เยวาปนกธรรม ๓๓๐ โยนก อธกิ รณสมถะ โยคกิเลสทง้ั ๔ จําพวก; ดู โยคะ, เกษม เยวาปนกธรรม “ก็หรือวาธรรมแมอื่น จากโยคธรรม ใด” หมายถึงธรรมจาํ พวกที่กําหนดแน โยคธรรม ธรรมคือกิเลสเคร่ืองประกอบ ไมไ ดว า ขอ ไหนจะเกิดขึน้ ไดแก เจตสิก ในขอ ความวา “เกษมจากโยคธรรม” คือ ๑๖ เปนพวกท่ีเกิดในกศุ ลจติ ๙ คอื ๑. ความพน ภยั จากกิเลส; ดู โยคะ ฉนั ทะ ๒. อธิโมกข ๓. มนสิการ ๔. โยคักเขมะ ดู โยคเกษม อเุ บกขา (ตตั รมัชฌัตตตา) ๕. กรณุ า ๖. โยคาวจร ผหู ยง่ั ลงสคู วามเพยี ร, ผปู ระกอบ มทุ ิตา ๗. สัมมาวาจา (วจีทุจรติ วริ ัต)ิ ๘. ความเพยี ร, ผเู จรญิ ภาวนา คอื กาํ ลงั ปฏบิ ตั ิ สัมมากัมมันตะ (กายทุจริตวิรัติ) ๙. สมถกรรมฐานและวิปสสนากัมมัฏฐาน สัมมาอาชีวะ (มจิ ฉาชีววริ ตั )ิ เปนพวกที่ เขยี น โยคาพจร กม็ ี เกิดในอกศุ ลจิต ๑๐ คือ ๑. ฉันทะ ๒. โยคี ฤษ,ี ผูปฏบิ ตั ติ ามลทั ธโิ ยคะ; ผู อธิโมกข ๓. มนสกิ าร ๔. มานะ ๕. ประกอบความเพียร; ดู โยคาวจร อิสสา ๖. มัจฉรยิ ะ ๗. ถนี ะ ๘. มทิ ธะ ๙. โยชน ช่ือมาตราวดั ระยะทาง เทา กบั ๔ อทุ ธจั จะ ๑๐. กกุ กจุ จะ นบั เฉพาะท่ไี มซ้าํ คาวตุ หรอื ๔๐๐ เสน โยธา ทหาร, นกั รบ (คือเวน ๓ ขอ แรก) เปน ๑๖ เย่ยี ง อยา ง, แบบ, เชน โยนก อาณาจกั รโบราณทางทศิ พายพั ของ โยคะ 1. กิเลสเครื่องประกอบ คือ ชมพทู วีป (ปจจบุ นั อยูใ นเขตอาฟกาน-ิ ประกอบสัตวไวใ นภพ หรือผกู สัตวด ุจ สถาน และอุซเบกิสถานกับตาจิกสิ ถาน เทยี มไวก บั แอก มี ๔ คอื ๑. กาม ๒. แหงเอเชียกลาง) ช่ือวาบากเตรีย ภพ ๓. ทฏิ ฐิ ๔. อวิชชา 2. ความเพียร (Bactria; เรียก Bactriana or โยคเกษม, โยคเกษมธรรม ธรรมอัน Zariaspa กม็ )ี มเี มอื งหลวงชอื่ บากตรา เปนแดนเกษมจากโยคะ” ความหมาย (Bactra ปจ จบุ นั เรยี กวา Balkh อยูใน สามัญวาความปลอดโปรงโลงใจหรือสุข ภาคเหนือของอาฟกานิสถาน), เปน ดิน กายสบายใจ เพราะปราศจากภัย แดนที่ชนชาติอารยันเขามาครอง แลว อันตรายหรือลวงพนสิ่งที่นาพรั่นกลัว ตกอยูใตอํานาจของจักรวรรดิเปอรเซีย มาถงึ สถานทปี่ ลอดภยั ; ในความหมาย โบราณ และคงเนอื่ งจากมชี นชาตกิ รกี เผา ขัน้ สูงสุด มุงเอาพระนพิ พาน อันเปน Ionians มาอยอู าศยั มาก ทางชมพทู วปี ธรรมท่ีเกษมคือโปรงโลงปลอดภัยจาก จงึ เรยี กวา “โยนก” (ในคมั ภรี บ าลเี รียกวา
โยนก ๓๓๑ โยนก โยนก บาง โยนะ บา ง ยวนะ บา ง ซง่ึ มา ตั้งราชวงศโมริยะ (รูปสันสกฤตเปน จากคาํ วา “Ionian” นั่นเอง) เมารยะ) ขน้ึ ในปท ี่ ๓๒๑ กอ น ค.ศ. (พ.ศ. ๑๖๘) แลว ยกทพั มาเผชญิ กับแม เฉพาะอยา งยงิ่ เมอ่ื พระเจา อเลกซาน- ทัพใหญของอเลกซานเดอร ชื่อซีลูคัส เดอรม หาราช (Alexander the Great) (Seleucus) ที่มอี าํ นาจปกครองดนิ แดน กษัตริยกรีก ยกทัพแผอํานาจมาทาง แถบตะวนั ออกรวมทง้ั โยนกและคนั ธาระ ตะวันออก ลมจกั รวรรดเิ ปอรเ ซยี ลงได นนั้ (ตอ มาไดเ ปน กษตั รยิ แ หง บาบโิ ลเนีย ในปที่ ๓๓๑ กอ น ค.ศ. (ประมาณ ถือกันวาเปนกษัตริยแหงซีเรียโบราณ) พ.ศ.๑๕๘) แลว จะมาตชี มพทู วปี ผา น ซีลูคัสไดยอมยกคันธาระใหแกจันทร- บากเตรียซ่ึงเคยข้ึนกับเปอรเซียมา คุปต แมวาโยนกก็คงจะไดมาขึ้นตอ ประมาณ ๒๐๐ ป ก็ไดบ ากเตรียคือ มคธดวย ดังที่ศิลาจารึกของพระเจา แควน โยนกนัน้ ในปท ่ี ๓๒๙ กอน ค.ศ. อโศก (ครองราชยพ.ศ.๒๑๘–๒๖๐) (พ.ศ. ๑๖๐) จากนนั้ จงึ ไปตง้ั ทพั ทเี่ มอื ง กลาวถึงแวนแควนของชาวโยนกในเขต ตกั ศลิ าในปท ่ี ๓๒๖ กอ น ค.ศ. เพอ่ื พระราชอํานาจ แตผูคนและวิถีชีวิตที่ เตรียมเขาตีอินเดีย แตในที่สุดทรงลม นั่นกย็ ังเปน แบบกรีกสบื มา เลิกพระดาํ รินั้น และยกทัพกลับในปท่ี ๓๒๕ กอ น ค.ศ. ระหวางทางเมื่อพกั ที่ เมื่อพระเจาอโศกทรงอุปถัมภการ กรุงบาบิโลน ไดประชวรหนักและ สังคายนาคร้งั ที่ ๓ ใน พ.ศ.๒๓๕ แลว สวรรคตเมือ่ ปที่ ๓๒๓ กอ น ค.ศ. แม พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระไดมอบ ทัพกรีกที่พระเจาอเลกซานเดอรตั้งไวดู ภาระใหพระสงฆไปเผยแพรพระศาสนา แลดนิ แดนทตี่ ไี ด กป็ กครองโยนกตอ มา ในดนิ แดนตา งๆ ๙ สาย (เราเรยี กกนั วา โยนกตลอดจนคันธาระที่อยูใตลงมา พระศาสนทตู ) อรรถกถากลาววา พระ (ปจจุบันอยูในอาฟกานิสถานและปากี- มหารักขิตเถระไดมายงั โยนกรฐั สถาน) จงึ เปน ดนิ แดนกรกี และมวี ัฒน- ธรรมกรีกเตม็ ที่ หลังรัชกาลพระเจาอโศกมหาราชไม เตม็ ครง่ึ ศตวรรษ ราชวงศโ มรยิ ะกส็ ลาย ตอ มาไมนาน เม่ือพระอัยกาของพระ ลง ในชว งเวลานั้น บากเตรียหรอื โยนก เจา อโศกมหาราช คือพระเจาจันทรคปุ ต ก็ไดตั้งอาณาจักรของตนเองเปนอิสระ (เอกสารกรกี เรียก Sandrocottos หรือ (ตําราฝายตะวันตกบอกในทํานองวา Sandrokottos) ขึ้นครองแควนมคธ บากเตรยี ไมไ ดม าขนึ้ ตอ มคธ ยงั ขน้ึ กบั
โยนิ ๓๓๒ โยม ราชวงศข องซลี คู สั จนถงึ ปท ่ี ๒๕๐ กอ น กลายเปนสวนหน่ึงแหงดินแดนของชน ค.ศ. ซ่ึงยังอยูในรัชกาลพระเจาอโศก ชาวมสุ ลมิ สบื มา ชือ่ โยนกก็เหลอื อยูแต บากเตรียจึงแยกตัว จากราชวงศของ ในประวตั ิศาสตร ซลี คู ัส ออกมาตงั้ เปน อสิ ระ แตศ ลิ าจารกึ โยนิ กาํ เนิดของสัตว มี ๔ จาํ พวก คอื ๑. ของพระเจาอโศกก็บอกชัดวา มีแวน ชลาพชุ ะ เกิดในครรภ เชน คน แมว แควน โยนกในพระราชอาํ นาจ อาจเปน ได ๒. อณั ฑชะ เกิดในไข เชน นก ไก ๓. วา โยนกในสมยั นน้ั มที งั้ สว นทขี่ นึ้ ตอ สงั เสทชะเกดิ ในไคล คอื ทชี่ นื้ แฉะสกปรก มคธ และสว นทข่ี นึ้ ตอ ราชวงศกรกี ของ เชน หนอนบางอยา ง ๔. โอปปาติกะ ซลี คู สั แลว แข็งขอแยกออกมา) จากนน้ั เกิดผุดขน้ึ เชน เทวดา สัตวน รก บากเตรียไดมีอํานาจมากข้ึน ถึงกับ โยนโิ ส โดยแยบคาย, โดยถองแท, โดย ขยายดินแดนเขามาในอินเดียภาคเหนือ วิธที ถี่ ูกตอ ง, ต้ังแตต นตลอดสาย, โดย ดังท่ีโยนกไดมีช่ือเดนอยูในประวัติ ตลอด ศาสตรพระพุทธศาสนาในสมัยของ โยนโิ สมนสกิ าร การทาํ ในใจโดยแยบคาย, พระเจา Menander ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชน กระทาํ ไวใ นใจโดยอบุ ายอนั แยบคาย, การ เรียกวา พญามิลินท ซ่ึงครองราชย พิจารณาโดยแยบคาย คอื พจิ ารณาเพอื่ (พ.ศ.๔๒๓-๔๕๓) ที่เมืองสาคละ เขาถึงความจริงโดยสืบคนหาเหตุผลไป (ปจ จบุ นั เรยี กวา Sialkot อยใู นแควน ตามลําดับจนถึงตนเหตุ แยกแยะองค ปญ จาบ ทเ่ี ปน สว นของปากสี ถาน) ประกอบจนมองเห็นตวั สภาวะและความ หลังรัชกาลพญามลิ ินทไ มน าน บาก สมั พนั ธแ หง เหตปุ จ จยั หรอื ตรติ รองใหร ู เตรียหรือโยนกตกเปนของชนเผาศกะที่ จักส่ิงท่ีดีที่ช่ัว ยังกุศลธรรมใหเกิดขึ้น เรร อ นรกุ รานเขา มา แลว ตอ มาก็เปนสวน โดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิใหเกิดอวิชชา หนึ่งของอาณาจักรกุษาณ (ท่ีมีราชายิ่ง และตณั หา, ความรจู กั คดิ , คดิ ถกู วธิ ;ี ใหญพระนามวากนิษกะ, ครองราชย เทียบ อโยนิโสมนสิการ พ.ศ.๖๒๑–๖๔๔) หลังจากน้ันก็มีการรกุ โยม คําที่พระสงฆใ ชเ รยี กคฤหัสถทีเ่ ปน รานจากภายนอกมาเปนระลอก จน บิดามารดาของตน หรือท่ีเปนผูใหญ กระท่ังประมาณ ค.ศ.๗๐๐ (ใกล คราวบิดามารดา บางทีใชข ยายออกไป พ.ศ.๑๓๐๐) กองทัพมุสลิมอาหรับยก เรียกผูมีศรัทธาซ่ึงอยูในฐานะเปนผู มาถึงและเขาครอบครอง โยนกก็ได อุปถมั ภบํารุงพระศาสนา โดยทว่ั ไปกม็ ;ี
โยมวัด ๓๓๓ รองเทา คําใชแทนช่ือบิดามารดาของพระสงฆ; โยมสงฆ คฤหัสถผูอปุ การพระท่วั ๆ ไป สรรพนามบุรุษท่ี ๑ สาํ หรับบิดามารดา โยมอุปฏฐาก คฤหัสถทแี่ สดงตนเปนผู พูดกะพระสงฆ (บางทผี ใู หญคราวบิดา อุปการะพระสงฆโดยเจาะจง อุปการะ มารดา หรือผูเก้อื กูลคนุ เคยกใ็ ช) รูปใด ก็เปน โยมอุปฏ ฐากของรปู น้ัน โยมวัด คฤหัสถท ่อี ยปู ฏิบตั ิพระในวดั ร รจนา แตง , ประพนั ธ เชน อาจารยผู รักษาตัว เชนในเวลาแดดจัด รจนาอรรถกถา คือผูแตงอรรถกถา รมณีย นาบันเทิงใจ, นา ร่นื รมย, นา สนกุ รตนะ ดู รตั นะ รส อารมณท ่ีรไู ดดวยล้นิ (ขอ ๔ ใน รตนปรติ ร ดู ปริตร อารมณ ๖), โดยปรยิ าย หมายถงึ ความ รตนวรรค ตอนท่ีวาดวยเร่ืองรัตนะ รูสกึ ชอบใจ เปน ตน เปน วรรคที่ ๙ แหง ปาจติ ตยิ กณั ฑ รองเทา ในพระวินัยกลาวถงึ รองเทา ไว ๒ ชนิดคือ ๑. ปาทกุ า แปลกนั วา “เขียง ในมหาวภิ ังค พระวินัยปฎก รตนวรรคสกิ ขาบท สกิ ขาบทในรตนวรรค เทา” (รองเทาไมห รือเก๊ยี ะ) ซ่ึงรวมไปถงึ รตนสตู ร ดู ปรติ ร รองเทาโลหะ รองเทา แกว หรอื รองเทา รติ ความยินดี ประดับแกว ตางๆ ตลอดจนรองเทาสาน รม สาํ หรับพระภกิ ษุ หา มใชร ม ทก่ี าววาว รองเทาถักหรือปกตางๆ สําหรับพระ เชน รมปก ดว ยไหมสีตางๆ และรมทม่ี ี ภิกษุหามใชปาทุกาทุกอยาง ยกเวน ระบายเปนเฟอง ควรใชของเรียบๆ ซง่ึ ปาทุกาไมที่ตรึงอยูกับที่สําหรับถาย ทรงอนุญาตใหใชไดในวัดและอุปจาระ อุจจาระหรือปสสาวะและเปนที่ชําระขึ้น แหงวัด หามกน้ั รมเขาบา น หรอื กนั้ เดนิ เหยยี บได ๒. อุปาหนา รองเทาสามัญ ตามถนนหนทางในละแวกบาน เวน แต สําหรับพระภิกษุทรงอนุญาตรองเทา เจบ็ ไข ถกู แดดถกู ฝนอาพาธจะกาํ เรบิ เชน หนังสามญั (ถา ชั้นเดยี ว หรือมากชั้นแต ปวดศรี ษะ ตลอดจน (ตามทอ่ี รรถกถา เปนของเกาใชไดท่ัวไป ถามากชั้นเปน ผอนผนั ให) กน้ั เพอ่ื กันจีวรเปย กฝนใน ของใหม ใชไดเฉพาะแตในปจจันต- เวลาฝนตก กน้ั เพือ่ ปองกนั ภยั กั้นเพอ่ื ชนบท) มสี ายรดั หรือใชค ีบดว ยนิ้ว ไม
รอยกรอง ๓๓๔ รัชกาล ปกหลงั เทา ไมป กสน ไมปกแขง นอก เปนตน เสียบเขาในระหวางใบตองท่ี จากน้ัน ตวั รองเทากต็ าม หหู รอื สายรัด เจียนไว แลวตรึงใหติดกันโดยรอบ ก็ตาม จะตองไมม สี ที ่ีตองหา ม (คอื สี แลวรอยประสมเขากับอยางอื่นเปนพวง ขาบ เหลอื ง แดง บานเย็น แสด ชมพู เชน พวงภชู ัน้ เปน ตวั อยาง ดํา) ไมขลิบดวยหนังสัตวท่ีตองหาม รอ ยผูก คือชอ ดอกไมแ ละกลมุ ดอกไมที่ (คอื หนงั ราชสีห เสือโครง เสอื เหลอื ง เขาเอาไมเสียบกานดอกไมแลวเอาดาย ชะมด นาค แมว คาง นกเคา) ไมย ัด พันหรือผูกทาํ ข้ึน นนุ ไมต รงึ หรอื ประดบั ดว ยขนนกกระทา รอยวง คือดอกไมท่ีรอยสวมดอกหรือ ขนนกยงู ไมม หี เู ปน ชอ ดงั เขาแกะเขาแพะ รอ ยแทงกานเปนสาย แลวผกู เขา เปนวง หรอื งามแมลงปอ ง รองเทาทผ่ี ดิ ระเบยี บ นีค้ ือพวงมาลัย เหลาน้ีถาแกไขใหถูกตองแลว เชน รอ ยเสยี บ คอื ดอกไมท รี่ อ ยสวมดอก เชน สํารอกสีออก เอาหนังที่ขลิบออกเสยี สายอบุ ะ หรอื พวงมาลยั มพี วงมาลัย เปน ตน กใ็ ชไ ด รองเทา ทถ่ี กู ลกั ษณะทรง ดอกปบ และดอกกรรณิการเ ปนตน หรอื อนุญาตใหใชไดในวัด สวนที่มิใชตอง ดอกไมที่ใชเสียบไม เชนพุมดอก หา มและในปา หา มสวมเขา บา น และถา พุทธชาด พุมดอกบานเย็นเปนตัวอยา ง เปนอาคันตุกะเขาไปในวัดอ่ืนก็ใหถอด ระยะบานหน่งึ ในประโยควา “โดยทสี่ ดุ ยกเวนแตฝาเทาบางเหยียบพื้นแข็งแลว แมสิ้นระยะบานหน่ึง เปนปาจิตติยะ” เจ็บ หรอื ในฤดรู อ น พน้ื รอนเหยียบแลว ระยะทางชว่ั ไกบ นิ ถงึ แตใ นทค่ี นอยคู บั คงั่ เทาพอง หรือในฤดูฝนไปในที่แฉะ ภกิ ษุ ใหกําหนดตามเครื่องกําหนดที่มีอยูโดย ผูอาพาธดวยโรคกษยั สวมกนั เทาเย็นได ปกตอิ ยางใดอยางหนึ่ง (เชนชือ่ หมูบา น) รอ ยกรอง ไดแกด อกไมท่รี อ ยถกั เปนตา ระลึกชอบ ดู สมั มาสติ รกั ขติ วนั ชือ่ ปาที่พระพุทธเจาเสดจ็ หลกี เปน ผืนท่เี รียกวา ตาขาย รอยคุม คือเอาดอกไมรอยเปนสายแลว ไปสําราญพระอิริยาบถเมื่อสงฆเมือง ควบหรือคมุ เขาเปนพวง เชน พวงอบุ ะ โกสัมพีแตกกนั ; ดู ปารเิ ลยยกะ สําหรับหอยปลายภู หรือสําหรับหอย รงั สฤษฏ สรา ง, แตงตงั้ ตามลาํ พงั เชน พะวง “ภูส าย” เปนตวั รงั สี แสง, แสงสวา ง, รศั มี อยาง; รอ ยควบ ก็เรียก รัชกาล เวลาครองราชสมบัติแหงพระ รอยตรึง คือเอาดอกไมเชนดอกมะลิ ราชาองคหนงึ่ ๆ
รัชทายาท ๓๓๕ รตั นตรัย รชั ทายาท ผจู ะสืบราชสมบัต,ิ ผูจะได ไมบ อก ๔. อเูน คเณ จรณํ ประพฤตใิ น ครองราชสมบัตสิ ืบตอ ไป คณะอันพรอ ง; สาํ หรับปรวิ าส มี ๓ คอื รัฏฐานุบาลโนบายราชธรรม ธรรม ๑. สหวาโส อยูรว ม ๒. วิปปฺ วาโส อยู ของพระราชา ซึ่งเปนวิธีปกครองบาน ปราศ ๓. อนาโรจนา ไมบ อก เมอื่ ขาด เมือง, หลักธรรมสาํ หรับพระราชาใชเ ปน ราตรีในวันใด กน็ บั วนั นนั้ เขา ในจํานวน แนวปกครองบา นเมือง วันท่ีจะตองอยูปริวาสหรือประพฤติ รัฏฐปาสะ ดู รฐั บาล มานตั น้นั ไมไ ด; ดูความหมายทีค่ าํ น้ันๆ รัฐชนบท ชนบทคอื แวนแควน รัตน, รัตนะ แกว , ของวเิ ศษหรือมีคา รฐั บาล พระมหาสาวกองคหนงึ่ เปน บตุ ร มาก, สิง่ ประเสรฐิ , สิ่งมคี าสูงยงิ่ เชน แหงตระกูลหัวหนาในถุลลโกฏฐิตนิคม พระรัตนตรัย และรัตนะของพระเจา ในแควน กรุ ุ ฟง ธรรมแลว มคี วามเลอ่ื มใส จักรพรรด;ิ ในประโยควา “ทรี่ ัตนะยงั ไม ในพระพุทธศาสนามาก ลาบดิ า มารดา ออก เปนปาจิตติยะ” หมายถึงพระ บวช แตไ มไดร บั อนุญาต เสียใจมาก มเหสี, พระราชินี และอดอาหารจะไดตายเสีย บิดามารดา รัตนฆรเจดีย เจดยี คือเรือนแกว อยูทาง จึงตองอนุญาต ออกบวชแลวไมนานก็ ทศิ ตะวันตกของรัตนจงกรมเจดีย หรือ ไดสาํ เร็จพระอรหตั ไดรบั ยกยองวา เปน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตนพระศรี- เอตทัคคะในทางบวชดวยศรัทธา มหาโพธิ์ ณ ท่ีนี้พระพุทธเจาทรง รัตตญั ู “ผรู รู าตร”ี คอื ผูเกา แก ผา นคนื พิจารณาพระอภิธรรมปฎ กสน้ิ ๗ วนั วันมามาก รกู าลยืดยาว มปี ระสบการณ (สัปดาหท่ี ๔ แหง การเสวยวิมตุ ติสขุ ); ดู ทันเรอื่ งเดมิ หรือรูเห็นเหตกุ ารณม าแต วมิ ุตติสุข ตน เชน พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ผูเปน รัตนจงกรมเจดีย เจดยี ค อื ทจ่ี งกรมแกว ปฐมสาวก ไดรับยกยองจากพระพุทธ อยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตน เจา วา เปน เอตทัคคะในทางรัตตัญู พระศรมี หาโพธ์ิ ระหวา งตน พระศรมี หาโพธิ์ รัตติกาล เวลากลางคืน กับอนิมิสเจดีย ณ ที่น้ีพระพุทธเจา รตั ตเิ ฉท การขาดราตรี หมายถงึ เหตขุ าด เสด็จจงกรมตลอด ๗ วนั (สปั ดาหที่ ๓ ราตรแี หงมานัต หรอื ปริวาส; สําหรับ แหงการเสวยวมิ ุตตสิ ุข); ดู วิมุตตสิ ุข มานตั มี ๔ คือ ๑. สหวาโส อยรู วม รัตนตรัย แกว ๓ ดวง, สิ่งมีคาและ ๒. วิปปฺ วาโส อยูปราศ ๓. อนาโรจนา เคารพบูชาสูงสุดของพทุ ธศาสนกิ ชน ๓
รัตนบัลลงั ก ๓๓๖ ราชธรรม อยา ง คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ สวย รักงาม แกดว ยเจรญิ กายคตาสติ รัตนบัลลังก บัลลังกท่ีพระพุทธเจา หรืออสุภกมั มฏั ฐาน (ขอ ๑ ในจริต ๖) ประทับน่ังตรัสรู, ที่ประทับใตตนพระ ราคา ชอื่ ลกู สาวพระยามาร อาสาพระยา ศรมี หาโพธิ มารเขาไปประโลมพระพุทธเจาดวย รศั มี แสงสวา ง, แสงทเี่ ห็นกระจายออก อาการตา งๆ พรอ มดว ยนางตณั หาและ เปนสายๆ, แสงสวา งท่พี วยพุงออกจาก นางอรดี ในขณะท่ีพระพทุ ธเจาประทบั จุดกลาง; เขียนอยา งบาลีเปน รังสี แต อยูท ่ตี น อชปาลนโิ ครธ หลังจากตรัสรู ในภาษาไทยใชในความหมายท่ีตางกัน ราคี ผูม ีความกาํ หนดั ; มลทิน, เศรา ออกไปบาง หมอง, มัวหมอง รสั สะ (สระ) มเี สยี งส้นั อันพึงวา โดย ราชการ กิจการงานของประเทศ หรอื ระยะสั้นก่ึงหนึ่งแหงสระท่ีมีเสียงยาว ของพระเจาแผนดิน, หนาท่ีหลั่งความ ในภาษาบาลี ไดแก อ อิ อ;ุ คูกบั ทีฆะ ยินดีแกประชาชน รากขวัญ สวนของรางกายท่ีเรียกวาไห ราชกมุ าร ลกู หลวง ปลารา ; ตาํ นานกลา ววา ในบรรดาพระ ราชคฤห นครหลวงของแควน มคธ เปน บรมสารีริกธาตุท้ังหลายนั้น พระราก นครทีม่ ีความเจรญิ รุงเรือง เตม็ ไปดว ย ขวัญเบ้ืองขวาข้ึนไปประดิษฐานอยูใน คณาจารยเจาลัทธิ พระพุทธเจาทรง จฬุ ามณเี จดยี ณ ดาวดงึ สเทวโลก พระ เลือกเปนภูมิท่ีประดิษฐานพระพุทธ- รากขวญั เบอ้ื งซาย ข้นึ ไปประดษิ ฐานอยู ศาสนาเปน ปฐม พระเจา พิมพิสาร ราชา ในทุสสเจดีย (เจดียที่ฆฏิการพรหม แหง แควน มคธ ครองราชสมบตั ิ ณ นครน้ี สรางขึ้นไวก อนแลว ใหเปน ท่บี รรจุพระ ราชทณั ฑ โทษหลวง, อาญาหลวง ภษู าเครอื่ งทรงในฆราวาสทีพ่ ระโพธสิ ตั ว ราชเทวี พระมเหส,ี นางกษัตรยิ สละในคราวเสด็จออกบรรพชา) ณ ราชธรรม ธรรมสําหรับพระเจา แผน ดนิ , พรหมโลก คุณสมบัติของนกั ปกครองทีด่ ี สามารถ ราคะ ความกําหนัด, ความติดใจหรือ ปกครองแผนดินโดยธรรมและยัง ความยอมใจติดอยู, ความติดใครใน ประโยชนสุขใหเกิดแกประชาชนจนเกิด อารมณ; ดู กามราคะ, รูปราคะ, อรปู - ความชื่นชมยนิ ดี มี ๑๐ ประการ (นยิ ม ราคะ เรยี กวา ทศพิธราชธรรม) คอื ๑. ทาน ราคจรติ พนื้ นสิ ยั ทหี่ นกั ในราคะ เชน รกั การใหท รพั ยส นิ สงิ่ ของ ๒. ศลี ประพฤติ
ราชธานี ๓๓๗ ราชปู ถมั ภ ดงี าม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสียสละ ๔. ราชสมบตั ิ สมบัติของพระราชา, สมบตั ิ อาชชวะ ความซื่อตรง ๕. มัททวะ คือความเปน พระราชา ความออนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช ราชสังคหวัตถุ สังคหวัตถขุ องพระราชา, เผากิเลสตณั หา ไมหมกมนุ ในความสุข หลักการสงเคราะหประชาชนของนักปก สาํ ราญ ๗. อกั โกธะ ความไมกรว้ิ โกรธ ครอง มี ๔ คือ ๑. สสั สเมธะ ฉลาด ๘. อวหิ ิงสา ความไมข มเหงเบียดเบียน บาํ รงุ ธญั ญาหาร ๒. ปุรสิ เมธะ ฉลาด ๙. ขนั ติ ความอดทนเขม แขง็ ไมท อ ถอย บํารุงขาราชการ ๓. สัมมาปาสะ ผูก ๑๐. อวโิ รธนะ ความไมค ลาดธรรม ผสานรวมใจประชา (ดวยการสงเสริม ราชธานี เมืองหลวง, นครหลวง สมั มาชพี ใหค นจนตงั้ ตวั ได) ๔. วาชไปยะ ราชิธิดา ลูกหญงิ ของพระเจา แผนดนิ มวี าทะดดู ดมื่ ใจ ราชนิเวศน ท่ีอยูของพระเจาแผนดิน, ราชสาสน หนังสือทางราชการของพระ พระราชวัง ราชา ราชบรวิ าร ผูแวดลอมพระราชา, ผหู อ ม ราชอาสน ที่นัง่ สําหรับพระเจาแผน ดนิ ราชา “ผยู งั เหลา ชนใหอมิ่ เอมใจ” หรอื “ผู ลอ มตดิ ตามพระราชา ราชบุตร ลูกชายของพระเจาแผนดนิ ทาํ ใหค นอนื่ มคี วามสขุ ”, พระเจา แผน ดนิ , ราชบุตรี ลูกหญงิ ของพระเจา แผน ดนิ ผูป กครองประเทศ ราชบุรุษ คนของพระเจาแผน ดิน ราชาณัติ คําสงั่ ของพระราชา ราชพลี ถวายเปนหลวง หรือบาํ รงุ ราชการ ราชาธริ าช พระราชาผเู ปน ใหญกวาพระ มีเสียภาษีอากร เปน ตน , การจดั สรรสละ ราชาอนื่ ๆ รายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเปนคาใชจาย ราชาภเิ ษก พระราชพธิ ใี นการขนึ้ สบื ราช- สําหรับชวยราชการดวยการเสียภาษี สมบตั ิ อากร เปน ตน , การบริจาครายไดหรอื ราชายตนะ ไมเ กต อยทู างทศิ ใตแ หงตน ทรัพยสวนหนึ่งเพื่อชวยเหลือกิจการ พระศรีมหาโพธิ์ ณ ท่ีน้ีพระพุทธเจา บานเมอื ง (ขอ ๔ แหงพลี ๕ ในโภค- ประทบั นงั่ เสวยวิมุตติสขุ ๗ วัน พอ คา อาทิยะ ๕) ๒ คน คือ ตปสุ สะกบั ภัลลกิ ะ ซงึ่ มา ราชภฏี ราชภฏั หญงิ , ขาราชการหญงิ จากอกุ กลชนบท ไดพ บพระพทุ ธเจา ทน่ี ;ี่ ราชภฏั ผอู นั พระราชาเลย้ี ง คอื ขา ราชการ ดู วิมุตติสุข ราชวโรงการ คําส่ังของพระราชา ราชูปถัมภ การที่พระราชาทรงเกื้อกูล
ราชปู โภค ๓๓๘ ราหลุ อุดหนุน สวนมากเปน มอญเองดวยโดยสญั ชาติ ราชูปโภค เครอื่ งใชส อยของพระราชา รามัญวงศ ชือ่ นิกายพระสงฆล งั กาทบ่ี วช ราโชวาท คําสัง่ สอนของพระราชา จากพระสงฆม อญ ราตรี กลางคืน, เวลามืดคํา่ รามายณะ เร่ืองราวของพระราม วา ดว ย ราธะ พระมหาสาวกองคห น่ึง เดิมเปน เร่ืองศึกระหวางพระรามกับทศกัณฐ พราหมณในเมืองราชคฤห เมื่อชราลง พระฤษวี าลมกี ิเปน ผแู ตง เปน ท่ีมาเร่อื ง ถูกบตุ รทอดท้งิ อยากจะบวชกไ็ มม ีภกิ ษุ รามเกียรติ์ของไทย รับบวชให เพราะเห็นวาเปน คนแกเ ฒา ราศี 1. ช่ือมาตราวัดจักรราศคี อื ๓๐ ราธะเสยี ใจ รา งกายซบู ซดี พระศาสดา องศาเปน ๑ ราศี และ ๑๒ ราศเี ปน ๑ ทรงทราบจึงตรสั ถามวา มีใครระลึกถงึ รอบจักรราศี (อาณาเขตโดยรอบดวง อุปการะของราธะไดบาง พระสารีบุตร อาทิตยท่ีดาวพระเคราะหเดิน); ราศี ระลึกถงึ ภิกษาทพั พีหนึ่งทร่ี าธะถวาย จึง ๑๒ น้ัน คือ ราศีเมษ (แกะ), พฤษภ รบั เปนอุปช ฌาย และราธะไดเปน บคุ คล (ววั ), เมถุน (คนคู), กรกฏ (ปู), สิงห แรกที่อุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม- (ราชสหี ) , กนั ย (หญงิ สาว) ตลุ (คนั่ ช่ัง), วาจา ทา นบวชแลว ไมนานกไ็ ดบ รรลพุ ระ พฤศจิก (แมลงปอง), ธนู (ธนู), มกร อรหตั พระราธะเปน ผวู า งา ย ตง้ั ใจรับฟง (มังกร), กุมภ (หมอ นํ้า) มนี (ปลา ๒ คาํ ส่ังสอน มีความสภุ าพออนโยน เปน ตวั ) 2. อาการท่รี ุงเรอื ง, ลักษณะทีด่ ีงาม ตัวอยางของภิกษุผูบวชเมอื่ แก ทงั้ พระ 3. กอง เชน บุญราศี วากองบญุ พทุ ธเจา และพระสารบี ตุ รกช็ มทา น ทา น ราหลุ พระมหาสาวกองคหน่งึ เปน โอรส เคยไดใ กลช ดิ พระพทุ ธเจา เคยทําหนาที่ ของเจา ชายสิทธตั ถะ คราวพระพทุ ธเจา เปนพุทธอุปฐาก ไดรับยกยองเปน เสด็จนครกบลิ พัสดุ ราหลุ กมุ ารเขา เฝา เอตทคั คะในทางกอ ใหเ กิดปฏภิ าณ ทูลขอทายาทสมบัติตามคําแนะนําของ รามคาม นครหลวงของแควน โกลยิ ะ บัด พระมารดา พระพุทธเจาจะประทาน นี้อยูในเขตประเทศเนปาล เปนที่ อรยิ ทรพั ย จงึ ใหพระสารีบุตรบวชราหุล ประดิษฐานสถูปบรรจุพระบรม- เปนสามเณร นับเปนสามเณรองคแรก สารีรกิ ธาตุแหงหนงึ่ ในพระพุทธศาสนา ตอ มาไดอุปสมบท รามญั นิกาย นกิ ายมอญ หมายถึงพระ เปนภิกษุไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะ สงฆผูสืบเช้ือสายมาจากรามัญประเทศ ในทางเปน ผใู ครต อ การศกึ ษา อรรถกถา
ริบราชบาตร ๓๓๙ รปู ๒๘ วาพระราหุลปรินิพพานในสวรรคชั้น รูป ๒๘ รูปธรรมทั้งหมดในรูปขันธ ดาวดึงสกอนพุทธปรินิพพานและกอน จําแนกออกไปตามนัยแหงอภิธรรมเปน การปรนิ ิพพานของพระสารบี ตุ ร ๒๘ อยา ง จัดเปน ๒ ประเภท คือ ริบราชบาตร เอาทรพั ยสนิ เปนของหลวง ก. มหาภูต ๔ รปู ใหญ, รปู ตนเดมิ คือ ตามกฎหมาย เพราะเจาของตองโทษ ธาตุ ๔ ไดแก ปฐวี อาโป เตโช และ แผน ดนิ วาโย ที่เรียกกันใหง ายวา ดิน นํ้า ไฟ รษิ ยา ความไมอ ยากใหคนอื่นไดด,ี เห็น ลม, ภูตรปู ๔ ก็เรียก (ในคัมภรี ไ มน ยิ ม เขาไดดีทนอยูไมได, เห็นผูอ่ืนไดดีไม เรียกวา มหาภูตรปู ) สบายใจ, คําเดมิ ในสนั สกฤตเปน อีรษฺ า พึงทราบวา ธาตุ ๔ คอื ปฐวี อาโป บาลใี ชว า อิสสฺ า (ขอ ๓ ในมละ ๙; ขอ เตโช วาโย หรือ ดนิ นํา้ ไฟ ลม อยางที่ ๘ ในสังโยชน ๑๐ หมวด ๒; ขอ ๗ ใน พดู กนั ในภาษาสามญั นน้ั เปน การกลาว อปุ กิเลส ๑๖) ถึงธาตุในลักษณะท่ีคนท่ัวไปจะเขาใจ รุกข, รกุ ขชาติ ตน ไม และสื่อสารกันได ตลอดจนท่ีจะใชให รุกขมูลิกังคะ องคแหงผูถืออยูโคนไม สําเร็จประโยชน เชน ในการเจริญ เปนวัตร ไมอยใู นทีม่ ุงบงั (ขอ ๙ ใน กรรมฐาน เปนตน แตใ นความหมายที่ ธดุ งค ๑๓) แทจ ริง ธาตเุ หลา นี้เปน สภาวะพ้นื ฐานที่ รจุ ิ ความชอบใจ มอี ยใู นรปู ธรรมทกุ อยาง เชน ปฐวีธาตุ รูป 1. สิ่งท่ีตองสลายไปเพราะปจจัย ท่ีเรียกใหสะดวกวาดินนั้น มีอยูแมแต ตางๆ อันขดั แยง, ส่ิงทีเ่ ปน รูปรางพรอม ในสิ่งที่เรียกกันสามัญวานํ้าวาลม ทง้ั ลักษณะอาการของมนั , สว นรา งกาย อาโปธาตุท่ีเรียกใหสะดวกวาน้าํ ก็เปน จาํ แนกเปน ๒๘ คอื มหาภตู หรือ ธาตุ สภาวะท่ีสัมผัสดวยกายไมได (เราไม ๔ และ อุปาทายรูป ๒๔ (= รูปขันธใน สามารถรับรูอาโปธาตุดวยประสาททัง้ ๕ ขนั ธ ๕); ดู รปู ๒๘ 2. อารมณทรี่ ูไ ด แตมันเปนสุขุมรูปที่รูดวยมโน) และ ดวยจกั ษุ, สิ่งทป่ี รากฏแกตา (ขอ ๑ ใน อาโปน้ันก็มอี ยูใ นรูปธรรมทั่วไป แมแ ต อารมณ ๖ หรอื ในอายตนะภายนอก ๖) ในกอนหนิ แหง ในกอ นเหล็กรอน และ 3. ลักษณนามใชเรยี กพระภิกษุสามเณร ในแผนพลาสติก ดังนี้เปนตน จึงมี เชน ภกิ ษุรูปหน่งึ สามเณร ๕ รปู ; ใน ประเพณีจําแนกธาตุส่ีแตละอยางน้ัน ภาษาพดู บางแหง นิยมใช องค เปน ๔ ประเภท ตามความหมายทใี่ ชใ น
รปู ๒๘ ๓๔๐ รูป๒๘ แงและระดับตางๆ คอื เปนธาตุในความ ไหลซา น เอบิ อาบ ซาบซมึ เกาะกมุ (เรยี ก หมายที่แทโดยลกั ษณะ (ลกั ขณะ) ธาตุ ปรมัตถอาโป กไ็ ด) ๒.สสมั ภารอาโป ในสภาพมีสิ่งประกอบปรุงแตงที่มนุษย อาโปโดยพรอมดวยเครื่องประกอบ เขาถึงเกี่ยวของตลอดจนใชงานใชการ ภายในกาย เชน ดี เสมหะ หนอง เลือด ซึ่งถือเปนธาตุอยางน้ันๆ ตามลักษณะ เหงื่อ ภายนอกตวั เชน นํ้าดื่ม นํ้าชา นํ้า เดนท่ปี รากฏ (สสมั ภาร) ธาตุในความ หมายท่ีใชเปนอารมณในการเจริญ ยา น้ําผลไม นาํ้ ฝน นํา้ ผ้ึง นํ้าตาล หว ย กรรมฐาน (นมิ ติ หรือ อารมณ) ธาตใุ น ละหาน แมน าํ้ คลอง บงึ ๓.อารมั มณ- ค ว า ม ห ม า ย ต า ม ท่ี ส ม ม ติ เ รี ย ก กั น อาโป อาโปโดยเปน อารมณ คือน้าํ ท่ี (สมมต)ิ ดังตอไปน้ี เปนนิมิตในกรรมฐาน (เรียก นิมิตต- อาโป หรอื กสณิ อาโป กไ็ ด) ๔.สมมต-ิ ปฐวธี าตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณปฐวี อาโป อาโปโดยสมมตเิ รยี กกันไปตามท่ี ปฐวโี ดยลกั ษณะ ไดแ ก ภาวะแขนแขง็ ตกลงบัญญัติ เชน ทน่ี บั ถอื นา้ํ เปน เทวดา แผไป เปนที่ต้งั อาศัยใหปรากฏตัวของ เรยี กวา แมพ ระคงคา พระพริ ณุ เปน ตน ประดารูปทเี่ กดิ รวม (เรยี ก ปรมตั ถปฐวี (บญั ญัตอิ าโป ก็เรียก) บาง กักขฬปฐวี บาง ก็ม)ี ๒.สสมั ภาร- เตโชธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- ปฐวี ปฐวีโดยพรอมดว ยเครอ่ื งประกอบ ภายในกาย เชน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เตโช เตโชโดยลกั ษณะ ไดแ ก สภาวะท่ี รอ น ความรอ น ภาวะทแ่ี ผดเผา สภาวะที่ ภายนอกตัว เชน ทอง เงิน เหลก็ กรวด ศิลา ภเู ขา ๓.อารมั มณปฐวี ปฐวโี ดย ทาํ ใหย อ ยสลาย (เรยี ก ปรมตั ถเตโช กไ็ ด) เปนอารมณ คือดินเปนอารมณใน ๒.สสมั ภารเตโช เตโชโดยพรอมดวย เครอ่ื งประกอบ ภายในกาย เชน ไอรอ น กรรมฐาน โดยเฉพาะมงุ เอาปฐวกี สณิ ที่ ของรางกาย ไฟที่เผาผลาญยอยอาหาร เปนปฏภิ าคนมิ ติ (เรยี ก นิมิตตปฐวี บา ง กสณิ ปฐวี บา ง กม็ )ี ๔.สมมตปิ ฐวี ปฐวี ไฟที่ทํากายใหทรุดโทรม ภายนอกตัว โดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลง เชน ไฟถา น ไฟฟน ไฟนาํ้ มัน ไฟปา ไฟ บญั ญตั ิ เชน ทน่ี บั ถอื แผน ดนิ เปน เทวดา หญา ไฟฟา ไอแดด ๓.อารมั มณเตโช เตโชโดยเปน อารมณ คือไฟที่เปนนมิ ติ วา แมพ ระธรณี (บญั ญัติปฐวี ก็เรยี ก) อาโปธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- ในกรรมฐาน (เรียก นิมิตตเตโช หรือ กสณิ เตโช ก็ได) ๔.สมมตเิ ตโช เตโช อาโป อาโปโดยลกั ษณะ ไดแ ก ภาวะ โดยสมมติเรียกกันไปตามท่ีตกลง
รปู ๒๘ ๓๔๑ รูป๒๘ บญั ญัติ เชน ทน่ี บั ถอื ไฟเปน เทวดา เรยี ก เขาจํานวน เพราะตรงกับปฐวี เตโช วา แมพ ระเพลงิ พระอคั นเี ทพ เปน ตน วาโย ซ่งึ เปน มหาภูตรปู ) ค. ภาวรปู ๒ ไดแ ก อติ ถีภาวะ ความเปน หญิง และ (บญั ญัตเิ ตโช กเ็ รยี ก) ปุริสภาวะ ความเปน ชาย ง. หทัยรูป คอื วาโยธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- หทัยวัตถุ หัวใจ จ. ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย ภาวะทรี่ กั ษารูปใหเปนอยู ฉ. วาโย วาโยโดยลกั ษณะ ไดแก สภาวะท่ี อาหารรูป ๑ คอื กวฬงิ การาหาร อาหาร สนั่ ไหว คาํ้ จนุ เครง ตงึ (เรยี ก ปรมัตถ- ท่กี ินเกดิ เปน โอชา ช. ปริจเฉทรูป ๑ คือ วาโย กไ็ ด) ๒.สสมั ภารวาโย วาโยโดย อากาศธาตุ ชอ งวาง ญ. วิญญัติรูป ๒ คือ พรอ มดว ยเครอ่ื งประกอบ ภายในกาย กายวญิ ญตั ิ ไหวกายใหร คู วาม วจวี ญิ ญตั ิ ไหววาจาใหร คู วาม คอื พดู ฎ. วกิ ารรปู ๕ เชน ลมหายใจ ลมในทอ ง ลมในไส ลม อาการดัดแปลงตางๆ ไดแก ลหุตา ความเบา, มทุ ตุ า ความออ น, กมั มญั ญตา หาว ลมเรอ ภายนอกตวั เชน ลมพดั ลม ความควรแกง าน, (อกี ๒ คอื วญิ ญตั ริ ปู ๒ นัน่ เอง ไมน ับอีก) ฏ. ลักขณรูป ๔ ได ลมสูบยางรถ ลมเปา ไฟใหโ ชน ลมรอ น แก อุปจยะ ความเตบิ ขึน้ ได, สันตติ สบื ตอ ได, ชรตา ทรดุ โทรมได, อนจิ จตา ลมหนาว ลมพายุ ลมฝน ลมเหนอื ลมใต ความสลายไมยงั่ ยนื (นบั โคจรรปู เพยี ง ๓.อารมั มณวาโย วาโยโดยเปนอารมณ คือลมท่ีเปนนิมิตในกรรมฐาน (เรียก ๔ วิการรูปเพยี ง ๓ จึงได ๒๔) นมิ ติ ตวาโย หรอื กสณิ วาโย ก็ได) ๔. รูป ๒๘ น้ัน นอกจากจัดเปน ๒ สมมตวิ าโย วาโยโดยสมมตเิ รียกกันไป ตามทตี่ กลงบญั ญตั ิ เชน ทน่ี บั ถอื ลมเปน ประเภทหลักอยางนี้แลว ทานจัดแยก เทวดา เรียกวาพระมารุต พระพาย ประเภทเปนคูๆ อกี หลายคู พึงทราบ เปนตน (บัญญัติวาโย ก็เรียก); ดู ธาตุ, ปฐวธี าต,ุ อาโปธาต,ุ เตโชธาต,ุ วาโยธาตุ โดยสงั เขป ดงั นี้ ข. อปุ าทายรูป ๒๔ รปู อาศัย, รปู ทเี่ กดิ คทู ี่ ๑: นปิ ผันนรูป (รปู ทส่ี ําเร็จ คอื เกดิ จากปจจัยหรือสมุฏฐาน อันไดแก สบื เนือ่ งจากมหาภตู , อาการของภตู รปู , อุปาทารปู ๒๔ กเ็ รียก, มี ๒๔ คือ ก. กรรม จิต อุตุ อาหาร โดยตรง มสี ภาว- ประสาท หรอื ปสาทรปู ๕ ไดแ ก จกั ขุ ตา, โสต หู, ฆานะ จมกู , ชวิ หา ล้ิน, ลกั ษณะของมันเอง) มี ๑๘ คอื ที่มใิ ช กาย, มโน ใจ ข. โคจรรปู หรอื วสิ ยั รูป (รปู ทีเ่ ปน อารมณ) ๕ ไดแก รปู เสียง อนปิ ผนั นรปู (รปู ทีม่ ไิ ดสาํ เรจ็ จากปจจยั กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ (โผฏฐัพพะไมน ับ
รปู ๒๘ ๓๔๒ รูป๒๘ หรือสมุฏฐานโดยตรง ไมมีสภาว- ๔); ทท่ี า นวาอยา งน้ี มิไดข ดั กนั ดังที่ ลักษณะของมันเอง เปนเพียงอาการ สําแดงของนปิ ผันนรูป) ซงึ่ มี ๑๐ คือ ปญ จกิ า ชแ้ี จงวา ทน่ี บั อปุ าทนิ นรปู เปน ๙ ปรจิ เฉทรปู ๑ วิญญตั ติรปู ๒ วิการรูป ๓ ลักขณรปู ๔ กเ็ พราะเอาเฉพาะเอกนั ตกมั มชรปู คอื รปู คูท่ี ๒: อนิ ทรียรปู (รปู ท่ีเปน อินทรีย คอื เปนใหญใ นหนา ที)่ มี ๘ คือ ปสาท- ทเ่ี กดิ จากกรรมอยา งเดยี วแทๆ (ไมม ใี น รปู ๕ ภาวรปู ๒ ชีวิตรปู ๑ อนนิ ทรยี - รูป (รปู ท่มี ิใชเปน อนิ ทรีย) มี ๒๐ คือ ที่ อตุ ชุ รปู เปน ตน ) ซงึ่ มเี พยี ง ๙ อยา งดงั ที่ เหลือจากนน้ั คทู ่ี ๓: อปุ าทนิ นรปู (รปู ทตี่ ณั หาและทฏิ ฐิ กลา วแลว (คอื อินทรียรปู ๘ และหทัย- ยึดครอง คอื รปู ซ่ึงเกดิ แตก รรม ที่เปน อกุศลและโลกียกุศล) ไดแกกัมมชรปู รปู ๑) สว นกมั มชรปู อกี ๙ อยา ง (อว-ิ มี ๑๘ คอื อินทรยี รูป ๘ น้นั หทยั รปู ๑ อวนิ พิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ นิพโภครปู ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑) ไมน บั เขา อนุปาทินนรปู (รปู ทีต่ ัณหาและทฏิ ฐไิ ม ยึดครอง มิใชกัมมชรูป) ไดแกร ปู ๑๐ ดว ย เพราะเปน อเนกนั ตกมั มชรปู คอื มิ อยา งทเ่ี หลอื (คอื สัททรูป ๑ วญิ ญัตต-ิ รปู ๒ วิการรปู ๓ ลกั ขณรปู ๔) ใชเปนรูปท่ีเกิดจากกรรมอยางเดียวแท สาํ หรบั คทู ่ี ๓ น้ี มขี อ ทตี่ อ งทาํ ความ (จติ ตชรปู กด็ ี อตุ ชุ รปู กด็ ี อาหารชรปู กด็ ี เขา ใจซบั ซอ นสกั หนอ ย คอื ทก่ี ลา วมานนั้ เปนการอธิบายตามคัมภีรอภิธัมมัตถ- ลว นมรี ปู ๙ อยา งนเ้ี หมอื นกบั กมั มชรปู วภิ าวินี แตในโมหวิจเฉทนี ทา นกลาววา อปุ าทนิ นรปู มี ๙ เทานน้ั ไดแกอ นิ ทรยี - ทงั้ นนั้ ) รปู ๘ และหทยั รปู ๑ อนุปาทินนรปู ได แกร ปู ๑๙ อยา งทเี่ หลอื (คอื อวินิพโภค โดยนัยนี้ เมือ่ นบั อเนกนั ตกมั มชรปู รปู ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ สทั ทรปู ๑ วิญญัตติรปู ๒ วิการรปู ๓ ลักขณรูป (ยอมนบั รปู ทซี่ า้ํ กนั ) รวมเขา มาดว ย กจ็ งึ มีวิธพี ดู แสดงความหมายของรปู คทู ่ี ๓ นี้แบบปนรวมวา อุปาทินนรูป ไดแก กมั มชรูป ๑๘ คอื อนิ ทรียรปู ๘ หทยั - รปู ๑ อวนิ พิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ อนปุ าทินนรูป ไดแก จิตตชรปู ๑๕ (รูป ท่ีเกดิ แตจติ : วญิ ญตั ตริ ูป ๒ วิการรปู ๓ สัททรูป ๑ อวินพิ โภครูป ๘ ปริจเฉทรปู ๑) อุตชุ รูป ๑๓ (รปู ทีเ่ กิดแตอุตุ: วกิ าร- รปู ๓ สทั ทรูป ๑ อวนิ พิ โภครปู ๘ ปรจิ - เฉทรปู ๑) อาหารชรูป ๑๒ (รปู ทเ่ี กดิ แตอาหาร: วิการรปู ๓ อวินพิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑) คูท่ี ๔: โอฬารกิ รูป (รปู หยาบ ปรากฏ
รปู ๒๘ ๓๔๓ รูป๒๘ ชดั ) มี ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ วิสัยรปู ๗ คทู ี่ ๑๐: อชั ฌตั ตกิ รปู (รปู ภายใน ฝา ย ของตนท่จี ะรบั รูโลก) มี ๕ คือ ปสาทรูป สุขุมรปู (รปู ละเอียด รบั รูทางประสาท ๕ พาหริ รูป (รูปภายนอก เหมือนเปน ทงั้ ๕ ไมได รูไดแตทางมโนทวาร) มี พวกอนื่ ) มี ๒๓ คือ ทเ่ี หลือจากนัน้ ๑๖ คอื ทเ่ี หลอื จากนัน้ คทู ี่ ๑๑: โคจรคั คาหกิ รปู (รปู ทรี่ บั โคจร คูท ี่ ๕: สันติเกรปู (รูปใกล รบั รูงาย) มี คอื รบั รอู ารมณห า ) มี ๕ คอื ปสาทรปู ๕ ๑๒ คือ ปสาทรปู ๕ วสิ ัยรูป ๗ ทูเรรปู (แยกยอ ยเปน ๒ พวก ไดแก สมั ปต ต- โคจรคั คาหิกรูป รปู ซง่ึ รบั อารมณท ไี่ มม า (รปู ไกล รบั รยู าก) มี ๑๖ คือ ท่ีเหลอื ถงึ ตนได มี ๒ คอื จกั ขุ และโสตะ กบั อสัมปตตโคจรัคคาหิกรูป รูปซึ่งรับ จากน้ัน [เหมือนคูที่ ๔] อารมณท มี่ าถงึ ตน มี ๓ คอื ฆานะ ชวิ หา คทู ่ี ๖: สัปปฏฆิ รปู (รูปท่มี ีการกระทบ ใหเกดิ การรับรู) มี ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ และกาย) อโคจรัคคาหิกรูป (รูปท่ีรับ วสิ ัยรปู ๗ อปั ปฏฆิ รูป (รปู ที่ไมมีการ โคจรไมไ ด) มี ๒๓ คือ ท่เี หลือจากนัน้ กระทบ ตองรดู ว ยใจ) มี ๑๖ คอื ที่ [เหมอื นคูที่ ๑๐] คทู ี่ ๑๒: อวนิ พิ โภครปู (รปู ทแี่ ยกจากกนั เหลอื จากนั้น [เหมอื นคทู ่ี ๔] ไมไ ด) มี ๘ คอื ภตู รปู ๔ วณั ณะ ๑ คทู ี่ ๗: สนิทสั สนรูป (รูปที่มองเห็นได) มี ๑ คือ วัณณะ ๑ (ไดแกร ปู ารมณ) คนั ธะ ๑ รสะ ๑ โอชา (คืออาหารรปู ) ๑ อนิทัสสนรูป (รูปที่มองเห็นไมได) มี [ท่ีประกอบกันเปนหนวยรวมพ้ืนฐาน ๒๗ คอื ทเี่ หลอื จากนั้น ของรปู ธรรม ทเ่ี รยี กวา “สทุ ธฏั ฐกกลาป”] คทู ี่ ๘: วัตถรุ ปู (รูปเปน ทต่ี ง้ั อาศยั ของ จิตและเจตสกิ ) มี ๖ คือ ปสาทรปู ๕ วนิ พิ โภครปู (รปู ทแ่ี ยกจากกนั ได) มี ๒๐ หทัยรปู ๑ อวตั ถุรปู (รปู อันไมเปนทต่ี ง้ั คือ ท่เี หลอื จากนัน้ อาศัยของจิตและเจตสิก) มี ๒๒ คือ ท่ี นอกจากรูปท่ีจัดประเภทเปนคูดังท่ี เหลือจากนัน้ กลา วมาน้ีแลว ในพระไตรปฎ กกลาวถงึ คูที่ ๙: ทวารรปู (รปู เปน ทวาร คือเปน ทางรับรูของวิญญาณหา และทางทํา รปู ชุดที่มี ๓ ประเภท ซึ่งเทียบไดก บั ท่ี กายกรรมและวจีกรรม) มี ๗ คือ แสดงขา งตน คอื (เชน ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙) ปสาทรูป ๕ วิญญัตติรปู ๒ อทวารรปู สนิทัสสนสัปปฏิฆรปู (รูปทม่ี องเหน็ และ (รูปอันมใิ ชเ ปนทวาร) มี ๒๑ คอื ที่ มีการกระทบใหเกดิ การรับรูไ ด) มี ๑ ได เหลือจากนั้น แกรปู ารมณ คือวณั ณะ อนทิ ัสสนสปั -
รปู กลาป ๓๔๔ รปู สัญเจตนา ปฏิฆรูป (รปู ทมี่ องเหน็ ไมไ ด แตมกี าร นามธรรม กระทบได) ไดแ กโอฬารกิ รูป ๑๑ ท่ี รูปนันทา พระราชบุตรีของพระเจา เหลอื อนทิ ัสสนอัปปฏิฆรปู (รปู ทมี่ อง สุทโธทนะและพระนางปชาบดีโคตมี เห็นไมไดและไมมีการกระทบใหเ กดิ การ เปนพระกนิฏฐภคินีตางพระมารดาของ รบั รู ตอ งรูดวยใจ) ไดแ ก สุขมุ รูป ๑๖ พระสิทธัตถะ รูปอีกชุดหน่ึงที่กลาวถึงบอย และ รูปปรจิ เฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ ควรทราบ คือชดุ ที่จดั ตามสมฏุ ฐาน เปน รูปพรรณ เงินทองทท่ี ําเปนเครอ่ื งใชห รอื ๔ ประเภท ไดแก กัมมชรูป ๑๘ จิตตช- เคร่ืองประดับ, ลักษณะ, รปู รา ง และสี รูป ๑๕ อตุ ชุ รูป ๑๓ และอาหารชรปู ๑๒ รปู พรหม พรหมในชน้ั รปู ภพ, พรหมท่ี พงึ ทราบตามทกี่ ลา วแลว ในคทู ี่ ๓ วา ดว ย เกิดดวยกาํ ลงั รูปฌาน มี ๑๖ ชัน้ ; ดู อปุ าทนิ นรปู และอนปุ าทนิ นรปู ขางตน พรหมโลก รปู กลาป ดู กลาป 2. รูปภพ โลกเปนท่ีอยขู องพวกพรหม; ดู รูปกัมมัฏฐาน กรรมฐานมีรปู ธรรมเปน พรหมโลก อารมณ รูปราคะ ความตดิ ใจในรูปธรรม คือ ตดิ รูปกาย ประชุมแหง รปู ธรรม, กายที่เปน ใจในอารมณแหงรูปฌาน หรือใน สวนรูป โดยใจความไดแกรูปขนั ธห รือ รูปธรรมอันประณตี (ขอ ๖ ในสงั โยชน รางกาย; เทยี บ นามกาย ๑๐) รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเปน อารมณ มี ๔ รูปรปู รูปทเี่ ปน รปู หรือรูปแท คอื รปู ท่ี คอื ๑. ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มีองค ๕ เกิดจากปจจัยหรือสมุฏฐานของมันโดย คอื วิตก (ตรกึ ) วจิ าร (ตรอง) ปต ิ (อิม่ ตรง มสี ภาวลกั ษณะของมนั เอง มใิ ชเ ปน ใจ) สขุ (สบายใจ) เอกคั คตา (จติ มี เพยี งอาการสําแดง ไดแก นปิ ผนั นรูป อารมณเปนหน่ึง) ๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๑๘; ดูท่ี รูป ๒๘ ๒ มอี งค ๓ คือ ปต ิ, สุข เอกัคคตา ๓. รูปวจิ าร ความตรองในรูป เกดิ ตอจาก ตติยฌาน ฌานท่ี ๓ มีองค ๒ คอื สุข, รูปวติ ก เอกคั คตา ๔. จตตุ ถฌาน ฌานที่ ๔ มี รปู วติ ก ความตรกึ ในรูป เกดิ ตอจากรูป- องค ๒ คือ อเุ บกขา, เอกคั คตา ตัณหา รูปตณั หา ความอยากในรูป รูปสญั เจตนา ความคดิ อา นในรปู เกิด รปู ธรรม สิง่ ทม่ี ีรูป, สภาวะทเี่ ปนรปู ; คกู ับ ตอจากรูปสญั ญา
รูปสัญญา ๓๔๕ ฤคเวท รูปสญั ญา ความหมายรูใ นรปู เกิดตอ เดอื นเศษ กไ็ ดสาํ เร็จพระอรหัต ไดร ับ จากจกั ขสุ มั ผัสสชาเวทนา ยกยอ งเปนเอตทัคคะในทางอยปู า รปู ป ปมาณิกา ผถู ือรปู เปนประมาณ คือ โรหณิ ี 1. เจาหญงิ องคห น่ึงแหง ศากยวงศ พอใจในรปู ชอบรปู รา งสวยสงางาม ผวิ เปนกนิษฐภคินี คือนองสาวของพระ พรรณหมดจดผอ งใส เปน ตน อนรุ ทุ ธะ (ตามหนังสอื เรียนวา เปน พระ รูปารมณ อารมณคือรูป, ส่ิงท่ีเห็นได ธิดาของเจาอมิโตทนะ แตเม่ือถือตาม ดวยตา ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏ.ี ๓/๓๔๙ เปน ตน ทก่ี ลา ววา รูปาวจร ซึ่งทองเท่ียวไปในรปู , อยใู น พระอนุรุทธะเปนโอรสของเจาสุกโกทนะ ระดับจติ ชัน้ รปู ฌาน, ระดับทมี่ ีรูปธรรม เจาหญิงโรหิณีก็เปนพระธิดาของเจา เปนอารมณ, เน่ืองในรปู ภพ; ดู ภพ, ภูมิ สุกโกทนะ) ไดบรรลุธรรมเปนพระ รูปยสังโวหาร การแลกเปลี่ยนดวย โสดาบนั 2. ช่ือแมน าํ้ ท่เี ปนเสนแบงเขต รูปยะ, การซอื้ ขายดว ยเงนิ ตรา, ภกิ ษุ แดนระหวา งแควนศากยะ กบั แควน กระทํา ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย โกลิยะ การแยงกันใชนา้ํ ในการเกษตร (โกสิยวรรคที่ ๒ สกิ ขาบทที่ ๙) เ ค ย เ ป น มู ล เ ห ตุ ใ ห เ กิ ด ก ร ณี พิ พ า ท รปู ย ะ, รปู ย ะ เงินตรา ระหวางแควนท้ังสองจนจวนเจียนจะ เรวตะ ชอื่ พระเถระองคห นงึ่ ในการกสงฆ เกิดสงครามระหวา งพระญาติ ๒ ฝา ย ทําสงั คายนาครั้งท่ี ๒ พระพุทธเจาเสด็จมาระงับศกึ จงึ สงบลง เรวตขทิรวนยิ ะ พระมหาสาวกองคหน่งึ ได สันนษิ ฐานกันวา เปนเหตุการณใน เปนบุตรพราหมณช่ือวังคันตะมารดาช่ือ พรรษาที่ ๕ (บางทานวา ๑๔ หรือ ๑๕) นางสารี เปนนองชายคนสุดทองของ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ และเปนที่มา พระสารบี ุตร บวชอยูในสาํ นักของภกิ ษุ ของพระพทุ ธรูปปางหามญาต;ิ ปจ จุบัน พวกอยปู า (อรญั วาส)ี บาํ เพ็ญสมณ- เรยี ก Rowai หรอื Rohwaini ธรรมอยูในปาไมตะเคียนประมาณ ๓ ฤ ฤกษ คราวหรือเวลาซึ่งถือวาเหมาะเปน ฤคเวท ชื่อคัมภีรท่ีหน่ึงในไตรเพท ชยั มงคล ประกอบดวยบทมนตรสรรเสริญเทพ
ฤดู ๓๔๖ ลกั ซอ น เจา ทง้ั หลาย; ดู ไตรเพท ๑. อามิสฤทธิ์ อามิสเปน ฤทธิ์, ความ ฤดู คราว, สมยั , สวนของปซ งึ่ แบง เปน ๓ สําเร็จหรือความรุงเรืองทางวัตถุ ๒. คราวขน้ึ ไป เชน ฤดฝู น ฤดูหนาว ฤดู ธรรมฤทธ์ิ ธรรมเปน ฤทธ์ิ, ความสาํ เรจ็ รอ น; ดู มาตรา หรอื ความรุง เรืองทางธรรม ฤทธิ์ อํานาจศักดิ์สิทธ, ความเจริญ, ฤษี ผแู สวงธรรม ไดแ กนกั บวชนอกพระ ความสําเร็จ, ความงอกงาม, เปนรูป ศาสนาซง่ึ อยใู นปา, ชีไพร, ผูแตง คัมภรี สันสกฤตของ อทิ ธ;ิ ฤทธิ์ หรือ อทิ ธิ พระเวท คอื ความสําเร็จ ความรุง เรอื ง มี ๒ คอื ล ลกณุ ฏกภทั ทยิ ะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ เอตทัคคะในทางมีเสยี งไพเราะ เปนบุตรในตระกูลมั่งคั่ง ชาวพระนคร ลบหลูค ณุ ทาน ดู มักขะ สาวตั ถี ไดฟง พระธรรมเทศนาของพระ ลวงสิกขาบท ละเมิดสิกขาบท, ไม ศาสดาท่ีพระเชตวันมีความเล่ือมใสจึง ประพฤติตามสิกขาบท, ฝาฝน สิกขาบท บวชในพระพุทธศาสนา ทานมีรูปราง ลหุ เสยี งเบา ไดแก รัสสสระไมม ีตัว เตี้ยคอมจนบางคนเห็นขัน วันหนึ่งมี สะกด คอื อ, อ,ิ อุ เชน น ขมต;ิ คูกบั ครุ หญิงน่ังรถผานมาพอเห็นทานแลว ลหกุ าบตั ิ อาบัตเิ บา คอื อาบัติทมี่ ีโทษ หัวเราะจนเห็นฟน ทานกําหนดฟนนั้น เลก็ นอ ย ไดแ กอ าบตั ถิ ลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี เปนอารมณกรรมฐาน ไดสําเร็จ ปาฏเิ ทสนียะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; คูกับ ครุ- อนาคามิผล ตอมาทานไดบรรลุพระ กาบตั ิ อรหัตในสํานักพระสารีบุตร แตเพราะ ลหโุ ทษ โทษเบา; คกู ับ มหนั ตโทษ ความทม่ี ีรูปรางเลก็ เตี้ยคอม ทา นมักถูก ลหุภณั ฑ ของเบา เชน บณิ ฑบาต เภสัช เขาใจผิดเปนสามเณรบา ง ถกู พระหนมุ และของใชป ระจําตัว มีเข็ม มีดพบั มีด เณรนอยลอเลียนบาง ถูกเพ่ือนพระดู โกน เปน ตน; คกู บั ครุภัณฑ แคลนบาง แตพระพุทธเจา กลบั ตรสั ยก ลักซอ น เห็นของเขาทําตก มีไถยจิตเอา ยอ งวาถึงทานจะรางเล็ก แตม ีคณุ ธรรม ดนิ กลบเสยี หรอื เอาของมใี บไมเ ปน ตน ฤทธานุภาพมาก ทา นไดรับยกยองเปน ปดเสยี
ลกั เพศ ๓๔๗ ลิงค ลักเพศ [ลัก-กะ-เพด] แตง ตัวปลอมเพศ ทีไ่ ดร บั และปฏบิ ตั ิสบื ตอกันมา เชนไมเปนภิกษุ แตนุงหมผาเหลือง ลทั ธิสมยั สมยั คอื ลทั ธิ หมายถงึ ลทั ธนิ ่ัน แสดงตวั เปน ภกิ ษุ เอง ลักษณะ สิ่งสําหรับกําหนดรู, เครื่อง ลาภ ของท่ีได, การได; ดู โลกธรรม กําหนดรู, อาการสาํ หรับหมายร,ู เครอื่ ง ลาภมจั ฉรยิ ะ ตระหนลี่ าภ ไดแ กห วงผล แสดงส่ิงหนึ่งใหเห็นวาตางจากอีกส่ิง ประโยชน พยายามกดี กนั ผอู ืน่ ไมใ หได หนึง่ , คณุ ภาพ, ประเภท (ขอ ๓ ในมัจฉริยะ ๕) ลกั ษณะ ๓ ไมเทยี่ ง, เปนทุกข ไมใชตัว ลาภานตุ ตรยิ ะ การไดท ย่ี อดเยี่ยม เชน ตน; ดู ไตรลักษณ ไดศ รัทธาในพระพุทธเจา ไดด วงตาเหน็ ลักษณพยากรณศาสตร ตําราวาดวย ธรรม (ขอ ๓ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) ลาสิกขา ปฏิญญาตนเปนผูอ่ืนจากภิกษุ การทายลักษณะ ลกั ษณะตัดสินธรรมวินยั ดู หลกั ตดั สนิ ตอหนาภิกษดุ วยกัน หรอื ตอ หนาบคุ คล ธรรมวินัย อน่ื ผูเขาใจความ แลว สละเพศภกิ ษเุ สยี ลคั น เวลาในดวงชาตาคนเกิดและในดวง ถือเอาเพศที่ปฏิญญาน้นั , ละเพศภิกษุ ทาํ การมงคล สามเณร, สกึ ; คําลาสิกขาท่ใี ชในบดั น้ี ลชั ชนิ ี หญงิ ผูมคี วามละอายตอบาป เปน อิตถีลิงค ถา เปนปุงลงิ ค เปน ลัชชี คือ ต้ัง “นโม ฯลฯ” ๓ จบแลวกลาววา ลัชชีธรรม ธรรมแหง บคุ คลผูละอายตอ “สิกขฺ ํ ปจจฺ กฺขาม,ิ คิหตี ิ มํ ธาเรถ” (วา ๓ คร้ัง) แปลวา “กระผมลาสิกขา, ขอทา น บาป ท้ังหลายจงทรงจํากระผมไววาเปน ลัฏฐิวัน สวนตาลหนมุ (ลัฏฐิ แปลวา คฤหสั ถ” (คหิ ตี ิ ออกเสยี งเปน [คิ-ฮ-ี ติ]) “ไมตะพด” กไ็ ด บางทา นจึงแปลวา “ปา ลําเอยี ง ดู อคติ ไมรวก”) อยูทิศตะวันตกเฉียงใตของ ลขิ ติ โก, ลิขิตกะ “ผูถกู เขยี นไว” หมาย กรุงราชคฤห พระพุทธเจาเสด็จไป ถึงโจรท่ที างการมปี ระกาศบอกไว (เชน) ประทับที่นั่น พระเจาพิมพิสารไปเฝา วา “พบในที่ใด พงึ ฆา เสียในทน่ี น้ั ”, โจร พรอมดวยราชบริพารจาํ นวนมาก ทรง หรอื คนรา ยทที่ างการบา นเมอื งมปี ระกาศ สดับพระธรรมเทศนา ไดธรรมจักษุ หรอื หมายสง่ั ทาํ นองน้ี ไมพ งึ ใหบ วช ประกาศพระองคเปนอุบาสกทนี่ ่ัน ลิงค เพศ, ในบาลีไวยากรณมี ๓ อยา ง ลทั ธิ ความเชื่อถอื , ความรแู ละประเพณี คอื ปงุ ลงิ ค เพศชาย, อติ ถลี งิ ค เพศหญงิ
ลจิ ฉวี ๓๔๘ โลกธรรม นปงุ สกลงิ ค มิใชเพศชายมใิ ชเพศหญิง นกุ รมเขยี น เลก) ลจิ ฉวี กษตั รยิ ทป่ี กครองแควนวัชชี; ดู เลขทาส ชายฉกรรจท ี่เปน ทาสรบั ทํางาน วชั ชี ดวย ลุแกโทษ บอกความผิดของตนเพื่อขอ เลขวัด จําพวกคนท่ที า นผปู กครองแควน ความกรุณา จัดใหมีสังกัดข้ึนวัด สงฆอาจใชทาํ งาน ลมุ พนิ ีวนั ชอ่ื สวนเปน ท่ีประสตู ขิ องพระ ในวัดได และไมต อ งถูกเกณฑท าํ งานใน พุทธเจา เปนสังเวชนียสถานหน่ึงในส่ี บานเมือง (พจนานกุ รมเขยี น เลกวดั ) แหง ตั้งอยรู ะหวา งกรุงกบลิ พัสดุ และ เลขสม คนทย่ี นิ ยอมเปนกาํ ลงั งานของผู กรุงเทวทหะ บัดนี้เรียก Rummindei อยู มีอํานาจคนใดคนหนึ่งดวยความสมัคร ทป่ี าเดเรยี ในเขตประเทศเนปาล หาง ใจในสมยั โบราณ จากเขตแดนประเทศอินเดียไปทาง เลฑฑุบาต [เลด-ด-ุ บาด] ระยะโยนหรือ เหนอื ประมาณ ๖ กโิ ลเมตรครงึ่ พระสทิ ขวา งกอนดนิ ตก ธตั ถะประสูตทิ สี่ วนน้ี เมือ่ วนั เพ็ญเดือน เลศ 1. อาการ ลกั ษณะ หรอื ขอ เทยี บเคยี ง ๖ กอ นพทุ ธศก ๘๐ ป (มปี ราชญ อยางใดอยางหนึ่ง ที่พอจะยกข้ึนอาง คํานวณวาตรงกบั วันศกุ ร ปจอ เวลา เพือ่ ผกู เรือ่ งใสค วาม 2. ในภาษาไทย ใกลเ ที่ยง); ดู สังเวชนยี สถาน โดยท่ัวไป หมายถงึ อาการทแี่ สดงอยา ง ลกู ถวนิ ลูกกลมๆ ทผี่ ูกตดิ สายประคด มคี วามหมายซอ นเรน ใหร กู นั ในที มกั ใช เอว, หว งรอยสายประคด ควบคกู บั “นยั ” วา เลศนยั ลูกหมู คนที่ถูกเกณฑเขารับราชการเปน เลียบเคียง พูดออมคอมหาทางใหเขา กําลงั งานของเจานายสมัยโบราณ ถวายของ ลูขปฏิบตั ิ ประพฤติปอน, ปฏบิ ตั ิเศรา โลก แผน ดนิ เปน ทอี่ าศยั , หมสู ตั วผ อู าศยั ; หมอง คอื ใชข องเศราหมอง ไมตองการ โลก ๓ คือ ๑. สงั ขารโลก โลกคือ ความสวยงาม (หมายถึงของเกา เรียบๆ สงั ขาร ๒. สัตวโลก โลกคอื หมสู ตั ว ๓. โอกาสโลก โลกคือแผน ดิน; อกี นัยหน่งึ สปี อนๆ แตส ะอาด) ลขู ัปปมาณกิ า ผูถือความเศราหมองเปน ๑. มนุษยโลก โลกมนุษย ๒. เทวโลก ประมาณ ชอบผทู ี่ประพฤตปิ อน ครอง โลกสวรรค ท้ัง ๖ ช้ัน ๓. พรหมโลก ผา เกา อยเู รยี บๆ งายๆ โลกของพระพรหม เลข คนสามัญ หรอื ชายฉกรรจ (พจนา- โลกธรรม ธรรมทมี่ ีประจําโลก, ธรรมดา
โลกธาตุ ๓๔๙ โลกิยะ,โลกียะ, โลกีย ของโลก, ธรรมทีค่ รอบงาํ สตั วโลกและ ใหทรงบาํ เพญ็ พุทธกจิ ไดผลดี (ขอ ๕ สตั วโลกก็เปนไปตามมัน มี ๘ อยาง ในพุทธคุณ ๙) คือ มีลาภ ไมม ีลาภ มียศ ไมม ียศ โลกตั ถจรยิ า พระพทุ ธจรยิ าเพอื่ ประโยชน นินทา สรรเสรญิ สขุ ทุกข แกโ ลก, ทรงประพฤติเปน ประโยชนแ ก โลกธาตุ แผนดนิ ; จกั รวาลหนึ่งๆ โลก คอื ทรงอาศยั พระมหากรุณา เสด็จ โลกนาถ ผูเปน ทีพ่ งึ่ ของโลก หมายถึง ไปประกาศพระศาสนาเพ่ือประโยชนสุข พระพุทธเจา แกมหาชนในถ่ินฐานแวนแควนตางๆ โลกบาล ผคู มุ ครองโลก, ผเู ลย้ี งรกั ษาโลก เปนอนั มาก และประดิษฐานพระศาสนา ใหร ม เยน็ , ทา วโลกบาล ๔; ดู จาตมุ หาราช ไวเพื่อประโยชนสุขแกชุมชนภายหลัง โลกบาลธรรม ธรรมคมุ ครองโลก คือ ตลอดกาลนาน; ดู พทุ ธจรยิ า ปกครองควบคุมใจมนุษยไวใหอยูใน โลกาธิปเตยยะ ดู โลกาธิปไตย ความดี มใิ หล ะเมดิ ศลี ธรรม และใหอ ยู โลกาธปิ ไตย ความถือโลกเปน ใหญ คือ กันดวยความเรยี บรอยสงบสุข ไมเ ดอื ด ถือความนิยมหรือเสียงกลาววาของชาว รอ นสับสนวุนวาย มี ๒ คอื ๑. หิริ โลกเปนสําคัญ หวั่นไหวไปตามเสียง ความละอายบาป ละอายใจตอการทํา นนิ ทาและสรรเสริญ จะทําอะไรกม็ ุง จะ ความชว่ั ๒. โอตตปั ปะ ความกลวั บาป เอาใจหมูช น หาความนยิ ม ทาํ ตามทเี่ ขา เกรงกลวั ตอ ความชวั่ และผลของกรรมชวั่ นิยมกัน หรือคอยแตหว่ันกลัวเสียง โลกวชั ชะ อาบัตทิ เ่ี ปนโทษทางโลก คอื กลาววา, พึงใชแตในทางดีหรือใน คนสามัญท่ีมิใชภิกษุทําเขาก็เปนความ ขอบเขตทเี่ ปน ความดี คอื เคารพเสียง ผดิ ความเสียหาย เชน โจรกรรม ฆา หมูชน (ขอ ๒ ในอธิปไตย ๓) มนุษย ทุบตกี ัน ดา กนั เปน ตน ; บางที โลกามิษ เหยอ่ื แหงโลก, เครอ่ื งลอ ที่ลอ วาเปนขอเสียหายที่ชาวโลกเขาติเตียน ใหต ดิ อยใู นโลก, เครอื่ งลอ ใจใหต ดิ ในโลก ถือวา ไมเหมาะสมกบั สมณะ เชน ด่มื ไดแก ปญจพธิ กามคุณ คือ รูป, เสียง, สุรา เปน ตน ; เทยี บ ปณณัตตวิ ชั ชะ กลนิ่ , รส, โผฏฐพั พะ อนั นาปรารถนา โลกวิทู (พระผมู พี ระภาคเจาน้นั ) ทรงรู นาใครน า พอใจ; โลกามสิ ก็เขียน แจงโลก คือทรงรูแ จง สภาวะแหง โลกคือ โลกิยะ, โลกียะ, โลกีย เกย่ี วกับโลก, สังขารท้ังหลาย ทรงทราบอัธยาศัย ทางโลก, เนื่องในโลก, เรื่องของชาว สันดานของสัตวโลกท่ีเปนไปตางๆ ทํา โลก, ยงั อยูในภพสาม, ยงั เปน กามาวจร
โลกยิ ฌาน ๓๕๐ โลภ รปู าวจร หรอื อรูปาวจร; คกู บั โลกุตตระ ถึงพระพุทธเจา โลกยิ ฌาน ฌานโลกยี , ฌานอันเปนวสิ ัย โลกุตตรธรรม ธรรมอันมิใชวิสัยของ ของโลก, ฌานของผูมีจิตยังไมเปน โลก, สภาวะพนโลก มี ๙ ไดแ ก มรรค โลกุตตระ, ฌานที่ปุถุชนได ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑; คกู ับ โลกิยธรรม โลกิยธรรม ธรรมอันเปนวิสัยของโลก, โลกุตตรปญญา ปญญาที่สัมปยุตดวย สภาวะเนอ่ื งในโลก ไดแ กขนั ธ ๕ ทย่ี ังมี โลกุตตรมรรค, ความรูท่ีพนวิสัยของ อาสวะทั้งหมด; คกู บั โลกุตตรธรรม โลก, ความรูที่ชวยคนใหพ นโลก โลกิยวิมุตติ วิมุตติท่ีเปน โลกยี คอื ความ โลกตุ ตรภูมิ ชนั้ ท่พี นจากโลก, ระดับจติ พนอยางโลกๆ ไมเดด็ ขาด ไมส นิ้ เชิง ใจของพระอรยิ เจา (ขอ ๔ ในภูมิ ๔ อีก กิเลสและความทุกขยังกลับครอบงําได ๓ ภูมิ คือ กามาวจรภมู ิ รปู าวจรภูมิ อีก ไดแกวิมุตติ ๒ อยา งแรก คือ อรูปาวจรภมู )ิ ตทังควิมุตติ และ วิกขัมภนวิมุตติ; ดู โลกุตตรวิมุตติ วิมุตติที่เปนโลกุตตระ วมิ ตุ ต,ิ โลกตุ ตรวิมุตติ คือความหลุดพนที่เหนือวิสัยโลก ซ่ึง โลกยี สุข ความสุขอยา งโลกีย, ความสขุ ท่ี กิเลสและความทุกขท่ีละไดแลวไมกลับ เปน วสิ ยั ของโลก, ความสขุ ทย่ี งั ประกอบ คนื มาอีก ไมก ลบั กลาย ไดแ กวมิ ตุ ติ ๓ ดว ยอาสวะ เชน กามสขุ มนษุ ยสขุ ทพิ ย- อยา งหลงั คอื สมจุ เฉทวมิ ตุ ต,ิ ปฏปิ ส สทั ธ-ิ สขุ ตลอดจนถงึ ฌานสขุ และวปิ ส สนาสขุ วิมตุ ติ และ นสิ สรณวิมตุ ติ; ดู วมิ ตุ ติ, โลกยี ภูมิ ภมู ทิ เี่ ปน โลกยิ ะ ไดแก สามภมู ิ โลกยิ วมิ ุตติ แรก ในภมู ิ ๔, บางทเี รยี กรวมกนั วา โลกตุ ตรสุข, โลกุตรสุข ความสุขอยาง “ไตรภูม”ิ ไดแ ก กามภมู ิ รูปภูมิ และ โลกุตระ, ความสุขทเี่ หนอื กวาระดบั ของ อรูปภมู ิ สวนภูมิที่สี่ เปน โลกตุ ตรภมู ;ิ ดู ชาวโลก, ความสุขเน่ืองดวยมรรคผล ภูมิ 2. นพิ พาน โลกุดร, โลกตุ ตระ, โลกุตระ พน จาก โลกุตตราริยมรรคผล อริยมรรคและ โลก, เหนอื โลก, พนวิสัยของโลก, ไม อริยผลทพ่ี นวสิ ยั ของโลก เน่ืองในภพท้งั สาม (พจนานุกรม เขยี น โลณเภสัช เกลือเปนยา เชน เกลอื ทะเล โลกุตร); คูกบั โลกยิ ะ เกลือดํา เกลือสินเธาว เปนตน โลกุตตมาจารย อาจารยผูสูงสุดของ โลน กริ ยิ าวาจาหยาบคายไมสุภาพ โลก, อาจารยย อดเยยี่ มของโลก หมาย โลภ ความอยากได (ขอ ๑ ในอกศุ ลมลู ๓)
โลภเจตนา ๓๕๑ วณิพก โลภเจตนา เจตนาประกอบดวยโลภ, จง โลหิตกะ ชื่อภิกษุรูปหนึ่งในพวกเหลว ไหลท้งั ๖ ท่ีเรยี กวา พระฉพั พคั คีย ใจคดิ อยากได, ตงั้ ใจจะเอา โลมะ, โลมา ขน โลหติ ุปบาท ทํารายพระพทุ ธเจาจนถงึ ยงั โลมชาตชิ ชู ัน ขนลุก พระโลหิตใหหอ (ขอ ๔ ในอนนั ตรยิ - โลลโทษ โทษคือความโลเล, ความมี กรรม ๕) อารมณออนไหว โอนเอนไปตามส่ิงเยา ไลเ บย้ี เรียกรองเอาคาเสยี หายเปน ลาํ ดับ ยวนอันสะดดุ ตาสะดุดใจ ไปจนถงึ คนทีส่ ดุ โลหติ เลอื ด; สแี ดง ว วจนะ คําพดู ; สงิ่ ที่บง จาํ นวนนามทาง วจีวิญญัติ การเคลื่อนไหวใหรูความ ไวยากรณ เชน บาลมี ี ๒ วจนะ คอื เอก- หมายดว ยวาจา ไดแ ก การพูด การ วจนะ บงนามจํานวนเพยี งหนึ่ง และ กลา วถอ ยคาํ ; เทยี บ กายวิญญัติ พหวุ จนะ บง นามจาํ นวนตงั้ แตส องขน้ึ ไป วจีสมาจาร ความประพฤตทิ างวาจา ไวยากรณป จ จบุ นั นยิ มใชว า พจน วจสี งั ขาร 1. ปจจยั ปรงุ แตงวาจา ไดแ ก วจกี รรม การกระทาํ ทางวาจา, การกระทาํ วิตก (ตรกึ ) และ วจิ าร (ตรอง) ถาไมมี ดว ยวาจา, ทาํ กรรมดว ยคาํ พดู , ทด่ี ี เชน ตรึกตรองกอนแลว พดู ยอมไมร เู รอ่ื ง 2. พดู จรงิ พดู คาํ สภุ าพ ทช่ี ว่ั เชน พดู เทจ็ สภาพทีป่ รุงแตง การกระทําทางวาจา ได พดู คาํ หยาบ; ดู กศุ ลกรรมบถ, อกศุ ล- แก วจีสัญเจตนา คือความจงใจทาง กรรมบถ วาจา ท่ีกอใหเ กดิ วจีกรรม; ดู สังขาร วจีทวาร ทวารคือวาจา, ทางวาจา, ทาง วจีสุจริต ประพฤติชอบดวยวาจา, คาํ พูด (ขอ ๒ ในทวาร ๓) ประพฤติชอบทางวาจา มี ๔ อยางคือ วจที จุ รติ ประพฤตชิ วั่ ดว ยวาจา, ประพฤติ เวนจากพูดเท็จ เวนจากพูดสอเสียด ชว่ั ทางวาจามี ๔ อยางคอื ๑. มสุ าวาท เวน จากพดู คาํ หยาบ เวน จากพดู เพอ เจอ ; พดู เทจ็ ๒. ปสุณาวาจา พดู สอ เสยี ด ๓. ดู สจุ รติ ; เทยี บ วจีทุจริต ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ ๔. สมั ผปั ปลาปะ วณิพก คนขอทานโดยรอ งเพลงขอ คอื พดู เพอเจอ; ดู ทจุ ริต; เทียบ วจีสุจริต ขับรองพรรณนาคุณแหงการใหทานและ
วทญั ู ๓๕๒ วสวัตด,ี วสวดั ดี สรรเสรญิ ผใู หท าน ทเี่ รยี กวา เพลงขอทาน ปวารณา ใหผากฐิน และอปุ สมบทใน วทัญู “ผรู ูถอยคํา” คือ ใจดี เออ้ื อารี ปจ จันตชนบท) ๓. สงฆท ศวรรค (สงฆ ยอมรับฟงความทุกขยากเดือดรอนและ พวก ๑๐ คอื ตองมีภกิ ษุ ๑๐ รปู ข้ึนไป ความตองการของผูอนื่ เขา ใจคาํ พูดของ ใหอ ปุ สมบทในมธั ยมชนบทได) ๔. สงฆ เขาไดดี วสี ติวรรค (สงฆพวก ๒๐ คือ ตองมี วน, วนะ, วนั ปา , ปา ไม, ดง, สวน (บาล:ี ภิกษุ ๒๐ รปู ขึ้นไป ทาํ อัพภานได) วน); วนะ คอื ปา ในความหมายทเี่ นน วรรณะ ผิว, ส,ี เพศ, ชนิด, พวก, เหลา, ความเปน ทร่ี วมอยขู องตน ไม หรอื พฤกษ- หนังสือ, คุณความดี, ความยกยอง ชาติ ตลอดจนสาํ่ สตั วท อี่ าศยั สว น อรญั สรรเสรญิ ; ชนช้นั ท่ีจดั แบงออกไปตาม คอื ปา ในความหมายทเ่ี นน ความเปลา หลกั ศาสนาพราหมณเ รียกวา วรรณะ ๔ เปลย่ี ว หา งไกล หรอื ความเปน ตา งหาก คือ กษตั รยิ พราหมณ แพศย ศทู ร จากบา น หรอื จากชมุ ชน; เทียบ อรญั วรรณนา คาํ พรรณนา, คาํ ชแี้ จงความ วนปรสั ถะ ดู วานปรสั ถ หมายอธิบายความ คลายกับคําวา วนาสณฑ, วนาสัณฑ ดู ไพรสณฑ อรรถกถา (อฏ กถา) บางทกี ็ใชเ สรมิ กัน วโนทยาน สวนปา เชน สาลวโนทยาน หรือแทนกันบาง (เชน ท.ี อ.๓/๓๖๐/๒๖๗: คือ สวนปาไมส าละ นฏิ ติ า จ ปาฏกิ วคคฺ สสฺ วณณฺ นาต.ิ ปาฏกิ วคคฺ ฏ - วรกัป ดู กัป วรฺคานฺต พยัญชนะท่ีสดุ วรรค ไดแ ก ง กถา นฏิ ติ า.) แตคําวา อรรถกถา มกั ใช ญณนม หมายถงึ ทงั้ คมั ภรี สว น วรรณนา มกั ใช วรรค หมวด, หม,ู ตอน, พวก; กาํ หนด แกค าํ อธบิ ายเฉพาะตอนๆ (คาํ เต็มรปู ที่ จํานวนภิกษุที่ประกอบเขาเปนสงฆ มักใชแทนหรือใชแสดงความหมายของ อรรถกถา ไดแ ก อรรถสงั วรรณนา [คํา หมวดหน่ึงๆ ซึง่ เมื่อครบจํานวนแลวจึง บาลีวา อตถฺ สํวณณฺ นา]) จะทาํ สงั ฆกรรมอยา งนน้ั ๆ ได มี ๔ พวก ววัตถิตะ ในทางอักขรวิธีภาษาบาลี คอื ๑. สงฆจ ตรุ วรรค (สงฆพวก ๔ คือ หมายถงึ บทที่แยกกัน เชน ตณุ ฺหี อสฺส ตอ งมีภกิ ษุ ๔ รูปข้ึนไป ทํากรรมไดทกุ ตรงขามกับ สัมพันธ ท่ีตางบทน้ันมา อยา งเวน ปวารณา ใหผ า กฐนิ อปุ สมบท สนธิเช่ือมเขาดว ยกนั เชน ตุณหฺ ี + อสสฺ และอพั ภาน) ๒. สงฆปญจวรรค (สงฆ เปน ตณุ ฺหิสสฺ หรอื ตณุ ฺหสสฺ พวก ๕ คือ ตองมีภกิ ษุ ๕ รูปขน้ึ ไปทํา วสวตั ด,ี วสวดั ดี ชอื่ พระยามาร เปน เทพ
วสนั ต ๓๕๓ วงั สะ ในสวรรคชั้นสูงสุดแหงระดับกามาวจร แลวก็ตรัสเตือนเธอวา “จะมีประโยชน เปน ผคู อยขดั ขวางเหนย่ี วรงั้ บุคคลไมให อะไรท่ีไดเห็นกายเปอยเนานี้ ผูใดเห็น ลวงพนจากแดนกาม ซึ่งอยูในอํานาจ ธรรม ผูน้นั เหน็ เรา” ดังนี้เปน ตน และ ครอบงาํ ของตน; ดู มาร 2, เทวปตุ ตมาร ทรงสอนตอไปดวยอุบายวิธีจนในที่สุด วสนั ต ฤดใู บไมผ ลิ (แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๔ พระวักกลกิ ไ็ ดส ําเรจ็ พระอรหัต และตอ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๖); เทยี บ วสั สานะ มาไดรับยกยองจากพระศาสดาวาเปน (ฤดฝู น), ดู มาตรา เอตทคั คะในทางศรัทธาวมิ ุต คือ หลุด วสี ความชํานาญ มี ๕ อยา ง คือ ๑. พนดว ยศรัทธา อาวัชชนวสี ความชํานาญคลองแคลว วังคันตะ ช่ือพราหมณผูเปนบิดาของ ในการนึก ตรวจองคฌานทตี่ นไดออก พระสารีบุตร มาแลว ๒. สมาปชชนวสี ความชาํ นาญ วงั คสี ะ พระมหาสาวกองคหนึ่ง เปน บุตร คลองแคลวในการที่เขาฌานไดรวดเร็ว พราหมณใ นพระนครสาวัตถี ไดศกึ ษา ทนั ที ๓. อธฏิ ฐานวสี ความชํานาญ ไตรเพทจนมีความชํานาญเปนท่ีพอใจ คลองแคลวในการที่จะรักษาไวมิให ของอาจารย จึงไดเรียนมนตรพิเศษ ฌานจิตตน้ันตกภวังค ๔. วุฏฐานวสี ชือ่ ฉวสีสมนตร สําหรบั พสิ จู นศ รี ษะซาก ความชํานาญคลองแคลวในการจะออก ศพ เอาน้ิวเคาะหัวศพก็ทราบวาผูน้ัน จากฌานเมื่อใดก็ไดตามตองการ ๕. ตายแลว ไปเกิดเปนอะไร ท่ีไหน ทานมี ปจ จเวกขณวสี ความชาํ นาญคลอ งแคลว ความชํานาญในมนตรนี้มาก ตอมาได ในการพิจารณาทบทวนองคฌ าน เขาเฝาพระพทุ ธเจา และไดแสดงความ วักกะ ไต (เคยแปลกันวา มาม) ดู ปห กะ สามารถของตน แตเมือ่ เคาะศีรษะของผู วกั กลิ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เปนบตุ ร ปรินิพพานแลวไมสามารถบอกคติได พราหมณชาวพระนครสาวัตถีเรียนจบ ดว ยความอยากเรยี นมนตรเ พิม่ อกี จงึ ไตรเพทตามลัทธพิ ราหมณ บวชในพระ ขอบวชในพระพทุ ธศาสนา ไมนานก็ได พุทธศาสนา ดวยความอยากเห็นพระ บรรลุพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน รูปพระโฉมของพระศาสดา คร้ันบวช เอตทคั คะในทางมีปฏิภาณ แลวก็คอยติดตามดูพระองคตลอดเวลา วงั สะ ช่อื แควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควน จนไมเ ปนอนั เจริญภาวนา พระพทุ ธเจา ใหญแหงชมพทู วปี ตงั้ อยูในเขตมชั ฌมิ - ทรงรอเวลาใหญ าณของเธอสกุ งอม ครน้ั ชนบท ทางทิศใตของแควนโกศล ทาง
วจั กุฎี ๓๕๔ วชั ชี ทศิ ตะวนั ตกของแควน กาสี และทางทศิ ๒๐ บุคคล จงึ รวมเปน ๒๑ (๒๐ บคุ คล เหนือของแควนอวันตี นครหลวงชื่อ ในขอ หลงั ไดแ ก ภิกษุณี สิกขมานา โกสัมพี บัดน้เี รียกวา Kosam อยูบนฝง สามเณร สามเณรี ภกิ ษผุ ูบอกลาสิกขา ใตของแมนํ้ายมุนา ในสมัยพุทธกาล ภิกษุผูตองอันติมวัตถุ ภิกษุผูถูกสงฆ วังสะเปนแควนที่รุงเรืองและมีอํานาจ ยกเสียฐานไมเห็นอาบัติ ภิกษุผูถ ูกสงฆ มากแควนหน่งึ มีราชาปกครองพระนาม ยกเสียฐานไมกระทําคืนอาบัติ ภิกษุผู วา พระเจาอเุ ทน ถูกสงฆยกเสียฐานไมสละคืนทิฏฐิอันช่ัว วจั กฎุ ี สว ม, ท่ถี า ยอุจจาระสาํ หรับภิกษุ บัณเฑาะก คนลักเพศ ภิกษุเขารีด สามเณร เดียรถีย สตั วด ริ ัจฉาน [รวมท้งั คนดจุ วัจกุฎีวตั ร ขอ ปฏบิ ตั อิ นั ภกิ ษพุ งึ กระทาํ ดิรัจฉาน] คนฆา มารดา คนฆา บิดา คน ในวัจกุฎี, ขอปฏิบัติสําหรับภิกษุผูใช ฆาพระอรหันต คนประทุษรายภิกษุณี สวม โดยยอมี ๗ ขอ คอื ใชต ามลาํ ดบั ภิกษุผูทําลายสงฆ คนผูทํารายพระ ผไู ปถงึ , รักษากิริยาในการจะเขา จะออก ศาสดาจนถึงหอพระโลหิต และอุภโต- ใหสุภาพเรียบรอยและไมทําเสียงดัง, พยญั ชนก), แมใ นสงั ฆกรรมทง้ั หลายอนื่ รักษาบริขารคือจีวรของตน, รักษาตัว กพ็ งึ เวน วชั ชนยี บคุ คล ๒๑ น้ี เชน ไมเบงแรง ไมใชสิ่งที่จะเปน วชั ชี ชื่อแควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควน อันตราย, ไมท าํ กิจอื่นไปพลาง, ระวังไม ใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูบนฝงทิศ ทาํ สกปรก, ชว ยรักษาความสะอาด ตะวนั ออกของแมน า้ํ คันธกะ อยทู างทิศ วัชชนียบุคคล “บุคคลที่พึงเวน” คือ ตะวนั ออกของแควน มลั ละ ทางทศิ เหนอื บุคคล ๒๑ ประเภท ซงึ่ ไมควรรว มอยู ของแควน มคธ นครหลวงชือ่ เวสาลี ในท่ีประชมุ สงฆท ส่ี วดปาฏโิ มกข แตพึง แควนวัชชีปกครองดวยระบอบสามัคคี- ใหอยูนอกหัตถบาส ทา นถอื ตามพทุ ธ- ธรรม พวกกษัตริยท่ีปกครองเรียกวา บัญญตั ขิ อวา (วนิ ย.๔/๑๗๓/๒๖๖) “ไมพ งึ กษัตริยลิจฉวี (นอกจากพวกลจิ ฉวแี ลว สวดปาฏโิ มกขในบริษัททีม่ คี ฤหสั ถ” จึง ยังมีพวกวิเทหะซ่ึงปกครองอยูที่เมือง นับคฤหัสถน้ันเปน ๑ และตามพุทธ- มถิ ลิ า แตใ นสมยั พทุ ธกาลมอี าํ นาจนอ ย) บัญญัตขิ อ วา (วนิ ย.๔/๒๐๑/๒๖๘) “ไมพงึ แควนวัชชีรุงเรืองเขมแข็งและมีอํานาจ สวดปาฏโิ มกขใ นบริษัทท่มี ภี ิกษณุ ี ฯลฯ มากตอนปลายพทุ ธกาล ไดก ลายเปน คู อุภโตพยญั ชนกะ น่งั อยดู ว ย” ซ่งึ มอี ีก แขง กบั แควน มคธ แตห ลงั พุทธกาลไม
วชั ชีบตุ ร ๓๕๕ วตั ตเภท นาน ก็เสียอํานาจแกมคธเพราะอุบาย (เปนไวพจนของ วิราคะ) ทาํ ลายสามัคคี ของวสั สการพราหมณ วัฑฒกีประมาณ ประมาณของชางไม, วชั ชบี ตุ ร ชอ่ื ภกิ ษพุ วกหนง่ึ ชาวเมอื งเวสาลี เกณฑหรอื มาตราวัดของชางไม แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ ละเมดิ ธรรมวนิ ยั วัฑฒลิจฉวี เจา ลจิ ฉวีชื่อวาวฑั ฒะ ถูก เปน ตน เหตแุ หง การสงั คายนา ครงั้ ท่ี๒ พระเมตตยิ ะ และพระภมุ มชกะเสยี้ มสอน วชั รยาน ดู หีนยาน ใหทําการโจทพระทัพพมัลลบุตรดวย วัฏฏะ การวนเวียน, การเวียนเกดิ เวียน อาบัติปฐมปาราชิก เปนตนเหตุใหพ ระ ตาย, การเวยี นวายตายเกดิ , ความเวยี น พทุ ธเจา ทรงบญั ญตั กิ ารลงโทษควาํ่ บาตร เกิด หรือวนเวียน ดวยอํานาจกิเลส วัฑฒิ, วัฑฒิธรรม หลักความเจริญ กรรม และวิบาก เชน กเิ ลสเกิดข้นึ แลว (ของอารยชน); ดู อรยิ วัฑฒิ ใหท าํ กรรม เมอื่ ทาํ กรรมแลว ยอ มไดร บั วัณณะ ดู วรรณะ ผลของกรรม เมอ่ื ไดร บั ผลของกรรมแลว วณั ณกสณิ ๔ กสณิ ทเ่ี พงวตั ถุมีสีตางๆ กเิ ลสกเ็ กดิ อกี แลว ทาํ กรรม แลว เสวย ๔ อยาง คือ นีลํ สีเขยี ว, ปต ํ สเี หลือง, ผลกรรม หมนุ เวยี นตอ ไป; ดู ไตรวฏั ฏ โลหติ ํ สีแดง, โอทาตํ สีขาว; ดู กสณิ วฏั ฏกปริตร ดู ปรติ ร วณั ณมจั ฉริยะ ตระหนีว่ รรณะ คอื หวง วฏั ฏคามณีอภยั ชอ่ื พระเจา แผนดนิ แหง ผิวพรรณ ไมพอใจใหคนอ่ืนสวยงาม เกาะลังกาพระองคหน่ึง ครองราชย หรือหวงคุณวัณณะ ไมพอใจใหใครมี ประมาณ พ.ศ. ๕๐๕–๕๒๗ ถกู พวกทมฬิ คุณความดีมาแขงตน (ขอ ๔ ใน แยง ชงิ ราชสมบัติ เสด็จไปซอนพระองค มัจฉรยิ ะ ๕) อยใู นปา และไดร ับความชวยเหลือจาก วตั ตขนั ธกะ ชื่อขันธกะที่ ๘ แหงคมั ภรี พระเถระรปู หน่งึ ตอ มาพระองคก ูร าช- จุลวรรค วนิ ัยปฎก วาดวยวตั รประเภท สมบัติคืนมา ไดทรงสรา งอภัยคีรีวิหาร ตา งๆ และอาราธนาพระเถระรูปนน้ั มาอยูครอง วตั ตปฏบิ ัติ ดู วัตรปฏิบัติ กับทั้งไดทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา วัตตเภท ความแตกแหงวัตร หมาย อกี เปนอนั มาก การสังคายนาคร้ังที่ ๕ ความวาละเลยวตั ร, ละเลยหนา ที่ คอื ท่ีจารึกพุทธพจนลงในใบลาน ก็จัดทํา ไมทําตามขอปฏิบัติที่กําหนดไว เชน ในรชั กาลน้ี ภิกษุผูกาํ ลังประพฤติมานัต หรือกําลงั วฏั ฏปจ เฉท ความเขา ไปตัดเสียซึ่งวฏั ฏะ อยูปริวาส ละเลยวัตรของตน พระ
วัตถกิ รรม ๓๕๖ วตั ถวุ ิบตั ิ อรรถกถาจารยป รบั อาบัตทิ ุกกฏ อโุ บสถตา งหากกนั ได ๕. อนมุ ตกิ ัปปะ วตั ถิกรรม การผูกรดั ทีท่ วารหนกั ผูกรัด เรอ่ื งอนุมัติ ถือวา ภิกษยุ ังมาไมพ รอ ม หัวริดสีดวงงอกที่ทวารหนัก ทาน ทาํ สังฆกรรมไปพลาง ภิกษุท่ีมาหลงั จงึ สันนิษฐานวา อาจจะหมายถึงการสวน ขออนมุ ตั กิ ไ็ ด ๖. อาจณิ ณกปั ปะ เรอื่ งท่ี ทวารเบากไ็ ด เคยประพฤตมิ า ถอื วา ธรรมเนยี มใด วตั ถุ เรือ่ ง, สิ่งของ, ขอความ, ที่ดนิ ; ทต่ี ง้ั อุปชฌายอาจารยเคยประพฤติมาแลว เรือ่ ง หมายถึงบคุ คลผเู ปน ทีต่ ง้ั แหง การ ควรประพฤติตามอยางนั้น ๗. อมถิต- ทํากรรมของสงฆ เชน ในการอุปสมบท กัปปะ เร่ืองไมก วน ถอื วา นํ้านมสดแปร คนทจี่ ะบวชเปน วตั ถแุ หง การใหอ ปุ สมบท ไปแลว แตย งั ไมเ ปน ทธคิ อื นมสม ภกิ ษฉุ นั วตั ถุ ๑๐ เรอื่ งที่เปนตน เหตุ, ขอซง่ึ เปน ที่ แลว หา มอาหารแลว ดมื่ นา้ํ นมอยา งน้ัน ต้ังหรือเปนจุดเร่ิมตนเรื่อง, ขอปฏิบัติ อันเปน อนตริ ติ ตะได ๘. ชโลคงิ ปาตุง ๑๐ ประการของพวกภิกษวุ ัชชบี ตุ ร ชาว ถือวา สรุ าอยางออ น ไมใ หเ มา ด่มื ได เมืองเวสาลี ที่ผิดเพ้ียนยอหยอนทาง ๙. อทสกัง นสิ ที นงั ถือวา ผา นสิ ที นะไม พระวนิ ยั แปลกจากสงฆพ วกอนื่ เปน เหตุ มชี ายกใ็ ชไ ด ๑๐. ชาตรปู รชตงั ถือวา ปรารภใหม กี ารสงั คายนาคร้งั ที่ ๒ เมอ่ื ทองและเงนิ เปน ของควร รับได พ.ศ. ๑๐๐ มดี งั นี้ ๑. สงิ คโิ ลณกัปปะ กรณีวตั ถุ ๑๐ ประการนจ้ี ดั เปน เรอ่ื งเกลอื เขนง ถือวา เกลือทเี่ ก็บไวใ น วิวาทาธกิ รณใ หญเ ร่ืองหนึง่ เขนง (คร้งั นั้นภิกษเุ ก็บเกลือไวในเขนง วตั ถุกาม พสั ดอุ ันนาใคร ไดแ กก ามคณุ ความหมายคือ รับประเคนไวคางคืน ๕ คือ รปู เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ แลว) เอาออกผสมอาหารฉันได ๒. อนั นา ใคร นา ปรารถนา นา ชอบใจ; ดู กาม ทวงั คลุ กัปปะ เรื่องสองนิว้ ถอื วา เงา วัตถุเทวดา เทวดาที่ดนิ , พระภมู ิ แดดบายเลยเทย่ี งเพียง ๒ นว้ิ ฉนั วตั ถมุ งคล ดู เครอ่ื งราง อาหารได ๓. คามันตรกปั ปะ เรื่องเขา วัตถรุ ูป ดูท่ี รปู ๒๘ ละแวกบาน ถอื วา ภกิ ษุฉนั แลว หาม วัตถุวบิ ัติ วิบัติโดยวตั ถุ คอื บคุ คลหรอื อาหารแลว ปรารภวา จะเขาละแวกบาน วัตถุซึ่งเปนท่ีตั้งแหงสังฆกรรมน้ันๆ เด๋ียวน้ัน ฉันโภชนะเปนอนติริตตะได ขาดคณุ สมบตั ิ ทาํ ใหส งั ฆกรรมเสีย ใช ๔. อาวาสกปั ปะ เรอื่ งอาวาส ถอื วา ภกิ ษุ ไมไ ด เชน ในการอุปสมบทผอู ุปสมบท ในหลายอาวาสท่ีมีสีมาเดียวกันแยกทาํ อายไุ มค รบ ๒๐ ป หรือมีเรือ่ งทีเ่ ปน
วตั ถุสมบตั ิ ๓๕๗ วนั ความผดิ รา ยแรง เชน ฆาบิดามารดา ตามฤดู วิธเี ดนิ เปน หม)ู ; วตั รสว นมากใน หรือเปนปาราชิกเม่ือบวชเปนภิกษุคราว วตั ตขนั ธกะ กอน หรือไปเขา รีตเดียรถยี ท ั้งเปน ภกิ ษุ วัตรบท ๗ หลกั ปฏบิ ตั ิ หรอื ขอ ที่ถอื หรือเปนสตรี ดังนเี้ ปนตน ปฏบิ ตั ปิ ระจาํ ๗ ขอ ทที่ าํ ใหม ฆมาณพได วัตถุสมบัติ ความถึงพรอมแหงวัตถุ, เปนทาวสักกะหรือพระอินทรคือ ๑. ความสมบูรณโดยบุคคลหรือวัตถุซ่ึง มาตาเปตภิ โร เลย้ี งมารดาบดิ า ๒. กเุ ล- เปนที่ตั้งแหงการทําสังฆกรรมน้ันๆ มี เชฏปจายี เคารพผูใหญในตระกูล คุณสมบตั ิถกู ตอ ง ทาํ ใหสังฆกรรมใชได ๓. สณหฺ วาโจ พดู คาํ สุภาพออ นหวาน ไมบกพรองในดานนี้ เชน ในการ ๔. อปส ณุ วาโจ หรอื เปสเุณยยฺ ปปฺ หายี ไม อุปสมบท ผูขอบวชเปน ชายมีอายุครบ พดู สอ เสยี ด พูดสมานสามคั คี ๕. ทาน- ๒๐ ป ไมเ ปนมนษุ ยวิบตั ิเชน ถกู ตอน สํวภิ าครโต หรอื มจฺเฉรวนิ ย ชอบเผ่ือ ไมไดทําความผิดรายแรงเชนฆาบิดา แผใหป น ปราศจากความตระหน่ี ๖. มารดา ไมใ ชค นทําความเสยี หายในพระ สจฺจวาโจ มีวาจาสัตย ๗. อโกธโน หรอื พทุ ธศาสนาอยา งหนกั เชน ปาราชิก เมอื่ โกธาภิภู ไมโกรธ ระงบั ความโกรธได วตั รปฏิบัติ การปฏิบัติตามหนา ท,ี่ การ บวชคราวกอน ดังนเ้ี ปน ตน วตั ถสุ มั มขุ ตา ความพรอ มหนาวัตถุ คือ ทําตามขอปฏิบัติที่พึงกระทําเปนประจํา, ยกเรอ่ื งที่เกิดนั้นขึน้ วนิ ิจฉยั ; ดู สัมมขุ า- ความประพฤติที่เปนไปตามขนบ วินยั ธรรมเนียมแหงเพศ ภาวะหรือวิถี วัตร กิจพงึ กระทํา, หนา ท,่ี ธรรมเนยี ม, ดําเนนิ ชีวิตของตน ความประพฤต,ิ ขอ ปฏบิ ตั ิ จาํ แนกออกเปน วนั 1. ระยะเวลาตงั้ แตพ ระอาทิตยขึ้นถงึ ๑. กจิ วัตร วา ดวยกิจทค่ี วรทาํ (เชน พระอาทิตยตก ซ่ึงตามปกติถือตาม อุปชฌายวตั ร สทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร อาคนั ตกุ - กาํ หนด ๑๒ ช่ัวโมง, กลางวัน ก็เรียก; วตั ร) ๒. จรยิ าวตั ร วาดวยมารยาทอัน ระยะเวลา ๒๔ ชวั่ โมง ทโ่ี ลกหมนุ ตวั เอง ควรประพฤติ (เชน ไมทิ้งขยะทาง ครบรอบหนงึ่ อยา งทถี่ อื กนั มาแตเ ดมิ วา หนาตางหรือท้ิงลงนอกฝานอกกําแพง ตั้งแตพระอาทิตยข้ึนถึงพระอาทิตยข้ึน ไมจ บั วตั ถอุ นามาส) ๓. วธิ ีวตั ร วาดว ย ใหมใ นวันถดั ไป หรอื อยา งท่นี ิยมถอื กัน แบบอยางที่พึงกระทํา (เชน วิธีเก็บ ในปจจุบันตามคติสมัยใหมวา ต้ังแต บาตร วิธีพับจีวร วิธีเปดปดหนา ตาง เท่ียงคืนหนึ่งถึงเที่ยงคืนถัดไป; การที่
วันอโุ บสถ ๓๕๘ วาโยธาตุ เรยี กวา วนั นน้ั เพราะถือเอาเวลาพระ ทบั วางยาพษิ เปนตน อาทติ ยซ งึ่ เรยี กวาตะวันขึน้ จนถงึ ตะวัน วาจา คาํ พดู , ถอ ยคาํ ตกเปน กาํ หนด คอื มาจากคาํ วา ตะวนั นน่ั วาจาชอบ ดู สัมมาวาจา เอง (คลายกบั ระยะเวลาเดือนหนง่ึ ที่ วาจาช่ัวหยาบ ในวินัยหมายถึงถอยคํา ถอื ตามการโคจรของพระจนั ทร ซึง่ มีชื่อ พาดพิงทวารหนกั ทวารเบาและเมถุน; ดู วาเดอื น) 2. ปา , ดง, สวน (บาล:ี วน) ทฏุ ลุ ลวาจา วันอโุ บสถ ดู อโุ บสถ วาชเปยะ, วาชไปยะ “วาจาดูดดม่ื ใจ”, วปั ปะ ชอ่ื พระภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในคณะปญ จ- “นา้ํ คาํ ควรด่มื ”, ความรูจักพูด คอื รจู กั วัคคีย เปนพระอรหนั ตรุนแรก ทักทายปราศรัย ใชว าจาสุภาพนมุ นวล วปั ปมงคล พธิ ีแรกนาขวญั คือพธิ เี ร่ิมไถ ประกอบดว ยเหตผุ ล มปี ระโยชน เปน นาเพ่อื เปน สริ มิ งคลแกข า วในนา ทางแหงสามัคคี ทําใหเกิดความเขาใจ วยั สว นแหง อาย,ุ ระยะของอาย,ุ เขตอายุ อนั ดี ความเชอื่ ถอื และความนิยมนับถือ นยิ มแบง เปน ๓ วยั คัมภีรว ิสทุ ธิมรรค (ขอ ๔ ในราชสังคหวตั ถุ ๔) จัดดังนี้ ๑. ปฐมวัย วัยตน ๓๓ ป คอื วาตสมุฏานา อาพาธา ความเจบ็ ไขท ี่ อายุ ๑ ถงึ ๓๓ ป ๒. มัชฌมิ วยั วยั มีลมเปนสมฏุ ฐาน; ดู อาพาธ กลาง ๓๔ ป คอื อายุ ๓๔ ถงึ ๖๗ ป ๓. วานปรสั ถ ผูอยูปา , เปนธรรมเนยี มของ ปจฉิมวัย วัยปลาย ๓๓ ป คอื อายุ ๖๘ พราหมณว า ผทู ค่ี รองเรอื น มคี รอบครวั ป ถึง ๑๐๐ ป เปน หลักฐาน คร้ันลกู หลานเตบิ โตก็จัด วสั วดี ช่อื ของพระยามาร; ดู วสวัตดี แจงใหม คี รอบครวั ตนเองชราลง ก็เขา วัสสานะ, วัสสานฤดู ฤดูฝน (แรม ๑ ปาจําศีลถือพรตบําเพ็ญตบะตอไป, คํ่า เดอื น ๘ ถงึ ขึน้ ๑๕ คํา่ เดอื น เขียน วนปรสั ถะ บา งก็มี; ดู อาศรม ๑๒); ดู มาตรา วาโยธาตุ ธาตลุ ม, สภาวะทมี่ ีลักษณะพดั วสั สาวาสิกพสั ตร ดู ผาจํานาํ พรรษา ไปมา, ภาวะสนั่ ไหว เครงตงึ ค้ําจนุ ; ใน วสั สิกสาฎก ดู ผา อาบน้ําฝน รา งกายน้ี สวนที่ใชก าํ หนดเปนอารมณ วสั สกิ สาฏิกา ดู ผา อาบนํา้ ฝน กรรมฐาน ไดแกลมพดั ข้ึนเบอ้ื งบน ลม วสั สูปนายกิ า วันเขาพรรษา; ดู จําพรรษา พัดลงเบอื้ งตาํ่ ลมในทอง ลมในไส ลม วางไวท าํ ราย ไดแ ก วางขวาก ฝง หลาว พดั ไปตามตวั ลมหายใจ, อยา งนี้เปน ไวในหลุมพราง วางของหนักไวใหตก การกลาวถึงวาโยธาตุในลักษณะท่ีคน
วาร ๓๕๙ วิกปั ,วิกัปป สามัญท่ัวไปจะเขาใจได และที่จะให ใหเ ขาถงึ อบาย กับสว นทเี่ ปนเหตใุ หเ กิด สําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน อาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ แตในทางพระอภิธรรม วาโยธาตุเปน ตา งๆ สว นแรก พระอรหนั ตทุกองคล ะ สภาวะพื้นฐานท่ีมีอยูในรูปธรรมทุก ได แตส วนหลงั พระพทุ ธเจาเทา น้นั ละ อยา ง ไดแกภ าวะส่นั ไหว เครงตึง คา้ํ ได พระอรหันตอื่นละไมได จึงมีคํา จนุ ; ดู ธาตุ, รูป ๒๘ วาร วนั หน่งึ ๆ ในสปั ดาห, คร้งั , เวลา กลา ววา พระพทุ ธเจาเทา น้นั ละกิเลสทัง้ กาํ หนด หมดไดพรอมท้ังวาสนา; ในภาษาไทย วาระ ครงั้ คราว, เวลาท่กี าํ หนดสําหรบั คําวา วาสนา มีความหมายเพ้ียนไป กลายเปน อาํ นาจบุญเกา หรอื กุศลทีท่ าํ ผลัดเปล่ยี น ใหไ ดรับลาภยศ วารี นํา้ วาสภคามิกะ ช่ือพระเถระองคหน่ึงใน วาลิการาม ชื่อวัดหนึ่งในเมืองเวสาลี การกสงฆ ผูท าํ สังคายนาคร้งั ที่ ๒ แควนวัชชี เปนที่ประชุมทําสังคายนา วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกด ครง้ั ที่ ๒ ชาํ ระวัตถุ ๑๐ ประการทเี่ ปน ไว ไดแ กความพน จากกิเลสและอกศุ ล- เสี้ยนหนามพระธรรมวินัย ธรรมไดดวยกําลังฌาน อาจสะกดได วาสนา อาการกายวาจา ทเ่ี ปน ลักษณะ นานกวา ตทงั ควิมุตติ แตเมอื่ ฌานเสื่อม พิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบาง แลวกเิ ลสอาจเกดิ ข้ึนอกี จดั เปนโลกยิ - อยาง และไดสั่งสมอบรมมาเปนเวลา วิมุตติ (ขอ ๒ ในวิมุตติ ๕; ในบาลีเปน นานจนเคยชินติดเปนพ้ืนประจําตวั แม ขอ ๑ ถงึ ชัน้ อรรถกถา จงึ กลายมาเปน จะละกิเลสนั้นไดแลว แตก็อาจจะละ ขอ ๒) อาการกายวาจาทเี่ คยชนิ ไมไ ด เชน คํา วิกติกา เคร่อื งลาดทีเ่ ปนรูปสตั วร าย เชน พูดติดปาก อาการเดินท่ีเร็วหรือเดิน ราชสหี เสอื เปน ตน ตวมเตี้ยม เปนตน ทานขยายความวา วิกัป, วกิ ปั ป ทาํ ใหเ ปนของสองเจาของ วาสนา ท่เี ปน กุศล กม็ ี เปนอกศุ ล ก็มี คอื ขอใหภ กิ ษสุ ามเณรอนื่ รว มเปน เจา ของ เปนอัพยากฤต คือเปนกลางๆ ไมด ีไม บาตรหรอื จวี รน้ันๆ ดวย ทําใหไ มตอง ชวั่ ก็มี ทเ่ี ปน กุศลกับอพั ยากฤตน้ัน ไม อาบัติเพราะเก็บอติเรกบาตรหรืออติเรก ตอ งละ แตท่ีเปน อกุศลซงึ่ ควรจะละนน้ั จีวรไวเกนิ กําหนด แบงเปน ๒ สวน คือ สวนที่จะเปนเหตุ วกิ ัปมี ๒ คอื วกิ ปั ตอ หนา และวิกัป
วกิ ปั ,วกิ ปั ป ๓๖๐ วิกัป,วกิ ัปป ลบั หลงั ปริภุ ชฺ วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา วิกปั ตอหนา คอื วกิ ปั ตอหนา ผูร ับ กโรหิ” แปลวา “จีวรผืนนี้ของขาพเจา ทานจงใชสอยก็ตาม จงสละกต็ าม จง ถา จวี รผนื เดยี ว อยูในหตั ถบาส วา “อมิ ํ ทาํ ตามปจจยั กต็ าม” (ถา ผถู อนออนกวา จวี รํ ตยุ หฺ ํ วกิ ปฺเปมิ” แปลวา “ขา พเจา พึงวา “อมิ ํ จีวรํ มยหฺ ํ สนฺตกํ ปริภุ ฺชถ วกิ ปั จวี รผนื นแ้ี กท า น”(ถา วกิ ปั จวี ร ๒ ผนื วา วิสชฺเชถ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรถ”, ขนึ้ ไป วา “อมิ านิ จวี ราน”ิ แทน “อมิ ํ จวี ร”ํ , คําที่พึงเปลี่ยนทั้งหลาย เชน ช่ือของ ถาจีวรท่ีวิกัปอยูนอกหตั ถบาส วา “เอตํ” จํานวนของ และท่ีของตัง้ อยใู นหรอื นอก แทน “อิมํ” วา “เอตานิ” แทน “อิมาน”ิ , หัตถบาส พึงเทียบเคียงกับคําที่กลาว ถาวิกัปแกภิกษุผูแกกวา จะใชบทวา แลวขางตน ) “อายสฺมโต” แทน “ตุยหฺ ํ” ก็ควร) ในเร่ืองเก่ียวกับการวิกัปน้ี มีแนว วกิ ปั ลบั หลงั คอื วกิ ปั ใหแ กส หธรรมกิ ทางปฏิบัติที่พระอาจารยนักวินัยแนะนํา รปู ใดรปู หน่ึง ผมู ไิ ดอยูเฉพาะหนา โดย ไว และพระมตใิ นหนงั สอื วนิ ัยมุข อัน เปลงวาจาตอหนาสหธรรมิกรูปอื่น ถา ควรทราบวา ผาท่ีจะอธิษฐานเปนผาปู จีวรผนื เดยี ว อยใู นหตั ถบาส วา “อิมํ นอนกด็ ี เปนผาบริขารโจลกด็ ี ตอ งเปน จีวรํ อติ ฺถนฺนามสสฺ วกิ ปฺเปม”ิ แปลวา ของทไี่ มใชน งุ หม จงึ อธิษฐานขึ้น เชน “ขาพเจาวิกัปจีวรผืนน้ี แกทานผูช่ือน้ี” ภิกษุถอนผา อตุ ตราสงคผ นื เกา เสยี ไม (ถา วกิ ัปแกภ กิ ษุชือ่ วา อตุ ตระ ก็บอกช่ือ คิดจะใชน งุ หมอีก และอธิษฐานผืนใหม วา “อุตฺตรสสฺ ภิกฺขุโน” หรือ “อายสฺมโต แลว จะอธิษฐานผืนเกา น้ันเปนผา ปูนอน อตุ ตฺ รสสฺ ” แทน “อติ ถฺ นฺนามสสฺ ” สดุ แต เชน น้ีได แตถายังจะใชน ุงหม ควรวกิ ปั ผูรับออนกวาหรือแกกวา, ถาวิกัปจีวร ไวตามแบบ สว นผา บรขิ ารโจลน้นั ก็เชน หลายผืน หรือจวี รอยนู อกหัตถบาส พงึ ผากรองนาํ้ ถุงบาตร และยา ม อันมิใช เปล่ียนคํา โดยเทียบตามแบบวิกัปตอ ของใชนุงหม และไมใชเปนของใหญ หนา) ตลอดจนผา บรขิ ารอยา งอนื่ ซึง่ มีสีและ ดอกอันหามในผานุงหม อยางน้ี จีวรที่วกิ ัปไว จะบริโภค ตองขอให อธษิ ฐานขึน้ สวนผาทีจ่ ะใชน ุงหม แม ผรู บั ถอนกอน มฉิ ะน้ัน หากบริโภค จะ เพียงผืนเล็กพอใชเปนเครื่องประกอบ ตอ งอาบัติปาจติ ตยี เมือ่ ผูท่ีไดร ับไวนนั้ เขาเปนผานุงหมได แมแตผาขาว มี ถอนแลว จงึ ใชไ ด, คาํ ถอนสําหรับจวี รท่ี อยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ จวี รํ มยหฺ ํ สนตฺ กํ
วกิ ปั ปตจีวร ๓๖๑ วิกพุ พนา ประมาณตง้ั แตยาว ๘ นว้ิ กวาง ๔ กอ นจงึ บริโภค พึงใชเปนของวกิ ัป แต นิ้วขึ้นไป จัดวาเปนจีวรตามกําหนด เมื่อจะอธิษฐาน พึงใหถอนกอน; ดู อยา งตาํ่ ท่จี ะตอ งวกิ ปั อธษิ ฐาน, ปจ จทุ ธรณ อนง่ึ ผา อาบน้าํ ฝน เปน ของทที่ รง วิกปั ปต จวี ร จีวรท่ีวิกัปปไว, จวี รท่ีไดทํา อนุญาตเปนบริขารพิเศษชั่วคราวของ ใหเ ปนของ ๒ เจาของแลว ภิกษุ อธษิ ฐานไวใ ชไ ดต ลอด ๔ เดอื น วกิ าร 1. พิการ, ความแปรผนั , ความผดิ แหงฤดฝู น พนนัน้ ใหวกิ ัปไว แปลก, ผิดปรกติ 2. ทาํ ตา งๆ, ขยับ ทงั้ น้ี มพี ทุ ธานญุ าตไวค ราวหนง่ึ (วนิ ย. เขยอ้ื น เชน กวักมือ ดีดนิว้ เปนตน ๕/๑๖๐/๒๑๘) ซงึ่ ใชเ ปน ทอ่ี า งองิ ในเรอ่ื งทว่ี า วิกาล ผิดเวลา, ในวกิ าลโภชนสกิ ขาบท ผาอยางไหนจะตองอธิษฐาน หรือตอง (หา มฉนั อาหารในเวลาวกิ าล) หมายถึง วกิ ัป อยา งไร ใจความวา ไตรจีวร ผา ปู ต้ังแตเที่ยงแลวไปจนถึงกอนอรุณวัน น่ัง (นสิ ีทนะ) ผาปนู อน (ปจ จตั ถรณะ) ใหม; สวนในอันธการวรรค สิกขาบทท่ี ผาเช็ดหนาเช็ดปาก (มุขปุญฉนโจละ) ๗ ในภิกขุนีวิภังค (หามภิกษุณีเขาสู และผา บรขิ ารโจล ใหอธิษฐาน ไมใ ชใ ห ตระกลู ในเวลาวิกาล เอาท่ีนอนปูลาดน่งั วิกัป, ผาอาบนํา้ ฝน (วัสสิกสาฎก) ให นอนทับโดยไมบอกกลาวขออนุญาตเจา อธษิ ฐานใชต ลอด ๔ เดือนแหง ฤดูฝน บาน) หมายถงึ ตง้ั แตพระอาทิตยตกจน พน จากนนั้ ใหว ิกัปไว, ผา ปด ฝ (กัณฑ-ุ ถึงกอนอรุณวันใหม; ในสิงคาลกสูตร ปฏิจฉาทิ) ใหอธิษฐานใชตลอดเวลาที่ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สุตตันตปฎก อาพาธ พน จากนนั้ ใหวิกัปไว; ผา จีวร กลาวถึงการเท่ียวซอกแซกในเวลาวิกาล ขนาดอยา งตาํ่ ยาว ๘ นิว้ กวา ง ๔ นว้ิ วาเปนอบายมขุ นัน้ ก็หมายถงึ เวลาคํ่า โดยน้วิ พระสุคต ตอ งวิกัป วกิ าลโภชน การกนิ อาหารในเวลาวิกาล, สวนในการวิกัปบาตร ถาบาตรใบ การฉนั อาหารผิดเวลา; ดู วกิ าล เดยี ว อยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ ปตตฺ ํ ตยุ หฺ ํ วกิ พุ พนา การทาํ ใหเ ปน ไดต า งๆ, การยกั วกิ ปฺเปม”ิ (ถาบาตรหลายใบ วา “อิเม เยื้องยักยาย, การปรับแปลงแผลงผัน, ปตฺเต” แทน “อิมํ ปตตฺ ”ํ ; ถาบาตรอยู เชน ผทู เี่ จรญิ อปั ปมญั ญาจนชาํ นาญ มี นอกหัตถบาส วา “เอตํ” แทน “อมิ ํ” จิตเสมอกันตอสรรพสัตว และเขาถึง บาตรหลายใบ วา “เอเต” แทน “อิเม”), ฌานแลว สามารถแผเ มตตา เปน ตน ตอ บาตรที่วิกปั ไวแลว ไมมกี ําหนดใหถอน สตั วท งั้ หลาย แผกผนั ไปไดต า งๆ ทงั้
วิกพุ พนาอิทธิ,วกิ พุ พนฤทธ์ิ ๓๖๒ วชิ ฺชาจรณสมปฺ นฺโน แบบกวางขวางไมมีขอบเขต (อโนธโิ ส- วิจกิ ิจฉา ความลงั เลไมต กลงได, ความ ผรณา) ทงั้ แบบจาํ กดั ขอบเขต (โอธโิ ส- ไมแนใจ, ความสงสัย, ความเคลือบ ผรณา) และแบบเฉพาะเปน ทศิ ๆ (ทสิ า- แคลงในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย, ความลงั เล ผรณา), คาํ วา “วกิ พุ พนา” น้ี มกั พบในชอื่ เปนเหตุใหไมแนใจในปฏิปทาเครื่อง เรยี กอทิ ธิ (ฤทธ)ิ์ แบบหนง่ึ คอื วกิ พุ พนา- ดาํ เนนิ ของตน (ขอ ๕ ในนวิ รณ ๕, ขอ อทิ ธิ หรอื วกิ พุ พนฤทธ;ิ์ เทียบ อโนธิโส- ๕ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระอภธิ รรม, ผรณา, โอธิโสผรณา, ทิสาผรณา; ดู แผ ขอ ๔ ในอนสุ ยั ๗) เมตตา,สมี าสมั เภท; วกิ พุ พนาอทิ ธิ วจิ ิตร งาม, งดงาม, แปลก, ตระการ, วกิ พุ พนาอทิ ธ,ิ วกิ พุ พนฤทธิ์ ฤทธคิ์ อื หรู, แพรวพราว การแผลง, ฤทธบ์ิ ดิ ผนั , ฤทธผิ์ นั แผลง วิชชา ความรแู จง , ความรวู เิ ศษ; วิชชา ๓ คือการแผลงฤทธแ์ิ ปลงตวั เปลย่ี นจาก คือ ๑. ปพุ เพนิวาสานุสตญิ าณ ความรทู ่ี รปู รา งปกติ แปลงเปน เดก็ เปน ครฑุ เปน ระลึกชาตไิ ด ๒. จตุ ปู ปาตญาณ ความรู เทวดา เปน เสอื เปน งู เปน ตน (ตอ งหา ม จตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วท งั้ หลาย ๓.อาสวกั - ขยญาณ ความรทู ีท่ ําอาสวะใหสนิ้ วชิ ชา ทางพระวนิ ยั ) วิขมั ภนปหาน การละกเิ ลสไดด วยขมไว ๘ คอื ๑. วปิ ส สนาญาณ ญาณใน ดว ยฌาน; มกั เขยี น วิกขัมภนปหาน วิปส สนา ๒. มโนมยทิ ธิ ฤทธิท์ างใจ ๓. วิขมั ภนวมิ ุติ ดู วกิ ขัมภนวมิ ตุ ติ อทิ ธิวิธิ แสดงฤทธไิ์ ดต า งๆ ๔. ทพิ พ- วิจาร ความตรอง, การพิจารณาอารมณ, โสต หทู ิพย ๕. เจโตปริยญาณ รจู ัก การตามฟนอารมณ (ขอ ๒ ในองคฌ าน กาํ หนดใจผอู น่ื ได ๖. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ ๕) ๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย (= จตุ ูปปาต- วิจารณ 1. พิจารณา, ไตรตรอง 2. สอบ ญาณ) ๘. อาสวักขยญาณ สวน, ตรวจตรา 3. คิดการ, กะการ, จัด วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (พระผูมีพระภาค เตรียม, จดั แจง, ดแู ล, จดั ดําเนินการ เจาน้ัน) ทรงถึงพรอมดวยวิชชาและ 4. ในภาษาไทย มกั หมายถงึ ตชิ ม, แสดง จรณะ ประกอบดวยวชิ ชา ๓ หรอื วชิ ชา ความคิดเห็นในเชิงตัดสินคุณคาชี้ขอดี ๘ และจรณะ ๑๕ อนั เปน ปฏิปทาเครอ่ื ง ขอดอ ย บรรลุวิชชานั้น, มีความรูประเสริฐ วจิ ารณญาณ ปญ ญาทไี่ ตรต รองพจิ ารณา ความประพฤตปิ ระเสรฐิ (ขอ ๓ ใน เหตุผล พทุ ธคุณ ๙)
วชิ ชาธร,วิชาธร ๓๖๓ วญิ ู วชิ ชาธร, วิชาธร ดู วิทยาธร สัตวเหลาหน่ึง มกี ายตา งกัน มีสัญญา วิญญัติ 1. การเคลื่อนไหวใหรูความ อยางเดียวกัน เชน พวกเทพผูอยใู น หมาย, การสือ่ ความหมาย มี ๒ คือ ๑. จาํ พวกพรหมผเู กดิ ในภมู ปิ ฐมฌาน ๓. กายวญิ ญตั ิ การใหร คู วามหมายดว ยกาย สัตวเหลาหนึง่ มีกายอยางเดียวกัน มี เชน พยกั หนา กวกั มือ ๒. วจวี ญิ ญตั ิ สญั ญาตา งกนั เชน พวกเทพอาภสั สระ การใหรูความหมายดวยวาจา คือพูด ๔. สัตวเหลา หนง่ึ มีกายอยางเดยี วกนั มี หรอื บอกกลาว 2. การออกปากขอของ สญั ญาอยางเดียวกนั เชน พวกเทพสุภ- ตอคนไมควรขอ หมายถึงภิกษุขอส่ิง กิณหะ ๕. สัตวเหลา หนงึ่ ผเู ขา ถึงชน้ั ของตอคฤหสั ถผูไ มใ ชญาติ ผไู มใ ชค น อากาสานัญจายตนะ ๖. สัตวเหลาหน่งึ ปวารณา ผูเ ขาถงึ ชน้ั วญิ ญาณัญจายตนะ ๗. สตั ว วญิ ญาณ ความรูแจง อารมณ, จติ , ความรู เหลา หนง่ึ ผเู ขา ถงึ ชนั้ อากญิ จญั ญายตนะ ที่เกิดข้ึนเม่ืออายตนะภายในและ วิญญาณธาตุ ธาตุรู, ความรูแจง , ความรู อายตนะภายนอกกระทบกัน เชนรู อะไรได (ขอ ๖ ในธาตุ ๖) อารมณในเวลาเม่ือรูปมากระทบตา วิญญาณัญจายตนะ ฌานอันกําหนด เปนตน ไดแ ก การเห็น การไดยนิ เปน วิญญาณหาท่ีสุดมิไดเปนอารมณหรือ อาท;ิ วญิ ญาณ ๖ คือ ๑. จกั ขุวิญญาณ ภพของผเู ขา ถงึ ฌานน้ี (ขอ ๒ ในอรปู ๔) ความรอู ารมณท างตา (เหน็ ) ๒. โสต- วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ, วิญญาณ ความรูอารมณท างหู (ไดยนิ ) วิญญาณเปนอาหารคือเปนปจจัย ๓. ฆานวิญญาณ ความรูอารมณทาง อดุ หนุนหลอเลยี้ งใหเกดิ นามรูป (ขอ ๔ จมกู (ไดก ลิ่น) ๔. ชวิ หาวิญญาณ ความ ในอาหาร ๔) รอู ารมณท างล้นิ (รูร ส) ๕. กายวญิ ญาณ วิญู ผูร,ู บณั ฑิต, นักปราชญ; ในพระ ความรูอารมณทางกาย (รูส่ิงตองกาย) วินัย ตามปาจติ ติยสิกขาบทที่ ๗ แหง ๖. มโนวญิ ญาณ ความรูอารมณทางใจ มุสาวาทวรรค วา “อน่ึง ภกิ ษุใดแสดง (รูเรือ่ งในใจ) ธรรมแกม าตุคามเกินกวา ๕-๖ คาํ เวน วิญญาณฐิติ ภูมเิ ปน ที่ต้ังของวิญญาณ มี แตมีบุรุษผูเปนวิญูอยูดวย เปน ๗ คือ ๑. สตั วเ หลาหนึ่ง มีกายตา งกัน ปาจิตตีย” คาํ วา วญิ ู ในทีน่ ี้ หมายถึง มีสญั ญาตางกัน เชนพวกมนษุ ย พวก ผูรคู วาม คือ “ผูส ามารถรเู ขา ใจคาํ ดคี าํ เทพบางหมู พวกวนิ ปิ าติกะ บางหมู ๒. ราย คาํ หยาบคําไมห ยาบ”, ในกฎหมาย
วิญชู น ๓๖๔ วิถจี ติ ไทย ใชคําวา วิญชู น หมายถงึ บุคคล ภวงั คจิต (และมิใชเ ปนปฏสิ นธจิ ิต หรือ ผรู ูผ ิดรูช อบตามปรกติ หรืออยางภาษา จตุ จิ ติ ), พดู อกี อยางหนง่ึ วา จติ ๑๑ ช่ือ ซึ่งทํากิจ ๑๑ อยาง นอกจากปฏิสนธิกิจ ชาวบานวา ผูร ูผ ดิ ชอบช่วั ดี ภวังคกิจ และจตุ กิ ิจ, “วถิ จี ติ ” เปนคาํ วิญูชน ดู วิญู รวม เรียกจติ ทัง้ หลาย ซง่ึ ทาํ หนา ที่เกีย่ ว วติ ก ความตรกึ , ตริ, การยกจิตข้นึ สู กบั การรบั รูอารมณ ๖ ทางทวารทง้ั ๖ อารมณ หรอื ปก จติ ลงสูอารมณ (ขอ ๑ (คําบาลวี า “วีถจิ ติ ตฺ ”), อธิบายอยา งงาย พอใหเ ขาใจเปนพ้นื ฐานวา สัตวทง้ั หลาย ในองคฌาน ๕), การคิด, ความดําริ; หลงั จากเกิดคือปฏสิ นธแิ ลว จนถึงกอ น ตายคอื จตุ ิ ระหวา งนนั้ ชวี ติ เปน อยโู ดย ไทยใชว าเปนหวงกังวล มีจติ ทเี่ ปน พ้นื เรยี กวา ภวงั คจติ (จิตที่ วติ กจรติ พืน้ นสิ ยั หนกั ในทางตรึก, มี เปนองคแหง ภพ หรือจติ ในภาวะทเี่ ปน วิตกเปนปรกติ, มีปรกตินึกพลานหรือ องคแ หงภพ) ซึง่ เกดิ ดบั สบื เนอ่ื งตอ กัน ไปตลอดเวลา (มักเรียกวาภวงั คโสต คิดจบั จดฟงุ ซาน, ผูมจี ริตชนิดนีพ้ ึงแก คือกระแสแหง ภวังค) ทนี ้ี ถา จิตอยูใน ภาวะภวงั ค เปนภวงั คจิต และเกิดดับ ดว ย เพงกสิณ หรือเจรญิ อานาปานสติ- สืบตอไปเปนภวังคโสตเทาน้ัน ก็เพียง แคยังมีชีวิตอยู เหมือนหลับอยูตลอด กมั มฏั ฐาน (ขอ ๖ ในจริต ๖) เวลา แตช วี ติ น้ันเปนอยดู าํ เนินไป โดยมี วติ ถาร ซง่ึ แผย ืดขยายกวา งขวางออกไป, การรับรูและทํากรรมทางทวารตางๆ ขยายความ, พิสดาร; ตรงขา มกบั สงั เขป; เชน เห็น ไดยนิ ดู ฟง เคลอื่ นไหว พูด ในการวัด หมายถึง ความกวา ง (เทยี บ จา ตลอดจนคดิ การตางๆ จิตจงึ มิใชอ ยู กับความยาว คืออายาม และความสูง เพียงในภาวะที่เปนภวังค คือมิใชแค หรอื ความลกึ คืออพุ เพธ); ในภาษาไทย เปนองคแหงภพไวเทานน้ั แตต อ งมีการ ความหมายเพี้ยนไป กลายเปน วา ผดิ รับรูเสพอารมณทํากรรมทางทวารท้ัง หลายดวย ดงั นัน้ เมอ่ื มอี ารมณ คอื รปู ปกติ, พลิ ึก, นอกแบบ, นอกลนู อกทาง, เสียง ฯลฯ มาปรากฏแกทวาร (“มาสู คลองในทวาร”) คอื ตา หู ฯลฯ ก็จะมี เกนิ วสิ ัยแหงความยอมรับ วิตถารนัย นยั อยา งพสิ ดาร, แบบขยาย ความ, แงความหมายซง่ึ บรรยายอยาง กวางขวางยืดยาว; ตรงขา มกบั สังเขปนัย วติ ิกกมะ ดู วีตกิ กมะ วถิ จี ิต “จิตในวิถ”ี คอื จิตในวิถีแหง การรับ รเู สพอารมณ, จติ ซ่งึ เกดิ ข้ึนเปนไปในวิถี คอื พน จากภวงั ค หรอื พน จากภาวะทเี่ ปน
วถิ ีจติ ๓๖๕ วถิ ีจิต การรับรู โดยภวงั คจิตที่กาํ ลังเกิดดับสืบ จติ (วถี จิ ติ ตปวตั ต)ิ ทเ่ี กดิ ดบั สบื ตอ ไป ตอกระแสภพกันอยูนั้น แทนท่ีวา ภวังคจิตหน่งึ ดบั ไป จะเกิดเปนภวังคจติ มากมายไมอ าจนบั ได ใหมขน้ึ มา กก็ ลายเปน วา ภวงั คจิตหนึ่ง ดบั ไป แตเกดิ เปน จติ หนึง่ ท่ีเขา อยูในวิถี ในการรับรูเสพอารมณทํากรรมคร้ัง แหงการรับรูเกิดขึ้นมา (ตอนนี้ พูด อยางภาษาชาวบานใหเขาใจงายวา จิต หนงึ่ ๆ ทเี่ ปน การเปลย่ี นจากภวงั คจติ มา ออกจากภวังค หรือจิตขึ้นสูว ถิ ี) แลว ก็ จะมีจิตท่ีเรียกชื่อตางๆ เกิดขึ้นมาทํา เปน วถิ จี ติ จนกระทงั่ กลบั เปน ภวงั คจติ หนา ทตี่ อ ๆ กนั ไป ในวถิ แี หง การรบั รเู สพ อารมณนั้น จนครบกระบวนจบวิถีไป อีกน้ัน แยกแยะใหเห็นลําดับขั้นตอน รอบหนึ่ง แลวก็เกิดเปนภวังคจิตข้ึนมา อกี (พดู อยา งภาษาชาวบา นวา ตกภวงั ค) , แหงความเปนไป พอใหไดความเขาใจ จิตท้ังหลายท่ีเกิดขึ้นมาทําหนาที่แตละ ขณะในวิถีแหงการรับรูเสพอารมณนั้น ครา วๆ (ในทนี่ ้ี จะพดู ถงึ เฉพาะปญ จ- จนจบกระบวน เรียกวา “วถิ จี ติ ” และจติ แตละขณะในวิถีนั้น มีช่ือเรียกเฉพาะ ทวารวถิ ี คอื การรบั รทู างทวาร ๕ ไดแ ก ของมนั ตามกจิ คืองานหรอื หนาที่ทมี่ ัน ทํา, เมื่อตกภวังคอยางที่วานั้นแลว ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย ในกรณที รี่ บั ภวงั คจิตเกิดดับตอ กันไป แลว ก็เปลย่ี น (เรียกวาตัดกระแสภวังค) เกิดเปนวิถี อารมณท ม่ี กี าํ ลงั มาก คอื อตมิ หนั ตารมณ จิตขึน้ มารบั รูเ สพอารมณอ กี แลวพอจบ กระบวน กต็ กภวังค เปน ภวังคจิต แลว เปน หลกั ) ดงั น้ี ก. ชว งภวงั คจติ (เนอ่ื ง กต็ ัดกระแสภวงั ค เกดิ เปน วิถจี ิตขึ้นอกี สลับกันหมุนเวียนไป โดยนัยน้ี ชีวิตท่ี จากเม่ือจบวิถี ก็จะกลับเปนภวังคอีก ดําเนินไปแมในกิจกรรมเล็กนอยหน่ึงๆ จึงเปนการสลับหมุนเวียนไปของกระแส ตามปกติจึงเรียกภวังคจิตท่ีเอาเปนจุด ภวังคจิต (ภวังคโสตะ) กับกระบวนวิถี เรมิ่ ตน วา “อตตี ภวงั ค” คอื ภวงั คท ลี่ ว ง แลว หรอื ภวงั คก อ น) มี ๓ ขณะ ไดแ ก ๑. อตีตภวังค (ภวังคจิตที่สบื ตอ มาจาก กอ น) ๒. ภวงั คจลนะ (ภวงั คไ หวตวั จาก อารมณใ หมท กี่ ระทบ) ๓. ภวงั คปุ จ เฉท (ภวงั คข าดจากอารมณเ กา ) ข. ชว งวถิ จี ติ มี ๑๔ ขณะ ไดแ ก ๑. ปญ จทวาราวชั ชนะ (การคาํ นึงอารมณใหมทางทวารนน้ั ๆ ใน ทวารทง้ั ๕, ถา อยใู นมโนทวารวถิ ี กเ็ ปน มโนทวาราวชั ชนะ) ๒. ปญ จวญิ ญาณ (การรอู ารมณน นั้ ๆ ในอารมณท ง้ั ๕ คอื เปนจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ หรือฆานวิญญาณ หรือชิวหาวิญญาณ หรอื กายวญิ ญาณ อยา งใดอยา งหนง่ึ ) ๓.
วถิ ีจติ ๓๖๖ วิถจี ิต สัมปฏิจฉนะ (สัมปฏิจฉันนะ ก็เรยี ก, อยางน้ี กจ็ ะมอี ตีตภวงั ค ๒ หรอื ๓ ขณะ การรับอารมณจากปญจวิญญาณ เพ่ือ และเมอื่ ขน้ึ สวู ถิ ี กจ็ ะไปจบแคช วนะที่ ๗ เสนอแกสนั ตรี ณะ) ๔. สนั ตรี ณะ (การ ดับ แลวก็ตกภวังค โดยไมมีตทารมณ พจิ ารณาไตส วนอารมณ) ๕. โวฏฐพั พนะ เกดิ ขนึ้ , ยงิ่ กวา นนั้ ถา อารมณท ป่ี รากฏมี (การตัดสินอารมณ) ๖.–๑๒. ชวนะ กาํ ลงั นอ ย (เปน ปรติ ตารมณ) กจ็ ะผา น (การแลนไปในอารมณ คือรับรูเสพทํา อตตี ภวงั คไ ปหลายขณะ (ตงั้ แต ๔ ถงึ ๙ ขณะ) จงึ เปน ภวงั คจลนะ และเมอื่ ขนึ้ สวู ถิ ี ตอ อารมณ เปน ชว งที่ทาํ กรรม โดยเปน แลว วถิ ีนนั้ ก็ไปสน้ิ สดุ ลงแคโ วฏฐพั พนะ ไมทันเกิดชวนจิต ก็ตกภวังคไปเลย, กุศลชวนะหรืออกุศลชวนะ หรือไมก็ และถา อารมณท ปี่ รากฏนน้ั ออ นกาํ ลงั เกนิ กิรยิ า) ตดิ ตอ กนั ๗ ขณะ ๑๓.–๑๔. ไป (เปน อตปิ รติ ตารมณ) กจ็ ะผา นอตตี - ตทารมณ (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ ภวังคไปมากหลายขณะ จนในท่ีสุด กเ็ รยี ก, “มอี ารมณน น้ั ” คอื มอี ารมณเ ดยี ว เกดิ ภวงั คจลนะขน้ึ มาได ๒ ขณะ กก็ ลบั เปน ภวงั คต ามเดมิ คอื ภวงั คไ มข าด (ไม กบั ชวนะ ไดแ กก ารเกดิ เปน วปิ ากจติ ทไี่ ด มีภวังคุปจเฉท) และไมมีวิถีจิตเกิดขึ้น เลย จงึ เรยี กวา เปน โมฆวาระ, สว นใน รบั อารมณต อ จากชวนะ เหมอื นไดร บั ผล มโนทวารวถิ ี เมอ่ื ภวงั คไ หวตวั (ภวงั ค- จลนะ) และภวงั คข าด (ภวงั คปุ จ เฉท) ประมวลจากชวนะมาบนั ทกึ เกบ็ ไว กอ น แลว ขน้ึ สวู ถิ ี จะมเี พยี งมโนทวาราวชั ชนะ (การคํานึงอารมณใหมทางมโนทวาร) ตกภวงั ค) ตอ กนั ๒ ขณะ แลว กส็ น้ิ สดุ วถิ ี แลว เกดิ เปน ชวนจติ ๗ ขณะตอ ไปเลย (ไมม สี มั ปฏจิ ฉนจติ เปน ตน ) เมอ่ื ชวนะ คอื จบกระบวนของวถิ จี ติ เกดิ เปน ภวงั ค- ครบ ๗ แลว ในกรณที อ่ี ารมณท ปี่ รากฏ เดน ชดั (วภิ ตู ารมณ) กจ็ ะเกดิ ตทารมณ จติ ขน้ึ ใหม (ตกภวงั ค) , เมอ่ื นบั ตลอด ๒ ขณะ แลว ตกภวงั ค แตถ า อารมณ ออ นแรงไมเ ดน ชดั (อวภิ ตู ารมณ) พอ หมดทงั้ สองชว ง คอื ตง้ั แตอ ตตี ภวงั คจ ดุ ครบ ๗ ชวนะแลว กต็ กภวงั คไ ปเลย โดยไมม ตี ทารมณเ กดิ ขนึ้ , อนง่ึ ทก่ี ลา ว เรม่ิ มาจนจบวถิ ี กม็ ี ๑๗ ขณะจติ ในสวนรายละเอียด วิถีจิตมีความ เปน ไปแตกตา งกนั หลายแบบ เชน ใน ปญ จทวารวถิ ที ่ีพูดมาขางตนน้ัน เปน กรณีท่ีรับอารมณซ่ึงมีกําลังเดนชัดมาก (อติมหันตารมณ) แตถาอารมณท่ี ปรากฏเขามามีกําลังไมมากนัก (เปน แคม หนั ตารมณ) ภวงั คจะยงั ไมไ หวตัว จนถึงภวงั คจิตขณะท่ี ๓ หรือขณะที่ ๔ จึงจะไหวตัวเปนภวังคจลนะ ในกรณี
วทิ ยา ๓๖๗ วนิ ยั มาท้ังหมดน้ัน เปนวิถีจิตในกามภูมิทั้ง ตะวนั ตกเฉยี งใตป ระมาณ ๑,๐๘๖ กม. สน้ิ ยงั มวี ถิ จี ติ ในภมู ทิ สี่ งู ขน้ึ ไปอกี ใน บางตอนเคียงคูไปกับแมน้ํานัมมทา ฝายมโนทวารวิถี (จิตในปญจทวารวิถี แลวส้ินสุดลงในรัฐคุชราต ถือกัน อยูในกามภูมิอยางเดียว) ซึ่งเปนจิตที่ ทํานองเดียวกับแมนํ้านัมมทาวาเปนเสน เปน สมาธขิ น้ั อปั ปนา และมคี วามเปน ไปที่ แบง ระหวางที่ราบลุมแมน้ําคงคาใน แตกตา งจากวถิ จี ติ ในกามภมู ิ เชน ชวนะ ภาคเหนือ (อุตราบถ) กบั ดินแดนที่ราบ ไมจ าํ กดั เพยี งแค ๗ ขณะ เมอื่ เขา ฌาน สูงแหงอินเดียภาคใต (Deccan แลว ตราบใดยงั อยใู นฌาน กม็ ชี วนจติ Plateau; ทกั ขณิ าบถ); ดู นมั มทา เกดิ ดบั สบื ตอ กนั ไปตลอด นบั จาํ นวนไม วนิ ยวาที ผูม ปี รกติกลาวพระวนิ ยั ได โดยไมตกภวังคเลย ถาเกิดเปน วินยสัมมุขตา ความเปนตอหนาพระ ภวังคจิตข้ึนเม่ือใด ก็คือออกจากฌาน วินัยในวิวาทาธิกรณ หมายความวา ดงั นเี้ ปน ตน รายละเอยี ดของวถิ จี ติ ระดบั ปฏิบัติตามธรรมวินัยและสัตถุศาสนอัน น้ี จะไมก ลา วในทนี่ ;ี้ ดู ชวนะ, ตทารมณ; เปน เครอื่ งระงบั อธิกรณนั้น; ดู สมั มขุ า- เทยี บ ภวงั คจติ วินัย วทิ ยา ความรู วินัย ระเบียบแบบแผนสําหรับฝกฝน วิทยาธร “ผูท รงวิทยา”, ผมู ีวิชากายสทิ ธ์ิ, ควบคุมความประพฤติของบุคคลใหมี ผูมีฤทธิ์ที่สําเร็จดวยวิทยาอาคมหรือ ชีวิตที่ดีงามเจริญกาวหนาและควบคุม ของวเิ ศษ, พอ มด หมูชนใหอยูรวมกันดวยความสงบเรียบ วิเทหะ ชอ่ื แควนหน่ึงในชมพูทวีป นคร รอยดีงาม, ประมวลบทบัญญัติขอ หลวงชือ่ มถิ ลิ า เปนดินแดนพวกวชั ชี กําหนดสําหรับควบคุมความประพฤติ อีกถิ่นหน่ึง ต้ังอยูบนฝงแมน้ําคงคา ไมใหเสื่อมเสียและฝกฝนใหประพฤติดี ตรงขา มกบั แควนมคธ งามเปนคุณเกื้อกูลย่ิงขึ้น; วินัยมี ๒ วิธัญญา ชื่อนครหรือถิ่นหนึ่งในสักก- อยางคือ ๑. อนาคารยิ วินยั วนิ ัยของผู ชนบท ปกครองโดยกษตั รยิ ว งศศ ากยะ; ไมครองเรอื น คอื วนิ ัยของบรรพชติ หรอื เวธญั ญะ ก็เรยี ก วนิ ยั ของพระสงฆ ไดแ ก การไมต อ งอาบตั ิ วนิ ธยะ ชอื่ เทือกเขาสาํ คัญในอนิ เดยี ภาค ทง้ั ๗ หรอื โดยสาระ ไดแ ก ปารสิ ทุ ธศิ ลี กลาง (Vindhya Range) เริม่ ตน ทาง ๔ ๒. อาคาริยวินัย วนิ ยั ของผคู รอง ตะวันออกท่ีพาราณสี ยาวลงไปทาง เรือน คอื วนิ ยั ของชาวบา น ไดแ ก การงด
วนิ ยั กถา ๓๖๘ วนิ ีตวัตถุ เวน จาก อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ โดยนัยก็ คือไมมีวิปฏิสาร; ทรงมุงหมายเพอ่ื จะ คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ แตง แกห นงั สอื บพุ พสกิ ขาวณั ณนา ของ วนิ ัยกถา คาํ พดู เก่ียวกับพระวนิ ัย, คํา พระอมราภริ กั ขติ (อมร เกดิ ) เจา อาวาส บรรยาย คาํ อธบิ าย หรือเรอื่ งสนทนา วัดบรมนวิ าส; จัดพมิ พเ ปน ๓ เลม ใช เก่ียวกบั พระวินยั เปน แบบเรียนวชิ าวินยั สาํ หรับนักธรรม วินัยกรรม การกระทําเกี่ยวกบั พระวินยั ชน้ั ตรี ช้นั โท และช้ันเอก ตามลําดบั หรือการปฏิบัติตามวินัย เชน การ วินยั วตั ถุ เรือ่ งเกยี่ วกับพระวินยั อธษิ ฐานบรขิ าร การวกิ ัปบาตรและจวี ร วนิ ิจฉัย ไตรต รอง, ใครค รวญ, ชขี้ าด, การปลงอาบตั ิ การอยปู รวิ าส เปนตน ตดั สนิ , ชําระความ วินัยธร “ผูทรงวินัย”, ภิกษุผูชํานาญ วินิบาต “โลกหรือวิสัยเปนท่ีตกไปแหง วินยั ; พระอุบาลเี ถระ ไดรบั ยกยองจาก สตั วอยางไรอ าํ นาจ [คอื ชว ยตัวเองไมได พระพุทธเจาวาเปนเอตทัคคะในบรรดา เลย]”, “แดนเปนที่ตกลงไปพนิ าศยอ ย พระวนิ ยั ธร ยบั ”, สภาพตกตาํ่ , ภพคอื ภาวะแหง ชวี ติ วนิ ัยปฎก ดู ไตรปฎ ก ที่มีแตความตกต่ําเส่ือมถอยยอยยับ; วนิ ยั มขุ มุขแหงวินยั , หลักใหญๆ หรอื อรรถกถาท้ังหลาย (เชน วินย.อ.๑/๑๘๗) หัวขอสําคัญๆ ท่ีเปนเบื้องตนแหงพระ แสดงความหมายไว ๒ นยั คือ พดู วนิ ัย หรอื เปน ปากทางนาํ เขา สวู นิ ยั เปน แบบรวมๆ ก็เปนไวพจนคําหน่ึงของ ชื่อหนังสือที่สมเด็จพระมหาสมณเจา นรก น่นั เอง แตถา แยกความหมายออก กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงรจนาขน้ึ ไปตางหาก กห็ มายถึงกาํ เนิดอสรุ กาย เพ่ืออธิบายความหมายและช้ีประโยชน วินิปาติกะ ทานวาไดแกพวกเวมานิก- แหงพระวินัย มุงชวยใหพระภิกษุ เปรต คอื พวกเปรตมวี ิมานอยู ไดเสวย สามเณรตั้งอยูในปฏิบัติพอดีงาม ผูไม สขุ และตอ งทุกขท รมานเปนชว งๆ สลบั เครงจะไดรูสึกสํารวมรักษามารยาทสม กนั ไป มีสขุ บางทกุ ขบางคละระคน เปนสมณะ ฝายผูเ ครง ครัดเกนิ ไปจะได วินิพโภครูป รปู ทีแ่ ยกจากกันได; เทยี บ หายงมงาย ไมสําคัญวาตนดีกวาผูอื่น อวนิ ิพโภครูป; ดู รูป ๒๘ ตั้งรังเกียจผูอื่นเพราะเหตุเล็กนอย วนิ ีตวตั ถุ เรอื่ งทีท่ านวินิจฉัยแลว, เร่อื งที่ เพยี งสักวา ธรรมเนยี ม หรือแมห ันไปชกั ตัดสินแลว ทานแสดงไวเปนตัวอยาง นาํ ผอู น่ื ในปฏบิ ตั อิ นั ดี ตา งจะไดอ านสิ งส สําหรับเทียบเคียงตัดสิน ในการปรับ
วิบัติ ๓๖๙ วปิ ลาส,วปิ ล ลาส อาบัติ (ทํานองคําพิพากษาของศาลสูง หรือผลสืบเน่ือง เชน “นสิ สนั ท” และ สดุ ทน่ี าํ มาศึกษากัน) “อานสิ งส”; ดู ผล,เทียบ นสิ สนั ท, อานสิ งส วิบตั ิ ความเสยี , ความผิดพลาด, ความ วิปจิตัญู ผูอาจรูธรรมตอเม่ือทาน บกพรอ ง, ความเสยี หายใชการไมไ ด 1. อธิบายความหมายแหง หัวขอนน้ั , รูตอ วบิ ตั ิ ความเสีย ของภกิ ษุ มี ๔ อยา ง คอื เมือ่ ขยายความ (ขอ ๒ ในบคุ คล ๔) ๑. ศลี วบิ ตั ิ ความเสยี แหง ศลี ๒. อาจาร- วิปฏสิ าร ความเดอื ดรอ น, ความรอนใจ วบิ ตั ิ ความเสียมรรยาท ๓. ทิฏฐิวบิ ัติ เชนผูประพฤติผิดศีล เกิดความเดือด ความเห็นผิดธรรมผิดวินัย ๔. อาชวี - รอนขน้ึ ในใจ ในเพราะความไมบรสิ ทุ ธิ์ วบิ ตั ิ ความเสยี หายแหง การเล้ยี งชีพ 2. ของตนเรียกวา เกดิ วปิ ฏสิ าร วิบัติ คือความเสียหายใชไมได ของ วปิ ปวาส “อยปู ราศ” เปน ประการหน่งึ ใน สังฆกรรม มี ๔ คือ ๑. วัตถวุ บิ ตั ิ เสยี รตั ตเิ ฉท การขาดราตรแี หง การประพฤติ โดยวัตถุ เชน อปุ สมบทคนอายุตํ่ากวา มานัตและการอยูปริวาส; สําหรับผู ๒๐ ป ๒. สีมาวบิ ตั ิ เสียโดยสีมา เชน ประพฤติมานตั วปิ ปวาส หมายถงึ อยู สีมาไมมีนิมิต ๓. ปริสวิบัติ เสียโดย ในถ่ิน (จะเปนวัดหรือท่ีมิใชวัดเชนปา บริษัทคอื ที่ประชมุ เชน ภกิ ษุเขาประชมุ เปนตน กต็ าม) ทไี มม ีสงฆอ ยูเ ปน เพ่อื น ไมครบองคสงฆ ๔. กรรมวาจาวิบัติ คืออยูปราศจากสงฆ, สําหรับผูอยู เสียโดยกรรมวาจา เชนสวดผิดพลาด ปริวาส หมายถึง อยใู นถิ่นปราศจาก ตกหลน สวดแตอนุสาวนาไมไดตั้ง ปกตัตตภิกษุ (มีปกตัตตภิกษุอยูเปน ญัตติ เปนตน (ขอกรรมวาจาวบิ ัตบิ าง เพื่อนรูปเดยี วกใ็ ชไ ด) ; ดู รตั ติเฉท กรณีแยกเปนญัตติวิบัติและอนุสาวนา วิปริณาม ความแปรปรวน, ความผัน วบิ ตั ิ กลายเปนวบิ ตั ิ ๕ ก็มี; เทียบ สมบตั ิ แปรเปลยี่ นแปลงเร่ือยไป วบิ าก ผลแหงกรรม, ผลโดยตรงของ วปิ ลาส, วิปล ลาส กิรยิ าทถี่ ือโดยอาการ กรรม, ผลดีผลรายทเ่ี กดิ แกต น คือเกดิ วปิ รติ ผิดจากความเปน จรงิ , ความเห็น ขึ้นในกระแสสืบตอแหงชีวิตของตน หรือความเขาใจคลาดเคลื่อนจากสภาพ (ชีวิตสันตติ) อันเปนไปตามกรรมดี ท่เี ปนจรงิ มีดังนี้: ก. วปิ ลาสดว ยอาํ นาจ กรรมชั่วที่ตนไดทําไว; “วบิ าก” มีความ จิตตแ ละเจตสกิ ๓ ประการ คอื ๑. หมายตางจากผลท่ีเรียกช่อื อยางอื่น ซง่ึ วิปลาสดวยอํานาจสําคัญผิด เรียกวา เปนผลพวง ผลพลอยได ผลขา งเคียง สญั ญาวปิ ลาส ๒. วิปลาสดว ยอํานาจ
วปิ สสนา ๓๗๐ วปิ ส สนาภมู ิ คิดผิด เรยี กวา จติ ตวิปลาส ๓. วปิ ลาส โทษ ๕. นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ ญาณ ดว ยอาํ นาจเหน็ ผดิ เรยี กวา ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส คํานึงเห็นดวยความหนาย ๖. มุญจิตุ- ข. วิปลาสดว ยสามารถวตั ถเุ ปนท่ตี ้งั ๔ กัมยตาญาณ ญาณหยั่งรูอันใหใครจะ ประการ คอื ๑. วปิ ลาสในของท่ไี มเท่ียง พนไปเสีย ๗. ปฏสิ งั ขานปุ ส สนาญาณ วา เที่ยง ๒. วปิ ลาสในของท่ีเปน ทกุ ขว า ญาณอนั พจิ ารณาทบทวนเพื่อจะหาทาง เปน สุข ๓. วปิ ลาสในของทีไ่ มใชต น วา ๘. สังขารเุ ปกขาญาณ ญาณอนั เปนไป เปน ตน ๔. วปิ ลาสในของท่ไี มงาม วา โดยความเปนกลางตอ สังขาร ๙. สจั จา- งาม (เขยี นวา พิปลาส ก็ม)ี นุโลมิกญาณ ญาณเปนไปโดยควรแก วิปส สนา ความเหน็ แจง คอื เหน็ ตรงตอ การหยั่งรอู รยิ สัจจ;ดู ญาณ ๑๖ ความเปนจริงของสภาวธรรม; ปญญาท่ี วิปสสนาธุระ ธรุ ะฝา ยวปิ สสนา, ธรุ ะ เห็นไตรลักษณอันใหถอนความหลงผิด ดา นการเจรญิ วปิ ส สนา, กจิ พระศาสนาใน รูผิดในสังขารเสียได, การฝกอบรม ดา นการสอนการฝก เจรญิ กรรมฐาน ซง่ึ ปญญาใหเกิดความเห็นแจงรูชัดภาวะ จบครบท่ีวิปสสนา, เปนคําท่ีใชในชั้น ของสงิ่ ทงั้ หลายตามทีม่ ันเปน (ขอ ๒ ใน อรรถกถาลงมา (ไมม ีในพระไตรปฎก); กมั มฏั ฐาน ๒ หรอื ภาวนา ๒); ดู ภาวนา, เทียบ คันถธุระ, ดู คามวาสี, อรญั วาสี ไตรลักษณ วิปสสนาปริวาส ดู ปรวิ าส 2. วิปสสนากัมมัฏฐาน กรรมฐานคือ วิปสสนาปญญา ปญญาท่ีถึงข้ันเปน วปิ ส สนา, งานเจรญิ ปญ ญา; ดู กมั มฏั ฐาน, วิปสสนา, ปญญาที่ใชในการเจริญ วปิ ส สนา วปิ ส สนา คอื ปญ ญาทีพ่ จิ ารณาเขาใจ วิปสสนาญาณ ญาณที่นับเขาใน สังขารตามความเปน จรงิ วิปสสนาหรือญาณท่ีจัดเปนวิปสสนามี วิปส สนาภาวนา การเจริญวิปสสนา; ดู ๙ อยา งคอื ๑. อทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณ ภาวนา, วิปส สนา ญาณตามเห็นความเกิดและความดับ วปิ ส สนาภูมิ ภูมแิ หงวิปส สนา, ฐานที่ต้งั แหงนามรูป ๒. ภังคานุปสสนาญาณ อนั เปนพ้ืนทซี่ ่ึงวิปส สนาเปนไป, พืน้ ฐาน ญาณตามเห็นจําเพาะความดับเดนข้ึน ทด่ี ําเนนิ ไปของวปิ สสนา 1. การปฏบิ ัติ มา ๓. ภยตปู ฏ ฐานญาณ ญาณอันมอง อนั เปน พน้ื ฐานทวี่ ปิ ส สนาดาํ เนนิ ไป คือ เห็นสังขารปรากฏเปนของนากลัว ๔. การมองดูรูเ ขาใจ (สัมมสนะ, มักแปล อาทนี วานปุ ส สนาญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็ กันวาพิจารณา) หรือรูเทาทันสังขารทั้ง
วปิ ส สนายานิก ๓๗๑ วิปส สนูปกเิ ลส หลายตามท่ีมันเปนอนิจจะ ทุกขะ เตม็ ไปทงั้ ตัว ๓. ญาณ ความรทู ่คี มชดั ๔. ปส สทั ธิ ความสงบเย็นกายใจ ๕. อนัตตา อนั ดําเนนิ ไปโดยลําดับ จนเกิด สุข ความสุขฉํ่าช่ืนท่ัวท้ังตัวท่ีประณีต อยางยงิ่ ๖. อธิโมกข ศรัทธาแรงกลา ท่ี ตรุณวปิ สสนา ซึ่งเปน พน้ื ของการกา วสู ทําใหใจผองใสอยางย่ิง ๗. ปคคาหะ ความเพยี รทพ่ี อดี ๘. อปุ ฏ ฐาน สตชิ ดั วิปสสนาทสี่ ูงขนึ้ ไป 2. ธรรมทีเ่ ปน ภมู ิ ๙. อุเบกขา ความวางจิตเปนกลางที่ลง ตัวสนิท ๑๐.นิกันติความตดิ ใจพอใจ ของวปิ ส สนา คอื ธรรมท้ังหลายอันเปน ธรรมทัง้ หมดนี้ (เวนแตนกิ ันติ ซึ่ง พื้นฐานที่จะมองดรู ูเขา ใจ ใหเ กดิ ปญ ญา เปน ตัณหาอยา งสขุ มุ ) โดยตวั มนั เอง มิ ใชเปน สงิ่ เสยี หาย มิใชเปน อกุศล แต เห็นแจงตามเปนจริง ตรงกับคําวา เพราะเปนประสบการณป ระณีตลํา้ เลิศที่ “ปญ ญาภูมิ” ไดแก ขนั ธ ๕ อายตนะ ไมเคยเกิดมีแกตนมากอน จึงเกดิ โทษ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรยี ๒๒ อรยิ สจั จ ๔ เน่ืองจากผูปฏิบัติไปหลงสําคัญผิดเสีย ปฏจิ จสมปุ บาท และ ปฏจิ จสมปุ ปน น- เองวา เปน การบรรลมุ รรคผล ธรรมทัง้ หลาย, เฉพาะอยางยง่ิ ทานเนน ปฏจิ จสมุปบาท ซึ่งเปน ท่รี วมในการทาํ วิปสสนปู กเิ ลสนี้ ไมเ กดิ ขึ้นแกท านที่ ความเขาใจธรรมท้ังหมดน้ัน, วาโดย บรรลุมรรคผลแลว ไมเ กิดข้ึนแกบคุ คล ท่ีปฏิบัติผิดทาง และไมเกิดขึ้นแกคน สาระ กค็ อื ธรรมชาตทิ ง้ั ปวงทมี่ ใี นภมู ิ ๓; เกียจครา นผทู อดทง้ิ กรรมฐาน แตเกดิ ดู วปิ สสนาญาณ ขึ้นเฉพาะแกผูท่ีเจริญวิปสสนามาอยาง วปิ ส สนายานิก ผูมีวปิ ส สนาเปนยานคอื ถกู ตองเทา น้ัน ผู เ จ ริ ญ วิ ป ส ส น า โ ด ย ยั ง ไ ม ไ ด ฌ า น ในพระไตรปฎ ก เรยี กอาการฟงุ ซา นท่ี สมาบัตมิ ากอน เกดิ จากความสาํ คญั ผดิ เอาโอภาสเปน ตน วิปสสนูปกิเลส อุปกิเลสแหงวิปสสนา, นนั้ เปน มรรคผลนพิ พาน วา “ธมั มทุ ธจั จะ” สภาวะท่ีทําใหวิปสสนามัวหมองของขัด, (ธรรมุธัจจ ก็เขียน), แตทานระบุช่ือ โอภาสเปน ตน น้ัน ทีละอยา ง โดยไมม ี สภาพนาช่ืนชม ซึ่งเกิดแกผูเจริญ ช่อื เรยี กรวม, “วิปสสนปู กิเลส” เปนคําท่ี ใชในคัมภีรช ้นั อรรถกถาลงมา (พดู ส้ันๆ วิปสสนาในขั้นที่เปนวิปสสนาอยางออน (ตรณุ วปิ ส สนา) แตก ลายเปน โทษเครอ่ื ง เศรา หมองแหง วปิ ส สนา โดยทาํ ใหเ ขา ใจ ผิดวาตนบรรลุมรรคผลแลว จึงชะงัก หยุดเสีย ไมดําเนินกาวหนาตอไปใน วปิ ส สนาญาณ มี ๑๐ คอื ๑. โอภาส แสงสวา ง ๒. ปติ ความอม่ิ ใจปลาบปลม้ื
วปิ สสี ๓๗๒ วภิ วตณั หา ธรรมุธัจจ ก็คอื ความฟงุ ซา นทเี่ กิดจาก วิปสสนาอยางออน (ตรุณวิปสสนา) ความสาํ คัญผิดตอ วิปสสนปู กเิ ลส) สวนวิปสสนาต้ังแตพนจากวิปสสนูป- เมื่อวิปสสนปู กเิ ลสเกิดขึ้น ผปู ฏิบัติ กเิ ลสเหลา นีไ้ ปแลว (จนถึงสังขารุเปกขา- ท่ีมีปญญานอย จะฟุงซานเขวไปและ ญาณ) จัดเปนวิปสสนาที่มีกาํ ลัง ท่แี รง เกิดกเิ ลสอ่นื ๆ ตามมาดวย, ผูปฏบิ ัตทิ ม่ี ี กลา หรืออยางเขม (พลววปิ ส สนา); ดู ปญญาปานกลาง ก็ฟงุ ซานเขวไป แมจ ะ ญาณ ๑๖; วิปส สนาญาณ ๙; วิสุทธิ ๗ ไมเกิดกิเลสอ่นื ๆ แตจ ะสาํ คัญผิด, ผู วิปสสี พระนามของพระพุทธเจา พระองค ปฏิบตั ิทม่ี ปี ญญาคมกลา ถงึ จะฟุง ซา น หนงึ่ ในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๗ เขวไป แตจะละความสําคญั ผิดได และ วิปากญาณ ปรีชาหยงั่ รผู ลแหงกรรม คอื เจริญวิปสสนาตอไป, สว นผปู ฏิบัติที่มี รูจกั แยกไดว า บรรดาผลทส่ี ตั วท ง้ั หลาย ปญญาคมกลา มาก จะไมฟ ุง ซา นเขวไป ไดรับอันซับซอน อันใดเปนผลของ เลย แตจ ะเจรญิ วิปสสนากาวตอไป กรรมดีหรือกรรมชั่วอยางใดๆ เรียก วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นเรอ่ื งน้ี คอื เมอ่ื วปิ ส สนปู - เตม็ วา กรรมวปิ ากญาณ (ขอ ๒ ใน กิเลสเกิดข้ึน พึงรูเทาทันดวยปญญา ทสพลญาณ) ตามเปนจรงิ วา สภาวะนี้ (เชน วา โอภาส) วิปากทุกข ทุกขที่เปนผลของกรรมช่ัว เกิดข้ึนแลวแกเรา มันเปนของไมเที่ยง เชน ถกู ลงอาชญาไดร บั ความทกุ ขห รือ เกิดมขี น้ึ ตามเหตปุ จ จยั แลวก็จะตอ งดบั ตกอบาย หรือเกดิ วิปฏิสารคอื เดือด สนิ้ ไป ฯลฯ เมื่อรเู ทาทนั ก็ไมห ว่ันไหว รอนใจ ไมฟ ุง ไปตามมัน คือกาํ หนดไดวามันไม วปิ ากวฏั ฏ วนคอื วบิ าก, วงจรสว นวบิ าก, ใชม รรคไมใ ชท าง แตวิปส สนาทพี่ นจาก หนง่ึ ในวัฏฏะ ๓ แหง ปฏจิ จสมปุ บาท วิปสสนูปกเิ ลสเหลาน้ี ซง่ึ ดาํ เนนิ ไปตาม ประกอบดวยวญิ ญาณ นามรปู สฬาย- วิถนี ั่นแหละเปน มรรคเปนทางทถี่ ูกตอง ตนะ ผสั สะ เวทนา, ชาติ ชรามรณะ; ดู นี่คือเปนญาณที่รูแยกไดวามรรค ไตรวัฏฏ และมิใชมรรค นบั เปนวิสุทธขิ อท่ี ๕ คอื วปิ ากสทั ธา ดู สทั ธา มัคคามัคคญาณทัสสนวสิ ุทธิ วิภวตัณหา ความอยากในวภิ พ คือความ วิปสสนาตั้งแตญาณเร่ิมแรก (คือ ทะยานอยากในความไมม ไี มเ ปน อยาก นามรปู ปรจิ เฉทญาณ) จนถงึ มคั คามคั ค- ไมเ ปน นน่ั ไมเ ปน นี่ อยากตายเสยี อยาก ญาณทัสสนวิสุทธิน้ี ทานจัดเปน ขาดสูญ อยากพรากพนไปจากภาวะที่
วภิ ังค ๓๗๓ วิมังสา ตนเกลยี ดชังไมป รารถนา, ความทะยาน ถูกแงผิดแงท่ีดีและแงไมดีประการใด อยากที่ประกอบดวยวิภวทิฏฐิหรือ เปนตน เพ่อื ใหผ ฟู ง เขา ใจสิง่ น้นั เร่ืองนั้น อจุ เฉททิฏฐิ (ขอ ๓ ในตัณหา ๓) อยา งชัดเจน มองเห็นสิ่งทัง้ หลายตามท่ี วิภังค 1. (ในคําวา ”วภิ ังคแหงสกิ ขาบท”) เปน จรงิ เชน มองเหน็ ความเปนอนตั ตา คาํ จาํ แนกความแหงสิกขาบทเพื่ออธบิ าย เปน ตน ไมม องอยางตคี ลุมหรอื เหน็ แต แสดงความหมายใหชดั ขึน้ ; ทานใชเปน ดานเดียวแลวยึดติดในทิฏฐิตางๆ อัน ชื่อเรียกคัมภีรที่จําแนกความเชนนั้นใน ทําใหไมเขาใจถึงความจริงแทตาม พระวนิ ยั ปฎ กวาคมั ภรี ว ภิ ังค คอื คัมภีร สภาวะ จําแนกความสิกขาบทในภิกขุปาฏิโมกข วิภัตติ ชื่อวิธีไวยากรณภาษาบาลีและ เรยี กวา มหาวภิ ังค หรือ ภิกขุวิภงั ค สันสกฤต สาํ หรับแจกศัพทโดยเปลยี่ น คัมภีรจําแนกความตามสิกขาบทใน ทา ยคําใหมรี ปู ตา งๆ กนั เพ่ือบอกการก ภิกขุนีปาฏิโมกขเรียกวา ภิกขุนีวิภังค และกาลเปน ตน เชน คํานาม โลโก วา เปน หมวดตนแหง พระวนิ ยั ปฎ ก 2. ชอื่ โลก, โลกํ ซึ่งโลก, โลกา จากโลก, โลเก ในโลก; คํากริ ยิ า เชน นมติ ยอม คัมภีรท่ี ๒ แหงพระอภิธรรมปฎกที่ นอม, นมตุ จงนอ ม, นมิ นอมแลว อธิบายจําแนกความแหงหลักธรรม สําคญั เชน ขนั ธ อายตนะ ธาตุ ปจ จ- เปน ตน ยาการ เปน ตน ใหช ดั เจนจบไปทลี ะเรอื่ งๆ วภิ าค การแบง, การจาํ แนก, สว น, ตอน วิภชั ชวาที “ผกู ลาวจําแนก”, “ผแู ยกแยะ วิมติวิโนทนี ชื่อคัมภีรฎีกาอธิบายพระ พดู ”, เปน คณุ บทคอื คาํ แสดงคณุ ลกั ษณะ วินัย แตงโดยพระกัสสปเถระ ชาว อยา งหน่ึงของพระพทุ ธเจา หมายความ แควนโจฬะ ในอินเดยี ตอนใต วา ทรงแสดงธรรมแยกแยะแจกแจง วิมละ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเปน ออกไปใหเห็นวา ส่ิงท้ังหลายเกิดจาก สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว สวนประกอบยอยๆ มาประชุมกันเขา ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม อยางไร เชน แยกแยะกระจายนามรปู พรอมดวยสหายอีก ๓ คน คือ สุพาหุ ออกเปน ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ เปนตน ปุณณชิ และ ควัมปติ จัดเปนพระ ส่ิงทั้งหลายมีดานท่ีเปนคุณและดานที่ มหาสาวกองคห นงึ่ เปนโทษอยา งไร เร่อื งน้นั ๆ มขี อ จริงขอ วิมงั สา การสอบสวนทดลอง, การตรวจ เทจ็ อะไรบา ง การกระทําอยา งนั้นๆ มแี ง สอบ, การหมัน่ ตรติ รองพิจารณาเหตุผล
วิมาน ๓๗๔ วิมุตตสิ ขุ ในส่ิงนนั้ (ขอ ๔ ในอิทธิบาท ๔) วิมุตติญาณทัสสนขันธ กองวิมุตติ วิมาน ทอี่ ยูห รอื ทีป่ ระทับของเทวดา ญาณทสั สนะ, หมวดธรรมวา ดว ยความรู วมิ ตุ อักขระทว่ี า ปลอ ยเสียงเชน สณุ าตุ, ความเหน็ วา จติ หลุดพน แลวจากอาสวะ เอสา ตฺติ เชน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ (ขอ ๕ วิมุตตานุตตริยะ การพนอันเยี่ยมคือ ในธรรมขนั ธ ๕) หลุดพนจากกิเลสและกองทุกข ไดแก วิมุตติสุข สุขเกิดแตความหลุดพนจาก พระนิพพาน (ขอ ๓ ในอนุตตริยะ ๓) กเิ ลสอาสวะและปวงทกุ ข; พระพุทธเจา วิมุตติ ความหลุดพน, ความพนจาก กิเลสมี ๕ อยางคือ ๑. ตทงั ควิมตุ ติ ภายหลงั ตรสั รแู ลว ใหมๆ ไดเ สวยวิมุตติ พนดว ยธรรมคูปรบั หรือพนชว่ั คราว ๒. วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกด สุข ๗ สัปดาหต ามลําดับคอื สัปดาหท ี่ ๑ ไว ๓. สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ พนดว ยตัดขาด ๔. ปฏปิ สสทั ธวิ มิ ตุ ติ พนดวยสงบ ๕. ทรงประทับภายใตรมไมมหาโพธิ์ ทรง นิสสรณวิมุตติ พนดวยออกไป; ๒ อยางแรก เปน โลกยิ วมิ ตุ ติ ๓ อยา ง พจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาท สปั ดาหท ่ี ๒ เสดจ็ หลังเปน โลกตุ ตรวมิ ตุ ติ วมิ ุตติกถา ถอ ยคําท่ชี ักนําใหทําใจใหพน ไปประทับยืนดานอีสาน ทรงจองดูตน จากกเิ ลส (ขอ ๙ ในกถาวัตถุ ๑๐) มหาโพธ์ิไมกระพริบพระเนตร ที่นั้น วมิ ตุ ติขันธ กองวิมุตติ, หมวดธรรมวา เรยี กวา อนิมิสเจดยี สปั ดาหท ่ี ๓ ทรง นิรมิตที่จงกรมข้ึนระหวางกลางแหงพระ มหาโพธิ์และอนิมิสเจดยี เสดจ็ จงกรม ตลอด ๗ วัน ทีน่ ้ันเรยี ก รัตนจงกรม- เจดีย สปั ดาหท ี่ ๔ ประทบั นงั่ ขดั บัลลงั ก พจิ ารณาพระอภธิ รรมปฎ ก ณ เรอื นแกว ดว ยวมิ ตุ ติ คอื การทาํ จติ ใหพ น จากอาสวะ ที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแหงตนมหา เชน ปหานะ การละ, สัจฉิกิริยา การทาํ โพธ์ิ ที่นน้ั เรียก รัตนฆรเจดีย สัปดาหท ี่ ๕ ประทบั ใตร ม ไมไ ทร ชอ่ื อชปาลนโิ ครธ ใหแ จง (ขอ ๔ ในธรรมขันธ ๕) วิมุตติญาณทัสสนะ ความรูเห็นใน ทรงตอบปญหาของพราหมณหุหุกชาติ วิมุตติ, ความรูเห็นวาจิตหลุดพนแลว แสดงสมณะและพราหมณท แี่ ท พรอ มทงั้ จากอาสวะทง้ั หลาย ธรรมทที่ าํ ใหเ ปน สมณะและเปน พราหมณ วิมุตติญาณทัสสนกถา ถอยคําท่ีชักนาํ พระอรรถกถาจารยก ลาววา ธิดามาร ๓ ใหเกิดความรูความเห็นในความท่ีใจพน คนไดมาประโลมพระองค ณ ท่ีนี้ จากกเิ ลส (ขอ ๑๐ ในกถาวตั ถุ ๑๐) สปั ดาหท ี่ ๖ ประทบั ใตต นไมจ กิ ชอื่ มุจจ-
วิมุติ ๓๗๕ วริ ยิ ารมั ภะ ลินท มีฝนตก มุจจลนิ ทนาคราชมาวง ได มองเห็นความวาง ๒. อนิมิตต- ขนดแผพังพานปกปองพระองค ทรง วโิ มกข หลดุ พน ดว ยเห็นอนจิ จงั แลว เปลงอทุ านแสดงความสขุ ท่แี ท อนั เกดิ ถอนนิมติ ได ๓. อัปปณหิ ิตวิโมกข หลุด จากการไมเบียดเบียนกัน เปนตน พนดวยเห็นทุกข แลวถอนความ สัปดาหที่ ๗ ประทบใตตนไมเกดช่ือ ปรารถนาได ราชายตนะ พาณชิ ๒ คน คอื ตปสุ สะและ วริ ตั ิ ความเวน , งดเวน; เจตนาท่งี ดเวน ภลั ลกิ ะ เขา มาถวายสัตตุผง สตั ตกุ อ น จากความช่วั ; วิรัติ ๓ คือ ๑. สัมปต ต- และไดแสดงตนเปนปฐมอุบาสกถึง ๒ วิรัติ เวนไดซึ่งสิ่งท่ีประจวบเขา ๒. สรณะ เม่ือสิ้นสัปดาหท่ีเจ็ดที่นี้แลว สมาทานวิรตั ิ เวน ดวยการสมาทาน ๓. เสด็จกลับไปประทับใตตนอชปาล- สมุจเฉทวริ ตั ิ เวน ไดโ ดยเด็ดขาด นิโครธอีก ทรงดําริถึงความลึกซ้ึงแหง วิราคะ ความส้นิ กําหนดั , ธรรมเปน ทีส่ ้ิน ธรรมท่ีตรัสรู คือปฏิจจสมุปบาทและ ราคะ, ความคลายออกไดห ายตดิ เปน นพิ พาน แลว นอมพระทยั ทีจ่ ะไมแ สดง ไวพจนข อง นิพพาน ธรรม เปนเหตุใหสหมั บดพี รหมมากราบ วิราคสัญญา กําหนดหมายธรรมเปนท่ี ทลู อาราธนา และ ณ ทนี่ เี้ ชน กนั ไดท รง สนิ้ ราคะ หรอื ภาวะปราศจากราคะวา เปน พระดํารเิ กย่ี วกับสติปฏ ฐาน ๔ ทเ่ี ปน ธรรมละเอยี ด (ขอ ๖ ในสัญญา ๑๐) เอกายนมรรค และอินทรยี ๕ อนั มี วิรยิ ะ ความเพยี ร, ความบากบน่ั , ความ อมตธรรมเปนที่หมาย; พึงสังเกตวา เพยี รเพ่อื จะละความช่วั ประพฤติความ เร่อื งในสปั ดาหที่ ๒, ๓, ๔ นน้ั เปน ด,ี ความพยายามทํากจิ ไมทอ ถอย (ขอ สวนท่ีพระอรรถกถาจารยกลาวแทรก ๕ ในบารมี ๑๐, ขอ ๓ ในโพชฌงค ๗, เขามา ความนอกนั้นมาในมหาวรรค ขอ ๒ ในอิทธิบาท ๔) แหงพระวินัยปฎก (เรื่องดําริถึงสติ- วิริยวาท ผูถือหลักการแหงความเพียร, ปฏฐานและอินทรียมาในสังยุตตนิกาย หลักการแหงความเพียร; ดู กรรมวาท มหาวารวรรค พระสตุ ตันตปฎ ก) วริ ยิ สังวร สาํ รวมดวยความเพียร (ขอ ๕ วิมตุ ิ ดู วมิ ตุ ติ ในสังวร ๕) วโิ มกข ความหลดุ พน จากกเิ ลส มี ๓ วิริยารัมภะ ปรารภความเพยี ร คือลงมอื ประเภท คอื ๑. สุญญตวิโมกข หลดุ พน ทําความเพียรอยางเขมแข็งเด็ดเด่ียว, ดวยเห็นอนัตตาแลวถอนความยึดมั่น ระดมความเพยี ร (ขอ ๔ ในเวสารัชช-
วิรยิ ารัมภกถา ๓๗๖ วศิ าล กรณธรรม ๕, ขอ ๗ ในลักษณะตดั สิน กันวา สง่ิ นีเ้ ปน ธรรม เปนวนิ ัย สงิ่ นี้ไม ธรรมวินยั ๘, ขอ ๕ ในสัทธรรม ๗, ขอ ใชธ รรม ไมใ ชว ินัย ขอน้ี พระพทุ ธเจา ๗ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ตรสั ไว ขอน้ไี มไดต รัสไว ดังนเี้ ปนตน วริ ิยารมั ภกถา ถอ ยคาํ ทีช่ กั นาํ ใหปรารภ ววิ าหะ การแตงงาน, การสมรส ความเพยี ร (ขอ ๕ ในกถาวัตถุ ๑๐) วเิ วก ความสงดั มี ๓ คอื อยใู นทีส่ งัด วริ ุฬหก ดู จาตมุ หาราช เปน กายวเิ วก จิตสงบเปน จติ ตวเิ วก วริ ปู ก ษ ดู จาตมุ หาราช หมดกเิ ลสเปน อปุ ธวิ เิ วก วิวฏั ฏ, ววิ ฏั ฏะ ปราศจากวัฏฏะ, ภาวะ วิศวามิตร ครูผูสอนศิลปวิทยาแกพระ พนวฏั ฏะ ไดแ ก นิพพาน ราชกุมารสทิ ธตั ถะ ววิ ฏั ฏกปั ดู กปั วิศาขนักษัตร หมูดาวฤกษช่ือวิศาขะ ววิ ฏั ฏฐายกี ปั ดู กัป (ดาวคันฉัตร) เปน หมูด าวฤกษท่ี ๑๖ มี ววิ าท การทะเลาะ, การโตแ ยงกัน, การ ๕ ดวง; ดู ดาวนกั ษัตร กลาวเก่ยี งแยงกัน, กลา วตา ง คอื วา ไป วิศาขบรุ ณมี ดู วศิ าขปุรณมี วศิ าขบชู า การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๖ คนละทาง ไมลงกนั ได ววิ าทมูล รากเหงา แหงการเถียงกนั , เหตุ เพื่อรําลึกถึงคุณของพระพุทธเจาเน่ือง ทกี่ อ ใหเ กดิ ววิ าท กลายเปน ววิ าทาธกิ รณ ในวันประสูติ ตรัสรู และปรินพิ พานของ มี ๒ อยา ง คอื ๑. กอ ววิ าทข้นึ ดว ย พระองค; วสิ าขบชู า ก็เขยี น ความปรารถนาดี เห็นแกธ รรมวนิ ยั มี วิศาขปุรณมี วนั เพญ็ เดอื น ๖, วันกลาง จติ ประกอบดว ยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เดือน ๖, วันขึ้น ๑๕ คํ่า เดอื น ๖, ดิถมี ี ๒. กอววิ าทดว ยความปรารถนาเลว ทํา พระจันทรเ ต็มดวง ประกอบดวยวศิ าข- ดว ยทิฏฐมิ านะ มจี ิตประกอบดวยโลภะ ฤกษ (วิศาขนักษตั ร); นีเ้ ขยี นตามนิยม โทสะ โมหะ อยางหนึ่งในหนังสือเกา, นอกจากน้ี วิวาทมูลกทุกข ทุกขมีวิวาทเปนมูล, เขยี นกนั อกี หลายอยา ง เปน วศิ าขบรุ ณมี ทกุ ขเกิดเพราะการทะเลาะกันเปนเหตุ บา ง วสิ าขบรุ ณมี บาง วสิ าขปรุ ณมี บาง, วิวาทาธิกรณ วิวาทท่ีจัดเปนอธิกรณ, ปจ จบุ ัน อาจจะเขียน วสิ าขบณุ มี หรือ การวิวาทซึ่งเปนเรื่องที่สงฆจะตองเอา วสิ าขปณุ มีหรอื วสิ าขบรู ณมี หรอื วสิ าข- ธุระดาํ เนนิ การพิจารณาระงับ ไดแกก าร ปรู ณมี เถยี งกันปรารภพระธรรมวินยั เชน เถียง วิศาล กวางขวาง, แผไ ป
วิสภาค ๓๗๗ วสิ าขา วสิ ภาค มสี ว นไมเ สมอกัน คอื ขดั กนั เขา วา ขีดขั้นแหงความเปนไปได หรือ กนั ไมไ ด ไมถ กู กัน หรือไมกลมกลืน ขอบเขตความสามารถ กัน, ไมเ หมาะกัน วิสาขบณุ ม,ี วิสาขบูรณม,ี วิสาขปุณมี วสิ มปริหารชา อาพาธา ความเจ็บไขท่ี วนั เพ็ญเดือน ๖; ดู วิศาขปรุ ณมี เกดิ จากบริหารรา งกายไมส มํา่ เสมอ คือ วสิ าขบูชา ดู วศิ าขบูชา ผลัดเปลย่ี นอิรยิ าบถไมพอดี; ดู อาพาธ วิสาขปุรณมี ดู วศิ าขปรุ ณมี วิสสาสะ 1. ความคุนเคย, ความสนิท วสิ าขมาส, เวสาขมาส เดือน ๖ สนม การถือวาเปนกันเอง, ในทางพระ วิสาขา ช่ือมหาอุบาสิกาสําคัญในคร้ัง วินยั การถอื เอาของของผอู ่ืนท่จี ัดวา เปน พุทธกาล เปนธิดาของธนัญชัยเศรษฐี การถือวิสสาสะ มอี งค ๓ คือ ๑. เคย และนางสุมนา เกิดท่ีเมืองภัททิยะใน เห็นกนั มา เคยคบกนั มา หรือไดพ ูดกนั แควนอังคะ ไดบรรลุโสดาปตติผลตั้ง ไว ๒. เจาของยังมชี ีวิตอยู ๓. รวู า ของ แตอายุ ๗ ขวบ ตอมาไดย า ยตามบดิ า เราถือเอาแลวเขาจักพอใจ, บัดน้ีนิยม มาอยทู ่ีเมืองสาเกต ในแควน โกศล แลว เขยี น วิสาสะ 2. ความนอนใจ ดงั พุทธ- ไดสมรสกับนายปุณณวัฒน บุตรชาย ดํารัสวา “ภิกษุเธอยังไมถึงความส้ิน มคิ ารเศรษฐแี หง เมอื งสาวตั ถี และยาย อาสวะแลวอยาไดถ ึง วสิ สาสะ (ความ ไปอยูในตระกูลฝายสามี นางสามารถ นอนใจ)” กลับใจมิคารเศรษฐี บดิ าของสามี ซึง่ วสิ สาสิกชน คนท่ีสนทิ สนมคนุ เคย, คน คุนเคยกัน, วสิ าสิกชน กใ็ ช นบั ถอื นคิ รนถ ใหห นั มานบั ถอื พระพทุ ธ- วิสังขาร ธรรมท่ีปราศจากการปรุงแตง, ศาสนา มิคารเศรษฐีนับถือนางมาก ธรรมอันมิใชส งั ขาร คอื พระนพิ พาน วิสชั ชกะ ผูจ า ย, ผแู จกจา ย; ผูตอบ, ผู และเรียกนางวิสาขาเปน แม นางวิสาขา จงึ ไดช อ่ื ใหมอ กี อยา งหนงึ่ วา มิคารมาตา (มารดาของมคิ ารเศรษฐ)ี นางวสิ าขาได วิสัชชนา อปุ ถมั ภบ าํ รงุ พระภกิ ษสุ งฆอ ยา งมากมาย วิสชั ชนา คําตอบ, คําแกไ ข; คาํ ชี้แจง และไดขายเคร่ืองประดับ เรียกชื่อวา (พจนานุกรม เขยี น วสิ ัชนา) มหาลดาปสาธน ซงึ่ มคี า สงู ยง่ิ อนั ประจาํ วสิ ัญญี หมดความรสู ึก, ส้ินสต,ิ สลบ วิสัย ภูม,ิ พื้นเพ, อารมณ, เขต, แดน, ตัวมาตั้งแตแตงงาน นาํ เงนิ มาสรา งวดั ถวายแดพ ระพทุ ธเจา และภกิ ษสุ งฆค อื วดั ลักษณะท่เี ปน อยู, ไทยใชในความหมาย บพุ พาราม มคิ ารมาตปุ ราสาท ณ พระนคร
วิสามญั ๓๗๘ วิสุทธิ สาวตั ถี นางวิสาขามบี ุตรหลานมากมาย ชําระสัตวใหบริสุทธ์ิดวยการบําเพ็ญ ลวนมีสขุ ภาพดีแทบทงั้ น้ัน แมวา นางจะ ไตรสิกขาใหบริบูรณเปนข้ันๆ ไปโดย มอี ายยุ นื ถงึ ๑๒๐ ป กด็ ไู มแ ก และเปน ลําดับ จนบรรลุจุดหมายคือพระ บคุ คลทไี่ ดร บั ความนบั ถอื อยา งกวา งขวาง นพิ พาน มี ๗ ข้ัน (ในท่ีนี้ ไดระบุธรรม ในสงั คม ไดร บั ยกยอ งจากพระศาสดาวา ที่มีที่ไดเปนความหมายของแตละขั้น เปนเอตทัคคะในบรรดาทายิกาทั้งปวง; ตามท่ีแสดงไวในอภิธัมมัตถสังคหะ) ดู บพุ พาราม, ตลุ า คือ ๑. สลี วสิ ุทธิ ความหมดจดแหงศลี วิสามัญ แปลกจากสามัญ, ไมใช (ไดแ ก ปารสิ ทุ ธศิ ีล ๔) ๒. จติ ตวสิ ทุ ธิ ธรรมดา, ไมทวั่ ไป, เฉพาะ ความหมดจดแหง จิตต (ไดแ ก สมาธิ ๒ วิสารทะ แกลว กลา, ชํานาญ, ฉลาด วสิ าสะ ดู วิสสาสะ คือ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ) วิสาสิกชน คนคนุ เคย; ดู วสิ สาสกิ ชน ๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแหงทิฏฐิ วสิ ุงคาม แผนกหนง่ึ จากบา น, แยกตาง (ไดแก นามรปู ปรคิ คหญาณ) ๔. กังขา- หากจากบา น วิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณ วิสุงคามสีมา แดนแผนกหนึ่งจากแดน เปนเครื่องขามพนความสงสัย (ไดแก บาน คือ แยกตา งหากจากเขตบา น, ใน ปจจัยปริคคหญาณ) ๕. มัคคามัคค- ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง ที่น้ีหมายถึง ที่ดินที่พระเจาแผนดิน ญาณเปนเครื่องรูเห็นวา ทางหรอื มใิ ชท าง ประกาศพระราชทานใหแกสงฆ (ไดแ ก ตอ สมั มสนญาณ ขน้ึ สอู ทุ ยพั พย- วิสุทธชนวิลาสินี ชื่ออรรถกถาอธิบาย ความในคัมภีรอปทาน แหงพระ ญาณ เปนตรุณวิปสสนา เกดิ วิปสสนปู - สุตตันตปฎก เรียบเรียงข้ึนเปนภาษา กเิ ลส แลว รเู ทาทนั วา อะไรใชทาง อะไร มิใชทาง) ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ บาลี โดยอาศัยนัยแหงอรรถกถาเกา ความหมดจดแหงญาณอันรูเห็นทาง ภาษาสิงหฬท่ีสืบมาในลังกาทวีป ไม ดําเนิน (ไดแ ก วปิ ส สนาญาณ ๙ นบั แต ปรากฏนามทานผูรจนา แตคัมภีรจูฬ- อทุ ยพั พยญาณท่ีผานพนวิปสสนูปกิเลส คันถวงส (แตงในพมา) วา เปนผลงาน แลว เกดิ เปนพลววิปส สนา เปน ตน ไป ของพระพทุ ธโฆสาจารย; ดู โปราณัฏฐ- จนถึงอนุโลมญาณ) ๗. ญาณทัสสน- กถา, อรรถกถา วิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณทัสสนะ วิสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธ,์ิ ความหมดจด, การ (ไดแ ก มรรคญาณ ๔ มโี สดาปต ตมิ รรค
วสิ ทุ ธิเทพ ๓๗๙ วเิ หสกกรรม เปนตน แตละขัน้ ); ดู ปาริสุทธิศลี ๔, ประสงค เมือ่ ทํางานเสร็จสนิ้ แลว ทานก็ สมาธิ ๒, วิปสสนาญาณ ๙, ญาณ ๑๖ เดนิ ทางกลบั สชู มพทู วปี พระพทุ ธโฆสา- วิสทุ ธิเทพ เทวดาโดยความบรสิ ุทธิ์ ได จารยเปนพระอรรถกถาจารยผ ูย ่ิงใหญท ี่ แกพ ระอรหนั ต (ขอ ๓ ในเทพ ๓) สดุ มีผลงานมากท่ีสุด วสิ ทุ ธมิ รรค, วสิ ทุ ธมิ คั ค ปกรณพ เิ ศษ วิสุทธิอุโบสถ อุโบสถที่ประกอบดวย อธิบายศีล สมาธิ ปญ ญา ตามแนว ความบริสุทธิ์ หรืออุโบสถที่ทําโดยท่ี วสิ ทุ ธิ ๗ พระพุทธโฆสาจารย พระ ประชุมสงฆซ่ึงมคี วามบริสทุ ธ์ิ หมายถงึ อรรถกถาจารยชาวอินเดียเปนผูแตงท่ี การทําอุโบสถซึ่งท่ีประชุมมีแตพระ มหาวหิ ารในเกาะลังกา; พระพุทธโฆสะ อรหนั ตล วนๆ เชน กลา วถงึ การประชมุ หรือที่นิยมเรยี กวาพระพุทธโฆสาจารยน ้ี พระอรหนั ต ๑,๒๕๐ รปู คราวจาตรุ งค- เปน บตุ รพราหมณ เกดิ ทห่ี มบู า นหนงึ่ ใกล สันนิบาต วาทาํ วสิ ุทธิอโุ บสถ พทุ ธคยา อันเปน สถานทต่ี รัสรขู องพระ วิสูตร มาน พุทธเจา ในแควนมคธเม่ือประมาณ วิหาร ท่ีอยู, ท่ีอยูของพระสงฆ; ท่ี พ.ศ. ๙๕๖ เรยี นจบไตรเพท มีความ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู คกู บั โบสถ; การ เช่ียวชาญมาก ตอมาพบกับพระเรวต- พกั ผอ น, การเปน อยหู รอื ดาํ เนนิ ชวี ติ เถระ ไดโตตอบปญ หากนั สูพระเรวต- วิหารธรรม ธรรมเปน เคร่อื งอย,ู ธรรม เถระไมได จึงขอบวชเพื่อเรียนพุทธ ประจําใจ, ธรรมท่ีเปนหลักใจในการ วจนะ มีความสามารถมาก ไดรจนา ดําเนินชีวิต คมั ภีร ญาโณทัย เปนตน พระเรวตเถระ วิหารวตั ถุ พืน้ ท่ปี ลกู กฎุ ี วหิ าร จงึ แนะนาํ ใหไ ปเกาะลงั กา เพอื่ แปลอรรถ วหิ งิ สา การเบียดเบียน, การทํารา ย กถาสงิ หฬ กลบั เปน ภาษามคธ ทานเดิน วหิ งิ สาวติ ก ความตรกึ ในทางเบยี ดเบยี น, ทางไปท่ีมหาวิหาร เกาะลงั กา เม่ือขอ ความคิดในทางทําลายหรือกอความ อนุญาตแปลคัมภีร ถูกพระเถระแหง เดอื ดรอ นแกผ อู น่ื (ขอ ๓ ในอกศุ ลวติ ก ๓) มหาวหิ ารใหค าถามา ๒ บท เพอ่ื แตง วิเหสกกรรม กรรมที่จะพึงกระทําแก ทดสอบความรู พระพุทธโฆสาจารยจ งึ ภิกษุผูทําสงฆใหลําบาก คือ ภิกษุ แตงคําอธิบายคาถาท้ังสองน้ันขึ้นเปน ประพฤติอนาจาร สงฆเรียกตัวมาถาม คัมภีรวิสุทธิมรรค จากน้ันก็ไดรับ นิ่งเฉยเสียไมตอบ เรียกวา เปน ผทู ําสงฆ อนุญาตใหทํางานแปลอรรถกถาไดตาม ใหลําบาก, สงฆยกวิเหสกกรรมขน้ึ คือ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: