Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

อปั ปมาทคารวตา ๕๓๐ อัพโภกาสกิ งั คะ ทถี่ กู ; อกี หมวดหนง่ึ วา ๑. ระวงั ใจไมใ ห หม,ู เปน ขน้ั ตอนสดุ ทา ยแหง วฏุ ฐานวธิ ี คอื กําหนัด ในอารมณเปนที่ตั้งแหงความ ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติ กาํ หนัด ๒. ระวงั ใจไมใ หขัดเคือง ใน ขั้นสังฆาทิเสส ไดแกการที่สงฆสวด อารมณเปนที่ตั้งแหงความขัดเคือง ๓. ระงับอาบัติ รับภิกษุผูตองอาบัติ ระวังใจไมใหหลง ในอารมณเปนที่ต้ัง สังฆาทเิ สส และไดท ําโทษตนเองตามวธิ ี แหงความหลง ๔. ระวังใจไมใ หมวั เมา ที่กําหนดเสร็จแลว ใหกลับคืนเปนผู ในอารมณเ ปน ท่ตี ง้ั แหงความมัวเมา บริสุทธ วธิ ปี ฏบิ ัติ คอื ถาตองอาบตั ิ อปั ปมาทคารวตา ดู คารวะ สังฆาทิเสสแลวไมไดปด ไว พึงประพฤติ อปั ปมาทธรรม ธรรมคอื ความไมป ระมาท มานัตส้ิน ๖ ราตรีแลวขออัพภานกะ อปั ยศ ปราศจากยศ, เสียช่ือเสียง, เสื่อม สงฆวีสติวรรค สงฆสวดอัพภานแลว เสีย, นา ขายหนา ช่ือวาเปนผูบริสุทธ์ิจากอาบัติ, แตถา อัปปจฉกถา ถอยคําท่ีชักนําใหมีความ ภิกษุตองปกปดอาบัติไวลวงวันเทาใด ปรารถนานอ ย หรอื มกั นอ ย (ขอ ๑ ใน ตองประพฤตวิ ตั รเรยี กวา อยูปริวาสชด กถาวัตถุ ๑๐) ใชครบจํานวนวันเทาน้ันกอน จึง อัปปยารมณ อารมณท ีไ่ มน ารกั ไมน า ประพฤติมานตั เพม่ิ อีก ๖ ราตรี แลว จงึ ชอบใจ ไมน า ปรารถนา เชน รูปทไ่ี ม ของอัพภานกะสงฆว สี ติวรรค เม่อื สงฆ สวยไมงามเปนตน อพั ภานแลว อาบตั ิสังฆาทเิ สสทีต่ องชือ่ อพฺพุฬฺหสลฺโล “มีลูกศรอันถอนแลว” วา เปน อันระงับ หมายถงึ หมดกเิ ลสทท่ี มิ แทง, เปน คณุ บท อัพภานารหะ ภกิ ษุผคู วรแกอพั ภาน ได ของพระอรหนั ต แกภกิ ษผุ ปู ระพฤติมานตั ส้ิน ๖ ราตรี อัพโพหาริก “กลาวไมไ ดวา มี”, มีแตไม ครบกําหนดแลว เปน ผูควรแกอพั ภาน ปรากฏ จงึ ไมไ ดโ วหารวา มี, มีเหมือนไม คือควรที่สงฆวีสติวรรคจะสวดอัพภาน มี เชน สรุ าท่ีเขาใสในอาหารบางอยาง (เรียกเขาหม)ู ไดตอไป เพื่อฆาคาวหรือชูรส และเจตนาท่ีมีใน อพั ภานารหภกิ ษุ ดู อัพภานารหะ อัพโภกาสิกังคะ องคแหงผูถืออยูในท่ี เวลาหลบั เปน ตน อัพภันดร มาตราวดั เทา กับ ๒๘ ศอก แจงเปนวัตร คอื อยูเฉพาะกลางแจง ไม หรอื ๗ วา อยใู นที่มุงบงั หรอื แมแ ตโคนไม (หา ม อพั ภาน “การเรียกเขา” การรบั กลบั เขา ถอื ในฤดูฝน) ขอ ๑๐ ในธุดงค ๑๓)

อัพยากตะ,อพั ยากฤต ๕๓๑ อากร อัพยากตะ, อัพยากฤต “ซ่ึงทานไม เปนน่ี, การถอื เราถือเขา พยากรณ”, มิไดบอกวาเปนกุศลหรือ อัสสกะ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ อกุศล (ไมจ ัดเปน กุศลหรอื อกุศล) คอื แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูลุมนํา้ เปนกลางๆ ไมดไี มช ่ัว ไมใ ชกุศลไมใช โคธาวรี ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแหง อกศุ ล ไดแก วบิ าก กริ ยิ า รูป และ แควน อวนั ตี นครหลวงชื่อ โปตลิ (บาง นิพพาน ทเี รียก โปตนะ) อมั พปาลวี นั สวนทหี่ ญงิ แพศยาชอ่ื อมั พ- อัสสชิ 1. พระมหาสาวกองคหน่ึงเปน ปาลี ถวายเปน สงั ฆาราม ไมนานกอ นวนั พระเถระรูปหน่ึงในคณะปญจวคั คยี เ ปน พุทธปรนิ พิ พาน อยูในเขตเมอื งเวสาลี พระอรหันตรุนแรกและเปนอาจารยของ อมั พวนั สวนมะมว ง มหี ลายแหง เพอื่ กนั พระสารีบุตร 2. ช่ือภกิ ษุรปู หนงึ่ ในภกิ ษุ สบั สน ทา นมกั ใสชื่อเจา ของสวนนําหนา ๖ รปู ซง่ึ ประพฤตเิ หลวไหล ทเ่ี รยี กวา ดว ย เชน สวนมะมว งของหมอชวี ก ในเขต พระฉพั พคั คีย คกู บั พระปนุ พั พสกุ ะ เมืองราชคฤห ซ่ึงถวายเปนสังฆาราม อสั สพาชี มา เรียกวา ชีวกมั พวนั เปน ตน อัสสยุชมาส, ปฐมกัตติกมาส เดือน อัยกะ, อยั กา ป,ู ตา ๑๑; ปุพพกตั ติกา หรือ บพุ กัตติกา ก็ อัยการ เจาพนักงานท่ศี าลฝายอาณาจักร เรยี ก จดั ไวเ ปน เจา หนาท่ีฟอ งรอ ง, ทนายแผน อัสสัตถพฤกษ ตน ไมอ ัสสัตถะ, ตน พระ ดนิ , ทนายหลวง ศรีมหาโพธิ์ ท่ีริมฝงแมนํ้าเนรัญชรา อยั ก,ี อัยยิกา ยา , ยาย ตาํ บลอุรุเวลาเสนานคิ ม อนั เปน สถานที่ อศั วเมธ พิธเี อามา บูชายญั คอื ปลอ ยมา ท่ีพระมหาบุรุษ ไดตรัสรูพระอนุตตร- อุปการใหผานดินแดนตางๆ เปนการ สมั มาสมั โพธิญาณ; ดู โพธิ์ ประกาศอํานาจจนมาน้ันกลับ แลวเอา อัสสาทะ ความยนิ ดี, ความพึงพอใจ, รส มาน้ันฆาบูชายัญ เปนพิธีประกาศ อรอย เชน รสอรอยของกาม, สวนด,ี อานุภาพของราชาธิราชในอินเดียครั้ง สว นท่นี าชน่ื ชม โบราณ อสั สาสะ ลมหายใจเขา อัสดงค ตกไป คือ พระอาทิตยตก, อัสสุ นาํ้ ตา พจนานกุ รม เขียน อัสดง อากร หมู, กอง, บอ เกดิ , ทเ่ี กดิ เชน อัสมมิ านะ การถอื วานีฉ่ ัน น่กี ู กูเปนนน่ั ทรพั ยากร ที่เกิดทรัพย ศิลปากร บอ

อากัปกริ ิยา ๕๓๒ อากาศ เกดิ ศลิ ปะ, คาธรรมเนยี มที่รัฐบาลเรยี ก ประเภทตามความหมายนยั ตา งๆ เปน อากาศ ๓ คือ ปริจเฉทากาศ กสิณคุ ฆา- เก็บ จากส่ิงทเี่ กดิ จากธรรมชาติ หรือสิ่ง ฏิมากาศ และอัชฏากาศ (ปญจ.อ.๑๑๓๒/ ๒๒๐) แตในคมั ภรี ช้นั หลัง บางแหง (เชน ทที่ าํ ขน้ึ เพ่อื การคา อากัปกิริยา การแตงตวั ดี และมีทา ทาง ปาจติ ยฺ าทโิ ยชนา และอนทุ ปี นปี า, มแี ตฉ บบั อกั ษร เรยี บรอ ยงดงาม; กิรยิ าทา ทาง อาการ ภาวะที่ปรากฏหรือแสดงออก, พมา ยังไมพบตีพิมพในประเทศไทย) แยก ความเปน ไป, สภาพ, ทา ทาง, ทวงที, ละเอยี ดออกไปอกี เปน อากาศ ๔ คือ ๑. ปริจเฉทากาศ ชองวางทกี่ าํ หนดแยกรูป ทํานอง, กิริยาท่ีทําหรือท่ีแสดง, ทง้ั หลาย หรอื ชอ งวา งระหวา งกลาป คอื รปู ในความหมายทีเ่ ปนปรจิ เฉทรปู (รปู ลักษณะของการกระทําหรือความเปน ปรจิ เฉทากาศ กเ็ รยี ก) ๒.ปรจิ ฉนิ นากาศ ชองวางท่ีถูกกําหนดแยก คือชองวาง ไป; สว นปลกี ยอย, สวนประกอบที่แยก ระหวา งวตั ถทุ ง้ั หลาย เชน ชอ งประตู รฝู า ชอ งหนา ตา ง ชอ งหู รจู มกู (ที่ใชเ ปน ยอยกระจายออกไป (อวยั วะหลัก เรยี ก อากาศกสิณ คือขอ น)้ี ๓. กสิณคุ ฆาฏ-ิ มากาศ ชองวางท่ีเกิดจากการเพิกกสิณ วา “องค” อวัยวะยอย เรียกวา นมิ ิต คอื ชองวางหรืออากาศอนั อนนั ตท ่ี “อาการ”) เชน ในคําวา ทวตั ติงสาการ เปน อารมณข องอากาสานัญจายตนฌาน อาการ ๓๒ ดู ทวตั ติงสาการ ๔. อชั ฏากาศ ชอ งวา งเวิง้ วาง คอื ทอ งฟา อาการท่ีพระพุทธเจาทรงสั่งสอน มี (บางทีเรียกวา ตจุ ฉากาศ คอื ชองวา งท่ี ๓ อยา งคือ ๑. ทรงรูยิ่งเหน็ จริงเองแลว วางเปลา ) แลว บอกวา ขอ ท่ี ๒ คอื ปรจิ ฉินนากาศ จดั รวมเขา ไดก บั ขอ ที่ ๑ จงึ ทรงส่ังสอนผูอ น่ื เพ่อื ใหร ยู ง่ิ เห็นจริง คือรูปปริจเฉทากาศ นกี่ ห็ มายความวา ทา นแยกขอ ที่ ๑ ของอรรถกถา ออกเปน ตามในธรรมทคี่ วรรคู วรเหน็ ๒. ทรงส่ัง ๒ ขอ, เหตทุ คี่ ัมภีรชั้นหลงั แยกอยา งนี้ เพราะตองการแยกอากาศท่ีเปนสภาว- สอนมีเหตุผลซ่ึงผูฟงอาจตรองตามให ธรรม คือทเ่ี ปน ปรจิ เฉทรูป ออกไวตาง หากใหชัด ดงั จะเหน็ วา อกี ขอ หนง่ึ คอื เหน็ จริงได ไมเ ล่อื นลอย ๓. ทรงส่งั สอนเปนอัศจรรย ทําใหผูฟงยอมรับ และนําไปปฏิบัติตาม ไดรับผลจริง บงั เกดิ ประโยชนสมควรแกก ารปฏบิ ตั ิ อาการทีภ่ ิกษุจะตอ งอาบตั ิ ๖ ดู อาบัติ อากาศ ทว่ี า งเปลา, ชองวา ง, ทอ งฟา ; ใน ความหมายเดิม ไมเรียกแกสทีใ่ ชหายใจ วาอากาศ แตเรียกแกสน้ันวาเปนวาโย หรอื วาโยธาตุ; ในอรรถกถา ทา นแยก

อากาศธาตุ ๕๓๓ อาจริยมัตต ปริจฉินนากาศ อยางชองหู รูกุญแจ อากลู วนุ วาย, ไมเ รยี บรอ ย, สบั สน, คง่ั คา ง หรือชองท่ีกําหนดเปนอารมณกสิณ ก็ อาคม ปรยิ ตั ทิ เี่ รยี น, การเลา เรยี นพทุ ธ- เน่ืองกันอยูกับอัชฏากาศนั่นเอง (เปน พจน; ในภาษาไทยมีความหมายเพีย้ น เพยี งบญั ญตั ิ มใิ ชส ภาวะ) แตใ นอรรถ- ไปเปนเวทมนตร กถาและคัมภีรทั่วไปท่ีไมแยกละเอียด อาคันตุกะ ผมู าหา, ผูมาจากทอี่ น่ื , ผจู ร อยา งนนั้ เรยี กอากาศทก่ี าํ หนดเปน กสณิ มา, แขก; (ในคาํ วา “ถาปรารถนาจะให คืออากาศกสิณ วาเปนปริจเฉทากาศ- อาคันตุกะไดรับแจกดวย”) ภิกษุผูจํา กสณิ บาง ปรจิ ฉนิ นากาศกสณิ บาง ไม พรรษาท่ีวดั อื่นจรมา, ถาภิกษผุ ูม ีหนาท่ี ถือตายตัว, จะเห็นวา อากาศในขอ ๒ เปนจีวรภาชกะ (ผูแจกจีวร) ปรารถนา เปนกสิณสําหรับผูเจริญรูปฌาน และ จะใหอาคันตุกะมีสวนไดรับแจกจีวร เมอ่ื เพิกกสิณนิมิตของขอ ๒ นเ้ี สีย ก็ ดวย ตอ งอปโลกน คอื บอกเลา ขอ เปน อากาศในขอ ที่ ๓; “อัชฏากาศ” นี้ อนุมัติตอภิกษุเจาถิ่นคือผูจําพรรษาใน เขยี นตามหนงั สอื เกา จะเขยี น อชฏากาศ วดั นน้ั (ซึ่งเรียกวา วัสสกิ ะ หรือ วัสสา- ก็ได; ดู รูป ๒๘ วาสกิ ะ แปลวา “ภกิ ษผุ ูอยจู าํ พรรษา”) อากาศธาตุ สภาวะท่ีวาง, ความเปนที่วาง อาคันตุกภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะ เปลา, ชองวางในรางกาย ท่ีใชเปน ภกิ ษุอาคนั ตุกะ คือผูจรมาจากตา งถนิ่ อารมณกรรมฐาน เชน ชองหู ชองจมูก อาคันตุกวัตร ธรรมเนียมที่ภิกษุควร ชอ งปาก ชองอวยั วะตา งๆ; ในคัมภีร ปฏบิ ตั ติ อ อาคนั ตกุ ะ คอื ภกิ ษผุ จู รมา เชน อภิธรรม จัดเปนอุปาทายรปู อยา งหนงึ่ ขวนขวายตอ นรบั แสดงความนบั ถอื จดั เรยี กวา ปรจิ เฉทรูป; ดู ธาต,ุ รูป ๒๘ หรอื บอกใหน าํ้ ใหอ าสนะ ถา อาคนั ตกุ ะจะ อากาสานัญจายตนะ ฌานกําหนด มาพกั มาอยู พงึ แสดงเสนาสนะ บอกที่ อากาศคือชองวางหาท่ีสุดมิไดเปน ทางและกตกิ าสงฆ เปน ตน อารมณ, ภพของผูเขาถึงอากาสานัญ- อาคาริยวินัย วินัยของผูค รองเรอื น; ดู วินยั ๒ จายตนฌาน (ขอ ๑ ในอรปู ๔) อากญิ จญั ญายตนะ ฌานกําหนดภาวะที่ อาจริยมตั ต ภกิ ษผุ ูม ีพรรษาพอท่ีจะเปน ไมม อี ะไรเลยเปนอารมณ, ภพของผูเขา อาจารยใหนิสสัยแกภกิ ษุอ่ืนได, พระปนู ถงึ อากิญจัญญายตนฌาน (ขอ ๓ ใน อาจารย คอื มีพรรษา ๑๐ ขนึ้ ไป หรอื อรปู ๔) แกก วา ราว ๖ พรรษา; อาจรยิ มตั กเ็ ขยี น

อาจรยิ วัตร ๕๓๔ อาณา อาจริยวัตร กิจอันท่ีอันเตวาสิกควร ปฏิบตั ิเสมอๆ ประพฤติปฏิบัติตออาจารย (เชนเดียว อาชญา อํานาจ, โทษ กับ อุปชฌายวัตร ที่สัทธิวิหาริกพึง อาชีวะ อาชพี , การเล้ยี งชีพ, ความเพยี ร ปฏิบตั ิตออุปชฌาย) พยายามในการแสวงหาปจจัยยังชีพ, อาจริยวาท วาทะของพระอาจารย, มติ การทาํ มาหากิน ของพระอาจารย; บางที ใชเปน คาํ เรียก อาชีวก นกั บวชชเี ปลือยพวกหนึ่งในคร้งั พุทธศาสนานิกายฝายเหนือ คือ พุทธกาล เปนสาวกของมกั ขลโิ คสาล มหายาน อาชวี ปารสิ ุทธิ ความบรสิ ทุ ธแ์ิ หง อาชวี ะ อาจาระ ความประพฤติดี, มรรยาทดี คอื เลยี้ งชวี ติ โดยทางทชี่ อบ ไมป ระกอบ งาม, จรรยา อเนสนา เชน ไมหลอกลวงเขาเลยี้ งชวี ติ อาจารย ผูสง่ั สอนวชิ าความร,ู ผูฝ ก หัด (ขอ ๓ ในปารสิ ุทธศิ ีล ๔), ทเี่ ปน ขอ ๓ อบรมมรรยาท, อาจารย ๔ คอื ๑. ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ นนั้ เรยี กเตม็ วา อาชวี - บัพพาชาจารย หรือ บรรพชาจารย ปารสิ ทุ ธศิ ลี แปลวา ศลี คอื ความบริสทุ ธิ์ อาจารยใ นบรรพชา ๒. อปุ สมั ปทาจารย แหง อาชีวะ อาจารยในอุปสมบท ๓. นิสสยาจารย อาชีววิบัติ เสียอาชีวะ, ความเสียหาย อาจารย ผใู หน สิ สยั ๔. อทุ เทศาจารย แหงการเลี้ยงชพี คือ ประกอบมจิ ฉา- หรือ ธรรมาจารย อาจารยผ ูสอนธรรม อาชวี ะมหี ลอกลวงเขาเลย้ี งชพี เปนตน อาจารวิบัติ เสียอาจาระ, เสียจรรยา, (ขอ ๔ ในวบิ ตั ิ ๔) มรรยาทเสียหาย, ประพฤติยอหยอน อาญา อํานาจ, โทษ รุมราม มักตองอาบัติเล็กนอยต้ังแต อาญาสิทธ์ิ อํานาจเด็ดขาด คอื สทิ ธิท่แี ม ถลุ ลจั จยั ลงมาถงึ ทุพภาสิต (ขอ ๒ ใน ทัพไดรับพระราชทานจากพระเจาแผน วิบัติ ๔) ดนิ ในเวลาไปสงครามเปนตน อาจณิ เคยประพฤติมา, เปนนิสยั , ทํา อาฏานาฏยิ ปรติ ร ดู ปรติ ร อาฏานาฏยิ สตู ร ดู ปรติ ร เสมอๆ, ทาํ จนชนิ อาจิณณจริยา ความประพฤติเนืองๆ, อาณตั ิ ขอ บงั คบั , คาํ สงั่ กฎ; เครอื่ งหมาย ความประพฤติประจํา, ความประพฤตทิ ่ี อาณตั ิสัญญา ขอ บงั คับท่ไี ดนดั หมายกัน เคยชนิ ไว, เครอื่ งหมายที่ตกลงกนั ไว อาจิณณวัตร การปฏิบัติประจํา, การ อาณา อํานาจปกครอง

อาณาเขต ๕๓๕ อาทติ ตปริยายสูตร อาณาเขต เขตแดนในอํานาจปกครอง, ท่ี บัดน้ี นิยมใชพูดอยางใหเกียรตแิ กค น ดินในทบ่ี ังคบั ทวั่ ไป) อาณาจักร เขตแดนท่ีอยูในอํานาจปก อาถรรพณ เวทมนตรท่ีใชเพ่ือใหดีหรือ ครองของรฐั บาลหนึ่ง, อาํ นาจปกครอง รา ย, วชิ าเสกเปา ปองกนั , การทาํ พิธปี อง ทางบานเมือง ใชคูกับพุทธจักร ซ่ึง กันอันตรายตางๆ ตามพิธีพราหมณ หมายถึงขอบเขตการปกครองของพระ เชน พิธฝี ง เสาหิน หรอื ฝง บัตรพลี สงฆในพระพทุ ธศาสนา เรยี กวา ฝงอาถรรพณ (สบื เนอ่ื งมาจาก อาณาประชาราษฎร ราษฎรชาวเมอื งที่ พระเวทคัมภรี ท ่ี ๔ คอื อถรรพเวท หรือ อาถรรพณเวท) อาถรรพ ก็ใช อยูในอาํ นาจปกครอง อาณาประโยชน ผลประโยชนท่ีตนมี อาทร ความเอ้ือเฟอ , ความเอาใจใส อาทิ เปน ตน ; ทีแรก, ขอตน อํานาจปกครองสว นตัว อาณาปวัติ ความเปนไปแหงอาณา, อาทกิ มั ม ดู อาทกิ มั มกิ ะ 2 ขอบเขตทอ่ี าํ นาจปกครองแผไ ป; เปน ไป อาทกิ มั มกิ ะ 1. “ผทู าํ กรรมทแี รก” หมาย ในอาํ นาจปกครอง, อยใู นอาํ นาจปกครอง ถึง ภิกษุผูเปนตนบัญญัติในสิกขาบท อาณาปาฏโิ มกข ดู ปาฏิโมกข นน้ั ๆ 2. ชอ่ื คมั ภรี ใ นพระวนิ ยั ปฎ ก เปน อาณาสงฆ อํานาจของสงฆ, อํานาจ คมั ภรี แ รก เมอ่ื แยกพระวนิ ยั ปฎ กเปน ๕ ปกครองของสงฆ คือสงฆป ระชมุ กนั ใช คมั ภรี  ใชค าํ ยอ วา อา; อาทกิ มั ม กเ็ รยี ก อํานาจโดยชอบธรรม ระงับอธิกรณท่ี อาทิตตปริยายสูตร ชื่อพระสูตรที่พระ เกดิ ขน้ึ พุทธเจาทรงแสดงแกภิกษุประมาณ อาดรู เดือดรอน, กระวนกระวาย, ทน ๑,๐๐๐ รปู มีอุรเุ วลกสั สป เปนตน ซึง่ ทกุ ขเวทนาทั้งกายและใจ เคยเปนชฎิลบูชาไฟมากอน วาดวย อาตมภาพ ฉัน, ขาพเจา (ใชแ กพระภิกษุ อายตนะท้งั ๖ ที่รอนตดิ ไฟลุกท่วั ดวย สามเณรใชเรียกตัวเอง เมื่อพูดกับ ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ตลอด คฤหสั ถผ ใู หญ ตลอดถงึ พระเจา แผน ดนิ ) จนรอนดวยทุกข มีชาติ ชรามรณะ อาตมนั ตัวตน, คําสันสกฤต ตรงกบั เปนตน ทําใหภิกษุเหลานั้นบรรลุ บาลคี อื อตั ตา อรหัตตผล (มาในคมั ภีรมหาวรรค แหง อาตมา ฉัน, ขาพเจา (สําหรบั พระภิกษุ พระวนิ ยั ปฎ ก และสงั ยตุ ตนกิ าย สฬาย- สามเณรใชพูดกับผูมีบรรดาศักดิ์ แต ตนวรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก)

อาทติ ยโคตร ๕๓๖ อานนท อาทติ ยโคตร ตระกลู พระอาทิตย, เผา ไหม (ขอ ๔ ในวิปสสนาญาณ ๙) พนั ธุพระอาทิตย, ตระกูลที่สืบเชอื้ สาย อาเทสนาปาฏหิ ารยิ  ปาฏหิ าริย คอื การ นางอทิติผูเปนชายาของพระกัศยป ทายใจ, รอบรูกระบวนของจิตตอาน ประชาบดี, ทา นวา สกุลของพระพทุ ธเจา ความคิดและอุปนิสัยของผูอ่ืนไดเปน ก็เปนอาทิตยโคตร (โคตมโคตร กับ อัศจรรย (ขอ ๒ ในปาฏิหารยิ  ๓) อาทติ ยโคตร มคี วามหมายอยา งเดยี วกนั ) อาธรรม, อาธรรม ดู อธรรม อาทติ ยวงศ วงศพ ระอาทติ ย; ดู อาทติ ย- อานนท พระมหาสาวกองคหนึ่ง เปน โคตร เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจา อาทิพรหมจรรย หลักเบ้ืองตนของ อมิโตทนะ (น้ีวาตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏี. พรหมจรรย, หลกั การพ้ืนฐานของชวี ติ ท่ี ๓/๓๔๙ เปน ตน แตท ่เี รยี นกนั มามกั วาเปน ประเสริฐ; เทยี บ อภิสมาจาร โอรสของเจา สกุ โกทนะ) ซง่ึ เปน พระเจา อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา หลกั การศกึ ษา อาของเจาชายสิทธัตถะ เมื่อพระ อบรมในฝายบทบัญญัติหรือขอปฏิบัติ โพธิสัตวออกผนวชและตอมาไดตรัสรู เบื้องตนของพรหมจรรย สําหรับปอง แลว ถงึ พรรษาที่ ๒ แหงพทุ ธกิจ พระ กนั ความประพฤติเสยี หาย, ขอ ศกึ ษาที่ พุทธเจาไดเสด็จมาโปรดพระประยูร- เปนเบ้อื งตนแหงพรหมจรรย หมายถึง ญาติท่ีพระนครกบิลพัสดุ (เชน อง.อ.๑/ สิกขาบท ๒๒๗ ท่มี าในพระปาฏโิ มกข; ๑๗๑) เม่ือพระพุทธเจาเสด็จออกจาก เทยี บ อภิสมาจารกิ าสกิ ขา เมอื งกบลิ พัสดแุ ลว ไดท รงแวะประทบั อาทีนพ, อาทนี วะ โทษ, สวนเสีย, ขอ ที่อนุปยอัมพวัน ในอนุปย นคิ ม แหง บกพรอ ง, ผลราย; ตรงขา มกบั อานิสงส แควนมลั ละ ครงั้ น้ัน พระเจา สุทโธทนะ อาทนี วญาณ ดู อาทนี วานปุ ส สนาญาณ ไดทรงประชมุ เจาศากยะทั้งหลาย และ อาทีนวสัญญา การกําหนดหมายโทษ ทรงขอใหบรรดาเจาศากยะมอบเจาชาย แหงรางกายซึ่งมีอาพาธคือโรคตางๆ ออกบวชตามเสด็จพระพุทธเจาครอบ เปน อันมาก (ขอ ๔ ในสัญญา ๑๐) ครัวละหน่ึงองค ไดมีเจาชายศากยะ อาทนี วานุปส สนาญาณ ญาณอันคาํ นงึ ออกบวชจํานวนมาก รวมท้ังเจาชาย เหน็ โทษ, ปรีชาคํานงึ เห็นโทษของสงั ขาร อานนทดวย เจาชายอานนทไดเดินทาง วามีขอบกพรองระคนดวยทุกข เชน ไปเขาเฝาพระพุทธเจาและทรงบวชใหท่ี เห็นสังขารปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟ อนปุ ย อัมพวนั (วนิ ย.๗/๓๔๑/๑๕๙) พรอ ม

อานนั ตริกสมาธิ ๕๓๗ อานันทเจดยี  กบั เจา ชายอนื่ ๕ องค (ภัททยิ ะ อนรุ ุทธะ ขอพร ๘ ประการ ทานไดร ับยกยอง ภคุ กิมพิละ เทวทัต) รวมเปน ๗ กบั เปนเอตทัคคะหลายดาน คือ เปน ท้ังกัลบกช่ือวา อบุ าลี พระอานนทม พี ระ พหสู ตู เปนผมู สี ติ มีคติ มธี ติ ิ และเปน อปุ ช ฌายช ือ่ วาพระเพลัฏฐสีสะ (เชน วินย. อุปฏฐากท่ียอดเยี่ยม ทานบรรลุพระ ๕/๓๔/๔๓; ในระยะตน พทุ ธกาล พระภกิ ษทุ บี่ วชแลว อรหัตหลังจากพระพุทธเจาปรินิพพาน ยงั ไมม อี ปุ ช ฌาย จงึ ไดต รสั ใหถ อื อปุ ช ฌาย คอื พระผู แลว ๓ เดอื น เปน กาํ ลงั สาํ คญั ในคราว ทาํ หนา ทด่ี แู ลฝก อบรมพระใหมใ นการศกึ ษาเบอื้ งตน ทาํ ปฐมสงั คายนา คือ เปนผวู สิ ัชนาพระ ตามพระพทุ ธานญุ าตใน วนิ ย.๔/๘๐/๘๒ ตอ มาจงึ ธรรม (ซ่ึงตอมาแบงเปนพระสูตรและ ทรงบญั ญตั ใิ น วนิ ย.๔/๑๓๓/๑๘๐ ใหอ ปุ สมบทผทู มี่ ี พระอภธิ รรม) พระอานนทด าํ รงชีวติ สืบ อปุ ช ฌายพ รอ มไวแ ลว ) ทานบรรลโุ สดาปตต-ิ มาจนอายุได ๑๒๐ ป จึงปรนิ ิพพานใน ผลเมื่อไดฟงธรรมกถาของพระปุณณ- อากาศ เหนือแมน า้ํ โรหิณี ซ่ึงเปน เสนกั้น มนั ตาณบี ุตร (ส.ํ ข.๑๗/๑๙๓/๑๒๘) เม่อื พระ แดนระหวางแควนของพระญาติทั้งสอง พทุ ธบดิ า คอื พระเจา สทุ โธทนะ ประชวร ฝาย คือ ศากยะ และโกลิยะ; ดู พร๘ ทรงฟงธรรมไดบรรลุอรหัตตผลและดับ อานันตริกสมาธิ สมาธิอันไมมีระหวาง ขนั ธปรนิ พิ พาน ในพรรษาท่ี ๕ แหง คอื ไมมอี ะไรคัน่ หมายความวา ใหเ กิด พทุ ธกิจแลว พระนางมหาปชาบดี ไดไป ผลตามมาทันที ไดแก มรรคสมาธิ ซงึ่ เฝาพระพุทธเจา และทูลขอใหสตรีได เมอ่ื เกดิ ขึ้นแลว กจ็ ะเกิดมรรคญาณ คอื บรรพชา แตยังไมส ําเรจ็ (วนิ ย.๗/๕๑๓/ ปญ ญาท่กี ําจัดอาสวะ ตามติดตอ มาใน ๓๒๐) จนกระท่ังตอมาไดอาศัยพระ ทันท,ี อานันตรกิ สมาธินี้ พระพทุ ธเจา อานนทชว ยทลู ขอ พระนางและสากยิ านี ตรัสวาเปนสมาธิเยี่ยมยอด ไมมีสมาธิ ท้ังหลายจึงไดบวช เปนจุดเริ่มกําเนิด ใดเทียมเทา (ข.ุ ขุ.๒๕/๗/๕) เพราะทํากิเลส ภกิ ษณุ สี งฆ พระอานนทไ ดเ ปน อปุ ฏ ฐาก ใหสน้ิ ไปได ประเสรฐิ กวา รูปาวจรสมาธิ รบั ใชพ ระพทุ ธเจา ตามโอกาสเชน เดยี วกบั และแมแตอรูปาวจรสมาธิของพระ พระเถระรูปอ่ืนมากทาน จนกระท่ังใน พรหม หรือทจ่ี ะทาํ ใหไ ดเกิดเปนพรหม พรรษาที่ ๒๐ แหง พทุ ธกจิ ทา นไดร บั อานันทเจดีย เจดียสถานแหง หน่ึงอยูใน เลือกใหเปนพระอปุ ฏ ฐากประจาํ พระองค เขตโภคนคร ระหวา งทางจากเมอื งเวสาลี (นพิ ทั ธปุ ฏ ฐาก) ของพระพทุ ธเจา (เชน ท.ี อ. สูเมืองปาวา เปนท่ีพระพุทธเจาตรัส ๒/๑๔) ซ่ึงทานตกลงรบั หนาท่ดี วยการทูล มหาปเทส ๔ ฝา ยพระสตู ร

อานาปานสติ ๕๓๘ อาบัติ อานาปานสติ สติกําหนดลมหายใจเขา อานิสงส หมายถึงผลพวงพลอยหรืองอก ออก (ขอ ๙ ในอนุสติ ๑๐, ขอ ๑๐ ใน เงยในดานดีอยา งเดยี ว ถา เปน ผลพลอย ดานราย ก็อยูในคําวานิสสันท), อนึ่ง สญั ญา ๑๐ เปนตน), หนังสอื เกา มกั วิบาก ใชเฉพาะกับผลของกรรมเทาน้ัน เขียน อานาปานัสสติ แตอานิสงส หมายถงึ คุณ ขอ ดี หรอื ผล อานาปานสตกิ มั มัฏฐาน กรรมฐานท่ใี ช สตกิ ําหนดลมหายใจเขา ออก ไดพิเศษในเรื่องราวท่ัวไปดวย เชน อานาปานสั สติ สตกิ ําหนดลมหายใจเขา ออก; ดู อานาปานสติ อานิสงสของการบรโิ ภคอาหาร อานิสงส อานิสงส ผลดีหรือผลที่นาปรารถนานา ของธรรมขอน้ันๆ จีวรท่ีเปนอานิสงส พอใจ อันสืบเน่ืองหรือพลอยได จาก ของกฐิน, โดยท่ัวไป อานิสงสมีความ หมายตรงขามกับ อาทีนพ ซ่ึงแปลวา กรรมด,ี ผลงอกเงยแหง บญุ กศุ ล, คณุ , โทษ ขอเสีย ขอ ดอ ย จุดออ น หรอื ผล ขอดี, ผลที่เปนกําไร, ผลไดพิเศษ; รา ย เชนในคาํ วา กามาทนี พ (โทษของ “อานสิ งส” มคี วามหมายตางจาก “ผล” กาม) และเนกขัมมานิสงส (คณุ หรอื ผล ท่เี รยี กชื่ออยา งอืน่ โดยขอบเขตทีก่ วาง ดีในเนกขัมมะ); ดู ผล, เทียบ นิสสันท, หรอื แคบกวา กนั หรอื โดยตรงโดยออ ม วบิ าก, ตรงขา มกบั อาทนี พ เชน ทํากรรมดีโดยคิดตอคนอื่นดวย อานภุ าพ อาํ นาจ, ฤทธเ์ิ ดช, ความยง่ิ ใหญ เมตตาแลว เกดิ ผลดี คอื มจี ิตใจแชม ช่นื อาเนญชาภสิ งั ขาร ดู อเนญชาภสิ งั ขาร สบาย ผอนคลาย เลอื ดลมเดนิ ดี มีสุข อาบตั ิ การตอ ง, การลวงละเมดิ , โทษที่ ภาพ ตลอดถึงวาถาตายดวยจิตอยาง เกิดแตการละเมดิ สิกขาบท; อาบตั ิ ๗ น้นั กไ็ ปเกิดดี น้เี ปนวิบาก พรอมกัน คอื ปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี  นั้นกม็ ีผลพว งอ่ืนๆ เชน หนาตาผองใส ปาฏเิ ทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; อาบตั ิ ๗ เปนทร่ี ักใครช อบใจของคนอน่ื อยางน้ี กองนี้จัดรวมเปนประเภทไดหลายอยาง เปนอานิสงส แตถาทํากรรมไมดีโดย โดยมากจัดเปน ๒ เชน ๑. ครุกาบัติ คิดตอคนอ่ืนดวยโทสะแลวเกิดผลราย อาบัติหนัก (ปาราชิกและสังฆาทิเสส) ๒. ลหกุ าบตั ิ อาบตั เิ บา (อาบัติ ๕ อยา ง ตอตนเองทีต่ รงขามกบั ขา งตน จนถึงไป ที่เหลอื ); คูตอไปนีก้ ็เหมอื นกัน คือ ๑. เกิดในทุคติ ก็เปนวบิ าก และในฝา ยรา ย ทฏุ ลุ ลาบตั ิ อาบตั ชิ วั่ หยาบ ๒. อทฏุ ลุ - นี้ไมม ีอานิสงส (วบิ าก เปนผลโดยตรง ลาบัติ อาบตั ไิ มช ัว่ หยาบ; ๑. อเทสนา- และเปนไดท้ังขางดีและขางราย สวน

อาบัตชิ ว่ั หยาบ ๕๓๙ อาพาธ คามินี อาบัติที่ไมพนไดดวยการแสดง แควนอังคุตตราปะ ๒. เทสนาคามินี อาบัตทิ ี่พน ไดดวยการ อาปต ตาธิกรณ อธกิ รณคืออาบตั ิ หมาย แสดงคือเปด เผยความผิดของตน; คตู อ ความวา การตองอาบัตแิ ละการถูกปรบั ไปนี้จัดตางออกไปอีกแบบหน่ึงตรงกัน อาบัติ เปนอธิกรณโดยฐานเปนเรื่องท่ี ทงั้ หมด คอื ๑. อเตกจิ ฉา เยยี วยาแกไ ข จะตองจัดทํา คือระงับดวยการแกไข ไมได (ปาราชกิ ) ๒. สเตกจิ ฉา เยยี วยา ปลดเปลือ้ งออกจากอาบัติน้นั เสยี มีการ แกไขได (อาบตั ิ ๖ อยางที่เหลือ); ๑. ปลงอาบัติ หรือการอยูกรรมเปนตน อนวเสส ไมม สี วนเหลือ ๒. สาวเสส ตามวธิ ีทท่ี า นบญั ญัติไว ยังมีสวนเหลือ; ๑. อัปปฏิกัมม หรือ อาปจุ ฉา บอกกลา ว, ถามเชงิ ขออนญุ าต อปฏกิ รรม ทําคนื ไมได คอื แกไขไมไ ด เปน การแสดงความเออ้ื เฟอ , แจง ใหท ราบ ๒. สัปปฏกิ มั ม หรอื สปฏิกรรม ยงั ทาํ เชน ภิกษุผูออนพรรษาจะแสดงธรรม คนื ได คือแกไขได ตอ งอาปจุ ฉาภกิ ษผุ มู พี รรษามากกวา กอ น อาการท่ภี ิกษุจะตองอาบตั ิ มี ๖ อยา ง อาโปธาตุ ธาตุน้าํ , สภาวะทมี่ ลี กั ษณะเอบิ คือ อลชชฺ ติ า ตอ งดวยไมละอาย ๑ อาบ ดดู ซมึ เกาะกมุ ; ในรา งกายทใ่ี ชเปน อฺ าณตา ตองดวยไมรูวาสิ่งน้ีจะเปน อารมณกรรมฐาน ไดแก ดี เสลด หนอง อาบัติ ๑ กกุ กฺ จุ จฺ ปกตตา ตองดว ยสงสัย เลอื ด เหงอ่ื มนั ขน นา้ํ ตา เปลวมนั นา้ํ แลวขนื ทาํ ลง ๑ อกปปฺ เ ย กปปฺ ย สฺิตา ลาย นาํ้ มูก ไขขอ มูตร, ขอความนี้ เปน ตอ งดวยสาํ คญั วาควรในของทไ่ี มค วร ๑ การกลาวถึงอาโปธาตุในลักษณะที่คน กปปฺ เ ย อกปปฺ ย สฺติ า ตองดวยสําคัญ สามญั ทวั่ ไปจะเขา ใจได และพอใหส าํ เรจ็ วา ไมควรในของที่ควร ๑ สตสิ มโฺ มสา ประโยชนใ นการเจรญิ กรรมฐาน แตใ น ตองดว ยลืมสติ ๑ ทางอภิธรรม อาโปธาตุเปนสภาวะที่ อาบัติชั่วหยาบ ในประโยควา “บอก สมั ผสั ดว ยกายไมไ ด มใี นรปู ธรรมทว่ั ไป อาบัติชั่วหยาบของภิกษุแกอนุปสัมบัน” แมแ ตใ นกระดาษ กอ นหนิ เหล็ก และ อาบตั ปิ าราชกิ และอาบตั สิ ังฆาทเิ สส; ดู แผนพลาสตกิ ; ดู ธาต,ุ รูป ๒๘ ทุฏุลลาบตั ิ อาพาธ ความเจ็บปว ย, โรค (ในภาษา อาบัติท่ีเปนโทษล่าํ อาบัติปาราชกิ และ ไทย ใชแกภ กิ ษสุ ามเณร แตใ นภาษา สงั ฆาทิเสส บาลี ใชไ ดท่วั ไป); อาพาธตา งๆ มีมาก อาปณะ ช่ือนคิ ม ซง่ึ เปน เมอื งหลวงของ มาย เรียกตามช่ืออวัยวะที่เปนบาง

อาภัพ ๕๔๐ อายตนะ เรียกตามอาการบาง บางทีแยกตาม อาวโุ ส (เขยี นตามรปู บาลี เปน อาม ภนเฺต, สมฏุ ฐานวา ปตฺตสมุฏ านา อาพาธา, อาม อาวุโส) เสมหฺ สมฏุ  านา อาพาธา, วาตสมฏุ  านา อามยั ความปว ยไข, โรค, ความไมสบาย; อาพาธา, สนฺนิปาติกา อาพาธา, อตุ -ุ ตรงขา มกับ อนามยั คอื ความสบาย, ไมม ี ปริณามชา อาพาธา, วิสมปริหารชา โรคภัยไขเ จ็บ อาพาธา, โอปกฺกมิกา อาพาธา, กมฺม- อามสิ เครอ่ื งลอใจ, เหยือ่ , ส่งิ ของ อามสิ ทายาท ทายาทแหงอามสิ , ผรู บั วปิ ากชา อาพาธา อาภพั ไมส มควร, ไมส ามารถ, ไมอ าจ มรดกอามิส, ผูรับเอาสมบัติทางวัตถุ เปน ไปได, เปน ไปไมไ ด (จากคาํ บาลวี า เชน ปจ จัย ๔ จากพระพทุ ธเจา มาเสพ อภพฺพ เชน ผูกระทํามาตุฆาต ไม เสวย ดว ยอาศยั ผลแหง พทุ ธกจิ ทไ่ี ดท รง สามารถบรรลมุ รรคผล, พระโสดาบนั ไม บาํ เพญ็ ไว; โดยตรง หมายถงึ รับเอา อาจเปน ไปไดทีจ่ ะทาํ มาตุฆาต เปน ตน); ปจจยั ๔ มาบรโิ ภค โดยออ ม หมายถงึ ไทยใชเฉพาะในความวา ไมอ าจจะไดจ ะ ทํากุศลที่นําไปสูวัฏฏะ เชนใหทาน ถงึ สงิ่ นนั้ ๆ, ไมม ที างจะไดส ง่ิ ทมี่ งุ หมาย บําเพ็ญฌานสมาบัติ ดวยมุงหมาย (คลา ยคาํ วา อบั วาสนา หรอื ไมม วี าสนา; ดู มนษุ ยสมบตั แิ ละเทวสมบัต;ิ พระพุทธ- อภพั บคุ คล เจาตรัสสอนภิกษุท้ังหลายใหเปนธรรม- อาภสั สระ ผมู ีรศั มแี ผซ าน, เปลง ปลั่ง, ทายาท มิใหเปนอามิสทายาท; เทียบ ช่ือพรหมโลกชั้นท่ี ๖; ดู พรหมโลก ธรรมทายาท (พจนานุกรมเขียน อาภสั ระ) อามสิ บชู า การบชู าดวยอามิส คือ ดว ย อาภา แสง, รศั ม,ี ความสวา ง สงิ่ ของมดี อกไม ของหอม อาหาร และ อามะ คาํ รบั ในภาษาบาลี ตรงกบั ถกู แลว , วตั ถุอ่ืนๆ (ขอ ๑ ในบชู า ๒) ใช, ครับ, คะ, จะ, เออ ถา ผถู ูกกลา วรบั อามิสปฏิสันถาร การตอนรับดวยส่ิง เปนผูนอยกวาหรือมีพรรษานอยกวา ของ เชน อาหาร นํ้าบรโิ ภค เปน ตน หรือเปนคฤหัสถพูดกับพระสงฆกลาว (ขอ ๑ ใน ปฏิสนั ถาร ๒) ตอวา ภันเต เปน อามะ ภนั เต ถาผู อามิสสมโภค คบหากันในทางอามสิ ได กลาวรับเปนผูใหญกวาหรือมีพรรษา แก ใหหรือรบั อามิส มากกวา หรือเปนพระสงฆพูดกับ อายโกศล ดู โกศล ๓ คฤหัสถ กลา วตอ วา อาวุโส เปน อามะ อายตนะ ทต่ี ิดตอ, เครอื่ งติดตอ, แดน

อายตนะภายนอก ๕๔๑ อายุสังขาราธิฏฐาน ตอความร,ู เครื่องรูแ ละส่งิ ที่รู เชนตา ของชวี ติ เปน เครอื่ งรู รปู เปน สงิ่ ทรี่ ,ู หเู ปน เครอื่ งรู อายกุ ษยั , อายขุ ยั การสน้ิ อาย,ุ ความตาย เสยี งเปน ส่ิงทรี่ ู เปน ตน, จดั เปน ๒ อายกุ ปั , อายกุ ปั ป กาลกาํ หนดแหง อาย,ุ ประเภท คือ อายตนะภายใน ๖ กําหนดอายุ, ชวงเวลาแตเกิดถึงตาย อายตนะภายนอก ๖ ตามปกติหรือที่ควรจะเปน ของสัตว อายตนะภายนอก เครื่องตอภายนอก, ประเภทนน้ั ๆ ในยคุ สมยั นนั้ ๆ; ดู กปั สงิ่ ทถ่ี กู รมู ี ๖ คอื ๑. รปู รปู ๒. สทั ทะ อายุวัฒนะ ความเจริญอายุ, ยืดอายุ, เสยี ง ๓. คันธะ กล่นิ ๔. รส รส ๕. อายยุ นื โผฏฐัพพะ สิ่งตองกาย ๖. ธัมมะ อายสุ งั ขาร เครอื่ งปรงุ แตง อาย,ุ ปจ จยั ธรรมารมณ คือ อารมณที่เกิดกับใจ ตา งๆ ทห่ี ลอ เลยี้ งชวี ติ ของสตั วแ ละพชื ให หรือสง่ิ ทใี่ จรู; อารมณ ๖ ก็เรียก ดาํ รงอยแู ละสบื ตอ ไปได, มกั พบในคาํ วา อายตนะภายใน เครื่องตอภายใน, “ปลงอายสุ งั ขาร” และ “ปลงพระชนมาย-ุ เครอ่ื งรบั รู มี ๖ คอื ๑. จกั ขุ ตา ๒. โสต สงั ขาร”; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะ หู ๓. ฆานะ จมกู ๔. ชวิ หา ลน้ิ ๕. กาย อายุสังขารโวสสชั ชนะ “การสลดั ลงซง่ึ กาย ๖. มโน ใจ; อนิ ทรยี  ๖ กเ็ รยี ก ปจ จยั เครอ่ื งปรงุ แตง อาย”ุ , การปลงอาย-ุ อายาจนะ การขอรอง, การวงิ วอน, การ สังขาร, การสละวางการปรุงแตงอายุ, เช้อื เชญิ การเลิกความคิดท่ีจะดาํ รงชีวติ อยตู อ ไป, อายุ สภาวธรรมท่ีทาํ ใหชีวิตดาํ รงอยูหรือ ความตกลงปลงใจกาํ หนดการสนิ้ สดุ อาย;ุ เปน ไป, พลงั ทห่ี ลอ เลยี้ งดาํ รงรกั ษาชวี ติ , ในพุทธประวัติ ที่วาพระพุทธเจาทรง พลังชีวิต, ความสามารถของชีวิตท่ีจะ “ปลงอายสุ งั ขาร” หรอื “ปลงพระชนมาย-ุ ดาํ รงอยแู ละดาํ เนนิ ตอ ไป, ตามปกตทิ า น สงั ขาร” คอื ทรงพจิ ารณาเหน็ วา บรษิ ทั ๔ อธบิ ายวา อายุ กค็ อื ชวี ติ นิ ทรยี  นนั่ เอง; มีคุณสมบัติพรอม และพรหมจริยะคือ ชวงเวลาท่ีชีวิตของมนุษยสัตวประเภท พระศาสนานี้ เจรญิ แพรห ลายไพบูลยด ี นนั้ ๆ หรอื ของบคุ คลนนั้ ๆ จะดาํ รงอยไู ด, แลว จึงตกลงพระทัยวา (อกี ๓ เดอื น ชว งเวลาท่ชี วี ติ จะเปนอยูได หรอื ไดเ ปน แตนั้นไป) จะปรินิพพาน, อายุสังขาร- อยู; ในภาษาไทย อายุ มคี วามหมาย โอสสัชชนะ หรอื อายสุ งั ขาโรสสชั ชนะ ก็ เพีย้ นไปในทางท่ไี มนาพอใจ เชน กลาย วา ; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขาร เปนความผานลวงไปหรือความลดถอย อายสุ งั ขาราธฏิ ฐาน การตงั้ พระทยั วา จะ

อารมณ ๕๔๒ อารกั ขกัมมฏั ฐาน ดาํ รงไวซ ง่ึ อายสุ งั ขาร, การทพ่ี ระพทุ ธเจา ในภาษาไทยใชใ นความหมายตางกนั ) ตั้งพระทยั กาํ หนดแนว า จะดาํ รงพระชนม อารยชน ชนท่เี จรญิ ดวยขนบธรรมเนียม อยกู อ น จนกวา พทุ ธบรษิ ทั ทงั้ ๔ คอื อันดีงาม, คนมีอารยธรรม ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า จะเปน ผู อารยชาติ ชาตทิ เ่ี จรญิ ดว ยขนบธรรมเนยี ม ทีไ่ ดเรียนรูเชี่ยวชาญ แกลว กลา เปน อันดงี าม พหสู ตู ทรงธรรม ปฏิบตั ิชอบ สามารถช้ี อารยธรรม ธรรมอันดงี าม, ธรรมของ แจงแสดงธรรม กําราบปรัปวาทที่เกิด อารยชน, ความเจรญิ ดว ยขนบธรรมเนยี ม ขน้ึ ใหสงบไดโ ดยชอบธรรม ในระหวาง อันดีงาม; ในทางธรรม หมายถึง กศุ ล- น้ีแมหากมีโรคาพาธเกิดข้ึน ก็จะทรง กรรมบถ ๑๐ ระงับขบั ไลเ สยี ดว ยอิทธิบาทภาวนา จะ อารยอัษฎางคิกมรรค ทางมีองค ๘ ยังไมป รนิ พิ พาน จนกวาพรหมจรยิ ะคือ ประการ อนั ประเสรฐิ ; ดู มรรค พระศาสนานี้ จะเจริญม่ันคง เปน อารกั ขกมั มฏั ฐาน กรรมฐานเปน เครอื่ ง ประโยชนแกพหูชน เปนปกแผนแนน รักษาตน, กรรมฐานเปนเครื่องรักษาผู หนา แพรห ลายไพบลู ย; คําน้ี ทา นปรุง ปฏิบัติใหส งบระงบั และใหต ง้ั อยใู นความ ข้ึนใชในหนังสือปฐมสมโพธิ เพื่อส่ือ ไมประมาท ทา นจดั เปน ชดุ ขน้ึ ภายหลงั ความหมายทกี่ ลา วแลว ; เทยี บ อายสุ งั ขาร- โวสสชั ชนะ ดงั มกี ลา วถงึ ในอรรถกถา (วนิ ย.อ.๓/๓๗๔) อารมณ เครื่องยดึ หนวงของจติ , สิง่ ที่จติ และฎกี าพระวนิ ยั (วนิ ย.ฏ.ี ๒/๖๗/๑๗๙) มี ๔ ขอ เรยี กวา จตรุ ารกั ขา (เรยี กใหส นั้ วา ยึดหนว ง, สง่ิ ทีถ่ ูกรหู รอื ถกู รับรู ไดแ ก จตรุ ารกั ข หรอื จตรุ ารกั ษ) คอื พทุ ธานสุ ติ อายตนะภายนอก ๖ คือ รปู เสียง กล่ิน เมตตา อสภุ ะ และมรณสต,ิ ตอ มาใน รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ; ใน ลงั กาทวปี พระธรรมสริ เิ ถระ ไดเ ขยี น ภาษาไทย ความหมายเลือนไปเปน อธบิ ายไวใ นคมั ภรี ข ทุ ทสกิ ขา และในพมา ความรูสึก หรือความเปนไปแหงจิตใจ ทเ่ี มอื งรา งกงุ ไดม พี ระเถระชอ่ื อคั รธรรม ในขณะหรอื ชวงเวลาหนง่ึ ๆ เชน วา อยา ถึงกับแตงคัมภีรขึ้นอธิบายเร่ืองนี้โดย ทาํ ตามอารมณ วันน้อี ารมณดี อารมณ เฉพาะ เรียกวา จตุรารักขทีปนี; ใน เสยี เปนตน หนงั สอื นวโกวาท มคี าํ อธบิ ายซง่ึ เปน พระ อารยะ คนเจรญิ , คนมีอารยธรรม; พวก ราชนิพนธของพระบาทสมเด็จพระจอม ชนชาติ อรยิ กะ (ตรงกบั บาลวี า อรยิ ะ แต เกลา เจา อยหู วั วา “อารกั ขกมั มฏั ฐาน ๔

อารกั ขสัมปทา ๕๔๓ อารัญญกวตั ร ๑. พุทธานสุ สติ ระลกึ ถงึ คณุ พระพุทธ ขนั ธกะ จดั เปน หวั ขอ ไดด งั นี้ ก. ๑. ภกิ ษุ เจาทมี่ ใี นพระองค และทรงเกอื้ กลู แกผู ผอู ยปู า พงึ ลกุ ขนึ้ แตเ ชา ตรู เอาถงุ บาตร อนื่ ๒. เมตตา แผไ มตรจี ติ คิดจะให สวมบาตรแลวคลองบา ไว พาดจีวรบน สัตวทั้งปวงเปนสุขท่ัวหนา ๓. อสุภะ ไหล สวมรองเทา เกบ็ งาํ เครอื่ งไมเ ครอ่ื ง พิจารณารางกายตนและผูอื่นใหเห็นเปน ดิน ปดประตูหนาตางแลวลงจาก ไมงาม ๔. มรณสั สติ นึกถึงความตาย เสนาสนะ (ทพี่ กั อาศยั ) ไป ๒. ทราบวา อนั จะมแี กตน. กมั มฏั ฐาน ๔ อยา งนี้ “บัดน้ีจักเขาหมูบาน” พึงถอดรองเทา เคาะตาํ่ ๆ แลว ใสถ งุ คลอ งบา ไว นงุ ใหเ ปน ควรเจรญิ เปน นติ ย” ปรมิ ณฑล คาดประคดเอว หม สงั ฆาฏิ อารักขสัมปทา ถึงพรอมดวยการรกั ษา ซอ นเปน สองชนั้ กลดั ลกู ดมุ ชาํ ระบาตร คือรักษาทรัพยท่ีแสวงหามาไดดวย แลวถือเขาหมูบานโดยเรียบรอยไมรีบ รอ น ไปในละแวกบา นพงึ ปกปด กายดว ย ความหมั่น ไมใ หเ ปน อันตรายและรักษา ดี สาํ รวมดว ยดี ไมเ ดนิ กระโหยง เมอ่ื จะ เขา สนู เิ วศน พงึ กาํ หนดวา เราจกั เขา ทาง การงานไมใ หเสอ่ื มเสียไป, รจู ักเก็บออม นี้ จกั ออกทางนี้ ไมพ งึ รบี รอ นเขา ไป ไม พึงรีบรอนออกมา พงึ ยนื ไมไ กลเกนิ ไป ถนอมรักษาปดชองร่ัวไหลและคุมครอง ไมใกลเกนิ ไป ไมนานเกนิ ไป ไมก ลบั ออกเรว็ เกนิ ไป เมอ่ื ยนื อยู พงึ กาํ หนดวา ปอ งกนั ภยนั ตราย (ขอ ๒ ในทฏิ ฐธมั ม-ิ เขาประสงคจะถวายภกิ ษาหรอื ไม ฯลฯ เมอ่ื เขาถวายภกิ ษา พงึ แหวกสงั ฆาฏดิ ว ย กตั ถสังวัตตนิกธรรม ๔) มอื ซา ย นอ มบาตรเขา ไปดว ยมอื ขวา ใช อารักขา การขอความคุมครองจากเจา มอื ทง้ั สองขา งประคองบาตรรบั ภกิ ษา ไม หนา ท่ีฝา ยบานเมอื ง เมือ่ มผี ปู องรา ยขม พงึ มองดหู นา สตรผี ถู วาย พงึ กาํ หนดวา เขาประสงคจะถวายแกงหรือไม ฯลฯ เหง หรือถูกลักขโมยสิ่งของ เปนตน เม่ือเขาถวายภิกษาแลว พึงคลุมบาตร เรียกวา ขออารักขา ถอื เปน การปฏิบัติ ดว ยสังฆาฏิแลว กลับโดยเรยี บรอ ยไมร บี ชอบตามธรรมเนียมของภิกษุแทนการ รอ น เดนิ ไปในละแวกบา น พงึ ปกปด กาย ดว ยดี สาํ รวมดว ยดี ไมเ ดนิ กระโหยง ๓. ฟองรองกลาวหาอยางที่ชาวบานทํากัน เพราะสมณะไมพอใจจะเปนถอยความ กบั ใครๆ อารักษ, อารกั ขา การปอ งกัน, การคมุ ครอง, การดแู ลรักษา อารญั ญกวตั ร ขอ ปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ภกิ ษผุ อู ยู ปา, ธรรมเนียมที่ภิกษุผูอยูปาพึงถือ ปฏิบัติ ตามพุทธบัญญัติท่ีมาในวัตต-

อารัญญิกังคะ ๕๔๔ อาราม ออกจากบา นแลว (หลงั จากฉนั และลา ง หรอื นาํ ไปสวดเปน ทาํ นอง จะไดไ มข ดั บาตรแลว ) เอาบาตรใสถ งุ คลอ งบา พบั อาราธนาพระปริตร กลาวคําเชิญหรือ จวี ร วางบนศรี ษะ สวมรองเทา เดนิ ไป ข. ขอรอ งใหพระสวดพระปรติ ร วาดงั น้:ี ภกิ ษผุ อู ยปู า พงึ จดั เตรยี มนาํ้ ดมื่ ไว พงึ จดั “วปิ ตตฺ ิปฏิพาหาย เตรยี มนาํ้ ใชไ ว พงึ ตดิ ไฟเตรยี มไว พงึ จดั สพฺพสมปฺ ตตฺ ิสทิ ธฺ ยิ า เตรยี มไมส ไี ฟไว พงึ จดั เตรยี มไมเ ทา ไว สพพฺ ทกุ ฺขวินาสาย ค. พงึ เรยี นทางนกั ษตั รไว (ดดู าวเปน ) ปริตฺตํ พรฺ ูถมงฺคลํ” ทงั้ หมดหรอื บางสว น พงึ เปน ผฉู ลาดในทศิ (วา ๓ คร้ัง แตคร้ังท่ี ๒ เปล่ยี น ทุกขฺ อารัญญิกังคะ องคแหงผูถืออยูปาเปน เปน ภย; คร้งั ที่ ๓ เปลย่ี นเปน โรค) วตั ร คอื ไมอ ยใู นเสนาสนะใกลบ า น แต อาราธนาศีล กลาวคําเชิญหรือขอรอง อยปู า หา งจากบา นอยา งนอ ย ๒๕ เสน พระใหใ หศ ลี , สาํ หรบั ศลี ๕ วา ดงั น:้ี “มยํ ภนเฺ ต, (วสิ ุ วิสุ รกฺขณตถฺ าย), ตสิ รเณน (ขอ ๘ ในธดุ งค ๑๓) อารมั ภกถา คาํ ปรารภ, คาํ เรมิ่ ตน , คาํ นาํ สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม; ทุติยมฺป มยํ อาราธนา การเชอ้ื เชิญ, นมิ นต, ขอรอ ง, ภนฺเต, (วสิ ุ วสิ ุ รกฺขณตฺถาย), ตสิ รเณน ออนวอน (มกั ใชสาํ หรบั พระสงฆและส่ิง สห, ปจฺ สีลานิ ยาจาม; ตติยมฺป มยํ ภนฺเต, (วสิ ุ วิสุ รกฺขณตฺถาย), ตสิ รเณน ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ) อาราธนาธรรม กลา วคาํ เชญิ หรอื ขอรอ ง สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม;” (คําในวงเล็บ พระใหแ สดงธรรม (ใหเ ทศน) วา ดงั น:ี้ จะไมใชก ไ็ ด) “พฺรหมฺ า จ โลกาธปิ ตี สหมฺปติ คําอาราธนาศีล ๘ ก็เหมือนกัน กตฺอชฺ ลี อนธฺ ิวรํ อยาจถ เปลยี่ นแต ปจฺ เปน อฏ สนตฺ ธี สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา อาราธนาศีลอุโบสถ กลาวคําเชิญพระ เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปมํ ปช”ํ ใหใ หอ โุ บสถศลี วา พรอ มกนั ทกุ คน ดงั น:ี้ พงึ สังเกตวา กตฺอชฺ ลี อนฺธวิ รํ คาํ “มยํ ภนเฺ ต, ตสิ รเณน สห, อฏ งคฺ สมน-ฺ ปกตเิ ปน กตชฺ ลี (กตอชฺ ล)ี อนธิวรํ นาคต,ํ อโุ ปสถํ ยาจาม” (วา ๓ จบ) (ในพระไตรปฎ ก ๓๓/๑๘๐/๔๐๓ กใ็ ช อาราม วดั , ท่ีเปน ทมี่ ายินดี, สวนเปนที่ รปู ปกตติ ามไวยากรณอ ยา งนนั้ ) แตท มี่ ี รื่นรมย; ความยินดี, ความรื่นรมย, รปู แปลกไปอยา งนี้ เนอ่ื งจากทา นทาํ ตาม ความเพลิดเพลิน; ในทางพระวินัย ฉนั ทลกั ษณ ทบี่ งั คบั คร-ุ ลหุ เมอื่ จะอา น เกย่ี วกบั ของสงฆ หมายถงึ ของปลกู สรา ง

อารามวตั ถุ ๕๔๕ อาวโุ ส ในอารามตลอดจนตน ไม; ดู คนั ธกุฎี กําหนดหมายวากลางวันไวในใจ ให อารามวตั ถุ ท่ีดินวดั , ท่ดี นิ พน้ื วัด เหมือนกันท้ังในเวลากลางวันและกลาง อารามกิ คนทาํ งานวัด, คนวัด คืน เปนวิธีแกง วงอยางหน่งึ อารามกิ เปสกะ ภกิ ษผุ ูไ ดร ับสมมติ คอื อาวรณ เครื่องกน้ั , เครอื่ งกําบัง; ไทยมกั แตง ตงั้ จากสงฆ ใหมีหนา ทีเ่ ปนผใู ชค น ใชในความหมายวา หว งใย, อาลยั , คดิ ทํางานวัด, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา กังวลถึง เจาอธิการแหง อาราม อาวชั นาการ ความราํ พงึ , การราํ ลกึ , นกึ ถงึ อาลกมันทา ราชธานีซึ่งเปนทิพยนคร อาวาส ท่ีอยู, โดยปรกตหิ มายถึงทอ่ี ยู ของพวกเทวดาชั้นจาตมุ หาราชกิ า ของพระสงฆ คือ วดั อาลปนะ คํารองเรียก อาวาสปลโิ พธ ความกังวลในอาวาส คือ อาลยสมุคฺฆาโต ความถอนขึ้นดว ยดซี ่ึง ภิกษุยังอยใู นอาวาสนัน้ หรือหลีกไปแต อาลัย, การถอนอาลยั คอื ตัณหาไดเ ดด็ ยังผกู ใจอยวู าจะกลบั มา (เปนเหตอุ ยา ง ขาด (เปน ไวพจนแหงวริ าคะ) หนึ่งที่ทําใหกฐินยังไมเดาะ); ในการ อาลัย 1. ท่ีอย,ู ทอ่ี าศัย, แหลง 2. ความ เจริญกรรมฐาน หมายถึงความหวงใย มใี จผูกพนั , ความเยอ่ื ใย, ความตดิ ใจ กังวลเก่ียวกับที่อยูอาศัย เชนหวงงาน ปรารถนา, ความพัวพัน มักหมายถงึ กอสรางในวัด มีส่ิงของท่ีสะสมเอาไว ตัณหา; ในภาษาไทยใชในความหมายวา มาก เปน ตน เมอ่ื จะเจรญิ กรรมฐาน พงึ หว งใย หวนคิดถงึ ตดั ปลิโพธนีใ้ หได; ดู ปลิโพธ อาโลก แสงสวาง อาวาสมจั ฉรยิ ะ ตระหนท่ี อี่ ยู ไดแ กห วง อาโลกกสิณ กสิณคือแสงสวาง, การ แหน ไมพ อใจใหใ ครๆ เขา มาอยแู ทรก เจริญสมถกรรมฐานตั้งใจเพงแสงสวาง แซง หรอื กดี กนั ผอู นื่ ทมี่ ใิ ชพ วกของตนไม เปนอารมณ (ขอ ๙ ใน กสิณ ๑๐) ใหเ ขา อยู (ขอ ๑ ในมจั ฉรยิ ะ ๕) อาโลกเลณสถาน ชื่อถํ้าแหงหน่ึงใน อาวาหะ การแตงงาน, การสมรส, การพา มลยชนบท เกาะลังกา เปนท่ีทํา หญงิ มาบา นตวั สังคายนาคร้ังท่ี ๕ จารึกพระไตรปฎ ก อาวาหววิ าหมังคลาภเิ ษก พิธรี ดนํา้ เพือ่ ลงในใบลาน เปนมงคลในการแตงงาน, งานมงคล อาโลกสัญญา ความสาํ คัญในแสงสวา ง, สมรส (ใชแ กเ จา ) กําหนดหมายแสงสวาง คอื ต้งั ความ อาวโุ ส “ผูม ีอายุ” เปนคําเรยี ก หรอื ทกั

อาศรม ๕๔๖ อาสภวิ าจา ทาย ที่ภิกษุผูแกพรรษาใชรองเรียก พราหมณไดความคิดจากพระพุทธ- ภกิ ษผุ อู อนพรรษากวา (ภกิ ษผุ ูใหญร อง ศาสนาไปปรับปรุงจัดวางระบบของตน เรียกภิกษุผูนอย) หรือภิกษุรองเรียก ข้นึ เชน สนั ยาสี ตรงกับภกิ ษุ แตหา คฤหสั ถ คูก ับคํา ภนฺเต ซง่ึ ภิกษุผอู อ น เหมือนกนั จริงไม) กวาใชรองเรียกภิกษุผูแกหวาหรือ อาสนะ ทีน่ ัง่ , ท่ีสาํ หรับนงั่ คฤหัสถรองเรียกภิกษุ; ในภาษาไทย อาสภวิ าจา วาจาอาจหาญ, วาจาย่งิ ยง มกั ใชเพ้ียนไปในทางตรงขาม หมายถงึ องอาจ ที่เปลงออกมาอยางหนักแนน เกา กวา หรือแกก วาในวงงาน กิจการ แกลว กลา และจะแจง ชดั เจน อนั ประกาศ หรอื ความเปน สมาชกิ ความจรงิ หรอื ความสาํ เรจ็ ทแี่ นแท ซ่ึง อาศรม ทอ่ี ยูของนักพรต; ตามลทั ธขิ อง ไมมีใครอาจคัดคานได, อาสภิวาจาท่ี พราหมณ ในยคุ ทกี่ ลายเปน ฮนิ ดแู ลว ได อา งองิ บอ ยทสี่ ดุ ในคมั ภรี ท งั้ หลาย ไดแ ก วางระเบียบเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตของ พระดาํ รัสของพระโพธิสัตว ที่ประกาศ ชาวฮินดูวรรณะสูง โดยเฉพาะวรรณะ พระองควาเปน เอกในโลก ตามเรื่องวา พราหมณ โดยแบง เปน ขนั้ หรอื ชว งระยะ พระมหาบุรุษเม่ือประสูติจากพระครรภ ๔ ขนั้ หรอื ๔ ชว ง เรยี กวา อาศรม ๔ ของพระมารดา ยา งพระบาทไป ๗ กา ว กําหนดวาชาวฮินดูวรรณะพราหมณทุก แลวทรงหยุดประทับยืนตรัสอาสภิวาจา คนจะตอ งครองชวี ติ ใหค รบทงั้ ๔ อาศรม วา “อคฺโคหมสมฺ ิ โลกสฺส” ดังนีเ้ ปน ตน ตามลาํ ดบั (แตใ นทางปฏบิ ตั ิ นอ ยคนนกั แปลวา “เราเปนอัครบุคคลของโลก ไดป ฏบิ ตั เิ ชน นนั้ โดยเฉพาะปจ จบุ นั ไมไ ด ฯลฯ”, พระสารีบุตรก็เคยเปลงอาสภิ- ถอื กนั แลว ) คอื ๑. พรหมจารี เปน นกั วาจา ประกาศความเล่ือมใสในพระผมู ี เรยี นศกึ ษาพระเวท ถอื พรหมจรรย ๒. พระภาคเจา วา สมณะหรือพราหมณอนื่ คฤหสั ถ เปน ผคู รองเรอื น มภี รรยาและมี ใดที่จะย่ิงไปกวาพระผูมีพระภาคใน บตุ ร ๓. วานปรสั ถ ออกอยปู า เมอ่ื เหน็ สัมโพธิญาณน้ัน มิไดมีแลว จักไมมี บตุ รของบตุ ร ๔. สนั ยาสี (เขยี นเตม็ เปน และทั้งไมมอี ยูใ นบดั น้ี, คาํ วาอาสภวิ าจา สนั นยาส)ี เปน ผสู ละโลก มผี า นงุ ผนื เดยี ว บางครัง้ มาดวยกนั กบั คําวา สหี นาท (การ ถือภาชนะขออาหารและหมอน้ําเปน บันลอื อยา งราชสีห) คือ ถอยคาํ ทีแ่ สดง สมบัติ จาริกภิกขาจารเรื่อยไปไมยุง ความแกลวกลาม่ันใจ เปนอาสภิวาจา เกี่ยวกับชาวโลก (ปราชญบางทานวา กิริยาท่ีประกาศความจริงความมั่นใจ

อาสวะ ๕๔๗ อาหาร ออกไปแกที่ประชุมหรือแกชนท้ังหลาย อาสันทิ เปน เตียงหรือเกา อีน้ อน) เปนสหี นาท; ดู สหี นาท อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน, กรรม อาสวะ 1. ความเสียหาย, ความเดอื ด ใกลตาย หมายถึงกรรมท่ีเปนกุศลก็ดี รอน, โทษ, ทกุ ข 2. น้าํ ดองอนั เปน เมรัย อกุศลกด็ ี ทที่ ําเม่ือจวนตายยังจบั ใจอยู เชน ปปุ ผฺ าสโว นา้ํ ดองดอกไม, ผลาสโว ใหมๆ ถา ไมม คี รกุ กรรม และพหลุ กรรม น้ําดองผลไม 3. กิเลสที่หมักหมมหรอื ยอมใหผ ลกอ นกรรมอ่ืนๆ เหมอื นโคท่ี ดองอยูในสันดาน ไหลซึมซานไปยอม ยัดเยียดกันอยูในคอกเม่ือคนเลี้ยงเปด จิตตเ ม่ือประสบอารมณต า งๆ, อาสวะ ๓ คอกออก ตัวใดอยใู กลประตู ตัวนน้ั คอื ๑. กามาสวะ อาสวะคอื กาม ๒. ยอ มออกกอ น แมจะเปน โคแก (ขอ ๑๑ ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. อวชิ ชาสวะ ในกรรม ๑๒) อาสวะคอื อวชิ ชา; อกี หมวดหนงึ่ อาสวะ ๔ อาสา ความหวงั , ความตองการ; ไทยวา คือ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒. รับทาํ โดยเต็มใจ, สมัคร, แสดงตวั ขอ ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. ทิฏฐาสวะ รบั ทําการนั้นๆ อาสวะคือทิฏฐิ ๔. อวิชชาสวะ อาสวะ อาสาฬหะ เดือน ๘ ทางจนั ทรคติ อาสาฬหบูชา “การบูชาในเดือน ๘“ คอื อวชิ ชา อาสวักขยญาณ ความรูเปนเหตุสิ้น หมายถงึ การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๘ เพอ่ื อาสวะ, ญาณหยั่งรใู นธรรมเปนทีส่ ้นิ ไป ราํ ลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเปนการพิเศษ แหงอาสวะทง้ั หลาย, ความตรสั รู (เปน เนือ่ งในวนั ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงปฐม- ความรูท่ีพระพุทธเจาไดในยามสุดทาย เทศนา คอื ธมั มจกั กัปปวัตนสตู ร ทาํ ให แหง ราตรี วันตรสั ร)ู (ขอ ๓ ในญาณ ๓ เกิดมีปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณ- หรือวิชชา ๓, ขอ ๖ ในอภิญญา ๖, ขอ ฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคํารบพระ ๘ ในวิชชา ๘, ขอ ๑๐ ในทศพลญาณ) รตั นตรัย อาสญั ไมมสี ญั ญา, หมดสัญญา; เปน คาํ อาสาฬหปรุ ณมี วันเพ็ญเดือน ๘, วนั ใชใ นภาษาไทย หมายความวา ความ กลางเดอื น ๘, วันข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๘ ตาย, ตาย อาสาฬหมาส ดู อาสาฬหะ อาสตั ย ไมม สี ตั ย, ไมซ อ่ื ตรง, กลบั กลอก อาหัจจบาท เตียงที่เขาทําเอาเทาเสียบ อาสนั ทิ มานง่ั ส่ีเหล่ียมจตั รุ ัส นง่ั ไดค น เขา ไปในแมแ คร ไมไดต รึงสลกั เดยี ว (ศพั ทเ ดิมเรยี ก อาสนั ทกิ , สว น อาหาร ปจ จัยอันนํามาซ่งึ ผล, เครอ่ื งคา้ํ

อาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข ๕๔๘ อิทธบิ าท จุนชวี ติ , เคร่ืองหลอเลยี้ งชวี ิตมี ๔ คือ กิริยา, ทา นผนู ี้ไดส มาบตั ถิ ึงชัน้ อากิญ- ๑. กวฬงิ การาหาร อาหารคอื คาํ ขา ว ๒. จญั ญายตนฌาน; เรยี กเต็มวา อาฬาร- ผัสสาหาร อาหารคอื ผสั สะ ๓. มโน- ดาบส กาลามโคตร สญั เจตนาหาร อาหารคอื มโนสญั เจตนา อาํ มาตย ดู อมาตย ๔. วิญญาณาหาร อาหารคอื วิญญาณ อิจฉา ความปรารถนา, ความอยากได; อาหารปริเยฏฐิทุกข ทุกขเก่ียวกับการ ไทยมกั ใชในความหมายวารษิ ยา แสวงหาอาหาร, ทุกขในการหากนิ ได อฏิ ฐารมณ “อารมณท น่ี า ปรารถนา” สงิ่ ที่ แก อาชีวทุกข คอื ทกุ ขเ นื่องดว ยการ คนอยากไดอ ยากพบ แสดงในแงก ามคณุ เล้ยี งชีวติ ๕ ไดแ ก รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ที่ อาหารรูป ดทู ี่ รปู ๒๘ นา รกั ใคร นา ชอบใจ แสดงในแงโ ลก- อาหาเรปฏิกูลสัญญา กําหนดหมาย ธรรม ไดแ ก ลาภ ยศ สรรเสรญิ และ ความเปนปฏิกูลในอาหาร, ความสําคญั ความสขุ ; ตรงขา มกบั อนฏิ ฐารมณ หมายในอาหารวาเปนของปฏิกูล อติ ถภี าวะ ความเปน หญงิ , สภาวะทท่ี าํ ให พิจารณาใหเหน็ วา เปน ของนา เกลยี ดโดย ปรากฏลกั ษณะอาการตา งๆ อนั แสดงถงึ อาการตา งๆ เชน ปฏกิ ลู โดยบรโิ ภค, โดย ความเปน เพศหญงิ เปน ภาวรปู อยา งหนงึ่ ; ประเทศทอี่ ยขู องอาหาร, โดยสง่ั สมอยนู าน คกู บั ปรุ สิ ภาวะ; ดู อปุ าทายรปู เปน ตน (ขอ ๓๕ ในกรรมฐาน ๔๐) อิทธาภิสังขาร การปรุงแตงฤทธิ์ขึ้น อาหุดี การเซน สรวง ทนั ใด, การบันดาลดว ยฤทธ์ิ อาหเุ นยฺโย (พระสงฆ) เปน ผคู วรแกของ อิทธิ ความสาํ เร็จ, ความรุงเรืองงอกงาม; คํานบั คือ มคี ณุ ความดีสมควรแกก ารที่ อํานาจที่จะทาํ อะไรไดอ ยา งวิเศษ ประชาชนจะนําของถวายมาแสดงความ อทิ ธิ ๒ ดู ฤทธ์ิ ๒ นับถือเชิดชูบูชา ถึงจะตองเดินทางมา อิทธิบาท คุณเคร่ืองใหถึงความสําเร็จ, แมจ ากทีไ่ กล (ขอ ๕ ในสงั ฆคณุ ๙) คุณเคร่ืองสาํ เร็จสมประสงค, ทางแหง อาฬกะ ชื่อแควนหน่ึง ตั้งอยูท่ีลุมนํ้า ความสาํ เร็จ มี ๔ คอื ๑. ฉันทะ ความ พอใจรักใครส ่งิ น้นั ๒. วิรยิ ะ ความ โคธาวรี ตรงขา มกบั แควนอสั สกะ พยายามทาํ ส่ิงนั้น ๓. จิตตะ ความเอาใจ อาฬารดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติที่ ฝก ใฝใ นสงิ่ นนั้ ๔. วมิ งั สา ความพจิ ารณา พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวย คราวหนึ่ง กอนที่จะทรงบําเพ็ญทุกร- ใครครวญหาเหตุผลในสิ่งน้ัน; จํางายๆ

อทิ ธิบาทภาวนา ๕๔๙ อินทรยี  วา มีใจรกั พากเพยี รทํา เอาจิตฝก ใฝ ประมาณ ๑,๐๙๕ ลานคน) ครัง้ โบราณ ใชป ญ ญาสอบสวน; ดู โพธปิ ก ขยิ ธรรม เรยี ก ชมพทู วปี เปน ประเทศทีเ่ กิดพระ อิทธิบาทภาวนา การเจริญอิทธิบาท, พุทธศาสนา, พุทธคยา สถานที่ตรัสรู การฝก ฝนปฏิบัติใหอ ทิ ธบิ าทเกดิ มขี ้ึน ของพระพทุ ธเจา อยหู างจากกรงุ เทพฯ อิทธิปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคือฤทธิ์, ประมาณ ๒,๐๐๐ กโิ ลเมตร; ดูชมพทู วปี แสดงฤทธ์ิไดเ ปน อัศจรรย เชน ลอ งหน อนิ ทปต ถ ช่อื นครหลวงของแควน กรุ ุ ตงั้ ดําดนิ เหาะได เปน ตน (ขอ ๑ ใน อยู ณ บรเิ วณเมืองเดลี นครหลวงของ ปาฏหิ าริย ๓) อินเดยี ปจจุบนั (แควน กรุ อุ ยแู ถบลมุ นาํ้ อิทธวิ ิธา, อิทธิวิธิ แสดงฤทธ์ไิ ดตางๆ ยมนุ าตอนบน ราวมณฑลปญ จาบลงมา) เชน นิรมิตกายคนเดียวเปนหลายคน อนิ ทร ผเู ปนใหญ, จอมเทพ, ช่ือเทวราช หลายคนเปนคนเดียว ลอ งหน ดาํ ดนิ ผูเปนใหญในสวรรคชั้นดาวดึงส และมี เดินน้ํา เปน ตน (ขอ ๑ ในอภิญญา ๖, อาํ นาจบงั คบั บญั ชาเหนอื เทพชนั้ จาตมุ หา- ขอ ๓ ในวชิ ชา ๘) ราชกิ า; เรยี กตามนยิ มในบาลวี า ทา ว อิทัปปจจยตา “ภาวะท่ีมีอันน้ีๆ เปน สกั กะ; ดู ดาวดึงส, วตั รบท ๗, จาตุมหา- ปจ จัย”, ความเปนไปตามความสัมพันธ ราชกิ า แหงเหตปุ จ จัย, กระบวนธรรมแหงเหตุ อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหย่ังรู ปจ จยั , กฎที่วา “เมอ่ื สิ่งนี้มี สิง่ น้ีจึงมี, ความหยอนและยิ่งแหงอินทรียของสัตว เพราะสง่ิ น้เี กิดขนึ้ สิง่ นี้จงึ เกดิ ขน้ึ ; เปน ท้ังหลาย คือรูวา สัตวพวกไหนมี อีกช่ือหนึ่งของหลัก ปฏิจจสมุปบาท อนิ ทรยี  (คือศรทั ธาเปนตน) ออน พวก หรอื ปจจยาการ ไหนมีอนิ ทรยี แ กก ลา พวกไหนมจี รติ มี อนิ เดยี ช่ือประเทศ ต้งั อยูทางทศิ ตะวัน อธั ยาศัย เปนตน อยางไรๆ พวกไหน ตกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย ถดั จาก สอนยาก พวกไหนสอนงาย ดังนี้ ประเทศพมาออกไป มีเมืองหลวงชื่อ เปนตน (ขอ ๖ ในทศพลญาณ) นวิ เดลี (New Delhi) อยหู า งจากกรงุ เทพ อินทรีย ความเปนใหญ, สภาพทีเ่ ปน ใหญ ประมาณ ๓,๑๐๐ กิโลเมตร อนิ เดยี มี ในกจิ ของตน, ธรรมที่เปน เจา การในการ เนื้อท่ีท้ังหมด ๓,๒๘๗,๕๙๐ ตาราง ทําหนา ที่อยางหน่งึ ๆ เชน ตาเปน ใหญ กโิ ลเมตร มพี ลเมืองใน พ.ศ. ๒๕๒๔ หรือเปนเจาการในการเห็น หูเปนใหญ ประมาณ ๖๓๘ ลานคน (พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการไดยิน วิริยะเปนเจาการในการ

อนิ ทรีย ๕๕๐ อนิ ทรีย ครอบงําเสียซง่ึ ความเกยี จคราน เปนตน ๓. ฆานินทรีย (อินทรีย คือ ฆานปสาท) อนิ ทรีย ๕ ธรรมทเ่ี ปนใหญในกิจ ๔. ชิวหินทรีย (อินทรีย คือ ชิวหาปสาท) ของตน โดยเปนเจา การในการทําหนาที่ ๕. กายินทรีย (อนิ ทรีย คอื กายปสาท) ๖. มนินทรยี  (อนิ ทรยี  คือ ใจ) หมวด๒: และเปนหัวหนานําสัมปยุตตธรรมใน ๗. อิตถนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ อิตถภี าวะ) การครอบงํากําจัดธรรมที่เปนปฏิปกษ ๘. ปรุ สิ นิ ทรยี  (อนิ ทรยี  คอื ปุริสภาวะ) มี ๕ อยาง ไดแ ก ศรทั ธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญ ญา (ขอธรรมตรงกบั พละ ๙. ชีวิตินทรยี  (อินทรยี  คือ ชีวิต) ๕), ธรรม ๕ อยา งชุดเดียวกันนี้ เรยี ก หมวด ๓: ๑๐. สขุ นิ ทรีย (อนิ ทรีย คอื ช่ือตา งกนั ไป ๒ อยาง ตามหนาที่ทีท่ ํา สุขเวทนา) ๑๑. ทุกขินทรยี  (อินทรีย คอื คือ เรียกชือ่ วา พละ โดยความหมายวา เปน กาํ ลงั ใหเ กดิ ความเขม แขง็ มน่ั คง ซึ่ง ทุกขเวทนา) ๑๒. โสมนัสสินทรีย ธรรมท่ีตรงขามแตละอยางจะเขาครอบ (อินทรยี  คอื โสมนัสสเวทนา) ๑๓. งาํ ไมได เรยี กช่อื วา อินทรยี  โดยความ หมายวาเปนเจาการในการครอบงําเสีย โทมนสั สินทรีย (อินทรยี  คอื โทมนสั ส- ซ่ึงธรรมทต่ี รงขามแตล ะอยา ง คือความ เวทนา) ๑๔. อุเปกขนิ ทรีย (อินทรยี  คอื อเุ บกขาเวทนา) หมวด๔: ๑๕.สทั ธนิ ทรยี  ไรศรัทธา ความเกียจคราน ความ (อนิ ทรยี  คอื ศรทั ธา) ๑๖. วิริยินทรยี  ประมาท ความฟุงซาน และความหลง (อนิ ทรยี  คือ วริ ยิ ะ) ๑๗. สตนิ ทรีย งมงาย ตามลําดับ; ดู โพธปิ ก ขยิ ธรรม (อนิ ทรยี  คอื สติ) ๑๘. สมาธินทรีย อนิ ทรยี  ๖ สภาวะท่ีเปนใหญหรอื (อินทรยี  คอื สมาธิ) ๑๙. ปญ ญนิ ทรยี  เปนเจาการในการรับรูดา นนนั้ ๆ ไดแก (อนิ ทรีย คอื ปญญา) หมวด ๕: ๒๐. อายตนะภายใน ๖ คอื จักขุ-ตา โสตะ-หู อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย (อินทรีย ฆานะ-จมกู ชิวหา-ลิน้ กาย-กาย มโน-ใจ แหงผูปฏิบัติดวยมุงวาเราจักรูสัจจธรรม อินทรยี  ๒๒ สภาวะทเี่ ปน ใหญใน ที่ยงั มิไดร ู ไดแ ก โสตาปตติมคั คญาณ) การทาํ กจิ ของตน คือ ทําใหธรรมอื่นๆ ๒๑. อัญญินทรยี  (อินทรยี  คือ อญั ญา ที่เกย่ี วของ เปน ไปตามตน ในกิจนนั้ ๆ ในขณะท่เี ปน ไปอยูน ้ัน มีดงั น้ี หมวด ๑: หรือปญญาอันรูท ั่วถงึ ไดแก ญาณ ๖ ๑. จกั ขุนทรยี  (อนิ ทรยี  คอื จักขุปสาท) ในทามกลาง คอื โสตาปต ติผลญาณ ถงึ ๒. โสตนิ ทรยี  (อินทรยี  คอื โสตปสาท) อรหตั ตมคั คญาณ) ๒๒. อญั ญาตาวนิ ทรยี  (อินทรียแ หงทา นผรู ทู วั่ ถงึ แลว กลา วคือ ปญ ญาของพระอรหนั ต ไดแ ก อรหัตต-

อินทรียรปู ๕๕๑ อุกกลชนบท ผลญาณ อิสรภาพ ความเปนอิสระ อนิ ทรียรูป ดูที่ รปู ๒๘ อสิ ราธบิ ดี ผูเ ปนเจาใหญเ หนือกวาผเู ปน อินทรียสังวร สํารวมอินทรีย ๖ คือ ตา ใหญท ัว่ ไป, ราชา, พระเจา แผนดิน หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไมใ หยินดียนิ ราย อิสรยิ ยศ ยศคอื ความเปน ใหญ, ความ ในเวลาเหน็ รูป ฟงเสียง ดมกลิ่น ลิม้ รส เปน ใหญโ ดยตาํ แหนง ฐานนั ดร เปน ตน ; ถกู ตอ งโผฏฐพั พะ รธู รรมารมณดวยใจ, ดู ยศ ระวังไมใหกิเลสครอบงําใจในเวลารับรู อสิ สา ความริษยา, ความรสู กึ ไมพอใจ อารมณท างอินทรยี ท ง้ั ๖ (ขอ ๑ ใน เมื่อเห็นเขาไดดี, เห็นเขาไดดีทนอยไู ม อปณ ณกปฏปิ ทา ๓, ขอ ๒ ในปารสิ ทุ ธ-ิ ได, ไมอ ยากใหใครดีกวา ตน, ความคดิ ศลี ๔, ขอ ๒ ในองคแ หง ภิกษใุ หม ๕), ตดั รอนผูทด่ี กี วา ตน; ความหึงหวง (ขอ ทเี่ ปน ขอ ๒ ในปาริสุทธศิ ีล ๔ นนั้ เรยี ก ๓ ในมละ ๙, ขอ ๘ ในสังโยชน ๑๐ เตม็ วา อนิ ทรยี สงั วรศลี แปลวา ศีลคอื ตามนัยพระอภิธรรม, ขอ ๗ ใน ความสาํ รวมอินทรีย อุปกิเลส ๑๖) อริ ยิ าบถ “ทางแหง การเคลื่อนไหว”, ทา อิส,ิ อิสี ผูแสวงหาคุณความดี, ผูถือบวช, ทางทร่ี างกายจะเปนไป, ทา ท่เี คลอื่ นไหว ฤษี ตง้ั วางรา งกายอยา งใดอยา งหนง่ึ , อริ ยิ าบถ อสิ ิคิลิบรรพต ภูเขาชื่ออิสคิ ลิ ิ เปนภูเขา หลกั มี ๔ คอื ยนื เดนิ นงั่ นอน, อริ ยิ าบถ ลูกหนึ่งในหาลกู ทเี่ รียกเบญจคีรี ลอม ยอย เรียกวา จุณณิยอิริยาบถ หรือ รอบพระนครราชคฤห จุณณิกอริ ยิ าบถ ไดแ ก ทาที่แปรเปล่ียน อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ปา เปน ทใี่ หอ ภยั แก ยกั ยา ยไประหวา งอริ ยิ าบถทงั้ ๔ นนั้ เนอ้ื ชอ่ื อสิ ปิ ตนะ อยใู กลเ มอื งพาราณสี อริ พุ เพท คําบาลเี รียกคัมภรี หนง่ึ ในไตร- เปนสถานที่ท่ีพระพุทธเจาทรงแสดง เพท ตรงกับที่เรียกอยางสันสกฤตวา ปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ฤคเวท; ดู ไตรเพท โปรดพระปญ จวคั คยี  บดั นเี้ รยี ก สารนาถ อิศวร พระเปนเจาของศาสนาพราหมณ อุกกลชนบท ชอ่ื ชนบทที่พอคา ๒ คน ตามปกติหมายถึงพระศิวะ ซ่ึงเปน เทพ- คอื ตปุสสะ กบั ภัลลกิ ะ เดนิ ทางจากมา เจาแหง การทาํ ลาย แลว ไดพ บพระพทุ ธเจา ขณะทปี่ ระทบั อยู อสิ ระ ผูเ ปนใหญ, เปนใหญ, เปน ใหญใ น ภายใตตนราชายตนะ ภายหลังตรัสรู ตวั เอง, เปนไทแกต ัว ไมข นึ้ แกใ คร ใหมๆ

อกุ โกฏนะ ๕๕๒ อุตตรทสิ อกุ โกฏนะ การรอื้ ฟน , การฟน เรอื่ ง, ฟน คดี เห็นวาคนและสัตวจุติจากอัตภาพน้ีแลว อุกขฺ ติ ฺตโก “ผอู นั สงฆยกแลว” หมายถงึ ขาดสญู ; ตรงขามกับ สสั สตทิฏฐิ (ขอ ๒ ภิกษุผูถูกสงฆทําอุกเขปนียกรรมตัด ในทฏิ ฐิ ๒) สิทธิแหงภิกษุช่ัวคราว (จนกวาสงฆจะ อุชเชนี ชื่อนครหลวงของแควนอวันตี บดั นเ้ี รยี กวา อุชเชน (Ujjain); ดู อวนั ตี ยอมระงับกรรมน้ัน) อกุ เขปนยี กรรม กรรมอนั สงฆพงึ ทาํ แก อุชปุ ฏิปนฺโน (พระสงฆ) เปน ผูปฏิบัติ ภิกษุอนั จะพงึ ยกเสยี หมายถงึ วิธกี ารลง ตรง คือ ไมลวงโลก ไมม มี ายาสาไถย โทษท่ีสงฆกระทําแกภิกษุผูตองอาบัติ ไมอําพราง หรือดําเนินทางตรง คือ แลว ไมย อมรับวาเปน อาบัตหิ รอื ไมย อม มัชฌิมาปฏิปทา (ขอ ๒ ในสงั ฆคุณ ๙) ทําคืนอาบัติ หรือมีความเห็นช่ัวราย อุฏฐานสัญญามนสิการ ทําในพระทัย (ทิฏฐิบาป) ไมยอมสละซ่ึงเปนทางเสยี ถงึ ความสาํ คญั ในอันท่จี ะลุกขึ้น, ตง้ั ใจ สีลสามัญญตา หรือทิฏฐิสามัญญตา วา จะลุกขน้ึ อีก โดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ อุฏฐานสัมปทา ถึงพรอมดวยความ คอื ไมใหฉ ันรว ม ไมใ หอ ยรู วม ไมใหม ี หม่ัน คือ ขยันหม่ันเพียรในการ สิทธิเสมอกับภิกษุท้ังหลาย พูดงายๆ ประกอบอาชีพท่สี ุจริต ในการศึกษาเลา วา ถกู ตัดสิทธิแหงภิกษุชั่งคราว เรียน และในการทําธุระหนาที่การงาน อุคคหนมิ ิต นิมติ ตดิ ตา หมายถงึ นมิ ติ รูจักใชปญญาสอดสอง หาวิธีจัดการ (อารมณกรรมฐาน) ที่นึกกําหนดจน ดําเนนิ การใหไ ดผลดี (ขอ ๑ ในทิฏฐ- แมนใจ หรือที่เพง ดูจนติดตาติดใจ แม ธมั มิกตั ถสังวัตตนกิ ธรรม ๔) หลับตากเ็ ห็น (ขอ ๒ ในนิมติ ๓) อุณหะ รอน, อุน อุคฆฏิตัญู ผูอาจรูไดฉับพลันแตพอ อุณหสิ กรอบหนา , มงกุฎ ทานยกหัวขอข้ึนแสดง คือมีปญญา อดุ รทวาร ประตูดา นเหนอื เฉียบแหลม พดู ใหฟ ง เพยี งหวั ขอ กเ็ ขา อดุ รทศิ ทศิ เบอื้ งซา ย, ทศิ เหนอื ; ดูอตุ ตรทสิ อุตกฤษฎ อยา งสูง, สูงสุด (พจนานุกรม ใจ (ขอ ๑ ในบุคคล ๔) อุจจารธาตุ ในคาํ วา “โรคอุจจารธาตุ” เขียน อกุ ฤษฏ) หมายถงึ โรคทอ งเสยี ทองเดิน หรอื ทอง อุตตระ ดู โสณะ รว ง อุตตรทสิ ”ทศิ เบอ้ื งซา ย” หมายถงึ มิตร; อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเหน็ วาขาดสญู เชน ดู ทศิ หก

อตุ ตรนิกาย ๕๕๓ อุทกุกเขป อตุ ตรนิกาย ดู อตุ รนกิ าย มหายาน ใชภาษาสันสกฤต อุตตรนิคม ช่ือนคิ มหนึง่ ในโกลิยชนบท อุตราบถ “หนเหนอื ”, ดนิ แดนแถบเหนือ อุตตรา อบุ าสกิ าสาํ คัญ มชี ื่อซ้าํ กนั ๒ ทา น ของชมพูทวปี ; คาํ อธิบาย ดู ทักขณิ าบถ เรียกแยกกันดวยคําเติมขางหนา หรือ อุตราวัฏ ดู อตุ ตราวฏั ฏ เตมิ ขางหลัง ไดแก ขุชชุตตรา (อุตตรา อตุ สาหะ ความบากบ่ัน, ความพยายาม, ผคู อ ม) กบั อตุ ตรานันทมารดา (อตุ ตรา ความขยัน, ความอดทน มารดาของนันทะ); ดู ขชุ ชุตตรา, นันท- อุตุ 1. ฤดู, ดินฟา อากาศ, สภาพแวด มารดา 2. ลอ ม, เตโชธาตุ, อุณหภูมิ, ภาวะรอน อตุ ตรานนั ทมารดา ดู นนั ทมารดา 2. เยน็ , ไออนุ 2. ระด,ู อตุ ตราวฏั ฏ เวยี นซาย, เวียนรอบโดย อุตกุ าล ช่วั ฤดูกาล, ชว่ั คราว หนั ขา งซา ย คือ เวียนเลีย้ วทางซา ยยอน อุตุชรูป ดูท่ี รูป ๒๘ เขม็ นาฬกิ า (พจนานกุ รมเขยี น อตุ ราวฏั ); อุตปุ รณิ ามชา อาพาธา ความเจ็บไขเ กดิ ตรงขา มกบั ทกั ขณิ าวฏั ฏ แตฤดแู ปรปรวน, เจ็บปว ยเพราะดนิ ฟา อตุ ตราสงค ผาหม, เปน ผาผืนหนงึ่ ใน อากาศผันแปร; ดู อาพาธ จํานวน ๓ ผืน ของไตรจีวร ไดแ ก ผนื ท่ี อทุ ก น้าํ เรียกกันสามัญวา จีวร (พจนานุกรม อทุ กสาฏิกา ผาอาบ, เปน จีวรเปน อยาง เขยี น อตุ ราสงค) หนึ่งในจวี ร ๕ อยา งของภิกษุณี; ดู สงั - อุตตริมนุสสธรรม ธรรมยวดยิ่งของ กัจฉกิ ะ ดวย มนุษย, ธรรมของมนุษยผูยอดย่ิง, อุทกกุ เขป เขตสามคั คีชวั่ วกั น้ําสาดแหง ธรรมลํ้ามนุษย ไดแก ฌาน วิโมกข คนมอี ายแุ ละกาํ ลงั ปานกลาง หมายถงึ เขต สมาบตั ิ มรรคผล, บางทเี รยี กใหงา ยวา ชุมนุมทาํ สังฆกรรมทีก่ าํ หนดลงในแมน้ํา ธรรมวิเศษ บา ง คณุ วเิ ศษ หรือ คุณ หรอื ทะเล ชาตสระ (ท่ีขังน้ําเกิดเองตาม พิเศษ บาง (พจนานกุ รมเขียน อตุ ริ- ธรรมชาติ เชน บงึ หนอง ทะเลสาบ) มนุสสธรรม) โดยพระภิกษุประชุมกันบนเรือ หรือ อตุ รนกิ าย “นิกายฝา ยเหนือ” หมายถึง บนแพ ซงึ่ ผูกกับหลักในนา้ํ หรอื ทอด พระพุทธศาสนาอยางที่นับถือกันแพร สมออยูหางจากตลิ่งกวาชั่ววิดน้ําสาด หลายในประเทศฝายเหนือ มี จีน (หา มผกู โยงเรอื หรอื แพนน้ั กบั หลกั หรอื เกาหลี ญป่ี นุ เปน ตน ที่เรยี กตวั เองวา ตน ไมริมตลงิ่ และหามทาํ ในเรอื หรอื แพ

อทุ ทกดาบส ๕๕๔ อุทยพั พยญาณ ท่กี ําลงั ลอยหรอื เดนิ ); อทุ กุกเขปนี้ จัด รบั คํายกยอ งชมเชยจากพระพุทธเจา เปนอพทั ธสมี าอยา งหนึง่ อทุ เทสกิ เจดยี  เจดยี ส รา งอทุ ศิ พระพทุ ธ- อุททกดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติที่ เจา, เจดียท่ีสรางเปนเคร่ืองเตือนจิตต พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวย ใหระลึกถึงพระพุทธเจา ไดแก พระ คราวหน่ึง กอนที่จะทรงบําเพ็ญทุกร- พทุ ธรปู (ขอ ๔ ในเจดยี  ๔) กิริยา, ทานผูน้ีไดสมาบัติถึงข้ันเนว- อุทธรณ การยกขึน้ , การรือ้ ฟน, การขอ สัญญานาสัญญายตนะ; เรียกเต็มวา รอ งใหร ือ้ ฟน ขึน้ , ขอใหพิจารณาใหม อทุ ทกดาบส รามบุตร อทุ ธโลมิ เครอ่ื งลาดท่มี ีขนตง้ั อุทเทศาจารย อาจารยผูบอกธรรม, อทุ ธงั โสโตอกนิฏฐคามี พระอนาคามีผู อาจารยส อนธรรม (ขอ ๔ ในอาจารย จะปรนิ พิ พาน ตอ เมอ่ื เลื่อนข้นึ ไปเกิดใน ๔); คกู บั ธรรมันเตวาสิก ชน้ั สงู ข้นึ ไปจนถงึ ชัน้ อกนฏิ ฐะ (ขอ ๕ อุทเทส ดู อุเทศ ในอนาคามี ๕) อุทเทสภัต อาหารอุทิศสงฆหรือภัตท่ี อุทธจั จะ ความฟุงซา น, จติ ตสาย, ใจ ทายกถวายตามทส่ี งฆแ สดงให หมายถงึ วอกแวก (พจนานกุ รมเขยี น อทุ ธจั ); ของท่ีเขาถวายสงฆแตไมพอแจกทั่วกัน (ขอ ๙ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระ ทานใหแ จกไปตามลําดับ เรม่ิ ตง้ั แตพระ อภธิ รรม); ดู เยวาปนกธรรม สงั ฆเถระลงมา ของหมดแคลําดับไหน อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซานและ กาํ หนดไว เม่อื ของมมี าอีกจงึ แจกตอไป รําคาญ, ความฟุงซานและความเดือด ตง้ั แตลําดับทีค่ า งอยู อยางนีเ้ รื่อยไปจน รอ นใจ (ขอ ๔ ในนิวรณ ๕) ทั่วกนั แลวจึงเวยี นขนึ้ ตนใหมอีก; เทยี บ อุทธมั ภาคิยสังโยชน สงั โยชนเ บื้องสงู สงั ฆภตั ไดแก กิเลสผูกใจสัตวอยางละเอียดมี อทุ เทสวิภงั คสูตร ช่ือสตู รท่ี ๓๘ แหง ๕ คอื รปู ราคะ อรปู ราคะ มานะ อทุ ธจั จะ มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก พระสตุ ตนั ต- อวชิ ชา พระอรหนั ตจ งึ ละได; ดู สงั โยชน ปฎก พระพุทธเจาทรงแสดงเร่ือง อทุ ยมาณพ ศิษยคนหนง่ึ ในจํานวน ๑๖ วญิ ญาณไวโดยยอ ภกิ ษุทงั้ หลายอยาก คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถาม ฟง โดยพสิ ดาร จงึ ขอใหพ ระมหากจั จายนะ ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย อธบิ ายความ พระมหากจั จายนะแสดง อุทยัพพยญาณ ปรีชาหย่ังรูความเกิด ไดเนอื้ ความถกู ตองชัดเจนดมี าก จนได และความดบั แหง สงั ขาร; ดู อทุ ยพั พยา-

อุทยัพพยานุปสสนาญาณ ๕๕๕ อเุ ทศ นปุ ส สนาญาณ หมญู าต”ิ , “พระเถระเดนิ ทางไกลจากเมอื ง อุทยพั พยานุปส สนาญาณ ปรชี าคํานงึ สาวตั ถอี ทุ ศิ หมบู า นนน้ั ”, “นายวาณชิ ลง เห็นความเกิดและความดับแหงสังขาร, เรือออกมหาสมุทรอุทิศสุวรรณภูมิ”); ญาณที่มองเหน็ นามรปู เกิดดับ (ขอ ๑ ในภาษาไทย มักใชในความหมายท่ี ในวิปส สนาญาณ ๙) สัมพันธกับประเพณีการทําบุญเพ่ือผู อุทยาน “สถานท่ซี ง่ึ ชนทงั้ หลายแหงนชม ลวงลบั หมายถงึ ตัง้ ใจทาํ การกศุ ลนัน้ [ดอกไม และผลไม เปน ตน ]เดนิ ไป”, สวน โดยมุงใหเกิดผลแกผ ูตายที่ตนนกึ ถึง หลวงที่เปนสาธารณะ, สวนสาธารณะท่ี อุทิสสมังสะ เน้ือสัตวท่ีเขาฆาเจาะจง ทางการบา นเมอื งจดั ดแู ล (บาล:ี อยุ ยฺ าน, เพ่อื ถวายภิกษุ ทานมิใหภิกษุฉนั , หาก สนั สกฤต: อุทยฺ าน) ภกิ ษุฉนั ท้ังไดเ หน็ ไดยนิ หรอื สงสัยวา อุทร ทอ ง เขาฆาเพื่อถวายตน ตองอาบัติทุกกฏ; อทุ รยิ ะ อาหารใหม, อาหารที่รับประทาน ตรงขามกบั ปวตั ตมงั สะ เขา ไปแลวอยูในทอ ง ในลาํ ไส กําลงั ผาน อเุ ทน พระเจา แผนดนิ แควนวังสะ ครงั้ กระบวนการยอย แตยังไมกลายเปน พทุ ธกาล ครองราชสมบตั อิ ยทู ก่ี รงุ โกสมั พี อุจจาระ อเุ ทนเจดยี  เจดยี สถานแหง หน่ึง อยูทาง อทุ ัย การขน้ึ , การโผลข น้ึ , พระอาทิตย ทิศตะวันออกของเมืองเวสาลี นคร แรกข้นึ หลวงของแควนวัชชี เปนสถานที่แหง อทุ าน วาจาท่เี ปลง ขน้ึ โดยความเบกิ บาน หน่ึงท่ีพระพุทธเจาเคยทรงทํานิมิตต ใจ มกั เปนขอความยาว ๑ หรือ ๒ คาถา; โอภาสแกพ ระอานนท ในภาษาไทย หมายถงึ เสยี งหรอื คาํ ทเี่ ปลง อเุ ทศ การยกขึน้ แสดง, การยกขน้ึ ชีแ้ จง, ออกมาเวลาดใี จ แปลกใจ หรอื ตกใจ ขอทย่ี กขนึ้ แสดง, หวั ขอ , การเรียนการ เปน ตน สอน, การสวดปาฏโิ มกข, ปาฏโิ มกขท ยี่ ก อุทาหรณ ตัวอยา ง, การอา งองิ , การยก ขน้ึ สวด, หมวดหนง่ึ ๆ แหง ปาฏโิ มกขท จ่ี ดั ขน้ึ ใหเ ห็น ไวส าํ หรบั สวด, ในคาํ วา “สงฆม อี เุ ทศเดยี ว อุทศิ เฉพาะ, เจาะจง, เพง เลง็ ถงึ , ทําเพอ่ื , กนั ” หมายความวา รว มฟง สวดปาฏโิ มกข หมายใจตอ , มงุ ใหแ ก, มุงไปยัง, มงุ ไปท่ี ดว ยกนั ; อเุ ทศในปาฏโิ มกขจ ดั โดยยอ มี (ดงั ตวั อยา งในประโยคตา งๆ วา “เขาออก ๕ คอื ๑. นทิ านทุ เทส ๒. ปาราชกิ ทุ เทส บวชอทุ ศิ พระพทุ ธเจา ”, “เธอใหท านอุทศิ ๓. สงั ฆาทเิ สสทุ เทส ๔. อนยิ ตทุ เทส ๕.

อุบล ๕๕๖ อุบาสก วติ ถารทุ เทส, อทุ เทสท่ี ๕ นนั้ รวมเอา กลวิธ,ี ไทยใชหมายถึง เลห เ หล่ียมดว ย นสิ สคั คยิ ทุ เทส ปาจติ ตยิ ทุ เทส ปาฏเิ ทส- อบุ าลี พระมหาสาวกองคห นึง่ เดิมเปน นยี ทุ เทส เสขยิ ทุ เทส และสมถทุ เทส เขา กัลบกของเจาศากยะ ไดออกบวชที่ ไวด ว ยกนั ถา แยกออกนบั โดยพสิ ดารก็ อนุปยอัมพวัน พรอมกับพระอานนท จะเปน ๙ อทุ เทส การรจู กั อเุ ทศหรอื และพระอนรุ ทุ ธะ เปน ตน มอี ปุ ชฌาย อุทเทสเหลาน้ีเปนประโยชนสําหรับการ ชื่อพระกัปปตก ครั้นบวชแลว เรียน ตัดตอนสวดปาฏิโมกขยอไดในคราวจาํ กรรมฐาน จะไปอยูปา พระพุทธเจา ไม เปน ; ดู ปาฏโิ มกขย อ ทรงอนุญาต ทานเลาเรียนและเจริญ อบุ ล บัว, ดอกบัว วปิ ส สนาไมช าก็สาํ เร็จพระอรหัต เปน ผู อุบลวรรณา พระมหาสาวิกาองคหน่ึง มีความรูความเขาใจเชี่ยวชาญในพระ เปน ธดิ าเศรษฐใี นพระนครสาวตั ถี ไดช อ่ื วินยั มาก จนพระพทุ ธเจาทรงยกยอ งวา วา อบุ ลวรรณา เพราะมผี วิ พรรณดงั ดอก เปนเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผูทรงพระ นิลุบล (อบุ ลเขียว) มคี วามงามมาก จงึ วินัย (วินัยธร) พระอุบาลีเปนกําลัง เปนที่ปรารถนาของพระราชาในชมพู- สําคัญในคราวทําปฐมสังคายนา คือ ทวีปหลายพระองค ตา งสง คนมาตดิ ตอ เปนผูวสิ ัชนาพระวินยั ทานเศรษฐเี กดิ ความลําบากใจ จึงคดิ จะ อุบาสก ชายผนู ง่ั ใกลพระรัตนตรัย, คน ใหธ ิดาบวชพอเปนอบุ าย แตนางเองพอ ใกลชิดพระศาสนา, คฤหัสถผูชายท่ี ใจในบรรพชาอยูแลวจึงบวชเปนภิกษุณี แสดงตนเปนคนนับถือพระพุทธศาสนา ดวยศรัทธาอยางจริงจัง คราวหน่ึงอยู โดยประกาศถงึ พระรตั นตรยั เปน สรณะ เวรจดุ ประทปี ในพระอโุ บสถ นางเพงดู ปฐมอบุ าสกผูถึงสรณะ ๒ ไดแก เปลวประทีปถือเอาเปนนิมิตเจริญฌาน ตปุสสะและภัลลิกะ ปฐมอุบาสกผูถึง มีเตโชกสิณเปนอารมณไดบรรลุพระ ไตรสรณะ คือบดิ าของพระยสะ อรหตั ไดรับยกยอ งวาเปนเอตทัคคะใน อุบาสกผูเปนอริยสาวก ไดรับยก ทางแสดงฤทธิ์ไดตางๆ และเปนอัคร- ยอ งเปนเอตทคั คะ รวม ๑๐ ตาํ แหนง สาวิกาฝายซา ย เชน ตปสุ สะและภัลลิกะ สองวาณิช เปน อุบัติ เกิดข้นึ , กาํ เนิด, เหตุใหเ กดิ เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผูถงึ อบุ าทว ดู อปุ ทวะ สรณะเปนปฐม สุทัตตะอนาถปณฑิก- อบุ าย วธิ สี าํ หรบั ประกอบ, หนทาง, วธิ กี าร, คหบดี เปน เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสก

อบุ าสกธรรม ๕๕๗ อุโบสถ สาวกผูเ ปน ทายก เอยี งดว ยชอบหรอื ชงั , ความวางใจเฉยได อุบาสกท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยอง ไมยินดียินราย เมอ่ื ใชปญ ญาพิจารณา วา เปน “ตลุ า” คือเปนตราชู หรือเปน เห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแกเหตุ แบบอยางสําหรับอบุ าสกทัง้ หลาย เปน และรวู าพึงปฏิบัติตอ ไปตามธรรม หรอื อคั รอบุ าสก ๒ ทาน ไดแก จิตต- ตามควรแกเหตุน้ัน, ความรูจักวางใจ คฤหบดี และเจา ชายหตั ถกะอาฬวกะ; ดู เฉยดู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได ตลุ า, เอตทคั คะ หรือในเมื่อเขาควรตองไดรับผลอันสม อบุ าสกธรรม ดู สมบัติของอบุ าสก ควรแกความรับผิดชอบของเขาเอง, อุบาสิกา หญิงผูน่ังใกลพระรัตนตรัย, ความวางทีเฉยคอยดูอยูในเมื่อคนนั้นๆ คนใกลชิดพระศาสนาท่ีเปนหญิง, สิ่งน้ันๆ ดํารงอยหู รอื ดําเนนิ ไปตามควร คฤหัสถผูหญิงที่แสดงตนเปนคนนับถือ ของเขาตามควรของมนั ไมเขา ขางไมต ก พระพุทธศาสนา โดยประกาศถึงพระ เปน ฝกฝาย ไมส อดแส ไมจ ูจี้สาระแน รตั นตรยั เปน สรณะ ไมกาวกา ยแทรกแซง (ขอ ๔ ในพรหม- ปฐมอบุ าสิกา ไดแก มารดา (นาง วหิ าร ๔, ขอ ๗ ในโพชฌงค ๗, ขอ สุชาดา) และภรรยาเกาของพระยสะ ๑๐ ในบารมี ๑๐, ขอ ๙ ในวิปส สน-ู อุบาสกิ าผูเปนอรยิ สาวกิ า ไดรับยก ปกเิ ลส ๑๐) 2. ความรูสกึ เฉยๆ ไมส ุข ยองเปนเอตทัคคะ รวม ๑๐ ตําแหนง ไมทุกข เรียกเต็มวา อเุ บกขาเวทนา (= เชน นางสุชาดา เปน เอตทคั คะในบรรดา อทุกขมสขุ ); (ขอ ๓ ในเวทนา ๓) อุบาสิกาสาวิกาผูถ ึงสรณะเปนปฐม นาง อโุ บสถ 1. การสวดปาฏโิ มกขข องพระ วิสาขา เปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสิกา สงฆทุกก่ึงเดือน เปนเครื่องซักซอม สาวกิ าผูเปนทายิกา ตรวจสอบความบริสุทธิ์ทางวินัยของ อุบาสิกาท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยอง ภิกษุท้ังหลาย และท้ังเปนเคร่ืองแสดง วาเปน “ตลุ า” คอื เปนตราชู หรือเปน ความพรอ มเพรยี งของสงฆด ว ย, อโุ บสถ แบบอยางสําหรบั อบุ าสิกาท้งั หลาย เปน เปนสังฆกรรมที่ตองทําเปนประจํา อัครอุบาสิกา ๒ ทาน ไดแ ก ขุชชุตตรา สมาํ่ เสมอและมกี าํ หนดเวลาทแ่ี นน อน มี และเวฬุกัณฏกีนันทมารดา; ดู ตุลา, ชอื่ เรยี กยอ ยออกไปหลายอยา ง การทํา เอตทัคคะ อุโบสถจะมีการสวดปาฏิโมกขไดตอเม่ือ อุเบกขา 1. ความวางใจเปนกลาง ไมเอน มีภกิ ษุครบองคสงฆจ ตุวรรค คอื ๔ รปู

อโุ บสถ ๕๕๘ อโุ บสถ ขึ้นไป ถา สงฆค รบองคกําหนดเชนน้ีทํา น้ี เรียกวา ปุคคลอุโบสถ หรือ อโุ บสถ เรียกวา สังฆอุโบสถ (มีราย อธษิ ฐานอุโบสถ; อโุ บสถทีท่ าํ ในวันแรม ละเอียดวิธีปฏิบัติตามพุทธบัญญัติใน ๑๔ คา่ํ เรยี กวา จาตทุ สกิ - ทาํ ในวนั ข้นึ หรือแรม ๑๕ คาํ่ เรยี กวา ปณณรสกิ - อุโปสถขันธกะ, วินย.๔/๑๔๗/๒๐๑); ทาํ ในวนั สามัคคี เรยี กวาสามัคคอี ุโบสถ 2. อุโบสถ คือ การอยูจ ํารักษาองค ๘ ท่ี ในกรณที ีม่ ภี ิกษุอยใู นวัดเพยี ง ๒ หรือ โดยทั่วไปเรียกกันวา ศลี ๘ ของอุบาสก อุบาสิกา นั้น จําแนกไดเปน ๓ ประเภท ๓ รปู เปน เพยี งคณะ ทานใหบ อกความ คือ ๑. ปกติอุโบสถ อุโบสถท่ีรกั ษาตาม ปกติช่ัววนั หน่งึ กบั คนื หน่งึ ปจ จบุ ันนยิ ม บริสุทธ์ิแกกันและกันแทนการสวดปาฏิ- โมกข เรยี กอโุ บสถนว้ี า คณอโุ บสถ หรอื รกั ษากนั เฉพาะในวันขึ้นและแรม ๘ คํ่า ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ กลา วคอื ถา มี ๓ รปู พึงใหรูปท่ีสามารถต้ังญัตตวิ า “สุณนตฺ ุ วนั จันทรเพญ็ คอื ขน้ึ ๑๕ ค่าํ และวัน เม อายสฺมนฺตา, อชฺชโุ ปสโถ ปณฺณรโส, จันทรด ับ คือ แรม ๑๕ คํา่ หรือ ๑๔ ยทายสมฺ นฺตาน ปตฺตกลฺล, มย อฺ- ค่ํา (ปกติอโุ บสถอยา งเตม็ มี ๘ วนั คอื มฺํ ปาริสุทฺธิอุโปสถ กเรยฺยาม.” วัน ๕ ค่าํ ๘ คาํ่ ๑๔ คํ่า และ ๑๕ คํ่า (ปณฺณรโส คือ ๑๕ คํา่ ถา ๑๔ ค่าํ ของทุกปกษ ถาเดือนขาดรักษาในวัน แรม ๑๓ คา่ํ เพมิ่ ดว ย) ๒. ปฏชิ าคร- เปลย่ี นเปน จาตุททฺ โส) จากนัน้ ทง้ั สาม อุโบสถ อุโบสถของผูตื่นอยู (คือผู กระตือรือรนขวนขวายในกุศล ไมหลับ รูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตนไปตาม ลาํ ดบั พรรษา (พระเถระวา “ปรสิ ทุ โฺ ธ อห ใหลดว ยความประมาท) ไดแ ก อุโบสถ อาวโุ ส, ปรสิ ทุ โฺ ธติ ม ธาเรถ” วา ๓ ครงั้ ; รปู อนื่ เปล่ียน อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต), ถา มี ทร่ี กั ษาครั้งหน่งึ ๆ ถงึ ๓ วัน คือ รักษา ๒ รูป ไมต อ งตัง้ ญัตติ เพียงบอกความ ในวันอุโบสถตามปกติ พรอ มทง้ั วันกอ น บริสุทธิ์ของตนแกกัน (พระเถระวา และวนั หลงั ของวนั นนั้ ซง่ึ เรยี กวา วนั รบั “ปริสุทฺโธ อห อาวุโส, ปริสุทฺโธติ ม และวันสงดว ย เชน อโุ บสถท่ีรกั ษาใน ธาเรห”ิ วา ๓ คร้งั ; รูปทอ่ี อนพรรษา วัน ๕ คํ่า มวี ัน ๗ คาํ่ เปน วันรบั วัน ๙ เปลี่ยน อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต และเปลยี่ น ธาเรหิ เปน ธาเรถ); ถา มีภกิ ษุอยูในวดั ค่าํ เปนวันสง (เดอื นหนงึ่ ๆ จะมวี ันรับ รปู เดียว ทานใหท ําเพยี งอธษิ ฐาน คอื ต้งั และวนั สง รวม ๑๑ วนั , วนั ทม่ี ิใชวนั ใจกาํ หนดจิตวา วนั นเ้ี ปน อโุ บสถของเรา (“อชฺช เม อโุ ปสโถ”) อโุ บสถทที่ ําอยา ง อุโบสถ ในเดือนขาดมี ๑๐ วนั เดอื น

อโุ บสถกรรม ๕๕๙ อุปกเิ ลส เต็ม ๑๑ วนั ) ๓. ปาฏิหารยิ อโุ บสถ เดอื นขาด), สําหรบั คฤหสั ถ คอื วนั พระ อโุ บสถทีพ่ งึ นําไปซา้ํ อกี ๆ หรอื ยอนกลบั ไดแ ก วันขึ้นและแรม ๘ คาํ่ วันจนั ทร ไปนําเอามาทํา คือรักษาใหเปนไปตรง เพญ็ และวนั จนั ทรด บั 4. สถานทสี่ งฆท าํ ตามกําหนดดังที่เคยทํามาเปนประจําใน สงั ฆกรรม เรยี กตามศพั ทว า อโุ ปสถาคาร แตละป หมายความวา ในแตล ะปม ีชวง หรอื อุโปสถัคคะ (โรงอโุ บสถ), ไทยมกั เวลาท่ีกาํ หนดไวเฉพาะที่จะรกั ษาอโุ บสถ ตดั เรยี กวา โบสถ ประเภทน้ี อยา งสามัญ ไดแ ก อโุ บสถที่ อุโบสถกรรม การทําอุโบสถ; ดู อโุ บสถ รกั ษาเปนประจําตลอด ๓ เดือน ใน อุโบสถศีล ศีลทีร่ ักษาเปน อโุ บสถ หรือ พรรษา (อยางเตม็ ไดแ กรักษาตลอด ๔ ศลี ท่ีรกั ษาในวนั อโุ บสถ ไดแ ก ศลี ๘ ที่ เดอื น แหง ฤดูฝน คือ แรม ๑ คํา่ เดือน อุบาสกอุบาสิกาสมาทานรักษาเปนการ ๘ ถงึ ขึ้น ๑๕ คํา่ เดอื น ๑๒, ถา ไม จาํ ศลี ในวนั พระ คือขึน้ และแรม ๘ ค่ํา สามารถรักษาตลอด ๔ เดือน หรอื ๓ ๑๕ คาํ่ (แรม ๑๔ คาํ่ ในเดอื นขาด) เดอื น จะรักษาเพียง ๑ เดอื น ระหวา ง อุปกะ ช่ืออาชีวกผูหนึ่งซ่ึงพบกับพระ วันปวารณาท้ังสอง คอื แรม ๑ คํา่ พุทธเจาในระหวา งทาง ขณะทีพ่ ระองค เดอื น ๑๑ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่า เดอื น ๑๒ ก็ เสดจ็ จากพระศรมี หาโพธไิ์ ปยงั ปา อสิ ปิ ตน- ได, อยางตาํ่ สดุ พงึ รกั ษาก่งึ เดือนตอ จาก มฤคทายวัน เพื่อโปรดพระปญจวัคคยี  วันปวารณาแรกไป คอื แรม ๑ คํา่ อุปการะ ความเกอื้ หนุน, ความอดุ หนนุ , เดือน ๑๑ ถึง แรม ๑๔ คาํ่ เดือน ๑๑); การชวยเหลอื อยางไรก็ตาม มติในสวนรายละเอียด อปุ กิเลส โทษเครอ่ื งเศราหมอง, สงิ่ ที่ทาํ เกี่ยวกับอุโบสถ ๒ ประเภทหลังนี้ จติ ตใ จใหเศราหมองขนุ มวั รับคุณธรรม คัมภีรตางๆ ยังแสดงไวแตกตางไมลง ไดยาก มี ๑๖ อยา ง คอื ๑. อภิชฌา- กนั บาง ทานวา พอใจอยางใด กพ็ งึ ถอื วิสมโลภะ ละโมบ จอ งจะเอาไมเลอื ก เอาอยา งนน้ั เพราะแทจริงแลว จะรกั ษา ควรไมควร ๒. โทสะ คิดประทษุ รา ย อุโบสถในวันใดๆ ก็ใชได เปน ประโยชน ๓. โกธะ โกรธ ๔. อุปนาหะ ผกู โกรธ ทั้งน้ัน แตถารักษาไดในวันตามนิยมก็ ไว ๕. มักขะ ลบหลคู ุณทา น ๖. ปลาสะ ยอมควร 3. วนั อโุ บสถสําหรับพระสงฆ ตเี สมอ ๗. อิสสา รษิ ยา ๘. มัจฉริยะ คือ วันจนั ทรเ พญ็ (ขนึ้ ๑๕ คาํ่ ) และวนั ตระหน่ี ๙. มายา เจาเลห  ๑๐. สาเถยยะ จนั ทรด บั (แรม ๑๕ คาํ่ หรอื ๑๔ คาํ่ เมอื่ โออ วด ๑๑. ถมั ภะ หวั ดอ้ื ๑๒. สารมั ภะ

อปุ กิเลสแหงวิปสสนา ๕๖๐ อุปธิ แขง ดี ๑๓. มานะ ถือตวั ๑๔. อตมิ านะ บุรุษวัยกลางคนมีกาํ ลังดนี ัน้ แหละ ยืน ดหู มนิ่ ทา น ๑๕.มทะ มวั เมา ๑๖. ปมาทะ อยทู เี่ ขตบา นนนั้ โยนกอ นดนิ ไปเตม็ กาํ ลงั กอ นดนิ ตกเปน เขตอปุ จารบา น; สมี าท่ี เลนิ เลอ หรอื ละเลย อุปกิเลสแหงวิปสสนา ดู วิปสสนูป- สมมตเิ ปน ตจิ วี ราวปิ ปวาสนน้ั จะตอ งเวน กเิ ลส บานและอุปจารบานดังกลาวน้ีเสียจึงจะ อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน ไดแก สมมตขิ น้ึ คอื ใชเ ปน ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า กรรมทเ่ี ปน กุศลก็ดี ทเี่ ปนอกศุ ลก็ดี ซึ่ง ได; ดู ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า ดว ย มีกําลังแรง เขาตัดรอนการใหผลของ อุปจารภาวนา ภาวนาขน้ั จวนเจียน คือ ชนกกรรม หรอื อปุ ตถัมภกกรรม ทต่ี รง เจริญกรรมฐานถึงขั้นเกิดอุปจารสมาธิ ขา มกบั ตนเสีย แลว ใหผลแทนท่ี (ขอ ๘ (ขอ ๒ ในภาวนา ๓) ในกรรม ๑๒) อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแนวแน, อปุ จาร เฉยี ด, จวนเจยี น, ทใ่ี กลช ดิ , สมาธิที่ยังไมดิ่งถึงท่ีสุด เปนข้ันทําให ระยะใกลเ คยี ง, ชาน, บรเิ วณรอบๆ; ดงั กเิ ลสมีนิวรณเปนตนระงับ กอ นจะเปน ตวั อยา งคาํ ทวี่ า อปุ จารเรอื น อปุ จารบา น อัปปนา คือถึงฌาน (ขอ ๑ ในสมาธิ ๒, แสดงตามท่ที า นอธิบายในอรรถกถาพระ ขอ ๒ ในสมาธิ ๓) วนิ ยั ดงั น้ี อปุ จารแหงสงฆ บรเิ วณรอบๆ เขตสงฆ อาคารที่ปลูกขึ้นรวมในแคระยะน้ํา ชุมนุมกัน ตกที่ชายคาเปนเรือน, บริเวณรอบๆ อุปฐาก ดู อปุ ฏ ฐาก เรือนซึ่งกําหนดเอาที่แมบานยืนอยูที่ อปุ ตสิ สะ ดู สารีบตุ ร ประตูเรือนสาดน้ําลางภาชนะออกไป อุปติสสปริพาชก คําเรยี กพระสารีบตุ ร หรือแมบานยืนอยูภายในเรือน โยน เมื่อบวชเปนปริพาชกอยูในสํานัก กระดงหรือไมกวาดออกไปภายนอก ของสญชัย ตกที่ใด ระยะรอบๆ กําหนดนั้นเปน อุปถัมภ การค้ําจุน, เครื่องค้ําจุน, อุปจารเรือน อุดหนนุ , ชวยเหลือ, หลอ เล้ยี ง บรุ ษุ วยั กลางคนมกี าํ ลงั ดี ยนื อยทู ี่ อุปธิ ส่ิงนุงนงั , สภาวะกลัว้ กิเลส, ส่ิงทีย่ งั เขตอปุ จารเรอื น ขวา งกอ นดนิ ไป กอ น ระคนดว ยกิเลส 1. รางกาย 2. สภาวะ ดนิ ทข่ี วา งนน้ั ตกลงทใี่ ด ทนี่ น้ั จากรอบๆ อันเปนท่ีตั้งท่ีทรงไวแหงทุกข ไดแก บรเิ วณอปุ จารเรอื น เปน กาํ หนด เขตบา น, กาม กเิ ลส เบญจขันธ และอภสิ งั ขาร

อปุ นาหะ ๕๖๑ อุปมา๓ขอ อปุ นาหะ ผกู โกรธไว, ผกู ใจเจ็บ (ขอ ๔ ทจี่ ะไปเกดิ คือ ในภพถัดไป (ขอ ๒ ใน ในอปุ กเิ ลส ๑๖) กรรม ๑๒) อุปนิสัย ความประพฤตทิ ีเ่ คยชินเปนพน้ื อปุ ปตติเทพ “เทวดาโดยกําเนิด” ไดแ ก มาในสันดาน, ความดีท่ีเปนทนุ หรือเปน พวกเทวดาในกามาพจรสวรรคและ พ้ืนอยูในจิตต, ธรรมที่เปนเครื่อง พรหมทั้งหลาย (ขอ ๒ ในเทพ ๓) อุดหนุน อุปปฬกกรรม “กรรมบีบคั้น” ไดแก อุปนิสินนกถา “ถอยคําของผูเขาไปนั่ง กรรมทเี่ ปน กศุ ลกด็ ี อกศุ ลกด็ ี ซง่ึ บบี คน้ั ใกล”, การน่ังคุยสนทนาอยางกันเอง การใหผ ลแหง ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภก- หรอื ไมเ ปน แบบแผนพธิ ี เพอ่ื ตอบคําซัก กรรม ท่ตี รงขามกบั ตน ใหแปรเปลย่ี น ถาม แนะนําช้ีแจง ใหคาํ ปรึกษา เปนตน ไป เชน ถาเปนกรรมดกี ็บีบคั้นใหอ อ น อปุ บารมี บารมขี ัน้ รอง, บารมขี น้ั จวนสงู ลง ไมใหไดร ับผลเตม็ ท่ี ถาเปนกรรมช่วั สุด คือ บารมที บ่ี ําเพญ็ ย่งิ กวา บารมีตาม กเ็ กยี ดกนั ใหท เุ ลา (ขอ ๗ ในกรรม ๑๒) ปกติ แตยังไมถึงสุดที่จะเปนปรมัตถ- อุปมา ขอความทน่ี าํ มาเปรยี บเทียบ, การ บารมี เชน สละทรพั ยภ ายนอกเปน ทาน อางเอามาเปรยี บเทยี บ, ขอเปรยี บเทียบ บารมี สละอวัยวะเปนทานอุปบารมี อุปมา ๓ ขอ ขอ เปรยี บเทยี บ ๓ ประการ สละชวี ติ เปน ทานปรมตั ถบารมี; ดู บารมี ที่ปรากฏแกพระโพธิสัตว เมื่อจะทรง อปุ ปถกิรยิ า การทํานอกรตี นอกรอยของ บําเพ็ญเพียรที่ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม สมณะ, ความประพฤตินอกแบบแผน คือ ของภกิ ษสุ ามเณร ทานจดั รวมไวเปน ๓ ๑. ไมส ดชมุ ดว ยยาง ท้ังต้งั อยูใน ประเภท คอื ๑. อนาจาร ประพฤติไมดี นา้ํ จะเอามาสีใหเ กดิ ไฟ กม็ ีแตจ ะเหน่อื ย ไมง าม และเลน ไมเหมาะสมตางๆ ๒. เปลา ฉนั ใด สมณพราหมณ ท่ีมกี ายยงั ปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ไมหลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจ คือ คบหากบั คฤหัสถใ นทางทไี่ มส มควร หลงใหลกระหายกาม ละไมไ ด ถึงจะได ทาํ ตนเปนกลุ ทสู ก ๓. อเนสนา หาเลยี้ ง เสวยทุกขเวทนาท่ีเผด็ รอนแรงกลา อนั ชีพในทางท่ีไมสมควร เชน เปน หมอ เกิดจากความเพยี รกต็ าม ไมไดเ สวยก็ เสกเปาใหห วย เปนตน ตาม กไ็ มค วรทจี่ ะตรัสรู ฉนั นัน้ อปุ ปลวัณณา ดู อบุ ลวรรณา ๒. ไมส ดชุม ดวยยาง ต้งั อยูบ นบก อปุ ปชชเวทนยี กรรม กรรมใหผ ลในภพ ไกลจากนํา้ จะเอามาสีใหเ กิดไฟ กม็ ีแต

อปุ ไมย ๕๖๒ อุปสรรค จะเหนื่อยเปลา ฉนั ใด สมณพราหมณท ่ี อุปวาณะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ เกิดใน มีกายหลีกออกแลวจากกาม แตยังมี ตระกลู พราหมณผูมัง่ คง่ั ในนครสาวตั ถี ความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละไม ไดเห็นพระพุทธองคในพิธีถวายวัดพระ ได ถงึ จะไดเสวยทุกขเวทนาทเ่ี ผ็ดรอน เชตวนั เกดิ ความเลือ่ มใส จึงไดมาบวช แรงกลา อันเกิดจากความเพียรก็ตาม ในพระศาสนาและไดบรรลุอรหัตตผล ไมไดเสวยก็ตาม ก็ไมควรท่ีจะตรัสรู ทานเคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองค ฉนั น้นั แมในวันปรินิพพานพระอุปวาณะก็ ๓. ไมแหง เกราะ ทงั้ ต้ังอยบู นบก ถวายงานพดั อยเู ฉพาะพระพักตร เร่อื ง ไกลจากน้ํา จะเอามาสใี หเ กดิ ไฟยอมทาํ ราวเก่ียวกับทานปรากฏในพระไตรปฎก ไฟใหป รากฏได ฉนั ใด สมณพราหมณ ๔–๕ แหง เชน เรอื่ งท่ที านสนทนากับ ที่มีกายหลีกออกแลวจากกาม ไมมี พระสารีบุตรเกี่ยวกับโพชฌงค ๗ ความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละ ประการ เปนตน กามไดแลว ถงึ จะไดเสวยทกุ ขเวทนาท่ี อุปสมะ ความสงบใจจากส่ิงที่เปนขาศึก เผ็ดรอนแรงกลา อันเกิดจากความเพยี ร แกค วามสงบ, การทาํ ใจใหส งบ, สภาวะ ก็ตาม ไมไดเ สวยกต็ าม กค็ วรท่จี ะตรัส อนั เปน ท่ีสงบ คือ นพิ พาน (ขอ ๔ ใน รู ฉนั น้นั อธิษฐานธรรม ๔) เมื่อไดทรงพระดํารดิ ังน้ีแลว พระ อุปสมบท การใหกุลบุตรบวชเปนภิกษุ โพธิสัตว จึงไดทรงเร่ิมบําเพ็ญทุกร- หรอื ใหก ลุ ธดิ าบวชเปน ภกิ ษณุ ,ี การบวช กิริยา ดังเรื่องที่มาในพระสูตรเปนอัน เปน ภิกษุ หรือภกิ ษุณ;ี ดู อุปสัมปทา มาก มโี พธริ าชกุมารสูตร เปนตน แต อุปสมาธิฏฐาน ที่ม่ันคือความสงบ, มักเขา ใจกันผิดไปวา อุปมา ๓ ขอนี้ ธรรมที่ควรตั้งไวในใจใหเปนฐานที่ม่ัน ปรากฏแกพระโพธิสัตวหลังจากทรงเลิก คอื สนั ต,ิ ผมู คี วามระงบั กเิ ลสไดใ จสงบ ละการบําเพญ็ ทุกรกิรยิ า เปน ฐานทมี่ น่ั (ขอ ๔ ในอธิฏฐาน ๔); ดู อุปไมย ขอความที่ควรจะนําสิ่งอ่ืนมา อธษิ ฐานธรรม เปรียบเทียบ, ส่ิงท่ีควรจะหาสิ่งอื่นมา อุปสมานุสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน เปรยี บเทยี บ, ส่งิ ทถี่ ูกเปรียบเทียบ ซึ่งเปนที่ระงับกิเลสและกองทุกข (ขอ อุปริมทิส “ทศิ เบ้ืองบน” หมายถงึ สมณ- ๑๐ ในอนุสติ ๑๐) พราหมณ; ดู ทิศหก อปุ สรรค ความขัดของ, สง่ิ ท่เี ขาไปขัด

อปุ สมั บัน ๕๖๓ อปุ เสนวงั คนั ตบตุ ร ขอ ง, เครอ่ื งกีดกนั้ , สิง่ ขดั ขวาง ปญหาพยากรณปู สมั ปทา การอปุ สมบท อุปสัมบัน ผูไดรับอุปสมบทเปนภิกษุ ดวยการตอบปญหาของพระพุทธองค หรือภิกษุณแี ลว, ผูอ ปุ สมบทแลว ไดแ ก เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตแกโสปากสามเณร ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ;ี เทยี บ อนุปสมั บัน ๕. ครธุ รรมปฏิคคหณูปสมั ปทา (หรอื อุปสัมปทา การบวช, การบวชเปนภิกษุ อฏั ฐครุธรรมปฏคิ คหณปู สมั ปทา) การ หรอื ภกิ ษณุ ;ี วธิ อี ปุ สมบททง้ั หมด ๘ อยา ง อุปสมบทดวยการรับครุธรรม ๘ แตเ ฉพาะทีใ่ ชเปนหลักมี ๓ อยาง คอื ประการ เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตแกพระ ๑. เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา การอปุ สมบท นางมหาปชาบดีโคตมี ๖. ทูเตนะ อุปสมั ปทา การอปุ สมบทดว ยทตู เปน ดวยพระวาจาวา “จงเปนภิกษุมาเถิด” เปนวิธีทีพ่ ระพุทธเจาทรงบวชใหเ อง ๒. วิธีท่ีทรงอนุญาตแกนางคณิกา (หญิง ตสิ รณคมนปู สัมปทา หรอื สรณคมนูป- โสเภณี) ช่ือ อัฑฒกาสี ๗. อฏั ฐวาจิกา สมั ปทา การอปุ สมบทดว ยถงึ ไตรสรณะ อปุ สมั ปทา การอุปสมบทมวี าจา ๘ คอื เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตใหพระสาวกทําใน ทําดว ยญัตตจิ ตตุ ถกรรม ๒ ครั้งจาก ยุคตนพุทธกาล เมื่อคณะสงฆยังไม สงฆทั้งสองฝายคือจากภิกษุณีสงฆครั้ง ใหญน กั เมอื่ ทรงอนญุ าตวิธีที่ ๓ แลว หน่ึง จากภิกษุสงฆครั้งหน่ึง ไดแกก าร วธิ ีท่ี ๒ นก้ี เ็ ปลี่ยนใชสําหรับบรรพชา อุปสมบทของภิกษุณี ๘. ญัตติจตุตถ- สามเณร ๓. ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอปุ สมั ปทา กัมมอปุ สัมปทา (ขอ ๓. เดมิ ) การอุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม อปุ สมั ปทาเปกขะ บคุ คลผเู พง อปุ สมบท เปนวิธีท่ีทรงอนญุ าตใหสงฆท าํ ในเมื่อ คือผูม งุ จะบวชเปน ภิกษุ, ผขู อบวชนาค คณะสงฆเปนหมใู หญข ึน้ แลว และเปน อปุ สัมปทาเปกขา หญิงผูเพงอุปสัมปทา วิธีที่ใชสืบมาจนทุกวันนี้; วิธีอุปสมบท คอื ผขู อบวชเปนภกิ ษุณี อกี ๕ อยา งทเ่ี หลอื เปน วธิ ที ท่ี รงประทาน อุปสวี มาณพ ศิษยค นหน่งึ ในจาํ นวน ๑๖ เปนการพิเศษจําเพาะบุคคลบาง ขาด คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถาม ตอนหมดไปแลว บาง ไดแ ก (จัดเรยี ง ปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย ลาํ ดับใหม เอา ขอ ๓. เปนขอ ๘. ทาย อุปเสนวงั คนั ตบุตร พระมหาสาวกองค สุด) ๓. โอวาทปฏคิ คหณปู สมั ปทา การ หนึ่ง เปนบุตรพราหมณชื่อ วังคันตะ อุปสมบทดวยการรับโอวาท เปนวิธีที่ มารดาช่อื นางสารี เปนนอ งชายของพระ ทรงอนุญาตแกพระมหากัสสปะ ๔. สารบี ตุ ร เกดิ ทหี่ มบู า นนาลกะ เตบิ โตขน้ึ

อปุ หัจจปรินิพพายี ๕๖๔ อุปฏ ฐานศาลา เรยี นไตรเพทจบแลว ตอ มาไดฟ งธรรม ปนู อุปช ฌาย มีความเลื่อมใส จึงบวชในพระพุทธ- อปุ ช ฌายวัตร ธรรมเนียมหรือขอปฏบิ ัติ ศาสนา หลงั จากบวชได ๒ พรรษา จึง ท่ีสัทธิวิหาริก พึงกระทําตออุปชฌาย สําเร็จพระอรหัต ทานออกบวชจาก ของตน, หนาท่ีตออุปชฌายโ ดยยอคือ ตระกูลใหญ มีคนรูจักมากและท้ังเปน เอาใจใสป รนนิบตั ิรับใช คอยศกึ ษาเลา นกั เทศกท ี่สามารถ จึงมกี ุลบุตรเลือ่ มใส เรยี นจากทา น ขวนขวาย ปอ งกัน หรอื มาขอบวชดวยจํานวนมาก ตัวทานเอง ระงับความเสอ่ื มเสยี เชน ความคิดจะ เปนผูถือธุดงค และสอนใหสัทธิวหิ าริก สึก ความเหน็ ผิด เปน ตน รักษานา้ํ ใจ ถอื ธุดงคด ว ย ปรากฏวาทงั้ ตวั ทา นและ ของทา น มคี วามเคารพ จะไปไหนบอก บริษัทของทานเปนที่เล่ือมใสของคนทั่ว ลาไมเท่ียวตามอําเภอใจและเอาใจใส ไปหมด จึงไดรับยกยองวาเปน พยาบาลเม่ือทานอาพาธ; เทียบ สัทธิ- เอตทัคคะในทางทําใหเกิดความเลือ่ มใส วหิ ารกิ วัตร ทั่วทุกดาน (คือไมเฉพาะตนเองนา อปุ ช ฌายาจารย อปุ ช ฌายแ ละอาจารย เลื่อมใส แมคณะศิษยก็นาเลื่อมใสไป อุปฏฐาก ผูบ ํารุง, ผูรบั ใช, ผูดแู ลความ หมด); อปุ เสนะวังคนั ตบุตร ก็เขยี น เปนอยู, ผูอุปถัมภบํารุงพระภิกษุ อุปหัจจปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ สามเณร; ในพุทธกาล พระเถระมาก ปรนิ พิ พานตอ เม่ืออายพุ นกึ่งแลว คือจะ หลายรูปไดเปลี่ยนกันทําหนาท่ีเปนพระ ปรนิ พิ พาน เม่ือใกลจ ะสิน้ อายุ (ขอ ๒ อุปฏฐากของพระพุทธเจา จนกระทั่ง ใน อนาคามี ๕) พรรษาท่ี ๒๐ พระอานนทจ ึงไดร ับหนา อปุ ชฌาย, อปุ ชฌายะ “ผูเ พง โทษนอ ย ที่เปนพระอุปฏฐากประจําพระองค ใหญ” หมายถึงผูรับรองกุลบุตรเขารับ (อรรถกถาใชค ําเรียกวา “นพิ ทั ธุปฏ ฐาก”) การอุปสมบทในทามกลางภิกษุสงฆ, สบื มา ๒๕ พรรษา จนสิน้ พุทธกาล; เปนทั้งผูนําเขาหมู และเปนผูปกครอง อปุ ฐากกเ็ ขยี น; ดูนพิ ทั ธปุ ฏ ฐาก,อานนท คอยดูแลผิดและชอบ ทําหนาท่ฝี กสอน อุปฏฐานศาลา หอฉัน, หอประชุม, อบรมใหก ารศกึ ษาตอไป; อุปช ฌายใ น อาคารสําคัญในวัด ท่ีกลาวถึงบอยใน ฝายภิกษณุ ี เรียกวา ปวตั ตนิ ี พระไตรปฎก โดยพ้ืนเดมิ เปน ศาลาโรง อุปชฌายมัตต ภิกษุผูพอจะเปน ฉนั หรือหอฉัน (โภชนศาลา) และขยาย อปุ ช ฌายไ ด คือมีพรรษาครบ ๑๐, พระ มาใชเปนศาลาโรงประชุมหรือหอประชมุ

อปุ ฏ ฐายกิ า ๕๖๕ อปุ ต ถมั ภกกรรม (สันนบิ าตศาลา) ซ่ึงภิกษุทัง้ หลายมาเฝา อาคารอีกช่ือหนึ่งรองลงไป ท่ีภิกษุท้ัง พระพุทธเจา ฟงพระองคแสดงธรรม หลายมักไปนั่งประชุมสนทนาธรรมกัน และถกเถยี งสนทนาธรรมกัน ตลอดจน ซ่ึงบางคร้ังพระพุทธเจาก็เสด็จไปทรงไถ วนิ จิ ฉยั ขอวินยั ตางๆ เปน สวนประกอบ ถามและทรงช้ีแจงอธิบาย ไดแก สําคัญในวิถีชีวิตของพระสงฆในยุค “มณั ฑลมาฬ” (โรงกลม) ซง่ึ เปน ศาลาท่ี พทุ ธกาล และเปน ทเ่ี กดิ ขน้ึ ของพทุ ธพจน นงั่ พกั หรอื เรยี กอยา งชาวบา นวา ศาลาที่ เปน อนั มากในพระธรรมวนิ ยั , อปุ ฏ ฐาน- นงั่ เลน (นสิ ที นศาลา, อรรถกถาบางแหง ศาลาเกิดมีขึ้นต้ังแตระยะแรกของ วาเปนอุปฏฐานศาลาเชน กัน) พระสตู ร พุทธกาล สืบเน่ืองจากพุทธานุญาตให สําคัญบางสูตรก็เกิดขึ้นที่ศาลานั่งพัก พระสงฆม เี สนาสนะเปน ทอี่ ยอู าศยั คอื แบบน้ี; ในช้ันอรรถกถา นิยมเรียกที่ ในชวงปท่ี ๒-๓ แหงพุทธกิจ ขณะ ประชมุ ฟง พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธ ประทับอยูท่ีพระเวฬุวัน เมืองราชคฤห เจา วา “ธรรมสภา” ดงั นน้ั อปุ ฏ ฐานศาลา คาํ รองขอของเศรษฐีแหงเมอื งราชคฤหท ่ี ของพระไตรปฎ ก จงึ มกั ปรากฏในอรรถ- มีศรัทธาจะสรางวิหารคือกุฎีท่ีพักอาศัย กถา ในชอื่ วา ธรรมสภา ดงั ทอ่ี รรถกถา ถวายแกภ กิ ษทุ ง้ั หลาย ไดเ ปน เหตใุ หท รง บางแหง ไขความวา “คาํ วา ‘ในอปุ ฏ ฐาน- อนญุ าตเสนาสนะแกภ กิ ษทุ งั้ หลาย (วนิ ย. ศาลา’ หมายความวา ‘ในธรรมสภา ๗/๒๐๐/๘๖) ตอ จากนนั้ กม็ พี ทุ ธบญั ญตั ิ มณฑป’” (อ.ุ อ.๑๒/๑๐๖); ดู ธรรมสภา เกย่ี วกบั สง่ิ กอ สรา งตา งๆ ในวดั รวมทง้ั อปุ ฏ ฐายกิ า อปุ ฏ ฐากทีเ่ ปน หญิง พุทธานุญาตหอฉันคืออุปฏฐานศาลานี้ อปุ ต ตเิ หตุ เหตทุ เี กดิ ขนึ้ , เหตกุ ารณท เ่ี กดิ (วินย.๗/๒๓๕/๙๘) แลว ในเวลาใกลเ คยี งตอ เชน ควรเทศนาใหเ หมาะแกอ ปุ ต ติเหตุ จากนนั้ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐกี ไ็ ดส รา งวดั คอื แสดงธรรมใหเ ขา กบั เรอ่ื งทีเ่ กิดขนึ้ ; พระเชตวันขึ้นที่เมืองสาวัตถี ในคํา บัดนเี้ ขียน อบุ ัติเหตุ และใชใ นความ บรรยายการสรา งวดั พระเชตวนั นน้ั บอก หมายทต่ี างออกไป ดว ยวา ไดส รา งอปุ ฏ ฐานศาลา โดยใชค าํ อปุ ต ถมั ภกกรรม กรรมสนบั สนนุ ไดแ ก พหพู จน (อปุ ฏ านสาลาโย, วนิ ย.๗/๒๓๕/ กรรมทั้งที่เปนกุศลและอกุศลที่เขาชวย ๙๘) ซง่ึ แสดงวา ทพี่ ระเชตวนั นน้ั มอี ปุ ฏ - สนับสนุนซ้ําเติมตอจากชนกกรรม ฐานศาลาหลายหลงั , นอกจากอปุ ฏ ฐาน- เหมือนแมนมเล้ียงทารกท่ีเกิดจากผูอื่น ศาลาแลว ตามเรื่องในพระไตรปฎก ถากรรมดีก็สนบั สนนุ ใหดีข้นึ ถากรรม

อุปทวะ ๕๖๖ อุปาลวิ งศ ช่วั กซ็ าํ้ เตมิ ใหเ ลวลงไปอกี (ขอ ๖ ใน อยา งนัน้ อยา งน้ี หรือจะตอ งเปน ไปเชน กรรม ๑๒) นัน้ เชน น้ี อุปท วะ อบุ าทว, ส่งิ เลวรายทก่ี อความ อุปาทานขันธ ขันธอันเปนท่ีต้ังแหง เดือดรอนหรือกีดกั้นขัดขวางไมใหเปน อุปาทาน, ขันธท ี่ประกอบดวยอปุ าทาน อยูเปนไปดวยดี, บางทีพูดควบกับ ไดแก เบญจขนั ธ คือ รูป, เวทนา, อนั ตราย เปน อปุ ทวนั ตราย (อุปทวะ สญั ญา, สงั ขาร, วิญญาณ ท่ีประกอบ และอันตราย) ดวยอาสวะ อุปสสยะของภิกษุณี สวนท่ีอยูของ อปุ าทายรปู รปู อาศัย, รูปทเ่ี กดิ สบื เน่อื ง ภกิ ษุณี ต้งั อยใู นอาวาสที่มีภิกษอุ ยดู ว ย จากมหาภูตรปู , อาการของมหาภตู รูป มี แตอ ยูเอกเทศ ไมปะปนกบั ภกิ ษ;ุ เรยี ก ๒๔ อยาง; ดู รปู ๒๘ ตามศัพทวา ภิกขุนูปสสยะ (สํานัก อุปาทิ 1. สภาพท่ถี กู กรรมกเิ ลสถอื ครอง, ภิกษณุ )ี สภาพทถี่ กู อปุ าทานยดึ ไวม นั่ , เบญจขนั ธ อปุ าทาน ความถอื มน่ั , ความยดึ ตดิ ถอื คา ง 2. กิเลสเปนเหตุถือมั่น, ความยดึ ตดิ ถอื ถอื คาไว (ปจ จบุ นั มกั แปลกนั วา ความยดึ มน่ั , อปุ าทาน มนั่ ) ไมป ลอ ยไมว างตามควรแกเ หตผุ ล อุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมครอบ เนอื่ งจากตดิ ใครช อบใจหรอื ใฝปรารถนา ครอง พูดเขาใจกันอยางงายๆ วา อยา งแรง; ความถอื ม่นั ดว ยอํานาจกิเลส สงั ขารทม่ี ใี จครอง เชน คน สัตว เทวดา มี ๔ คอื ๑. กามปุ าทาน ความถอื มน่ั ใน (ขอ ๑ ในสังขาร ๒) กาม ๒. ทิฏุปาทาน ความถือมั่นใน อปุ าทินนรูป,อปุ าทินนกรูป ดูที่รปู ๒๘ ทิฏฐิ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมนั่ อปุ ายโกศล ดู โกศล ๓ ในศีลและพรต ๔. อัตตวาทุปาทาน อปุ ายาส ความคบั แคน ใจ, ความสนิ้ หวงั ความถือม่ันวาทะวา ตน; ตามสาํ นวนทาง อุปาลิปญจกะ ช่ือตอนหนึ่งในคัมภีร ธรรม ไมใ ชค าํ วา “ถอื มน่ั ” หรอื “ยดึ มน่ั ” ปริวาร พระวนิ ยั ปฎ ก กบั ความมนั่ แนว ในทางทดี่ งี าม แตใ ชค าํ วา อปุ าลิวงศ ชอื่ นกิ ายพระสงฆลงั กาที่บวช “ตง้ั มน่ั ” เชน ตงั้ มน่ั ในศลี ตง้ั มน่ั ในธรรม จากพระสงฆส ยาม (พระอบุ าลเี ปน หวั หนา ต้งั มนั่ ในสจั จะ; ในภาษาไทย มักใช นาํ คณะสงฆไทยไปอุปสมบทกุลบุตรใน “อปุ าทาน” ในความหมายทแ่ี คบลงมาวา ประเทศลงั กา เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๙๖ ในแผน ยึดติดอยูกับความนึกคิดเอาเองวาเปน ดนิ พระเจา อยหู วั บรมโกษฐ สมยั อยธุ ยา

อปุ าสกัตตเทสนา ๕๖๗ ตอนปลาย) เปดใชงาน ณ ที่น้ี พระสารีบุตรได อุปาสกัตตเทสนา การแสดงความเปน แสดงสังคีติสูตร อันเปนตนแบบของ อุบาสก คอื ประกาศตนเปน อบุ าสกโดย การสงั คายนา ถงึ พระรัตนตรัยเปน สรณะ อุภโตพยัญชนก คนมที งั้ ๒ เพศ อุปาหนา ดู รองเทา อุภโตภาควิมุต “ผูหลุดพน ทั้งสองสว น” อโุ ปสถขันธกะ ชอ่ื ขันธกะท่ี ๒ แหง คอื พระอรหันตผ ูบาํ เพ็ญสมถะมาเปน คมั ภีรม หาวรรค พระวนิ ยั ปฎก วา ดว ย อยา งมากจนไดส มาบตั ิ ๘ แลว จึงใช การทําอโุ บสถ คือ สวดปาฏโิ มกขและ สมถะนั้นเปนฐานบําเพ็ญวิปสสนาตอไป เรือ่ งสมี า จนบรรลุอรหตั ผล; หลดุ พน ท้ังสองสวน อุโปสถิกะ, อุโปสถิกภัต อาหารที่เขา (และสองวาระ) คอื หลดุ พนจากรูปกาย ถวายในวันอุโบสถ คอื วันพระ ในเดือน ดวยอรปู สมาบตั ิ (เปน วิกขมั ภนะ) หน หนึ่งสวี่ นั , เปน ของจําพวกสงั ฆภัตหรือ หนึ่งแลว จึงหลุดพนจากนามกายดวย อุทเทสภัตนั่นเอง แตมีกาํ หนดวันเฉพาะ อริยมรรค (เปนสมุจเฉท) อีกหนหน่ึง; คือ ถวายเน่อื งในวนั อโุ บสถ เทยี บ ปญ ญาวิมตุ อุพพาหิกา กิรยิ าทีถ่ อนนาํ ไป, การเลือก อภุ โตสชุ าต เกดิ ดแี ลว ทง้ั สองฝา ย คอื ทง้ั แยกออกไป, หมายถงึ วธิ รี ะงบั ววิ าทาธกิ รณ ฝา ยมารดาทง้ั ฝา ยบดิ า หมายความวา มี ในกรณีที่ที่ประชุมสงฆมีความไม สกลุ สงู เปน เชอื้ สายวรรณะนนั้ ตอ เนอ่ื ง สะดวก ดวยเหตุอยางใดอยางหน่ึง กันมาโดยตลอด ท้ังฝายบิดาและฝาย สงฆจึงเลือกภิกษุบางรูปในที่ประชุมน้ัน มารดา, เปน คณุ สมบตั ทิ พ่ี วกพราหมณ ต้ังเปนคณะ แลวมอบเร่ืองใหน าํ เอาไป และกษตั รยิ บ างวงศถ อื เปน สาํ คญั มาก วินิจฉัย (เปน ทํานองตัง้ คณะกรรมการ อภุ ยตั ถะ ประโยชนท งั้ สองฝา ย, ประโยชน พิเศษ) รวมกัน, สิ่งที่เก้ือกูลแกสวนรวมเปน อุพภตกสัณฐาคาร ทองพระโรงชื่อ คุณแกชีวิตทั้งของตนและของผูอ่ืน อุพภตก เปนทองพระโรง หรือหอ ชวยใหเปนอยูกันดวยดีพากันประสบ ประชุมท่ีสรางข้ึนใหมของมัลลกษัตริย ทฏิ ฐธัมมิกตั ถะ สมั ปรายิกตั ถะ และปร แหงเมืองปาวา มัลลกษัตริยทูล มตั ถะ ยง่ิ ข้นึ ไป; ดู อัตถะ อาราธนาพระพุทธเจาไปประทับพรอม อมุ มตั ตกสมมติ การทสี่ งฆส วดประกาศ ดวยภกิ ษสุ งฆ เพื่อเปน สริ ิมงคลกอนจะ ความตกลงใหถ อื ภกิ ษเุ ปน ผวู กิ ลจรติ ; ดทู ี่

อุยยานบาล, อทุ ยานบาล ๕๖๘ เอกเทศ ปกาสนียกรรม, อสมั มขุ ากรณีย มคธ ตงั้ อยู ณ ลุมแมน ้ําเนรญั ชรา เปน อยุ ยานบาล, อทุ ยานบาล คนเฝา อทุ ยาน, ภมู ิสถานท่สี งบนาร่นื รมย พระมหาบุรุษ เจา หนา ทด่ี แู ลรกั ษาอทุ ยาน; ดู อุทยาน ทรงเลอื กเปน ทบี่ าํ เพญ็ เพยี ร ไดป ระทบั อยู อุรุเวลกัสสป พระมหาสาวกองคหน่ึง ณ ทน่ี นี้ านถงึ ๖ ป ทรงบาํ เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า เคยเปนนักบวชประเภทชฎิล นับถือ และเปลยี่ นมาทรงดาํ เนนิ ในมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ลัทธิบูชาไฟ ถือตัววาเปนพระอรหันต จนไดตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สรางอาศรมสั่งสอนลัทธิของตนอยูใกล ภายใตร ม พระศรมี หาโพธิ์ ณ รมิ ฝง แมน า้ํ ฝงแมนํา้ เนรัญชรา ตําบลอรุ ุเวลา เพราะ เนรญั ชรา ในตาํ บลน้ี เหตุที่เปนชาวกัสสปโคตรและอยู ณ อุสสาวนันติกา กัปปยภูมิท่ีทําดวยการ ตําบลอรุ เุ วลา จงึ ไดชอ่ื วา อุรเุ วลกัสสป ประกาศ ไดแ ก กฎุ ที ภ่ี กิ ษทุ งั้ หลายตกลง ทา นผนู เ้ี ปน คณาจารยใ หญท ช่ี าวราชคฤห กนั แตต น วา จะทาํ เปน กปั ปย กฎุ ี ในเวลา นับถอื มาก มนี อ งสองคน คนหนงึ่ ชอ่ื ท่ที าํ พอชวยกนั ยกเสาหรอื ตงั้ ฝาทแี รก นทีกัสสป อกี คนหน่ึงชือ่ คยากสั สป ก็รองประกาศใหรูกันวา “กปฺปยกุฏึ ลวนเปนหัวหนาชฎิลต้ังอาศรมอยูถัด กโรม” ๓ หน (แปลวา “เราท้ังหลายทาํ กนั ไปบนฝง แมน ํา้ เนรญั ชรา ไมห า งไกล กัปปย กฎุ ”ี ); ดู กัปปยภมู ิ จากอาศรมของพี่ชายใหญ ตอมาพระ อสุ รี ธชะ ภเู ขาทกี่ นั้ อาณาเขตของมชั ฌมิ - พุทธเจาไดเสด็จมาทรงทรมานอุรุเวล- ชนบทดา นเหนือ กัสสปดว ยอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ต า งๆ จนทา น อูเน คเณ จรณํ การประพฤติ (วัตร) ใน ชฎิลใหญคลายพยศ ยอมมอบตัวเปน คณะอนั พรอ ง คือ ประพฤตใิ นถนิ่ เชน พทุ ธสาวก ขอบรรพชา ทาํ ใหช ฎลิ ผนู อ ง อาวาส ทม่ี ปี กตตั ตภกิ ษไุ มค รบองคส งฆ ทั้งสองพรอมดวยบริวารออกบวชตาม คือไมถ ึง ๔ รูป แตท่นี ยิ มปฏิบัติกนั มา ดว ยทง้ั หมด ครนั้ บวชแลว ไดฟ ง เทศนา ไมต าํ่ กวา ๕ รปู ; เปน เหตอุ ยา งหนึง่ ของ อาทิตตปริยายสตู ร จากพระพทุ ธเจา ก็ รัตตเิ ฉทแหงมานตั ; ดู รัตติเฉท ไดสําเร็จพระอรหัตท้ังสามพ่ีนองพรอม อรู ุ ขาออ น, โคนขา ดว ยบรวิ ารทงั้ หมดหนงึ่ พนั องค พระอรุ -ุ เอกฉันท มีความพอใจอยางเดียวกัน, เวลกัสสปไดรับยกยองเปนเอตทคั คะใน เห็นเปน อยา งเดียวกนั หมด ทางมบี รษิ ทั ใหญ คือ มบี ริวารมาก เอกเทศ ภาคหนึ่ง, สว นหน่งึ , เปนสวน อรุ เุ วลา ชอ่ื ตาํ บลใหญแ หง หนง่ึ ในแควน หน่ึงตา งหาก

เอกพีชี ๕๖๙ เอกเสสนัย เอกพีชี ผมู ีพชื คอื อัตภาพอนั เดียว หมาย หรอื เหลอื ไวศ พั ทเ ดยี ว เชน ก) เปน ทร่ี ู ถึง พระโสดาบันซง่ึ จะเกิดอีกครัง้ เดียวก็ กนั ดวี า คพู ระอคั รสาวกคอื ใคร ดงั นนั้ ใน จะบรรลุพระอรหัตตผลในภพท่ีเกิดขึ้น คาํ สมาสบาลี เมอ่ื ระบนุ ามพระอคั รสาวก (ขอ ๑ ในโสดาบนั ๓, บางแหง ทานจัด องคเ ดยี วแตเ ปน พหพู จนว า สารปิ ตุ ตฺ า กลบั เปนขอ ๓) “พระสารบี ตุ รทงั้ หลาย” กเ็ ปน อนั รวมอกี เอกภณั ฑะ ทรัพยส งิ่ เดียวซงึ่ มรี าคาเพียง องคหน่ึงท่ีไมไดระบุดวย จึงหมายถึง พอที่จะเปน วัตถแุ หง ปาราชกิ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เอกภตั ติกะ ผูฉนั ภตั เดียว คือ ฉนั วันละ ข) ตามสาํ นวนวธิ อี ธิบายธรรม เชน ใน มอื้ เดยี ว เฉพาะมอื้ เชา กอ นเทยี่ งวนั ; เทยี บ หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท คาํ วา นามรปู เปน เอกาสนกิ ะ;ดู ฉนั มอ้ื เดยี ว เอกเสส หมายถงึ นามหรอื รปู หรอื ทง้ั เอกวจนะ คาํ กลา วถึงสงิ่ ของสิง่ เดยี ว นามและรปู คาํ วา สฬายตนะ กเ็ ปน เอกโวการ, เอกโวการภพ ดู โวการ เอกเสส หมายถงึ อายตนะท่ี ๖ กไ็ ด เอกสทิ ธิ สทิ ธพิ ิเศษ, สิทธโิ ดยเฉพาะ อายตนะทง้ั ๖ กไ็ ด ดงั นนั้ เมอื่ พดู วา เอกเสสนยั อาการกาํ หนดดว ยเหลอื ศพั ท นามรูปเปนปจจัยใหเกดิ สฬายตนะ ถา เดยี ว, เปน วธิ กี ารอยา งหนง่ึ ในไวยากรณ พดู ถงึ อรปู ภพ กรณกี บ็ งั คบั ใหต อ งแปล บาลี กลา วคอื บคุ คล วตั ถุ หรอื ภาวะ ความวา นามเปน ปจ จยั ใหเ กดิ อายตนะท่ี บางอยาง เปนของควบคกู นั มาดวยกัน ๖ (คอื มโน) ค) ในสาํ นวนนยิ มทางภาษา เสมอ เมอื่ เหน็ อยา งหนงึ่ กเ็ ปน อนั รถู งึ อกี อยา งในภาษาบาลี คาํ พดู บางคาํ มคี วาม อยา งหนง่ึ ดว ย หรอื เปน ของชดุ เดยี วกนั หมายกวา ง หมายถงึ สงิ่ ของหรอื สภาวะ จาํ พวกเดยี วกัน เมอ่ื เรยี กชอ่ื อยา งหนงึ่ สองสามอยางที่ถือไดวาเปนชุดเดียวกัน จะหมายถึงอยางหนึ่งอยางใดในชุดหรือ เชน สคุ ติ หมายถงึ โลกสวรรคก ไ็ ด โลก ในจาํ พวกนนั้ กไ็ ด ในกรณเี ชน น้ี บางที มนษุ ยก ไ็ ด (สวรรคก บั มนษุ ยอ ยใู นชดุ ที่ ทา นกลา วถึงหรอื ออกช่ือไวอยางใดอยา ง เปนสุคติดวยกัน) เม่ืออยางหน่ึงในชุด หนงึ่ แตเ พยี งอนั เดยี ว ใหผ อู า นหรอื ผฟู ง นน้ั มคี าํ เฉพาะระบชุ ดั แลว คาํ ทมี่ คี วาม หมายรอู กี อยางหน่ึงดว ย หรอื ใหเขาใจ หมายกวา ง กย็ อ มหมายถงึ อกี อยา งหนงึ่ เอาเอง จากขอ ความแวดลอ มวา ในทนี่ น้ั ในชดุ นน้ั ทย่ี งั ไมถ กู ระบุ เชน ในคาํ วา หมายถึงอยางไหนขอใดในชุดหรือใน “สคุ ติ (และ) โลกสวรรค” สวรรคก เ็ ปน จาํ พวกนนั้ จงึ เรยี กวา เหลอื ไวอ ยา งเดยี ว สคุ ติ แตม คี าํ เฉพาะระบไุ วแ ลว ดงั นนั้

เอกอุ ๕๗๐ เอตทัคคะ คาํ วา สคุ ติ ในกรณนี ้ี จงึ หมายถงึ โลก ภกิ ขฺ เว มม สาวกานํ ภกิ ขฺ นู ํ รตตฺ ฺ นู ํ มนุษย ซึ่งเปนสุคติอยางเดียวท่ีเหลือ ยททิ ํอฺ าโกณฑฺ โฺ ”(ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผูรัตตัญู นอกจากสวรรค เอกอุ เลิศ, สูงสดุ (ตัดมาจากคาํ วา เอก- อญั ญาโกณฑญั ญะน่ี เปน ผยู อดเย่ยี ม), อดุ ม) (อง.ฺ เอก.๒๐/๗๘/๑๗) วา “เอตทคคฺ ํ ภกิ ขฺ เว เอกัคคตา ความมีอารมณเปนอันเดียว วฑุ ฒฺ นี ํ ยททิ ํ ปฺ าวฑุ ฒฺ ”ิ (ภิกษทุ ัง้ คือ ความมีจิตตแนวแนอยูในอารมณ หลาย บรรดาความเจริญทั้งหลาย อันเดียว ไดแกสมาธิ (พจนานุกรม ความเจรญิ เพ่ิมพนู ปญญาน่ี เปนเยย่ี ม) เขียน เอกคั ตา); ดู ฌาน (องฺ.นวก.๒๓/๒๐๙/๓๗๗) วา “เอตทคฺคํ เอกันตโลมิ เครื่องลาดที่มีขนตกไปขาง ภกิ ขฺ เว ทานานํ ยททิ ํ ธมมฺ ทาน”ํ (ภิกษุ เดยี วกนั ทง้ั หลาย ในบรรดาทานทงั้ หลาย ธรรม เอกายนมรรค ทางอันเอก คอื ขอปฏิบตั ิ อันประเสริฐที่จะนําผูปฏิบัติไปสูความ ทานนเ้ี ปนเลศิ ); ตามปกติ มกั หมายถึง บริสุทธิห์ มดจด หมดความทุกข และ พระสาวกที่ไดรับยกยองจากพระพุทธ บรรลนุ ิพพาน ไดแก สติปฏ ฐาน ๔; เจาวาเปนผูยอดเย่ียมในทางใดทางหน่ึง อยางกวางขวาง เชน ในมหานิทเทส เชน เปนเอตทัคคะในทางธรรมกถึก หมายถึง โพธปิ กขิยธรรม ดวย หมายความวาเปนผูยอดเยี่ยมในทาง เอกาสนิกะ ผูฉันท่นี ่งั เดยี ว คือ ฉนั วนั ละ มอื้ เดยี วครงั้ เดยี ว ลกุ จากทแี่ ลว ไมฉ นั อกี แสดงธรรม เปน ตน ในวนั นนั้ ; เทยี บ เอกภตั ตกิ ะ;ดู ฉนั มอ้ื เดยี ว เอกาสนิกังคะ องคแหงผูถือนั่งฉันท่ี พระสาวกท่ีพระพุทธเจาตรัสวาเปน อาสนะเดยี วเปน วตั ร คือ ฉนั วันละมื้อ เอตทัคคะ ในบริษทั ๔ ปรากฏในพระ เดียว ลุกจากท่ีแลวไมฉันอีกในวันน้ัน ไตรปฎ ก (อง.ฺ เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑–๑๕๒/๓๓) ดงั น้ี (ขอ ๕ ในธุดงค ๑๓) ๑. ภกิ ษบุ รษิ ทั เอตทคั คะ “นั่นเปน ยอด”, “นเ่ี ปน เลิศ”, บคุ คลหรอื สงิ่ ทย่ี อดเยยี่ ม ดีเดน หรือ พระอญั ญาโกณฑัญญะ เปนเอตทัคคะ เปน เลศิ ในทางใดทางหนงึ่ เชน ในพุทธ ในบรรดาภกิ ษสุ าวกผรู ตั ตญั ,ู พระสาร-ี พจน (องฺ.เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑) วา “เอตทคคฺ ํ บตุ ร …ใน~ผมู ปี ญ ญามาก, พระมหา- โมคคลั ลานะ …ใน~ผมู ฤี ทธ,์ิ พระมหา- กสั สป …ใน~ผถู อื ธดุ งค, พระอนรุ ทุ ธะ …ใน~ผูม ีทพิ ยจักษ,ุ พระภทั ทยิ ะกาฬ-ิ โคธาบุตร …ใน~ผูมีตระกูลสูง, พระ

เอตทัคคะ ๕๗๑ เอตทัคคะ ลกุณฏกภัททิยะ ใน~ผูมีเสียงไพเราะ, มลั ลบตุ ร …ใน~ผจู ดั แจกเสนาสนะ, พระ พระปณโฑลภารทั วาชะ …ใน~ผบู ันลือ ปล นิ ทวจั ฉะ …ใน~ผเู ปน ทร่ี กั ใครช อบใจ สหี นาท, พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร …ใน~ผู ของเหลา เทพยดา, พระพาหยิ ทารจุ รี ยิ ะ เปน ธรรมกถกึ , พระมหากจั จานะ …ใน~ …ใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระกมุ ารกสั สปะ ผจู าํ แนกความยอ ใหพ สิ ดาร, พระจลุ ล- …ใน~ผูแสดงธรรมวิจิตร, พระมหา- ปน ถกะ …ใน~ผนู ฤมติ มโนมยกาย (กาย โกฏฐิตะ …ใน~ผูบ รรลุปฏสิ มั ภทิ า, พระ อนั สาํ เรจ็ ดว ยใจ), พระจลุ ลปน ถกะ …ใน อานนท …ใน~ผเู ปน พหสู ตู , พระอานนท ~ผูฉลาดทางเจโตววิ ฏั ฏ (การคล่ีขยาย …ใน~ผมู สี ต,ิ พระอานนท …ใน~ผมู คี ต,ิ ทางจิต คือในดานสมาบัติ หรือเร่ือง พระอานนท …ใน~ผมู คี วามเพยี ร, พระ สมาธ)ิ , พระมหาปน ถกะ …ใน~ผฉู ลาด อานนท …ใน~ผเู ปน อปุ ฏ ฐาก, พระอรุ -ุ ทางปญญาวิวัฏฏ (การคลี่ขยายทาง เวลกัสสปะ …ใน~ผมู บี รษิ ทั มาก, พระ ปญ ญา คอื ในดา นวปิ ส สนา; บาลเี ปน กาฬุทายี …ใน~ผูทาํ สกุลใหเลื่อมใส, สญั ญาววิ ฏั ฏ กม็ ี คอื ชาํ นาญในเรอื่ งอรปู - พระพกั กลุ ะ …ใน~ผมู อี าพาธนอ ย, พระ ฌาน), พระสภุ ตู ิ …ใน~ผมู ปี กตอิ ยไู ม โสภิตะ …ใน~ผรู ะลึกบุพเพนวิ าส, พระ ขอ งเกยี่ วกบั กเิ ลส (อรณวหิ าร)ี , พระสภุ ตู ิ อุบาลี …ใน~ผูทรงวินัย, พระนนั ทกะ …ใน~ผเู ปน ทกั ขไิ ณย, พระเรวตขทริ วนยิ ะ …ใน~ผโู อวาทภกิ ษณุ ,ี พระนนั ทะ …ใน~ …ใน~ผถู อื อยปู า (อารญั ญกะ), พระกงั ขา- ผสู าํ รวมระวงั อนิ ทรยี , พระมหากปั ปน ะ เรวตะ …ใน~ผบู าํ เพญ็ ฌาน, พระโสณ- …ใน~ผโู อวาทภกิ ษ,ุ พระสาคตะ …ใน~ผู โกฬวิ สิ ะ …ใน~ผปู รารภความเพยี ร, พระ ชาํ นาญเตโชธาตสุ มาบตั ,ิ พระราธะ …ใน โสณกุฏิกัณณะ …ใน~ผูกลาวกัลยาณ- ~ผสู อ่ื ปฏภิ าณ, พระโมฆราช …ใน~ผู พจน, พระสีวลี …ใน~ผมู ีลาภ, พระ ทรงจวี รเศรา หมอง วักกลิ …ใน~ผูมีศรัทธาสนิทแนว (ศรทั ธาธมิ ตุ ), พระราหลุ …ใน~ผใู ครต อ ๒. ภกิ ษณุ บี รษิ ทั การศกึ ษา, พระรฐั ปาละ …ใน~ผอู อก พระมหาปชาบดโี คตมี เปน เอตทคั คะ บวชดว ยศรทั ธา, พระกณุ ฑธานะ …ใน~ ในบรรดาภกิ ษณุ สี าวกิ าผรู ตั ตญั ,ู พระ ผจู บั สลากเปน ปฐม, พระวงั คสี ะ …ใน~ผู เขมา …ใน~ผูมีปญ ญามาก, พระอุบล- มปี ฏภิ าณ, พระอปุ เสนะวงั คนั ตบตุ ร … วรรณา …ใน~ผูม ีฤทธ,์ิ พระปฏาจารา ใน~ผทู นี่ า เลอื่ มใสรอบดา น, พระทพั พ- …ใน~ผทู รงวนิ ยั , พระธมั มทนิ นา …ใน~ ผเู ปน ธรรมกถกึ , พระนนั ทา …ใน~ผู

เอตทคั คฐาน ๕๗๒ เอหภิ กิ ขุอุปสัมปทา บาํ เพญ็ ฌาน, พระโสณา …ใน~ผปู รารภ วสิ าขามคิ ารมารดา …ใน~ผเู ปน ทายกิ า, ความเพียร, พระสกุลา …ใน~ผูมี ขชุ ชตุ ตรา …ใน~ผเู ปน พหสู ตู , สามาวดี ทพิ ยจกั ษ,ุ พระภทั ทากณุ ฑลเกสา … …ใน~ผูม ปี กติอยดู วยเมตตา, อุตตรา ใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระภทั ทากปล านี นันทมารดา …ใน~ผูบําเพ็ญฌาน, (ภทั ทกาปล านี กว็ า ) …ใน~ผรู ะลกึ บพุ เพ- สุปปวาสาโกลิยธดิ า …ใน~ผถู วายของ นวิ าส, พระภทั ทากจั จานา …ใน~ผบู รรลุ ประณีต, สุปปย าอบุ าสกิ า …ใน~ผูเปน มหาอภญิ ญา, พระกสี าโคตมี …ใน~ผู คลิ านปุ ฏ ฐาก, กาตยิ านี …ใน~ผมู ปี สาทะ ทรงจวี รเศรา หมอง, พระสคิ าลมารดา … ไมห วนั่ ไหว, นกลุ มารดาคหปตานี …ใน ใน~ผมู ศี รทั ธาสนทิ แนว (ศรทั ธาธมิ ตุ ) ~ผูสนิทคุนเคย, กาฬีอุบาสิกา ชาว ๓. อบุ าสกบรษิ ทั กุรรฆรนคร …ใน~ผูม ีปสาทะดวยสดับ ตปสุ สะและภลั ลกิ ะ สองวาณชิ เปน คาํ กลาวขาน; เทยี บ อสตี มิ หาสาวก เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผูถ ึง เอตทัคคฐาน ตําแหนงเอตทัคคะ, สรณะเปน ปฐม, สุทัตตะอนาถปณฑิก- ตําแหนง ท่ีไ ดรับยกยองจากพระ คหบดี …ใน~ผเู ปนทายก, จิตตะคหบดี พุทธเจา วา เปนเลิศในคุณนนั้ ๆ ชาวเมืองมัจฉิกาสณฑ …ใน~ผูเปน เอหปิ สสฺ โิ ก (พระธรรม) ควรเรียกใหม าดู ธรรมกถกึ , หัตถกะอาฬวกะ …ใน~ผู คือ เชิญชวนใหมาชม เหมือนของดี สงเคราะหบริษัทดวยสังคหวัตถุ ๔, วิเศษท่ีควรปา วรองใหม าดู หรอื ทาทาย มหานามะเจา ศากยะ …ใน~ผูถวายของ ตอการพิสูจน เพราะเปน ของจรงิ และดี ประณีต, อุคคะคหบดี ชาวเมืองเวสาลี จรงิ (ขอ ๔ ในธรรมคุณ ๖) …ใน~ผูถวายของท่ี[ตัวผูถวายเอง]ชอบ เอหิภิกขุ เปนคําเรียกภิกษุท่ีไดรับ ใจ, อุคคตะคหบดี …ใน~ผูเปนสังฆ- อุปสมบทจากพระพุทธเจาโดยตรงดวย อปุ ฏ ฐาก, สรู ะอมั พฏั ฐะ …ใน~ผมู ปี สาทะ วิธีบวชท่ีเรียกวา เอหิภิกขุอุปสัมปทา; ไมหวน่ั ไหว, ชวี กโกมารภจั จ …ใน~ผู พระอัญญาโกณฑัญญะ เปนเอหิภิกขุ เลื่อมใส[เลือกตัว]บุคคล, นกุล-บิดา องคแ รก คหบดี …ใน~ผูสนิทคนุ เคย เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา วธิ อี ุปสมบทท่ีพระ ๔. อบุ าสกิ าบรษิ ทั พุทธเจาประทานดวยพระองคเองดวย สชุ าดาเสนานธี ดิ า เปน เอตทคั คะ ใน การเปลง พระวาจาวา “ทา นจงเปนภิกษุ บรรดาอบุ าสกิ าสาวกิ าผถู งึ สรณะเปน ปฐม, มาเถดิ ธรรมอันเรากลาวดีแลว ทานจง

เอหิภิกษุ ๕๗๓ โอธานสโมธาน ประพฤติพรหมจรรยเพื่อทําท่ีสุดทุกข องค ๕ อีกหมวดหนง่ึ วา เปน อลัชชีเปน โดยชอบเถดิ ” วิธนี ้ี ทรงประทานแกพระ พาล มิใชป กตตั ตะ กลาวดว ยปรารถนา อญั ญาโกณฑัญญะ เปน บคุ คลแรก; ดู จะกาํ จดั มใิ ชเปน ผูมีความปรารถนาใน อปุ สัมปทา อนั ใหอ อกจากอาบัติ เอหภิ กิ ษุ ดู เอหิภิกขุ โอกาสโลก โลกอันกําหนดดวยโอกาส, โอกกันตกิ าปติ ปต เิ ปน ระลอก, ความอม่ิ โลกอันมีในอวกาศ, โลกซึ่งเปนโอกาส ใจเปนพักๆ เม่ือเกิดข้ึนทาํ ใหรูสึกซูซา แกสตั วท้งั หลายท่จี ะอยอู าศัย, โลกคือ เหมอื นคลน่ื กระทบฝง (ขอ ๓ ในปต ิ ๕) แผนดินอันเปนที่อยูอาศัยของสัตวทั้ง โอกกากราช กษัตริยผูเปนตนสกุลของ หลาย, จกั รวาล (ขอ ๓ ในโลก ๓) โอฆะ หว งน้ําคือสงสาร, หว งนํา้ คือการ ศากยวงศ โอกาส ชอง, ที่วาง, ทาง, เวลาที่เหมาะ, เวียนวายตายเกิด; กิเลสอันเปนดุจ จังหวะ; ในวิธีระงับอนุวาทาธิกรณมี กระแสนํ้าหลากทวมใจสัตว มี ๔ คอื ระเบียบวา กอ นจะกลาวคําโจทนาคือคาํ กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา ฟองขึน้ ตอหนา สงฆ โจทกพึงขอโอกาส โอฏฐชะ อักษรเกดิ ทีร่ มิ ฝปาก คอื อุ อู ตอจําเลย คําขอโอกาสวา “กโรตุ เม และ ป ผ พ ภ ม อายสฺมา โอกาสํ, อหนฺตํ วตฺตุกาโม” โอตตัปปะ ความกลวั บาป, ความเกรง แปลวา “ขอทานจงทาํ โอกาสแกข า พเจา กลัวตอทจุ รติ , ความเกรงกลวั ความชวั่ ขาพเจา ใครจ ะกลา วกะทา น” ถา โจทโดย เหมือนกลัวอสรพิษ ไมอยากเขาใกล ไมขอโอกาส ตองอาบตั ิทุกกฏ คาํ ให พยายามหลกี ใหห า งไกล (ขอ ๒ ในธรรม โอกาส ทานไมไดแสดงไว อาจใชวา คมุ ครองโลก ๒, ขอ ๔ ในอรยิ ทรพั ย ๗, “กโรมิ อายสมฺ โต โอกาส”ํ แปลวา ขอ ๓ ในสทั ธรรม ๗) “ขาพเจาทาํ โอกาสแกทา น”; ภกิ ษุพรอ ม โอธานสโมธาน ชื่อปริวาสประเภท ดว ยองค ๕ แมจะขอใหท าํ โอกาสก็ไม สโมธานปรวิ าสอยา งหนงึ่ ใชส าํ หรบั อาบตั ิ ควรทาํ (คือไมควรใหโ อกาส) กลา วคือ สังฆาทิเสสท่ตี องหลายคราวแตม ีจาํ นวน เปนผูมีความประพฤติทางกายไม วนั ทป่ี ด ไวเ ทา กนั เชน ตอ งอาบตั ิ ๒ คราว บริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาไม ปด ไวค ราวละ ๕ วนั ใหข อปรวิ าสรวม บริสุทธิ์ มอี าชวี ะไมบ ริสุทธิ์ เปน ผูเขลา อาบตั แิ ละราตรเี ขา ดว ยกนั เพอ่ื อยเู พยี ง ๕ ถูกซักเขา ไมอาจใหคําตอบขอท่ีซัก, วนั เทา นน้ั , (แตต ามนยั อรรถกถาทา นแก

โอธิโสผรณา ๕๗๔ โอวาทปาฏิโมกข วา สาํ หรบั อนั ตราบตั มิ วี นั ปด ทป่ี ระมวล กระทาํ โอภาส ณ ทตี่ า งๆ หลายแหง ซึง่ เขา กบั อาบตั เิ ดมิ ); ดู สโมธานปรวิ าส ถาพระอานนทเขาใจ กจ็ ะทลู ขอใหท รง โอธโิ สผรณา “แผโ ดยมีขอบเขต”, เมตตา ดํารงพระชนมอ ยตู ลอด[อายุ]กัป ท่ีต้ังใจแผไ ปตอ สตั วทงั้ หลายอยางจาํ กัด โอมสวาท [โอ-มะ-สะ-วาด] พดู เสยี ดแทง ขอบเขต เชนวา ขอใหชนชาวเขา จงมี ใหเจ็บใจหรือใหไดความอัปยศ ไดแก ความสขุ , ขอใหเ หลา พอ คา จงมคี วามสขุ , การพดู แดกหรอื ประชดกต็ าม ดา กต็ าม ขอใหเ ตาปลา จงมคี วามสขุ , บางทเี รยี ก กระทบถงึ อกั โกสวตั ถุ ๑๐ ประการ มี “โอทสิ สกผรณา” (แผไ ปเจาะจง); เทียบ ชาตกิ าํ เนดิ ชอ่ื ตระกลู เปน ตน ภกิ ษุ อโนธโิ สผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเ มตตา, ก ล า ว โ อ ม ส ว า ท แ ก ภิ ก ษุ ต อ ง อ า บั ติ วกิ พุ พนา, สมี าสมั เภท ปาจิตตีย แกอนุปสัมบันตองอาบัติ ทกุ กฏตามสกิ ขาบทที่ ๒ แหง มสุ าวาท โอปนยิโก (พระธรรม) ควรนอมเขา มา ไวในใจ หรือนอมใจเขาไปใหถึงดวย วรรคปาจติ ตยิ กณั ฑ การปฏิบัติใหเกิดขึ้นในใจ หรือใหใจ โอรส “ผูเ กดิ แตอ ก”, ลกู ชาย บรรลถุ งึ อยา งนนั้ (ขอ ๕ ในธรรมคณุ ๖) โอรัมภาคิยสังโยชน สังโยชนเบื้องต่ํา, โอปปาตกิ ะ สตั วเกิดผดุ ขึน้ คือ เกดิ ผุด กิเลสผกู ใจสัตวอยางหยาบ มี ๕ อยา ง ข้ึนมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม คอื สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พต- ตองมีเช้ือหรือซากปรากฏ เชนเทวดา ปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ; ดู สังโยชน และสตั วน รก เปน ตน (ขอ ๔ ในโยนิ ๔); โอวาท คาํ กลาวสอน, คาํ แนะนาํ , คํา บาลวี า รวมทง้ั มนษุ ยบางพวก ตกั เตอื น; โอวาทของพระพทุ ธเจา ๓ คอื โอปกกฺ มกิ า อาพาธา ความเจบ็ ไขเ กดิ ๑. เวนจากทุจริต คือประพฤติช่วั ดวย จากความพยายามหรือจากคนทําให, กายวาจาใจ (=ไมทําความช่ัวท้ังปวง) เจ็บปวยเพราะการกระทําของคนคือตน ๒. ประกอบสุจรติ คอื ประพฤตชิ อบ เองเพยี รเกนิ กาํ ลงั หรอื ถกู เขากระทาํ เชน ดว ยกายวาจาใจ (=ทําแตความดี) ๓. ถูกจองจํา ใสข ือ่ คา เปน ตน ; ดูอาพาธ ทําใจของตนใหหมดจดจากเคร่ืองเศรา โอภาส 1. แสงสวาง, แสงสุกใส ผุดผอง หมอง มีโลภ โกรธ หลง เปนตน (=ทาํ (ขอ ๑ ในวิปสสนปู กิเลส ๑๐) 2. การ จติ ตของตนใหส ะอาดบรสิ ุทธ)์ิ โอวาท พูดหรือแสดงออกที่เปนเชิงเปดชองทาง ๓ น้ี รวมอยใู น โอวาทปาฏโิ มกข หรือใหโอกาส เชนท่ีพระพุทธเจาทรง โอวาทปาฏโิ มกข [โอ-วา-ทะ-ปา-ต-ิ โมก]

โอวาทปาติโมกข ๕๗๕ โอสารณา หลักคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา ไมช ่อื วา เปนบรรพชติ , ผูเบียดเบียนคน หรือคําสอนอันเปนหัวใจของพระพุทธ อนื่ ไมช ื่อวาเปนสมณะ ศาสนา ไดแก พระพุทธพจน ๓ คาถากึ่ง การไมกลาวรา ย ๑ การไมทําราย ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรสั แกพ ระอรหนั ต ๑,๒๕๐ ๑ ความสาํ รวมในปาฏโิ มกข ๑ ความ รปู ผไู ปประชมุ กนั โดยมไิ ดน ดั หมาย ณ เปน ผรู จู ักประมาณในอาหาร ๑ ทนี่ ัง่ พระเวฬุวนาราม ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ ท่ี นอนอนั สงัด ๑ ความเพียรในอธจิ ิตต ๑ เราเรียกกันวาวันมาฆบูชา (อรรถกถา นเ้ี ปน คาํ สอนของพระพุทธเจา ทัง้ หลาย กลา ววา พระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาท- ท่เี ขา ใจกันโดยทว่ั ไป และจํากันได ปาฏโิ มกขน ้ี แกท ่ีประชมุ สงฆ เปน เวลา มาก กค็ อื ความในคาถาแรกทวี่ า ไมท าํ ๒๐ พรรษากอนท่จี ะโปรดใหส วดปาฏ-ิ ชั่ว ทาํ แตค วามดี ทาํ จิตตใ จใหผ อ งใส โมกขอยา งปจ จบุ ันนแี้ ทนตอ มา), คาถา โอวาทปาติโมกข ดู โอวาทปาฏิโมกข โอวาทวรรค ตอนที่วาดว ยเรอื่ งใหโ อวาท โอวาทปาฏโิ มกข มีดังน้ี สพฺพปาปสฺสอกรณํ กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา แกน างภิกษุณี เปนตน , เปนช่ือวรรคท่ี สจติ ฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ ฯ ๓ แหงปาจิตติยกัณฑ ในมหาวิภังค ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกขฺ า พระวนิ ัยปฎก นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา โอวาทานุสาสนี คาํ กลาวสอนและพราํ่ น หิ ปพพฺ ชิโต ปรูปฆาตี สอน, คําตักเตือนและแนะนําพรํา่ สอน สมโณ โหติ ปรํ วเิ หยนฺโต ฯ โอษฐ ปาก, รมิ ฝปาก อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาตโิ มกเฺ ข จ สํวโร โอสารณา การเรยี กเขา หม,ู เปน ชอ่ื สงั ฆ- มตตฺ ฺตุ าจ ภตตฺ สมฺ ึ ปนฺตจฺ สยนาสนํ กรรมจาํ พวกหนึง่ มีทั้งที่เปนอปโลกน- อธิจติ ฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ ฯ กรรม (เชน การรับสามเณรผกู ลาวตู แปล: การไมท าํ ความช่ัวทัง้ ปวง ๑ พระผูมีพระภาคเจาซ่ึงถูกนาสนะไปแลว การบําเพ็ญแตค วามดี ๑ การทําจิตต และเธอกลับตัวได) เปนญัตติกรรม ของตนใหผ อ งใส ๑ นี้เปนคําสอนของ (เชน เรยี กอุปสมั ปทาเปกขะทสี่ อนซอม พระพุทธเจา ท้งั หลาย อนั ตรายิกธรรมแลวเขาไปในสงฆ) เปน ขนั ติ คอื ความอดกล้ัน เปน ตบะ ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม (เชน หงายบาตรแก อยางยง่ิ , พระพุทธเจาทงั้ หลายกลาววา คฤหสั ถท ก่ี ลบั ตวั ประพฤตดิ )ี เปน ญตั ต-ิ นพิ พาน เปน บรมธรรม, ผูทํารา ยคนอ่นื จตตุ ถกรรม (เชน ระงับนคิ หกรรมทีไ่ ด

โอฬาริกรปู ๕๗๖ โอฬาริกรูป ทาํ แกภ กิ ษ)ุ ; คูกับ นิสสารณา โอฬาริกรูป ดทู ี่ รูป ๒๘

แถลงการจัดทาํ หนงั สือ ประกาศพระคณุ ขอบคุณ และอนโุ มทนา หนังสือนเ้ี กิดขึ้นในเวลาเรงดวน แตสาํ เรจ็ ไดดวยความรวมแรงรวมใจของผรู ว มสาํ นักและดวยการใชวธิ ลี ดั คือ ขอใหพ ระเปรยี ญ ๔ รูป แหง สาํ นกั วัดพระพิเรนทร นาํ คาํ ศัพทท ้งั หลายในหนงั สอื ศัพทห ลกั สตู รภาษาไทย สําหรบั นกั ธรรมชน้ั ตรี ชน้ั โท และ ชนั้ เอก รวม ๓ เลม ไปเรยี งลําดับอักษรมา แลว ผูจัดทาํ ปรุงแตงขยายออกเปน พจนานุกรมพุทธศาสน เลมน้ี หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลม นนั้ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจ ดั พมิ พข น้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๓ ใน คราวทค่ี ณะสงฆเ พม่ิ วชิ าภาษาไทยเขา ในหลกั สตู รนกั ธรรมทงั้ สามชนั้ หนงั สอื แตล ะเลม แบง ออกเปน ๓ ภาค ตามวชิ า เรยี นของนกั ธรรม คอื พทุ ธประวตั ิ (อนพุ ทุ ธประวตั ิ และพทุ ธานพุ ทธประวตั )ิ ธรรม และวนิ ยั รวม ๓ เลม เปน ๙ ภาค มศี พั ทจ าํ นวนมาก แตค งจะเปน เพราะการจดั ทาํ และตพี มิ พเ รง รบี เกนิ ไป หนงั สอื จงึ ยงั ไมเ ขา รปู เทา ทค่ี วร ประจวบกบั ทาง คณะสงฆไ ดย กเลกิ วชิ าภาษาไทยเสยี อกี หนงั สอื ชดุ นจ้ี งึ ทง้ั ถกู ทอดทงิ้ และถกู หลงลมื เหตทุ ผ่ี จู ดั ทาํ มานกึ ถงึ หนงั สอื น้ี ก็ เพราะระหวา งน้ี กาํ ลงั เขยี น สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง คา งอยู จงึ มคี วามเกยี่ วขอ งกบั หนงั สอื จาํ พวกประมวล ศพั ทแ ละพจนานกุ รมอยบู อ ยๆ เมอื่ ปรารภกนั วา จะพมิ พห นงั สอื เปน ทรี่ ะลกึ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพทา นพระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต เจา อาวาสวดั พระพเิ รนทร เวลาผา นลว งไปกย็ งั ไมไ ดห นงั สอื ทจี่ ะพมิ พ ผจู ดั ทาํ นร้ี ตู วั วา อยใู นฐานะทจ่ี ะ ตอ งเปน เจา การในดา นการพมิ พ จงึ ไดพ ยายามมาแตต น ทจี่ ะหลกี เลยี่ งการพมิ พห นงั สอื ทตี่ นเขยี นหรอื มสี ว นรว มเขยี น ครนั้ เหน็ จวนตวั เขา คดิ วา หากนาํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลม ๙ ภาคนม้ี าปรบั ปรงุ ตกแตง เพยี งเลก็ นอ ย กจ็ ะ ไดห นงั สอื ทม่ี ปี ระโยชนพ อสมควร และขนาดเลม หนงั สอื กจ็ ะพอเหมาะแกง าน เมอ่ื นาํ มาหารอื กนั กไ็ ดร บั ความเหน็ ชอบ จงึ เรมิ่ ดาํ เนนิ การ เมอ่ื แรกตกลงใจนนั้ คดิ เพยี งวา นาํ ศพั ทท ง้ั หมดมาเรยี งลาํ ดบั ใหมเ ขา เปน ชดุ เดยี วกนั เทา นน้ั กค็ งเปน อนั เพยี งพอ จากนน้ั โหมตรวจเกลาอกี เพยี ง ๔–๕ วนั กค็ งเสรจ็ สนิ้ ทงั้ ตนเองกจ็ ะหลกี เลย่ี งจากความเปน ผเู ขยี นไดด ว ย แตเ มอื่ ทาํ จรงิ กลายเปน ใชเ วลาปรงุ แตง เพมิ่ เตมิ อยา งหนกั ถงึ คอ นเดอื นจงึ เสรจ็ จาํ ตอ งทาํ ตน ฉบบั ไป ทยอยตพี มิ พไ ป ขนาดหนงั สอื กข็ ยายจากทกี่ ะไวเ ดมิ ไปอกี มาก ศพั ทจ าํ นวนมากมายในศพั ทห ลกั สตู ร ทซ่ี าํ้ กนั และทเ่ี ปน คาํ สามญั ในภาษา ไทย ไดต ดั ทงิ้ เสยี มากมาย คาํ ทเ่ี หน็ ควรเพม่ิ กเ็ ตมิ เขา มาใหมเ ทา ทท่ี าํ ไดท นั คาํ ทมี่ อี ยแู ลว ซง่ึ เหน็ วา มขี อ ควรรอู กี กเ็ สรมิ และขยายออกไป กลายเปน หนงั สอื ใหมข นึ้ อกี เลม หนง่ึ มลี กั ษณะแปลกออกไปจากของเดมิ หลกี เลย่ี งความเปน ผเู ขยี น หรอื รว มเขยี นไมพ น อยา งไรกต็ าม เนอื้ หาในศพั ทห ลกั สตู รนนั้ กย็ งั คงเปน สว นประกอบเกอื บครง่ึ ตอ ครงึ่ ในหนงั สอื เลม นี้ เนอ้ื หาทมี่ าจากหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รเหลา นนั้ แยกตามแหลง ไดเ ปน ๓ พวกใหญ คอื พวกหนงึ่ เปน ความหมายและคาํ อธบิ ายทคี่ ดั จากหนงั สอื แบบเรยี นนกั ธรรม มี นวโกวาท และ วนิ ยั มขุ เปน ตน ซงึ่ สว นใหญเ ปน พระนพิ นธข อง สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส พวกทสี่ องไดแ กค าํ ไทยสามญั หรอื คาํ เกย่ี วกบั ภาษาและวรรณคดี ซง่ึ คดั คาํ จาํ กดั ความหรอื ความหมายมาจาก พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ พวกทสี่ ามคอื นอกจากนน้ั เปน คาํ อธบิ ายของทา นผรู วบรวมและเรยี บเรยี งหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รเหลา นนั้ เอง สว นครงึ่ หนง่ึ ทเี่ พมิ่ ใหม คดั หรอื ปรบั ปรงุ จาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ของพระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต) คอื ผจู ดั ทาํ นเ้ี องบา ง ปรงุ ขน้ึ ใหมส าํ หรบั คราวน้ี ซง่ึ บาง สว นอาจพอ งกบั ใน สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง อนั เปน วทิ ยาทานทจ่ี ะพมิ พอ อกตอ ไปบา ง ไดจ ากแหลง อน่ื ๆ รวม ทง้ั แบบเรยี นนกั ธรรมทกี่ ลา วมาแลว บา ง หนงั สอื นเี้ รยี ก พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ใหต า งจาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทไี่ ดจ ดั ทาํ และตพี มิ พไ ปกอ นแลว เพราะ พจนานกุ รมพุทธศาสตร แสดงเฉพาะขอ ทเี่ ปน หลกั หรอื หลกั การของพระพทุ ธศาสนา อนั ไดแกคําสอนทีเ่ ปน สาระสําคญั สว นหนังสอื เลมนร้ี วมเอาสง่ิ ทั้งหลายทเ่ี รยี กกนั โดยนามวาพระพุทธศาสนาเขามาอยางทั่วไป มีท้งั คําสอน ประวตั ิ กจิ การ พิธีกรรม และแมส งิ่ ทีไ่ มเ ก่ยี วกบั พระพุทธศาสนาโดยตรง อยางไรก็ตาม แม พจนานุกรมพทุ ธศาสน นีจ้ ะมขี อบขายกวา งขวางกวา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร แตก ็หยอนกวาในแงค วามลกึ และความละเอียด เพราะเขยี น

๕๗๘ แคพ อรู ตลอดจนมลี กั ษณะทางวิชาการนอ ยกวา เชน ไมไดแ สดงท่ีมา เปน ตน การทปี่ ลอยใหล กั ษณะเหลา นข้ี าดอยู นอกจากเพราะเวลาเรง รดั และขนาดหนงั สอื บงั คบั แลว ยงั เปน เพราะเหน็ วา เปน ลกั ษณะทพ่ี งึ มใี น สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง หรอื แม ฉบบั เล็ก ที่ทําอยกู อ นแลว แตยงั ไมเ สรจ็ อยางไรกด็ ี ดว ยเน้อื หาเทา ท่ีมีอยนู ้ี หวงั วา พจนานกุ รม พุทธศาสน คงจักสําเร็จประโยชนพ อสมควร โดยเฉพาะแกครแู ละนกั เรียนนกั ธรรม สมตามช่อื ทีไ่ ดต งั้ ไว การท่หี นังสือน้สี ําเร็จได นอกจากอาศัยคมั ภรี ภาษาบาลีท่ใี ชปรึกษาคนควา เปน หลกั ตนเดิมแลว ยงั ไดอ าศยั อุปการะแหงแบบเรยี น ตํารา และความชว ยเหลอื รวมงานของผเู ก่ียวขอ งหลายทา น ดงั ไดก ลา วแลว ณ โอกาสนี้ จึงขออนุสรพระคุณแหง สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ซ่งึ ไดท รงพระนพิ นธแบบ เรยี นนกั ธรรมไว อนั อํานวยความหมายและคําอธบิ ายแหง ศพั ทต างๆ ที่เกย่ี วกับพระธรรมวินยั จาํ นวนมาก มีทั้งที่ ทรงวางไวเปนแบบ และทรงแนะไวเปน แนว ขออนุโมทนาตอ คณะกรรมการชําระปทานุกรม ซ่งึ ทาํ ใหเกดิ มี พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ทอ่ี ํานวยความหมายแหง คําศพั ทท ม่ี ใี ชใ นภาษาไทย ขออนโุ มทนาขอบคณุ คณะผจู ดั ทาํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ของมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คอื อาจารยแปลก สนธริ กั ษ ปธ. ๙ อาจารยสวัสดิ์ พนิ ิจจนั ทร ปธ. ๙ อาจารยส ริ ิ เพ็ชรไชย ปธ. ๙ และพระมหาจาํ ลอง ภรู ิปฺโ (สารพัดนกึ ) พธ.บ., M.A. ผเู ก็บรวบรวมศพั ทและแสดงความหมายของศัพทไวไ ดเ ปนจาํ นวนมาก พระเปรยี ญ ๔ รปู คอื พระมหาอนิ ศร จนิ ตฺ าปโฺ  พระมหาแถม กติ ตฺ ภิ ทโฺ ท พระมหาเฉลมิ าณจารี และ พระมหาอัมพร ธีรปโฺ  เปนผเู หมาะสมทจ่ี ะรว มงานนี้ เพราะเคยเปนนักเรยี นรุนพิเศษแหงสาํ นักวดั พระพเิ รนทร ซง่ึ ไดม าเลา เรยี นตงั้ แตย งั เปน สามเณร และไดอ ยใู นความดแู ลรบั ผดิ ชอบอยา งใกลช ดิ ของพระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต ในฐานะท่ที า นเปน อาจารยใ หญแหง สํานักเรียน ทั้งส่ีรปู นี้ นอกจากเปน ผูจดั เรยี งลาํ ดับศัพทในเบ้ืองตน แลว ยงั ได ชวยตรวจปรูฟ และขวนขวายในดานธุรการอ่ืนๆ โดยตลอดจนหนังสือเสร็จ ช่ือวาเปนผูรวมจัดทําหนังสือ พจนานุกรมพทุ ธศาสน น้ี คณะวดั พระพเิ รนทร ทงั้ ฝา ยพระสงฆแ ละศษิ ย ไดช ว ยสนบั สนนุ ดว ยการบรจิ าครว มเปน ทนุ คา ตพี มิ พบ า ง กระทาํ ไวยาวจั การอยา งอนื่ บา ง โดยเฉพาะในเวลาทาํ งานเรง ดว นทตี่ อ งอทุ ศิ เวลาและกาํ ลงั ใหแ กง านอยา งเตม็ ทเี่ ชน นี้ ทางฝา ย พระสงฆ พระภกิ ษถุ วลั ย สมจติ โฺ ต และทางฝา ยศษิ ย นายสมาน คงประพนั ธ ไดช ว ยเออ้ื อาํ นวยใหเ กดิ สปั ปายะเปน อยา ง มาก แมท า นอนื่ ๆ ทมี่ กี ศุ ลเจตนาสนบั สนนุ อยหู า งๆ มพี ระภกิ ษฉุ าย ปฺ าทโี ป เปน ตน กข็ ออนโุ มทนาไว ณ ทนี่ ดี้ ว ย ขออนโุ มทนาตอ ทางโรงพมิ พรุงเรืองธรรม ท่ตี งั้ ใจตีพมิ พหนงั สอื เลมน้ี โดยฐานมีความสมั พันธกบั วัดพระ พเิ รนทรมาเปน เวลานาน และมีความรูจ กั คุน เคยกับทานพระครูปลดั สมยั โดยสวนตวั จึงสามารถตีพิมพใหเ สร็จทนั การ แมจ ะมีเวลาทํางานจาํ กดั อยา งยิ่ง ทง้ั น้ี ขออนโุ มทนาตลอดไปถงึ ผทู ํางานทง้ั หลาย มีชางเรียง เปนตน ท่ีมีนาํ้ ใจ ชว ยแทรกขอความท่ีขอเพมิ่ เตมิ เขา บอ ยๆ ในระหวา งปรฟู โดยเรยี บรอย ทั้งที่เปน เร่ืองยงุ ยากสาํ หรับงานที่เรง ทางฝา ยการเงินแจง วา ทนุ ทม่ี ผี ูบริจาคชวยคา ตพี มิ พห นงั สอื ยังมไี มถ งึ ๑๐,๐๐๐.๐๐ บาท (หนง่ึ หมนื่ บาท) “ทนุ พิมพพทุ ธศาสนปกรณ” ไดทราบจงึ มอบทุนชว ยคา ตีพิมพเปน เงนิ ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท) ทนุ พมิ พพุทธศาสนปกรณน้นั เกิดจากเงนิ ทพี่ ทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยในสหรฐั อเมรกิ า (สวนมาก คอื เมือง นิวยอรค ชิคาโก ฟล าเดลเฟย และบางเมอื งในนวิ เจอรซี) บริจาคเพือ่ เปน คาเดนิ ทางและคา ใชจายสว นตัวของผูจ ดั ทํา หนงั สือนใ้ี นโอกาสตางๆ และผจู ดั ทาํ ไดย กตง้ั อุทิศเปน ทุนพมิ พห นังสอื ทางพระศาสนาซงึ่ คิดวาจะเปนประโยชนมาก กวา การนําทุนนั้นมาชวยคาพิมพหนังสือเลมน้ี แมเปนเรื่องฉุกเฉินนอกเหนือจากโครงการ แตก็ยังอยูในวัตถุ ประสงค จงึ ขออุทิศกุศล ขออาํ นาจบญุ ราศอี ันเกิดจากการจัดทาํ และจดั พิมพหนังสอื นี้ จงเปนพลวปจ จัย อาํ นวยให ทา นพระครปู ลดั สมัย กติ ฺตทิ ตฺโต ประสบสุขสมบตั ิในสมั ปรายภพ ตามควรแกค ติวิสยั ทกุ ประการฯ ผูจ ัดทาํ

ความเปน มาของ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร เม่อื พ.ศ. ๒๕๐๖ พระมหาประยทุ ธ ปยตุ ฺโต ไดจัดทาํ พจนานกุ รมศพั ทพ ระพทุ ธศาสนา ไทย–บาล–ี องั กฤษ เลมเลก็ ๆ เลม หนึง่ เสรจ็ สิ้น (เปน ฉบับที่มงุ คาํ แปลภาษาอังกฤษ ไมมีคาํ อธิบาย ตอมาไดเริ่มขยายใหพ สิ ดาร ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ แตพ ิมพถงึ อกั ษร ฐ เทาน้ันกช็ ะงกั ) และในเดือนกนั ยายน ปเดยี วกันนั้น กไ็ ดเรม่ิ งานจดั ทํา พจนานุกรมพระพุทธศาสนา ท่ีมีคาํ อธิบาย ๒ ภาษา คือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พรอ มทัง้ หมวดธรรม แตเมื่อทาํ จบเพียงอักษร บ ก็ตองหยุดคางไว เพราะไดรับการแตงต้ังโดยไมรูตัวใหเปนผูชวยเลขาธิการมหาจฬุ าลงกรณ- ราชวิทยาลยั แลว หันไปทุมเทกาํ ลังและอทุ ิศเวลาใหก บั งานดานการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๕ จงึ ไดหวนมาพยายามรอ้ื ฟน งานพจนานุกรมข้ึนอกี คราวนนั้ พระมหาสมบรู ณ สมปฺ ณุ โฺ ณ (ตอ มาเปน พระวสิ ทุ ธสิ มโพธิ ดาํ รงตาํ แหนง รองเลขาธกิ ารมหาจฬุ าลงกรณ- ราชวทิ ยาลยั ) มองเห็นวา งานมีเคา ท่ีจะพสิ ดารและจะกินเวลายาวนานมาก จึงไดอาราธนาพระมหาประยทุ ธ (เวลานนั้ เปนพระศรีวิสุทธิโมลี และตอมาเลื่อนเปนพระราชวรมุน)ี ขอใหท าํ พจนานุกรมขนาดยอมข้นึ มาใชก นั ไปพลางกอ น พระศรวี สิ ทุ ธโิ มลี ตกลงทาํ งานแทรกนน้ั จนเสรจ็ ใหช อื่ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร มลี กั ษณะเนน เฉพาะการรวบรวม หลกั ธรรม โดยจดั เปน หมวดๆ เรยี งตามลาํ ดบั เลขจาํ นวน และในแตล ะหมวดเรยี งตามลาํ ดบั อกั ษร แลว ไดม อบงานและ มอบทนุ สว นหนง่ึ ใหม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั จดั พมิ พเ ผยแพร จาํ หนา ยเกบ็ ผลประโยชนบ าํ รงุ การศกึ ษาของพระภกิ ษุ สามเณร เรมิ่ พมิ พต ง้ั แต พ.ศ. ๒๕๑๕ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๘ จงึ เสรจ็ ตอ มา พ.ศ. ๒๕๒๒ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ขออนุญาตพิมพแ จกเปน ธรรมทาน ๘,๐๐๐ เลม นอกจากนน้ั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจ ดั จาํ หนา ยเพม่ิ ขนึ้ และผเู รยี บเรยี งเองจดั แจกเปน ธรรมทานเพ่ิมเติมบาง เปน รายยอย หนงั สอื หมดสิน้ ขาดคราวในเวลาไมน าน สว นงานจัดทํา พจนานุกรมพทุ ธศาสนา ฉบบั เดิม ยงั คงคา งอยูสืบมาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๑ ผจู ัดทาํ จึงมี โอกาสรื้อฟน ขึน้ อกี คราวนี้เขียนเริม่ ตน ใหมทงั้ หมด เนน คําอธิบายภาษาไทย สวนภาษาองั กฤษมีเพยี งคําแปลศพั ท หรือความหมายสน้ั ๆ งานขยายจนมลี กั ษณะเปนสารานกุ รม เขียนไปไดถงึ อกั ษร ข มีเนือ้ ความประมาณ ๑๑๐ หนา กระดาษพมิ พด ีดพับสาม (ไมน บั คาํ อธบิ ายศพั ทจ าํ พวกประวัติ อกี ๗๐ หนา ) ก็หยุดชะงัก เพราะในป พ.ศ. ๒๕๒๑ นนั้ เอง มเี หตุใหต องหันไปเรงรดั งานปรบั ปรงุ และขยายความหนังสอื พุทธธรรม ซง่ึ กินเวลายดื เยือ้ มาจนถึงพิมพเ สรจ็ รวมประมาณสามป งานพจนานุกรมจึงคางอยูเพยี งนั้นและจึงยังไมไดจดั พมิ พ อีกดา นหน่ึง เม่ือวดั พระพเิ รนทรจ ดั งานรับพระราชทานเพลิงศพ พระครปู ลัดสมยั กิตตฺ ทิ ตโฺ ต เจาอาวาส วดั พระพเิ รนทร ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชวรมนุ ี ไดจ ดั ทําพจนานกุ รม ประเภทงานแทรกและเรง ดวนขน้ึ อกี เลมหนึง่ เปน ประมวลศพั ทใ นหนงั สอื เรยี นนักธรรมทกุ ช้นั และเพม่ิ ศัพทท คี่ วรทราบในระดับเดียวกันเขา อกี จาํ นวนหนึง่ ตง้ั ชอ่ื วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับครู นกั เรียน นกั ธรรม มีเน้ือหา ๓๗๓ หนา เทา ๆ กนั กบั พจนานุกรมพทุ ธศาสตร (๓๗๔ หนา) เสมือนเขาชุดเปนคูกัน เลมพิมพกอนเปนท่ีประมวลธรรมซ่ึงเปนหลกั การหรอื สาระสาํ คญั ของพระ พทุ ธศาสนา สว นเลม พมิ พห ลงั เปน ทป่ี ระมวลศพั ทท วั่ ไปเกยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนา อธิบายพอใชประโยชนอ ยา งพืน้ ๆ ไม กวางขวางลึกซงึ้ ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ มที า นผศู รทั ธาเหน็ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ขาดคราว จงึ ขอพมิ พแ จกเปน ธรรมทาน มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดท ราบ กข็ อรว มสมทบพมิ พด ว ย เพอื่ ไดท าํ หนา ทส่ี ง เสรมิ วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา กบั ทงั้ จะไดเ กบ็ ผลกาํ ไรบาํ รงุ การศกึ ษาในสถาบนั และไดข ยายขอบเขตออกไปโดยขอพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู นกั เรยี น นักธรรม ดวย แตผเู รยี บเรยี งประสงคจ ะปรบั ปรงุ แกไ ขเพ่มิ เติมหนังสอื ทัง้ สองเลม น้ันกอน อกี ท้งั ยงั มงี าน อนื่ ยุง อยูด วย ยงั เรม่ิ งานปรับปรุงทันทไี มได จึงตอ งร้ังรอจนเวลาลวงมาชานาน คร้นั ไดโ อกาสก็ปรับปรงุ เพมิ่ เติม