Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Description: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

ปญ ญาสมั ปทา ๒๓๐ ปตตานโุ มทนามยั คาํ คอื สัตมวาร (หรอื สัตตมวาร, วันที่ ปณณเภสัช พืชมีใบเปนยา, ยาทาํ จากใบ ๗ หรอื วันที่ครบ ๗) และ ศตมวาร พืช เชน ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบ (วันท่ี ๑๐๐ หรือวันทคี่ รบ ๑๐๐), อน่ึง กระดอม ใบกะเพรา เปน ตน คําวา “ปญ ญาสมวาร” นี้ ไมพ ึงสับสน ปณณตั ติวัชชะ อาบัติที่เปนโทษทางพระ กบั คาํ วา “ปณรสมวาร” ท่ีแปลวา วาระ บญั ญตั ิ คอื คนสามญั ทาํ เขา ไมเ ปน ความ ที่ ๑๕ คร้ังท่ี ๑๕ หรอื วันที่ ๑๕ ผดิ ความเสยี หาย เปน ความผดิ เฉพาะแก ปญญาสัมปทา ความถึงพรอมดวย ภกิ ษุ โดยฐานละเมดิ พระบญั ญัติ เชน ปญญา คือ รจู ักบาป บญุ คณุ โทษ ฉันอาหารในเวลาวิกาล ขดุ ดิน ใชจ วี รที่ ประโยชน มใิ ชประโยชน และเขา ใจชีวิต ไมไดพินทุ น่ังนอนบนเตียงต่ังท่ีไมได นี้ตามความเปนจริง ท่ีจะไมใหลุมหลง ตรงึ เทา ใหแนน เปนตน ; เทียบ โลกวัชชะ มวั เมา (ขอ ๔ ในธรรมท่เี ปน ไปเพ่อื ปตตคาหาปกะ ภิกษุผูไดรับสมมติคือ สัมปรายกิ ตั ถะ ๔) แตงตั้งจากสงฆใหมีหนาท่ีเปนผูแจก ปญญาสิกขา สิกขา คือ ปญญา, ขอ บาตร ปฏิบัติสําหรับฝกอบรมปญญา เพื่อให ปตตนิกกุชชนา การควาํ่ บาตร; ดู คว่าํ เกดิ ความรเู ขาใจเหตผุ ล รอบรูส่งิ ทีเ่ ปน บาตร, ปกาสนียกรรม ประโยชน และไมเ ปนประโยชน ตลอด ปตตปณฑิกังคะ องคแหงผูถือฉัน จนรแู จง สภาวะของสงิ่ ทง้ั หลายตามความ เฉพาะในบาตรเปนวตั ร คือ ถอื การฉัน เปน จรงิ ทถ่ี กู ตอ งเขยี น อธปิ ญ ญาสกิ ขา เฉพาะในบาตร ไมใ ชภ าชนะอ่ืน (ขอ ๖ ปญหา คําถาม, ขอ สงสยั , ขอ ตดิ ขดั อดั ในธุดงค ๑๓) ปตตวรรค หมวดอาบัติกําหนดดวย อั้น, ขอ ท่ีตอ งคิดตอ งแกไข ปณฑกะ บณั เฑาะก, กะเทย บาตร, ช่ือวรรคท่ี ๓ แหงนสิ สคั คิย- ปณ ฑกุ ะ ชอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อยใู นพวกภกิ ษุ ปาจิตตีย เหลวไหลท้ัง ๖ ท่ีเรียกวาฉัพพัคคีย ปตตอุกกุชชนา การหงายบาตร; ดู หงาย (พระพวก ๖ ทีช่ อบกอเร่อื งเสียหาย ทาํ บาตร, ปกาสนยี กรรม ใหพระพุทธเจาตองทรงบัญญตั สิ กิ ขาบท ปตตานุโมทนามัย บุญสําเร็จดวยการ หลายขอ ) อนโุ มทนาสว นบญุ , ทําบุญดว ยการยนิ ปณฑปุ ลาส ใบไมเ หลอื ง (ใบไมแ ก); คน ดใี นการทําดีของผูอ่ืน (ขอ ๗ ในบุญ- เตรยี มบวช, คนจะขอบวช กริ ิยาวัตถุ ๑๐)

ปต ตทิ านมยั ๒๓๑ ปาฏเิ ทสนยี ะ ปตติทานมัย บญุ สาํ เรจ็ ดวยการใหส ว น ปสสาวะ เบา, เย่ยี ว, มตู ร บุญ, ทําบุญดวยการเฉล่ียสวนแหง ปส สาสะ ลมหายใจออก ความดใี หแกผูอื่น (ขอ ๖ ในบุญกิรยิ า- ปาง ครั้ง, คราว, เมือ่ ; เรยี กพระพทุ ธรูป วตั ถุ ๑๐) ที่สรางอุทิศเหตุการณในพุทธประวัติ ปปผาสะ ปอด เฉพาะคร้ังน้ันๆ โดยมรี ูปลักษณเ ปน ปพพชาจารย อาจารยผูใหบรรพชา; พระอิริยาบถหรือทา ท่ีส่ือความหมาย เขียนเต็มรูปเปน ปพพัชชาจารย จะ ถึงเหตุการณเฉพาะครงั้ นน้ั ๆ วาเปนปาง เขียน บรรพชาจารย กไ็ ด ชื่อนนั้ ๆ เชน พระพุทธรปู ปางหา มญาติ ปพ พชาเปกขะ กลุ บตุ รผเู พง บรรพชา, ผู พระพุทธรปู ปางไสยาสน ตง้ั ใจจะบวชเปน สามเณร, ผขู อบวชเปน ปาจิตติยุทเทส หมวดแหงปาจิตติย- สามเณร; เขยี นเตม็ รปู เปน ปพ พชั ชา- สกิ ขาบท ทย่ี กข้นึ แสดง คอื ทสี่ วดใน เปกขะ ปาฏิโมกข ปพพัชชา การถือบวช, บรรพชาเปน ปาจติ ตีย “การละเมิดอันยงั กุศลใหต ก”, อุบายฝก อบรมตนในทางสงบ เวน จาก ชื่ออาบัติจําพวกหน่ึง จัดไวในจําพวก ความชั่วมีการเบียดเบียนกันและกัน อาบัติเบา (ลหุกาบตั )ิ พน ไดด ว ยการ เปนตน (ขอ ๒ ในสปั ปุริสบญั ญตั ิ ๓) แสดง; เปน ชอ่ื สกิ ขาบท ไดแ กน สิ สคั คยิ - ปพพาชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทํา ปาจิตตีย ๓๐ และสุทธิกปาจิตตีย ซึง่ แกภิกษุอันพึงจะไลเสีย, การขับออก เรียกกนั สัน้ ๆ วา ปาจติ ตีย อีก ๙๒ จากหมู, การไลอ อกจากวัด, กรรมนี้ ภกิ ษุลวงละเมดิ สิกขาบท ๑๒๒ ขอ เหลา สงฆทําแกภิกษุผูประทุษรายสกุลและ นย้ี อ มตอ งอาบตั ปิ าจติ ตยี  เชน ภกิ ษพุ ดู ประพฤติเลวทรามเปนขาวเซ็งแซหรือ ปด ฆา สตั วด ริ จั ฉาน วา ยนาํ้ เลน เปนตน แกภ ิกษผุ ูเ ลนคะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบ ตองอาบตั ปิ าจติ ตยี ; ดู อาบัติ ลางพระบญั ญตั ิ ๑ มิจฉาชีพ ๑ (ขอ ๑ ปาจีน ทางทิศตะวันออก, ชาวตะวัน ออก; ดู ชาวปาจีน ในนคิ หกรรม ๖) ปสสทั ธิ ความสงบกายสงบใจ, ความ ปาจนี ทศิ ทศิ ตะวันออก สงบใจและอารมณ, ความสงบเย็น, ปาฏลีบุตร เมืองหลวงของแควนมคธ ความผอนคลายกายใจ (ขอ ๕ ใน สมัยพระเจา อโศกมหาราช โพชฌงค ๗) ปาฏิเทสนยี ะ “จะพึงแสดงคนื ”, อาบตั ิท่ี

ปาฏิบท ๒๓๒ ปาฏโิ มกขยอ จะพึงแสดงคืน เปนช่ือลหุกาบัติ คือ พุทธพจน ๓ คาถากง่ึ ดังท่ไี ดตรัสในท่ี อาบัติเบาอยางหน่ึงถัดรองมาจาก ประชมุ พระอรหันต ๑,๒๕๐ องค ในวนั ปาจิตตยี  และเปน ช่ือสกิ ขาบท ๔ ขอซึ่ง มาฆปณุ มี หลงั ตรสั รูแลว ๙ เดอื น, แปลไดว า พงึ ปรบั ดว ยอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ อรรถกถากลาววา พระพุทธเจาทรง เชน ภิกษรุ ับของเค้ียวของฉัน จากมือ แสดงโอวาทปาฏิโมกขในที่ประชุมพระ ของภิกษุณีท่ีมิใชญาติ ดว ยมือของตน สงฆเปนประจาํ ตลอด ๒๐ พรรษาแรก มาบรโิ ภค ตอ งอาบตั ิปาฏเิ ทสนยี ะ; ดู ตอ จากนนั้ จงึ ไดร บั สัง่ ใหพ ระสงฆส วด อาบตั ิ อาณาปาฏิโมกขกันเองสืบตอมา; ปาฏบิ ท วนั ขน้ึ คาํ่ หนง่ึ หรอื วนั แรมคาํ่ หนง่ึ (พจนานกุ รมเขยี น ปาตโิ มกข) ; ดู โอวาท- แตม กั หมายถงึ อยา งหลงั คอื แรมคา่ํ หนง่ึ ปาฏิโมกข ปาฏิบุคลิก ดู ปาฏิปคุ คลกิ ปาฏิโมกขยอ มีพุทธานุญาตใหสวด ปาฏิปทกิ ะ อาหารถวายในวนั ปาฏบิ ท ปาฏิโมกขยอได ในเม่ือมีเหตุจําเปน ปาฏปิ ุคคลกิ เฉพาะบคุ คล, ไมท่วั ไป, อยา งใดอยางหนง่ึ ในเหตุ ๒ อยา ง คือ ถวายเปนสวนปาฏิปุคคลิก ถือถวาย ๑. ไมม ภี กิ ษจุ าํ ปาฏโิ มกขไ ดจ นจบ (พงึ เจาะจงบคุ คลไมใ ชถ วายแกสงฆ สวดเทา อเุ ทศทจ่ี าํ ได) ๒. เกดิ เหตฉุ กุ เฉนิ ปาฏิโมกข ช่ือคัมภีรที่ประมวลพุทธ- ขัดของท่ีเรียกวาอันตรายอยางใดอยาง บญั ญตั อิ นั ทรงตง้ั ขน้ึ เปน พทุ ธอาณา ไดแ ก หนง่ึ ในอนั ตรายทงั้ ๑๐ (กาํ ลังสวดอเุ ทศ อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา มพี ระพทุ ธานญุ าต ใดคา งอยู เลกิ อเุ ทศนน้ั กลางคนั ได และ ใหส วดในทปี่ ระชมุ สงฆท กุ กงึ่ เดอื น เรยี ก พงึ ยอ ต้ังแตอุเทศนน้ั ไปดว ยสุตบท คือ คําวา สุต ทีป่ ระกอบรูปเปน สุตา ตาม กนั วา พระสงฆท าํ อโุ บสถ, คมั ภรี ท ร่ี วม ไวยากรณ ท้ังน้ียกเวนนิทานุทเทสซึ่ง วนิ ยั ของสงฆ สําหรับภกิ ษุ เรียก ภิกขุ- ตอ งสวดใหจ บ) ปาฏโิ มกข มสี กิ ขาบท ๒๒๗ ขอ และ สาํ หรบั ภกิ ษณุ ี เรยี ก ภกิ ขนุ ปี าฏโิ มกข สมมติวาสวดปาราชิกุทเทสจบแลว มสี กิ ขาบท ๓๑๑ ขอ ; ปาฏโิ มกข ๒ คอื ถา สวดยอ ตามแบบทที่ า นวางไวจ ะไดด งั น:้ี ๑.อาณาปาฏโิ มกข ปาฏิโมกขที่เปนพระ “สตุ า โข อายสมฺ นเฺ ตหิ เตรส สงฆฺ าทเิ สสา ธมมฺ า, สตุ า โข อายสมฺ นเฺตหิ เทวฺ อนยิ ตา พุทธอาณา ไดแ ก ภิกขปุ าฏิโมกข และ ธมฺมา, ฯเปฯ ลงทายวา เอตฺตกํ ตสสฺ ภิกขุนีปาฏิโมกข ๒.โอวาทปาฏโิ มกข ภควโตฯเปฯสกิ ขฺ ติ พพฺ ”ํ ปาฏิโมกขที่เปนพระพุทธโอวาท ไดแ ก

ปาฏิโมกขสังวร ๒๓๓ ปาฏิหารยิ ปกษ แบบทว่ี างไวเ ดมิ น้ี สมเดจ็ พระมหา- นํามารักษาซํ้าทุกปๆ”, เปนชื่อวิธีรักษา อุโบสถแบบหนึ่งสําหรับคฤหัสถ เรียก สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ไม ตามกําหนดระยะเวลาท่ีต้ังไวสําหรับ รกั ษาประจาํ ป แตร ะยะเวลาทก่ี าํ หนดนน้ั ทรงเหน็ ดว ยในบางประการ และทรงมพี ระ อรรถกถาท้ังหลายมีมติแตกตางกันไป หลายแบบหลายอยา ง จนบางแหง บอกวา มตวิ า ควรสวดยอ ดงั นี้ (สวดปาราชกิ ทุ เทส พึงเลือกตามมติที่พอใจ เพราะความ จบแลว สวดคาํ ทา ยทเี ดยี ว): “อทุ ทฺ ฏิ  ํ โข สาํ คญั อยทู กี่ ารตงั้ ใจรกั ษาดว ยจติ ปสาทะ อายสมฺ นโฺ ต นทิ าน,ํ อทุ ทฺ ฏิ า จตฺตาโร ใหเ ตม็ อม่ิ สมบรู ณ (เชน มตหิ นงึ่ วา คอื ปาราชกิ า ธมมฺ า, สตุ าเตรสสงฆฺ าทเิ สสา อโุ บสถท่ีรักษาประจาํ ตอ เนอื่ งตลอดไตร- ธมฺมา, ฯเปฯ สุตา สตฺตาธิกรณสมถา มาสแหงพรรษา ถาไมส ามารถ ก็รกั ษา ธมฺมา, เอตฺตกํ ฯเปฯ สิกฺขิตพฺพํ”; ดู ตลอดเดือนหน่ึงระหวางวันปวารณาทั้ง อันตราย ๑๐ สอง คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ ปาฏโิ มกขสงั วร สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๑๒ ถา ไมส ามารถ ก็ เวนขอท่ีพระพุทธเจาหาม ทําตามขอที่ รักษาครึ่งเดือนถัดจากวันปวารณาแรก คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๑ เปน ตน ไป พระองคอ นญุ าต ประพฤตเิ ครง ครดั ใน ตลอดกาฬปก ษ คอื ตลอดขางแรม, แต มติหน่งึ วา รกั ษา ๕ เดือน คอื ตงั้ แตกอ น สกิ ขาบททงั้ หลาย (ขอ ๑ ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔, พรรษา ๑ เดอื น ตลอดพรรษา ๓ เดอื น กบั หลงั พรรษาอกี ๑ เดอื น, อกี มตหิ นงึ่ ขอ ๑ ในสงั วร ๖, ขอ ๑ ในองคแหง วา รกั ษา ๓ เดอื น คอื เดอื น ๘ เดอื น ๑๒ และเดอื น ๔, อกี มตหิ นง่ึ วา คอื ๔ วนั ภกิ ษุใหม ๕), ที่เปน ขอ ๑ ในปาริสทุ ธิศีล กอนและหลังวันอุโบสถปกติ ไดแกวนั ๔ นนั้ เรยี กเตม็ วา ปาฏโิ มกขสงั วรศลี ๑๓ ๑ ๗ และ ๙ คา่ํ มตทิ า ยนก้ี ลายเปน (ปาตโิ มกขสงั วรศลี ก็เขียน) แปลวา ศีล มวี นั รบั -วนั สง ซง่ึ จะสบั สนกบั ปฏชิ าคร- อโุ บสถ), ปาฏหิ ารยิ ปก ษน บ้ี างทกี เ็ รยี กวา คือความสาํ รวมในพระปาฏิโมกข ปาฏิหาริยอุโบสถ ซึ่งเปนอยางหน่ึงใน ปาฏิหาริย ส่งิ ท่นี าอัศจรรย, เร่อื งทน่ี า อุโบสถ ๓ ประเภท ของคฤหัสถ; ดู อศั จรรย, การกระทาํ ที่ใหบ ังเกิดผลเปน อัศจรรย มี ๓ คอื ๑. อทิ ธิปาฏหิ ารยิ  แสดงฤทธไิ์ ดเ ปน อศั จรรย ๒. อาเทศนา- ปาฏหิ ารยิ  ทายใจไดเปน อศั จรรย ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย คําสอนมีผลจริง เปน อัศจรรย ใน ๓ อยางนข้ี อ สุดทา ยดี เย่ยี มเปนประเสริฐ ปาฏิหาริยปก ษ “ปก ษท พี่ งึ หวนกลบั ไป

ปาฏิหารยิ อโุ บสถ ๒๓๔ ปานะ อโุ บสถ 2.๓. คือ ๑. อมฺพปานํ นํา้ มะมว ง ๒. ชมฺพ-ุ ปาฏิหาริยอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๓. ปานํ น้าํ ชมพูหรือนํา้ หวา ๓. โจจปานํ ปาฐา ช่ือเมืองหน่งึ ในมัธยมประเทศคร้งั นํ้ากลวยมีเม็ด ๔. โมจปานํ นํา้ กลวยไม มเี มด็ ๕. มธกุ ปานํ นา้ํ มะซาง ๖. มทุ ทฺ กิ - พุทธกาล ภิกษุชาวเมืองน้ีคณะหน่ึง ปานํ นา้ํ ลกู จนั ทนห รอื องนุ ๗. สาลกุ ปานํ นา้ํ เหงา อบุ ล ๘. ผารสุ กปานํ นาํ้ มะปราง เปนเหตุปรารภใหพระพุทธเจาทรง หรือลิ้นจ่,ี …เราอนญุ าตนํ้าผลไม (ผลรส) ทกุ ชนดิ เวน นาํ้ ผลธญั ชาต,ิ …เราอนญุ าต อนุญาตการกรานกฐิน; พระไตรปฎก นาํ้ ใบไม (ปต ตรส) ทกุ ชนดิ เวน น้ําผัก บางฉบบั เขียนเปน ปาวา ตม , …เราอนุญาตนํ้าดอกไม (บปุ ผรส) ปาณาติบาต ทําชีวิตสัตวใหตกลวงไป, ทุกชนิด เวนนํ้าดอกมะซาง, …เรา อนุญาตนาํ้ ออยสด (อจุ ฉรุ ส)” ฆา สตั ว ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวนจากการทาํ พงึ ทราบคาํ อธบิ ายเพม่ิ เติมวา นาํ้ ผล ชวี ติ สตั วใ หตกลวง, เวนจากการฆา สตั ว ธญั ชาตทิ ต่ี อ งหา ม ไดแ กน า้ํ จากผลของ ธญั ชาติ ๗ เชน เมลด็ ขา ว (นา้ํ ซาวขา ว, (ขอ ๑ ในศีล ๕ ฯลฯ) นา้ํ ขา ว) นอกจากนนั้ ผลไมใ หญ (มหาผล) ปาตลีบุตร ชื่อเมืองหลวงของพระเจา ๙ ชนดิ (จาํ พวกผลไมท ที่ าํ กบั ขา ว) ไดแ ก อโศกมหาราช; เขียน ปาฏลีบตุ ร กม็ ี ปาตาละ นรก, บาดาล (เปนคําทพี่ วก ลกู ตาล มะพรา ว ขนนุ สาเก (“ลพชุ ” พราหมณใ ชเ รียกนรก) แปลกนั วา สาเก บา ง ขนนุ สาํ มะลอ บา ง) ปาติโมกข ดู ปาฏโิ มกข ปาทุกา รองเทาประเภทหน่งึ แปลกนั มา นา้ํ เตา ฟก เขยี ว แตงไทย แตงโม ฟก ทอง และพวกอปรณั ณะ เชน ถวั่ เขยี ว ทา นจดั วา “เขียงเทา” เปน รองเทา ท่ตี อ งหามทาง อนุโลมเขากับธัญผล เปน ของตอ งหา ม พระวนิ ยั อันภกิ ษไุ มพึงใช; ดู รองเทา ปานะ เครือ่ งด่ืม, นํ้าสาํ หรับดมื่ โดย ดว ย; จะเห็นวา มะซางเปน พืชทม่ี ีขอ เฉพาะที่คั้นจากลูกไม (รวมทง้ั เหงาพืช จํากัดมากสกั หนอ ย นํ้าดอกมะซางนั้น บางชนิด), นํา้ คั้นผลไม (จดั เปน ยาม ตองหามเลยทีเดียว สวนนาํ้ ผลมะซาง กาลิก); มพี ุทธานุญาตปานะ ๘ อยา ง จะฉนั ลว นๆไมไ ด ตอ งผสมนา้ํ จงึ จะควร (นยิ มเรยี กเลยี นเสยี งคาํ บาลวี า อฏั ฐบาน หรอื นาํ้ อฏั ฐบาน) พรอมทั้งน้ําค้นั พชื ทง้ั นเี้ พราะกลายเปน ของเมาไดง า ย ตา งๆ ดังพทุ ธพจนว า (วนิ ย.๕/๘๖/๑๒๓) วิธที าํ ปานะท่ีทา นแนะไว คือ ถา ผล “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตปานะ ๘ อยา ง

ปาปโรโค ๒๓๕ ปาราชิก ยังดิบ กผ็ าฝานหน่ั ใสในนาํ้ ใหสุกดวย วินัย เคยมีเรื่องท่ีพราหมณผูหนึ่งจัด แดด ถา สกุ แลว ก็ปอกหรอื ควา น เอา ถวายปโยปานะ คอื ปานะนา้ํ นม แกส งฆ ผาหอ บดิ ใหต ึงอดั เนอ้ื ผลไมใ หคายน้าํ (ในเรอ่ื งไมแ จง วา เปน เวลาใด) และภกิ ษุ ออกจากผา เติมนาํ้ ลงใหพ อดี (จะไม ท้ังหลายด่ืมน้ํานมมีเสียงดัง “สุรุสุรุ” เติมนาํ้ กไ็ ด เวนแตผลมะซางซ่งึ ทา นระบุ เปนตนบัญญัติแหงเสขิยวัตรสิกขาบทท่ี วาตองเจือนาํ้ จึงควร) แลวผสมนาํ้ ตาล ๕๑ (วนิ ย.๒/๘๕๑/๕๕๓) และเกลอื เปน ตนลงไปพอใหไดรสดี ขอ ปาปโรโค คนเปนโรคเลวรา ย, บางทีแ่ ปล จาํ กดั ที่พึงทราบคือ ๑. ปานะนใ้ี หใชข อง วา “โรคเปน ผลแหง บาป” อรรถกถาวา ได สด หา มมใิ หต ม ดว ยไฟ ใหเ ปน ของเยน็ แกโรคเรื้อรัง เชน ริดสีดวงกลอน หรือสุกดวยแดด (ขอนี้พระมติสมเด็จ เปน ตน เปนโรคทีห่ ามไมใหรบั บรรพชา พ ร ะ ม ห า ส ม ณ เ จ า กรมพระยา ปาปสมาจาร ความประพฤติเหลวไหล วชริ ญาณวโรรสวา ในบาลไี มไ ดห า มนาํ้ สกุ เลวทราม ชอบสมคบกับคฤหัสถดวย แมส กุ กไ็ มน า รงั เกยี จ) ๒. ตอ งเปนของท่ี การอนั มชิ อบ ทเี่ รยี กวา ประทษุ รา ยสกลุ ; อนุปสัมบันทํา จึงควรฉันในเวลาวกิ าล ดู กลุ ทูสก (ถาภิกษุทํา ถือเปนเหมือนยาวกาลิก ปาพจน “คําเปน ประธาน” หมายถึงพระ เพราะรับประเคนมาทั้งผล) ๓. ของ พทุ ธพจน ซงึ่ ไดแกธรรมและวนิ ัย ประกอบเชนน้าํ ตาลและเกลอื ไมใ หเอา ปายาส ขา วสกุ หุงดว ยนมโค นางสุชาดา ของทีร่ บั ประเคนคางคนื ไวมาใช (แสดง ถวายแกพระมหาบุรุษในเวลาเชาของวัน วามุงใหเปนปานะท่ีอนุปสัมบันทําถวาย ท่ีพระองคจะไดตรัสรู, ในคัมภีรทั้ง ดวยของของเขาเอง) หลาย นยิ มเรียกเต็มวา “มธปุ ายาส”; ดู ในมหานิทเทส (ขุ.ม.๒๙/๗๔๒/๔๔๙) สชุ าดา, สกู รมทั ทวะ ทา นแสดงปานะ๘(อฏั ฐบาน)ไว๒ชดุ ๆ ปาราชิก เปนชื่ออาบัติหนักท่ีภิกษุตอง แรกตรงกับที่เปนพุทธานุญาตในพระ เขาแลว ขาดจากความเปนภิกษุ, เปนชอ่ื วนิ ยั สว นชดุ ท่ี ๒ อนั ตา งหาก ไดแ ก นา้ํ บุคคลผูท่ีพายแพ คือ ตองอาบัติ ผลสะครอ นา้ํ ผลเลบ็ เหยย่ี ว นา้ํ ผลพทุ รา ปาราชิกท่ีทําใหขาดจากความเปนภิกษุ, ปานะทาํ ดว ยเปรยี ง ปานะนาํ้ มนั ปานะ เปนชื่อสิกขาบท ท่ีปรับอาบัติหนักข้ัน นาํ้ ยาคู (ยาคปุ านะ) ปานะนา้ํ นม (ปโย- ขาดจากความเปน ภิกษมุ ี ๔ อยา งคือ ปานะ) ปานะนา้ํ คนั้ (รสปานะ), ในพระ เสพเมถนุ ลกั ของเขา ฆามนษุ ย อวด

ปาริจรยิ านตุ ตริยะ ๒๓๖ ปาริสทุ ธศิ ลี อุตรมิ นสุ ธรรมที่ไมมใี นตน สีมาเดียวกัน เม่ือถึงวันอุโบสถไม ปาริจรยิ านุตตริยะ การบาํ เรออนั เย่ยี ม สามารถไปรว มประชมุ ได ภิกษผุ อู าพาธ ไดแก การบํารุงรับใชพระตถาคตและ ตองมอบปาริสุทธิแกภิกษรุ ูปหนึ่งมาแจง ตถาคตสาวกอนั ประเสรฐิ กวา การที่จะ แกส งฆ คอื ใหนําความมาแจง แกสงฆวา บชู าไฟหรอื บาํ รุงบาํ เรออยางอ่นื เพราะ ตนมีความบริสุทธิ์ทางพระวินัยไมมี ชวยใหบริสุทธ์ิหลุดพนจากทุกขไดจริง อาบัตติ ิดคาง หรือในวันอโุ บสถ มีภกิ ษุ (ขอ ๕ ในอนุตตริยะ ๖) อยูเพยี งสองหรอื สามรปู (คือเปนเพียง ปาริฉัตตก “ตนทองหลาง”, ช่ือตนไม คณะ) ไมครบองคสงฆที่จะสวด ประจําสวรรคช้ันดาวดึงส อยูในสวน ปาฏิโมกขได ก็ใหภ กิ ษุสองหรือสามรูป นันทวันของพระอนิ ทร; ปารฉิ ตั ร หรอื นั้นบอกความบริสุทธ์ิแกกันแทนการ ปารชิ าต กเ็ ขยี น สวดปาฏโิ มกข ปาริเลยยกะ ช่ือแดนบานแหงหน่ึงใกล ปารสิ ทุ ธศิ ลี ศลี เปน เครอื่ งทาํ ใหบ รสิ ทุ ธ,์ิ เมืองโกสัมพีที่พระพุทธเจาเสด็จเขาไป ศีลเปนเหตุใหบริสุทธิ์ หรือความ อาศัยอยูในปารักขิตวันดวยทรงปลีก ประพฤตบิ รสิ ทุ ธทิ์ จี่ ดั เปน ศลี มี ๔ อยา ง พระองค จากพระสงฆผูแตกกนั ในกรุง คือ ๑. ปาฏโิ มกขสงั วรศีล ศีลคือความ โกสมั พ;ี ชา งทปี่ ฏบิ ตั พิ ระพทุ ธเจา ทป่ี า นน้ั สํารวมในพระปาฏิโมกข เวนจากขอหาม กช็ อื่ ปารเิ ลยยกะ; เราเรยี กกนั ในภาษา ไทยวา ปาเลไลยก กม็ ี ปา เลไลยก กม็ ี ทาํ ตามขอ อนญุ าต ประพฤตเิ ครง ครดั ใน ควรเขยี น ปารไิ ลยก หรอื ปาเรไลยก สิกขาบทท้ังหลาย ๒. อินทรียสังวรศีล ปาริวาสิกขนั ธะ ชอ่ื ขันธกะที่ ๒ แหง ศีลคือความสํารวมอินทรีย ระวังไมให จลุ วรรค ในพระวนิ ัยปฎ ก วาดว ยเรอื่ ง บาปอกุศลธรรมครอบงํา เมื่อรับรู ภกิ ษุอยูปริวาส อารมณดว ยอนิ ทรียทัง้ ๖ ๓. อาชวี - ปาริวาสิกภิกษุ ภิกษุผูอยูปริวาส; ดู ปาริสุทธิศีล ศีลคือความบริสุทธิ์แหง ปรวิ าส ปาริวาสิกวัตร ธรรมเนียมที่ควร อาชีวะ เล้ียงชีวิตโดยทางสุจริตชอบ ธรรม เชน ไมหลอกลวงเขาเลีย้ งชพี ๔. ปจจยสันนิสิตศีล ศีลอันเน่ืองดวย ประพฤตขิ องภิกษผุ ูอยปู รวิ าส ปจ จัย ๔ ไดแกปจ จัยปจจเวกขณ คือ ปาริสุทธิ ความบริสุทธ์ขิ องภกิ ษุ; เปน พิจารณาใชสอยปจจัยส่ี ใหเปนไปเพื่อ ธรรมเนียมวา ถามีภิกษุอาพาธอยูใน ประโยชนตามความหมายของส่งิ น้ัน ไม

ปาริสทุ ธิอโุ บสถ ๒๓๗ ปาหเุ นยฺโย บรโิ ภคดว ยตณั หา ปารสิ ทุ ธิแกก นั ผแู กวา : “ปริสทุ โฺ ธ อหํ ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ อโุ บสถทภ่ี กิ ษทุ าํ ปารสิ ทุ ธิ อาวุโส, ปริสทุ โฺ ธติ มํ ธาเรหิ” (๓ หน) คือแจงแตความบริสุทธิ์ของกันและกัน ผอู อ นกวา วา : “ปรสิ ทุ โฺ ธ อหํ ภนเฺ ต, ปร-ิ ไมตองสวดปาฏิโมกข ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถน้ี สทุ ฺโธติ มํ ธาเรถ” (๓ หน); ดู อุโบสถ กระทาํ เมอ่ื มภี กิ ษอุ ยใู นวดั เพยี งเปน คณะ ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน กรรมฐานทจี่ ะตอ ง คอื ๒–๓ รปู ไมค รบองคส งฆ ๔ รปู บรหิ าร; ดู กมั มฏั ฐาน ๒; เทยี บ สพั พตั ถก- ถา มีภกิ ษุ ๓ รูปพึงประชมุ กันใน กัมมัฏฐาน โรงอุโบสถแลว รูปหนึ่งต้ังญัตติดังน้ี: ปาวา นครหลวงของแควนมัลละ คูก ับ “สณุ นฺตุ เม ภนเฺ ต อายสมฺ นฺตา, อชฺชุ- กุสินารา คือนครหลวงเดิมของแควน โปสโถ ปณฺณรโส ยทายสฺมนฺตานํ มัลละชื่อกุสาวดี แตภายหลังแยกเปน ปตฺตกลฺลํ, มยํ อฺมฺ  ปาริสุทฺธิ- กุสนิ ารา กบั ปาวา อุโปสถํ กเรยยฺ าม” แปลวา: “ทานทงั้ ปาวาริกัมพวัน ดู นาลันทา หลาย อโุ บสถวนั นท้ี ่ี ๑๕ ถา ความพรอ ม ปาวาลเจดีย ชื่อเจดียสถานอยูที่เมือง พร่งั ของทานถงึ ที่แลว เราทง้ั หลายพึงทาํ เวสาลี พระพทุ ธเจาทรงทํานิมิตตโอภาส ปาริสุทธิอุโบสถดวยกัน” (ถารูปที่ต้ัง คร้ังสุดทายและทรงปลงพระชนมายุ ญตั ตแิ กก วา เพอื่ นวา อาวโุ ส แทน ภนเฺต, สงั ขาร ณ เจดียน ้ีกอ นปรินพิ พาน ๓ ถาเปน วัน ๑๔ คาํ่ วา จาตทุ ฺทโส แทน เดือน ปณฺณรโส) ภกิ ษผุ เู ถระพงึ หม ผา เฉวยี ง ปาสราสสิ ตู ร ช่อื สูตรท่ี ๒๖ ในคัมภีร บาน่ังกระหยงประนมมือบอกปาริสุทธิ มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก พระ วา : “ปรสิ ทุ ฺโธ อหํ อาวุโส, ปรสิ ทุ ฺโธติ สตุ ตันตปฎก; เรยี กอีกช่อื หน่ึงวา อริย- มํ ธาเรถ” (๓ หน) แปลวา: “ฉนั บริสทุ ธิ์ ปรเิยสนาสตู ร เพราะวา ดว ย อรยิ ปรเิ ยสนา แลวเธอ ขอเธอท้ังหลายจงจําฉันวาผู ปาสาณเจดยี  เจดยี สถานแหง หน่ึงอยูใ น บริสทุ ธแิ์ ลว” อีก ๒ รปู พึงทาํ อยางเดยี ว แควน มคธ มาณพ ๑๖ คนซง่ึ เปนศิษย กันนน้ั ตามลําดบั พรรษา คาํ บอกเปลย่ี น ของพราหมณพาวรี ไดเฝาพระศาสดา เฉพาะ อาวโุ ส เปน ภนฺเต แปลวา “ผม และทลู ถามปญ หา ณ ทีน่ ี้ บรสิ ทุ ธิ์แลวขอรับ ขอทา นทั้งหลายจงจาํ ปาสาทกิ สตู ร ชอ่ื สตู รท่ี ๖ ในคมั ภรี ท ฆี - ผมวาผบู ริสทุ ธ์ิแลว ” นิกาย ปาฏิกวรรค พระสตุ ตันตปฎก ถา มี ๒ รูป ไมตอ งต้ังญัตติพึงบอก ปาหุเนยฺโย (พระสงฆ) เปนผูควรแกของ

ปงคิยมาณพ ๒๓๘ ปปาสวินโย ตอนรบั คอื มคี ณุ ความดีนารกั นาเคารพ โคตร ในพระนครราชคฤห เรียนจบ นับถือ ควรแกการขวนขวายจัดถวาย ไตรเพท ออกบวชในพระพุทธศาสนา ของตอ นรับ เปนแขกทีน่ า ตอนรบั หรอื ไดสาํ เร็จพระอรหตั เปน ผบู รบิ ูรณด วย เปนผูที่เขาภูมิใจอยากใหไปเปนแขกท่ี สติ สมาธิ ปญ ญา มกั เปลง วาจาวา “ผใู ด เขาจะไดตอ นรับ (ขอ ๖ ในสงั ฆคุณ ๙) มีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี ปงคิยมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวน ผลก็ดี ขอผูนั้นจงมาถามขาพเจาเถิด” ๑๖ คนของพราหมณพ าวรี ทีไ่ ปทลู ถาม พระศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะ ปญ หากะพระศาสดา ท่ปี าสาณเจดีย ในทางบันลือสีหนาท, ทานเปนตน ปฎก ตามศัพทแปลวา “กระจาด” หรอื บัญญัติแหงสิกขาบท ซ่งึ หามภกิ ษุ มิให “ตะกราอันเปนภาชนะสําหรับใสของ แสดงอิทธิปาฏิหาริย อันเปนอุตตริ- ตางๆ” เอามาใชในความหมายเปนท่ี มนสุ สธรรม แกค ฤหสั ถท งั้ หลาย และ รวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาที่จัด สกิ ขาบท ซ่ึงหามภิกษุ มใิ หใ ชบ าตรไม เปน หมวดหมแู ลว มี ๓ คอื ๑. วนิ ยั ปฎ ก (ทง้ั สองสกิ ขาบทน้ี ทรงบญั ญตั ใิ นโอกาส รวบรวมพระวินยั ๒. สุตตันตปฎก รวบ เดียวกัน โดยทรงปรารภกรณเี ดียวกนั รวมพระสูตร ๓. อภธิ รรมปฎ ก รวบ วนิ ย.๗/๓๓/๑๖); ดู ยมกปาฏหิ ารยิ  รวมพระอภิธรรม เรียกรวมกันวาพระ ปตตฺ สมุฏานา อาพาธา ความเจ็บไขมี ไตรปฎ ก (ปฎ ก ๓) ดู ไตรปฎ ก ดเี ปนสมุฏฐาน; ดู อาพาธ ปณฑปาติกธุดงค องคคุณเคร่ืองขจัด ปต ตะ นาํ้ ด,ี นาํ้ จากตอ มตบั , โรคดเี ดอื ด กิเลสแหงภิกษุเปนตนผูถือการเท่ียว ปต ตวิ สิ ยั แดนเปรต, ภมู แิ หง เปรต (ขอ ๓ บณิ ฑบาตเปน วตั ร หมายถงึ ปณ ฑปาต-ิ ในทคุ ติ ๓, ขอ ๓ ในอบาย ๔); เปตตวิ สิ ยั กังคะ น่ันเอง กเ็ รยี ก; ดู เปรต, ทคุ ติ, อบาย ปณฑปาติกังคะ องคแหงผูถือเท่ียว ปต ุฆาต ฆา บดิ า (ขอ ๒ ในอนนั ตริย- บิณฑบาตเปนวัตร คือ ไมรับนิมนต กรรม ๕) หรือลาภพิเศษอยางอ่ืนใด ฉันเฉพาะ ปปผล,ิ ปป ผลิมาณพ ช่ือของพระมหา- อาหารที่บิณฑบาตมาได (ขอ ๓ ใน กัสสปเถระ เมื่อกอนออกบวช; สวน ธดุ งค ๑๓) กัสสปะ เปน ชอ่ื ท่ีเรียกตามโคตร ปณโฑลภารทวาชะ พระมหาสาวกองค ปปาสวินโย ความนําออกไปเสียซึ่ง หนงึ่ เปน บตุ รพราหมณม หาศาล ภารทวาช- ความกระหาย, กาํ จดั ความกระหายคือ

ปยรูปสาตรปู ๒๓๙ ปคุ คลสมั มขุ ตา ตณั หาได (เปนไวพจนของวริ าคะ) วดั จํานวน ๕๐๐ ท่ีพระเจาพิมพิสารพระ ปย รูป สาตรปู สภาวะท่ีนา รักนา ชืน่ ใจ ราชทานใหเปนผูชวยทําที่อยูของพระ มุงเอาสวนท่ีเปนอิฏฐารมณซึ่งเปนบอ ปลนิ ทวจั ฉะ เกิดแหง ตัณหามี ๑๐ หมวด หมวดละ ปส ณุ าย วาจาย เวรมณี เวน จากพูด ๖ อยา ง คอื อายตนะภายใน ๖ อายตนะ สอเสียด, เวนจากพูดยุยงใหเขาแตก ภายนอก ๖ วญิ ญาณ ๖ สมั ผสั ๖ รา วกนั (ขอ ๕ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐) เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ มี ปสุณาวาจา วาจาสอ เสียด, พดู สอเสียด, รปู สญั เจตนา เปน ตน ตณั หา ๖ มรี ปู - พูดยุยงใหเ ขาแตกรา วกัน (ขอ ๕ ใน ตัณหา เปนตน วิตก ๖ มีรูปวิตก อกุศลกรรมบถ ๑๐) เปนตน วิจาร ๖ มีรูปวิจาร เปนตน ปห กะ มา ม (เคยแปลกนั วา ไต) ดู วกั กะ ปยวาจา วาจาเปน ทีร่ กั , พูดจานา รกั นา ปต ิ ความอม่ิ ใจ, ความดม่ื ดาํ่ ในใจ มี ๕ คอื นิยมนับถือ, วาจานารัก, วาจาทก่ี ลา ว ๑. ขุททกาปติ ปต เิ ล็กนอ ยพอขนชันนา้ํ ดวยจิตเมตตา, คําที่พูดดวยความรัก ตาไหล ๒. ขณกิ าปต ิ ปต ชิ วั่ ขณะรสู กึ ความปรารถนาดี เชน คําพดู สภุ าพออน แปลบๆ ดจุ ฟา แลบ ๓. โอกกนั ตกิ าปต ิ โยน คําแนะนาํ ตกั เตอื นดวยความหวังดี ปต ิเปนระลอกรูสึกซลู งมาๆ ดจุ คล่ืนซดั (ขอ ๒ ในสงั คหวัตถุ ๔) ฝง ๔. อพุ เพคาปติ ปต ิโลดลอย ใหใจฟู ปยารมณ อารมณอ นั เปน ท่ีรกั เปนทีน่ า ตัวเบาหรืออทุ านออกมา ๕. ผรณาปต ิ ปรารถนา นาชอบใจ เชน รูปท่สี วยงาม ปติซาบซาน เอิบอาบไปท่ัวสรรพางค เปน ตน เปน ของประกอบกบั สมาธิ (ขอ ๔ ใน ปลินทวัจฉะ พระมหาสาวกองคหน่ึง โพชฌงค ๗) เกิดในตระกูลพราหมณวัจฉโคตร ใน ปฬ กะ พพุ อง, ฝ, ตอ ม เมืองสาวัตถี ไดฟ ง พระธรรมเทศนาของ ปกุ กสุ ะ บุตรของกษตั ริยม ัลละ เปน ศิษย พระพทุ ธเจา มีศรทั ธาเล่ือมใสออกบวช ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ไดถวาย ในพระพุทธศาสนา เจรญิ วิปส สนาแลว ผาสิงคิวรรณแดพระพุทธเจาในวัน ไดบรรลุอรหัตตผล ตอ มาไดรบั ยกยอ ง ปรินพิ พาน วาเปนเอตทัคคะในทางเปนท่ีรักของ ปุคคลสัมมุขตา ความเปนตอหนา พวกเทวดา บุคคล, ในวิวาทาธิกรณ หมายความวา ปล ินทวจั ฉคาม ช่อื หมบู านของคนงาน คูวิวาทอยูพรอ มหนากัน; ดู สัมมุขาวินยั

ปคุ คลญั ตุ า ๒๔๐ ปณุ ณสุนาปรันตะ ปคุ คลญั ตุ า ความเปน ผรู จู กั บคุ คล คอื ของพระพุทธเจา เปนหลานของพระ รูความแตกตางแหงบุคคล วาโดย อัญญาโกณฑญั ญะ ไดบ รรพชาเม่ือพระ อธั ยาศยั ความสามารถ และคณุ ธรรม เถระผเู ปน ลงุ เดนิ ทางมายงั เมอื งกบลิ พสั ดุ เปนตน เปน อยา งไร ควรคบควรใชควร บวชแลว ไมน านกบ็ รรลอุ รหัตตผล เปน สอนอยา งไร (ขอ ๗ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) ผูป ฏิบัตติ นตามหลกั กถาวตั ถุ ๑๐ และ ปคุ คลิก ดู บคุ ลกิ สอนศิษยของตนใหปฏิบัติเชนน้ันดวย ปคุ คลกิ าวาส ทอ่ี ยทู เี่ ปน ของบคุ คล, ที่ ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะใน อยทู เ่ี ปน ของสว นตวั ; เทียบ สังฆกิ าวาส บรรดาพระธรรมกถึก หลักธรรมเร่ือง ปุจฉา ถาม, คําถาม วิสทุ ธิ ๗ ก็เปนภาษติ ของทาน ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เปนบุญ, ปณุ ณมาณพ คอื พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร สภาพท่ีปรุงแตงกรรมฝายดี ไดแก เม่ือกอ นบวช กุศลเจตนา (เฉพาะท่เี ปน กามาวจรและ ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ, ปณุ ณสนุ าปรนั ตกะ รูปาวจร) (ขอ ๑ ในอภสิ ังขาร ๓) พระมหาสาวกองคห นง่ึ ในจาํ นวนอสตี -ิ ปุณณกมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจํานวน มหาสาวก ชอ่ื เดมิ วา ปณุ ณะ เกดิ ทเี่ มอื ง ๑๖ คนของพราหมณพ าวรี ท่ีไปทูลถาม ทา ชอื่ สปุ ปารกะ ในแควน สุนาปรนั ตะ ปญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย เม่ือเติบโตข้ึน ไดประกอบการคาขาย ปุณณชิ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี เปน รว มกับนอ งชาย ผลัดกนั นํากองเกวียน สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว ๕๐๐ เลม เท่ียวคาขายตามหัวเมือง ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม ตา งๆ คราวหนึ่ง นองชายอยเู ฝาบาน พรอ มดว ยสหายอกี ๓ คน คือวิมละ ปุณณะนํากองเกวียนออกคาขายผาน สพุ าหุ และควัมปติ ไดเปนองคหนึ่งใน เมอื งตางๆ มาจนถงึ กรงุ สาวตั ถี พกั กอง อสีติมหาสาวก เกวียนอยูใกลพระเชตวัน รับประทาน ปุณณมันตานีบุตร พระมหาสาวกองค อาหารเชาแลวก็น่ังพักผอนกันตาม หนึ่ง ไดชอ่ื อยา งนี้ เพราะเดิมชอื่ ปณุ ณะ สบาย ขณะน้ันเอง ปุณณะมองเห็นชาว เปนบุตรของนางมันตานี ทานเกิดใน พระนครสาวัตถแี ตง ตัวสะอาดเรยี บรอ ย ตระกูลพราหมณมหาศาลในหมูบาน พากันเดินไปยังพระเชตวันเพื่อฟงธรรม พราหมณช่ือโทณวตั ถุ ไมไกลจากเมอื ง ไตถามทราบความก็ดีใจ จึงพาบริวาร กบิลพสั ดุ ในแควนศากยะท่ีเปน ชาติภูมิ เดินตามเขาเขาไปสูพระวิหาร ยืนอยู

ปณุ ณสุนาปรนั ตะ ๒๔๑ ปณุ ณสุนาปรันตะ ทายสุดที่ประชุม ไดฟงพระธรรม- หนาท่ีเขาไมฟนแทงดวยศัสตรา ตรัส เทศนาของพระพุทธเจาแลวเลื่อมใส ถามวา ถาเขาฟนแทงดวยศัสตราจะวาง อยากจะบวช วันรงุ ขน้ึ ถวายมหาทานแด ใจอยา งไร ทูลตอบวา จะคดิ วา ยังดีนกั พระสงฆมีพระพุทธเจาเปนประมุขแลว หนาท่ีเขาไมเอาศัสตราอันคมฆาเสีย มอบหมายธุระแกเจาหนาที่คุมของใหนํา ตรสั ถามวา ถา เขาเอาศสั ตราอนั คมปลิด สมบัติไปมอบใหแกนองชาย แลวออก ชีพเสยี จะวางใจอยา งไร ทูลตอบวา จะ บวชในสํานักพระศาสดา ตั้งใจทํา คดิ วา มสี าวกบางทา นเบอ่ื หนา ยรางกาย กรรมฐาน แตก็ไมสําเร็จ คิดจะไป และชีวิตตองเท่ียวหาศัสตรามาสังหาร บําเพญ็ ภาวนาทถี่ ิน่ เดมิ ของทา นเอง จึง ตนเอง แตเ ราไมตองเทย่ี วหาเลย กไ็ ด เขาไปเฝาพระพุทธเจา กราบทลู ขอพระ ศัสตราแลว พระผูมีพระภาคประทาน โอวาท ดังปรากฏเน้ือความในปุณโณ- สาธุการ และตรัสวาทานมีทมะและ วาทสูตร พระผูมีพระภาคเจาประทาน อปุ สมะอยางน้ี สามารถไปอยใู นแควน พระโอวาทแสดงวธิ ปี ฏิบตั ติ อ รปู เสยี ง สนุ าปรันตะได พระโอวาทและแนวคดิ กลิน่ รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ ของพระปุณณะน้ีเปนคติอันมีคายิ่ง โดยอาการที่จะมิใหทุกขเกิดข้ึน แลว สําหรับพระภิกษุผูจะจาริกไปประกาศ ตรัสถามทานวาจะไปอยูในถ่ินใด ทาน พระศาสนาในถ่นิ ไกล ทูลตอบวาจะไปอยูในแควนสุนาปรันตะ ตรัสถามวาชาวสุนาปรันตะเปนคนดุราย พระปณุ ณะกลบั สแู ควน สนุ าปรนั ตะ ถาเขาดาวาทานจะวางใจตอคนเหลาน้ัน แลว ไดยายหาท่ีเหมาะสําหรับการทํา อยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก กรรมฐานหลายแหง จนในทสี่ ดุ แหง ท่ี ๔ หนาท่ีเขาไมต บตี ตรัสถามวา ถา เขาตบ ไดเขา จาํ พรรษาแรกทว่ี ดั มกุฬการาม ใน ตีจะวางใจอยา งไร ทูลตอบวา จะคิดวา พรรษานั้น นองชายของทานกับพอคา ยังดีนักหนาที่เขาไมข วางปาดว ยกอนดิน รวม ๕๐๐ คน เอาสนิ คาลงเรือจะไปยงั ตรัสถามวา ถาเขาขวางปาดวยกอนดนิ ทะเลอื่น ในวันลงเรือ นองชายมาลา จะวางใจอยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายงั และขอความคมุ ครองจากทา น ระหวาง ดนี ักหนาที่เขาไมทบุ ตดี ว ยทอนไม ตรัส ทางเรือไปถึงเกาะแหงหนึ่ง พากันแวะ ถามวา ถาเขาทุบตีดว ยทอ นไมจ ะวางใจ บนเกาะพบปาจนั ทนแดงอันมีคาสูง จึง อยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก ลมเลิกความคิดที่จะเดินทางตอ ชวย กันตัดไมจันทนบรรทุกเรือจนเต็มแลว

ปณุ มี ๒๔๒ ปถุ ุชน ออกเดินทางกลับถิ่นเดิม แตพอออก ฝงแมนํ้านัมมทา ไดแสดงธรรมโปรด เรือมาไดไ มนาน พวกอมนษุ ยทสี่ งิ ในปา นมั มทานาคราช นาคราชขอของท่ีระลึก จันทนซ่งึ โกรธแคน ไดทาํ ใหเ กิดลมพายุ ไวบูชา จึงประทับรอยพระบาทไวท่ีริม อยางแรงและหลอกหลอนตางๆ นอง ฝง แมน ํ้านมั มทานนั้ จากนน้ั เสด็จตอไป ชายของพระปุณณะระลึกถึงพระพี่ชาย ถึงภเู ขาสจั จพันธ ตรัสสงั่ พระสจั จพันธ พระปุณณะทราบ จึงเหาะมายืนอยูท่ี ใหอยูสง่ั สอนประชาชน ณ ท่ีน้นั พระ หนาเรือ พวกอมนษุ ยก ็พากันหนไี ป ลม สจั จพนั ธทลู ขอสิง่ ท่รี ะลกึ ไวบูชา จงึ ทรง พายุก็สงบ ประทับรอยพระบาทไวท่ีภูเขาน้ันดวย พวกพอคา ทงั้ ๕๐๐ คน กลับถึง อันนับวาเปนประวัติการเกิดขึ้นของรอย ถ่ินเดิมโดยสวัสดีแลว ไดพรอมท้ัง พระพทุ ธบาท ภรรยาพากันประกาศนับถือพระปุณณะ เหตุการณที่เลานี้เกิดขึ้นในพรรษา และถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ แลว แรกท่ีพระปุณณะกลับมาอยูในแควน แบงไมจันทนแดงสวนหนึ่งมาถวายทาน สุนาปรันตะ และทานเองก็ไดบรรลุ พระปุณณะตอบวาทานไมมีกิจที่จะตอง อรหัตตผลในพรรษาแรกนั้นเชนกัน ใชไมเหลานั้น และแนะใหสรางศาลา ทานพระปุณณเถระบําเพ็ญจริยาเพื่อ ถวายพระพุทธเจา ศาลาน้ันเรียกวา ประโยชนสุขแกประชาชนสืบมาจนถึง จนั ทนศาลา เมือ่ ศาลาเสร็จแลว พระ ปรนิ พิ พาน ณ แควน สุนาปรันตะนัน้ ปุณณะไดไปทูลอาราธนาพระพุทธเจา กอ นพทุ ธปรนิ พิ พาน เสด็จมายังแควนสุนาปรันตะพรอมดวย ปุณมี ดู บณุ มี พระสาวกจํานวนมาก ระหวา งทางพระผู ปุตตะ เปนช่ือนรกขุมหน่ึงของลัทธิ มีพระภาคทรงแวะหยุดประทับโปรด พราหมณ พวกพราหมณถ ือวาชายใดไม สัจจพันธดาบส ที่ภูเขาสัจจพันธกอน มีลูกชาย ชายนนั้ ตายไปตองตกนรกขุม แลว นาํ พระสจั จพนั ธ ซงึ่ บรรลอุ รหตั ตผล “ปุตตะ” ถามีลูกชาย ลูกชายน้ันชว ย แลวมายังสุนาปรันตะดวย ทรงแสดง ปอ งกันไมใ หต กนรกขมุ นนั้ ได ศพั ทว า ธรรมโปรดชาวสุนาปรนั ตะ และประทบั บุตร จึงใชเปนคําเรียกลูกชายสืบมา ทีจ่ นั ทนศาลา ในมกฬุ การาม ๒–๓ วนั แปลวา “ลูกผูปองกันพอจากขุมนรก เสด็จเท่ียวบิณฑบาตในหมูบาน แลว ปตุ ตะ” ทรงเดินทางกลับ ระหวางทางเสด็จถึง ปถุ ุชน คนท่หี นาแนนไปดวยกเิ ลส, คนที่

ปุนัพพสกุ ะ ๒๔๓ ปรุ ิสสพั พนาม ยงั มีกเิ ลสมาก หมายถงึ คนธรรมดาท่ัวๆ ปรุ ณมี วันเพญ็ , วนั พระจันทรเ ตม็ ดวง, ไป ซ่ึงยังไมเปนอริยบุคคลหรือพระ วันขนึ้ ๑๕ ค่ํา อริยะ; บถุ ชุ น กเ็ ขยี น ปุรัตถิมทิส “ทิศเบ้ืองหนา” หมายถึง ปนุ ัพพสุกะ ชือ่ ภกิ ษุรปู หน่งึ อยใู นภกิ ษุ มารดาบิดา; ดู ทิศหก เหลวไหล ๖ รปู ทเ่ี รยี กวา พระฉพั พคั คยี  ปุราณจวี ร จวี รเกา ปุราณชฎิล พระเถระสามพ่ีนองพรอม คกู ับพระอสั สชิ ปุปผวิกัติ ดอกไมที่แตงเปนชนิดตางๆ ดว ยบริวาร คอื อุรเุ วลกัสสป นทกี สั สป เชน รอ ยตรึง รอ ยคุม รอ ยเสยี บ รอย คยากัสสป ซ่งึ เคยเปน ชฎิลมากอ น ผกู รอ ยวง รอยกรอง เปนตน ปรุ มิ กาล เรอื่ งราวในพุทธประวัติทมี่ ีข้นึ ปพุ พเปตพลี การทาํ บญุ อทุ ศิ ใหแ กผ ตู าย, ในกาลกอ นแตบ าํ เพญ็ พทุ ธกิจ; ดู พุทธ- การจดั สรรสละรายไดห รอื ทรพั ยส ว นหนงึ่ ประวตั ิ เปน คา ใชจ า ยสาํ หรบั บชู าคณุ หรอื แสดงนาํ้ ปุรมิ พรรษา ดู ปรุ มิ กิ า ใจตอ ญาตทิ ล่ี ว งลบั ไปกอ นดว ยการทาํ บญุ ปรุ มิ กิ า พรรษาตน เรมิ่ แตว นั แรมคา่ํ หนงึ่ อทุ ศิ ให, การใชร ายไดห รอื ทรพั ยส ว นหนง่ึ เดอื นแปด ในปท ไี่ มม อี ธกิ มาสเปน ตนไป เพื่อบาํ เพ็ญบุญอุทิศแกญาติท่ีลวงลับไป เปน เวลา ๓ เดอื นคือถงึ ขนึ้ ๑๕ คํา่ กอ น (ขอ ๓ ในพลี ๕ แหง โภคอาทิยะ ๕) เดอื น ๑๑; เทยี บ ปจ ฉมิ ิกา, ปจฉิมพรรษา ปพุ พัณณะ ดู บุพพัณณะ, ธญั ชาติ ปุริสภาวะ ความเปนบรุ ุษ หมายถงึ ภาวะ ปุพเพกตปุญญตา ความเปนผูไดทํา อันใหปรากฏมีลักษณะอาการตางๆ ที่ ความดีไวในกอน, ทําความดีใหพรอม แสดงถึงความเปนเพศชาย; คูก บั อติ ถี- ภาวะ; ดู อปุ าทายรปู ไวกอนแลว (ขอ ๔ ในจักร ๔) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรูเปน ปุริสเมธ ความฉลาดในการบํารุงขา เครอ่ื งระลกึ ไดถงึ ปุพเพนวิ าส คอื ขนั ธท่ี ราชการ รูจักสงเสริมคนดีมีความ เคยอาศัยอยใู นกอน, ระลกึ ชาตไิ ด (ขอ สามารถ เปน สงั คหวตั ถปุ ระการหนง่ึ ของ ๑ ในญาณ ๓ หรือวิชชา ๓, ขอ ๔ ใน ผูปกครองบา นเมอื ง (ขอ ๒ ในราช- อภญิ ญา ๖, ขอ ๖ ในวชิ ชา ๘, ขอ ๘ ใน สังคหวตั ถุ ๔) ทศพลญาณ), ใชวา บพุ เพนิวาสานุสต-ิ ปุริสสัพพนาม คําทางไวยากรณ หมาย ญาณ กม็ ,ี เขยี นเตม็ อยา งรปู เดมิ ในภาษา ถึงคําแทนชื่อเพ่ือกันความซ้ําซาก ใน บาลเี ปน ปพุ เพนิวาสานสุ สตญิ าณ ภาษาบาลหี มายถงึ ต, ตมุ หฺ , อมหฺ , ศพั ท

ปเุ รจารกิ ๒๔๔ โปราณฏั ฐกถา ในภาษาไทย เชน ฉัน, ผม, ทาน, เธอ, ไมไ ด หรอื กนิ ไดโ ดยยาก; ดู อบาย, ทคุ ติ เขา, มนั เปน ตน เปลี่ยวดาํ หนาวอยางใหญ, โรคอยา ง ปเุ รจารกิ “อนั ดาํ เนนิ ไปกอ น”, เปน เครอื่ ง หน่งึ เกดิ จากความเยน็ มาก นาํ หนา , เปน ตวั นาํ , เปน เครอื่ งชกั พาให เปสละ ภกิ ษผุ ูมศี ลี เปนท่ีรัก, ภกิ ษผุ ูมี มงุ ใหแ ลน ไป เชน ในคาํ วา “ทาํ เมตตาให ความประพฤติดนี านิยมนบั ถือ เปน ปเุ รจารกิ แลว สวดพระปรติ ร”, “ความ เปสญุ ญวาท ถอ ยคาํ สอ เสยี ด; ดู ปส ณุ า- วาจา เพยี รอนั มศี รทั ธาเปน ปเุ รจารกิ ” ปุเรภัต กอนภัต, กอ นอาหาร หมายถึง โปกขรพรรษ ดู โบกขรพรรษ เวลากอนฉันของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได โปตลิ นครหลวงของแควนอัสสกะ อยู แตเ ม่อื พูดอยางกวา ง หมายถึง กอ น ลมุ นา้ํ โคธาวรี ทศิ เหนอื แหง แควน อวนั ตี หมดเวลาฉนั คอื เวลาเชาจนถงึ เท่ยี ง โปราณฏั ฐกถา อรรถกถาเกา แก, คมั ภรี  ซึ่งเปนระยะเวลาที่ภิกษุฉันอาหารได; หรือบันทึกคําอธิบายความในพระไตร- เทียบ ปจฉาภตั ปฎ ก ทใ่ี ชใ นการศกึ ษาและรกั ษาตอ กนั ปเุ รสมณะ พระนาํ หนา เปน ศพั ทค กู บั มาในลงั กาทวปี เปน ภาษาสงิ หฬ อนั ถอื ปจ ฉาสมณะ พระตามหลงั วาสืบแตคร้ังพระมหินทเถระพรอมดวย ปุโรหิต พราหมณผูเปนที่ปรึกษาของ คณะพระสงฆเ ดนิ ทางมาประดษิ ฐานพระ พระราชา พุทธศาสนาในลังกาทวีป ซึ่งไดนาํ พระ ปุสสมาส เดือน ๒, เดอื นยี่ ไตรปฎกและอรรถกถามาต้ังไวเปนหลัก ปูชนียบุคคล บคุ คลทค่ี วรบูชา แตอรรถกถาเดิมท่ีนาํ มาน้ัน เปนภาษา ปชู นยี วตั ถุ วตั ถุที่ควรบูชา บาลี จงึ สบื ตอ กนั มาเปน ภาษาสงิ หล เพอ่ื ปูชนียสถาน สถานทีค่ วรบชู า ใหช าวเกาะลงั กาสามารถใชเ ปน สอื่ ในการ ปรู ณมี ดู บณุ มี ศึกษาพระไตรปฎกที่ตองรักษาไวอยาง เปตตวิ สิ ยั ดู ปต ตวิ สิ ยั ,เปรต เดมิ เปน ภาษาบาลี ตอ มา ในกง่ึ ศตวรรษ เปรต 1. ผูละโลกนี้ไปแลว, คนที่ตายไป สดุ ทา ยทจี่ ะถงึ พ.ศ.๑๐๐๐ พระพทุ ธ- แลว 2. สัตวจ าํ พวกหนึ่งซง่ึ เกดิ อยูใ น ศาสนาในชมพทู วปี เสอ่ื มลงมากแลว แม อบายชนั้ ทเี่ รยี กวา ปต ตวิ สิ ยั หรอื เปตต-ิ พระไตรปฎ กบาลจี ะยงั คงอยู แตอ รรถ- วสิ ัย(แดนเปรต) ไดรบั ความทกุ ขท รมาน กถาไดหมดสน้ิ ไป พระพทุ ธโฆสาจารย เพราะอดอยาก ไมม จี ะกนิ แมเ มอื่ มี กก็ นิ ไดรบั มอบหมายจากพระเรวตเถระผเู ปน

โปราณฏั ฐกถา ๒๔๕ โปราณฏั ฐกถา อาจารย ใหเ ดนิ ทางจากชมพทู วปี มายงั ภาษาสิงหล ท่พี ระพทุ ธโฆสาจารยและ ลงั กาทวปี เพอื่ แปลอรรถกถาจากภาษา สงิ หฬเปน ภาษามคธ ทจี่ ะนาํ ไปใชศ กึ ษา พระอรรถกถาจารยอื่นในเวลาใกลเคียง ในชมพทู วปี สบื ไปไดอ กี พระพทุ ธโฆสา- จารย เมอื่ ผา นการทดสอบความรคู วาม กัน ไดใชเปนหลักและเปนแนวในการ สามารถและไดร บั อนญุ าตจากสงั ฆะแหง มหาวหิ ารใหท าํ งานทปี่ ระสงคไ ดแ ลว ก็ เรียบเรียงอรรถกถาภาษาบาลีข้ึนใหม ไดเ รียบเรยี งอรรถกถาจากของเดมิ ทเี่ ปน ภาษาสงิ หฬ ขนึ้ มาเปน ภาษาบาลี จนเกอื บ ก็จึงหมายรูกันโดยใชคําเรียกวาเปน ครบบรบิ รู ณ ขาดแตบ างสว นของขทุ ทก- “โปราณฏั ฐกถา” (อรรถกถาโบราณ, นกิ าย แหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ซงึ่ กไ็ ดม ี อรรถกถาของเกา) ซ่งึ มีชอื่ ทีอ่ างอิงหรือ พระเถระอนื่ อกี ประมาณ ๔ รปู มพี ระ ธรรมปาละ เปน ตน จดั ทาํ ขนึ้ ดว ยวธิ กี าร กลาวถึงในอรรถกถาภาษาบาลีบอยคร้ัง คลา ยคลงึ กนั จนจบครบตามคมั ภรี ข อง โดยเฉพาะ มหาอัฏฐกถา มหาปจจรี พระไตรปฎ ก ในชว งเวลาไมห า งจากพระ กุรุนที สงั เขปฏฐกถา อนั ธกฏั ฐกถา พทุ ธโฆสาจารยม ากนกั โปราณฏั ฐกถาสาํ คญั ทสี่ ดุ คอื มหา- เม่ืออรรถกถาท่ีเปนภาษาบาลีเกิดมี อัฏฐกถา ซึ่งเปนอรรถกถาที่อธิบาย ขน้ึ ใหมอ กี กช็ ว ยเปน หลกั ในการศกึ ษา ตลอดพระไตรปฎ กท้ังหมด และเกา แก พระไตรปฎ กสบื ตอ มา ไมเ ฉพาะในลงั กา ทวปี เทา นน้ั แตข ยายออกไปในประเทศ ท่ีสุด ถือวาเปนอรรถกถาเดิมท่ีพระ อน่ื ๆ กวา งขวางทวั่ ไป ตอ มา เมอ่ื พดู ถงึ อรรถกถา กเ็ ขา ใจกนั วา หมายถงึ อรรถ- มหินทเถระนํามาจากชมพูทวีป และ กถาภาษาบาลรี นุ ประมาณ พ.ศ.๑๐๐๐ ท่ี กลา วมานี้ บางทถี งึ กบั เรยี กกาลเวลาของ ทานไดแปลเปนภาษาสิงหลดวยตนเอง พระศาสนาชว งนี้ วา เปน ยคุ อรรถกถา ซง่ึ แทจริงนั้น เนื้อตัวของอรรถกถาก็เปน เพ่ือใหชาวลังกาทวีปมีเคร่ืองมือท่ีจะ ของทม่ี สี บื ตอ มาแตเ ดมิ ศกึ ษาพระไตรปฎ กไดโดยสะดวก เมอื่ สวนอรรถกถาเกาแกของเดิมใน พระพุทธโฆสาจารยเรียบเรียงอรรถกถา ภาษาบาลขี นึ้ ใหมน น้ั กอ็ าศยั มหาอฏั ฐ- กถานี่เองเปนหลัก ดังท่ีทานกลาวถึง การจัดทําอรรถกถาแหงพระวินัยปฎก (คอื สมนั ตปาสาทกิ า) วา ทา นนาํ เอามหา- อฏั ฐกถาน้ันมาเปน สรรี ะ คอื เปน เนอื้ หา หลกั หรอื เปน เนอื้ เปน ตวั ของหนงั สอื ใหม ทจ่ี ะทาํ พรอ มทงั้ ปรกึ ษาโปราณฏั ฐกถา และมตหิ ลกั ทถี่ อื กนั มาของสงั ฆะดว ย พงึ ทราบดงั ทกี่ ลา วแลว วา เวลาน้ี เมอ่ื

โปสาลมาณพ ๒๔๖ ผล พูดถึงอรรถกถา เราหมายถงึ อรรถกถา ท่ีคัมภีรอรรถกถาภาษาบาลีกลาวถึงนั้น ภาษาบาลีที่พระพุทธโฆสาจารยเปนตน มักหมายถึงโปราณัฏฐกถาภาษาสิงหล ไดเ รยี บเรยี งไว และเราใชก นั อยู แตพ งึ เฉพาะอยา งยง่ิ มหาอัฏฐกถานเี้ อง; ดู ทราบตอไปอีกข้ันหน่ึงวา ในอรรถกถา อรรถกถา ภาษาบาลนี นั้ เอง เมอ่ื มกี ารกลา วอา งถงึ โปสาลมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวน อรรถกถา เชนบอกวา “ในอรรถกถา ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ทไี่ ปทลู ถาม ทา นกลา ววา ‘…’ ดงั น”ี้ คาํ วา “อรรถกถา” ปญหากะพระศาสดา ทปี่ าสาณเจดยี  ผ ผทม นอน (ใชแ กเจา ) ปะปนสับสนกัน แตวา ตามความหมาย ผนวช บวช (ใชแกเจา ) พืน้ ฐาน วิบาก หมายถงึ ผลโดยตรงของ ผรณาปติ ความอม่ิ ใจซาบซา น เมอ่ื เกดิ กรรมตอชีวิตของตัวผูกระทํา ไมวาจะ ขึ้นทําใหรสู กึ ซาบซานท่วั สารพางค (ขอ เปนผลดีหรือผลรายสุดแตกรรมดีหรือ กรรมชว่ั ท่เี ขาไดทาํ , นิสสันท หมายถงึ ๕ ในปต ิ ๕) ผลโดยออมที่สืบเน่ืองหรือพวงพลอยมา ผรุสวาจา วาจาหยาบ, คาํ พดู เผด็ รอ น, กับผลแหงกรรมนั้น ไมวาจะเปน คาํ หยาบคาย (ขอ ๖ ในอกศุ ลกรรมบถ อฏิ ฐารมณหรอื อนฏิ ฐารมณ อันนํามาซึง่ สุขหรือโศก ทั้งท่เี กิดแกต ัวเขาเอง และ ๑๐) แกคนอื่นท่ีเก่ียวของ (ตัวอยางดังใน ผรุสาย วาจาย เวรมณี เวน จากพูดคาํ หลกั ปฏจิ จสมุปบาทวา ภพ เปน วบิ าก หยาบ (ขอ ๖ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐) ขาตชิ รามรณะ เปน นสิ สนั ท, และ โสกะ ผล 1. สงิ่ ทีเ่ กดิ จากเหต,ุ ประโยชนหรือ ปริเทวะ เปนตน เปนนิสสันทพวงตอ โทษทไี่ ดร บั สนองหรอื ตอบแทน; “ผล” มี ออกไปอกี ซงึ่ อาจจะไมเ กดิ ขน้ึ กไ็ ด) และ นสิ สนั ทน น้ั ใชไ ดก บั ผลในเรอ่ื งทว่ั ไป เชน ช่ือเรียกหลายอยางตามความหมายท่ี เอาวัตถุดิบมาเขาโรงงานอุตสาหกรรม เกิดเปนนิสสันทหล่ังไหลออกมา ท้ังที่ จาํ เพาะหรอื ทม่ี นี ยั ตา งกนั ออกไป เฉพาะ นา ปรารถนาคอื ผลติ ภณั ฑ และทไี่ มน า อยางยิง่ คอื วบิ าก (วิบากผล) นสิ สนั ท (นิสสันทผล) อานสิ งส (อานสิ งสผล); คําเหลาน้ี มีความหมายกายเกยกนั อยู บา ง และบางทีก็ใชอ ยางหลวมๆ ทาํ ให

ผล ๒๔๗ ผล ปรารถนา เชน กากและของเสียตา งๆ, อยางที่มีผลเลิศ อันใหประสบส่ิงดีงาม อานสิ งส หมายถงึ ผลดที ี่งอกเงย หรอื มผี ลเปน สขุ เปน ไปเพอ่ื สวรรค ๑ …” คุณคาประโยชนแถมเหมือนเปนกําไร ซึ่งพลอยไดหรือพวงเพ่ิมสืบเนื่องจาก ดังท่ีกลาวแลววา การใชคําเหลาน้ี กรรมทดี่ ี เชน เอาความรทู เ่ี ปนประโยชน เมอ่ื ลงสรู ายละเอยี ด บางทกี ม็ คี วามแตก ไปสอนเขา แลวเกิดมอี านิสงส เชน เขา ตา งและซบั ซอ นสบั สนบา ง เชน ในกรณี รกั ใครนบั ถือ ตลอดจนไดล าภบางอยา ง ทค่ี ําวา “ผล” กบั “วบิ าก” มาดว ยกนั ดงั นี้ กไ็ ด หมายถงึ ผลดี คณุ คา ประโยชน อยางในคําวา “ผลวิบาก (คอื ผลและ ของการอยางใดอยางหนึ่งหรือส่ิงใดส่ิง วบิ าก) ของกรรมทท่ี ําดที ําช่ัว…” ทา น หนึง่ โดยทว่ั ไป กไ็ ด, อานิสงสน ้ี ตรง อธิบายวา “ผล” หมายถึงนิสสันทผล ขา มกบั อาทนี พ (หรอื อาทนี วะ) ซ่งึ หมาย (รวมท้ังอานิสงสผล) และ “วิบาก” ก็คือ ถึงโทษ ผลราย สวนเสีย ขอบกพรอง, วิบากผล แตในสาํ นวนวา “มีผลมาก มี พึงเหน็ ตวั อยางดงั พทุ ธพจนวา (อง.ปฺจก. อานิสงสม าก” บางคัมภรี  (ดู ปฏิส.ํ อ.๒/ ๒๒/๒๒๗/๒๘๗) “ภิกษทุ ง้ั หลาย อาทีนพ ๖๒/๕๔; ท.ี อ.๒/๔๓๘/๔๒๙) อธบิ ายวา “ทีว่ า ในเพราะโภคทรัพย ๕ ประการน้ี … คือ ไมม ีผลมาก คือโดยวบิ ากผล ทีว่ าไมม ี โภคทรพั ยเปน ของท่ัวไปแกไ ฟ ๑ เปน อานิสงสม าก คอื โดยนสิ สนั ทผล (หรอื ของท่วั ไปแกนํ้า ๑ เปน ของท่วั ไปแกผู โดยอานิสงสผล)” แตบ างคัมภีร (ดู ม.อ. ครองบา นเมอื ง ๑ เปน ของทวั่ ไปแกโ จร ๑ เปน ของทัว่ ไปแกทายาทอปั รีย ๑ … ๑/๖๕/๑๗๑; ๒/๘๙/๒๒๐; อง.ฺ อ.๓/๖๖๓/๓๕๗) ภิกษุท้ังหลาย อานิสงสในเพราะโภค- ทรัพย ๕ ประการน้ี … คอื อาศยั โภค- อธบิ ายวา “ท่ีวา มผี ลมาก มอี านิสงสม าก ทรพั ย บคุ คลเลยี้ งตนใหเ ปนสขุ … ๑ นั้น ทั้งสองอยาง โดยความหมายก็ เลี้ยงมารดาบิดาใหเ ปน สขุ … ๑ เลยี้ ง อยางเดียวกัน” และบางทีก็ใหความ บุตรภรรยา คนใช กรรมกร และคนงาน หมายเพิ่มอีกนัยหน่ึงวา “มีผลมาก คือ ใหเปน สุข … ๑ เลีย้ งมติ รสหายและคน อํานวยโลกียสุขมาก มีอานิสงสมาก คือ ใกลชดิ ชว ยกจิ การ ใหเปนสขุ ใหอิ่มพอ เปน ปจ จยั แหง โลกตุ ตรสุขอนั ยง่ิ ใหญ”; ดู บรหิ ารใหเ ปนสขุ โดยชอบ ๑ บําเพ็ญ นสิ สนั ท, วบิ าก, อานสิ งส ทักษิณาในสมณพราหมณทั้งหลาย 2. ชอื่ แหงโลกตุ ตรธรรมคกู บั มรรค และเปน ผลแหง มรรค มี ๔ ชน้ั คือ โสดาปตติผล ๑ สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหตั ตผล ๑; คกู บั มรรค

ผลญาณ ๒๔๘ ผาตกิ รรม ผลญาณ ญาณในอรยิ ผล, ญาณท่เี กดิ เปนอเุ บกขาบาง (ขอ ๒ ในอาหาร ๔) ขึน้ ในลําดบั ตอจากมัคคญาณและเปน ผากฐิน ผาผืนหน่ึงท่ีใชเปนองคกฐิน ผลแหง มัคคญาณนนั้ ซึ่งผบู รรลุแลว ได สําหรบั กราน แตบ างทีพูดคลมุ ๆ หมาย ชื่อวาเปนพระอริยบุคคลข้ันนั้นๆ มี ถึงผาท้ังหมดที่ถวายพระในพิธีทอด โสดาบนั เปนตน; ดู ญาณ ๑๖ กฐนิ , เพ่อื กันความสับสน จงึ เรยี กแยก ผลภาชกะ ภกิ ษผุ ไู ดร บั สมมติ คอื แตง ตงั้ เปนองคกฐนิ หรือผา องคก ฐินอยางหนึง่ จากสงฆใหเ ปน ผมู ีหนา ที่แจกผลไม กับผาบริวารหรือผาบริวารกฐินอีกอยาง ผลเภสชั มีผลเปนยา, ยาทําจากลกู ไม หน่ึง; ดู กฐิน เชน ดปี ลี พริก สมอไทย มะขามปอม ผากรองน้ํา ผาสําหรับกรองนํ้ากันตัว เปนตน สัตว; ดู ธมกรก ผลสมังคี ดู สมังคี ผากาสายะ ดู กาสาวะ ผลเหตสุ นธิ “ตอ ผลเขา กบั เหต”ุ หมายถงึ ผากาสาวะ ดู กาสาวะ เงอื่ นตอ ระหวา งผลในปจ จบุ นั กบั เหตใุ น ผาจํานาํ พรรษา ผาทีท่ ายกถวายแกพ ระ ปจ จบุ นั ในวงจรปฏิจจสมุปบาท คือ สงฆผูอยูจําพรรษาครบแลวในวัดน้ัน ระหวางวญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ภายในเขตจีวรกาล; เรียกเปนคาํ ศัพท ผัสสะ เวทนา ขางหนงึ่ (ฝายผล) กบั วา ผาวัสสาวาสิกา วัสสาวาสิกสาฎก ตณั หา อปุ าทาน ภพ อกี ขา งหนึ่ง (ฝาย หรอื วัสสาวาสิกสาฏิกา; ดู อจั เจกจวี ร เหต)ุ ; เทียบ เหตุผลสนธิ ผาณิต รสหวานเกดิ แตออย, นาํ้ ออ ย (ขอ ผลาสโว ผลาสวะ, น้ําดองผลไม ๕ ในเภสชั ๕) ผะเดยี ง ดู เผดียง ผาติกรรม “การทําใหเจรญิ ” หมายถงึ ผัคคณุ มาส เดือน ๔ การจําหนายครุภัณฑ เพ่ือประโยชน ผัสสะ การถกู ตอ ง, การกระทบ; ผัสสะ สงฆอ ยา งหน่งึ อยางใด โดยเอาของเลว ๖; ดู ผัสสะ แลกเปล่ียนเอาของดีกวาใหแกสงฆ ผสั สาหาร อาหารคอื ผัสสะ, ผัสสะเปน หรือเอาของของตนถวายสงฆเปนการ อาหาร คอื เปน ปจจัยอดุ หนนุ หลอ เลี้ยง ทดแทนที่ตนทําของสงฆชํารุดไป, ร้ือ ใหเกดิ เวทนา ไดแ ก อายตนะภายใน ของที่ไมดีออกทําใหใหมดีกวาของเกา อายตนะภายนอก และวญิ ญาณกระทบ เชน เอาทว่ี ดั ไปทําอยางอน่ื แลว สรา งวดั กนั ทาํ ใหเ กดิ เวทนา คอื สขุ บา ง ทกุ ขบ า ง ถวายใหใ หม; การชดใช, การทดแทน

ผาไตร,ผา ไตรจวี ร ๒๔๙ แผเ มตตา ผา ไตร, ผา ไตรจวี ร ดู ไตรจีวร สบาย ผา ทรงสะพกั ผา หมเฉยี งบา ผาอาบน้าํ ฝน ผาสาํ หรับอธิษฐานไวใ ชน ุง ผาทิพย ผาหอยหนาตักพระพุทธรูป อาบนํ้าฝนตลอด ๔ เดือนแหงฤดฝู น ซึง่ (โดยมากเปนปูนปน มลี ายตา งๆ) พระภิกษุจะแสวงหาไดใ นระยะเวลา ๑ ผานิสีทนะ ดู นสิ ที นะ ผาบรวิ าร ผาสมทบ; ดู บรวิ าร เดอื น ตงั้ แตแ รม ๑ ค่าํ เดอื น ๗ ถึงขึ้น ผาบังสุกุล ดู บังสกุ ุล ผาปา ผาท่ีทายกถวายแกพระโดยวิธี ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ และใหทาํ นงุ ไดใ นเวลา ปลอยทิ้งใหพระมาชักเอาไปเอง อยาง กึ่งเดือน ตั้งแตข ้ึน ๑ ถงึ ๑๕ คา่ํ เดือน ๘, เรียกเปน คาํ ศพั ทว า วสั สกิ สาฏกิ า หรอื วัสสกิ สาฎก, มขี นาดที่กาํ หนดตาม เปน ผา บงั สกุ ลุ , ตามธรรมเนยี มจะถวาย พุทธบัญญัติในสิกขาบทท่ี ๙ แหงรตน- หลงั เทศกาลกฐนิ ออกไป; คาํ ถวายผา ปา วรรค (ปาจติ ตยี  ขอ ที่ ๙๑; วนิ ย.๒/๗๗๒/๕๐๙) วา “อิมานิ มยํ ภนฺเต, ปส ุกูลจีวรานิ, คอื ยาว ๖ คบื กวา ง ๒ คบื ครง่ึ โดยคบื สปรวิ ารานิ, ภกิ ขฺ สุ งฺฆสฺส, โอโณชยาม, พระสุคต; ปจจุบันมีประเพณีทายก สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อมิ านิ, ปส ุ- ทายิกาทําบุญถวายผาอาบนํ้าฝนตามวัด กูลจีวรานิ, สปริวาราน,ิ ปฏิคฺคณหฺ าต,ุ ตา งๆ ในวันข้ึน ๑๕ คํ่าเดือน ๘, คํา อมฺหาก,ํ ทฆี รตตฺ ,ํ หติ าย, สุขาย” แปล ถวายผาอาบนํ้าฝนเหมือนคําถวายผาปา เปลีย่ นแต ปส กุ ลู จีวรานิ เปน วสฺสกิ - วา “ขาแตพระสงฆผ ูเ จริญ ขา พเจาท้ัง สาฏกิ านิ และ “ผา บงั สุกุลจีวร” เปน หลายขอนอมถวายผาบังสุกุลจีวร กับ ทั้งบริวารเหลาน้ีแกพระภิกษุสงฆ ขอ “ผา อาบนํา้ ฝน” พระภิกษุสงฆจงรับ ผาบังสุกุลจีวรกับ ผูมีราตรีเดียวเจริญ ผูมีความเพียรไม ทั้งบริวารเหลานี้ของขาพเจาทั้งหลาย เกยี จครา นท้งั กลางวนั กลางคืน อยูดว ย เพื่อประโยชนและความสุขแกขาพเจา ความไมประมาท ท้งั หลาย ส้นิ กาลนาน เทอญฯ” เผดียง บอกแจง ใหร,ู บอกนิมนต, บอก ผา วสั สาวาสิกสาฏิกา ดู ผา จํานาํ พรรษา กลาวหรือประกาศเช้ือเชิญเพื่อใหรวม ผา วสั สกิ สาฏกิ า ดู ผา อาบน้ําฝน ทํากจิ โดยพรอมเพรียงกัน; ประเดยี ง ก็ ผาสาฏกิ า ผา คลุม, ผาหม วา; ดู ญตั ติ ผาสกุ ความสบาย, ความสาํ ราญ แผเ มตตา ต้ังจิตปรารถนาดีขอใหผ ูอ่ืนมี ผาสุวิหารธรรม ธรรมเปนเคร่ืองอยู ความสขุ ; คาํ แผเมตตาทใ่ี ชเปน หลักวา

โผฏฐพั พะ ๒๕๐ พยัญชนะ “สพเฺ พ สตตฺ า อเวรา อพยฺ าปชฌฺ า อนฆี า พเิ ศษทส่ี งู กวา ยอ มเขา ถงึ พรหมโลก สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนตฺ ”ุ แปลวา “ขอสตั ว อน่ึง การแผเ มตตานี้ สําหรบั ทานท่ี ท้งั หลาย, (ท่ีเปน เพอ่ื นทุกข เกิด แก ชาํ นาญ เมื่อฝกใจใหเสมอกันตอ สัตวท้ัง เจ็บ ตาย ดว ยกนั ) หมดทง้ั สิ้น, (จงเปน หลายไดแลว จะทําจิตใหคลองในการ สุขเปน สขุ เถดิ ), อยาไดม เี วรแกกันและ แผไ ปในแบบตางๆ แยกไดเ ปน ๓ อยาง กันเลย, (จงเปนสุขเปน สขุ เถดิ ), อยาได (ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/๕๗๕/๔๘๓) คือ ๑.แผไปท่ัวอยา ง เบียดเบียนซ่ึงกันและกันเลย, (จงเปน ไมม ีขอบเขต เรียกวา “อโนธิโสผรณา” สุขเปน สขุ เถดิ ), อยา ไดมที กุ ขก ายทกุ ข (อยางคาํ แผเมตตาท่ียกมาแสดงขา งตน) ใจเลย, จงมีความสุขกายสขุ ใจ, รกั ษา ๒.แผไปโดยจํากัดขอบเขต เรียกวา ตน (ใหพน จากทกุ ขภ ัยทั้งส้ิน) เถดิ .” “โอธิโสผรณา” เชนวา ขอใหคนพวกน้นั [ขอความในวงเล็บเปนสวนที่เพ่ิมเขามา พวกน้ี ขอใหส ัตวเหลา นน้ั เหลาน้ี จงเปน ในคาํ แปลเปนไทย] สขุ ๓.แผไปเฉพาะทิศเฉพาะแถบ เรยี ก ผูเจริญเมตตาธรรมอยูเสมอ จน วา “ทิสาผรณา” เชนวา ขอใหม นษุ ยทาง จิตม่ันในเมตตา มีเมตตาเปนคุณสมบัติ ทิศน้ันทิศนี้ ขอใหประดาสัตวในแถบ ประจําใจ จะไดรับอานิสงส คือผลดี นัน้ แถบน้ี หรอื ยอยลงไปอีกวา ขอให ๑๑ ประการ คือ ๑. หลับกเ็ ปนสุข ๒. คนจนคนยากไรในภาคน้ันภาคนี้ จงมี ตื่นก็เปน สขุ ๓. ไมฝ นรา ย ๔. เปน ท่ีรัก ความสขุ ฯลฯ; ดู เมตตา, อโนธโิ สผรณา, ของมนุษยท ง้ั หลาย ๕. เปน ทรี่ ักของ โอธิโสผรณา, ทิสาผรณา, วิกุพพนา, อมนุษยท ้งั หลาย ๖. เทวดายอมรักษา สีมาสมั เภท ๗. ไมตองภัยจากไฟ ยาพิษ หรือ โผฏฐพั พะ อารมณทจี่ ะพึงถกู ตองดวย ศัสตราอาวธุ ๘. จติ เปน สมาธิงาย ๙. สี กาย, สิ่งทถ่ี กู ตองกาย เชน เย็น รอน หนาผองใส ๑๐. เมอ่ื จะตาย ใจก็สงบ ออ น แขง็ เปนตน (ขอ ๕ ในอายตนะ ไมหลงใหลไรสติ ๑๑. ถา ยงั ไมบ รรลคุ ณุ ภายนอก ๖ และในกามคณุ ๕ พ พจน ดู วจนะ พยญั ชนะ 1. อกั ษร, ตวั หนังสือท่ีไมใช พนาสณฑ, พนาสณั ฑ ดู ไพรสณฑ สระ 2. กบั ขา วนอกจากแกง; คูกบั สปู ะ

พยากรณ ๒๕๑ พร 3. ลักษณะของรา งกาย พร สิ่งท่ีอนุญาตหรือใหตามท่ีขอ, สิ่ง พยากรณ ทาํ ใหแ จงชัด, บอกแจง , ชแี้ จง, ประสงค ที่ขอใหผูอื่นอนุญาตหรือ ตอบปญหา (คัมภีรท้ังหลายมักแสดง อํานวยให, ส่งิ ท่ปี รารถนา ซง่ึ เมอ่ื ไดรับ ความหมายวาตรงกบั คาํ วา วิสัชนา); ใน โอกาสแลว จะขอจากผมู ศี กั ดห์ิ รอื มฐี านะ ภาษาไทย นิยมใชในความหมายวา ท่ีจะยอมให หรือเอ้ืออํานวยใหเปนขอ ทาย, ทาํ นาย (ความหมายเดมิ คอื บอก อนุญาตพิเศษ เปน รางวลั หรือเปน ผล ความหมายของส่งิ น้นั ๆ เชน ลกั ษณะ แหง ความโปรดปรานหรอื เมตตาการณุ ย, รางกาย ใหแ จม แจง ออกมา) ดงั พรสาํ คญั ตอ ไปน้ี เปน ตวั อยา ง พยากรณศาสตร วิชาหรือตําราวาดวย พร ท่ีพระเจาสุทโธทนะทรงขอจาก การทํานาย (ในภาษาบาลี ตามปกตใิ ช พระพุทธเจา กลา วคอื เมอ่ื เจา ชายราหลุ ในความหมายวา ตําราไวยากรณ) ทูลขอทายัชชะ (สมบัติแหงความเปน พยาธิ ความเจ็บไข ทายาท) พระพทุ ธเจา ไดโ ปรดใหเ จา ชาย พยาน ผูรเู หน็ เหตุการณ, คน เอกสาร ราหลุ บรรพชา เพอ่ื จะไดโ ลกตุ ตรสมบตั ิ หรอื ส่ิงของทอี่ างเปนหลกั ฐาน โดยพระสารบี ตุ รเปน พระอปุ ช ฌาย ครนั้ พยาบาท ความขัดเคืองแคน ใจ, ความ พระพทุ ธบดิ าทรงทราบ กไ็ ดเ สดจ็ มาทรง เจบ็ ใจ, ความคดิ รา ย; ตรงขา มกับ เมตตา; ขอพรจากพระพทุ ธเจา ขอใหพ ระภกิ ษุ ในภาษาไทยหมายถึง ผูกใจเจบ็ และคดิ ท้ังหลายไมบวชบุตรท่ีมารดาบดิ ายังมไิ ด แกแคน อนญุ าต จงึ ไดม พี ทุ ธบญั ญตั ขิ อ นสี้ บื มา พยาบาทวิตก ความตริตรึกในทางคิด (วนิ ย.๔/๑๑๘/๑๖๘) รายตอผูอื่น, ความคิดนึกในทางขัด พร ๘ ประการ ทีน่ างวิสาขาทูลขอ เคอื งชงิ ชัง ไมป ระกอบดวยเมตตา (ขอ คือ ตลอดชวี ติ ของตน ปรารถนาจะขอ ๒ ในอกศุ ลวติ ก ๓) ถวายผา วสั สิกสาฏกิ า ถวายอาคนั ตกุ ภตั พยุหะ กระบวน, เหลาทหารท่ีระดมจัด ถวายคมิกภตั ถวายคิลานภัต ถวาย ข้นึ , กองทัพ (บาลี: พยฺ หู ) คลิ านปุ ฏ ฐากภตั ถวายคลิ านเภสชั ถวาย พยุหแสนยากร เหลาทหารท่ีระดมจัด ธวุ ยาคู แกสงฆ และถวายอทุ กสาฏกิ าแก ยกมาเปน กระบวนทพั , กองทพั (บาลี: ภกิ ษณุ สี งฆ จึงไดมพี ทุ ธานญุ าตผา ภตั พฺยูห+เสนา+อากร; สันสกฤต: วยฺ หู + และเภสชั เหลา นส้ี บื มา (วนิ ย.๕/๑๕๓/๒๑๐) ไสนยฺ +อากร) พร ๘ ประการ ทพี่ ระอานนทท ลู ขอ

พร ๒๕๒ พร (ทาํ นองเปน เงอื่ นไข) ในการทจ่ี ะรบั หนา ท่ี บาํ รงุ พระศาสดา ผอู ปุ ฐากอยางนจี้ ะเปน เปน พระพทุ ธอปุ ฐากประจาํ แยกเปน ก) ภาระอะไร ถา ขาพระองคไ มไ ดพ รขอขา ง ดา นปฏเิ สธ ๔ ขอ คอื ๑. ถา พระองคจ กั ปลาย จักมีคนพดู ไดว า พระอานนท ไมประทานจีวรอันประณีตที่พระองคได บํารุงพระศาสดาอยางไรกัน ความ แลว แกข า พระองค ๒. ถา พระองคจ กั ไม อนุเคราะหแ มเ พียงเทานี้ พระองคก็ยัง ประทานบิณฑบาตอนั ประณตี ทพ่ี ระองค ไมท รงกระทํา สําหรบั พรขอ สุดทาย จกั ไดแ ลว แกข า พระองค ๓. ถา พระองคจ กั มีผูถามขาพระองคในท่ีลับหลังพระองค ไมโปรดใหขาพระองคอ ยูใ นพระคนั ธกฎุ ี วา ธรรมน้ีๆ พระองคทรงแสดงท่ีไหน ทป่ี ระทบั ของพระองค ๔. ถา พระองคจ กั ถาขาพระองคบ อกไมได กจ็ ะมีผูพ ดู ได ไมท รงพาขา พระองคไ ปในทนี่ มิ นต และ วา แมแ ตเร่ืองเทาน้ที า นยงั ไมร ู ทา นจะ ข) ดา นขอรบั ๔ ขอ คอื ๕. ถา พระองค เที่ยวตามเสด็จพระศาสดาดุจเงาไมละ จะเสด็จไปสูท่ีนิมนตที่ขาพระองครับไว พระองคต ลอดเวลายาวนาน ไปทาํ ไม) ๖. ถาขาพระองคจักพาบริษัทซึ่งมาเพื่อ เฝาพระองคแตท่ีไกลนอกรัฐนอกแควน พรตามตัวอยางขางตนนี้ เปนขอที่ เขา เฝา ไดใ นขณะทม่ี าแลว ๗. ถา ขา พระ แสดงความประสงคของอริยสาวกและ องคจักไดเขาเฝาทูลถามในขณะเมื่อ อรยิ สาวิกา จะเหน็ วา ไมม เี ร่ืองผลไดแก ความสงสยั ของขา พระองคเ กดิ ขนึ้ ๘. ถา ตนเองของผขู อ สว นพรที่ปถุ ชุ นขอ มี พระองคทรงแสดงธรรมอันใดในท่ีลับ ตัวอยา งที่เดน คอื หลังขาพระองค จักเสด็จมาตรัสบอก ธรรมอนั นนั้ แกข า พระองค, พระพทุ ธเจา พร ๑๐ ประการ (ทศพร) ทพี่ ระผสุ ดี ตรัสถามทานวาเห็นอาทีนพคือผลเสีย เทวีทูลขอกะทาวสักกะ เมื่อจะจุติจาก อะไรใน ๔ ขอ ตน และเหน็ อานสิ งสค อื เทวโลกมาอบุ ตั ใิ นมนษุ ยโลก ไดแ ก ๑. ผลดอี ะไรใน ๔ ขอ หลงั จงึ ขออยา งน้ี อคคฺ มเหสภิ าโว ขอใหไ ดป ระทบั ในพระ เม่ือพระอานนททูลชี้แจงแลว ก็ทรง ราชนเิ วศน (เปน อคั รมเหส)ี ของพระเจา อนญุ าตตามทที่ า นขอ (เชน ท.ี อ.๒/๑๔) สวี ริ าช ๒. นลี เนตตฺ ตา ขอใหม ดี วงเนตร ดาํ ดงั ตาลกู มฤคี ๓. นลี ภมกุ ตา ขอใหม ี (ขอ ชแ้ี จงของพระอานนท คือ ถาขา ขนคว้ิ สดี าํ นลิ ๔. ผสุ สฺ ตตี ิ นามํ ขอใหม ี พระองคไ มไดพ ร ๔ ขอตน จักมีคนพดู นามวา ผสุ ดี ๕. ปตุ ตฺ ปฏลิ าโภ ขอใหไ ด ไดวา พระอานนทไดลาภอยางนนั้ จึง พระราชโอรส ผใู หส งิ่ ประเสรฐิ มพี ระทยั โอบเออื้ ปราศความตระหน่ี ผอู นั ราชาทวั่

พรต ๒๕๓ พรรณนา ทกุ รฐั บชู า มเี กยี รตยิ ศ ๖. อนนุ นฺ ตกจุ ฉฺ ติ า ในพุทธพจนวา “ทายกผใู หโ ภชนะ ชื่อวา เมอ่ื ทรงครรภข ออยา ใหอ ทุ รปอ งนนู แต ยอมใหฐานะ ๕ ประการ แกปฏคิ าหก พึงโคงดังคันธนูที่นายชางเหลาไวเรียบ กลา วคอื ใหอายุ วรรณะ สขุ ะ พละ เกลยี้ งเกลา ๗. อลมพฺ ตถฺ นตา ขอยคุ ล ปฏภิ าณ ครั้นให ... แลว ยอ มเปน ภาคี ถนั อยา ไดห ยอ นยาน ๘. อปลติ ภาโว ขอ แหง อายุ ... วรรณะ ... สุขะ ... พละ ... เกศาหงอกอยา ไดม ี ๙. สขุ มุ จฉฺ วติ า ขอ ปฏิภาณ ที่เปนทิพย หรือเปนของ ใหมีผิวเนื้อละเอียดเนียนธุลีไมติดกาย มนษุ ย กต็ าม” (อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๓๗/๔๔) ๑๐. วชฌฺ ปปฺ โมจนสมตถฺ ตา ขอใหป ลอ ย ธรรม หรอื ฐานะ ๕ อันเรยี กไดว า นกั โทษประหารได (ข.ุ ชา.๒๘/๑๐๔๘/๓๖๕) เปน “เบญจพิธพร” (พรหา ประการ) อีก ในภาษาไทย “พร” มีความหมาย ชุดหนง่ึ ทค่ี วรนาํ มาปฏิบตั ิ พึงศึกษาใน เพ้ียนไป กลายเปนคําแสดงความ พุทธพจนวา “ภิกษุทง้ั หลาย เธอทง้ั หลาย ปรารถนาดี ซ่ึงกลาวหรือใหโดยไมต อ ง จงเท่ียวไปในแดนโคจรของตน อันสบื มีการขอหรือการแสดงความประสงค มาแตบิดา... เมื่อเท่ียวไปในแดนโคจร ของผูรับ และมักไมคํานึงวาจะมีการ ของตน อันสบื มาแตบ ิดา เธอท้ังหลาย ปฏบิ ัติหรือทําใหส าํ เรจ็ เชน น้ันหรอื ไม จกั เจรญิ ทง้ั ดว ยอายุ ...ทง้ั ดวยวรรณะ “พร” ทีน่ ิยมกลาวในภาษาไทย เชน ...ทง้ั ดวยสุข ...ทั้งดวยโภคะ ...ทงั้ ดว ย วา “จตรุ พธิ พร” (พรสีป่ ระการ) นั้น ใน ภาษาบาลเี ดมิ ไมเ รยี กวา “พร” แตเ รยี กวา พละ” และทรงไขความไววา สาํ หรับ ภกิ ษุ อายุ อยูที่อิทธิบาท ๔ วรรณะ “ธรรม” บา ง วา “ฐานะ” บา ง ดงั ในพุทธ- อยูที่ศลี สขุ อยทู ่ีฌาน ๔ โภคะ อยทู ี่ อปั ปมญั ญา (พรหมวหิ าร) ๔ พละ อยทู ี่ พจนวา “ธรรม ๔ ประการ คอื อายุ วมิ ตุ ติ (เจโตวมิ ตุ ตแิ ละปญญาวิมุตตทิ ี่ วรรณะ สขุ ะ พละ ยอมเจรญิ แกบคุ คล ผูมีปกติอภวิ าท ออนนอมตอวุฒชนเปน หมดส้ินอาสวะ) (ที.ปา.๑๑/๕๐/๘๕) สวน นติ ย” (ข.ุ ธ.๒๕/๑๘/๒๙) แดนโคจรของตน ท่สี บื มาแตบดิ า กค็ อื ธรรม หรอื ฐานะทีเ่ รียกอยา งไทยได สตปิ ฏ ฐาน๔ (ส.ํ ม.๑๙/๗๐๐/๑๙๘) วาเปนพรอยางน้ี ในพระไตรปฎ กมอี ีก พรต ขอ ปฏบิ ัตทิ างศาสนา, ธรรมเนียม หลายชดุ มีจาํ นวน ๕ บา ง ๖ บา ง ๗ บาง ความประพฤติของผูถือศาสนาท่ีคูกัน ท่ีควรทราบ คอื ฐานะ ๕ อันเรยี กไดวา กบั ศลี , วัตร, ขอ ปฏบิ ัติประจํา เปน “เบญจพธิ พร” (พรหา ประการ) ดงั พรรณนา เลา ความ, ขยายความ, กลา ว

พรรษกาล ๒๕๔ พรหมไทย ถอ ยคาํ ใหผ ูฟ งนกึ เหน็ เปนภาพ นยั สดุ ทา ย (อรยิ มรรค และพระศาสนา); พรรษกาล ฤดฝู น (พจนานุกรมเขยี น ในศาสนาพราหมณ พรหมจรรย หมาย พรรษากาล) ถึงการครองชีวิตเวนเมถุนและประพฤติ พรรษา ฤดฝู น, ป, ปข องระยะเวลาทบี่ วช พรรษาธษิ ฐาน อธษิ ฐานพรรษา, กาํ หนด ปฏิบัติตนเครงครัดตางๆ ทจ่ี ะควบคมุ ใจวา จะจําพรรษา; ดู จาํ พรรษา พรหม ผูป ระเสริฐ, เทพในพรหมโลก ตนใหมุง มนั่ ในการศึกษาไดเ ต็มท่ี โดย เฉพาะในการเรยี นพระเวท โดยนยั หมาย ถึงการศึกษาพระเวท และหมายถงึ ชว ง เปนผูไมเกีย่ วของดว ยกาม มี ๒ พวก เวลาหรือข้ันตอนของชีวิตท่ีพึงอุทิศเพื่อ คือ รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น อรูปพรหมมี ๔ การศึกษาอยา งนั้น (บาล:ี พรฺ หฺมจริย) ชัน้ ; ดู พรหมโลก; เทพสงู สุดหรือพระผู พรหมจริยะ ดู พรหมจรรย พรหมจารี ผูป ระพฤตพิ รหมจรรย, นัก เปน เจาในศาสนาพราหมณ พรหมจรรย “จริยะอนั ประเสรฐิ ”, “การ เรียนพระเวท, ผูประพฤติธรรมมีเวน ครองชวี ิตประเสริฐ”, ตามทเี่ ขาใจกันท่วั จากเมถนุ เปน ตน ; ดู อาศรม ไป หมายถึงความประพฤติเวนเมถุน พรหมทัณฑ โทษอยางสูง คอื สงฆ หรือการครองชีวิตดังเชนการบวชท่ีละ ตกลงกันลงโทษภิกษุรูปใดรูปหน่ึงโดย เวนเมถุน แตแ ทจริงนน้ั พรหมจรรย ภกิ ษุท้งั หลายพรอ มใจกนั ไมพูดดว ย ไม คอื พรหมจรยิ ะ เปน หลกั การใหญท ใี่ ชใ น วากลาวตักเตือน หรือสั่งสอนภิกษุรูป แงค วามหมายมากหลาย ดงั ทอ่ี รรถกถา น้ัน, พระฉนั นะซึ่งเปนภิกษุเจาพยศ ถอื แหง หนงึ่ ประมวลไว ๑๐ นยั คอื หมายถงึ ตัววาเปนคนเกาใกลชิดพระพุทธเจามา ทาน ไวยาวจั จ (คอื การขวนขวายชว ย กอนใครอื่น ใครวา ไมฟง ภายหลงั ถกู เหลอื รบั ใชท าํ ประโยชน) เบญจศลี อปั ป- สงฆลงพรหมทัณฑถึงกับเปนลมลม มญั ญาสี่ (คอื พรหมวหิ ารส)่ี เมถนุ วริ ตั ิ สลบหายพยศได; ดูท่ี ปกาสนียกรรม, (คือการเวนเมถนุ ) สทารสนั โดษ (คอื อสมั มขุ ากรณยี  ความพอใจเฉพาะภรรยาหรอื คคู รองของ พรหมไทย ของอนั พรหมประทาน, ของ ตน) ความเพียร การรักษาอุโบสถ ใหท ปี่ ระเสรฐิ สดุ หมายถงึ ทดี่ นิ หรอื บา น อรยิ มรรค พระศาสนา (อนั รวมไตรสกิ ขา เมืองท่ีพระราชทานเปนบําเหน็จ เชน ท้งั หมด) เฉพาะอยา งยง่ิ ความหมาย เมืองอุกกุฏฐะที่พระเจาปเสนทิโกศล สาํ คญั ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรสั เปน หลกั คอื ๒ พระราชทานแกโปกขรสาติพราหมณ

พรหมบญุ ๒๕๕ พระ- และนครจัมปาที่พระเจาพิมพิสารพระ ทูลถามปญหาตางๆ มีความเลื่อมใส ราชทานใหโ สณทณั ฑพราหมณป กครอง และไดบ รรลธุ รรมเปน พระอนาคามี พรหมบุญ บุญอยางสงู เปนคําแสดง พรอมหนาธรรมวินัย (ระงับอธิกรณ) อานิสงสของผูชักนําใหสงฆสามัคคี โดยนําเอาธรรมวินัย และสัตถุสาสนท่ี ปรองดองกัน ไดพรหมบุญจักแชมชื่น เปนหลักสําหรับระงับอธิกรณน้ันมาใช ในสวรรคต ลอดกลั ป โดยครบถว น คอื วนิ จิ ฉยั ถกู ตอ งโดยธรรม พรหมโลก ทอี่ ยขู องพรหม ตามปกตหิ มาย และถูกตองโดยวินัย (ธัมมสัมมุขตา- ถงึ รปู พรหม ซงึ่ มี ๑๖ ชน้ั (เรยี กวา รปู - วนิ ยสัมมุขตา) โลก) ตามลาํ ดบั ดงั น้ี ๑. พรหมปารสิ ชั ชา พรอ มหนา บคุ คล บุคคลผเู ก่ียวขอ งใน ๒. พรหมปโุ รหติ า ๓. มหาพรหมา ๔. เรือ่ งน้นั อยูพ รอ มหนา กัน เชน ควู วิ าท ปรติ ตาภา ๕. อปั ปมาณาภา ๖. อาภสั สรา หรอื คคู วามพรอ มหนา กนั ในววิ าทาธกิ รณ ๗. ปรติ ตสภุ า ๘. อปั ปมาณสุภา ๙. สุภ- และในอนุวาทาธิกรณ เปน ตน (ปุคคล- กณิ หา ๑๐. อสัญญสี ัตตา ๑๑. เวหปั ผลา สมั มุขตา) ๑๒. อวหิ า ๑๓. อตปั ปา ๑๔. สทุ สั สา พรอมหนาวัตถุ ยกเร่ืองที่เกิดนั้นข้ึน ๑๕. สุทสั สี ๑๖. อกนิฏฐา; นอกจากน้ี พจิ ารณาวินจิ ฉัย เชน คาํ กลา วโจทเพอื่ ยงั มี อรปู พรหม ซงึ่ แบง เปน ๔ ชน้ั (เรยี ก เริ่มเร่ือง และขอวิวาทที่ยกขึ้นแถลง วา อรปู โลก) คอื ๑. อากาสานญั จายตนะ เปนตน (วตั ถสุ ัมมขุ ตา) ๒. วิญญาณญั จายตนะ ๓. อากิญจญั - พรอ มหนา สงฆ ตอหนาภกิ ษเุ ขา ประชมุ ญายตนะ ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ครบองค และไดน าํ ฉันทะของผูควรแก พรหมวิหาร ธรรมเครอ่ื งอยูข องพรหม, ฉนั ทะมาแลว (สังฆสมั มขุ ตา) ธรรมประจําใจอันประเสริฐ, ธรรม พระ- คาํ นาํ หนา ทใ่ี ชประกอบหนา คาํ อ่ืน ประจาํ ใจของทานผูมีคุณความดีย่งิ ใหญ เพือ่ แสดงความยกยอ ง เคารพ นับถือ มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทติ า อเุ บกขา พรหมายุ ช่ือพราหมณคนหน่ึง อายุ หรือใหความสาํ คัญ เชน นารายณ เปน ๑๒๐ ป เปน ผเู ชี่ยวชาญไตรเพท อยู ณ พระนารายณ ราชา เปน พระราชา เมืองมิถิลา ในแควน วเิ ทหะ ไดสง ศิษย (คําทข่ี ึ้นตนดว ย พระ- ซ่งึ ไมพบ มาตรวจดูมหาบุรุษลักษณะของพระ ในลําดับ ใหต ัด พระ ออก แลว ดูใน ลําดับของคําน้ัน เชน พระนารายณ ดู พุทธเจา ตอมาไดพบกับพระพุทธเจา นารายณ พระราชา ดู ราชา)

พระเครอื่ ง ๒๕๖ พระพุทธเจา พระเครื่อง พระเคร่อื งราง, พระพทุ ธรูป พระปา ดู อรญั วาสี องคเ ลก็ ๆ ทน่ี ับถือเปน เครอื่ งราง มกั ใช พระผูเปนเจา พระภิกษุ, เทพผูเปน เปน ของตดิ ตวั ดู เครอื่ งราง ใหญ, เทพสูงสุดท่ีนับถือวาเปนผูสราง พระโคดม, พระโคตมะ พระนามของ สรรคบันดาลทุกสิง่ ทุกอยา ง; คนไทยใช พระพุทธเจา เรยี กตามพระโคตร คําวาพระผูเปนเจา เปนคําเรียกพระ พระเจา พระพุทธเจา, พระพทุ ธรูป, เทพ ภิกษุ มาแตโบราณ เชนวา “ขออาราธนา ผูเปนใหญ; คนไทยใชคําวาพระเจา พระผูเปนเจาแสดงพระธรรมเทศนา” หมายถงึ พระพุทธเจา มาแตโบราณ เชน แตคงเปนดวยวา ตอ มา เมอ่ื ศาสนกิ วา “พระเจาหาพระองค” ก็คือ พระพทุ ธ แหงศาสนาท่นี บั ถอื เทพเปนใหญ ใชค าํ เจา ๕ พระองค แตคงเปน ดว ยวา ตอ น้ีเรียกเทพสูงสุดของตนกันแพรหลาย มาเม่ือศาสนิกแหงศาสนาที่นับถือเทพ ข้ึน พุทธศาสนิกชนจึงใชค าํ น้ีนอยลงๆ เปน ใหญ ใชค ําน้ีเรยี กเทพเปน ใหญของ จนบัดน้ีแทบไมเขาใจวา เปน คําที่ใชมาใน ตนกนั แพรหลายข้ึน พทุ ธศาสนิกชนจึง พระพุทธศาสนา ใชคําน้ีนอยลงๆ จนบัดนแี้ ทบไมเขา ใจ พระผมู ีพระภาคเจา พระนามของพระ วา เปน คําท่ใี ชม าในพระพทุ ธศาสนา พุทธเจา พระชนม อาย,ุ การเกิด, ระยะเวลาที่ พระพรหม ดู พรหม เกดิ มา พระพทุ ธเจา พระผตู รสั รเู องโดยชอบแลว พระชนมายุ อายุ สอนผูอนื่ ใหรตู าม, ทานผรู ูดรี ชู อบดว ย พระดาบส ดู ดาบส ตนเองกอนแลว สอนประชุมชนให พระธรรม คําส่ังสอนของพระพุทธเจา ประพฤตชิ อบดวยกาย วาจา ใจ; พระ ทง้ั หลกั ความจรงิ และหลกั ความประพฤติ พทุ ธเจา ๗ พระองคที่ใกลกาลปจ จบุ นั พระนม แมน ม ทีส่ ดุ และคมั ภีรกลา วถงึ บอยๆ คอื พระ พระนาคปรก พระพทุ ธรปู ปางหนงึ่ มรี ปู วปิ ส สี พระสขิ ี พระเวสสภู พระกกสุ นั ธะ นาคแผพ ังพานอยขู า งบน; ดู มจุ จลินท พระโกนาคมน พระกสั สป และพระโคดม; พระบรมศาสดา พระผูเปนครูผูยิ่ง พระพุทธเจา ๕ พระองคแหงภัทรกัป ใหญ, พระผูเปนครสู ูงสดุ หมายถงึ พระ ปจจุบันนี้ คือ พระกกุสันธะ พระ พทุ ธเจา โกนาคมน พระกสั สป พระโคดม และ พระบา น ดู คามวาสี พระเมตเตยยะ (เรยี กกันสามัญวา พระ

พระพทุ ธเจา ๒๕๗ พระพุทธเจา ศรีอารย หรือ พระศรอี รยิ เมตไตรย); สวามี, นรวระ, นรสีห, นาถะ, นายก, พระพทุ ธเจา ๒๕ พระองคนบั แตพ ระ พุทธะ, ภควา (พระผูมีพระภาค), องคแรกที่พระโคตมพุทธเจา (พระ ภรู ิปญ ญะ, มหามนุ ี, มเหสิ (มเหสี ก็ พุทธเจาองคปจจุบัน) ไดทรงพบและ ใช) , มารช,ิ มนุ ี, มนุ ินท, (มนุ นิ ทร กใ็ ช) , ทรงไดรับการพยากรณวาจะไดสําเร็จ โลกครุ, โลกนาถ, วรปญญะ, วินายก, เปน พระพทุ ธเจา (รวม ๒๔ พระองค) จน สมนั ตจกั ขุ (สมนั ตจกั ษ)ุ , สยมั ภ,ู สัตถา ถงึ พระองคเ องดว ย คอื ๑. พระทปี ง กร (พระศาสดา), สพั พญั ,ู สมั มาสมั พทุ ธ, ๒. พระโกณฑญั ญะ ๓. พระมงั คละ ๔. สคุ ต, อนธิวร, อังคีรส; และสาํ หรบั พระ พระสมุ นะ ๕. พระเรวตะ ๖. พระโสภติ ะ พุทธเจาพระองคปจจุบัน มีพระนาม ๗. พระอโนมทสั สี ๘. พระปทมุ ะ ๙. เฉพาะเพมิ่ อีก ๗ คํา คอื โคตมะ สกั กะ พระนารทะ ๑๐. พระปทมุ ุตตระ ๑๑. (ศากยะ) สักยมุนิ (ศากยมนุ )ี สักยสีห พระสเุ มธะ ๑๒. พระสุชาตะ ๑๓. พระ (ศากยสิงห) สิทธัตถะ สุทโธทนิ ปยทัสสี ๑๔. พระอัตถทัสสี ๑๕. พระ อาทิจจพนั ธุ; ดู อังคีรส ดว ย ธมั มทสั สี ๑๖. พระสทิ ธัตถะ ๑๗. พระ ตสิ สะ ๑๘. พระปุสสะ ๑๙. พระวปิ ส สี ขอควรทราบบางประการเก่ียวกับ ๒๐. พระสขิ ี ๒๑. พระเวสสภู ๒๒. พระพทุ ธเจา พระองคป จจุบัน ตามท่ตี รัส พระกกุสนั ธะ ๒๓. พระโกนาคมน ๒๔. ไวใ นคัมภรี พุทธวงส (โคตมพทุ ฺธวส, ข.ุ พทุ ธ. พระกสั สปะ ๒๕. พระโคตมะ (เรือ่ งมา ๓๓/๒๖/๕๔๓) คือ พระองคเปนพระสัม- ในคัมภีรพุทธวงส แหงขุททกนิกาย พทุ ธเจา พระนามวา โคดม (โคตมพทุ ธ) พระสุตตนั ตปฎ ก); ดู พุทธะ ดว ย เจรญิ ในศากยสกลุ พระนครอันเปน ถ่ิน กําเนดิ ช่อื กบลิ พัสดุ พระบดิ าคอื พระเจา พระนามตางๆ เพ่ือกลาวถึงพระ สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามวา พทุ ธเจา ซงึ่ เปน คาํ กลางๆ ใชแ กพ ระองค มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู ๒๙ ป ใดก็ได มีมากมาย เชน ทปี่ ระมวลไวใน มปี ราสาท ๓ หลงั ชอ่ื สจุ นั ทะ โกกนทุ คัมภรี อ ภิธานปั ปทปี กา (คาถาที่ ๑-๔) และโกญจะ มเหสีพระนามวายโสธรา มี ๓๒ คํา (ในทนี่ ี้ ไดปรบั ตัวสะกด และจัดเรียง โอรสพระนามวาราหุล ทอดพระเนตร ตามลําดบั อกั ษรอยา งภาษาไทย) คือ จักขุมา, เห็นนมิ ิต ๔ ประการแลว เสดจ็ ออก ชินะ, ตถาคต, ทศพล, ทิปทุตตมะ ผนวชดว ยมา เปน ราชยาน บําเพ็ญทกุ ร- (ทปิ โทดม), เทวเทพ, ธรรมราชา, ธรรม- กิรยิ าอยู ๖ ป ประกาศธรรมจกั รทปี่ า

พระมหาบรุ ษุ ลักษณะ ๒๕๘ พราหมณดาบส อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี พุทธเจาแลวปฏิบัติชอบตามพระธรรม พระอคั รสาวกทง้ั สอง คอื พระอุปตสิ สะ วินยั , หมูสาวกของพระพุทธเจา ; ดู สงฆ (พระสารบี ตุ ร) และพระโกลิตะ (พระ พระสมณโคดม คําทคี่ นภายนอกนยิ ม มหาโมคคัลลานะ) พุทธอปุ ฏฐากช่ือวา ใชเ ม่ือกลา วถงึ พระพทุ ธเจา พระอานนท พระอคั รสาวิกาทง้ั สอง คอื พระสมั พทุ ธเจา พระผูต รสั รูเ อง หมาย พระเขมา และพระอบุ ลวรรณา อัคร- ถงึ พระพทุ ธเจา อุปฏ ฐากอบุ าสก คอื จิตตคฤหบดี และ พระสาวก ผูฟ งคาํ สอน, ศิษยของพระ หตั ถกะอาฬวกะ อคั รอปุ ฏ ฐายกิ าอบุ าสกิ า พทุ ธเจา; ดู สาวก คอื นนั ทมารดา (หมายถึง เวฬกุ ณั ฏกี พระสูตร ดู สตู ร นันทมารดา) และอุตตรา (หมายถึง พระเสขะ ดู เสขะ ขุชชุตตรา) บรรลสุ มั โพธญิ าณทค่ี วงไม พระอภิธรรม ดู อภิธรรม อัสสัตถพฤกษ (คือ ไมอัสสัตถะ พระอูรุ ดู อรู ุ* เปนตนโพธิ์) มีสาวกสันนิบาต (การ พราหมณ คนวรรณะหนึง่ ใน ๔ วรรณะ ประชมุ พระสาวก) ครง้ั ใหญ คร้งั เดียว คอื กษตั รยิ  พราหมณ แพศย ศทู ร; ภกิ ษผุ เู ขา รว มประชมุ ๑,๒๕๐ รปู ถงึ จะ พราหมณเปนวรรณะนักบวชและเปน ดํารงชนมอยูภายในอายุขัยเพียงรอยป เจาพิธี ถอื ตนวาเปน วรรณะสงู สุด เกิด ก็ชวยใหหมูชนขามพนวัฏสงสารไดมาก จากปากพระพรหม; ดู วรรณะ มาย ท้ังตง้ั คบเพลงิ ธรรมไวป ลกุ คนภาย พราหมณคหบดี พราหมณแ ละคหบดี หลงั ใหเกิดมปี ญ ญาไดต รัสรตู อไป คอื ประดาพราหมณ และชนผูเปน เจา พระมหาบุรุษลักษณะ ดู มหาบุรุษ- บา นครองเรือนท้งั หลายอ่ืน ที่นอกจาก ลกั ษณะ กษัตริยและพราหมณนั้น เฉพาะอยาง พระยม ดู ยม ยิ่งคือพวกแพศย; ดู วรรณะ พระยส ดู ยส พราหมณดาบส ดาบสท่ีมีชาติตระกูล พระรตั นตรัย ดู รัตนตรัย เปนพราหมณ ออกมาบําเพ็ญพรตถือ พระวินยั ดู วนิ ยั เพศเปน ดาบส, มบี ันทึกในอรรถกถาวา พระศาสดา ผูสอน เปนพระนามเรียก คร้ังอดีตสมัยพระเจาโอกกากราช ใน พระพุทธเจา ; ดู ศาสดา ดนิ แดนแถบทกั ขณิ าบถ อนั เปน ทกั ษณิ - พระสงฆ หมชู นทฟี่ งคําสง่ั สอนของพระ ชนบท มีพวกพราหมณดาบสอยมู าก

พราหมณทาํ นายพระมหาบรุ ุษ ๒๕๙ พละ ——————————————— สินความเลศิ ประเสริฐน้ัน โดยชาติ คอื *คําขึน้ ตนดวย พระ- ซึง่ ไมพ บในลําดบั ใหต ัด พระ ออก แลว ดูในลาํ ดับของคาํ น้ัน กําเนดิ โดยโคตร คือสายตระกูล ซ่ึงผูก พราหมณทํานายพระมหาบุรุษ ใน พนั กบั อาวาหะววิ าหะ คอื การแตง งาน ที่ พระพุทธประวัติ มคี วามตามทเี่ ลา ไวใน อา งออกมาวา ทานคคู วรกับเรา หรือ อรรถกถา (เชน ชา.อ.๑/๘๘) วา เม่ือพระ ทานไมคูควรกับเรา ตางกับพระพุทธ โพธิสัตวประสูติแลวผานมาถึงวันที่ ๕ ศาสนาซ่ึงใหวัดหรือตดั สนิ คนดว ยกรรม เปน วนั ขนานพระนาม พระเจา สทุ โธทนะ คอื การกระทําความประพฤติ โดยถือวา โปรดใหเชิญพราหมณผูจบไตรเพท ส่ิงท่ีทาํ ใหเ ลศิ ใหประเสรฐิ คอื วชิ ชาจรณะ จํานวน ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหารแลว (วิชชาและจรณะ; พราหมณบอกวา เขา ทํามงคลรับพระลกั ษณะ และขนานพระ ก็ถอื วชิ ชาและจรณะดว ย แตวิชชาของ นามวา “สทิ ธัตถะ”, ในบรรดาพราหมณ เขาหมายถึงไตรเพท และจรณะท่ีเขาถอื รอยแปดคนนั้น พราหมณท่ีเปนผูรับ อยูเพียงศีล ๕), พราหมณสมัย หรือ พระลกั ษณะมี ๘ คน คอื ราม ธัช พราหมณวาท ก็เรียก ลักขณ สชุ าตมิ นตรี โภช สยุ าม สุทตั ต พราหมณสมัย ลัทธิพราหมณ; ดู และโกณฑัญญะ ในแปดคนน้ี เจด็ ทาน พราหมณลัทธิ แรกชูนว้ิ ขน้ึ ๒ น้ิว และพยากรณเ ปน พราหมณี นางพราหมณ, พราหมณผ ู ๒ อยาง คือ ถา ทรงอยูครองฆราวาส หญงิ จะทรงเปนพระเจาจักรพรรดิราช แต พละ กําลัง 1. พละ ๕ คือธรรมอนั เปน หากออกผนวช จะเปนพระพุทธเจา กาํ ลัง ซ่ึงทาํ ใหเ กดิ ความเขมแขง็ มนั่ คง สว นทานท่ี ๘ ซ่งึ มีอายนุ อ ยทสี่ ุด คอื ดํารงอยูไดในสัมปยุตตธรรมทั้งหลาย โกณฑญั ญะ ชนู ว้ิ เดยี ว และพยากรณว า อยางไมหวั่นไหว อันธรรมที่เปน จะทรงเปน พระพทุ ธเจาอยางแนนอน; ดู ปฏิปกษจ ะเขา ครอบงาํ ไมไ ด เปน เครื่อง มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ; เทยี บ อสติ ดาบส พราหมณมหาสาล พราหมณผมู งั่ คงั่ เกอื้ หนนุ แกอริยมรรค จัดอยูในจําพวก พราหมณลัทธิ ลัทธพิ ราหมณ คือ หลัก โพธปิ ก ขยิ ธรรม มี ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ การ หรอื ขอยึดถอื ของพวกพราหมณ ที่ สติ สมาธิ ปญญา; ดู อนิ ทรยี  ๕, โพธิ- ปก ขยิ ธรรม 2. พละ ๔ คือธรรมอันเปน กําหนดวา พราหมณเปนวรรณะที่ พลังทําใหดําเนินชีวิตดวยความมั่นใจ ประเสรฐิ เลิศ สูงสุด อันใหวดั หรอื ตดั ไมตองหวาดหวั่นกลัวภัยตางๆ ไดแก

พลความ ๒๖๐ พหุพจน,พหูพจน ๑. ปญ ญาพละ กาํ ลังปญ ญา ๒. วิริย- เปนคาใชจายประจาํ สําหรับการทําหนาที่ พละ กาํ ลงั ความเพยี ร ๓. อนวชั ชพละ เกื้อกูลตอผูอ่ืนและการสงเคราะหชวย กําลังคือการกระทําที่ไมมีโทษ (กําลัง เหลือกันในดานตางๆ, การทําหนาที่ ความสุจริตและการทําแตกรรมท่ีดีงาม) เก้ือกูลตอผูอื่นและการสงเคราะหชวย ๔. สงั คหพละ กาํ ลังการสงเคราะห คือ เหลอื กนั ทพี่ งึ ปฏบิ ตั ยิ ามปกตเิ ปน ประจาํ ชวยเหลือเก้ือกูลอยูรวมกับผูอ่ืนดวยดี โดยใชรายไดหรือทรัพยท่ีจัดสรรสละ ทําตนใหเปนประโยชนแกสังคม 3. เตรียมไวส าํ หรบั ดา นน้นั ๆ มี ๕ คอื ๑. พละ ๕ หรอื ขัตติยพละ ๕ ไดแ กก ําลัง ญาติพลี สงเคราะหญาติ ๒. อติถิพลี ของพระมหากษัตรยิ  หรอื กําลงั ทที่ าํ ใหมี ตอนรับแขก ๓. ปุพพเปตพลี ทําบญุ ความพรอ มสาํ หรบั ความเปนกษัตรยิ  ๕ อทุ ศิ ใหผ ูตาย ๔. ราชพลี ถวายเปน ประการ ดงั แสดงในคมั ภีรชาดก คอื ๑. หลวง หรอื บาํ รงุ ราชการ เชน เสยี ภาษี พาหาพละ หรอื กายพละ กาํ ลงั แขนหรือ อากร ๕.เทวตาพลี ทาํ บญุ อทุ ศิ ใหเ ทวดา กําลงั กาย คอื แข็งแรงสุขภาพดี สามารถ พหุบท “มีเทามาก” หมายถึงสัตว ในการใชแขนใชมือใชอาวุธ มีอุปกรณ ดิรัจฉานที่มีเทามากกวาสองเทาและสี่ พรงั่ พรอ ม ๒. โภคพละ กาํ ลงั โภคสมบตั ิ เทา เชน ตะขาบ กง้ิ กือ เปน ตน ๓. อมจั จพละ กาํ ลงั ขา ราชการทป่ี รกึ ษา พหุปุตตเจดีย เจดียสถานแหงหนึ่งอยู และผบู รหิ ารทสี่ ามารถ ๔. อภชิ ัจจพละ ทางเหนือของเมืองเวสาลี นครหลวง กําลงั ความมชี าติสูง ตองดวยความนิยม ของแควนวชั ชี เปนสถานทที่ ่พี ระพุทธ- เชิดชูของมหาชน และไดรับการศึกษา เจาเคยทรงทํานิมิตตโอภาสแกพระ อบรมมาดี ๕. ปญญาพละ กาํ ลงั ปญญา อานนท พหปุ ตุ ตนโิ ครธ ตน ไทรอยูระหวา งกรุง ซงึ่ เปนขอสาํ คัญท่สี ุด พลความ ขอความทไี่ มใชสาระสําคัญ ราชคฤหและเมืองนาลันทา ปปผลิ- พลววิปส สนา วิปส สนาที่มีกําลัง ทแ่ี รง มาณพไดพบพระพุทธเจาและขอบวชท่ี กลา หรอื อยางเขม; ดู วิปสสนูปกิเลส, ตน ไทรนี้ เขยี นวา พหุปุตตกนิโครธกม็ ี ญาณ ๑๖ พหุพจน, พหพู จน คาํ ที่กลาวถึงสงิ่ มาก พลี ทางพราหมณ คอื บวงสรวง, ทางพทุ ธ กวา หน่ึง คือตง้ั แตสองสง่ิ ขนึ้ ไป, เปนคาํ คอื สละเพอ่ื ชวยหรือบชู า หมายถงึ การ ทใี่ ชใ น ไวยากรณบาลแี ละไทย คกู ับ จัดสรรสละรายไดหรือทรัพยบางสวน เอกพจน ซ่ึงกลาวถึงสิ่งเดียว; แตใน

พหุลกรรม ๒๖๑ พหุสตู ,พหูสูต ไวยากรณสันสกฤตจํานวนสองเปน หลาย คือ จากกามาสวะ ภวาสวะ ทวพิ จน หรือทวิวจนะ จาํ นวนสามข้นึ อวชิ ชาสวะ’”, โดยใจความ ก็คอื หลกั ไป จงึ จะเปนพหุพจน ไตรสิกขา; จะใชว า พหลุ ธมั มกี ถา หรอื พหลุ กรรม กรรมทาํ มาก หรือกรรมชนิ พหลุ ธรรมกถากไ็ ด; เทยี บพหลุ านสุ าสนี ไดแก กรรมท้ังที่เปนกุศลและอกุศลท่ี พหลุ านุสาสนี คาํ แนะนําพราํ่ สอนทตี่ รสั ทาํ บอยๆ จนเคยชิน ยอ มใหผลกอ น เปนอันมาก, ตามเรื่องในจูฬสัจจกสูตร กรรมอืน่ เวน ครกุ รรม เรียกอกี อยา งวา (ม.ม.ู ๑๒/๓๙๓/๔๒๓) วา สจั จกนคิ รนถไ ดต งั้ อาจณิ ณกรรม (ขอ ๑๐ ในกรรม ๑๒) คาํ ถามกะพระอสั สชดิ งั น้ี “ทา นพระอสั สชิ พหลุ ธรรมกี ถา ธรรมกี ถา หรอื ธรรมกถา ผเู จรญิ พระสมณะโคดม แนะนาํ ใหเ หลา ที่ตรัสมาก, พระพุทธดํารัสบรรยาย สาวกศกึ ษาอยา งไร และคาํ สงั่ สอน (อน-ุ อธบิ ายธรรม ที่ตรสั เปน อนั มาก, ความ ศาสน)ี ของพระสมณะโคดม สว นอยา ง ในมหาปรินิพพานสูตร เลาเหตุการณ ไหน เปน ไปมากแกเ หลา สาวก” ทา นพระ เม่ือพระพุทธเจาเสด็จผานและทรงหยุด อสั สชติ อบวา “ดกู รอคั คเิ วสสนะ พระผมู ี ประทับในที่หลายแหง โดยกลาวเพียง พระภาค ทรงแนะนาํ ใหสาวกท้ังหลาย สั้นๆ อยางรวบรดั วา ณ ทีน่ น้ั ๆ (มี ๘ ศกึ ษาอยา งน้ี และอนศุ าสนขี องพระผมู ี แหง เริ่มแต ท.ี ม.๑๐/๗๕/๙๕) พระพุทธ พระภาค สวนอยางนี้ เปนไปมากแก เจา ตรสั พหุลธรรมกี ถา คอื ศลี สมาธิ สาวกทง้ั หลาย ดงั นว้ี า ‘ภกิ ษทุ งั้ หลาย รปู ปญ ญา แกภ กิ ษทุ ั้งหลาย ดังตวั อยาง ไมเ ทย่ี ง เวทนาไมเ ทยี่ ง สญั ญาไมเ ทยี่ ง วา “ไดทราบวา พระผูมีพระภาคเจา เมอื่ สงั ขารทง้ั หลายไมเ ทยี่ ง วญิ ญาณไมเ ทยี่ ง ประทบั อยู ณ ภเู ขาคชิ ฌกฏู เขตพระ รปู ไมใ ชต น เวทนาไมใ ชต น สญั ญาไมใ ช นครราชคฤห แมน ้นั ทรงกระทําธรรม-ี ตน สงั ขารทงั้ หลายไมใ ชต น วญิ ญาณไม กถาอันน้ีแหละเปนอันมากแกภิกษุทั้ง ใชต น สงั ขารทงั้ ปวงไมเ ทยี่ ง (อนจิ จา) หลายวา ‘ศลี เปนอยางนี้ สมาธเิ ปนอยา ง ธรรมทงั้ ปวงไมใ ชต น (อนตั ตา)’”, โดยใจ น้ี ปญญาเปน อยา งน้ี, สมาธิ อนั ศลี บม ความ ก็คอื หลัก ไตรลักษณ; พหลุ าน-ุ แลว ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก, ศาสนี กเ็ ขยี น; เทยี บ พหลุ ธรรมีกถา ปญ ญา อันสมาธิบม แลว ยอ มมีผลมาก พหวุ จนะ ดู พหุพจน มีอานิสงสมาก, จิตอันปญญาบมแลว พหสุ ูต, พหูสูต ผูไ ดยนิ ไดฟ งมามาก ยอมหลุดพนโดยชอบ จากอาสวะทั้ง คือทรงจาํ ธรรมและรศู ลิ ปวทิ ยามาก, ผู

พหูชน ๒๖๒ พาวรี เลาเรียนมาก, ผูศึกษามาก, ผูคงแก พกั กลุ ะ ก็เรียก เรยี น; ดู พาหสุ ัจจะ ดวย พาณชิ พอ คา พหชู น คนจํานวนมาก พาณิชย การคาขาย พกั มานตั ดู เกบ็ วัตร พาราณสี ชื่อเมืองหลวงของแควนกาสี พทั ธสมี า “แดนผูก” ไดแ ก เขตทส่ี งฆ อยรู มิ แมน า้ํ คงคา ปจ จบุ นั เรยี ก Banaras กําหนดขึ้นเอง โดยจัดต้ังนิมิตคือส่ิงท่ี หรอื Benares (ลาสดุ รอ้ื ฟน ชอ่ื ในภาษา เปนเครอ่ื งหมายกําหนดเอาไว; ดู สีมา สนั สกฤตข้ึนมาใชวา Varanasi), ปา อสิ -ิ พันธุ เหลากอ, พวกพอ ง ปตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจาทรง พัสดุ สิ่งของ, ทีด่ ิน แสดงปฐมเทศนา ซ่ึงปจจุบันเรียกวา พากุละ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เปน บตุ ร สารนาถ อยูหางจากตัวเมืองพาราณสี เศรษฐเี มืองโกสมั พี มีเร่อื งเลา วา เมือ่ ยัง ปจ จบุ ันประมาณ ๖ ไมล เปนทารกขณะท่ีพี่เล้ียงนําไปอาบนํ้าเลน พาวรี พราหมณผูเปนอาจารยใหญต้ัง ทแ่ี มนํ้า ทานถกู ปลาใหญก ลืนลงไปอยู อาศรมสอนไตรเพทแกศิษยอยูท่ีฝงแม ในทอง ตอมาปลาน้ันถูกจับไดท่ีเมือง นา้ํ โคธาวรี ณ สดุ เขตแดนแควน อสั สกะ พาราณสี และถูกขายใหแกภรรยา ไดส ง ศิษย ๑๖ คนไปถามปญหาพระ เศรษฐีเมืองพาราณสี ภรรยาเศรษฐีผา ศาสดา เพื่อจะทดสอบวาพระองคเปน ทองปลาพบเด็กแลวเล้ียงไวเปนบุตร พระสมั มาสมั พทุ ธะจรงิ หรอื ไม ภายหลงั ฝายมารดาเดิมทราบขาวจึงขอบุตรคืน ไดรับคําตอบแลวศิษยช่ือปงคิยะซ่ึงเปน ตกลงกนั ไมไ ด จนพระราชาทรงตัดสนิ หลานของทานไดกลับมาเลาเรื่องและ ใหเด็กเปนทายาทของท้ังสองตระกูล แสดงคาํ ตอบปญ หาของพระศาสดา ทาํ ทานจงึ ไดช อ่ื วา พากุละ แปลวา “คน ใหท า นไดบ รรลธุ รรมเปน พระอนาคามี สองตระกูล” หรือ “ผูท่ีสองตระกูล พาหันตะ ขณั ฑดา นขอบนอกทัง้ สองขา ง เลี้ยง” ทา นอยคู รองเรือนมาจนอายุ ๘๐ ของจีวร เวลาหม ปลายจะพาดบนแขน ป จึงไดฟงพระศาสดาทรงแสดงพระ หรืออยูสุดแขน, คําอธิบายในวนิ ยั มขุ ธรรมเทศนา มีความเล่ือมใสขอบวช เลม ๒ ตามท่สี มเดจ็ พระมหาสมณเจา แลวบาํ เพ็ญเพยี รอยู ๗ วันไดบ รรลพุ ระ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงไววา อรหัตไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะใน ในจีวรหา ขัณฑๆ ถัดออกมา (ตอ จาก ทางเปนผูมีอาพาธนอย คือสุขภาพดี; ชงั เฆยยกะ) อกี ทง้ั ๒ ขา ง ชอ่ื พาหนั ตะ

พาหิยทารจุ ีรยิ ะ ๒๖๓ พนิ ัยกรรม เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ขณั ฑน น้ั อยู พาหิรรูป ดูท่ี รูป ๒๘ ทแี่ ขนในเวลาหม ; ดู จวี ร พาหริ ลทั ธิ ลทั ธภิ ายนอกพระพทุ ธศาสนา พาหยิ ทารจุ รี ยิ ะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ พาหุสัจจะ ความเปน ผูไดย นิ ไดฟ ง มาก, เกิดในครอบครัวคนมีตระกูลในแควน ความเปน ผไู ดเ รยี นรมู าก หรอื คงแกเ รยี น พาหิยรัฐ ลงเรือเดินทะเลเพื่อจะไปคา มอี งค ๕ คือ ๑. พหุสฺสุตา ไดย นิ ไดฟ ง ขาย เรือแตกกลางทะเลรอดชีวิตไปได มาก ๒.ธตา ทรงจาํ ไวไ ด ๓. วจสา ปรจิ ติ า แตห มดเนอื้ หมดตวั ตองแสดงตนเปน คลอ งปาก ๔. มนสานเุ ปกขฺ ติ า เจนใจ ๕. ผูหมดกิเลสหลอกลวงประชาชนเลี้ยง ทิฏิยา สุปฏวิ ทิ ธฺ า ขบไดด วยทฤษฎ;ี ดู ชีวติ ตอ มาพบพระพุทธเจา ทลู ขอใหทรง พหสู ตู (ขอ ๒ ในนาถกรณธรรม ๑๐, แสดงธรรม พระองคทรงแสดงวิธี ขอ ๓ ในเวสารชั ชกรณธรรม ๕, ขอ ๔ ปฏิบัติตออารมณที่รับรูทางอายตนะท้ัง ในสทั ธรรม ๗, ขอ ๕ ในอริยทรัพย ๗) หก พอจบพระธรรมเทศนายนยอน้ัน พาเหยี ร ภายนอก (บาล:ี พาหริ ) พาหิยะก็สําเร็จอรหัต แตไมทันได พิกดั กําหนด, กาํ หนดทจ่ี ะตองเสยี ภาษี อุปสมบท กําลังเท่ียวหาบาตรจีวร พณิ เครอ่ื งดนตรชี นดิ หนงึ่ มสี ายสาํ หรบั ดดี เผอิญถูกโคแมลูกออนขวิดเอาส้ินชีวิต พทิ ยาธร ดู วิทยาธร เสยี กอน ไดร ับยกยอ งวา เปน เอตทัคคะ พทิ ักษ ดูแลรักษา, คุม ครอง, ปอ งกัน พนิ ทุ จดุ , วงกลมเล็กๆ ในที่น้ีหมายถงึ ในทางตรัสรฉู ับพลัน พาหิระ, พาหิรกะ ภายนอก เชน ในคาํ วา พนิ ทกุ ปั ปะ พาหิรวตั ถุ (วัตถภุ ายนอก) พาหริ สมยั พนิ ทกุ ปั ปะ การทาํ พนิ ท,ุ การทาํ จุดเปน (ลทั ธิภายนอก) พาหริ ายตนะ (อายตนะ วงกลม อยางใหญเทาแววตานกยูง ภายนอก); ตรงขา มกบั อัชฌัตตกิ ะ อยางเล็กเทาหลังตัวเรือด ท่ีมมุ จีวรดวย พาหริ ทาน, พาหริ กทาน การใหส่งิ ของ สีเขียวคราม โคลน หรอื ดําคลาํ้ เพ่อื ทํา ภายนอก, การใหของนอกกาย เชน เงนิ จวี รใหเ สยี สหี รอื มตี าํ หนติ ามวนิ ยั บญั ญตั ิ ทอง วตั ถุ อปุ กรณ ตลอดจนทรพั ย และเปนเคร่ืองหมายชวยใหจําไดดวย; สมบตั ทิ ั้งหมด; ดู ทานบารมี เขียนพินทุกัป ก็ได, คําบาลีเดิมเปน พาหิรทกุ ข ทกุ ขภายนอก กปั ปพนิ ท,ุ เรียกกันงายๆ วา พนิ ทุ พาหิรภณั ฑ, พาหิรกภัณฑ สิง่ ของภาย พนิ ัยกรรม หนังสอื สําคัญทีเ่ จา ทรพั ยท ํา นอก, ของนอกกาย; ดู ทานบารมี ไวกอนตาย แสดงความประสงคว า เมือ่

พปิ ลาส ๒๖๔ พุทธกจิ ประจําวนั ๕ ต า ย แ ล ว ข อ ม อ บ ม ร ด ก ท่ี ร ะ บุ ไ ว ใ น สัมมาสัมพทุ ธะ) ๒. พระปจ เจกพทุ ธะ ทานผตู รัสรูเองจาํ เพาะผูเดียว ๓. พระ หนงั สอื สาํ คญั นัน้ ใหแกค นนนั้ ๆ, ตาม อนพุ ุทธะ ทา นผูตรัสรตู ามพระพทุ ธเจา (เรียกอีกอยางวา สาวกพุทธะ); บาง พระวินัย ถาภกิ ษุทาํ เชนนี้ ไมม ีผล ตอ ง แหงจัดเปน ๔ คอื ๑.สพั พญั พู ทุ ธะ๒. ปจ เจกพทุ ธะ ๓. จตสุ จั จพุทธะ (= พระ ปลงบริขาร จึงใชได อรหันต) และ ๔. สุตพทุ ธ (= ผูเปน พปิ ลาส ดู วิปลาส, วิปลลาส พิพากษา ตดั สินอรรถคดี พิมพา บางแหงเรยี ก ยโสธรา เปน พระ ราชบุตรีของพระเจาสุปปพุทธะ กรุง พหสู ูต) เทวทหะ เปน พระชายาของพระสทิ ธตั ถะ พุทธการกธรรม ธรรมทที่ าํ ใหเ ปนพระ เปน พระมารดาของพระราหุล ภายหลงั พุทธเจา ตามปกติหมายถึง บารมี ๑๐ ออกบวชมีนามวา พระภัททกัจจานา นั่นเอง (ในคาถาบางทีเรียกสั้นๆ วา หรอื ภทั ทา กจั จานา พทุ ธธรรม) พมิ พิสาร พระเจาแผน ดนิ มคธครองราช พุทธกาล คร้งั พระพุทธเจายังดํารงพระ สมบัติอยูที่พระนครราชคฤห เปนผู ชนมอ ยู ถวายพระราชอุทยานเวฬุวันเปน พุทธกิจ กิจท่ีพระพุทธเจาทรงบําเพ็ญ, สังฆาราม นับเปนวัดแรกในพระพุทธ- การงานทีพ่ ระพุทธเจาทรงกระทํา ศาสนา ตอมา ถูกพระราชโอรสนามวา พุทธกิจประจําวัน ๕ พุทธกิจท่ีพระ อชาตศัตรู ปลงพระชนม พุทธเจาทรงบําเพ็ญเปนประจําในแตละ พิรธุ ไมปรกติ, มลี ักษณะนา สงสยั วันมี ๕ อยาง คอื ๑. ปพุ ฺพณฺเห ปณฑฺ - พิโรธ โกรธ, เคือง ปาตจฺ เวลาเชาเสด็จบิณฑบาต ๒. พิสดาร กวา งขวางละเอยี ดลออ, ขยาย สายณเฺ ห ธมฺมเทสนํ เวลาเยน็ ทรงแสดง ความออกไป; ดู วิตถาร, คูก ับ สงั เขป ธรรม ๓. ปโทเส ภิกฺขโุ อวาทํ เวลาคํา่ พีชคาม พืชพันธุอันถกู พรากจากทีแ่ ลว ประทานโอวาทแกเ หลา ภิกษุ ๔. อฑฒฺ - แตยงั จะเปน ไดอ กี ; คกู ับ ภูตคาม รตฺเต เทวปฺหนํ เท่ียงคืนทรงตอบ พทุ ธะ ทา นผูตรสั รูแลว , ผูรูอรยิ สัจจ ๔ ปญหาเทวดา ๕. ปจฺจุสเฺ สว คเต กาเล ภพพฺ าภพเฺ พ วโิ ลกนํ จวนสวา งทรงตรวจ อยา งถอ งแท ตามอรรถกถาทา นแบง เปน ๓ คือ ๑. พระพุทธเจา ทา นผูตรัสรูเอง พิจารณาสัตวที่สามารถและท่ียังไม และสอนผูอน่ื ใหรตู าม (บางทีเรียก พระ สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไป

พทุ ธกิจ๔๕ พรรษา ๒๖๕ พุทธคุณ โปรดหรอื ไม (สรปุ ทายวา เอเต ปจฺ วเิ ธ มารดา) พ. ๙ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี กจิ เฺ จ วโิ สเธติ มนุ ปิ งุ คฺ โว พระพทุ ธเจา พ. ๑๐ ปา ตาํ บลปาริเลยยกะ ใกลเ มอื ง องคพระมุนีผูประเสริฐทรงยังกิจ ๕ โกสมั พี (ในคราวทภี่ กิ ษชุ าวเมอื งโกสมั พี ประการนใี้ หหมดจด) ทะเลาะกัน) พ. ๑๑ หมูบ า นพราหมณ พทุ ธกิจ ๔๕ พรรษา ในระหวา งเวลา ช่ือเอกนาลา พ. ๑๒ เมืองเวรญั ชา พ. ๔๕ ปแหง การบําเพญ็ พทุ ธกิจ พระพทุ ธ ๑๓ จาลิยบรรพต พ. ๑๔ พระเชตวัน เจาไดเสด็จไปประทับจําพรรษา ณ (พระราหุลอุปสมบทคราวนี้) พ. ๑๕ สถานท่ีตางๆ ซ่ึงทานไดประมวลไว นิโครธาราม นครกบลิ พัสดุ พ. ๑๖ พรอมท้ังเหตุการณสําคัญบางอยางอัน เมืองอาฬวี (ทรมานอาฬวกยกั ษ) พ. ควรสงั เกต ดงั น้ี พรรษาที่ ๑ ปา อสิ ปิ ตน- ๑๗ พระเวฬวุ ัน นครราชคฤห พ. ๑๘, มฤคทายวัน ใกลกรุงพาราณสี (โปรด ๑๙ จาลยิ บรรพต พ. ๒๐ พระเวฬุวัน พระเบญจวคั คยี ) พ. ๒, ๓, ๔ พระเวฬวุ นั นครราชคฤห (โปรดมหาโจรองคลุ มิ าล, กรุงราชคฤห (ระยะประดิษฐานพระ พระอานนทไดรับหนาที่เปนพุทธ- ศาสนา เริ่มแตโปรดพระเจาพิมพิสาร อปุ ฏ ฐากประจํา) พ. ๒๑–๔๔ ประทบั ไดอ คั รสาวก ฯลฯ เสด็จนครกบิลพัสดุ สลบั ไปมา ณ พระเชตวนั กบั บพุ พาราม ครงั้ แรก ฯลฯ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐเี ปน พระนครสาวัตถี (รวมทั้งคราวกอนน้ี อุบาสกถวายพระเชตวนั ; ถา ถือตามพระ ดวย อรรถกถาวา พระพุทธเจาประทบั ท่ี วนิ ยั ปฎ ก พรรษาที่ ๓ นา จะประทบั ทพ่ี ระ เชตวนาราม ๑๙ พรรษา ณ บพุ พาราม เชตวนั นครสาวตั ถ)ี พ. ๕ กฏู าคารในปา ๖ พรรษา) พ. ๔๕ เวฬุวคาม ใกลนคร มหาวัน นครเวสาลี (โปรดพุทธบิดา เวสาลี ปรินิพพานที่กรุงกบิลพัสดุ โปรดพระ พทุ ธคารวตา ดู คารวะ ญาตทิ ว่ี วิ าทเรอื่ งแมน า้ํ โรหณิ ี มหาปชาบดี พุทธคุณ คณุ ของพระพทุ ธเจา มี ๙ คือ ผนวช เกดิ ภกิ ษณุ สี งฆ) พ. ๖ มกลุ บรรพต ๑. อรหํ เปน พระอรหนั ต ๒. สมฺมา- (ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริยที่ สมฺพุทโฺ ธ ตรสั รเู องโดยชอบ ๓. วชิ ชฺ า- นครสาวตั ถี) พ. ๗ ดาวดงึ สเทวโลก จรณสมฺปนฺโน ถงึ พรอมดวยวิชชาและ (แสดงพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธมารดา) จรณะ ๔. สคุ โต เสด็จไปดแี ลว ๕. พ. ๘ เภสกลาวัน ใกลเ มอื งสุงสุมารครี ี โลกวิทู เปนผูรูแจงโลก ๖. อนุตฺตโร แควนภัคคะ (พบนกุลบิดาและนกุล- ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ เปน สารถฝี ก คนทฝ่ี ก ได

พทุ ธโฆสาจารย ๒๖๖ พทุ ธธรรม ไมม ใี ครยงิ่ กวา ๗. สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ ประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจา เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้ง พุทธเจา ๕, ๗, ๒๕ ดู พระพทุ ธเจา และ หลาย ๘. พทุ ฺโธ เปน ผูตืน่ และเบกิ บาน พทุ ธะ แลว ๙. ภควา เปนผมู โี ชค พุทธธรรม 1. ธรรมของพระพทุ ธเจา , พุทธคุณท้งั หมดนัน้ โดยยอ มี ๒ พระคณุ สมบตั ขิ องพระพทุ ธเจา คมั ภรี  คอื ๑. พระปญ ญาคุณ พระคุณคอื พระ มหานิทเทสระบุจํานวนไววามี ๖ ปญญา ๒. พระกรุณาคณุ พระคุณคือ ประการ แตไ มไ ดจ าํ แนกขอ ไว อรรถ- พระมหากรณุ า หรอื ตามท่ีนิยมกลาวกัน กถาโยงความใหว า ไดแ ก ๑. กายกรรม ในประเทศไทย ยอ เปน ๓ คือ ๑. พระ ทกุ อยา งของพระพทุ ธเจา เปน ไปตามพระ ปญญาคณุ พระคุณคือพระปญ ญา ๒. ญาณ (จะทาํ อะไรกท็ าํ ดว ยปญ ญา ดว ย พระวสิ ุทธคิ ุณ พระคุณคอื ความบริสทุ ธิ์ ความรเู ขา ใจ) ๒. วจกี รรมทกุ อยา งเปน ๓. พระมหากรณุ าคุณ พระคณุ คือพระ ไปตามพระญาณ ๓. มโนกรรมทกุ อยา ง มหากรุณา เปนไปตามพระญาณ ๔. ทรงมีพระ พทุ ธโฆสาจารย ดู วิสุทธมิ รรค; พุทธ- ญาณไมติดขดั ในอดตี ๕. ทรงมพี ระ โฆษาจารย กเ็ ขียน ญาณไมต ดิ ขดั ในอนาคต ๖. ทรงมพี ระ พทุ ธจรยิ า พระจรยิ าวตั รของพระพทุ ธเจา , ญาณไมต ดิ ขัดในปจจบุ นั ; คมั ภรี ส มุ งั - การบําเพ็ญประโยชนของพระพุทธเจา คลวิลาสินี อรรถกถาแหงทีฆนิกาย มี ๓ คือ ๑. โลกัตถจริยา การบาํ เพญ็ จาํ แนกพทุ ธธรรมวา มี ๑๘ อยา ง คอื ๑. ประโยชนแกโ ลก ๒. ญาตตั ถจรยิ า การ พระตถาคตไมท รงมกี ายทจุ รติ ๒. ไม บาํ เพญ็ ประโยชนแ กพ ระญาติ ๓.พทุ ธตั ถ- ทรงมวี จที จุ รติ ๓. ไมท รงมมี โนทจุ รติ จรยิ า การบาํ เพ็ญประโยชนโดยฐานเปน ๔. ทรงมพี ระญาณไมต ดิ ขดั ในอดตี ๕. พระพุทธเจา ทรงมีพระญาณไมตดิ ขดั ในอนาคต ๖. พุทธจกั ขุ จักษขุ องพระพุทธเจา ไดแ ก ทรงมพี ระญาณไมต ดิ ขดั ในปจ จบุ นั ๗. ญาณท่ีหย่ังรูอัธยาศัย อุปนิสัยและ ทรงมีกายกรรมทุกอยางเปนไปตามพระ อินทรยี ท ยี่ งิ่ หยอ นตางๆ กนั ของเวไนย- ญาณ ๘. ทรงมวี จกี รรมทกุ อยา งเปน ไป สัตว (ขอ ๔ ในจกั ขุ ๕) ตามพระญาณ ๙. ทรงมมี โนกรรมทกุ พทุ ธจักร วงการพระพทุ ธศาสนา อยา งเปนไปตามพระญาณ ๑๐. ไมม ี พุทธจาริก การเสด็จจาริกคือเท่ียวไป ความเสื่อมฉันทะ (ฉันทะไมลดถอย)

พุทธบริวาร ๒๖๗ พทุ ธประวตั ิ ๑๑. ไมม คี วามเสอื่ มวริ ยิ ะ (ความเพยี ร ลําดับกาลในพุทธประวัติตามที่ทานแบง ไมลดถอย) ๑๒. ไมม ีความเสอื่ มสติ ไวในอรรถกถา จดั ไดเปน ๓ ชวงใหญ คอื ๑. ทเู รนทิ าน เรอ่ื งราวตง้ั แตเ รมิ่ เปน (สตไิ มล ดถอย) ๑๓. ไมม กี ารเลน ๑๔. พระโพธิสตั ว เสวยพระชาติในอดตี จน ถึงอุบัติในสวรรคช้ันดุสิต ๒. อวิทูเร- ไมมีการพูดพลาด ๑๕. ไมมีการทํา นิทาน เรอ่ื งราวตงั้ แตจตุ ิจากสวรรคช นั้ ดุสิต จนถึงตรัสรู ๓. สันติเกนิทาน พลาด ๑๖. ไมม คี วามผลนุ ผลนั ๑๗. เรื่องราวตั้งแตตรัสรูแลว จนเสด็จ ไมม ีพระทยั ทไี่ มข วนขวาย ๑๘. ไมม ี ปรินพิ พาน ในสวนของสนั ติเกนทิ านน้ัน ก็คือ โพธกิ าล นน่ั เอง ซ่งึ แบง ยอยได อกุศลจิต 2. ธรรมที่ทําใหเปนพระ เปน ๓ ชว ง ไดแก ๑. ปฐมโพธิกาล คอื พทุ ธเจา ไดแ ก พทุ ธการกธรรม คอื ตงั้ แตต รัสรู จนถึงไดพ ระอคั รสาวก ๒. บารมี ๑๐ 3. ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรง มชั ฌมิ โพธกิ าล คอื ตง้ั แตป ระดษิ ฐานพระ ศาสนาในแควน มคธ จนถึงปลงพระชน แสดงไว คอื สตปิ ฏ ฐาน ๔ ฯลฯ มรรคมี มายุสังขาร ๓. ปจฉิมโพธิกาล คือตงั้ แตปลงพระชนมายุสังขาร จนถึง องค ๘ ขนั ธ ๕ ปจ จยั ๒๔ เปน อาทิ พทุ ธบริวาร บริวารของพระพทุ ธเจา , ผู ปรินิพพาน ตอ มาภายหลงั พระเถระผู เปนบรวิ ารของพระพุทธเจา พุทธบริษัท หมูชนที่นับถือพระพุทธ- เลาพุทธประวัติไดกลาวถึงเรื่องราวท่ี ศาสนามี ๔ จําพวก คือ ภิกษุ ภิกษณุ ี เปนมาในชมพูทวีป กอนถึงการตรัสรู อบุ าสก อุบาสกิ า พุทธบัญญัติ ขอที่พระพุทธเจาทรง ของพระพุทธเจา และเรียกเวลาชวงน้ีวา บญั ญัตไิ ว, วินยั สําหรบั พระ ปุรมิ กาล กับทั้งเลาเหตุการณหลังพทุ ธ- พุทธบาท รอยเทาของพระพุทธเจา ปรนิ พิ พาน เชน การถวายพระเพลงิ และ อรรถกถาวาทรงประทับแหงแรกท่ีบน สงั คายนา และเรยี กเวลาชว งน้ีวา อปร- กาล; ในการแบงโพธิกาล ๓ ชวงน้ี หาดชายฝงแมนา้ํ นมั มทา แหงท่ีสองทภ่ี ู อรรถกถายังมีมติแตกตา งกนั บาง เชน เขาสัจจพันธครี ี นอกจากน้ตี ํานานสมยั พระอาจารยธ รรมบาลแบง ๓ ชวงเทา ตอๆ มาวามที ีภ่ เู ขาสมุ นกูฏ (ลังกาทวีป) กัน ชว งละ ๑๕ พรรษา แตบ างอรรถ- สวุ รรณบรรพต (สระบุรี ประเทศไทย) กถานบั ๒๐ พรรษาแรกของพุทธกจิ และเมอื งโยนก รวมเปน ๕ สถาน พุทธปฏิมา รปู เปรยี บของพระพทุ ธเจา , พระพุทธรปู พุทธประวัติ ประวัติของพระพุทธเจา;

พทุ ธปรนิ พิ พาน ๒๖๘ พทุ ธภาษิต เปนปฐมโพธิกาล โดยไมระบุชวงเวลา พระชนมายุสังขารที่ปามหาวนั นัน้ วาอกี ของ ๒ โพธกิ าลท่เี หลอื (ไดแ กช ว งเวลา ๓ เดอื นขา งหนาจะปรนิ พิ พาน ครน้ั ใกล แรกที่พระพุทธเจายังมิไดทรงมีพระ ครบเวลา ๓ เดอื น ในวันหนึ่ง ไดเ สดจ็ อานนทเปนพทุ ธอุปฏ ฐากประจาํ และยัง เขาไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลีเปนคร้ัง ไมไ ดทรงบัญญัตสิ กิ ขาบทแกพระสงฆ) สดุ ทาย เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทอด พุทธปรินิพพาน การเสด็จดับขันธ- พระเนตรเมืองเวสาลีเปนปจฉิมทัศน ปรินิพพานของพระพุทธเจา, การตาย โดยนาคาวโลก จากนั้นเสด็จออกจาก ของพระพทุ ธเจา เวสาลี ผา นภัณฑคาม หัตถคิ าม อมั พ- ลําดบั เหตกุ ารณช ว งสุดทายวา ในป คาม ชัมพุคาม และโภคนคร ตามลําดับ ที่ ๔๕ แหงพทุ ธกจิ พระพทุ ธเจาทรงจาํ จนถงึ เมอื งปาวา ประทบั พักแรมทอี่ ัมพ- พรรษาสุดทายที่เวฬวุ คาม เมืองเวสาลี วัน ของนายจนุ ทะกัมมารบุตร แลวใน ในพรรษานั้น พระองคประชวรหนัก เชา วนั วิสาขบณุ มี เสดจ็ พรอ มภกิ ษสุ งฆ แทบจะปรินพิ พาน ทรงพระดําริวา พระ ไปฉันภัตตาหารที่บานของนายจุนทะ องคควรจะทรงบอกกลาวเลาความแก ตามทเ่ี ขานมิ นตไ ว นายจนุ ทะถวายสกู ร- ประดาอุปฏฐากและแจง ลาสงฆกอน จงึ มัททวะ หลงั จากเสวยแลว ทรงอาพาธ ทรงระงบั เวทนาไว ครัน้ ออกพรรษาแลว หนัก ลงพระโลหิต เสด็จตอ ไปยงั เมอื ง ก็เสด็จจาริกไปจนถึงเมืองสาวัตถี กุสนิ ารา ผา นแมน า้ํ กกุธา ไปถึงแมน้ํา ประทับอยูท่ีน่ันจนผานเหตุการณ หิรญั ญวดี เสด็จขา มแมน ้าํ นน้ั เขา ไป ปรินิพพานของพระสารีบุตร หลังจาก ประทับในสาลวโนทยานของกษัตริย โปรดใหสรางธาตุเจดียของพระธรรม- มัลละ เมืองกุสินารา บรรทมโดยสีห- เสนาบดีที่พระเชตวันแลว ก็เสด็จลง ไสยา ภายใตค ตู นสาละ และเสด็จดับ มายังเมืองราชคฤห ตรงกับชวงเวลาท่ี ขันธปรินิพพาน ในราตรีแหงวันวิสาข- พระมหาโมคคลั ลานะปรินพิ พาน ครนั้ บณุ มี คอื วันขนึ้ ๑๕ คาํ่ เดือน ๖ เมอ่ื มี โปรดใหสรางธาตุเจดียของทานไว ณ พระชนมายคุ รบ ๘๐ พรรษา; ดู พระ พระเวฬวุ นั แลว ก็เสด็จตอ ขน้ึ ไปเวสาลี พุทธเจา, นาคาวโลก, สกู รมัททวะ ประทบั ท่ีกฏู าคารศาลา ปามหาวัน พอ พุทธพจน พระดํารัสของพระพุทธเจา, บรรจบครบเวลา ๔ เดอื น นับแตออก คาํ พูดของพระพทุ ธเจา พรรษาสุดทายท่ีเวฬุวคาม ก็ทรงปลง พทุ ธภาษติ ภาษติ ของพระพทุ ธเจา , คาํ พดู

พทุ ธมามกะ ๒๖๙ พุทธมามกะ ของพระพุทธเจา , ถอยคําทพ่ี ระพทุ ธเจา พานไปถวายพระอาจารยที่จะใหเปน พูด พุทธมามกะ “ผูถือพระพุทธเจาวาเปน ประธานสงฆในพิธี พรอมท้ังเผดียง ของเรา”, ผรู บั เอาพระพทุ ธเจา เปน ของตน, ผูประกาศตนวาเปนผูนับถือพระพุทธ- สงฆรวมท้ังพระอาจารยเปนอยางนอย ศาสนา; พธิ แี สดงตนเปน พทุ ธมามกะนนั้ ๔ รูป ข. จดั สถานท่ี ในอโุ บสถ หรอื สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา วชิรญาณวโรรส ไดทรงเรียบเรียงต้ัง วหิ าร ศาลาการเปรียญ หรอื หอประชุม เปนแบบไว ในคราวท่ีพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว ทรงพระ ทีม่ ีโตะบชู ามพี ระพุทธรูปประธาน และ กรุณาโปรดจะสงเจานายคณะหนึ่งออก จัดอาสนะสงฆใ หเหมาะสม ค. พธิ กี าร ไปศึกษาในทวีปยุโรป ทรงถือตามคํา แสดงตนเปนอุบาสกของเดิมแตแกบท ใหผูแ สดงตน จดุ ธูปเทยี น เปลงวาจา อุบาสก ที่เฉพาะผูใหญผูไดศรัทธา บูชาพระรัตนตรัยวา “อมิ นิ า สกกฺ าเรน, เลอื่ มใสดว ยตนเอง เปน พุทธมามกะ พทุ ฺธํ ปเู ชมิ” (แปลวา) “ขาพเจาขอบชู า และไดเกิดเปนประเพณีนิยมแสดงตน เปนพุทธมามกะสืบตอ กันมา โดยจัดทาํ พระพุทธเจาดวยเคร่ืองสักการะน้ี” ในกรณีตา งๆ โดยเฉพาะ ๑. เม่ือบตุ ร (กราบ) “อมิ นิ า สกกฺ าเรน, ธมมฺ ํ ปเู ชมิ” หลานพน วัยทารก อายุ ๑๒–๑๕ ป ๒. เม่ือจะสงบุตรหลานไปอยูในถ่ินท่ีมิใช (แปลวา ) “ขา พเจา ขอบชู าพระธรรมดวย ดินแดนของพระพทุ ธศาสนา ๓. โรง เครอื่ งสกั การะน”ี้ (กราบ) “อมิ นิ า สกกฺ า- เรียนประกอบพิธีใหนักเรียนที่เขาศึกษา เรน, สงฺฆํ ปเู ชม”ิ (แปลวา ) “ขา พเจาขอ ใหมแตละปเปนหมู ๔. เมอื่ บุคคลผเู คย นับถือศาสนาอื่นตองการประกาศตน บูชาพระสงฆดวยเคร่ืองสักการะนี้” เปนผูนับถือพระพุทธศาสนา; ทานวาง ระเบียบพิธีไวสรุปไดดังน้ี ก. มอบตัว (กราบ) จากน้ันเขาไปสูที่ประชุมสงฆ (ถาเปนเด็กใหผูปกครองนําตัวหรือครู นํารายช่ือไป) โดยนําดอกไมธ ปู เทยี นใส ถวายพานเครอื่ งสกั การะแกพระอาจารย กราบ ๓ ครง้ั แลว คงนงั่ คกุ เขา กลา วคาํ ปฏญิ าณวา : “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสสฺ ” (๓ หน) “ขาพเจา ขอ นอบนอ ม แดพ ระผมู พี ระภาคอรหนั ต- สมั มาสมั พทุ ธเจา นน้ั ” (๓ หน) “เอสาหํ ภนเฺ ต,สจุ ริ ปรนิ พิ พฺ ตุ มปฺ , ตํ ภควนตฺ ํสรณํ คจฉฺ าม,ิ ธมมฺ จฺ สงฆฺ จฺ , พทุ ธฺ มามโกติ มํ สงโฺ ฆ ธาเรตุ” แปลวา “ขา แตพระ สงฆผูเจรญิ ขา พเจา ถงึ พระผมู พี ระภาค เจา พระองคน นั้ แมป รนิ พิ พานนานแลว

พุทธ ๒๗๐ พทุ ธโอวาท ท้งั พระธรรมและพระสงฆ เปน สรณะท่ี พุทธศักราช ปนับแตพระพทุ ธเจา เสด็จ ระลกึ นบั ถอื ขอพระสงฆจ งจําขา พเจาไว ปรินพิ พาน วา เปน พุทธมามกะ ผูรับเอาพระพทุ ธเจา พุทธศาสนา คําสั่งสอนของพระพุทธ- เปนของตน คือผูนับถือพระพุทธเจา” เจา, อยางกวา งในบัดนี้ หมายถึง ความ (ถา เปน หญงิ คนเดียวเปลยี่ น พทุ ธฺ มาม- เช่อื ถอื การประพฤตปิ ฏิบตั แิ ละกิจการ โกติ เปน พทุ ธฺ มามกาต;ิ ถาปฏิญาณ ทั้งหมดของหมูชนผูกลาววาตนนับถือ พรอ มกนั หลายคน ชายเปลย่ี น เอสาหํ พระพุทธศาสนา เปน เอเต มยํ หญิงเปน เอตา มย;ํ และ พุทธศาสนกิ ผนู ับถอื พระพุทธศาสนา, ทั้งชายและหญิงเปล่ียน คจฺฉามิ เปน ผปู ฏบิ ตั ติ ามคาํ ส่ังสอนของพระพทุ ธเจา คจฉฺ าม, พทุ ธฺ มามโกติ เปน พทุ ธฺ มามกาต,ิ พุทธศาสนกิ มณฑล วงการของผูนบั ถือ มํ เปน โน) จากนนั้ ฟง พระอาจารยให พระพทุ ธศาสนา โอวาท จบแลว รับคําวา “สาธ”ุ ครนั้ แลว พุทธสรรี ะ รา งกายของพระพุทธเจา กลา วคาํ อาราธนาเบญจศลี และสมาทาน พทุ ธสาวก สาวกของพระพทุ ธเจา, ศษิ ย ศีลพรอ มทง้ั คาํ แปล จบแลว กราบ ๓ ของพระพทุ ธเจา หน ถวายไทยธรรม (ถามี) แลว กรวด พุทธอาณา อํานาจปกครองของพระ นํ้าเมื่อพระสงฆอนุโมทนา รับพรเสร็จ พทุ ธเจา, อํานาจปกครองฝา ยพุทธจกั ร แลว คกุ เขา กราบพระสงฆ ๓ ครั้ง เปน พทุ ธอาสน ทป่ี ระทบั นง่ั ของพระพทุ ธเจา เสรจ็ พิธี พุทธอิทธานุภาพ ฤทธ์ิและอานุภาพ พุทธรัตนะ, พุทธรัตน รัตนะคือพระ ของพระพทุ ธเจา พทุ ธเจา , พระพุทธเจาอันเปนอยา งหนึง่ พุทธอปุ ฐาก ผคู อยรบั ใชพ ระพทุ ธเจา ใน ในรัตนะ ๓ ท่ีเรยี กวาพระรตั นตรัย; ดู ครั้งพุทธกาล มีพระอานนทพุทธอนุชา รตั นตรยั เปน ผูเลิศในเรือ่ งน้ี พุทธรูป รูปพระพทุ ธเจา พุทธโอวาท คาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา พุทธฤทธานุภาพ ฤทธิ์และอานุภาพ มหี ลกั ใหญ ๓ ขอ คอื ๑. สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ ไมท าํ ความชวั่ ทง้ั ปวง ๒. กสุ ลส-ฺ ของพระพุทธเจา พุทธเวไนย ผูท ่ีพระพทุ ธเจาควรแนะนํา สปู สมปฺ ทา ทําความดใี หเ พยี บพรอ ม ๓. สั่งสอน, ผูท่ีพระพุทธเจาพอแนะนาํ สง่ั สจิตฺตปริโยทปนํ ทําใจของตนให สอนได สะอาดบรสิ ุทธิ์

พทุ ธัตถจริยา ๒๗๑ พทุ ธาวาส พทุ ธตั ถจรยิ า ทรงประพฤตเิ ปน ประโยชน พุทธาวาส “อาวาสของพระพุทธเจา”, แกสัตวโลก โดยฐานเปนพระพุทธเจา สวนของวัดที่จัดใหเปนเขตท่ีพุทธบริษัท เชน ทรงแสดงธรรมแกเวไนยสตั วและ ประกอบกิจกรรมอุทิศคือตั้งใจมุงไปที่ บัญญัติวินัยข้ึนบริหารหมูคณะ ทรง องคพ ระพทุ ธเจา เสมอื นมาเฝา พระองค ประดิษฐานพระพุทธศาสนาใหย่ังยืนมา เชน พระสงฆม าทาํ สงั ฆกรรม มาพบปะ ตราบเทาทกุ วนั น้ี ฉลองศรัทธาของประชาชน มาแสดง พุทธันดร ชวงเวลาในระหวางแหงสอง ธรรม ชาวบา นมาเลย้ี งพระ ถวายทาน พุทธปุ บาทกาล, ชว งเวลาในระหวา ง นับ รกั ษาศลี ฟง ธรรม และทาํ การบชู าตา งๆ จากท่ีศาสนาของพระพุทธเจาพระองค จึงเปนเขตที่มีสิ่งกอสรางสําคัญ เชน หน่งึ สูญสนิ้ แลว จนถงึ พระพทุ ธเจาพระ โบสถ วหิ าร สถปู เจดยี  และมกี ารจดั แตง องคใหมเสด็จอุบัติ คือชวงเวลาที่โลก อยางประณีตบรรจง ใหงดงามเปนที่ วา งพระพทุ ธศาสนา, คาํ นี้ บางทีใชใ น เจรญิ ศรทั ธา ตา งจากอกี สว นหนง่ึ ทเ่ี ปน คู การนับเวลา เชนวา “บรุ ษุ นน้ั … เที่ยว กนั คอื สงั ฆาวาส ซงึ่ จดั ไวเ ปน ทอ่ี ยอู าศยั เวียนวายอยตู ลอด ๖ พุทธันดร … ” ของพระภิกษุสามเณร อันเนนที่ความ พทุ ธาณัติ คําสงั่ ของพระพทุ ธเจา เรยี บงา ย เปน ทเ่ี หมาะแกก ารหลกี เรน มี พุทธาณัติพจน พระดํารัสส่ังของพระ สปั ปายะเออ้ื ตอ การเจรญิ ไตรสกิ ขา, ตาม พุทธเจา , คาํ ส่งั ของพระพุทธเจา ทเี่ ปน มา การจดั แบง เชน นดี้ าํ เนนิ มาอยา ง พุทธาทิบัณฑิต บัณฑิตมีพระพุทธเจา รกู นั เปน ประเพณี ในวดั ทว่ั ไป จงึ มกั ไม เปน ตน (พทุ ธ + อาทิ + บัณฑิต) ไดท าํ เครอ่ื งกน้ั เขต และไมม คี าํ เรยี กแยก พุทธาธบิ าย พระประสงคของพระพทุ ธ- ใหต า งกนั ออกไป แตใ นพระอารามหลวง เจา, พระดาํ รสั ชีแ้ จงของพระพุทธเจา มีการทํากําแพงแยกกันตางหากชัดเจน พุทธานุญาต ขอท่ีพระพุทธเจาทรง โดยใชค าํ เรยี กวา พทุ ธาวาส กบั สงั ฆาวาส อนุญาต ดงั ทกี่ ลา วมา, นอกจากนนั้ มวี ดั ทส่ี รา ง พุทธานุพุทธประวัติ ประวัติของพระ ข้ึนเปนท่ีประกอบสังฆกรรมและเปนท่ี พุทธเจา และพระสาวก เจริญกุศลของพุทธบริษัทโดยเฉพาะ พุทธานุสติ ตามระลึกถึงคุณของพระ โดยไมม สี งั ฆาวาส เชน วดั พระศรรี ตั น- พทุ ธเจา เขยี นอยา งรปู เดมิ ในภาษาบาลี ศาสดาราม (วัดพระแกว), คําวา เปน พทุ ธานสุ สติ (ขอ ๑ ในอนสุ ติ ๑๐) “พทุ ธาวาส” และ “สงั ฆาวาส” นี้ ไมพ บวา

พุทธิจริต ๒๗๒ เพื่อน มใี ชใ นคมั ภรี ใ ด; ดู สงั ฆาวาส ลักษณะและอาการท่ีปรากฏใหเห็นวา พทุ ธจิ รติ พน้ื นสิ ัยท่ีหนักในความรู มกั เปนบุคคลประเภทนี้ ประเภทนี้เชน ใชค วามคดิ พงึ สง เสรมิ ดว ยแนะนาํ ใหใ ช โดยเพศแหง ฤษี เพศบรรพชติ เพศแหง ความคดิ ในทางทชี่ อบ (ขอ ๕ ในจรติ ๖) ชางไม เปน ตน, ขนบธรรมเนียม พทุ ธุปบาทกาล [พดุ -ทุบ-บาด-ทะ-กาน] เพียรชอบ เพียรในที่ ๔ สถาน; ดู ปธาน กาลเปน ท่อี บุ ัตขิ องพระพุทธเจา, เวลาท่ี เพอื่ น ผูร วมธุระรว มกจิ รว มการหรือรว ม มีพระพทุ ธเจา เกิดข้ึนในโลก อยูในสภาพอยางเดียวกัน, ผูชอบพอ พทุ ฺโธ (พระผูม ีพระภาคเจาน้ัน) ทรงเปน รักใครคบหากัน, ในทางธรรม เน้ือแท ผตู นื่ ไมห ลงงมงายเองดว ย และทรงปลกุ ของความเปน เพอื่ น อยทู ่ีความมีใจหวงั ผูอื่นใหต่ืนพนจากความหลงงมงายน้ัน ดปี รารถนาดตี อ กัน กลาวคอื เมตตา ดวย ทรงเปนผเู บกิ บาน มีพระทยั ผอง หรือไมตรี เพ่ือนที่มีคุณสมบัติเชนนี้ แผว บําเพญ็ พทุ ธกิจไดถ กู ตอ งบรบิ รู ณ ทานเรียกวา มิตร การคบเพื่อนเปน (ขอ ๘ ในพทุ ธคณุ ๙) ปจจัยสําคัญยิ่งอยางหน่ึงที่จะนําชีวิตไป เพญ็ เต็ม หมายถึง พระจนั ทรเตม็ ดวง สูความเสื่อมความพินาศ หรือสูความ คือวันขึ้น ๑๕ คํา่ เจริญงอกงาม พึงหลีกเล่ียงมิตรเทียม เพทางค วชิ าประกอบกบั การศกึ ษาพระเวท และเลือกคบหาคนท่ีเปนมิตรแท; ดู มี ๖ อยาง คือ ๑. ศกิ ษา (วิธอี อกเสียง มติ ตปฏิรูป, มติ รแท คาํ ในพระเวทใหถ กู ตอ ง) ๒. ไวยากรณ ๓. ฉนั ทสั (ฉนั ท) ๔. โชยตษิ (ดารา- บุคคลท่ีชวยช้ีแนะแนวทาง ชักจูง ศาสตร) ๕. นริ กุ ติ (กาํ เนิดของคํา) ๖. ตลอดจนแนะนาํ ส่ังสอน ชักนาํ ผูอื่นให กัลปะ (วธิ จี ดั ทําพธิ ี) ดาํ เนินชีวิตทด่ี งี าม ใหป ระสบผลดแี ละ เพลาะ เยบ็ รมิ ตอใหติดกนั ; ผาเพลาะ คอื ความสขุ ใหเ จรญิ กา วหนา ใหพ ฒั นาใน ธรรม แมจ ะเปน บคุ คลเสมอกนั หรอื เปน ผาทีเ่ อามาเย็บริมตอ เขา (บาลี: อนวฺ าธกิ ํ) มารดาบดิ าครอู าจารย ตลอดทง้ั พระสงฆ เพลิงทิพย ไฟเทวดา, ไฟที่เปนของ จนถงึ พระพทุ ธเจา กน็ บั วา เปน เพอื่ น แต เทวดา, เพลงิ คราวถวายพระเพลงิ พระ เปน เพอ่ื นใจดี หรอื เพอ่ื นมธี รรม เรยี กวา กัลยาณมิตร แปลวา “มิตรดีงาม” พทุ ธสรีระ เพศ ลักษณะท่ีใหรูวาหญิงหรือชาย, กั ล ย า ณ มิ ต ร มี คุ ณ ส ม บั ติ ท่ี เ รี ย ก ว า กลั ยาณมติ รธรรม หรอื ธรรมของกลั ยาณ- เคร่ืองหมายวาเปนชายหรือเปนหญิง,

แพศย ๒๗๓ โพธิ,์ โพธิพฤกษ มติ ร ๗ ประการ คอื ๑. ปโ ย นา รกั ดว ย โพธ,์ิ โพธพิ ฤกษ ตนโพธ์,ิ ตนไมท่พี ระ มเี มตตา เปน ทสี่ บายจติ สนทิ ใจ ชวนให พุทธเจา ไดประทับ ณ ภายใตร ม เงาใน อยากเขา ไปหา ๒. ครุ นา เคารพ ดว ย คราวตรัสรู, ตนไมเปนท่ีตรัสรูและตน ความประพฤติหนักแนนเปนที่พ่ึงอาศัย ไมอื่นท่ีเปนชนิดเดียวกันนั้น สําหรับ ได ใหร สู กึ อบอนุ ใจ ๓. ภาวนโี ย นา พระพุทธเจาองคป จ จบุ ัน ไดแก พันธุไ ม เจรญิ ใจ ดว ยความเปน ผฝู ก ฝนปรบั ปรงุ อสั สตั ถะ (ตน โพ) ตน ที่อยู ณ ฝงแมนาํ้ ตน ควรเอาอยา ง ใหร ะลกึ และเอย อา ง เนรญั ชรา ตาํ บลคยา; ตน โพธต์ิ รสั รทู ่ี ดว ยซาบซง้ึ ภมู ใิ จ ๔. วตั ตา รจู กั พดู ใหไ ด เปนหนอของตนเดิมที่คยาไดปลูก ผล รจู กั ชแี้ จงแนะนาํ เปน ทป่ี รกึ ษาทด่ี ี เปน ตน แรกในสมยั พทุ ธกาล (ปลกู จาก ๕. วจนกขฺ โม อดทนตอ ถอ ยคาํ พรอ มที่ เมล็ด) ที่ประตูวัดพระเชตวันโดยพระ จะรบั ฟง คาํ ปรกึ ษาซกั ถาม ตลอดจนคาํ อานนทเ ปน ผดู าํ เนนิ การตามความปรารภ เสนอแนะวพิ ากษวิจารณ ๖. คมภฺ รี จฺ ของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี และเรยี กชอ่ื วา กถํ กตตฺ า แถลงเรอ่ื งลา้ํ ลกึ ได สามารถ อานนั ทโพธ;ิ หลงั พทุ ธกาล ในสมยั พระ อธิบายเรื่องยุงยากซับซอนใหเขาใจและ เจา อโศกมหาราช พระนางสงั ฆมติ ตาเถรี สอนใหเรียนรูเรื่องราวที่ลึกซ้ึงย่ิงขึ้นไป ไดนํากิ่งดานขวาของตนมหาโพธิท่ีคยา ๗.โน จฏาเน นโิ ยชเย ไมช กั นาํ ในอฐาน นั้นไปมอบแดพระเจาเทวานัมปยติสสะ คอื ไมช กั จงู ไปในทางเสอ่ื มเสยี หรอื เรอ่ื ง ทรงปลกู ไว ณ เมืองอนุราธปรุ ะ ใน เหลวไหลไมสมควร ลังกาทวปี ซงึ่ ไดช อื่ วา เปน ตน ไมเ กา แกท ่ี แพศย คนวรรณะทสี่ าม ในวรรณะส่ขี อง สุดในประวัติศาสตรที่ยังคงมีชีวิตอยูใน คนในชมพูทวีป ตามหลักศาสนา ปจ จบุ นั ; ในประเทศไทย สมยั ราชวงศ พราหมณ หมายถงึ พวกชาวนาและพอ คา จกั รี พระสมณทูตไทยในสมยั รชั กาลท่ี แพศยา หญิงหากินในทางกาม, หญงิ หา ๒ ไดนาํ หนอ พระศรมี หาโพธ์ิ ที่เมอื ง เงินในทางรว มประเวณี อนรุ าธปรุ ะมา ๖ ตน ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ โพชฌงค ธรรมท่เี ปนองคแ หงการตรัสรู โปรดใหปลูกไวที่เมืองนครศรีธรรมราช หรอื องคข องผูต รสั รู มี ๗ ขอ คอื ๑. ๒ ตน นอกนนั้ ปลกู ทวี่ ดั มหาธาตุ วดั สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดสอ งเลือก สุทัศน วัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน เฟน ธรรม) ๓.วริ ยิ ะ๔.ปต ิ๕.ปส สทั ธิ ๖. แหง ละ ๑ ตน ; ตอ มาในสมยั รชั กาลที่ ๕ สมาธิ ๗. อุเบกขา; ดู โพธิปกขยิ ธรรม ประเทศไทยไดพ ันธุต นมหาโพธจิ ากคยา

โพธิญาณ ๒๗๔ ไพศาลี โดยตรงครั้งแรก ไดปลูกไว ณ วัด สําเร็จความเปนพระพุทธเจา ซึ่งบางที เบญจมบพิตรและวดั อัษฎางคนิมิตร เรียกวา มหาโพธสิ มภาร อนั ประมวล โพธญิ าณ ญาณคือความตรัสร,ู ญาณ เขาไดใ นธรรมใหญ ๒ ประการ คือ คือปญญาตรัสรู, มรรคญาณท้ังสี่มี กรุณา และปญ ญา, เมื่อใชอ ยา งกวางๆ โสดาปตตมิ ัคคญาณ เปนตน หมายถงึ โพธิปกขยิ ธรรม ก็ได โพธปิ ก ขยิ ธรรม ธรรมอนั เปน ฝก ฝา ยแหง ในภาษาไทย มกั ใชใ นความหมายวา ความตรสั ร,ู ธรรมทเี่ กอ้ื หนนุ แกอ รยิ มรรค บุญบารมีของพระมหากษัตริย (โดยถือ มี ๓๗ ประการคือ สติปฏฐาน ๔, มาวา พระมหากษตั ริย คือทานผูกาํ ลัง สมั มัปปธาน ๔, อิทธบิ าท ๔, อนิ ทรยี  บาํ เพญ็ คุณความดแี หง พระโพธิสตั ว) ๕, พละ๕, โพชฌงค ๗, มรรคมอี งค ๘; โพธิสัตว ทานผูที่จะไดตรัสรูเปนพระ ในจํานวน ๓๗ น้ี ถานบั ตัวสภาวธรรม พุทธเจา ซึง่ กําลังบําเพ็ญบารมี ๑๐ คือ แทๆ ตดั จํานวนทซี่ า้ํ ออกไป มี ๑๔ คือ ทาน ศลี เนกขัมมะ ปญ ญา วริ ยิ ะ ขนั ติ สติ วิริยะ ฉันทะ จิตตะ ปญ ญา สัทธา สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขา สมาธิ ปต ิ ปสสทั ธิ อเุ บกขา สัมมา- โพนทนา กลาวโทษ, ตเิ ตียน, พูดกลาว สงั กปั ปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ โทษทานตอหนาผูอื่น (พจนานุกรม สมั มาอาชีวะ (วิสุทธฺ ิ.ฏี.๓/๖๐๐) เขยี น โพนทะนา) โพธิมัณฑะ ประเทศเปนที่ผองใสแหง ไพบูลย ความเต็มเปยม, ความเจริญ โพธิญาณ, บรเิ วณตนโพธ์ิเปน ทตี่ รัสรู เต็มที่ มี ๒ คือ ๑. อามิสไพบูลย ความ โพธิราชกุมาร เจาชายโพธิ พระราช- ไพบูลยแหงอามิส ๒. ธรรมไพบูลย โอรสของพระเจาอเุ ทน พระเจา แผน ดิน ความไพบลู ยแ หงธรรม; ดู เวปลุ ละ ไพรสณฑ, ไพรสัณฑ ปาทบึ , ปา ดง; แควน วงั สะ โพธิสมภาร คุณความดีที่เปนเครื่อง คําบาลวี า “วนสณฑฺ ” (วน [ปา ] + สณฺฑ ประกอบของโพธ,ิ คุณความดที ง้ั หลาย [ดง, ทบึ , แนน หนา], เมอ่ื นาํ มาใชใ นภาษา เฉพาะอยางยิ่ง ประดาบารมีที่เปนสวน ไทย ไดเพ้ยี นไปตางๆ เชน ไพรสาณฑ, ประกอบอันรวมกันใหสําเร็จโพธิ คือ พนาสณฑ, พนาสัณฑ, วนาสณฑ, ความตรัสรู, ตามปกติ หมายถึงประดา วนาสัณฑ) บารมีที่พระโพธิสัตวบําเพ็ญ อันจะให ไพศาลี ดู เวสาลี

ฟน เฝอ ๒๗๕ ภวจกั ร ฟ ฟน เฝอ เคลือบคลุม, พวั พนั กนั , ปน ฟมู ฟาย มากมาย, ลนเหลอื , สุรยุ สรุ า ย, คละกัน, ยงุ น้ําตาอาบหนา ภ ภควา พระผมู พี ระภาค, เปนพระนาม ผานมา, ภพกอน, ชาติกอ น; ตรงขามกบั หนึ่งของพระพทุ ธเจา และเปน คําแสดง ภพหนา พระพุทธคุณอยา งหน่งึ แปลวา “ทรง ภยตปู ฏ ฐานญาณ ปรีชาหยัง่ เหน็ สงั ขาร เปน ผูมโี ชค” คอื หวงั พระโพธญิ าณกไ็ ด ปรากฏโดยอาการเปนของนากลัวเพราะ สมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู สังขารท้ังปวงนั้นลวนแตจะตองแตก คนใหไดบรรลุธรรมสมปรารถนา มีผู สลายไป ไมปลอดภยั ทั้งสนิ้ (ขอ ๓ ใน คิดรา ยก็ไมอ าจทํารา ยได; อีกนัยหนึง่ วา วปิ ส สนาญาณ ๙) ทรงเปนผจู าํ แนกแจกธรรม (ขอ ๙ ใน ภยันตราย ภยั และอันตราย, อันตรายท่ี พทุ ธคณุ ๙) นา กลวั ภคันทลา โรคริดสีดวงทวารหนกั ภยาคติ ลาํ เอยี งเพราะกลวั (ขอ ๔ ใน ภคนิ ี พ่หี ญงิ นองหญงิ อคติ ๔) ภคุ ดู ภัคคุ ภวจักร วงลอ แหง ภพ, อาการหมุนวน ภพ โลกเปนทอี่ ยูของสัตว, ภาวะชวี ิตของ ตอเน่ืองไปแหงภาวะของชีวิตท่ีเปนไป สตั ว มี ๓ คอื ๑. กามภพ ภพของผยู งั ตามเหตุปจจัย ในหลักปฏิจจสมุปบาท; เสวยกามคุณ ๒. รปู ภพ ภพของผเู ขา “ภวจักร” เปนคาํ ในช้ันอรรถกถาลงมา ถึงรปู ฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผเู ขา ถึง เชน เดยี วกบั คาํ วา สงั สารจกั ร ปจ จยาการ- อรปู ฌาน; เทียบ ภมู ิ, คติ จกั ร ตลอดจนปฏจิ จสมปุ บาทจกั ร ซง่ึ ภพหลัง โลกที่สัตวเกิดมาแลวในชาติท่ี ทานสรรมาใชในการอธิบายหลักปฏิจจ-

ภวตัณหา ๒๗๖ ภวงั คุปจเฉท สมปุ บาทนนั้ , อาการหมนุ วนของภวจกั ร ภวงั คจติ จติ ทเ่ี ปน องคแ หง ภพ, ตามหลกั หรอื สังสารจักรนี้ ทา นอธบิ ายตามหลกั อภิธรรมวา จิตที่เปนพ้ืนอยูระหวาง ไตรวฏั ฏ; ดู ไตรวฏั ฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏสิ นธแิ ละจตุ ิ คอื ตง้ั แตเ กดิ จนถงึ ตาย ภวตัณหา ความอยากเปนนนั่ เปนนี่ หรือ ในเวลาท่ีมิไดเสวยอารมณทางทวารท้ัง อยากเกดิ อยากมอี ยคู งอยตู ลอดไป, ความ ๖ มจี ักขุทวารเปน ตน แตเมื่อใดมีการ ทะยานอยากท่ีประกอบดวยภวทิฏฐิ รับรูอารมณ เชน เกิดการเหน็ การได หรอื สัสสตทฏิ ฐิ (ขอ ๒ ในตณั หา ๓) ยิน เปนตน ก็เกิดเปนวิถีจิตข้ึนแทน ภวทฏิ ฐิ ความเหน็ เนอ่ื งดวยภพ, ความ ภวงั คจติ เมือ่ วถิ จี ติ ดับไป กเ็ กดิ เปน เห็นวาอัตตาและโลกจักมีอยูคงอยูเท่ียง ภวงั คจิตขึน้ อยา งเดมิ แทต ลอดไป เปนพวกสัสสตทฏิ ฐิ ภวังคจิต นี้ คอื มโน ท่ีเปน อายตนะ ภวราคะ ความกําหนดั ในภพ, ความติด ที่ ๖ หรือมโนทวาร อันเปนวิบาก เปน ใครใ นภพ (ขอ ๗ ในสังโยชน ๑๐ ตาม อัพยากฤต ซง่ึ เปน จิตตามสภาพ หรือ นัยพระอภิธรรม, ขอ ๖ ในอนสุ ัย ๗) ตามปกติของมัน ยังไมข้ึนสูวิถีรับรู ภวัคค, ภวคั ร ภพสงู สุด ตามปกติ หมาย อารมณ (เปนเพยี งมโน ยงั ไมเ ปน มโน- ถงึ อรปู ภพ ชั้นเนวสัญญายตนะ ซง่ึ ไมมี วิญญาณ) ภพใดสงู กวา คอื สูงทสี่ ุดในไตรภพ หรือ พทุ ธพจนว า “จติ นปี้ ระภสั สร (ผดุ ในไตรภมู ,ิ แตบ างครง้ั ทา นแยกละเอยี ด ผอ ง ผอ งใส บรสิ ทุ ธ)ิ์ แตเ ศรา หมอง ออกไปวา มี ภวัคค (ภวัคคะ หรือ ภวคั ร) เพราะอปุ กเิ ลสทจี่ รมา” มคี วามหมายวา ๓ คอื ๑. ปถุ ุชชนภวคั ค ภพสูงสดุ ของ จติ น้โี ดยธรรมชาติของมนั เอง มใิ ชเ ปน ปุถุชนในรูปโลก ไดแก เวหัปผลภูมิ สภาวะทแ่ี ปดเปอ นสกปรก หรอื มสี งิ่ เศรา ๒. อรยิ ภวัคค ภพสูงสุดของพระอริยะ หมองเจอื ปนอยู แตส ภาพเศรา หมองนน้ั (ท่ีเกิดของพระอนาคามี) ไดแก อกนิฏฐ - เปน ของแปลกปลอมเขา มา ฉะนนั้ การ ภูมิ ๓. สพั พภวคั ค (หรอื โลกภวคั ค) ภพ ชําระจิตใหสะอาดหมดจดจึงเปนส่ิงท่ี สูงสดุ ของสรรพโลก ไดแ ก เนวสญั ญา- เปน ไปได; จติ ทป่ี ระภสั สรนี้ พระอรรถ- นาสญั ญายตนภมู ,ิ ในภาษาไทย นิยม กถาจารยอ ธบิ ายวา ไดแ ก ภวงั คจติ ; เทียบ พูดวา ภวคั คพรหม; ดู ภพ, ภูมิ ๔, ๓๑ วถิ ีจิต ภวงั ค ดู ภวังคจิต ภวงั คปริวาส ดู ปรวิ าส 2. ภวงั คจลนะ ดู วถิ จี ติ ภวังคุปจ เฉท ดู วถิ จี ติ

ภวาสวะ ๒๗๗ ภัตตัคควตั ร ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ, กเิ ลสทหี่ มกั หมม ต้งั จากสงฆ ใหเ ปนผูม หี นาทรี่ กั ษาเรือน หรอื ดองอยใู นสันดาน ทาํ ใหอ ยากเปน คลงั เกบ็ พสั ดขุ องสงฆ, ผรู กั ษาคลงั สง่ิ ของ, อยากเกดิ อยากมอี ยคู งอยตู ลอดไป (ขอ เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจาอธิการ แหงคลงั ๒ ในอาสวะ ๓ และ ๔) ภกั ษา, ภักษาหาร เหยอื่ , อาหาร ภณั ฑกู รรม ดู ภณั ฑกู ัมม ภัคคะ ช่ือแควนหนึ่งในชมพูทวีปคร้ัง ภัณฑูกัมม การปลงผม, การบอกขอ พุทธกาล นครหลวงชือ่ สงุ สุมารครี ะ อนุญาตกะสงฆเพ่ือปลงผมคนผูจะบวช ภัคคุ เจาศากยะองคหน่ึง ท่ีออกบวช ในกรณที ภ่ี กิ ษจุ ะปลงใหเ อง เปน อปโลกน- พรอมกับพระอนุรุทธะ ไดบรรลุพระ กรรมอยา งหนง่ึ อรหัต และเปน พระมหาสาวกองคหน่งึ ภตั , ภัตร อาหาร, ของกนิ , ของฉนั , เขียน ภคุ ก็มี อาหารที่รบั ประทาน (หรือฉัน) เปนมื้อๆ ภังคะ ผาทาํ ดวยของเจือกนั คอื ผา ทํา ภัตกาล เวลาฉนั อาหาร, เวลารับประทาน ดวยเปลือกไม ฝาย ไหม ขนสัตว อาหาร เดมิ เขียน ภัตตกาล เปลอื กปาน ๕ อยา งนี้ อยางใดก็ไดปน ภตั กจิ การบรโิ ภคอาหาร เดมิ เขยี น ภตั ตกจิ กัน เชน ผาดายแกมไหม เปนตน ภัตตัคควัตร ขอควรปฏิบัติในหอฉัน, ภงั คญาณ ปญ ญาหย่งั เห็นความยอ ยยับ ธรรมเนียมในโรงอาหาร ทานจดั เขาเปน คือ เห็นความดับแหงสังขาร; ภังคา- กิจวัตรประเภทหนึ่ง กลาวยอ มี ๑๑ นปุ ส สนาญาณ ก็เรียก ขอ คอื นุง หมใหเ รยี บรอย, รจู กั อาสนะ ภงฺคํ ดู ภงั คะ อันสมควรแกตน, ไมนั่งทับผาสังฆาฏิ ภังคานุปสสนาญาณ ญาณตามเห็น ในบา น, รบั นํ้าและโภชนะของถวายจาก ความสลาย, ปรชี าหยั่งเหน็ เฉพาะความ ทายกโดยเอ้อื เฟอ และคอยระวงั ใหได ดับของสังขารเดนชัดข้ึนมาวาสังขารท้ัง รับทั่วถึงกัน, ถาพอจะแลเห็นท่ัวกัน ปวงลวนจะตองแตกสลายไปทั้งหมด พระสังฆเถระพึงลงมือฉันเมื่อภิกษุท้ัง (ขอ ๒ ในวปิ ส สนาญาณ ๙) หมดไดรับโภชนะทั่วกันแลว, ฉันดวย ภณั ฑไทย ของที่จะตองให (คืน) แกเขา, อาการเรียบรอ ยตามหลกั เสขิยวัตร, อมิ่ สินใช, การที่จะตองชดใชทรัพยที่เขา พรอ มกนั (หัวหนา รอยังไมบวนปากและ เสยี ไป ลา งมือ), บว นปากและลา งมือระวังไมให ภัณฑาคาริก ภิกษผุ ูไดร ับสมมติ คอื แตง น้ํากระเซ็น, ฉันในที่มีทายกจัดถวาย

ภัตตาหาร ๒๗๘ ภัททากณุ ฑลเกสา เสร็จแลวอนุโมทนา, เมื่อกลับ อยา ภทั ทปทมาส เดอื น ๑๐ เรียกงายวา เบียดเสียดกันออกมา, ไมเทน้ําลาง ภัทรบท บาตรมีเมล็ดขาวหรือของเปนเดนใน ภัททวัคคีย พวกเจริญ, เปนชื่อคณะ บานเขา สหาย ๓๐ คนทพี่ ากันเขามาในไรฝ า ย ภตั ตาหาร อาหารคอื ขา วของฉนั , อาหาร แหงหนึ่งเพ่ือเที่ยวตามหาหญิงแพศยาผู ที่สาํ หรบั ฉันเปน มอ้ื ๆ ลักหอเคร่ืองประดับหนีไป และไดพบ ภตั ตทุ เทสกะ ผแู จกภัตต, ภกิ ษทุ ส่ี งฆ พระพุทธเจาซึ่งพอดีเสด็จแวะเขาไป สมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่จัด ประทับพกั อยูท่ไี รฝ ายนน้ั ไดฟ งเทศนา แจกภัต, นยิ มเขียน ภัตตเุ ทศก, เปน อนุบุพพกิ ถา และอริยสจั จ ๔ ไดดวงตา ตําแหนงหน่ึงในบรรดา เจาอธิการแหง เหน็ ธรรมแลว ขออุปสมบท อาหาร ภัททากจั จานา พระมหาสาวกิ าองคห นึง่ ภตั ตุเทศก ดู ภตั ตุทเทสกะ เปนธิดาของพระเจาสุปปพุทธะแหง ภตั ร ดู ภตั โกลยิ วงศ พระนามเดมิ วา ยโสธรา หรอื ภัทกัป ดู กัป พิมพา เปนพระมารดาของพระราหุล ภัททกาปล านี พระมหาสาวกิ าองคห นึง่ พทุ ธชิโนรส ไดน ามวา ภทั ทากจั จานา เปน ธดิ าพราหมณโ กสยิ โคตรในสาคลนคร เพราะทรงมีฉวีวรรณดุจทองคําเน้ือ แหง มัททรฐั (คัมภรี อ ปทานวาไวช ดั ดงั น้ี เกลี้ยง บวชเปนภิกษุณีในพระพุทธ- แตอ รรถกถาองั คตุ ตรนกิ ายคลาดเคลอ่ื น ศาสนาเจรญิ วิปสสนากัมมฏั ฐาน ไมชา ก็ เปนแควนมคธ) พออายุ ๑๖ ป ได ไดสําเร็จพระอรหัต ไดรับยกยองวา สมรสกบั ปป ผลมิ าณพ (พระมหากสั สปะ) เปนเอตทัคคะในทางบรรลุมหาภิญญา ตอ มามคี วามเบอ่ื หนา ยในฆราวาส จงึ ออก เรยี ก ภทั ทกจั จานา ก็มี บวชเปน ปรพิ าชกิ า เมอ่ื พระมหาปชาบดี ภทั ทากณุ ฑลเกสา พระมหาสาวกิ าองค ผนวชเปน ภิกษณุ แี ลว นางไดม าบวชอยู หน่ึง เปนธิดาของเศรษฐีในพระนคร ในสํานักของพระมหาปชาบดี เจริญ ราชคฤห เคยเปนภรรยาของโจรผูเปน วปิ ส สนากมั มฏั ฐานดว ยความไมป ระมาท นักโทษประหารชีวิต โจรคิดจะฆานาง ไดบ รรลพุ ระอรหตั ไดร บั ยกยอ งวา เปน เพื่อเอาทรัพยสมบัติ แตนางใชปญญา เอตทคั คะในทางปพุ เพนวิ าสานสุ ติ เรยี ก คิดแกไขกําจัดโจรได แลว บวชในสาํ นกั ภทั ทากาปล านี บา ง ภทั ทากปล านี บา ง นิครนถ ตอมาไดพบกับพระสารีบุตร

ภทั ทิยะ ๒๗๙ ภาณยักษ ไดถาม-ตอบปญหากัน จนนางมีความ ปญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดยี  เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตอมาไดฟ ง ภนั เต “ขาแตท านผูเ จรญิ ” เปน คาํ ที่ภกิ ษุ พระธรรมเทศนาท่ีพระศาสดาทรงแสดง ผูออนพรรษากวาเรียกภิกษุผูแกพรรษา ไดสําเร็จพระอรหัต แลวบวชในสํานัก กวา (ผนู อยเรยี กผใู หญ) หรือคฤหสั ถ ภิกษุณี ไดรับยกยองวาเปนเอตทคั คะ กลาวเรียกพระภิกษุ, คูกับคําวา ในทางขปิ ปาภญิ ญา คอื ตรสั รฉู ับพลัน อาวุโส; บัดนี้ใชเลือนกันไปกลายเปน ภทั ทยิ ะ 1. ชอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในคณะปญ จ- คาํ แทนตัวบุคคล กม็ ี วัคคีย เปนพระอรหันตรุนแรก 2. ภัพพบุคคล คนที่ควรบรรลธุ รรมพิเศษ กษัตริยศากยวงศ โอรสของนางกาฬิ- ได; เทียบ อภพั บุคคล โคธา สละราชสมบตั ทิ มี่ าถงึ ตามวาระแลว ภัลลิกะ พอคาที่มาจากอุกกลชนบท คู ออกบวชพรอมกับพระอนรุ ทุ ธะ สาํ เร็จ กับ ตปุสสะ พบพระพุทธเจาขณะ อรหตั ตผล ไดร บั ยกยอ งวา เปน เอตทคั คะ ประทบั อยู ณ ภายใตต น ไมร าชายตนะ ในบรรดาภกิ ษผุ มู าจากตระกลู สงู และจดั ไดถ วายเสบยี งเดนิ ทาง คือ ขาวสัตตุผง เปน มหาสาวกองคห นงึ่ ในจาํ นวน ๘๐ ขา วสตั ตกุ อน แลว แสดงตนเปนอบุ าสก ภัททยิ ศากยะ ดู ภทั ทยิ ะ 2. ถึงพระพุทธเจากับพระธรรมเปนสรณะ ภทั เทกรตั ตสตู ร ชอ่ื สตู รหนง่ึ ในมชั ฌมิ - นับเปนปฐมอบุ าสกประเภทเทฺววาจกิ นิกาย อุปริปณณาสก แหงพระ ภาคี ผูมสี ว น, ผมู ีสวนรวม, ผูมีสวนแบง , สุตตนั ตปฎก แสดงเรอ่ื งบคุ คลผมู ีราตรี ผูรว มได, ผเู ขา รว ม เดยี วเจรญิ คือ คนทเ่ี วลาวันคืนหน่ึงๆ ภาชกะ ผแู จก, ผจู ัดแบง มแี ตค วามดงี ามความเจรญิ กา วหนา ได ภาณพระ ดู ภาณยักษ แก ผูทีไ่ มมวั ครนุ คาํ นงึ อดตี ไมเ พอ หวัง ภาณยักษ บทสวดของยกั ษ, คําบอกของ อนาคต ใชปญญาพิจารณาใหเห็นแจง ยักษ, สวดหรอื บอกแบบยกั ษ; เปนคาํ ที่ ประจักษส่ิงท่ีเปนปจจุบัน ทําความดี คนไทยเรยี กอาฏานาฏยิ สตู ร ท่ีนํามาใช เพิ่มพูนข้ึนเร่ือยไป มีความเพียร เปนบทสวดมนตในจําพวกพระปริตร พยายาม ทํากิจทีค่ วรทําเสียแตวันนี้ไม (เปนพระสตู รขนาดยาวสตู รหนึง่ นยิ ม รอวนั พรุง คัดตัดมาเฉพาะตอนที่มีสาระเกี่ยวกับ ภทั ราวุธมาณพ ศษิ ยคนหน่ึงในจํานวน ความคุมครองปองกันโดยตรง และ ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ทไ่ี ปทลู ถาม เ รี ย ก ส ว น ท่ี ตั ด ต อ น ม า ใ ช นั้ น ว า