Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

เยวาปนกธรรม ๓๓๐ โยนก อธกิ รณสมถะ โยคกิเลสทง้ั ๔ จําพวก; ดู โยคะ, เกษม เยวาปนกธรรม “ก็หรือวาธรรมแมอื่น จากโยคธรรม ใด” หมายถึงธรรมจาํ พวกที่กําหนดแน โยคธรรม ธรรมคือกิเลสเคร่ืองประกอบ ไมไ ดว า ขอ ไหนจะเกิดขึน้ ไดแก เจตสิก ในขอ ความวา “เกษมจากโยคธรรม” คือ ๑๖ เปนพวกท่ีเกิดในกศุ ลจติ ๙ คอื ๑. ความพน ภยั จากกิเลส; ดู โยคะ ฉนั ทะ ๒. อธิโมกข ๓. มนสิการ ๔. โยคักเขมะ ดู โยคเกษม อเุ บกขา (ตตั รมัชฌัตตตา) ๕. กรณุ า ๖. โยคาวจร ผหู ยง่ั ลงสคู วามเพยี ร, ผปู ระกอบ มทุ ิตา ๗. สัมมาวาจา (วจีทุจรติ วริ ัต)ิ ๘. ความเพยี ร, ผเู จรญิ ภาวนา คอื กาํ ลงั ปฏบิ ตั ิ สัมมากัมมันตะ (กายทุจริตวิรัติ) ๙. สมถกรรมฐานและวิปสสนากัมมัฏฐาน สัมมาอาชีวะ (มจิ ฉาชีววริ ตั )ิ เปนพวกที่ เขยี น โยคาพจร กม็ ี เกิดในอกศุ ลจิต ๑๐ คือ ๑. ฉันทะ ๒. โยคี ฤษ,ี ผูปฏบิ ตั ติ ามลทั ธโิ ยคะ; ผู อธิโมกข ๓. มนสกิ าร ๔. มานะ ๕. ประกอบความเพียร; ดู โยคาวจร อิสสา ๖. มัจฉรยิ ะ ๗. ถนี ะ ๘. มทิ ธะ ๙. โยชน ช่ือมาตราวดั ระยะทาง เทา กบั ๔ อทุ ธจั จะ ๑๐. กกุ กจุ จะ นบั เฉพาะท่ไี มซ้าํ คาวตุ หรอื ๔๐๐ เสน โยธา ทหาร, นกั รบ (คือเวน ๓ ขอ แรก) เปน ๑๖ เย่ยี ง อยา ง, แบบ, เชน โยนก อาณาจกั รโบราณทางทศิ พายพั ของ โยคะ 1. กิเลสเครื่องประกอบ คือ ชมพทู วีป (ปจจบุ นั อยูใ นเขตอาฟกาน-ิ ประกอบสัตวไวใ นภพ หรือผกู สัตวด ุจ สถาน และอุซเบกิสถานกับตาจิกสิ ถาน เทยี มไวก บั แอก มี ๔ คอื ๑. กาม ๒. แหงเอเชียกลาง) ช่ือวาบากเตรีย ภพ ๓. ทฏิ ฐิ ๔. อวิชชา 2. ความเพียร (Bactria; เรียก Bactriana or โยคเกษม, โยคเกษมธรรม ธรรมอัน Zariaspa กม็ )ี มเี มอื งหลวงชอื่ บากตรา เปนแดนเกษมจากโยคะ” ความหมาย (Bactra ปจ จบุ นั เรยี กวา Balkh อยูใน สามัญวาความปลอดโปรงโลงใจหรือสุข ภาคเหนือของอาฟกานิสถาน), เปน ดิน กายสบายใจ เพราะปราศจากภัย แดนที่ชนชาติอารยันเขามาครอง แลว อันตรายหรือลวงพนสิ่งที่นาพรั่นกลัว ตกอยูใตอํานาจของจักรวรรดิเปอรเซีย มาถงึ สถานทปี่ ลอดภยั ; ในความหมาย โบราณ และคงเนอื่ งจากมชี นชาตกิ รกี เผา ขัน้ สูงสุด มุงเอาพระนพิ พาน อันเปน Ionians มาอยอู าศยั มาก ทางชมพทู วปี ธรรมท่ีเกษมคือโปรงโลงปลอดภัยจาก จงึ เรยี กวา “โยนก” (ในคมั ภรี บ าลเี รียกวา

โยนก ๓๓๑ โยนก โยนก บาง โยนะ บา ง ยวนะ บา ง ซง่ึ มา ตั้งราชวงศโมริยะ (รูปสันสกฤตเปน จากคาํ วา “Ionian” นั่นเอง) เมารยะ) ขน้ึ ในปท ี่ ๓๒๑ กอ น ค.ศ. (พ.ศ. ๑๖๘) แลว ยกทพั มาเผชญิ กับแม เฉพาะอยา งยงิ่ เมอ่ื พระเจา อเลกซาน- ทัพใหญของอเลกซานเดอร ชื่อซีลูคัส เดอรม หาราช (Alexander the Great) (Seleucus) ที่มอี าํ นาจปกครองดนิ แดน กษัตริยกรีก ยกทัพแผอํานาจมาทาง แถบตะวนั ออกรวมทง้ั โยนกและคนั ธาระ ตะวันออก ลมจกั รวรรดเิ ปอรเ ซยี ลงได นนั้ (ตอ มาไดเ ปน กษตั รยิ แ หง บาบโิ ลเนีย ในปที่ ๓๓๑ กอ น ค.ศ. (ประมาณ ถือกันวาเปนกษัตริยแหงซีเรียโบราณ) พ.ศ.๑๕๘) แลว จะมาตชี มพทู วปี ผา น ซีลูคัสไดยอมยกคันธาระใหแกจันทร- บากเตรียซ่ึงเคยข้ึนกับเปอรเซียมา คุปต แมวาโยนกก็คงจะไดมาขึ้นตอ ประมาณ ๒๐๐ ป ก็ไดบ ากเตรียคือ มคธดวย ดังที่ศิลาจารึกของพระเจา แควน โยนกนัน้ ในปท ่ี ๓๒๙ กอน ค.ศ. อโศก (ครองราชยพ.ศ.๒๑๘–๒๖๐) (พ.ศ. ๑๖๐) จากนนั้ จงึ ไปตง้ั ทพั ทเี่ มอื ง กลาวถึงแวนแควนของชาวโยนกในเขต ตกั ศลิ าในปท ่ี ๓๒๖ กอ น ค.ศ. เพอ่ื พระราชอํานาจ แตผูคนและวิถีชีวิตที่ เตรียมเขาตีอินเดีย แตในที่สุดทรงลม นั่นกย็ ังเปน แบบกรีกสบื มา เลิกพระดาํ รินั้น และยกทัพกลับในปท่ี ๓๒๕ กอ น ค.ศ. ระหวางทางเมื่อพกั ที่ เมื่อพระเจาอโศกทรงอุปถัมภการ กรุงบาบิโลน ไดประชวรหนักและ สังคายนาคร้งั ที่ ๓ ใน พ.ศ.๒๓๕ แลว สวรรคตเมือ่ ปที่ ๓๒๓ กอ น ค.ศ. แม พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระไดมอบ ทัพกรีกที่พระเจาอเลกซานเดอรตั้งไวดู ภาระใหพระสงฆไปเผยแพรพระศาสนา แลดนิ แดนทตี่ ไี ด กป็ กครองโยนกตอ มา ในดนิ แดนตา งๆ ๙ สาย (เราเรยี กกนั วา โยนกตลอดจนคันธาระที่อยูใตลงมา พระศาสนทตู ) อรรถกถากลาววา พระ (ปจจุบันอยูในอาฟกานิสถานและปากี- มหารักขิตเถระไดมายงั โยนกรฐั สถาน) จงึ เปน ดนิ แดนกรกี และมวี ัฒน- ธรรมกรีกเตม็ ที่ หลังรัชกาลพระเจาอโศกมหาราชไม เตม็ ครง่ึ ศตวรรษ ราชวงศโ มรยิ ะกส็ ลาย ตอ มาไมนาน เม่ือพระอัยกาของพระ ลง ในชว งเวลานั้น บากเตรียหรอื โยนก เจา อโศกมหาราช คือพระเจาจันทรคปุ ต ก็ไดตั้งอาณาจักรของตนเองเปนอิสระ (เอกสารกรกี เรียก Sandrocottos หรือ (ตําราฝายตะวันตกบอกในทํานองวา Sandrokottos) ขึ้นครองแควนมคธ บากเตรยี ไมไ ดม าขนึ้ ตอ มคธ ยงั ขน้ึ กบั

โยนิ ๓๓๒ โยม ราชวงศข องซลี คู สั จนถงึ ปท ่ี ๒๕๐ กอ น กลายเปนสวนหน่ึงแหงดินแดนของชน ค.ศ. ซ่ึงยังอยูในรัชกาลพระเจาอโศก ชาวมสุ ลมิ สบื มา ชือ่ โยนกก็เหลอื อยูแต บากเตรียจึงแยกตัว จากราชวงศของ ในประวตั ิศาสตร ซลี คู ัส ออกมาตงั้ เปน อสิ ระ แตศ ลิ าจารกึ โยนิ กาํ เนิดของสัตว มี ๔ จาํ พวก คอื ๑. ของพระเจาอโศกก็บอกชัดวา มีแวน ชลาพชุ ะ เกิดในครรภ เชน คน แมว แควน โยนกในพระราชอาํ นาจ อาจเปน ได ๒. อณั ฑชะ เกิดในไข เชน นก ไก ๓. วา โยนกในสมยั นน้ั มที งั้ สว นทขี่ นึ้ ตอ สงั เสทชะเกดิ ในไคล คอื ทชี่ นื้ แฉะสกปรก มคธ และสว นทข่ี นึ้ ตอ ราชวงศกรกี ของ เชน หนอนบางอยา ง ๔. โอปปาติกะ ซลี คู สั แลว แข็งขอแยกออกมา) จากนน้ั เกิดผุดขน้ึ เชน เทวดา สัตวน รก บากเตรียไดมีอํานาจมากข้ึน ถึงกับ โยนโิ ส โดยแยบคาย, โดยถองแท, โดย ขยายดินแดนเขามาในอินเดียภาคเหนือ วิธที ถี่ ูกตอ ง, ต้ังแตต นตลอดสาย, โดย ดังท่ีโยนกไดมีช่ือเดนอยูในประวัติ ตลอด ศาสตรพระพุทธศาสนาในสมัยของ โยนโิ สมนสกิ าร การทาํ ในใจโดยแยบคาย, พระเจา Menander ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชน กระทาํ ไวใ นใจโดยอบุ ายอนั แยบคาย, การ เรียกวา พญามิลินท ซ่ึงครองราชย พิจารณาโดยแยบคาย คอื พจิ ารณาเพอื่ (พ.ศ.๔๒๓-๔๕๓) ที่เมืองสาคละ เขาถึงความจริงโดยสืบคนหาเหตุผลไป (ปจ จบุ นั เรยี กวา Sialkot อยใู นแควน ตามลําดับจนถึงตนเหตุ แยกแยะองค ปญ จาบ ทเ่ี ปน สว นของปากสี ถาน) ประกอบจนมองเห็นตวั สภาวะและความ หลังรัชกาลพญามลิ ินทไ มน าน บาก สมั พนั ธแ หง เหตปุ จ จยั หรอื ตรติ รองใหร ู เตรียหรือโยนกตกเปนของชนเผาศกะที่ จักส่ิงท่ีดีที่ช่ัว ยังกุศลธรรมใหเกิดขึ้น เรร อ นรกุ รานเขา มา แลว ตอ มาก็เปนสวน โดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิใหเกิดอวิชชา หนึ่งของอาณาจักรกุษาณ (ท่ีมีราชายิ่ง และตณั หา, ความรจู กั คดิ , คดิ ถกู วธิ ;ี ใหญพระนามวากนิษกะ, ครองราชย เทียบ อโยนิโสมนสิการ พ.ศ.๖๒๑–๖๔๔) หลังจากน้ันก็มีการรกุ โยม คําที่พระสงฆใ ชเ รยี กคฤหัสถทีเ่ ปน รานจากภายนอกมาเปนระลอก จน บิดามารดาของตน หรือท่ีเปนผูใหญ กระท่ังประมาณ ค.ศ.๗๐๐ (ใกล คราวบิดามารดา บางทีใชข ยายออกไป พ.ศ.๑๓๐๐) กองทัพมุสลิมอาหรับยก เรียกผูมีศรัทธาซ่ึงอยูในฐานะเปนผู มาถึงและเขาครอบครอง โยนกก็ได อุปถมั ภบํารุงพระศาสนา โดยทว่ั ไปกม็ ;ี

โยมวัด ๓๓๓ รองเทา คําใชแทนช่ือบิดามารดาของพระสงฆ; โยมสงฆ คฤหัสถผูอปุ การพระท่วั ๆ ไป สรรพนามบุรุษท่ี ๑ สาํ หรับบิดามารดา โยมอุปฏฐาก คฤหัสถทแี่ สดงตนเปนผู พูดกะพระสงฆ (บางทผี ใู หญคราวบิดา อุปการะพระสงฆโดยเจาะจง อุปการะ มารดา หรือผูเก้อื กูลคนุ เคยกใ็ ช) รูปใด ก็เปน โยมอุปฏ ฐากของรปู น้ัน โยมวัด คฤหัสถท ่อี ยปู ฏิบตั ิพระในวดั ร รจนา แตง , ประพนั ธ เชน อาจารยผู รักษาตัว เชนในเวลาแดดจัด รจนาอรรถกถา คือผูแตงอรรถกถา รมณีย นาบันเทิงใจ, นา ร่นื รมย, นา สนกุ รตนะ ดู รตั นะ รส อารมณท ่ีรไู ดดวยล้นิ (ขอ ๔ ใน รตนปรติ ร ดู ปริตร อารมณ ๖), โดยปรยิ าย หมายถงึ ความ รตนวรรค ตอนท่ีวาดวยเร่ืองรัตนะ รูสกึ ชอบใจ เปน ตน เปน วรรคที่ ๙ แหง ปาจติ ตยิ กณั ฑ รองเทา ในพระวินัยกลาวถงึ รองเทา ไว ๒ ชนิดคือ ๑. ปาทกุ า แปลกนั วา “เขียง ในมหาวภิ ังค พระวินัยปฎก รตนวรรคสกิ ขาบท สกิ ขาบทในรตนวรรค เทา” (รองเทาไมห รือเก๊ยี ะ) ซ่ึงรวมไปถงึ รตนสตู ร ดู ปรติ ร รองเทาโลหะ รองเทา แกว หรอื รองเทา รติ ความยินดี ประดับแกว ตางๆ ตลอดจนรองเทาสาน รม สาํ หรับพระภกิ ษุ หา มใชร ม ทก่ี าววาว รองเทาถักหรือปกตางๆ สําหรับพระ เชน รมปก ดว ยไหมสีตางๆ และรมทม่ี ี ภิกษุหามใชปาทุกาทุกอยาง ยกเวน ระบายเปนเฟอง ควรใชของเรียบๆ ซง่ึ ปาทุกาไมที่ตรึงอยูกับที่สําหรับถาย ทรงอนุญาตใหใชไดในวัดและอุปจาระ อุจจาระหรือปสสาวะและเปนที่ชําระขึ้น แหงวัด หามกน้ั รมเขาบา น หรอื กนั้ เดนิ เหยยี บได ๒. อุปาหนา รองเทาสามัญ ตามถนนหนทางในละแวกบาน เวน แต สําหรับพระภิกษุทรงอนุญาตรองเทา เจบ็ ไข ถกู แดดถกู ฝนอาพาธจะกาํ เรบิ เชน หนังสามญั (ถา ชั้นเดยี ว หรือมากชั้นแต ปวดศรี ษะ ตลอดจน (ตามทอ่ี รรถกถา เปนของเกาใชไดท่ัวไป ถามากชั้นเปน ผอนผนั ให) กน้ั เพอ่ื กันจีวรเปย กฝนใน ของใหม ใชไดเฉพาะแตในปจจันต- เวลาฝนตก กน้ั เพือ่ ปองกนั ภยั กั้นเพอ่ื ชนบท) มสี ายรดั หรือใชค ีบดว ยนิ้ว ไม

รอยกรอง ๓๓๔ รัชกาล ปกหลงั เทา ไมป กสน ไมปกแขง นอก เปนตน เสียบเขาในระหวางใบตองท่ี จากน้ัน ตวั รองเทากต็ าม หหู รอื สายรัด เจียนไว แลวตรึงใหติดกันโดยรอบ ก็ตาม จะตองไมม สี ที ่ีตองหา ม (คอื สี แลวรอยประสมเขากับอยางอื่นเปนพวง ขาบ เหลอื ง แดง บานเย็น แสด ชมพู เชน พวงภชู ัน้ เปน ตวั อยาง ดํา) ไมขลิบดวยหนังสัตวท่ีตองหาม รอ ยผูก คือชอ ดอกไมแ ละกลมุ ดอกไมที่ (คอื หนงั ราชสีห เสือโครง เสอื เหลอื ง เขาเอาไมเสียบกานดอกไมแลวเอาดาย ชะมด นาค แมว คาง นกเคา) ไมย ัด พันหรือผูกทาํ ข้ึน นนุ ไมต รงึ หรอื ประดบั ดว ยขนนกกระทา รอยวง คือดอกไมท่ีรอยสวมดอกหรือ ขนนกยงู ไมม หี เู ปน ชอ ดงั เขาแกะเขาแพะ รอ ยแทงกานเปนสาย แลวผกู เขา เปนวง หรอื งามแมลงปอ ง รองเทาทผ่ี ดิ ระเบยี บ นีค้ ือพวงมาลัย เหลาน้ีถาแกไขใหถูกตองแลว เชน รอ ยเสยี บ คอื ดอกไมท รี่ อ ยสวมดอก เชน สํารอกสีออก เอาหนังที่ขลิบออกเสยี สายอบุ ะ หรอื พวงมาลยั มพี วงมาลัย เปน ตน กใ็ ชไ ด รองเทา ทถ่ี กู ลกั ษณะทรง ดอกปบ และดอกกรรณิการเ ปนตน หรอื อนุญาตใหใชไดในวัด สวนที่มิใชตอง ดอกไมที่ใชเสียบไม เชนพุมดอก หา มและในปา หา มสวมเขา บา น และถา พุทธชาด พุมดอกบานเย็นเปนตัวอยา ง เปนอาคันตุกะเขาไปในวัดอ่ืนก็ใหถอด ระยะบานหน่งึ ในประโยควา “โดยทสี่ ดุ ยกเวนแตฝาเทาบางเหยียบพื้นแข็งแลว แมสิ้นระยะบานหน่ึง เปนปาจิตติยะ” เจ็บ หรอื ในฤดรู อ น พน้ื รอนเหยียบแลว ระยะทางชว่ั ไกบ นิ ถงึ แตใ นทค่ี นอยคู บั คงั่ เทาพอง หรือในฤดูฝนไปในที่แฉะ ภกิ ษุ ใหกําหนดตามเครื่องกําหนดที่มีอยูโดย ผูอาพาธดวยโรคกษยั สวมกนั เทาเย็นได ปกตอิ ยางใดอยางหนึ่ง (เชนชือ่ หมูบา น) รอ ยกรอง ไดแกด อกไมท่รี อ ยถกั เปนตา ระลึกชอบ ดู สมั มาสติ รกั ขติ วนั ชือ่ ปาที่พระพุทธเจาเสดจ็ หลกี เปน ผืนท่เี รียกวา ตาขาย รอยคุม คือเอาดอกไมรอยเปนสายแลว ไปสําราญพระอิริยาบถเมื่อสงฆเมือง ควบหรือคมุ เขาเปนพวง เชน พวงอบุ ะ โกสัมพีแตกกนั ; ดู ปารเิ ลยยกะ สําหรับหอยปลายภู หรือสําหรับหอย รงั สฤษฏ สรา ง, แตงตงั้ ตามลาํ พงั เชน พะวง “ภูส าย” เปนตวั รงั สี แสง, แสงสวา ง, รศั มี อยาง; รอ ยควบ ก็เรียก รัชกาล เวลาครองราชสมบัติแหงพระ รอยตรึง คือเอาดอกไมเชนดอกมะลิ ราชาองคหนงึ่ ๆ

รัชทายาท ๓๓๕ รตั นตรัย รชั ทายาท ผจู ะสืบราชสมบัต,ิ ผูจะได ไมบ อก ๔. อเูน คเณ จรณํ ประพฤตใิ น ครองราชสมบัตสิ ืบตอ ไป คณะอันพรอ ง; สาํ หรับปรวิ าส มี ๓ คอื รัฏฐานุบาลโนบายราชธรรม ธรรม ๑. สหวาโส อยูรว ม ๒. วิปปฺ วาโส อยู ของพระราชา ซึ่งเปนวิธีปกครองบาน ปราศ ๓. อนาโรจนา ไมบ อก เมอื่ ขาด เมือง, หลักธรรมสาํ หรับพระราชาใชเ ปน ราตรีในวันใด กน็ บั วนั นนั้ เขา ในจํานวน แนวปกครองบา นเมือง วันท่ีจะตองอยูปริวาสหรือประพฤติ รัฏฐปาสะ ดู รฐั บาล มานตั น้นั ไมไ ด; ดูความหมายทีค่ าํ น้ันๆ รัฐชนบท ชนบทคอื แวนแควน รัตน, รัตนะ แกว , ของวเิ ศษหรือมีคา รฐั บาล พระมหาสาวกองคหนงึ่ เปน บตุ ร มาก, สิง่ ประเสรฐิ , สิ่งมคี าสูงยงิ่ เชน แหงตระกูลหัวหนาในถุลลโกฏฐิตนิคม พระรัตนตรัย และรัตนะของพระเจา ในแควน กรุ ุ ฟง ธรรมแลว มคี วามเลอ่ื มใส จักรพรรด;ิ ในประโยควา “ทรี่ ัตนะยงั ไม ในพระพุทธศาสนามาก ลาบดิ า มารดา ออก เปนปาจิตติยะ” หมายถึงพระ บวช แตไ มไดร บั อนุญาต เสียใจมาก มเหสี, พระราชินี และอดอาหารจะไดตายเสีย บิดามารดา รัตนฆรเจดีย เจดยี คือเรือนแกว อยูทาง จึงตองอนุญาต ออกบวชแลวไมนานก็ ทศิ ตะวันตกของรัตนจงกรมเจดีย หรือ ไดสาํ เร็จพระอรหตั ไดรบั ยกยองวา เปน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตนพระศรี- เอตทัคคะในทางบวชดวยศรัทธา มหาโพธิ์ ณ ท่ีนี้พระพุทธเจาทรง รัตตญั ู “ผรู รู าตร”ี คอื ผูเกา แก ผา นคนื พิจารณาพระอภิธรรมปฎ กสน้ิ ๗ วนั วันมามาก รกู าลยืดยาว มปี ระสบการณ (สัปดาหท่ี ๔ แหง การเสวยวิมตุ ติสขุ ); ดู ทันเรอื่ งเดมิ หรือรูเห็นเหตกุ ารณม าแต วมิ ุตติสุข ตน เชน พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ผูเปน รัตนจงกรมเจดีย เจดยี ค อื ทจ่ี งกรมแกว ปฐมสาวก ไดรับยกยองจากพระพุทธ อยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตน เจา วา เปน เอตทัคคะในทางรัตตัญู พระศรมี หาโพธ์ิ ระหวา งตน พระศรมี หาโพธิ์ รัตติกาล เวลากลางคืน กับอนิมิสเจดีย ณ ที่น้ีพระพุทธเจา รตั ตเิ ฉท การขาดราตรี หมายถงึ เหตขุ าด เสด็จจงกรมตลอด ๗ วนั (สปั ดาหที่ ๓ ราตรแี หงมานัต หรอื ปริวาส; สําหรับ แหงการเสวยวมิ ุตตสิ ุข); ดู วิมุตตสิ ุข มานตั มี ๔ คือ ๑. สหวาโส อยรู วม รัตนตรัย แกว ๓ ดวง, สิ่งมีคาและ ๒. วิปปฺ วาโส อยูปราศ ๓. อนาโรจนา เคารพบูชาสูงสุดของพทุ ธศาสนกิ ชน ๓

รัตนบัลลงั ก ๓๓๖ ราชธรรม อยา ง คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ สวย รักงาม แกดว ยเจรญิ กายคตาสติ รัตนบัลลังก บัลลังกท่ีพระพุทธเจา หรืออสุภกมั มฏั ฐาน (ขอ ๑ ในจริต ๖) ประทับน่ังตรัสรู, ที่ประทับใตตนพระ ราคา ชอื่ ลกู สาวพระยามาร อาสาพระยา ศรมี หาโพธิ มารเขาไปประโลมพระพุทธเจาดวย รศั มี แสงสวา ง, แสงทเี่ ห็นกระจายออก อาการตา งๆ พรอ มดว ยนางตณั หาและ เปนสายๆ, แสงสวา งท่พี วยพุงออกจาก นางอรดี ในขณะท่ีพระพทุ ธเจาประทบั จุดกลาง; เขียนอยา งบาลีเปน รังสี แต อยูท ่ตี น อชปาลนโิ ครธ หลังจากตรัสรู ในภาษาไทยใชในความหมายท่ีตางกัน ราคี ผูม ีความกาํ หนดั ; มลทิน, เศรา ออกไปบาง หมอง, มัวหมอง รสั สะ (สระ) มเี สยี งส้นั อันพึงวา โดย ราชการ กิจการงานของประเทศ หรอื ระยะสั้นก่ึงหนึ่งแหงสระท่ีมีเสียงยาว ของพระเจาแผนดิน, หนาท่ีหลั่งความ ในภาษาบาลี ไดแก อ อิ อ;ุ คูกบั ทีฆะ ยินดีแกประชาชน รากขวัญ สวนของรางกายท่ีเรียกวาไห ราชกมุ าร ลกู หลวง ปลารา ; ตาํ นานกลา ววา ในบรรดาพระ ราชคฤห นครหลวงของแควน มคธ เปน บรมสารีริกธาตุท้ังหลายนั้น พระราก นครทีม่ ีความเจรญิ รุงเรือง เตม็ ไปดว ย ขวัญเบ้ืองขวาข้ึนไปประดิษฐานอยูใน คณาจารยเจาลัทธิ พระพุทธเจาทรง จฬุ ามณเี จดยี  ณ ดาวดงึ สเทวโลก พระ เลือกเปนภูมิท่ีประดิษฐานพระพุทธ- รากขวญั เบอ้ื งซาย ข้นึ ไปประดษิ ฐานอยู ศาสนาเปน ปฐม พระเจา พิมพิสาร ราชา ในทุสสเจดีย (เจดียที่ฆฏิการพรหม แหง แควน มคธ ครองราชสมบตั ิ ณ นครน้ี สรางขึ้นไวก อนแลว ใหเปน ท่บี รรจุพระ ราชทณั ฑ โทษหลวง, อาญาหลวง ภษู าเครอื่ งทรงในฆราวาสทีพ่ ระโพธสิ ตั ว ราชเทวี พระมเหส,ี นางกษัตรยิ  สละในคราวเสด็จออกบรรพชา) ณ ราชธรรม ธรรมสําหรับพระเจา แผน ดนิ , พรหมโลก คุณสมบัติของนกั ปกครองทีด่ ี สามารถ ราคะ ความกําหนัด, ความติดใจหรือ ปกครองแผนดินโดยธรรมและยัง ความยอมใจติดอยู, ความติดใครใน ประโยชนสุขใหเกิดแกประชาชนจนเกิด อารมณ; ดู กามราคะ, รูปราคะ, อรปู - ความชื่นชมยนิ ดี มี ๑๐ ประการ (นยิ ม ราคะ เรยี กวา ทศพิธราชธรรม) คอื ๑. ทาน ราคจรติ พนื้ นสิ ยั ทหี่ นกั ในราคะ เชน รกั การใหท รพั ยส นิ สงิ่ ของ ๒. ศลี ประพฤติ

ราชธานี ๓๓๗ ราชปู ถมั ภ ดงี าม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสียสละ ๔. ราชสมบตั ิ สมบัติของพระราชา, สมบตั ิ อาชชวะ ความซื่อตรง ๕. มัททวะ คือความเปน พระราชา ความออนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช ราชสังคหวัตถุ สังคหวัตถขุ องพระราชา, เผากิเลสตณั หา ไมหมกมนุ ในความสุข หลักการสงเคราะหประชาชนของนักปก สาํ ราญ ๗. อกั โกธะ ความไมกรว้ิ โกรธ ครอง มี ๔ คือ ๑. สสั สเมธะ ฉลาด ๘. อวหิ ิงสา ความไมข มเหงเบียดเบียน บาํ รงุ ธญั ญาหาร ๒. ปุรสิ เมธะ ฉลาด ๙. ขนั ติ ความอดทนเขม แขง็ ไมท อ ถอย บํารุงขาราชการ ๓. สัมมาปาสะ ผูก ๑๐. อวโิ รธนะ ความไมค ลาดธรรม ผสานรวมใจประชา (ดวยการสงเสริม ราชธานี เมืองหลวง, นครหลวง สมั มาชพี ใหค นจนตงั้ ตวั ได) ๔. วาชไปยะ ราชิธิดา ลูกหญงิ ของพระเจา แผนดนิ มวี าทะดดู ดมื่ ใจ ราชนิเวศน ท่ีอยูของพระเจาแผนดิน, ราชสาสน หนังสือทางราชการของพระ พระราชวัง ราชา ราชบรวิ าร ผูแวดลอมพระราชา, ผหู อ ม ราชอาสน ที่นัง่ สําหรับพระเจาแผน ดนิ ราชา “ผยู งั เหลา ชนใหอมิ่ เอมใจ” หรอื “ผู ลอ มตดิ ตามพระราชา ราชบุตร ลูกชายของพระเจาแผนดนิ ทาํ ใหค นอนื่ มคี วามสขุ ”, พระเจา แผน ดนิ , ราชบุตรี ลูกหญงิ ของพระเจา แผน ดนิ ผูป กครองประเทศ ราชบุรุษ คนของพระเจาแผน ดิน ราชาณัติ คําสงั่ ของพระราชา ราชพลี ถวายเปนหลวง หรือบาํ รงุ ราชการ ราชาธริ าช พระราชาผเู ปน ใหญกวาพระ มีเสียภาษีอากร เปน ตน , การจดั สรรสละ ราชาอนื่ ๆ รายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเปนคาใชจาย ราชาภเิ ษก พระราชพธิ ใี นการขนึ้ สบื ราช- สําหรับชวยราชการดวยการเสียภาษี สมบตั ิ อากร เปน ตน , การบริจาครายไดหรอื ราชายตนะ ไมเ กต อยทู างทศิ ใตแ หงตน ทรัพยสวนหนึ่งเพื่อชวยเหลือกิจการ พระศรีมหาโพธิ์ ณ ท่ีน้ีพระพุทธเจา บานเมอื ง (ขอ ๔ แหงพลี ๕ ในโภค- ประทบั นงั่ เสวยวิมุตติสขุ ๗ วัน พอ คา อาทิยะ ๕) ๒ คน คือ ตปสุ สะกบั ภัลลกิ ะ ซงึ่ มา ราชภฏี ราชภฏั หญงิ , ขาราชการหญงิ จากอกุ กลชนบท ไดพ บพระพทุ ธเจา ทน่ี ;ี่ ราชภฏั ผอู นั พระราชาเลย้ี ง คอื ขา ราชการ ดู วิมุตติสุข ราชวโรงการ คําส่ังของพระราชา ราชูปถัมภ การที่พระราชาทรงเกื้อกูล

ราชปู โภค ๓๓๘ ราหลุ อุดหนุน สวนมากเปน มอญเองดวยโดยสญั ชาติ ราชูปโภค เครอื่ งใชส อยของพระราชา รามัญวงศ ชือ่ นิกายพระสงฆล งั กาทบ่ี วช ราโชวาท คําสัง่ สอนของพระราชา จากพระสงฆม อญ ราตรี กลางคืน, เวลามืดคํา่ รามายณะ เร่ืองราวของพระราม วา ดว ย ราธะ พระมหาสาวกองคห น่ึง เดิมเปน เร่ืองศึกระหวางพระรามกับทศกัณฐ พราหมณในเมืองราชคฤห เมื่อชราลง พระฤษวี าลมกี ิเปน ผแู ตง เปน ท่ีมาเร่อื ง ถูกบตุ รทอดท้งิ อยากจะบวชกไ็ มม ีภกิ ษุ รามเกียรติ์ของไทย รับบวชให เพราะเห็นวาเปน คนแกเ ฒา ราศี 1. ช่ือมาตราวัดจักรราศคี อื ๓๐ ราธะเสยี ใจ รา งกายซบู ซดี พระศาสดา องศาเปน ๑ ราศี และ ๑๒ ราศเี ปน ๑ ทรงทราบจึงตรสั ถามวา มีใครระลึกถงึ รอบจักรราศี (อาณาเขตโดยรอบดวง อุปการะของราธะไดบาง พระสารีบุตร อาทิตยท่ีดาวพระเคราะหเดิน); ราศี ระลึกถงึ ภิกษาทพั พีหนึ่งทร่ี าธะถวาย จึง ๑๒ น้ัน คือ ราศีเมษ (แกะ), พฤษภ รบั เปนอุปช ฌาย และราธะไดเปน บคุ คล (ววั ), เมถุน (คนคู), กรกฏ (ปู), สิงห แรกที่อุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม- (ราชสหี ) , กนั ย (หญงิ สาว) ตลุ (คนั่ ช่ัง), วาจา ทา นบวชแลว ไมนานกไ็ ดบ รรลพุ ระ พฤศจิก (แมลงปอง), ธนู (ธนู), มกร อรหตั พระราธะเปน ผวู า งา ย ตง้ั ใจรับฟง (มังกร), กุมภ (หมอ นํ้า) มนี (ปลา ๒ คาํ ส่ังสอน มีความสภุ าพออนโยน เปน ตวั ) 2. อาการท่รี ุงเรอื ง, ลักษณะทีด่ ีงาม ตัวอยางของภิกษุผูบวชเมอื่ แก ทงั้ พระ 3. กอง เชน บุญราศี วากองบญุ พทุ ธเจา และพระสารบี ตุ รกช็ มทา น ทา น ราหลุ พระมหาสาวกองคหน่งึ เปน โอรส เคยไดใ กลช ดิ พระพทุ ธเจา เคยทําหนาที่ ของเจา ชายสิทธตั ถะ คราวพระพทุ ธเจา เปนพุทธอุปฐาก ไดรับยกยองเปน เสด็จนครกบลิ พัสดุ ราหลุ กมุ ารเขา เฝา เอตทคั คะในทางกอ ใหเ กิดปฏภิ าณ ทูลขอทายาทสมบัติตามคําแนะนําของ รามคาม นครหลวงของแควน โกลยิ ะ บัด พระมารดา พระพุทธเจาจะประทาน นี้อยูในเขตประเทศเนปาล เปนที่ อรยิ ทรพั ย จงึ ใหพระสารีบุตรบวชราหุล ประดิษฐานสถูปบรรจุพระบรม- เปนสามเณร นับเปนสามเณรองคแรก สารีรกิ ธาตุแหงหนงึ่ ในพระพุทธศาสนา ตอ มาไดอุปสมบท รามญั นิกาย นกิ ายมอญ หมายถึงพระ เปนภิกษุไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะ สงฆผูสืบเช้ือสายมาจากรามัญประเทศ ในทางเปน ผใู ครต อ การศกึ ษา อรรถกถา

ริบราชบาตร ๓๓๙ รปู ๒๘ วาพระราหุลปรินิพพานในสวรรคชั้น รูป ๒๘ รูปธรรมทั้งหมดในรูปขันธ ดาวดึงสกอนพุทธปรินิพพานและกอน จําแนกออกไปตามนัยแหงอภิธรรมเปน การปรนิ ิพพานของพระสารบี ตุ ร ๒๘ อยา ง จัดเปน ๒ ประเภท คือ ริบราชบาตร เอาทรพั ยสนิ เปนของหลวง ก. มหาภูต ๔ รปู ใหญ, รปู ตนเดมิ คือ ตามกฎหมาย เพราะเจาของตองโทษ ธาตุ ๔ ไดแก ปฐวี อาโป เตโช และ แผน ดนิ วาโย ที่เรียกกันใหง ายวา ดิน นํ้า ไฟ รษิ ยา ความไมอ ยากใหคนอื่นไดด,ี เห็น ลม, ภูตรปู ๔ ก็เรียก (ในคัมภรี ไ มน ยิ ม เขาไดดีทนอยูไมได, เห็นผูอ่ืนไดดีไม เรียกวา มหาภูตรปู ) สบายใจ, คําเดมิ ในสนั สกฤตเปน อีรษฺ า พึงทราบวา ธาตุ ๔ คอื ปฐวี อาโป บาลใี ชว า อิสสฺ า (ขอ ๓ ในมละ ๙; ขอ เตโช วาโย หรือ ดนิ นํา้ ไฟ ลม อยางที่ ๘ ในสังโยชน ๑๐ หมวด ๒; ขอ ๗ ใน พดู กนั ในภาษาสามญั นน้ั เปน การกลาว อปุ กิเลส ๑๖) ถึงธาตุในลักษณะท่ีคนท่ัวไปจะเขาใจ รุกข, รกุ ขชาติ ตน ไม และสื่อสารกันได ตลอดจนท่ีจะใชให รุกขมูลิกังคะ องคแหงผูถืออยูโคนไม สําเร็จประโยชน เชน ในการเจริญ เปนวัตร ไมอยใู นทีม่ ุงบงั (ขอ ๙ ใน กรรมฐาน เปนตน แตใ นความหมายที่ ธดุ งค ๑๓) แทจ ริง ธาตเุ หลา นี้เปน สภาวะพ้นื ฐานที่ รจุ ิ ความชอบใจ มอี ยใู นรปู ธรรมทกุ อยาง เชน ปฐวีธาตุ รูป 1. สิ่งท่ีตองสลายไปเพราะปจจัย ท่ีเรียกใหสะดวกวาดินนั้น มีอยูแมแต ตางๆ อันขดั แยง, ส่ิงทีเ่ ปน รูปรางพรอม ในสิ่งที่เรียกกันสามัญวานํ้าวาลม ทง้ั ลักษณะอาการของมนั , สว นรา งกาย อาโปธาตุท่ีเรียกใหสะดวกวาน้าํ ก็เปน จาํ แนกเปน ๒๘ คอื มหาภตู หรือ ธาตุ สภาวะท่ีสัมผัสดวยกายไมได (เราไม ๔ และ อุปาทายรูป ๒๔ (= รูปขันธใน สามารถรับรูอาโปธาตุดวยประสาททัง้ ๕ ขนั ธ ๕); ดู รปู ๒๘ 2. อารมณทรี่ ูไ ด แตมันเปนสุขุมรูปที่รูดวยมโน) และ ดวยจกั ษุ, สิ่งทป่ี รากฏแกตา (ขอ ๑ ใน อาโปน้ันก็มอี ยูใ นรูปธรรมทั่วไป แมแ ต อารมณ ๖ หรอื ในอายตนะภายนอก ๖) ในกอนหนิ แหง ในกอ นเหล็กรอน และ 3. ลักษณนามใชเรยี กพระภิกษุสามเณร ในแผนพลาสติก ดังนี้เปนตน จึงมี เชน ภกิ ษุรูปหน่งึ สามเณร ๕ รปู ; ใน ประเพณีจําแนกธาตุส่ีแตละอยางน้ัน ภาษาพดู บางแหง นิยมใช องค เปน ๔ ประเภท ตามความหมายทใี่ ชใ น

รปู ๒๘ ๓๔๐ รูป๒๘ แงและระดับตางๆ คอื เปนธาตุในความ ไหลซา น เอบิ อาบ ซาบซมึ เกาะกมุ (เรยี ก หมายที่แทโดยลกั ษณะ (ลกั ขณะ) ธาตุ ปรมัตถอาโป กไ็ ด) ๒.สสมั ภารอาโป ในสภาพมีสิ่งประกอบปรุงแตงที่มนุษย อาโปโดยพรอมดวยเครื่องประกอบ เขาถึงเกี่ยวของตลอดจนใชงานใชการ ภายในกาย เชน ดี เสมหะ หนอง เลือด ซึ่งถือเปนธาตุอยางน้ันๆ ตามลักษณะ เหงื่อ ภายนอกตวั เชน นํ้าดื่ม นํ้าชา นํ้า เดนท่ปี รากฏ (สสมั ภาร) ธาตุในความ หมายท่ีใชเปนอารมณในการเจริญ ยา น้ําผลไม นาํ้ ฝน นํา้ ผ้ึง นํ้าตาล หว ย กรรมฐาน (นมิ ติ หรือ อารมณ) ธาตใุ น ละหาน แมน าํ้ คลอง บงึ ๓.อารมั มณ- ค ว า ม ห ม า ย ต า ม ท่ี ส ม ม ติ เ รี ย ก กั น อาโป อาโปโดยเปน อารมณ คือน้าํ ท่ี (สมมต)ิ ดังตอไปน้ี เปนนิมิตในกรรมฐาน (เรียก นิมิตต- อาโป หรอื กสณิ อาโป กไ็ ด) ๔.สมมต-ิ ปฐวธี าตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณปฐวี อาโป อาโปโดยสมมตเิ รยี กกันไปตามท่ี ปฐวโี ดยลกั ษณะ ไดแ ก ภาวะแขนแขง็ ตกลงบัญญัติ เชน ทน่ี บั ถอื นา้ํ เปน เทวดา แผไป เปนที่ต้งั อาศัยใหปรากฏตัวของ เรยี กวา แมพ ระคงคา พระพริ ณุ เปน ตน ประดารูปทเี่ กดิ รวม (เรยี ก ปรมตั ถปฐวี (บญั ญัตอิ าโป ก็เรียก) บาง กักขฬปฐวี บาง ก็ม)ี ๒.สสมั ภาร- เตโชธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- ปฐวี ปฐวีโดยพรอมดว ยเครอ่ื งประกอบ ภายในกาย เชน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เตโช เตโชโดยลกั ษณะ ไดแ ก สภาวะท่ี รอ น ความรอ น ภาวะทแ่ี ผดเผา สภาวะที่ ภายนอกตัว เชน ทอง เงิน เหลก็ กรวด ศิลา ภเู ขา ๓.อารมั มณปฐวี ปฐวโี ดย ทาํ ใหย อ ยสลาย (เรยี ก ปรมตั ถเตโช กไ็ ด) เปนอารมณ คือดินเปนอารมณใน ๒.สสมั ภารเตโช เตโชโดยพรอมดวย เครอ่ื งประกอบ ภายในกาย เชน ไอรอ น กรรมฐาน โดยเฉพาะมงุ เอาปฐวกี สณิ ที่ ของรางกาย ไฟที่เผาผลาญยอยอาหาร เปนปฏภิ าคนมิ ติ (เรยี ก นิมิตตปฐวี บา ง กสณิ ปฐวี บา ง กม็ )ี ๔.สมมตปิ ฐวี ปฐวี ไฟที่ทํากายใหทรุดโทรม ภายนอกตัว โดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลง เชน ไฟถา น ไฟฟน ไฟนาํ้ มัน ไฟปา ไฟ บญั ญตั ิ เชน ทน่ี บั ถอื แผน ดนิ เปน เทวดา หญา ไฟฟา ไอแดด ๓.อารมั มณเตโช เตโชโดยเปน อารมณ คือไฟที่เปนนมิ ติ วา แมพ ระธรณี (บญั ญัติปฐวี ก็เรยี ก) อาโปธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- ในกรรมฐาน (เรียก นิมิตตเตโช หรือ กสณิ เตโช ก็ได) ๔.สมมตเิ ตโช เตโช อาโป อาโปโดยลกั ษณะ ไดแ ก ภาวะ โดยสมมติเรียกกันไปตามท่ีตกลง

รปู ๒๘ ๓๔๑ รูป๒๘ บญั ญัติ เชน ทน่ี บั ถอื ไฟเปน เทวดา เรยี ก เขาจํานวน เพราะตรงกับปฐวี เตโช วา แมพ ระเพลงิ พระอคั นเี ทพ เปน ตน วาโย ซ่งึ เปน มหาภูตรปู ) ค. ภาวรปู ๒ ไดแ ก อติ ถีภาวะ ความเปน หญิง และ (บญั ญัตเิ ตโช กเ็ รยี ก) ปุริสภาวะ ความเปน ชาย ง. หทัยรูป คอื วาโยธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- หทัยวัตถุ หัวใจ จ. ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย ภาวะทรี่ กั ษารูปใหเปนอยู ฉ. วาโย วาโยโดยลกั ษณะ ไดแก สภาวะท่ี อาหารรูป ๑ คอื กวฬงิ การาหาร อาหาร สนั่ ไหว คาํ้ จนุ เครง ตงึ (เรยี ก ปรมัตถ- ท่กี ินเกดิ เปน โอชา ช. ปริจเฉทรูป ๑ คือ วาโย กไ็ ด) ๒.สสมั ภารวาโย วาโยโดย อากาศธาตุ ชอ งวาง ญ. วิญญัติรูป ๒ คือ พรอ มดว ยเครอ่ื งประกอบ ภายในกาย กายวญิ ญตั ิ ไหวกายใหร คู วาม วจวี ญิ ญตั ิ ไหววาจาใหร คู วาม คอื พดู ฎ. วกิ ารรปู ๕ เชน ลมหายใจ ลมในทอ ง ลมในไส ลม อาการดัดแปลงตางๆ ไดแก ลหุตา ความเบา, มทุ ตุ า ความออ น, กมั มญั ญตา หาว ลมเรอ ภายนอกตวั เชน ลมพดั ลม ความควรแกง าน, (อกี ๒ คอื วญิ ญตั ริ ปู ๒ นัน่ เอง ไมน ับอีก) ฏ. ลักขณรูป ๔ ได ลมสูบยางรถ ลมเปา ไฟใหโ ชน ลมรอ น แก อุปจยะ ความเตบิ ขึน้ ได, สันตติ สบื ตอ ได, ชรตา ทรดุ โทรมได, อนจิ จตา ลมหนาว ลมพายุ ลมฝน ลมเหนอื ลมใต ความสลายไมยงั่ ยนื (นบั โคจรรปู เพยี ง ๓.อารมั มณวาโย วาโยโดยเปนอารมณ คือลมท่ีเปนนิมิตในกรรมฐาน (เรียก ๔ วิการรูปเพยี ง ๓ จึงได ๒๔) นมิ ติ ตวาโย หรอื กสณิ วาโย ก็ได) ๔. รูป ๒๘ น้ัน นอกจากจัดเปน ๒ สมมตวิ าโย วาโยโดยสมมตเิ รียกกันไป ตามทตี่ กลงบญั ญตั ิ เชน ทน่ี บั ถอื ลมเปน ประเภทหลักอยางนี้แลว ทานจัดแยก เทวดา เรียกวาพระมารุต พระพาย ประเภทเปนคูๆ อกี หลายคู พึงทราบ เปนตน (บัญญัติวาโย ก็เรียก); ดู ธาตุ, ปฐวธี าต,ุ อาโปธาต,ุ เตโชธาต,ุ วาโยธาตุ โดยสงั เขป ดงั นี้ ข. อปุ าทายรูป ๒๔ รปู อาศัย, รปู ทเี่ กดิ คทู ี่ ๑: นปิ ผันนรูป (รปู ทส่ี ําเร็จ คอื เกดิ จากปจจัยหรือสมุฏฐาน อันไดแก สบื เนือ่ งจากมหาภตู , อาการของภตู รปู , อุปาทารปู ๒๔ กเ็ รียก, มี ๒๔ คือ ก. กรรม จิต อุตุ อาหาร โดยตรง มสี ภาว- ประสาท หรอื ปสาทรปู ๕ ไดแ ก จกั ขุ ตา, โสต หู, ฆานะ จมกู , ชวิ หา ล้ิน, ลกั ษณะของมันเอง) มี ๑๘ คอื ที่มใิ ช กาย, มโน ใจ ข. โคจรรปู หรอื วสิ ยั รูป (รปู ทีเ่ ปน อารมณ) ๕ ไดแก รปู เสียง อนปิ ผนั นรปู (รปู ทีม่ ไิ ดสาํ เรจ็ จากปจจยั กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ (โผฏฐัพพะไมน ับ

รปู ๒๘ ๓๔๒ รูป๒๘ หรือสมุฏฐานโดยตรง ไมมีสภาว- ๔); ทท่ี า นวาอยา งน้ี มิไดข ดั กนั ดังที่ ลักษณะของมันเอง เปนเพียงอาการ สําแดงของนปิ ผันนรูป) ซงึ่ มี ๑๐ คือ ปญ จกิ า ชแ้ี จงวา ทน่ี บั อปุ าทนิ นรปู เปน ๙ ปรจิ เฉทรปู ๑ วิญญตั ติรปู ๒ วิการรูป ๓ ลักขณรปู ๔ กเ็ พราะเอาเฉพาะเอกนั ตกมั มชรปู คอื รปู คูท่ี ๒: อนิ ทรียรปู (รปู ท่ีเปน อินทรีย คอื เปนใหญใ นหนา ที)่ มี ๘ คือ ปสาท- ทเ่ี กดิ จากกรรมอยา งเดยี วแทๆ (ไมม ใี น รปู ๕ ภาวรปู ๒ ชีวิตรปู ๑ อนนิ ทรยี - รูป (รปู ท่มี ิใชเปน อนิ ทรีย) มี ๒๐ คือ ที่ อตุ ชุ รปู เปน ตน ) ซงึ่ มเี พยี ง ๙ อยา งดงั ที่ เหลือจากนน้ั คทู ่ี ๓: อปุ าทนิ นรปู (รปู ทตี่ ณั หาและทฏิ ฐิ กลา วแลว (คอื อินทรียรปู ๘ และหทัย- ยึดครอง คอื รปู ซ่ึงเกดิ แตก รรม ที่เปน อกุศลและโลกียกุศล) ไดแกกัมมชรปู รปู ๑) สว นกมั มชรปู อกี ๙ อยา ง (อว-ิ มี ๑๘ คอื อินทรยี รูป ๘ น้นั หทยั รปู ๑ อวนิ พิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ นิพโภครปู ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑) ไมน บั เขา อนุปาทินนรปู (รปู ทีต่ ัณหาและทฏิ ฐไิ ม ยึดครอง มิใชกัมมชรูป) ไดแกร ปู ๑๐ ดว ย เพราะเปน อเนกนั ตกมั มชรปู คอื มิ อยา งทเ่ี หลอื (คอื สัททรูป ๑ วญิ ญัตต-ิ รปู ๒ วิการรปู ๓ ลกั ขณรปู ๔) ใชเปนรูปท่ีเกิดจากกรรมอยางเดียวแท สาํ หรบั คทู ่ี ๓ น้ี มขี อ ทตี่ อ งทาํ ความ (จติ ตชรปู กด็ ี อตุ ชุ รปู กด็ ี อาหารชรปู กด็ ี เขา ใจซบั ซอ นสกั หนอ ย คอื ทก่ี ลา วมานนั้ เปนการอธิบายตามคัมภีรอภิธัมมัตถ- ลว นมรี ปู ๙ อยา งนเ้ี หมอื นกบั กมั มชรปู วภิ าวินี แตในโมหวิจเฉทนี ทา นกลาววา อปุ าทนิ นรปู มี ๙ เทานน้ั ไดแกอ นิ ทรยี - ทงั้ นนั้ ) รปู ๘ และหทยั รปู ๑ อนุปาทินนรปู ได แกร ปู ๑๙ อยา งทเี่ หลอื (คอื อวินิพโภค โดยนัยนี้ เมือ่ นบั อเนกนั ตกมั มชรปู รปู ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ สทั ทรปู ๑ วิญญัตติรปู ๒ วิการรปู ๓ ลักขณรูป (ยอมนบั รปู ทซี่ า้ํ กนั ) รวมเขา มาดว ย กจ็ งึ มีวิธพี ดู แสดงความหมายของรปู คทู ่ี ๓ นี้แบบปนรวมวา อุปาทินนรูป ไดแก กมั มชรูป ๑๘ คอื อนิ ทรียรปู ๘ หทยั - รปู ๑ อวนิ พิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ อนปุ าทินนรูป ไดแก จิตตชรปู ๑๕ (รูป ท่ีเกดิ แตจติ : วญิ ญตั ตริ ูป ๒ วิการรปู ๓ สัททรูป ๑ อวินพิ โภครูป ๘ ปริจเฉทรปู ๑) อุตชุ รูป ๑๓ (รปู ทีเ่ กิดแตอุตุ: วกิ าร- รปู ๓ สทั ทรูป ๑ อวนิ พิ โภครปู ๘ ปรจิ - เฉทรปู ๑) อาหารชรูป ๑๒ (รปู ทเ่ี กดิ แตอาหาร: วิการรปู ๓ อวินพิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑) คูท่ี ๔: โอฬารกิ รูป (รปู หยาบ ปรากฏ

รปู ๒๘ ๓๔๓ รูป๒๘ ชดั ) มี ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ วิสัยรปู ๗ คทู ี่ ๑๐: อชั ฌตั ตกิ รปู (รปู ภายใน ฝา ย ของตนท่จี ะรบั รูโลก) มี ๕ คือ ปสาทรูป สุขุมรปู (รปู ละเอียด รบั รูทางประสาท ๕ พาหริ รูป (รูปภายนอก เหมือนเปน ทงั้ ๕ ไมได รูไดแตทางมโนทวาร) มี พวกอนื่ ) มี ๒๓ คือ ทเ่ี หลือจากนัน้ ๑๖ คอื ทเ่ี หลอื จากนัน้ คทู ี่ ๑๑: โคจรคั คาหกิ รปู (รปู ทรี่ บั โคจร คูท ี่ ๕: สันติเกรปู (รูปใกล รบั รูงาย) มี คอื รบั รอู ารมณห า ) มี ๕ คอื ปสาทรปู ๕ ๑๒ คือ ปสาทรปู ๕ วสิ ัยรูป ๗ ทูเรรปู (แยกยอ ยเปน ๒ พวก ไดแก สมั ปต ต- โคจรคั คาหิกรูป รปู ซง่ึ รบั อารมณท ไี่ มม า (รปู ไกล รบั รยู าก) มี ๑๖ คือ ท่ีเหลอื ถงึ ตนได มี ๒ คอื จกั ขุ และโสตะ กบั อสัมปตตโคจรัคคาหิกรูป รูปซึ่งรับ จากน้ัน [เหมือนคูที่ ๔] อารมณท มี่ าถงึ ตน มี ๓ คอื ฆานะ ชวิ หา คทู ่ี ๖: สัปปฏฆิ รปู (รูปท่มี ีการกระทบ ใหเกดิ การรับรู) มี ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ และกาย) อโคจรัคคาหิกรูป (รูปท่ีรับ วสิ ัยรปู ๗ อปั ปฏฆิ รูป (รปู ที่ไมมีการ โคจรไมไ ด) มี ๒๓ คือ ท่เี หลือจากนัน้ กระทบ ตองรดู ว ยใจ) มี ๑๖ คอื ที่ [เหมอื นคูที่ ๑๐] คทู ี่ ๑๒: อวนิ พิ โภครปู (รปู ทแี่ ยกจากกนั เหลอื จากนั้น [เหมอื นคทู ่ี ๔] ไมไ ด) มี ๘ คอื ภตู รปู ๔ วณั ณะ ๑ คทู ี่ ๗: สนิทสั สนรูป (รูปที่มองเห็นได) มี ๑ คือ วัณณะ ๑ (ไดแกร ปู ารมณ) คนั ธะ ๑ รสะ ๑ โอชา (คืออาหารรปู ) ๑ อนิทัสสนรูป (รูปที่มองเห็นไมได) มี [ท่ีประกอบกันเปนหนวยรวมพ้ืนฐาน ๒๗ คอื ทเี่ หลอื จากนั้น ของรปู ธรรม ทเ่ี รยี กวา “สทุ ธฏั ฐกกลาป”] คทู ี่ ๘: วัตถรุ ปู (รูปเปน ทต่ี ง้ั อาศยั ของ จิตและเจตสกิ ) มี ๖ คือ ปสาทรปู ๕ วนิ พิ โภครปู (รปู ทแ่ี ยกจากกนั ได) มี ๒๐ หทัยรปู ๑ อวตั ถุรปู (รปู อันไมเปนทต่ี ง้ั คือ ท่เี หลอื จากนัน้ อาศัยของจิตและเจตสิก) มี ๒๒ คือ ท่ี นอกจากรูปท่ีจัดประเภทเปนคูดังท่ี เหลือจากนัน้ กลา วมาน้ีแลว ในพระไตรปฎ กกลาวถงึ คูที่ ๙: ทวารรปู (รปู เปน ทวาร คือเปน ทางรับรูของวิญญาณหา และทางทํา รปู ชุดที่มี ๓ ประเภท ซึ่งเทียบไดก บั ท่ี กายกรรมและวจีกรรม) มี ๗ คือ แสดงขา งตน คอื (เชน ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙) ปสาทรูป ๕ วิญญัตติรปู ๒ อทวารรปู สนิทัสสนสัปปฏิฆรปู (รูปทม่ี องเหน็ และ (รูปอันมใิ ชเ ปนทวาร) มี ๒๑ คอื ที่ มีการกระทบใหเกดิ การรับรูไ ด) มี ๑ ได เหลือจากนั้น แกรปู ารมณ คือวณั ณะ อนทิ ัสสนสปั -

รปู กลาป ๓๔๔ รปู สัญเจตนา ปฏิฆรูป (รปู ทมี่ องเหน็ ไมไ ด แตมกี าร นามธรรม กระทบได) ไดแ กโอฬารกิ รูป ๑๑ ท่ี รูปนันทา พระราชบุตรีของพระเจา เหลอื อนทิ ัสสนอัปปฏิฆรปู (รปู ทมี่ อง สุทโธทนะและพระนางปชาบดีโคตมี เห็นไมไดและไมมีการกระทบใหเ กดิ การ เปนพระกนิฏฐภคินีตางพระมารดาของ รบั รู ตอ งรูดวยใจ) ไดแ ก สุขมุ รูป ๑๖ พระสิทธัตถะ รูปอีกชุดหน่ึงที่กลาวถึงบอย และ รูปปรจิ เฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ ควรทราบ คือชดุ ที่จดั ตามสมฏุ ฐาน เปน รูปพรรณ เงินทองทท่ี ําเปนเครอ่ื งใชห รอื ๔ ประเภท ไดแก กัมมชรูป ๑๘ จิตตช- เคร่ืองประดับ, ลักษณะ, รปู รา ง และสี รูป ๑๕ อตุ ชุ รูป ๑๓ และอาหารชรปู ๑๒ รปู พรหม พรหมในชน้ั รปู ภพ, พรหมท่ี พงึ ทราบตามทกี่ ลา วแลว ในคทู ี่ ๓ วา ดว ย เกิดดวยกาํ ลงั รูปฌาน มี ๑๖ ชัน้ ; ดู อปุ าทนิ นรปู และอนปุ าทนิ นรปู ขางตน พรหมโลก รปู กลาป ดู กลาป 2. รูปภพ โลกเปนท่ีอยขู องพวกพรหม; ดู รูปกัมมัฏฐาน กรรมฐานมีรปู ธรรมเปน พรหมโลก อารมณ รูปราคะ ความตดิ ใจในรูปธรรม คือ ตดิ รูปกาย ประชุมแหง รปู ธรรม, กายที่เปน ใจในอารมณแหงรูปฌาน หรือใน สวนรูป โดยใจความไดแกรูปขนั ธห รือ รูปธรรมอันประณตี (ขอ ๖ ในสงั โยชน รางกาย; เทยี บ นามกาย ๑๐) รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเปน อารมณ มี ๔ รูปรปู รูปทเี่ ปน รปู หรือรูปแท คอื รปู ท่ี คอื ๑. ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มีองค ๕ เกิดจากปจจัยหรือสมุฏฐานของมันโดย คอื วิตก (ตรกึ ) วจิ าร (ตรอง) ปต ิ (อิม่ ตรง มสี ภาวลกั ษณะของมนั เอง มใิ ชเ ปน ใจ) สขุ (สบายใจ) เอกคั คตา (จติ มี เพยี งอาการสําแดง ไดแก นปิ ผนั นรูป อารมณเปนหน่ึง) ๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๑๘; ดูท่ี รูป ๒๘ ๒ มอี งค ๓ คือ ปต ิ, สุข เอกัคคตา ๓. รูปวจิ าร ความตรองในรูป เกดิ ตอจาก ตติยฌาน ฌานท่ี ๓ มีองค ๒ คอื สุข, รูปวติ ก เอกคั คตา ๔. จตตุ ถฌาน ฌานที่ ๔ มี รปู วติ ก ความตรกึ ในรูป เกดิ ตอจากรูป- องค ๒ คือ อเุ บกขา, เอกคั คตา ตัณหา รูปตณั หา ความอยากในรูป รูปสญั เจตนา ความคดิ อา นในรปู เกิด รปู ธรรม สิง่ ทม่ี ีรูป, สภาวะทเี่ ปนรปู ; คกู ับ ตอจากรูปสญั ญา

รูปสัญญา ๓๔๕ ฤคเวท รูปสญั ญา ความหมายรูใ นรปู เกิดตอ เดอื นเศษ กไ็ ดสาํ เร็จพระอรหัต ไดร ับ จากจกั ขสุ มั ผัสสชาเวทนา ยกยอ งเปนเอตทัคคะในทางอยปู า รปู ป ปมาณิกา ผถู ือรปู เปนประมาณ คือ โรหณิ ี 1. เจาหญงิ องคห น่ึงแหง ศากยวงศ พอใจในรปู ชอบรปู รา งสวยสงางาม ผวิ เปนกนิษฐภคินี คือนองสาวของพระ พรรณหมดจดผอ งใส เปน ตน อนรุ ทุ ธะ (ตามหนังสอื เรียนวา เปน พระ รูปารมณ อารมณคือรูป, ส่ิงท่ีเห็นได ธิดาของเจาอมิโตทนะ แตเม่ือถือตาม ดวยตา ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏ.ี ๓/๓๔๙ เปน ตน ทก่ี ลา ววา รูปาวจร ซึ่งทองเท่ียวไปในรปู , อยใู น พระอนุรุทธะเปนโอรสของเจาสุกโกทนะ ระดับจติ ชัน้ รปู ฌาน, ระดับทมี่ ีรูปธรรม เจาหญิงโรหิณีก็เปนพระธิดาของเจา เปนอารมณ, เน่ืองในรปู ภพ; ดู ภพ, ภูมิ สุกโกทนะ) ไดบรรลุธรรมเปนพระ รูปยสังโวหาร การแลกเปลี่ยนดวย โสดาบนั 2. ช่ือแมน าํ้ ท่เี ปนเสนแบงเขต รูปยะ, การซอื้ ขายดว ยเงนิ ตรา, ภกิ ษุ แดนระหวา งแควนศากยะ กบั แควน กระทํา ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย โกลิยะ การแยงกันใชนา้ํ ในการเกษตร (โกสิยวรรคที่ ๒ สกิ ขาบทที่ ๙) เ ค ย เ ป น มู ล เ ห ตุ ใ ห เ กิ ด ก ร ณี พิ พ า ท รปู ย ะ, รปู ย ะ เงินตรา ระหวางแควนท้ังสองจนจวนเจียนจะ เรวตะ ชอื่ พระเถระองคห นงึ่ ในการกสงฆ เกิดสงครามระหวา งพระญาติ ๒ ฝา ย ทําสงั คายนาครั้งท่ี ๒ พระพุทธเจาเสด็จมาระงับศกึ จงึ สงบลง เรวตขทิรวนยิ ะ พระมหาสาวกองคหน่งึ ได สันนษิ ฐานกันวา เปนเหตุการณใน เปนบุตรพราหมณช่ือวังคันตะมารดาช่ือ พรรษาที่ ๕ (บางทานวา ๑๔ หรือ ๑๕) นางสารี เปนนองชายคนสุดทองของ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ และเปนที่มา พระสารบี ุตร บวชอยูในสาํ นักของภกิ ษุ ของพระพทุ ธรูปปางหามญาต;ิ ปจ จุบัน พวกอยปู า (อรญั วาส)ี บาํ เพ็ญสมณ- เรยี ก Rowai หรอื Rohwaini ธรรมอยูในปาไมตะเคียนประมาณ ๓ ฤ ฤกษ คราวหรือเวลาซึ่งถือวาเหมาะเปน ฤคเวท ชื่อคัมภีรท่ีหน่ึงในไตรเพท ชยั มงคล ประกอบดวยบทมนตรสรรเสริญเทพ

ฤดู ๓๔๖ ลกั ซอ น เจา ทง้ั หลาย; ดู ไตรเพท ๑. อามิสฤทธิ์ อามิสเปน ฤทธิ์, ความ ฤดู คราว, สมยั , สวนของปซ งึ่ แบง เปน ๓ สําเร็จหรือความรุงเรืองทางวัตถุ ๒. คราวขน้ึ ไป เชน ฤดฝู น ฤดูหนาว ฤดู ธรรมฤทธ์ิ ธรรมเปน ฤทธ์ิ, ความสาํ เรจ็ รอ น; ดู มาตรา หรอื ความรุง เรืองทางธรรม ฤทธิ์ อํานาจศักดิ์สิทธ, ความเจริญ, ฤษี ผแู สวงธรรม ไดแ กนกั บวชนอกพระ ความสําเร็จ, ความงอกงาม, เปนรูป ศาสนาซง่ึ อยใู นปา, ชีไพร, ผูแตง คัมภรี  สันสกฤตของ อทิ ธ;ิ ฤทธิ์ หรือ อทิ ธิ พระเวท คอื ความสําเร็จ ความรุง เรอื ง มี ๒ คอื ล ลกณุ ฏกภทั ทยิ ะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ เอตทัคคะในทางมีเสยี งไพเราะ เปนบุตรในตระกูลมั่งคั่ง ชาวพระนคร ลบหลูค ณุ ทาน ดู มักขะ สาวตั ถี ไดฟง พระธรรมเทศนาของพระ ลวงสิกขาบท ละเมิดสิกขาบท, ไม ศาสดาท่ีพระเชตวันมีความเล่ือมใสจึง ประพฤติตามสิกขาบท, ฝาฝน สิกขาบท บวชในพระพุทธศาสนา ทานมีรูปราง ลหุ เสยี งเบา ไดแก รัสสสระไมม ีตัว เตี้ยคอมจนบางคนเห็นขัน วันหนึ่งมี สะกด คอื อ, อ,ิ อุ เชน น ขมต;ิ คูกบั ครุ หญิงน่ังรถผานมาพอเห็นทานแลว ลหกุ าบตั ิ อาบัตเิ บา คอื อาบัติทมี่ ีโทษ หัวเราะจนเห็นฟน ทานกําหนดฟนนั้น เลก็ นอ ย ไดแ กอ าบตั ถิ ลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี  เปนอารมณกรรมฐาน ไดสําเร็จ ปาฏเิ ทสนียะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; คูกับ ครุ- อนาคามิผล ตอมาทานไดบรรลุพระ กาบตั ิ อรหัตในสํานักพระสารีบุตร แตเพราะ ลหโุ ทษ โทษเบา; คกู ับ มหนั ตโทษ ความทม่ี ีรูปรางเลก็ เตี้ยคอม ทา นมักถูก ลหุภณั ฑ ของเบา เชน บณิ ฑบาต เภสัช เขาใจผิดเปนสามเณรบา ง ถกู พระหนมุ และของใชป ระจําตัว มีเข็ม มีดพบั มีด เณรนอยลอเลียนบาง ถูกเพ่ือนพระดู โกน เปน ตน; คกู บั ครุภัณฑ แคลนบาง แตพระพุทธเจา กลบั ตรสั ยก ลักซอ น เห็นของเขาทําตก มีไถยจิตเอา ยอ งวาถึงทานจะรางเล็ก แตม ีคณุ ธรรม ดนิ กลบเสยี หรอื เอาของมใี บไมเ ปน ตน ฤทธานุภาพมาก ทา นไดรับยกยองเปน ปดเสยี

ลกั เพศ ๓๔๗ ลิงค ลักเพศ [ลัก-กะ-เพด] แตง ตัวปลอมเพศ ทีไ่ ดร บั และปฏบิ ตั ิสบื ตอกันมา เชนไมเปนภิกษุ แตนุงหมผาเหลือง ลทั ธิสมยั สมยั คอื ลทั ธิ หมายถงึ ลทั ธนิ ่ัน แสดงตวั เปน ภกิ ษุ เอง ลักษณะ สิ่งสําหรับกําหนดรู, เครื่อง ลาภ ของท่ีได, การได; ดู โลกธรรม กําหนดรู, อาการสาํ หรับหมายร,ู เครอื่ ง ลาภมจั ฉรยิ ะ ตระหนลี่ าภ ไดแ กห วงผล แสดงส่ิงหนึ่งใหเห็นวาตางจากอีกส่ิง ประโยชน พยายามกดี กนั ผอู ืน่ ไมใ หได หนึง่ , คณุ ภาพ, ประเภท (ขอ ๓ ในมัจฉริยะ ๕) ลกั ษณะ ๓ ไมเทยี่ ง, เปนทุกข ไมใชตัว ลาภานตุ ตรยิ ะ การไดท ย่ี อดเยี่ยม เชน ตน; ดู ไตรลักษณ ไดศ รัทธาในพระพุทธเจา ไดด วงตาเหน็ ลักษณพยากรณศาสตร ตําราวาดวย ธรรม (ขอ ๓ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) ลาสิกขา ปฏิญญาตนเปนผูอ่ืนจากภิกษุ การทายลักษณะ ลกั ษณะตัดสินธรรมวินยั ดู หลกั ตดั สนิ ตอหนาภิกษดุ วยกัน หรอื ตอ หนาบคุ คล ธรรมวินัย อน่ื ผูเขาใจความ แลว สละเพศภกิ ษเุ สยี ลคั น เวลาในดวงชาตาคนเกิดและในดวง ถือเอาเพศที่ปฏิญญาน้นั , ละเพศภิกษุ ทาํ การมงคล สามเณร, สกึ ; คําลาสิกขาท่ใี ชในบดั น้ี ลชั ชนิ ี หญงิ ผูมคี วามละอายตอบาป เปน อิตถีลิงค ถา เปนปุงลงิ ค เปน ลัชชี คือ ต้ัง “นโม ฯลฯ” ๓ จบแลวกลาววา ลัชชีธรรม ธรรมแหง บคุ คลผูละอายตอ “สิกขฺ ํ ปจจฺ กฺขาม,ิ คิหตี ิ มํ ธาเรถ” (วา ๓ คร้ัง) แปลวา “กระผมลาสิกขา, ขอทา น บาป ท้ังหลายจงทรงจํากระผมไววาเปน ลัฏฐิวัน สวนตาลหนมุ (ลัฏฐิ แปลวา คฤหสั ถ” (คหิ ตี ิ ออกเสยี งเปน [คิ-ฮ-ี ติ]) “ไมตะพด” กไ็ ด บางทา นจึงแปลวา “ปา ลําเอยี ง ดู อคติ ไมรวก”) อยูทิศตะวันตกเฉียงใตของ ลขิ ติ โก, ลิขิตกะ “ผูถกู เขยี นไว” หมาย กรุงราชคฤห พระพุทธเจาเสด็จไป ถึงโจรท่ที างการมปี ระกาศบอกไว (เชน) ประทับที่นั่น พระเจาพิมพิสารไปเฝา วา “พบในที่ใด พงึ ฆา เสียในทน่ี น้ั ”, โจร พรอมดวยราชบริพารจาํ นวนมาก ทรง หรอื คนรา ยทที่ างการบา นเมอื งมปี ระกาศ สดับพระธรรมเทศนา ไดธรรมจักษุ หรอื หมายสง่ั ทาํ นองน้ี ไมพ งึ ใหบ วช ประกาศพระองคเปนอุบาสกทนี่ ่ัน ลิงค เพศ, ในบาลีไวยากรณมี ๓ อยา ง ลทั ธิ ความเชื่อถอื , ความรแู ละประเพณี คอื ปงุ ลงิ ค เพศชาย, อติ ถลี งิ ค เพศหญงิ

ลจิ ฉวี ๓๔๘ โลกธรรม นปงุ สกลงิ ค มิใชเพศชายมใิ ชเพศหญิง นกุ รมเขยี น เลก) ลจิ ฉวี กษตั รยิ ทป่ี กครองแควนวัชชี; ดู เลขทาส ชายฉกรรจท ี่เปน ทาสรบั ทํางาน วชั ชี ดวย ลุแกโทษ บอกความผิดของตนเพื่อขอ เลขวัด จําพวกคนท่ที า นผปู กครองแควน ความกรุณา จัดใหมีสังกัดข้ึนวัด สงฆอาจใชทาํ งาน ลมุ พนิ ีวนั ชอ่ื สวนเปน ท่ีประสตู ขิ องพระ ในวัดได และไมต อ งถูกเกณฑท าํ งานใน พุทธเจา เปนสังเวชนียสถานหน่ึงในส่ี บานเมือง (พจนานกุ รมเขยี น เลกวดั ) แหง ตั้งอยรู ะหวา งกรุงกบลิ พัสดุ และ เลขสม คนทย่ี นิ ยอมเปนกาํ ลงั งานของผู กรุงเทวทหะ บัดนี้เรียก Rummindei อยู มีอํานาจคนใดคนหนึ่งดวยความสมัคร ทป่ี าเดเรยี ในเขตประเทศเนปาล หาง ใจในสมยั โบราณ จากเขตแดนประเทศอินเดียไปทาง เลฑฑุบาต [เลด-ด-ุ บาด] ระยะโยนหรือ เหนอื ประมาณ ๖ กโิ ลเมตรครงึ่ พระสทิ ขวา งกอนดนิ ตก ธตั ถะประสูตทิ สี่ วนน้ี เมือ่ วนั เพ็ญเดือน เลศ 1. อาการ ลกั ษณะ หรอื ขอ เทยี บเคยี ง ๖ กอ นพทุ ธศก ๘๐ ป (มปี ราชญ อยางใดอยางหนึ่ง ที่พอจะยกข้ึนอาง คํานวณวาตรงกบั วันศกุ ร ปจอ เวลา เพือ่ ผกู เรือ่ งใสค วาม 2. ในภาษาไทย ใกลเ ที่ยง); ดู สังเวชนยี สถาน โดยท่ัวไป หมายถงึ อาการทแี่ สดงอยา ง ลกู ถวนิ ลูกกลมๆ ทผี่ ูกตดิ สายประคด มคี วามหมายซอ นเรน ใหร กู นั ในที มกั ใช เอว, หว งรอยสายประคด ควบคกู บั “นยั ” วา เลศนยั ลูกหมู คนที่ถูกเกณฑเขารับราชการเปน เลียบเคียง พูดออมคอมหาทางใหเขา กําลงั งานของเจานายสมัยโบราณ ถวายของ ลูขปฏิบตั ิ ประพฤติปอน, ปฏบิ ตั ิเศรา โลก แผน ดนิ เปน ทอี่ าศยั , หมสู ตั วผ อู าศยั ; หมอง คอื ใชข องเศราหมอง ไมตองการ โลก ๓ คือ ๑. สงั ขารโลก โลกคือ ความสวยงาม (หมายถึงของเกา เรียบๆ สงั ขาร ๒. สัตวโลก โลกคอื หมสู ตั ว ๓. โอกาสโลก โลกคือแผน ดิน; อกี นัยหน่งึ สปี อนๆ แตส ะอาด) ลขู ัปปมาณกิ า ผูถือความเศราหมองเปน ๑. มนุษยโลก โลกมนุษย ๒. เทวโลก ประมาณ ชอบผทู ี่ประพฤตปิ อน ครอง โลกสวรรค ท้ัง ๖ ช้ัน ๓. พรหมโลก ผา เกา อยเู รยี บๆ งายๆ โลกของพระพรหม เลข คนสามัญ หรอื ชายฉกรรจ (พจนา- โลกธรรม ธรรมทมี่ ีประจําโลก, ธรรมดา

โลกธาตุ ๓๔๙ โลกิยะ,โลกียะ, โลกีย ของโลก, ธรรมทีค่ รอบงาํ สตั วโลกและ ใหทรงบาํ เพญ็ พุทธกจิ ไดผลดี (ขอ ๕ สตั วโลกก็เปนไปตามมัน มี ๘ อยาง ในพุทธคุณ ๙) คือ มีลาภ ไมม ีลาภ มียศ ไมม ียศ โลกตั ถจรยิ า พระพทุ ธจรยิ าเพอื่ ประโยชน นินทา สรรเสรญิ สขุ ทุกข แกโ ลก, ทรงประพฤติเปน ประโยชนแ ก โลกธาตุ แผนดนิ ; จกั รวาลหนึ่งๆ โลก คอื ทรงอาศยั พระมหากรุณา เสด็จ โลกนาถ ผูเปน ทีพ่ งึ่ ของโลก หมายถึง ไปประกาศพระศาสนาเพ่ือประโยชนสุข พระพุทธเจา แกมหาชนในถ่ินฐานแวนแควนตางๆ โลกบาล ผคู มุ ครองโลก, ผเู ลย้ี งรกั ษาโลก เปนอนั มาก และประดิษฐานพระศาสนา ใหร ม เยน็ , ทา วโลกบาล ๔; ดู จาตมุ หาราช ไวเพื่อประโยชนสุขแกชุมชนภายหลัง โลกบาลธรรม ธรรมคมุ ครองโลก คือ ตลอดกาลนาน; ดู พทุ ธจรยิ า ปกครองควบคุมใจมนุษยไวใหอยูใน โลกาธิปเตยยะ ดู โลกาธิปไตย ความดี มใิ หล ะเมดิ ศลี ธรรม และใหอ ยู โลกาธปิ ไตย ความถือโลกเปน ใหญ คือ กันดวยความเรยี บรอยสงบสุข ไมเ ดอื ด ถือความนิยมหรือเสียงกลาววาของชาว รอ นสับสนวุนวาย มี ๒ คอื ๑. หิริ โลกเปนสําคัญ หวั่นไหวไปตามเสียง ความละอายบาป ละอายใจตอการทํา นนิ ทาและสรรเสริญ จะทําอะไรกม็ ุง จะ ความชว่ั ๒. โอตตปั ปะ ความกลวั บาป เอาใจหมูช น หาความนยิ ม ทาํ ตามทเี่ ขา เกรงกลวั ตอ ความชวั่ และผลของกรรมชวั่ นิยมกัน หรือคอยแตหว่ันกลัวเสียง โลกวชั ชะ อาบัตทิ เ่ี ปนโทษทางโลก คอื กลาววา, พึงใชแตในทางดีหรือใน คนสามัญท่ีมิใชภิกษุทําเขาก็เปนความ ขอบเขตทเี่ ปน ความดี คอื เคารพเสียง ผดิ ความเสียหาย เชน โจรกรรม ฆา หมูชน (ขอ ๒ ในอธิปไตย ๓) มนุษย ทุบตกี ัน ดา กนั เปน ตน ; บางที โลกามิษ เหยอ่ื แหงโลก, เครอ่ื งลอ ที่ลอ วาเปนขอเสียหายที่ชาวโลกเขาติเตียน ใหต ดิ อยใู นโลก, เครอื่ งลอ ใจใหต ดิ ในโลก ถือวา ไมเหมาะสมกบั สมณะ เชน ด่มื ไดแก ปญจพธิ กามคุณ คือ รูป, เสียง, สุรา เปน ตน ; เทยี บ ปณณัตตวิ ชั ชะ กลนิ่ , รส, โผฏฐพั พะ อนั นาปรารถนา โลกวิทู (พระผมู พี ระภาคเจาน้นั ) ทรงรู นาใครน า พอใจ; โลกามสิ ก็เขียน แจงโลก คือทรงรูแ จง สภาวะแหง โลกคือ โลกิยะ, โลกียะ, โลกีย เกย่ี วกับโลก, สังขารท้ังหลาย ทรงทราบอัธยาศัย ทางโลก, เนื่องในโลก, เรื่องของชาว สันดานของสัตวโลกท่ีเปนไปตางๆ ทํา โลก, ยงั อยูในภพสาม, ยงั เปน กามาวจร

โลกยิ ฌาน ๓๕๐ โลภ รปู าวจร หรอื อรูปาวจร; คกู บั โลกุตตระ ถึงพระพุทธเจา โลกยิ ฌาน ฌานโลกยี , ฌานอันเปนวสิ ัย โลกุตตรธรรม ธรรมอันมิใชวิสัยของ ของโลก, ฌานของผูมีจิตยังไมเปน โลก, สภาวะพนโลก มี ๙ ไดแ ก มรรค โลกุตตระ, ฌานที่ปุถุชนได ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑; คกู ับ โลกิยธรรม โลกิยธรรม ธรรมอันเปนวิสัยของโลก, โลกุตตรปญญา ปญญาที่สัมปยุตดวย สภาวะเนอ่ื งในโลก ไดแ กขนั ธ ๕ ทย่ี ังมี โลกุตตรมรรค, ความรูท่ีพนวิสัยของ อาสวะทั้งหมด; คกู บั โลกุตตรธรรม โลก, ความรูที่ชวยคนใหพ นโลก โลกิยวิมุตติ วิมุตติท่ีเปน โลกยี  คอื ความ โลกตุ ตรภูมิ ชนั้ ท่พี นจากโลก, ระดับจติ พนอยางโลกๆ ไมเดด็ ขาด ไมส นิ้ เชิง ใจของพระอรยิ เจา (ขอ ๔ ในภูมิ ๔ อีก กิเลสและความทุกขยังกลับครอบงําได ๓ ภูมิ คือ กามาวจรภมู ิ รปู าวจรภูมิ อีก ไดแกวิมุตติ ๒ อยา งแรก คือ อรูปาวจรภมู )ิ ตทังควิมุตติ และ วิกขัมภนวิมุตติ; ดู โลกุตตรวิมุตติ วิมุตติที่เปนโลกุตตระ วมิ ตุ ต,ิ โลกตุ ตรวิมุตติ คือความหลุดพนที่เหนือวิสัยโลก ซ่ึง โลกยี สุข ความสุขอยา งโลกีย, ความสขุ ท่ี กิเลสและความทุกขท่ีละไดแลวไมกลับ เปน วสิ ยั ของโลก, ความสขุ ทย่ี งั ประกอบ คนื มาอีก ไมก ลบั กลาย ไดแ กวมิ ตุ ติ ๓ ดว ยอาสวะ เชน กามสขุ มนษุ ยสขุ ทพิ ย- อยา งหลงั คอื สมจุ เฉทวมิ ตุ ต,ิ ปฏปิ ส สทั ธ-ิ สขุ ตลอดจนถงึ ฌานสขุ และวปิ ส สนาสขุ วิมตุ ติ และ นสิ สรณวิมตุ ติ; ดู วมิ ตุ ติ, โลกยี ภูมิ ภมู ทิ เี่ ปน โลกยิ ะ ไดแก สามภมู ิ โลกยิ วมิ ุตติ แรก ในภมู ิ ๔, บางทเี รยี กรวมกนั วา โลกตุ ตรสุข, โลกุตรสุข ความสุขอยาง “ไตรภูม”ิ ไดแ ก กามภมู ิ รูปภูมิ และ โลกุตระ, ความสุขทเี่ หนอื กวาระดบั ของ อรูปภมู ิ สวนภูมิที่สี่ เปน โลกตุ ตรภมู ;ิ ดู ชาวโลก, ความสุขเน่ืองดวยมรรคผล ภูมิ 2. นพิ พาน โลกุดร, โลกตุ ตระ, โลกุตระ พน จาก โลกุตตราริยมรรคผล อริยมรรคและ โลก, เหนอื โลก, พนวิสัยของโลก, ไม อริยผลทพ่ี นวสิ ยั ของโลก เน่ืองในภพท้งั สาม (พจนานุกรม เขยี น โลณเภสัช เกลือเปนยา เชน เกลอื ทะเล โลกุตร); คูกบั โลกยิ ะ เกลือดํา เกลือสินเธาว เปนตน โลกุตตมาจารย อาจารยผูสูงสุดของ โลน กริ ยิ าวาจาหยาบคายไมสุภาพ โลก, อาจารยย อดเยยี่ มของโลก หมาย โลภ ความอยากได (ขอ ๑ ในอกศุ ลมลู ๓)

โลภเจตนา ๓๕๑ วณิพก โลภเจตนา เจตนาประกอบดวยโลภ, จง โลหิตกะ ชื่อภิกษุรูปหนึ่งในพวกเหลว ไหลท้งั ๖ ท่ีเรยี กวา พระฉพั พคั คีย ใจคดิ อยากได, ตงั้ ใจจะเอา โลมะ, โลมา ขน โลหติ ุปบาท ทํารายพระพทุ ธเจาจนถงึ ยงั โลมชาตชิ ชู ัน ขนลุก พระโลหิตใหหอ (ขอ ๔ ในอนนั ตรยิ - โลลโทษ โทษคือความโลเล, ความมี กรรม ๕) อารมณออนไหว โอนเอนไปตามส่ิงเยา ไลเ บย้ี เรียกรองเอาคาเสยี หายเปน ลาํ ดับ ยวนอันสะดดุ ตาสะดุดใจ ไปจนถงึ คนทีส่ ดุ โลหติ เลอื ด; สแี ดง ว วจนะ คําพดู ; สงิ่ ที่บง จาํ นวนนามทาง วจีวิญญัติ การเคลื่อนไหวใหรูความ ไวยากรณ เชน บาลมี ี ๒ วจนะ คอื เอก- หมายดว ยวาจา ไดแ ก การพูด การ วจนะ บงนามจํานวนเพยี งหนึ่ง และ กลา วถอ ยคาํ ; เทยี บ กายวิญญัติ พหวุ จนะ บง นามจาํ นวนตงั้ แตส องขน้ึ ไป วจีสมาจาร ความประพฤตทิ างวาจา ไวยากรณป จ จบุ นั นยิ มใชว า พจน วจสี งั ขาร 1. ปจจยั ปรงุ แตงวาจา ไดแ ก วจกี รรม การกระทาํ ทางวาจา, การกระทาํ วิตก (ตรกึ ) และ วจิ าร (ตรอง) ถาไมมี ดว ยวาจา, ทาํ กรรมดว ยคาํ พดู , ทด่ี ี เชน ตรึกตรองกอนแลว พดู ยอมไมร เู รอ่ื ง 2. พดู จรงิ พดู คาํ สภุ าพ ทช่ี ว่ั เชน พดู เทจ็ สภาพทีป่ รุงแตง การกระทําทางวาจา ได พดู คาํ หยาบ; ดู กศุ ลกรรมบถ, อกศุ ล- แก วจีสัญเจตนา คือความจงใจทาง กรรมบถ วาจา ท่ีกอใหเ กดิ วจีกรรม; ดู สังขาร วจีทวาร ทวารคือวาจา, ทางวาจา, ทาง วจีสุจริต ประพฤติชอบดวยวาจา, คาํ พูด (ขอ ๒ ในทวาร ๓) ประพฤติชอบทางวาจา มี ๔ อยางคือ วจที จุ รติ ประพฤตชิ วั่ ดว ยวาจา, ประพฤติ เวนจากพูดเท็จ เวนจากพูดสอเสียด ชว่ั ทางวาจามี ๔ อยางคอื ๑. มสุ าวาท เวน จากพดู คาํ หยาบ เวน จากพดู เพอ เจอ ; พดู เทจ็ ๒. ปสุณาวาจา พดู สอ เสยี ด ๓. ดู สจุ รติ ; เทยี บ วจีทุจริต ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ ๔. สมั ผปั ปลาปะ วณิพก คนขอทานโดยรอ งเพลงขอ คอื พดู เพอเจอ; ดู ทจุ ริต; เทียบ วจีสุจริต ขับรองพรรณนาคุณแหงการใหทานและ

วทญั ู ๓๕๒ วสวัตด,ี วสวดั ดี สรรเสรญิ ผใู หท าน ทเี่ รยี กวา เพลงขอทาน ปวารณา ใหผากฐิน และอปุ สมบทใน วทัญู “ผรู ูถอยคํา” คือ ใจดี เออ้ื อารี ปจ จันตชนบท) ๓. สงฆท ศวรรค (สงฆ ยอมรับฟงความทุกขยากเดือดรอนและ พวก ๑๐ คอื ตองมีภกิ ษุ ๑๐ รปู ข้ึนไป ความตองการของผูอนื่ เขา ใจคาํ พูดของ ใหอ ปุ สมบทในมธั ยมชนบทได) ๔. สงฆ เขาไดดี วสี ติวรรค (สงฆพวก ๒๐ คือ ตองมี วน, วนะ, วนั ปา , ปา ไม, ดง, สวน (บาล:ี ภิกษุ ๒๐ รปู ขึ้นไป ทาํ อัพภานได) วน); วนะ คอื ปา ในความหมายทเี่ นน วรรณะ ผิว, ส,ี เพศ, ชนิด, พวก, เหลา, ความเปน ทร่ี วมอยขู องตน ไม หรอื พฤกษ- หนังสือ, คุณความดี, ความยกยอง ชาติ ตลอดจนสาํ่ สตั วท อี่ าศยั สว น อรญั สรรเสรญิ ; ชนช้นั ท่ีจดั แบงออกไปตาม คอื ปา ในความหมายทเ่ี นน ความเปลา หลกั ศาสนาพราหมณเ รียกวา วรรณะ ๔ เปลย่ี ว หา งไกล หรอื ความเปน ตา งหาก คือ กษตั รยิ  พราหมณ แพศย ศทู ร จากบา น หรอื จากชมุ ชน; เทียบ อรญั วรรณนา คาํ พรรณนา, คาํ ชแี้ จงความ วนปรสั ถะ ดู วานปรสั ถ หมายอธิบายความ คลายกับคําวา วนาสณฑ, วนาสัณฑ ดู ไพรสณฑ อรรถกถา (อฏ กถา) บางทกี ็ใชเ สรมิ กัน วโนทยาน สวนปา เชน สาลวโนทยาน หรือแทนกันบาง (เชน ท.ี อ.๓/๓๖๐/๒๖๗: คือ สวนปาไมส าละ นฏิ  ติ า จ ปาฏกิ วคคฺ สสฺ วณณฺ นาต.ิ ปาฏกิ วคคฺ ฏ - วรกัป ดู กัป วรฺคานฺต พยัญชนะท่ีสดุ วรรค ไดแ ก ง กถา นฏิ  ติ า.) แตคําวา อรรถกถา มกั ใช ญณนม หมายถงึ ทงั้ คมั ภรี  สว น วรรณนา มกั ใช วรรค หมวด, หม,ู ตอน, พวก; กาํ หนด แกค าํ อธบิ ายเฉพาะตอนๆ (คาํ เต็มรปู ที่ จํานวนภิกษุที่ประกอบเขาเปนสงฆ มักใชแทนหรือใชแสดงความหมายของ อรรถกถา ไดแ ก อรรถสงั วรรณนา [คํา หมวดหน่ึงๆ ซึง่ เมื่อครบจํานวนแลวจึง บาลีวา อตถฺ สํวณณฺ นา]) จะทาํ สงั ฆกรรมอยา งนน้ั ๆ ได มี ๔ พวก ววัตถิตะ ในทางอักขรวิธีภาษาบาลี คอื ๑. สงฆจ ตรุ วรรค (สงฆพวก ๔ คือ หมายถงึ บทที่แยกกัน เชน ตณุ ฺหี อสฺส ตอ งมีภกิ ษุ ๔ รูปข้ึนไป ทํากรรมไดทกุ ตรงขามกับ สัมพันธ ท่ีตางบทน้ันมา อยา งเวน ปวารณา ใหผ า กฐนิ อปุ สมบท สนธิเช่ือมเขาดว ยกนั เชน ตุณหฺ ี + อสสฺ และอพั ภาน) ๒. สงฆปญจวรรค (สงฆ เปน ตณุ ฺหิสสฺ หรอื ตณุ ฺหสสฺ พวก ๕ คือ ตองมีภกิ ษุ ๕ รูปขน้ึ ไปทํา วสวตั ด,ี วสวดั ดี ชอื่ พระยามาร เปน เทพ

วสนั ต ๓๕๓ วงั สะ ในสวรรคชั้นสูงสุดแหงระดับกามาวจร แลวก็ตรัสเตือนเธอวา “จะมีประโยชน เปน ผคู อยขดั ขวางเหนย่ี วรงั้ บุคคลไมให อะไรท่ีไดเห็นกายเปอยเนานี้ ผูใดเห็น ลวงพนจากแดนกาม ซึ่งอยูในอํานาจ ธรรม ผูน้นั เหน็ เรา” ดังนี้เปน ตน และ ครอบงาํ ของตน; ดู มาร 2, เทวปตุ ตมาร ทรงสอนตอไปดวยอุบายวิธีจนในที่สุด วสนั ต ฤดใู บไมผ ลิ (แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๔ พระวักกลกิ ไ็ ดส ําเรจ็ พระอรหัต และตอ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๖); เทยี บ วสั สานะ มาไดรับยกยองจากพระศาสดาวาเปน (ฤดฝู น), ดู มาตรา เอตทคั คะในทางศรัทธาวมิ ุต คือ หลุด วสี ความชํานาญ มี ๕ อยา ง คือ ๑. พนดว ยศรัทธา อาวัชชนวสี ความชํานาญคลองแคลว วังคันตะ ช่ือพราหมณผูเปนบิดาของ ในการนึก ตรวจองคฌานทตี่ นไดออก พระสารีบุตร มาแลว ๒. สมาปชชนวสี ความชาํ นาญ วงั คสี ะ พระมหาสาวกองคหนึ่ง เปน บุตร คลองแคลวในการที่เขาฌานไดรวดเร็ว พราหมณใ นพระนครสาวัตถี ไดศกึ ษา ทนั ที ๓. อธฏิ ฐานวสี ความชํานาญ ไตรเพทจนมีความชํานาญเปนท่ีพอใจ คลองแคลวในการที่จะรักษาไวมิให ของอาจารย จึงไดเรียนมนตรพิเศษ ฌานจิตตน้ันตกภวังค ๔. วุฏฐานวสี ชือ่ ฉวสีสมนตร สําหรบั พสิ จู นศ รี ษะซาก ความชํานาญคลองแคลวในการจะออก ศพ เอาน้ิวเคาะหัวศพก็ทราบวาผูน้ัน จากฌานเมื่อใดก็ไดตามตองการ ๕. ตายแลว ไปเกิดเปนอะไร ท่ีไหน ทานมี ปจ จเวกขณวสี ความชาํ นาญคลอ งแคลว ความชํานาญในมนตรนี้มาก ตอมาได ในการพิจารณาทบทวนองคฌ าน เขาเฝาพระพทุ ธเจา และไดแสดงความ วักกะ ไต (เคยแปลกันวา มาม) ดู ปห กะ สามารถของตน แตเมือ่ เคาะศีรษะของผู วกั กลิ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เปนบตุ ร ปรินิพพานแลวไมสามารถบอกคติได พราหมณชาวพระนครสาวัตถีเรียนจบ ดว ยความอยากเรยี นมนตรเ พิม่ อกี จงึ ไตรเพทตามลัทธพิ ราหมณ บวชในพระ ขอบวชในพระพทุ ธศาสนา ไมนานก็ได พุทธศาสนา ดวยความอยากเห็นพระ บรรลุพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน รูปพระโฉมของพระศาสดา คร้ันบวช เอตทคั คะในทางมีปฏิภาณ แลวก็คอยติดตามดูพระองคตลอดเวลา วงั สะ ช่อื แควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควน จนไมเ ปนอนั เจริญภาวนา พระพทุ ธเจา ใหญแหงชมพทู วปี ตงั้ อยูในเขตมชั ฌมิ - ทรงรอเวลาใหญ าณของเธอสกุ งอม ครน้ั ชนบท ทางทิศใตของแควนโกศล ทาง

วจั กุฎี ๓๕๔ วชั ชี ทศิ ตะวนั ตกของแควน กาสี และทางทศิ ๒๐ บุคคล จงึ รวมเปน ๒๑ (๒๐ บคุ คล เหนือของแควนอวันตี นครหลวงชื่อ ในขอ หลงั ไดแ ก ภิกษุณี สิกขมานา โกสัมพี บัดน้เี รียกวา Kosam อยูบนฝง สามเณร สามเณรี ภกิ ษผุ ูบอกลาสิกขา ใตของแมนํ้ายมุนา ในสมัยพุทธกาล ภิกษุผูตองอันติมวัตถุ ภิกษุผูถูกสงฆ วังสะเปนแควนที่รุงเรืองและมีอํานาจ ยกเสียฐานไมเห็นอาบัติ ภิกษุผูถ ูกสงฆ มากแควนหน่งึ มีราชาปกครองพระนาม ยกเสียฐานไมกระทําคืนอาบัติ ภิกษุผู วา พระเจาอเุ ทน ถูกสงฆยกเสียฐานไมสละคืนทิฏฐิอันช่ัว วจั กฎุ ี สว ม, ท่ถี า ยอุจจาระสาํ หรับภิกษุ บัณเฑาะก คนลักเพศ ภิกษุเขารีด สามเณร เดียรถีย สตั วด ริ ัจฉาน [รวมท้งั คนดจุ วัจกุฎีวตั ร ขอ ปฏบิ ตั อิ นั ภกิ ษพุ งึ กระทาํ ดิรัจฉาน] คนฆา มารดา คนฆา บิดา คน ในวัจกุฎี, ขอปฏิบัติสําหรับภิกษุผูใช ฆาพระอรหันต คนประทุษรายภิกษุณี สวม โดยยอมี ๗ ขอ คอื ใชต ามลาํ ดบั ภิกษุผูทําลายสงฆ คนผูทํารายพระ ผไู ปถงึ , รักษากิริยาในการจะเขา จะออก ศาสดาจนถึงหอพระโลหิต และอุภโต- ใหสุภาพเรียบรอยและไมทําเสียงดัง, พยญั ชนก), แมใ นสงั ฆกรรมทง้ั หลายอนื่ รักษาบริขารคือจีวรของตน, รักษาตัว กพ็ งึ เวน วชั ชนยี บคุ คล ๒๑ น้ี เชน ไมเบงแรง ไมใชสิ่งที่จะเปน วชั ชี ชื่อแควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควน อันตราย, ไมท าํ กิจอื่นไปพลาง, ระวังไม ใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูบนฝงทิศ ทาํ สกปรก, ชว ยรักษาความสะอาด ตะวนั ออกของแมน า้ํ คันธกะ อยทู างทิศ วัชชนียบุคคล “บุคคลที่พึงเวน” คือ ตะวนั ออกของแควน มลั ละ ทางทศิ เหนอื บุคคล ๒๑ ประเภท ซงึ่ ไมควรรว มอยู ของแควน มคธ นครหลวงชือ่ เวสาลี ในท่ีประชมุ สงฆท ส่ี วดปาฏโิ มกข แตพึง แควนวัชชีปกครองดวยระบอบสามัคคี- ใหอยูนอกหัตถบาส ทา นถอื ตามพทุ ธ- ธรรม พวกกษัตริยท่ีปกครองเรียกวา บัญญตั ขิ อวา (วนิ ย.๔/๑๗๓/๒๖๖) “ไมพ งึ กษัตริยลิจฉวี (นอกจากพวกลจิ ฉวแี ลว สวดปาฏโิ มกขในบริษัททีม่ คี ฤหสั ถ” จึง ยังมีพวกวิเทหะซ่ึงปกครองอยูที่เมือง นับคฤหัสถน้ันเปน ๑ และตามพุทธ- มถิ ลิ า แตใ นสมยั พทุ ธกาลมอี าํ นาจนอ ย) บัญญัตขิ อ วา (วนิ ย.๔/๒๐๑/๒๖๘) “ไมพงึ แควนวัชชีรุงเรืองเขมแข็งและมีอํานาจ สวดปาฏโิ มกขใ นบริษัทท่มี ภี ิกษณุ ี ฯลฯ มากตอนปลายพทุ ธกาล ไดก ลายเปน คู อุภโตพยญั ชนกะ น่งั อยดู ว ย” ซ่งึ มอี ีก แขง กบั แควน มคธ แตห ลงั พุทธกาลไม

วชั ชีบตุ ร ๓๕๕ วตั ตเภท นาน ก็เสียอํานาจแกมคธเพราะอุบาย (เปนไวพจนของ วิราคะ) ทาํ ลายสามัคคี ของวสั สการพราหมณ วัฑฒกีประมาณ ประมาณของชางไม, วชั ชบี ตุ ร ชอ่ื ภกิ ษพุ วกหนง่ึ ชาวเมอื งเวสาลี เกณฑหรอื มาตราวัดของชางไม แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ ละเมดิ ธรรมวนิ ยั วัฑฒลิจฉวี เจา ลจิ ฉวีชื่อวาวฑั ฒะ ถูก เปน ตน เหตแุ หง การสงั คายนา ครงั้ ท่ี๒ พระเมตตยิ ะ และพระภมุ มชกะเสยี้ มสอน วชั รยาน ดู หีนยาน ใหทําการโจทพระทัพพมัลลบุตรดวย วัฏฏะ การวนเวียน, การเวียนเกดิ เวียน อาบัติปฐมปาราชิก เปนตนเหตุใหพ ระ ตาย, การเวยี นวายตายเกดิ , ความเวยี น พทุ ธเจา ทรงบญั ญตั กิ ารลงโทษควาํ่ บาตร เกิด หรือวนเวียน ดวยอํานาจกิเลส วัฑฒิ, วัฑฒิธรรม หลักความเจริญ กรรม และวิบาก เชน กเิ ลสเกิดข้นึ แลว (ของอารยชน); ดู อรยิ วัฑฒิ ใหท าํ กรรม เมอื่ ทาํ กรรมแลว ยอ มไดร บั วัณณะ ดู วรรณะ ผลของกรรม เมอ่ื ไดร บั ผลของกรรมแลว วณั ณกสณิ ๔ กสณิ ทเ่ี พงวตั ถุมีสีตางๆ กเิ ลสกเ็ กดิ อกี แลว ทาํ กรรม แลว เสวย ๔ อยาง คือ นีลํ สีเขยี ว, ปต ํ สเี หลือง, ผลกรรม หมนุ เวยี นตอ ไป; ดู ไตรวฏั ฏ โลหติ ํ สีแดง, โอทาตํ สีขาว; ดู กสณิ วฏั ฏกปริตร ดู ปรติ ร วณั ณมจั ฉริยะ ตระหนีว่ รรณะ คอื หวง วฏั ฏคามณีอภยั ชอ่ื พระเจา แผนดนิ แหง ผิวพรรณ ไมพอใจใหคนอ่ืนสวยงาม เกาะลังกาพระองคหน่ึง ครองราชย หรือหวงคุณวัณณะ ไมพอใจใหใครมี ประมาณ พ.ศ. ๕๐๕–๕๒๗ ถกู พวกทมฬิ คุณความดีมาแขงตน (ขอ ๔ ใน แยง ชงิ ราชสมบัติ เสด็จไปซอนพระองค มัจฉรยิ ะ ๕) อยใู นปา และไดร ับความชวยเหลือจาก วตั ตขนั ธกะ ชื่อขันธกะที่ ๘ แหงคมั ภรี  พระเถระรปู หน่งึ ตอ มาพระองคก ูร าช- จุลวรรค วนิ ัยปฎก วาดวยวตั รประเภท สมบัติคืนมา ไดทรงสรา งอภัยคีรีวิหาร ตา งๆ และอาราธนาพระเถระรูปนน้ั มาอยูครอง วตั ตปฏบิ ัติ ดู วัตรปฏิบัติ กับทั้งไดทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา วัตตเภท ความแตกแหงวัตร หมาย อกี เปนอนั มาก การสังคายนาคร้ังที่ ๕ ความวาละเลยวตั ร, ละเลยหนา ที่ คอื ท่ีจารึกพุทธพจนลงในใบลาน ก็จัดทํา ไมทําตามขอปฏิบัติที่กําหนดไว เชน ในรชั กาลน้ี ภิกษุผูกาํ ลังประพฤติมานัต หรือกําลงั วฏั ฏปจ เฉท ความเขา ไปตัดเสียซึ่งวฏั ฏะ อยูปริวาส ละเลยวัตรของตน พระ

วัตถกิ รรม ๓๕๖ วตั ถวุ ิบตั ิ อรรถกถาจารยป รบั อาบัตทิ ุกกฏ อโุ บสถตา งหากกนั ได ๕. อนมุ ตกิ ัปปะ วตั ถิกรรม การผูกรดั ทีท่ วารหนกั ผูกรัด เรอ่ื งอนุมัติ ถือวา ภิกษยุ ังมาไมพ รอ ม หัวริดสีดวงงอกที่ทวารหนัก ทาน ทาํ สังฆกรรมไปพลาง ภิกษุท่ีมาหลงั จงึ สันนิษฐานวา อาจจะหมายถึงการสวน ขออนมุ ตั กิ ไ็ ด ๖. อาจณิ ณกปั ปะ เรอื่ งท่ี ทวารเบากไ็ ด เคยประพฤตมิ า ถอื วา ธรรมเนยี มใด วตั ถุ เรือ่ ง, สิ่งของ, ขอความ, ที่ดนิ ; ทต่ี ง้ั อุปชฌายอาจารยเคยประพฤติมาแลว เรือ่ ง หมายถึงบคุ คลผเู ปน ทีต่ ง้ั แหง การ ควรประพฤติตามอยางนั้น ๗. อมถิต- ทํากรรมของสงฆ เชน ในการอุปสมบท กัปปะ เร่ืองไมก วน ถอื วา นํ้านมสดแปร คนทจี่ ะบวชเปน วตั ถแุ หง การใหอ ปุ สมบท ไปแลว แตย งั ไมเ ปน ทธคิ อื นมสม ภกิ ษฉุ นั วตั ถุ ๑๐ เรอื่ งที่เปนตน เหตุ, ขอซง่ึ เปน ที่ แลว หา มอาหารแลว ดมื่ นา้ํ นมอยา งน้ัน ต้ังหรือเปนจุดเร่ิมตนเรื่อง, ขอปฏิบัติ อันเปน อนตริ ติ ตะได ๘. ชโลคงิ ปาตุง ๑๐ ประการของพวกภิกษวุ ัชชบี ตุ ร ชาว ถือวา สรุ าอยางออ น ไมใ หเ มา ด่มื ได เมืองเวสาลี ที่ผิดเพ้ียนยอหยอนทาง ๙. อทสกัง นสิ ที นงั ถือวา ผา นสิ ที นะไม พระวนิ ยั แปลกจากสงฆพ วกอนื่ เปน เหตุ มชี ายกใ็ ชไ ด ๑๐. ชาตรปู รชตงั ถือวา ปรารภใหม กี ารสงั คายนาคร้งั ที่ ๒ เมอ่ื ทองและเงนิ เปน ของควร รับได พ.ศ. ๑๐๐ มดี งั นี้ ๑. สงิ คโิ ลณกัปปะ กรณีวตั ถุ ๑๐ ประการนจ้ี ดั เปน เรอ่ื งเกลอื เขนง ถือวา เกลือทเี่ ก็บไวใ น วิวาทาธกิ รณใ หญเ ร่ืองหนึง่ เขนง (คร้งั นั้นภิกษเุ ก็บเกลือไวในเขนง วตั ถุกาม พสั ดอุ ันนาใคร ไดแ กก ามคณุ ความหมายคือ รับประเคนไวคางคืน ๕ คือ รปู เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ แลว) เอาออกผสมอาหารฉันได ๒. อนั นา ใคร นา ปรารถนา นา ชอบใจ; ดู กาม ทวงั คลุ กัปปะ เรื่องสองนิว้ ถอื วา เงา วัตถุเทวดา เทวดาที่ดนิ , พระภมู ิ แดดบายเลยเทย่ี งเพียง ๒ นว้ิ ฉนั วตั ถมุ งคล ดู เครอ่ื งราง อาหารได ๓. คามันตรกปั ปะ เรื่องเขา วัตถรุ ูป ดูท่ี รปู ๒๘ ละแวกบาน ถอื วา ภกิ ษุฉนั แลว หาม วัตถุวบิ ัติ วิบัติโดยวตั ถุ คอื บคุ คลหรอื อาหารแลว ปรารภวา จะเขาละแวกบาน วัตถุซึ่งเปนท่ีตั้งแหงสังฆกรรมน้ันๆ เด๋ียวน้ัน ฉันโภชนะเปนอนติริตตะได ขาดคณุ สมบตั ิ ทาํ ใหส งั ฆกรรมเสีย ใช ๔. อาวาสกปั ปะ เรอื่ งอาวาส ถอื วา ภกิ ษุ ไมไ ด เชน ในการอุปสมบทผอู ุปสมบท ในหลายอาวาสท่ีมีสีมาเดียวกันแยกทาํ อายไุ มค รบ ๒๐ ป หรือมีเรือ่ งทีเ่ ปน

วตั ถุสมบตั ิ ๓๕๗ วนั ความผดิ รา ยแรง เชน ฆาบิดามารดา ตามฤดู วิธเี ดนิ เปน หม)ู ; วตั รสว นมากใน หรือเปนปาราชิกเม่ือบวชเปนภิกษุคราว วตั ตขนั ธกะ กอน หรือไปเขา รีตเดียรถยี ท ั้งเปน ภกิ ษุ วัตรบท ๗ หลกั ปฏบิ ตั ิ หรอื ขอ ที่ถอื หรือเปนสตรี ดังนเี้ ปนตน ปฏบิ ตั ปิ ระจาํ ๗ ขอ ทที่ าํ ใหม ฆมาณพได วัตถุสมบัติ ความถึงพรอมแหงวัตถุ, เปนทาวสักกะหรือพระอินทรคือ ๑. ความสมบูรณโดยบุคคลหรือวัตถุซ่ึง มาตาเปตภิ โร เลย้ี งมารดาบดิ า ๒. กเุ ล- เปนที่ตั้งแหงการทําสังฆกรรมน้ันๆ มี เชฏปจายี เคารพผูใหญในตระกูล คุณสมบตั ิถกู ตอ ง ทาํ ใหสังฆกรรมใชได ๓. สณหฺ วาโจ พดู คาํ สุภาพออ นหวาน ไมบกพรองในดานนี้ เชน ในการ ๔. อปส ณุ วาโจ หรอื เปสเุณยยฺ ปปฺ หายี ไม อุปสมบท ผูขอบวชเปน ชายมีอายุครบ พดู สอ เสยี ด พูดสมานสามคั คี ๕. ทาน- ๒๐ ป ไมเ ปนมนษุ ยวิบตั ิเชน ถกู ตอน สํวภิ าครโต หรอื มจฺเฉรวนิ ย ชอบเผ่ือ ไมไดทําความผิดรายแรงเชนฆาบิดา แผใหป น ปราศจากความตระหน่ี ๖. มารดา ไมใ ชค นทําความเสยี หายในพระ สจฺจวาโจ มีวาจาสัตย ๗. อโกธโน หรอื พทุ ธศาสนาอยา งหนกั เชน ปาราชิก เมอื่ โกธาภิภู ไมโกรธ ระงบั ความโกรธได วตั รปฏิบัติ การปฏิบัติตามหนา ท,ี่ การ บวชคราวกอน ดังนเ้ี ปน ตน วตั ถสุ มั มขุ ตา ความพรอ มหนาวัตถุ คือ ทําตามขอปฏิบัติที่พึงกระทําเปนประจํา, ยกเรอ่ื งที่เกิดนั้นขึน้ วนิ ิจฉยั ; ดู สัมมขุ า- ความประพฤติที่เปนไปตามขนบ วินยั ธรรมเนียมแหงเพศ ภาวะหรือวิถี วัตร กิจพงึ กระทํา, หนา ท,่ี ธรรมเนยี ม, ดําเนนิ ชีวิตของตน ความประพฤต,ิ ขอ ปฏบิ ตั ิ จาํ แนกออกเปน วนั 1. ระยะเวลาตงั้ แตพ ระอาทิตยขึ้นถงึ ๑. กจิ วัตร วา ดวยกิจทค่ี วรทาํ (เชน พระอาทิตยตก ซ่ึงตามปกติถือตาม อุปชฌายวตั ร สทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร อาคนั ตกุ - กาํ หนด ๑๒ ช่ัวโมง, กลางวัน ก็เรียก; วตั ร) ๒. จรยิ าวตั ร วาดวยมารยาทอัน ระยะเวลา ๒๔ ชวั่ โมง ทโ่ี ลกหมนุ ตวั เอง ควรประพฤติ (เชน ไมทิ้งขยะทาง ครบรอบหนงึ่ อยา งทถี่ อื กนั มาแตเ ดมิ วา หนาตางหรือท้ิงลงนอกฝานอกกําแพง ตั้งแตพระอาทิตยข้ึนถึงพระอาทิตยข้ึน ไมจ บั วตั ถอุ นามาส) ๓. วธิ ีวตั ร วาดว ย ใหมใ นวันถดั ไป หรอื อยา งท่นี ิยมถอื กัน แบบอยางที่พึงกระทํา (เชน วิธีเก็บ ในปจจุบันตามคติสมัยใหมวา ต้ังแต บาตร วิธีพับจีวร วิธีเปดปดหนา ตาง เท่ียงคืนหนึ่งถึงเที่ยงคืนถัดไป; การที่

วันอโุ บสถ ๓๕๘ วาโยธาตุ เรยี กวา วนั นน้ั เพราะถือเอาเวลาพระ ทบั วางยาพษิ เปนตน อาทติ ยซ งึ่ เรยี กวาตะวันขึน้ จนถงึ ตะวัน วาจา คาํ พดู , ถอ ยคาํ ตกเปน กาํ หนด คอื มาจากคาํ วา ตะวนั นน่ั วาจาชอบ ดู สัมมาวาจา เอง (คลายกบั ระยะเวลาเดือนหนง่ึ ที่ วาจาช่ัวหยาบ ในวินัยหมายถึงถอยคํา ถอื ตามการโคจรของพระจนั ทร ซึง่ มีชื่อ พาดพิงทวารหนกั ทวารเบาและเมถุน; ดู วาเดอื น) 2. ปา , ดง, สวน (บาล:ี วน) ทฏุ ลุ ลวาจา วันอโุ บสถ ดู อโุ บสถ วาชเปยะ, วาชไปยะ “วาจาดูดดม่ื ใจ”, วปั ปะ ชอ่ื พระภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในคณะปญ จ- “นา้ํ คาํ ควรด่มื ”, ความรูจักพูด คอื รจู กั วัคคีย เปนพระอรหนั ตรุนแรก ทักทายปราศรัย ใชว าจาสุภาพนมุ นวล วปั ปมงคล พธิ ีแรกนาขวญั คือพธิ เี ร่ิมไถ ประกอบดว ยเหตผุ ล มปี ระโยชน เปน นาเพ่อื เปน สริ มิ งคลแกข า วในนา ทางแหงสามัคคี ทําใหเกิดความเขาใจ วยั สว นแหง อาย,ุ ระยะของอาย,ุ เขตอายุ อนั ดี ความเชอื่ ถอื และความนิยมนับถือ นยิ มแบง เปน ๓ วยั คัมภีรว ิสทุ ธิมรรค (ขอ ๔ ในราชสังคหวตั ถุ ๔) จัดดังนี้ ๑. ปฐมวัย วัยตน ๓๓ ป คอื วาตสมุฏานา อาพาธา ความเจบ็ ไขท ี่ อายุ ๑ ถงึ ๓๓ ป ๒. มัชฌมิ วยั วยั มีลมเปนสมฏุ ฐาน; ดู อาพาธ กลาง ๓๔ ป คอื อายุ ๓๔ ถงึ ๖๗ ป ๓. วานปรสั ถ ผูอยูปา , เปนธรรมเนยี มของ ปจฉิมวัย วัยปลาย ๓๓ ป คอื อายุ ๖๘ พราหมณว า ผทู ค่ี รองเรอื น มคี รอบครวั ป ถึง ๑๐๐ ป เปน หลักฐาน คร้ันลกู หลานเตบิ โตก็จัด วสั วดี ช่อื ของพระยามาร; ดู วสวัตดี แจงใหม คี รอบครวั ตนเองชราลง ก็เขา วัสสานะ, วัสสานฤดู ฤดูฝน (แรม ๑ ปาจําศีลถือพรตบําเพ็ญตบะตอไป, คํ่า เดอื น ๘ ถงึ ขึน้ ๑๕ คํา่ เดอื น เขียน วนปรสั ถะ บา งก็มี; ดู อาศรม ๑๒); ดู มาตรา วาโยธาตุ ธาตลุ ม, สภาวะทมี่ ีลักษณะพดั วสั สาวาสิกพสั ตร ดู ผาจํานาํ พรรษา ไปมา, ภาวะสนั่ ไหว เครงตงึ ค้ําจนุ ; ใน วสั สิกสาฎก ดู ผา อาบน้ําฝน รา งกายน้ี สวนที่ใชก าํ หนดเปนอารมณ วสั สกิ สาฏิกา ดู ผา อาบนํา้ ฝน กรรมฐาน ไดแกลมพดั ข้ึนเบอ้ื งบน ลม วสั สูปนายกิ า วันเขาพรรษา; ดู จําพรรษา พัดลงเบอื้ งตาํ่ ลมในทอง ลมในไส ลม วางไวท าํ ราย ไดแ ก วางขวาก ฝง หลาว พดั ไปตามตวั ลมหายใจ, อยา งนี้เปน ไวในหลุมพราง วางของหนักไวใหตก การกลาวถึงวาโยธาตุในลักษณะท่ีคน

วาร ๓๕๙ วิกปั ,วิกัปป สามัญท่ัวไปจะเขาใจได และที่จะให ใหเ ขาถงึ อบาย กับสว นทเี่ ปนเหตใุ หเ กิด สําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน อาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ แตในทางพระอภิธรรม วาโยธาตุเปน ตา งๆ สว นแรก พระอรหนั ตทุกองคล ะ สภาวะพื้นฐานท่ีมีอยูในรูปธรรมทุก ได แตส วนหลงั พระพทุ ธเจาเทา น้นั ละ อยา ง ไดแกภ าวะส่นั ไหว เครงตึง คา้ํ ได พระอรหันตอื่นละไมได จึงมีคํา จนุ ; ดู ธาตุ, รูป ๒๘ วาร วนั หน่งึ ๆ ในสปั ดาห, คร้งั , เวลา กลา ววา พระพทุ ธเจาเทา น้นั ละกิเลสทัง้ กาํ หนด หมดไดพรอมท้ังวาสนา; ในภาษาไทย วาระ ครงั้ คราว, เวลาท่กี าํ หนดสําหรบั คําวา วาสนา มีความหมายเพ้ียนไป กลายเปน อาํ นาจบุญเกา หรอื กุศลทีท่ าํ ผลัดเปล่ยี น ใหไ ดรับลาภยศ วารี นํา้ วาสภคามิกะ ช่ือพระเถระองคหน่ึงใน วาลิการาม ชื่อวัดหนึ่งในเมืองเวสาลี การกสงฆ ผูท าํ สังคายนาคร้งั ที่ ๒ แควนวัชชี เปนที่ประชุมทําสังคายนา วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกด ครง้ั ที่ ๒ ชาํ ระวัตถุ ๑๐ ประการทเี่ ปน ไว ไดแ กความพน จากกิเลสและอกศุ ล- เสี้ยนหนามพระธรรมวินัย ธรรมไดดวยกําลังฌาน อาจสะกดได วาสนา อาการกายวาจา ทเ่ี ปน ลักษณะ นานกวา ตทงั ควิมุตติ แตเมอื่ ฌานเสื่อม พิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบาง แลวกเิ ลสอาจเกดิ ข้ึนอกี จดั เปนโลกยิ - อยาง และไดสั่งสมอบรมมาเปนเวลา วิมุตติ (ขอ ๒ ในวิมุตติ ๕; ในบาลีเปน นานจนเคยชินติดเปนพ้ืนประจําตวั แม ขอ ๑ ถงึ ชัน้ อรรถกถา จงึ กลายมาเปน จะละกิเลสนั้นไดแลว แตก็อาจจะละ ขอ ๒) อาการกายวาจาทเี่ คยชนิ ไมไ ด เชน คํา วิกติกา เคร่อื งลาดทีเ่ ปนรูปสตั วร าย เชน พูดติดปาก อาการเดินท่ีเร็วหรือเดิน ราชสหี  เสอื เปน ตน ตวมเตี้ยม เปนตน ทานขยายความวา วิกัป, วกิ ปั ป ทาํ ใหเ ปนของสองเจาของ วาสนา ท่เี ปน กุศล กม็ ี เปนอกศุ ล ก็มี คอื ขอใหภ กิ ษสุ ามเณรอนื่ รว มเปน เจา ของ เปนอัพยากฤต คือเปนกลางๆ ไมด ีไม บาตรหรอื จวี รน้ันๆ ดวย ทําใหไ มตอง ชวั่ ก็มี ทเ่ี ปน กุศลกับอพั ยากฤตน้ัน ไม อาบัติเพราะเก็บอติเรกบาตรหรืออติเรก ตอ งละ แตท่ีเปน อกุศลซงึ่ ควรจะละนน้ั จีวรไวเกนิ กําหนด แบงเปน ๒ สวน คือ สวนที่จะเปนเหตุ วกิ ัปมี ๒ คอื วกิ ปั ตอ หนา และวิกัป

วกิ ปั ,วกิ ปั ป ๓๖๐ วิกัป,วกิ ัปป ลบั หลงั ปริภุ ชฺ วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา วิกปั ตอหนา คอื วกิ ปั ตอหนา ผูร ับ กโรหิ” แปลวา “จีวรผืนนี้ของขาพเจา ทานจงใชสอยก็ตาม จงสละกต็ าม จง ถา จวี รผนื เดยี ว อยูในหตั ถบาส วา “อมิ ํ ทาํ ตามปจจยั กต็ าม” (ถา ผถู อนออนกวา จวี รํ ตยุ หฺ ํ วกิ ปฺเปมิ” แปลวา “ขา พเจา พึงวา “อมิ ํ จีวรํ มยหฺ ํ สนฺตกํ ปริภุ ฺชถ วกิ ปั จวี รผนื นแ้ี กท า น”(ถา วกิ ปั จวี ร ๒ ผนื วา วิสชฺเชถ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรถ”, ขนึ้ ไป วา “อมิ านิ จวี ราน”ิ แทน “อมิ ํ จวี ร”ํ , คําที่พึงเปลี่ยนทั้งหลาย เชน ช่ือของ ถาจีวรท่ีวิกัปอยูนอกหตั ถบาส วา “เอตํ” จํานวนของ และท่ีของตัง้ อยใู นหรอื นอก แทน “อิมํ” วา “เอตานิ” แทน “อิมาน”ิ , หัตถบาส พึงเทียบเคียงกับคําที่กลาว ถาวิกัปแกภิกษุผูแกกวา จะใชบทวา แลวขางตน ) “อายสฺมโต” แทน “ตุยหฺ ํ” ก็ควร) ในเร่ืองเก่ียวกับการวิกัปน้ี มีแนว วกิ ปั ลบั หลงั คอื วกิ ปั ใหแ กส หธรรมกิ ทางปฏิบัติที่พระอาจารยนักวินัยแนะนํา รปู ใดรปู หน่ึง ผมู ไิ ดอยูเฉพาะหนา โดย ไว และพระมตใิ นหนงั สอื วนิ ัยมุข อัน เปลงวาจาตอหนาสหธรรมิกรูปอื่น ถา ควรทราบวา ผาท่ีจะอธิษฐานเปนผาปู จีวรผนื เดยี ว อยใู นหตั ถบาส วา “อิมํ นอนกด็ ี เปนผาบริขารโจลกด็ ี ตอ งเปน จีวรํ อติ ฺถนฺนามสสฺ วกิ ปฺเปม”ิ แปลวา ของทไี่ มใชน งุ หม จงึ อธิษฐานขึ้น เชน “ขาพเจาวิกัปจีวรผืนน้ี แกทานผูช่ือน้ี” ภิกษุถอนผา อตุ ตราสงคผ นื เกา เสยี ไม (ถา วกิ ัปแกภ กิ ษุชือ่ วา อตุ ตระ ก็บอกช่ือ คิดจะใชน งุ หมอีก และอธิษฐานผืนใหม วา “อุตฺตรสสฺ ภิกฺขุโน” หรือ “อายสฺมโต แลว จะอธิษฐานผืนเกา น้ันเปนผา ปูนอน อตุ ตฺ รสสฺ ” แทน “อติ ถฺ นฺนามสสฺ ” สดุ แต เชน น้ีได แตถายังจะใชน ุงหม ควรวกิ ปั ผูรับออนกวาหรือแกกวา, ถาวิกัปจีวร ไวตามแบบ สว นผา บรขิ ารโจลน้นั ก็เชน หลายผืน หรือจวี รอยนู อกหัตถบาส พงึ ผากรองนาํ้ ถุงบาตร และยา ม อันมิใช เปล่ียนคํา โดยเทียบตามแบบวิกัปตอ ของใชนุงหม และไมใชเปนของใหญ หนา) ตลอดจนผา บรขิ ารอยา งอนื่ ซึง่ มีสีและ ดอกอันหามในผานุงหม อยางน้ี จีวรที่วกิ ัปไว จะบริโภค ตองขอให อธษิ ฐานขึน้ สวนผาทีจ่ ะใชน ุงหม แม ผรู บั ถอนกอน มฉิ ะน้ัน หากบริโภค จะ เพียงผืนเล็กพอใชเปนเครื่องประกอบ ตอ งอาบัติปาจติ ตยี  เมือ่ ผูท่ีไดร ับไวนนั้ เขาเปนผานุงหมได แมแตผาขาว มี ถอนแลว จงึ ใชไ ด, คาํ ถอนสําหรับจวี รท่ี อยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ จวี รํ มยหฺ ํ สนตฺ กํ

วกิ ปั ปตจีวร ๓๖๑ วิกพุ พนา ประมาณตง้ั แตยาว ๘ นว้ิ กวาง ๔ กอ นจงึ บริโภค พึงใชเปนของวกิ ัป แต นิ้วขึ้นไป จัดวาเปนจีวรตามกําหนด เมื่อจะอธิษฐาน พึงใหถอนกอน; ดู อยา งตาํ่ ท่จี ะตอ งวกิ ปั อธษิ ฐาน, ปจ จทุ ธรณ อนง่ึ ผา อาบน้าํ ฝน เปน ของทที่ รง วิกปั ปต จวี ร จีวรท่ีวิกัปปไว, จวี รท่ีไดทํา อนุญาตเปนบริขารพิเศษชั่วคราวของ ใหเ ปนของ ๒ เจาของแลว ภิกษุ อธษิ ฐานไวใ ชไ ดต ลอด ๔ เดอื น วกิ าร 1. พิการ, ความแปรผนั , ความผดิ แหงฤดฝู น พนนัน้ ใหวกิ ัปไว แปลก, ผิดปรกติ 2. ทาํ ตา งๆ, ขยับ ทงั้ น้ี มพี ทุ ธานญุ าตไวค ราวหนง่ึ (วนิ ย. เขยอ้ื น เชน กวักมือ ดีดนิว้ เปนตน ๕/๑๖๐/๒๑๘) ซงึ่ ใชเ ปน ทอ่ี า งองิ ในเรอ่ื งทว่ี า วิกาล ผิดเวลา, ในวกิ าลโภชนสกิ ขาบท ผาอยางไหนจะตองอธิษฐาน หรือตอง (หา มฉนั อาหารในเวลาวกิ าล) หมายถึง วกิ ัป อยา งไร ใจความวา ไตรจีวร ผา ปู ต้ังแตเที่ยงแลวไปจนถึงกอนอรุณวัน น่ัง (นสิ ีทนะ) ผาปนู อน (ปจ จตั ถรณะ) ใหม; สวนในอันธการวรรค สิกขาบทท่ี ผาเช็ดหนาเช็ดปาก (มุขปุญฉนโจละ) ๗ ในภิกขุนีวิภังค (หามภิกษุณีเขาสู และผา บรขิ ารโจล ใหอธิษฐาน ไมใ ชใ ห ตระกลู ในเวลาวิกาล เอาท่ีนอนปูลาดน่งั วิกัป, ผาอาบนํา้ ฝน (วัสสิกสาฎก) ให นอนทับโดยไมบอกกลาวขออนุญาตเจา อธษิ ฐานใชต ลอด ๔ เดือนแหง ฤดูฝน บาน) หมายถงึ ตง้ั แตพระอาทิตยตกจน พน จากนนั้ ใหว ิกัปไว, ผา ปด ฝ (กัณฑ-ุ ถึงกอนอรุณวันใหม; ในสิงคาลกสูตร ปฏิจฉาทิ) ใหอธิษฐานใชตลอดเวลาที่ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สุตตันตปฎก อาพาธ พน จากนนั้ ใหวิกัปไว; ผา จีวร กลาวถึงการเท่ียวซอกแซกในเวลาวิกาล ขนาดอยา งตาํ่ ยาว ๘ นิว้ กวา ง ๔ นว้ิ วาเปนอบายมขุ นัน้ ก็หมายถงึ เวลาคํ่า โดยน้วิ พระสุคต ตอ งวิกัป วกิ าลโภชน การกนิ อาหารในเวลาวิกาล, สวนในการวิกัปบาตร ถาบาตรใบ การฉนั อาหารผิดเวลา; ดู วกิ าล เดยี ว อยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ ปตตฺ ํ ตยุ หฺ ํ วกิ พุ พนา การทาํ ใหเ ปน ไดต า งๆ, การยกั วกิ ปฺเปม”ิ (ถาบาตรหลายใบ วา “อิเม เยื้องยักยาย, การปรับแปลงแผลงผัน, ปตฺเต” แทน “อิมํ ปตตฺ ”ํ ; ถาบาตรอยู เชน ผทู เี่ จรญิ อปั ปมญั ญาจนชาํ นาญ มี นอกหัตถบาส วา “เอตํ” แทน “อมิ ํ” จิตเสมอกันตอสรรพสัตว และเขาถึง บาตรหลายใบ วา “เอเต” แทน “อิเม”), ฌานแลว สามารถแผเ มตตา เปน ตน ตอ บาตรที่วิกปั ไวแลว ไมมกี ําหนดใหถอน สตั วท งั้ หลาย แผกผนั ไปไดต า งๆ ทงั้

วิกพุ พนาอิทธิ,วกิ พุ พนฤทธ์ิ ๓๖๒ วชิ ฺชาจรณสมปฺ นฺโน แบบกวางขวางไมมีขอบเขต (อโนธโิ ส- วิจกิ ิจฉา ความลงั เลไมต กลงได, ความ ผรณา) ทงั้ แบบจาํ กดั ขอบเขต (โอธโิ ส- ไมแนใจ, ความสงสัย, ความเคลือบ ผรณา) และแบบเฉพาะเปน ทศิ ๆ (ทสิ า- แคลงในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย, ความลงั เล ผรณา), คาํ วา “วกิ พุ พนา” น้ี มกั พบในชอื่ เปนเหตุใหไมแนใจในปฏิปทาเครื่อง เรยี กอทิ ธิ (ฤทธ)ิ์ แบบหนง่ึ คอื วกิ พุ พนา- ดาํ เนนิ ของตน (ขอ ๕ ในนวิ รณ ๕, ขอ อทิ ธิ หรอื วกิ พุ พนฤทธ;ิ์ เทียบ อโนธิโส- ๕ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระอภธิ รรม, ผรณา, โอธิโสผรณา, ทิสาผรณา; ดู แผ ขอ ๔ ในอนสุ ยั ๗) เมตตา,สมี าสมั เภท; วกิ พุ พนาอทิ ธิ วจิ ิตร งาม, งดงาม, แปลก, ตระการ, วกิ พุ พนาอทิ ธ,ิ วกิ พุ พนฤทธิ์ ฤทธคิ์ อื หรู, แพรวพราว การแผลง, ฤทธบ์ิ ดิ ผนั , ฤทธผิ์ นั แผลง วิชชา ความรแู จง , ความรวู เิ ศษ; วิชชา ๓ คือการแผลงฤทธแ์ิ ปลงตวั เปลย่ี นจาก คือ ๑. ปพุ เพนิวาสานุสตญิ าณ ความรทู ่ี รปู รา งปกติ แปลงเปน เดก็ เปน ครฑุ เปน ระลึกชาตไิ ด ๒. จตุ ปู ปาตญาณ ความรู เทวดา เปน เสอื เปน งู เปน ตน (ตอ งหา ม จตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วท งั้ หลาย ๓.อาสวกั - ขยญาณ ความรทู ีท่ ําอาสวะใหสนิ้ วชิ ชา ทางพระวนิ ยั ) วิขมั ภนปหาน การละกเิ ลสไดด วยขมไว ๘ คอื ๑. วปิ ส สนาญาณ ญาณใน ดว ยฌาน; มกั เขยี น วิกขัมภนปหาน วิปส สนา ๒. มโนมยทิ ธิ ฤทธิท์ างใจ ๓. วิขมั ภนวมิ ุติ ดู วกิ ขัมภนวมิ ตุ ติ อทิ ธิวิธิ แสดงฤทธไิ์ ดต า งๆ ๔. ทพิ พ- วิจาร ความตรอง, การพิจารณาอารมณ, โสต หทู ิพย ๕. เจโตปริยญาณ รจู ัก การตามฟนอารมณ (ขอ ๒ ในองคฌ าน กาํ หนดใจผอู น่ื ได ๖. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ ๕) ๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย (= จตุ ูปปาต- วิจารณ 1. พิจารณา, ไตรตรอง 2. สอบ ญาณ) ๘. อาสวักขยญาณ สวน, ตรวจตรา 3. คิดการ, กะการ, จัด วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (พระผูมีพระภาค เตรียม, จดั แจง, ดแู ล, จดั ดําเนินการ เจาน้ัน) ทรงถึงพรอมดวยวิชชาและ 4. ในภาษาไทย มกั หมายถงึ ตชิ ม, แสดง จรณะ ประกอบดวยวชิ ชา ๓ หรอื วชิ ชา ความคิดเห็นในเชิงตัดสินคุณคาชี้ขอดี ๘ และจรณะ ๑๕ อนั เปน ปฏิปทาเครอ่ื ง ขอดอ ย บรรลุวิชชานั้น, มีความรูประเสริฐ วจิ ารณญาณ ปญ ญาทไี่ ตรต รองพจิ ารณา ความประพฤตปิ ระเสรฐิ (ขอ ๓ ใน เหตุผล พทุ ธคุณ ๙)

วชิ ชาธร,วิชาธร ๓๖๓ วญิ ู วชิ ชาธร, วิชาธร ดู วิทยาธร สัตวเหลาหน่ึง มกี ายตา งกัน มีสัญญา วิญญัติ 1. การเคลื่อนไหวใหรูความ อยางเดียวกัน เชน พวกเทพผูอยใู น หมาย, การสือ่ ความหมาย มี ๒ คือ ๑. จาํ พวกพรหมผเู กดิ ในภมู ปิ ฐมฌาน ๓. กายวญิ ญตั ิ การใหร คู วามหมายดว ยกาย สัตวเหลาหนึง่ มีกายอยางเดียวกัน มี เชน พยกั หนา กวกั มือ ๒. วจวี ญิ ญตั ิ สญั ญาตา งกนั เชน พวกเทพอาภสั สระ การใหรูความหมายดวยวาจา คือพูด ๔. สัตวเหลา หนง่ึ มีกายอยางเดยี วกนั มี หรอื บอกกลาว 2. การออกปากขอของ สญั ญาอยางเดียวกนั เชน พวกเทพสุภ- ตอคนไมควรขอ หมายถึงภิกษุขอส่ิง กิณหะ ๕. สัตวเหลา หนงึ่ ผเู ขา ถึงชน้ั ของตอคฤหสั ถผูไ มใ ชญาติ ผไู มใ ชค น อากาสานัญจายตนะ ๖. สัตวเหลาหน่งึ ปวารณา ผูเ ขาถงึ ชน้ั วญิ ญาณัญจายตนะ ๗. สตั ว วญิ ญาณ ความรูแจง อารมณ, จติ , ความรู เหลา หนง่ึ ผเู ขา ถงึ ชนั้ อากญิ จญั ญายตนะ ที่เกิดข้ึนเม่ืออายตนะภายในและ วิญญาณธาตุ ธาตุรู, ความรูแจง , ความรู อายตนะภายนอกกระทบกัน เชนรู อะไรได (ขอ ๖ ในธาตุ ๖) อารมณในเวลาเม่ือรูปมากระทบตา วิญญาณัญจายตนะ ฌานอันกําหนด เปนตน ไดแ ก การเห็น การไดยนิ เปน วิญญาณหาท่ีสุดมิไดเปนอารมณหรือ อาท;ิ วญิ ญาณ ๖ คือ ๑. จกั ขุวิญญาณ ภพของผเู ขา ถงึ ฌานน้ี (ขอ ๒ ในอรปู ๔) ความรอู ารมณท างตา (เหน็ ) ๒. โสต- วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ, วิญญาณ ความรูอารมณท างหู (ไดยนิ ) วิญญาณเปนอาหารคือเปนปจจัย ๓. ฆานวิญญาณ ความรูอารมณทาง อดุ หนุนหลอเลยี้ งใหเกดิ นามรูป (ขอ ๔ จมกู (ไดก ลิ่น) ๔. ชวิ หาวิญญาณ ความ ในอาหาร ๔) รอู ารมณท างล้นิ (รูร ส) ๕. กายวญิ ญาณ วิญู ผูร,ู บณั ฑิต, นักปราชญ; ในพระ ความรูอารมณทางกาย (รูส่ิงตองกาย) วินัย ตามปาจติ ติยสิกขาบทที่ ๗ แหง ๖. มโนวญิ ญาณ ความรูอารมณทางใจ มุสาวาทวรรค วา “อน่ึง ภกิ ษุใดแสดง (รูเรือ่ งในใจ) ธรรมแกม าตุคามเกินกวา ๕-๖ คาํ เวน วิญญาณฐิติ ภูมเิ ปน ที่ต้ังของวิญญาณ มี แตมีบุรุษผูเปนวิญูอยูดวย เปน ๗ คือ ๑. สตั วเ หลาหนึ่ง มีกายตา งกัน ปาจิตตีย” คาํ วา วญิ ู ในทีน่ ี้ หมายถึง มีสญั ญาตางกัน เชนพวกมนษุ ย พวก ผูรคู วาม คือ “ผูส ามารถรเู ขา ใจคาํ ดคี าํ เทพบางหมู พวกวนิ ปิ าติกะ บางหมู ๒. ราย คาํ หยาบคําไมห ยาบ”, ในกฎหมาย

วิญชู น ๓๖๔ วิถจี ติ ไทย ใชคําวา วิญชู น หมายถงึ บุคคล ภวงั คจิต (และมิใชเ ปนปฏสิ นธจิ ิต หรือ ผรู ูผ ิดรูช อบตามปรกติ หรืออยางภาษา จตุ จิ ติ ), พดู อกี อยางหนง่ึ วา จติ ๑๑ ช่ือ ซึ่งทํากิจ ๑๑ อยาง นอกจากปฏิสนธิกิจ ชาวบานวา ผูร ูผ ดิ ชอบช่วั ดี ภวังคกิจ และจตุ กิ ิจ, “วถิ จี ติ ” เปนคาํ วิญูชน ดู วิญู รวม เรียกจติ ทัง้ หลาย ซง่ึ ทาํ หนา ที่เกีย่ ว วติ ก ความตรกึ , ตริ, การยกจิตข้นึ สู กบั การรบั รูอารมณ ๖ ทางทวารทง้ั ๖ อารมณ หรอื ปก จติ ลงสูอารมณ (ขอ ๑ (คําบาลวี า “วีถจิ ติ ตฺ ”), อธิบายอยา งงาย พอใหเ ขาใจเปนพ้นื ฐานวา สัตวทง้ั หลาย ในองคฌาน ๕), การคิด, ความดําริ; หลงั จากเกิดคือปฏสิ นธแิ ลว จนถึงกอ น ตายคอื จตุ ิ ระหวา งนนั้ ชวี ติ เปน อยโู ดย ไทยใชว าเปนหวงกังวล มีจติ ทเี่ ปน พ้นื เรยี กวา ภวงั คจติ (จิตที่ วติ กจรติ พืน้ นสิ ยั หนกั ในทางตรึก, มี เปนองคแหง ภพ หรือจติ ในภาวะทเี่ ปน วิตกเปนปรกติ, มีปรกตินึกพลานหรือ องคแ หงภพ) ซึง่ เกดิ ดบั สบื เนอ่ื งตอ กัน ไปตลอดเวลา (มักเรียกวาภวงั คโสต คิดจบั จดฟงุ ซาน, ผูมจี ริตชนิดนีพ้ ึงแก คือกระแสแหง ภวังค) ทนี ้ี ถา จิตอยูใน ภาวะภวงั ค เปนภวงั คจิต และเกิดดับ ดว ย เพงกสิณ หรือเจรญิ อานาปานสติ- สืบตอไปเปนภวังคโสตเทาน้ัน ก็เพียง แคยังมีชีวิตอยู เหมือนหลับอยูตลอด กมั มฏั ฐาน (ขอ ๖ ในจริต ๖) เวลา แตช วี ติ น้ันเปนอยดู าํ เนินไป โดยมี วติ ถาร ซง่ึ แผย ืดขยายกวา งขวางออกไป, การรับรูและทํากรรมทางทวารตางๆ ขยายความ, พิสดาร; ตรงขา มกบั สงั เขป; เชน เห็น ไดยนิ ดู ฟง เคลอื่ นไหว พูด ในการวัด หมายถึง ความกวา ง (เทยี บ จา ตลอดจนคดิ การตางๆ จิตจงึ มิใชอ ยู กับความยาว คืออายาม และความสูง เพียงในภาวะที่เปนภวังค คือมิใชแค หรอื ความลกึ คืออพุ เพธ); ในภาษาไทย เปนองคแหงภพไวเทานน้ั แตต อ งมีการ ความหมายเพี้ยนไป กลายเปน วา ผดิ รับรูเสพอารมณทํากรรมทางทวารท้ัง หลายดวย ดงั นัน้ เมอ่ื มอี ารมณ คอื รปู ปกติ, พลิ ึก, นอกแบบ, นอกลนู อกทาง, เสียง ฯลฯ มาปรากฏแกทวาร (“มาสู คลองในทวาร”) คอื ตา หู ฯลฯ ก็จะมี เกนิ วสิ ัยแหงความยอมรับ วิตถารนัย นยั อยา งพสิ ดาร, แบบขยาย ความ, แงความหมายซง่ึ บรรยายอยาง กวางขวางยืดยาว; ตรงขา มกบั สังเขปนัย วติ ิกกมะ ดู วีตกิ กมะ วถิ จี ิต “จิตในวิถ”ี คอื จิตในวิถีแหง การรับ รเู สพอารมณ, จติ ซ่งึ เกดิ ข้ึนเปนไปในวิถี คอื พน จากภวงั ค หรอื พน จากภาวะทเี่ ปน

วถิ ีจติ ๓๖๕ วถิ ีจิต การรับรู โดยภวงั คจิตที่กาํ ลังเกิดดับสืบ จติ (วถี จิ ติ ตปวตั ต)ิ ทเ่ี กดิ ดบั สบื ตอ ไป ตอกระแสภพกันอยูนั้น แทนท่ีวา ภวังคจิตหน่งึ ดบั ไป จะเกิดเปนภวังคจติ มากมายไมอ าจนบั ได ใหมขน้ึ มา กก็ ลายเปน วา ภวงั คจิตหนึ่ง ดบั ไป แตเกดิ เปน จติ หนึง่ ท่ีเขา อยูในวิถี ในการรับรูเสพอารมณทํากรรมคร้ัง แหงการรับรูเกิดขึ้นมา (ตอนนี้ พูด อยางภาษาชาวบานใหเขาใจงายวา จิต หนงึ่ ๆ ทเี่ ปน การเปลย่ี นจากภวงั คจติ มา ออกจากภวังค หรือจิตขึ้นสูว ถิ ี) แลว ก็ จะมีจิตท่ีเรียกชื่อตางๆ เกิดขึ้นมาทํา เปน วถิ จี ติ จนกระทงั่ กลบั เปน ภวงั คจติ หนา ทตี่ อ ๆ กนั ไป ในวถิ แี หง การรบั รเู สพ อารมณนั้น จนครบกระบวนจบวิถีไป อีกน้ัน แยกแยะใหเห็นลําดับขั้นตอน รอบหนึ่ง แลวก็เกิดเปนภวังคจิตข้ึนมา อกี (พดู อยา งภาษาชาวบา นวา ตกภวงั ค) , แหงความเปนไป พอใหไดความเขาใจ จิตท้ังหลายท่ีเกิดขึ้นมาทําหนาที่แตละ ขณะในวิถีแหงการรับรูเสพอารมณนั้น ครา วๆ (ในทนี่ ้ี จะพดู ถงึ เฉพาะปญ จ- จนจบกระบวน เรียกวา “วถิ จี ติ ” และจติ แตละขณะในวิถีนั้น มีช่ือเรียกเฉพาะ ทวารวถิ ี คอื การรบั รทู างทวาร ๕ ไดแ ก ของมนั ตามกจิ คืองานหรอื หนาที่ทมี่ ัน ทํา, เมื่อตกภวังคอยางที่วานั้นแลว ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย ในกรณที รี่ บั ภวงั คจิตเกิดดับตอ กันไป แลว ก็เปลย่ี น (เรียกวาตัดกระแสภวังค) เกิดเปนวิถี อารมณท ม่ี กี าํ ลงั มาก คอื อตมิ หนั ตารมณ จิตขึน้ มารบั รูเ สพอารมณอ กี แลวพอจบ กระบวน กต็ กภวังค เปน ภวังคจิต แลว เปน หลกั ) ดงั น้ี ก. ชว งภวงั คจติ (เนอ่ื ง กต็ ัดกระแสภวงั ค เกดิ เปน วิถจี ิตขึ้นอกี สลับกันหมุนเวียนไป โดยนัยน้ี ชีวิตท่ี จากเม่ือจบวิถี ก็จะกลับเปนภวังคอีก ดําเนินไปแมในกิจกรรมเล็กนอยหน่ึงๆ จึงเปนการสลับหมุนเวียนไปของกระแส ตามปกติจึงเรียกภวังคจิตท่ีเอาเปนจุด ภวังคจิต (ภวังคโสตะ) กับกระบวนวิถี เรมิ่ ตน วา “อตตี ภวงั ค” คอื ภวงั คท ลี่ ว ง แลว หรอื ภวงั คก อ น) มี ๓ ขณะ ไดแ ก ๑. อตีตภวังค (ภวังคจิตที่สบื ตอ มาจาก กอ น) ๒. ภวงั คจลนะ (ภวงั คไ หวตวั จาก อารมณใ หมท กี่ ระทบ) ๓. ภวงั คปุ จ เฉท (ภวงั คข าดจากอารมณเ กา ) ข. ชว งวถิ จี ติ มี ๑๔ ขณะ ไดแ ก ๑. ปญ จทวาราวชั ชนะ (การคาํ นึงอารมณใหมทางทวารนน้ั ๆ ใน ทวารทง้ั ๕, ถา อยใู นมโนทวารวถิ ี กเ็ ปน มโนทวาราวชั ชนะ) ๒. ปญ จวญิ ญาณ (การรอู ารมณน นั้ ๆ ในอารมณท ง้ั ๕ คอื เปนจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ หรือฆานวิญญาณ หรือชิวหาวิญญาณ หรอื กายวญิ ญาณ อยา งใดอยา งหนง่ึ ) ๓.

วถิ ีจติ ๓๖๖ วิถจี ิต สัมปฏิจฉนะ (สัมปฏิจฉันนะ ก็เรยี ก, อยางน้ี กจ็ ะมอี ตีตภวงั ค ๒ หรอื ๓ ขณะ การรับอารมณจากปญจวิญญาณ เพ่ือ และเมอื่ ขน้ึ สวู ถิ ี กจ็ ะไปจบแคช วนะที่ ๗ เสนอแกสนั ตรี ณะ) ๔. สนั ตรี ณะ (การ ดับ แลวก็ตกภวังค โดยไมมีตทารมณ พจิ ารณาไตส วนอารมณ) ๕. โวฏฐพั พนะ เกดิ ขนึ้ , ยงิ่ กวา นนั้ ถา อารมณท ป่ี รากฏมี (การตัดสินอารมณ) ๖.–๑๒. ชวนะ กาํ ลงั นอ ย (เปน ปรติ ตารมณ) กจ็ ะผา น (การแลนไปในอารมณ คือรับรูเสพทํา อตตี ภวงั คไ ปหลายขณะ (ตงั้ แต ๔ ถงึ ๙ ขณะ) จงึ เปน ภวงั คจลนะ และเมอื่ ขนึ้ สวู ถิ ี ตอ อารมณ เปน ชว งที่ทาํ กรรม โดยเปน แลว วถิ ีนนั้ ก็ไปสน้ิ สดุ ลงแคโ วฏฐพั พนะ ไมทันเกิดชวนจิต ก็ตกภวังคไปเลย, กุศลชวนะหรืออกุศลชวนะ หรือไมก็ และถา อารมณท ปี่ รากฏนน้ั ออ นกาํ ลงั เกนิ กิรยิ า) ตดิ ตอ กนั ๗ ขณะ ๑๓.–๑๔. ไป (เปน อตปิ รติ ตารมณ) กจ็ ะผา นอตตี - ตทารมณ (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ ภวังคไปมากหลายขณะ จนในท่ีสุด กเ็ รยี ก, “มอี ารมณน น้ั ” คอื มอี ารมณเ ดยี ว เกดิ ภวงั คจลนะขน้ึ มาได ๒ ขณะ กก็ ลบั เปน ภวงั คต ามเดมิ คอื ภวงั คไ มข าด (ไม กบั ชวนะ ไดแ กก ารเกดิ เปน วปิ ากจติ ทไี่ ด มีภวังคุปจเฉท) และไมมีวิถีจิตเกิดขึ้น เลย จงึ เรยี กวา เปน โมฆวาระ, สว นใน รบั อารมณต อ จากชวนะ เหมอื นไดร บั ผล มโนทวารวถิ ี เมอ่ื ภวงั คไ หวตวั (ภวงั ค- จลนะ) และภวงั คข าด (ภวงั คปุ จ เฉท) ประมวลจากชวนะมาบนั ทกึ เกบ็ ไว กอ น แลว ขน้ึ สวู ถิ ี จะมเี พยี งมโนทวาราวชั ชนะ (การคํานึงอารมณใหมทางมโนทวาร) ตกภวงั ค) ตอ กนั ๒ ขณะ แลว กส็ น้ิ สดุ วถิ ี แลว เกดิ เปน ชวนจติ ๗ ขณะตอ ไปเลย (ไมม สี มั ปฏจิ ฉนจติ เปน ตน ) เมอ่ื ชวนะ คอื จบกระบวนของวถิ จี ติ เกดิ เปน ภวงั ค- ครบ ๗ แลว ในกรณที อ่ี ารมณท ปี่ รากฏ เดน ชดั (วภิ ตู ารมณ) กจ็ ะเกดิ ตทารมณ จติ ขน้ึ ใหม (ตกภวงั ค) , เมอ่ื นบั ตลอด ๒ ขณะ แลว ตกภวงั ค แตถ า อารมณ ออ นแรงไมเ ดน ชดั (อวภิ ตู ารมณ) พอ หมดทงั้ สองชว ง คอื ตง้ั แตอ ตตี ภวงั คจ ดุ ครบ ๗ ชวนะแลว กต็ กภวงั คไ ปเลย โดยไมม ตี ทารมณเ กดิ ขนึ้ , อนง่ึ ทก่ี ลา ว เรม่ิ มาจนจบวถิ ี กม็ ี ๑๗ ขณะจติ ในสวนรายละเอียด วิถีจิตมีความ เปน ไปแตกตา งกนั หลายแบบ เชน ใน ปญ จทวารวถิ ที ่ีพูดมาขางตนน้ัน เปน กรณีท่ีรับอารมณซ่ึงมีกําลังเดนชัดมาก (อติมหันตารมณ) แตถาอารมณท่ี ปรากฏเขามามีกําลังไมมากนัก (เปน แคม หนั ตารมณ) ภวงั คจะยงั ไมไ หวตัว จนถึงภวงั คจิตขณะท่ี ๓ หรือขณะที่ ๔ จึงจะไหวตัวเปนภวังคจลนะ ในกรณี

วทิ ยา ๓๖๗ วนิ ยั มาท้ังหมดน้ัน เปนวิถีจิตในกามภูมิทั้ง ตะวนั ตกเฉยี งใตป ระมาณ ๑,๐๘๖ กม. สน้ิ ยงั มวี ถิ จี ติ ในภมู ทิ สี่ งู ขน้ึ ไปอกี ใน บางตอนเคียงคูไปกับแมน้ํานัมมทา ฝายมโนทวารวิถี (จิตในปญจทวารวิถี แลวส้ินสุดลงในรัฐคุชราต ถือกัน อยูในกามภูมิอยางเดียว) ซึ่งเปนจิตที่ ทํานองเดียวกับแมนํ้านัมมทาวาเปนเสน เปน สมาธขิ น้ั อปั ปนา และมคี วามเปน ไปที่ แบง ระหวางที่ราบลุมแมน้ําคงคาใน แตกตา งจากวถิ จี ติ ในกามภมู ิ เชน ชวนะ ภาคเหนือ (อุตราบถ) กบั ดินแดนที่ราบ ไมจ าํ กดั เพยี งแค ๗ ขณะ เมอื่ เขา ฌาน สูงแหงอินเดียภาคใต (Deccan แลว ตราบใดยงั อยใู นฌาน กม็ ชี วนจติ Plateau; ทกั ขณิ าบถ); ดู นมั มทา เกดิ ดบั สบื ตอ กนั ไปตลอด นบั จาํ นวนไม วนิ ยวาที ผูม ปี รกติกลาวพระวนิ ยั ได โดยไมตกภวังคเลย ถาเกิดเปน วินยสัมมุขตา ความเปนตอหนาพระ ภวังคจิตข้ึนเม่ือใด ก็คือออกจากฌาน วินัยในวิวาทาธิกรณ หมายความวา ดงั นเี้ ปน ตน รายละเอยี ดของวถิ จี ติ ระดบั ปฏิบัติตามธรรมวินัยและสัตถุศาสนอัน น้ี จะไมก ลา วในทนี่ ;ี้ ดู ชวนะ, ตทารมณ; เปน เครอื่ งระงบั อธิกรณนั้น; ดู สมั มขุ า- เทยี บ ภวงั คจติ วินัย วทิ ยา ความรู วินัย ระเบียบแบบแผนสําหรับฝกฝน วิทยาธร “ผูท รงวิทยา”, ผมู ีวิชากายสทิ ธ์ิ, ควบคุมความประพฤติของบุคคลใหมี ผูมีฤทธิ์ที่สําเร็จดวยวิทยาอาคมหรือ ชีวิตที่ดีงามเจริญกาวหนาและควบคุม ของวเิ ศษ, พอ มด หมูชนใหอยูรวมกันดวยความสงบเรียบ วิเทหะ ชอ่ื แควนหน่ึงในชมพูทวีป นคร รอยดีงาม, ประมวลบทบัญญัติขอ หลวงชือ่ มถิ ลิ า เปนดินแดนพวกวชั ชี กําหนดสําหรับควบคุมความประพฤติ อีกถิ่นหน่ึง ต้ังอยูบนฝงแมน้ําคงคา ไมใหเสื่อมเสียและฝกฝนใหประพฤติดี ตรงขา มกบั แควนมคธ งามเปนคุณเกื้อกูลย่ิงขึ้น; วินัยมี ๒ วิธัญญา ชื่อนครหรือถิ่นหนึ่งในสักก- อยางคือ ๑. อนาคารยิ วินยั วนิ ัยของผู ชนบท ปกครองโดยกษตั รยิ ว งศศ ากยะ; ไมครองเรอื น คอื วนิ ัยของบรรพชติ หรอื เวธญั ญะ ก็เรยี ก วนิ ยั ของพระสงฆ ไดแ ก การไมต อ งอาบตั ิ วนิ ธยะ ชอื่ เทือกเขาสาํ คัญในอนิ เดยี ภาค ทง้ั ๗ หรอื โดยสาระ ไดแ ก ปารสิ ทุ ธศิ ลี กลาง (Vindhya Range) เริม่ ตน ทาง ๔ ๒. อาคาริยวินัย วนิ ยั ของผคู รอง ตะวันออกท่ีพาราณสี ยาวลงไปทาง เรือน คอื วนิ ยั ของชาวบา น ไดแ ก การงด

วนิ ยั กถา ๓๖๘ วนิ ีตวัตถุ เวน จาก อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ โดยนัยก็ คือไมมีวิปฏิสาร; ทรงมุงหมายเพอ่ื จะ คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ แตง แกห นงั สอื บพุ พสกิ ขาวณั ณนา ของ วนิ ัยกถา คาํ พดู เก่ียวกับพระวนิ ัย, คํา พระอมราภริ กั ขติ (อมร เกดิ ) เจา อาวาส บรรยาย คาํ อธบิ าย หรือเรอื่ งสนทนา วัดบรมนวิ าส; จัดพมิ พเ ปน ๓ เลม ใช เก่ียวกบั พระวินยั เปน แบบเรียนวชิ าวินยั สาํ หรับนักธรรม วินัยกรรม การกระทําเกี่ยวกบั พระวินยั ชน้ั ตรี ช้นั โท และช้ันเอก ตามลําดบั หรือการปฏิบัติตามวินัย เชน การ วินยั วตั ถุ เรือ่ งเกยี่ วกับพระวินยั อธษิ ฐานบรขิ าร การวกิ ัปบาตรและจวี ร วนิ ิจฉัย ไตรต รอง, ใครค รวญ, ชขี้ าด, การปลงอาบตั ิ การอยปู รวิ าส เปนตน ตดั สนิ , ชําระความ วินัยธร “ผูทรงวินัย”, ภิกษุผูชํานาญ วินิบาต “โลกหรือวิสัยเปนท่ีตกไปแหง วินยั ; พระอุบาลเี ถระ ไดรบั ยกยองจาก สตั วอยางไรอ าํ นาจ [คอื ชว ยตัวเองไมได พระพุทธเจาวาเปนเอตทัคคะในบรรดา เลย]”, “แดนเปนที่ตกลงไปพนิ าศยอ ย พระวนิ ยั ธร ยบั ”, สภาพตกตาํ่ , ภพคอื ภาวะแหง ชวี ติ วนิ ัยปฎก ดู ไตรปฎ ก ที่มีแตความตกต่ําเส่ือมถอยยอยยับ; วนิ ยั มขุ มุขแหงวินยั , หลักใหญๆ หรอื อรรถกถาท้ังหลาย (เชน วินย.อ.๑/๑๘๗) หัวขอสําคัญๆ ท่ีเปนเบื้องตนแหงพระ แสดงความหมายไว ๒ นยั คือ พดู วนิ ัย หรอื เปน ปากทางนาํ เขา สวู นิ ยั เปน แบบรวมๆ ก็เปนไวพจนคําหน่ึงของ ชื่อหนังสือที่สมเด็จพระมหาสมณเจา นรก น่นั เอง แตถา แยกความหมายออก กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงรจนาขน้ึ ไปตางหาก กห็ มายถึงกาํ เนิดอสรุ กาย เพ่ืออธิบายความหมายและช้ีประโยชน วินิปาติกะ ทานวาไดแกพวกเวมานิก- แหงพระวินัย มุงชวยใหพระภิกษุ เปรต คอื พวกเปรตมวี ิมานอยู ไดเสวย สามเณรตั้งอยูในปฏิบัติพอดีงาม ผูไม สขุ และตอ งทุกขท รมานเปนชว งๆ สลบั เครงจะไดรูสึกสํารวมรักษามารยาทสม กนั ไป มีสขุ บางทกุ ขบางคละระคน เปนสมณะ ฝายผูเ ครง ครัดเกนิ ไปจะได วินิพโภครูป รปู ทีแ่ ยกจากกันได; เทยี บ หายงมงาย ไมสําคัญวาตนดีกวาผูอื่น อวนิ ิพโภครูป; ดู รูป ๒๘ ตั้งรังเกียจผูอื่นเพราะเหตุเล็กนอย วนิ ีตวตั ถุ เรอื่ งทีท่ านวินิจฉัยแลว, เร่อื งที่ เพยี งสักวา ธรรมเนยี ม หรือแมห ันไปชกั ตัดสินแลว ทานแสดงไวเปนตัวอยาง นาํ ผอู น่ื ในปฏบิ ตั อิ นั ดี ตา งจะไดอ านสิ งส สําหรับเทียบเคียงตัดสิน ในการปรับ

วิบัติ ๓๖๙ วปิ ลาส,วปิ ล ลาส อาบัติ (ทํานองคําพิพากษาของศาลสูง หรือผลสืบเน่ือง เชน “นสิ สนั ท” และ สดุ ทน่ี าํ มาศึกษากัน) “อานสิ งส”; ดู ผล,เทียบ นสิ สนั ท, อานสิ งส วิบตั ิ ความเสยี , ความผิดพลาด, ความ วิปจิตัญู ผูอาจรูธรรมตอเม่ือทาน บกพรอ ง, ความเสยี หายใชการไมไ ด 1. อธิบายความหมายแหง หัวขอนน้ั , รูตอ วบิ ตั ิ ความเสีย ของภกิ ษุ มี ๔ อยา ง คอื เมือ่ ขยายความ (ขอ ๒ ในบคุ คล ๔) ๑. ศลี วบิ ตั ิ ความเสยี แหง ศลี ๒. อาจาร- วิปฏสิ าร ความเดอื ดรอ น, ความรอนใจ วบิ ตั ิ ความเสียมรรยาท ๓. ทิฏฐิวบิ ัติ เชนผูประพฤติผิดศีล เกิดความเดือด ความเห็นผิดธรรมผิดวินัย ๔. อาชวี - รอนขน้ึ ในใจ ในเพราะความไมบรสิ ทุ ธิ์ วบิ ตั ิ ความเสยี หายแหง การเล้ยี งชีพ 2. ของตนเรียกวา เกดิ วปิ ฏสิ าร วิบัติ คือความเสียหายใชไมได ของ วปิ ปวาส “อยปู ราศ” เปน ประการหน่งึ ใน สังฆกรรม มี ๔ คือ ๑. วัตถวุ บิ ตั ิ เสยี รตั ตเิ ฉท การขาดราตรแี หง การประพฤติ โดยวัตถุ เชน อปุ สมบทคนอายุตํ่ากวา มานัตและการอยูปริวาส; สําหรับผู ๒๐ ป ๒. สีมาวบิ ตั ิ เสียโดยสีมา เชน ประพฤติมานตั วปิ ปวาส หมายถงึ อยู สีมาไมมีนิมิต ๓. ปริสวิบัติ เสียโดย ในถ่ิน (จะเปนวัดหรือท่ีมิใชวัดเชนปา บริษัทคอื ที่ประชมุ เชน ภกิ ษุเขาประชมุ เปนตน กต็ าม) ทไี มม ีสงฆอ ยูเ ปน เพ่อื น ไมครบองคสงฆ ๔. กรรมวาจาวิบัติ คืออยูปราศจากสงฆ, สําหรับผูอยู เสียโดยกรรมวาจา เชนสวดผิดพลาด ปริวาส หมายถึง อยใู นถิ่นปราศจาก ตกหลน สวดแตอนุสาวนาไมไดตั้ง ปกตัตตภิกษุ (มีปกตัตตภิกษุอยูเปน ญัตติ เปนตน (ขอกรรมวาจาวบิ ัตบิ าง เพื่อนรูปเดยี วกใ็ ชไ ด) ; ดู รตั ติเฉท กรณีแยกเปนญัตติวิบัติและอนุสาวนา วิปริณาม ความแปรปรวน, ความผัน วบิ ตั ิ กลายเปนวบิ ตั ิ ๕ ก็มี; เทียบ สมบตั ิ แปรเปลยี่ นแปลงเร่ือยไป วบิ าก ผลแหงกรรม, ผลโดยตรงของ วปิ ลาส, วิปล ลาส กิรยิ าทถี่ ือโดยอาการ กรรม, ผลดีผลรายทเ่ี กดิ แกต น คือเกดิ วปิ รติ ผิดจากความเปน จรงิ , ความเห็น ขึ้นในกระแสสืบตอแหงชีวิตของตน หรือความเขาใจคลาดเคลื่อนจากสภาพ (ชีวิตสันตติ) อันเปนไปตามกรรมดี ท่เี ปนจรงิ มีดังนี้: ก. วปิ ลาสดว ยอาํ นาจ กรรมชั่วที่ตนไดทําไว; “วบิ าก” มีความ จิตตแ ละเจตสกิ ๓ ประการ คอื ๑. หมายตางจากผลท่ีเรียกช่อื อยางอื่น ซง่ึ วิปลาสดวยอํานาจสําคัญผิด เรียกวา เปนผลพวง ผลพลอยได ผลขา งเคียง สญั ญาวปิ ลาส ๒. วิปลาสดว ยอํานาจ

วปิ สสนา ๓๗๐ วปิ ส สนาภมู ิ คิดผิด เรยี กวา จติ ตวิปลาส ๓. วปิ ลาส โทษ ๕. นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ ญาณ ดว ยอาํ นาจเหน็ ผดิ เรยี กวา ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส คํานึงเห็นดวยความหนาย ๖. มุญจิตุ- ข. วิปลาสดว ยสามารถวตั ถเุ ปนท่ตี ้งั ๔ กัมยตาญาณ ญาณหยั่งรูอันใหใครจะ ประการ คอื ๑. วปิ ลาสในของท่ไี มเท่ียง พนไปเสีย ๗. ปฏสิ งั ขานปุ ส สนาญาณ วา เที่ยง ๒. วปิ ลาสในของท่ีเปน ทกุ ขว า ญาณอนั พจิ ารณาทบทวนเพื่อจะหาทาง เปน สุข ๓. วปิ ลาสในของทีไ่ มใชต น วา ๘. สังขารเุ ปกขาญาณ ญาณอนั เปนไป เปน ตน ๔. วปิ ลาสในของท่ไี มงาม วา โดยความเปนกลางตอ สังขาร ๙. สจั จา- งาม (เขยี นวา พิปลาส ก็ม)ี นุโลมิกญาณ ญาณเปนไปโดยควรแก วิปส สนา ความเหน็ แจง คอื เหน็ ตรงตอ การหยั่งรอู รยิ สัจจ;ดู ญาณ ๑๖ ความเปนจริงของสภาวธรรม; ปญญาท่ี วิปสสนาธุระ ธรุ ะฝา ยวปิ สสนา, ธรุ ะ เห็นไตรลักษณอันใหถอนความหลงผิด ดา นการเจรญิ วปิ ส สนา, กจิ พระศาสนาใน รูผิดในสังขารเสียได, การฝกอบรม ดา นการสอนการฝก เจรญิ กรรมฐาน ซง่ึ ปญญาใหเกิดความเห็นแจงรูชัดภาวะ จบครบท่ีวิปสสนา, เปนคําท่ีใชในชั้น ของสงิ่ ทงั้ หลายตามทีม่ ันเปน (ขอ ๒ ใน อรรถกถาลงมา (ไมม ีในพระไตรปฎก); กมั มฏั ฐาน ๒ หรอื ภาวนา ๒); ดู ภาวนา, เทียบ คันถธุระ, ดู คามวาสี, อรญั วาสี ไตรลักษณ วิปสสนาปริวาส ดู ปรวิ าส 2. วิปสสนากัมมัฏฐาน กรรมฐานคือ วิปสสนาปญญา ปญญาท่ีถึงข้ันเปน วปิ ส สนา, งานเจรญิ ปญ ญา; ดู กมั มฏั ฐาน, วิปสสนา, ปญญาที่ใชในการเจริญ วปิ ส สนา วปิ ส สนา คอื ปญ ญาทีพ่ จิ ารณาเขาใจ วิปสสนาญาณ ญาณที่นับเขาใน สังขารตามความเปน จรงิ วิปสสนาหรือญาณท่ีจัดเปนวิปสสนามี วิปส สนาภาวนา การเจริญวิปสสนา; ดู ๙ อยา งคอื ๑. อทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณ ภาวนา, วิปส สนา ญาณตามเห็นความเกิดและความดับ วปิ ส สนาภูมิ ภูมแิ หงวิปส สนา, ฐานที่ต้งั แหงนามรูป ๒. ภังคานุปสสนาญาณ อนั เปนพ้ืนทซี่ ่ึงวิปส สนาเปนไป, พืน้ ฐาน ญาณตามเห็นจําเพาะความดับเดนข้ึน ทด่ี ําเนนิ ไปของวปิ สสนา 1. การปฏบิ ัติ มา ๓. ภยตปู ฏ ฐานญาณ ญาณอันมอง อนั เปน พน้ื ฐานทวี่ ปิ ส สนาดาํ เนนิ ไป คือ เห็นสังขารปรากฏเปนของนากลัว ๔. การมองดูรูเ ขาใจ (สัมมสนะ, มักแปล อาทนี วานปุ ส สนาญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็ กันวาพิจารณา) หรือรูเทาทันสังขารทั้ง

วปิ ส สนายานิก ๓๗๑ วิปส สนูปกเิ ลส หลายตามท่ีมันเปนอนิจจะ ทุกขะ เตม็ ไปทงั้ ตัว ๓. ญาณ ความรทู ่คี มชดั ๔. ปส สทั ธิ ความสงบเย็นกายใจ ๕. อนัตตา อนั ดําเนนิ ไปโดยลําดับ จนเกิด สุข ความสุขฉํ่าช่ืนท่ัวท้ังตัวท่ีประณีต อยางยงิ่ ๖. อธิโมกข ศรัทธาแรงกลา ท่ี ตรุณวปิ สสนา ซึ่งเปน พน้ื ของการกา วสู ทําใหใจผองใสอยางย่ิง ๗. ปคคาหะ ความเพยี รทพ่ี อดี ๘. อปุ ฏ ฐาน สตชิ ดั วิปสสนาทสี่ ูงขนึ้ ไป 2. ธรรมทีเ่ ปน ภมู ิ ๙. อุเบกขา ความวางจิตเปนกลางที่ลง ตัวสนิท ๑๐.นิกันติความตดิ ใจพอใจ ของวปิ ส สนา คอื ธรรมท้ังหลายอันเปน ธรรมทัง้ หมดนี้ (เวนแตนกิ ันติ ซึ่ง พื้นฐานที่จะมองดรู ูเขา ใจ ใหเ กดิ ปญ ญา เปน ตัณหาอยา งสขุ มุ ) โดยตวั มนั เอง มิ ใชเปน สงิ่ เสยี หาย มิใชเปน อกุศล แต เห็นแจงตามเปนจริง ตรงกับคําวา เพราะเปนประสบการณป ระณีตลํา้ เลิศที่ “ปญ ญาภูมิ” ไดแก ขนั ธ ๕ อายตนะ ไมเคยเกิดมีแกตนมากอน จึงเกดิ โทษ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรยี  ๒๒ อรยิ สจั จ ๔ เน่ืองจากผูปฏิบัติไปหลงสําคัญผิดเสีย ปฏจิ จสมปุ บาท และ ปฏจิ จสมปุ ปน น- เองวา เปน การบรรลมุ รรคผล ธรรมทัง้ หลาย, เฉพาะอยางยง่ิ ทานเนน ปฏจิ จสมุปบาท ซึ่งเปน ท่รี วมในการทาํ วิปสสนปู กเิ ลสนี้ ไมเ กดิ ขึ้นแกท านที่ ความเขาใจธรรมท้ังหมดน้ัน, วาโดย บรรลุมรรคผลแลว ไมเ กิดข้ึนแกบคุ คล ท่ีปฏิบัติผิดทาง และไมเกิดขึ้นแกคน สาระ กค็ อื ธรรมชาตทิ ง้ั ปวงทมี่ ใี นภมู ิ ๓; เกียจครา นผทู อดทง้ิ กรรมฐาน แตเกดิ ดู วปิ สสนาญาณ ขึ้นเฉพาะแกผูท่ีเจริญวิปสสนามาอยาง วปิ ส สนายานิก ผูมีวปิ ส สนาเปนยานคอื ถกู ตองเทา น้ัน ผู เ จ ริ ญ วิ ป ส ส น า โ ด ย ยั ง ไ ม ไ ด ฌ า น ในพระไตรปฎ ก เรยี กอาการฟงุ ซา นท่ี สมาบัตมิ ากอน เกดิ จากความสาํ คญั ผดิ เอาโอภาสเปน ตน วิปสสนูปกิเลส อุปกิเลสแหงวิปสสนา, นนั้ เปน มรรคผลนพิ พาน วา “ธมั มทุ ธจั จะ” สภาวะท่ีทําใหวิปสสนามัวหมองของขัด, (ธรรมุธัจจ ก็เขียน), แตทานระบุช่ือ โอภาสเปน ตน น้ัน ทีละอยา ง โดยไมม ี สภาพนาช่ืนชม ซึ่งเกิดแกผูเจริญ ช่อื เรยี กรวม, “วิปสสนปู กิเลส” เปนคําท่ี ใชในคัมภีรช ้นั อรรถกถาลงมา (พดู ส้ันๆ วิปสสนาในขั้นที่เปนวิปสสนาอยางออน (ตรณุ วปิ ส สนา) แตก ลายเปน โทษเครอ่ื ง เศรา หมองแหง วปิ ส สนา โดยทาํ ใหเ ขา ใจ ผิดวาตนบรรลุมรรคผลแลว จึงชะงัก หยุดเสีย ไมดําเนินกาวหนาตอไปใน วปิ ส สนาญาณ มี ๑๐ คอื ๑. โอภาส แสงสวา ง ๒. ปติ ความอม่ิ ใจปลาบปลม้ื

วปิ สสี ๓๗๒ วภิ วตณั หา ธรรมุธัจจ ก็คอื ความฟงุ ซา นทเี่ กิดจาก วิปสสนาอยางออน (ตรุณวิปสสนา) ความสาํ คัญผิดตอ วิปสสนปู กเิ ลส) สวนวิปสสนาต้ังแตพนจากวิปสสนูป- เมื่อวิปสสนปู กเิ ลสเกิดขึ้น ผปู ฏิบัติ กเิ ลสเหลา นีไ้ ปแลว (จนถึงสังขารุเปกขา- ท่ีมีปญญานอย จะฟุงซานเขวไปและ ญาณ) จัดเปนวิปสสนาที่มีกาํ ลัง ท่แี รง เกิดกเิ ลสอ่นื ๆ ตามมาดวย, ผูปฏบิ ัตทิ ม่ี ี กลา หรืออยางเขม (พลววปิ ส สนา); ดู ปญญาปานกลาง ก็ฟงุ ซานเขวไป แมจ ะ ญาณ ๑๖; วิปส สนาญาณ ๙; วิสุทธิ ๗ ไมเกิดกิเลสอ่นื ๆ แตจ ะสาํ คัญผิด, ผู วิปสสี พระนามของพระพุทธเจา พระองค ปฏิบตั ิทม่ี ปี ญญาคมกลา ถงึ จะฟุง ซา น หนงึ่ ในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๗ เขวไป แตจะละความสําคญั ผิดได และ วิปากญาณ ปรีชาหยงั่ รผู ลแหงกรรม คอื เจริญวิปสสนาตอไป, สว นผปู ฏิบัติที่มี รูจกั แยกไดว า บรรดาผลทส่ี ตั วท ง้ั หลาย ปญญาคมกลา มาก จะไมฟ ุง ซา นเขวไป ไดรับอันซับซอน อันใดเปนผลของ เลย แตจ ะเจรญิ วิปสสนากาวตอไป กรรมดีหรือกรรมชั่วอยางใดๆ เรียก วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นเรอ่ื งน้ี คอื เมอ่ื วปิ ส สนปู - เตม็ วา กรรมวปิ ากญาณ (ขอ ๒ ใน กิเลสเกิดข้ึน พึงรูเทาทันดวยปญญา ทสพลญาณ) ตามเปนจรงิ วา สภาวะนี้ (เชน วา โอภาส) วิปากทุกข ทุกขที่เปนผลของกรรมช่ัว เกิดข้ึนแลวแกเรา มันเปนของไมเที่ยง เชน ถกู ลงอาชญาไดร บั ความทกุ ขห รือ เกิดมขี น้ึ ตามเหตปุ จ จยั แลวก็จะตอ งดบั ตกอบาย หรือเกดิ วิปฏิสารคอื เดือด สนิ้ ไป ฯลฯ เมื่อรเู ทาทนั ก็ไมห ว่ันไหว รอนใจ ไมฟ ุง ไปตามมัน คือกาํ หนดไดวามันไม วปิ ากวฏั ฏ วนคอื วบิ าก, วงจรสว นวบิ าก, ใชม รรคไมใ ชท าง แตวิปส สนาทพี่ นจาก หนง่ึ ในวัฏฏะ ๓ แหง ปฏจิ จสมปุ บาท วิปสสนูปกเิ ลสเหลาน้ี ซง่ึ ดาํ เนนิ ไปตาม ประกอบดวยวญิ ญาณ นามรปู สฬาย- วิถนี ั่นแหละเปน มรรคเปนทางทถี่ ูกตอง ตนะ ผสั สะ เวทนา, ชาติ ชรามรณะ; ดู นี่คือเปนญาณที่รูแยกไดวามรรค ไตรวัฏฏ และมิใชมรรค นบั เปนวิสุทธขิ อท่ี ๕ คอื วปิ ากสทั ธา ดู สทั ธา มัคคามัคคญาณทัสสนวสิ ุทธิ วิภวตัณหา ความอยากในวภิ พ คือความ วิปสสนาตั้งแตญาณเร่ิมแรก (คือ ทะยานอยากในความไมม ไี มเ ปน อยาก นามรปู ปรจิ เฉทญาณ) จนถงึ มคั คามคั ค- ไมเ ปน นน่ั ไมเ ปน นี่ อยากตายเสยี อยาก ญาณทัสสนวิสุทธิน้ี ทานจัดเปน ขาดสูญ อยากพรากพนไปจากภาวะที่

วภิ ังค ๓๗๓ วิมังสา ตนเกลยี ดชังไมป รารถนา, ความทะยาน ถูกแงผิดแงท่ีดีและแงไมดีประการใด อยากที่ประกอบดวยวิภวทิฏฐิหรือ เปนตน เพ่อื ใหผ ฟู ง เขา ใจสิง่ น้นั เร่ืองนั้น อจุ เฉททิฏฐิ (ขอ ๓ ในตัณหา ๓) อยา งชัดเจน มองเห็นสิ่งทัง้ หลายตามท่ี วิภังค 1. (ในคําวา ”วภิ ังคแหงสกิ ขาบท”) เปน จรงิ เชน มองเหน็ ความเปนอนตั ตา คาํ จาํ แนกความแหงสิกขาบทเพื่ออธบิ าย เปน ตน ไมม องอยางตคี ลุมหรอื เหน็ แต แสดงความหมายใหชดั ขึน้ ; ทานใชเปน ดานเดียวแลวยึดติดในทิฏฐิตางๆ อัน ชื่อเรียกคัมภีรที่จําแนกความเชนนั้นใน ทําใหไมเขาใจถึงความจริงแทตาม พระวนิ ยั ปฎ กวาคมั ภรี ว ภิ ังค คอื คัมภีร สภาวะ จําแนกความสิกขาบทในภิกขุปาฏิโมกข วิภัตติ ชื่อวิธีไวยากรณภาษาบาลีและ เรยี กวา มหาวภิ ังค หรือ ภิกขุวิภงั ค สันสกฤต สาํ หรับแจกศัพทโดยเปลยี่ น คัมภีรจําแนกความตามสิกขาบทใน ทา ยคําใหมรี ปู ตา งๆ กนั เพ่ือบอกการก ภิกขุนีปาฏิโมกขเรียกวา ภิกขุนีวิภังค และกาลเปน ตน เชน คํานาม โลโก วา เปน หมวดตนแหง พระวนิ ยั ปฎ ก 2. ชอื่ โลก, โลกํ ซึ่งโลก, โลกา จากโลก, โลเก ในโลก; คํากริ ยิ า เชน นมติ ยอม คัมภีรท่ี ๒ แหงพระอภิธรรมปฎกที่ นอม, นมตุ จงนอ ม, นมิ นอมแลว อธิบายจําแนกความแหงหลักธรรม สําคญั เชน ขนั ธ อายตนะ ธาตุ ปจ จ- เปน ตน ยาการ เปน ตน ใหช ดั เจนจบไปทลี ะเรอื่ งๆ วภิ าค การแบง, การจาํ แนก, สว น, ตอน วิภชั ชวาที “ผกู ลาวจําแนก”, “ผแู ยกแยะ วิมติวิโนทนี ชื่อคัมภีรฎีกาอธิบายพระ พดู ”, เปน คณุ บทคอื คาํ แสดงคณุ ลกั ษณะ วินัย แตงโดยพระกัสสปเถระ ชาว อยา งหน่ึงของพระพทุ ธเจา หมายความ แควนโจฬะ ในอินเดยี ตอนใต วา ทรงแสดงธรรมแยกแยะแจกแจง วิมละ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเปน ออกไปใหเห็นวา ส่ิงท้ังหลายเกิดจาก สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว สวนประกอบยอยๆ มาประชุมกันเขา ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม อยางไร เชน แยกแยะกระจายนามรปู พรอมดวยสหายอีก ๓ คน คือ สุพาหุ ออกเปน ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ เปนตน ปุณณชิ และ ควัมปติ จัดเปนพระ ส่ิงทั้งหลายมีดานท่ีเปนคุณและดานที่ มหาสาวกองคห นงึ่ เปนโทษอยา งไร เร่อื งน้นั ๆ มขี อ จริงขอ วิมงั สา การสอบสวนทดลอง, การตรวจ เทจ็ อะไรบา ง การกระทําอยา งนั้นๆ มแี ง สอบ, การหมัน่ ตรติ รองพิจารณาเหตุผล

วิมาน ๓๗๔ วิมุตตสิ ขุ ในส่ิงนนั้ (ขอ ๔ ในอิทธิบาท ๔) วิมุตติญาณทัสสนขันธ กองวิมุตติ วิมาน ทอี่ ยูห รอื ทีป่ ระทับของเทวดา ญาณทสั สนะ, หมวดธรรมวา ดว ยความรู วมิ ตุ อักขระทว่ี า ปลอ ยเสียงเชน สณุ าตุ, ความเหน็ วา จติ หลุดพน แลวจากอาสวะ เอสา ตฺติ เชน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ (ขอ ๕ วิมุตตานุตตริยะ การพนอันเยี่ยมคือ ในธรรมขนั ธ ๕) หลุดพนจากกิเลสและกองทุกข ไดแก วิมุตติสุข สุขเกิดแตความหลุดพนจาก พระนิพพาน (ขอ ๓ ในอนุตตริยะ ๓) กเิ ลสอาสวะและปวงทกุ ข; พระพุทธเจา วิมุตติ ความหลุดพน, ความพนจาก กิเลสมี ๕ อยางคือ ๑. ตทงั ควิมตุ ติ ภายหลงั ตรสั รแู ลว ใหมๆ ไดเ สวยวิมุตติ พนดว ยธรรมคูปรบั หรือพนชว่ั คราว ๒. วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกด สุข ๗ สัปดาหต ามลําดับคอื สัปดาหท ี่ ๑ ไว ๓. สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ พนดว ยตัดขาด ๔. ปฏปิ สสทั ธวิ มิ ตุ ติ พนดวยสงบ ๕. ทรงประทับภายใตรมไมมหาโพธิ์ ทรง นิสสรณวิมุตติ พนดวยออกไป; ๒ อยางแรก เปน โลกยิ วมิ ตุ ติ ๓ อยา ง พจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาท สปั ดาหท ่ี ๒ เสดจ็ หลังเปน โลกตุ ตรวมิ ตุ ติ วมิ ุตติกถา ถอ ยคําท่ชี ักนําใหทําใจใหพน ไปประทับยืนดานอีสาน ทรงจองดูตน จากกเิ ลส (ขอ ๙ ในกถาวัตถุ ๑๐) มหาโพธ์ิไมกระพริบพระเนตร ที่นั้น วมิ ตุ ติขันธ กองวิมุตติ, หมวดธรรมวา เรยี กวา อนิมิสเจดยี  สปั ดาหท ่ี ๓ ทรง นิรมิตที่จงกรมข้ึนระหวางกลางแหงพระ มหาโพธิ์และอนิมิสเจดยี  เสดจ็ จงกรม ตลอด ๗ วัน ทีน่ ้ันเรยี ก รัตนจงกรม- เจดีย สปั ดาหท ี่ ๔ ประทบั นงั่ ขดั บัลลงั ก พจิ ารณาพระอภธิ รรมปฎ ก ณ เรอื นแกว ดว ยวมิ ตุ ติ คอื การทาํ จติ ใหพ น จากอาสวะ ที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแหงตนมหา เชน ปหานะ การละ, สัจฉิกิริยา การทาํ โพธ์ิ ที่นน้ั เรียก รัตนฆรเจดีย สัปดาหท ี่ ๕ ประทบั ใตร ม ไมไ ทร ชอ่ื อชปาลนโิ ครธ ใหแ จง (ขอ ๔ ในธรรมขันธ ๕) วิมุตติญาณทัสสนะ ความรูเห็นใน ทรงตอบปญหาของพราหมณหุหุกชาติ วิมุตติ, ความรูเห็นวาจิตหลุดพนแลว แสดงสมณะและพราหมณท แี่ ท พรอ มทงั้ จากอาสวะทง้ั หลาย ธรรมทที่ าํ ใหเ ปน สมณะและเปน พราหมณ วิมุตติญาณทัสสนกถา ถอยคําท่ีชักนาํ พระอรรถกถาจารยก ลาววา ธิดามาร ๓ ใหเกิดความรูความเห็นในความท่ีใจพน คนไดมาประโลมพระองค ณ ท่ีนี้ จากกเิ ลส (ขอ ๑๐ ในกถาวตั ถุ ๑๐) สปั ดาหท ี่ ๖ ประทบั ใตต นไมจ กิ ชอื่ มุจจ-

วิมุติ ๓๗๕ วริ ยิ ารมั ภะ ลินท มีฝนตก มุจจลนิ ทนาคราชมาวง ได มองเห็นความวาง ๒. อนิมิตต- ขนดแผพังพานปกปองพระองค ทรง วโิ มกข หลดุ พน ดว ยเห็นอนจิ จงั แลว เปลงอทุ านแสดงความสขุ ท่แี ท อนั เกดิ ถอนนิมติ ได ๓. อัปปณหิ ิตวิโมกข หลุด จากการไมเบียดเบียนกัน เปนตน พนดวยเห็นทุกข แลวถอนความ สัปดาหที่ ๗ ประทบใตตนไมเกดช่ือ ปรารถนาได ราชายตนะ พาณชิ ๒ คน คอื ตปสุ สะและ วริ ตั ิ ความเวน , งดเวน; เจตนาท่งี ดเวน ภลั ลกิ ะ เขา มาถวายสัตตุผง สตั ตกุ อ น จากความช่วั ; วิรัติ ๓ คือ ๑. สัมปต ต- และไดแสดงตนเปนปฐมอุบาสกถึง ๒ วิรัติ เวนไดซึ่งสิ่งท่ีประจวบเขา ๒. สรณะ เม่ือสิ้นสัปดาหท่ีเจ็ดที่นี้แลว สมาทานวิรตั ิ เวน ดวยการสมาทาน ๓. เสด็จกลับไปประทับใตตนอชปาล- สมุจเฉทวริ ตั ิ เวน ไดโ ดยเด็ดขาด นิโครธอีก ทรงดําริถึงความลึกซ้ึงแหง วิราคะ ความส้นิ กําหนดั , ธรรมเปน ทีส่ ้ิน ธรรมท่ีตรัสรู คือปฏิจจสมุปบาทและ ราคะ, ความคลายออกไดห ายตดิ เปน นพิ พาน แลว นอมพระทยั ทีจ่ ะไมแ สดง ไวพจนข อง นิพพาน ธรรม เปนเหตุใหสหมั บดพี รหมมากราบ วิราคสัญญา กําหนดหมายธรรมเปนท่ี ทลู อาราธนา และ ณ ทนี่ เี้ ชน กนั ไดท รง สนิ้ ราคะ หรอื ภาวะปราศจากราคะวา เปน พระดํารเิ กย่ี วกับสติปฏ ฐาน ๔ ทเ่ี ปน ธรรมละเอยี ด (ขอ ๖ ในสัญญา ๑๐) เอกายนมรรค และอินทรยี  ๕ อนั มี วิรยิ ะ ความเพยี ร, ความบากบน่ั , ความ อมตธรรมเปนที่หมาย; พึงสังเกตวา เพยี รเพ่อื จะละความช่วั ประพฤติความ เร่อื งในสปั ดาหที่ ๒, ๓, ๔ นน้ั เปน ด,ี ความพยายามทํากจิ ไมทอ ถอย (ขอ สวนท่ีพระอรรถกถาจารยกลาวแทรก ๕ ในบารมี ๑๐, ขอ ๓ ในโพชฌงค ๗, เขามา ความนอกนั้นมาในมหาวรรค ขอ ๒ ในอิทธิบาท ๔) แหงพระวินัยปฎก (เรื่องดําริถึงสติ- วิริยวาท ผูถือหลักการแหงความเพียร, ปฏฐานและอินทรียมาในสังยุตตนิกาย หลักการแหงความเพียร; ดู กรรมวาท มหาวารวรรค พระสตุ ตันตปฎ ก) วริ ยิ สังวร สาํ รวมดวยความเพียร (ขอ ๕ วิมตุ ิ ดู วมิ ตุ ติ ในสังวร ๕) วโิ มกข ความหลดุ พน จากกเิ ลส มี ๓ วิริยารัมภะ ปรารภความเพยี ร คือลงมอื ประเภท คอื ๑. สุญญตวิโมกข หลดุ พน ทําความเพียรอยางเขมแข็งเด็ดเด่ียว, ดวยเห็นอนัตตาแลวถอนความยึดมั่น ระดมความเพยี ร (ขอ ๔ ในเวสารัชช-

วิรยิ ารัมภกถา ๓๗๖ วศิ าล กรณธรรม ๕, ขอ ๗ ในลักษณะตดั สิน กันวา สง่ิ นีเ้ ปน ธรรม เปนวนิ ัย สงิ่ นี้ไม ธรรมวินยั ๘, ขอ ๕ ในสัทธรรม ๗, ขอ ใชธ รรม ไมใ ชว ินัย ขอน้ี พระพทุ ธเจา ๗ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ตรสั ไว ขอน้ไี มไดต รัสไว ดังนเี้ ปนตน วริ ิยารมั ภกถา ถอ ยคาํ ทีช่ กั นาํ ใหปรารภ ววิ าหะ การแตงงาน, การสมรส ความเพยี ร (ขอ ๕ ในกถาวัตถุ ๑๐) วเิ วก ความสงดั มี ๓ คอื อยใู นทีส่ งัด วริ ุฬหก ดู จาตมุ หาราช เปน กายวเิ วก จิตสงบเปน จติ ตวเิ วก วริ ปู ก ษ ดู จาตมุ หาราช หมดกเิ ลสเปน อปุ ธวิ เิ วก วิวฏั ฏ, ววิ ฏั ฏะ ปราศจากวัฏฏะ, ภาวะ วิศวามิตร ครูผูสอนศิลปวิทยาแกพระ พนวฏั ฏะ ไดแ ก นิพพาน ราชกุมารสทิ ธตั ถะ ววิ ฏั ฏกปั ดู กปั วิศาขนักษัตร หมูดาวฤกษช่ือวิศาขะ ววิ ฏั ฏฐายกี ปั ดู กัป (ดาวคันฉัตร) เปน หมูด าวฤกษท่ี ๑๖ มี ววิ าท การทะเลาะ, การโตแ ยงกัน, การ ๕ ดวง; ดู ดาวนกั ษัตร กลาวเก่ยี งแยงกัน, กลา วตา ง คอื วา ไป วิศาขบรุ ณมี ดู วศิ าขปุรณมี วศิ าขบชู า การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๖ คนละทาง ไมลงกนั ได ววิ าทมูล รากเหงา แหงการเถียงกนั , เหตุ เพื่อรําลึกถึงคุณของพระพุทธเจาเน่ือง ทกี่ อ ใหเ กดิ ววิ าท กลายเปน ววิ าทาธกิ รณ ในวันประสูติ ตรัสรู และปรินพิ พานของ มี ๒ อยา ง คอื ๑. กอ ววิ าทข้นึ ดว ย พระองค; วสิ าขบชู า ก็เขยี น ความปรารถนาดี เห็นแกธ รรมวนิ ยั มี วิศาขปุรณมี วนั เพญ็ เดอื น ๖, วันกลาง จติ ประกอบดว ยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เดือน ๖, วันขึ้น ๑๕ คํ่า เดอื น ๖, ดิถมี ี ๒. กอววิ าทดว ยความปรารถนาเลว ทํา พระจันทรเ ต็มดวง ประกอบดวยวศิ าข- ดว ยทิฏฐมิ านะ มจี ิตประกอบดวยโลภะ ฤกษ (วิศาขนักษตั ร); นีเ้ ขยี นตามนิยม โทสะ โมหะ อยางหนึ่งในหนังสือเกา, นอกจากน้ี วิวาทมูลกทุกข ทุกขมีวิวาทเปนมูล, เขยี นกนั อกี หลายอยา ง เปน วศิ าขบรุ ณมี ทกุ ขเกิดเพราะการทะเลาะกันเปนเหตุ บา ง วสิ าขบรุ ณมี บาง วสิ าขปรุ ณมี บาง, วิวาทาธิกรณ วิวาทท่ีจัดเปนอธิกรณ, ปจ จบุ ัน อาจจะเขียน วสิ าขบณุ มี หรือ การวิวาทซึ่งเปนเรื่องที่สงฆจะตองเอา วสิ าขปณุ มีหรอื วสิ าขบรู ณมี หรอื วสิ าข- ธุระดาํ เนนิ การพิจารณาระงับ ไดแกก าร ปรู ณมี เถยี งกันปรารภพระธรรมวินยั เชน เถียง วิศาล กวางขวาง, แผไ ป

วิสภาค ๓๗๗ วสิ าขา วสิ ภาค มสี ว นไมเ สมอกัน คอื ขดั กนั เขา วา ขีดขั้นแหงความเปนไปได หรือ กนั ไมไ ด ไมถ กู กัน หรือไมกลมกลืน ขอบเขตความสามารถ กัน, ไมเ หมาะกัน วิสาขบณุ ม,ี วิสาขบูรณม,ี วิสาขปุณมี วสิ มปริหารชา อาพาธา ความเจ็บไขท่ี วนั เพ็ญเดือน ๖; ดู วิศาขปรุ ณมี เกดิ จากบริหารรา งกายไมส มํา่ เสมอ คือ วสิ าขบูชา ดู วศิ าขบูชา ผลัดเปลย่ี นอิรยิ าบถไมพอดี; ดู อาพาธ วิสาขปุรณมี ดู วศิ าขปรุ ณมี วิสสาสะ 1. ความคุนเคย, ความสนิท วสิ าขมาส, เวสาขมาส เดือน ๖ สนม การถือวาเปนกันเอง, ในทางพระ วิสาขา ช่ือมหาอุบาสิกาสําคัญในคร้ัง วินยั การถอื เอาของของผอู ่ืนท่จี ัดวา เปน พุทธกาล เปนธิดาของธนัญชัยเศรษฐี การถือวิสสาสะ มอี งค ๓ คือ ๑. เคย และนางสุมนา เกิดท่ีเมืองภัททิยะใน เห็นกนั มา เคยคบกนั มา หรือไดพ ูดกนั แควนอังคะ ไดบรรลุโสดาปตติผลตั้ง ไว ๒. เจาของยังมชี ีวิตอยู ๓. รวู า ของ แตอายุ ๗ ขวบ ตอมาไดย า ยตามบดิ า เราถือเอาแลวเขาจักพอใจ, บัดน้ีนิยม มาอยทู ่ีเมืองสาเกต ในแควน โกศล แลว เขยี น วิสาสะ 2. ความนอนใจ ดงั พุทธ- ไดสมรสกับนายปุณณวัฒน บุตรชาย ดํารัสวา “ภิกษุเธอยังไมถึงความส้ิน มคิ ารเศรษฐแี หง เมอื งสาวตั ถี และยาย อาสวะแลวอยาไดถ ึง วสิ สาสะ (ความ ไปอยูในตระกูลฝายสามี นางสามารถ นอนใจ)” กลับใจมิคารเศรษฐี บดิ าของสามี ซึง่ วสิ สาสิกชน คนท่ีสนทิ สนมคนุ เคย, คน คุนเคยกัน, วสิ าสิกชน กใ็ ช นบั ถอื นคิ รนถ ใหห นั มานบั ถอื พระพทุ ธ- วิสังขาร ธรรมท่ีปราศจากการปรุงแตง, ศาสนา มิคารเศรษฐีนับถือนางมาก ธรรมอันมิใชส งั ขาร คอื พระนพิ พาน วิสชั ชกะ ผูจ า ย, ผแู จกจา ย; ผูตอบ, ผู และเรียกนางวิสาขาเปน แม นางวิสาขา จงึ ไดช อ่ื ใหมอ กี อยา งหนงึ่ วา มิคารมาตา (มารดาของมคิ ารเศรษฐ)ี นางวสิ าขาได วิสัชชนา อปุ ถมั ภบ าํ รงุ พระภกิ ษสุ งฆอ ยา งมากมาย วิสชั ชนา คําตอบ, คําแกไ ข; คาํ ชี้แจง และไดขายเคร่ืองประดับ เรียกชื่อวา (พจนานุกรม เขยี น วสิ ัชนา) มหาลดาปสาธน ซงึ่ มคี า สงู ยง่ิ อนั ประจาํ วสิ ัญญี หมดความรสู ึก, ส้ินสต,ิ สลบ วิสัย ภูม,ิ พื้นเพ, อารมณ, เขต, แดน, ตัวมาตั้งแตแตงงาน นาํ เงนิ มาสรา งวดั ถวายแดพ ระพทุ ธเจา และภกิ ษสุ งฆค อื วดั ลักษณะท่เี ปน อยู, ไทยใชในความหมาย บพุ พาราม มคิ ารมาตปุ ราสาท ณ พระนคร

วิสามญั ๓๗๘ วิสุทธิ สาวตั ถี นางวิสาขามบี ุตรหลานมากมาย ชําระสัตวใหบริสุทธ์ิดวยการบําเพ็ญ ลวนมีสขุ ภาพดีแทบทงั้ น้ัน แมวา นางจะ ไตรสิกขาใหบริบูรณเปนข้ันๆ ไปโดย มอี ายยุ นื ถงึ ๑๒๐ ป กด็ ไู มแ ก และเปน ลําดับ จนบรรลุจุดหมายคือพระ บคุ คลทไี่ ดร บั ความนบั ถอื อยา งกวา งขวาง นพิ พาน มี ๗ ข้ัน (ในท่ีนี้ ไดระบุธรรม ในสงั คม ไดร บั ยกยอ งจากพระศาสดาวา ที่มีที่ไดเปนความหมายของแตละขั้น เปนเอตทัคคะในบรรดาทายิกาทั้งปวง; ตามท่ีแสดงไวในอภิธัมมัตถสังคหะ) ดู บพุ พาราม, ตลุ า คือ ๑. สลี วสิ ุทธิ ความหมดจดแหงศลี วิสามัญ แปลกจากสามัญ, ไมใช (ไดแ ก ปารสิ ทุ ธศิ ีล ๔) ๒. จติ ตวสิ ทุ ธิ ธรรมดา, ไมทวั่ ไป, เฉพาะ ความหมดจดแหง จิตต (ไดแ ก สมาธิ ๒ วิสารทะ แกลว กลา, ชํานาญ, ฉลาด วสิ าสะ ดู วิสสาสะ คือ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ) วิสาสิกชน คนคนุ เคย; ดู วสิ สาสกิ ชน ๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแหงทิฏฐิ วสิ ุงคาม แผนกหนง่ึ จากบา น, แยกตาง (ไดแก นามรปู ปรคิ คหญาณ) ๔. กังขา- หากจากบา น วิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณ วิสุงคามสีมา แดนแผนกหนึ่งจากแดน เปนเครื่องขามพนความสงสัย (ไดแก บาน คือ แยกตา งหากจากเขตบา น, ใน ปจจัยปริคคหญาณ) ๕. มัคคามัคค- ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง ที่น้ีหมายถึง ที่ดินที่พระเจาแผนดิน ญาณเปนเครื่องรูเห็นวา ทางหรอื มใิ ชท าง ประกาศพระราชทานใหแกสงฆ (ไดแ ก ตอ สมั มสนญาณ ขน้ึ สอู ทุ ยพั พย- วิสุทธชนวิลาสินี ชื่ออรรถกถาอธิบาย ความในคัมภีรอปทาน แหงพระ ญาณ เปนตรุณวิปสสนา เกดิ วิปสสนปู - สุตตันตปฎก เรียบเรียงข้ึนเปนภาษา กเิ ลส แลว รเู ทาทนั วา อะไรใชทาง อะไร มิใชทาง) ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ บาลี โดยอาศัยนัยแหงอรรถกถาเกา ความหมดจดแหงญาณอันรูเห็นทาง ภาษาสิงหฬท่ีสืบมาในลังกาทวีป ไม ดําเนิน (ไดแ ก วปิ ส สนาญาณ ๙ นบั แต ปรากฏนามทานผูรจนา แตคัมภีรจูฬ- อทุ ยพั พยญาณท่ีผานพนวิปสสนูปกิเลส คันถวงส (แตงในพมา) วา เปนผลงาน แลว เกดิ เปนพลววิปส สนา เปน ตน ไป ของพระพทุ ธโฆสาจารย; ดู โปราณัฏฐ- จนถึงอนุโลมญาณ) ๗. ญาณทัสสน- กถา, อรรถกถา วิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณทัสสนะ วิสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธ,์ิ ความหมดจด, การ (ไดแ ก มรรคญาณ ๔ มโี สดาปต ตมิ รรค

วสิ ทุ ธิเทพ ๓๗๙ วเิ หสกกรรม เปนตน แตละขัน้ ); ดู ปาริสุทธิศลี ๔, ประสงค เมือ่ ทํางานเสร็จสนิ้ แลว ทานก็ สมาธิ ๒, วิปสสนาญาณ ๙, ญาณ ๑๖ เดนิ ทางกลบั สชู มพทู วปี พระพทุ ธโฆสา- วิสทุ ธิเทพ เทวดาโดยความบรสิ ุทธิ์ ได จารยเปนพระอรรถกถาจารยผ ูย ่ิงใหญท ี่ แกพ ระอรหนั ต (ขอ ๓ ในเทพ ๓) สดุ มีผลงานมากท่ีสุด วสิ ทุ ธมิ รรค, วสิ ทุ ธมิ คั ค ปกรณพ เิ ศษ วิสุทธิอุโบสถ อุโบสถที่ประกอบดวย อธิบายศีล สมาธิ ปญ ญา ตามแนว ความบริสุทธิ์ หรืออุโบสถที่ทําโดยท่ี วสิ ทุ ธิ ๗ พระพุทธโฆสาจารย พระ ประชุมสงฆซ่ึงมคี วามบริสทุ ธ์ิ หมายถงึ อรรถกถาจารยชาวอินเดียเปนผูแตงท่ี การทําอุโบสถซึ่งท่ีประชุมมีแตพระ มหาวหิ ารในเกาะลังกา; พระพุทธโฆสะ อรหนั ตล วนๆ เชน กลา วถงึ การประชมุ หรือที่นิยมเรยี กวาพระพุทธโฆสาจารยน ้ี พระอรหนั ต ๑,๒๕๐ รปู คราวจาตรุ งค- เปน บตุ รพราหมณ เกดิ ทห่ี มบู า นหนงึ่ ใกล สันนิบาต วาทาํ วสิ ุทธิอโุ บสถ พทุ ธคยา อันเปน สถานทต่ี รัสรขู องพระ วิสูตร มาน พุทธเจา ในแควนมคธเม่ือประมาณ วิหาร ท่ีอยู, ท่ีอยูของพระสงฆ; ท่ี พ.ศ. ๙๕๖ เรยี นจบไตรเพท มีความ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู คกู บั โบสถ; การ เช่ียวชาญมาก ตอมาพบกับพระเรวต- พกั ผอ น, การเปน อยหู รอื ดาํ เนนิ ชวี ติ เถระ ไดโตตอบปญ หากนั สูพระเรวต- วิหารธรรม ธรรมเปน เคร่อื งอย,ู ธรรม เถระไมได จึงขอบวชเพื่อเรียนพุทธ ประจําใจ, ธรรมท่ีเปนหลักใจในการ วจนะ มีความสามารถมาก ไดรจนา ดําเนินชีวิต คมั ภีร ญาโณทัย เปนตน พระเรวตเถระ วิหารวตั ถุ พืน้ ท่ปี ลกู กฎุ ี วหิ าร จงึ แนะนาํ ใหไ ปเกาะลงั กา เพอื่ แปลอรรถ วหิ งิ สา การเบียดเบียน, การทํารา ย กถาสงิ หฬ กลบั เปน ภาษามคธ ทานเดิน วหิ งิ สาวติ ก ความตรกึ ในทางเบยี ดเบยี น, ทางไปท่ีมหาวิหาร เกาะลงั กา เม่ือขอ ความคิดในทางทําลายหรือกอความ อนุญาตแปลคัมภีร ถูกพระเถระแหง เดอื ดรอ นแกผ อู น่ื (ขอ ๓ ในอกศุ ลวติ ก ๓) มหาวหิ ารใหค าถามา ๒ บท เพอ่ื แตง วิเหสกกรรม กรรมที่จะพึงกระทําแก ทดสอบความรู พระพุทธโฆสาจารยจ งึ ภิกษุผูทําสงฆใหลําบาก คือ ภิกษุ แตงคําอธิบายคาถาท้ังสองน้ันขึ้นเปน ประพฤติอนาจาร สงฆเรียกตัวมาถาม คัมภีรวิสุทธิมรรค จากน้ันก็ไดรับ นิ่งเฉยเสียไมตอบ เรียกวา เปน ผทู ําสงฆ อนุญาตใหทํางานแปลอรรถกถาไดตาม ใหลําบาก, สงฆยกวิเหสกกรรมขน้ึ คือ