อปั ปมาทคารวตา ๕๓๐ อัพโภกาสกิ งั คะ ทถี่ กู ; อกี หมวดหนง่ึ วา ๑. ระวงั ใจไมใ ห หม,ู เปน ขน้ั ตอนสดุ ทา ยแหง วฏุ ฐานวธิ ี คอื กําหนัด ในอารมณเปนที่ตั้งแหงความ ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติ กาํ หนัด ๒. ระวงั ใจไมใ หขัดเคือง ใน ขั้นสังฆาทิเสส ไดแกการที่สงฆสวด อารมณเปนที่ตั้งแหงความขัดเคือง ๓. ระงับอาบัติ รับภิกษุผูตองอาบัติ ระวังใจไมใหหลง ในอารมณเปนที่ต้ัง สังฆาทเิ สส และไดท ําโทษตนเองตามวธิ ี แหงความหลง ๔. ระวังใจไมใ หมวั เมา ที่กําหนดเสร็จแลว ใหกลับคืนเปนผู ในอารมณเ ปน ท่ตี ง้ั แหงความมัวเมา บริสุทธ วธิ ปี ฏบิ ัติ คอื ถาตองอาบตั ิ อปั ปมาทคารวตา ดู คารวะ สังฆาทิเสสแลวไมไดปด ไว พึงประพฤติ อปั ปมาทธรรม ธรรมคอื ความไมป ระมาท มานัตส้ิน ๖ ราตรีแลวขออัพภานกะ อปั ยศ ปราศจากยศ, เสียช่ือเสียง, เสื่อม สงฆวีสติวรรค สงฆสวดอัพภานแลว เสีย, นา ขายหนา ช่ือวาเปนผูบริสุทธ์ิจากอาบัติ, แตถา อัปปจฉกถา ถอยคําท่ีชักนําใหมีความ ภิกษุตองปกปดอาบัติไวลวงวันเทาใด ปรารถนานอ ย หรอื มกั นอ ย (ขอ ๑ ใน ตองประพฤตวิ ตั รเรยี กวา อยูปริวาสชด กถาวัตถุ ๑๐) ใชครบจํานวนวันเทาน้ันกอน จึง อัปปยารมณ อารมณท ีไ่ มน ารกั ไมน า ประพฤติมานตั เพม่ิ อีก ๖ ราตรี แลว จงึ ชอบใจ ไมน า ปรารถนา เชน รูปทไ่ี ม ของอัพภานกะสงฆว สี ติวรรค เม่อื สงฆ สวยไมงามเปนตน อพั ภานแลว อาบตั ิสังฆาทเิ สสทีต่ องชือ่ อพฺพุฬฺหสลฺโล “มีลูกศรอันถอนแลว” วา เปน อันระงับ หมายถงึ หมดกเิ ลสทท่ี มิ แทง, เปน คณุ บท อัพภานารหะ ภกิ ษุผคู วรแกอพั ภาน ได ของพระอรหนั ต แกภกิ ษผุ ปู ระพฤติมานตั ส้ิน ๖ ราตรี อัพโพหาริก “กลาวไมไ ดวา มี”, มีแตไม ครบกําหนดแลว เปน ผูควรแกอพั ภาน ปรากฏ จงึ ไมไ ดโ วหารวา มี, มีเหมือนไม คือควรที่สงฆวีสติวรรคจะสวดอัพภาน มี เชน สรุ าท่ีเขาใสในอาหารบางอยาง (เรียกเขาหม)ู ไดตอไป เพื่อฆาคาวหรือชูรส และเจตนาท่ีมีใน อพั ภานารหภกิ ษุ ดู อัพภานารหะ อัพโภกาสิกังคะ องคแหงผูถืออยูในท่ี เวลาหลบั เปน ตน อัพภันดร มาตราวดั เทา กับ ๒๘ ศอก แจงเปนวัตร คอื อยูเฉพาะกลางแจง ไม หรอื ๗ วา อยใู นที่มุงบงั หรอื แมแ ตโคนไม (หา ม อพั ภาน “การเรียกเขา” การรบั กลบั เขา ถอื ในฤดูฝน) ขอ ๑๐ ในธุดงค ๑๓)
อัพยากตะ,อพั ยากฤต ๕๓๑ อากร อัพยากตะ, อัพยากฤต “ซ่ึงทานไม เปนน่ี, การถอื เราถือเขา พยากรณ”, มิไดบอกวาเปนกุศลหรือ อัสสกะ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ อกุศล (ไมจ ัดเปน กุศลหรอื อกุศล) คอื แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูลุมนํา้ เปนกลางๆ ไมดไี มช ่ัว ไมใ ชกุศลไมใช โคธาวรี ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแหง อกศุ ล ไดแก วบิ าก กริ ยิ า รูป และ แควน อวนั ตี นครหลวงชื่อ โปตลิ (บาง นิพพาน ทเี รียก โปตนะ) อมั พปาลวี นั สวนทหี่ ญงิ แพศยาชอ่ื อมั พ- อัสสชิ 1. พระมหาสาวกองคหน่ึงเปน ปาลี ถวายเปน สงั ฆาราม ไมนานกอ นวนั พระเถระรูปหน่ึงในคณะปญจวคั คยี เ ปน พุทธปรนิ พิ พาน อยูในเขตเมอื งเวสาลี พระอรหันตรุนแรกและเปนอาจารยของ อมั พวนั สวนมะมว ง มหี ลายแหง เพอื่ กนั พระสารีบุตร 2. ช่ือภกิ ษุรปู หนงึ่ ในภกิ ษุ สบั สน ทา นมกั ใสชื่อเจา ของสวนนําหนา ๖ รปู ซง่ึ ประพฤตเิ หลวไหล ทเ่ี รยี กวา ดว ย เชน สวนมะมว งของหมอชวี ก ในเขต พระฉพั พคั คีย คกู บั พระปนุ พั พสกุ ะ เมืองราชคฤห ซ่ึงถวายเปนสังฆาราม อสั สพาชี มา เรียกวา ชีวกมั พวนั เปน ตน อัสสยุชมาส, ปฐมกัตติกมาส เดือน อัยกะ, อยั กา ป,ู ตา ๑๑; ปุพพกตั ติกา หรือ บพุ กัตติกา ก็ อัยการ เจาพนักงานท่ศี าลฝายอาณาจักร เรยี ก จดั ไวเ ปน เจา หนาท่ีฟอ งรอ ง, ทนายแผน อัสสัตถพฤกษ ตน ไมอ ัสสัตถะ, ตน พระ ดนิ , ทนายหลวง ศรีมหาโพธิ์ ท่ีริมฝงแมนํ้าเนรัญชรา อยั ก,ี อัยยิกา ยา , ยาย ตาํ บลอุรุเวลาเสนานคิ ม อนั เปน สถานที่ อศั วเมธ พิธเี อามา บูชายญั คอื ปลอ ยมา ท่ีพระมหาบุรุษ ไดตรัสรูพระอนุตตร- อุปการใหผานดินแดนตางๆ เปนการ สมั มาสมั โพธิญาณ; ดู โพธิ์ ประกาศอํานาจจนมาน้ันกลับ แลวเอา อัสสาทะ ความยนิ ดี, ความพึงพอใจ, รส มาน้ันฆาบูชายัญ เปนพิธีประกาศ อรอย เชน รสอรอยของกาม, สวนด,ี อานุภาพของราชาธิราชในอินเดียครั้ง สว นท่นี าชน่ื ชม โบราณ อสั สาสะ ลมหายใจเขา อัสดงค ตกไป คือ พระอาทิตยตก, อัสสุ นาํ้ ตา พจนานกุ รม เขียน อัสดง อากร หมู, กอง, บอ เกดิ , ทเ่ี กดิ เชน อัสมมิ านะ การถอื วานีฉ่ ัน น่กี ู กูเปนนน่ั ทรพั ยากร ที่เกิดทรัพย ศิลปากร บอ
อากัปกริ ิยา ๕๓๒ อากาศ เกดิ ศลิ ปะ, คาธรรมเนยี มที่รัฐบาลเรยี ก ประเภทตามความหมายนยั ตา งๆ เปน อากาศ ๓ คือ ปริจเฉทากาศ กสิณคุ ฆา- เก็บ จากส่ิงทเี่ กดิ จากธรรมชาติ หรือสิ่ง ฏิมากาศ และอัชฏากาศ (ปญจ.อ.๑๑๓๒/ ๒๒๐) แตในคมั ภรี ช้นั หลัง บางแหง (เชน ทที่ าํ ขน้ึ เพ่อื การคา อากัปกิริยา การแตงตวั ดี และมีทา ทาง ปาจติ ยฺ าทโิ ยชนา และอนทุ ปี นปี า, มแี ตฉ บบั อกั ษร เรยี บรอ ยงดงาม; กิรยิ าทา ทาง อาการ ภาวะที่ปรากฏหรือแสดงออก, พมา ยังไมพบตีพิมพในประเทศไทย) แยก ความเปน ไป, สภาพ, ทา ทาง, ทวงที, ละเอยี ดออกไปอกี เปน อากาศ ๔ คือ ๑. ปริจเฉทากาศ ชองวางทกี่ าํ หนดแยกรูป ทํานอง, กิริยาท่ีทําหรือท่ีแสดง, ทง้ั หลาย หรอื ชอ งวา งระหวา งกลาป คอื รปู ในความหมายทีเ่ ปนปรจิ เฉทรปู (รปู ลักษณะของการกระทําหรือความเปน ปรจิ เฉทากาศ กเ็ รยี ก) ๒.ปรจิ ฉนิ นากาศ ชองวางท่ีถูกกําหนดแยก คือชองวาง ไป; สว นปลกี ยอย, สวนประกอบที่แยก ระหวา งวตั ถทุ ง้ั หลาย เชน ชอ งประตู รฝู า ชอ งหนา ตา ง ชอ งหู รจู มกู (ที่ใชเ ปน ยอยกระจายออกไป (อวยั วะหลัก เรยี ก อากาศกสิณ คือขอ น)้ี ๓. กสิณคุ ฆาฏ-ิ มากาศ ชองวางท่ีเกิดจากการเพิกกสิณ วา “องค” อวัยวะยอย เรียกวา นมิ ิต คอื ชองวางหรืออากาศอนั อนนั ตท ่ี “อาการ”) เชน ในคําวา ทวตั ติงสาการ เปน อารมณข องอากาสานัญจายตนฌาน อาการ ๓๒ ดู ทวตั ติงสาการ ๔. อชั ฏากาศ ชอ งวา งเวิง้ วาง คอื ทอ งฟา อาการท่ีพระพุทธเจาทรงสั่งสอน มี (บางทีเรียกวา ตจุ ฉากาศ คอื ชองวา งท่ี ๓ อยา งคือ ๑. ทรงรูยิ่งเหน็ จริงเองแลว วางเปลา ) แลว บอกวา ขอ ท่ี ๒ คอื ปรจิ ฉินนากาศ จดั รวมเขา ไดก บั ขอ ที่ ๑ จงึ ทรงส่ังสอนผูอ น่ื เพ่อื ใหร ยู ง่ิ เห็นจริง คือรูปปริจเฉทากาศ นกี่ ห็ มายความวา ทา นแยกขอ ที่ ๑ ของอรรถกถา ออกเปน ตามในธรรมทคี่ วรรคู วรเหน็ ๒. ทรงส่ัง ๒ ขอ, เหตทุ คี่ ัมภีรชั้นหลงั แยกอยา งนี้ เพราะตองการแยกอากาศท่ีเปนสภาว- สอนมีเหตุผลซ่ึงผูฟงอาจตรองตามให ธรรม คือทเ่ี ปน ปรจิ เฉทรูป ออกไวตาง หากใหชัด ดงั จะเหน็ วา อกี ขอ หนง่ึ คอื เหน็ จริงได ไมเ ล่อื นลอย ๓. ทรงส่งั สอนเปนอัศจรรย ทําใหผูฟงยอมรับ และนําไปปฏิบัติตาม ไดรับผลจริง บงั เกดิ ประโยชนสมควรแกก ารปฏบิ ตั ิ อาการทีภ่ ิกษุจะตอ งอาบตั ิ ๖ ดู อาบัติ อากาศ ทว่ี า งเปลา, ชองวา ง, ทอ งฟา ; ใน ความหมายเดิม ไมเรียกแกสทีใ่ ชหายใจ วาอากาศ แตเรียกแกสน้ันวาเปนวาโย หรอื วาโยธาตุ; ในอรรถกถา ทา นแยก
อากาศธาตุ ๕๓๓ อาจริยมัตต ปริจฉินนากาศ อยางชองหู รูกุญแจ อากลู วนุ วาย, ไมเ รยี บรอ ย, สบั สน, คง่ั คา ง หรือชองท่ีกําหนดเปนอารมณกสิณ ก็ อาคม ปรยิ ตั ทิ เี่ รยี น, การเลา เรยี นพทุ ธ- เน่ืองกันอยูกับอัชฏากาศนั่นเอง (เปน พจน; ในภาษาไทยมีความหมายเพีย้ น เพยี งบญั ญตั ิ มใิ ชส ภาวะ) แตใ นอรรถ- ไปเปนเวทมนตร กถาและคัมภีรทั่วไปท่ีไมแยกละเอียด อาคันตุกะ ผมู าหา, ผูมาจากทอี่ น่ื , ผจู ร อยา งนนั้ เรยี กอากาศทก่ี าํ หนดเปน กสณิ มา, แขก; (ในคาํ วา “ถาปรารถนาจะให คืออากาศกสิณ วาเปนปริจเฉทากาศ- อาคันตุกะไดรับแจกดวย”) ภิกษุผูจํา กสณิ บาง ปรจิ ฉนิ นากาศกสณิ บาง ไม พรรษาท่ีวดั อื่นจรมา, ถาภิกษผุ ูม ีหนาท่ี ถือตายตัว, จะเห็นวา อากาศในขอ ๒ เปนจีวรภาชกะ (ผูแจกจีวร) ปรารถนา เปนกสิณสําหรับผูเจริญรูปฌาน และ จะใหอาคันตุกะมีสวนไดรับแจกจีวร เมอ่ื เพิกกสิณนิมิตของขอ ๒ นเ้ี สีย ก็ ดวย ตอ งอปโลกน คอื บอกเลา ขอ เปน อากาศในขอ ที่ ๓; “อัชฏากาศ” นี้ อนุมัติตอภิกษุเจาถิ่นคือผูจําพรรษาใน เขยี นตามหนงั สอื เกา จะเขยี น อชฏากาศ วดั นน้ั (ซึ่งเรียกวา วัสสกิ ะ หรือ วัสสา- ก็ได; ดู รูป ๒๘ วาสกิ ะ แปลวา “ภกิ ษผุ ูอยจู าํ พรรษา”) อากาศธาตุ สภาวะท่ีวาง, ความเปนที่วาง อาคันตุกภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะ เปลา, ชองวางในรางกาย ท่ีใชเปน ภกิ ษุอาคนั ตุกะ คือผูจรมาจากตา งถนิ่ อารมณกรรมฐาน เชน ชองหู ชองจมูก อาคันตุกวัตร ธรรมเนียมที่ภิกษุควร ชอ งปาก ชองอวยั วะตา งๆ; ในคัมภีร ปฏบิ ตั ติ อ อาคนั ตกุ ะ คอื ภกิ ษผุ จู รมา เชน อภิธรรม จัดเปนอุปาทายรปู อยา งหนงึ่ ขวนขวายตอ นรบั แสดงความนบั ถอื จดั เรยี กวา ปรจิ เฉทรูป; ดู ธาต,ุ รูป ๒๘ หรอื บอกใหน าํ้ ใหอ าสนะ ถา อาคนั ตกุ ะจะ อากาสานัญจายตนะ ฌานกําหนด มาพกั มาอยู พงึ แสดงเสนาสนะ บอกที่ อากาศคือชองวางหาท่ีสุดมิไดเปน ทางและกตกิ าสงฆ เปน ตน อารมณ, ภพของผูเขาถึงอากาสานัญ- อาคาริยวินัย วินัยของผูค รองเรอื น; ดู วินยั ๒ จายตนฌาน (ขอ ๑ ในอรปู ๔) อากญิ จญั ญายตนะ ฌานกําหนดภาวะที่ อาจริยมตั ต ภกิ ษผุ ูม ีพรรษาพอท่ีจะเปน ไมม อี ะไรเลยเปนอารมณ, ภพของผูเขา อาจารยใหนิสสัยแกภกิ ษุอ่ืนได, พระปนู ถงึ อากิญจัญญายตนฌาน (ขอ ๓ ใน อาจารย คอื มีพรรษา ๑๐ ขนึ้ ไป หรอื อรปู ๔) แกก วา ราว ๖ พรรษา; อาจรยิ มตั กเ็ ขยี น
อาจรยิ วัตร ๕๓๔ อาณา อาจริยวัตร กิจอันท่ีอันเตวาสิกควร ปฏิบตั ิเสมอๆ ประพฤติปฏิบัติตออาจารย (เชนเดียว อาชญา อํานาจ, โทษ กับ อุปชฌายวัตร ที่สัทธิวิหาริกพึง อาชีวะ อาชพี , การเล้ยี งชีพ, ความเพยี ร ปฏิบตั ิตออุปชฌาย) พยายามในการแสวงหาปจจัยยังชีพ, อาจริยวาท วาทะของพระอาจารย, มติ การทาํ มาหากิน ของพระอาจารย; บางที ใชเปน คาํ เรียก อาชีวก นกั บวชชเี ปลือยพวกหนึ่งในคร้งั พุทธศาสนานิกายฝายเหนือ คือ พุทธกาล เปนสาวกของมกั ขลโิ คสาล มหายาน อาชวี ปารสิ ุทธิ ความบรสิ ทุ ธแ์ิ หง อาชวี ะ อาจาระ ความประพฤติดี, มรรยาทดี คอื เลยี้ งชวี ติ โดยทางทชี่ อบ ไมป ระกอบ งาม, จรรยา อเนสนา เชน ไมหลอกลวงเขาเลยี้ งชวี ติ อาจารย ผูสง่ั สอนวชิ าความร,ู ผูฝ ก หัด (ขอ ๓ ในปารสิ ุทธศิ ีล ๔), ทเี่ ปน ขอ ๓ อบรมมรรยาท, อาจารย ๔ คอื ๑. ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ นนั้ เรยี กเตม็ วา อาชวี - บัพพาชาจารย หรือ บรรพชาจารย ปารสิ ทุ ธศิ ลี แปลวา ศลี คอื ความบริสทุ ธิ์ อาจารยใ นบรรพชา ๒. อปุ สมั ปทาจารย แหง อาชีวะ อาจารยในอุปสมบท ๓. นิสสยาจารย อาชีววิบัติ เสียอาชีวะ, ความเสียหาย อาจารย ผใู หน สิ สยั ๔. อทุ เทศาจารย แหงการเลี้ยงชพี คือ ประกอบมจิ ฉา- หรือ ธรรมาจารย อาจารยผ ูสอนธรรม อาชวี ะมหี ลอกลวงเขาเลย้ี งชพี เปนตน อาจารวิบัติ เสียอาจาระ, เสียจรรยา, (ขอ ๔ ในวบิ ตั ิ ๔) มรรยาทเสียหาย, ประพฤติยอหยอน อาญา อํานาจ, โทษ รุมราม มักตองอาบัติเล็กนอยต้ังแต อาญาสิทธ์ิ อํานาจเด็ดขาด คอื สทิ ธิท่แี ม ถลุ ลจั จยั ลงมาถงึ ทุพภาสิต (ขอ ๒ ใน ทัพไดรับพระราชทานจากพระเจาแผน วิบัติ ๔) ดนิ ในเวลาไปสงครามเปนตน อาจณิ เคยประพฤติมา, เปนนิสยั , ทํา อาฏานาฏยิ ปรติ ร ดู ปรติ ร อาฏานาฏยิ สตู ร ดู ปรติ ร เสมอๆ, ทาํ จนชนิ อาจิณณจริยา ความประพฤติเนืองๆ, อาณตั ิ ขอ บงั คบั , คาํ สงั่ กฎ; เครอื่ งหมาย ความประพฤติประจํา, ความประพฤตทิ ่ี อาณตั ิสัญญา ขอ บงั คับท่ไี ดนดั หมายกัน เคยชนิ ไว, เครอื่ งหมายที่ตกลงกนั ไว อาจิณณวัตร การปฏิบัติประจํา, การ อาณา อํานาจปกครอง
อาณาเขต ๕๓๕ อาทติ ตปริยายสูตร อาณาเขต เขตแดนในอํานาจปกครอง, ท่ี บัดน้ี นิยมใชพูดอยางใหเกียรตแิ กค น ดินในทบ่ี ังคบั ทวั่ ไป) อาณาจักร เขตแดนท่ีอยูในอํานาจปก อาถรรพณ เวทมนตรท่ีใชเพ่ือใหดีหรือ ครองของรฐั บาลหนึ่ง, อาํ นาจปกครอง รา ย, วชิ าเสกเปา ปองกนั , การทาํ พิธปี อง ทางบานเมือง ใชคูกับพุทธจักร ซ่ึง กันอันตรายตางๆ ตามพิธีพราหมณ หมายถึงขอบเขตการปกครองของพระ เชน พิธฝี ง เสาหิน หรอื ฝง บัตรพลี สงฆในพระพทุ ธศาสนา เรยี กวา ฝงอาถรรพณ (สบื เนอ่ื งมาจาก อาณาประชาราษฎร ราษฎรชาวเมอื งที่ พระเวทคัมภรี ท ่ี ๔ คอื อถรรพเวท หรือ อาถรรพณเวท) อาถรรพ ก็ใช อยูในอาํ นาจปกครอง อาณาประโยชน ผลประโยชนท่ีตนมี อาทร ความเอ้ือเฟอ , ความเอาใจใส อาทิ เปน ตน ; ทีแรก, ขอตน อํานาจปกครองสว นตัว อาณาปวัติ ความเปนไปแหงอาณา, อาทกิ มั ม ดู อาทกิ มั มกิ ะ 2 ขอบเขตทอ่ี าํ นาจปกครองแผไ ป; เปน ไป อาทกิ มั มกิ ะ 1. “ผทู าํ กรรมทแี รก” หมาย ในอาํ นาจปกครอง, อยใู นอาํ นาจปกครอง ถึง ภิกษุผูเปนตนบัญญัติในสิกขาบท อาณาปาฏโิ มกข ดู ปาฏิโมกข นน้ั ๆ 2. ชอ่ื คมั ภรี ใ นพระวนิ ยั ปฎ ก เปน อาณาสงฆ อํานาจของสงฆ, อํานาจ คมั ภรี แ รก เมอ่ื แยกพระวนิ ยั ปฎ กเปน ๕ ปกครองของสงฆ คือสงฆป ระชมุ กนั ใช คมั ภรี ใชค าํ ยอ วา อา; อาทกิ มั ม กเ็ รยี ก อํานาจโดยชอบธรรม ระงับอธิกรณท่ี อาทิตตปริยายสูตร ชื่อพระสูตรที่พระ เกดิ ขน้ึ พุทธเจาทรงแสดงแกภิกษุประมาณ อาดรู เดือดรอน, กระวนกระวาย, ทน ๑,๐๐๐ รปู มีอุรเุ วลกสั สป เปนตน ซึง่ ทกุ ขเวทนาทั้งกายและใจ เคยเปนชฎิลบูชาไฟมากอน วาดวย อาตมภาพ ฉัน, ขาพเจา (ใชแ กพระภิกษุ อายตนะท้งั ๖ ที่รอนตดิ ไฟลุกท่วั ดวย สามเณรใชเรียกตัวเอง เมื่อพูดกับ ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ตลอด คฤหสั ถผ ใู หญ ตลอดถงึ พระเจา แผน ดนิ ) จนรอนดวยทุกข มีชาติ ชรามรณะ อาตมนั ตัวตน, คําสันสกฤต ตรงกบั เปนตน ทําใหภิกษุเหลานั้นบรรลุ บาลคี อื อตั ตา อรหัตตผล (มาในคมั ภีรมหาวรรค แหง อาตมา ฉัน, ขาพเจา (สําหรบั พระภิกษุ พระวนิ ยั ปฎ ก และสงั ยตุ ตนกิ าย สฬาย- สามเณรใชพูดกับผูมีบรรดาศักดิ์ แต ตนวรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก)
อาทติ ยโคตร ๕๓๖ อานนท อาทติ ยโคตร ตระกลู พระอาทิตย, เผา ไหม (ขอ ๔ ในวิปสสนาญาณ ๙) พนั ธุพระอาทิตย, ตระกูลที่สืบเชอื้ สาย อาเทสนาปาฏหิ ารยิ ปาฏหิ าริย คอื การ นางอทิติผูเปนชายาของพระกัศยป ทายใจ, รอบรูกระบวนของจิตตอาน ประชาบดี, ทา นวา สกุลของพระพทุ ธเจา ความคิดและอุปนิสัยของผูอ่ืนไดเปน ก็เปนอาทิตยโคตร (โคตมโคตร กับ อัศจรรย (ขอ ๒ ในปาฏิหารยิ ๓) อาทติ ยโคตร มคี วามหมายอยา งเดยี วกนั ) อาธรรม, อาธรรม ดู อธรรม อาทติ ยวงศ วงศพ ระอาทติ ย; ดู อาทติ ย- อานนท พระมหาสาวกองคหนึ่ง เปน โคตร เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจา อาทิพรหมจรรย หลักเบ้ืองตนของ อมิโตทนะ (น้ีวาตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏี. พรหมจรรย, หลกั การพ้ืนฐานของชวี ติ ท่ี ๓/๓๔๙ เปน ตน แตท ่เี รยี นกนั มามกั วาเปน ประเสริฐ; เทยี บ อภิสมาจาร โอรสของเจา สกุ โกทนะ) ซง่ึ เปน พระเจา อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา หลกั การศกึ ษา อาของเจาชายสิทธัตถะ เมื่อพระ อบรมในฝายบทบัญญัติหรือขอปฏิบัติ โพธิสัตวออกผนวชและตอมาไดตรัสรู เบื้องตนของพรหมจรรย สําหรับปอง แลว ถงึ พรรษาที่ ๒ แหงพทุ ธกิจ พระ กนั ความประพฤติเสยี หาย, ขอ ศกึ ษาที่ พุทธเจาไดเสด็จมาโปรดพระประยูร- เปนเบ้อื งตนแหงพรหมจรรย หมายถึง ญาติท่ีพระนครกบิลพัสดุ (เชน อง.อ.๑/ สิกขาบท ๒๒๗ ท่มี าในพระปาฏโิ มกข; ๑๗๑) เม่ือพระพุทธเจาเสด็จออกจาก เทยี บ อภิสมาจารกิ าสกิ ขา เมอื งกบลิ พัสดแุ ลว ไดท รงแวะประทบั อาทีนพ, อาทนี วะ โทษ, สวนเสีย, ขอ ที่อนุปยอัมพวัน ในอนุปย นคิ ม แหง บกพรอ ง, ผลราย; ตรงขา มกบั อานิสงส แควนมลั ละ ครงั้ น้ัน พระเจา สุทโธทนะ อาทนี วญาณ ดู อาทนี วานปุ ส สนาญาณ ไดทรงประชมุ เจาศากยะทั้งหลาย และ อาทีนวสัญญา การกําหนดหมายโทษ ทรงขอใหบรรดาเจาศากยะมอบเจาชาย แหงรางกายซึ่งมีอาพาธคือโรคตางๆ ออกบวชตามเสด็จพระพุทธเจาครอบ เปน อันมาก (ขอ ๔ ในสัญญา ๑๐) ครัวละหน่ึงองค ไดมีเจาชายศากยะ อาทนี วานุปส สนาญาณ ญาณอันคาํ นงึ ออกบวชจํานวนมาก รวมท้ังเจาชาย เหน็ โทษ, ปรีชาคํานงึ เห็นโทษของสงั ขาร อานนทดวย เจาชายอานนทไดเดินทาง วามีขอบกพรองระคนดวยทุกข เชน ไปเขาเฝาพระพุทธเจาและทรงบวชใหท่ี เห็นสังขารปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟ อนปุ ย อัมพวนั (วนิ ย.๗/๓๔๑/๑๕๙) พรอ ม
อานนั ตริกสมาธิ ๕๓๗ อานันทเจดยี กบั เจา ชายอนื่ ๕ องค (ภัททยิ ะ อนรุ ุทธะ ขอพร ๘ ประการ ทานไดร ับยกยอง ภคุ กิมพิละ เทวทัต) รวมเปน ๗ กบั เปนเอตทัคคะหลายดาน คือ เปน ท้ังกัลบกช่ือวา อบุ าลี พระอานนทม พี ระ พหสู ตู เปนผมู สี ติ มีคติ มธี ติ ิ และเปน อปุ ช ฌายช ือ่ วาพระเพลัฏฐสีสะ (เชน วินย. อุปฏฐากท่ียอดเยี่ยม ทานบรรลุพระ ๕/๓๔/๔๓; ในระยะตน พทุ ธกาล พระภกิ ษทุ บี่ วชแลว อรหัตหลังจากพระพุทธเจาปรินิพพาน ยงั ไมม อี ปุ ช ฌาย จงึ ไดต รสั ใหถ อื อปุ ช ฌาย คอื พระผู แลว ๓ เดอื น เปน กาํ ลงั สาํ คญั ในคราว ทาํ หนา ทด่ี แู ลฝก อบรมพระใหมใ นการศกึ ษาเบอื้ งตน ทาํ ปฐมสงั คายนา คือ เปนผวู สิ ัชนาพระ ตามพระพทุ ธานญุ าตใน วนิ ย.๔/๘๐/๘๒ ตอ มาจงึ ธรรม (ซ่ึงตอมาแบงเปนพระสูตรและ ทรงบญั ญตั ใิ น วนิ ย.๔/๑๓๓/๑๘๐ ใหอ ปุ สมบทผทู มี่ ี พระอภธิ รรม) พระอานนทด าํ รงชีวติ สืบ อปุ ช ฌายพ รอ มไวแ ลว ) ทานบรรลโุ สดาปตต-ิ มาจนอายุได ๑๒๐ ป จึงปรนิ ิพพานใน ผลเมื่อไดฟงธรรมกถาของพระปุณณ- อากาศ เหนือแมน า้ํ โรหิณี ซ่ึงเปน เสนกั้น มนั ตาณบี ุตร (ส.ํ ข.๑๗/๑๙๓/๑๒๘) เม่อื พระ แดนระหวางแควนของพระญาติทั้งสอง พทุ ธบดิ า คอื พระเจา สทุ โธทนะ ประชวร ฝาย คือ ศากยะ และโกลิยะ; ดู พร๘ ทรงฟงธรรมไดบรรลุอรหัตตผลและดับ อานันตริกสมาธิ สมาธิอันไมมีระหวาง ขนั ธปรนิ พิ พาน ในพรรษาท่ี ๕ แหง คอื ไมมอี ะไรคัน่ หมายความวา ใหเ กิด พทุ ธกิจแลว พระนางมหาปชาบดี ไดไป ผลตามมาทันที ไดแก มรรคสมาธิ ซงึ่ เฝาพระพุทธเจา และทูลขอใหสตรีได เมอ่ื เกดิ ขึ้นแลว กจ็ ะเกิดมรรคญาณ คอื บรรพชา แตยังไมส ําเรจ็ (วนิ ย.๗/๕๑๓/ ปญ ญาท่กี ําจัดอาสวะ ตามติดตอ มาใน ๓๒๐) จนกระท่ังตอมาไดอาศัยพระ ทันท,ี อานันตรกิ สมาธินี้ พระพทุ ธเจา อานนทชว ยทลู ขอ พระนางและสากยิ านี ตรัสวาเปนสมาธิเยี่ยมยอด ไมมีสมาธิ ท้ังหลายจึงไดบวช เปนจุดเริ่มกําเนิด ใดเทียมเทา (ข.ุ ขุ.๒๕/๗/๕) เพราะทํากิเลส ภกิ ษณุ สี งฆ พระอานนทไ ดเ ปน อปุ ฏ ฐาก ใหสน้ิ ไปได ประเสรฐิ กวา รูปาวจรสมาธิ รบั ใชพ ระพทุ ธเจา ตามโอกาสเชน เดยี วกบั และแมแตอรูปาวจรสมาธิของพระ พระเถระรูปอ่ืนมากทาน จนกระท่ังใน พรหม หรือทจ่ี ะทาํ ใหไ ดเกิดเปนพรหม พรรษาที่ ๒๐ แหง พทุ ธกจิ ทา นไดร บั อานันทเจดีย เจดียสถานแหง หน่ึงอยูใน เลือกใหเปนพระอปุ ฏ ฐากประจาํ พระองค เขตโภคนคร ระหวา งทางจากเมอื งเวสาลี (นพิ ทั ธปุ ฏ ฐาก) ของพระพทุ ธเจา (เชน ท.ี อ. สูเมืองปาวา เปนท่ีพระพุทธเจาตรัส ๒/๑๔) ซ่ึงทานตกลงรบั หนาท่ดี วยการทูล มหาปเทส ๔ ฝา ยพระสตู ร
อานาปานสติ ๕๓๘ อาบัติ อานาปานสติ สติกําหนดลมหายใจเขา อานิสงส หมายถึงผลพวงพลอยหรืองอก ออก (ขอ ๙ ในอนุสติ ๑๐, ขอ ๑๐ ใน เงยในดานดีอยา งเดยี ว ถา เปน ผลพลอย ดานราย ก็อยูในคําวานิสสันท), อนึ่ง สญั ญา ๑๐ เปนตน), หนังสอื เกา มกั วิบาก ใชเฉพาะกับผลของกรรมเทาน้ัน เขียน อานาปานัสสติ แตอานิสงส หมายถงึ คุณ ขอ ดี หรอื ผล อานาปานสตกิ มั มัฏฐาน กรรมฐานท่ใี ช สตกิ ําหนดลมหายใจเขา ออก ไดพิเศษในเรื่องราวท่ัวไปดวย เชน อานาปานสั สติ สตกิ ําหนดลมหายใจเขา ออก; ดู อานาปานสติ อานิสงสของการบรโิ ภคอาหาร อานิสงส อานิสงส ผลดีหรือผลที่นาปรารถนานา ของธรรมขอน้ันๆ จีวรท่ีเปนอานิสงส พอใจ อันสืบเน่ืองหรือพลอยได จาก ของกฐิน, โดยท่ัวไป อานิสงสมีความ หมายตรงขามกับ อาทีนพ ซ่ึงแปลวา กรรมด,ี ผลงอกเงยแหง บญุ กศุ ล, คณุ , โทษ ขอเสีย ขอ ดอ ย จุดออ น หรอื ผล ขอดี, ผลที่เปนกําไร, ผลไดพิเศษ; รา ย เชนในคาํ วา กามาทนี พ (โทษของ “อานสิ งส” มคี วามหมายตางจาก “ผล” กาม) และเนกขัมมานิสงส (คณุ หรอื ผล ท่เี รยี กชื่ออยา งอืน่ โดยขอบเขตทีก่ วาง ดีในเนกขัมมะ); ดู ผล, เทียบ นิสสันท, หรอื แคบกวา กนั หรอื โดยตรงโดยออ ม วบิ าก, ตรงขา มกบั อาทนี พ เชน ทํากรรมดีโดยคิดตอคนอื่นดวย อานภุ าพ อาํ นาจ, ฤทธเ์ิ ดช, ความยง่ิ ใหญ เมตตาแลว เกดิ ผลดี คอื มจี ิตใจแชม ช่นื อาเนญชาภสิ งั ขาร ดู อเนญชาภสิ งั ขาร สบาย ผอนคลาย เลอื ดลมเดนิ ดี มีสุข อาบตั ิ การตอ ง, การลวงละเมดิ , โทษที่ ภาพ ตลอดถึงวาถาตายดวยจิตอยาง เกิดแตการละเมดิ สิกขาบท; อาบตั ิ ๗ น้นั กไ็ ปเกิดดี น้เี ปนวิบาก พรอมกัน คอื ปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี นั้นกม็ ีผลพว งอ่ืนๆ เชน หนาตาผองใส ปาฏเิ ทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; อาบตั ิ ๗ เปนทร่ี ักใครช อบใจของคนอน่ื อยางน้ี กองนี้จัดรวมเปนประเภทไดหลายอยาง เปนอานิสงส แตถาทํากรรมไมดีโดย โดยมากจัดเปน ๒ เชน ๑. ครุกาบัติ คิดตอคนอ่ืนดวยโทสะแลวเกิดผลราย อาบัติหนัก (ปาราชิกและสังฆาทิเสส) ๒. ลหกุ าบตั ิ อาบตั เิ บา (อาบัติ ๕ อยา ง ตอตนเองทีต่ รงขามกบั ขา งตน จนถึงไป ที่เหลอื ); คูตอไปนีก้ ็เหมอื นกัน คือ ๑. เกิดในทุคติ ก็เปนวบิ าก และในฝา ยรา ย ทฏุ ลุ ลาบตั ิ อาบตั ชิ วั่ หยาบ ๒. อทฏุ ลุ - นี้ไมม ีอานิสงส (วบิ าก เปนผลโดยตรง ลาบัติ อาบตั ไิ มช ัว่ หยาบ; ๑. อเทสนา- และเปนไดท้ังขางดีและขางราย สวน
อาบัตชิ ว่ั หยาบ ๕๓๙ อาพาธ คามินี อาบัติที่ไมพนไดดวยการแสดง แควนอังคุตตราปะ ๒. เทสนาคามินี อาบัตทิ ี่พน ไดดวยการ อาปต ตาธิกรณ อธกิ รณคืออาบตั ิ หมาย แสดงคือเปด เผยความผิดของตน; คตู อ ความวา การตองอาบัตแิ ละการถูกปรบั ไปนี้จัดตางออกไปอีกแบบหน่ึงตรงกัน อาบัติ เปนอธิกรณโดยฐานเปนเรื่องท่ี ทงั้ หมด คอื ๑. อเตกจิ ฉา เยยี วยาแกไ ข จะตองจัดทํา คือระงับดวยการแกไข ไมได (ปาราชกิ ) ๒. สเตกจิ ฉา เยยี วยา ปลดเปลือ้ งออกจากอาบัติน้นั เสยี มีการ แกไขได (อาบตั ิ ๖ อยางที่เหลือ); ๑. ปลงอาบัติ หรือการอยูกรรมเปนตน อนวเสส ไมม สี วนเหลือ ๒. สาวเสส ตามวธิ ีทท่ี า นบญั ญัติไว ยังมีสวนเหลือ; ๑. อัปปฏิกัมม หรือ อาปจุ ฉา บอกกลา ว, ถามเชงิ ขออนญุ าต อปฏกิ รรม ทําคนื ไมได คอื แกไขไมไ ด เปน การแสดงความเออ้ื เฟอ , แจง ใหท ราบ ๒. สัปปฏกิ มั ม หรอื สปฏิกรรม ยงั ทาํ เชน ภิกษุผูออนพรรษาจะแสดงธรรม คนื ได คือแกไขได ตอ งอาปจุ ฉาภกิ ษผุ มู พี รรษามากกวา กอ น อาการท่ภี ิกษุจะตองอาบตั ิ มี ๖ อยา ง อาโปธาตุ ธาตุน้าํ , สภาวะทมี่ ลี กั ษณะเอบิ คือ อลชชฺ ติ า ตอ งดวยไมละอาย ๑ อาบ ดดู ซมึ เกาะกมุ ; ในรา งกายทใ่ี ชเปน อฺ าณตา ตองดวยไมรูวาสิ่งน้ีจะเปน อารมณกรรมฐาน ไดแก ดี เสลด หนอง อาบัติ ๑ กกุ กฺ จุ จฺ ปกตตา ตองดว ยสงสัย เลอื ด เหงอ่ื มนั ขน นา้ํ ตา เปลวมนั นา้ํ แลวขนื ทาํ ลง ๑ อกปปฺ เ ย กปปฺ ย สฺิตา ลาย นาํ้ มูก ไขขอ มูตร, ขอความนี้ เปน ตอ งดวยสาํ คญั วาควรในของทไ่ี มค วร ๑ การกลาวถึงอาโปธาตุในลักษณะที่คน กปปฺ เ ย อกปปฺ ย สฺติ า ตองดวยสําคัญ สามญั ทวั่ ไปจะเขา ใจได และพอใหส าํ เรจ็ วา ไมควรในของที่ควร ๑ สตสิ มโฺ มสา ประโยชนใ นการเจรญิ กรรมฐาน แตใ น ตองดว ยลืมสติ ๑ ทางอภิธรรม อาโปธาตุเปนสภาวะที่ อาบัติชั่วหยาบ ในประโยควา “บอก สมั ผสั ดว ยกายไมไ ด มใี นรปู ธรรมทว่ั ไป อาบัติชั่วหยาบของภิกษุแกอนุปสัมบัน” แมแ ตใ นกระดาษ กอ นหนิ เหล็ก และ อาบตั ปิ าราชกิ และอาบตั สิ ังฆาทเิ สส; ดู แผนพลาสตกิ ; ดู ธาต,ุ รูป ๒๘ ทุฏุลลาบตั ิ อาพาธ ความเจ็บปว ย, โรค (ในภาษา อาบัติท่ีเปนโทษล่าํ อาบัติปาราชกิ และ ไทย ใชแกภ กิ ษสุ ามเณร แตใ นภาษา สงั ฆาทิเสส บาลี ใชไ ดท่วั ไป); อาพาธตา งๆ มีมาก อาปณะ ช่ือนคิ ม ซง่ึ เปน เมอื งหลวงของ มาย เรียกตามช่ืออวัยวะที่เปนบาง
อาภัพ ๕๔๐ อายตนะ เรียกตามอาการบาง บางทีแยกตาม อาวโุ ส (เขยี นตามรปู บาลี เปน อาม ภนเฺต, สมฏุ ฐานวา ปตฺตสมุฏ านา อาพาธา, อาม อาวุโส) เสมหฺ สมฏุ านา อาพาธา, วาตสมฏุ านา อามยั ความปว ยไข, โรค, ความไมสบาย; อาพาธา, สนฺนิปาติกา อาพาธา, อตุ -ุ ตรงขา มกับ อนามยั คอื ความสบาย, ไมม ี ปริณามชา อาพาธา, วิสมปริหารชา โรคภัยไขเ จ็บ อาพาธา, โอปกฺกมิกา อาพาธา, กมฺม- อามสิ เครอ่ื งลอใจ, เหยือ่ , ส่งิ ของ อามสิ ทายาท ทายาทแหงอามสิ , ผรู บั วปิ ากชา อาพาธา อาภพั ไมส มควร, ไมส ามารถ, ไมอ าจ มรดกอามิส, ผูรับเอาสมบัติทางวัตถุ เปน ไปได, เปน ไปไมไ ด (จากคาํ บาลวี า เชน ปจ จัย ๔ จากพระพทุ ธเจา มาเสพ อภพฺพ เชน ผูกระทํามาตุฆาต ไม เสวย ดว ยอาศยั ผลแหง พทุ ธกจิ ทไ่ี ดท รง สามารถบรรลมุ รรคผล, พระโสดาบนั ไม บาํ เพญ็ ไว; โดยตรง หมายถงึ รับเอา อาจเปน ไปไดทีจ่ ะทาํ มาตุฆาต เปน ตน); ปจจยั ๔ มาบรโิ ภค โดยออ ม หมายถงึ ไทยใชเฉพาะในความวา ไมอ าจจะไดจ ะ ทํากุศลที่นําไปสูวัฏฏะ เชนใหทาน ถงึ สงิ่ นนั้ ๆ, ไมม ที างจะไดส ง่ิ ทมี่ งุ หมาย บําเพ็ญฌานสมาบัติ ดวยมุงหมาย (คลา ยคาํ วา อบั วาสนา หรอื ไมม วี าสนา; ดู มนษุ ยสมบตั แิ ละเทวสมบัต;ิ พระพุทธ- อภพั บคุ คล เจาตรัสสอนภิกษุท้ังหลายใหเปนธรรม- อาภสั สระ ผมู ีรศั มแี ผซ าน, เปลง ปลั่ง, ทายาท มิใหเปนอามิสทายาท; เทียบ ช่ือพรหมโลกชั้นท่ี ๖; ดู พรหมโลก ธรรมทายาท (พจนานุกรมเขียน อาภสั ระ) อามสิ บชู า การบชู าดวยอามิส คือ ดว ย อาภา แสง, รศั ม,ี ความสวา ง สงิ่ ของมดี อกไม ของหอม อาหาร และ อามะ คาํ รบั ในภาษาบาลี ตรงกบั ถกู แลว , วตั ถุอ่ืนๆ (ขอ ๑ ในบชู า ๒) ใช, ครับ, คะ, จะ, เออ ถา ผถู ูกกลา วรบั อามิสปฏิสันถาร การตอนรับดวยส่ิง เปนผูนอยกวาหรือมีพรรษานอยกวา ของ เชน อาหาร นํ้าบรโิ ภค เปน ตน หรือเปนคฤหัสถพูดกับพระสงฆกลาว (ขอ ๑ ใน ปฏิสนั ถาร ๒) ตอวา ภันเต เปน อามะ ภนั เต ถาผู อามิสสมโภค คบหากันในทางอามสิ ได กลาวรับเปนผูใหญกวาหรือมีพรรษา แก ใหหรือรบั อามิส มากกวา หรือเปนพระสงฆพูดกับ อายโกศล ดู โกศล ๓ คฤหัสถ กลา วตอ วา อาวุโส เปน อามะ อายตนะ ทต่ี ิดตอ, เครอื่ งติดตอ, แดน
อายตนะภายนอก ๕๔๑ อายุสังขาราธิฏฐาน ตอความร,ู เครื่องรูแ ละส่งิ ที่รู เชนตา ของชวี ติ เปน เครอื่ งรู รปู เปน สงิ่ ทรี่ ,ู หเู ปน เครอื่ งรู อายกุ ษยั , อายขุ ยั การสน้ิ อาย,ุ ความตาย เสยี งเปน ส่ิงทรี่ ู เปน ตน, จดั เปน ๒ อายกุ ปั , อายกุ ปั ป กาลกาํ หนดแหง อาย,ุ ประเภท คือ อายตนะภายใน ๖ กําหนดอายุ, ชวงเวลาแตเกิดถึงตาย อายตนะภายนอก ๖ ตามปกติหรือที่ควรจะเปน ของสัตว อายตนะภายนอก เครื่องตอภายนอก, ประเภทนน้ั ๆ ในยคุ สมยั นนั้ ๆ; ดู กปั สงิ่ ทถ่ี กู รมู ี ๖ คอื ๑. รปู รปู ๒. สทั ทะ อายุวัฒนะ ความเจริญอายุ, ยืดอายุ, เสยี ง ๓. คันธะ กล่นิ ๔. รส รส ๕. อายยุ นื โผฏฐัพพะ สิ่งตองกาย ๖. ธัมมะ อายสุ งั ขาร เครอื่ งปรงุ แตง อาย,ุ ปจ จยั ธรรมารมณ คือ อารมณที่เกิดกับใจ ตา งๆ ทห่ี ลอ เลยี้ งชวี ติ ของสตั วแ ละพชื ให หรือสง่ิ ทใี่ จรู; อารมณ ๖ ก็เรียก ดาํ รงอยแู ละสบื ตอ ไปได, มกั พบในคาํ วา อายตนะภายใน เครื่องตอภายใน, “ปลงอายสุ งั ขาร” และ “ปลงพระชนมาย-ุ เครอ่ื งรบั รู มี ๖ คอื ๑. จกั ขุ ตา ๒. โสต สงั ขาร”; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะ หู ๓. ฆานะ จมกู ๔. ชวิ หา ลน้ิ ๕. กาย อายุสังขารโวสสชั ชนะ “การสลดั ลงซง่ึ กาย ๖. มโน ใจ; อนิ ทรยี ๖ กเ็ รยี ก ปจ จยั เครอ่ื งปรงุ แตง อาย”ุ , การปลงอาย-ุ อายาจนะ การขอรอง, การวงิ วอน, การ สังขาร, การสละวางการปรุงแตงอายุ, เช้อื เชญิ การเลิกความคิดท่ีจะดาํ รงชีวติ อยตู อ ไป, อายุ สภาวธรรมท่ีทาํ ใหชีวิตดาํ รงอยูหรือ ความตกลงปลงใจกาํ หนดการสนิ้ สดุ อาย;ุ เปน ไป, พลงั ทห่ี ลอ เลยี้ งดาํ รงรกั ษาชวี ติ , ในพุทธประวัติ ที่วาพระพุทธเจาทรง พลังชีวิต, ความสามารถของชีวิตท่ีจะ “ปลงอายสุ งั ขาร” หรอื “ปลงพระชนมาย-ุ ดาํ รงอยแู ละดาํ เนนิ ตอ ไป, ตามปกตทิ า น สงั ขาร” คอื ทรงพจิ ารณาเหน็ วา บรษิ ทั ๔ อธบิ ายวา อายุ กค็ อื ชวี ติ นิ ทรยี นนั่ เอง; มีคุณสมบัติพรอม และพรหมจริยะคือ ชวงเวลาท่ีชีวิตของมนุษยสัตวประเภท พระศาสนานี้ เจรญิ แพรห ลายไพบูลยด ี นนั้ ๆ หรอื ของบคุ คลนนั้ ๆ จะดาํ รงอยไู ด, แลว จึงตกลงพระทัยวา (อกี ๓ เดอื น ชว งเวลาท่ชี วี ติ จะเปนอยูได หรอื ไดเ ปน แตนั้นไป) จะปรินิพพาน, อายุสังขาร- อยู; ในภาษาไทย อายุ มคี วามหมาย โอสสัชชนะ หรอื อายสุ งั ขาโรสสชั ชนะ ก็ เพีย้ นไปในทางท่ไี มนาพอใจ เชน กลาย วา ; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขาร เปนความผานลวงไปหรือความลดถอย อายสุ งั ขาราธฏิ ฐาน การตงั้ พระทยั วา จะ
อารมณ ๕๔๒ อารกั ขกัมมฏั ฐาน ดาํ รงไวซ ง่ึ อายสุ งั ขาร, การทพ่ี ระพทุ ธเจา ในภาษาไทยใชใ นความหมายตางกนั ) ตั้งพระทยั กาํ หนดแนว า จะดาํ รงพระชนม อารยชน ชนท่เี จรญิ ดวยขนบธรรมเนียม อยกู อ น จนกวา พทุ ธบรษิ ทั ทงั้ ๔ คอื อันดีงาม, คนมีอารยธรรม ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า จะเปน ผู อารยชาติ ชาตทิ เ่ี จรญิ ดว ยขนบธรรมเนยี ม ทีไ่ ดเรียนรูเชี่ยวชาญ แกลว กลา เปน อันดงี าม พหสู ตู ทรงธรรม ปฏิบตั ิชอบ สามารถช้ี อารยธรรม ธรรมอันดงี าม, ธรรมของ แจงแสดงธรรม กําราบปรัปวาทที่เกิด อารยชน, ความเจรญิ ดว ยขนบธรรมเนยี ม ขน้ึ ใหสงบไดโ ดยชอบธรรม ในระหวาง อันดีงาม; ในทางธรรม หมายถึง กศุ ล- น้ีแมหากมีโรคาพาธเกิดข้ึน ก็จะทรง กรรมบถ ๑๐ ระงับขบั ไลเ สยี ดว ยอิทธิบาทภาวนา จะ อารยอัษฎางคิกมรรค ทางมีองค ๘ ยังไมป รนิ พิ พาน จนกวาพรหมจรยิ ะคือ ประการ อนั ประเสรฐิ ; ดู มรรค พระศาสนานี้ จะเจริญม่ันคง เปน อารกั ขกมั มฏั ฐาน กรรมฐานเปน เครอื่ ง ประโยชนแกพหูชน เปนปกแผนแนน รักษาตน, กรรมฐานเปนเครื่องรักษาผู หนา แพรห ลายไพบลู ย; คําน้ี ทา นปรุง ปฏิบัติใหส งบระงบั และใหต ง้ั อยใู นความ ข้ึนใชในหนังสือปฐมสมโพธิ เพื่อส่ือ ไมประมาท ทา นจดั เปน ชดุ ขน้ึ ภายหลงั ความหมายทกี่ ลา วแลว ; เทยี บ อายสุ งั ขาร- โวสสชั ชนะ ดงั มกี ลา วถงึ ในอรรถกถา (วนิ ย.อ.๓/๓๗๔) อารมณ เครื่องยดึ หนวงของจติ , สิง่ ที่จติ และฎกี าพระวนิ ยั (วนิ ย.ฏ.ี ๒/๖๗/๑๗๙) มี ๔ ขอ เรยี กวา จตรุ ารกั ขา (เรยี กใหส นั้ วา ยึดหนว ง, สง่ิ ทีถ่ ูกรหู รอื ถกู รับรู ไดแ ก จตรุ ารกั ข หรอื จตรุ ารกั ษ) คอื พทุ ธานสุ ติ อายตนะภายนอก ๖ คือ รปู เสียง กล่ิน เมตตา อสภุ ะ และมรณสต,ิ ตอ มาใน รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ; ใน ลงั กาทวปี พระธรรมสริ เิ ถระ ไดเ ขยี น ภาษาไทย ความหมายเลือนไปเปน อธบิ ายไวใ นคมั ภรี ข ทุ ทสกิ ขา และในพมา ความรูสึก หรือความเปนไปแหงจิตใจ ทเ่ี มอื งรา งกงุ ไดม พี ระเถระชอ่ื อคั รธรรม ในขณะหรอื ชวงเวลาหนง่ึ ๆ เชน วา อยา ถึงกับแตงคัมภีรขึ้นอธิบายเร่ืองนี้โดย ทาํ ตามอารมณ วันน้อี ารมณดี อารมณ เฉพาะ เรียกวา จตุรารักขทีปนี; ใน เสยี เปนตน หนงั สอื นวโกวาท มคี าํ อธบิ ายซง่ึ เปน พระ อารยะ คนเจรญิ , คนมีอารยธรรม; พวก ราชนิพนธของพระบาทสมเด็จพระจอม ชนชาติ อรยิ กะ (ตรงกบั บาลวี า อรยิ ะ แต เกลา เจา อยหู วั วา “อารกั ขกมั มฏั ฐาน ๔
อารกั ขสัมปทา ๕๔๓ อารัญญกวตั ร ๑. พุทธานสุ สติ ระลกึ ถงึ คณุ พระพุทธ ขนั ธกะ จดั เปน หวั ขอ ไดด งั นี้ ก. ๑. ภกิ ษุ เจาทมี่ ใี นพระองค และทรงเกอื้ กลู แกผู ผอู ยปู า พงึ ลกุ ขนึ้ แตเ ชา ตรู เอาถงุ บาตร อนื่ ๒. เมตตา แผไ มตรจี ติ คิดจะให สวมบาตรแลวคลองบา ไว พาดจีวรบน สัตวทั้งปวงเปนสุขท่ัวหนา ๓. อสุภะ ไหล สวมรองเทา เกบ็ งาํ เครอื่ งไมเ ครอ่ื ง พิจารณารางกายตนและผูอื่นใหเห็นเปน ดิน ปดประตูหนาตางแลวลงจาก ไมงาม ๔. มรณสั สติ นึกถึงความตาย เสนาสนะ (ทพี่ กั อาศยั ) ไป ๒. ทราบวา อนั จะมแี กตน. กมั มฏั ฐาน ๔ อยา งนี้ “บัดน้ีจักเขาหมูบาน” พึงถอดรองเทา เคาะตาํ่ ๆ แลว ใสถ งุ คลอ งบา ไว นงุ ใหเ ปน ควรเจรญิ เปน นติ ย” ปรมิ ณฑล คาดประคดเอว หม สงั ฆาฏิ อารักขสัมปทา ถึงพรอมดวยการรกั ษา ซอ นเปน สองชนั้ กลดั ลกู ดมุ ชาํ ระบาตร คือรักษาทรัพยท่ีแสวงหามาไดดวย แลวถือเขาหมูบานโดยเรียบรอยไมรีบ รอ น ไปในละแวกบา นพงึ ปกปด กายดว ย ความหมั่น ไมใ หเ ปน อันตรายและรักษา ดี สาํ รวมดว ยดี ไมเ ดนิ กระโหยง เมอ่ื จะ เขา สนู เิ วศน พงึ กาํ หนดวา เราจกั เขา ทาง การงานไมใ หเสอ่ื มเสียไป, รจู ักเก็บออม นี้ จกั ออกทางนี้ ไมพ งึ รบี รอ นเขา ไป ไม พึงรีบรอนออกมา พงึ ยนื ไมไ กลเกนิ ไป ถนอมรักษาปดชองร่ัวไหลและคุมครอง ไมใกลเกนิ ไป ไมนานเกนิ ไป ไมก ลบั ออกเรว็ เกนิ ไป เมอ่ื ยนื อยู พงึ กาํ หนดวา ปอ งกนั ภยนั ตราย (ขอ ๒ ในทฏิ ฐธมั ม-ิ เขาประสงคจะถวายภกิ ษาหรอื ไม ฯลฯ เมอ่ื เขาถวายภกิ ษา พงึ แหวกสงั ฆาฏดิ ว ย กตั ถสังวัตตนิกธรรม ๔) มอื ซา ย นอ มบาตรเขา ไปดว ยมอื ขวา ใช อารักขา การขอความคุมครองจากเจา มอื ทง้ั สองขา งประคองบาตรรบั ภกิ ษา ไม หนา ท่ีฝา ยบานเมอื ง เมือ่ มผี ปู องรา ยขม พงึ มองดหู นา สตรผี ถู วาย พงึ กาํ หนดวา เขาประสงคจะถวายแกงหรือไม ฯลฯ เหง หรือถูกลักขโมยสิ่งของ เปนตน เม่ือเขาถวายภิกษาแลว พึงคลุมบาตร เรียกวา ขออารักขา ถอื เปน การปฏิบัติ ดว ยสังฆาฏิแลว กลับโดยเรยี บรอ ยไมร บี ชอบตามธรรมเนียมของภิกษุแทนการ รอ น เดนิ ไปในละแวกบา น พงึ ปกปด กาย ดว ยดี สาํ รวมดว ยดี ไมเ ดนิ กระโหยง ๓. ฟองรองกลาวหาอยางที่ชาวบานทํากัน เพราะสมณะไมพอใจจะเปนถอยความ กบั ใครๆ อารักษ, อารกั ขา การปอ งกัน, การคมุ ครอง, การดแู ลรักษา อารญั ญกวตั ร ขอ ปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ภกิ ษผุ อู ยู ปา, ธรรมเนียมที่ภิกษุผูอยูปาพึงถือ ปฏิบัติ ตามพุทธบัญญัติท่ีมาในวัตต-
อารัญญิกังคะ ๕๔๔ อาราม ออกจากบา นแลว (หลงั จากฉนั และลา ง หรอื นาํ ไปสวดเปน ทาํ นอง จะไดไ มข ดั บาตรแลว ) เอาบาตรใสถ งุ คลอ งบา พบั อาราธนาพระปริตร กลาวคําเชิญหรือ จวี ร วางบนศรี ษะ สวมรองเทา เดนิ ไป ข. ขอรอ งใหพระสวดพระปรติ ร วาดงั น้:ี ภกิ ษผุ อู ยปู า พงึ จดั เตรยี มนาํ้ ดมื่ ไว พงึ จดั “วปิ ตตฺ ิปฏิพาหาย เตรยี มนาํ้ ใชไ ว พงึ ตดิ ไฟเตรยี มไว พงึ จดั สพฺพสมปฺ ตตฺ ิสทิ ธฺ ยิ า เตรยี มไมส ไี ฟไว พงึ จดั เตรยี มไมเ ทา ไว สพพฺ ทกุ ฺขวินาสาย ค. พงึ เรยี นทางนกั ษตั รไว (ดดู าวเปน ) ปริตฺตํ พรฺ ูถมงฺคลํ” ทงั้ หมดหรอื บางสว น พงึ เปน ผฉู ลาดในทศิ (วา ๓ คร้ัง แตคร้ังท่ี ๒ เปล่ยี น ทุกขฺ อารัญญิกังคะ องคแหงผูถืออยูปาเปน เปน ภย; คร้งั ที่ ๓ เปลย่ี นเปน โรค) วตั ร คอื ไมอ ยใู นเสนาสนะใกลบ า น แต อาราธนาศีล กลาวคําเชิญหรือขอรอง อยปู า หา งจากบา นอยา งนอ ย ๒๕ เสน พระใหใ หศ ลี , สาํ หรบั ศลี ๕ วา ดงั น:้ี “มยํ ภนเฺ ต, (วสิ ุ วิสุ รกฺขณตถฺ าย), ตสิ รเณน (ขอ ๘ ในธดุ งค ๑๓) อารมั ภกถา คาํ ปรารภ, คาํ เรมิ่ ตน , คาํ นาํ สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม; ทุติยมฺป มยํ อาราธนา การเชอ้ื เชิญ, นมิ นต, ขอรอ ง, ภนฺเต, (วสิ ุ วสิ ุ รกฺขณตฺถาย), ตสิ รเณน ออนวอน (มกั ใชสาํ หรบั พระสงฆและส่ิง สห, ปจฺ สีลานิ ยาจาม; ตติยมฺป มยํ ภนฺเต, (วสิ ุ วิสุ รกฺขณตฺถาย), ตสิ รเณน ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ) อาราธนาธรรม กลา วคาํ เชญิ หรอื ขอรอ ง สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม;” (คําในวงเล็บ พระใหแ สดงธรรม (ใหเ ทศน) วา ดงั น:ี้ จะไมใชก ไ็ ด) “พฺรหมฺ า จ โลกาธปิ ตี สหมฺปติ คําอาราธนาศีล ๘ ก็เหมือนกัน กตฺอชฺ ลี อนธฺ ิวรํ อยาจถ เปลยี่ นแต ปจฺ เปน อฏ สนตฺ ธี สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา อาราธนาศีลอุโบสถ กลาวคําเชิญพระ เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปมํ ปช”ํ ใหใ หอ โุ บสถศลี วา พรอ มกนั ทกุ คน ดงั น:ี้ พงึ สังเกตวา กตฺอชฺ ลี อนฺธวิ รํ คาํ “มยํ ภนเฺ ต, ตสิ รเณน สห, อฏ งคฺ สมน-ฺ ปกตเิ ปน กตชฺ ลี (กตอชฺ ล)ี อนธิวรํ นาคต,ํ อโุ ปสถํ ยาจาม” (วา ๓ จบ) (ในพระไตรปฎ ก ๓๓/๑๘๐/๔๐๓ กใ็ ช อาราม วดั , ท่ีเปน ทมี่ ายินดี, สวนเปนที่ รปู ปกตติ ามไวยากรณอ ยา งนนั้ ) แตท มี่ ี รื่นรมย; ความยินดี, ความรื่นรมย, รปู แปลกไปอยา งนี้ เนอ่ื งจากทา นทาํ ตาม ความเพลิดเพลิน; ในทางพระวินัย ฉนั ทลกั ษณ ทบี่ งั คบั คร-ุ ลหุ เมอื่ จะอา น เกย่ี วกบั ของสงฆ หมายถงึ ของปลกู สรา ง
อารามวตั ถุ ๕๔๕ อาวโุ ส ในอารามตลอดจนตน ไม; ดู คนั ธกุฎี กําหนดหมายวากลางวันไวในใจ ให อารามวตั ถุ ท่ีดินวดั , ท่ดี นิ พน้ื วัด เหมือนกันท้ังในเวลากลางวันและกลาง อารามกิ คนทาํ งานวัด, คนวัด คืน เปนวิธีแกง วงอยางหน่งึ อารามกิ เปสกะ ภกิ ษผุ ูไ ดร ับสมมติ คอื อาวรณ เครื่องกน้ั , เครอื่ งกําบัง; ไทยมกั แตง ตงั้ จากสงฆ ใหมีหนา ทีเ่ ปนผใู ชค น ใชในความหมายวา หว งใย, อาลยั , คดิ ทํางานวัด, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา กังวลถึง เจาอธิการแหง อาราม อาวชั นาการ ความราํ พงึ , การราํ ลกึ , นกึ ถงึ อาลกมันทา ราชธานีซึ่งเปนทิพยนคร อาวาส ท่ีอยู, โดยปรกตหิ มายถึงทอ่ี ยู ของพวกเทวดาชั้นจาตมุ หาราชกิ า ของพระสงฆ คือ วดั อาลปนะ คํารองเรียก อาวาสปลโิ พธ ความกังวลในอาวาส คือ อาลยสมุคฺฆาโต ความถอนขึ้นดว ยดซี ่ึง ภิกษุยังอยใู นอาวาสนัน้ หรือหลีกไปแต อาลัย, การถอนอาลยั คอื ตัณหาไดเ ดด็ ยังผกู ใจอยวู าจะกลบั มา (เปนเหตอุ ยา ง ขาด (เปน ไวพจนแหงวริ าคะ) หนึ่งที่ทําใหกฐินยังไมเดาะ); ในการ อาลัย 1. ท่ีอย,ู ทอ่ี าศัย, แหลง 2. ความ เจริญกรรมฐาน หมายถึงความหวงใย มใี จผูกพนั , ความเยอ่ื ใย, ความตดิ ใจ กังวลเก่ียวกับที่อยูอาศัย เชนหวงงาน ปรารถนา, ความพัวพัน มักหมายถงึ กอสรางในวัด มีส่ิงของท่ีสะสมเอาไว ตัณหา; ในภาษาไทยใชในความหมายวา มาก เปน ตน เมอ่ื จะเจรญิ กรรมฐาน พงึ หว งใย หวนคิดถงึ ตดั ปลิโพธนีใ้ หได; ดู ปลิโพธ อาโลก แสงสวาง อาวาสมจั ฉรยิ ะ ตระหนท่ี อี่ ยู ไดแ กห วง อาโลกกสิณ กสิณคือแสงสวาง, การ แหน ไมพ อใจใหใ ครๆ เขา มาอยแู ทรก เจริญสมถกรรมฐานตั้งใจเพงแสงสวาง แซง หรอื กดี กนั ผอู นื่ ทมี่ ใิ ชพ วกของตนไม เปนอารมณ (ขอ ๙ ใน กสิณ ๑๐) ใหเ ขา อยู (ขอ ๑ ในมจั ฉรยิ ะ ๕) อาโลกเลณสถาน ชื่อถํ้าแหงหน่ึงใน อาวาหะ การแตงงาน, การสมรส, การพา มลยชนบท เกาะลังกา เปนท่ีทํา หญงิ มาบา นตวั สังคายนาคร้ังท่ี ๕ จารึกพระไตรปฎ ก อาวาหววิ าหมังคลาภเิ ษก พิธรี ดนํา้ เพือ่ ลงในใบลาน เปนมงคลในการแตงงาน, งานมงคล อาโลกสัญญา ความสาํ คัญในแสงสวา ง, สมรส (ใชแ กเ จา ) กําหนดหมายแสงสวาง คอื ต้งั ความ อาวโุ ส “ผูม ีอายุ” เปนคําเรยี ก หรอื ทกั
อาศรม ๕๔๖ อาสภวิ าจา ทาย ที่ภิกษุผูแกพรรษาใชรองเรียก พราหมณไดความคิดจากพระพุทธ- ภกิ ษผุ อู อนพรรษากวา (ภกิ ษผุ ูใหญร อง ศาสนาไปปรับปรุงจัดวางระบบของตน เรียกภิกษุผูนอย) หรือภิกษุรองเรียก ข้นึ เชน สนั ยาสี ตรงกับภกิ ษุ แตหา คฤหสั ถ คูก ับคํา ภนฺเต ซง่ึ ภิกษุผอู อ น เหมือนกนั จริงไม) กวาใชรองเรียกภิกษุผูแกหวาหรือ อาสนะ ทีน่ ัง่ , ท่ีสาํ หรับนงั่ คฤหัสถรองเรียกภิกษุ; ในภาษาไทย อาสภวิ าจา วาจาอาจหาญ, วาจาย่งิ ยง มกั ใชเพ้ียนไปในทางตรงขาม หมายถงึ องอาจ ที่เปลงออกมาอยางหนักแนน เกา กวา หรือแกก วาในวงงาน กิจการ แกลว กลา และจะแจง ชดั เจน อนั ประกาศ หรอื ความเปน สมาชกิ ความจรงิ หรอื ความสาํ เรจ็ ทแี่ นแท ซ่ึง อาศรม ทอ่ี ยูของนักพรต; ตามลทั ธขิ อง ไมมีใครอาจคัดคานได, อาสภิวาจาท่ี พราหมณ ในยคุ ทกี่ ลายเปน ฮนิ ดแู ลว ได อา งองิ บอ ยทสี่ ดุ ในคมั ภรี ท งั้ หลาย ไดแ ก วางระเบียบเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตของ พระดาํ รัสของพระโพธิสัตว ที่ประกาศ ชาวฮินดูวรรณะสูง โดยเฉพาะวรรณะ พระองควาเปน เอกในโลก ตามเรื่องวา พราหมณ โดยแบง เปน ขนั้ หรอื ชว งระยะ พระมหาบุรุษเม่ือประสูติจากพระครรภ ๔ ขนั้ หรอื ๔ ชว ง เรยี กวา อาศรม ๔ ของพระมารดา ยา งพระบาทไป ๗ กา ว กําหนดวาชาวฮินดูวรรณะพราหมณทุก แลวทรงหยุดประทับยืนตรัสอาสภิวาจา คนจะตอ งครองชวี ติ ใหค รบทงั้ ๔ อาศรม วา “อคฺโคหมสมฺ ิ โลกสฺส” ดังนีเ้ ปน ตน ตามลาํ ดบั (แตใ นทางปฏบิ ตั ิ นอ ยคนนกั แปลวา “เราเปนอัครบุคคลของโลก ไดป ฏบิ ตั เิ ชน นนั้ โดยเฉพาะปจ จบุ นั ไมไ ด ฯลฯ”, พระสารีบุตรก็เคยเปลงอาสภิ- ถอื กนั แลว ) คอื ๑. พรหมจารี เปน นกั วาจา ประกาศความเล่ือมใสในพระผมู ี เรยี นศกึ ษาพระเวท ถอื พรหมจรรย ๒. พระภาคเจา วา สมณะหรือพราหมณอนื่ คฤหสั ถ เปน ผคู รองเรอื น มภี รรยาและมี ใดที่จะย่ิงไปกวาพระผูมีพระภาคใน บตุ ร ๓. วานปรสั ถ ออกอยปู า เมอ่ื เหน็ สัมโพธิญาณน้ัน มิไดมีแลว จักไมมี บตุ รของบตุ ร ๔. สนั ยาสี (เขยี นเตม็ เปน และทั้งไมมอี ยูใ นบดั น้ี, คาํ วาอาสภวิ าจา สนั นยาส)ี เปน ผสู ละโลก มผี า นงุ ผนื เดยี ว บางครัง้ มาดวยกนั กบั คําวา สหี นาท (การ ถือภาชนะขออาหารและหมอน้ําเปน บันลอื อยา งราชสีห) คือ ถอยคาํ ทีแ่ สดง สมบัติ จาริกภิกขาจารเรื่อยไปไมยุง ความแกลวกลาม่ันใจ เปนอาสภิวาจา เกี่ยวกับชาวโลก (ปราชญบางทานวา กิริยาท่ีประกาศความจริงความมั่นใจ
อาสวะ ๕๔๗ อาหาร ออกไปแกที่ประชุมหรือแกชนท้ังหลาย อาสันทิ เปน เตียงหรือเกา อีน้ อน) เปนสหี นาท; ดู สหี นาท อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน, กรรม อาสวะ 1. ความเสียหาย, ความเดอื ด ใกลตาย หมายถึงกรรมท่ีเปนกุศลก็ดี รอน, โทษ, ทกุ ข 2. น้าํ ดองอนั เปน เมรัย อกุศลกด็ ี ทที่ ําเม่ือจวนตายยังจบั ใจอยู เชน ปปุ ผฺ าสโว นา้ํ ดองดอกไม, ผลาสโว ใหมๆ ถา ไมม คี รกุ กรรม และพหลุ กรรม น้ําดองผลไม 3. กิเลสที่หมักหมมหรอื ยอมใหผ ลกอ นกรรมอ่ืนๆ เหมอื นโคท่ี ดองอยูในสันดาน ไหลซึมซานไปยอม ยัดเยียดกันอยูในคอกเม่ือคนเลี้ยงเปด จิตตเ ม่ือประสบอารมณต า งๆ, อาสวะ ๓ คอกออก ตัวใดอยใู กลประตู ตัวนน้ั คอื ๑. กามาสวะ อาสวะคอื กาม ๒. ยอ มออกกอ น แมจะเปน โคแก (ขอ ๑๑ ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. อวชิ ชาสวะ ในกรรม ๑๒) อาสวะคอื อวชิ ชา; อกี หมวดหนงึ่ อาสวะ ๔ อาสา ความหวงั , ความตองการ; ไทยวา คือ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒. รับทาํ โดยเต็มใจ, สมัคร, แสดงตวั ขอ ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. ทิฏฐาสวะ รบั ทําการนั้นๆ อาสวะคือทิฏฐิ ๔. อวิชชาสวะ อาสวะ อาสาฬหะ เดือน ๘ ทางจนั ทรคติ อาสาฬหบูชา “การบูชาในเดือน ๘“ คอื อวชิ ชา อาสวักขยญาณ ความรูเปนเหตุสิ้น หมายถงึ การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๘ เพอ่ื อาสวะ, ญาณหยั่งรใู นธรรมเปนทีส่ ้นิ ไป ราํ ลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเปนการพิเศษ แหงอาสวะทง้ั หลาย, ความตรสั รู (เปน เนือ่ งในวนั ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงปฐม- ความรูท่ีพระพุทธเจาไดในยามสุดทาย เทศนา คอื ธมั มจกั กัปปวัตนสตู ร ทาํ ให แหง ราตรี วันตรสั ร)ู (ขอ ๓ ในญาณ ๓ เกิดมีปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณ- หรือวิชชา ๓, ขอ ๖ ในอภิญญา ๖, ขอ ฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคํารบพระ ๘ ในวิชชา ๘, ขอ ๑๐ ในทศพลญาณ) รตั นตรัย อาสญั ไมมสี ญั ญา, หมดสัญญา; เปน คาํ อาสาฬหปรุ ณมี วันเพ็ญเดือน ๘, วนั ใชใ นภาษาไทย หมายความวา ความ กลางเดอื น ๘, วันข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๘ ตาย, ตาย อาสาฬหมาส ดู อาสาฬหะ อาสตั ย ไมม สี ตั ย, ไมซ อ่ื ตรง, กลบั กลอก อาหัจจบาท เตียงที่เขาทําเอาเทาเสียบ อาสนั ทิ มานง่ั ส่ีเหล่ียมจตั รุ ัส นง่ั ไดค น เขา ไปในแมแ คร ไมไดต รึงสลกั เดยี ว (ศพั ทเ ดิมเรยี ก อาสนั ทกิ , สว น อาหาร ปจ จัยอันนํามาซ่งึ ผล, เครอ่ื งคา้ํ
อาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข ๕๔๘ อิทธบิ าท จุนชวี ติ , เคร่ืองหลอเลยี้ งชวี ิตมี ๔ คือ กิริยา, ทา นผนู ี้ไดส มาบตั ถิ ึงชัน้ อากิญ- ๑. กวฬงิ การาหาร อาหารคอื คาํ ขา ว ๒. จญั ญายตนฌาน; เรยี กเต็มวา อาฬาร- ผัสสาหาร อาหารคอื ผสั สะ ๓. มโน- ดาบส กาลามโคตร สญั เจตนาหาร อาหารคอื มโนสญั เจตนา อาํ มาตย ดู อมาตย ๔. วิญญาณาหาร อาหารคอื วิญญาณ อิจฉา ความปรารถนา, ความอยากได; อาหารปริเยฏฐิทุกข ทุกขเก่ียวกับการ ไทยมกั ใชในความหมายวารษิ ยา แสวงหาอาหาร, ทุกขในการหากนิ ได อฏิ ฐารมณ “อารมณท น่ี า ปรารถนา” สงิ่ ที่ แก อาชีวทุกข คอื ทกุ ขเ นื่องดว ยการ คนอยากไดอ ยากพบ แสดงในแงก ามคณุ เล้ยี งชีวติ ๕ ไดแ ก รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ที่ อาหารรูป ดทู ี่ รปู ๒๘ นา รกั ใคร นา ชอบใจ แสดงในแงโ ลก- อาหาเรปฏิกูลสัญญา กําหนดหมาย ธรรม ไดแ ก ลาภ ยศ สรรเสรญิ และ ความเปนปฏิกูลในอาหาร, ความสําคญั ความสขุ ; ตรงขา มกบั อนฏิ ฐารมณ หมายในอาหารวาเปนของปฏิกูล อติ ถภี าวะ ความเปน หญงิ , สภาวะทท่ี าํ ให พิจารณาใหเหน็ วา เปน ของนา เกลยี ดโดย ปรากฏลกั ษณะอาการตา งๆ อนั แสดงถงึ อาการตา งๆ เชน ปฏกิ ลู โดยบรโิ ภค, โดย ความเปน เพศหญงิ เปน ภาวรปู อยา งหนงึ่ ; ประเทศทอี่ ยขู องอาหาร, โดยสง่ั สมอยนู าน คกู บั ปรุ สิ ภาวะ; ดู อปุ าทายรปู เปน ตน (ขอ ๓๕ ในกรรมฐาน ๔๐) อิทธาภิสังขาร การปรุงแตงฤทธิ์ขึ้น อาหุดี การเซน สรวง ทนั ใด, การบันดาลดว ยฤทธ์ิ อาหเุ นยฺโย (พระสงฆ) เปน ผคู วรแกของ อิทธิ ความสาํ เร็จ, ความรุงเรืองงอกงาม; คํานบั คือ มคี ณุ ความดีสมควรแกก ารที่ อํานาจที่จะทาํ อะไรไดอ ยา งวิเศษ ประชาชนจะนําของถวายมาแสดงความ อทิ ธิ ๒ ดู ฤทธ์ิ ๒ นับถือเชิดชูบูชา ถึงจะตองเดินทางมา อิทธิบาท คุณเคร่ืองใหถึงความสําเร็จ, แมจ ากทีไ่ กล (ขอ ๕ ในสงั ฆคณุ ๙) คุณเคร่ืองสาํ เร็จสมประสงค, ทางแหง อาฬกะ ชื่อแควนหน่ึง ตั้งอยูท่ีลุมนํ้า ความสาํ เร็จ มี ๔ คอื ๑. ฉันทะ ความ พอใจรักใครส ่งิ น้นั ๒. วิรยิ ะ ความ โคธาวรี ตรงขา มกบั แควนอสั สกะ พยายามทาํ ส่ิงนั้น ๓. จิตตะ ความเอาใจ อาฬารดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติที่ ฝก ใฝใ นสงิ่ นนั้ ๔. วมิ งั สา ความพจิ ารณา พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวย คราวหนึ่ง กอนที่จะทรงบําเพ็ญทุกร- ใครครวญหาเหตุผลในสิ่งน้ัน; จํางายๆ
อทิ ธิบาทภาวนา ๕๔๙ อินทรยี วา มีใจรกั พากเพยี รทํา เอาจิตฝก ใฝ ประมาณ ๑,๐๙๕ ลานคน) ครัง้ โบราณ ใชป ญ ญาสอบสวน; ดู โพธปิ ก ขยิ ธรรม เรยี ก ชมพทู วปี เปน ประเทศทีเ่ กิดพระ อิทธิบาทภาวนา การเจริญอิทธิบาท, พุทธศาสนา, พุทธคยา สถานที่ตรัสรู การฝก ฝนปฏิบัติใหอ ทิ ธบิ าทเกดิ มขี ้ึน ของพระพทุ ธเจา อยหู างจากกรงุ เทพฯ อิทธิปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคือฤทธิ์, ประมาณ ๒,๐๐๐ กโิ ลเมตร; ดูชมพทู วปี แสดงฤทธ์ิไดเ ปน อัศจรรย เชน ลอ งหน อนิ ทปต ถ ช่อื นครหลวงของแควน กรุ ุ ตงั้ ดําดนิ เหาะได เปน ตน (ขอ ๑ ใน อยู ณ บรเิ วณเมืองเดลี นครหลวงของ ปาฏหิ าริย ๓) อินเดยี ปจจุบนั (แควน กรุ อุ ยแู ถบลมุ นาํ้ อิทธวิ ิธา, อิทธิวิธิ แสดงฤทธ์ไิ ดตางๆ ยมนุ าตอนบน ราวมณฑลปญ จาบลงมา) เชน นิรมิตกายคนเดียวเปนหลายคน อนิ ทร ผเู ปนใหญ, จอมเทพ, ช่ือเทวราช หลายคนเปนคนเดียว ลอ งหน ดาํ ดนิ ผูเปนใหญในสวรรคชั้นดาวดึงส และมี เดินน้ํา เปน ตน (ขอ ๑ ในอภิญญา ๖, อาํ นาจบงั คบั บญั ชาเหนอื เทพชนั้ จาตมุ หา- ขอ ๓ ในวชิ ชา ๘) ราชกิ า; เรยี กตามนยิ มในบาลวี า ทา ว อิทัปปจจยตา “ภาวะท่ีมีอันน้ีๆ เปน สกั กะ; ดู ดาวดึงส, วตั รบท ๗, จาตุมหา- ปจ จัย”, ความเปนไปตามความสัมพันธ ราชกิ า แหงเหตปุ จ จัย, กระบวนธรรมแหงเหตุ อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหย่ังรู ปจ จยั , กฎที่วา “เมอ่ื สิ่งนี้มี สิง่ น้ีจึงมี, ความหยอนและยิ่งแหงอินทรียของสัตว เพราะสง่ิ น้เี กิดขนึ้ สิง่ นี้จงึ เกดิ ขน้ึ ; เปน ท้ังหลาย คือรูวา สัตวพวกไหนมี อีกช่ือหนึ่งของหลัก ปฏิจจสมุปบาท อนิ ทรยี (คือศรทั ธาเปนตน) ออน พวก หรอื ปจจยาการ ไหนมีอนิ ทรยี แ กก ลา พวกไหนมจี รติ มี อนิ เดยี ช่ือประเทศ ต้งั อยูทางทศิ ตะวัน อธั ยาศัย เปนตน อยางไรๆ พวกไหน ตกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย ถดั จาก สอนยาก พวกไหนสอนงาย ดังนี้ ประเทศพมาออกไป มีเมืองหลวงชื่อ เปนตน (ขอ ๖ ในทศพลญาณ) นวิ เดลี (New Delhi) อยหู า งจากกรงุ เทพ อินทรีย ความเปนใหญ, สภาพทีเ่ ปน ใหญ ประมาณ ๓,๑๐๐ กิโลเมตร อนิ เดยี มี ในกจิ ของตน, ธรรมที่เปน เจา การในการ เนื้อท่ีท้ังหมด ๓,๒๘๗,๕๙๐ ตาราง ทําหนา ที่อยางหน่งึ ๆ เชน ตาเปน ใหญ กโิ ลเมตร มพี ลเมืองใน พ.ศ. ๒๕๒๔ หรือเปนเจาการในการเห็น หูเปนใหญ ประมาณ ๖๓๘ ลานคน (พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการไดยิน วิริยะเปนเจาการในการ
อนิ ทรีย ๕๕๐ อนิ ทรีย ครอบงําเสียซง่ึ ความเกยี จคราน เปนตน ๓. ฆานินทรีย (อินทรีย คือ ฆานปสาท) อนิ ทรีย ๕ ธรรมทเ่ี ปนใหญในกิจ ๔. ชิวหินทรีย (อินทรีย คือ ชิวหาปสาท) ของตน โดยเปนเจา การในการทําหนาที่ ๕. กายินทรีย (อนิ ทรีย คอื กายปสาท) ๖. มนินทรยี (อนิ ทรยี คือ ใจ) หมวด๒: และเปนหัวหนานําสัมปยุตตธรรมใน ๗. อิตถนิ ทรยี (อินทรยี คือ อิตถภี าวะ) การครอบงํากําจัดธรรมที่เปนปฏิปกษ ๘. ปรุ สิ นิ ทรยี (อนิ ทรยี คอื ปุริสภาวะ) มี ๕ อยาง ไดแ ก ศรทั ธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญ ญา (ขอธรรมตรงกบั พละ ๙. ชีวิตินทรยี (อินทรยี คือ ชีวิต) ๕), ธรรม ๕ อยา งชุดเดียวกันนี้ เรยี ก หมวด ๓: ๑๐. สขุ นิ ทรีย (อนิ ทรีย คอื ช่ือตา งกนั ไป ๒ อยาง ตามหนาที่ทีท่ ํา สุขเวทนา) ๑๑. ทุกขินทรยี (อินทรีย คอื คือ เรียกชือ่ วา พละ โดยความหมายวา เปน กาํ ลงั ใหเ กดิ ความเขม แขง็ มน่ั คง ซึ่ง ทุกขเวทนา) ๑๒. โสมนัสสินทรีย ธรรมท่ีตรงขามแตละอยางจะเขาครอบ (อินทรยี คอื โสมนัสสเวทนา) ๑๓. งาํ ไมได เรยี กช่อื วา อินทรยี โดยความ หมายวาเปนเจาการในการครอบงําเสีย โทมนสั สินทรีย (อินทรยี คอื โทมนสั ส- ซ่ึงธรรมทต่ี รงขามแตล ะอยา ง คือความ เวทนา) ๑๔. อุเปกขนิ ทรีย (อินทรยี คอื อเุ บกขาเวทนา) หมวด๔: ๑๕.สทั ธนิ ทรยี ไรศรัทธา ความเกียจคราน ความ (อนิ ทรยี คอื ศรทั ธา) ๑๖. วิริยินทรยี ประมาท ความฟุงซาน และความหลง (อนิ ทรยี คือ วริ ยิ ะ) ๑๗. สตนิ ทรีย งมงาย ตามลําดับ; ดู โพธปิ ก ขยิ ธรรม (อนิ ทรยี คอื สติ) ๑๘. สมาธินทรีย อนิ ทรยี ๖ สภาวะท่ีเปนใหญหรอื (อินทรยี คอื สมาธิ) ๑๙. ปญ ญนิ ทรยี เปนเจาการในการรับรูดา นนนั้ ๆ ไดแก (อนิ ทรีย คอื ปญญา) หมวด ๕: ๒๐. อายตนะภายใน ๖ คอื จักขุ-ตา โสตะ-หู อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย (อินทรีย ฆานะ-จมกู ชิวหา-ลิน้ กาย-กาย มโน-ใจ แหงผูปฏิบัติดวยมุงวาเราจักรูสัจจธรรม อินทรยี ๒๒ สภาวะทเี่ ปน ใหญใน ที่ยงั มิไดร ู ไดแ ก โสตาปตติมคั คญาณ) การทาํ กจิ ของตน คือ ทําใหธรรมอื่นๆ ๒๑. อัญญินทรยี (อินทรยี คือ อญั ญา ที่เกย่ี วของ เปน ไปตามตน ในกิจนนั้ ๆ ในขณะท่เี ปน ไปอยูน ้ัน มีดงั น้ี หมวด ๑: หรือปญญาอันรูท ั่วถงึ ไดแก ญาณ ๖ ๑. จกั ขุนทรยี (อนิ ทรยี คอื จักขุปสาท) ในทามกลาง คอื โสตาปต ติผลญาณ ถงึ ๒. โสตนิ ทรยี (อินทรยี คอื โสตปสาท) อรหตั ตมคั คญาณ) ๒๒. อญั ญาตาวนิ ทรยี (อินทรียแ หงทา นผรู ทู วั่ ถงึ แลว กลา วคือ ปญ ญาของพระอรหนั ต ไดแ ก อรหัตต-
อินทรียรปู ๕๕๑ อุกกลชนบท ผลญาณ อิสรภาพ ความเปนอิสระ อนิ ทรียรูป ดูที่ รปู ๒๘ อสิ ราธบิ ดี ผูเ ปนเจาใหญเ หนือกวาผเู ปน อินทรียสังวร สํารวมอินทรีย ๖ คือ ตา ใหญท ัว่ ไป, ราชา, พระเจา แผนดิน หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไมใ หยินดียนิ ราย อิสรยิ ยศ ยศคอื ความเปน ใหญ, ความ ในเวลาเหน็ รูป ฟงเสียง ดมกลิ่น ลิม้ รส เปน ใหญโ ดยตาํ แหนง ฐานนั ดร เปน ตน ; ถกู ตอ งโผฏฐพั พะ รธู รรมารมณดวยใจ, ดู ยศ ระวังไมใหกิเลสครอบงําใจในเวลารับรู อสิ สา ความริษยา, ความรสู กึ ไมพอใจ อารมณท างอินทรยี ท ง้ั ๖ (ขอ ๑ ใน เมื่อเห็นเขาไดดี, เห็นเขาไดดีทนอยไู ม อปณ ณกปฏปิ ทา ๓, ขอ ๒ ในปารสิ ทุ ธ-ิ ได, ไมอ ยากใหใครดีกวา ตน, ความคดิ ศลี ๔, ขอ ๒ ในองคแ หง ภิกษใุ หม ๕), ตดั รอนผูทด่ี กี วา ตน; ความหึงหวง (ขอ ทเี่ ปน ขอ ๒ ในปาริสุทธศิ ีล ๔ นนั้ เรยี ก ๓ ในมละ ๙, ขอ ๘ ในสังโยชน ๑๐ เตม็ วา อนิ ทรยี สงั วรศลี แปลวา ศีลคอื ตามนัยพระอภิธรรม, ขอ ๗ ใน ความสาํ รวมอินทรีย อุปกิเลส ๑๖) อริ ยิ าบถ “ทางแหง การเคลื่อนไหว”, ทา อิส,ิ อิสี ผูแสวงหาคุณความดี, ผูถือบวช, ทางทร่ี างกายจะเปนไป, ทา ท่เี คลอื่ นไหว ฤษี ตง้ั วางรา งกายอยา งใดอยา งหนง่ึ , อริ ยิ าบถ อสิ ิคิลิบรรพต ภูเขาชื่ออิสคิ ลิ ิ เปนภูเขา หลกั มี ๔ คอื ยนื เดนิ นงั่ นอน, อริ ยิ าบถ ลูกหนึ่งในหาลกู ทเี่ รียกเบญจคีรี ลอม ยอย เรียกวา จุณณิยอิริยาบถ หรือ รอบพระนครราชคฤห จุณณิกอริ ยิ าบถ ไดแ ก ทาที่แปรเปล่ียน อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ปา เปน ทใี่ หอ ภยั แก ยกั ยา ยไประหวา งอริ ยิ าบถทงั้ ๔ นนั้ เนอ้ื ชอ่ื อสิ ปิ ตนะ อยใู กลเ มอื งพาราณสี อริ พุ เพท คําบาลเี รียกคัมภรี หนง่ึ ในไตร- เปนสถานที่ท่ีพระพุทธเจาทรงแสดง เพท ตรงกับที่เรียกอยางสันสกฤตวา ปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ฤคเวท; ดู ไตรเพท โปรดพระปญ จวคั คยี บดั นเี้ รยี ก สารนาถ อิศวร พระเปนเจาของศาสนาพราหมณ อุกกลชนบท ชอ่ื ชนบทที่พอคา ๒ คน ตามปกติหมายถึงพระศิวะ ซ่ึงเปน เทพ- คอื ตปุสสะ กบั ภัลลกิ ะ เดนิ ทางจากมา เจาแหง การทาํ ลาย แลว ไดพ บพระพทุ ธเจา ขณะทปี่ ระทบั อยู อสิ ระ ผูเ ปนใหญ, เปนใหญ, เปน ใหญใ น ภายใตตนราชายตนะ ภายหลังตรัสรู ตวั เอง, เปนไทแกต ัว ไมข นึ้ แกใ คร ใหมๆ
อกุ โกฏนะ ๕๕๒ อุตตรทสิ อกุ โกฏนะ การรอื้ ฟน , การฟน เรอื่ ง, ฟน คดี เห็นวาคนและสัตวจุติจากอัตภาพน้ีแลว อุกขฺ ติ ฺตโก “ผอู นั สงฆยกแลว” หมายถงึ ขาดสญู ; ตรงขามกับ สสั สตทิฏฐิ (ขอ ๒ ภิกษุผูถูกสงฆทําอุกเขปนียกรรมตัด ในทฏิ ฐิ ๒) สิทธิแหงภิกษุช่ัวคราว (จนกวาสงฆจะ อุชเชนี ชื่อนครหลวงของแควนอวันตี บดั นเ้ี รยี กวา อุชเชน (Ujjain); ดู อวนั ตี ยอมระงับกรรมน้ัน) อกุ เขปนยี กรรม กรรมอนั สงฆพงึ ทาํ แก อุชปุ ฏิปนฺโน (พระสงฆ) เปน ผูปฏิบัติ ภิกษุอนั จะพงึ ยกเสยี หมายถงึ วิธกี ารลง ตรง คือ ไมลวงโลก ไมม มี ายาสาไถย โทษท่ีสงฆกระทําแกภิกษุผูตองอาบัติ ไมอําพราง หรือดําเนินทางตรง คือ แลว ไมย อมรับวาเปน อาบัตหิ รอื ไมย อม มัชฌิมาปฏิปทา (ขอ ๒ ในสงั ฆคุณ ๙) ทําคืนอาบัติ หรือมีความเห็นช่ัวราย อุฏฐานสัญญามนสิการ ทําในพระทัย (ทิฏฐิบาป) ไมยอมสละซ่ึงเปนทางเสยี ถงึ ความสาํ คญั ในอันท่จี ะลุกขึ้น, ตง้ั ใจ สีลสามัญญตา หรือทิฏฐิสามัญญตา วา จะลุกขน้ึ อีก โดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ อุฏฐานสัมปทา ถึงพรอมดวยความ คอื ไมใหฉ ันรว ม ไมใ หอ ยรู วม ไมใหม ี หม่ัน คือ ขยันหม่ันเพียรในการ สิทธิเสมอกับภิกษุท้ังหลาย พูดงายๆ ประกอบอาชีพท่สี ุจริต ในการศึกษาเลา วา ถกู ตัดสิทธิแหงภิกษุชั่งคราว เรียน และในการทําธุระหนาที่การงาน อุคคหนมิ ิต นิมติ ตดิ ตา หมายถงึ นมิ ติ รูจักใชปญญาสอดสอง หาวิธีจัดการ (อารมณกรรมฐาน) ที่นึกกําหนดจน ดําเนนิ การใหไ ดผลดี (ขอ ๑ ในทิฏฐ- แมนใจ หรือที่เพง ดูจนติดตาติดใจ แม ธมั มิกตั ถสังวัตตนกิ ธรรม ๔) หลับตากเ็ ห็น (ขอ ๒ ในนิมติ ๓) อุณหะ รอน, อุน อุคฆฏิตัญู ผูอาจรูไดฉับพลันแตพอ อุณหสิ กรอบหนา , มงกุฎ ทานยกหัวขอข้ึนแสดง คือมีปญญา อดุ รทวาร ประตูดา นเหนอื เฉียบแหลม พดู ใหฟ ง เพยี งหวั ขอ กเ็ ขา อดุ รทศิ ทศิ เบอื้ งซา ย, ทศิ เหนอื ; ดูอตุ ตรทสิ อุตกฤษฎ อยา งสูง, สูงสุด (พจนานุกรม ใจ (ขอ ๑ ในบุคคล ๔) อุจจารธาตุ ในคาํ วา “โรคอุจจารธาตุ” เขียน อกุ ฤษฏ) หมายถงึ โรคทอ งเสยี ทองเดิน หรอื ทอง อุตตระ ดู โสณะ รว ง อุตตรทสิ ”ทศิ เบอ้ื งซา ย” หมายถงึ มิตร; อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเหน็ วาขาดสญู เชน ดู ทศิ หก
อตุ ตรนิกาย ๕๕๓ อุทกุกเขป อตุ ตรนิกาย ดู อตุ รนกิ าย มหายาน ใชภาษาสันสกฤต อุตตรนิคม ช่ือนคิ มหนึง่ ในโกลิยชนบท อุตราบถ “หนเหนอื ”, ดนิ แดนแถบเหนือ อุตตรา อบุ าสกิ าสาํ คัญ มชี ื่อซ้าํ กนั ๒ ทา น ของชมพูทวปี ; คาํ อธิบาย ดู ทักขณิ าบถ เรียกแยกกันดวยคําเติมขางหนา หรือ อุตราวัฏ ดู อตุ ตราวฏั ฏ เตมิ ขางหลัง ไดแก ขุชชุตตรา (อุตตรา อตุ สาหะ ความบากบ่ัน, ความพยายาม, ผคู อ ม) กบั อตุ ตรานันทมารดา (อตุ ตรา ความขยัน, ความอดทน มารดาของนันทะ); ดู ขชุ ชุตตรา, นันท- อุตุ 1. ฤดู, ดินฟา อากาศ, สภาพแวด มารดา 2. ลอ ม, เตโชธาตุ, อุณหภูมิ, ภาวะรอน อตุ ตรานนั ทมารดา ดู นนั ทมารดา 2. เยน็ , ไออนุ 2. ระด,ู อตุ ตราวฏั ฏ เวยี นซาย, เวียนรอบโดย อุตกุ าล ช่วั ฤดูกาล, ชว่ั คราว หนั ขา งซา ย คือ เวียนเลีย้ วทางซา ยยอน อุตุชรูป ดูท่ี รูป ๒๘ เขม็ นาฬกิ า (พจนานกุ รมเขยี น อตุ ราวฏั ); อุตปุ รณิ ามชา อาพาธา ความเจ็บไขเ กดิ ตรงขา มกบั ทกั ขณิ าวฏั ฏ แตฤดแู ปรปรวน, เจ็บปว ยเพราะดนิ ฟา อตุ ตราสงค ผาหม, เปน ผาผืนหนงึ่ ใน อากาศผันแปร; ดู อาพาธ จํานวน ๓ ผืน ของไตรจีวร ไดแ ก ผนื ท่ี อทุ ก น้าํ เรียกกันสามัญวา จีวร (พจนานุกรม อทุ กสาฏิกา ผาอาบ, เปน จีวรเปน อยาง เขยี น อตุ ราสงค) หนึ่งในจวี ร ๕ อยา งของภิกษุณี; ดู สงั - อุตตริมนุสสธรรม ธรรมยวดยิ่งของ กัจฉกิ ะ ดวย มนุษย, ธรรมของมนุษยผูยอดย่ิง, อุทกกุ เขป เขตสามคั คีชวั่ วกั น้ําสาดแหง ธรรมลํ้ามนุษย ไดแก ฌาน วิโมกข คนมอี ายแุ ละกาํ ลงั ปานกลาง หมายถงึ เขต สมาบตั ิ มรรคผล, บางทเี รยี กใหงา ยวา ชุมนุมทาํ สังฆกรรมทีก่ าํ หนดลงในแมน้ํา ธรรมวิเศษ บา ง คณุ วเิ ศษ หรือ คุณ หรอื ทะเล ชาตสระ (ท่ีขังน้ําเกิดเองตาม พิเศษ บาง (พจนานกุ รมเขียน อตุ ริ- ธรรมชาติ เชน บงึ หนอง ทะเลสาบ) มนุสสธรรม) โดยพระภิกษุประชุมกันบนเรือ หรือ อตุ รนกิ าย “นิกายฝา ยเหนือ” หมายถึง บนแพ ซงึ่ ผูกกับหลักในนา้ํ หรอื ทอด พระพุทธศาสนาอยางที่นับถือกันแพร สมออยูหางจากตลิ่งกวาชั่ววิดน้ําสาด หลายในประเทศฝายเหนือ มี จีน (หา มผกู โยงเรอื หรอื แพนน้ั กบั หลกั หรอื เกาหลี ญป่ี นุ เปน ตน ที่เรยี กตวั เองวา ตน ไมริมตลงิ่ และหามทาํ ในเรอื หรอื แพ
อทุ ทกดาบส ๕๕๔ อุทยพั พยญาณ ท่กี ําลงั ลอยหรอื เดนิ ); อทุ กุกเขปนี้ จัด รบั คํายกยอ งชมเชยจากพระพุทธเจา เปนอพทั ธสมี าอยา งหนึง่ อทุ เทสกิ เจดยี เจดยี ส รา งอทุ ศิ พระพทุ ธ- อุททกดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติที่ เจา, เจดียท่ีสรางเปนเคร่ืองเตือนจิตต พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวย ใหระลึกถึงพระพุทธเจา ไดแก พระ คราวหน่ึง กอนที่จะทรงบําเพ็ญทุกร- พทุ ธรปู (ขอ ๔ ในเจดยี ๔) กิริยา, ทานผูน้ีไดสมาบัติถึงข้ันเนว- อุทธรณ การยกขึน้ , การรือ้ ฟน, การขอ สัญญานาสัญญายตนะ; เรียกเต็มวา รอ งใหร ือ้ ฟน ขึน้ , ขอใหพิจารณาใหม อทุ ทกดาบส รามบุตร อทุ ธโลมิ เครอ่ื งลาดท่มี ีขนตง้ั อุทเทศาจารย อาจารยผูบอกธรรม, อทุ ธงั โสโตอกนิฏฐคามี พระอนาคามีผู อาจารยส อนธรรม (ขอ ๔ ในอาจารย จะปรนิ พิ พาน ตอ เมอ่ื เลื่อนข้นึ ไปเกิดใน ๔); คกู บั ธรรมันเตวาสิก ชน้ั สงู ข้นึ ไปจนถงึ ชัน้ อกนฏิ ฐะ (ขอ ๕ อุทเทส ดู อุเทศ ในอนาคามี ๕) อุทเทสภัต อาหารอุทิศสงฆหรือภัตท่ี อุทธจั จะ ความฟุงซา น, จติ ตสาย, ใจ ทายกถวายตามทส่ี งฆแ สดงให หมายถงึ วอกแวก (พจนานกุ รมเขยี น อทุ ธจั ); ของท่ีเขาถวายสงฆแตไมพอแจกทั่วกัน (ขอ ๙ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระ ทานใหแ จกไปตามลําดับ เรม่ิ ตง้ั แตพระ อภธิ รรม); ดู เยวาปนกธรรม สงั ฆเถระลงมา ของหมดแคลําดับไหน อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซานและ กาํ หนดไว เม่อื ของมมี าอีกจงึ แจกตอไป รําคาญ, ความฟุงซานและความเดือด ตง้ั แตลําดับทีค่ า งอยู อยางนีเ้ รื่อยไปจน รอ นใจ (ขอ ๔ ในนิวรณ ๕) ทั่วกนั แลวจึงเวยี นขนึ้ ตนใหมอีก; เทยี บ อุทธมั ภาคิยสังโยชน สงั โยชนเ บื้องสงู สงั ฆภตั ไดแก กิเลสผูกใจสัตวอยางละเอียดมี อทุ เทสวิภงั คสูตร ช่ือสตู รท่ี ๓๘ แหง ๕ คอื รปู ราคะ อรปู ราคะ มานะ อทุ ธจั จะ มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก พระสตุ ตนั ต- อวชิ ชา พระอรหนั ตจ งึ ละได; ดู สงั โยชน ปฎก พระพุทธเจาทรงแสดงเร่ือง อทุ ยมาณพ ศิษยคนหนง่ึ ในจํานวน ๑๖ วญิ ญาณไวโดยยอ ภกิ ษุทงั้ หลายอยาก คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถาม ฟง โดยพสิ ดาร จงึ ขอใหพ ระมหากจั จายนะ ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย อธบิ ายความ พระมหากจั จายนะแสดง อุทยัพพยญาณ ปรีชาหย่ังรูความเกิด ไดเนอื้ ความถกู ตองชัดเจนดมี าก จนได และความดบั แหง สงั ขาร; ดู อทุ ยพั พยา-
อุทยัพพยานุปสสนาญาณ ๕๕๕ อเุ ทศ นปุ ส สนาญาณ หมญู าต”ิ , “พระเถระเดนิ ทางไกลจากเมอื ง อุทยพั พยานุปส สนาญาณ ปรชี าคํานงึ สาวตั ถอี ทุ ศิ หมบู า นนน้ั ”, “นายวาณชิ ลง เห็นความเกิดและความดับแหงสังขาร, เรือออกมหาสมุทรอุทิศสุวรรณภูมิ”); ญาณที่มองเหน็ นามรปู เกิดดับ (ขอ ๑ ในภาษาไทย มักใชในความหมายท่ี ในวิปส สนาญาณ ๙) สัมพันธกับประเพณีการทําบุญเพ่ือผู อุทยาน “สถานท่ซี ง่ึ ชนทงั้ หลายแหงนชม ลวงลบั หมายถงึ ตัง้ ใจทาํ การกศุ ลนัน้ [ดอกไม และผลไม เปน ตน ]เดนิ ไป”, สวน โดยมุงใหเกิดผลแกผ ูตายที่ตนนกึ ถึง หลวงที่เปนสาธารณะ, สวนสาธารณะท่ี อุทิสสมังสะ เน้ือสัตวท่ีเขาฆาเจาะจง ทางการบา นเมอื งจดั ดแู ล (บาล:ี อยุ ยฺ าน, เพ่อื ถวายภิกษุ ทานมิใหภิกษุฉนั , หาก สนั สกฤต: อุทยฺ าน) ภกิ ษุฉนั ท้ังไดเ หน็ ไดยนิ หรอื สงสัยวา อุทร ทอ ง เขาฆาเพื่อถวายตน ตองอาบัติทุกกฏ; อทุ รยิ ะ อาหารใหม, อาหารที่รับประทาน ตรงขามกบั ปวตั ตมงั สะ เขา ไปแลวอยูในทอ ง ในลาํ ไส กําลงั ผาน อเุ ทน พระเจา แผนดนิ แควนวังสะ ครงั้ กระบวนการยอย แตยังไมกลายเปน พทุ ธกาล ครองราชสมบตั อิ ยทู ก่ี รงุ โกสมั พี อุจจาระ อเุ ทนเจดยี เจดยี สถานแหง หน่ึง อยูทาง อทุ ัย การขน้ึ , การโผลข น้ึ , พระอาทิตย ทิศตะวันออกของเมืองเวสาลี นคร แรกข้นึ หลวงของแควนวัชชี เปนสถานที่แหง อทุ าน วาจาท่เี ปลง ขน้ึ โดยความเบกิ บาน หน่ึงท่ีพระพุทธเจาเคยทรงทํานิมิตต ใจ มกั เปนขอความยาว ๑ หรือ ๒ คาถา; โอภาสแกพ ระอานนท ในภาษาไทย หมายถงึ เสยี งหรอื คาํ ทเี่ ปลง อเุ ทศ การยกขึน้ แสดง, การยกขน้ึ ชีแ้ จง, ออกมาเวลาดใี จ แปลกใจ หรอื ตกใจ ขอทย่ี กขนึ้ แสดง, หวั ขอ , การเรียนการ เปน ตน สอน, การสวดปาฏโิ มกข, ปาฏโิ มกขท ยี่ ก อุทาหรณ ตัวอยา ง, การอา งองิ , การยก ขน้ึ สวด, หมวดหนง่ึ ๆ แหง ปาฏโิ มกขท จ่ี ดั ขน้ึ ใหเ ห็น ไวส าํ หรบั สวด, ในคาํ วา “สงฆม อี เุ ทศเดยี ว อุทศิ เฉพาะ, เจาะจง, เพง เลง็ ถงึ , ทําเพอ่ื , กนั ” หมายความวา รว มฟง สวดปาฏโิ มกข หมายใจตอ , มงุ ใหแ ก, มุงไปยัง, มงุ ไปท่ี ดว ยกนั ; อเุ ทศในปาฏโิ มกขจ ดั โดยยอ มี (ดงั ตวั อยา งในประโยคตา งๆ วา “เขาออก ๕ คอื ๑. นทิ านทุ เทส ๒. ปาราชกิ ทุ เทส บวชอทุ ศิ พระพทุ ธเจา ”, “เธอใหท านอุทศิ ๓. สงั ฆาทเิ สสทุ เทส ๔. อนยิ ตทุ เทส ๕.
อุบล ๕๕๖ อุบาสก วติ ถารทุ เทส, อทุ เทสท่ี ๕ นนั้ รวมเอา กลวิธ,ี ไทยใชหมายถึง เลห เ หล่ียมดว ย นสิ สคั คยิ ทุ เทส ปาจติ ตยิ ทุ เทส ปาฏเิ ทส- อบุ าลี พระมหาสาวกองคห นึง่ เดิมเปน นยี ทุ เทส เสขยิ ทุ เทส และสมถทุ เทส เขา กัลบกของเจาศากยะ ไดออกบวชที่ ไวด ว ยกนั ถา แยกออกนบั โดยพสิ ดารก็ อนุปยอัมพวัน พรอมกับพระอานนท จะเปน ๙ อทุ เทส การรจู กั อเุ ทศหรอื และพระอนรุ ทุ ธะ เปน ตน มอี ปุ ชฌาย อุทเทสเหลาน้ีเปนประโยชนสําหรับการ ชื่อพระกัปปตก ครั้นบวชแลว เรียน ตัดตอนสวดปาฏิโมกขยอไดในคราวจาํ กรรมฐาน จะไปอยูปา พระพุทธเจา ไม เปน ; ดู ปาฏโิ มกขย อ ทรงอนุญาต ทานเลาเรียนและเจริญ อบุ ล บัว, ดอกบัว วปิ ส สนาไมช าก็สาํ เร็จพระอรหัต เปน ผู อุบลวรรณา พระมหาสาวิกาองคหน่ึง มีความรูความเขาใจเชี่ยวชาญในพระ เปน ธดิ าเศรษฐใี นพระนครสาวตั ถี ไดช อ่ื วินยั มาก จนพระพทุ ธเจาทรงยกยอ งวา วา อบุ ลวรรณา เพราะมผี วิ พรรณดงั ดอก เปนเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผูทรงพระ นิลุบล (อบุ ลเขียว) มคี วามงามมาก จงึ วินัย (วินัยธร) พระอุบาลีเปนกําลัง เปนที่ปรารถนาของพระราชาในชมพู- สําคัญในคราวทําปฐมสังคายนา คือ ทวีปหลายพระองค ตา งสง คนมาตดิ ตอ เปนผูวสิ ัชนาพระวินยั ทานเศรษฐเี กดิ ความลําบากใจ จึงคดิ จะ อุบาสก ชายผนู ง่ั ใกลพระรัตนตรัย, คน ใหธ ิดาบวชพอเปนอบุ าย แตนางเองพอ ใกลชิดพระศาสนา, คฤหัสถผูชายท่ี ใจในบรรพชาอยูแลวจึงบวชเปนภิกษุณี แสดงตนเปนคนนับถือพระพุทธศาสนา ดวยศรัทธาอยางจริงจัง คราวหน่ึงอยู โดยประกาศถงึ พระรตั นตรยั เปน สรณะ เวรจดุ ประทปี ในพระอโุ บสถ นางเพงดู ปฐมอบุ าสกผูถึงสรณะ ๒ ไดแก เปลวประทีปถือเอาเปนนิมิตเจริญฌาน ตปุสสะและภัลลิกะ ปฐมอุบาสกผูถึง มีเตโชกสิณเปนอารมณไดบรรลุพระ ไตรสรณะ คือบดิ าของพระยสะ อรหตั ไดรับยกยอ งวาเปนเอตทัคคะใน อุบาสกผูเปนอริยสาวก ไดรับยก ทางแสดงฤทธิ์ไดตางๆ และเปนอัคร- ยอ งเปนเอตทคั คะ รวม ๑๐ ตาํ แหนง สาวิกาฝายซา ย เชน ตปสุ สะและภัลลิกะ สองวาณิช เปน อุบัติ เกิดข้นึ , กาํ เนิด, เหตุใหเ กดิ เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผูถงึ อบุ าทว ดู อปุ ทวะ สรณะเปนปฐม สุทัตตะอนาถปณฑิก- อบุ าย วธิ สี าํ หรบั ประกอบ, หนทาง, วธิ กี าร, คหบดี เปน เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสก
อบุ าสกธรรม ๕๕๗ อุโบสถ สาวกผูเ ปน ทายก เอยี งดว ยชอบหรอื ชงั , ความวางใจเฉยได อุบาสกท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยอง ไมยินดียินราย เมอ่ื ใชปญ ญาพิจารณา วา เปน “ตลุ า” คือเปนตราชู หรือเปน เห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแกเหตุ แบบอยางสําหรับอบุ าสกทัง้ หลาย เปน และรวู าพึงปฏิบัติตอ ไปตามธรรม หรอื อคั รอบุ าสก ๒ ทาน ไดแก จิตต- ตามควรแกเหตุน้ัน, ความรูจักวางใจ คฤหบดี และเจา ชายหตั ถกะอาฬวกะ; ดู เฉยดู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได ตลุ า, เอตทคั คะ หรือในเมื่อเขาควรตองไดรับผลอันสม อบุ าสกธรรม ดู สมบัติของอบุ าสก ควรแกความรับผิดชอบของเขาเอง, อุบาสิกา หญิงผูน่ังใกลพระรัตนตรัย, ความวางทีเฉยคอยดูอยูในเมื่อคนนั้นๆ คนใกลชิดพระศาสนาท่ีเปนหญิง, สิ่งน้ันๆ ดํารงอยหู รอื ดําเนนิ ไปตามควร คฤหัสถผูหญิงที่แสดงตนเปนคนนับถือ ของเขาตามควรของมนั ไมเขา ขางไมต ก พระพุทธศาสนา โดยประกาศถึงพระ เปน ฝกฝาย ไมส อดแส ไมจ ูจี้สาระแน รตั นตรยั เปน สรณะ ไมกาวกา ยแทรกแซง (ขอ ๔ ในพรหม- ปฐมอบุ าสิกา ไดแก มารดา (นาง วหิ าร ๔, ขอ ๗ ในโพชฌงค ๗, ขอ สุชาดา) และภรรยาเกาของพระยสะ ๑๐ ในบารมี ๑๐, ขอ ๙ ในวิปส สน-ู อุบาสกิ าผูเปนอรยิ สาวกิ า ไดรับยก ปกเิ ลส ๑๐) 2. ความรูสกึ เฉยๆ ไมส ุข ยองเปนเอตทัคคะ รวม ๑๐ ตําแหนง ไมทุกข เรียกเต็มวา อเุ บกขาเวทนา (= เชน นางสุชาดา เปน เอตทคั คะในบรรดา อทุกขมสขุ ); (ขอ ๓ ในเวทนา ๓) อุบาสิกาสาวิกาผูถ ึงสรณะเปนปฐม นาง อโุ บสถ 1. การสวดปาฏโิ มกขข องพระ วิสาขา เปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสิกา สงฆทุกก่ึงเดือน เปนเครื่องซักซอม สาวกิ าผูเปนทายิกา ตรวจสอบความบริสุทธิ์ทางวินัยของ อุบาสิกาท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยอง ภิกษุท้ังหลาย และท้ังเปนเคร่ืองแสดง วาเปน “ตลุ า” คอื เปนตราชู หรือเปน ความพรอ มเพรยี งของสงฆด ว ย, อโุ บสถ แบบอยางสําหรบั อบุ าสิกาท้งั หลาย เปน เปนสังฆกรรมที่ตองทําเปนประจํา อัครอุบาสิกา ๒ ทาน ไดแ ก ขุชชุตตรา สมาํ่ เสมอและมกี าํ หนดเวลาทแ่ี นน อน มี และเวฬุกัณฏกีนันทมารดา; ดู ตุลา, ชอื่ เรยี กยอ ยออกไปหลายอยา ง การทํา เอตทัคคะ อุโบสถจะมีการสวดปาฏิโมกขไดตอเม่ือ อุเบกขา 1. ความวางใจเปนกลาง ไมเอน มีภกิ ษุครบองคสงฆจ ตุวรรค คอื ๔ รปู
อโุ บสถ ๕๕๘ อโุ บสถ ขึ้นไป ถา สงฆค รบองคกําหนดเชนน้ีทํา น้ี เรียกวา ปุคคลอุโบสถ หรือ อโุ บสถ เรียกวา สังฆอุโบสถ (มีราย อธษิ ฐานอุโบสถ; อโุ บสถทีท่ าํ ในวันแรม ละเอียดวิธีปฏิบัติตามพุทธบัญญัติใน ๑๔ คา่ํ เรยี กวา จาตทุ สกิ - ทาํ ในวนั ข้นึ หรือแรม ๑๕ คาํ่ เรยี กวา ปณณรสกิ - อุโปสถขันธกะ, วินย.๔/๑๔๗/๒๐๑); ทาํ ในวนั สามัคคี เรยี กวาสามัคคอี ุโบสถ 2. อุโบสถ คือ การอยูจ ํารักษาองค ๘ ท่ี ในกรณที ีม่ ภี ิกษุอยใู นวัดเพยี ง ๒ หรือ โดยทั่วไปเรียกกันวา ศลี ๘ ของอุบาสก อุบาสิกา นั้น จําแนกไดเปน ๓ ประเภท ๓ รปู เปน เพยี งคณะ ทานใหบ อกความ คือ ๑. ปกติอุโบสถ อุโบสถท่ีรกั ษาตาม ปกติช่ัววนั หน่งึ กบั คนื หน่งึ ปจ จบุ ันนยิ ม บริสุทธ์ิแกกันและกันแทนการสวดปาฏิ- โมกข เรยี กอโุ บสถนว้ี า คณอโุ บสถ หรอื รกั ษากนั เฉพาะในวันขึ้นและแรม ๘ คํ่า ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ กลา วคอื ถา มี ๓ รปู พึงใหรูปท่ีสามารถต้ังญัตตวิ า “สุณนตฺ ุ วนั จันทรเพญ็ คอื ขน้ึ ๑๕ ค่าํ และวัน เม อายสฺมนฺตา, อชฺชโุ ปสโถ ปณฺณรโส, จันทรด ับ คือ แรม ๑๕ คํา่ หรือ ๑๔ ยทายสมฺ นฺตาน ปตฺตกลฺล, มย อฺ- ค่ํา (ปกติอโุ บสถอยา งเตม็ มี ๘ วนั คอื มฺํ ปาริสุทฺธิอุโปสถ กเรยฺยาม.” วัน ๕ ค่าํ ๘ คาํ่ ๑๔ คํ่า และ ๑๕ คํ่า (ปณฺณรโส คือ ๑๕ คํา่ ถา ๑๔ ค่าํ ของทุกปกษ ถาเดือนขาดรักษาในวัน แรม ๑๓ คา่ํ เพมิ่ ดว ย) ๒. ปฏชิ าคร- เปลย่ี นเปน จาตุททฺ โส) จากนัน้ ทง้ั สาม อุโบสถ อุโบสถของผูตื่นอยู (คือผู กระตือรือรนขวนขวายในกุศล ไมหลับ รูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตนไปตาม ลาํ ดบั พรรษา (พระเถระวา “ปรสิ ทุ โฺ ธ อห ใหลดว ยความประมาท) ไดแ ก อุโบสถ อาวโุ ส, ปรสิ ทุ โฺ ธติ ม ธาเรถ” วา ๓ ครงั้ ; รปู อนื่ เปล่ียน อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต), ถา มี ทร่ี กั ษาครั้งหน่งึ ๆ ถงึ ๓ วัน คือ รักษา ๒ รูป ไมต อ งตัง้ ญัตติ เพียงบอกความ ในวันอุโบสถตามปกติ พรอ มทง้ั วันกอ น บริสุทธิ์ของตนแกกัน (พระเถระวา และวนั หลงั ของวนั นนั้ ซง่ึ เรยี กวา วนั รบั “ปริสุทฺโธ อห อาวุโส, ปริสุทฺโธติ ม และวันสงดว ย เชน อโุ บสถท่ีรกั ษาใน ธาเรห”ิ วา ๓ คร้งั ; รูปทอ่ี อนพรรษา วัน ๕ คํ่า มวี ัน ๗ คาํ่ เปน วันรบั วัน ๙ เปลี่ยน อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต และเปลยี่ น ธาเรหิ เปน ธาเรถ); ถา มีภกิ ษุอยูในวดั ค่าํ เปนวันสง (เดอื นหนงึ่ ๆ จะมวี ันรับ รปู เดียว ทานใหท ําเพยี งอธษิ ฐาน คอื ต้งั และวนั สง รวม ๑๑ วนั , วนั ทม่ี ิใชวนั ใจกาํ หนดจิตวา วนั นเ้ี ปน อโุ บสถของเรา (“อชฺช เม อโุ ปสโถ”) อโุ บสถทที่ ําอยา ง อุโบสถ ในเดือนขาดมี ๑๐ วนั เดอื น
อโุ บสถกรรม ๕๕๙ อุปกเิ ลส เต็ม ๑๑ วนั ) ๓. ปาฏิหารยิ อโุ บสถ เดอื นขาด), สําหรบั คฤหสั ถ คอื วนั พระ อโุ บสถทีพ่ งึ นําไปซา้ํ อกี ๆ หรอื ยอนกลบั ไดแ ก วันขึ้นและแรม ๘ คาํ่ วันจนั ทร ไปนําเอามาทํา คือรักษาใหเปนไปตรง เพญ็ และวนั จนั ทรด บั 4. สถานทสี่ งฆท าํ ตามกําหนดดังที่เคยทํามาเปนประจําใน สงั ฆกรรม เรยี กตามศพั ทว า อโุ ปสถาคาร แตละป หมายความวา ในแตล ะปม ีชวง หรอื อุโปสถัคคะ (โรงอโุ บสถ), ไทยมกั เวลาท่ีกาํ หนดไวเฉพาะที่จะรกั ษาอโุ บสถ ตดั เรยี กวา โบสถ ประเภทน้ี อยา งสามัญ ไดแ ก อโุ บสถที่ อุโบสถกรรม การทําอุโบสถ; ดู อโุ บสถ รกั ษาเปนประจําตลอด ๓ เดือน ใน อุโบสถศีล ศีลทีร่ ักษาเปน อโุ บสถ หรือ พรรษา (อยางเตม็ ไดแ กรักษาตลอด ๔ ศลี ท่ีรกั ษาในวนั อโุ บสถ ไดแ ก ศลี ๘ ที่ เดอื น แหง ฤดูฝน คือ แรม ๑ คํา่ เดือน อุบาสกอุบาสิกาสมาทานรักษาเปนการ ๘ ถงึ ขึ้น ๑๕ คํา่ เดอื น ๑๒, ถา ไม จาํ ศลี ในวนั พระ คือขึน้ และแรม ๘ ค่ํา สามารถรักษาตลอด ๔ เดือน หรอื ๓ ๑๕ คาํ่ (แรม ๑๔ คาํ่ ในเดอื นขาด) เดอื น จะรักษาเพียง ๑ เดอื น ระหวา ง อุปกะ ช่ืออาชีวกผูหนึ่งซ่ึงพบกับพระ วันปวารณาท้ังสอง คอื แรม ๑ คํา่ พุทธเจาในระหวา งทาง ขณะทีพ่ ระองค เดอื น ๑๑ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่า เดอื น ๑๒ ก็ เสดจ็ จากพระศรมี หาโพธไิ์ ปยงั ปา อสิ ปิ ตน- ได, อยางตาํ่ สดุ พงึ รกั ษาก่งึ เดือนตอ จาก มฤคทายวัน เพื่อโปรดพระปญจวัคคยี วันปวารณาแรกไป คอื แรม ๑ คํา่ อุปการะ ความเกอื้ หนุน, ความอดุ หนนุ , เดือน ๑๑ ถึง แรม ๑๔ คาํ่ เดือน ๑๑); การชวยเหลอื อยางไรก็ตาม มติในสวนรายละเอียด อปุ กิเลส โทษเครอ่ื งเศราหมอง, สงิ่ ที่ทาํ เกี่ยวกับอุโบสถ ๒ ประเภทหลังนี้ จติ ตใ จใหเศราหมองขนุ มวั รับคุณธรรม คัมภีรตางๆ ยังแสดงไวแตกตางไมลง ไดยาก มี ๑๖ อยา ง คอื ๑. อภิชฌา- กนั บาง ทานวา พอใจอยางใด กพ็ งึ ถอื วิสมโลภะ ละโมบ จอ งจะเอาไมเลอื ก เอาอยา งนน้ั เพราะแทจริงแลว จะรกั ษา ควรไมควร ๒. โทสะ คิดประทษุ รา ย อุโบสถในวันใดๆ ก็ใชได เปน ประโยชน ๓. โกธะ โกรธ ๔. อุปนาหะ ผกู โกรธ ทั้งน้ัน แตถารักษาไดในวันตามนิยมก็ ไว ๕. มักขะ ลบหลคู ุณทา น ๖. ปลาสะ ยอมควร 3. วนั อโุ บสถสําหรับพระสงฆ ตเี สมอ ๗. อิสสา รษิ ยา ๘. มัจฉริยะ คือ วันจนั ทรเ พญ็ (ขนึ้ ๑๕ คาํ่ ) และวนั ตระหน่ี ๙. มายา เจาเลห ๑๐. สาเถยยะ จนั ทรด บั (แรม ๑๕ คาํ่ หรอื ๑๔ คาํ่ เมอื่ โออ วด ๑๑. ถมั ภะ หวั ดอ้ื ๑๒. สารมั ภะ
อปุ กิเลสแหงวิปสสนา ๕๖๐ อุปธิ แขง ดี ๑๓. มานะ ถือตวั ๑๔. อตมิ านะ บุรุษวัยกลางคนมีกาํ ลังดนี ัน้ แหละ ยืน ดหู มนิ่ ทา น ๑๕.มทะ มวั เมา ๑๖. ปมาทะ อยทู เี่ ขตบา นนนั้ โยนกอ นดนิ ไปเตม็ กาํ ลงั กอ นดนิ ตกเปน เขตอปุ จารบา น; สมี าท่ี เลนิ เลอ หรอื ละเลย อุปกิเลสแหงวิปสสนา ดู วิปสสนูป- สมมตเิ ปน ตจิ วี ราวปิ ปวาสนน้ั จะตอ งเวน กเิ ลส บานและอุปจารบานดังกลาวน้ีเสียจึงจะ อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน ไดแก สมมตขิ น้ึ คอื ใชเ ปน ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า กรรมทเ่ี ปน กุศลก็ดี ทเี่ ปนอกศุ ลก็ดี ซึ่ง ได; ดู ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า ดว ย มีกําลังแรง เขาตัดรอนการใหผลของ อุปจารภาวนา ภาวนาขน้ั จวนเจียน คือ ชนกกรรม หรอื อปุ ตถัมภกกรรม ทต่ี รง เจริญกรรมฐานถึงขั้นเกิดอุปจารสมาธิ ขา มกบั ตนเสีย แลว ใหผลแทนท่ี (ขอ ๘ (ขอ ๒ ในภาวนา ๓) ในกรรม ๑๒) อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแนวแน, อปุ จาร เฉยี ด, จวนเจยี น, ทใ่ี กลช ดิ , สมาธิที่ยังไมดิ่งถึงท่ีสุด เปนข้ันทําให ระยะใกลเ คยี ง, ชาน, บรเิ วณรอบๆ; ดงั กเิ ลสมีนิวรณเปนตนระงับ กอ นจะเปน ตวั อยา งคาํ ทวี่ า อปุ จารเรอื น อปุ จารบา น อัปปนา คือถึงฌาน (ขอ ๑ ในสมาธิ ๒, แสดงตามท่ที า นอธิบายในอรรถกถาพระ ขอ ๒ ในสมาธิ ๓) วนิ ยั ดงั น้ี อปุ จารแหงสงฆ บรเิ วณรอบๆ เขตสงฆ อาคารที่ปลูกขึ้นรวมในแคระยะน้ํา ชุมนุมกัน ตกที่ชายคาเปนเรือน, บริเวณรอบๆ อุปฐาก ดู อปุ ฏ ฐาก เรือนซึ่งกําหนดเอาที่แมบานยืนอยูที่ อปุ ตสิ สะ ดู สารีบตุ ร ประตูเรือนสาดน้ําลางภาชนะออกไป อุปติสสปริพาชก คําเรยี กพระสารีบตุ ร หรือแมบานยืนอยูภายในเรือน โยน เมื่อบวชเปนปริพาชกอยูในสํานัก กระดงหรือไมกวาดออกไปภายนอก ของสญชัย ตกที่ใด ระยะรอบๆ กําหนดนั้นเปน อุปถัมภ การค้ําจุน, เครื่องค้ําจุน, อุปจารเรือน อุดหนนุ , ชวยเหลือ, หลอ เล้ยี ง บรุ ษุ วยั กลางคนมกี าํ ลงั ดี ยนื อยทู ี่ อุปธิ ส่ิงนุงนงั , สภาวะกลัว้ กิเลส, ส่ิงทีย่ งั เขตอปุ จารเรอื น ขวา งกอ นดนิ ไป กอ น ระคนดว ยกิเลส 1. รางกาย 2. สภาวะ ดนิ ทข่ี วา งนน้ั ตกลงทใี่ ด ทนี่ น้ั จากรอบๆ อันเปนท่ีตั้งท่ีทรงไวแหงทุกข ไดแก บรเิ วณอปุ จารเรอื น เปน กาํ หนด เขตบา น, กาม กเิ ลส เบญจขันธ และอภสิ งั ขาร
อปุ นาหะ ๕๖๑ อุปมา๓ขอ อปุ นาหะ ผกู โกรธไว, ผกู ใจเจ็บ (ขอ ๔ ทจี่ ะไปเกดิ คือ ในภพถัดไป (ขอ ๒ ใน ในอปุ กเิ ลส ๑๖) กรรม ๑๒) อุปนิสัย ความประพฤตทิ ีเ่ คยชินเปนพน้ื อปุ ปตติเทพ “เทวดาโดยกําเนิด” ไดแ ก มาในสันดาน, ความดีท่ีเปนทนุ หรือเปน พวกเทวดาในกามาพจรสวรรคและ พ้ืนอยูในจิตต, ธรรมที่เปนเครื่อง พรหมทั้งหลาย (ขอ ๒ ในเทพ ๓) อุดหนุน อุปปฬกกรรม “กรรมบีบคั้น” ไดแก อุปนิสินนกถา “ถอยคําของผูเขาไปนั่ง กรรมทเี่ ปน กศุ ลกด็ ี อกศุ ลกด็ ี ซง่ึ บบี คน้ั ใกล”, การน่ังคุยสนทนาอยางกันเอง การใหผ ลแหง ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภก- หรอื ไมเ ปน แบบแผนพธิ ี เพอ่ื ตอบคําซัก กรรม ท่ตี รงขามกบั ตน ใหแปรเปลย่ี น ถาม แนะนําช้ีแจง ใหคาํ ปรึกษา เปนตน ไป เชน ถาเปนกรรมดกี ็บีบคั้นใหอ อ น อปุ บารมี บารมขี ัน้ รอง, บารมขี น้ั จวนสงู ลง ไมใหไดร ับผลเตม็ ท่ี ถาเปนกรรมช่วั สุด คือ บารมที บ่ี ําเพญ็ ย่งิ กวา บารมีตาม กเ็ กยี ดกนั ใหท เุ ลา (ขอ ๗ ในกรรม ๑๒) ปกติ แตยังไมถึงสุดที่จะเปนปรมัตถ- อุปมา ขอความทน่ี าํ มาเปรยี บเทียบ, การ บารมี เชน สละทรพั ยภ ายนอกเปน ทาน อางเอามาเปรยี บเทยี บ, ขอเปรยี บเทียบ บารมี สละอวัยวะเปนทานอุปบารมี อุปมา ๓ ขอ ขอ เปรยี บเทยี บ ๓ ประการ สละชวี ติ เปน ทานปรมตั ถบารมี; ดู บารมี ที่ปรากฏแกพระโพธิสัตว เมื่อจะทรง อปุ ปถกิรยิ า การทํานอกรตี นอกรอยของ บําเพ็ญเพียรที่ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม สมณะ, ความประพฤตินอกแบบแผน คือ ของภกิ ษสุ ามเณร ทานจดั รวมไวเปน ๓ ๑. ไมส ดชมุ ดว ยยาง ท้ังต้งั อยูใน ประเภท คอื ๑. อนาจาร ประพฤติไมดี นา้ํ จะเอามาสีใหเ กดิ ไฟ กม็ ีแตจ ะเหน่อื ย ไมง าม และเลน ไมเหมาะสมตางๆ ๒. เปลา ฉนั ใด สมณพราหมณ ท่ีมกี ายยงั ปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ไมหลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจ คือ คบหากบั คฤหัสถใ นทางทไี่ มส มควร หลงใหลกระหายกาม ละไมไ ด ถึงจะได ทาํ ตนเปนกลุ ทสู ก ๓. อเนสนา หาเลยี้ ง เสวยทุกขเวทนาท่ีเผด็ รอนแรงกลา อนั ชีพในทางท่ีไมสมควร เชน เปน หมอ เกิดจากความเพยี รกต็ าม ไมไดเ สวยก็ เสกเปาใหห วย เปนตน ตาม กไ็ มค วรทจี่ ะตรัสรู ฉนั นัน้ อปุ ปลวัณณา ดู อบุ ลวรรณา ๒. ไมส ดชุม ดวยยาง ต้งั อยูบ นบก อปุ ปชชเวทนยี กรรม กรรมใหผ ลในภพ ไกลจากนํา้ จะเอามาสีใหเ กิดไฟ กม็ ีแต
อปุ ไมย ๕๖๒ อุปสรรค จะเหนื่อยเปลา ฉนั ใด สมณพราหมณท ่ี อุปวาณะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ เกิดใน มีกายหลีกออกแลวจากกาม แตยังมี ตระกลู พราหมณผูมัง่ คง่ั ในนครสาวตั ถี ความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละไม ไดเห็นพระพุทธองคในพิธีถวายวัดพระ ได ถงึ จะไดเสวยทุกขเวทนาทเ่ี ผ็ดรอน เชตวนั เกดิ ความเลือ่ มใส จึงไดมาบวช แรงกลา อันเกิดจากความเพียรก็ตาม ในพระศาสนาและไดบรรลุอรหัตตผล ไมไดเสวยก็ตาม ก็ไมควรท่ีจะตรัสรู ทานเคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองค ฉนั น้นั แมในวันปรินิพพานพระอุปวาณะก็ ๓. ไมแหง เกราะ ทงั้ ต้ังอยบู นบก ถวายงานพดั อยเู ฉพาะพระพักตร เร่อื ง ไกลจากน้ํา จะเอามาสใี หเ กดิ ไฟยอมทาํ ราวเก่ียวกับทานปรากฏในพระไตรปฎก ไฟใหป รากฏได ฉนั ใด สมณพราหมณ ๔–๕ แหง เชน เรอื่ งท่ที านสนทนากับ ที่มีกายหลีกออกแลวจากกาม ไมมี พระสารีบุตรเกี่ยวกับโพชฌงค ๗ ความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละ ประการ เปนตน กามไดแลว ถงึ จะไดเสวยทกุ ขเวทนาท่ี อุปสมะ ความสงบใจจากส่ิงที่เปนขาศึก เผ็ดรอนแรงกลา อันเกิดจากความเพยี ร แกค วามสงบ, การทาํ ใจใหส งบ, สภาวะ ก็ตาม ไมไดเ สวยกต็ าม กค็ วรท่จี ะตรัส อนั เปน ท่ีสงบ คือ นพิ พาน (ขอ ๔ ใน รู ฉนั น้นั อธิษฐานธรรม ๔) เมื่อไดทรงพระดํารดิ ังน้ีแลว พระ อุปสมบท การใหกุลบุตรบวชเปนภิกษุ โพธิสัตว จึงไดทรงเร่ิมบําเพ็ญทุกร- หรอื ใหก ลุ ธดิ าบวชเปน ภกิ ษณุ ,ี การบวช กิริยา ดังเรื่องที่มาในพระสูตรเปนอัน เปน ภิกษุ หรือภกิ ษุณ;ี ดู อุปสัมปทา มาก มโี พธริ าชกุมารสูตร เปนตน แต อุปสมาธิฏฐาน ที่ม่ันคือความสงบ, มักเขา ใจกันผิดไปวา อุปมา ๓ ขอนี้ ธรรมที่ควรตั้งไวในใจใหเปนฐานที่ม่ัน ปรากฏแกพระโพธิสัตวหลังจากทรงเลิก คอื สนั ต,ิ ผมู คี วามระงบั กเิ ลสไดใ จสงบ ละการบําเพญ็ ทุกรกิรยิ า เปน ฐานทมี่ น่ั (ขอ ๔ ในอธิฏฐาน ๔); ดู อุปไมย ขอความที่ควรจะนําสิ่งอ่ืนมา อธษิ ฐานธรรม เปรียบเทียบ, ส่ิงท่ีควรจะหาสิ่งอื่นมา อุปสมานุสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน เปรยี บเทยี บ, ส่งิ ทถี่ ูกเปรียบเทียบ ซึ่งเปนที่ระงับกิเลสและกองทุกข (ขอ อุปริมทิส “ทศิ เบ้ืองบน” หมายถงึ สมณ- ๑๐ ในอนุสติ ๑๐) พราหมณ; ดู ทิศหก อปุ สรรค ความขัดของ, สง่ิ ท่เี ขาไปขัด
อปุ สมั บัน ๕๖๓ อปุ เสนวงั คนั ตบตุ ร ขอ ง, เครอ่ื งกีดกนั้ , สิง่ ขดั ขวาง ปญหาพยากรณปู สมั ปทา การอปุ สมบท อุปสัมบัน ผูไดรับอุปสมบทเปนภิกษุ ดวยการตอบปญหาของพระพุทธองค หรือภิกษุณแี ลว, ผูอ ปุ สมบทแลว ไดแ ก เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตแกโสปากสามเณร ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ;ี เทยี บ อนุปสมั บัน ๕. ครธุ รรมปฏิคคหณูปสมั ปทา (หรอื อุปสัมปทา การบวช, การบวชเปนภิกษุ อฏั ฐครุธรรมปฏคิ คหณปู สมั ปทา) การ หรอื ภกิ ษณุ ;ี วธิ อี ปุ สมบททง้ั หมด ๘ อยา ง อุปสมบทดวยการรับครุธรรม ๘ แตเ ฉพาะทีใ่ ชเปนหลักมี ๓ อยาง คอื ประการ เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตแกพระ ๑. เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา การอปุ สมบท นางมหาปชาบดีโคตมี ๖. ทูเตนะ อุปสมั ปทา การอปุ สมบทดว ยทตู เปน ดวยพระวาจาวา “จงเปนภิกษุมาเถิด” เปนวิธีทีพ่ ระพุทธเจาทรงบวชใหเ อง ๒. วิธีท่ีทรงอนุญาตแกนางคณิกา (หญิง ตสิ รณคมนปู สัมปทา หรอื สรณคมนูป- โสเภณี) ช่ือ อัฑฒกาสี ๗. อฏั ฐวาจิกา สมั ปทา การอปุ สมบทดว ยถงึ ไตรสรณะ อปุ สมั ปทา การอุปสมบทมวี าจา ๘ คอื เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตใหพระสาวกทําใน ทําดว ยญัตตจิ ตตุ ถกรรม ๒ ครั้งจาก ยุคตนพุทธกาล เมื่อคณะสงฆยังไม สงฆทั้งสองฝายคือจากภิกษุณีสงฆครั้ง ใหญน กั เมอื่ ทรงอนญุ าตวิธีที่ ๓ แลว หน่ึง จากภิกษุสงฆครั้งหน่ึง ไดแกก าร วธิ ีท่ี ๒ นก้ี เ็ ปลี่ยนใชสําหรับบรรพชา อุปสมบทของภิกษุณี ๘. ญัตติจตุตถ- สามเณร ๓. ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอปุ สมั ปทา กัมมอปุ สัมปทา (ขอ ๓. เดมิ ) การอุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม อปุ สมั ปทาเปกขะ บคุ คลผเู พง อปุ สมบท เปนวิธีท่ีทรงอนญุ าตใหสงฆท าํ ในเมื่อ คือผูม งุ จะบวชเปน ภิกษุ, ผขู อบวชนาค คณะสงฆเปนหมใู หญข ึน้ แลว และเปน อปุ สัมปทาเปกขา หญิงผูเพงอุปสัมปทา วิธีที่ใชสืบมาจนทุกวันนี้; วิธีอุปสมบท คอื ผขู อบวชเปนภกิ ษุณี อกี ๕ อยา งทเ่ี หลอื เปน วธิ ที ท่ี รงประทาน อุปสวี มาณพ ศิษยค นหน่งึ ในจาํ นวน ๑๖ เปนการพิเศษจําเพาะบุคคลบาง ขาด คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถาม ตอนหมดไปแลว บาง ไดแ ก (จัดเรยี ง ปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย ลาํ ดับใหม เอา ขอ ๓. เปนขอ ๘. ทาย อุปเสนวงั คนั ตบุตร พระมหาสาวกองค สุด) ๓. โอวาทปฏคิ คหณปู สมั ปทา การ หนึ่ง เปนบุตรพราหมณชื่อ วังคันตะ อุปสมบทดวยการรับโอวาท เปนวิธีที่ มารดาช่อื นางสารี เปนนอ งชายของพระ ทรงอนุญาตแกพระมหากัสสปะ ๔. สารบี ตุ ร เกดิ ทหี่ มบู า นนาลกะ เตบิ โตขน้ึ
อปุ หัจจปรินิพพายี ๕๖๔ อุปฏ ฐานศาลา เรยี นไตรเพทจบแลว ตอ มาไดฟ งธรรม ปนู อุปช ฌาย มีความเลื่อมใส จึงบวชในพระพุทธ- อปุ ช ฌายวัตร ธรรมเนียมหรือขอปฏบิ ัติ ศาสนา หลงั จากบวชได ๒ พรรษา จึง ท่ีสัทธิวิหาริก พึงกระทําตออุปชฌาย สําเร็จพระอรหัต ทานออกบวชจาก ของตน, หนาท่ีตออุปชฌายโ ดยยอคือ ตระกูลใหญ มีคนรูจักมากและท้ังเปน เอาใจใสป รนนิบตั ิรับใช คอยศกึ ษาเลา นกั เทศกท ี่สามารถ จึงมกี ุลบุตรเลือ่ มใส เรยี นจากทา น ขวนขวาย ปอ งกัน หรอื มาขอบวชดวยจํานวนมาก ตัวทานเอง ระงับความเสอ่ื มเสยี เชน ความคิดจะ เปนผูถือธุดงค และสอนใหสัทธิวหิ าริก สึก ความเหน็ ผิด เปน ตน รักษานา้ํ ใจ ถอื ธุดงคด ว ย ปรากฏวาทงั้ ตวั ทา นและ ของทา น มคี วามเคารพ จะไปไหนบอก บริษัทของทานเปนที่เล่ือมใสของคนทั่ว ลาไมเท่ียวตามอําเภอใจและเอาใจใส ไปหมด จึงไดรับยกยองวาเปน พยาบาลเม่ือทานอาพาธ; เทียบ สัทธิ- เอตทัคคะในทางทําใหเกิดความเลือ่ มใส วหิ ารกิ วัตร ทั่วทุกดาน (คือไมเฉพาะตนเองนา อปุ ช ฌายาจารย อปุ ช ฌายแ ละอาจารย เลื่อมใส แมคณะศิษยก็นาเลื่อมใสไป อุปฏฐาก ผูบ ํารุง, ผูรบั ใช, ผูดแู ลความ หมด); อปุ เสนะวังคนั ตบุตร ก็เขยี น เปนอยู, ผูอุปถัมภบํารุงพระภิกษุ อุปหัจจปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ สามเณร; ในพุทธกาล พระเถระมาก ปรนิ พิ พานตอ เม่ืออายพุ นกึ่งแลว คือจะ หลายรูปไดเปลี่ยนกันทําหนาท่ีเปนพระ ปรนิ พิ พาน เม่ือใกลจ ะสิน้ อายุ (ขอ ๒ อุปฏฐากของพระพุทธเจา จนกระทั่ง ใน อนาคามี ๕) พรรษาท่ี ๒๐ พระอานนทจ ึงไดร ับหนา อปุ ชฌาย, อปุ ชฌายะ “ผูเ พง โทษนอ ย ที่เปนพระอุปฏฐากประจําพระองค ใหญ” หมายถึงผูรับรองกุลบุตรเขารับ (อรรถกถาใชค ําเรียกวา “นพิ ทั ธุปฏ ฐาก”) การอุปสมบทในทามกลางภิกษุสงฆ, สบื มา ๒๕ พรรษา จนสิน้ พุทธกาล; เปนทั้งผูนําเขาหมู และเปนผูปกครอง อปุ ฐากกเ็ ขยี น; ดูนพิ ทั ธปุ ฏ ฐาก,อานนท คอยดูแลผิดและชอบ ทําหนาท่ฝี กสอน อุปฏฐานศาลา หอฉัน, หอประชุม, อบรมใหก ารศกึ ษาตอไป; อุปช ฌายใ น อาคารสําคัญในวัด ท่ีกลาวถึงบอยใน ฝายภิกษณุ ี เรียกวา ปวตั ตนิ ี พระไตรปฎก โดยพ้ืนเดมิ เปน ศาลาโรง อุปชฌายมัตต ภิกษุผูพอจะเปน ฉนั หรือหอฉัน (โภชนศาลา) และขยาย อปุ ช ฌายไ ด คือมีพรรษาครบ ๑๐, พระ มาใชเปนศาลาโรงประชุมหรือหอประชมุ
อปุ ฏ ฐายกิ า ๕๖๕ อปุ ต ถมั ภกกรรม (สันนบิ าตศาลา) ซ่ึงภิกษุทัง้ หลายมาเฝา อาคารอีกช่ือหนึ่งรองลงไป ท่ีภิกษุท้ัง พระพุทธเจา ฟงพระองคแสดงธรรม หลายมักไปนั่งประชุมสนทนาธรรมกัน และถกเถยี งสนทนาธรรมกัน ตลอดจน ซ่ึงบางคร้ังพระพุทธเจาก็เสด็จไปทรงไถ วนิ จิ ฉยั ขอวินยั ตางๆ เปน สวนประกอบ ถามและทรงช้ีแจงอธิบาย ไดแก สําคัญในวิถีชีวิตของพระสงฆในยุค “มณั ฑลมาฬ” (โรงกลม) ซง่ึ เปน ศาลาท่ี พทุ ธกาล และเปน ทเ่ี กดิ ขน้ึ ของพทุ ธพจน นงั่ พกั หรอื เรยี กอยา งชาวบา นวา ศาลาที่ เปน อนั มากในพระธรรมวนิ ยั , อปุ ฏ ฐาน- นงั่ เลน (นสิ ที นศาลา, อรรถกถาบางแหง ศาลาเกิดมีขึ้นต้ังแตระยะแรกของ วาเปนอุปฏฐานศาลาเชน กัน) พระสตู ร พุทธกาล สืบเน่ืองจากพุทธานุญาตให สําคัญบางสูตรก็เกิดขึ้นที่ศาลานั่งพัก พระสงฆม เี สนาสนะเปน ทอี่ ยอู าศยั คอื แบบน้ี; ในช้ันอรรถกถา นิยมเรียกที่ ในชวงปท่ี ๒-๓ แหงพุทธกิจ ขณะ ประชมุ ฟง พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธ ประทับอยูท่ีพระเวฬุวัน เมืองราชคฤห เจา วา “ธรรมสภา” ดงั นน้ั อปุ ฏ ฐานศาลา คาํ รองขอของเศรษฐีแหงเมอื งราชคฤหท ่ี ของพระไตรปฎ ก จงึ มกั ปรากฏในอรรถ- มีศรัทธาจะสรางวิหารคือกุฎีท่ีพักอาศัย กถา ในชอื่ วา ธรรมสภา ดงั ทอ่ี รรถกถา ถวายแกภ กิ ษทุ ง้ั หลาย ไดเ ปน เหตใุ หท รง บางแหง ไขความวา “คาํ วา ‘ในอปุ ฏ ฐาน- อนญุ าตเสนาสนะแกภ กิ ษทุ งั้ หลาย (วนิ ย. ศาลา’ หมายความวา ‘ในธรรมสภา ๗/๒๐๐/๘๖) ตอ จากนนั้ กม็ พี ทุ ธบญั ญตั ิ มณฑป’” (อ.ุ อ.๑๒/๑๐๖); ดู ธรรมสภา เกย่ี วกบั สง่ิ กอ สรา งตา งๆ ในวดั รวมทง้ั อปุ ฏ ฐายกิ า อปุ ฏ ฐากทีเ่ ปน หญิง พุทธานุญาตหอฉันคืออุปฏฐานศาลานี้ อปุ ต ตเิ หตุ เหตทุ เี กดิ ขนึ้ , เหตกุ ารณท เ่ี กดิ (วินย.๗/๒๓๕/๙๘) แลว ในเวลาใกลเ คยี งตอ เชน ควรเทศนาใหเ หมาะแกอ ปุ ต ติเหตุ จากนนั้ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐกี ไ็ ดส รา งวดั คอื แสดงธรรมใหเ ขา กบั เรอ่ื งทีเ่ กิดขนึ้ ; พระเชตวันขึ้นที่เมืองสาวัตถี ในคํา บัดนเี้ ขียน อบุ ัติเหตุ และใชใ นความ บรรยายการสรา งวดั พระเชตวนั นน้ั บอก หมายทต่ี างออกไป ดว ยวา ไดส รา งอปุ ฏ ฐานศาลา โดยใชค าํ อปุ ต ถมั ภกกรรม กรรมสนบั สนนุ ไดแ ก พหพู จน (อปุ ฏ านสาลาโย, วนิ ย.๗/๒๓๕/ กรรมทั้งที่เปนกุศลและอกุศลที่เขาชวย ๙๘) ซง่ึ แสดงวา ทพี่ ระเชตวนั นน้ั มอี ปุ ฏ - สนับสนุนซ้ําเติมตอจากชนกกรรม ฐานศาลาหลายหลงั , นอกจากอปุ ฏ ฐาน- เหมือนแมนมเล้ียงทารกท่ีเกิดจากผูอื่น ศาลาแลว ตามเรื่องในพระไตรปฎก ถากรรมดีก็สนบั สนนุ ใหดีข้นึ ถากรรม
อุปทวะ ๕๖๖ อุปาลวิ งศ ช่วั กซ็ าํ้ เตมิ ใหเ ลวลงไปอกี (ขอ ๖ ใน อยา งนัน้ อยา งน้ี หรือจะตอ งเปน ไปเชน กรรม ๑๒) นัน้ เชน น้ี อุปท วะ อบุ าทว, ส่งิ เลวรายทก่ี อความ อุปาทานขันธ ขันธอันเปนท่ีต้ังแหง เดือดรอนหรือกีดกั้นขัดขวางไมใหเปน อุปาทาน, ขันธท ี่ประกอบดวยอปุ าทาน อยูเปนไปดวยดี, บางทีพูดควบกับ ไดแก เบญจขนั ธ คือ รูป, เวทนา, อนั ตราย เปน อปุ ทวนั ตราย (อุปทวะ สญั ญา, สงั ขาร, วิญญาณ ท่ีประกอบ และอันตราย) ดวยอาสวะ อุปสสยะของภิกษุณี สวนท่ีอยูของ อปุ าทายรปู รปู อาศัย, รูปทเ่ี กดิ สบื เน่อื ง ภกิ ษุณี ต้งั อยใู นอาวาสที่มีภิกษอุ ยดู ว ย จากมหาภูตรปู , อาการของมหาภตู รูป มี แตอ ยูเอกเทศ ไมปะปนกบั ภกิ ษ;ุ เรยี ก ๒๔ อยาง; ดู รปู ๒๘ ตามศัพทวา ภิกขุนูปสสยะ (สํานัก อุปาทิ 1. สภาพท่ถี กู กรรมกเิ ลสถอื ครอง, ภิกษณุ )ี สภาพทถี่ กู อปุ าทานยดึ ไวม นั่ , เบญจขนั ธ อปุ าทาน ความถอื มน่ั , ความยดึ ตดิ ถอื คา ง 2. กิเลสเปนเหตุถือมั่น, ความยดึ ตดิ ถอื ถอื คาไว (ปจ จบุ นั มกั แปลกนั วา ความยดึ มน่ั , อปุ าทาน มนั่ ) ไมป ลอ ยไมว างตามควรแกเ หตผุ ล อุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมครอบ เนอื่ งจากตดิ ใครช อบใจหรอื ใฝปรารถนา ครอง พูดเขาใจกันอยางงายๆ วา อยา งแรง; ความถอื ม่นั ดว ยอํานาจกิเลส สงั ขารทม่ี ใี จครอง เชน คน สัตว เทวดา มี ๔ คอื ๑. กามปุ าทาน ความถอื มน่ั ใน (ขอ ๑ ในสังขาร ๒) กาม ๒. ทิฏุปาทาน ความถือมั่นใน อปุ าทินนรูป,อปุ าทินนกรูป ดูที่รปู ๒๘ ทิฏฐิ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมนั่ อปุ ายโกศล ดู โกศล ๓ ในศีลและพรต ๔. อัตตวาทุปาทาน อปุ ายาส ความคบั แคน ใจ, ความสนิ้ หวงั ความถือม่ันวาทะวา ตน; ตามสาํ นวนทาง อุปาลิปญจกะ ช่ือตอนหนึ่งในคัมภีร ธรรม ไมใ ชค าํ วา “ถอื มน่ั ” หรอื “ยดึ มน่ั ” ปริวาร พระวนิ ยั ปฎ ก กบั ความมนั่ แนว ในทางทดี่ งี าม แตใ ชค าํ วา อปุ าลิวงศ ชอื่ นกิ ายพระสงฆลงั กาที่บวช “ตง้ั มน่ั ” เชน ตงั้ มน่ั ในศลี ตง้ั มน่ั ในธรรม จากพระสงฆส ยาม (พระอบุ าลเี ปน หวั หนา ต้งั มนั่ ในสจั จะ; ในภาษาไทย มักใช นาํ คณะสงฆไทยไปอุปสมบทกุลบุตรใน “อปุ าทาน” ในความหมายทแ่ี คบลงมาวา ประเทศลงั กา เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๙๖ ในแผน ยึดติดอยูกับความนึกคิดเอาเองวาเปน ดนิ พระเจา อยหู วั บรมโกษฐ สมยั อยธุ ยา
อปุ าสกัตตเทสนา ๕๖๗ ตอนปลาย) เปดใชงาน ณ ที่น้ี พระสารีบุตรได อุปาสกัตตเทสนา การแสดงความเปน แสดงสังคีติสูตร อันเปนตนแบบของ อุบาสก คอื ประกาศตนเปน อบุ าสกโดย การสงั คายนา ถงึ พระรัตนตรัยเปน สรณะ อุภโตพยัญชนก คนมที งั้ ๒ เพศ อุปาหนา ดู รองเทา อุภโตภาควิมุต “ผูหลุดพน ทั้งสองสว น” อโุ ปสถขันธกะ ชอ่ื ขันธกะท่ี ๒ แหง คอื พระอรหันตผ ูบาํ เพ็ญสมถะมาเปน คมั ภีรม หาวรรค พระวนิ ยั ปฎก วา ดว ย อยา งมากจนไดส มาบตั ิ ๘ แลว จึงใช การทําอโุ บสถ คือ สวดปาฏโิ มกขและ สมถะนั้นเปนฐานบําเพ็ญวิปสสนาตอไป เรือ่ งสมี า จนบรรลุอรหตั ผล; หลดุ พน ท้ังสองสวน อุโปสถิกะ, อุโปสถิกภัต อาหารที่เขา (และสองวาระ) คอื หลดุ พนจากรูปกาย ถวายในวันอุโบสถ คอื วันพระ ในเดือน ดวยอรปู สมาบตั ิ (เปน วิกขมั ภนะ) หน หนึ่งสวี่ นั , เปน ของจําพวกสงั ฆภัตหรือ หนึ่งแลว จึงหลุดพนจากนามกายดวย อุทเทสภัตนั่นเอง แตมีกาํ หนดวันเฉพาะ อริยมรรค (เปนสมุจเฉท) อีกหนหน่ึง; คือ ถวายเน่อื งในวนั อโุ บสถ เทยี บ ปญ ญาวิมตุ อุพพาหิกา กิรยิ าทีถ่ อนนาํ ไป, การเลือก อภุ โตสชุ าต เกดิ ดแี ลว ทง้ั สองฝา ย คอื ทง้ั แยกออกไป, หมายถงึ วธิ รี ะงบั ววิ าทาธกิ รณ ฝา ยมารดาทง้ั ฝา ยบดิ า หมายความวา มี ในกรณีที่ที่ประชุมสงฆมีความไม สกลุ สงู เปน เชอื้ สายวรรณะนนั้ ตอ เนอ่ื ง สะดวก ดวยเหตุอยางใดอยางหน่ึง กันมาโดยตลอด ท้ังฝายบิดาและฝาย สงฆจึงเลือกภิกษุบางรูปในที่ประชุมน้ัน มารดา, เปน คณุ สมบตั ทิ พ่ี วกพราหมณ ต้ังเปนคณะ แลวมอบเร่ืองใหน าํ เอาไป และกษตั รยิ บ างวงศถ อื เปน สาํ คญั มาก วินิจฉัย (เปน ทํานองตัง้ คณะกรรมการ อภุ ยตั ถะ ประโยชนท งั้ สองฝา ย, ประโยชน พิเศษ) รวมกัน, สิ่งที่เก้ือกูลแกสวนรวมเปน อุพภตกสัณฐาคาร ทองพระโรงชื่อ คุณแกชีวิตทั้งของตนและของผูอ่ืน อุพภตก เปนทองพระโรง หรือหอ ชวยใหเปนอยูกันดวยดีพากันประสบ ประชุมท่ีสรางข้ึนใหมของมัลลกษัตริย ทฏิ ฐธัมมิกตั ถะ สมั ปรายิกตั ถะ และปร แหงเมืองปาวา มัลลกษัตริยทูล มตั ถะ ยง่ิ ข้นึ ไป; ดู อัตถะ อาราธนาพระพุทธเจาไปประทับพรอม อมุ มตั ตกสมมติ การทสี่ งฆส วดประกาศ ดวยภกิ ษสุ งฆ เพื่อเปน สริ ิมงคลกอนจะ ความตกลงใหถ อื ภกิ ษเุ ปน ผวู กิ ลจรติ ; ดทู ี่
อุยยานบาล, อทุ ยานบาล ๕๖๘ เอกเทศ ปกาสนียกรรม, อสมั มขุ ากรณีย มคธ ตงั้ อยู ณ ลุมแมน ้ําเนรญั ชรา เปน อยุ ยานบาล, อทุ ยานบาล คนเฝา อทุ ยาน, ภมู ิสถานท่สี งบนาร่นื รมย พระมหาบุรุษ เจา หนา ทด่ี แู ลรกั ษาอทุ ยาน; ดู อุทยาน ทรงเลอื กเปน ทบี่ าํ เพญ็ เพยี ร ไดป ระทบั อยู อุรุเวลกัสสป พระมหาสาวกองคหน่ึง ณ ทน่ี นี้ านถงึ ๖ ป ทรงบาํ เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า เคยเปนนักบวชประเภทชฎิล นับถือ และเปลยี่ นมาทรงดาํ เนนิ ในมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ลัทธิบูชาไฟ ถือตัววาเปนพระอรหันต จนไดตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สรางอาศรมสั่งสอนลัทธิของตนอยูใกล ภายใตร ม พระศรมี หาโพธิ์ ณ รมิ ฝง แมน า้ํ ฝงแมนํา้ เนรัญชรา ตําบลอรุ ุเวลา เพราะ เนรญั ชรา ในตาํ บลน้ี เหตุที่เปนชาวกัสสปโคตรและอยู ณ อุสสาวนันติกา กัปปยภูมิท่ีทําดวยการ ตําบลอรุ เุ วลา จงึ ไดชอ่ื วา อุรเุ วลกัสสป ประกาศ ไดแ ก กฎุ ที ภ่ี กิ ษทุ งั้ หลายตกลง ทา นผนู เ้ี ปน คณาจารยใ หญท ช่ี าวราชคฤห กนั แตต น วา จะทาํ เปน กปั ปย กฎุ ี ในเวลา นับถอื มาก มนี อ งสองคน คนหนงึ่ ชอ่ื ท่ที าํ พอชวยกนั ยกเสาหรอื ตงั้ ฝาทแี รก นทีกัสสป อกี คนหน่ึงชือ่ คยากสั สป ก็รองประกาศใหรูกันวา “กปฺปยกุฏึ ลวนเปนหัวหนาชฎิลต้ังอาศรมอยูถัด กโรม” ๓ หน (แปลวา “เราท้ังหลายทาํ กนั ไปบนฝง แมน ํา้ เนรญั ชรา ไมห า งไกล กัปปย กฎุ ”ี ); ดู กัปปยภมู ิ จากอาศรมของพี่ชายใหญ ตอมาพระ อสุ รี ธชะ ภเู ขาทกี่ นั้ อาณาเขตของมชั ฌมิ - พุทธเจาไดเสด็จมาทรงทรมานอุรุเวล- ชนบทดา นเหนือ กัสสปดว ยอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ต า งๆ จนทา น อูเน คเณ จรณํ การประพฤติ (วัตร) ใน ชฎิลใหญคลายพยศ ยอมมอบตัวเปน คณะอนั พรอ ง คือ ประพฤตใิ นถนิ่ เชน พทุ ธสาวก ขอบรรพชา ทาํ ใหช ฎลิ ผนู อ ง อาวาส ทม่ี ปี กตตั ตภกิ ษไุ มค รบองคส งฆ ทั้งสองพรอมดวยบริวารออกบวชตาม คือไมถ ึง ๔ รูป แตท่นี ยิ มปฏิบัติกนั มา ดว ยทง้ั หมด ครนั้ บวชแลว ไดฟ ง เทศนา ไมต าํ่ กวา ๕ รปู ; เปน เหตอุ ยา งหนึง่ ของ อาทิตตปริยายสตู ร จากพระพทุ ธเจา ก็ รัตตเิ ฉทแหงมานตั ; ดู รัตติเฉท ไดสําเร็จพระอรหัตท้ังสามพ่ีนองพรอม อรู ุ ขาออ น, โคนขา ดว ยบรวิ ารทงั้ หมดหนงึ่ พนั องค พระอรุ -ุ เอกฉันท มีความพอใจอยางเดียวกัน, เวลกัสสปไดรับยกยองเปนเอตทคั คะใน เห็นเปน อยา งเดียวกนั หมด ทางมบี รษิ ทั ใหญ คือ มบี ริวารมาก เอกเทศ ภาคหนึ่ง, สว นหน่งึ , เปนสวน อรุ เุ วลา ชอ่ื ตาํ บลใหญแ หง หนง่ึ ในแควน หน่ึงตา งหาก
เอกพีชี ๕๖๙ เอกเสสนัย เอกพีชี ผมู ีพชื คอื อัตภาพอนั เดียว หมาย หรอื เหลอื ไวศ พั ทเ ดยี ว เชน ก) เปน ทร่ี ู ถึง พระโสดาบันซง่ึ จะเกิดอีกครัง้ เดียวก็ กนั ดวี า คพู ระอคั รสาวกคอื ใคร ดงั นนั้ ใน จะบรรลุพระอรหัตตผลในภพท่ีเกิดขึ้น คาํ สมาสบาลี เมอ่ื ระบนุ ามพระอคั รสาวก (ขอ ๑ ในโสดาบนั ๓, บางแหง ทานจัด องคเ ดยี วแตเ ปน พหพู จนว า สารปิ ตุ ตฺ า กลบั เปนขอ ๓) “พระสารบี ตุ รทงั้ หลาย” กเ็ ปน อนั รวมอกี เอกภณั ฑะ ทรัพยส งิ่ เดียวซงึ่ มรี าคาเพียง องคหน่ึงท่ีไมไดระบุดวย จึงหมายถึง พอที่จะเปน วัตถแุ หง ปาราชกิ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เอกภตั ติกะ ผูฉนั ภตั เดียว คือ ฉนั วันละ ข) ตามสาํ นวนวธิ อี ธิบายธรรม เชน ใน มอื้ เดยี ว เฉพาะมอื้ เชา กอ นเทยี่ งวนั ; เทยี บ หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท คาํ วา นามรปู เปน เอกาสนกิ ะ;ดู ฉนั มอ้ื เดยี ว เอกเสส หมายถงึ นามหรอื รปู หรอื ทง้ั เอกวจนะ คาํ กลา วถึงสงิ่ ของสิง่ เดยี ว นามและรปู คาํ วา สฬายตนะ กเ็ ปน เอกโวการ, เอกโวการภพ ดู โวการ เอกเสส หมายถงึ อายตนะท่ี ๖ กไ็ ด เอกสทิ ธิ สทิ ธพิ ิเศษ, สิทธโิ ดยเฉพาะ อายตนะทง้ั ๖ กไ็ ด ดงั นนั้ เมอื่ พดู วา เอกเสสนยั อาการกาํ หนดดว ยเหลอื ศพั ท นามรูปเปนปจจัยใหเกดิ สฬายตนะ ถา เดยี ว, เปน วธิ กี ารอยา งหนง่ึ ในไวยากรณ พดู ถงึ อรปู ภพ กรณกี บ็ งั คบั ใหต อ งแปล บาลี กลา วคอื บคุ คล วตั ถุ หรอื ภาวะ ความวา นามเปน ปจ จยั ใหเ กดิ อายตนะท่ี บางอยาง เปนของควบคกู นั มาดวยกัน ๖ (คอื มโน) ค) ในสาํ นวนนยิ มทางภาษา เสมอ เมอื่ เหน็ อยา งหนงึ่ กเ็ ปน อนั รถู งึ อกี อยา งในภาษาบาลี คาํ พดู บางคาํ มคี วาม อยา งหนง่ึ ดว ย หรอื เปน ของชดุ เดยี วกนั หมายกวา ง หมายถงึ สงิ่ ของหรอื สภาวะ จาํ พวกเดยี วกัน เมอ่ื เรยี กชอ่ื อยา งหนงึ่ สองสามอยางที่ถือไดวาเปนชุดเดียวกัน จะหมายถึงอยางหนึ่งอยางใดในชุดหรือ เชน สคุ ติ หมายถงึ โลกสวรรคก ไ็ ด โลก ในจาํ พวกนนั้ กไ็ ด ในกรณเี ชน น้ี บางที มนษุ ยก ไ็ ด (สวรรคก บั มนษุ ยอ ยใู นชดุ ที่ ทา นกลา วถึงหรอื ออกช่ือไวอยางใดอยา ง เปนสุคติดวยกัน) เม่ืออยางหน่ึงในชุด หนงึ่ แตเ พยี งอนั เดยี ว ใหผ อู า นหรอื ผฟู ง นน้ั มคี าํ เฉพาะระบชุ ดั แลว คาํ ทมี่ คี วาม หมายรอู กี อยางหน่ึงดว ย หรอื ใหเขาใจ หมายกวา ง กย็ อ มหมายถงึ อกี อยา งหนงึ่ เอาเอง จากขอ ความแวดลอ มวา ในทนี่ น้ั ในชดุ นน้ั ทย่ี งั ไมถ กู ระบุ เชน ในคาํ วา หมายถึงอยางไหนขอใดในชุดหรือใน “สคุ ติ (และ) โลกสวรรค” สวรรคก เ็ ปน จาํ พวกนนั้ จงึ เรยี กวา เหลอื ไวอ ยา งเดยี ว สคุ ติ แตม คี าํ เฉพาะระบไุ วแ ลว ดงั นนั้
เอกอุ ๕๗๐ เอตทัคคะ คาํ วา สคุ ติ ในกรณนี ้ี จงึ หมายถงึ โลก ภกิ ขฺ เว มม สาวกานํ ภกิ ขฺ นู ํ รตตฺ ฺ นู ํ มนุษย ซึ่งเปนสุคติอยางเดียวท่ีเหลือ ยททิ ํอฺ าโกณฑฺ โฺ ”(ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผูรัตตัญู นอกจากสวรรค เอกอุ เลิศ, สูงสดุ (ตัดมาจากคาํ วา เอก- อญั ญาโกณฑญั ญะน่ี เปน ผยู อดเย่ยี ม), อดุ ม) (อง.ฺ เอก.๒๐/๗๘/๑๗) วา “เอตทคคฺ ํ ภกิ ขฺ เว เอกัคคตา ความมีอารมณเปนอันเดียว วฑุ ฒฺ นี ํ ยททิ ํ ปฺ าวฑุ ฒฺ ”ิ (ภิกษทุ ัง้ คือ ความมีจิตตแนวแนอยูในอารมณ หลาย บรรดาความเจริญทั้งหลาย อันเดียว ไดแกสมาธิ (พจนานุกรม ความเจรญิ เพ่ิมพนู ปญญาน่ี เปนเยย่ี ม) เขียน เอกคั ตา); ดู ฌาน (องฺ.นวก.๒๓/๒๐๙/๓๗๗) วา “เอตทคฺคํ เอกันตโลมิ เครื่องลาดที่มีขนตกไปขาง ภกิ ขฺ เว ทานานํ ยททิ ํ ธมมฺ ทาน”ํ (ภิกษุ เดยี วกนั ทง้ั หลาย ในบรรดาทานทงั้ หลาย ธรรม เอกายนมรรค ทางอันเอก คอื ขอปฏิบตั ิ อันประเสริฐที่จะนําผูปฏิบัติไปสูความ ทานนเ้ี ปนเลศิ ); ตามปกติ มกั หมายถึง บริสุทธิห์ มดจด หมดความทุกข และ พระสาวกที่ไดรับยกยองจากพระพุทธ บรรลนุ ิพพาน ไดแก สติปฏ ฐาน ๔; เจาวาเปนผูยอดเย่ียมในทางใดทางหน่ึง อยางกวางขวาง เชน ในมหานิทเทส เชน เปนเอตทัคคะในทางธรรมกถึก หมายถึง โพธปิ กขิยธรรม ดวย หมายความวาเปนผูยอดเยี่ยมในทาง เอกาสนิกะ ผูฉันท่นี ่งั เดยี ว คือ ฉนั วนั ละ มอื้ เดยี วครงั้ เดยี ว ลกุ จากทแี่ ลว ไมฉ นั อกี แสดงธรรม เปน ตน ในวนั นนั้ ; เทยี บ เอกภตั ตกิ ะ;ดู ฉนั มอ้ื เดยี ว เอกาสนิกังคะ องคแหงผูถือนั่งฉันท่ี พระสาวกท่ีพระพุทธเจาตรัสวาเปน อาสนะเดยี วเปน วตั ร คือ ฉนั วันละมื้อ เอตทัคคะ ในบริษทั ๔ ปรากฏในพระ เดียว ลุกจากท่ีแลวไมฉันอีกในวันน้ัน ไตรปฎ ก (อง.ฺ เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑–๑๕๒/๓๓) ดงั น้ี (ขอ ๕ ในธุดงค ๑๓) ๑. ภกิ ษบุ รษิ ทั เอตทคั คะ “นั่นเปน ยอด”, “นเ่ี ปน เลิศ”, บคุ คลหรอื สงิ่ ทย่ี อดเยยี่ ม ดีเดน หรือ พระอญั ญาโกณฑัญญะ เปนเอตทัคคะ เปน เลศิ ในทางใดทางหนงึ่ เชน ในพุทธ ในบรรดาภกิ ษสุ าวกผรู ตั ตญั ,ู พระสาร-ี พจน (องฺ.เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑) วา “เอตทคคฺ ํ บตุ ร …ใน~ผมู ปี ญ ญามาก, พระมหา- โมคคลั ลานะ …ใน~ผมู ฤี ทธ,์ิ พระมหา- กสั สป …ใน~ผถู อื ธดุ งค, พระอนรุ ทุ ธะ …ใน~ผูม ีทพิ ยจักษ,ุ พระภทั ทยิ ะกาฬ-ิ โคธาบุตร …ใน~ผูมีตระกูลสูง, พระ
เอตทัคคะ ๕๗๑ เอตทัคคะ ลกุณฏกภัททิยะ ใน~ผูมีเสียงไพเราะ, มลั ลบตุ ร …ใน~ผจู ดั แจกเสนาสนะ, พระ พระปณโฑลภารทั วาชะ …ใน~ผบู ันลือ ปล นิ ทวจั ฉะ …ใน~ผเู ปน ทร่ี กั ใครช อบใจ สหี นาท, พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร …ใน~ผู ของเหลา เทพยดา, พระพาหยิ ทารจุ รี ยิ ะ เปน ธรรมกถกึ , พระมหากจั จานะ …ใน~ …ใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระกมุ ารกสั สปะ ผจู าํ แนกความยอ ใหพ สิ ดาร, พระจลุ ล- …ใน~ผูแสดงธรรมวิจิตร, พระมหา- ปน ถกะ …ใน~ผนู ฤมติ มโนมยกาย (กาย โกฏฐิตะ …ใน~ผูบ รรลุปฏสิ มั ภทิ า, พระ อนั สาํ เรจ็ ดว ยใจ), พระจลุ ลปน ถกะ …ใน อานนท …ใน~ผเู ปน พหสู ตู , พระอานนท ~ผูฉลาดทางเจโตววิ ฏั ฏ (การคล่ีขยาย …ใน~ผมู สี ต,ิ พระอานนท …ใน~ผมู คี ต,ิ ทางจิต คือในดานสมาบัติ หรือเร่ือง พระอานนท …ใน~ผมู คี วามเพยี ร, พระ สมาธ)ิ , พระมหาปน ถกะ …ใน~ผฉู ลาด อานนท …ใน~ผเู ปน อปุ ฏ ฐาก, พระอรุ -ุ ทางปญญาวิวัฏฏ (การคลี่ขยายทาง เวลกัสสปะ …ใน~ผมู บี รษิ ทั มาก, พระ ปญ ญา คอื ในดา นวปิ ส สนา; บาลเี ปน กาฬุทายี …ใน~ผูทาํ สกุลใหเลื่อมใส, สญั ญาววิ ฏั ฏ กม็ ี คอื ชาํ นาญในเรอื่ งอรปู - พระพกั กลุ ะ …ใน~ผมู อี าพาธนอ ย, พระ ฌาน), พระสภุ ตู ิ …ใน~ผมู ปี กตอิ ยไู ม โสภิตะ …ใน~ผรู ะลึกบุพเพนวิ าส, พระ ขอ งเกยี่ วกบั กเิ ลส (อรณวหิ าร)ี , พระสภุ ตู ิ อุบาลี …ใน~ผูทรงวินัย, พระนนั ทกะ …ใน~ผเู ปน ทกั ขไิ ณย, พระเรวตขทริ วนยิ ะ …ใน~ผโู อวาทภกิ ษณุ ,ี พระนนั ทะ …ใน~ …ใน~ผถู อื อยปู า (อารญั ญกะ), พระกงั ขา- ผสู าํ รวมระวงั อนิ ทรยี , พระมหากปั ปน ะ เรวตะ …ใน~ผบู าํ เพญ็ ฌาน, พระโสณ- …ใน~ผโู อวาทภกิ ษ,ุ พระสาคตะ …ใน~ผู โกฬวิ สิ ะ …ใน~ผปู รารภความเพยี ร, พระ ชาํ นาญเตโชธาตสุ มาบตั ,ิ พระราธะ …ใน โสณกุฏิกัณณะ …ใน~ผูกลาวกัลยาณ- ~ผสู อ่ื ปฏภิ าณ, พระโมฆราช …ใน~ผู พจน, พระสีวลี …ใน~ผมู ีลาภ, พระ ทรงจวี รเศรา หมอง วักกลิ …ใน~ผูมีศรัทธาสนิทแนว (ศรทั ธาธมิ ตุ ), พระราหลุ …ใน~ผใู ครต อ ๒. ภกิ ษณุ บี รษิ ทั การศกึ ษา, พระรฐั ปาละ …ใน~ผอู อก พระมหาปชาบดโี คตมี เปน เอตทคั คะ บวชดว ยศรทั ธา, พระกณุ ฑธานะ …ใน~ ในบรรดาภกิ ษณุ สี าวกิ าผรู ตั ตญั ,ู พระ ผจู บั สลากเปน ปฐม, พระวงั คสี ะ …ใน~ผู เขมา …ใน~ผูมีปญ ญามาก, พระอุบล- มปี ฏภิ าณ, พระอปุ เสนะวงั คนั ตบตุ ร … วรรณา …ใน~ผูม ีฤทธ,์ิ พระปฏาจารา ใน~ผทู นี่ า เลอื่ มใสรอบดา น, พระทพั พ- …ใน~ผทู รงวนิ ยั , พระธมั มทนิ นา …ใน~ ผเู ปน ธรรมกถกึ , พระนนั ทา …ใน~ผู
เอตทคั คฐาน ๕๗๒ เอหภิ กิ ขุอุปสัมปทา บาํ เพญ็ ฌาน, พระโสณา …ใน~ผปู รารภ วสิ าขามคิ ารมารดา …ใน~ผเู ปน ทายกิ า, ความเพียร, พระสกุลา …ใน~ผูมี ขชุ ชตุ ตรา …ใน~ผเู ปน พหสู ตู , สามาวดี ทพิ ยจกั ษ,ุ พระภทั ทากณุ ฑลเกสา … …ใน~ผูม ปี กติอยดู วยเมตตา, อุตตรา ใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระภทั ทากปล านี นันทมารดา …ใน~ผูบําเพ็ญฌาน, (ภทั ทกาปล านี กว็ า ) …ใน~ผรู ะลกึ บพุ เพ- สุปปวาสาโกลิยธดิ า …ใน~ผถู วายของ นวิ าส, พระภทั ทากจั จานา …ใน~ผบู รรลุ ประณีต, สุปปย าอบุ าสกิ า …ใน~ผูเปน มหาอภญิ ญา, พระกสี าโคตมี …ใน~ผู คลิ านปุ ฏ ฐาก, กาตยิ านี …ใน~ผมู ปี สาทะ ทรงจวี รเศรา หมอง, พระสคิ าลมารดา … ไมห วนั่ ไหว, นกลุ มารดาคหปตานี …ใน ใน~ผมู ศี รทั ธาสนทิ แนว (ศรทั ธาธมิ ตุ ) ~ผูสนิทคุนเคย, กาฬีอุบาสิกา ชาว ๓. อบุ าสกบรษิ ทั กุรรฆรนคร …ใน~ผูม ีปสาทะดวยสดับ ตปสุ สะและภลั ลกิ ะ สองวาณชิ เปน คาํ กลาวขาน; เทยี บ อสตี มิ หาสาวก เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผูถ ึง เอตทัคคฐาน ตําแหนงเอตทัคคะ, สรณะเปน ปฐม, สุทัตตะอนาถปณฑิก- ตําแหนง ท่ีไ ดรับยกยองจากพระ คหบดี …ใน~ผเู ปนทายก, จิตตะคหบดี พุทธเจา วา เปนเลิศในคุณนนั้ ๆ ชาวเมืองมัจฉิกาสณฑ …ใน~ผูเปน เอหปิ สสฺ โิ ก (พระธรรม) ควรเรียกใหม าดู ธรรมกถกึ , หัตถกะอาฬวกะ …ใน~ผู คือ เชิญชวนใหมาชม เหมือนของดี สงเคราะหบริษัทดวยสังคหวัตถุ ๔, วิเศษท่ีควรปา วรองใหม าดู หรอื ทาทาย มหานามะเจา ศากยะ …ใน~ผูถวายของ ตอการพิสูจน เพราะเปน ของจรงิ และดี ประณีต, อุคคะคหบดี ชาวเมืองเวสาลี จรงิ (ขอ ๔ ในธรรมคุณ ๖) …ใน~ผูถวายของท่ี[ตัวผูถวายเอง]ชอบ เอหิภิกขุ เปนคําเรียกภิกษุท่ีไดรับ ใจ, อุคคตะคหบดี …ใน~ผูเปนสังฆ- อุปสมบทจากพระพุทธเจาโดยตรงดวย อปุ ฏ ฐาก, สรู ะอมั พฏั ฐะ …ใน~ผมู ปี สาทะ วิธีบวชท่ีเรียกวา เอหิภิกขุอุปสัมปทา; ไมหวน่ั ไหว, ชวี กโกมารภจั จ …ใน~ผู พระอัญญาโกณฑัญญะ เปนเอหิภิกขุ เลื่อมใส[เลือกตัว]บุคคล, นกุล-บิดา องคแ รก คหบดี …ใน~ผูสนิทคนุ เคย เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา วธิ อี ุปสมบทท่ีพระ ๔. อบุ าสกิ าบรษิ ทั พุทธเจาประทานดวยพระองคเองดวย สชุ าดาเสนานธี ดิ า เปน เอตทคั คะ ใน การเปลง พระวาจาวา “ทา นจงเปนภิกษุ บรรดาอบุ าสกิ าสาวกิ าผถู งึ สรณะเปน ปฐม, มาเถดิ ธรรมอันเรากลาวดีแลว ทานจง
เอหิภิกษุ ๕๗๓ โอธานสโมธาน ประพฤติพรหมจรรยเพื่อทําท่ีสุดทุกข องค ๕ อีกหมวดหนง่ึ วา เปน อลัชชีเปน โดยชอบเถดิ ” วิธนี ้ี ทรงประทานแกพระ พาล มิใชป กตตั ตะ กลาวดว ยปรารถนา อญั ญาโกณฑัญญะ เปน บคุ คลแรก; ดู จะกาํ จดั มใิ ชเปน ผูมีความปรารถนาใน อปุ สัมปทา อนั ใหอ อกจากอาบัติ เอหภิ กิ ษุ ดู เอหิภิกขุ โอกาสโลก โลกอันกําหนดดวยโอกาส, โอกกันตกิ าปติ ปต เิ ปน ระลอก, ความอม่ิ โลกอันมีในอวกาศ, โลกซึ่งเปนโอกาส ใจเปนพักๆ เม่ือเกิดข้ึนทาํ ใหรูสึกซูซา แกสตั วท้งั หลายท่จี ะอยอู าศัย, โลกคือ เหมอื นคลน่ื กระทบฝง (ขอ ๓ ในปต ิ ๕) แผนดินอันเปนที่อยูอาศัยของสัตวทั้ง โอกกากราช กษัตริยผูเปนตนสกุลของ หลาย, จกั รวาล (ขอ ๓ ในโลก ๓) โอฆะ หว งน้ําคือสงสาร, หว งนํา้ คือการ ศากยวงศ โอกาส ชอง, ที่วาง, ทาง, เวลาที่เหมาะ, เวียนวายตายเกิด; กิเลสอันเปนดุจ จังหวะ; ในวิธีระงับอนุวาทาธิกรณมี กระแสนํ้าหลากทวมใจสัตว มี ๔ คอื ระเบียบวา กอ นจะกลาวคําโจทนาคือคาํ กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา ฟองขึน้ ตอหนา สงฆ โจทกพึงขอโอกาส โอฏฐชะ อักษรเกดิ ทีร่ มิ ฝปาก คอื อุ อู ตอจําเลย คําขอโอกาสวา “กโรตุ เม และ ป ผ พ ภ ม อายสฺมา โอกาสํ, อหนฺตํ วตฺตุกาโม” โอตตัปปะ ความกลวั บาป, ความเกรง แปลวา “ขอทานจงทาํ โอกาสแกข า พเจา กลัวตอทจุ รติ , ความเกรงกลวั ความชวั่ ขาพเจา ใครจ ะกลา วกะทา น” ถา โจทโดย เหมือนกลัวอสรพิษ ไมอยากเขาใกล ไมขอโอกาส ตองอาบตั ิทุกกฏ คาํ ให พยายามหลกี ใหห า งไกล (ขอ ๒ ในธรรม โอกาส ทานไมไดแสดงไว อาจใชวา คมุ ครองโลก ๒, ขอ ๔ ในอรยิ ทรพั ย ๗, “กโรมิ อายสมฺ โต โอกาส”ํ แปลวา ขอ ๓ ในสทั ธรรม ๗) “ขาพเจาทาํ โอกาสแกทา น”; ภกิ ษุพรอ ม โอธานสโมธาน ชื่อปริวาสประเภท ดว ยองค ๕ แมจะขอใหท าํ โอกาสก็ไม สโมธานปรวิ าสอยา งหนงึ่ ใชส าํ หรบั อาบตั ิ ควรทาํ (คือไมควรใหโ อกาส) กลา วคือ สังฆาทิเสสท่ตี องหลายคราวแตม ีจาํ นวน เปนผูมีความประพฤติทางกายไม วนั ทป่ี ด ไวเ ทา กนั เชน ตอ งอาบตั ิ ๒ คราว บริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาไม ปด ไวค ราวละ ๕ วนั ใหข อปรวิ าสรวม บริสุทธิ์ มอี าชวี ะไมบ ริสุทธิ์ เปน ผูเขลา อาบตั แิ ละราตรเี ขา ดว ยกนั เพอ่ื อยเู พยี ง ๕ ถูกซักเขา ไมอาจใหคําตอบขอท่ีซัก, วนั เทา นน้ั , (แตต ามนยั อรรถกถาทา นแก
โอธิโสผรณา ๕๗๔ โอวาทปาฏิโมกข วา สาํ หรบั อนั ตราบตั มิ วี นั ปด ทป่ี ระมวล กระทาํ โอภาส ณ ทตี่ า งๆ หลายแหง ซึง่ เขา กบั อาบตั เิ ดมิ ); ดู สโมธานปรวิ าส ถาพระอานนทเขาใจ กจ็ ะทลู ขอใหท รง โอธโิ สผรณา “แผโ ดยมีขอบเขต”, เมตตา ดํารงพระชนมอ ยตู ลอด[อายุ]กัป ท่ีต้ังใจแผไ ปตอ สตั วทงั้ หลายอยางจาํ กัด โอมสวาท [โอ-มะ-สะ-วาด] พดู เสยี ดแทง ขอบเขต เชนวา ขอใหชนชาวเขา จงมี ใหเจ็บใจหรือใหไดความอัปยศ ไดแก ความสขุ , ขอใหเ หลา พอ คา จงมคี วามสขุ , การพดู แดกหรอื ประชดกต็ าม ดา กต็ าม ขอใหเ ตาปลา จงมคี วามสขุ , บางทเี รยี ก กระทบถงึ อกั โกสวตั ถุ ๑๐ ประการ มี “โอทสิ สกผรณา” (แผไ ปเจาะจง); เทียบ ชาตกิ าํ เนดิ ชอ่ื ตระกลู เปน ตน ภกิ ษุ อโนธโิ สผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเ มตตา, ก ล า ว โ อ ม ส ว า ท แ ก ภิ ก ษุ ต อ ง อ า บั ติ วกิ พุ พนา, สมี าสมั เภท ปาจิตตีย แกอนุปสัมบันตองอาบัติ ทกุ กฏตามสกิ ขาบทที่ ๒ แหง มสุ าวาท โอปนยิโก (พระธรรม) ควรนอมเขา มา ไวในใจ หรือนอมใจเขาไปใหถึงดวย วรรคปาจติ ตยิ กณั ฑ การปฏิบัติใหเกิดขึ้นในใจ หรือใหใจ โอรส “ผูเ กดิ แตอ ก”, ลกู ชาย บรรลถุ งึ อยา งนนั้ (ขอ ๕ ในธรรมคณุ ๖) โอรัมภาคิยสังโยชน สังโยชนเบื้องต่ํา, โอปปาตกิ ะ สตั วเกิดผดุ ขึน้ คือ เกดิ ผุด กิเลสผกู ใจสัตวอยางหยาบ มี ๕ อยา ง ข้ึนมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม คอื สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พต- ตองมีเช้ือหรือซากปรากฏ เชนเทวดา ปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ; ดู สังโยชน และสตั วน รก เปน ตน (ขอ ๔ ในโยนิ ๔); โอวาท คาํ กลาวสอน, คาํ แนะนาํ , คํา บาลวี า รวมทง้ั มนษุ ยบางพวก ตกั เตอื น; โอวาทของพระพทุ ธเจา ๓ คอื โอปกกฺ มกิ า อาพาธา ความเจบ็ ไขเ กดิ ๑. เวนจากทุจริต คือประพฤติช่วั ดวย จากความพยายามหรือจากคนทําให, กายวาจาใจ (=ไมทําความช่ัวท้ังปวง) เจ็บปวยเพราะการกระทําของคนคือตน ๒. ประกอบสุจรติ คอื ประพฤตชิ อบ เองเพยี รเกนิ กาํ ลงั หรอื ถกู เขากระทาํ เชน ดว ยกายวาจาใจ (=ทําแตความดี) ๓. ถูกจองจํา ใสข ือ่ คา เปน ตน ; ดูอาพาธ ทําใจของตนใหหมดจดจากเคร่ืองเศรา โอภาส 1. แสงสวาง, แสงสุกใส ผุดผอง หมอง มีโลภ โกรธ หลง เปนตน (=ทาํ (ขอ ๑ ในวิปสสนปู กิเลส ๑๐) 2. การ จติ ตของตนใหส ะอาดบรสิ ุทธ)์ิ โอวาท พูดหรือแสดงออกที่เปนเชิงเปดชองทาง ๓ น้ี รวมอยใู น โอวาทปาฏโิ มกข หรือใหโอกาส เชนท่ีพระพุทธเจาทรง โอวาทปาฏโิ มกข [โอ-วา-ทะ-ปา-ต-ิ โมก]
โอวาทปาติโมกข ๕๗๕ โอสารณา หลักคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา ไมช ่อื วา เปนบรรพชติ , ผูเบียดเบียนคน หรือคําสอนอันเปนหัวใจของพระพุทธ อนื่ ไมช ื่อวาเปนสมณะ ศาสนา ไดแก พระพุทธพจน ๓ คาถากึ่ง การไมกลาวรา ย ๑ การไมทําราย ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรสั แกพ ระอรหนั ต ๑,๒๕๐ ๑ ความสาํ รวมในปาฏโิ มกข ๑ ความ รปู ผไู ปประชมุ กนั โดยมไิ ดน ดั หมาย ณ เปน ผรู จู ักประมาณในอาหาร ๑ ทนี่ ัง่ พระเวฬุวนาราม ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ ท่ี นอนอนั สงัด ๑ ความเพียรในอธจิ ิตต ๑ เราเรียกกันวาวันมาฆบูชา (อรรถกถา นเ้ี ปน คาํ สอนของพระพุทธเจา ทัง้ หลาย กลา ววา พระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาท- ท่เี ขา ใจกันโดยทว่ั ไป และจํากันได ปาฏโิ มกขน ้ี แกท ่ีประชมุ สงฆ เปน เวลา มาก กค็ อื ความในคาถาแรกทวี่ า ไมท าํ ๒๐ พรรษากอนท่จี ะโปรดใหส วดปาฏ-ิ ชั่ว ทาํ แตค วามดี ทาํ จิตตใ จใหผ อ งใส โมกขอยา งปจ จบุ ันนแี้ ทนตอ มา), คาถา โอวาทปาติโมกข ดู โอวาทปาฏิโมกข โอวาทวรรค ตอนที่วาดว ยเรอื่ งใหโ อวาท โอวาทปาฏโิ มกข มีดังน้ี สพฺพปาปสฺสอกรณํ กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา แกน างภิกษุณี เปนตน , เปนช่ือวรรคท่ี สจติ ฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ ฯ ๓ แหงปาจิตติยกัณฑ ในมหาวิภังค ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกขฺ า พระวนิ ัยปฎก นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา โอวาทานุสาสนี คาํ กลาวสอนและพราํ่ น หิ ปพพฺ ชิโต ปรูปฆาตี สอน, คําตักเตือนและแนะนําพรํา่ สอน สมโณ โหติ ปรํ วเิ หยนฺโต ฯ โอษฐ ปาก, รมิ ฝปาก อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาตโิ มกเฺ ข จ สํวโร โอสารณา การเรยี กเขา หม,ู เปน ชอ่ื สงั ฆ- มตตฺ ฺตุ าจ ภตตฺ สมฺ ึ ปนฺตจฺ สยนาสนํ กรรมจาํ พวกหนึง่ มีทั้งที่เปนอปโลกน- อธิจติ ฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ ฯ กรรม (เชน การรับสามเณรผกู ลาวตู แปล: การไมท าํ ความช่ัวทัง้ ปวง ๑ พระผูมีพระภาคเจาซ่ึงถูกนาสนะไปแลว การบําเพ็ญแตค วามดี ๑ การทําจิตต และเธอกลับตัวได) เปนญัตติกรรม ของตนใหผ อ งใส ๑ นี้เปนคําสอนของ (เชน เรยี กอุปสมั ปทาเปกขะทสี่ อนซอม พระพุทธเจา ท้งั หลาย อนั ตรายิกธรรมแลวเขาไปในสงฆ) เปน ขนั ติ คอื ความอดกล้ัน เปน ตบะ ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม (เชน หงายบาตรแก อยางยง่ิ , พระพุทธเจาทงั้ หลายกลาววา คฤหสั ถท ก่ี ลบั ตวั ประพฤตดิ )ี เปน ญตั ต-ิ นพิ พาน เปน บรมธรรม, ผูทํารา ยคนอ่นื จตตุ ถกรรม (เชน ระงับนคิ หกรรมทีไ่ ด
โอฬาริกรปู ๕๗๖ โอฬาริกรูป ทาํ แกภ กิ ษ)ุ ; คูกับ นิสสารณา โอฬาริกรูป ดทู ี่ รูป ๒๘
แถลงการจัดทาํ หนงั สือ ประกาศพระคณุ ขอบคุณ และอนโุ มทนา หนังสือนเ้ี กิดขึ้นในเวลาเรงดวน แตสาํ เรจ็ ไดดวยความรวมแรงรวมใจของผรู ว มสาํ นักและดวยการใชวธิ ลี ดั คือ ขอใหพ ระเปรยี ญ ๔ รูป แหง สาํ นกั วัดพระพิเรนทร นาํ คาํ ศัพทท ้งั หลายในหนงั สอื ศัพทห ลกั สตู รภาษาไทย สําหรบั นกั ธรรมชน้ั ตรี ชน้ั โท และ ชนั้ เอก รวม ๓ เลม ไปเรยี งลําดับอักษรมา แลว ผูจัดทาํ ปรุงแตงขยายออกเปน พจนานุกรมพุทธศาสน เลมน้ี หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลม นนั้ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจ ดั พมิ พข น้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๓ ใน คราวทค่ี ณะสงฆเ พม่ิ วชิ าภาษาไทยเขา ในหลกั สตู รนกั ธรรมทงั้ สามชนั้ หนงั สอื แตล ะเลม แบง ออกเปน ๓ ภาค ตามวชิ า เรยี นของนกั ธรรม คอื พทุ ธประวตั ิ (อนพุ ทุ ธประวตั ิ และพทุ ธานพุ ทธประวตั )ิ ธรรม และวนิ ยั รวม ๓ เลม เปน ๙ ภาค มศี พั ทจ าํ นวนมาก แตค งจะเปน เพราะการจดั ทาํ และตพี มิ พเ รง รบี เกนิ ไป หนงั สอื จงึ ยงั ไมเ ขา รปู เทา ทค่ี วร ประจวบกบั ทาง คณะสงฆไ ดย กเลกิ วชิ าภาษาไทยเสยี อกี หนงั สอื ชดุ นจ้ี งึ ทง้ั ถกู ทอดทงิ้ และถกู หลงลมื เหตทุ ผ่ี จู ดั ทาํ มานกึ ถงึ หนงั สอื น้ี ก็ เพราะระหวา งน้ี กาํ ลงั เขยี น สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง คา งอยู จงึ มคี วามเกยี่ วขอ งกบั หนงั สอื จาํ พวกประมวล ศพั ทแ ละพจนานกุ รมอยบู อ ยๆ เมอื่ ปรารภกนั วา จะพมิ พห นงั สอื เปน ทรี่ ะลกึ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพทา นพระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต เจา อาวาสวดั พระพเิ รนทร เวลาผา นลว งไปกย็ งั ไมไ ดห นงั สอื ทจี่ ะพมิ พ ผจู ดั ทาํ นร้ี ตู วั วา อยใู นฐานะทจ่ี ะ ตอ งเปน เจา การในดา นการพมิ พ จงึ ไดพ ยายามมาแตต น ทจี่ ะหลกี เลยี่ งการพมิ พห นงั สอื ทตี่ นเขยี นหรอื มสี ว นรว มเขยี น ครนั้ เหน็ จวนตวั เขา คดิ วา หากนาํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลม ๙ ภาคนม้ี าปรบั ปรงุ ตกแตง เพยี งเลก็ นอ ย กจ็ ะ ไดห นงั สอื ทม่ี ปี ระโยชนพ อสมควร และขนาดเลม หนงั สอื กจ็ ะพอเหมาะแกง าน เมอ่ื นาํ มาหารอื กนั กไ็ ดร บั ความเหน็ ชอบ จงึ เรมิ่ ดาํ เนนิ การ เมอ่ื แรกตกลงใจนนั้ คดิ เพยี งวา นาํ ศพั ทท ง้ั หมดมาเรยี งลาํ ดบั ใหมเ ขา เปน ชดุ เดยี วกนั เทา นน้ั กค็ งเปน อนั เพยี งพอ จากนน้ั โหมตรวจเกลาอกี เพยี ง ๔–๕ วนั กค็ งเสรจ็ สนิ้ ทงั้ ตนเองกจ็ ะหลกี เลย่ี งจากความเปน ผเู ขยี นไดด ว ย แตเ มอื่ ทาํ จรงิ กลายเปน ใชเ วลาปรงุ แตง เพมิ่ เตมิ อยา งหนกั ถงึ คอ นเดอื นจงึ เสรจ็ จาํ ตอ งทาํ ตน ฉบบั ไป ทยอยตพี มิ พไ ป ขนาดหนงั สอื กข็ ยายจากทกี่ ะไวเ ดมิ ไปอกี มาก ศพั ทจ าํ นวนมากมายในศพั ทห ลกั สตู ร ทซ่ี าํ้ กนั และทเ่ี ปน คาํ สามญั ในภาษา ไทย ไดต ดั ทงิ้ เสยี มากมาย คาํ ทเ่ี หน็ ควรเพม่ิ กเ็ ตมิ เขา มาใหมเ ทา ทท่ี าํ ไดท นั คาํ ทมี่ อี ยแู ลว ซง่ึ เหน็ วา มขี อ ควรรอู กี กเ็ สรมิ และขยายออกไป กลายเปน หนงั สอื ใหมข นึ้ อกี เลม หนง่ึ มลี กั ษณะแปลกออกไปจากของเดมิ หลกี เลย่ี งความเปน ผเู ขยี น หรอื รว มเขยี นไมพ น อยา งไรกต็ าม เนอื้ หาในศพั ทห ลกั สตู รนนั้ กย็ งั คงเปน สว นประกอบเกอื บครง่ึ ตอ ครงึ่ ในหนงั สอื เลม นี้ เนอ้ื หาทมี่ าจากหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รเหลา นนั้ แยกตามแหลง ไดเ ปน ๓ พวกใหญ คอื พวกหนงึ่ เปน ความหมายและคาํ อธบิ ายทคี่ ดั จากหนงั สอื แบบเรยี นนกั ธรรม มี นวโกวาท และ วนิ ยั มขุ เปน ตน ซงึ่ สว นใหญเ ปน พระนพิ นธข อง สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส พวกทสี่ องไดแ กค าํ ไทยสามญั หรอื คาํ เกย่ี วกบั ภาษาและวรรณคดี ซง่ึ คดั คาํ จาํ กดั ความหรอื ความหมายมาจาก พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ พวกทสี่ ามคอื นอกจากนน้ั เปน คาํ อธบิ ายของทา นผรู วบรวมและเรยี บเรยี งหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รเหลา นนั้ เอง สว นครงึ่ หนง่ึ ทเี่ พมิ่ ใหม คดั หรอื ปรบั ปรงุ จาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ของพระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต) คอื ผจู ดั ทาํ นเ้ี องบา ง ปรงุ ขน้ึ ใหมส าํ หรบั คราวน้ี ซง่ึ บาง สว นอาจพอ งกบั ใน สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง อนั เปน วทิ ยาทานทจ่ี ะพมิ พอ อกตอ ไปบา ง ไดจ ากแหลง อน่ื ๆ รวม ทง้ั แบบเรยี นนกั ธรรมทกี่ ลา วมาแลว บา ง หนงั สอื นเี้ รยี ก พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ใหต า งจาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทไี่ ดจ ดั ทาํ และตพี มิ พไ ปกอ นแลว เพราะ พจนานกุ รมพุทธศาสตร แสดงเฉพาะขอ ทเี่ ปน หลกั หรอื หลกั การของพระพทุ ธศาสนา อนั ไดแกคําสอนทีเ่ ปน สาระสําคญั สว นหนังสอื เลมนร้ี วมเอาสง่ิ ทั้งหลายทเ่ี รยี กกนั โดยนามวาพระพุทธศาสนาเขามาอยางทั่วไป มีท้งั คําสอน ประวตั ิ กจิ การ พิธีกรรม และแมส งิ่ ทีไ่ มเ ก่ยี วกบั พระพุทธศาสนาโดยตรง อยางไรก็ตาม แม พจนานุกรมพทุ ธศาสน นีจ้ ะมขี อบขายกวา งขวางกวา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร แตก ็หยอนกวาในแงค วามลกึ และความละเอียด เพราะเขยี น
๕๗๘ แคพ อรู ตลอดจนมลี กั ษณะทางวิชาการนอ ยกวา เชน ไมไดแ สดงท่ีมา เปน ตน การทปี่ ลอยใหล กั ษณะเหลา นข้ี าดอยู นอกจากเพราะเวลาเรง รดั และขนาดหนงั สอื บงั คบั แลว ยงั เปน เพราะเหน็ วา เปน ลกั ษณะทพ่ี งึ มใี น สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง หรอื แม ฉบบั เล็ก ที่ทําอยกู อ นแลว แตยงั ไมเ สรจ็ อยางไรกด็ ี ดว ยเน้อื หาเทา ท่ีมีอยนู ้ี หวงั วา พจนานกุ รม พุทธศาสน คงจักสําเร็จประโยชนพ อสมควร โดยเฉพาะแกครแู ละนกั เรียนนกั ธรรม สมตามช่อื ทีไ่ ดต งั้ ไว การท่หี นังสือน้สี ําเร็จได นอกจากอาศัยคมั ภรี ภาษาบาลีท่ใี ชปรึกษาคนควา เปน หลกั ตนเดิมแลว ยงั ไดอ าศยั อุปการะแหงแบบเรยี น ตํารา และความชว ยเหลอื รวมงานของผเู ก่ียวขอ งหลายทา น ดงั ไดก ลา วแลว ณ โอกาสนี้ จึงขออนุสรพระคุณแหง สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ซ่งึ ไดท รงพระนพิ นธแบบ เรยี นนกั ธรรมไว อนั อํานวยความหมายและคําอธบิ ายแหง ศพั ทต างๆ ที่เกย่ี วกับพระธรรมวินยั จาํ นวนมาก มีทั้งที่ ทรงวางไวเปนแบบ และทรงแนะไวเปน แนว ขออนุโมทนาตอ คณะกรรมการชําระปทานุกรม ซ่งึ ทาํ ใหเกดิ มี พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ทอ่ี ํานวยความหมายแหง คําศพั ทท ม่ี ใี ชใ นภาษาไทย ขออนโุ มทนาขอบคณุ คณะผจู ดั ทาํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ของมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คอื อาจารยแปลก สนธริ กั ษ ปธ. ๙ อาจารยสวัสดิ์ พนิ ิจจนั ทร ปธ. ๙ อาจารยส ริ ิ เพ็ชรไชย ปธ. ๙ และพระมหาจาํ ลอง ภรู ิปฺโ (สารพัดนกึ ) พธ.บ., M.A. ผเู ก็บรวบรวมศพั ทและแสดงความหมายของศัพทไวไ ดเ ปนจาํ นวนมาก พระเปรยี ญ ๔ รปู คอื พระมหาอนิ ศร จนิ ตฺ าปโฺ พระมหาแถม กติ ตฺ ภิ ทโฺ ท พระมหาเฉลมิ าณจารี และ พระมหาอัมพร ธีรปโฺ เปนผเู หมาะสมทจ่ี ะรว มงานนี้ เพราะเคยเปนนักเรยี นรุนพิเศษแหงสาํ นักวดั พระพเิ รนทร ซง่ึ ไดม าเลา เรยี นตงั้ แตย งั เปน สามเณร และไดอ ยใู นความดแู ลรบั ผดิ ชอบอยา งใกลช ดิ ของพระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต ในฐานะท่ที า นเปน อาจารยใ หญแหง สํานักเรียน ทั้งส่ีรปู นี้ นอกจากเปน ผูจดั เรยี งลาํ ดับศัพทในเบ้ืองตน แลว ยงั ได ชวยตรวจปรูฟ และขวนขวายในดานธุรการอ่ืนๆ โดยตลอดจนหนังสือเสร็จ ช่ือวาเปนผูรวมจัดทําหนังสือ พจนานุกรมพทุ ธศาสน น้ี คณะวดั พระพเิ รนทร ทงั้ ฝา ยพระสงฆแ ละศษิ ย ไดช ว ยสนบั สนนุ ดว ยการบรจิ าครว มเปน ทนุ คา ตพี มิ พบ า ง กระทาํ ไวยาวจั การอยา งอนื่ บา ง โดยเฉพาะในเวลาทาํ งานเรง ดว นทตี่ อ งอทุ ศิ เวลาและกาํ ลงั ใหแ กง านอยา งเตม็ ทเี่ ชน นี้ ทางฝา ย พระสงฆ พระภกิ ษถุ วลั ย สมจติ โฺ ต และทางฝา ยศษิ ย นายสมาน คงประพนั ธ ไดช ว ยเออ้ื อาํ นวยใหเ กดิ สปั ปายะเปน อยา ง มาก แมท า นอนื่ ๆ ทมี่ กี ศุ ลเจตนาสนบั สนนุ อยหู า งๆ มพี ระภกิ ษฉุ าย ปฺ าทโี ป เปน ตน กข็ ออนโุ มทนาไว ณ ทนี่ ดี้ ว ย ขออนโุ มทนาตอ ทางโรงพมิ พรุงเรืองธรรม ท่ตี งั้ ใจตีพมิ พหนงั สอื เลมน้ี โดยฐานมีความสมั พันธกบั วัดพระ พเิ รนทรมาเปน เวลานาน และมีความรูจ กั คุน เคยกับทานพระครูปลดั สมยั โดยสวนตวั จึงสามารถตีพิมพใหเ สร็จทนั การ แมจ ะมีเวลาทํางานจาํ กดั อยา งยิ่ง ทง้ั น้ี ขออนโุ มทนาตลอดไปถงึ ผทู ํางานทง้ั หลาย มีชางเรียง เปนตน ท่ีมีนาํ้ ใจ ชว ยแทรกขอความท่ีขอเพมิ่ เตมิ เขา บอ ยๆ ในระหวา งปรฟู โดยเรยี บรอย ทั้งที่เปน เร่ืองยงุ ยากสาํ หรับงานที่เรง ทางฝา ยการเงินแจง วา ทนุ ทม่ี ผี ูบริจาคชวยคา ตพี มิ พห นงั สอื ยังมไี มถ งึ ๑๐,๐๐๐.๐๐ บาท (หนง่ึ หมนื่ บาท) “ทนุ พิมพพทุ ธศาสนปกรณ” ไดทราบจงึ มอบทุนชว ยคา ตีพิมพเปน เงนิ ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท) ทนุ พมิ พพุทธศาสนปกรณน้นั เกิดจากเงนิ ทพี่ ทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยในสหรฐั อเมรกิ า (สวนมาก คอื เมือง นิวยอรค ชิคาโก ฟล าเดลเฟย และบางเมอื งในนวิ เจอรซี) บริจาคเพือ่ เปน คาเดนิ ทางและคา ใชจายสว นตัวของผูจ ดั ทํา หนงั สือนใ้ี นโอกาสตางๆ และผจู ดั ทาํ ไดย กตง้ั อุทิศเปน ทุนพมิ พห นังสอื ทางพระศาสนาซงึ่ คิดวาจะเปนประโยชนมาก กวา การนําทุนนั้นมาชวยคาพิมพหนังสือเลมน้ี แมเปนเรื่องฉุกเฉินนอกเหนือจากโครงการ แตก็ยังอยูในวัตถุ ประสงค จงึ ขออุทิศกุศล ขออาํ นาจบญุ ราศอี ันเกิดจากการจัดทาํ และจดั พิมพหนังสอื นี้ จงเปนพลวปจ จัย อาํ นวยให ทา นพระครปู ลดั สมัย กติ ฺตทิ ตฺโต ประสบสุขสมบตั ิในสมั ปรายภพ ตามควรแกค ติวิสยั ทกุ ประการฯ ผูจ ัดทาํ
ความเปน มาของ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร เม่อื พ.ศ. ๒๕๐๖ พระมหาประยทุ ธ ปยตุ ฺโต ไดจัดทาํ พจนานกุ รมศพั ทพ ระพทุ ธศาสนา ไทย–บาล–ี องั กฤษ เลมเลก็ ๆ เลม หนึง่ เสรจ็ สิ้น (เปน ฉบับที่มงุ คาํ แปลภาษาอังกฤษ ไมมีคาํ อธิบาย ตอมาไดเริ่มขยายใหพ สิ ดาร ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ แตพ ิมพถงึ อกั ษร ฐ เทาน้ันกช็ ะงกั ) และในเดือนกนั ยายน ปเดยี วกันนั้น กไ็ ดเรม่ิ งานจดั ทํา พจนานุกรมพระพุทธศาสนา ท่ีมีคาํ อธิบาย ๒ ภาษา คือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พรอ มทัง้ หมวดธรรม แตเมื่อทาํ จบเพียงอักษร บ ก็ตองหยุดคางไว เพราะไดรับการแตงต้ังโดยไมรูตัวใหเปนผูชวยเลขาธิการมหาจฬุ าลงกรณ- ราชวิทยาลยั แลว หันไปทุมเทกาํ ลังและอทุ ิศเวลาใหก บั งานดานการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๕ จงึ ไดหวนมาพยายามรอ้ื ฟน งานพจนานุกรมข้ึนอกี คราวนนั้ พระมหาสมบรู ณ สมปฺ ณุ โฺ ณ (ตอ มาเปน พระวสิ ทุ ธสิ มโพธิ ดาํ รงตาํ แหนง รองเลขาธกิ ารมหาจฬุ าลงกรณ- ราชวทิ ยาลยั ) มองเห็นวา งานมีเคา ท่ีจะพสิ ดารและจะกินเวลายาวนานมาก จึงไดอาราธนาพระมหาประยทุ ธ (เวลานนั้ เปนพระศรีวิสุทธิโมลี และตอมาเลื่อนเปนพระราชวรมุน)ี ขอใหท าํ พจนานุกรมขนาดยอมข้นึ มาใชก นั ไปพลางกอ น พระศรวี สิ ทุ ธโิ มลี ตกลงทาํ งานแทรกนน้ั จนเสรจ็ ใหช อื่ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร มลี กั ษณะเนน เฉพาะการรวบรวม หลกั ธรรม โดยจดั เปน หมวดๆ เรยี งตามลาํ ดบั เลขจาํ นวน และในแตล ะหมวดเรยี งตามลาํ ดบั อกั ษร แลว ไดม อบงานและ มอบทนุ สว นหนง่ึ ใหม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั จดั พมิ พเ ผยแพร จาํ หนา ยเกบ็ ผลประโยชนบ าํ รงุ การศกึ ษาของพระภกิ ษุ สามเณร เรมิ่ พมิ พต ง้ั แต พ.ศ. ๒๕๑๕ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๘ จงึ เสรจ็ ตอ มา พ.ศ. ๒๕๒๒ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ขออนุญาตพิมพแ จกเปน ธรรมทาน ๘,๐๐๐ เลม นอกจากนน้ั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจ ดั จาํ หนา ยเพม่ิ ขนึ้ และผเู รยี บเรยี งเองจดั แจกเปน ธรรมทานเพ่ิมเติมบาง เปน รายยอย หนงั สอื หมดสิน้ ขาดคราวในเวลาไมน าน สว นงานจัดทํา พจนานุกรมพทุ ธศาสนา ฉบบั เดิม ยงั คงคา งอยูสืบมาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๑ ผจู ัดทาํ จึงมี โอกาสรื้อฟน ขึน้ อกี คราวนี้เขียนเริม่ ตน ใหมทงั้ หมด เนน คําอธิบายภาษาไทย สวนภาษาองั กฤษมีเพยี งคําแปลศพั ท หรือความหมายสน้ั ๆ งานขยายจนมลี กั ษณะเปนสารานกุ รม เขียนไปไดถงึ อกั ษร ข มีเนือ้ ความประมาณ ๑๑๐ หนา กระดาษพมิ พด ีดพับสาม (ไมน บั คาํ อธบิ ายศพั ทจ าํ พวกประวัติ อกี ๗๐ หนา ) ก็หยุดชะงัก เพราะในป พ.ศ. ๒๕๒๑ นนั้ เอง มเี หตุใหต องหันไปเรงรดั งานปรบั ปรงุ และขยายความหนังสอื พุทธธรรม ซง่ึ กินเวลายดื เยือ้ มาจนถึงพิมพเ สรจ็ รวมประมาณสามป งานพจนานุกรมจึงคางอยูเพยี งนั้นและจึงยังไมไดจดั พมิ พ อีกดา นหน่ึง เม่ือวดั พระพเิ รนทรจ ดั งานรับพระราชทานเพลิงศพ พระครปู ลัดสมยั กิตตฺ ทิ ตโฺ ต เจาอาวาส วดั พระพเิ รนทร ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชวรมนุ ี ไดจ ดั ทําพจนานกุ รม ประเภทงานแทรกและเรง ดวนขน้ึ อกี เลมหนึง่ เปน ประมวลศพั ทใ นหนงั สอื เรยี นนักธรรมทกุ ช้นั และเพม่ิ ศัพทท คี่ วรทราบในระดับเดียวกันเขา อกี จาํ นวนหนึง่ ตง้ั ชอ่ื วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับครู นกั เรียน นกั ธรรม มีเน้ือหา ๓๗๓ หนา เทา ๆ กนั กบั พจนานุกรมพทุ ธศาสตร (๓๗๔ หนา) เสมือนเขาชุดเปนคูกัน เลมพิมพกอนเปนท่ีประมวลธรรมซ่ึงเปนหลกั การหรอื สาระสาํ คญั ของพระ พทุ ธศาสนา สว นเลม พมิ พห ลงั เปน ทป่ี ระมวลศพั ทท วั่ ไปเกยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนา อธิบายพอใชประโยชนอ ยา งพืน้ ๆ ไม กวางขวางลึกซงึ้ ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ มที า นผศู รทั ธาเหน็ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ขาดคราว จงึ ขอพมิ พแ จกเปน ธรรมทาน มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดท ราบ กข็ อรว มสมทบพมิ พด ว ย เพอื่ ไดท าํ หนา ทส่ี ง เสรมิ วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา กบั ทงั้ จะไดเ กบ็ ผลกาํ ไรบาํ รงุ การศกึ ษาในสถาบนั และไดข ยายขอบเขตออกไปโดยขอพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู นกั เรยี น นักธรรม ดวย แตผเู รยี บเรยี งประสงคจ ะปรบั ปรงุ แกไ ขเพ่มิ เติมหนังสอื ทัง้ สองเลม น้ันกอน อกี ท้งั ยงั มงี าน อนื่ ยุง อยูด วย ยงั เรม่ิ งานปรับปรุงทันทไี มได จึงตอ งร้ังรอจนเวลาลวงมาชานาน คร้นั ไดโ อกาสก็ปรับปรงุ เพมิ่ เติม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: