วีตกิ กมะ ๓๘๐ วฒุ ิ สวดประกาศการทเี่ ธอทาํ ตวั เชน นนั้ ดว ย ภกิ ษุณี, นางสิกขมานาผูสมาทานสิกขา- ญัตติทตุ ยิ กรรม เมอื่ สงฆส วดประกาศ บท ๖ ขอ ต้ังแต ปาณาตปิ าตา เวรมณี แลวเธอยังขืนทําอยางนั้นอยูอีก ยอม ถงึ วกิ าลโภชนา เวรมณี โดยมิไดขาด ตอ งอาบตั ิปาจติ ตยี (สิกขาบทที่ ๒ ใน ครบเวลา ๒ ปแลว จงึ มีสทิ ธขิ อวฏุ ฐาน ภตู คามวรรคที่ ๒); คกู บั อญั ญวาทกกรรม สมมติ เพื่ออปุ สมบทเปนภิกษณุ ีตอไป วีติกกมะ การละเมิดพระพุทธบัญญัติ, วฑุ ฒิ ธรรมเปนเครื่องเจริญ, ธรรมเปน เหตุใหถ ึงความเจรญิ มี ๔ อยางคือ ๑. การทาํ ผิดวนิ ยั วีติกกมกเิ ลส ดู กเิ ลส ๓ ระดับ สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสัตบุรุษ ๒. สทั - วีสติวรรค สงฆพวกท่ีกําหนดจํานวน ธมั มสั สวนะ ฟง สทั ธรรม ๓. โยนโิ ส- ๒๐ รปู (ทําอัพภานได); ดู วรรค มนสกิ าร ทาํ ในใจโดยแยบคาย ๔. ธมั มา- วฏุ ฐานะ การออก เชน ออกจากฌาน นุธัมมปฏิปตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก ธรรม, เรียกและเขียนเปน วฒุ ิ บาง ออกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส เปน ตน วุฏฐานคามินี 1. วิปส สนาทใี่ หถ ึงมรรค, วุฑฒธิ รรม บา ง วฒุ ิธรรม บาง, ในบาลี วิปสสนาที่เจริญแกกลาถึงจุดสดุ ยอดทํา เรียกวา ธรรมท่ีเปน ไปเพอ่ื ปญ ญาวฑุ ฒิ ใหเขา ถงึ มรรค (มรรคช่ือวา วุฏฐานะ หรอื ปญ ญาวฒุ ิ คือเพื่อความเจรญิ แหง โดยความหมายวาเปนที่ออกไปไดจาก ปญ ญา ส่ิงที่ยึดติดถือมั่น หรือออกไปพนจาก วฒุ ชน ผเู จรญิ , ผูใหญ, คนท่เี ปนวุฑฒะ สงั ขาร), วิปส สนาท่เี ชือ่ มตอใหถ งึ มรรค หรือมีวุฒิ; ดู วฒุ ิ 2. “อาบตั ิท่ีใหถ ึงวุฏฐานวิธี” คอื อาบตั ทิ ี่ วุฒบรรพชติ ผบู วชเมอ่ื แก จะพนไดดวยอยูกรรม หมายถึงอาบัติ วฒุ ิ ความเจรญิ , ความงอกงาม, ความเปน สงั ฆาทิเสส; เทยี บ เทสนาคามินี ผใู หญ; ธรรมใหถึงความเจริญ; ดู วฑุ ฒิ วุฏฐานวิธี ระเบียบเปนเครื่องออกจาก วุฒิ คอื ความเปนผูใหญ ๓ อยา ง อาบตั ิ หมายถงึ ระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั สิ าํ หรบั ท่ีนิยมพูดกันในภาษาไทยน้ันมาใน คมั ภีรช้นั อรรถกถาและฎกี า ไดแ ก ๑. ภิกษุผูจะเปลื้องตนจากอาบัติหนักขั้น ชาตวิ ฒุ ิ ความเปน ผูใ หญโ ดยชาติ คือ สงั ฆาทเิ สส, มที งั้ หมด ๔ อยา งคอื ปรวิ าส เกดิ ในชาตกิ ําเนดิ ฐานะอนั สูง ๒. วัยวฒุ ิ มานตั อพั ภานและ ปฏกิ สั สนา ความเปนผูใหญโดยวัย คือเกดิ กอน ๓. วุฏฐานสมมติ มติอนุญาตใหออกจาก คุณวุฒิ ความเปน ผูใหญโดยคุณความดี ความเปนสิกขมานาเพ่ืออุปสมบทเปน
เวชกรรม ๓๘๑ เวทนา หรอื โดยคณุ พเิ ศษที่ไดบรรลุ (ผลสําเรจ็ บคุ คล ๑๐ (สหธรรมกิ ๕ คอื ภกิ ษุ ทดี่ งี าม) (อนงึ่ ในคมั ภรี ท า นมไิ ดก ลา วถงึ ภกิ ษณุ ี สิกขมานา สามเณร สามเณรี, ภาวะแตกลาวถึงบุคคล คือไมกลาวถึง ปณฑุปลาสคือคนมาอยูวัดเตรียมบวช วฒุ ิ แตก ลา วถึง วุฑฒะ หรือ วฒุ เปน ไวยาวัจกรของตน มารดา บิดา อปุ ฐาก ชาตวิ ุฒ วัยวุฒ คุณวุฒ; นอกจากน้นั ใน ของมารดาบิดา) ญาติ ๑๐ (พ่ชี าย นอง อรรถกถาแหง สตุ ตนบิ าต ทา นแบง เปน ๔, ชาย พห่ี ญงิ นอ งหญงิ นา หญงิ ปา อา โดยเพิ่มปญญาวุฒ ผูใหญโดยปญญา ชาย ลงุ อาหญิง นาชาย; อนุชนมีบุตร เขา มาอกี อยา งหนึ่ง และเรยี งลาํ ดับตาม นดั ดาเปน ตนของญาติเหลา นั้น ๗ ชว่ั ความสําคัญในทางธรรม เมื่อเปลี่ยน เครือสกุล ทานก็จัดรวมเขาในคําวา วุฒ เปน วุฒิ จะไดด งั นี้ ๑. ปญ ญาวุฒิ “ญาติ ๑๐” ดวย) คน ๕ (คนจรมา โจร ๒. คุณวฒุ ิ ๓. ชาตวิ ุฒิ ๔. วัยวุฒิ) คนแพส งคราม คนเปน ใหญ คนทญ่ี าติ เวชกรรม “กรรมของหมอ”, “การงานของ ท้ิงจะไปจากถ่ิน) ถาเขาเจ็บปวยเขามา แพทย”, การบาํ บดั โรครักษาคนเจบ็ ไข, วดั พงึ ทาํ ยาใหเขา ทัง้ น้ี มีรายละเอยี ด อาชีพแพทย, การทาํ ตัวเปนหมอปรุงยา ในการที่จะตองระมัดระวังไมใหผิด ใชยาแกไขโรครกั ษาคนไข; การประกอบ พลาดหลายอยาง ขอ สําคัญคอื ใหเ ปน เวชกรรม ถือวาเปนมิจฉาชีพสําหรับ การทําดวยเมตตาการุณยแทจริง มิใช พระภิกษุ (เชน ท.ี ส.ี ๙/๒๕/๑๕; ขุ.จู.๓๐/๗๑๓/ หวังลาภ ไมใหเปนการรับใชหรือ ๓๖๐) ถงึ แมจ ะไมทาํ เพือ่ การเลี้ยงชพี หรอื ประจบประแจง จะหาลาภ ก็เสี่ยงตออาบัติในขอตติย- เวท, พระเวท ดู ไตรเพท ปาราชกิ (วินย.๑/๒๑๕/๑๕๘-๙) หรือไมกเ็ ขา เวทนา ความเสวยอารมณ, ความรสู ึก, ขา ยกลุ ทูสกสกิ ขาบท (สงั ฆาทิเสส ขอ ๑๓, ความรสู กึ สุขทุกข มี ๓ อยา ง คือ ๑. สขุ - วินย.๑/๖๒๔/๔๒๖ เรียกเวชกรรมวา ‘เวชชิกา’) เวทนา ความรสู กึ สขุ สบาย ๒. ทกุ ขเวทนา อยางไรก็ตาม ทานก็ไดเปดโอกาสไว ความรสู กึ ไมส บาย ๓. อทกุ ขมสขุ เวทนา สําหรับการดูแลชวยเหลือกันอันจําเปน ความรูสึกไมส ขุ ไมท ุกข คือ เฉยๆ เรยี ก และสมควร ดังท่ีมีขอสรุปในคัมภีรวา อกี อยางวา อเุ บกขาเวทนา; อกี หมวด ภิกษไุ มประกอบเวชกรรม แต (มงคล.๑/ หนึ่งจดั เปนเวทนา ๕ คอื ๑. สุข สบาย ๑๘๙ สรปุ จาก วินย.อ.๑/๕๗๓-๗) พงึ ทาํ ยาให กาย ๒. ทกุ ข ไมสบายกาย ๓. โสมนัส แกค นทท่ี า นอนุญาต ๒๕ ประเภท คือ สบายใจ ๔. โทมนสั ไมส บายใจ ๕.
เวทนาขันธ ๓๘๒ เวสารัชชกรณธรรม อเุ บกขา เฉยๆ; ในภาษาไทย ใชหมาย หลายท่วั ไปทัง้ หมด ความวา เจบ็ ปวดบา ง สงสารบา ง ก็มี เวภารบรรพต ช่ือภูเขาลูกหน่ึงในภูเขา เวทนาขนั ธ กองเวทนา (ขอ ๒ ในขนั ธ ๕) หา ลกู ทเ่ี รยี กเบญจครี ี อยทู กี่ รงุ ราชคฤห เวทนานปุ สสนา สติตามดูเวทนา คือ เวมานกิ เปรต เปรตอยวู ิมาน ไดเ สวยสขุ ความรสู กึ สขุ ทุกขและไมสุขไมท กุ ข เปน และทุกขสลับกันไป บางตนขางแรม อารมณโ ดยรเู ทา ทนั วา เวทนานี้ก็สกั วา เสวยทุกข ขา งข้ึนเสวยสขุ บางตนกลาง เวทนา ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา คืนเสวยสขุ กลางวนั เสวยทกุ ข เวลา (ขอ ๒ ในสตปิ ฏ ฐาน ๔) เสวยสขุ อยูใ นวมิ าน มรี างเปนทิพยส วย เวทนาปริคคหสูตร ดู ทีฆนขสูตร งาม เวลาจะเสวยทุกขตองออกจาก เวทมนตร คําที่เช่ือถือวาศักด์ิสิทธ์ิ วิมานไป และรางกายก็กลายเปนนา บรกิ รรมแลว ใหส ําเรจ็ ความประสงค เกลยี ดนา กลัว เวทัลละ ดูที่ นวงั คสัตถศุ าสน เวยยาวัจจมัย บุญสําเร็จดวยการชวย เวเนยยสัตว ดู เวไนยสตั ว ขวนขวายในกิจที่ชอบ, ทําดีดวยการ เวไนยสัตว สัตวผูควรแกก ารแนะนําสงั่ ชว ยเหลอื รบั ใชผ อู ื่น (ขอ ๕ ในบุญ- สอน, สัตวทพ่ี ึงแนะนาํ ได, สตั วท่พี อดัด กิริยาวัตถุ ๑๐); ไวยาวจั มัย ก็เขียน เวร ความแคน เคือง, ความปองรา ยกัน, ไดส อนได เวปลุ ละ ความไพบลู ย, ความเตม็ เปย ม, ความคดิ รายตอบแกผูทําราย; ในภาษา ความเจรญิ เต็มที่ มี ๒ อยาง คอื ๑. ไทยใชอีกความหมายหน่ึงดวยวาคราว, อามสิ เวปลุ ละ อามสิ ไพบลู ย หรอื ความ รอบ, การผลัดกันเปนคราวๆ, ตรงกับ ไพบูลยแ หง อามสิ หมายถงึ ความมาก วาร หรอื วาระ ในภาษาบาลี มายพรง่ั พรอมดว ยปจจยั ๔ ตลอดจน เวสสภู พระนามของพระพุทธเจาพระ วัตถุอํานวยความสุขความสะดวกสบาย องคห น่งึ ในอดตี ; ดู พระพทุ ธเจา ๗ ตา งๆ ๒. ธมั มเวปุลละ ธรรมไพบูลย เวสสวณั , เวสสวุ ณั ดู จาตมุ หาราช, จาต-ุ หรือความไพบูลยแหงธรรม หมายถึง มหาราชิกา, ปรติ ร ความเจริญเต็มเปยมเพียบพรอมแหง เวสารัชชกรณธรรม ธรรมทําความกลา ธรรม ดว ยการฝกอบรมปลกู ฝงใหม ีใน หาญ, ธรรมเปน เหตใุ หก ลา หาญ, คณุ ธรรม ตนจนเต็มบริบูรณ หรือดวยการ ทที่ ําใหเ กดิ ความแกลวกลา มี ๕ อยาง ประพฤติปฏิบัติกันในสังคมจนแพร คือ ๑. ศรัทธา เช่อื สง่ิ ทีค่ วรเชื่อ ๒. ศีล
เวสารชั ชญาณ ๓๘๓ เวกิ ผา มีความประพฤติดีงาม ๓. พาหุสัจจะ ๕ กม., ท่ีตงั้ ของเมอื งเวสาลี อยูเหนอื ไดสดับหรือศึกษามาก ๔. วิรยิ ารมั ภะ เมืองปาตลีบุตรนั้นข้ึนไป วัดตรงเปน เพียรทํากิจอยอู ยางจริงจัง ๕. ปญญา รู เสน บรรทดั ประมาณ ๔๓.๕ กม., เวสาลี รอบและรูชดั เจนในส่งิ ท่คี วรรู เปน คําภาษาบาลี เรยี กอยา งสันสกฤตวา เวสารัชชญาณ พระปรีชาญาณอันทําให ไวศาลี หรือ ไพศาลี พระพุทธเจาทรงมีความแกลวกลาไม เวหาสกุฎี โครงที่ตั้งขึ้นในวิหาร ปก คร่ันคราม ดวยไมทรงเห็นวาจะมีใคร เสาตอมอขน้ึ แลว วางรอดบนนน้ั สงู พอ ทวงพระองคไดโดยชอบธรรมในฐานะ ศีรษะไมก ระทบพ้นื ถา ไมปพู ้นื ขา งบนก็ ทัง้ ๔ คือ ๑. ทา นปฏิญญาวาเปน เอาเตียงวางลงไป ใหพืน้ เตยี งคานรอด สัมมาสมั พุทธะ ธรรมเหลา นีท้ า นยงั ไมรู อยู ขาเตยี งหอ ยลงไป ใชอ ยไู ดทัง้ ขาง แลว ๒. ทา นปฏิญญาวาเปน ขณี าสพ บนขางลาง ขางบนเรียกวาเวหาสกุฎี อาสวะเหลาน้ีของทานยงั ไมส ิ้นแลว ๓. เปนของตอ งหา มตามสิกขาบทที่ ๘ แหง ทานกลาวธรรมเหลาใดวาทําอันตราย ภตู คามวรรค ปาจติ ตีย ธรรมเหลานั้นไมอาจทําอันตรายแกผู เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดาดูนนั ทมารดา1. สอ งเสพไดจ รงิ ๔. ทา นแสดงธรรมเพอื่ เวฬุวะ ผลมะตูม ประโยชนอ ยา งใด ประโยชนอยางน้นั ไม เวฬุวคาม ชอื่ ตําบลหนง่ึ ใกลน ครเวสาลี เปนทางนําผูทําตามใหถึงความส้ินทุกข แควนวัชชี เปนท่ีพระพุทธเจาทรงจํา โดยชอบไดจริง พรรษาในพรรษาท่ี ๔๕ นับแตไ ดตรัสรู เวสาลี ช่อื นครหลวงของแควนวัชชี ตงั้ คือพรรษาสุดทายที่จะเสด็จปรินิพพาน; อยูบนฝงทิศตะวันออกของแมน้ําคงคา เพฬุวคาม กเ็ รียก สวนที่ปจจุบันเรียกชื่อเปนอีกแมนํา้ หนึ่ง เวฬวุ นั ปา ไผ สวนทปี่ ระพาสพกั ผอ นของ ตางหากวา แมน าํ้ คันทัก (Gandak) ซึ่ง พระเจา พมิ พสิ าร อยไู มใ กลไ มไกลจาก เปนสาขาใหญสาขาหนึ่งของแมนํ้าคงคา พระนครราชคฤห เปนทีร่ มร่ืนสงบเงยี บ น้ัน และเมื่อไหลลงมาจากเวสาลีอีก มีทางไปมาสะดวก พระเจาพิมพิสาร ประมาณ ๔๐ กม. ก็เขา รวมกบั แมน าํ้ ถวายเปนสังฆาราม นับเปนวัดแรกใน คงคาทจ่ี ดุ บรรจบ ซง่ึ หา งจากเมอื งปต นะ พระพทุ ธศาสนา (Patna, คือ ปาตลบี ตุ ร ในอดตี ) ไป เวิกผา ในประโยควา “เราจักไมไปใน ทางตะวันออกเฉียงเหนือเพียงประมาณ ละแวกบา นดว ยทัง้ เวกิ ผา ” เปด สีขา งให
โวการ ๓๘๔ ศตมวาร เหน็ เชนถกจีวรขึ้นพาดไวบ นบา แกธรรมจําพวกที่ทําใหเจริญงอกงามดี โวการ “ความแผกผัน”, “ภาวะหลาก ย่ิงข้ึนไปจนปลอดพนจากประดาส่ิงมัว หลาย”, เปนคําท่ีนิยมใชในพระอภิธรรม หมองบริสุทธ์ิบริบูรณ เชน โยนิโส- และคัมภรี อ รรถาธิบาย เชน อรรถกถา มนสกิ าร กุศลมลู สมถะและวปิ สสนา เปนตน ในความหมายวา ความหลาก ตลอดถงึ นพิ พาน; ตรงขา มกบั สงั กิเลส หลายหรือความเปนไปตางๆ แหงขันธ โวหาร ถอยคาํ , สํานวนพูด, ชน้ั เชิง หรอื หรือขันธที่ผันแปรหลากหลายเปนไป กระบวนแตงหนงั สือหรอื พดู ตางๆ โดยนยั หมายถึง ขันธ น่ันเอง, ไวพจน คาํ ทมี่ รี ปู ตา งกนั แตม คี วามหมาย มกั ใชแ สดงลกั ษณะของ “ภพ” ซง่ึ จาํ แนก คลา ยกัน, คําสําหรบั เรยี กแทนกนั เชน ไดเ ปน ๓ ประเภท คอื เอกโวการภพ คําวา มทนิมฺมทโน เปนตน เปน ไวพจน ภพทม่ี ขี ันธเ ดยี ว ไดแ ก อสัญญภี พ (มี ของ วริ าคะ คาํ วา วมิ ตุ ติ วิสทุ ธิ สันติ รปู ขันธเ ทานัน้ ) จตุโวการภพ ภพทีม่ ีส่ี อสงั ขตะ ววิ ฏั ฏ เปน ตน เปน ไวพจนข อง ขนั ธ ไดแ ก อรปู ภพ (มแี ตนามขันธ ๔ นพิ พาน ดงั นีเ้ ปน ตน คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ) ไวยากรณ 1. ระเบยี บของภาษา, วิชาวา ปญ จโวการภพ ภพทม่ี หี า ขันธ ไดแ ก ดว ยระเบียบแหง ภาษา 2. พทุ ธพจนที่ กามภพ และรปู ภพทน่ี อกจากอสญั ญภี พ เปนขอความรอยแกว คือเปนจุณณยิ - (ในพระสุตตันตปฎก มีเฉพาะนิทเทส บทลวน ไมม คี าถาเลย (ขอ ๓ ในนวงั ค- และปฏิสัมภิทามคั ค เทา นน้ั ท่ีใชค าํ วา สัตถศุ าสน); เทยี บ คาถา 2.; ดู จณุ ณยิ บท ไวยาวัจกร ผทู าํ กิจธรุ ะแทนสงฆ, ผชู วย โวการ หมายถงึ ขันธ) โวฏฐพั พนะ ดู วถิ จี ติ ขวนขวายทาํ กจิ ธรุ ะ, ผชู ว ยเหลอื รบั ใชพ ระ โวทาน ความบรสิ ทุ ธ์,ิ ความผอ งแผว , ไวยาวัจจะ การขวนขวายชวยทํากิจธุระ, การชําระลาง, การทําใหสะอาด, ธรรมที่ การชวยเหลือรับใช อยใู นวเิ สสภาค คือในฝายขางวเิ ศษ ได ไวยาวัจมัย ดู เวยยาวจั จมัย ศ ศตมวาร วาระที่ ๑๐๐, ครัง้ ท่ี ๑๐๐; ใน อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวา ภาษาไทย นิยมใชในประเพณีทําบุญ วนั ที่ ๑๐๐ หรือวนั ท่ีครบ ๑๐๐ เชน ใน
ศรัทธา ๓๘๕ ศสั ตรา ขอความวา “บําเพ็ญกุศลศตมวาร”, ทั้ง กวางออกไปแมในพิธีราษฎรท่ีจะจัดให นี้ มีคาํ ท่มี ักใชในชุดเดยี วกนั อีก ๒ คาํ เปนการใหญ คือ สัตมวาร (วนั ท่ี ๗ หรือวันท่ีครบ ศรี ม่ิงขวญั , ราศ,ี อาการท่นี านยิ ม; ดู สิริ ๗) และ ปญ ญาสมวาร (วนั ท่ี ๕๐ หรือ ศรีอารยเมตไตรย พระนามของพระ วนั ทีค่ รบ ๕๐); อน่ึง “ศตมวาร” (วารท่ี พุทธเจาพระองคหนึง่ ซ่ึงจะอุบัตขิ ้นึ ใน ๑๐๐) นี้ เปนคําจากภาษาสันสกฤต ภายหนา หลงั จากสนิ้ ศาสนาพระโคดมแลว ตรงกบั คาํ บาลวี า “สตมวาร” ไมพ งึ สบั สน ในคราวทีม่ นุษยมีอายยุ นื ๘๐,๐๐๐ ป กบั “สัตมวาร” (วารท่ี ๗) ท่ีมาจากคําเตม็ นับเปน พระพทุ ธเจาพระองคที่ ๕ แหง ในภาษาบาลีวา “สตฺตมวาร” ภัทรกัปนี้, เรียกวา พระศรีอริย- ศรทั ธา ความเชื่อ, ความเชอ่ื ถือ; ดู สัทธา เมตไตรย หรอื เรยี กสน้ั ๆ วา พระศรอี ารย ศรัทธาไทย ของที่เขาถวายดวยศรัทธา; บาง, พระนามเดิมในภาษาบาลีวา “ทาํ ศรัทธาไทยใหตกไป” คอื ทาํ ใหของ “เมตเฺ ตยฺย”; ดู พระพุทธเจา ๕ ท่ีเขาถวายดวยศรัทธาเส่ือมเสียคุณคา ศกั ดิ์ อาํ นาจ, ความสามารถ, กาํ ลงั , ฐานะ หรอื หมดความหมายไป หมายความวา ศักดินา อํานาจปกครองที่นา หมาย ปฏิบัติตอ ส่ิงท่ีเขาถวายดวยศรัทธา โดย ความวาพระมหากษัตริยพระราชทาน ไมส มควรแกศ รัทธาของเขา หรือโดยไม พระบรมราชานุญาตใหเ จา นาย และขุน เหน็ ความสาํ คัญแหง ศรทั ธาของเขา เชน นางเปนตน ถอื นาไดมกี าํ หนดจาํ นวนไร ภิกษุเอาอาหารบิณฑบาตท่ีเขาถวายโดย เปนเรือนหมื่นเรือนพันตามฐานานุรูป ตั้งใจทําบุญ ไปทิ้งเสีย หรือไปใหแก การพระราชทานใหถ ือศักดินาน้นั เปน คฤหัสถโ ดยยงั มิไดฉ นั ดว ยตนเองกอน เคร่ืองเทียบยศและเปนเคร่ืองปรับผู ศราทธ การทาํ บญุ ใหแ กญ าติผูลวงลบั ไป ก้ําเกนิ หรือเปน เครอ่ื งปรบั ผถู อื ศกั ดนิ า แลว (ตางจาก สารท) น่นั เอง เมือ่ ทําผดิ ศราทธพรต พิธีทําบุญอุทิศแกญาติผู ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ มอี าํ นาจ(ศกั ด)ิ์ ใหส าํ เรจ็ (สทิ ธ)ิ์ , ลวงลบั ไปแลว ; ศราทธพรตคาถา หรือ ขลัง, มีกําลังอํานาจท่ีจะทําใหเปนไป คาถาศราทธพรต หมายถงึ คาถาหมวด อยา งน้นั อยางน้ี หรอื ใหสาํ เร็จผลไดจรงิ หน่ึง (มีรอยแกวนําเล็กนอย) ที่พระ ศัพท เสียง, คาํ , คํายากทต่ี อ งแปล, คาํ สงฆใ ชสวดรับเทศน ในงานพระราชพธิ ี ยากทีต่ องอธบิ าย เผาศพในประเทศไทย แตบัดน้ีใชกัน ศัสตรา ของมีคมเปนเครอ่ื งแทงฟน
ศสั ตราวุธ ๓๘๖ ศิลปศาสตร ศัสตราวุธ อาวธุ มคี มเปน เครอื่ งฟนแทง หมายถึงลัทธิความเชื่อถืออยางหนึ่งๆ (ศสั ตรา = ของมีคมเปน เคร่ืองฟน แทง, พรอ มดว ยหลกั คาํ สอน ลทั ธิ พธิ ี องคก าร อาวธุ = เครอ่ื งประหาร) และกิจการทว่ั ไปของหมูช นผูน บั ถือลัทธิ ศากยะ ชือ่ กษัตริยพวกหน่งึ ซงึ่ สบื เชื้อ ความเชือ่ ถืออยา งนัน้ ๆ ทงั้ หมด สายมาจากพระเจา โอกกากราช ซ่ึงเปนผู ศาสนปู ถมั ภก ผูทะนุบํารงุ ศาสนา สรางและครองกรงุ กบิลพสั ดุ พระพทุ ธ- ศิลปะ ฝมือ, ความฉลาดในฝมือ, ฝมือ เจากเ็ ปนกษัตริยว งศน ี้; ศากยะ เปน คํา ทางการชา ง, การแสดงออกมาใหป รากฏ สนั สกฤต เรยี กอยา งบาลเี ปน สกั กะ บา ง, อยา งงดงามนา ชม, วชิ าทใี่ ชฝ ม อื , วชิ าชพี สกั ยะ บา ง, สากยิ ะ บา ง; ศากยะ หรอื ตา งๆ สกั กะ น้ี ใชเ ปน คาํ เรยี กชอื่ ถน่ิ หรอื แควน ศลิ ปวทิ ยา ศิลปะและวทิ ยาการ ของพวกเจาศากยะดวย; ดู สักกชนบท ศิลปศาสตร ตําราวาดวยวิชาความรู ศากยกมุ าร กมุ ารวงศศากยะ, เจาชาย ตางๆ มี ๑๘ ประการ เชนตาํ ราวาดว ย วงศศ ากยะ การคํานวณ ตํารายิงธนู เปน ตน อนั ได ศากยราช กษตั ริยศ ากยะ, พระเจา แผน มีการเรียนการสอนกันมาตั้งแตสมัย ดินวงศศ ากยะ กอนพุทธกาล; ๑๘ ประการน้นั มหี ลาย ศากยวงศ เชือ้ สายพวกศากยะ ศากยสกุล ตระกูลศากยะ, เหลา กอพวก แบบ ยกมาดแู บบหนง่ึ จากคมั ภรี โ ลกนติ ิ และธรรมนติ ิ ไดแ ก ๑. สตุ ิ ความรทู ั่ว ศากยะ ไป ๒. สมั มุติ ความรูกฎธรรมเนยี ม ๓. ศาสดา ผอู บรมสง่ั สอน, เปน พระนามอยา ง สงั ขยา วิชาคาํ นวณ ๔. โยคา การชาง การยนตร ๕. นีติ วิชาปกครอง (คอื หนึ่งทใี่ ชเ รียกพระพทุ ธเจา ; ปจจุบันใช เรยี กผูต้ังศาสนาโดยท่ัวไป, ในพทุ ธกาล ความหมายเดิมของ นิติศาสตร ใน ชมพูทวีป) ๖. วิเสสิกา ความรูการอนั ให ครทู ้ัง ๖ คือ ปูรณกสั สป มักขลโิ คสาล เกิดมงคล ๗. คนั ธัพพา วิชารองราํ ๘. คณกิ า วิชาบริหารรา งกาย ๙. ธนพุ เพธา อชิตเกสกัมพล ปกธุ กจั จายนะ สญั ชัย- วิชายงิ ธนู (ธนพุ เพทา กว็ า ) ๑๐. ปรู ณา วิชาบูรณะ ๑๑.ติกิจฉา วิชาบาํ บัดโรค เวลฏั ฐบตุ ร และนคิ รนถนาฏบตุ ร ถา เรยี ก (แพทยศาสตร) ๑๒. อติ หิ าสา ตํานาน หรอื ประวัตศิ าสตร ๑๓. โชติ ความรู ตามบาลี กเ็ ปน ศาสดา ๖ ศาสตร ตาํ รา, วิชา ศาสนทตู ดู โมคคัลลบี ุตรติสสเถระ ศาสนา คําสอน, คาํ สง่ั สอน; ปจจุบนั ใช
ศิลาดวด ๓๘๗ ศลี ๘ เรอ่ื งสงิ่ สอ งสวา งในทอ งฟา (ดาราศาสตร) ศีล ความประพฤติดีทางกายและวาจา, ๑๔.มายา ตาํ ราพชิ ยั สงคราม ๑๕.ฉนั ทสา การรกั ษากายและวาจาใหเรยี บรอ ย, ขอ วชิ าประพนั ธ ๑๖.เกตุ วชิ าพดู ๑๗.มนั ตา ปฏิบัติสําหรับควบคุมกายและวาจาให วิชาเวทมนตร ๑๘. สัททา วิชาหลัก ตงั้ อยใู นความดงี าม, การรกั ษาปกตติ าม ภาษาหรือไวยากรณ, ท้งั ๑๘ อยางนี้ ระเบยี บวนิ ยั , ปกตมิ ารยาททป่ี ราศจาก โบราณเรียกรวมวา สิปปะ หรอื ศลิ ปะ โทษ, ขอปฏิบัติในการฝกหัดกายวาจา ไทยแปลออกเปน ศิลปศาสตร (ตําราวา ใหดียิ่งขึ้น, ความสุจริตทางกายวาจา ดวยศลิ ปะตางๆ); แตใ นสมยั ปจ จบุ นั ได และอาชพี ; มักใชเ ปนคาํ เรียกอยา งงาย แยกความหมาย ศลิ ปะ กบั ศาสตร ออก สาํ หรับคําวา อธิศีลสกิ ขา (ขอ ๑ ในไตร จากกัน คอื ศลิ ปะ หมายถึง วิทยาการที่ สิกขา, ขอ ๒ ในบารมี ๑๐, ขอ ๒ ใน มวี ตั ถปุ ระสงคต รงความงาม เชน ดรุ ยิ างค- อริยทรพั ย ๗, ขอ ๒ ในอรยิ วัฑฒิ ๕) ศิลป นาฏศลิ ป และจติ รกรรม เปน ตน ศลี ๕ สําหรับทุกคน คอื ๑. เวน จาก ศาสตร หมายถงึ วทิ ยาการทมี่ วี ตั ถปุ ระสงค ทาํ ลายชวี ิต ๒. เวน จากถือเอาของที่เขา ตรงความจรงิ เชน คณติ ศาสตร และ มไิ ดใ ห ๓. เวนจากประพฤติผดิ ในกาม วิทยาศาสตร เปน ตน ๔. เวน จากพดู เทจ็ ๕. เวน จากของเมา ศลิ าดวด หินที่สูงขึน้ ไปบนพืน้ ดิน คือสุราเมรัยอันเปนที่ตั้งแหงความ ศิลาดาด หนิ ทีเ่ ปนแผนราบใหญ ประมาท; คาํ สมาทานวา ๑. ปาณาตปิ าตา ศิลาเทอื ก หนิ ท่ตี ดิ เปน พดื ยาว เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๒. อทินฺ- ศลิ าวดี ชอื่ นครหน่งึ ในสกั กชนบท นาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ศิวาราตรี พิธีลอยบาปของพราหมณทํา ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี สิกขฺ าปทํ ในวันเพญ็ เดอื น ๓ เปนประจําป วิธที ํา สมาทยิ ามิ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ คอื ลงอาบน้ําในแมน าํ้ สระเกลา ชําระ สมาทยิ ามิ ๕.สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา กายใหสะอาดหมดจด เทานี้ถือวาได เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนา ลอยบาปไปตามกระแสน้ําแลวเปนอัน ศีล ดว ย สิ้นบาปกันคราวหนึง่ ถงึ ปก็ทาํ ใหม (คาํ ศลี ๘ สําหรับฝกตนใหย ิ่งขน้ึ ไปโดยรักษา สันสกฤตเดิมเปน ศิวราตริ แปลวา ในบางโอกาส หรือมีศรัทธาจะรักษา “ราตรีของพระศิวะ” พจนานุกรม ประจาํ ใจกไ็ ด เชน แมช มี กั รกั ษาประจาํ สนั สกฤตวา ตรงกบั แรม ๑๔ คา่ํ เดอื น ๓) หวั ขอ เหมอื นศลี ๕ แตเ ปลยี่ นขอ ๓
ศลี ๑๐ ๓๘๘ ศลี วตั ร,ศีลพรต และเตมิ ขอ ๖, ๗, ๘ คอื ๓. เวน จากการ สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ๙. อุจฺจาสยน- ประพฤตผิ ดิ พรหมจรรย คอื เวน จากการ มหาสยนา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ รว มประเวณี ๖. เวน จากบรโิ ภคอาหารใน ๑๐. ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณี เวลาวกิ าล คอื เทย่ี งแลว ไป ๗. เวน จาก สิกขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนาศีล การฟอ นราํ ขบั รอ ง บรรเลงดนตรี ดกู าร ศลี ๒๒๗ ศลี สาํ หรบั พระภกิ ษุ มใี นภกิ ข-ุ เลน อนั เปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรย การทดั ปาฏิโมกข ทรงดอกไม ของหอมและเคร่ืองลูบไล ศีล ๓๑๑ ศีลสําหรับพระภิกษณุ ี มใี น ซงึ่ ใชเ ปน เครอ่ื งประดบั ตกแตง ๘. เวน ภกิ ขุนีปาฏโิ มกข จากที่นอนอันสูงใหญหรูหราฟุมเฟอย; ศีลธรรม ความประพฤตทิ ่ดี ีงามทางกาย คาํ สมาทาน (เฉพาะทต่ี า งจากศลี ๕) วา วาจา, ความประพฤตทิ ี่ดีท่ชี อบ, ความ ๓. อพฺรหมฺ จริยา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมา- สจุ ริตทางกายวาจาและอาชีวะ; โดยทาง ทยิ ามิ ๖. วกิ าลโภชนา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ ศัพท ศลี ธรรม แปลวา “ธรรมคอื ศลี ” สมาทยิ ามิ ๗. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ น- หมายถงึ ธรรมข้นั ศีล หรอื ธรรมในระดับ มาลาคนธฺ วเิลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา ศีล เพราะศีลเปนธรรมอยางหนึ่ง ใน เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๘. อจุ จฺ าสยน- บรรดาธรรมภาคปฏิบัติ ๓ อยา งคือ ศลี มหาสยนา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู สมาธิ และปญญา ดังน้นั ตอจากธรรม อาราธนาศลี ข้ันศลี จึงมีธรรมขั้นสมาธิ และธรรมขัน้ ศลี ๑๐ สาํ หรบั สามเณร แตผ ใู ดศรัทธาจะ ปญญา; ไดม ีผพู ยายามแปล ศีลธรรม รกั ษากไ็ ด หวั ขอ เหมอื นศลี ๘ แตแ ยกขอ อีกอยางหนง่ึ วา “ศีลและธรรม” (ถา แปล ๗ เปน ๒ ขอ (= ๗, ๘) เลอ่ื นขอ ๘ เปน ใหถูกตองจริงตองวาศีลและธรรมอ่ืนๆ ๙ และเตมิ ขอ ๑๐ คือ ๗. เวนจากฟอน คือศลี และธรรมอนื่ ๆ นอกจากศีล เชน รํา ขบั รอ ง ฯลฯ ๘. เวนจากการทัดทรง สมาธิ และปญ ญา เปน ตน เพราะศลี ก็ ดอกไม ฯลฯ ๙. เวนจากท่นี อนอนั สงู เปน ธรรรมอยา งหนงึ่ ) ถาแปลอยางน้ี จะ ใหญ ฯลฯ ๑๐. เวน จากการรบั ทองและ ตองเขาใจวาศีลธรรม มิใชเปนเพียง เงิน; คาํ สมาทาน (เฉพาะท่ตี า ง) วา ๗. ความประพฤตดิ ีงามเทาน้ัน แตรวมถึง นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นา เวรมณี สกิ ขฺ า- สมถะวิปส สนา ขนั ธ ๕ ปฏจิ จสมปุ บาท ปทํ สมาทิยามิ ๘. มาลาคนฺธวิเลปน- ไตรลกั ษณ เปน ตน ดว ย; เทียบ จรยิ ธรรม ธารณมณฺฑนวิภูสนฏานา เวรมณี ศีลวตั ร, ศลี พรต ศลี และวตั ร, ศลี และ
ศีลวิบตั ิ ๓๘๙ สกทาคามิมรรค พรต, ขอท่ีจะตองสํารวมระวังไมลวง ขางขนึ้ ; ชณุ หปกษ กเ็ รยี ก; ตรงขา มกบั ละเมิด ชอื่ วา ศลี ขอท่ีพึงถือปฏิบัติชอ่ื กัณหปกษ หรอื กาฬปก ษ วา วัตร, หลกั ความประพฤติท่ัวไปอัน ศุภวารฤกษ ฤกษง ามยามดี จะตอ งรกั ษาเปนพื้นฐานเสมอกัน ชื่อวา ศูทร ชื่อวรรณะที่ส่ี ในวรรณะสขี่ องคน ศีล ขอปฏิบัติพิเศษเพ่ือฝกฝนตนใหยิ่ง ในชมพูทวปี ตามหลกั ศาสนาพราหมณ ข้นึ ไป ชอ่ื วา วัตร จัดเปนชนชั้นต่ํา ไดแ ก พวกทาสและ ศลี วิบตั ิ ดู สลี วิบัติ กรรมกร; ดู วรรณะ ศีลอโุ บสถ คอื ศีล ๘ ท่สี มาทานรักษา เศวต สขี าว พิเศษในวนั อโุ บสถ; ดู อโุ บสถศลี เศวตฉตั ร ฉัตรขาว, รม ขาว, พระกลด ศลี าจาร ศีลและอาจาระ, การปฏิบัตติ าม ขาวซ่งึ นับวา เปน ของสูง พระวินัยบัญญัติ และมารยาทท่ัวไป; เศวตอัสดร มา สีขาว นยั หนงึ่ วา ศลี คือไมตอ งอาบตั ิปาราชิก โศก ความเศรา, ความมีใจหมนไหม, และสังฆาทิเสส อาจาระ คือไมตอง ความแหงใจ, ความรูสึกหมองไหมใจ อาบตั ิเบาตั้งแตถุลลัจจัยลงมา แหงผาก เพราะประสบความพลดั พราก ศึกษา การเรียน, การฝก ฝนปฏิบตั ิ, การ หรือสูญเสียอยางใดอยางหนึ่ง (บาลี: เลาเรียนใหรูเขาใจ และฝกหัดปฏบิ ัติให โสก; สนั สกฤต: โศก) เปนคุณสมบัติที่เกิดมีข้ึนในตนหรือให โศกศัลย ลกู ศรคือความโศก, เปน ทกุ ข ทาํ ไดท าํ เปน ตลอดจนแกไ ขปรบั ปรงุ หรอื เดอื ดรอ นเหมอื นถกู ลูกศรทิม่ แทง พัฒนาใหดีย่ิงข้ึนไปจนกวาจะสมบูรณ; โศกาลัย ความเศราเหี่ยวแหงใจและ ในการศึกษาทางพระธรรมวนิ ยั นิยมใช ความหว งใย, ทง้ั โศกเศราท้งั อาลัยหรือ รูปที่เขยี นอยา งบาลี คอื “สกิ ขา”; ดู สกิ ขา โศกเศรา ดวยอาลัย, รอ งไหส ะอึกสะอน้ื ศุกลปก ษ “ฝายขาว, ฝายสวาง” หมายถงึ (เปนคํากวไี ทยผกู ข้ึน) ส สกทาคามิผล ผลที่ไดรับจากการละ สบื เนือ่ งมาแตส กทาคามิมรรค, สกทิ า- สกั กายทฏิ ฐิ วิจกิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส คามผิ ล กเ็ ขียน กบั ทํา ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบาง ซึ่ง สกทาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุ
สกทาคามี ๓๙๐ สงสารทุกข ผล คอื ความเปน พระสกทาคาม,ี ญาณ แหงภิกษุหรือชุมนุมภิกษุ (ดูความ คือความรูเปนเหตลุ ะสังโยชนได ๓ คือ หมาย 2), ตอ มา บางทเี รยี กอยา งแรก สกั กายทิฏฐิ วจิ กิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส วา อรยิ สงฆ อยางหลังวา สมมติสงฆ กบั ทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง, 2. ชุมนมุ ภิกษหุ มหู นง่ึ ต้ังแต ๔ รปู ข้นึ สกทิ าคามิมรรค กเ็ ขยี น ไป ซ่ึงสามารถประกอบสังฆกรรมได สกทาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ ตามกําหนดทางพระวินัย ตา งโดยเปน สกทาคามิผล, สกิทาคามี กเ็ ขยี น สงฆจ ตรุ วรรคบา ง ปญ จวรรคบาง ทศ- สกสัญญา ความสําคัญวาเปนของตน, วรรคบา ง วสี ติวรรคบา ง, ถา เปนชมุ นุม ภิกษุ ๒ หรอื ๓ รปู เรียกวา คณะ ถามี นึกวาเปน ของตนเอง สกุล วงศ, เชอ้ื สาย, เผา พันธุ ภิกษรุ ปู เดียว เปน บุคคล สงกรานต การยาย คือ ดวงอาทติ ยยา ย สงฆจ ตุรวรรค สงฆพวก ๔ คอื มีภกิ ษุ ราศี ในท่ีน้ีหมายถึงมหาสงกรานตคือ ๔ รูปขึ้นไปจึงจะครบองคกาํ หนด, สงฆ พระอาทติ ยย า ยเขา สรู าศเี มษ นบั เปน เวลา จตุวรรค ก็เขียน; ดู วรรค ข้ึนปใหมอยางเกา จัดเปนนักขัตฤกษ สงฆท ศวรรค สงฆพ วก ๑๐ คอื มภี กิ ษุ ซึ่งตามสุริยคตติ กวนั ท่ี ๑๓, ๑๔, ๑๕ ๑๐ รปู ขึน้ ไป จึงจะครบองคกาํ หนด; ดู เมษายน ตามปรกติ วรรค สงคราม การรบกัน, เปนโวหารทางพระ สงฆมณฑล ดู สังฆมณฑล วินัย เรียกภิกษุผูจะเขาสูการวินิจฉัย สงฆว ีสตวิ รรค สงฆพวก ๒๐ คือ มี อธิกรณ วา เขา สสู งคราม ภกิ ษุ ๒๐ รปู ขน้ึ ไป จงึ จะครบองคก าํ หนด; สงเคราะห 1. การชว ยเหลอื , การเอ้อื ดู วรรค เฟอเกือ้ กลู ; ดู สงั คหวัตถุ 2. การรวม สงสาร 1. การเวยี นวายตายเกดิ , การ เวียนตายเวียนเกดิ ; ดู สงั สาระ 2. ใน เขา , ยน เขา, จัดเขา สงฆ หม,ู ชมุ นุม 1. หมูสาวกของพระ ภาษาไทยมกั หมายถึงรูสึกในความเดอื ด พุทธเจา เรียกวา สาวกสงฆ ดังคาํ สวด รอนหรอื ความทุกขของผูอ ืน่ (= กรณุ า); ในสังฆคุณ ประกอบดวยคูบุรุษ ๔ ดู กรุณา บุรุษบทุ คล (รายตวั บคุ คล) ๘ เริ่มแต สงสารทกุ ข ทกุ ขท ต่ี อ งเวยี นวา ยตายเกดิ , ทานผูต้ังอยูในโสดาปตติมรรค จนถึง ทุกขท่ีประสบในภาวะแหงการวายวนอยู พระอรหันต ตางจากภกิ ขสุ งฆ คือหมู ในกระแสแหง กเิ ลส กรรม และวบิ าก; ดู
สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ ๓๙๑ สตปิ ฏฐาน สังสาระ, สงั สารวัฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท สติ ความระลึกได, นึกได, ความไม สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ วังวนแหง เผลอ, การคมุ ใจไวก บั กจิ หรอื กมุ จิตไว สงสาร คอื ทองเทีย่ วเวยี นวา ยตายเกดิ กับส่ิงท่ีเก่ียวของ, จําการที่ทําและคําที่ อยูซํ้าแลวซ้ําเลา; ดู สงั สาระ, สังสารวฏั พูดแลว แมนานได (ขอ ๑ ในธรรมมี สงสารสาคร หวงนํ้าคือการเวียนวาย อปุ การะมาก ๒, ขอ ๙ ในนาถกรณ- ตายเกดิ ; ดู สังสาระ, สงั สารวฏั ธรรม ๑๐, ขอ ๓ ในพละ ๕, ขอ ๑ ใน สงสารสทุ ธิ ดู สงั สารสุทธิ โพชฌงค ๗, ขอ ๖ ในสัทธรรม ๗) สจิตตกะ มีเจตนา, เปนไปโดยต้ังใจ, สติปฏ ฐาน ธรรมเปน ท่ีตัง้ แหง สต,ิ ขอ เปนชื่อของอาบัติพวกหนึ่งที่เกิดข้ึนโดย ปฏิบัติมีสติเปนประธาน, การต้ังสติ สมุฏฐานมเี จตนา คือ ตอ งจงใจทาํ จึงจะ กําหนดพิจารณาส่ิงท้ังหลายใหรูเห็นเทา ตองอาบัติน้ัน เชน ภิกษหุ ลอนภิกษุให ทนั ตามความเปน จรงิ , การมสี ตกิ าํ กับดู กลวั ผี ตองปาจติ ตยี ขอ นเ้ี ปน สจติ ตกะ สิง่ ตา งๆ และความเปน ไปทง้ั หลาย โดย คือ ต้ังใจหลอกจึงตองปาจิตตยี แตถ า รูเทา ทันตามสภาวะของมัน ไมถกู ครอบ ไมไ ดต งั้ ใจจะหลอก ไมต อ งอาบตั ิ งําดวยความยินดียินราย ท่ีทําใหมอง สญชัย ดู สัญชยั เหน็ เพยี้ นไปตามอาํ นาจกเิ ลส มี ๔ อยา ง สดับปกรณ “เจ็ดคมั ภีร” หมายถึงคัมภรี คอื ๑. กายานุปส สนา สตปิ ฏ ฐาน การ พระอภธิ รรมทง้ั ๗ ในพระอภธิ รรมปฎ ก ต้ังสติกําหนดพิจารณากาย, การมีสติ เขยี นเตม็ วา สตั ตปั ปกรณ (ดู ไตรปฎ ก) กํากับดูรูเทาทันกายและเรื่องทางกาย แตในภาษาไทยคําน้ีมีความหมายกรอน ๒. เวทนานปุ ส สนา สตปิ ฏ ฐาน การต้ัง ลงมา เปนคําสําหรับใชในพิธีกรรม สติกําหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติ กาํ กบั ดรู เู ทา ทนั เวทนา ๓. จติ ตานปุ ส สนา เรียกกิริยาที่พระภิกษุกลาวคําพิจารณา สตปิ ฏ ฐาน การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาจติ , สังขารเมื่อจะชักผาบังสุกุลในพิธีศพเจา การมีสติกํากับดูรูเทาทันจิตหรือสภาพ นายวา สดับปกรณ ตรงกับท่ีเรยี กใน และอาการของจิต ๔. ธมั มานปุ สสนา พธิ ศี พทัว่ ๆ ไปวา บังสุกลุ (ซง่ึ ก็เปน สติปฏฐาน การต้ังสติกําหนดพิจารณา ศัพทท่ีมีความหมายกรอ นเชน เดียวกัน); ใชเ ปน คํานาม หมายถงึ พิธีสวดมาตกิ า ธรรม, การมีสติกํากับดูรูเทาทันธรรม; บงั สุกลุ ในงานศพ ปจจุบันใชเ ฉพาะศพ เรยี กสน้ั ๆ วา กาย เวทนา จติ ธรรม; ดู เจา นาย โพธปิ ก ขิยธรรม
สติวินัย ๓๙๒ สนธิ สติวินัย ระเบียบยกเอาสติข้ึนเปนหลัก สูงขึน้ ไดแกกิริยาท่ีสงฆสวดประกาศใหสมมติ สถาพร มัน่ คง, ยั่งยืน, ยนื ยง แกพ ระอรหันต วา เปนผมู สี ตเิ ตม็ ที่ เพือ่ สถติ อยู, ยนื อย,ู ตัง้ อยู ระงบั อนุวาทาธิกรณ ท่ีมีผโู จททา นดวย สถูป ส่ิงกอสรางซึ่งกอไวสําหรับบรรจุ ศีลวิบัติ หมายความวาจําเลยเปนพระ ของควรบูชา เปนอนุสรณท ่ีเตอื นใจให อรหนั ต สงฆเ หน็ วาไมเ ปน ฐานะที่จําเลย เกิดปสาทะและกุศลธรรมอื่นๆ เชน จะทําการลวงละเมิดดังโจทกกลาวหา พระสารรี กิ ธาตุ อฐั ิแหง พระสาวก หรือ จึงสวดกรรมวาจาประกาศความขอนี้ไว กระดูกแหง บุคคลท่ีนับถือ (บาลี: ถปู , เรียกวาใหสติวินัย แลวยกฟองของ สันสกฤต: สฺตปู ); ดู ถูปารหบคุ คล โจทกเสีย ภายหลังจําเลยจะถูกผูอ่ืน สทารสันโดษ ความพอใจดวยภรรยา โจทดวยอาบัติอยางน้ันอีก ก็ไมตอง ของตน, ความยินดีเฉพาะภรรยาของ พิจารณา ใหอ ธกิ รณร ะงบั ดว ยสตวิ นิ ยั ตน (ขอ ๓ ในเบญจธรรม), จัดเปน สติสงั วร สงั วรดวยสติ (ขอ ๒ ในสงั วร พรหมจรรยอยา งหนึง่ ๕) สนตพาย รอยเชือกสําหรับรอยจมูก สติสมฺโมสา อาการท่ีจะตองอาบัติดวย ควาย ท่จี มูกควาย (สน = รอย, ตพาย ลืมสติ = เชอื กทรี่ อยจมกู ควาย) (พจนานุกรม สตูป สิ่งกอสรางสําหรับบรรจุของควร เขียน สนตะพาย) บชู า นยิ มเรียก สถปู สนธิ การตออักษรท่ีอยูในตางคํา ให สเตกิจฉา อาบัติท่ียังพอเยียวยาหรอื แก เนอื่ งหรือกลนื เขา เปน อนั เดียวกนั ตาม ไขได ไดแก อาบัติอยางกลางและอยา ง หลักไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤต เบา คือตั้งแตสังฆาทิเสสลงมา; คูกับ เชน โย + อยํ = ยวฺ ายํ, ตตฺร + อยํ + อเตกจิ ฉา อตโฺ ถ = ตตรฺ ายมตโฺ ถ, อยํ + เอว + เอส สโตการี “ผมู ปี กตกิ ระทาํ สต”ิ คือ เปน ผู + อติ ิ = อยเมเวสาต;ิ แมแตค าํ ที่เอามา มีสติ เปนผูทําการอันพึงทํา ดวยสติ รวมกันดวยสมาสแลว ก็อาจจะใชวิธี หรือเปนผูทําการดวยสติที่มาพรอมดวย สนธิน้ีเช่ือมอักษรเขาดวยกันอีกช้ันหน่ึง สมั ปชัญญะทง้ั ๔; ดู สติ, สัมปชญั ญะ เชน คณุ อากร เปน คุณากร, รปู อารมณ สถลมารค ทางบก เปน รปู ารมณ, ศาสนอปุ ถมั ภ เปน สถาปนา กอสราง, ยกยอ งโดยแตงตง้ั ให ศาสนูปถมั ภ, วรโอกาส เปน วโรกาส,
สนาน ๓๙๓ สมณะ พุทธโอวาท เปน พุทโธวาท, อรุณอุทยั สภาค มีสวนเสมอกนั , เทากัน, ถูกกนั , เปน อรุโณทัย; เทยี บ สมาส เขากันได, พวกเดยี วกนั สนาน อาบน้ํา, การอาบนํ้า สภาคาบตั ิ ตองอาบัตอิ ยางเดียวกัน สนิทัสสนรปู ดูท่ี อนิทัสสนอปั ปฏฆิ รปู , สภาพ, สภาวะ ความเปนเอง, ส่งิ ทีเ่ ปน รูป ๒๘ เอง, ธรรมดา สนทิ สั สนสัปปฏฆิ รปู ดูท่ี รูป ๒๘ สภาวทุกข ทุกขที่เปนเองตามคติแหง สบง ผานุงของภิกษุสามเณร, คําเดิม ธรรมดา ไดแ ก ทกุ ขป ระจาํ สงั ขาร คอื เรียก อันตรวาสก; ดู ไตรจีวร ชาติ ชรา มรณะ สปทาจาริกังคะ องคแหงผูถือเท่ียว สภาวธรรม หลักแหงความเปน เอง, ส่ิง บิณฑบาตไปตามลําดบั บานเปน วตั ร คอื ทเ่ี ปน เองตามธรรมดาของเหตุปจ จัย รับตามลาํ ดบั บา นตามแถวเดยี วกนั ไม สภยิ ะ พระเถระผใู หญชนั้ มหาสาวก เคย รับขา มบานขามแถว, เท่ียวบณิ ฑบาตไป เปน ปรพิ าชกมากอ น ไดฟงพระพทุ ธเจา ตามตรอก ตามหองแถวเรียงลําดับ พยากรณปญหาที่ตนถาม มีความ เรื่อยไปเปนแนวเดียวกัน ไมขามไป เลือ่ มใส ขอบวช หลังจากบวชแลวไมชา เลือกรบั ท่โี นน ท่นี ่ีตามใจชอบ (ขอ ๔ ใน กไ็ ดบ รรลุพระอรหตั ธดุ งค ๑๓) สโภชนสกลุ สกลุ ทกี่ าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอย,ู สปณฑะ ผูรวมกอนขาว, พวกพราหมณ ครอบครวั ทกี่ าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอยู (หา ม หมายเอาบรุ พบดิ ร ๓ ชั้น คือ บิดา, ป,ู มใิ หภ กิ ษเุ ขา ไปนง่ั แทรกแซง ตามสกิ ขาบท ทวด ซ่ึงเปนผูควรท่ีลูกหลานเหลนจะ ท่ี ๓ แหงอเจลกวรรค ปาจติ ติยกัณฑ) เซนดว ยกอ นขา ว; คกู บั สมาโนทก สมจารี ผูประพฤตสิ มํา่ เสมอ, ประพฤติ สพรหมจารี ผปู ระพฤตพิ รหมจรรยร ว ม ถูกตอ งเหมาะสม; คกู บั ธรรมจารี กนั , เพ่ือนพรหมจรรย, เพ่ือนบรรพชิต, สมโจร เปน ใจกับโจร สมชีวิตา มีความเปนอยูพอเหมาะพอดี เพ่อื นนักบวช สภา “ที่เปนที่พูดรวมกัน”, ท่ีประชุม, คือเลี้ยงชีวิตตามสมควรแกกําลังทรัพย สถาบันหรือองคการอันประกอบดวย ท่หี าได ไมฝ ดเคอื งนัก ไมฟูมฟายนกั คณะบุคคลซึ่งทําหนาที่พิจารณาวินิจฉัย (ขอ ๔ ในทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิก- หรืออํานวยกิจการ ดวยการประชุม ธรรม ๔) ปรกึ ษาหารอื ออกความคดิ เห็นรว มกัน สมณะ “ผสู งบ” หมายถึงนกั บวชท่วั ไป
สมณกุตก ๓๙๔ สมณุทเทส, สมณุเทศ แตในพระพุทธศาสนา ทานใหความ สมณสารูป ความประพฤติอันสมควร หมายจําเพาะ หมายถงึ ผรู ะงับบาป ได ของสมณะ แกพระอริยบุคคล และผูปฏิบัติเพ่ือ สมณทุ เทส, สมณุเทศ สามเณร ระงับบาป ไดแ กผ ปู ฏิบตั ธิ รรมเพอ่ื เปน สมดงึ ส-, สมติงส- สามสิบถวน, ครบ พระอริยบุคคล สามสิบ, สามสิบเตม็ พอดี (สม [เทา , สมณกตุ ก คนทท่ี าํ อยา งสมณะ, คนแตง ตวั ถวน, พอด]ี + ตึส [สามสบิ ]) มักมาใน อยา งพระ อรรถกถาบอกวา (วนิ ย.อ.๑/๔๘๙) คําวา สมดึงสบารมี หรือสมตงิ สบารมี โกนศีรษะไวจ กุ ใชผ ากาสาวพสั ตร ผืน แปลวา บารมี ๓๐ ครบถวน หนง่ึ นุง อกี ผนื หนึง่ พาดบา อาศัยวดั อยู ในภาษาเกาท่ีมักพูดวา “บารมี กนิ อาหารเหลอื จากพระ (ทาํ นองเปน ตา สามสบิ ทัศ” นนั้ ไดใหถอื กันไปพลางวา เถน, เขยี นเตม็ อยา งบาลวี าสมณกตุ ตก) “ทศั ” แปลวา “ถว น” แตพ อจะสนั นษิ ฐาน สมณคณุ คณุ ธรรมของสมณะ, ความดที ่ี ไดว า นาจะเปนการพูดคาํ ซอ น กลา วคือ สมณะควรมี “สบิ ” ในภาษาไทย ตรงกบั คาํ พระวา “ทศั ” สมณโคดม คําที่คนทั่วไปหรือคนภาย (ทศั คอื ทศ, บาลเี ปน ทส, แปลวา สบิ ) นอกพระศาสนา นยิ มใชเ รยี กพระพทุ ธเจา และบารมที ม่ี จี าํ นวนรวมเปน ๓๐ นน้ั สมณพราหมณ สมณะและพราหมณ แทจ รงิ แลว มใิ ชว า มบี ารมี ๓๐ อยา ง แต (เคยมีการสันนิษฐานวาอาจแปลไดอีก เปน บารมสี บิ คอื ทศั ๓ ชดุ ไดแ ก ทศั - อยางหนงึ่ วา พราหมณผ เู ปน สมณะหรอื บารมี ทศั อปุ บารมี และทศั ปรมตั ถบารมี พราหมณผถู อื บวช แตหลกั ฐานไมเออ้ื ) เมอ่ื พดู วา “บารมสี ามสบิ ทศั ” จงึ คลา ย สมณวัตต ดู สมณวตั ร กบั บอกวา บารมสี ามสบิ นี้ ทวี่ า ๓๐ นนั้ สมณวตั ร หนา ทข่ี องสมณะ, กิจท่ีพึงทาํ คอื ๓ ทศั (ขอใหส งั เกตตวั อยา งขอ ความ ของสมณะ, ขอปฏบิ ัตขิ องสมณะ ในคมั ภรี ท ก่ี ลา วถงึ “สมดงึ สบารม”ี คอื สมณวสิ ยั วสิ ัยของสมณะ, ลกั ษณะที่ บารมี ๓ ทศั เชน ใน อป.อ.๑/๑๒๓ ทวี่ า เปนอยูของสมณะ, ลักษณะท่ีเปนอยู “ทสปารมที สอปุ ปารมที สปรมตถฺ ปารมนี ํ วเสน สมตสึ ปารม”ี ซง่ึ เหมอื นในภาษา ของผสู งบ สมณสัญญา ความสาํ คัญวาเปนสมณะ, ไทยพดู วา “บารมี ๓๐ ถว น คอื ๓ ทศั …”); ความกําหนดใจไววาตนเปนสมณะ, ดูบารมี ความสํานกึ ในความเปน สมณะของตน สมณทุ เทส, สมณเุ ทศ สามเณร
สมเดจ็ ๓๙๕ สมผุส สมเดจ็ เปนคํายกยอ ง หมายความวาย่งิ นิพพาน 2. ความครบถว นของสังฆ- ใหญ หรอื ประเสริฐ กรรม เชน อุปสมบท เปน ตน ที่จะทาํ สมถะ ธรรมเปนเคร่ืองสงบระงับจิต, ใหสังฆกรรมนั้นถูกตอง ใชได มีผล ธรรมยังจิตใหสงบระงับจากนิวรณูป- สมบรู ณ มี ๔ คอื ๑. วตั ถุสมบตั ิ วตั ถุ กเิ ลส, การฝก จิตใหส งบเปน สมาธิ (ขอ ถงึ พรอม เชน ผอู ปุ สมบทเปน ชายอายุ ครบ ๒๐ ป ๒. ปรสิ สมบตั ิ บรษิ ทั คือที่ ๑ ในกรรมฐาน ๒ หรอื ภาวนา ๒) สมถกัมมัฏฐาน กรรมฐานคือสมถะ, ประชมุ ถงึ พรอ ม สงฆค รบองคก าํ หนด งานฝกจิตใหสงบ;ดูกมั มฏั ฐาน, สมถะ ๓. สมี าสมบัติ เขตชมุ นมุ ถงึ พรอม เชน สมถขนั ธกะ ชอ่ื ขนั ธกะที่ ๔ แหง จลุ วรรค สีมามีนิมิตถูกตองตามพระวินัย และ ในพระวนิ ยั ปฎ ก วา ดว ยวธิ รี ะงบั อธกิ รณ ประชุมทําในเขตสีมา ๔. กรรมวาจา- สมถภาวนา การเจริญสมถกัมมัฏฐานทํา สมบัติ กรรมวาจาถึงพรอม สวด จติ ใหแนว แนเ ปนสมาธ;ิ ดู ภาวนา สมถยานกิ ผูมีสมถะเปนยาน หมายถึง ประกาศถูกตองครบถวน (ขอ ๔ อาจ แยกเปน ๒ ขอ คือเปน ๔. ญัตติสมบัติ ผเู จรญิ สมถกรรมฐาน จนไดฌ านกอ น ญัตติถึงพรอม คือคําเผดียงสงฆถูก แลวจงึ เจรญิ วปิ ส สนาตอ ตอง ๕. อนุสาวนาสมบตั ิ อนสุ าวนาถึง สมถวิธี วิธีระงับอธิกรณ; ดู อธิกรณ- พรอม คือคําหารอื ตกลงถูกตอง รวม สมถะ เปน สมบัติ ๕); เทยี บ วิบตั ิ สมถวปิ สสนา สมถะและวปิ ส สนา สมบัตขิ องอุบาสก ๕ คือ ๑. มีศรทั ธา สมนุภาสนา การสวดสมนภุ าสน, สวด ๒. มศี ีลบรสิ ุทธ์ิ ๓. ไมถ อื มงคลต่นื ขา ว ประกาศหามไมใหถ อื รัน้ การอนั มชิ อบ เช่อื กรรม ไมเ ช่อื มงคล ๔. ไมแ สวงหา สมบตั ิ ความถงึ พรอ ม, ความครบถว น, เขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๕. ความสมบรู ณ 1. สง่ิ ทไ่ี ดทถี่ งึ ดว ยด,ี เงนิ ขวนขวายในการอุปถัมภบํารุงพระพุทธ- ทองของมีคา, สิ่งท่ีมีอยูในสิทธิอํานาจ ศาสนา (ขอ ๕ แปลทบั ศพั ทว า ทาํ บพุ การ ของตน, ความพรั่งพรอมสมบูรณ, ในพระศาสนาน,ี้ แบบเรยี นวา บาํ เพญ็ สมบัติ ๓ ไดแ ก มนุษยสมบตั ิ สมบตั ิใน บญุ แตใ นพุทธศาสนา); ดู บุพการ ข้ันมนุษย สวรรคสมบัติ สมบัติใน สมผุส เปนคําเฉพาะในโหราศาสตร สวรรค (เทวสมบัติ หรอื ทิพยสมบัติ ก็ หมายถึงการคํานวณชนดิ หนึ่ง เกีย่ วกบั เรยี ก) และ นิพพานสมบัติ สมบตั ิคอื โลกและดาวนพเคราะหเล็งรวมกัน; ดู
สมพงศ ๓๙๖ สมสีสี มธั ยม สมมติสจั จะ จรงิ โดยสมมติ คอื โดย สมพงศ การรวมวงศหรือตระกูลกัน, ความตกลงหมายรูรวมกันของมนุษย รว มวงศก นั ได ลงกันได เชน นาย ก. นาย ข. ชาง มา มด โตะ สมเพช ในภาษาไทย ใชใ นความหมายวา หนังสือ พอ แม ลูก เพอื่ น เปน ตน ซ่งึ สลดใจ ทาํ ใหเกิดความสงสาร แตตาม เม่ือกลาวตามสภาวะ หรือโดยปรมตั ถ หลักภาษาตรงกบั สังเวช แลว กเ็ ปน เพยี งสงั ขาร หรอื นามรปู หรอื สมโพธิ การตรัสรเู ปน พระพุทธเจา ขนั ธ ๕ เทา นัน้ ; ตรงขา มกบั ปรมตั ถสัจจะ สมโภค การกนิ รว ม; ดู กินรวม สมรภมู ิ ท่ีรวมตาย, สนามรบ สมโภช งานฉลองในพธิ ีมงคลเพื่อความ สมสีสี [สะ-มะ-สี-สี] บุคคลผสู ิ้นอาสวะ รืน่ เรงิ ยินดี พรอ มกับสิ้นชวี ติ คือ บรรลอุ รหตั ตผล สมภพ การเกิด ในขณะเดียวกบั ทีส่ ิน้ ชวี ติ ; นี้เปน ความ สมภาร เครื่องประกอบ, ความดีหรือ หมายหลกั ตามพระบาลี แตใ นมโนรถ- ความชั่วที่ประกอบหรือสะสมไว (เชน ปูรณี อรรถกถาแหงองั คุตตรนิกาย ให ในคําวา สมภารกรรม และสมภาร- ความหมาย สมสสี ี วา เปน การสนิ้ อาสวะ ธรรม), สมั ภาระ; ในภาษาไทย ใชเ ปน พรอ มกับสิน้ อยางอ่นื อนั ใดอันหนง่ึ ใน ๔ คาํ เรียกพระทเี่ ปน เจาอาวาส; ดู สมั ภาระ สมมติ การรรู วมกนั , การตกลงกนั , การ อยางและแสดงสมสีสีไว ๔ ประเภท มีมตริ ว มกนั หรือยอมรบั รว มกนั ; การ คอื ผสู ้นิ อาสวะพรอมกบั หายโรค เรยี ก วา โรคสมสสี ี ผูส้นิ อาสวะพรอ มกับที่ ที่สงฆประชุมกันตกลงมอบหมายหรือ เวทนาซ่ึงกําลังเสวยอยูสงบระงับไป แตงตั้งภิกษุใหทํากิจหรือเปนเจาหนาที่ เรียกวา เวทนาสมสีสี ผูส้ินอาสวะ ในเรอื่ งอยางใดอยางหนง่ึ เชน สมมติ พรอมกับการสิ้นสุดของอิริยาบถอันใด ภกิ ษุเปนผใู หโ อวาทภิกษุณี สมมติภิกษุ อันหนง่ึ เรยี กวา อริ ิยาบถสมสีสี ผสู ิ้น เปน ภัตตุเทศก เปนตน ; ในภาษาไทย อาสวะพรอมกับการสิ้นชีวิต เรียกวา ใชในความหมายวา ตกลงกันวา ตางวา ชวี ติ สมสสี ;ี อยา งไรกด็ ี ในอรรถกถาแหง สมมตเิ ทพ เทวดาโดยสมมติ คือโดย ปคุ คลบญั ญตั ิ เปน ตน แสดงสมสสี ีไว ความตกลงหรือยอมรับรวมกันของ ๓ ประเภท และอธบิ ายตา งออกไปบา ง มนุษย ไดแ ก พระราชา พระราชเทวี ไมขอนํามาแสดงในท่ีนี้ เพราะจะทาํ ให พระราชกุมาร (ขอ ๑ ในเทพ ๓) ฟน เฝอ
สมงั คี ๓๙๗ สมาธิ ๓ สมงั คี ผูพรัง่ พรอ ม, ผพู รอ ม (ดวย…), ผู โดยมีคําอื่นประกอบขยายความ เชน ประกอบ (ดว ย…); มักใชเปนบททา ยใน กายสมาจาร วจีสมาจาร ปาปสมาจาร คําสมาส เชน กศุ ลสมงั คี (ผปู ระกอบ เปนตน ดวยกุศล) โทสสมงั คี (ผูประกอบดว ย สมาทปนา การใหสมาทาน หรอื ชวนให โทสะ) มรรคสมงั คี (ผูประกอบดวย ปฏิบัติ คืออธิบายใหเห็นวาเปนความ มรรค คือ ต้งั อยูในมรรค เชน ในโสดา จริง ดีจริง จนใจยอมรับที่จะนําไป ปต ติมรรค) ผลสมงั คี (ผูประกอบดวย ปฏิบตั ิ; เปน ลักษณะอยา งหนึง่ ของการ ผล คอื ไดบรรลผุ ล เชน ถึงโสดาปตต-ิ สอนท่ีดี (ขอ กอ นคือ สันทัสสนา, ขอ ตอ ไปคอื สมุตเตชนา) ผล เปนโสดาบัน เปน ตน ) สมนั ตจักขุ จักษุรอบคอบ, ตาเห็นรอบ สมาทาน การถือเอารับเอาเปน ขอ ปฏบิ ตั ,ิ ไดแกพระสัพพัญุตญาณ อันหยั่งรู การถอื ปฏบิ ัติ เชน สมาทานศีล คอื รับ ธรรมทุกประการ เปน คณุ สมบตั พิ เิ ศษ เอาศลี มาปฏิบัติ ของพระพทุ ธเจา (ขอ ๕ ในจกั ขุ ๕) สมาทานวตั ร ดู ข้ึนวัตร สมันตปาสาทิกา ช่ือคัมภีรอรรถกถา สมาทานวิรัติ การเวนดวยการสมาทาน อธบิ ายความในพระวนิ ยั ปฎ ก พระพทุ ธ- คือ ไดสมาทานศีลไวกอนแลว เมื่อ โฆสาจารยแปลและเรียบเรียงขึ้นเปน ประสบเหตุทีจ่ ะใหทําความชั่ว ก็งดเวน ภาษาบาลี เมอื่ พ.ศ. ใกลจะถงึ ๑๐๐๐ ไดตามทสี่ มาทานนน้ั (ขอ ๒ ในวริ ตั ิ ๓) โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหฬท่ีมีอยู สมาธิ ความมีใจตั้งมัน่ , ความตั้งม่นั แหง กอ น คอื ใชค มั ภรี ม หาอฏั ฐกถา เปน หลกั จิต, การทําใหใ จสงบแนว แน ไมฟ ุงซา น, พรอมทั้งปรกึ ษาคมั ภรี มหาปจ จรี และ ภาวะที่จิตต้ังเรียบแนวอยูในอารมณคือ กุรุนที เปน ตน ดว ย; ดู โปราณัฏฐกถา, สิ่งอันหนึ่งอันเดียว, มกั ใชเ ปนคาํ เรยี ก อรรถกถา งา ยๆ สาํ หรบั อธจิ ติ ตสกิ ขา; ดู เอกคั คตา, สมยั คราว, เวลา; ลทั ธ;ิ การประชมุ ; อธิจิตตสิกขา (ขอ ๒ ในไตรสกิ ขา, ขอ การตรัสรู ๔ ในพละ ๕, ขอ ๖ ในโพชฌงค ๗) สมาคม การประชุม, การเขารว มพวก สมาธิ ๒ คือ ๑. อุปจารสมาธิ สมาธิจวน เจยี น หรือสมาธิเฉียดๆ ๒. อปั ปนา- รว มคณะ สมาจาร ความประพฤติทด่ี ี; มกั ใชใ น สมาธิ สมาธแิ นว แน ความหมายทเี่ ปน กลางๆ วา ความประพฤติ สมาธิ ๓ คือ ๑. สุญญตสมาธิ ๒.
สมาธกิ ถา ๓๙๘ สมานตั ตตา อนมิ ติ ตสมาธิ ๓. อัปปณิหิตสมาธิ; อกี อาํ นาจของราคะ หรอื โลภะ โทสะ และ หมวดหนึ่ง ไดแก ๑. ขณกิ สมาธิ ๒. โมหะ สวนคนที่จะมีสมานฉันทใ นทางดี อุปจารสมาธิ ๓. อัปปนาสมาธิ เบื้องแรกมองเห็นดวยปญญาแลววา สมาธิกถา ถอยคําท่ีชักชวนใหทําใจให กรรมนั้นดีงามเปนประโยชนมีเหตุผล สงบตั้งม่ัน (ขอ ๗ ในกถาวตั ถุ ๑๐) ควรทาํ จงึ เกิดฉนั ทะคอื ความพอใจใฝ สมาธิขันธ หมวดธรรมจําพวกสมาธิ ปรารถนาทีจ่ ะทาํ โดยเขาใจตรงกัน และ เชน ฉนั ทะ วิริยะ จติ ตะ ชาคริยานุโยค พอใจเหมือนกัน รวมดว ยกัน; ดู ฉนั ทะ สมานลาภสีมา แดนมีลาภเสมอกัน ได กายคตาสติ เปน ตน สมานกาล เวลาปจจบุ นั แกเ ขตทีส่ งฆต้ังแต ๒ อาวาสขนึ้ ไปทาํ สมานฉนั ท มฉี นั ทะเสมอกนั , มีความ กตกิ ากนั ไววา ลาภเกดิ ขน้ึ ในอาวาสหนงึ่ พอใจรวมกัน, พรอมใจกัน, มีความ สงฆอีกอาวาสหนึ่งมีสวนไดรับแจก ตองการที่จะทําการอยางใดอยางหน่ึง ดว ย; ดู กติกา ตรงกันหรือเสมอเหมือนกัน ในทางท่ี สมานสังวาส มีธรรมเปนเครื่องอยูร วม รายหรือดกี ไ็ ด, ในทางรา ย เชน หญิง เสมอกัน, ผูรว มสังวาส หมายถึง ภิกษุ- และชายที่มีสมานฉันทในการประกอบ สงฆผูสามัคคีรวมอุโบสถสังฆกรรมกัน; กาเมสมุ ิจฉาจาร (เปนตวั อยา งทที่ า นใช เหตุใหภิกษุผูแตกกันออกไปแลวกลับ ในการอธบิ ายบอยทสี่ ุด) และหมูค นราย เปน สมานสังวาสกันไดอกี มี ๒ อยา ง ทม่ี ีสมานฉันทใ นการทําโจรกรรม สว น คือ ๑. ทาํ ตนใหเปน สมานสงั วาสเอง ในทางดี เชน หมูค นดีมีสมานฉันทท ีจ่ ะ คือ สงฆปรองดองกันเขาได หรอื ภิกษุ ไปทาํ บุญรว มกนั เชน ไปจดั ปรับถนน นนั้ แตกจากหมแู ลว กลบั เขา หมูเ ดิม ๒. หนทาง สรางสะพาน ขดุ สระ ปลูกสวน สงฆระงับอุกเขปนียกรรมที่ลงโทษภิกษุ สรางศาลาพักรอน ใหทาน รักษาศีล น้ัน แลว รับเขาสังวาสตามเดมิ (ชา.อ.๑/๒๙๙ เปนตวั อยา งเดน) เด็กกลุมหนงึ่ สมานสังวาสสีมา แดนมีสังวาสเสมอ มีสมานฉนั ทท ีจ่ ะบรรพชา ภิกษุหลายรูป กัน, เขตที่กําหนดความพรอมเพรียง มีสมานฉันทที่จะถือปฏิบัติธุดงคขอน้ัน และสิทธิในการเขาอุโบสถปวารณาและ ขอ น,้ี คนผมู สี มานฉนั ทใ นทางรา ยนนั้ ไม สงั ฆกรรมดวยกนั ตอ งใชป ญ ญาไตรต รองพจิ ารณา เพยี ง สมานัตตตา “ความเปนผูมีตนเสมอ” ชอบใจอยากทําก็ประกอบกรรมไปตาม หมายถึง การทําตวั ใหเขา กนั ได ดว ย
สมานาจรยิ กะ ๓๙๙ สมฏุ ฐาน การรว มสขุ รวมทุกข ไมถอื ตัว มีความ ธรรม + ราชา เปน ธรรมราชา, อาณา เสมอภาค และวางตัวเหมาะสม (ขอ ๔ + จกั ร เปน อาณาจักร, กศุ ล + เจตนา ในสังคหวัตถุ ๔) เปน กุศลเจตนา; สมาสตางกับสนธิ สมานาจรยิ กะ ภิกษุผูรว มพระอาจารย กลาวคือ สนธิ เอาคํามาตอกนั โดย เดยี วกัน เชื่อมตัวอักษรใหอานหรือเขียนกลม สมานาสนิกะ ผูร ว มอาสนะกนั หมายถงึ กลนื เขา กนั เปนคําเดียว เชน ปฺจ + ภิกษุผูมีพรรษารุนราวคราวเดียวกัน อเิ ม เปน ปจฺ ิเม, แต สมาส เอาคํามา หรือออนกวา กันไมถงึ ๓ พรรษาน่ังรว ม ตอกัน โดยเชอื่ มความหมายใหเนื่อง อาสนะเสมอกนั ได; เทยี บ อสมานาสนกิ ะ เปนคําเดียวกัน เชน ปจฺ + นที เปน สมานุปชฌายกะ ภิกษุผูรวมพระ ปฺจนที; เทียบ สนธิ สมจุ จยขันธกะ ชอื่ ขันธกะท่ี ๓ ในจลุ อุปชฌายะเดียวกนั สมาโนทก ผรู ว มนํ้า, ตามธรรมเนียม วรรคแหงพระวินัยปฎ ก วาดว ยวฏุ ฐาน- พราหมณ หมายถงึ บรุ พบิดรพนจาก วธิ ีบางเร่อื ง ทวดขึ้นไปก็ดี ญาติผมู ไิ ดส ืบสายตรงก็ สมุจเฉท การตดั ขาด ดี ซึ่งเปนผูจะพึงไดรับน้ํากรวด; คูกับ สมุจเฉทปหาน การละกิเลสไดโดยเด็ด สปณ ฑะ ขาดดวยอริยมรรค สมาบัติ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพึงเขาถึง; สมุจเฉทวิมตุ ติ หลดุ พนดว ยตดั ขาด ได สมาบัตมิ ีหลายอยา ง เชน ฌานสมาบตั ิ แก พน จากกิเลสดวยอรยิ มรรค กิเลส ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหารสมาบัติ เหลาน้ันขาดเด็ดไป ไมกลับเกิดข้ึนอีก เปน ตน สมาบตั ทิ ก่ี ลา วถงึ บอ ยคอื ฌาน- เปนโลกุตตรวมิ ุตติ (ขอ ๓ ในวิมุตติ ๕) สมาบตั ิ กลาวคือ สมาบัติ ๘ อนั ไดแ ก สมจุ เฉทวริ ัติ การเวน ดว ยตัดขาด หมาย รปู ฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ถา เพิ่ม ถึงการเวนความช่ัวไดเด็ดขาดของพระ นิโรธสมาบตั ิ ตอ ทายสมาบัติ ๘ น้ี รวม อรยิ เจา เพราะไมม ีกเิ ลสทจี่ ะเปนเหตุให เรยี กวา อนุปุพพวหิ ารสมาบตั ิ ๙ ทาํ ความชัว่ น้ันๆ (ขอ ๓ ในวิรัติ ๓) สมาส [สะ-หฺมาด] การนําเอาศัพท ๒ สมฏุ ฐาน ทเ่ี กดิ , ทีต่ ั้ง, เหตุ; ทางท่ีเกิด ศัพทขึ้นไปมาตอรวมกันโดยมีความ อาบัติ โดยตรงมี ๔ คือ ๑. ลาํ พงั กาย หมายเช่ือมโยงเปนคําเดียว ตามหลัก ๒. ลําพังวาจา ๓. กายกับจิต ๔. วาจา ไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤต เชน กบั จิต และทีค่ วบกนั อีก ๒ กค็ อื ๑.
สมตุ เตชนา ๔๐๐ สรณคมนอปุ สัมปทา กายกับวาจา ๒. กายกับวาจากบั ทง้ั จิต ตา งวตั ถกุ นั (เชน กายสงั สคั คะกม็ ี ทฏุ - สมตุ เตชนา การทําใหอาจหาญ คือเราใจ ลุ ลวาจากม็ ี สัญจรติ ตะกม็ ี) มีวนั ปด ใหแกลวกลา ปลุกใจใหคึกคัก เกิด เทา กนั บาง ไมเทา กันบา ง ประมวลเขา ความกระตือรือรน มีกําลังใจแข็งขัน ดว ยกัน อยปู รวิ าสรวมเปน คราวเดยี ว ม่ันใจท่ีจะทําใหสําเร็จ ไมกลัวเหน็ด สยมั ภู พระผเู ปน เอง คอื ตรสั รไู ดเ อง โดย เหนื่อยหรือยากลําบาก; เปนลักษณะ ไมมใี ครสงั่ สอน หมายถงึ พระพุทธเจา อยา งหนง่ึ ของการสอนท่ีดี (ขอกอ นคอื สยัมภญู าณ ญาณของพระสยมั ภู, ปรชี า สมาทปนา, ขอ สดุ ทา ยคอื สมั ปหงั สนา) หยั่งรูของพระสยัมภู สมทุ ยั เหตใุ หเ กิดทุกข ไดแ ก ตัณหา คอื สยามนิกาย 1. นิกายสยาม หมายถงึ ความทะยานอยาก เชน อยากไดน่นั ได พวกพระไทย เรยี กชื่อโดยสญั ชาติ 2. ดู นี่ อยากเปนโนน เปนนี่ อยากไมเปนโนน สยามวงศ เปน น่ี (ขอ ๒ ในอรยิ สัจจ ๔); ดู ตัณหา สยามวงศ ชอ่ื นกิ ายพระสงฆลงั กาทบี่ วช สโมธานปริวาส ปริวาสแบบประมวลเขา จากพระสงฆสยาม (คือพระสงฆไทย) ดวยกัน คือปริวาสที่ภิกษุตองอาบัติ ในสมัยอยธุ ยา ซง่ึ พระอบุ าลีเปน หวั หนา สงั ฆาทเิ สสตา งคราว มจี าํ นวนวนั ปด ตา ง ไปประดษิ ฐาน ใน พ.ศ. ๒๒๙๖ กนั บา ง ไมต า งบา ง ปรารถนาจะออกจาก สรณะ ทพี่ ึ่ง, ท่ีระลึก อาบตั นิ น้ั จงึ อยปู รวิ าสโดยประมวลอาบตั ิ สรณคมน การถงึ สรณะ, การยึดเอาเปน และราตรเี ขา ดว ยกนั จาํ แนกเปน ๓ อยา ง ทพ่ี ่งึ , การยึดเอาเปน ทร่ี ะลกึ ; ดู ไตร- คือ ๑. โอธานสโมธาน สําหรับอาบตั ิ สรณคมน, รัตนตรัย มากกวาหน่ึงแตปดไวนานเทากัน เชน สรณคมนอปุ สมั ปทา วธิ อี ปุ สมบทดว ย ตอ งอาบตั ิ ๒ คราว ปด ไวค ราวละ ๕ วนั การเปลง วาจาถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม ประมวลเขา ดว ยกัน อยูปริวาส ๕ วนั และพระสงฆ เปน สรณะ เปน วธิ ที พี่ ระ ๒. อคั ฆสโมธาน สําหรบั อาบตั ิมากกวา พุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวกใช หนึ่งและปดไวนานไมเทากัน เชน ตอง อุปสมบทกุลบุตรในตอนปฐมโพธิกาล อาบัติ ๓ คราว ปด ไว ๓ วนั บาง ๕ วนั ตอมาเม่ือพระพุทธเจาทรงอนุญาตการ บาง ๗ วนั บาง ประมวลเขาดว ยกันอยู อปุ สมบทดว ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมแลว การ ปริวาสเทาจาํ นวนวันทีม่ ากท่ีสุด (คือ ๗ บวชดว ยสรณคมน กใ็ ชส าํ หรบั บรรพชา วัน) ๓. มสิ สกสโมธาน สาํ หรบั อาบตั ทิ ่ี สามเณรสบื มา; ตสิ รณคมนปู -สมั ปทา ก็
สรณตรยั ๔๐๑ สรภัญญะ เรยี ก; ดู อปุ สมั ปทา ไพเราะ นมุ นวล ชวนฟง มาเปน ส่ือ เพือ่ สรณตรยั ทพ่ี งึ่ ทง้ั สาม คอื พระพทุ ธ พระ นาํ ธรรมทมี่ อี ยเู ปน หลกั หรอื ทเี่ รยี บเรยี ง ธรรม พระสงฆ; ดู รตั นตรยั ไวดีแลว ออกไปใหถึงใจของผูสดับ, สรทะ, สรทกาล, สรทฤด,ู สรทสมยั สรภัญญะเปนวิธีกลาวธรรมเปนทํานอง ฤดูทายฝน, ฤดูสารท, ฤดูใบไมรวง ใหมีเสียงไพเราะนาฟงในระดับที่เหมาะ (แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๐ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ สม ซง่ึ พระพทุ ธเจาทรงอนุญาตแกภิกษุ เดอื น ๑๒) เปน ฤดทู มี่ สี ภาพอากาศสดใส ทั้งหลาย ตามเรอื่ งวา (วนิ ย.๗/๑๙–๒๑/๘-๙) ยามฝนตก กเ็ ปน ฝนเมด็ โต โดยทวั่ ไป ครั้งหนึ่ง ทเี่ มอื งราชคฤห มีมหรสพบน อากาศโปรง แจม ใส ปราศจากเมฆหมอก ยอดเขา (คริ คั คสมชั ชะ) พวกพระฉัพ- ดวงอาทติ ยล อยเดน แผดแสงกลา ทอ ง พัคคียไปเที่ยวดู ชาวบานติเตียนวา ฟา สวา งแจม จา ยามราตรี ดาวพระศกุ ร ไฉนพระสมณะศากยบุตรจึงไดไปดูการ สองแสงสกาว มีพุทธพจนต รัสถึงบอย ฟอนรํา ขับรอง และประโคมดนตรี ครงั้ ในขอ ความอปุ มาอปุ ไมยตา งๆ; ดู เหมือนพวกคฤหัสถผูบริโภคกาม เม่อื มาตรา ความทราบถึงพระพุทธเจา จึงไดทรง สรภงั คะ นามของศาสดาคนหนงึ่ ในอดตี ประชุมสงฆ และบัญญัติสิกขาบทมใิ ห เปน พระโพธสิ ตั ว มคี ณุ สมบตั คิ อื เปน ผู ภิกษุไปดูการฟอนรํา ขับรอง และ ปราศจากราคะในกามท้ังหลาย ได ประโคมดนตรี, อีกคราวหนง่ึ พวกพระ ประกาศคาํ สอน มศี ษิ ยจ าํ นวนมากมาย ฉัพพัคคียน ั้น สวดธรรมดวยเสียงเอ้อื น สรภญั ญะ [สะ-ระ-พนั -ยะ, สอ-ระ-พนั -ยะ] ยาวอยางเพลงขับ ชาวบานติเตียนวา “การกลาว[ธรรม] ดวยเสียง” (หรือ ไฉนพระสมณะศากยบุตรเหลานี้จึงสวด “[ธรรม] อนั พงึ กลา วดว ยเสยี ง”) คือ ใช ธรรมดวยเสียงเอ้ือนยาวเปนเพลงขับ เสียงเปนเครื่องกลาวหรือบอกธรรม เหมือนกับพวกเรา ความทราบถึงพระ หมายความวา แทนท่ีจะกลาวบรรยาย พุทธเจา ก็ทรงประชุมสงฆช้ีแจงโทษ อธิบายธรรมดวยถอยคาํ อยางท่ีเรียก ของการสวดเชน นน้ั และไดท รงบัญญตั ิ วา “ธรรมกถา” กเ็ อาเสยี งท่ตี ้ังใจเปลง มิใหภิกษุสวดธรรมดวยเสียงเอ้ือนยาว ออกไปอยางประณีตบรรจง ดวยจิต อยางเพลงขับ, ตอมา ภกิ ษุทั้งหลายขดั เมตตา และเคารพธรรม อันชัดเจน จิตของใจในสรภัญญะ จึงกราบทูล เรยี บรนื่ กลมกลนื สมา่ํ เสมอ เปน ทาํ นอง ความแดพระพุทธเจา พระองคตรัสวา
สรภญั ญะ ๔๐๒ สรภัญญะ “ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตสรภัญญะ” อักขระเสยี คอื ผดิ พลาดไป สรภัญญะมี (อนชุ านามิ ภิกขฺ เว สรภฺ ํ) ลักษณะสาํ คัญท่วี า ตองไมทําใหอ ักขระ ผิดพลาดคลาดเคล่ือน แตใหบทและ มี เ ร่ื อ ง ร า ว ม า ก ห ล า ย ที่ แ ส ด ง ว า พยญั ชนะกลมกลอม วา ตรงลงตวั ไม สรภญั ญะนเ้ี ปน ทน่ี ยิ มในพทุ ธบรษิ ทั ดงั คลุมเครือ ไพเราะ แตไมม วี ิการ (อาการ ตัวอยางเร่ืองท่ีเก่ียวของกับพระพุทธเจา ผิดแปลกหรอื ไมเหมาะสม) ดาํ รงสมณ- วา (วนิ ย.๕/๒๐/๓๓; ข.ุ อ.ุ ๒๕/๑๒๒/๑๖๕) เมอ่ื สารูป ครั้งพระโสณะกุฏิกัณณะ ชาวถ่ินไกล ชายแดนในอวนั ตที กั ขณิ าบถ เพงิ่ บวชได โดยนยั ทก่ี ลา วมา จงึ ถอื วา สรภญั ญะ ๑ พรรษา ก็ลาพระอปุ ช ฌายเ ดินทางมา เปนวิธีแสดงและศึกษาหรือสอนธรรม เฝาทพ่ี ระเชตวนารามในกรงุ สาวตั ถี พอ อีกอยางหนึ่ง เพ่ิมจากวิธีอื่น เชน ผานราตรแี รกไดพ ักผอนมาจนตื่น ใกล ธรรมกถา และการถามตอบปญหา, รุงสวาง พระพุทธเจาตรัสใหเธอกลาว บางทีก็พูดอยางกวา งๆ รวมสรภญั ญะ ธรรมตามถนัด (ดังจะทรงดูวาเธอได เขา เปนธรรมกถาอยางหนึง่ ดงั ท่ีคมั ภีร ศกึ ษาเลา เรยี นมคี วามรมู าเพียงใด) พระ ยคุ หลงั ๆ บางแหงบนั ทึกไวถึงธรรมกถา โสณะกุฏิกัณณะไดกลาวพระสูตรท้ัง ๒ แบบ คอื แบบท่ี ๑ ภกิ ษุรปู แรกสวด หมดในอัฏฐกวัคค (๑๖ สูตร, ขุ.สุ.๒๕/ ตัวคาถาหรือพระสูตรเปนสรภัญญะให ๔๐๘–๔๒๓/๔๘๔–๕๒๓) เปนสรภัญญะ จบ จบไปกอน แลวอีกรูปหน่ึงเปนธรรม- แลว พระพุทธเจาทรงอนุโมทนา กถึกกลาวธรรมอธิบายคาถาหรือพระ ประทานสาธกุ ารวา เธอไดเ รยี นมาอยา งดี สูตรท่ีรูปแรกสวดไปแลวนั้นใหพิสดาร เจนใจเปน อยา งดี และทรงเนอ้ื ความไว แบบนเ้ี รยี กวา สรภาณธรรมกถา และ ถูกถวนดี อีกทั้งเปนผูมีวาจางาม แบบท่ี ๒ สวดพระสตู รเปน ตนนัน้ ไป สละสลวย คลอง ไมพลาด ทาํ อัตถะให อยางเดียวตลอดแตตนจนจบ เรียกวา แจมแจง, ในคัมภรี บางแหง กลา ววา สร- สรภัญญธรรมกถา (สํ.ฏี.๑/๓๙/๘๙); ภญั ญะมวี ธิ หี รอื ทาํ นองสวดถงึ ๓๒ แบบ สรภัญญะน้ี เม่ือปฏิบัติโดยชอบ ตั้ง จะเลอื กแบบใดกไ็ ดต ามปรารถนา (อง.ฏ.ี เจตนากอปรดวยเมตตา มคี วามเคารพ ๓/๔๒๑/๙๕) แตส รภญั ญะนี้มใิ ชก ารสวด ธรรม กลาวออกมา กเ็ ปนทัง้ ธรรมทาน เอื้อนเสียงยาวอยางเพลงขับ (อายตกะ และเปนสัทททาน (ใหทานดวยเสียง คีตสร) ท่ีทําเสียงยาวเกินไปจนทําให หรือใหเสียงเปนทาน) พรอมท้ังเปน
สรภู ๔๐๓ สวรรคต เมตตาวจีกรรม เขาแลวใหภิกษุทั้งหลายจับตามลําดับ ในภาษาไทย เรียกทาํ นองอยางทส่ี บื พรรษากันมา หรือเขียนเลขหมายไวท่ี กันมาในการสวดคาถาหรือคําฉันทวา ของจาํ นวนหนึ่ง ภิกษจุ ับไดส ลากของผู “สรภญั ญะ” คอื สรภญั ญะกลายเปนช่อื ใดกไ็ ดร ับอาหารของทายกน้ัน; ฉลาก ก็ ของทาํ นองหนงึ่ ทใ่ี ชใ นการสวดสรภญั ญะ เรียก สรภู แมน้าํ ใหญส ายสําคญั ลาํ ดบั ท่ี ๔ ใน สลากภัต อาหารถวายตามสลาก หมาย มหานที ๕ ของชมพทู วปี ไหลผา นเมือง ถึงเอาสงั ฆภตั อนั ทายกเขา กนั ถวาย ตา ง สาํ คญั คอื สาเกต, ปจ จบุ ัน สรภูไมเ ปน คนตางจัดมา เปนของตา งกัน เขามกั ทาํ ท่ีรูจักท่ัวไป มีช่ือในภาษาสันสกฤตวา ในเทศกาลท่ีผลไมเผล็ดแลวถวายพระ สรยู และไหลเขาไปรวมกับแมน้ํา ดว ยวธิ ีจบั สลาก; ดู สลาก Ghaghara ซ่ึงเปนแควหนง่ึ ของแมน าํ้ สวนขางปลายท้งั สอง อดีต กบั อนาคต คงคา จงึ เรยี กชอ่ื รวมเปน Ghaghara สวนทามกลาง ในประโยควา “ไมต ิดอยู ไปดว ย; ดู มหานที ๕ ในสวนทา มกลาง” ปจจบุ นั สรร เลอื ก, คดั สวนานุตตริยะ การสดับที่ยอดเยี่ยม สรรค สราง เชน ไดสดับธรรมของพระพุทธเจา (ขอ สรรพ ทงั้ ปวง, ทัง้ หมด, ทุกสงิ่ ๒ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) สรรพางค ทุกๆ สวนแหง รางกาย, ราง สวรรค แดนอันแสนดีเลิศลํ้าดวยกาม กายทกุ ๆ สว น คณุ ๕, โลกของเทวดา ตามปกติหมาย สรรเพชญ ผูรูทั่ว, ผูรูทุกสิ่งทุกอยาง ถึงกามาพจรสวรรค (สวรรคท่ยี งั เกี่ยว หมายถึงพระพทุ ธเจา (= สพั พัญู) ขอ งกบั กาม) ๖ ชัน้ คือ จาตมุ หาราชกิ า สรีระ รางกาย ดาวดงึ ส ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปร- สรรี ยนต กลไกคือรา งกาย นมิ มติ วสวัตดี สรีราพยพ สว นของรางกาย, อวยั วะใน สวรรคต “ไปสสู วรรค” คอื ตาย (ใชส าํ หรบั รางกาย พระเจาแผนดิน สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี สลาก เครื่องหมายหรือวัตถุท่ีใชในการ สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระ เสย่ี งโชค เชน สลากภัต กไ็ ดแกอาหาร ยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่เขาถวายสงฆโดยเขียนชื่อเจาภาพลง และพระบรมราชวงศที่ทรงไดรับพระ ในกระดาษใบละชื่อ มวนรวมคละกัน ราชทานฉตั ร ๗ ช้นั )
สวสั ดิ์,สวสั ดี ๔๐๔ สหธรรมกิ สวัสดิ,์ สวัสดี ความดงี าม, ความเจรญิ เริ่มข้ึนเอง จึงมีกําลังออน; ตรงขามกับ รุง เรือง, ความปลอดโปรง , ความปลอด อสงั ขาริก สหคตทุกข ทุกขไ ปดวยกนั , ทุกขก าํ กบั ภัยไรอ ันตราย สวสั ดมิ งคล มงคล คือ ความสวสั ดี ไดแกทุกขท่ีพวงมาดวยกันกับผลอัน สวากขาตธรรม ธรรมทพ่ี ระผมู ีพระภาค ไพบลู ย มลี าภ ยศ สรรเสรญิ สขุ ตรสั ไวดแี ลว เปน ตน แตล ะอยา งยอ มพวั พนั ดว ยทกุ ข สวากขาตนิยยานิกธรรม ธรรมที่พระ สหชาต, สหชาติ “ผเู กดิ รว มดว ย” หมาย พทุ ธเจา ตรสั ไวด ีแลว อันนาํ ผปู ระพฤติ ถงึ บคุ คล (ตลอดจนสตั วแ ละสงิ่ ของ) ที่ ตามออกไปจากทุกข เกดิ รว มวนั เดอื นปเ ดยี วกนั อยางเพลา สฺวากฺขาโต (พระธรรมอันพระผูมีพระ หมายถงึ ผเู กิดรว มปกัน; ตาํ นานกลา ว ภาค) ตรัสดีแลว คอื ตรสั ไวเปน ความ วา เม่ือเจาชายสิทธัตถะประสูติน้ัน จริง ไมว ิปรติ งามในเบ้อื งตน งามใน มีสหชาต ๗ คือ พระมารดาของเจาชาย ทามกลาง และงามในท่ีสุด สัมพันธ ราหลุ (เจา หญงิ ยโสธรา หรอื พมิ พา) พระ สอดคลองกันทั่วตลอด ประกาศ อานนท นายฉนั นะ อาํ มาตยก าฬทุ ายี มา พรหมจริยะคือทางดําเนินชีวิตอัน กณั ฐกะ ตน มหาโพธ์ิ และขมุ ทรพั ยท งั้ ประเสริฐ พรอมทั้งอรรถ พรอมท้ัง ๔ (นิธีกมุ ภ)ี พยัญชนะ บริสุทธ์บิ ริบรู ณสิ้นเชงิ (ขอ สหชาตธรรม ธรรมทเี่ กดิ พรอ มกัน สหชวี ินี คําเรยี กแทนคาํ วา สทั ธวิ หิ ารินี ๑ ในธรรมคณุ ๖) สวาธยาย ดู สาธยาย ของภกิ ษณุ ี ทง้ั ๒ คาํ นีแ้ ปลวา “ผอู ยู สวญิ ญาณกะ สงิ่ ที่มวี ญิ ญาณ ไดแกสตั ว รวม” ตรงกับสัทธิวิหาริกในฝายภิกษุ; ตา งๆ เชน แพะ แกะ สกุ ร โค กระบอื ศษิ ยของ ปวัตตนิ ี เปนตน ; เทยี บ อวิญญาณกะ สหธรรมกิ ผมู ธี รรมรว มกนั , ผปู ระพฤติ สสังขารปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ ธรรมรว มกนั แสดงไวใ นคมั ภรี ม หานทิ เทส ปรินิพพานดวยตองใชความเพียร; ดู แหงพระสุตตนั ตปฎ ก มี ๗ คือ ภิกษุ อนาคามี ภกิ ษุณี สกิ ขมานา สามเณร สามเณรี สสงั ขาริก “เปนไปกบั ดวยการชกั นํา”, มี อุบาสก อุบาสกิ า; ในสัตตาหกรณยี ะ การชักนํา ใชแกจิตท่ีคิดดีหรือช่ัวโดย หมายถึง ๕ อยา งแรกเทา น้ัน เรียกวา ถูกกระตนุ หรือชักจงู จากภายนอก มใิ ช สหธรรมิก ๕ (คัมภีรฝายวินัยท่ัวไปก็
สหธรรมิกวรรค ๔๐๕ สักกชนบท มักหมายเฉพาะจาํ นวน ๕) อ่ืนอยูดว ย, ตวั ตอตวั สหธรรมิกวรรค ตอนที่วาดวยเรื่อง สอเสยี ด ยใุ หแตกกนั คอื ฟงคาํ ของขางนี้ ภิกษถุ กู วากลา วโดยชอบธรรม เปนตน แลว เกบ็ เอาไปบอกขา งโนน เพื่อทําลาย เปนวรรคที่ ๘ แหง ปาจติ ติยกณั ฑ มี ขางนี้ ฟงคาํ ของขา งโนน แลวเกบ็ เอามา ๑๒ สกิ ขาบท บอกขา งน้ี เพอ่ื ทําลายขา งโนน ; ดู ปสณุ า สหรคต ไปดวยกนั , กํากบั กนั , รวมกนั วาจา (บาล:ี สหคต) สอุปาทเิ สสนพิ พาน นพิ พานยังมีอปุ าทิ สหวาส อยรู ว ม เปน ประการหนงึ่ ในรตั ต-ิ เหลอื , ดบั กิเลสแตยังมีเบญจขนั ธเ หลอื เฉท คอื เหตุขาดราตรแี หงการประพฤติ คอื นพิ พานของพระอรหนั ตผ ูยังมีชีวิต มานัตและการอยูปริวาส หมายถึงการ อยู, นิพพานในแงท่ีเปนภาวะดับกิเลส อยูรวมในชายคาเดียวกับปกตัตตภิกษุ; คอื โลภะ โทสะ โมหะ; เทียบ อนปุ าทิ- ดู รตั ติเฉท เสสนพิ พาน สหเสยยสกิ ขาบท สิกขาบทเกย่ี วกบั การ สอุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูยังมีเชื้อ นอนรว มมี ๒ ขอ ขอ หนง่ึ ปรบั อาบัติ กเิ ลสเหลอื อย,ู ผยู งั ไมส นิ้ อปุ าทาน ไดแ ก ปาจติ ตยี แ กภ กิ ษผุ นู อนรว มกบั อนปุ สมั บนั พระเสขะ คือ พระอรยิ บคุ คลทั้งหมด เกิน ๒–๓ คืน อกี ขอหน่งึ ปรับอาบตั ิ ยกเวนพระอรหันต; เทยี บ อนุปาทเิ สส- ปาจิตตียแกภิกษุผูนอนรวม (คือนอน บคุ คล ในท่มี งุ ทบี่ งั เดียวกัน) กับหญงิ แมใ นคืน สกั กะ 1. พระนามจอมเทพ ในสวรรคช นั้ แรก (ขอ ๕ และ ๖ ในมสุ าวาทวรรค ดาวดงึ ส เรียกกนั วา ทา วสักกะ หรอื พระ อินทร; ดู ดาวดึงส, วัตรบท, อินทร 2. ปาจติ ติยกณั ฑ) สหไสย การนอนดวยกัน, การนอนรว ม ชอื่ ดงไมท อ่ี ยใู นชมพทู วปี ตอนเหนอื แถบ สหัมบดี ช่ือพระพรหมผูอาราธนาพระ เขาหมิ าลยั เขตปา หมิ พานต 3. ชอื่ ชนบทท่ี ตัง้ อยใู นดงไมสักกะ; ดู สักกชนบท พทุ ธเจาใหแสดงธรรมโปรดสตั ว สหาย เพอ่ื น, เพือ่ นรวมการงาน (แปล สักกชนบท ช่ือแควนหนึ่งในชมพูทวีป ตามศัพทวา “ผูไปดวยในกิจทั้งหลาย” ตอนเหนือ นครหลวงชื่อกบลิ พัสดุ เปน หรือ “ผูมีความเส่ือมและความเจริญ ชาติภูมิของพระพุทธเจามีการปกครอง รว มกนั ”) โดยสามัคคีธรรม มีประวัติสืบมาแต สองตอ สอง สองคนโดยเฉพาะ ไมม ีผู สมัยพระเจาโอกกากราช บดั นอี้ ยใู นเขต
สักกรนิคม ๔๐๖ สังขาร ประเทศเนปาล หานภาค คือในฝายขางเส่ือม ไดแก สักกรนิคม เปนนิคมหนึ่งอยูในสักก- ธรรมจําพวกที่ทําใหตกตํ่าเสื่อมทราม ชนบท; สักขรนคิ ม ก็เรยี ก เชน อโยนโิ สมนสกิ าร อคติ ตณั หา สักกายทิฏฐิ ความเหน็ วา เปนตัวของตน, มานะ ทิฏฐิ อวิชชา; ตรงขามกับ โวทาน ความเห็นเปนเหตุถอื ตวั ตน เชน เห็นรูป สงั ขตะ สงิ่ ท่ีถกู ปจจยั ปรุงแตง , สงิ่ ทเ่ี กดิ เปนตน เหน็ เวทนาเปน ตน เปน ตน (ขอ จากเหตุปจจยั แตง ข้ึน ไดแ กสภาพทเ่ี กดิ ๑ ในสังโยชน ๑๐) แตเ หตทุ ั้งปวง, สงั ขตธรรม; ตรงขามกับ สักการ, สักการะ เคารพนับถือบูชา, อสังขตะ สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปจจัยปรุงแตง เครอ่ื งแสดงความเคารพบชู า สกั ขสิ าวก สาวกทท่ี นั เหน็ องคพ ระพทุ ธ- ข้นึ ตรงกบั สังขารในคําวา สังขารท้งั ปวง เจา , พระสภุ ทั ทะผเู คยเปน ปรพิ าชก เปน ไมเ ท่ียง ดงั นีเ้ ปนตน ; ตรงขามกับ อสังขต- สักขิสาวกองคส ุดทายของพระพุทธเจา ธรรม สักยปุตติยะ ผูเปนเหลากอแหงพระ สังขตลักษณะ ลกั ษณะแหงสงั ขตธรรม, ศากยบตุ ร (ศากยบตุ ร หรือ สักยปุตตะ ลกั ษณะของปรงุ แตง มี ๓ อยา ง ๑. หมายถงึ พระพทุ ธเจา ), โดยใจความ คือ ความเกิดขึ้น ปรากฏ ๒. ความดบั ผูเปนลูกพระพุทธเจา ไดแกพระภิกษุ สลาย ปรากฏ ๓. เมื่อตง้ั อยู ความแปร (ภกิ ษุณีเรยี กวา สักยธิดา) ปรากฏ สกั ยราช กษัตริยวงศศากยะ, พระราชา สงั ขาร 1. ส่งิ ท่ถี ูกปจ จัยปรงุ แตง, สิง่ ที่ วงศศ ากยะ เกิดจากเหตุปจจัย เปนรูปธรรมก็ตาม สงั กจั ฉกิ ะ ผารดั หรอื โอบรกั แร เปน จวี ร นามธรรมกต็ าม ไดแ กข นั ธ ๕ ท้งั หมด, อยา งหนง่ึ ในจีวร ๕ ของภกิ ษุณี คอื ตรงกับคําวา สังขตะ หรือ สังขตธรรม สงั ฆาฏิ ผา ทาบ ๑ อตุ ตราสงค ผาหม ๑ ไดในคําวา “สังขารท้ังหลายท้ังปวงไม อนั ตรวาสก สบง ๑ สงั กัจฉิกะ ผารดั เทีย่ ง” ดังนีเ้ ปนตน 2. สภาพทีป่ รุงแตง หรอื ผา โอบรกั แร ๑ อทุ กสาฏกิ า ผาอาบ ใจใหดีหรือช่ัว, ธรรมมีเจตนาเปน ๑ (มากกวาของภิกษุซ่ึงมีจํานวนเพียง ประธานท่ีปรุงแตงความคิด การพูด ๓ อยา งขางตน) การกระทํา มที ้ังทด่ี เี ปนกศุ ล ที่ชั่วเปน สังกเิ ลส ความเศราหมอง, ความสกปรก, อกศุ ล ท่ีกลางๆ เปน อัพยากฤต ไดแก สิ่งท่ีทําใจใหเศราหมอง, ธรรมที่อยูใน เจตสิก ๕๐ อยาง (คอื เจตสกิ ทง้ั ปวง
สังขาร๒ ๔๐๗ สงั คหวตั ถุ เวนเวทนาและสัญญา) เปนนามธรรม เพราะเปนสภาพอันถูกปจจัยปรุงแตง อยา งเดยี ว, ตรงกบั สงั ขารขันธ ในขันธ ขึ้น จึงตองผันแปรไปตามเหตุปจจัย ๕ ไดในคาํ วา “รปู ไมเทย่ี ง เวทนาไม เปนสภาพอันปจจัยบีบค้ันขัดแยง คง เท่ียง สัญญาไมเ ที่ยง สังขารไมเท่ยี ง ทนอยูมิได วญิ ญาณไมเ ท่ยี ง” ดงั น้ีเปน ตน; อธบิ าย สังขารโลก โลกคือสังขาร ไดแกช มุ นมุ อีกปริยายหนึ่ง สงั ขารตามความหมายน้ี แหงสังขารท้ังปวงอันตองเปนไปตาม ยกเอาเจตนาข้ึนเปนตัวนําหนา ไดแก ธรรมดาแหงเหตุปจ จยั สัญเจตนา คือเจตนาท่ีแตงกรรมหรือ สังขารุเปกขาญาณ ปรีชาหย่ังรูถึงขั้น ปรงุ แตงการกระทาํ มี ๓ อยา งคือ ๑. เกิดความวางเฉยในสังขาร, ญาณอัน กายสงั ขาร สภาพท่ีปรุงแตงการกระทาํ เปนไปโดยความเปน กลางตอสังขาร คือ ทางกาย คอื กายสญั เจตนา ๒. วจี- รูเทาทันสภาวะของสังขารวาที่ไมเที่ยง สังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทาง เปนทุกขเปนตนน้ัน มันเปนไปของมัน วาจา คือ วจสี ญั เจตนา ๓. จติ ตสงั ขาร อยา งน้ันเปน ธรรมดา จึงเลกิ เบื่อหนา ย หรอื มโนสงั ขาร สภาพทีป่ รงุ แตงการ เลิกคิดหาทางแตจะหนี วางใจเปนกลาง กระทาํ ทางใจ คือ มโนสัญเจตนา 3. ตอมันได เลิกเกี่ยวเกาะและใหญาณ สภาพที่ปรงุ แตงชวี ติ มี ๓ คอื ๑. กาย- แลน มุงสนู พิ พานอยา งเดยี ว (ขอ ๘ ใน สังขาร สภาพที่ปรุงแตงกาย ไดแก วิปสสนาญาณ ๙) อสั สาสะ ปสสาสะ คอื ลมหายใจเขา ลม สังเขป การยอ , ยน ยอ , ใจความ, เคา หายใจออก ๒. วจสี ังขาร สภาพที่ปรงุ ความ; ตรงขา มกับ วติ ถาร, พสิ ดาร แตง วาจา ไดแ กว ติ กและวจิ าร ๓. จติ ต- สงั เขปนยั นยั อยา งยอ, แบบยอ, แง สังขาร สภาพท่ีปรุงแตงใจ ไดแก ความหมายซงึ่ ชแี้ จงอยา งรวบรดั ; ตรงขา ม กบั วติ ถารนัย สญั ญาและเวทนา สังขาร ๒ คือ ๑. อุปาทินนกสังขาร สงั เขปฏ ฐกถา ดู โปราณัฏฐกถา, อรรถ- สังขารที่กรรมครอบครอง ๒. อนุปา- กถา ทินนกสังขาร สังขารท่ีกรรมไมครอบ สงั คหวตั ถุ เรอื่ งทจี่ ะสงเคราะหก นั , คณุ ครอง, แปลโดยปริยายวา สงั ขารทมี่ ีใจ เปนเคร่ืองยึดเหนี่ยวใจของผูอื่นไวได, ครอง และสังขารท่ไี มมใี จครอง หลกั การสงเคราะห คือชวยเหลอื กนั ยึด สังขารทกุ ข ทกุ ขเ พราะเปนสังขาร คอื เหนี่ยวใจกันไว และเปนเคร่ืองเกาะกุม
สังคายนา ๔๐๘ สงั คายนา ประสานโลกคือสังคมแหงหมูสัตวไว ดวยปญญาอันย่ิง เธอทั้งหมดทีเดียว ดุจสลักยึดรถท่ีกําลังแลนไปใหคงเปน พึงพรอมเพรียงกันประชุมรวบรวม รถและวิ่งแลน ไปได มี ๔ อยา ง คือ ๑. กลา วใหลงกัน (สังคายนา) ทั้งอรรถะ ทาน การแบง ปน เออื้ เฟอ เผือ่ แผก ัน ๒. กับอรรถะ ทั้งพยัญชนะกับพยัญชนะ ปย วาจา พูดจานารัก นา นิยมนบั ถือ ๓. ไมพ งึ ววิ าทกนั โดยประการทพี่ รหมจรยิ ะ อัตถจริยา บาํ เพญ็ ประโยชน ๔. สมา- นจี้ ะยง่ั ยนื ดาํ รงอยตู ลอดกาลนาน เพอ่ื นัตตตา ความมีตนเสมอ คือ ทําตวั ให เกือ้ กลู แกพหูชน เพื่อความสุขแกพ หูชน เขา กนั ได เชน ไมถือตัว รว มสขุ รว ม เพอื่ เกอื้ การณุ ยแ กช าวโลก เพอ่ื ประโยชน ทุกขก นั เปน ตน เพ่ือเกื้อกูล เพ่ือความสุขแกเทวะและ สังคายนา “การสวดพรอมกนั ” การรอ ย มนุษยท ั้งหลาย” และในทีน่ ั้น ไดตรัสวา กรองพระธรรมวนิ ยั , การประชมุ รวบรวม ธรรมท้ังหลายท่ีทรงแสดงแลวดวย และจดั หมวดหมคู าํ สง่ั สอนของพระพุทธ ปญญาอันย่ิง หมายถงึ ธรรม ๗ หมวด เจาโดยพรอมกันทบทวนสอบทานจน (ทมี่ ชี อื่ รวมวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗), ใน ยอมรับและวางลงเปนแบบแผนอันหนึ่ง เวลาใกลก นั นนั้ เมอื่ พระสารีบุตรไดรบั อันเดียว พุทธดํารัสมอบหมายใหแสดงธรรมแก ภิกษุสงฆในท่ีเฉพาะพระพักตร ทานก็ “สังคายนา” คือ การสวดพรอมกัน ปรารภเรอ่ื งทนี่ คิ รนถนาฏบตุ รสนิ้ ชพี แลว เปนกิริยาแหงการมารวมกันซักซอม ประดานิครนถทะเลาะวิวาทกันในเร่ือง สอบทานใหลงกันแลวสวดพรอมกันคือ หลักคําสอน แลวทานไดแนะนําให ตกลงยอมรับไวดวยกันเปนอันหนึ่งอัน สังคายนา พรอ มทงั้ ทาํ เปน ตัวอยาง โดย เดยี ว ตามหลักในปาสาทกิ สตู ร (ที.ปา.๑๑/ ประมวลธรรมมาลําดับแสดงเปนหมวด ๑๐๘/๑๓๙) ทพ่ี ระพทุ ธเจาตรัสแนะนาํ แก หมู ต้งั แตห มวด ๑ ถงึ หมวด ๑๐ เทศนา ทานพระจุนทะ กลาวคือ ทานพระจนุ ทะ ของพระสารีบุตรคร้ังน้ีไดชือ่ วา “สังคีต-ิ ปรารภเร่ืองที่นิครนถนาฏบุตรส้ินชีพ สตู ร” (ที.ปา.๑๑/๒๒๑/๒๒๒) เปนพระสตู ร แลว ประดานคิ รนถตกลงในเร่อื งหลกั วาดวยการสังคายนาท่ีทําตั้งแตพระบรม คาํ สอนกันไมได กท็ ะเลาะวิวาทกนั ทา น ศาสดายังทรงพระชนมอยู, เมื่อพระ คํานึงถงึ พระศาสนา จงึ มาเฝา และพระ พทุ ธเจา ปรนิ พิ พานแลว พระมหากสั สปะ พทุ ธเจา ไดต รสั วา “เพราะเหตดุ งั นนี้ น่ั แล ผเู ปน สงั ฆเถระ กไ็ ดช กั ชวนพระอรหันต จนุ ทะ ในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราแสดงแลว
สงั คายนา ๔๐๙ สงั คายนา ทั้งหลายประชุมกันทําสังคายนาตาม สังคายนาเกิดขึ้นเนื่องกันกับเหตุการณ หลักการทกี่ ลาวมานน้ั โดยประมวลพระ ไมปกติที่มีการถือผิดปฏิบัติผิดจากพระ ธรรมวินัยท้ังหมดเทาที่รวบรวมไดวาง ธรรมวนิ ยั ทาํ ใหก ารสังคายนาเสมอื นมี ลงไวเปนแบบแผน ตั้งแตหลังพุทธ- ความหมายซอนเพ่ิมขึ้นวาเปนการซัก ปรินิพพาน ๓ เดือน เรียกวาเปน ซอมทบทวนสอบทานพระธรรมวนิ ยั เพอ่ื สังคายนาครัง้ ท่ี ๑ จะไดเปนหลักหรือเปนมาตรฐานในการ ชาํ ระสังฆมณฑลและสะสางกิจการพระ ความหมายทเ่ี ปน แกนของสงั คายนา ศาสนา, จากความหมายที่เรม่ิ คลุมเครอื คอื การรวบรวมพทุ ธพจน หรอื คาํ สงั่ สอน สับสนนี้ ในภาษาไทยปจ จบุ นั สงั คายนา ของพระบรมศาสดา ดงั นน้ั สงั คายนาที่ ถึงกับเพ้ียนความหมายไป กลายเปน เต็มตามความหมายแทจ รงิ จึงมีไดตอ การชําระสะสางบคุ คลหรือกิจการ เมื่อมีพุทธพจนที่จะพึงรวบรวม อันได แกสังคายนาเทา ท่ีกลา วมาขางตน สวน สังคายนาในยุคตน ซ่ึงถือเปน การสงั คายนาหลงั จากนน้ั ซึง่ จัดขึ้นหลงั สําคัญในการรักษาสืบทอดพระธรรม พทุ ธปรินิพพานอยางนอย ๑ ศตวรรษ วนิ ัย คือ คร้ังท่ี ๑ ถงึ ๕ ดังน:ี้ ชัดเจนวาไมอยูในวิสัยแหงการรวบรวม พุทธพจน แตเ ปล่ยี นจุดเนน มาอยทู ี่การ คร้ังที่ ๑ ปรารภเรือ่ งสภุ ัททภิกษผุ ู รักษาพุทธพจนและคําส่ังสอนเดิมที่ได บวชเมื่อแกกลาวจวงจาบพระธรรมวินัย รวบรวมไวแลว อนั สืบทอดมาถึงตน ให และปรารภท่ีจะทาํ ใหธรรมรงุ เรอื งอยูสบื คงอยูบริสุทธ์ิบริบูรณท่ีสุดเทาที่จะเปน ไป พระอรหนั ต ๕๐๐ รปู มพี ระมหา- ไปได ดวยเหตุนนั้ สงั คายนาในยุคหลัง กัสสปะเปนประธาน และเปนผูถาม สืบมาถงึ ปจจุบัน จงึ มีความหมายวา เปน พระอุบาลีเปนผูวิสัชนาพระวินัย พระ การประชุมตรวจชําระสอบทาน รักษา อานนทเปน ผวู สิ ัชนาพระธรรม ประชมุ พระไตรปฎกใหบริสุทธิ์ หมดจดจาก สังคายนาท่ีถํ้าสัตตบรรณคูหา ภูเขา ความผิดพลาดคลาดเคล่อื น โดยกําจดั เวภารบรรพต เมอื งราชคฤห เม่ือหลงั ส่ิงปะปนแปลกปลอมหรือทาํ ใหเขาใจสับ พุทธปรนิ ิพพาน ๓ เดือน โดยพระเจา สนออกไป ใหธ รรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา อชาตศัตรูเปนศาสนูปถัมภก สิ้นเวลา คงอยูเปนแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวท่ี ๗ เดือนจงึ เสรจ็ เปน ของแทแตเ ดิม; ในบางยคุ สมัย การ ครง้ั ที่ ๒ ปรารภพวกภกิ ษุวชั ชบี ุตร แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ นอกธรรม นอก
สงั คตี ิ ๔๑๐ สังฆกรรม วนิ ยั พระยศกากณั ฑกบตุ รเปน ผชู กั ชวน ธรรมวินัยลงในใบลาน พระอรหันต ไดพระอรหนั ต ๗๐๐ รูป พระเรวตะ ๕๐๐ รปู ประชมุ กนั สวดซอมแลว จาร เปนผูถาม พระสัพพกามีเปนผูวิสัชนา พุทธพจนลงในใบลาน ณ อาโลกเลณ- ประชุมทาํ ท่วี าลิการาม เมืองเวสาลี เม่ือ สถาน ในมลยชนบท ในลงั กาทวีป เมอื่ พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระเจา กาลาโศกราช เปน พ.ศ. ๔๕๐ (วา ๔๓๖ กม็ )ี โดยพระเจา ศาสนปู ถมั ภก สน้ิ เวลา ๘ เดอื นจงึ เสรจ็ วัฏฏคามณีอภัย เปนศาสนูปถัมภก; ครั้งท่ี ๓ ปรารภเดยี รถยี มากมาย บางคัมภีรวา สังคายนาคร้ังน้ีจัดข้ึนใน ปลอมบวชในพระศาสนาเพราะมีลาภ ความคุมครองของคนที่เปนใหญในทอง สกั การะเกดิ ขน้ึ มาก พระอรหนั ต ๑,๐๐๐ ถน่ิ (ครั้งที่ ๔ ไดรบั ความยอมรบั ในแง รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเปน เหตกุ ารณน อยกวา ครงั้ ท่ี ๕) ประธาน ประชุมทําท่ีอโศการามเมอื ง สังคตี ิ 1. การสังคายนา; ดู สังคายนา 2. ปาฏลีบตุ ร เมือ่ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ ในคาํ วา “บอกสังคตี ิ” ซ่งึ เปน ปจ ฉมิ กิจ (พ.ศ. ๒๑๘ เปนปท พ่ี ระเจา อโศกข้ึน อยางหน่ึงของการอุปสมบท ทาน ครองราชย) โดยพระเจา อโศก หรอื ศร-ี สันนิษฐานวา หมายถึงการประมวลบอก ธรรมาโศกราชเปนศาสนูปถัมภก สิ้น อยางอนื่ นอกจากท่ีระบุไว เชน สีมาหรือ เวลา ๙ เดือนจึงเสรจ็ อาวาสทอ่ี ปุ สมบท อุปช ฌายะ กรรม- ครั้งที่ ๔ ปรารภใหพระศาสนา วาจาจารย จํานวนสงฆ ประดษิ ฐานมน่ั คงในลงั กาทวปี พระสงฆ สังคีติกถา ถอยคําที่กลาวถึงเรื่อง ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเปน สงั คายนา, แถลงความเรอ่ื งสังคายนา ประธานและเปนผถู าม พระอริฏฐะเปน สังคีติปริยาย บรรยายเรื่องการ ผูว สิ ชั นา ประชมุ ทําทถ่ี ปู าราม เมืองอนุ- สังคายนา, การเลา เรื่องการสังคายนา ราธบรุ ี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระเจา สงั ฆกรรม งานของสงฆ, กรรมทสี่ งฆพงึ เทวานมั ปย ตสิ สะเปน ศาสนูปถัมภก สน้ิ ทํา, กิจท่ีพงึ ทําโดยทปี่ ระชุมสงฆ มี ๔ เวลา ๑๐ เดอื นจงึ เสร็จ คอื ๑. อปโลกนกรรม กรรมทท่ี ําเพียง คร้ังท่ี ๕ ปรารภพระสงฆแตกกัน ดวยบอกกันในท่ีประชุมสงฆ ไมตอ งตง้ั เปน ๒ พวกคอื พวกมหาวิหารกบั พวก ญัตติและไมตองสวดอนุสาวนา เชน อภยั ครี วี หิ าร และคาํ นงึ วา สบื ไปภายหนา แจงการลงพรหมทัณฑแกภิกษุ ๒. กุลบุตรจะถอยปญญา ควรจารึกพระ ญัตติกรรม กรรมที่ทาํ เพียงตั้งญัตติไม
สงั ฆการี ๔๑๑ สังฆเถระ ตองสวดอนุสาวนา เชน อุโบสถและ การีมีอํานาจหนาที่กวางขวาง มิใชเปน ปวารณา ๓. ญตั ติทุตยิ กรรม กรรมที่ทํา เพียงเจาพนักงานในราชพธิ เี ทา นั้น แต ดวยตั้งญัตติแลวสวดอนุสาวนาหนหน่ึง ทําหนาท่ีชําระอธิกรณพิจารณาโทษแก เชน สมมตสิ ีมา ใหผ า กฐิน ๔. ญัตต-ิ พระสงฆผูลวงละเมิดสิกขาบทประพฤติ จตตุ ถกรรม กรรมทีท่ ําดวยการต้ังญตั ติ ผิดธรรมวินัยดวย แลวสวดอนุสาวนา ๓ หน เชน สังฆคารวตา ดู คารวะ สังฆคุณ คุณของพระสงฆ (หมายถึง อปุ สมบท ใหปรวิ าส ใหม านตั สังฆการี เจาหนาที่ผูทําการสงฆ, เจา สาวกสงฆ หรือ อริยสงฆ) มี ๙ คือ ๑. พนักงานผูมีหนาที่เก่ียวกับสงฆในงาน สุปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระ หลวง, เจา หนา ทผี่ เู ปน พนกั งานในการพธิ ี สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาเปนผู สงฆ มมี าแตโ บราณสมยั อยุธยา สังกดั ปฏิบัตดิ ี ๒. อุชุปฏิปนโฺ น เปนผูป ฏบิ ตั ิ ตรง ๓. ายปฏปิ นฺโน เปนผูปฏบิ ตั ถิ กู ในกรมสังฆการี ซึ่งรวมอยูดวยกันกับ ทาง ๔. สามจี ปิ ฏปิ นโฺ น เปน ผปู ฏบิ ตั ิสม กรมธรรมการ เรยี กรวมวา กรมธรรม- ควร (ยททิ ํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปรุ สิ - การสงั ฆการี เดิมเรียกวา สงั กะรี หรอื ปุคฺคลา ไดแ ก คบู ุรุษ ๔ ตวั บคุ คล ๘ สงั การี เปลยี่ นเรยี ก สงั ฆการี ในรชั กาล เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระสงฆสาวก ที่ ๔ ตอ มาเมอ่ื ตง้ั กระทรวงธรรมการใน ของพระผมู พี ระภาคน)้ี ๕. อาหุเนยโฺ ย พ.ศ. ๒๔๓๒ กรมธรรมการสงั ฆการเี ปน กรมหนึง่ ในสังกัดของกระทรวงนนั้ จน เปน ผคู วรแกข องคาํ นบั คอื ควรรับของ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ กรมสังฆการจี งึ แยก ที่เขานาํ มาถวาย ๖. ปาหุเนยฺโย เปนผู เปนกรมตางหากกันกับกรมธรรมการ ควรแกก ารตอนรับ ๗. ทกฺขเิ ณยโฺ ย เปน ตอมาใน พ.ศ. ๒๔๗๖ กรมสังฆการถี ูก ผูควรแกทักษิณาคือควรแกของทําบุญ ยุบลงเปนกองสังกัดในกรมธรรมการ ๘. อชฺ ลกี รณโี ย เปน ผคู วรแกก ารกราบ กระทรวงศึกษาธกิ าร ตอมาอกี ใน พ.ศ. ไหว ๙. อนุตฺตรํ ปุ ฺ กฺเขตฺตํ โลกสฺส ๒๔๘๔ กรมธรรมการเปลี่ยนชื่อเปน เปนนาบุญอันยอดเย่ียมของโลก คือ กรมการศาสนา และในคราวทายสุด เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดี พ.ศ. ๒๕๑๕ กองสงั ฆการีไดถูกยุบเลิก ที่ยอดเยี่ยมของโลก ไป และมีกองศาสนูปถัมภขึ้นมาแทน สังฆเถระ ภิกษุผูเปนพระเถระในสงฆ ปจ จุบันจงึ ไมม ีสังฆการี; บางสมยั สังฆ- คือ เปนผูใหญเปนประธานในสงฆ,
สังฆทาน ๔๑๒ สังฆมิตตา ภิกษุผูมีพรรษามากกวาภิกษุอ่ืนใน อนง่ึ ถา เปนสังฆทานประเภทอุทศิ ชมุ นุมน้ันท้ังหมด ผตู าย เรยี กวา มตกภตั พงึ เปลย่ี นแปลง สงั ฆทาน ทานเพอ่ื สงฆ, การถวายแกส งฆ คาํ ถวายทพ่ี มิ พต วั เอนไวค อื ภตตฺ านิ เปน คือ ถวายเปน กลางๆ ไมจําเพาะเจาะจง มตกภตฺตาน,ิ อมฺหากํ เปน อมหฺ ากเฺ จว ภิกษรุ ูปใดรูปหนึ่ง เชน จะทาํ พิธถี วาย มาตาปต ุอาทีนจฺ าตกานํ กาลกตาน;ํ ของท่ีมีจํานวนจํากดั พงึ แจงแกทางวดั ให ภตั ตาหาร เปน มตกภัตตาหาร, แก จัดพระไปรับตามจาํ นวนที่ตอ งการ หวั ขา พเจา ทงั้ หลาย เปน แกข า พเจา ทงั้ หลาย หนาสงฆจดั ภิกษุใดไปพงึ ทาํ ใจวา ทา น ดวย แกญาติของขาพเจาท้ังหลาย มี มารับในนามของสงฆหรือ เปนผูแทน มารดาบดิ าเปน ตน ผลู ว งลบั ไปแลว ดว ย” ของสงฆทั้งหมด ไมพึงเพงเล็งวาเปน สงั ฆนวกะ ภกิ ษุผูใ หมใ นสงฆ คือบวช บุคคลใด คิดตั้งใจแตวาจะถวายอุทิศ ภายหลงั ภิกษทุ ั้งหมดในชมุ นุมสงฆน นั้ แกส งฆ; ในพิธีพงึ จุดธปู เทียนบูชาพระ สังฆภัต อาหารถวายสงฆ หมายถึง อาราธนาศลี รบั ศลี จบแลว ตง้ั นโม ๓ จบ อาหารทเี่ จา ของนาํ มา หรอื สง มาถวายสงฆ กลาวคําถวายเสร็จแลวประเคนของ ในอารามพอแจกทว่ั กนั ; เทยี บ อทุ เทสภัต และเมอื่ พระสงฆอนโุ มทนา พึงกรวดนํ้า สังฆเภท ความแตกแหงสงฆ, การทาํ ให รบั พร เปน เสรจ็ พธิ ;ี คาํ ถวายสังฆทาน สงฆแ ตกจากกนั (ขอ ๕ ในอนันตรยิ - วา ดงั น:ี้ “อิมานิ มยํ ภนเฺ ต, ภตฺตานิ, กรรม ๕), กําหนดดวยไมทําอุโบสถ สปริวาราน,ิ ภิกขฺ สุ งฆฺ สสฺ , โอโณชยาม, ปวารณา และสังฆกรรมดวยกนั ; เทยี บ สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อิมานิ, สงั ฆราช,ี ดู สามคั คี ภตฺตานิ, สปริวารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, สงั ฆเภทขนั ธกะ ชือ่ ขันธกะที่ ๗ แหง อมฺหาก,ํ ทฆี รตฺต,ํ หิตาย, สุขาย” แปล จุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยเร่ือง วา: “ขาแตพ ระสงฆผูเ จริญ ขาพเจาทั้ง พระเทวทัตทําลายสงฆและเรื่องควร หลายขอนอมถวายภัตตาหาร กับท้ัง ทราบเก่ยี วกับสังฆเภท สังฆสามคั คี บรวิ ารเหลาน้แี กพระภิกษุสงฆ ขอพระ สงั ฆมณฑล หมูพระ, วงการพระ ภิกษุสงฆจงรับภัตตาหาร กับทั้งบริวาร สังฆมิตตา พระราชบุตรีของพระเจา เหลาน้ีของขาพเจาท้ังหลาย เพ่ือ อโศกมหาราช ทรงผนวชเปนภิกษุณี ประโยชนและความสุขแกขาพเจาทั้ง และไปประดิษฐานภิกษุณีสงฆที่ลังกา- หลาย สน้ิ กาลนานเทอญ” ทวีปพรอมทั้งนําก่ิงพระศรีมหาโพธิ์ไป
สงั ฆรตั นะ, สังฆรัตน ๔๑๓ สังฆานุสติ ถวายแกพระเจา เทวานัมปย ตสิ สะดว ย ใชท าบบนจีวร เปน ผา ผนื หนึง่ ในสามผนื สังฆรัตนะ, สังฆรัตน รัตนะคือสงฆ, ท่เี รยี กวา ไตรจีวร พระสงฆอ นั เปน อยางหนง่ึ ในรัตนะ ๓ ท่ี สังฆาทเิ สส ชอื่ หมวดอาบตั ิหนักรองจาก เรยี กวา พระรัตนตรยั ; ดู รตั นตรยั ปาราชกิ ตอ งอยกู รรมจงึ พนได คอื เปน สงั ฆราชี ความรา วรานแหงสงฆ คือ จะ ครกุ าบตั ิ (อาบตั หิ นกั ) แตย งั เปน สเตกจิ ฉา แตกแยกกัน แตไ มถ งึ กับแยกทาํ อุโบสถ (แกไขหรือเยียวยาได); ตามศัพท สังฆาทิเสส แปลวา “หมวดอาบัตอิ นั จํา ปวารณาและสงั ฆกรรมตา งหากกนั ; เทยี บ สงั ฆเภท, ดู สามคั คี ปรารถนาสงฆในกรรมเบ้ืองตนและ สังฆสัมมุขตา ความเปนตอหนาสงฆ กรรมทเี่ หลือ”, หมายความวา วธิ ีการท่ี หมายความวา การระงับอธิกรณนั้น จะออกจากอาบตั นิ ้ี ตอ งอาศัยสงฆ ต้ัง กระทําในท่พี รอ มหนา สงฆ ซึง่ ภิกษผุ เู ขา แตตนไปจนตลอด กลาวคือเร่ิมตนจะ ประชุมมีจํานวนครบองคเปนสงฆ ได อยปู รวิ าส กต็ องขอปริวาสจากสงฆ ตอ นําฉันทะของผูควรแกฉันทะมาแลว จากนั้น จะประพฤติมานัตก็ตอ งอาศัย สงฆเปนผูให ถามีมูลายปฏิกัสสนาก็ และผอู ยูพรอ มหนากนั นน้ั ไมค ัดคาน; ดู สมั มขุ าวนิ ัย ตองสําเร็จดวยสงฆอกี และทายทส่ี ุดก็ สงั ฆสามคั คี ความพรอ มเพรยี งแหง สงฆ; ดู สามคั คี ตองขออัพภานจากสงฆ; สิกขาบทท่ี สังฆอุโบสถ อุโบสถของสงฆ คอื การทาํ ภกิ ษลุ ะเมดิ แลว จะตอ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส มี ๑๓ ขอ คาํ วา สงั ฆาทเิ สส ใชเปนชือ่ อโุ บสถของสงฆท ค่ี รบองคก าํ หนด คอื มี เรียกสกิ ขาบท ๑๓ ขอ นี้ดวย ภกิ ษตุ ง้ั แต ๔ รปู ขน้ึ ไป สวดปาฏโิ มกข สังฆาทิเสสกัณฑ ตอนอนั วา ดว ยอาบัติ ไดต ามปกติ (ถา มภี ิกษุอยู ๒–๓ รูป สังฆาทิเสส, ในพระวินยั ปฎก ทานเรียก ตองทําคณอโุ บสถ คอื อุโบสถของคณะ วาเตรสกัณฑ (ตอนวาดวยสิกขาบท ซงึ่ เปนปาริสุทธอิ โุ บสถ คอื อโุ บสถทีท่ าํ ๑๓) อยูใ นคมั ภรี ม หาวิภังคเ ลมแรก โดยบอกความบริสุทธิ์ของกันและกัน สงั ฆานุสติ ระลกึ ถึงคณุ ของพระสงฆ ดัง ถามีภกิ ษุรูปเดยี ว ตองทําบุคคลอุโบสถ ที่พระพุทธเจาตรัสสอนในนันทิยสูตร คือ อโุ บสถท่ีทําโดยการอธิษฐานกําหนด (อง.ทสก.๒๔/๒๒๐/๓๖๔) ใหระลึกถึงพระ ใจวา วันนน้ั เปนวนั อโุ บสถ); ดู อุโบสถ สงฆในฐานเปนกัลยาณมิตร (ขอ ๓ ใน สังฆาฏิ ผา ทาบ, ผาคลมุ กันหนาวทพ่ี ระ อนสุ ติ ๑๐) เขยี นอยางรปู เดิมในภาษา
สงั ฆาวาส ๔๑๔ สังวร บาลีเปน สงั ฆานสุ สสต;ิ ดู สงั ฆคุณ สังโยชน กเิ ลสท่ีผูกมัดใจสัตว, ธรรมท่ี สงั ฆาวาส “อาวาสของสงฆ”, สวนของวดั มัดสตั วไ วก บั ทุกข มี ๑๐ อยาง คอื ก. ซึ่งจัดไวเปนท่ีอยูอาศัยของพระสงฆ โอรมั ภาคิยสงั โยชน สังโยชนเบอ้ื งต่าํ ๕ ประกอบดว ยกุฏิ หอสวดมนต หอฉัน ไดแ ก ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นวา เปน เปนตน ตางกับและเปนคูกันกับ ตวั ของตน ๒. วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลสงสัย พุทธาวาส, เปนคําที่บัญญัติขึ้นใชภาย ๓. สีลัพพตปรามาส ความถือม่ันศีล หลัง (มิไดมีมาแตเดิมในคัมภีร); ดู พรต ๔. กามราคะ ความติดใจในกาม พทุ ธาวาส, เทียบสังฆิกาวาส คณุ ๕. ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทง่ั ใน สังฆกิ าวาส ทีอ่ ยูทเ่ี ปนของสงฆ, เปนคาํ ทางพระวินัย ตรงขามกับ ปคุ คลิกาวาส ใจ ข. อุทธมั ภาคยิ สังโยชน สังโยชน (ทอ่ี ยทู เี่ ปน ของบคุ คล หรอื ทอี่ ยสู ว นตวั ) เบอ้ื งสงู ๕ ไดแก ๖. รูปราคะ ความตดิ เชนในขอความวา (วินย.อ.๓/๓๙๔) “ถา ใจในรปู ธรรมอันประณตี ๗. อรูปราคะ ภิกษุถือเอาทัพสัมภาระท้ังหลาย มี ความติดใจในอรูปธรรม ๘. มานะ กลอนเปนตน จากสังฆิกาวาสนน้ั นําไป ความถือวา ตัวเปน น่นั เปน นี่ ๙. อทุ ธจั จะ ความฟงุ ซา น ๑๐. อวชิ ชา ความไมร จู รงิ ; ใชในสงั ฆกิ าวาสอน่ื กเ็ ปนอนั ใชไปดว ย พระโสดาบนั ละสงั โยชน ๓ ขอ ตน ได, ดี แตเมอ่ื เอาไปใชใ นปุคคลิกาวาส จะ พระสกทิ าคามี ทาํ สงั โยชนข อ ๔ และ ๕ ตองจายมูลคาให หรือตองทําใหกลับ ใหเบาบางลงดวย, พระอนาคามี ละ คืนดเี ปนปกตอิ ยา งเดิม, ถาภิกษุมไี ถย- สังโยชน ๕ ขอตน ไดห มด, พระอรหนั ต จิต ถอื เอาเตียงและตั่งเปนตน จากวหิ าร ละสงั โยชนท้งั ๑๐ ขอ ; ในพระอภธิ รรม ทถี่ กู ทอดทิ้งแลว พงึ ปรบั อาบตั ติ ามมลู ทา นแสดงสังโยชนอ กี หมวดหนึง่ คือ ๑. คาแหงส่ิงของ ในขณะที่ยกขึ้นไปนั่นที กามราคะ ๒. ปฏฆิ ะ ๓. มานะ ๔. ทฏิ ฐิ เดยี ว”, “สังฆิกวิหาร” ก็เรยี ก; พงึ สังเกต (ความเหน็ ผดิ ) ๕. วจิ กิ จิ ฉา ๖. สลี พั พต- วา “สงั ฆกิ าวาส” กด็ ี “ปคุ คลกิ าวาส” กด็ ี ปรามาส ๗. ภวราคะ (ความตดิ ใจใน เปนคําที่ใชใ นชน้ั อรรถกถา สวนในพระ ภพ) ๘. อิสสา (ความริษยา) ๙. ไตรปฎก ใชเปนขอความวา วิหารทีเ่ ปน มัจฉริยะ (ความตระหน่ี) ๑๐. อวชิ ชา สังฆิกะ หรือวิหารของสงฆ และ สังวร ความสาํ รวม, การระวังปดก้ันบาป อกุศล มี ๕ อยาง คอื ๑. ปาฏโิ มกข- เสนาสนะของสงฆ เปน ตน สังยมะ ดู สญั ญมะ สังวร สํารวมในปาฏิโมกข (บางแหง
สังวรปธาน ๔๑๕ สงั เวช เรยี ก สีลสงั วร สํารวมในศลี ) ๒. สต-ิ สังวาสนาสนา ใหฉิบหายจากสังวาส สังวร สํารวมดวยสติ ๓. ญาณสังวร หมายถึง การทําอกุ เขปนยี กรรมยกเสีย สํารวมดว ยญาณ ๔. ขนั ตสิ ังวร สํารวม จากสังวาส คือทําใหหมดสิทธิท่ีจะอยู ดวยขันติ ๕. วิริยสังวร สํารวมดวย รว มกบั สงฆ สังเวคกถา ถอ ยคําแสดงความสลดใจให ความเพียร สังวรปธาน เพยี รระวัง คือ เพยี รระวัง เกดิ ความสงั เวชคือเรา เตอื นสาํ นึก บาปอกุศลธรรมทย่ี งั ไมเกดิ มิใหเ กิดขน้ึ สังเวควัตถุ เรื่องที่นาสลดใจ, เรื่องท่ี (ขอ ๑ ในปธาน ๔) พิจารณาแลวจะทําใหเกิดความสังเวช สังวรปารสิ ทุ ธิ ความบริสทุ ธิ์ดว ยสังวร, คือเราเตือนสํานึกใหมีจิตใจนอมมาใน ความสํารวมท่ีเปนความบริสุทธ์ิ หรือ ทางกศุ ล เกดิ ความคดิ ไมป ระมาทและมี เปน เครอ่ื งทําใหบ รสิ ุทธิ์ หมายถึง ศลี ท่ี กําลังท่ีจะทําความเพียรปฏิบัติธรรมตอ ประพฤตถิ กู ตอง เปนไปเพ่ือความไมมี ไป เชน ความเกิด ความแก ความเจ็บ วิปฏิสาร เปนตน ตามลาํ ดบั จนถึงพระ ความตาย และอาหารปรเิ ยฏฐิทุกข คอื นิพพาน จดั เปน อธศิ ีล ทกุ ขในการหากิน เปน ตน สงั วรรณนา พรรณนาดว ยด,ี อธบิ ายความ สงั เวช ความสลดใจใหไ ดคิด, ความรูสึก สังวรสุทธิ ความบริสุทธิ์ดวยสังวร, เตือนสํานกึ หรอื ทําใหฉ กุ คดิ , ความรูสึก ความสํารวมที่เปนเคร่ืองทําใหบริสุทธ์ิ กระตุน ใจใหค ดิ ได ใหคิดถึงธรรม ให หมายถึง อนิ ทรยี สงั วร สงั วฏั ฏกปั ดู กปั ตระหนกั ถงึ ความจรงิ ของชวี ติ และเรา สงั วฏั ฏฐายกี ปั ดู กปั สังวาส ธรรมเปนเคร่ืองอยูรวมกันของ เตือนใหไมประมาท; ตามความหมายที่ แทข องศพั ท สงั เวช คอื “สงั เวค” แปลวา แรงเรง แรงกระตุน หรือพลงั ทปี่ ลุกเรา สงฆ ไดแกการทําสังฆกรรมรวมกัน หมายถงึ แรงกระตุน เรา เตือนใจ ใหได สวดปาฏโิ มกขร ว มกนั มสี กิ ขาบทเสมอ คิดหรือสํานึกข้ึนมาได ใหคิดถึงธรรม กนั เรยี กงา ยๆ วา ทาํ อโุ บสถ สงั ฆกรรม หรือตระหนักถึงความจริงความดีงาม รว มกนั คอื เปน พวกเดยี วกนั อยดู ว ย อันทําใหตื่นหรือถอนตัวขึ้นมาจากความ กันได มีฐานะและสิทธิเสมอกัน อยู เพลิดเพลิน ความหลงระเริงปลอยตัว ดวยกันได; ในภาษาไทย ใชห มายถงึ รว ม มวั เมา หรือความประมาท แลว หกั หัน ประเวณี ดว ย ไปเรงเพียรทําการท่ีตระหนักรูวาจะพึง
สงั เวชนยี สถาน ๔๑๖ สงั สารสุทธิ ทําดวยความไมประมาทตอไป แตใน ตายเกดิ อยใู นโลกหรอื ในภพตา งๆ, วา ภาษาไทย สังเวช มีความหมายหดแคบ โดยสภาวะ กค็ อื ความสบื ทอดตอเน่อื ง ลงและเพ้ียนไป กลายเปนความรูสึก ไปแหงขันธท้งั หลายนัน่ เอง; นยิ มพดู วา สลดใจ หรอื เศราสลด แลวหงอยหรือ สังสารวัฏ;ดู ปฏจิ จสมปุ บาท หดหเู สีย ซง่ึ กลายเปนตรงขา มกบั ความ สังสารจักร วงลอ แหง สงั สาระ, วงลอ สงั เวชท่ีแท แหงการเท่ียวเรรอนเวียนวายตายเกิด, สังเวชนียสถาน สถานเปนท่ีต้ังแหง อาการหมุนวนตอเนื่องไปแหงภาวะของ ความสงั เวช, ที่ทใี่ หเกดิ ความสงั เวชมี ๔ ชีวิตท่ีเปนไปตามเหตุปจจัย ในหลัก คอื ๑. ทพี่ ระพทุ ธเจา ประสตู ิ คอื อทุ ยาน ปฏิจจสมปุ บาท; “สงั สารจกั ร” เปน คาํ ใน ลุมพนิ ี ปจจบุ นั เรียก ลมุ พินี (Lumbini) ช้ันอรรถกถาลงมา เชน เดยี วกบั คาํ วา ภว- หรอื รมุ มนิ เด (Rummindei) ๒. ท่พี ระ จักร ปจ จยาการจกั ร ตลอดจนปฏจิ จ- พทุ ธเจา ตรสั รู คือ ควงโพธิ์ ท่ตี ําบล สมุปบาทจักร ซ่ึงทานสรรมาใชในการ พุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh- อธบิ ายหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทนนั้ , อาการ Gaya) ๓. ท่ีพระพุทธเจาแสดงปฐม- หมุนวนของสังสารจักร หรือภวจักรน้ี เทศนา คอื ปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวง ทา นอธบิ ายตามหลักไตรวัฏฏ; ดู ไตร- เมอื งพาราณสี ปจ จุบนั เรยี ก สารนาถ วัฏฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท, สังสาระ ๔. ที่พระพุทธเจาปรินิพพาน คือ ที่ สังสารวัฏ วังวนแหงการเวียนเกดิ เวียน สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หรือ ตาย, การเวียนวายตายเกิดอยูในโลก กุสินคร (Kusinagara) บัดน้ีเรียก หรอื ในภพตางๆ, โดยใจความ ก็ไดแ ก Kasia; ดู สงั เวช “สังสาระ” น่ันเอง; สังสารวัฏฏ หรือ สังเวย บวงสรวง, เซน สรวง (ใชแ กผแี ละ สงสารวัฏ กเ็ ขยี น; ดู สงั สาระ, ไตรวฏั ฏ, เทวดา) ปฏจิ จสมปุ บาท สงั สาระ, สงสาร การเทย่ี วเรร อ นไปใน สังสารสทุ ธิ ความบรสิ ุทธิด์ วยการเวยี น ภพ คอื ภาวะแหง ชวี ติ ทถ่ี ูกพัดพาให วายตายเกิด คอื ลทั ธิของมกั ขลโิ คสาล ประสบสุขทุกข ขึ้นลง เปนไปตางๆ ซึ่งถือวา สัตวท้ังหลายทองเท่ียวเวียน ตามกระแสแหงอวิชชา ตัณหา และ วายตายเกดิ ไปเรือ่ ยๆ ก็จะคอยบรสิ ุทธ์ิ อปุ าทาน, การวายวนอยใู นกระแสแหง หลุดพนจากทุกขไปเอง การปฏิบัติ กเิ ลส กรรม และวิบาก, การเวียนวาย ธรรมไรประโยชน ไมอ าจชว ยอะไรได
สังสทุ ธคหณี ๔๑๗ สัจจาธฏิ ฐาน สังสุทธคหณี มีครรภท่ีถือปฏิสนธิ ยังบินไมได พอนกแมนกก็บินหนีไป สะอาดหมดจดดี แลว จงึ ทําสัจกริ ยิ า อา งวาจาสตั ยข อง สงั เสทชะ สตั วเ กดิ ในของชน้ื แฉะโสโครก ตนเองเปนอานุภาพ ทําใหไฟปาไมลุก เชน หมูหนอน (ขอ ๓ ในโยนิ ๔) ลามเขา มาในทน่ี นั้ (เปน ทม่ี าของวฏั ฏก- สงั หาร การทาํ ลาย, ฆา, ลางผลาญชีวติ ปรติ รทสี่ วดกนั ในปจ จบุ นั ), ในภาษาบาลี สังหาริมะ สง่ิ ท่เี คลื่อนทไี่ ด คอื นําไปได สัจกิริยาน้ีเปนคําหลัก บางแหงใช เชน สัตวและส่งิ ของที่ต้งั อยูลอยๆ ไม สัจจาธิฏฐานเปนคําอธิบายบาง แต ติดท่ี ไดแ ก เงนิ ทอง เปนตน; เทียบ ในภาษาไทยมักใชคําวาสัตยาธิษฐาน อสังหารมิ ะ ซ่ึงเปน รูปสนั สกฤตของ สจั จาธิฏฐาน; ดู สังหาริมทรพั ย ทรัพยเคลือ่ นทไี่ ด เชน สจั จาธิฏฐาน, สัตยาธิษฐาน สัตวเล้ียง เตยี ง ตัง่ ถวย ชาม เปน ตน ; สจั จะ 1. ความจรงิ มี ๒ คอื ๑. สมมต-ิ คูก ับ อสังหารมิ ทรพั ย สจั จะ จริงโดยสมมติ เชน คน พอคา สัจกิริยา “การกระทําสัจจะ”, การใช ปลา แมว โตะ เกา อี้ ๒. ปรมตั ถสจั จะ สัจจะเปนอานภุ าพ, การยนื ยันเอาสจั จะ จริงโดยปรมัตถ เชน รปู เวทนา สญั ญา คือความจรงิ ใจ คําสัตย หรอื ภาวะทเ่ี ปน สังขาร วญิ ญาณ 2. ความจริงคอื จรงิ จรงิ ของตนเอง เปน กาํ ลังอาํ นาจทจ่ี ะคมุ ใจ ไดแก ซื่อสตั ย จริงวาจา ไดแก พูด ครองรักษาหรือใหเกิดผลอยางใดอยาง จริง และ จริงการ ไดแ ก ทําจรงิ (ขอ ๑ หนึ่ง เชนทพ่ี ระองคลุ มิ าลกลา วแกห ญิง ในฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๒ ในอธษิ ฐาน มีครรภแกวา “ดูกรนองหญิง ตั้งแต ธรรม ๔, ขอ ๔ ในเบญจธรรม, ขอ ๗ อาตมาเกดิ แลวในอริยชาติ มไิ ดร สู ึกเลย ในบารมี ๑๐) วาจะจงใจปลงสัตวเสียจากชีวิต ดวย สัจจญาณ ปรีชากําหนดรูความจริง, สจั วาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมแี กท า น ขอ ความหยง่ั รสู ัจจะ คือ รอู ริยสจั จ ๔ แต ความสวัสดีจงมีแกครรภของทานเถิด” ละอยางตามภาวะทเี่ ปน จรงิ วานท้ี ุกข นี้ แลวหญิงนั้นไดคลอดบุตรงายดายและ ทุกขสมทุ ยั เปน ตน (ขอ ๑ ในญาณ ๓) ปลอดภัย (คาํ บาลขี องขอ ความนี้ ไดน าํ สจั ธรรม, สัจจธรรม ธรรมทจ่ี ริงแท, มาสวดกันในช่ือวา อังคุลิมาลปริตร) หลักสจั จะ เชน ในคาํ วา “อริยสัจจ- และเร่อื งในวัฏฏกชาดกทีว่ า ลกู นกคมุ ธรรมทง้ั สี”่ ออ น ถูกไฟปา ลอมใกลร งั เขามา ตัวเอง สจั จาธฏิ ฐาน 1. ทม่ี น่ั คอื สจั จะ, ธรรมที่
สจั จานุโลมญาณ ๔๑๘ สญั ญมะ ควรตงั้ ไวใ นใจใหเ ปน ฐานทม่ี น่ั คอื สจั จะ, สญั เจตนา และ ธัมมสญั เจตนา; ดู ปย - ผูมีสัจจะเปนฐานที่ม่ัน (ขอ ๒ ใน รูป สาตรปู อธฏิ ฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรม 2. การ สัญเจตนิกา มีความจงใจ, มีเจตนา; ต้ังความจริงเปนหลักอาง, ความต้ังใจ เปน ชื่อสงั ฆาทเิ สสสกิ ขาบททห่ี น่ึง ขอที่ ม่ันแนวใหเกิดผลอยางใดอยางหน่ึงโดย จงใจทําอสุจิใหเคลื่อน เรียกเต็มวา อางเอาสัจจะของตนเปนกําลังอํานาจ สญั เจตนกิ าสกุ กวสิ ัฏฐิ ตรงกบั คาํ วา สจั กริ ยิ า แตใ นภาษาไทย สญั ชยั ชอื่ ปรพิ าชกผเู ปน อาจารยใ หญค น มักใชวาสัตยาธิษฐาน; ดู สัจกิริยา, หนง่ึ ในพทุ ธกาล ตง้ั สาํ นกั สอนลทั ธอิ ยใู น สตั ยาธษิ ฐาน กรงุ ราชคฤห มศี ษิ ยม าก พระสารบี ตุ ร สจั จานโุ ลมญาณ ดู สจั จานโุ ลมกิ ญาณ และพระโมคคลั ลานะเคยบวชอยใู นสาํ นกั สจั จานโุ ลมกิ ญาณ ปรีชาเปน ไปโดยสม น้ี ภายหลงั เมอื่ พระพทุ ธเจา อบุ ตั ขิ น้ึ ใน ควรแกก ารกาํ หนดรอู รยิ สจั จ, ญาณอนั โลก พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะ คลอ ยตอ การตรสั รอู รยิ สจั จ; อนโุ ลมญาณ พรอ มดวยศิษย ๒๕๐ คนพากนั ไปสู ก็เรียก (ขอ ๙ ในวิปสสนาญาณ ๙) สํานักพระพุทธเจา สัญชัยเสียใจเปน ลม สจั ฉกิ รณะ การทําใหแจง, การประสบ, และอาเจียนเปนโลหิต; นิยมเรียกวา การเขา ถึง, การบรรลุ เชน ทําใหแ จงซ่งึ สญชยั ปรพิ าชก เปน คนเดยี วกบั สญั ชยั - เวลัฏฐบุตร คนหน่ึงใน ติตถกร หรอื ครู นิพพาน คือ บรรลุนพิ พาน สัญจร เทีย่ วไป, เดนิ ไป, ผานไป, ผาน ทั้ง ๖ สัญญมะ การยับยัง้ , การงดเวน (จาก ไปมา, เดนิ ทางกนั ไปมา สัญจริตตะ การชักส่ือใหชายหญิงเปน บาป หรือจากการเบียดเบียน), การ ผัวเมียกนั เปน ชอื่ สังฆาทิเสสสกิ ขาบทที่ บังคับควบคุมตน; โดยท่ัวไป ทาน ๕ ทหี่ า มการชกั ส่ือ อธิบายวา สญั ญมะ ไดแก “ศลี ”, บางที สัญเจตนา ความจงใจ, ความแสวงหา แปลวา “สาํ รวม” เหมือนอยาง สงั วร; อารมณ, เจตนาทแ่ี ตง กรรม, ความคดิ อา น; เพื่อความเขาใจชัดเจนในเบ้ืองตน พึง มี ๓ คอื กายสัญเจตนา วจสี ัญเจตนา และ มโนสญั เจตนา; ดู สงั ขาร ๓; มี ๖ เทียบความหมายระหวางขอธรรม ๓ คือ รูปสัญเจตนา สทั ทสญั เจตนา คนั ธ- อยาง คือ สงั วร เนน ความระวงั ในการ สัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพ- รับเขา คือปดก้ันส่ิงเสียหายท่ีจะเขามา จากภายนอก สัญญมะ ควบคุมตนใน
สัญญัติ ๔๑๙ สัตตบรรณคูหา การแสดงออก มใิ หเปนไปเพอื่ การเบยี ด หมายความไมง ามแหง กาย ๔. อาทนี ว- เบยี น เปน ตน ทมะ ฝกฝนแกไขปรบั สญั ญา กําหนดหมายโทษแหงกาย คือมี อาพาธตางๆ ๕. ปหานสัญญา กาํ หนด ปรุงตน ขม กําจัดสวนรา ยและเสรมิ สว น ทดี่ ีงามใหยง่ิ ขึน้ ไป; สังยมะ กเ็ ขยี น หมายเพ่ือละอกุศลวิตกและบาปธรรม สัญญัติ (ในคําวา “อปุ ช ฌายะช่อื อะไรก็ ๖. วิราคสัญญา กาํ หนดหมายวิราคะ ตาม ตง้ั สญั ญตั ลิ งในเวลานน้ั วา ชอื่ ตสิ สะ”) คืออริยมรรควาเปนธรรมอันสงบ การหมายร,ู ความหมายรูร วมกัน, ขอ ประณีต ๗. นโิ รธสญั ญา กาํ หนดหมาย สาํ หรบั หมายรรู วมกนั , ขอตกลง นโิ รธ คอื อริยผล วาเปน ธรรมอันสงบ สญั ญา การกําหนดหมาย, ความจาํ ได ประณีต ๘. สัพพโลเก อนภิรตสญั ญา หมายรู คือ หมายรูไว ซ่งึ รปู เสียง กําหนดหมายความไมนาเพลิดเพลินใน กล่นิ รส โผฏฐัพพะ และอารมณทีเ่ กดิ โลกทงั้ ปวง ๙.สพั พสงั ขาเรสุอนฏิ ฐสญั ญา กับใจวา เขยี ว ขาว ดํา แดง ดงั เบา กําหนดหมายความไมนาปรารถนาใน เสยี งคน เสยี งแมว เสยี งระฆงั กลิน่ สงั ขารทั้งปวง ๑๐. อานาปานัสสติ สติ ทุเรียน รสมะปราง เปนตน และจาํ ได กาํ หนดลมหายใจเขา ออก คอื รจู กั อารมณน นั้ วา เปน อยางนนั้ ๆ ใน สัญญาเวทยิตนิโรธ การดับสญั ญาและ เมือ่ ไปพบเขา อีก (ขอ ๓ ในขนั ธ ๕) มี เวทนา เปน สมาบตั ิ เรยี กเตม็ วา สญั ญา- ๖ อยาง ตามอารมณท หี่ มายรนู น้ั เชน เวทยิตนิโรธสมาบัติ เรียกสั้นๆ วา รูปสัญญา หมายรูรูป สัททสัญญา นโิ รธสมาบตั ิ (ขอ ๙ ในอนุปุพพวิหาร หมายรูเสียง เปนตน; ความหมาย ๙); ดู นิโรธสมาบตั ิ สามัญในภาษาบาลีวาเคร่ืองหมาย ที่ สัญโญชน ดู สงั โยชน สงั เกตความสาํ คญั วาเปนอยางนน้ั ๆ, ใน สัณฐาน ทรวดทรง, ลักษณะ, รูปรา ง ภาษาไทยมกั ใชห มายถงึ ขอ ตกลง, คาํ มนั่ สัตตกะ หมวด ๗ สญั ญา ๑๐ ความกาํ หนดหมาย, สงิ่ ทคี่ วร สัตตบรรณคูหา ช่ือถํ้าที่ภูเขาเวภาร- กําหนดหมายไวใ นใจ มี ๑๐ อยางคอื บรรพต ในกรุงราชคฤห เปนท่ีพระ ๑. อนิจจสญั ญา กาํ หนดหมายความไม เที่ยงแหงสังขาร ๒. อนัตตสัญญา พุทธเจาเคยทรงทํานิมิตตโอภาสแกพระ อานนท และเปนท่ีทําสงั คายนาคร้ังแรก; กําหนดหมายความเปนอนัตตาแหง เขียน สัตตปณ ณคิ หู า หรือ สตั ตบัณณ- ธรรมท้ังปวง ๓. อสภุ สญั ญา กาํ หนด คหู า ก็มี
สตั ตบรภิ ัณฑ ๔๒๐ สตั ตสดกมหาทาน สตั ตบรภิ ณั ฑ “เขาลอ มทง้ั เจด็ ” คาํ เรยี ก ไมเปน บญุ (คือเปน บาป ซ่งึ ในมลิ ินท- หมภู ูเขา ๗ เทอื ก ที่ลอมรอบเขาพระ ปญ หากลาววา พาผใู หไปสูอ บาย) จึงนา วิเคราะหวาในเรื่องน้ีมีเหตุผลหรือมีนัย สเุ มรุ หรือ สเิ นรุ คือ ยุคนธร อิสินธร ท่นี า ศึกษาอยางไร, ในทีน่ ้ี จะกลาวถงึ ขอมูลและขอสังเกตเบ้ืองตนไวประกอบ กรวิก สทุ ัสสนะ เนมินธร วินตก และ การพจิ ารณา คอื ก) ในโอกาสน้ี พระ เวสสนั ดรใหท านโดยสง่ั ใหแ จกจาย ทง้ั อัสสกัณณ ใหผาแกผ ตู อ งการผา ใหสรุ าแกนักเลง สตั ตมวาร, สตั มวาร วาระท่ี ๗, คร้ังท่ี สรุ า ใหอ าหารแกผ ตู อ งการอาหาร อรรถ- ๗; ในภาษาไทย นยิ มใชในประเพณที ํา กถาอธบิ ายวา พระเวสสนั ดรกท็ ราบอยูวา การใหน า้ํ เมาเปนทานทีไ่ รผ ล แตใหเ พือ่ บุญอทุ ิศแกผ ูลว งลับ โดยมีความหมาย ใหนักเลงสรุ าที่มากไ็ ดไ ป ไมตองไปพดู วามาแลวไมได ข) สตรที ีเ่ ปน ทานใน วา วันที่ ๗ หรอื วนั ทีค่ รบ ๗ เชน ในขอ คราวน้ี ตามเรอ่ื งวา นง่ั ประจาํ รถ ๕๐๐ คนั ซงึ่ เปน ทาน คนั ละคน (ทาํ นองวา เปน คน ความวา “บําเพญ็ กุศลสตั มวาร”, ท้ังนี้ ประจํารถ) ค) ในการใหทานบคุ คล พระ เวสสนั ดร คงจะไดร บั หรือใหเ ปน ไปโดย มคี ําทม่ี กั ใชในชดุ เดียวกันอกี ๒ คาํ คือ ความเหน็ ชอบของบคุ คลนนั้ เชน เดยี วกบั ปญ ญาสมวาร (วันที่ ๕๐ หรอื วันที่ ในการใหภ รยิ า ง) ในเวลามสตู ร (อง.ฺ นวก. ครบ ๕๐) และศตมวาร (วนั ที่ ๑๐๐ ๒๓/๒๒๓/๔๐๖) พระพุทธเจาตรัสเลาวา หรือวันทคี่ รบ ๑๐๐); พจนานกุ รมเขยี น พระองคเคยทรงเกิดเปนพราหมณช่ือวา สตั มวาร, อนง่ึ “สัตมวาร” (วารท่ี ๗) เวลามะ และไดใ หมหาทาน มขี องทเ่ี ปน เปนคําท่ีมาจากภาษาบาลีคือ “สตฺตม- ทานย่งิ ใหญม ากมาย ตง้ั แตถ าดทองคํา จาํ นวน ๘๔,๐๐๐ รวมทง้ั ชาง รถ โคนม วาร” ไมพงึ สบั สนกับคาํ วา “ศตมวาร” หญงิ สาว อยา งละ ๘๔,๐๐๐ (ถา เทยี บกนั กย็ ิง่ ใหญกวา มหาทานของพระเวสสันดร (วารท่ี ๑๐๐) ซ่ึงเปนคําจากภาษา ครงั้ น้ี มากมาย) แลวลงทา ยพระองค ตรัสวา ทานของผูใหอาหารแกคนมี สันสกฤต ที่ตรงกบั คาํ บาลีวา “สตมวาร” สัตตสดกมหาทาน ทานใหญอยางละ ๗๐๐ (ตามท่ีอรรถกถาประมวลไว ๗ หมวด คอื ชาง ๗๐๐ มา ๗๐๐ รถ ๗๐๐ สตรี ๗๐๐ วัวนม ๗๐๐ ทาส ๗๐๐ ทาสี ๗๐๐) ซึ่งชาดกเลาวา พระเวสสันดร บริจาคกอนเสด็จออกจากวังไปอยูที่เขา วงกตในแดนหิมพานต, แตตามหลัก พระพทุ ธศาสนา อติ ถที าน คอื การใหส ตรี จดั เขา ในจาํ พวกทานทไี่ มเ ปน ทาน และ
สตั ตสตกิ ขันธกะ ๔๒๑ สัตตาหกรณยี ะ สมั มาทฏิ ฐเิ พยี งคนเดยี ว มผี ลมากกวา สัตตังคะ เกาอี้มีพนกั สามดาน, เกาอีม้ ี มหาทานของเวลามพราหมณท่ีกลาวมา แขน นน้ั และตรัสถงึ กศุ ลกรรมที่มผี ลมากยิง่ สัตตัพภันตรสีมา อพัทธสีมาชนิดที่ ข้ึนไปๆ ตามลําดบั อรรถกถาอธบิ าย กาํ หนดเขตแหง สามคั คขี น้ึ ในปา อนั หาคน ดว ยวา ทานบางอยา งของเวลามพราหมณ ตง้ั บา นเรอื นมไิ ด โดยวดั จากทส่ี ดุ แนวแหง ก็ไมนับวาเปนทาน แตใหเพราะจะให สงฆอ อกไปดา นละ ๗ อพั ภนั ดรโดยรอบ ครบถว น ไมต อ งมีใครมาพูดวา ไมม อี นั สตั ตมั พเจดยี เจดยี สถานแหง หนงึ่ ทน่ี คร น้นั ไมมอี นั นี้ ทํานองวา ใหค รบสมบรู ณ เวสาลี แควนวชั ชี ณ ที่นพ้ี ระพุทธเจา ตามนิยมของโลก ซ่ึงมาเขาขอที่เปน เคยทาํ นิมิตตโ อภาสแกพระอานนท หลกั ทั่วไปวา จ) พระโพธสิ ตั วบาํ เพญ็ สัตตบิ ญั ชร เรอื นระเบยี บหอก, ซก่ี รงทํา บารมี ก็คอื กําลงั พัฒนาตนอยู แมจ ะ ดวยหอก บําเพ็ญความดีอยางยวดยิ่งยากที่ใคร สตั ตาวาส ภพเปนทอ่ี ยขู องสัตว มี ๙ อนื่ จะทาํ ได แตเ พราะยงั ไมต รสั รู ความดี เหมือนกบั วิญญาณฏั ฐติ ิ ๗ ตา งแตเพ่ิม ที่ทําสวนมากก็เปนความดีตามท่ีนิยม ขอ ๕ เขามาเปน ๕. สัตวเ หลาหนงึ่ ไมม ี ยดึ ถอื เขา ใจกนั ในกาลสมยั นนั้ ๆ คอื ทาํ ดี สัญญา ไมม กี ารเสวยเวทนา เชน พวก ท่ีสุดเทาท่ีทําไดในกาลเทศะน้ัน เชน เทพผเู ปน อสัญญีสตั ว, เลอ่ื นขอ ๕, ๖, ออกบวชเปนฤาษี ไดฌ านสมาบัติ ได ๗ ออกไปเปน ขอ ๖, ๗, ๘ แลวเตมิ ขอ โลกียอภิญญา แลวไปเกิดในพรหมโลก ๙. สัตวเหลาหนง่ึ ผูเ ขาถึงเนวสญั ญา- (อรรถกถากลา ววาสเุ มธดาบส กอ นออก นาสญั ญายตนะ บวชก็ไดบริจาคสัตตสดกมหาทาน); ดู สัตตาหะ สัปดาห, เจ็ดวัน; มกั ใชเ ปน คํา ทานทเี่ ปน บาป,ทานทไี่ มน บั วา เปน ทาน เรยี กยอ หมายถึง สัตตาหกรณียะ สัตตสติกขันธกะ ช่ือขันธกะท่ี ๑๒ แหง สัตตาหกรณียะ ธุระเปนเหตุใหภิกษุ จุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยการ ออกจากวดั ในระหวา งพรรษาได ๗ วนั สังคายนาครัง้ ท่ี ๒ ไดแ ก ๑. ไปเพอื่ พยาบาลสหธรรมกิ หรอื สัตตักขัตตปุ รมะ พระโสดาบัน ซงึ่ จะไป มารดาบิดาผูเจ็บไข ๒. ไปเพ่ือระงับ เกิดในภพอีก ๗ ครัง้ เปน อยางมากจงึ สหธรรมิกท่กี ระสันจะสกึ ๓. ไปเพ่อื กิจ จะไดบรรลุพระอรหัต (ขอ ๓ ใน สงฆ เชน ไปหาทพั พสัมภาระมาซอ ม โสดาบนั ๓) วหิ ารที่ชาํ รุดลงในเวลานั้น ๔. ไปเพอ่ื
สัตตาหกาลิก ๔๒๒ สัตยาธษิ ฐาน บาํ รงุ ศรทั ธาของทายกซงึ่ สง มานมิ นตเ พอ่ื ครเู ปนอยา งดี คอื ทรงพรํ่าสอนดวยพระ การบาํ เพญ็ กศุ ลของเขา และธรุ ะอนื่ จาก มหากรุณา หวงั ใหผ อู ่นื ไดค วามรูอยาง นที้ เ่ี ปน กจิ ลกั ษณะอนโุ ลมตามนไ้ี ด แทจริง, ทรงสอนมุงความจริงและ สัตตาหกาลิก ของที่รับประเคนเก็บไว ประโยชนเปนที่ต้ัง ทรงแนะนาํ เวไนย- ฉันไดช่ัว ๗ วัน ไดแกเ ภสชั ทั้ง ๕ คือ สัตวดวยประโยชน ทงั้ ทฏิ ฐธัมมกิ ัตถะ เนยใส เนยขน น้าํ มนั นาํ้ ผึ้ง นาํ้ ออย; ดู สมั ปรายิกตั ถะ และปรมัตถะ, ทรงรูจ ริง กาลกิ และปฏบิ ตั ิดวยพระองคเ องแลว จงึ ทรง สัตติกําลัง ในคําวา “ตามสัตติกําลัง” สอนผอู น่ื ใหร แู ละปฏบิ ตั ติ าม ทรงทาํ กบั แปลวา ตามความสามารถ และตามกาํ ลงั ตรสั เหมอื นกนั ไมใ ชต รสั สอนอยา งหนง่ึ หรือตามกําลังความสามารถ (สัตติ = ทาํ อยา งหนงึ่ , ทรงฉลาดในวธิ สี อน, และ ความสามารถ) มาจากคาํ บาลวี า ยถา- ทรงเปน ผนู าํ หมดู จุ นายกองเกวยี น (ขอ สตฺติ ยถาพล;ํ พูดเพยี้ นกันไปเปน ตาม ๗ ในพทุ ธคณุ ๙) สตกิ าํ ลงั กม็ ี สัตถศุ าสน, สัตถุสาสน คาํ สัง่ สอนของ สัตตุ ขาวค่ัวผง, ขนมผง ขนมแหง ทไ่ี ม พระศาสดา หมายถึงพระพุทธพจน; ดู บดู เชน ขนมทเี่ รยี กวาจันอบั และขนม นวงั คสตั ถศุ าสน สัตบุรุษ คนสงบ, คนดี, คนมีศีลธรรม, ปง เปนตน สตั ตผุ ง สตั ตกุ อ น ขา วตู เสบยี งเดนิ ทางท่ี คนท่ีประกอบดวยสปั ปุริสธรรม สองพอคา คือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ สัตมวาร วันท่ี ๗, วันทีค่ รบ ๗; เขียน ถวายแดพระพทุ ธเจา ขณะท่ีประทับอยู เต็มรปู เปน สตั ตมวาร สตั ย ความจรงิ , ความซอื่ ตรง, ความจรงิ ใจ; ใตต นราชายตนะ สัตถะ เกวยี น, ตา ง, หมูเกวียน, หมพู อ ดู สจั จะ สตั ยยคุ ดู กปั คาเกวียน สัตถกรรม การผา ตดั สตั ยาธษิ ฐาน การต้ังความจริงเปนหลัก สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ (พระผมู พี ระภาค อาง, ความต้ังใจกาํ หนดแนว ใหเ กิดผล เจา น้ัน) ทรงเปนศาสดาของเทวดาและ อยา งใดอยา งหนง่ึ โดยอา งเอาความจรงิ ใจ มนุษยท ั้งหลาย, ทรงเปนครขู องบุคคล ของตนเปน กาํ ลงั อาํ นาจ, คาํ เดมิ ในคมั ภรี ท้ังช้ันสูงและชั้นตาํ่ , ทรงประกอบดวย นยิ มใช สจั กริ ยิ า, สตั ยาธษิ ฐานน้ี เปน รปู คุณสมบตั ขิ องครู และทรงทาํ หนา ทข่ี อง สนั สกฤต รูปบาลเี ปน สัจจาธฏิ ฐาน; ดู
สัตว ๔๒๓ สัทธา สจั กริ ยิ า, สจั จาธฏิ ฐาน 2. สัทธัมมปชโชตกิ า ชอ่ื อรรถกถาอธิบาย สตั ว “ผตู ิดของในรปู ารมณเปนตน” ส่ิงที่ ความในคมั ภรี น ทิ เทส แหง พระสตุ ตนั ต- มีความรูสึกและเคล่ือนไหวไปไดเอง ปฎ ก พระอปุ เสนเถระ (หลกั ฐานบางแหง รวมตลอดทง้ั เทพ มาร พรหม มนษุ ย วา พระอปุ ตสิ สเถระ) แหง มหาวหิ ารใน เปรต อสรุ กาย ดริ จั ฉาน และสตั วนรก ลังกาทวปี เปนผูร จนาข้ึนเปนภาษาบาลี ในบาลีเพงเอามนุษยกอ นอยางอื่น, ไทย โดยถือตามแนวอรรถกถาเกาภาษา มักเพงเอาดริ ัจฉาน สงิ หฬ ทศี่ กึ ษาและรกั ษาสบื ทอดกันมา; สตั วนิกาย หมูสตั ว หลกั ฐานบางแหง เรยี กวา สทั ธมั มฏั ฐติ กิ า; สตั วโลก โลกคือหมูสัตว ดูโปราณฏั ฐกถา, อรรถกถา สัทธรรม ธรรมทีด่ ี, ธรรมท่แี ท, ธรรม สทั ธัมมสั สวนะ ฟงสทั ธรรม, ฟง คําสั่ง ของคนดี, ธรรมของสตั บรุ ษุ มี สทั ธรรม สอนของสัตบุรุษ, ฟง คาํ ส่งั สอนของทาน ๓ คือ ๑. ปริยัตสิ ัทธรรม สัทธรรมคือสงิ่ ท่ีประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ, สดับ ท่พี งึ เลาเรยี น ไดแ ก พุทธพจน ๒. เลาเรียนอานคําสอนเร่ืองราวท่ีแสดง ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือส่ิงพึง หลกั ความจริงความดงี าม (ขอ ๒ ใน ปฏิบัติ ไดแกไตรสิกขา ๓. ปฏิเวธ- วุฑฒิ ๔) สัทธรรม สทั ธรรมคอื ผลที่พงึ บรรลุ ได สัทธา ความเช่ือ, ความเช่อื ถือ; ในทาง แก มรรค ผล และนพิ พาน; สัทธรรม ๗ ธรรม หมายถงึ เชื่อสง่ิ ที่ควรเชอ่ื , ความ คือ ๑. ศรทั ธา ๒. หิริ ๓. โอตตปั ปะ ๔. เชอื่ ท่ปี ระกอบดว ยเหตุผล, ความเชอื่ มั่น พาหสุ จั จะ ๕. วริ ยิ ารัมภะ ๖. สติ ๗. ในส่งิ ท่ดี ีงาม, ความเล่ือมใสซาบซ้ึงชน่ื ใจ ปญ ญา สนิทใจเช่ือมั่นมีใจโนมนอมมุงแลนไป สัทธรรมปฏิรูป สัทธรรมปลอม, ตามไปรับคุณความดีในบุคคลหรือส่ิง สัทธรรมเทียม นัน้ ๆ, ความม่นั ใจในความจริง ความดี สัทธัมมปกาสินี ชื่อคัมภีรอรรถกถา สง่ิ ดีงาม และในการทําความดี ไมล ไู หล อธิบายความในปฏิสัมภิทามรรค แหง ต่ืนตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก พระสุตตันตปฎ ก พระมหานามะรจนา (ขอ ๑ ในพละ ๕, ขอ ๑ ในเวสารชั ช- ขนึ้ เปน ภาษาบาลี โดยถอื ตามแนวอรรถ- กรณธรรม ๕, ขอ ๑ ในสัทธรรม ๗, ขอ กถาเกาภาษาสิงหฬทร่ี กั ษาสบื ทอดมาใน ๑ ในอริยทรัพย ๗, ขอ ๑ ในอริยวัฑฒิ ลังกาทวปี ; ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถกถา ๕); เขียนอยา งสนั สกฤตเปน ศรัทธา
สทั ธาจรติ ๔๒๔ สัทธานสุ ารี ศรทั ธาทเ่ี ปนหลักแกนกลาง ซึง่ พบ ตถาคตโพธิสทั ธา เชอื่ ปญ ญาตรสั รขู อง ทวั่ ไปในพระไตรปฎก พระพทุ ธเจาตรสั พระตถาคต แสดงไวเปนขอเดียว (เชน อง.ฺปจฺ ก.๒๒/ อรรถกถาทง้ั หลายจาํ แนกวามี สทั ธา ๕๓/๗๔) คือ ตถาคตโพธสิ ทั ธา ความเช่อื ๔ ระดบั (เชน ท.ี อ.๓/๒๒๗; ม.อ.๓/๒๓๗; อง.ฺ อ. ปญ ญาตรัสรูของพระตถาคต (คาํ บาลวี า ๓/๒๙) คือ ๑. อาคมนสัทธา ความเชื่อ “สททฺ หติ ตถาคตสสฺ โพธ”ึ ; บางครงั้ เมอื่ ความมน่ั ใจของพระโพธสิ ตั ว อนั สบื มา ทรงแสดงคุณสมบัติของอริยสาวก จึง จากการบําเพญ็ สง่ั สมบารมี (อาคมนีย- ตรสั ถงึ อเวจจปสาทะ คอื ความเลอื่ มใสอนั สัทธา หรอื อาคมสัทธา ก็เรียก) ๒. ไมห วนั่ ไหว ในพระพทุ ธเจา ในพระธรรม อธิคมสัทธา ความเช่ือม่ันของพระ และในพระสงฆ เชน อง.ฺนวก.๒๓/๒๓๑/๔๒๐) อรยิ บคุ คล ซงึ่ เกดิ จากการเขา ถงึ ดว ยการ ศรทั ธาทีม่ กั กลา วถงึ ในอรรถกถา ได บรรลธุ รรมเปน ประจกั ษ (อธคิ มนสัทธา ก็เรยี ก) ๓. โอกัปปนสัทธา ความเช่ือ แก (อ.ุ อ.๒๓๕; อติ .ิ อ.๗๔; จรยิ า.อ.๓๓๖) สัทธา ๒ คอื ๑. ตถาคตโพธสิ ทั ธาเชอ่ื ปญ ญาตรสั รู หนักแนนสนิทแนวเมื่อไดปฏิบัติกาว ของพระตถาคต ๒. กัมมผลสทั ธา เชื่อ หนาไปในการเหน็ ความจรงิ (โอกปั ปนยี - กรรมและผลของกรรม, แตห ลายแหง สัทธา ก็เรยี ก, ทานวา ตรงกับอธโิ มกข (เชน อ.ุ อ.๑๑๐; อติ .ิ อ.๓๕๓; เถร.อ.๑/๔๙๐) แสดง หรืออธิโมกขสัทธา) ๔. ปสาทสัทธา สทั ธา ๒ คอื ๑. กัมมผลสทั ธา เช่ือกรรม ความเช่ือที่เปนเพียงความเลื่อมใสจาก และผลของกรรม ๒. รตนัตตยสทั ธา การไดยนิ ไดฟ ง เช่ือพระรัตนตรัย (กัมมผลสัทธา เปน สทั ธาจริต พน้ื นสิ ยั หนกั ในศรัทธา เช่ือ โลกยิ สทั ธา, รตนตั ตยสทั ธา ถา ถูกตอง งา ย พงึ แกดวยปสาทนียกถา คอื ถอ ย จริงแทเห็นประจักษดวยปญญาม่ันคง คําท่ีนําใหเกิดความเล่ือมใสในทางท่ีถูก ไมห วน่ั ไหว เปน โลกตุ ตรสทั ธา); อยา งไร ที่ควร และดวยความเช่ือที่มีเหตุผล กต็ าม ทร่ี จู ักกันมาก คอื สทั ธา ๔ ซง่ึ (ขอ ๔ ในจรติ ๖) เปน ชดุ สบื ๆ กนั มา ท่จี ัดรวมขนึ้ ภายหลัง สัทธานุสารี “ผูแลนไปตามศรทั ธา”, “ผู คอื ๑. กมั มสัทธา เชอื่ กรรม เชื่อการ แลน ตามไปดว ยศรทั ธา”, พระอรยิ บคุ คล กระทาํ ๒. วปิ ากสทั ธา เชอื่ ผลของกรรม ผูต้ังอยูในโสดาปตติมรรค ที่มี ๓. กมั มสั สกตาสทั ธา เช่อื วา สัตวมีกรรม สทั ธนิ ทรยี แ รงกลา (เม่ือบรรลผุ ล จะ เปน ของตัว ทําดไี ดด ี ทาํ ชวั่ ไดช ั่ว ๔. กลายเปน สัทธาวมิ ุต); ดู อรยิ บคุ คล ๗
สัทธาวิมุต ๔๒๕ สันตติ สัทธาวมิ ตุ “ผูหลุดพน ดว ยศรัทธา” พระ มาแตกาํ เนิด, อัธยาศยั ท่ีมีติดตอมา อรยิ บคุ คลตั้งแตโสดาบันขึ้นไป จนถงึ ผู สนั โดษ ความยินด,ี ความพอใจ, ยินดี ต้ังอยูในอรหตั ตมรรคที่มสี ัทธินทรียแ รง ดว ยปจจัย ๔ คือ ผา นงุ ผาหม อาหาร กลา (เมอ่ื บรรลอุ รหตั ตผล จะกลายเปน ที่นอนทน่ี ั่ง และยา ตามมตี ามได, ยินดี ปญ ญาวมิ ตุ ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ ของของตน, การมีความสขุ ความพอใจ สทั ธาสมั ปทา ถงึ พรอ มดวยศรัทธา คือ ดวยเคร่ืองเลี้ยงชีพที่หามาไดดวยความ เชือ่ สง่ิ ท่ีควรเชื่อ เชน เชื่อวา ทําดีไดด ี เพียรพยายามอนั ชอบธรรมของตน ไม โลภ ไมริษยาใคร; สันโดษ ๓ คือ ๑. ทําชว่ั ไดช วั่ เปนตน (ขอ ๑ ในสัมปราย-ิ ยถาลาภสนั โดษ ยนิ ดีตามท่ีได คอื ไดส ง่ิ กัตถสงั วตั ตนิกธรรม ๔) ใดมาดวยความเพียรของตน ก็พอใจ สทั ธวิ ิหารกิ , สทั ธงิ วิหาริก ศษิ ย, ผูอยู ดว ย เปนคําเรียกผทู ี่ไดร ับอปุ สมบท ถา ดวยสิง่ นน้ั ไมเ ดอื ดรอนเพราะของท่ีไม อปุ สมบทตอ พระอปุ ช ฌายะองคใ ด กเ็ ปน ได ไมเพงเล็งอยากไดของคนอื่นไม สทั ธวิ ิหารกิ ของพระอุปช ฌายะองคน้ัน รษิ ยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ ยนิ ดตี าม สัทธิวิหาริกวัตร ขอควรปฏิบัติตอ กาํ ลัง คอื พอใจเพียงแคพอแกก าํ ลงั รา ง สัทธิวิหาริก, หนาท่ีอันอุปชฌายจะพึง กายสุขภาพและขอบเขตการใชสอยของ กระทําแกส ทั ธวิ ิหารกิ คอื ๑. เอาธุระใน ตน ของทเ่ี กนิ กาํ ลงั กไ็ มห วงแหนเสียดาย การศกึ ษา ๒. สงเคราะหด ว ยบาตร จวี ร ไมเกบ็ ไวใหเ สยี เปลา หรอื ฝนใชใหเ ปน และบรขิ ารอนื่ ๆ ๓. ขวนขวายปอ งกนั โทษแกต น ๓. ยถาสารปุ ปสันโดษ ยนิ ดี หรอื ระงบั ความเสอ่ื มเสยี เชน ระงบั ความ ตามสมควร คือพอใจตามทสี่ มควรแก คดิ จะสกึ เปลอ้ื งความเหน็ ผดิ ฯลฯ ๔. ภาวะ ฐานะ แนวทางชวี ิต และจดุ หมาย พยาบาลเมอื่ อาพาธ; เทยี บ อุปช ฌายวตั ร แหง การบาํ เพญ็ กจิ ของตน เชน ภิกษุ สัทธิวิหารินี สัทธิวิหาริกผูหญิง คือ พอใจแตของอันเหมาะกับสมณภาวะ สทั ธิวิหาริกในฝายภกิ ษุณี แตต ามปกติ หรือไดของใชที่ไมเหมาะกับตนแตจะมี ไมเรียกอยางน้ี เพราะมีคําเฉพาะเรียก ประโยชนแกผ อู ืน่ กน็ ําไปมอบใหแ กเ ขา วา สหชีวนิ ี เปน ตน ; สนั โดษ ๓ นเ้ี ปน ไปในปจ จยั ๔ สันดาน ความสืบตอ แหงจติ คือกระแส แตละอยา ง จึงรวมเรียกวา สนั โดษ ๑๒ จิตที่เกิดดับตอเน่ืองกันมา; ในภาษา สันตติ การสืบตอ คอื การเกดิ ดบั ตอ ไทยมักใชในความหมายวาอุปนิสัยที่มี เน่ืองกันไปโดยอาการที่เปนปจจัยสงผล
สันตาปทกุ ข ๔๒๖ สนทฺ ิฏิโก แกกัน ในทางรูปธรรม ทีพ่ อมองเหน็ อยางสงบ อยา งหยาบ เชน ขนเกา หลุดรว งไปขน สนั ตรี ณะ ดู วถิ จี ติ ใหมเกิดขึ้นแทน ความสืบตอแหง สันตุฏฐิกถา ถอยคําที่ชักนําใหมีความ รูปธรรม จดั เปน อปุ าทายรปู อยางหนึ่ง; สนั โดษ (ขอ ๒ ในกถาวัตถุ ๑๐) ในทางนามธรรม จิตก็มสี ันตติ คอื เกิด สนั ถัต ผาปพู ืน้ ทหี่ ลอดวยขนเจียมคอื ขน ดบั เปน ปจ จัยสืบเนื่องตอกนั ไป แกะ ใชรองน่งั หรือปูนอน, แมวา ใน สันตาปทุกข ทกุ ขค ือความรอนรุม , ทุกข สกิ ขาบทท่ี ๕ แหงโกสิยวรรค (ขอ ๑๕ ใน รอน ไดแกความกระวนกระวายใจ นิสสัคคิยปาจิตตีย) จะใชคาํ วา “นิสีทน- เพราะถูกไฟกิเลสคอื ราคะ โทสะ และ สนั ถตั ” (สนั ถตั ทนี่ งั่ ) กม็ คี าํ อธบิ ายวา ทรง โมหะแผดเผา ใชค าํ นนั้ เพอื่ แกไ ขการทภ่ี กิ ษจุ าํ นวนมาก สันติ ความสงบ, ความระงบั ดบั หายหมด หลงเขาใจเอาสันถัตเปนจีวรผืนหน่ึง ไปแหงความพลุงพลานเรารอนกระวน (ภิกษุมากรูปจะสมาทานธุดงค เขาใจวา กระวาย, ภาวะเรียบรื่นไรความสับสน สันถัตเปนจีวรขนสัตว เกรงวาตนจะมี วุนวาย, ความระงับดับไปแหงกิเลสที่ จวี รเกิน ๓ ผนื จงึ ไดท ้ิงผาสนั ถัตน้ันเสยี เปนเหตุใหเกิดความเรารอนวาวุนขุน – วินย.๒/๙๓/๗๙; กงขฺ าวติ รณอี ภนิ วฏกี า, ๓๓๘) มัว, เปน ไวพจนหนงึ่ ของ นิพพาน สนั ทดั ถนดั , จดั เจน, ชาํ นาญ; ปานกลาง สันตเิ กนิทาน “เร่อื งใกลชิด” หมายถงึ สนั ทสั สนา การใหเ หน็ ชดั แจง หรอื ช้ใี ห เร่ืองราวหรือความเปนมาเก่ียวกับพระ ชัด คือ ชแี้ จงใหเ ขาใจชดั เจน มองเห็น พุทธเจาตั้งแตตรัสรูแลวจนเสด็จ เรื่องราวและเหตุผลตางๆ แจมแจง ปรนิ พิ พาน; ดู พทุ ธประวตั ิ เหมือนจูงมือไปดูเห็นประจักษกับตา; สันติเกรูป ดู รปู ๒๘ เปนลักษณะอยางแรกของการสอนที่ดี สันติภาพ ภาวะแหงสนั ต;ิ ตามท่ใี ชใ น ตามแนวพุทธจริยา (ขอตอไปคือ ปจจุบัน หมายถึงความสงบภายนอก สมาทปนา) คือ ภาวะที่สงั คมหรอื บา นเมืองสงบ ไม สนทฺ ฏิ ิโก (พระธรรมอนั ผไู ดบ รรล)ุ เหน็ มีความปนปวนวุนวาย, ภาวะท่ีระงับ เองรเู อง ประจกั ษแ จง กบั ตน ไมตอ งขน้ึ หรือไมมีความขัดแยง, ภาวะปราศจาก ตอ ผูอ น่ื ไมตอ งเช่อื ตอ ถอยคําของใคร สงครามหรือความมุง รา ยเปน ศัตรูกัน (ขอ ๒ ในธรรมคณุ ๖); เมื่อมาดวยกัน สันติวิหารธรรม ธรรมเปนเครื่องอยู กับ สมปฺ รายิโก (ใชเ ปนคําไทย มรี ปู
สนั นิธิ ๔๒๗ สปั ปุรสิ ธรรม เปน สัมปรายิกะ) ซ่ึงแปลวา เลยไปเบอ้ื ง สัปปฏิฆรูป ดูที่ อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป, หนา หรอื เลยตาเหน็ (เชน ม.ม.ู ๑๒/๑๙๘/๑๖๙) รปู ๒๘ สนทฺ ฏิ ิโกน้ี (สนั ทฏิ ฐ กิ ะ) แปลวา เปน สัปปาณกวรรค ตอนท่ีวา ดว ยเร่ืองสัตว ปจจุบัน เห็นทันตา หรอื เห็นกับตา มีชวี ิตเปน ตน, เปนวรรคที่ ๗ แหง สนั นธิ ิ การสงั่ สม, ของทีส่ ง่ั สมไว หมาย ปาจิตติยกัณฑในมหาวิภังคแหงพระ ถึงของเค้ียวของฉันท่ีรับประเคนแลว วนิ ยั ปฎก เก็บไวคางคืนเพื่อจะฉันในวันรุงขึ้น สัปปายะ สบาย, สภาพเอ้อื , สภาวะที่เกอื้ ภกิ ษฉุ นั ของนนั้ เปน ปาจติ ตยี ท กุ คาํ กลนื หนุน, สิ่ง สถาน หรอื บคุ คล ซง่ึ เปนท่ี (สกิ ขาบทท่ี ๘ แหง โภชนวรรค ปาจติ ตยิ - สบาย เหมาะกัน เกื้อกูล หรือเอื้อ กัณฑ) อํานวย โดยเฉพาะที่ชวยเก้ือหนุนการ สนั นบิ าต การประชมุ , ท่ปี ระชมุ สนนฺ ิปาติกา อาพาธา ความเจบ็ ไขเกดิ บําเพ็ญและประคับประคองรักษาสมาธิ ทานแสดงไว ๗ ขอ คอื อาวาส (ท่ีอย)ู จากสันนิบาต (คือประชุมกันแหง โคจร (ที่บิณฑบาตหรือแหลงอาหาร) ภัสสะ (เร่ืองพูดคุยที่เสริมการปฏิบัติ) สมุฏฐานทั้งสาม), ไขสันนิบาต คือ บคุ คล (ผูทเ่ี ก่ียวของดวยแลว ชว ยใหจติ ผองใสสงบมนั่ คง) โภชนะ (อาหาร) อุตุ ความเจ็บไขท ีเ่ กดิ ขน้ึ แตด ี เสมหะ และ (อณุ หภูมแิ ละสภาพแวดลอม) อิริยาบถ; ลม ทั้งสามเจือกัน; ดู อาพาธ สันนิวาส ที่อย,ู ทพี่ ัก; การอยูด วยกัน, การอยรู วมกนั ท้ัง ๗ ขอ น้ี ทเี่ หมาะกันเปน สัปปายะ สันนิษฐาน ความตกลงใจ, ลงความเห็น (เชน เปน อาวาสสัปปายะ) ท่ไี มสบาย ในท่สี ดุ ; ไทยใชในความหมายวา ลง เปนอสปั ปายะ ความเหน็ เปนการคาดคะเนไวก อน สัปป เนยใส; ดู เบญจโครส สันยาสี ผูสละโลกแลวตามธรรมเนียม สปั ปโสณฑกิ า ช่ือเงื้อมเขาแหง หน่ึงอยูท่ี ของศาสนาฮนิ ดู; ดู อาศรม สตี วัน ใกลก รงุ ราชคฤห ณ ที่นี้พระ สันสกฤต ชื่อภาษาโบราณของอินเดีย พุทธเจาเคยทํานิมิตตโอภาสแกพระ ภาษาหน่ึง ใชในศาสนาพราหมณหรือ อานนท ฮนิ ดู และพทุ ธศาสนาฝา ยมหายาน สัปปรุ ิสธรรม ธรรมของสตั บรุ ษุ , ธรรม สปั ดาห ๗ วนั , ระยะ ๗ วัน ของคนด,ี ธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน สตั บรุ ษุ มี ๗ สัปบรุ ุษ ดู สปั ปุรุษ ขอ คอื ๑. ธมั มญั ตุ า รหู ลกั หรอื รจู กั เหตุ
สปั ปรุ สิ บญั ญัติ ๔๒๘ สพั พตั ถกกมั มฏั ฐาน ๒. อัตถัญตุ า รูค วามมุงหมายหรอื รู สปั ปุรุษ เปน คาํ เลือนปะปนระหวา ง สัป- จักเหตผุ ล ๓. อัตตญั ตุ า รูจ ักตน ๔. ปุริส ท่เี ขียนอยา งบาลี กับ สตั บุรษุ ท่ี มตั ตญั ตุ า รจู กั ประมาณ ๕. กาลญั ตุ า เขียนอยางสนั สกฤต มคี วามหมายอยา ง รจู กั กาล ๖. ปรสิ ญั ตุ า รจู กั ชุมชน ๗. เดียวกัน (ดู สัตบุรษุ ) แตในภาษาไทย ปุคคลญั ตุ า รจู กั บคุ คล; อกี หมวดหน่งึ เปนคําอยูขางโบราณ ใชกันในความ มี ๘ ขอ คอื ๑. ประกอบดวย สัทธรรม หมายวา คฤหัสถผูมีศรัทธาในพระ ๗ ประการ ๒. ภกั ดสี ตั บรุ ุษ (คบหาผูม ี ศาสนา เฉพาะอยางยิ่งผูที่ไปรวมกิจ สัทธรรม ๗) ๓. คิดอยางสัตบุรษุ ๔. กรรมทางบุญทางกุศล รักษาศีลฟง ปรกึ ษาอยางสัตบุรษุ ๕. พดู อยา งสัต- ธรรมเปนประจําที่วัดใดวัดหนึ่ง บางที บรุ ษุ ๖. ทาํ อยา งสตั บุรุษ (๓, ๔, ๕, ๖ เรยี กตามความผกู พนั กบั วดั วา สปั ปรุ ษุ คือ คิด ปรกึ ษา พูด ทํา มใิ ชเพ่อื เบียด วดั นัน้ สัปปุรษุ วัดนี้ เบียนตนและผูอ่ืน) ๗. มีความเห็น สัพพกามี ชอ่ื พระเถระองคห น่ึงในการก อยางสตั บุรษุ (คอื เห็นชอบวา ทาํ ดีมีผล สงฆ ผูท ําสงั คายนาคร้งั ที่ ๒ เปนผมู ี ดี ทาํ ช่วั มีผลชวั่ เปนตน) ๘. ใหท าน พรรษาสงู สุด และทําหนา ทวี่ สิ ัชนา อยางสัตบุรุษ (คือใหโดยเคารพ เออ้ื สพั พโลเกอนภิรตสัญญา กําหนดหมาย เฟอแกของและผูรบั ทาน เปน ตน) ถึงความไมนาเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง สปั ปุรสิ บัญญัติ ขอ ทท่ี านสตั บรุ ษุ ต้ังไว, (ขอ ๘ ในสัญญา ๑๐) บัญญตั ขิ องคนดี มี ๓ คือ ๑. ทาน ปน สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา กําหนด สละของตนเพื่อประโยชนแกผูอ่ืน ๒. หมายถึงความไมนาปรารถนาในสังขาร ปพพัชชา ถือบวช เวนจากการเบียด ทงั้ ปวง (ขอ ๙ ในสัญญา ๑๐) เบยี นกัน ๓. มาตาปตุอุปฏฐาน บาํ รงุ สัพพญั ุตญาณ ญาณคอื ความเปนพระ มารดาบิดาของตนใหเ ปน สุข สัพพัญู, พระปรีชาญาณหย่ังรูสิ่งทั้ง สปั ปรุ สิ ปู ส สยะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี ปวง ทั้งที่เปน อดตี ปจ จบุ นั และอนาคต ไดค นดเี ปน ทพี่ ง่ึ อาศยั (ขอ ๒ ในจกั ร ๔) สัพพัญู ผูรูธรรมท้ังปวง, ผูรูท่ัวทั้ง สปั ปรุ สิ ปู สงั เสวะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี หมด, พระนามของพระพุทธเจา คบทานท่ีประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ, สัพพตั ถกกัมมัฏฐาน กรรมฐานทค่ี วร เสวนาทานผรู ูผ ูทรงคุณ (ขอ ๑ ในวุฑฒิ ใชประโยชนในทุกกรณี; ดู กัมมฏั ฐาน ๔) ๒; เทยี บ ปารหิ ารยิ กัมมัฏฐาน
สพั พตั ถคามินีปฏิปทาญาณ ๔๒๙ สัมปตตวริ ตั ิ สพั พตั ถคามนิ ีปฏิปทาญาณ ปรชี าหย่ัง เกดิ รวมกัน หรอื พว งมาดวยกนั รูทางที่จะนําไปสูสุคติท้งั ปวง คอื ทงั้ สัมปโยค การประกอบกัน สคุ ติ ทคุ ติ และทางแหงนิพพาน (ขอ ๓ สัมประหาร การสรู บกนั , การตอ สกู นั สมั ปรายภพ ภพหนา ในทศพลญาณ) สมั ปชัญญะ ความรตู วั ท่วั พรอ ม, ความ สัมปรายิกัตถะ ประโยชนภายหนา, รตู ระหนกั , ความรชู ดั เขาใจชดั ซ่งึ สง่ิ ที่ ประโยชนขัน้ สงู ขน้ึ ไป อนั ไดแ กความมี นกึ ได; มกั มาคูกับสติ (ขอ ๒ ในธรรมมี จิตใจเจริญงอกงามดวยคุณธรรมความ อปุ การะมาก ๒); สมั ปชัญญะ ๔ ไดแ ก ดี ทําใหชวี ิตนมี้ ีคา และเปนหลักประกัน ๑.สาตถกสัมปชัญญะ รูชัดวามี ชวี ติ ในภพหนา ซงึ่ จะสาํ เรจ็ ไดด ว ยธรรม ประโยชน หรือตระหนกั วาตรงตามจดุ ๔ ประการ คือ ๑. สทั ธาสัมปทา ถึง หมาย ๒.สปั ปายสมั ปชญั ญะ รูชัดวา พรอมดวยศรัทธา ๒. สลี สัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. จาคสมั ปทา ถงึ พรอ ม เปนสัปปายะ หรือตระหนักวาเก้ือกูล ดว ยการบรจิ าค ๔. ปญ ญาสมั ปทา ถงึ เหมาะกัน ๓.โคจรสมั ปชญั ญะ รชู ัดวา เปนโคจร หรือตระหนกั ในแดนงานของ พรอ มดว ยปญ ญา ธรรม ๔ อยา งนเี้ รยี ก ตน ๔.อสมั โมหสมั ปชญั ญะ รูชัดวา ไม เตม็ วา สมั ปรายกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม หลง หรอื ตระหนักในตวั สภาวะ ไมหลง สมั ปหงั สนา การทาํ ใหร า เรงิ หรอื ปลกุ ให ใหล ไมส ับสนฟนเฟอ น รา เรงิ คอื ทาํ บรรยากาศใหส นกุ สดชน่ื สัมปชานมุสาวาท รูตัวอยูกลาวเท็จ, แจม ใส เบกิ บานใจ ใหผ ฟู ง แชม ชน่ื มคี วาม การพดู เทจ็ ทงั้ ทรี่ ู คอื รคู วามจรงิ แตจ งใจ หวงั มองเหน็ ผลดแี ละทางสาํ เรจ็ ; เปน พูดใหค ลาดจากความจรงิ เพือ่ ใหผูฟง ลักษณะอยางหนึ่งของการสอนที่ดีตาม เขา ใจเปน อยา งอน่ื จากความจรงิ (สกิ ขา- แนวพทุ ธจรยิ า (ขอ กอ นคอื สมตุ เตชนา) บทท่ี ๑ แหงมสุ าวาทวรรค ปาจติ ติย- สมั ปต ตโคจรคั คาหิกรูป ดทู ี่ รปู ๒๘ กัณฑ) สัมปตตวิรัติ ความเวนจากวัตถุอันถึง สมั ปฏิจฉนะ, สัมปฏิจฉนั นะ ดู วถิ จี ติ เขา, การเวน เม่อื ประสบซ่งึ หนา คอื ไมได สัมปยตุ ประกอบดว ย; สัมปยุตต ก็ สมาทานศีล หรือต้ังใจละเวนมากอน เขยี น แตเมื่อประสบเหตุอันจะทําใหความชั่ว สัมปยุตตธรรม ธรรมท่ีประกอบอยู หรือละเมิดศีลเขาเฉพาะหนา ก็ละเวน ดว ย, ธรรมทีป่ ระกอบกนั , สภาวธรรมที่ ไดในขณะน้นั เอง ไมล วงละเมดิ ศีล (ขอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: