอโุ บสถ คอื ศีล ๘ ท่สี มาทานรักษา เศวต สขี าว พิเศษในวนั อโุ บสถ; ดู อโุ บสถศลี เศวตฉตั ร ฉัตรขาว, รม ขาว, พระกลด ศลี าจาร ศีลและอาจาระ, การปฏิบัตติ าม ขาวซ่งึ นับวา เปน ของสูง พระวินัยบัญญัติ และมารยาทท่ัวไป; เศวตอัสดร มา สีขาว นยั หนงึ่ วา ศลี คือไมตอ งอาบตั ิปาราชิก โศก ความเศรา, ความมีใจหมนไหม, และสังฆาทิเสส อาจาระ คือไมตอง ความแหงใจ, ความรูสึกหมองไหมใจ อาบตั ิเบาตั้งแตถุลลัจจัยลงมา แหงผาก เพราะประสบความพลดั พราก ศึกษา การเรียน, การฝก ฝนปฏิบตั ิ, การ หรือสูญเสียอยางใดอยางหนึ่ง (บาลี: เลาเรียนใหรูเขาใจ และฝกหัดปฏบิ ัติให โสก; สนั สกฤต: โศก) เปนคุณสมบัติที่เกิดมีข้ึนในตนหรือให โศกศัลย ลกู ศรคือความโศก, เปน ทกุ ข ทาํ ไดท าํ เปน ตลอดจนแกไ ขปรบั ปรงุ หรอื เดอื ดรอ นเหมอื นถกู ลูกศรทิม่ แทง พัฒนาใหดีย่ิงข้ึนไปจนกวาจะสมบูรณ; โศกาลัย ความเศราเหี่ยวแหงใจและ ในการศึกษาทางพระธรรมวนิ ยั นิยมใช ความหว งใย, ทง้ั โศกเศราท้งั อาลัยหรือ รูปที่เขยี นอยา งบาลี คอื “สกิ ขา”; ดู สกิ ขา โศกเศรา ดวยอาลัย, รอ งไหส ะอึกสะอน้ื ศุกลปก ษ “ฝายขาว, ฝายสวาง” หมายถงึ (เปนคํากวไี ทยผกู ข้ึน) ส สกทาคามิผล ผลที่ไดรับจากการละ สบื เนือ่ งมาแตส กทาคามิมรรค, สกทิ า- สกั กายทฏิ ฐิ วิจกิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส คามผิ ล กเ็ ขียน กบั ทํา ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบาง ซึ่ง สกทาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุ

สกทาคามี ๓๙๐ สงสารทุกข ผล คอื ความเปน พระสกทาคาม,ี ญาณ แหงภิกษุหรือชุมนุมภิกษุ (ดูความ คือความรูเปนเหตลุ ะสังโยชนได ๓ คือ หมาย 2), ตอ มา บางทเี รยี กอยา งแรก สกั กายทิฏฐิ วจิ กิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส วา อรยิ สงฆ อยางหลังวา สมมติสงฆ กบั ทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง, 2. ชุมนมุ ภิกษหุ มหู นง่ึ ต้ังแต ๔ รปู ข้นึ สกทิ าคามิมรรค กเ็ ขยี น ไป ซ่ึงสามารถประกอบสังฆกรรมได สกทาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ ตามกําหนดทางพระวินัย ตา งโดยเปน สกทาคามิผล, สกิทาคามี กเ็ ขยี น สงฆจ ตรุ วรรคบา ง ปญ จวรรคบาง ทศ- สกสัญญา ความสําคัญวาเปนของตน, วรรคบา ง วสี ติวรรคบา ง, ถา เปนชมุ นุม ภิกษุ ๒ หรอื ๓ รปู เรียกวา คณะ ถามี นึกวาเปน ของตนเอง สกุล วงศ, เชอ้ื สาย, เผา พันธุ ภิกษรุ ปู เดียว เปน บุคคล สงกรานต การยาย คือ ดวงอาทติ ยยา ย สงฆจ ตุรวรรค สงฆพวก ๔ คอื มีภกิ ษุ ราศี ในท่ีน้ีหมายถึงมหาสงกรานตคือ ๔ รูปขึ้นไปจึงจะครบองคกาํ หนด, สงฆ พระอาทติ ยย า ยเขา สรู าศเี มษ นบั เปน เวลา จตุวรรค ก็เขียน; ดู วรรค ข้ึนปใหมอยางเกา จัดเปนนักขัตฤกษ สงฆท ศวรรค สงฆพ วก ๑๐ คอื มภี กิ ษุ ซึ่งตามสุริยคตติ กวนั ท่ี ๑๓, ๑๔, ๑๕ ๑๐ รปู ขึน้ ไป จึงจะครบองคกาํ หนด; ดู เมษายน ตามปรกติ วรรค สงคราม การรบกัน, เปนโวหารทางพระ สงฆมณฑล ดู สังฆมณฑล วินัย เรียกภิกษุผูจะเขาสูการวินิจฉัย สงฆว ีสตวิ รรค สงฆพวก ๒๐ คือ มี อธิกรณ วา เขา สสู งคราม ภกิ ษุ ๒๐ รปู ขน้ึ ไป จงึ จะครบองคก าํ หนด; สงเคราะห 1. การชว ยเหลอื , การเอ้อื ดู วรรค เฟอเกือ้ กลู ; ดู สงั คหวัตถุ 2. การรวม สงสาร 1. การเวยี นวายตายเกดิ , การ เวียนตายเวียนเกดิ ; ดู สงั สาระ 2. ใน เขา , ยน เขา, จัดเขา สงฆ หม,ู ชมุ นุม 1. หมูสาวกของพระ ภาษาไทยมกั หมายถึงรูสึกในความเดอื ด พุทธเจา เรียกวา สาวกสงฆ ดังคาํ สวด รอนหรอื ความทุกขของผูอ ืน่ (= กรณุ า); ในสังฆคุณ ประกอบดวยคูบุรุษ ๔ ดู กรุณา บุรุษบทุ คล (รายตวั บคุ คล) ๘ เริ่มแต สงสารทกุ ข ทกุ ขท ต่ี อ งเวยี นวา ยตายเกดิ , ทานผูต้ังอยูในโสดาปตติมรรค จนถึง ทุกขท่ีประสบในภาวะแหงการวายวนอยู พระอรหันต ตางจากภกิ ขสุ งฆ คือหมู ในกระแสแหง กเิ ลส กรรม และวบิ าก; ดู

สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ ๓๙๑ สตปิ ฏฐาน สังสาระ, สงั สารวัฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท สติ ความระลึกได, นึกได, ความไม สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ วังวนแหง เผลอ, การคมุ ใจไวก บั กจิ หรอื กมุ จิตไว สงสาร คอื ทองเทีย่ วเวยี นวา ยตายเกดิ กับส่ิงท่ีเก่ียวของ, จําการที่ทําและคําที่ อยูซํ้าแลวซ้ําเลา; ดู สงั สาระ, สังสารวฏั พูดแลว แมนานได (ขอ ๑ ในธรรมมี สงสารสาคร หวงนํ้าคือการเวียนวาย อปุ การะมาก ๒, ขอ ๙ ในนาถกรณ- ตายเกดิ ; ดู สังสาระ, สงั สารวฏั ธรรม ๑๐, ขอ ๓ ในพละ ๕, ขอ ๑ ใน สงสารสทุ ธิ ดู สงั สารสุทธิ โพชฌงค ๗, ขอ ๖ ในสัทธรรม ๗) สจิตตกะ มีเจตนา, เปนไปโดยต้ังใจ, สติปฏ ฐาน ธรรมเปน ท่ีตัง้ แหง สต,ิ ขอ เปนชื่อของอาบัติพวกหนึ่งที่เกิดข้ึนโดย ปฏิบัติมีสติเปนประธาน, การต้ังสติ สมุฏฐานมเี จตนา คือ ตอ งจงใจทาํ จึงจะ กําหนดพิจารณาส่ิงท้ังหลายใหรูเห็นเทา ตองอาบัติน้ัน เชน ภิกษหุ ลอนภิกษุให ทนั ตามความเปน จรงิ , การมสี ตกิ าํ กับดู กลวั ผี ตองปาจติ ตยี  ขอ นเ้ี ปน สจติ ตกะ สิง่ ตา งๆ และความเปน ไปทง้ั หลาย โดย คือ ต้ังใจหลอกจึงตองปาจิตตยี  แตถ า รูเทา ทันตามสภาวะของมัน ไมถกู ครอบ ไมไ ดต งั้ ใจจะหลอก ไมต อ งอาบตั ิ งําดวยความยินดียินราย ท่ีทําใหมอง สญชัย ดู สัญชยั เหน็ เพยี้ นไปตามอาํ นาจกเิ ลส มี ๔ อยา ง สดับปกรณ “เจ็ดคมั ภีร” หมายถึงคัมภรี  คอื ๑. กายานุปส สนา สตปิ ฏ ฐาน การ พระอภธิ รรมทง้ั ๗ ในพระอภธิ รรมปฎ ก ต้ังสติกําหนดพิจารณากาย, การมีสติ เขยี นเตม็ วา สตั ตปั ปกรณ (ดู ไตรปฎ ก) กํากับดูรูเทาทันกายและเรื่องทางกาย แตในภาษาไทยคําน้ีมีความหมายกรอน ๒. เวทนานปุ ส สนา สตปิ ฏ ฐาน การต้ัง ลงมา เปนคําสําหรับใชในพิธีกรรม สติกําหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติ กาํ กบั ดรู เู ทา ทนั เวทนา ๓. จติ ตานปุ ส สนา เรียกกิริยาที่พระภิกษุกลาวคําพิจารณา สตปิ ฏ ฐาน การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาจติ , สังขารเมื่อจะชักผาบังสุกุลในพิธีศพเจา การมีสติกํากับดูรูเทาทันจิตหรือสภาพ นายวา สดับปกรณ ตรงกับท่ีเรยี กใน และอาการของจิต ๔. ธมั มานปุ สสนา พธิ ศี พทัว่ ๆ ไปวา บังสุกลุ (ซง่ึ ก็เปน สติปฏฐาน การต้ังสติกําหนดพิจารณา ศัพทท่ีมีความหมายกรอ นเชน เดียวกัน); ใชเ ปน คํานาม หมายถงึ พิธีสวดมาตกิ า ธรรม, การมีสติกํากับดูรูเทาทันธรรม; บงั สุกลุ ในงานศพ ปจจุบันใชเ ฉพาะศพ เรยี กสน้ั ๆ วา กาย เวทนา จติ ธรรม; ดู เจา นาย โพธปิ ก ขิยธรรม

สติวินัย ๓๙๒ สนธิ สติวินัย ระเบียบยกเอาสติข้ึนเปนหลัก สูงขึน้ ไดแกกิริยาท่ีสงฆสวดประกาศใหสมมติ สถาพร มัน่ คง, ยั่งยืน, ยนื ยง แกพ ระอรหันต วา เปนผมู สี ตเิ ตม็ ที่ เพือ่ สถติ อยู, ยนื อย,ู ตัง้ อยู ระงบั อนุวาทาธิกรณ ท่ีมีผโู จททา นดวย สถูป ส่ิงกอสรางซึ่งกอไวสําหรับบรรจุ ศีลวิบัติ หมายความวาจําเลยเปนพระ ของควรบูชา เปนอนุสรณท ่ีเตอื นใจให อรหนั ต สงฆเ หน็ วาไมเ ปน ฐานะที่จําเลย เกิดปสาทะและกุศลธรรมอื่นๆ เชน จะทําการลวงละเมิดดังโจทกกลาวหา พระสารรี กิ ธาตุ อฐั ิแหง พระสาวก หรือ จึงสวดกรรมวาจาประกาศความขอนี้ไว กระดูกแหง บุคคลท่ีนับถือ (บาลี: ถปู , เรียกวาใหสติวินัย แลวยกฟองของ สันสกฤต: สฺตปู ); ดู ถูปารหบคุ คล โจทกเสีย ภายหลังจําเลยจะถูกผูอ่ืน สทารสันโดษ ความพอใจดวยภรรยา โจทดวยอาบัติอยางน้ันอีก ก็ไมตอง ของตน, ความยินดีเฉพาะภรรยาของ พิจารณา ใหอ ธกิ รณร ะงบั ดว ยสตวิ นิ ยั ตน (ขอ ๓ ในเบญจธรรม), จัดเปน สติสงั วร สงั วรดวยสติ (ขอ ๒ ในสงั วร พรหมจรรยอยา งหนึง่ ๕) สนตพาย รอยเชือกสําหรับรอยจมูก สติสมฺโมสา อาการท่ีจะตองอาบัติดวย ควาย ท่จี มูกควาย (สน = รอย, ตพาย ลืมสติ = เชอื กทรี่ อยจมกู ควาย) (พจนานุกรม สตูป สิ่งกอสรางสําหรับบรรจุของควร เขียน สนตะพาย) บชู า นยิ มเรียก สถปู สนธิ การตออักษรท่ีอยูในตางคํา ให สเตกิจฉา อาบัติท่ียังพอเยียวยาหรอื แก เนอื่ งหรือกลนื เขา เปน อนั เดียวกนั ตาม ไขได ไดแก อาบัติอยางกลางและอยา ง หลักไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤต เบา คือตั้งแตสังฆาทิเสสลงมา; คูกับ เชน โย + อยํ = ยวฺ ายํ, ตตฺร + อยํ + อเตกจิ ฉา อตโฺ ถ = ตตรฺ ายมตโฺ ถ, อยํ + เอว + เอส สโตการี “ผมู ปี กตกิ ระทาํ สต”ิ คือ เปน ผู + อติ ิ = อยเมเวสาต;ิ แมแตค าํ ที่เอามา มีสติ เปนผูทําการอันพึงทํา ดวยสติ รวมกันดวยสมาสแลว ก็อาจจะใชวิธี หรือเปนผูทําการดวยสติที่มาพรอมดวย สนธิน้ีเช่ือมอักษรเขาดวยกันอีกช้ันหน่ึง สมั ปชัญญะทง้ั ๔; ดู สติ, สัมปชญั ญะ เชน คณุ อากร เปน คุณากร, รปู อารมณ สถลมารค ทางบก เปน รปู ารมณ, ศาสนอปุ ถมั ภ เปน สถาปนา กอสราง, ยกยอ งโดยแตงตง้ั ให ศาสนูปถมั ภ, วรโอกาส เปน วโรกาส,

สนาน ๓๙๓ สมณะ พุทธโอวาท เปน พุทโธวาท, อรุณอุทยั สภาค มีสวนเสมอกนั , เทากัน, ถูกกนั , เปน อรุโณทัย; เทยี บ สมาส เขากันได, พวกเดยี วกนั สนาน อาบน้ํา, การอาบนํ้า สภาคาบตั ิ ตองอาบัตอิ ยางเดียวกัน สนิทัสสนรปู ดูท่ี อนิทัสสนอปั ปฏฆิ รปู , สภาพ, สภาวะ ความเปนเอง, ส่งิ ทีเ่ ปน รูป ๒๘ เอง, ธรรมดา สนทิ สั สนสัปปฏฆิ รปู ดูท่ี รูป ๒๘ สภาวทุกข ทุกขที่เปนเองตามคติแหง สบง ผานุงของภิกษุสามเณร, คําเดิม ธรรมดา ไดแ ก ทกุ ขป ระจาํ สงั ขาร คอื เรียก อันตรวาสก; ดู ไตรจีวร ชาติ ชรา มรณะ สปทาจาริกังคะ องคแหงผูถือเท่ียว สภาวธรรม หลักแหงความเปน เอง, ส่ิง บิณฑบาตไปตามลําดบั บานเปน วตั ร คอื ทเ่ี ปน เองตามธรรมดาของเหตุปจ จัย รับตามลาํ ดบั บา นตามแถวเดยี วกนั ไม สภยิ ะ พระเถระผใู หญชนั้ มหาสาวก เคย รับขา มบานขามแถว, เท่ียวบณิ ฑบาตไป เปน ปรพิ าชกมากอ น ไดฟงพระพทุ ธเจา ตามตรอก ตามหองแถวเรียงลําดับ พยากรณปญหาที่ตนถาม มีความ เรื่อยไปเปนแนวเดียวกัน ไมขามไป เลือ่ มใส ขอบวช หลังจากบวชแลวไมชา เลือกรบั ท่โี นน ท่นี ่ีตามใจชอบ (ขอ ๔ ใน กไ็ ดบ รรลุพระอรหตั ธดุ งค ๑๓) สโภชนสกลุ สกลุ ทกี่ าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอย,ู สปณฑะ ผูรวมกอนขาว, พวกพราหมณ ครอบครวั ทกี่ าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอยู (หา ม หมายเอาบรุ พบดิ ร ๓ ชั้น คือ บิดา, ป,ู มใิ หภ กิ ษเุ ขา ไปนง่ั แทรกแซง ตามสกิ ขาบท ทวด ซ่ึงเปนผูควรท่ีลูกหลานเหลนจะ ท่ี ๓ แหงอเจลกวรรค ปาจติ ติยกัณฑ) เซนดว ยกอ นขา ว; คกู บั สมาโนทก สมจารี ผูประพฤตสิ มํา่ เสมอ, ประพฤติ สพรหมจารี ผปู ระพฤตพิ รหมจรรยร ว ม ถูกตอ งเหมาะสม; คกู บั ธรรมจารี กนั , เพ่ือนพรหมจรรย, เพ่ือนบรรพชิต, สมโจร เปน ใจกับโจร สมชีวิตา มีความเปนอยูพอเหมาะพอดี เพ่อื นนักบวช สภา “ที่เปนที่พูดรวมกัน”, ท่ีประชุม, คือเลี้ยงชีวิตตามสมควรแกกําลังทรัพย สถาบันหรือองคการอันประกอบดวย ท่หี าได ไมฝ ดเคอื งนัก ไมฟูมฟายนกั คณะบุคคลซึ่งทําหนาที่พิจารณาวินิจฉัย (ขอ ๔ ในทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิก- หรืออํานวยกิจการ ดวยการประชุม ธรรม ๔) ปรกึ ษาหารอื ออกความคดิ เห็นรว มกัน สมณะ “ผสู งบ” หมายถึงนกั บวชท่วั ไป

สมณกุตก ๓๙๔ สมณุทเทส, สมณุเทศ แตในพระพุทธศาสนา ทานใหความ สมณสารูป ความประพฤติอันสมควร หมายจําเพาะ หมายถงึ ผรู ะงับบาป ได ของสมณะ แกพระอริยบุคคล และผูปฏิบัติเพ่ือ สมณทุ เทส, สมณุเทศ สามเณร ระงับบาป ไดแ กผ ปู ฏิบตั ธิ รรมเพอ่ื เปน สมดงึ ส-, สมติงส- สามสิบถวน, ครบ พระอริยบุคคล สามสิบ, สามสิบเตม็ พอดี (สม [เทา , สมณกตุ ก คนทท่ี าํ อยา งสมณะ, คนแตง ตวั ถวน, พอด]ี + ตึส [สามสบิ ]) มักมาใน อยา งพระ อรรถกถาบอกวา (วนิ ย.อ.๑/๔๘๙) คําวา สมดึงสบารมี หรือสมตงิ สบารมี โกนศีรษะไวจ กุ ใชผ ากาสาวพสั ตร ผืน แปลวา บารมี ๓๐ ครบถวน หนง่ึ นุง อกี ผนื หนึง่ พาดบา อาศัยวดั อยู ในภาษาเกาท่ีมักพูดวา “บารมี กนิ อาหารเหลอื จากพระ (ทาํ นองเปน ตา สามสบิ ทัศ” นนั้ ไดใหถอื กันไปพลางวา เถน, เขยี นเตม็ อยา งบาลวี าสมณกตุ ตก) “ทศั ” แปลวา “ถว น” แตพ อจะสนั นษิ ฐาน สมณคณุ คณุ ธรรมของสมณะ, ความดที ่ี ไดว า นาจะเปนการพูดคาํ ซอ น กลา วคือ สมณะควรมี “สบิ ” ในภาษาไทย ตรงกบั คาํ พระวา “ทศั ” สมณโคดม คําที่คนทั่วไปหรือคนภาย (ทศั คอื ทศ, บาลเี ปน ทส, แปลวา สบิ ) นอกพระศาสนา นยิ มใชเ รยี กพระพทุ ธเจา และบารมที ม่ี จี าํ นวนรวมเปน ๓๐ นน้ั สมณพราหมณ สมณะและพราหมณ แทจ รงิ แลว มใิ ชว า มบี ารมี ๓๐ อยา ง แต (เคยมีการสันนิษฐานวาอาจแปลไดอีก เปน บารมสี บิ คอื ทศั ๓ ชดุ ไดแ ก ทศั - อยางหนงึ่ วา พราหมณผ เู ปน สมณะหรอื บารมี ทศั อปุ บารมี และทศั ปรมตั ถบารมี พราหมณผถู อื บวช แตหลกั ฐานไมเออ้ื ) เมอ่ื พดู วา “บารมสี ามสบิ ทศั ” จงึ คลา ย สมณวัตต ดู สมณวตั ร กบั บอกวา บารมสี ามสบิ นี้ ทวี่ า ๓๐ นนั้ สมณวตั ร หนา ทข่ี องสมณะ, กิจท่ีพึงทาํ คอื ๓ ทศั (ขอใหส งั เกตตวั อยา งขอ ความ ของสมณะ, ขอปฏบิ ัตขิ องสมณะ ในคมั ภรี ท ก่ี ลา วถงึ “สมดงึ สบารม”ี คอื สมณวสิ ยั วสิ ัยของสมณะ, ลกั ษณะที่ บารมี ๓ ทศั เชน ใน อป.อ.๑/๑๒๓ ทวี่ า เปนอยูของสมณะ, ลักษณะท่ีเปนอยู “ทสปารมที สอปุ ปารมที สปรมตถฺ ปารมนี ํ วเสน สมตสึ ปารม”ี ซง่ึ เหมอื นในภาษา ของผสู งบ สมณสัญญา ความสาํ คัญวาเปนสมณะ, ไทยพดู วา “บารมี ๓๐ ถว น คอื ๓ ทศั …”); ความกําหนดใจไววาตนเปนสมณะ, ดูบารมี ความสํานกึ ในความเปน สมณะของตน สมณทุ เทส, สมณเุ ทศ สามเณร

สมเดจ็ ๓๙๕ สมผุส สมเดจ็ เปนคํายกยอ ง หมายความวาย่งิ นิพพาน 2. ความครบถว นของสังฆ- ใหญ หรอื ประเสริฐ กรรม เชน อุปสมบท เปน ตน ที่จะทาํ สมถะ ธรรมเปนเคร่ืองสงบระงับจิต, ใหสังฆกรรมนั้นถูกตอง ใชได มีผล ธรรมยังจิตใหสงบระงับจากนิวรณูป- สมบรู ณ มี ๔ คอื ๑. วตั ถุสมบตั ิ วตั ถุ กเิ ลส, การฝก จิตใหส งบเปน สมาธิ (ขอ ถงึ พรอม เชน ผอู ปุ สมบทเปน ชายอายุ ครบ ๒๐ ป ๒. ปรสิ สมบตั ิ บรษิ ทั คือที่ ๑ ในกรรมฐาน ๒ หรอื ภาวนา ๒) สมถกัมมัฏฐาน กรรมฐานคือสมถะ, ประชมุ ถงึ พรอ ม สงฆค รบองคก าํ หนด งานฝกจิตใหสงบ;ดูกมั มฏั ฐาน, สมถะ ๓. สมี าสมบัติ เขตชมุ นมุ ถงึ พรอม เชน สมถขนั ธกะ ชอ่ื ขนั ธกะที่ ๔ แหง จลุ วรรค สีมามีนิมิตถูกตองตามพระวินัย และ ในพระวนิ ยั ปฎ ก วา ดว ยวธิ รี ะงบั อธกิ รณ ประชุมทําในเขตสีมา ๔. กรรมวาจา- สมถภาวนา การเจริญสมถกัมมัฏฐานทํา สมบัติ กรรมวาจาถึงพรอม สวด จติ ใหแนว แนเ ปนสมาธ;ิ ดู ภาวนา สมถยานกิ ผูมีสมถะเปนยาน หมายถึง ประกาศถูกตองครบถวน (ขอ ๔ อาจ แยกเปน ๒ ขอ คือเปน ๔. ญัตติสมบัติ ผเู จรญิ สมถกรรมฐาน จนไดฌ านกอ น ญัตติถึงพรอม คือคําเผดียงสงฆถูก แลวจงึ เจรญิ วปิ ส สนาตอ ตอง ๕. อนุสาวนาสมบตั ิ อนสุ าวนาถึง สมถวิธี วิธีระงับอธิกรณ; ดู อธิกรณ- พรอม คือคําหารอื ตกลงถูกตอง รวม สมถะ เปน สมบัติ ๕); เทยี บ วิบตั ิ สมถวปิ สสนา สมถะและวปิ ส สนา สมบัตขิ องอุบาสก ๕ คือ ๑. มีศรทั ธา สมนุภาสนา การสวดสมนภุ าสน, สวด ๒. มศี ีลบรสิ ุทธ์ิ ๓. ไมถ อื มงคลต่นื ขา ว ประกาศหามไมใหถ อื รัน้ การอนั มชิ อบ เช่อื กรรม ไมเ ช่อื มงคล ๔. ไมแ สวงหา สมบตั ิ ความถงึ พรอ ม, ความครบถว น, เขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๕. ความสมบรู ณ 1. สง่ิ ทไ่ี ดทถี่ งึ ดว ยด,ี เงนิ ขวนขวายในการอุปถัมภบํารุงพระพุทธ- ทองของมีคา, สิ่งท่ีมีอยูในสิทธิอํานาจ ศาสนา (ขอ ๕ แปลทบั ศพั ทว า ทาํ บพุ การ ของตน, ความพรั่งพรอมสมบูรณ, ในพระศาสนาน,ี้ แบบเรยี นวา บาํ เพญ็ สมบัติ ๓ ไดแ ก มนุษยสมบตั ิ สมบตั ิใน บญุ แตใ นพุทธศาสนา); ดู บุพการ ข้ันมนุษย สวรรคสมบัติ สมบัติใน สมผุส เปนคําเฉพาะในโหราศาสตร สวรรค (เทวสมบัติ หรอื ทิพยสมบัติ ก็ หมายถึงการคํานวณชนดิ หนึ่ง เกีย่ วกบั เรยี ก) และ นิพพานสมบัติ สมบตั ิคอื โลกและดาวนพเคราะหเล็งรวมกัน; ดู

สมพงศ ๓๙๖ สมสีสี มธั ยม สมมติสจั จะ จรงิ โดยสมมติ คอื โดย สมพงศ การรวมวงศหรือตระกูลกัน, ความตกลงหมายรูรวมกันของมนุษย รว มวงศก นั ได ลงกันได เชน นาย ก. นาย ข. ชาง มา มด โตะ สมเพช ในภาษาไทย ใชใ นความหมายวา หนังสือ พอ แม ลูก เพอื่ น เปน ตน ซ่งึ สลดใจ ทาํ ใหเกิดความสงสาร แตตาม เม่ือกลาวตามสภาวะ หรือโดยปรมตั ถ หลักภาษาตรงกบั สังเวช แลว กเ็ ปน เพยี งสงั ขาร หรอื นามรปู หรอื สมโพธิ การตรัสรเู ปน พระพุทธเจา ขนั ธ ๕ เทา นัน้ ; ตรงขา มกบั ปรมตั ถสัจจะ สมโภค การกนิ รว ม; ดู กินรวม สมรภมู ิ ท่ีรวมตาย, สนามรบ สมโภช งานฉลองในพธิ ีมงคลเพื่อความ สมสีสี [สะ-มะ-สี-สี] บุคคลผสู ิ้นอาสวะ รืน่ เรงิ ยินดี พรอ มกับสิ้นชวี ติ คือ บรรลอุ รหตั ตผล สมภพ การเกิด ในขณะเดียวกบั ทีส่ ิน้ ชวี ติ ; นี้เปน ความ สมภาร เครื่องประกอบ, ความดีหรือ หมายหลกั ตามพระบาลี แตใ นมโนรถ- ความชั่วที่ประกอบหรือสะสมไว (เชน ปูรณี อรรถกถาแหงองั คุตตรนิกาย ให ในคําวา สมภารกรรม และสมภาร- ความหมาย สมสสี ี วา เปน การสนิ้ อาสวะ ธรรม), สมั ภาระ; ในภาษาไทย ใชเ ปน พรอ มกับสิน้ อยางอ่นื อนั ใดอันหนง่ึ ใน ๔ คาํ เรียกพระทเี่ ปน เจาอาวาส; ดู สมั ภาระ สมมติ การรรู วมกนั , การตกลงกนั , การ อยางและแสดงสมสีสีไว ๔ ประเภท มีมตริ ว มกนั หรือยอมรบั รว มกนั ; การ คอื ผสู ้นิ อาสวะพรอมกบั หายโรค เรยี ก วา โรคสมสสี ี ผูส้นิ อาสวะพรอ มกับที่ ที่สงฆประชุมกันตกลงมอบหมายหรือ เวทนาซ่ึงกําลังเสวยอยูสงบระงับไป แตงตั้งภิกษุใหทํากิจหรือเปนเจาหนาที่ เรียกวา เวทนาสมสีสี ผูส้ินอาสวะ ในเรอื่ งอยางใดอยางหนง่ึ เชน สมมติ พรอมกับการสิ้นสุดของอิริยาบถอันใด ภกิ ษุเปนผใู หโ อวาทภิกษุณี สมมติภิกษุ อันหนง่ึ เรยี กวา อริ ิยาบถสมสีสี ผสู ิ้น เปน ภัตตุเทศก เปนตน ; ในภาษาไทย อาสวะพรอมกับการสิ้นชีวิต เรียกวา ใชในความหมายวา ตกลงกันวา ตางวา ชวี ติ สมสสี ;ี อยา งไรกด็ ี ในอรรถกถาแหง สมมตเิ ทพ เทวดาโดยสมมติ คือโดย ปคุ คลบญั ญตั ิ เปน ตน แสดงสมสสี ีไว ความตกลงหรือยอมรับรวมกันของ ๓ ประเภท และอธบิ ายตา งออกไปบา ง มนุษย ไดแ ก พระราชา พระราชเทวี ไมขอนํามาแสดงในท่ีนี้ เพราะจะทาํ ให พระราชกุมาร (ขอ ๑ ในเทพ ๓) ฟน เฝอ

สมงั คี ๓๙๗ สมาธิ ๓ สมงั คี ผูพรัง่ พรอ ม, ผพู รอ ม (ดวย…), ผู โดยมีคําอื่นประกอบขยายความ เชน ประกอบ (ดว ย…); มักใชเปนบททา ยใน กายสมาจาร วจีสมาจาร ปาปสมาจาร คําสมาส เชน กศุ ลสมงั คี (ผปู ระกอบ เปนตน ดวยกุศล) โทสสมงั คี (ผูประกอบดว ย สมาทปนา การใหสมาทาน หรอื ชวนให โทสะ) มรรคสมงั คี (ผูประกอบดวย ปฏิบัติ คืออธิบายใหเห็นวาเปนความ มรรค คือ ต้งั อยูในมรรค เชน ในโสดา จริง ดีจริง จนใจยอมรับที่จะนําไป ปต ติมรรค) ผลสมงั คี (ผูประกอบดวย ปฏิบตั ิ; เปน ลักษณะอยา งหนึง่ ของการ ผล คอื ไดบรรลผุ ล เชน ถึงโสดาปตต-ิ สอนท่ีดี (ขอ กอ นคือ สันทัสสนา, ขอ ตอ ไปคอื สมุตเตชนา) ผล เปนโสดาบัน เปน ตน ) สมนั ตจักขุ จักษุรอบคอบ, ตาเห็นรอบ สมาทาน การถือเอารับเอาเปน ขอ ปฏบิ ตั ,ิ ไดแกพระสัพพัญุตญาณ อันหยั่งรู การถอื ปฏบิ ัติ เชน สมาทานศีล คอื รับ ธรรมทุกประการ เปน คณุ สมบตั พิ เิ ศษ เอาศลี มาปฏิบัติ ของพระพทุ ธเจา (ขอ ๕ ในจกั ขุ ๕) สมาทานวตั ร ดู ข้ึนวัตร สมันตปาสาทิกา ช่ือคัมภีรอรรถกถา สมาทานวิรัติ การเวนดวยการสมาทาน อธบิ ายความในพระวนิ ยั ปฎ ก พระพทุ ธ- คือ ไดสมาทานศีลไวกอนแลว เมื่อ โฆสาจารยแปลและเรียบเรียงขึ้นเปน ประสบเหตุทีจ่ ะใหทําความชั่ว ก็งดเวน ภาษาบาลี เมอื่ พ.ศ. ใกลจะถงึ ๑๐๐๐ ไดตามทสี่ มาทานนน้ั (ขอ ๒ ในวริ ตั ิ ๓) โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหฬท่ีมีอยู สมาธิ ความมีใจตั้งมัน่ , ความตั้งม่นั แหง กอ น คอื ใชค มั ภรี ม หาอฏั ฐกถา เปน หลกั จิต, การทําใหใ จสงบแนว แน ไมฟ ุงซา น, พรอมทั้งปรกึ ษาคมั ภรี  มหาปจ จรี และ ภาวะที่จิตต้ังเรียบแนวอยูในอารมณคือ กุรุนที เปน ตน ดว ย; ดู โปราณัฏฐกถา, สิ่งอันหนึ่งอันเดียว, มกั ใชเ ปนคาํ เรยี ก อรรถกถา งา ยๆ สาํ หรบั อธจิ ติ ตสกิ ขา; ดู เอกคั คตา, สมยั คราว, เวลา; ลทั ธ;ิ การประชมุ ; อธิจิตตสิกขา (ขอ ๒ ในไตรสกิ ขา, ขอ การตรัสรู ๔ ในพละ ๕, ขอ ๖ ในโพชฌงค ๗) สมาคม การประชุม, การเขารว มพวก สมาธิ ๒ คือ ๑. อุปจารสมาธิ สมาธิจวน เจยี น หรือสมาธิเฉียดๆ ๒. อปั ปนา- รว มคณะ สมาจาร ความประพฤติทด่ี ี; มกั ใชใ น สมาธิ สมาธแิ นว แน ความหมายทเี่ ปน กลางๆ วา ความประพฤติ สมาธิ ๓ คือ ๑. สุญญตสมาธิ ๒.

สมาธกิ ถา ๓๙๘ สมานตั ตตา อนมิ ติ ตสมาธิ ๓. อัปปณิหิตสมาธิ; อกี อาํ นาจของราคะ หรอื โลภะ โทสะ และ หมวดหนึ่ง ไดแก ๑. ขณกิ สมาธิ ๒. โมหะ สวนคนที่จะมีสมานฉันทใ นทางดี อุปจารสมาธิ ๓. อัปปนาสมาธิ เบื้องแรกมองเห็นดวยปญญาแลววา สมาธิกถา ถอยคําท่ีชักชวนใหทําใจให กรรมนั้นดีงามเปนประโยชนมีเหตุผล สงบตั้งม่ัน (ขอ ๗ ในกถาวตั ถุ ๑๐) ควรทาํ จงึ เกิดฉนั ทะคอื ความพอใจใฝ สมาธิขันธ หมวดธรรมจําพวกสมาธิ ปรารถนาทีจ่ ะทาํ โดยเขาใจตรงกัน และ เชน ฉนั ทะ วิริยะ จติ ตะ ชาคริยานุโยค พอใจเหมือนกัน รวมดว ยกัน; ดู ฉนั ทะ สมานลาภสีมา แดนมีลาภเสมอกัน ได กายคตาสติ เปน ตน สมานกาล เวลาปจจบุ นั แกเ ขตทีส่ งฆต้ังแต ๒ อาวาสขนึ้ ไปทาํ สมานฉนั ท มฉี นั ทะเสมอกนั , มีความ กตกิ ากนั ไววา ลาภเกดิ ขน้ึ ในอาวาสหนงึ่ พอใจรวมกัน, พรอมใจกัน, มีความ สงฆอีกอาวาสหนึ่งมีสวนไดรับแจก ตองการที่จะทําการอยางใดอยางหน่ึง ดว ย; ดู กติกา ตรงกันหรือเสมอเหมือนกัน ในทางท่ี สมานสังวาส มีธรรมเปนเครื่องอยูร วม รายหรือดกี ไ็ ด, ในทางรา ย เชน หญิง เสมอกัน, ผูรว มสังวาส หมายถึง ภิกษุ- และชายที่มีสมานฉันทในการประกอบ สงฆผูสามัคคีรวมอุโบสถสังฆกรรมกัน; กาเมสมุ ิจฉาจาร (เปนตวั อยา งทที่ า นใช เหตุใหภิกษุผูแตกกันออกไปแลวกลับ ในการอธบิ ายบอยทสี่ ุด) และหมูค นราย เปน สมานสังวาสกันไดอกี มี ๒ อยา ง ทม่ี ีสมานฉันทใ นการทําโจรกรรม สว น คือ ๑. ทาํ ตนใหเปน สมานสงั วาสเอง ในทางดี เชน หมูค นดีมีสมานฉันทท ีจ่ ะ คือ สงฆปรองดองกันเขาได หรอื ภิกษุ ไปทาํ บุญรว มกนั เชน ไปจดั ปรับถนน นนั้ แตกจากหมแู ลว กลบั เขา หมูเ ดิม ๒. หนทาง สรางสะพาน ขดุ สระ ปลูกสวน สงฆระงับอุกเขปนียกรรมที่ลงโทษภิกษุ สรางศาลาพักรอน ใหทาน รักษาศีล น้ัน แลว รับเขาสังวาสตามเดมิ (ชา.อ.๑/๒๙๙ เปนตวั อยา งเดน) เด็กกลุมหนงึ่ สมานสังวาสสีมา แดนมีสังวาสเสมอ มีสมานฉนั ทท ีจ่ ะบรรพชา ภิกษุหลายรูป กัน, เขตที่กําหนดความพรอมเพรียง มีสมานฉันทที่จะถือปฏิบัติธุดงคขอน้ัน และสิทธิในการเขาอุโบสถปวารณาและ ขอ น,้ี คนผมู สี มานฉนั ทใ นทางรา ยนนั้ ไม สงั ฆกรรมดวยกนั ตอ งใชป ญ ญาไตรต รองพจิ ารณา เพยี ง สมานัตตตา “ความเปนผูมีตนเสมอ” ชอบใจอยากทําก็ประกอบกรรมไปตาม หมายถึง การทําตวั ใหเขา กนั ได ดว ย

สมานาจรยิ กะ ๓๙๙ สมฏุ ฐาน การรว มสขุ รวมทุกข ไมถอื ตัว มีความ ธรรม + ราชา เปน ธรรมราชา, อาณา เสมอภาค และวางตัวเหมาะสม (ขอ ๔ + จกั ร เปน อาณาจักร, กศุ ล + เจตนา ในสังคหวัตถุ ๔) เปน กุศลเจตนา; สมาสตางกับสนธิ สมานาจรยิ กะ ภิกษุผูรว มพระอาจารย กลาวคือ สนธิ เอาคํามาตอกนั โดย เดยี วกัน เชื่อมตัวอักษรใหอานหรือเขียนกลม สมานาสนิกะ ผูร ว มอาสนะกนั หมายถงึ กลนื เขา กนั เปนคําเดียว เชน ปฺจ + ภิกษุผูมีพรรษารุนราวคราวเดียวกัน อเิ ม เปน ปจฺ ิเม, แต สมาส เอาคํามา หรือออนกวา กันไมถงึ ๓ พรรษาน่ังรว ม ตอกัน โดยเชอื่ มความหมายใหเนื่อง อาสนะเสมอกนั ได; เทยี บ อสมานาสนกิ ะ เปนคําเดียวกัน เชน ปจฺ + นที เปน สมานุปชฌายกะ ภิกษุผูรวมพระ ปฺจนที; เทียบ สนธิ สมจุ จยขันธกะ ชอื่ ขันธกะท่ี ๓ ในจลุ อุปชฌายะเดียวกนั สมาโนทก ผรู ว มนํ้า, ตามธรรมเนียม วรรคแหงพระวินัยปฎ ก วาดว ยวฏุ ฐาน- พราหมณ หมายถงึ บรุ พบิดรพนจาก วธิ ีบางเร่อื ง ทวดขึ้นไปก็ดี ญาติผมู ไิ ดส ืบสายตรงก็ สมุจเฉท การตดั ขาด ดี ซึ่งเปนผูจะพึงไดรับน้ํากรวด; คูกับ สมุจเฉทปหาน การละกิเลสไดโดยเด็ด สปณ ฑะ ขาดดวยอริยมรรค สมาบัติ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพึงเขาถึง; สมุจเฉทวิมตุ ติ หลดุ พนดว ยตดั ขาด ได สมาบัตมิ ีหลายอยา ง เชน ฌานสมาบตั ิ แก พน จากกิเลสดวยอรยิ มรรค กิเลส ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหารสมาบัติ เหลาน้ันขาดเด็ดไป ไมกลับเกิดข้ึนอีก เปน ตน สมาบตั ทิ ก่ี ลา วถงึ บอ ยคอื ฌาน- เปนโลกุตตรวมิ ุตติ (ขอ ๓ ในวิมุตติ ๕) สมาบตั ิ กลาวคือ สมาบัติ ๘ อนั ไดแ ก สมจุ เฉทวริ ัติ การเวน ดว ยตัดขาด หมาย รปู ฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ถา เพิ่ม ถึงการเวนความช่ัวไดเด็ดขาดของพระ นิโรธสมาบตั ิ ตอ ทายสมาบัติ ๘ น้ี รวม อรยิ เจา เพราะไมม ีกเิ ลสทจี่ ะเปนเหตุให เรยี กวา อนุปุพพวหิ ารสมาบตั ิ ๙ ทาํ ความชัว่ น้ันๆ (ขอ ๓ ในวิรัติ ๓) สมาส [สะ-หฺมาด] การนําเอาศัพท ๒ สมฏุ ฐาน ทเ่ี กดิ , ทีต่ ั้ง, เหตุ; ทางท่ีเกิด ศัพทขึ้นไปมาตอรวมกันโดยมีความ อาบัติ โดยตรงมี ๔ คือ ๑. ลาํ พงั กาย หมายเช่ือมโยงเปนคําเดียว ตามหลัก ๒. ลําพังวาจา ๓. กายกับจิต ๔. วาจา ไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤต เชน กบั จิต และทีค่ วบกนั อีก ๒ กค็ อื ๑.

สมตุ เตชนา ๔๐๐ สรณคมนอปุ สัมปทา กายกับวาจา ๒. กายกับวาจากบั ทง้ั จิต ตา งวตั ถกุ นั (เชน กายสงั สคั คะกม็ ี ทฏุ - สมตุ เตชนา การทําใหอาจหาญ คือเราใจ ลุ ลวาจากม็ ี สัญจรติ ตะกม็ ี) มีวนั ปด ใหแกลวกลา ปลุกใจใหคึกคัก เกิด เทา กนั บาง ไมเทา กันบา ง ประมวลเขา ความกระตือรือรน มีกําลังใจแข็งขัน ดว ยกัน อยปู รวิ าสรวมเปน คราวเดยี ว ม่ันใจท่ีจะทําใหสําเร็จ ไมกลัวเหน็ด สยมั ภู พระผเู ปน เอง คอื ตรสั รไู ดเ อง โดย เหนื่อยหรือยากลําบาก; เปนลักษณะ ไมมใี ครสงั่ สอน หมายถงึ พระพุทธเจา อยา งหนง่ึ ของการสอนท่ีดี (ขอกอ นคอื สยัมภญู าณ ญาณของพระสยมั ภู, ปรชี า สมาทปนา, ขอ สดุ ทา ยคอื สมั ปหงั สนา) หยั่งรูของพระสยัมภู สมทุ ยั เหตใุ หเ กิดทุกข ไดแ ก ตัณหา คอื สยามนิกาย 1. นิกายสยาม หมายถงึ ความทะยานอยาก เชน อยากไดน่นั ได พวกพระไทย เรยี กชื่อโดยสญั ชาติ 2. ดู นี่ อยากเปนโนน เปนนี่ อยากไมเปนโนน สยามวงศ เปน น่ี (ขอ ๒ ในอรยิ สัจจ ๔); ดู ตัณหา สยามวงศ ชอ่ื นกิ ายพระสงฆลงั กาทบี่ วช สโมธานปริวาส ปริวาสแบบประมวลเขา จากพระสงฆสยาม (คือพระสงฆไทย) ดวยกัน คือปริวาสที่ภิกษุตองอาบัติ ในสมัยอยธุ ยา ซง่ึ พระอบุ าลีเปน หวั หนา สงั ฆาทเิ สสตา งคราว มจี าํ นวนวนั ปด ตา ง ไปประดษิ ฐาน ใน พ.ศ. ๒๒๙๖ กนั บา ง ไมต า งบา ง ปรารถนาจะออกจาก สรณะ ทพี่ ึ่ง, ท่ีระลึก อาบตั นิ น้ั จงึ อยปู รวิ าสโดยประมวลอาบตั ิ สรณคมน การถงึ สรณะ, การยึดเอาเปน และราตรเี ขา ดว ยกนั จาํ แนกเปน ๓ อยา ง ทพ่ี ่งึ , การยึดเอาเปน ทร่ี ะลกึ ; ดู ไตร- คือ ๑. โอธานสโมธาน สําหรับอาบตั ิ สรณคมน, รัตนตรัย มากกวาหน่ึงแตปดไวนานเทากัน เชน สรณคมนอปุ สมั ปทา วธิ อี ปุ สมบทดว ย ตอ งอาบตั ิ ๒ คราว ปด ไวค ราวละ ๕ วนั การเปลง วาจาถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม ประมวลเขา ดว ยกัน อยูปริวาส ๕ วนั และพระสงฆ เปน สรณะ เปน วธิ ที พี่ ระ ๒. อคั ฆสโมธาน สําหรบั อาบตั ิมากกวา พุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวกใช หนึ่งและปดไวนานไมเทากัน เชน ตอง อุปสมบทกุลบุตรในตอนปฐมโพธิกาล อาบัติ ๓ คราว ปด ไว ๓ วนั บาง ๕ วนั ตอมาเม่ือพระพุทธเจาทรงอนุญาตการ บาง ๗ วนั บาง ประมวลเขาดว ยกันอยู อปุ สมบทดว ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมแลว การ ปริวาสเทาจาํ นวนวันทีม่ ากท่ีสุด (คือ ๗ บวชดว ยสรณคมน กใ็ ชส าํ หรบั บรรพชา วัน) ๓. มสิ สกสโมธาน สาํ หรบั อาบตั ทิ ่ี สามเณรสบื มา; ตสิ รณคมนปู -สมั ปทา ก็

สรณตรยั ๔๐๑ สรภัญญะ เรยี ก; ดู อปุ สมั ปทา ไพเราะ นมุ นวล ชวนฟง มาเปน ส่ือ เพือ่ สรณตรยั ทพ่ี งึ่ ทง้ั สาม คอื พระพทุ ธ พระ นาํ ธรรมทมี่ อี ยเู ปน หลกั หรอื ทเี่ รยี บเรยี ง ธรรม พระสงฆ; ดู รตั นตรยั ไวดีแลว ออกไปใหถึงใจของผูสดับ, สรทะ, สรทกาล, สรทฤด,ู สรทสมยั สรภัญญะเปนวิธีกลาวธรรมเปนทํานอง ฤดูทายฝน, ฤดูสารท, ฤดูใบไมรวง ใหมีเสียงไพเราะนาฟงในระดับที่เหมาะ (แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๐ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ สม ซง่ึ พระพทุ ธเจาทรงอนุญาตแกภิกษุ เดอื น ๑๒) เปน ฤดทู มี่ สี ภาพอากาศสดใส ทั้งหลาย ตามเรอื่ งวา (วนิ ย.๗/๑๙–๒๑/๘-๙) ยามฝนตก กเ็ ปน ฝนเมด็ โต โดยทวั่ ไป ครั้งหนึ่ง ทเี่ มอื งราชคฤห มีมหรสพบน อากาศโปรง แจม ใส ปราศจากเมฆหมอก ยอดเขา (คริ คั คสมชั ชะ) พวกพระฉัพ- ดวงอาทติ ยล อยเดน แผดแสงกลา ทอ ง พัคคียไปเที่ยวดู ชาวบานติเตียนวา ฟา สวา งแจม จา ยามราตรี ดาวพระศกุ ร ไฉนพระสมณะศากยบุตรจึงไดไปดูการ สองแสงสกาว มีพุทธพจนต รัสถึงบอย ฟอนรํา ขับรอง และประโคมดนตรี ครงั้ ในขอ ความอปุ มาอปุ ไมยตา งๆ; ดู เหมือนพวกคฤหัสถผูบริโภคกาม เม่อื มาตรา ความทราบถึงพระพุทธเจา จึงไดทรง สรภงั คะ นามของศาสดาคนหนงึ่ ในอดตี ประชุมสงฆ และบัญญัติสิกขาบทมใิ ห เปน พระโพธสิ ตั ว มคี ณุ สมบตั คิ อื เปน ผู ภิกษุไปดูการฟอนรํา ขับรอง และ ปราศจากราคะในกามท้ังหลาย ได ประโคมดนตรี, อีกคราวหนง่ึ พวกพระ ประกาศคาํ สอน มศี ษิ ยจ าํ นวนมากมาย ฉัพพัคคียน ั้น สวดธรรมดวยเสียงเอ้อื น สรภญั ญะ [สะ-ระ-พนั -ยะ, สอ-ระ-พนั -ยะ] ยาวอยางเพลงขับ ชาวบานติเตียนวา “การกลาว[ธรรม] ดวยเสียง” (หรือ ไฉนพระสมณะศากยบุตรเหลานี้จึงสวด “[ธรรม] อนั พงึ กลา วดว ยเสยี ง”) คือ ใช ธรรมดวยเสียงเอ้ือนยาวเปนเพลงขับ เสียงเปนเครื่องกลาวหรือบอกธรรม เหมือนกับพวกเรา ความทราบถึงพระ หมายความวา แทนท่ีจะกลาวบรรยาย พุทธเจา ก็ทรงประชุมสงฆช้ีแจงโทษ อธิบายธรรมดวยถอยคาํ อยางท่ีเรียก ของการสวดเชน นน้ั และไดท รงบัญญตั ิ วา “ธรรมกถา” กเ็ อาเสยี งท่ตี ้ังใจเปลง มิใหภิกษุสวดธรรมดวยเสียงเอ้ือนยาว ออกไปอยางประณีตบรรจง ดวยจิต อยางเพลงขับ, ตอมา ภกิ ษุทั้งหลายขดั เมตตา และเคารพธรรม อันชัดเจน จิตของใจในสรภัญญะ จึงกราบทูล เรยี บรนื่ กลมกลนื สมา่ํ เสมอ เปน ทาํ นอง ความแดพระพุทธเจา พระองคตรัสวา

สรภญั ญะ ๔๐๒ สรภัญญะ “ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตสรภัญญะ” อักขระเสยี คอื ผดิ พลาดไป สรภัญญะมี (อนชุ านามิ ภิกขฺ เว สรภฺ ํ) ลักษณะสาํ คัญท่วี า ตองไมทําใหอ ักขระ ผิดพลาดคลาดเคล่ือน แตใหบทและ มี เ ร่ื อ ง ร า ว ม า ก ห ล า ย ที่ แ ส ด ง ว า พยญั ชนะกลมกลอม วา ตรงลงตวั ไม สรภญั ญะนเ้ี ปน ทน่ี ยิ มในพทุ ธบรษิ ทั ดงั คลุมเครือ ไพเราะ แตไมม วี ิการ (อาการ ตัวอยางเร่ืองท่ีเก่ียวของกับพระพุทธเจา ผิดแปลกหรอื ไมเหมาะสม) ดาํ รงสมณ- วา (วนิ ย.๕/๒๐/๓๓; ข.ุ อ.ุ ๒๕/๑๒๒/๑๖๕) เมอ่ื สารูป ครั้งพระโสณะกุฏิกัณณะ ชาวถ่ินไกล ชายแดนในอวนั ตที กั ขณิ าบถ เพงิ่ บวชได โดยนยั ทก่ี ลา วมา จงึ ถอื วา สรภญั ญะ ๑ พรรษา ก็ลาพระอปุ ช ฌายเ ดินทางมา เปนวิธีแสดงและศึกษาหรือสอนธรรม เฝาทพ่ี ระเชตวนารามในกรงุ สาวตั ถี พอ อีกอยางหนึ่ง เพ่ิมจากวิธีอื่น เชน ผานราตรแี รกไดพ ักผอนมาจนตื่น ใกล ธรรมกถา และการถามตอบปญหา, รุงสวาง พระพุทธเจาตรัสใหเธอกลาว บางทีก็พูดอยางกวา งๆ รวมสรภญั ญะ ธรรมตามถนัด (ดังจะทรงดูวาเธอได เขา เปนธรรมกถาอยางหนึง่ ดงั ท่ีคมั ภีร ศกึ ษาเลา เรยี นมคี วามรมู าเพียงใด) พระ ยคุ หลงั ๆ บางแหงบนั ทึกไวถึงธรรมกถา โสณะกุฏิกัณณะไดกลาวพระสูตรท้ัง ๒ แบบ คอื แบบท่ี ๑ ภกิ ษุรปู แรกสวด หมดในอัฏฐกวัคค (๑๖ สูตร, ขุ.สุ.๒๕/ ตัวคาถาหรือพระสูตรเปนสรภัญญะให ๔๐๘–๔๒๓/๔๘๔–๕๒๓) เปนสรภัญญะ จบ จบไปกอน แลวอีกรูปหน่ึงเปนธรรม- แลว พระพุทธเจาทรงอนุโมทนา กถึกกลาวธรรมอธิบายคาถาหรือพระ ประทานสาธกุ ารวา เธอไดเ รยี นมาอยา งดี สูตรท่ีรูปแรกสวดไปแลวนั้นใหพิสดาร เจนใจเปน อยา งดี และทรงเนอ้ื ความไว แบบนเ้ี รยี กวา สรภาณธรรมกถา และ ถูกถวนดี อีกทั้งเปนผูมีวาจางาม แบบท่ี ๒ สวดพระสตู รเปน ตนนัน้ ไป สละสลวย คลอง ไมพลาด ทาํ อัตถะให อยางเดียวตลอดแตตนจนจบ เรียกวา แจมแจง, ในคัมภรี บางแหง กลา ววา สร- สรภัญญธรรมกถา (สํ.ฏี.๑/๓๙/๘๙); ภญั ญะมวี ธิ หี รอื ทาํ นองสวดถงึ ๓๒ แบบ สรภัญญะน้ี เม่ือปฏิบัติโดยชอบ ตั้ง จะเลอื กแบบใดกไ็ ดต ามปรารถนา (อง.ฏ.ี เจตนากอปรดวยเมตตา มคี วามเคารพ ๓/๔๒๑/๙๕) แตส รภญั ญะนี้มใิ ชก ารสวด ธรรม กลาวออกมา กเ็ ปนทัง้ ธรรมทาน เอื้อนเสียงยาวอยางเพลงขับ (อายตกะ และเปนสัทททาน (ใหทานดวยเสียง คีตสร) ท่ีทําเสียงยาวเกินไปจนทําให หรือใหเสียงเปนทาน) พรอมท้ังเปน

สรภู ๔๐๓ สวรรคต เมตตาวจีกรรม เขาแลวใหภิกษุทั้งหลายจับตามลําดับ ในภาษาไทย เรียกทาํ นองอยางทส่ี บื พรรษากันมา หรือเขียนเลขหมายไวท่ี กันมาในการสวดคาถาหรือคําฉันทวา ของจาํ นวนหนึ่ง ภิกษจุ ับไดส ลากของผู “สรภญั ญะ” คอื สรภญั ญะกลายเปนช่อื ใดกไ็ ดร ับอาหารของทายกน้ัน; ฉลาก ก็ ของทาํ นองหนงึ่ ทใ่ี ชใ นการสวดสรภญั ญะ เรียก สรภู แมน้าํ ใหญส ายสําคญั ลาํ ดบั ท่ี ๔ ใน สลากภัต อาหารถวายตามสลาก หมาย มหานที ๕ ของชมพทู วปี ไหลผา นเมือง ถึงเอาสงั ฆภตั อนั ทายกเขา กนั ถวาย ตา ง สาํ คญั คอื สาเกต, ปจ จบุ ัน สรภูไมเ ปน คนตางจัดมา เปนของตา งกัน เขามกั ทาํ ท่ีรูจักท่ัวไป มีช่ือในภาษาสันสกฤตวา ในเทศกาลท่ีผลไมเผล็ดแลวถวายพระ สรยู และไหลเขาไปรวมกับแมน้ํา ดว ยวธิ ีจบั สลาก; ดู สลาก Ghaghara ซ่ึงเปนแควหนง่ึ ของแมน าํ้ สวนขางปลายท้งั สอง อดีต กบั อนาคต คงคา จงึ เรยี กชอ่ื รวมเปน Ghaghara สวนทามกลาง ในประโยควา “ไมต ิดอยู ไปดว ย; ดู มหานที ๕ ในสวนทา มกลาง” ปจจบุ นั สรร เลอื ก, คดั สวนานุตตริยะ การสดับที่ยอดเยี่ยม สรรค สราง เชน ไดสดับธรรมของพระพุทธเจา (ขอ สรรพ ทงั้ ปวง, ทัง้ หมด, ทุกสงิ่ ๒ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) สรรพางค ทุกๆ สวนแหง รางกาย, ราง สวรรค แดนอันแสนดีเลิศลํ้าดวยกาม กายทกุ ๆ สว น คณุ ๕, โลกของเทวดา ตามปกติหมาย สรรเพชญ ผูรูทั่ว, ผูรูทุกสิ่งทุกอยาง ถึงกามาพจรสวรรค (สวรรคท่ยี งั เกี่ยว หมายถึงพระพทุ ธเจา (= สพั พัญู) ขอ งกบั กาม) ๖ ชัน้ คือ จาตมุ หาราชกิ า สรีระ รางกาย ดาวดงึ ส ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปร- สรรี ยนต กลไกคือรา งกาย นมิ มติ วสวัตดี สรีราพยพ สว นของรางกาย, อวยั วะใน สวรรคต “ไปสสู วรรค” คอื ตาย (ใชส าํ หรบั รางกาย พระเจาแผนดิน สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี สลาก เครื่องหมายหรือวัตถุท่ีใชในการ สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระ เสย่ี งโชค เชน สลากภัต กไ็ ดแกอาหาร ยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่เขาถวายสงฆโดยเขียนชื่อเจาภาพลง และพระบรมราชวงศที่ทรงไดรับพระ ในกระดาษใบละชื่อ มวนรวมคละกัน ราชทานฉตั ร ๗ ช้นั )

สวสั ดิ์,สวสั ดี ๔๐๔ สหธรรมกิ สวัสดิ,์ สวัสดี ความดงี าม, ความเจรญิ เริ่มข้ึนเอง จึงมีกําลังออน; ตรงขามกับ รุง เรือง, ความปลอดโปรง , ความปลอด อสงั ขาริก สหคตทุกข ทุกขไ ปดวยกนั , ทุกขก าํ กบั ภัยไรอ ันตราย สวสั ดมิ งคล มงคล คือ ความสวสั ดี ไดแกทุกขท่ีพวงมาดวยกันกับผลอัน สวากขาตธรรม ธรรมทพ่ี ระผมู ีพระภาค ไพบลู ย มลี าภ ยศ สรรเสรญิ สขุ ตรสั ไวดแี ลว เปน ตน แตล ะอยา งยอ มพวั พนั ดว ยทกุ ข สวากขาตนิยยานิกธรรม ธรรมที่พระ สหชาต, สหชาติ “ผเู กดิ รว มดว ย” หมาย พทุ ธเจา ตรสั ไวด ีแลว อันนาํ ผปู ระพฤติ ถงึ บคุ คล (ตลอดจนสตั วแ ละสงิ่ ของ) ที่ ตามออกไปจากทุกข เกดิ รว มวนั เดอื นปเ ดยี วกนั อยางเพลา สฺวากฺขาโต (พระธรรมอันพระผูมีพระ หมายถงึ ผเู กิดรว มปกัน; ตาํ นานกลา ว ภาค) ตรัสดีแลว คอื ตรสั ไวเปน ความ วา เม่ือเจาชายสิทธัตถะประสูติน้ัน จริง ไมว ิปรติ งามในเบ้อื งตน งามใน มีสหชาต ๗ คือ พระมารดาของเจาชาย ทามกลาง และงามในท่ีสุด สัมพันธ ราหลุ (เจา หญงิ ยโสธรา หรอื พมิ พา) พระ สอดคลองกันทั่วตลอด ประกาศ อานนท นายฉนั นะ อาํ มาตยก าฬทุ ายี มา พรหมจริยะคือทางดําเนินชีวิตอัน กณั ฐกะ ตน มหาโพธ์ิ และขมุ ทรพั ยท งั้ ประเสริฐ พรอมทั้งอรรถ พรอมท้ัง ๔ (นิธีกมุ ภ)ี พยัญชนะ บริสุทธ์บิ ริบรู ณสิ้นเชงิ (ขอ สหชาตธรรม ธรรมทเี่ กดิ พรอ มกัน สหชวี ินี คําเรยี กแทนคาํ วา สทั ธวิ หิ ารินี ๑ ในธรรมคณุ ๖) สวาธยาย ดู สาธยาย ของภกิ ษณุ ี ทง้ั ๒ คาํ นีแ้ ปลวา “ผอู ยู สวญิ ญาณกะ สงิ่ ที่มวี ญิ ญาณ ไดแกสตั ว รวม” ตรงกับสัทธิวิหาริกในฝายภิกษุ; ตา งๆ เชน แพะ แกะ สกุ ร โค กระบอื ศษิ ยของ ปวัตตนิ ี เปนตน ; เทยี บ อวิญญาณกะ สหธรรมกิ ผมู ธี รรมรว มกนั , ผปู ระพฤติ สสังขารปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ ธรรมรว มกนั แสดงไวใ นคมั ภรี ม หานทิ เทส ปรินิพพานดวยตองใชความเพียร; ดู แหงพระสุตตนั ตปฎ ก มี ๗ คือ ภิกษุ อนาคามี ภกิ ษุณี สกิ ขมานา สามเณร สามเณรี สสงั ขาริก “เปนไปกบั ดวยการชกั นํา”, มี อุบาสก อุบาสกิ า; ในสัตตาหกรณยี ะ การชักนํา ใชแกจิตท่ีคิดดีหรือช่ัวโดย หมายถึง ๕ อยา งแรกเทา น้ัน เรียกวา ถูกกระตนุ หรือชักจงู จากภายนอก มใิ ช สหธรรมิก ๕ (คัมภีรฝายวินัยท่ัวไปก็

สหธรรมิกวรรค ๔๐๕ สักกชนบท มักหมายเฉพาะจาํ นวน ๕) อ่ืนอยูดว ย, ตวั ตอตวั สหธรรมิกวรรค ตอนที่วาดวยเรื่อง สอเสยี ด ยใุ หแตกกนั คอื ฟงคาํ ของขางนี้ ภิกษถุ กู วากลา วโดยชอบธรรม เปนตน แลว เกบ็ เอาไปบอกขา งโนน เพื่อทําลาย เปนวรรคที่ ๘ แหง ปาจติ ติยกณั ฑ มี ขางนี้ ฟงคาํ ของขา งโนน แลวเกบ็ เอามา ๑๒ สกิ ขาบท บอกขา งน้ี เพอ่ื ทําลายขา งโนน ; ดู ปสณุ า สหรคต ไปดวยกนั , กํากบั กนั , รวมกนั วาจา (บาล:ี สหคต) สอุปาทเิ สสนพิ พาน นพิ พานยังมีอปุ าทิ สหวาส อยรู ว ม เปน ประการหนงึ่ ในรตั ต-ิ เหลอื , ดบั กิเลสแตยังมีเบญจขนั ธเ หลอื เฉท คอื เหตุขาดราตรแี หงการประพฤติ คอื นพิ พานของพระอรหนั ตผ ูยังมีชีวิต มานัตและการอยูปริวาส หมายถึงการ อยู, นิพพานในแงท่ีเปนภาวะดับกิเลส อยูรวมในชายคาเดียวกับปกตัตตภิกษุ; คอื โลภะ โทสะ โมหะ; เทียบ อนปุ าทิ- ดู รตั ติเฉท เสสนพิ พาน สหเสยยสกิ ขาบท สิกขาบทเกย่ี วกบั การ สอุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูยังมีเชื้อ นอนรว มมี ๒ ขอ ขอ หนง่ึ ปรบั อาบัติ กเิ ลสเหลอื อย,ู ผยู งั ไมส นิ้ อปุ าทาน ไดแ ก ปาจติ ตยี แ กภ กิ ษผุ นู อนรว มกบั อนปุ สมั บนั พระเสขะ คือ พระอรยิ บคุ คลทั้งหมด เกิน ๒–๓ คืน อกี ขอหน่งึ ปรับอาบตั ิ ยกเวนพระอรหันต; เทยี บ อนุปาทเิ สส- ปาจิตตียแกภิกษุผูนอนรวม (คือนอน บคุ คล ในท่มี งุ ทบี่ งั เดียวกัน) กับหญงิ แมใ นคืน สกั กะ 1. พระนามจอมเทพ ในสวรรคช นั้ แรก (ขอ ๕ และ ๖ ในมสุ าวาทวรรค ดาวดงึ ส เรียกกนั วา ทา วสักกะ หรอื พระ อินทร; ดู ดาวดึงส, วัตรบท, อินทร 2. ปาจติ ติยกณั ฑ) สหไสย การนอนดวยกัน, การนอนรว ม ชอื่ ดงไมท อ่ี ยใู นชมพทู วปี ตอนเหนอื แถบ สหัมบดี ช่ือพระพรหมผูอาราธนาพระ เขาหมิ าลยั เขตปา หมิ พานต 3. ชอื่ ชนบทท่ี ตัง้ อยใู นดงไมสักกะ; ดู สักกชนบท พทุ ธเจาใหแสดงธรรมโปรดสตั ว สหาย เพอ่ื น, เพือ่ นรวมการงาน (แปล สักกชนบท ช่ือแควนหนึ่งในชมพูทวีป ตามศัพทวา “ผูไปดวยในกิจทั้งหลาย” ตอนเหนือ นครหลวงชื่อกบลิ พัสดุ เปน หรือ “ผูมีความเส่ือมและความเจริญ ชาติภูมิของพระพุทธเจามีการปกครอง รว มกนั ”) โดยสามัคคีธรรม มีประวัติสืบมาแต สองตอ สอง สองคนโดยเฉพาะ ไมม ีผู สมัยพระเจาโอกกากราช บดั นอี้ ยใู นเขต

สักกรนิคม ๔๐๖ สังขาร ประเทศเนปาล หานภาค คือในฝายขางเส่ือม ไดแก สักกรนิคม เปนนิคมหนึ่งอยูในสักก- ธรรมจําพวกที่ทําใหตกตํ่าเสื่อมทราม ชนบท; สักขรนคิ ม ก็เรยี ก เชน อโยนโิ สมนสกิ าร อคติ ตณั หา สักกายทิฏฐิ ความเหน็ วา เปนตัวของตน, มานะ ทิฏฐิ อวิชชา; ตรงขามกับ โวทาน ความเห็นเปนเหตุถอื ตวั ตน เชน เห็นรูป สงั ขตะ สงิ่ ท่ีถกู ปจจยั ปรุงแตง , สงิ่ ทเ่ี กดิ เปนตน เหน็ เวทนาเปน ตน เปน ตน (ขอ จากเหตุปจจยั แตง ข้ึน ไดแ กสภาพทเ่ี กดิ ๑ ในสังโยชน ๑๐) แตเ หตทุ ั้งปวง, สงั ขตธรรม; ตรงขามกับ สักการ, สักการะ เคารพนับถือบูชา, อสังขตะ สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปจจัยปรุงแตง เครอ่ื งแสดงความเคารพบชู า สกั ขสิ าวก สาวกทท่ี นั เหน็ องคพ ระพทุ ธ- ข้นึ ตรงกบั สังขารในคําวา สังขารท้งั ปวง เจา , พระสภุ ทั ทะผเู คยเปน ปรพิ าชก เปน ไมเ ท่ียง ดงั นีเ้ ปนตน ; ตรงขามกับ อสังขต- สักขิสาวกองคส ุดทายของพระพุทธเจา ธรรม สักยปุตติยะ ผูเปนเหลากอแหงพระ สังขตลักษณะ ลกั ษณะแหงสงั ขตธรรม, ศากยบตุ ร (ศากยบตุ ร หรือ สักยปุตตะ ลกั ษณะของปรงุ แตง มี ๓ อยา ง ๑. หมายถงึ พระพทุ ธเจา ), โดยใจความ คือ ความเกิดขึ้น ปรากฏ ๒. ความดบั ผูเปนลูกพระพุทธเจา ไดแกพระภิกษุ สลาย ปรากฏ ๓. เมื่อตง้ั อยู ความแปร (ภกิ ษุณีเรยี กวา สักยธิดา) ปรากฏ สกั ยราช กษัตริยวงศศากยะ, พระราชา สงั ขาร 1. ส่งิ ท่ถี ูกปจ จัยปรงุ แตง, สิง่ ที่ วงศศ ากยะ เกิดจากเหตุปจจัย เปนรูปธรรมก็ตาม สงั กจั ฉกิ ะ ผารดั หรอื โอบรกั แร เปน จวี ร นามธรรมกต็ าม ไดแ กข นั ธ ๕ ท้งั หมด, อยา งหนง่ึ ในจีวร ๕ ของภกิ ษุณี คอื ตรงกับคําวา สังขตะ หรือ สังขตธรรม สงั ฆาฏิ ผา ทาบ ๑ อตุ ตราสงค ผาหม ๑ ไดในคําวา “สังขารท้ังหลายท้ังปวงไม อนั ตรวาสก สบง ๑ สงั กัจฉิกะ ผารดั เทีย่ ง” ดังนีเ้ ปนตน 2. สภาพทีป่ รุงแตง หรอื ผา โอบรกั แร ๑ อทุ กสาฏกิ า ผาอาบ ใจใหดีหรือช่ัว, ธรรมมีเจตนาเปน ๑ (มากกวาของภิกษุซ่ึงมีจํานวนเพียง ประธานท่ีปรุงแตงความคิด การพูด ๓ อยา งขางตน) การกระทํา มที ้ังทด่ี เี ปนกศุ ล ที่ชั่วเปน สังกเิ ลส ความเศราหมอง, ความสกปรก, อกศุ ล ท่ีกลางๆ เปน อัพยากฤต ไดแก สิ่งท่ีทําใจใหเศราหมอง, ธรรมที่อยูใน เจตสิก ๕๐ อยาง (คอื เจตสกิ ทง้ั ปวง

สังขาร๒ ๔๐๗ สงั คหวตั ถุ เวนเวทนาและสัญญา) เปนนามธรรม เพราะเปนสภาพอันถูกปจจัยปรุงแตง อยา งเดยี ว, ตรงกบั สงั ขารขันธ ในขันธ ขึ้น จึงตองผันแปรไปตามเหตุปจจัย ๕ ไดในคาํ วา “รปู ไมเทย่ี ง เวทนาไม เปนสภาพอันปจจัยบีบค้ันขัดแยง คง เท่ียง สัญญาไมเ ที่ยง สังขารไมเท่ยี ง ทนอยูมิได วญิ ญาณไมเ ท่ยี ง” ดงั น้ีเปน ตน; อธบิ าย สังขารโลก โลกคือสังขาร ไดแกช มุ นมุ อีกปริยายหนึ่ง สงั ขารตามความหมายน้ี แหงสังขารท้ังปวงอันตองเปนไปตาม ยกเอาเจตนาข้ึนเปนตัวนําหนา ไดแก ธรรมดาแหงเหตุปจ จยั สัญเจตนา คือเจตนาท่ีแตงกรรมหรือ สังขารุเปกขาญาณ ปรีชาหย่ังรูถึงขั้น ปรงุ แตงการกระทาํ มี ๓ อยา งคือ ๑. เกิดความวางเฉยในสังขาร, ญาณอัน กายสงั ขาร สภาพท่ีปรุงแตงการกระทาํ เปนไปโดยความเปน กลางตอสังขาร คือ ทางกาย คอื กายสญั เจตนา ๒. วจี- รูเทาทันสภาวะของสังขารวาที่ไมเที่ยง สังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทาง เปนทุกขเปนตนน้ัน มันเปนไปของมัน วาจา คือ วจสี ญั เจตนา ๓. จติ ตสงั ขาร อยา งน้ันเปน ธรรมดา จึงเลกิ เบื่อหนา ย หรอื มโนสงั ขาร สภาพทีป่ รงุ แตงการ เลิกคิดหาทางแตจะหนี วางใจเปนกลาง กระทาํ ทางใจ คือ มโนสัญเจตนา 3. ตอมันได เลิกเกี่ยวเกาะและใหญาณ สภาพที่ปรงุ แตงชวี ติ มี ๓ คอื ๑. กาย- แลน มุงสนู พิ พานอยา งเดยี ว (ขอ ๘ ใน สังขาร สภาพที่ปรุงแตงกาย ไดแก วิปสสนาญาณ ๙) อสั สาสะ ปสสาสะ คอื ลมหายใจเขา ลม สังเขป การยอ , ยน ยอ , ใจความ, เคา หายใจออก ๒. วจสี ังขาร สภาพที่ปรงุ ความ; ตรงขา มกับ วติ ถาร, พสิ ดาร แตง วาจา ไดแ กว ติ กและวจิ าร ๓. จติ ต- สงั เขปนยั นยั อยา งยอ, แบบยอ, แง สังขาร สภาพท่ีปรุงแตงใจ ไดแก ความหมายซงึ่ ชแี้ จงอยา งรวบรดั ; ตรงขา ม กบั วติ ถารนัย สญั ญาและเวทนา สังขาร ๒ คือ ๑. อุปาทินนกสังขาร สงั เขปฏ ฐกถา ดู โปราณัฏฐกถา, อรรถ- สังขารที่กรรมครอบครอง ๒. อนุปา- กถา ทินนกสังขาร สังขารท่ีกรรมไมครอบ สงั คหวตั ถุ เรอื่ งทจี่ ะสงเคราะหก นั , คณุ ครอง, แปลโดยปริยายวา สงั ขารทมี่ ีใจ เปนเคร่ืองยึดเหนี่ยวใจของผูอื่นไวได, ครอง และสังขารท่ไี มมใี จครอง หลกั การสงเคราะห คือชวยเหลอื กนั ยึด สังขารทกุ ข ทกุ ขเ พราะเปนสังขาร คอื เหนี่ยวใจกันไว และเปนเคร่ืองเกาะกุม

สังคายนา ๔๐๘ สงั คายนา ประสานโลกคือสังคมแหงหมูสัตวไว ดวยปญญาอันย่ิง เธอทั้งหมดทีเดียว ดุจสลักยึดรถท่ีกําลังแลนไปใหคงเปน พึงพรอมเพรียงกันประชุมรวบรวม รถและวิ่งแลน ไปได มี ๔ อยา ง คือ ๑. กลา วใหลงกัน (สังคายนา) ทั้งอรรถะ ทาน การแบง ปน เออื้ เฟอ เผือ่ แผก ัน ๒. กับอรรถะ ทั้งพยัญชนะกับพยัญชนะ ปย วาจา พูดจานารัก นา นิยมนบั ถือ ๓. ไมพ งึ ววิ าทกนั โดยประการทพี่ รหมจรยิ ะ อัตถจริยา บาํ เพญ็ ประโยชน ๔. สมา- นจี้ ะยง่ั ยนื ดาํ รงอยตู ลอดกาลนาน เพอ่ื นัตตตา ความมีตนเสมอ คือ ทําตวั ให เกือ้ กลู แกพหูชน เพื่อความสุขแกพ หูชน เขา กนั ได เชน ไมถือตัว รว มสขุ รว ม เพอื่ เกอื้ การณุ ยแ กช าวโลก เพอ่ื ประโยชน ทุกขก นั เปน ตน เพ่ือเกื้อกูล เพ่ือความสุขแกเทวะและ สังคายนา “การสวดพรอมกนั ” การรอ ย มนุษยท ั้งหลาย” และในทีน่ ั้น ไดตรัสวา กรองพระธรรมวนิ ยั , การประชมุ รวบรวม ธรรมท้ังหลายท่ีทรงแสดงแลวดวย และจดั หมวดหมคู าํ สง่ั สอนของพระพุทธ ปญญาอันย่ิง หมายถงึ ธรรม ๗ หมวด เจาโดยพรอมกันทบทวนสอบทานจน (ทมี่ ชี อื่ รวมวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗), ใน ยอมรับและวางลงเปนแบบแผนอันหนึ่ง เวลาใกลก นั นนั้ เมอื่ พระสารีบุตรไดรบั อันเดียว พุทธดํารัสมอบหมายใหแสดงธรรมแก ภิกษุสงฆในท่ีเฉพาะพระพักตร ทานก็ “สังคายนา” คือ การสวดพรอมกัน ปรารภเรอ่ื งทนี่ คิ รนถนาฏบตุ รสนิ้ ชพี แลว เปนกิริยาแหงการมารวมกันซักซอม ประดานิครนถทะเลาะวิวาทกันในเร่ือง สอบทานใหลงกันแลวสวดพรอมกันคือ หลักคําสอน แลวทานไดแนะนําให ตกลงยอมรับไวดวยกันเปนอันหนึ่งอัน สังคายนา พรอ มทงั้ ทาํ เปน ตัวอยาง โดย เดยี ว ตามหลักในปาสาทกิ สตู ร (ที.ปา.๑๑/ ประมวลธรรมมาลําดับแสดงเปนหมวด ๑๐๘/๑๓๙) ทพ่ี ระพทุ ธเจาตรัสแนะนาํ แก หมู ต้งั แตห มวด ๑ ถงึ หมวด ๑๐ เทศนา ทานพระจุนทะ กลาวคือ ทานพระจนุ ทะ ของพระสารีบุตรคร้ังน้ีไดชือ่ วา “สังคีต-ิ ปรารภเร่ืองที่นิครนถนาฏบุตรส้ินชีพ สตู ร” (ที.ปา.๑๑/๒๒๑/๒๒๒) เปนพระสตู ร แลว ประดานคิ รนถตกลงในเร่อื งหลกั วาดวยการสังคายนาท่ีทําตั้งแตพระบรม คาํ สอนกันไมได กท็ ะเลาะวิวาทกนั ทา น ศาสดายังทรงพระชนมอยู, เมื่อพระ คํานึงถงึ พระศาสนา จงึ มาเฝา และพระ พทุ ธเจา ปรนิ พิ พานแลว พระมหากสั สปะ พทุ ธเจา ไดต รสั วา “เพราะเหตดุ งั นนี้ น่ั แล ผเู ปน สงั ฆเถระ กไ็ ดช กั ชวนพระอรหันต จนุ ทะ ในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราแสดงแลว

สงั คายนา ๔๐๙ สงั คายนา ทั้งหลายประชุมกันทําสังคายนาตาม สังคายนาเกิดขึ้นเนื่องกันกับเหตุการณ หลักการทกี่ ลาวมานน้ั โดยประมวลพระ ไมปกติที่มีการถือผิดปฏิบัติผิดจากพระ ธรรมวินัยท้ังหมดเทาที่รวบรวมไดวาง ธรรมวนิ ยั ทาํ ใหก ารสังคายนาเสมอื นมี ลงไวเปนแบบแผน ตั้งแตหลังพุทธ- ความหมายซอนเพ่ิมขึ้นวาเปนการซัก ปรินิพพาน ๓ เดือน เรียกวาเปน ซอมทบทวนสอบทานพระธรรมวนิ ยั เพอ่ื สังคายนาครัง้ ท่ี ๑ จะไดเปนหลักหรือเปนมาตรฐานในการ ชาํ ระสังฆมณฑลและสะสางกิจการพระ ความหมายทเ่ี ปน แกนของสงั คายนา ศาสนา, จากความหมายที่เรม่ิ คลุมเครอื คอื การรวบรวมพทุ ธพจน หรอื คาํ สงั่ สอน สับสนนี้ ในภาษาไทยปจ จบุ นั สงั คายนา ของพระบรมศาสดา ดงั นน้ั สงั คายนาที่ ถึงกับเพ้ียนความหมายไป กลายเปน เต็มตามความหมายแทจ รงิ จึงมีไดตอ การชําระสะสางบคุ คลหรือกิจการ เมื่อมีพุทธพจนที่จะพึงรวบรวม อันได แกสังคายนาเทา ท่ีกลา วมาขางตน สวน สังคายนาในยุคตน ซ่ึงถือเปน การสงั คายนาหลงั จากนน้ั ซึง่ จัดขึ้นหลงั สําคัญในการรักษาสืบทอดพระธรรม พทุ ธปรินิพพานอยางนอย ๑ ศตวรรษ วนิ ัย คือ คร้ังท่ี ๑ ถงึ ๕ ดังน:ี้ ชัดเจนวาไมอยูในวิสัยแหงการรวบรวม พุทธพจน แตเ ปล่ยี นจุดเนน มาอยทู ี่การ คร้ังที่ ๑ ปรารภเรือ่ งสภุ ัททภิกษผุ ู รักษาพุทธพจนและคําส่ังสอนเดิมที่ได บวชเมื่อแกกลาวจวงจาบพระธรรมวินัย รวบรวมไวแลว อนั สืบทอดมาถึงตน ให และปรารภท่ีจะทาํ ใหธรรมรงุ เรอื งอยูสบื คงอยูบริสุทธ์ิบริบูรณท่ีสุดเทาที่จะเปน ไป พระอรหนั ต ๕๐๐ รปู มพี ระมหา- ไปได ดวยเหตุนนั้ สงั คายนาในยุคหลัง กัสสปะเปนประธาน และเปนผูถาม สืบมาถงึ ปจจุบัน จงึ มีความหมายวา เปน พระอุบาลีเปนผูวิสัชนาพระวินัย พระ การประชุมตรวจชําระสอบทาน รักษา อานนทเปน ผวู สิ ัชนาพระธรรม ประชมุ พระไตรปฎกใหบริสุทธิ์ หมดจดจาก สังคายนาท่ีถํ้าสัตตบรรณคูหา ภูเขา ความผิดพลาดคลาดเคล่อื น โดยกําจดั เวภารบรรพต เมอื งราชคฤห เม่ือหลงั ส่ิงปะปนแปลกปลอมหรือทาํ ใหเขาใจสับ พุทธปรนิ ิพพาน ๓ เดือน โดยพระเจา สนออกไป ใหธ รรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา อชาตศัตรูเปนศาสนูปถัมภก สิ้นเวลา คงอยูเปนแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวท่ี ๗ เดือนจงึ เสรจ็ เปน ของแทแตเ ดิม; ในบางยคุ สมัย การ ครง้ั ที่ ๒ ปรารภพวกภกิ ษุวชั ชบี ุตร แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ นอกธรรม นอก

สงั คตี ิ ๔๑๐ สังฆกรรม วนิ ยั พระยศกากณั ฑกบตุ รเปน ผชู กั ชวน ธรรมวินัยลงในใบลาน พระอรหันต ไดพระอรหนั ต ๗๐๐ รูป พระเรวตะ ๕๐๐ รปู ประชมุ กนั สวดซอมแลว จาร เปนผูถาม พระสัพพกามีเปนผูวิสัชนา พุทธพจนลงในใบลาน ณ อาโลกเลณ- ประชุมทาํ ท่วี าลิการาม เมืองเวสาลี เม่ือ สถาน ในมลยชนบท ในลงั กาทวีป เมอื่ พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระเจา กาลาโศกราช เปน พ.ศ. ๔๕๐ (วา ๔๓๖ กม็ )ี โดยพระเจา ศาสนปู ถมั ภก สน้ิ เวลา ๘ เดอื นจงึ เสรจ็ วัฏฏคามณีอภัย เปนศาสนูปถัมภก; ครั้งท่ี ๓ ปรารภเดยี รถยี มากมาย บางคัมภีรวา สังคายนาคร้ังน้ีจัดข้ึนใน ปลอมบวชในพระศาสนาเพราะมีลาภ ความคุมครองของคนที่เปนใหญในทอง สกั การะเกดิ ขน้ึ มาก พระอรหนั ต ๑,๐๐๐ ถน่ิ (ครั้งที่ ๔ ไดรบั ความยอมรบั ในแง รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเปน เหตกุ ารณน อยกวา ครงั้ ท่ี ๕) ประธาน ประชุมทําท่ีอโศการามเมอื ง สังคตี ิ 1. การสังคายนา; ดู สังคายนา 2. ปาฏลีบตุ ร เมือ่ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ ในคาํ วา “บอกสังคตี ิ” ซ่งึ เปน ปจ ฉมิ กิจ (พ.ศ. ๒๑๘ เปนปท พ่ี ระเจา อโศกข้ึน อยางหน่ึงของการอุปสมบท ทาน ครองราชย) โดยพระเจา อโศก หรอื ศร-ี สันนิษฐานวา หมายถึงการประมวลบอก ธรรมาโศกราชเปนศาสนูปถัมภก สิ้น อยางอนื่ นอกจากท่ีระบุไว เชน สีมาหรือ เวลา ๙ เดือนจึงเสรจ็ อาวาสทอ่ี ปุ สมบท อุปช ฌายะ กรรม- ครั้งที่ ๔ ปรารภใหพระศาสนา วาจาจารย จํานวนสงฆ ประดษิ ฐานมน่ั คงในลงั กาทวปี พระสงฆ สังคีติกถา ถอยคําที่กลาวถึงเรื่อง ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเปน สงั คายนา, แถลงความเรอ่ื งสังคายนา ประธานและเปนผถู าม พระอริฏฐะเปน สังคีติปริยาย บรรยายเรื่องการ ผูว สิ ชั นา ประชมุ ทําทถ่ี ปู าราม เมืองอนุ- สังคายนา, การเลา เรื่องการสังคายนา ราธบรุ ี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระเจา สงั ฆกรรม งานของสงฆ, กรรมทสี่ งฆพงึ เทวานมั ปย ตสิ สะเปน ศาสนูปถัมภก สน้ิ ทํา, กิจท่ีพงึ ทําโดยทปี่ ระชุมสงฆ มี ๔ เวลา ๑๐ เดอื นจงึ เสร็จ คอื ๑. อปโลกนกรรม กรรมทท่ี ําเพียง คร้ังท่ี ๕ ปรารภพระสงฆแตกกัน ดวยบอกกันในท่ีประชุมสงฆ ไมตอ งตง้ั เปน ๒ พวกคอื พวกมหาวิหารกบั พวก ญัตติและไมตองสวดอนุสาวนา เชน อภยั ครี วี หิ าร และคาํ นงึ วา สบื ไปภายหนา แจงการลงพรหมทัณฑแกภิกษุ ๒. กุลบุตรจะถอยปญญา ควรจารึกพระ ญัตติกรรม กรรมที่ทาํ เพียงตั้งญัตติไม

สงั ฆการี ๔๑๑ สังฆเถระ ตองสวดอนุสาวนา เชน อุโบสถและ การีมีอํานาจหนาที่กวางขวาง มิใชเปน ปวารณา ๓. ญตั ติทุตยิ กรรม กรรมที่ทํา เพียงเจาพนักงานในราชพธิ เี ทา นั้น แต ดวยตั้งญัตติแลวสวดอนุสาวนาหนหน่ึง ทําหนาท่ีชําระอธิกรณพิจารณาโทษแก เชน สมมตสิ ีมา ใหผ า กฐิน ๔. ญัตต-ิ พระสงฆผูลวงละเมิดสิกขาบทประพฤติ จตตุ ถกรรม กรรมทีท่ ําดวยการต้ังญตั ติ ผิดธรรมวินัยดวย แลวสวดอนุสาวนา ๓ หน เชน สังฆคารวตา ดู คารวะ สังฆคุณ คุณของพระสงฆ (หมายถึง อปุ สมบท ใหปรวิ าส ใหม านตั สังฆการี เจาหนาที่ผูทําการสงฆ, เจา สาวกสงฆ หรือ อริยสงฆ) มี ๙ คือ ๑. พนักงานผูมีหนาที่เก่ียวกับสงฆในงาน สุปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระ หลวง, เจา หนา ทผี่ เู ปน พนกั งานในการพธิ ี สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาเปนผู สงฆ มมี าแตโ บราณสมยั อยุธยา สังกดั ปฏิบัตดิ ี ๒. อุชุปฏิปนโฺ น เปนผูป ฏบิ ตั ิ ตรง ๓. ายปฏปิ นฺโน เปนผูปฏบิ ตั ถิ กู ในกรมสังฆการี ซึ่งรวมอยูดวยกันกับ ทาง ๔. สามจี ปิ ฏปิ นโฺ น เปน ผปู ฏบิ ตั ิสม กรมธรรมการ เรยี กรวมวา กรมธรรม- ควร (ยททิ ํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปรุ สิ - การสงั ฆการี เดิมเรียกวา สงั กะรี หรอื ปุคฺคลา ไดแ ก คบู ุรุษ ๔ ตวั บคุ คล ๘ สงั การี เปลยี่ นเรยี ก สงั ฆการี ในรชั กาล เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระสงฆสาวก ที่ ๔ ตอ มาเมอ่ื ตง้ั กระทรวงธรรมการใน ของพระผมู พี ระภาคน)้ี ๕. อาหุเนยโฺ ย พ.ศ. ๒๔๓๒ กรมธรรมการสงั ฆการเี ปน กรมหนึง่ ในสังกัดของกระทรวงนนั้ จน เปน ผคู วรแกข องคาํ นบั คอื ควรรับของ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ กรมสังฆการจี งึ แยก ที่เขานาํ มาถวาย ๖. ปาหุเนยฺโย เปนผู เปนกรมตางหากกันกับกรมธรรมการ ควรแกก ารตอนรับ ๗. ทกฺขเิ ณยโฺ ย เปน ตอมาใน พ.ศ. ๒๔๗๖ กรมสังฆการถี ูก ผูควรแกทักษิณาคือควรแกของทําบุญ ยุบลงเปนกองสังกัดในกรมธรรมการ ๘. อชฺ ลกี รณโี ย เปน ผคู วรแกก ารกราบ กระทรวงศึกษาธกิ าร ตอมาอกี ใน พ.ศ. ไหว ๙. อนุตฺตรํ ปุ ฺ กฺเขตฺตํ โลกสฺส ๒๔๘๔ กรมธรรมการเปลี่ยนชื่อเปน เปนนาบุญอันยอดเย่ียมของโลก คือ กรมการศาสนา และในคราวทายสุด เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดี พ.ศ. ๒๕๑๕ กองสงั ฆการีไดถูกยุบเลิก ที่ยอดเยี่ยมของโลก ไป และมีกองศาสนูปถัมภขึ้นมาแทน สังฆเถระ ภิกษุผูเปนพระเถระในสงฆ ปจ จุบันจงึ ไมม ีสังฆการี; บางสมยั สังฆ- คือ เปนผูใหญเปนประธานในสงฆ,

สังฆทาน ๔๑๒ สังฆมิตตา ภิกษุผูมีพรรษามากกวาภิกษุอ่ืนใน อนง่ึ ถา เปนสังฆทานประเภทอุทศิ ชมุ นุมน้ันท้ังหมด ผตู าย เรยี กวา มตกภตั พงึ เปลย่ี นแปลง สงั ฆทาน ทานเพอ่ื สงฆ, การถวายแกส งฆ คาํ ถวายทพ่ี มิ พต วั เอนไวค อื ภตตฺ านิ เปน คือ ถวายเปน กลางๆ ไมจําเพาะเจาะจง มตกภตฺตาน,ิ อมฺหากํ เปน อมหฺ ากเฺ จว ภิกษรุ ูปใดรูปหนึ่ง เชน จะทาํ พิธถี วาย มาตาปต ุอาทีนจฺ าตกานํ กาลกตาน;ํ ของท่ีมีจํานวนจํากดั พงึ แจงแกทางวดั ให ภตั ตาหาร เปน มตกภัตตาหาร, แก จัดพระไปรับตามจาํ นวนที่ตอ งการ หวั ขา พเจา ทงั้ หลาย เปน แกข า พเจา ทงั้ หลาย หนาสงฆจดั ภิกษุใดไปพงึ ทาํ ใจวา ทา น ดวย แกญาติของขาพเจาท้ังหลาย มี มารับในนามของสงฆหรือ เปนผูแทน มารดาบดิ าเปน ตน ผลู ว งลบั ไปแลว ดว ย” ของสงฆทั้งหมด ไมพึงเพงเล็งวาเปน สงั ฆนวกะ ภกิ ษุผูใ หมใ นสงฆ คือบวช บุคคลใด คิดตั้งใจแตวาจะถวายอุทิศ ภายหลงั ภิกษทุ ั้งหมดในชมุ นุมสงฆน นั้ แกส งฆ; ในพิธีพงึ จุดธปู เทียนบูชาพระ สังฆภัต อาหารถวายสงฆ หมายถึง อาราธนาศลี รบั ศลี จบแลว ตง้ั นโม ๓ จบ อาหารทเี่ จา ของนาํ มา หรอื สง มาถวายสงฆ กลาวคําถวายเสร็จแลวประเคนของ ในอารามพอแจกทว่ั กนั ; เทยี บ อทุ เทสภัต และเมอื่ พระสงฆอนโุ มทนา พึงกรวดนํ้า สังฆเภท ความแตกแหงสงฆ, การทาํ ให รบั พร เปน เสรจ็ พธิ ;ี คาํ ถวายสังฆทาน สงฆแ ตกจากกนั (ขอ ๕ ในอนันตรยิ - วา ดงั น:ี้ “อิมานิ มยํ ภนเฺ ต, ภตฺตานิ, กรรม ๕), กําหนดดวยไมทําอุโบสถ สปริวาราน,ิ ภิกขฺ สุ งฆฺ สสฺ , โอโณชยาม, ปวารณา และสังฆกรรมดวยกนั ; เทยี บ สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อิมานิ, สงั ฆราช,ี ดู สามคั คี ภตฺตานิ, สปริวารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, สงั ฆเภทขนั ธกะ ชือ่ ขันธกะที่ ๗ แหง อมฺหาก,ํ ทฆี รตฺต,ํ หิตาย, สุขาย” แปล จุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยเร่ือง วา: “ขาแตพ ระสงฆผูเ จริญ ขาพเจาทั้ง พระเทวทัตทําลายสงฆและเรื่องควร หลายขอนอมถวายภัตตาหาร กับท้ัง ทราบเก่ยี วกับสังฆเภท สังฆสามคั คี บรวิ ารเหลาน้แี กพระภิกษุสงฆ ขอพระ สงั ฆมณฑล หมูพระ, วงการพระ ภิกษุสงฆจงรับภัตตาหาร กับทั้งบริวาร สังฆมิตตา พระราชบุตรีของพระเจา เหลาน้ีของขาพเจาท้ังหลาย เพ่ือ อโศกมหาราช ทรงผนวชเปนภิกษุณี ประโยชนและความสุขแกขาพเจาทั้ง และไปประดิษฐานภิกษุณีสงฆที่ลังกา- หลาย สน้ิ กาลนานเทอญ” ทวีปพรอมทั้งนําก่ิงพระศรีมหาโพธิ์ไป

สงั ฆรตั นะ, สังฆรัตน ๔๑๓ สังฆานุสติ ถวายแกพระเจา เทวานัมปย ตสิ สะดว ย ใชท าบบนจีวร เปน ผา ผนื หนึง่ ในสามผนื สังฆรัตนะ, สังฆรัตน รัตนะคือสงฆ, ท่เี รยี กวา ไตรจีวร พระสงฆอ นั เปน อยางหนง่ึ ในรัตนะ ๓ ท่ี สังฆาทเิ สส ชอื่ หมวดอาบตั ิหนักรองจาก เรยี กวา พระรัตนตรยั ; ดู รตั นตรยั ปาราชกิ ตอ งอยกู รรมจงึ พนได คอื เปน สงั ฆราชี ความรา วรานแหงสงฆ คือ จะ ครกุ าบตั ิ (อาบตั หิ นกั ) แตย งั เปน สเตกจิ ฉา แตกแยกกัน แตไ มถ งึ กับแยกทาํ อุโบสถ (แกไขหรือเยียวยาได); ตามศัพท สังฆาทิเสส แปลวา “หมวดอาบัตอิ นั จํา ปวารณาและสงั ฆกรรมตา งหากกนั ; เทยี บ สงั ฆเภท, ดู สามคั คี ปรารถนาสงฆในกรรมเบ้ืองตนและ สังฆสัมมุขตา ความเปนตอหนาสงฆ กรรมทเี่ หลือ”, หมายความวา วธิ ีการท่ี หมายความวา การระงับอธิกรณนั้น จะออกจากอาบตั นิ ้ี ตอ งอาศัยสงฆ ต้ัง กระทําในท่พี รอ มหนา สงฆ ซึง่ ภิกษผุ เู ขา แตตนไปจนตลอด กลาวคือเร่ิมตนจะ ประชุมมีจํานวนครบองคเปนสงฆ ได อยปู รวิ าส กต็ องขอปริวาสจากสงฆ ตอ นําฉันทะของผูควรแกฉันทะมาแลว จากนั้น จะประพฤติมานัตก็ตอ งอาศัย สงฆเปนผูให ถามีมูลายปฏิกัสสนาก็ และผอู ยูพรอ มหนากนั นน้ั ไมค ัดคาน; ดู สมั มขุ าวนิ ัย ตองสําเร็จดวยสงฆอกี และทายทส่ี ุดก็ สงั ฆสามคั คี ความพรอ มเพรยี งแหง สงฆ; ดู สามคั คี ตองขออัพภานจากสงฆ; สิกขาบทท่ี สังฆอุโบสถ อุโบสถของสงฆ คอื การทาํ ภกิ ษลุ ะเมดิ แลว จะตอ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส มี ๑๓ ขอ คาํ วา สงั ฆาทเิ สส ใชเปนชือ่ อโุ บสถของสงฆท ค่ี รบองคก าํ หนด คอื มี เรียกสกิ ขาบท ๑๓ ขอ นี้ดวย ภกิ ษตุ ง้ั แต ๔ รปู ขน้ึ ไป สวดปาฏโิ มกข สังฆาทิเสสกัณฑ ตอนอนั วา ดว ยอาบัติ ไดต ามปกติ (ถา มภี ิกษุอยู ๒–๓ รูป สังฆาทิเสส, ในพระวินยั ปฎก ทานเรียก ตองทําคณอโุ บสถ คอื อุโบสถของคณะ วาเตรสกัณฑ (ตอนวาดวยสิกขาบท ซงึ่ เปนปาริสุทธอิ โุ บสถ คอื อโุ บสถทีท่ าํ ๑๓) อยูใ นคมั ภรี ม หาวิภังคเ ลมแรก โดยบอกความบริสุทธิ์ของกันและกัน สงั ฆานุสติ ระลกึ ถึงคณุ ของพระสงฆ ดัง ถามีภกิ ษุรูปเดยี ว ตองทําบุคคลอุโบสถ ที่พระพุทธเจาตรัสสอนในนันทิยสูตร คือ อโุ บสถท่ีทําโดยการอธิษฐานกําหนด (อง.ทสก.๒๔/๒๒๐/๓๖๔) ใหระลึกถึงพระ ใจวา วันนน้ั เปนวนั อโุ บสถ); ดู อุโบสถ สงฆในฐานเปนกัลยาณมิตร (ขอ ๓ ใน สังฆาฏิ ผา ทาบ, ผาคลมุ กันหนาวทพ่ี ระ อนสุ ติ ๑๐) เขยี นอยางรปู เดิมในภาษา

สงั ฆาวาส ๔๑๔ สังวร บาลีเปน สงั ฆานสุ สสต;ิ ดู สงั ฆคุณ สังโยชน กเิ ลสท่ีผูกมัดใจสัตว, ธรรมท่ี สงั ฆาวาส “อาวาสของสงฆ”, สวนของวดั มัดสตั วไ วก บั ทุกข มี ๑๐ อยาง คอื ก. ซึ่งจัดไวเปนท่ีอยูอาศัยของพระสงฆ โอรมั ภาคิยสงั โยชน สังโยชนเบอ้ื งต่าํ ๕ ประกอบดว ยกุฏิ หอสวดมนต หอฉัน ไดแ ก ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นวา เปน เปนตน ตางกับและเปนคูกันกับ ตวั ของตน ๒. วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลสงสัย พุทธาวาส, เปนคําที่บัญญัติขึ้นใชภาย ๓. สีลัพพตปรามาส ความถือม่ันศีล หลัง (มิไดมีมาแตเดิมในคัมภีร); ดู พรต ๔. กามราคะ ความติดใจในกาม พทุ ธาวาส, เทียบสังฆิกาวาส คณุ ๕. ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทง่ั ใน สังฆกิ าวาส ทีอ่ ยูทเ่ี ปนของสงฆ, เปนคาํ ทางพระวินัย ตรงขามกับ ปคุ คลิกาวาส ใจ ข. อุทธมั ภาคยิ สังโยชน สังโยชน (ทอ่ี ยทู เี่ ปน ของบคุ คล หรอื ทอี่ ยสู ว นตวั ) เบอ้ื งสงู ๕ ไดแก ๖. รูปราคะ ความตดิ เชนในขอความวา (วินย.อ.๓/๓๙๔) “ถา ใจในรปู ธรรมอันประณตี ๗. อรูปราคะ ภิกษุถือเอาทัพสัมภาระท้ังหลาย มี ความติดใจในอรูปธรรม ๘. มานะ กลอนเปนตน จากสังฆิกาวาสนน้ั นําไป ความถือวา ตัวเปน น่นั เปน นี่ ๙. อทุ ธจั จะ ความฟงุ ซา น ๑๐. อวชิ ชา ความไมร จู รงิ ; ใชในสงั ฆกิ าวาสอน่ื กเ็ ปนอนั ใชไปดว ย พระโสดาบนั ละสงั โยชน ๓ ขอ ตน ได, ดี แตเมอ่ื เอาไปใชใ นปุคคลิกาวาส จะ พระสกทิ าคามี ทาํ สงั โยชนข อ ๔ และ ๕ ตองจายมูลคาให หรือตองทําใหกลับ ใหเบาบางลงดวย, พระอนาคามี ละ คืนดเี ปนปกตอิ ยา งเดิม, ถาภิกษุมไี ถย- สังโยชน ๕ ขอตน ไดห มด, พระอรหนั ต จิต ถอื เอาเตียงและตั่งเปนตน จากวหิ าร ละสงั โยชนท้งั ๑๐ ขอ ; ในพระอภธิ รรม ทถี่ กู ทอดทิ้งแลว พงึ ปรบั อาบตั ติ ามมลู ทา นแสดงสังโยชนอ กี หมวดหนึง่ คือ ๑. คาแหงส่ิงของ ในขณะที่ยกขึ้นไปนั่นที กามราคะ ๒. ปฏฆิ ะ ๓. มานะ ๔. ทฏิ ฐิ เดยี ว”, “สังฆิกวิหาร” ก็เรยี ก; พงึ สังเกต (ความเหน็ ผดิ ) ๕. วจิ กิ จิ ฉา ๖. สลี พั พต- วา “สงั ฆกิ าวาส” กด็ ี “ปคุ คลกิ าวาส” กด็ ี ปรามาส ๗. ภวราคะ (ความตดิ ใจใน เปนคําที่ใชใ นชน้ั อรรถกถา สวนในพระ ภพ) ๘. อิสสา (ความริษยา) ๙. ไตรปฎก ใชเปนขอความวา วิหารทีเ่ ปน มัจฉริยะ (ความตระหน่ี) ๑๐. อวชิ ชา สังฆิกะ หรือวิหารของสงฆ และ สังวร ความสาํ รวม, การระวังปดก้ันบาป อกุศล มี ๕ อยาง คอื ๑. ปาฏโิ มกข- เสนาสนะของสงฆ เปน ตน สังยมะ ดู สญั ญมะ สังวร สํารวมในปาฏิโมกข (บางแหง

สังวรปธาน ๔๑๕ สงั เวช เรยี ก สีลสงั วร สํารวมในศลี ) ๒. สต-ิ สังวาสนาสนา ใหฉิบหายจากสังวาส สังวร สํารวมดวยสติ ๓. ญาณสังวร หมายถึง การทําอกุ เขปนยี กรรมยกเสีย สํารวมดว ยญาณ ๔. ขนั ตสิ ังวร สํารวม จากสังวาส คือทําใหหมดสิทธิท่ีจะอยู ดวยขันติ ๕. วิริยสังวร สํารวมดวย รว มกบั สงฆ สังเวคกถา ถอ ยคําแสดงความสลดใจให ความเพียร สังวรปธาน เพยี รระวัง คือ เพยี รระวัง เกดิ ความสงั เวชคือเรา เตอื นสาํ นึก บาปอกุศลธรรมทย่ี งั ไมเกดิ มิใหเ กิดขน้ึ สังเวควัตถุ เรื่องที่นาสลดใจ, เรื่องท่ี (ขอ ๑ ในปธาน ๔) พิจารณาแลวจะทําใหเกิดความสังเวช สังวรปารสิ ทุ ธิ ความบริสทุ ธิ์ดว ยสังวร, คือเราเตือนสํานึกใหมีจิตใจนอมมาใน ความสํารวมท่ีเปนความบริสุทธ์ิ หรือ ทางกศุ ล เกดิ ความคดิ ไมป ระมาทและมี เปน เครอ่ื งทําใหบ รสิ ุทธิ์ หมายถึง ศลี ท่ี กําลังท่ีจะทําความเพียรปฏิบัติธรรมตอ ประพฤตถิ กู ตอง เปนไปเพ่ือความไมมี ไป เชน ความเกิด ความแก ความเจ็บ วิปฏิสาร เปนตน ตามลาํ ดบั จนถึงพระ ความตาย และอาหารปรเิ ยฏฐิทุกข คอื นิพพาน จดั เปน อธศิ ีล ทกุ ขในการหากิน เปน ตน สงั วรรณนา พรรณนาดว ยด,ี อธบิ ายความ สงั เวช ความสลดใจใหไ ดคิด, ความรูสึก สังวรสุทธิ ความบริสุทธิ์ดวยสังวร, เตือนสํานกึ หรอื ทําใหฉ กุ คดิ , ความรูสึก ความสํารวมที่เปนเคร่ืองทําใหบริสุทธ์ิ กระตุน ใจใหค ดิ ได ใหคิดถึงธรรม ให หมายถึง อนิ ทรยี สงั วร สงั วฏั ฏกปั ดู กปั ตระหนกั ถงึ ความจรงิ ของชวี ติ และเรา สงั วฏั ฏฐายกี ปั ดู กปั สังวาส ธรรมเปนเคร่ืองอยูรวมกันของ เตือนใหไมประมาท; ตามความหมายที่ แทข องศพั ท สงั เวช คอื “สงั เวค” แปลวา แรงเรง แรงกระตุน หรือพลงั ทปี่ ลุกเรา สงฆ ไดแกการทําสังฆกรรมรวมกัน หมายถงึ แรงกระตุน เรา เตือนใจ ใหได สวดปาฏโิ มกขร ว มกนั มสี กิ ขาบทเสมอ คิดหรือสํานึกข้ึนมาได ใหคิดถึงธรรม กนั เรยี กงา ยๆ วา ทาํ อโุ บสถ สงั ฆกรรม หรือตระหนักถึงความจริงความดีงาม รว มกนั คอื เปน พวกเดยี วกนั อยดู ว ย อันทําใหตื่นหรือถอนตัวขึ้นมาจากความ กันได มีฐานะและสิทธิเสมอกัน อยู เพลิดเพลิน ความหลงระเริงปลอยตัว ดวยกันได; ในภาษาไทย ใชห มายถงึ รว ม มวั เมา หรือความประมาท แลว หกั หัน ประเวณี ดว ย ไปเรงเพียรทําการท่ีตระหนักรูวาจะพึง

สงั เวชนยี สถาน ๔๑๖ สงั สารสุทธิ ทําดวยความไมประมาทตอไป แตใน ตายเกดิ อยใู นโลกหรอื ในภพตา งๆ, วา ภาษาไทย สังเวช มีความหมายหดแคบ โดยสภาวะ กค็ อื ความสบื ทอดตอเน่อื ง ลงและเพ้ียนไป กลายเปนความรูสึก ไปแหงขันธท้งั หลายนัน่ เอง; นยิ มพดู วา สลดใจ หรอื เศราสลด แลวหงอยหรือ สังสารวัฏ;ดู ปฏจิ จสมปุ บาท หดหเู สีย ซง่ึ กลายเปนตรงขา มกบั ความ สังสารจักร วงลอ แหง สงั สาระ, วงลอ สงั เวชท่ีแท แหงการเท่ียวเรรอนเวียนวายตายเกิด, สังเวชนียสถาน สถานเปนท่ีต้ังแหง อาการหมุนวนตอเนื่องไปแหงภาวะของ ความสงั เวช, ที่ทใี่ หเกดิ ความสงั เวชมี ๔ ชีวิตท่ีเปนไปตามเหตุปจจัย ในหลัก คอื ๑. ทพี่ ระพทุ ธเจา ประสตู ิ คอื อทุ ยาน ปฏิจจสมปุ บาท; “สงั สารจกั ร” เปน คาํ ใน ลุมพนิ ี ปจจบุ นั เรียก ลมุ พินี (Lumbini) ช้ันอรรถกถาลงมา เชน เดยี วกบั คาํ วา ภว- หรอื รมุ มนิ เด (Rummindei) ๒. ท่พี ระ จักร ปจ จยาการจกั ร ตลอดจนปฏจิ จ- พทุ ธเจา ตรสั รู คือ ควงโพธิ์ ท่ตี ําบล สมุปบาทจักร ซ่ึงทานสรรมาใชในการ พุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh- อธบิ ายหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทนนั้ , อาการ Gaya) ๓. ท่ีพระพุทธเจาแสดงปฐม- หมุนวนของสังสารจักร หรือภวจักรน้ี เทศนา คอื ปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวง ทา นอธบิ ายตามหลักไตรวัฏฏ; ดู ไตร- เมอื งพาราณสี ปจ จุบนั เรยี ก สารนาถ วัฏฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท, สังสาระ ๔. ที่พระพุทธเจาปรินิพพาน คือ ที่ สังสารวัฏ วังวนแหงการเวียนเกดิ เวียน สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หรือ ตาย, การเวียนวายตายเกิดอยูในโลก กุสินคร (Kusinagara) บัดน้ีเรียก หรอื ในภพตางๆ, โดยใจความ ก็ไดแ ก Kasia; ดู สงั เวช “สังสาระ” น่ันเอง; สังสารวัฏฏ หรือ สังเวย บวงสรวง, เซน สรวง (ใชแ กผแี ละ สงสารวัฏ กเ็ ขยี น; ดู สงั สาระ, ไตรวฏั ฏ, เทวดา) ปฏจิ จสมปุ บาท สงั สาระ, สงสาร การเทย่ี วเรร อ นไปใน สังสารสทุ ธิ ความบรสิ ุทธิด์ วยการเวยี น ภพ คอื ภาวะแหง ชวี ติ ทถ่ี ูกพัดพาให วายตายเกิด คอื ลทั ธิของมกั ขลโิ คสาล ประสบสุขทุกข ขึ้นลง เปนไปตางๆ ซึ่งถือวา สัตวท้ังหลายทองเท่ียวเวียน ตามกระแสแหงอวิชชา ตัณหา และ วายตายเกดิ ไปเรือ่ ยๆ ก็จะคอยบรสิ ุทธ์ิ อปุ าทาน, การวายวนอยใู นกระแสแหง หลุดพนจากทุกขไปเอง การปฏิบัติ กเิ ลส กรรม และวิบาก, การเวียนวาย ธรรมไรประโยชน ไมอ าจชว ยอะไรได

สังสทุ ธคหณี ๔๑๗ สัจจาธฏิ ฐาน สังสุทธคหณี มีครรภท่ีถือปฏิสนธิ ยังบินไมได พอนกแมนกก็บินหนีไป สะอาดหมดจดดี แลว จงึ ทําสัจกริ ยิ า อา งวาจาสตั ยข อง สงั เสทชะ สตั วเ กดิ ในของชน้ื แฉะโสโครก ตนเองเปนอานุภาพ ทําใหไฟปาไมลุก เชน หมูหนอน (ขอ ๓ ในโยนิ ๔) ลามเขา มาในทน่ี นั้ (เปน ทม่ี าของวฏั ฏก- สงั หาร การทาํ ลาย, ฆา, ลางผลาญชีวติ ปรติ รทสี่ วดกนั ในปจ จบุ นั ), ในภาษาบาลี สังหาริมะ สง่ิ ท่เี คลื่อนทไี่ ด คอื นําไปได สัจกิริยาน้ีเปนคําหลัก บางแหงใช เชน สัตวและส่งิ ของที่ต้งั อยูลอยๆ ไม สัจจาธิฏฐานเปนคําอธิบายบาง แต ติดท่ี ไดแ ก เงนิ ทอง เปนตน; เทียบ ในภาษาไทยมักใชคําวาสัตยาธิษฐาน อสังหารมิ ะ ซ่ึงเปน รูปสนั สกฤตของ สจั จาธิฏฐาน; ดู สังหาริมทรพั ย ทรัพยเคลือ่ นทไี่ ด เชน สจั จาธิฏฐาน, สัตยาธิษฐาน สัตวเล้ียง เตยี ง ตัง่ ถวย ชาม เปน ตน ; สจั จะ 1. ความจรงิ มี ๒ คอื ๑. สมมต-ิ คูก ับ อสังหารมิ ทรพั ย สจั จะ จริงโดยสมมติ เชน คน พอคา สัจกิริยา “การกระทําสัจจะ”, การใช ปลา แมว โตะ เกา อี้ ๒. ปรมตั ถสจั จะ สัจจะเปนอานภุ าพ, การยนื ยันเอาสจั จะ จริงโดยปรมัตถ เชน รปู เวทนา สญั ญา คือความจรงิ ใจ คําสัตย หรอื ภาวะทเ่ี ปน สังขาร วญิ ญาณ 2. ความจริงคอื จรงิ จรงิ ของตนเอง เปน กาํ ลังอาํ นาจทจ่ี ะคมุ ใจ ไดแก ซื่อสตั ย จริงวาจา ไดแก พูด ครองรักษาหรือใหเกิดผลอยางใดอยาง จริง และ จริงการ ไดแ ก ทําจรงิ (ขอ ๑ หนึ่ง เชนทพ่ี ระองคลุ มิ าลกลา วแกห ญิง ในฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๒ ในอธษิ ฐาน มีครรภแกวา “ดูกรนองหญิง ตั้งแต ธรรม ๔, ขอ ๔ ในเบญจธรรม, ขอ ๗ อาตมาเกดิ แลวในอริยชาติ มไิ ดร สู ึกเลย ในบารมี ๑๐) วาจะจงใจปลงสัตวเสียจากชีวิต ดวย สัจจญาณ ปรีชากําหนดรูความจริง, สจั วาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมแี กท า น ขอ ความหยง่ั รสู ัจจะ คือ รอู ริยสจั จ ๔ แต ความสวัสดีจงมีแกครรภของทานเถิด” ละอยางตามภาวะทเี่ ปน จรงิ วานท้ี ุกข นี้ แลวหญิงนั้นไดคลอดบุตรงายดายและ ทุกขสมทุ ยั เปน ตน (ขอ ๑ ในญาณ ๓) ปลอดภัย (คาํ บาลขี องขอ ความนี้ ไดน าํ สจั ธรรม, สัจจธรรม ธรรมทจ่ี ริงแท, มาสวดกันในช่ือวา อังคุลิมาลปริตร) หลักสจั จะ เชน ในคาํ วา “อริยสัจจ- และเร่อื งในวัฏฏกชาดกทีว่ า ลกู นกคมุ ธรรมทง้ั สี”่ ออ น ถูกไฟปา ลอมใกลร งั เขามา ตัวเอง สจั จาธฏิ ฐาน 1. ทม่ี น่ั คอื สจั จะ, ธรรมที่

สจั จานุโลมญาณ ๔๑๘ สญั ญมะ ควรตงั้ ไวใ นใจใหเ ปน ฐานทม่ี น่ั คอื สจั จะ, สญั เจตนา และ ธัมมสญั เจตนา; ดู ปย - ผูมีสัจจะเปนฐานที่ม่ัน (ขอ ๒ ใน รูป สาตรปู อธฏิ ฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรม 2. การ สัญเจตนิกา มีความจงใจ, มีเจตนา; ต้ังความจริงเปนหลักอาง, ความต้ังใจ เปน ชื่อสงั ฆาทเิ สสสกิ ขาบททห่ี น่ึง ขอที่ ม่ันแนวใหเกิดผลอยางใดอยางหน่ึงโดย จงใจทําอสุจิใหเคลื่อน เรียกเต็มวา อางเอาสัจจะของตนเปนกําลังอํานาจ สญั เจตนกิ าสกุ กวสิ ัฏฐิ ตรงกบั คาํ วา สจั กริ ยิ า แตใ นภาษาไทย สญั ชยั ชอื่ ปรพิ าชกผเู ปน อาจารยใ หญค น มักใชวาสัตยาธิษฐาน; ดู สัจกิริยา, หนง่ึ ในพทุ ธกาล ตง้ั สาํ นกั สอนลทั ธอิ ยใู น สตั ยาธษิ ฐาน กรงุ ราชคฤห มศี ษิ ยม าก พระสารบี ตุ ร สจั จานโุ ลมญาณ ดู สจั จานโุ ลมกิ ญาณ และพระโมคคลั ลานะเคยบวชอยใู นสาํ นกั สจั จานโุ ลมกิ ญาณ ปรีชาเปน ไปโดยสม น้ี ภายหลงั เมอื่ พระพทุ ธเจา อบุ ตั ขิ น้ึ ใน ควรแกก ารกาํ หนดรอู รยิ สจั จ, ญาณอนั โลก พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะ คลอ ยตอ การตรสั รอู รยิ สจั จ; อนโุ ลมญาณ พรอ มดวยศิษย ๒๕๐ คนพากนั ไปสู ก็เรียก (ขอ ๙ ในวิปสสนาญาณ ๙) สํานักพระพุทธเจา สัญชัยเสียใจเปน ลม สจั ฉกิ รณะ การทําใหแจง, การประสบ, และอาเจียนเปนโลหิต; นิยมเรียกวา การเขา ถึง, การบรรลุ เชน ทําใหแ จงซ่งึ สญชยั ปรพิ าชก เปน คนเดยี วกบั สญั ชยั - เวลัฏฐบุตร คนหน่ึงใน ติตถกร หรอื ครู นิพพาน คือ บรรลุนพิ พาน สัญจร เทีย่ วไป, เดนิ ไป, ผานไป, ผาน ทั้ง ๖ สัญญมะ การยับยัง้ , การงดเวน (จาก ไปมา, เดนิ ทางกนั ไปมา สัญจริตตะ การชักส่ือใหชายหญิงเปน บาป หรือจากการเบียดเบียน), การ ผัวเมียกนั เปน ชอื่ สังฆาทิเสสสกิ ขาบทที่ บังคับควบคุมตน; โดยท่ัวไป ทาน ๕ ทหี่ า มการชกั ส่ือ อธิบายวา สญั ญมะ ไดแก “ศลี ”, บางที สัญเจตนา ความจงใจ, ความแสวงหา แปลวา “สาํ รวม” เหมือนอยาง สงั วร; อารมณ, เจตนาทแ่ี ตง กรรม, ความคดิ อา น; เพื่อความเขาใจชัดเจนในเบ้ืองตน พึง มี ๓ คอื กายสัญเจตนา วจสี ัญเจตนา และ มโนสญั เจตนา; ดู สงั ขาร ๓; มี ๖ เทียบความหมายระหวางขอธรรม ๓ คือ รูปสัญเจตนา สทั ทสญั เจตนา คนั ธ- อยาง คือ สงั วร เนน ความระวงั ในการ สัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพ- รับเขา คือปดก้ันส่ิงเสียหายท่ีจะเขามา จากภายนอก สัญญมะ ควบคุมตนใน

สัญญัติ ๔๑๙ สัตตบรรณคูหา การแสดงออก มใิ หเปนไปเพอื่ การเบยี ด หมายความไมง ามแหง กาย ๔. อาทนี ว- เบยี น เปน ตน ทมะ ฝกฝนแกไขปรบั สญั ญา กําหนดหมายโทษแหงกาย คือมี อาพาธตางๆ ๕. ปหานสัญญา กาํ หนด ปรุงตน ขม กําจัดสวนรา ยและเสรมิ สว น ทดี่ ีงามใหยง่ิ ขึน้ ไป; สังยมะ กเ็ ขยี น หมายเพ่ือละอกุศลวิตกและบาปธรรม สัญญัติ (ในคําวา “อปุ ช ฌายะช่อื อะไรก็ ๖. วิราคสัญญา กาํ หนดหมายวิราคะ ตาม ตง้ั สญั ญตั ลิ งในเวลานน้ั วา ชอื่ ตสิ สะ”) คืออริยมรรควาเปนธรรมอันสงบ การหมายร,ู ความหมายรูร วมกัน, ขอ ประณีต ๗. นโิ รธสญั ญา กาํ หนดหมาย สาํ หรบั หมายรรู วมกนั , ขอตกลง นโิ รธ คอื อริยผล วาเปน ธรรมอันสงบ สญั ญา การกําหนดหมาย, ความจาํ ได ประณีต ๘. สัพพโลเก อนภิรตสญั ญา หมายรู คือ หมายรูไว ซ่งึ รปู เสียง กําหนดหมายความไมนาเพลิดเพลินใน กล่นิ รส โผฏฐัพพะ และอารมณทีเ่ กดิ โลกทงั้ ปวง ๙.สพั พสงั ขาเรสุอนฏิ ฐสญั ญา กับใจวา เขยี ว ขาว ดํา แดง ดงั เบา กําหนดหมายความไมนาปรารถนาใน เสยี งคน เสยี งแมว เสยี งระฆงั กลิน่ สงั ขารทั้งปวง ๑๐. อานาปานัสสติ สติ ทุเรียน รสมะปราง เปนตน และจาํ ได กาํ หนดลมหายใจเขา ออก คอื รจู กั อารมณน นั้ วา เปน อยางนนั้ ๆ ใน สัญญาเวทยิตนิโรธ การดับสญั ญาและ เมือ่ ไปพบเขา อีก (ขอ ๓ ในขนั ธ ๕) มี เวทนา เปน สมาบตั ิ เรยี กเตม็ วา สญั ญา- ๖ อยาง ตามอารมณท หี่ มายรนู น้ั เชน เวทยิตนิโรธสมาบัติ เรียกสั้นๆ วา รูปสัญญา หมายรูรูป สัททสัญญา นโิ รธสมาบตั ิ (ขอ ๙ ในอนุปุพพวิหาร หมายรูเสียง เปนตน; ความหมาย ๙); ดู นิโรธสมาบตั ิ สามัญในภาษาบาลีวาเคร่ืองหมาย ที่ สัญโญชน ดู สงั โยชน สงั เกตความสาํ คญั วาเปนอยางนน้ั ๆ, ใน สัณฐาน ทรวดทรง, ลักษณะ, รูปรา ง ภาษาไทยมกั ใชห มายถงึ ขอ ตกลง, คาํ มนั่ สัตตกะ หมวด ๗ สญั ญา ๑๐ ความกาํ หนดหมาย, สงิ่ ทคี่ วร สัตตบรรณคูหา ช่ือถํ้าที่ภูเขาเวภาร- กําหนดหมายไวใ นใจ มี ๑๐ อยางคอื บรรพต ในกรุงราชคฤห เปนท่ีพระ ๑. อนิจจสญั ญา กาํ หนดหมายความไม เที่ยงแหงสังขาร ๒. อนัตตสัญญา พุทธเจาเคยทรงทํานิมิตตโอภาสแกพระ อานนท และเปนท่ีทําสงั คายนาคร้ังแรก; กําหนดหมายความเปนอนัตตาแหง เขียน สัตตปณ ณคิ หู า หรือ สตั ตบัณณ- ธรรมท้ังปวง ๓. อสภุ สญั ญา กาํ หนด คหู า ก็มี

สตั ตบรภิ ัณฑ ๔๒๐ สตั ตสดกมหาทาน สตั ตบรภิ ณั ฑ “เขาลอ มทง้ั เจด็ ” คาํ เรยี ก ไมเปน บญุ (คือเปน บาป ซ่งึ ในมลิ ินท- หมภู ูเขา ๗ เทอื ก ที่ลอมรอบเขาพระ ปญ หากลาววา พาผใู หไปสูอ บาย) จึงนา วิเคราะหวาในเรื่องน้ีมีเหตุผลหรือมีนัย สเุ มรุ หรือ สเิ นรุ คือ ยุคนธร อิสินธร ท่นี า ศึกษาอยางไร, ในทีน่ ้ี จะกลาวถงึ ขอมูลและขอสังเกตเบ้ืองตนไวประกอบ กรวิก สทุ ัสสนะ เนมินธร วินตก และ การพจิ ารณา คอื ก) ในโอกาสน้ี พระ เวสสนั ดรใหท านโดยสง่ั ใหแ จกจาย ทง้ั อัสสกัณณ ใหผาแกผ ตู อ งการผา ใหสรุ าแกนักเลง สตั ตมวาร, สตั มวาร วาระท่ี ๗, คร้ังท่ี สรุ า ใหอ าหารแกผ ตู อ งการอาหาร อรรถ- ๗; ในภาษาไทย นยิ มใชในประเพณที ํา กถาอธบิ ายวา พระเวสสนั ดรกท็ ราบอยูวา การใหน า้ํ เมาเปนทานทีไ่ รผ ล แตใหเ พือ่ บุญอทุ ิศแกผ ูลว งลับ โดยมีความหมาย ใหนักเลงสรุ าที่มากไ็ ดไ ป ไมตองไปพดู วามาแลวไมได ข) สตรที ีเ่ ปน ทานใน วา วันที่ ๗ หรอื วนั ทีค่ รบ ๗ เชน ในขอ คราวน้ี ตามเรอ่ื งวา นง่ั ประจาํ รถ ๕๐๐ คนั ซงึ่ เปน ทาน คนั ละคน (ทาํ นองวา เปน คน ความวา “บําเพญ็ กุศลสตั มวาร”, ท้ังนี้ ประจํารถ) ค) ในการใหทานบคุ คล พระ เวสสนั ดร คงจะไดร บั หรือใหเ ปน ไปโดย มคี ําทม่ี กั ใชในชดุ เดียวกันอกี ๒ คาํ คือ ความเหน็ ชอบของบคุ คลนนั้ เชน เดยี วกบั ปญ ญาสมวาร (วันที่ ๕๐ หรอื วันที่ ในการใหภ รยิ า ง) ในเวลามสตู ร (อง.ฺ นวก. ครบ ๕๐) และศตมวาร (วนั ที่ ๑๐๐ ๒๓/๒๒๓/๔๐๖) พระพุทธเจาตรัสเลาวา หรือวันทคี่ รบ ๑๐๐); พจนานกุ รมเขยี น พระองคเคยทรงเกิดเปนพราหมณช่ือวา สตั มวาร, อนง่ึ “สัตมวาร” (วารท่ี ๗) เวลามะ และไดใ หมหาทาน มขี องทเ่ี ปน เปนคําท่ีมาจากภาษาบาลีคือ “สตฺตม- ทานย่งิ ใหญม ากมาย ตง้ั แตถ าดทองคํา จาํ นวน ๘๔,๐๐๐ รวมทง้ั ชาง รถ โคนม วาร” ไมพงึ สบั สนกับคาํ วา “ศตมวาร” หญงิ สาว อยา งละ ๘๔,๐๐๐ (ถา เทยี บกนั กย็ ิง่ ใหญกวา มหาทานของพระเวสสันดร (วารท่ี ๑๐๐) ซ่ึงเปนคําจากภาษา ครงั้ น้ี มากมาย) แลวลงทา ยพระองค ตรัสวา ทานของผูใหอาหารแกคนมี สันสกฤต ที่ตรงกบั คาํ บาลีวา “สตมวาร” สัตตสดกมหาทาน ทานใหญอยางละ ๗๐๐ (ตามท่ีอรรถกถาประมวลไว ๗ หมวด คอื ชาง ๗๐๐ มา ๗๐๐ รถ ๗๐๐ สตรี ๗๐๐ วัวนม ๗๐๐ ทาส ๗๐๐ ทาสี ๗๐๐) ซึ่งชาดกเลาวา พระเวสสันดร บริจาคกอนเสด็จออกจากวังไปอยูที่เขา วงกตในแดนหิมพานต, แตตามหลัก พระพทุ ธศาสนา อติ ถที าน คอื การใหส ตรี จดั เขา ในจาํ พวกทานทไี่ มเ ปน ทาน และ

สตั ตสตกิ ขันธกะ ๔๒๑ สัตตาหกรณยี ะ สมั มาทฏิ ฐเิ พยี งคนเดยี ว มผี ลมากกวา สัตตังคะ เกาอี้มีพนกั สามดาน, เกาอีม้ ี มหาทานของเวลามพราหมณท่ีกลาวมา แขน นน้ั และตรัสถงึ กศุ ลกรรมที่มผี ลมากยิง่ สัตตัพภันตรสีมา อพัทธสีมาชนิดที่ ข้ึนไปๆ ตามลําดบั อรรถกถาอธบิ าย กาํ หนดเขตแหง สามคั คขี น้ึ ในปา อนั หาคน ดว ยวา ทานบางอยา งของเวลามพราหมณ ตง้ั บา นเรอื นมไิ ด โดยวดั จากทส่ี ดุ แนวแหง ก็ไมนับวาเปนทาน แตใหเพราะจะให สงฆอ อกไปดา นละ ๗ อพั ภนั ดรโดยรอบ ครบถว น ไมต อ งมีใครมาพูดวา ไมม อี นั สตั ตมั พเจดยี  เจดยี สถานแหง หนงึ่ ทน่ี คร น้นั ไมมอี นั นี้ ทํานองวา ใหค รบสมบรู ณ เวสาลี แควนวชั ชี ณ ที่นพ้ี ระพุทธเจา ตามนิยมของโลก ซ่ึงมาเขาขอที่เปน เคยทาํ นิมิตตโ อภาสแกพระอานนท หลกั ทั่วไปวา จ) พระโพธสิ ตั วบาํ เพญ็ สัตตบิ ญั ชร เรอื นระเบยี บหอก, ซก่ี รงทํา บารมี ก็คอื กําลงั พัฒนาตนอยู แมจ ะ ดวยหอก บําเพ็ญความดีอยางยวดยิ่งยากที่ใคร สตั ตาวาส ภพเปนทอ่ี ยขู องสัตว มี ๙ อนื่ จะทาํ ได แตเ พราะยงั ไมต รสั รู ความดี เหมือนกบั วิญญาณฏั ฐติ ิ ๗ ตา งแตเพ่ิม ที่ทําสวนมากก็เปนความดีตามท่ีนิยม ขอ ๕ เขามาเปน ๕. สัตวเ หลาหนงึ่ ไมม ี ยดึ ถอื เขา ใจกนั ในกาลสมยั นนั้ ๆ คอื ทาํ ดี สัญญา ไมม กี ารเสวยเวทนา เชน พวก ท่ีสุดเทาท่ีทําไดในกาลเทศะน้ัน เชน เทพผเู ปน อสัญญีสตั ว, เลอ่ื นขอ ๕, ๖, ออกบวชเปนฤาษี ไดฌ านสมาบัติ ได ๗ ออกไปเปน ขอ ๖, ๗, ๘ แลวเตมิ ขอ โลกียอภิญญา แลวไปเกิดในพรหมโลก ๙. สัตวเหลาหนง่ึ ผูเ ขาถึงเนวสญั ญา- (อรรถกถากลา ววาสเุ มธดาบส กอ นออก นาสญั ญายตนะ บวชก็ไดบริจาคสัตตสดกมหาทาน); ดู สัตตาหะ สัปดาห, เจ็ดวัน; มกั ใชเ ปน คํา ทานทเี่ ปน บาป,ทานทไี่ มน บั วา เปน ทาน เรยี กยอ หมายถึง สัตตาหกรณียะ สัตตสติกขันธกะ ช่ือขันธกะท่ี ๑๒ แหง สัตตาหกรณียะ ธุระเปนเหตุใหภิกษุ จุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยการ ออกจากวดั ในระหวา งพรรษาได ๗ วนั สังคายนาครัง้ ท่ี ๒ ไดแ ก ๑. ไปเพอื่ พยาบาลสหธรรมกิ หรอื สัตตักขัตตปุ รมะ พระโสดาบัน ซงึ่ จะไป มารดาบิดาผูเจ็บไข ๒. ไปเพ่ือระงับ เกิดในภพอีก ๗ ครัง้ เปน อยางมากจงึ สหธรรมิกท่กี ระสันจะสกึ ๓. ไปเพ่อื กิจ จะไดบรรลุพระอรหัต (ขอ ๓ ใน สงฆ เชน ไปหาทพั พสัมภาระมาซอ ม โสดาบนั ๓) วหิ ารที่ชาํ รุดลงในเวลานั้น ๔. ไปเพอ่ื

สัตตาหกาลิก ๔๒๒ สัตยาธษิ ฐาน บาํ รงุ ศรทั ธาของทายกซงึ่ สง มานมิ นตเ พอ่ื ครเู ปนอยา งดี คอื ทรงพรํ่าสอนดวยพระ การบาํ เพญ็ กศุ ลของเขา และธรุ ะอนื่ จาก มหากรุณา หวงั ใหผ อู ่นื ไดค วามรูอยาง นที้ เ่ี ปน กจิ ลกั ษณะอนโุ ลมตามนไ้ี ด แทจริง, ทรงสอนมุงความจริงและ สัตตาหกาลิก ของที่รับประเคนเก็บไว ประโยชนเปนที่ต้ัง ทรงแนะนาํ เวไนย- ฉันไดช่ัว ๗ วัน ไดแกเ ภสชั ทั้ง ๕ คือ สัตวดวยประโยชน ทงั้ ทฏิ ฐธัมมกิ ัตถะ เนยใส เนยขน น้าํ มนั นาํ้ ผึ้ง นาํ้ ออย; ดู สมั ปรายิกตั ถะ และปรมัตถะ, ทรงรูจ ริง กาลกิ และปฏบิ ตั ิดวยพระองคเ องแลว จงึ ทรง สัตติกําลัง ในคําวา “ตามสัตติกําลัง” สอนผอู น่ื ใหร แู ละปฏบิ ตั ติ าม ทรงทาํ กบั แปลวา ตามความสามารถ และตามกาํ ลงั ตรสั เหมอื นกนั ไมใ ชต รสั สอนอยา งหนง่ึ หรือตามกําลังความสามารถ (สัตติ = ทาํ อยา งหนงึ่ , ทรงฉลาดในวธิ สี อน, และ ความสามารถ) มาจากคาํ บาลวี า ยถา- ทรงเปน ผนู าํ หมดู จุ นายกองเกวยี น (ขอ สตฺติ ยถาพล;ํ พูดเพยี้ นกันไปเปน ตาม ๗ ในพทุ ธคณุ ๙) สตกิ าํ ลงั กม็ ี สัตถศุ าสน, สัตถุสาสน คาํ สัง่ สอนของ สัตตุ ขาวค่ัวผง, ขนมผง ขนมแหง ทไ่ี ม พระศาสดา หมายถึงพระพุทธพจน; ดู บดู เชน ขนมทเี่ รยี กวาจันอบั และขนม นวงั คสตั ถศุ าสน สัตบุรุษ คนสงบ, คนดี, คนมีศีลธรรม, ปง เปนตน สตั ตผุ ง สตั ตกุ อ น ขา วตู เสบยี งเดนิ ทางท่ี คนท่ีประกอบดวยสปั ปุริสธรรม สองพอคา คือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ สัตมวาร วันท่ี ๗, วันทีค่ รบ ๗; เขียน ถวายแดพระพทุ ธเจา ขณะท่ีประทับอยู เต็มรปู เปน สตั ตมวาร สตั ย ความจรงิ , ความซอื่ ตรง, ความจรงิ ใจ; ใตต นราชายตนะ สัตถะ เกวยี น, ตา ง, หมูเกวียน, หมพู อ ดู สจั จะ สตั ยยคุ ดู กปั คาเกวียน สัตถกรรม การผา ตดั สตั ยาธษิ ฐาน การต้ังความจริงเปนหลัก สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ (พระผมู พี ระภาค อาง, ความต้ังใจกาํ หนดแนว ใหเ กิดผล เจา น้ัน) ทรงเปนศาสดาของเทวดาและ อยา งใดอยา งหนง่ึ โดยอา งเอาความจรงิ ใจ มนุษยท ั้งหลาย, ทรงเปนครขู องบุคคล ของตนเปน กาํ ลงั อาํ นาจ, คาํ เดมิ ในคมั ภรี  ท้ังช้ันสูงและชั้นตาํ่ , ทรงประกอบดวย นยิ มใช สจั กริ ยิ า, สตั ยาธษิ ฐานน้ี เปน รปู คุณสมบตั ขิ องครู และทรงทาํ หนา ทข่ี อง สนั สกฤต รูปบาลเี ปน สัจจาธฏิ ฐาน; ดู

สัตว ๔๒๓ สัทธา สจั กริ ยิ า, สจั จาธฏิ ฐาน 2. สัทธัมมปชโชตกิ า ชอ่ื อรรถกถาอธิบาย สตั ว “ผตู ิดของในรปู ารมณเปนตน” ส่ิงที่ ความในคมั ภรี น ทิ เทส แหง พระสตุ ตนั ต- มีความรูสึกและเคล่ือนไหวไปไดเอง ปฎ ก พระอปุ เสนเถระ (หลกั ฐานบางแหง รวมตลอดทง้ั เทพ มาร พรหม มนษุ ย วา พระอปุ ตสิ สเถระ) แหง มหาวหิ ารใน เปรต อสรุ กาย ดริ จั ฉาน และสตั วนรก ลังกาทวปี เปนผูร จนาข้ึนเปนภาษาบาลี ในบาลีเพงเอามนุษยกอ นอยางอื่น, ไทย โดยถือตามแนวอรรถกถาเกาภาษา มักเพงเอาดริ ัจฉาน สงิ หฬ ทศี่ กึ ษาและรกั ษาสบื ทอดกันมา; สตั วนิกาย หมูสตั ว หลกั ฐานบางแหง เรยี กวา สทั ธมั มฏั ฐติ กิ า; สตั วโลก โลกคือหมูสัตว ดูโปราณฏั ฐกถา, อรรถกถา สัทธรรม ธรรมทีด่ ี, ธรรมท่แี ท, ธรรม สทั ธัมมสั สวนะ ฟงสทั ธรรม, ฟง คําสั่ง ของคนดี, ธรรมของสตั บรุ ษุ มี สทั ธรรม สอนของสัตบุรุษ, ฟง คาํ ส่งั สอนของทาน ๓ คือ ๑. ปริยัตสิ ัทธรรม สัทธรรมคือสงิ่ ท่ีประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ, สดับ ท่พี งึ เลาเรยี น ไดแ ก พุทธพจน ๒. เลาเรียนอานคําสอนเร่ืองราวท่ีแสดง ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือส่ิงพึง หลกั ความจริงความดงี าม (ขอ ๒ ใน ปฏิบัติ ไดแกไตรสิกขา ๓. ปฏิเวธ- วุฑฒิ ๔) สัทธรรม สทั ธรรมคอื ผลที่พงึ บรรลุ ได สัทธา ความเช่ือ, ความเช่อื ถือ; ในทาง แก มรรค ผล และนพิ พาน; สัทธรรม ๗ ธรรม หมายถงึ เชื่อสง่ิ ที่ควรเชอ่ื , ความ คือ ๑. ศรทั ธา ๒. หิริ ๓. โอตตปั ปะ ๔. เชอื่ ท่ปี ระกอบดว ยเหตุผล, ความเชอื่ มั่น พาหสุ จั จะ ๕. วริ ยิ ารัมภะ ๖. สติ ๗. ในส่งิ ท่ดี ีงาม, ความเล่ือมใสซาบซ้ึงชน่ื ใจ ปญ ญา สนิทใจเช่ือมั่นมีใจโนมนอมมุงแลนไป สัทธรรมปฏิรูป สัทธรรมปลอม, ตามไปรับคุณความดีในบุคคลหรือส่ิง สัทธรรมเทียม นัน้ ๆ, ความม่นั ใจในความจริง ความดี สัทธัมมปกาสินี ชื่อคัมภีรอรรถกถา สง่ิ ดีงาม และในการทําความดี ไมล ไู หล อธิบายความในปฏิสัมภิทามรรค แหง ต่ืนตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก พระสุตตันตปฎ ก พระมหานามะรจนา (ขอ ๑ ในพละ ๕, ขอ ๑ ในเวสารชั ช- ขนึ้ เปน ภาษาบาลี โดยถอื ตามแนวอรรถ- กรณธรรม ๕, ขอ ๑ ในสัทธรรม ๗, ขอ กถาเกาภาษาสิงหฬทร่ี กั ษาสบื ทอดมาใน ๑ ในอริยทรัพย ๗, ขอ ๑ ในอริยวัฑฒิ ลังกาทวปี ; ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถกถา ๕); เขียนอยา งสนั สกฤตเปน ศรัทธา

สทั ธาจรติ ๔๒๔ สัทธานสุ ารี ศรทั ธาทเ่ี ปนหลักแกนกลาง ซึง่ พบ ตถาคตโพธิสทั ธา เชอื่ ปญ ญาตรสั รขู อง ทวั่ ไปในพระไตรปฎก พระพทุ ธเจาตรสั พระตถาคต แสดงไวเปนขอเดียว (เชน อง.ฺปจฺ ก.๒๒/ อรรถกถาทง้ั หลายจาํ แนกวามี สทั ธา ๕๓/๗๔) คือ ตถาคตโพธสิ ทั ธา ความเช่อื ๔ ระดบั (เชน ท.ี อ.๓/๒๒๗; ม.อ.๓/๒๓๗; อง.ฺ อ. ปญ ญาตรัสรูของพระตถาคต (คาํ บาลวี า ๓/๒๙) คือ ๑. อาคมนสัทธา ความเชื่อ “สททฺ หติ ตถาคตสสฺ โพธ”ึ ; บางครงั้ เมอื่ ความมน่ั ใจของพระโพธสิ ตั ว อนั สบื มา ทรงแสดงคุณสมบัติของอริยสาวก จึง จากการบําเพญ็ สง่ั สมบารมี (อาคมนีย- ตรสั ถงึ อเวจจปสาทะ คอื ความเลอื่ มใสอนั สัทธา หรอื อาคมสัทธา ก็เรียก) ๒. ไมห วนั่ ไหว ในพระพทุ ธเจา ในพระธรรม อธิคมสัทธา ความเช่ือม่ันของพระ และในพระสงฆ เชน อง.ฺนวก.๒๓/๒๓๑/๔๒๐) อรยิ บคุ คล ซงึ่ เกดิ จากการเขา ถงึ ดว ยการ ศรทั ธาทีม่ กั กลา วถงึ ในอรรถกถา ได บรรลธุ รรมเปน ประจกั ษ (อธคิ มนสัทธา ก็เรยี ก) ๓. โอกัปปนสัทธา ความเช่ือ แก (อ.ุ อ.๒๓๕; อติ .ิ อ.๗๔; จรยิ า.อ.๓๓๖) สัทธา ๒ คอื ๑. ตถาคตโพธสิ ทั ธาเชอ่ื ปญ ญาตรสั รู หนักแนนสนิทแนวเมื่อไดปฏิบัติกาว ของพระตถาคต ๒. กัมมผลสทั ธา เชื่อ หนาไปในการเหน็ ความจรงิ (โอกปั ปนยี - กรรมและผลของกรรม, แตห ลายแหง สัทธา ก็เรยี ก, ทานวา ตรงกับอธโิ มกข (เชน อ.ุ อ.๑๑๐; อติ .ิ อ.๓๕๓; เถร.อ.๑/๔๙๐) แสดง หรืออธิโมกขสัทธา) ๔. ปสาทสัทธา สทั ธา ๒ คอื ๑. กัมมผลสทั ธา เช่ือกรรม ความเช่ือที่เปนเพียงความเลื่อมใสจาก และผลของกรรม ๒. รตนัตตยสทั ธา การไดยนิ ไดฟ ง เช่ือพระรัตนตรัย (กัมมผลสัทธา เปน สทั ธาจริต พน้ื นสิ ยั หนกั ในศรัทธา เช่ือ โลกยิ สทั ธา, รตนตั ตยสทั ธา ถา ถูกตอง งา ย พงึ แกดวยปสาทนียกถา คอื ถอ ย จริงแทเห็นประจักษดวยปญญาม่ันคง คําท่ีนําใหเกิดความเล่ือมใสในทางท่ีถูก ไมห วน่ั ไหว เปน โลกตุ ตรสทั ธา); อยา งไร ที่ควร และดวยความเช่ือที่มีเหตุผล กต็ าม ทร่ี จู ักกันมาก คอื สทั ธา ๔ ซง่ึ (ขอ ๔ ในจรติ ๖) เปน ชดุ สบื ๆ กนั มา ท่จี ัดรวมขนึ้ ภายหลัง สัทธานุสารี “ผูแลนไปตามศรทั ธา”, “ผู คอื ๑. กมั มสัทธา เชอื่ กรรม เชื่อการ แลน ตามไปดว ยศรทั ธา”, พระอรยิ บคุ คล กระทาํ ๒. วปิ ากสทั ธา เชอื่ ผลของกรรม ผูต้ังอยูในโสดาปตติมรรค ที่มี ๓. กมั มสั สกตาสทั ธา เช่อื วา สัตวมีกรรม สทั ธนิ ทรยี แ รงกลา (เม่ือบรรลผุ ล จะ เปน ของตัว ทําดไี ดด ี ทาํ ชวั่ ไดช ั่ว ๔. กลายเปน สัทธาวมิ ุต); ดู อรยิ บคุ คล ๗

สัทธาวิมุต ๔๒๕ สันตติ สัทธาวมิ ตุ “ผูหลุดพน ดว ยศรัทธา” พระ มาแตกาํ เนิด, อัธยาศยั ท่ีมีติดตอมา อรยิ บคุ คลตั้งแตโสดาบันขึ้นไป จนถงึ ผู สนั โดษ ความยินด,ี ความพอใจ, ยินดี ต้ังอยูในอรหตั ตมรรคที่มสี ัทธินทรียแ รง ดว ยปจจัย ๔ คือ ผา นงุ ผาหม อาหาร กลา (เมอ่ื บรรลอุ รหตั ตผล จะกลายเปน ที่นอนทน่ี ั่ง และยา ตามมตี ามได, ยินดี ปญ ญาวมิ ตุ ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ ของของตน, การมีความสขุ ความพอใจ สทั ธาสมั ปทา ถงึ พรอ มดวยศรัทธา คือ ดวยเคร่ืองเลี้ยงชีพที่หามาไดดวยความ เชือ่ สง่ิ ท่ีควรเชื่อ เชน เชื่อวา ทําดีไดด ี เพียรพยายามอนั ชอบธรรมของตน ไม โลภ ไมริษยาใคร; สันโดษ ๓ คือ ๑. ทําชว่ั ไดช วั่ เปนตน (ขอ ๑ ในสัมปราย-ิ ยถาลาภสนั โดษ ยนิ ดีตามท่ีได คอื ไดส ง่ิ กัตถสงั วตั ตนิกธรรม ๔) ใดมาดวยความเพียรของตน ก็พอใจ สทั ธวิ ิหารกิ , สทั ธงิ วิหาริก ศษิ ย, ผูอยู ดว ย เปนคําเรียกผทู ี่ไดร ับอปุ สมบท ถา ดวยสิง่ นน้ั ไมเ ดอื ดรอนเพราะของท่ีไม อปุ สมบทตอ พระอปุ ช ฌายะองคใ ด กเ็ ปน ได ไมเพงเล็งอยากไดของคนอื่นไม สทั ธวิ ิหารกิ ของพระอุปช ฌายะองคน้ัน รษิ ยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ ยนิ ดตี าม สัทธิวิหาริกวัตร ขอควรปฏิบัติตอ กาํ ลัง คอื พอใจเพียงแคพอแกก าํ ลงั รา ง สัทธิวิหาริก, หนาท่ีอันอุปชฌายจะพึง กายสุขภาพและขอบเขตการใชสอยของ กระทําแกส ทั ธวิ ิหารกิ คอื ๑. เอาธุระใน ตน ของทเ่ี กนิ กาํ ลงั กไ็ มห วงแหนเสียดาย การศกึ ษา ๒. สงเคราะหด ว ยบาตร จวี ร ไมเกบ็ ไวใหเ สยี เปลา หรอื ฝนใชใหเ ปน และบรขิ ารอนื่ ๆ ๓. ขวนขวายปอ งกนั โทษแกต น ๓. ยถาสารปุ ปสันโดษ ยนิ ดี หรอื ระงบั ความเสอ่ื มเสยี เชน ระงบั ความ ตามสมควร คือพอใจตามทสี่ มควรแก คดิ จะสกึ เปลอ้ื งความเหน็ ผดิ ฯลฯ ๔. ภาวะ ฐานะ แนวทางชวี ิต และจดุ หมาย พยาบาลเมอื่ อาพาธ; เทยี บ อุปช ฌายวตั ร แหง การบาํ เพญ็ กจิ ของตน เชน ภิกษุ สัทธิวิหารินี สัทธิวิหาริกผูหญิง คือ พอใจแตของอันเหมาะกับสมณภาวะ สทั ธิวิหาริกในฝายภกิ ษุณี แตต ามปกติ หรือไดของใชที่ไมเหมาะกับตนแตจะมี ไมเรียกอยางน้ี เพราะมีคําเฉพาะเรียก ประโยชนแกผ อู ืน่ กน็ ําไปมอบใหแ กเ ขา วา สหชีวนิ ี เปน ตน ; สนั โดษ ๓ นเ้ี ปน ไปในปจ จยั ๔ สันดาน ความสืบตอ แหงจติ คือกระแส แตละอยา ง จึงรวมเรียกวา สนั โดษ ๑๒ จิตที่เกิดดับตอเน่ืองกันมา; ในภาษา สันตติ การสืบตอ คอื การเกดิ ดบั ตอ ไทยมักใชในความหมายวาอุปนิสัยที่มี เน่ืองกันไปโดยอาการที่เปนปจจัยสงผล

สันตาปทกุ ข ๔๒๖ สนทฺ ิฏิโก แกกัน ในทางรูปธรรม ทีพ่ อมองเหน็ อยางสงบ อยา งหยาบ เชน ขนเกา หลุดรว งไปขน สนั ตรี ณะ ดู วถิ จี ติ ใหมเกิดขึ้นแทน ความสืบตอแหง สันตุฏฐิกถา ถอยคําที่ชักนําใหมีความ รูปธรรม จดั เปน อปุ าทายรปู อยางหนึ่ง; สนั โดษ (ขอ ๒ ในกถาวัตถุ ๑๐) ในทางนามธรรม จิตก็มสี ันตติ คอื เกิด สนั ถัต ผาปพู ืน้ ทหี่ ลอดวยขนเจียมคอื ขน ดบั เปน ปจ จัยสืบเนื่องตอกนั ไป แกะ ใชรองน่งั หรือปูนอน, แมวา ใน สันตาปทุกข ทกุ ขค ือความรอนรุม , ทุกข สกิ ขาบทท่ี ๕ แหงโกสิยวรรค (ขอ ๑๕ ใน รอน ไดแกความกระวนกระวายใจ นิสสัคคิยปาจิตตีย) จะใชคาํ วา “นิสีทน- เพราะถูกไฟกิเลสคอื ราคะ โทสะ และ สนั ถตั ” (สนั ถตั ทนี่ งั่ ) กม็ คี าํ อธบิ ายวา ทรง โมหะแผดเผา ใชค าํ นนั้ เพอื่ แกไ ขการทภ่ี กิ ษจุ าํ นวนมาก สันติ ความสงบ, ความระงบั ดบั หายหมด หลงเขาใจเอาสันถัตเปนจีวรผืนหน่ึง ไปแหงความพลุงพลานเรารอนกระวน (ภิกษุมากรูปจะสมาทานธุดงค เขาใจวา กระวาย, ภาวะเรียบรื่นไรความสับสน สันถัตเปนจีวรขนสัตว เกรงวาตนจะมี วุนวาย, ความระงับดับไปแหงกิเลสที่ จวี รเกิน ๓ ผนื จงึ ไดท ้ิงผาสนั ถัตน้ันเสยี เปนเหตุใหเกิดความเรารอนวาวุนขุน – วินย.๒/๙๓/๗๙; กงขฺ าวติ รณอี ภนิ วฏกี า, ๓๓๘) มัว, เปน ไวพจนหนงึ่ ของ นิพพาน สนั ทดั ถนดั , จดั เจน, ชาํ นาญ; ปานกลาง สันตเิ กนิทาน “เร่อื งใกลชิด” หมายถงึ สนั ทสั สนา การใหเ หน็ ชดั แจง หรอื ช้ใี ห เร่ืองราวหรือความเปนมาเก่ียวกับพระ ชัด คือ ชแี้ จงใหเ ขาใจชดั เจน มองเห็น พุทธเจาตั้งแตตรัสรูแลวจนเสด็จ เรื่องราวและเหตุผลตางๆ แจมแจง ปรนิ พิ พาน; ดู พทุ ธประวตั ิ เหมือนจูงมือไปดูเห็นประจักษกับตา; สันติเกรูป ดู รปู ๒๘ เปนลักษณะอยางแรกของการสอนที่ดี สันติภาพ ภาวะแหงสนั ต;ิ ตามท่ใี ชใ น ตามแนวพุทธจริยา (ขอตอไปคือ ปจจุบัน หมายถึงความสงบภายนอก สมาทปนา) คือ ภาวะที่สงั คมหรอื บา นเมืองสงบ ไม สนทฺ ฏิ  ิโก (พระธรรมอนั ผไู ดบ รรล)ุ เหน็ มีความปนปวนวุนวาย, ภาวะท่ีระงับ เองรเู อง ประจกั ษแ จง กบั ตน ไมตอ งขน้ึ หรือไมมีความขัดแยง, ภาวะปราศจาก ตอ ผูอ น่ื ไมตอ งเช่อื ตอ ถอยคําของใคร สงครามหรือความมุง รา ยเปน ศัตรูกัน (ขอ ๒ ในธรรมคณุ ๖); เมื่อมาดวยกัน สันติวิหารธรรม ธรรมเปนเครื่องอยู กับ สมปฺ รายิโก (ใชเ ปนคําไทย มรี ปู

สนั นิธิ ๔๒๗ สปั ปุรสิ ธรรม เปน สัมปรายิกะ) ซ่ึงแปลวา เลยไปเบอ้ื ง สัปปฏิฆรูป ดูที่ อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป, หนา หรอื เลยตาเหน็ (เชน ม.ม.ู ๑๒/๑๙๘/๑๖๙) รปู ๒๘ สนทฺ ฏิ  ิโกน้ี (สนั ทฏิ ฐ กิ ะ) แปลวา เปน สัปปาณกวรรค ตอนท่ีวา ดว ยเร่ืองสัตว ปจจุบัน เห็นทันตา หรอื เห็นกับตา มีชวี ิตเปน ตน, เปนวรรคที่ ๗ แหง สนั นธิ ิ การสงั่ สม, ของทีส่ ง่ั สมไว หมาย ปาจิตติยกัณฑในมหาวิภังคแหงพระ ถึงของเค้ียวของฉันท่ีรับประเคนแลว วนิ ยั ปฎก เก็บไวคางคืนเพื่อจะฉันในวันรุงขึ้น สัปปายะ สบาย, สภาพเอ้อื , สภาวะที่เกอื้ ภกิ ษฉุ นั ของนนั้ เปน ปาจติ ตยี ท กุ คาํ กลนื หนุน, สิ่ง สถาน หรอื บคุ คล ซง่ึ เปนท่ี (สกิ ขาบทท่ี ๘ แหง โภชนวรรค ปาจติ ตยิ - สบาย เหมาะกัน เกื้อกูล หรือเอื้อ กัณฑ) อํานวย โดยเฉพาะที่ชวยเก้ือหนุนการ สนั นบิ าต การประชมุ , ท่ปี ระชมุ สนนฺ ิปาติกา อาพาธา ความเจบ็ ไขเกดิ บําเพ็ญและประคับประคองรักษาสมาธิ ทานแสดงไว ๗ ขอ คอื อาวาส (ท่ีอย)ู จากสันนิบาต (คือประชุมกันแหง โคจร (ที่บิณฑบาตหรือแหลงอาหาร) ภัสสะ (เร่ืองพูดคุยที่เสริมการปฏิบัติ) สมุฏฐานทั้งสาม), ไขสันนิบาต คือ บคุ คล (ผูทเ่ี ก่ียวของดวยแลว ชว ยใหจติ ผองใสสงบมนั่ คง) โภชนะ (อาหาร) อุตุ ความเจ็บไขท ีเ่ กดิ ขน้ึ แตด ี เสมหะ และ (อณุ หภูมแิ ละสภาพแวดลอม) อิริยาบถ; ลม ทั้งสามเจือกัน; ดู อาพาธ สันนิวาส ที่อย,ู ทพี่ ัก; การอยูด วยกัน, การอยรู วมกนั ท้ัง ๗ ขอ น้ี ทเี่ หมาะกันเปน สัปปายะ สันนิษฐาน ความตกลงใจ, ลงความเห็น (เชน เปน อาวาสสัปปายะ) ท่ไี มสบาย ในท่สี ดุ ; ไทยใชในความหมายวา ลง เปนอสปั ปายะ ความเหน็ เปนการคาดคะเนไวก อน สัปป เนยใส; ดู เบญจโครส สันยาสี ผูสละโลกแลวตามธรรมเนียม สปั ปโสณฑกิ า ช่ือเงื้อมเขาแหง หน่ึงอยูท่ี ของศาสนาฮนิ ดู; ดู อาศรม สตี วัน ใกลก รงุ ราชคฤห ณ ที่นี้พระ สันสกฤต ชื่อภาษาโบราณของอินเดีย พุทธเจาเคยทํานิมิตตโอภาสแกพระ ภาษาหน่ึง ใชในศาสนาพราหมณหรือ อานนท ฮนิ ดู และพทุ ธศาสนาฝา ยมหายาน สัปปรุ ิสธรรม ธรรมของสตั บรุ ษุ , ธรรม สปั ดาห ๗ วนั , ระยะ ๗ วัน ของคนด,ี ธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน สตั บรุ ษุ มี ๗ สัปบรุ ุษ ดู สปั ปุรุษ ขอ คอื ๑. ธมั มญั ตุ า รหู ลกั หรอื รจู กั เหตุ

สปั ปรุ สิ บญั ญัติ ๔๒๘ สพั พตั ถกกมั มฏั ฐาน ๒. อัตถัญตุ า รูค วามมุงหมายหรอื รู สปั ปุรุษ เปน คาํ เลือนปะปนระหวา ง สัป- จักเหตผุ ล ๓. อัตตญั ตุ า รูจ ักตน ๔. ปุริส ท่เี ขียนอยา งบาลี กับ สตั บุรษุ ท่ี มตั ตญั ตุ า รจู กั ประมาณ ๕. กาลญั ตุ า เขียนอยางสนั สกฤต มคี วามหมายอยา ง รจู กั กาล ๖. ปรสิ ญั ตุ า รจู กั ชุมชน ๗. เดียวกัน (ดู สัตบุรษุ ) แตในภาษาไทย ปุคคลญั ตุ า รจู กั บคุ คล; อกี หมวดหน่งึ เปนคําอยูขางโบราณ ใชกันในความ มี ๘ ขอ คอื ๑. ประกอบดวย สัทธรรม หมายวา คฤหัสถผูมีศรัทธาในพระ ๗ ประการ ๒. ภกั ดสี ตั บรุ ุษ (คบหาผูม ี ศาสนา เฉพาะอยางยิ่งผูที่ไปรวมกิจ สัทธรรม ๗) ๓. คิดอยางสัตบุรษุ ๔. กรรมทางบุญทางกุศล รักษาศีลฟง ปรกึ ษาอยางสัตบุรษุ ๕. พดู อยา งสัต- ธรรมเปนประจําที่วัดใดวัดหนึ่ง บางที บรุ ษุ ๖. ทาํ อยา งสตั บุรุษ (๓, ๔, ๕, ๖ เรยี กตามความผกู พนั กบั วดั วา สปั ปรุ ษุ คือ คิด ปรกึ ษา พูด ทํา มใิ ชเพ่อื เบียด วดั นัน้ สัปปุรษุ วัดนี้ เบียนตนและผูอ่ืน) ๗. มีความเห็น สัพพกามี ชอ่ื พระเถระองคห น่ึงในการก อยางสตั บุรษุ (คอื เห็นชอบวา ทาํ ดีมีผล สงฆ ผูท ําสงั คายนาคร้งั ที่ ๒ เปนผมู ี ดี ทาํ ช่วั มีผลชวั่ เปนตน) ๘. ใหท าน พรรษาสงู สุด และทําหนา ทวี่ สิ ัชนา อยางสัตบุรุษ (คือใหโดยเคารพ เออ้ื สพั พโลเกอนภิรตสัญญา กําหนดหมาย เฟอแกของและผูรบั ทาน เปน ตน) ถึงความไมนาเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง สปั ปุรสิ บัญญัติ ขอ ทท่ี านสตั บรุ ษุ ต้ังไว, (ขอ ๘ ในสัญญา ๑๐) บัญญตั ขิ องคนดี มี ๓ คือ ๑. ทาน ปน สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา กําหนด สละของตนเพื่อประโยชนแกผูอ่ืน ๒. หมายถึงความไมนาปรารถนาในสังขาร ปพพัชชา ถือบวช เวนจากการเบียด ทงั้ ปวง (ขอ ๙ ในสัญญา ๑๐) เบยี นกัน ๓. มาตาปตุอุปฏฐาน บาํ รงุ สัพพญั ุตญาณ ญาณคอื ความเปนพระ มารดาบิดาของตนใหเ ปน สุข สัพพัญู, พระปรีชาญาณหย่ังรูสิ่งทั้ง สปั ปรุ สิ ปู ส สยะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี ปวง ทั้งที่เปน อดตี ปจ จบุ นั และอนาคต ไดค นดเี ปน ทพี่ ง่ึ อาศยั (ขอ ๒ ในจกั ร ๔) สัพพัญู ผูรูธรรมท้ังปวง, ผูรูท่ัวทั้ง สปั ปรุ สิ ปู สงั เสวะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี หมด, พระนามของพระพุทธเจา คบทานท่ีประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ, สัพพตั ถกกัมมัฏฐาน กรรมฐานทค่ี วร เสวนาทานผรู ูผ ูทรงคุณ (ขอ ๑ ในวุฑฒิ ใชประโยชนในทุกกรณี; ดู กัมมฏั ฐาน ๔) ๒; เทยี บ ปารหิ ารยิ กัมมัฏฐาน

สพั พตั ถคามินีปฏิปทาญาณ ๔๒๙ สัมปตตวริ ตั ิ สพั พตั ถคามนิ ีปฏิปทาญาณ ปรชี าหย่ัง เกดิ รวมกัน หรอื พว งมาดวยกนั รูทางที่จะนําไปสูสุคติท้งั ปวง คอื ทงั้ สัมปโยค การประกอบกัน สคุ ติ ทคุ ติ และทางแหงนิพพาน (ขอ ๓ สัมประหาร การสรู บกนั , การตอ สกู นั สมั ปรายภพ ภพหนา ในทศพลญาณ) สมั ปชัญญะ ความรตู วั ท่วั พรอ ม, ความ สัมปรายิกัตถะ ประโยชนภายหนา, รตู ระหนกั , ความรชู ดั เขาใจชดั ซ่งึ สง่ิ ที่ ประโยชนขัน้ สงู ขน้ึ ไป อนั ไดแ กความมี นกึ ได; มกั มาคูกับสติ (ขอ ๒ ในธรรมมี จิตใจเจริญงอกงามดวยคุณธรรมความ อปุ การะมาก ๒); สมั ปชัญญะ ๔ ไดแ ก ดี ทําใหชวี ิตนมี้ ีคา และเปนหลักประกัน ๑.สาตถกสัมปชัญญะ รูชัดวามี ชวี ติ ในภพหนา ซงึ่ จะสาํ เรจ็ ไดด ว ยธรรม ประโยชน หรือตระหนกั วาตรงตามจดุ ๔ ประการ คือ ๑. สทั ธาสัมปทา ถึง หมาย ๒.สปั ปายสมั ปชญั ญะ รูชัดวา พรอมดวยศรัทธา ๒. สลี สัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. จาคสมั ปทา ถงึ พรอ ม เปนสัปปายะ หรือตระหนักวาเก้ือกูล ดว ยการบรจิ าค ๔. ปญ ญาสมั ปทา ถงึ เหมาะกัน ๓.โคจรสมั ปชญั ญะ รชู ัดวา เปนโคจร หรือตระหนกั ในแดนงานของ พรอ มดว ยปญ ญา ธรรม ๔ อยา งนเี้ รยี ก ตน ๔.อสมั โมหสมั ปชญั ญะ รูชัดวา ไม เตม็ วา สมั ปรายกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม หลง หรอื ตระหนักในตวั สภาวะ ไมหลง สมั ปหงั สนา การทาํ ใหร า เรงิ หรอื ปลกุ ให ใหล ไมส ับสนฟนเฟอ น รา เรงิ คอื ทาํ บรรยากาศใหส นกุ สดชน่ื สัมปชานมุสาวาท รูตัวอยูกลาวเท็จ, แจม ใส เบกิ บานใจ ใหผ ฟู ง แชม ชน่ื มคี วาม การพดู เทจ็ ทงั้ ทรี่ ู คอื รคู วามจรงิ แตจ งใจ หวงั มองเหน็ ผลดแี ละทางสาํ เรจ็ ; เปน พูดใหค ลาดจากความจรงิ เพือ่ ใหผูฟง ลักษณะอยางหนึ่งของการสอนที่ดีตาม เขา ใจเปน อยา งอน่ื จากความจรงิ (สกิ ขา- แนวพทุ ธจรยิ า (ขอ กอ นคอื สมตุ เตชนา) บทท่ี ๑ แหงมสุ าวาทวรรค ปาจติ ติย- สมั ปต ตโคจรคั คาหิกรูป ดทู ี่ รปู ๒๘ กัณฑ) สัมปตตวิรัติ ความเวนจากวัตถุอันถึง สมั ปฏิจฉนะ, สัมปฏิจฉนั นะ ดู วถิ จี ติ เขา, การเวน เม่อื ประสบซ่งึ หนา คอื ไมได สัมปยตุ ประกอบดว ย; สัมปยุตต ก็ สมาทานศีล หรือต้ังใจละเวนมากอน เขยี น แตเมื่อประสบเหตุอันจะทําใหความชั่ว สัมปยุตตธรรม ธรรมท่ีประกอบอยู หรือละเมิดศีลเขาเฉพาะหนา ก็ละเวน ดว ย, ธรรมทีป่ ระกอบกนั , สภาวธรรมที่ ไดในขณะน้นั เอง ไมล วงละเมดิ ศีล (ขอ