ปญ ญาสมั ปทา ๒๓๐ ปตตานโุ มทนามยั คาํ คอื สัตมวาร (หรอื สัตตมวาร, วันที่ ปณณเภสัช พืชมีใบเปนยา, ยาทาํ จากใบ ๗ หรอื วันที่ครบ ๗) และ ศตมวาร พืช เชน ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบ (วันท่ี ๑๐๐ หรือวันทคี่ รบ ๑๐๐), อน่ึง กระดอม ใบกะเพรา เปน ตน คําวา “ปญ ญาสมวาร” นี้ ไมพ ึงสับสน ปณณตั ติวัชชะ อาบัติที่เปนโทษทางพระ กบั คาํ วา “ปณรสมวาร” ท่ีแปลวา วาระ บญั ญตั ิ คอื คนสามญั ทาํ เขา ไมเ ปน ความ ที่ ๑๕ คร้ังท่ี ๑๕ หรอื วันที่ ๑๕ ผดิ ความเสยี หาย เปน ความผดิ เฉพาะแก ปญญาสัมปทา ความถึงพรอมดวย ภกิ ษุ โดยฐานละเมดิ พระบญั ญัติ เชน ปญญา คือ รจู ักบาป บญุ คณุ โทษ ฉันอาหารในเวลาวิกาล ขดุ ดิน ใชจ วี รที่ ประโยชน มใิ ชประโยชน และเขา ใจชีวิต ไมไดพินทุ น่ังนอนบนเตียงต่ังท่ีไมได นี้ตามความเปนจริง ท่ีจะไมใหลุมหลง ตรงึ เทา ใหแนน เปนตน ; เทียบ โลกวัชชะ มวั เมา (ขอ ๔ ในธรรมท่เี ปน ไปเพ่อื ปตตคาหาปกะ ภิกษุผูไดรับสมมติคือ สัมปรายกิ ตั ถะ ๔) แตงตั้งจากสงฆใหมีหนาท่ีเปนผูแจก ปญญาสิกขา สิกขา คือ ปญญา, ขอ บาตร ปฏิบัติสําหรับฝกอบรมปญญา เพื่อให ปตตนิกกุชชนา การควาํ่ บาตร; ดู คว่าํ เกดิ ความรเู ขาใจเหตผุ ล รอบรูส่งิ ทีเ่ ปน บาตร, ปกาสนียกรรม ประโยชน และไมเ ปนประโยชน ตลอด ปตตปณฑิกังคะ องคแหงผูถือฉัน จนรแู จง สภาวะของสงิ่ ทง้ั หลายตามความ เฉพาะในบาตรเปนวตั ร คือ ถอื การฉัน เปน จรงิ ทถ่ี กู ตอ งเขยี น อธปิ ญ ญาสกิ ขา เฉพาะในบาตร ไมใ ชภ าชนะอ่ืน (ขอ ๖ ปญหา คําถาม, ขอ สงสยั , ขอ ตดิ ขดั อดั ในธุดงค ๑๓) ปตตวรรค หมวดอาบัติกําหนดดวย อั้น, ขอ ท่ีตอ งคิดตอ งแกไข ปณฑกะ บณั เฑาะก, กะเทย บาตร, ช่ือวรรคท่ี ๓ แหงนสิ สคั คิย- ปณ ฑกุ ะ ชอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อยใู นพวกภกิ ษุ ปาจิตตีย เหลวไหลท้ัง ๖ ท่ีเรียกวาฉัพพัคคีย ปตตอุกกุชชนา การหงายบาตร; ดู หงาย (พระพวก ๖ ทีช่ อบกอเร่อื งเสียหาย ทาํ บาตร, ปกาสนยี กรรม ใหพระพุทธเจาตองทรงบัญญตั สิ กิ ขาบท ปตตานุโมทนามัย บุญสําเร็จดวยการ หลายขอ ) อนโุ มทนาสว นบญุ , ทําบุญดว ยการยนิ ปณฑปุ ลาส ใบไมเ หลอื ง (ใบไมแ ก); คน ดใี นการทําดีของผูอ่ืน (ขอ ๗ ในบุญ- เตรยี มบวช, คนจะขอบวช กริ ิยาวัตถุ ๑๐)
ปต ตทิ านมยั ๒๓๑ ปาฏเิ ทสนยี ะ ปตติทานมัย บญุ สาํ เรจ็ ดวยการใหส ว น ปสสาวะ เบา, เย่ยี ว, มตู ร บุญ, ทําบุญดวยการเฉล่ียสวนแหง ปส สาสะ ลมหายใจออก ความดใี หแกผูอื่น (ขอ ๖ ในบุญกิรยิ า- ปาง ครั้ง, คราว, เมือ่ ; เรยี กพระพทุ ธรูป วตั ถุ ๑๐) ที่สรางอุทิศเหตุการณในพุทธประวัติ ปปผาสะ ปอด เฉพาะคร้ังน้ันๆ โดยมรี ูปลักษณเ ปน ปพพชาจารย อาจารยผูใหบรรพชา; พระอิริยาบถหรือทา ท่ีส่ือความหมาย เขียนเต็มรูปเปน ปพพัชชาจารย จะ ถึงเหตุการณเฉพาะครงั้ นน้ั ๆ วาเปนปาง เขียน บรรพชาจารย กไ็ ด ชื่อนนั้ ๆ เชน พระพุทธรปู ปางหา มญาติ ปพ พชาเปกขะ กลุ บตุ รผเู พง บรรพชา, ผู พระพุทธรปู ปางไสยาสน ตง้ั ใจจะบวชเปน สามเณร, ผขู อบวชเปน ปาจิตติยุทเทส หมวดแหงปาจิตติย- สามเณร; เขยี นเตม็ รปู เปน ปพ พชั ชา- สกิ ขาบท ทย่ี กข้นึ แสดง คอื ทสี่ วดใน เปกขะ ปาฏิโมกข ปพพัชชา การถือบวช, บรรพชาเปน ปาจติ ตีย “การละเมิดอันยงั กุศลใหต ก”, อุบายฝก อบรมตนในทางสงบ เวน จาก ชื่ออาบัติจําพวกหน่ึง จัดไวในจําพวก ความชั่วมีการเบียดเบียนกันและกัน อาบัติเบา (ลหุกาบตั )ิ พน ไดด ว ยการ เปนตน (ขอ ๒ ในสปั ปุริสบญั ญตั ิ ๓) แสดง; เปน ชอ่ื สกิ ขาบท ไดแ กน สิ สคั คยิ - ปพพาชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทํา ปาจิตตีย ๓๐ และสุทธิกปาจิตตีย ซึง่ แกภิกษุอันพึงจะไลเสีย, การขับออก เรียกกนั สัน้ ๆ วา ปาจติ ตีย อีก ๙๒ จากหมู, การไลอ อกจากวัด, กรรมนี้ ภกิ ษุลวงละเมดิ สิกขาบท ๑๒๒ ขอ เหลา สงฆทําแกภิกษุผูประทุษรายสกุลและ นย้ี อ มตอ งอาบตั ปิ าจติ ตยี เชน ภกิ ษพุ ดู ประพฤติเลวทรามเปนขาวเซ็งแซหรือ ปด ฆา สตั วด ริ จั ฉาน วา ยนาํ้ เลน เปนตน แกภ ิกษผุ ูเ ลนคะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบ ตองอาบตั ปิ าจติ ตยี ; ดู อาบัติ ลางพระบญั ญตั ิ ๑ มิจฉาชีพ ๑ (ขอ ๑ ปาจีน ทางทิศตะวันออก, ชาวตะวัน ออก; ดู ชาวปาจีน ในนคิ หกรรม ๖) ปสสทั ธิ ความสงบกายสงบใจ, ความ ปาจนี ทศิ ทศิ ตะวันออก สงบใจและอารมณ, ความสงบเย็น, ปาฏลีบุตร เมืองหลวงของแควนมคธ ความผอนคลายกายใจ (ขอ ๕ ใน สมัยพระเจา อโศกมหาราช โพชฌงค ๗) ปาฏิเทสนยี ะ “จะพึงแสดงคนื ”, อาบตั ิท่ี
ปาฏิบท ๒๓๒ ปาฏโิ มกขยอ จะพึงแสดงคืน เปนช่ือลหุกาบัติ คือ พุทธพจน ๓ คาถากง่ึ ดังท่ไี ดตรัสในท่ี อาบัติเบาอยางหน่ึงถัดรองมาจาก ประชมุ พระอรหันต ๑,๒๕๐ องค ในวนั ปาจิตตยี และเปน ช่ือสกิ ขาบท ๔ ขอซึ่ง มาฆปณุ มี หลงั ตรสั รูแลว ๙ เดอื น, แปลไดว า พงึ ปรบั ดว ยอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ อรรถกถากลาววา พระพุทธเจาทรง เชน ภิกษรุ ับของเค้ียวของฉัน จากมือ แสดงโอวาทปาฏิโมกขในที่ประชุมพระ ของภิกษุณีท่ีมิใชญาติ ดว ยมือของตน สงฆเปนประจาํ ตลอด ๒๐ พรรษาแรก มาบรโิ ภค ตอ งอาบตั ิปาฏเิ ทสนยี ะ; ดู ตอ จากนนั้ จงึ ไดร บั สัง่ ใหพ ระสงฆส วด อาบตั ิ อาณาปาฏิโมกขกันเองสืบตอมา; ปาฏบิ ท วนั ขน้ึ คาํ่ หนง่ึ หรอื วนั แรมคาํ่ หนง่ึ (พจนานกุ รมเขยี น ปาตโิ มกข) ; ดู โอวาท- แตม กั หมายถงึ อยา งหลงั คอื แรมคา่ํ หนง่ึ ปาฏิโมกข ปาฏิบุคลิก ดู ปาฏิปคุ คลกิ ปาฏิโมกขยอ มีพุทธานุญาตใหสวด ปาฏิปทกิ ะ อาหารถวายในวนั ปาฏบิ ท ปาฏิโมกขยอได ในเม่ือมีเหตุจําเปน ปาฏปิ ุคคลกิ เฉพาะบคุ คล, ไมท่วั ไป, อยา งใดอยางหนง่ึ ในเหตุ ๒ อยา ง คือ ถวายเปนสวนปาฏิปุคคลิก ถือถวาย ๑. ไมม ภี กิ ษจุ าํ ปาฏโิ มกขไ ดจ นจบ (พงึ เจาะจงบคุ คลไมใ ชถ วายแกสงฆ สวดเทา อเุ ทศทจ่ี าํ ได) ๒. เกดิ เหตฉุ กุ เฉนิ ปาฏิโมกข ช่ือคัมภีรที่ประมวลพุทธ- ขัดของท่ีเรียกวาอันตรายอยางใดอยาง บญั ญตั อิ นั ทรงตง้ั ขน้ึ เปน พทุ ธอาณา ไดแ ก หนง่ึ ในอนั ตรายทงั้ ๑๐ (กาํ ลังสวดอเุ ทศ อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา มพี ระพทุ ธานญุ าต ใดคา งอยู เลกิ อเุ ทศนน้ั กลางคนั ได และ ใหส วดในทปี่ ระชมุ สงฆท กุ กงึ่ เดอื น เรยี ก พงึ ยอ ต้ังแตอุเทศนน้ั ไปดว ยสุตบท คือ คําวา สุต ทีป่ ระกอบรูปเปน สุตา ตาม กนั วา พระสงฆท าํ อโุ บสถ, คมั ภรี ท ร่ี วม ไวยากรณ ท้ังน้ียกเวนนิทานุทเทสซึ่ง วนิ ยั ของสงฆ สําหรับภกิ ษุ เรียก ภิกขุ- ตอ งสวดใหจ บ) ปาฏโิ มกข มสี กิ ขาบท ๒๒๗ ขอ และ สาํ หรบั ภกิ ษณุ ี เรยี ก ภกิ ขนุ ปี าฏโิ มกข สมมติวาสวดปาราชิกุทเทสจบแลว มสี กิ ขาบท ๓๑๑ ขอ ; ปาฏโิ มกข ๒ คอื ถา สวดยอ ตามแบบทที่ า นวางไวจ ะไดด งั น:้ี ๑.อาณาปาฏโิ มกข ปาฏิโมกขที่เปนพระ “สตุ า โข อายสมฺ นเฺ ตหิ เตรส สงฆฺ าทเิ สสา ธมมฺ า, สตุ า โข อายสมฺ นเฺตหิ เทวฺ อนยิ ตา พุทธอาณา ไดแ ก ภิกขปุ าฏิโมกข และ ธมฺมา, ฯเปฯ ลงทายวา เอตฺตกํ ตสสฺ ภิกขุนีปาฏิโมกข ๒.โอวาทปาฏโิ มกข ภควโตฯเปฯสกิ ขฺ ติ พพฺ ”ํ ปาฏิโมกขที่เปนพระพุทธโอวาท ไดแ ก
ปาฏิโมกขสังวร ๒๓๓ ปาฏิหารยิ ปกษ แบบทว่ี างไวเ ดมิ น้ี สมเดจ็ พระมหา- นํามารักษาซํ้าทุกปๆ”, เปนชื่อวิธีรักษา อุโบสถแบบหนึ่งสําหรับคฤหัสถ เรียก สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ไม ตามกําหนดระยะเวลาท่ีต้ังไวสําหรับ รกั ษาประจาํ ป แตร ะยะเวลาทก่ี าํ หนดนน้ั ทรงเหน็ ดว ยในบางประการ และทรงมพี ระ อรรถกถาท้ังหลายมีมติแตกตางกันไป หลายแบบหลายอยา ง จนบางแหง บอกวา มตวิ า ควรสวดยอ ดงั นี้ (สวดปาราชกิ ทุ เทส พึงเลือกตามมติที่พอใจ เพราะความ จบแลว สวดคาํ ทา ยทเี ดยี ว): “อทุ ทฺ ฏิ ํ โข สาํ คญั อยทู กี่ ารตงั้ ใจรกั ษาดว ยจติ ปสาทะ อายสมฺ นโฺ ต นทิ าน,ํ อทุ ทฺ ฏิ า จตฺตาโร ใหเ ตม็ อม่ิ สมบรู ณ (เชน มตหิ นงึ่ วา คอื ปาราชกิ า ธมมฺ า, สตุ าเตรสสงฆฺ าทเิ สสา อโุ บสถท่ีรักษาประจาํ ตอ เนอื่ งตลอดไตร- ธมฺมา, ฯเปฯ สุตา สตฺตาธิกรณสมถา มาสแหงพรรษา ถาไมส ามารถ ก็รกั ษา ธมฺมา, เอตฺตกํ ฯเปฯ สิกฺขิตพฺพํ”; ดู ตลอดเดือนหน่ึงระหวางวันปวารณาทั้ง อันตราย ๑๐ สอง คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ ปาฏโิ มกขสงั วร สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๑๒ ถา ไมส ามารถ ก็ เวนขอท่ีพระพุทธเจาหาม ทําตามขอที่ รักษาครึ่งเดือนถัดจากวันปวารณาแรก คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๑ เปน ตน ไป พระองคอ นญุ าต ประพฤตเิ ครง ครดั ใน ตลอดกาฬปก ษ คอื ตลอดขางแรม, แต มติหน่งึ วา รกั ษา ๕ เดือน คอื ตงั้ แตกอ น สกิ ขาบททงั้ หลาย (ขอ ๑ ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔, พรรษา ๑ เดอื น ตลอดพรรษา ๓ เดอื น กบั หลงั พรรษาอกี ๑ เดอื น, อกี มตหิ นงึ่ ขอ ๑ ในสงั วร ๖, ขอ ๑ ในองคแหง วา รกั ษา ๓ เดอื น คอื เดอื น ๘ เดอื น ๑๒ และเดอื น ๔, อกี มตหิ นง่ึ วา คอื ๔ วนั ภกิ ษุใหม ๕), ที่เปน ขอ ๑ ในปาริสทุ ธิศีล กอนและหลังวันอุโบสถปกติ ไดแกวนั ๔ นนั้ เรยี กเตม็ วา ปาฏโิ มกขสงั วรศลี ๑๓ ๑ ๗ และ ๙ คา่ํ มตทิ า ยนก้ี ลายเปน (ปาตโิ มกขสงั วรศลี ก็เขียน) แปลวา ศีล มวี นั รบั -วนั สง ซง่ึ จะสบั สนกบั ปฏชิ าคร- อโุ บสถ), ปาฏหิ ารยิ ปก ษน บ้ี างทกี เ็ รยี กวา คือความสาํ รวมในพระปาฏิโมกข ปาฏิหาริยอุโบสถ ซึ่งเปนอยางหน่ึงใน ปาฏิหาริย ส่งิ ท่นี าอัศจรรย, เร่อื งทน่ี า อุโบสถ ๓ ประเภท ของคฤหัสถ; ดู อศั จรรย, การกระทาํ ที่ใหบ ังเกิดผลเปน อัศจรรย มี ๓ คอื ๑. อทิ ธิปาฏหิ ารยิ แสดงฤทธไิ์ ดเ ปน อศั จรรย ๒. อาเทศนา- ปาฏหิ ารยิ ทายใจไดเปน อศั จรรย ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย คําสอนมีผลจริง เปน อัศจรรย ใน ๓ อยางนข้ี อ สุดทา ยดี เย่ยี มเปนประเสริฐ ปาฏิหาริยปก ษ “ปก ษท พี่ งึ หวนกลบั ไป
ปาฏิหารยิ อโุ บสถ ๒๓๔ ปานะ อโุ บสถ 2.๓. คือ ๑. อมฺพปานํ นํา้ มะมว ง ๒. ชมฺพ-ุ ปาฏิหาริยอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๓. ปานํ น้าํ ชมพูหรือนํา้ หวา ๓. โจจปานํ ปาฐา ช่ือเมืองหน่งึ ในมัธยมประเทศคร้งั นํ้ากลวยมีเม็ด ๔. โมจปานํ นํา้ กลวยไม มเี มด็ ๕. มธกุ ปานํ นา้ํ มะซาง ๖. มทุ ทฺ กิ - พุทธกาล ภิกษุชาวเมืองน้ีคณะหน่ึง ปานํ นา้ํ ลกู จนั ทนห รอื องนุ ๗. สาลกุ ปานํ นา้ํ เหงา อบุ ล ๘. ผารสุ กปานํ นาํ้ มะปราง เปนเหตุปรารภใหพระพุทธเจาทรง หรือลิ้นจ่,ี …เราอนญุ าตนํ้าผลไม (ผลรส) ทกุ ชนดิ เวน นาํ้ ผลธญั ชาต,ิ …เราอนญุ าต อนุญาตการกรานกฐิน; พระไตรปฎก นาํ้ ใบไม (ปต ตรส) ทกุ ชนดิ เวน น้ําผัก บางฉบบั เขียนเปน ปาวา ตม , …เราอนุญาตนํ้าดอกไม (บปุ ผรส) ปาณาติบาต ทําชีวิตสัตวใหตกลวงไป, ทุกชนิด เวนนํ้าดอกมะซาง, …เรา อนุญาตนาํ้ ออยสด (อจุ ฉรุ ส)” ฆา สตั ว ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวนจากการทาํ พงึ ทราบคาํ อธบิ ายเพม่ิ เติมวา นาํ้ ผล ชวี ติ สตั วใ หตกลวง, เวนจากการฆา สตั ว ธญั ชาตทิ ต่ี อ งหา ม ไดแ กน า้ํ จากผลของ ธญั ชาติ ๗ เชน เมลด็ ขา ว (นา้ํ ซาวขา ว, (ขอ ๑ ในศีล ๕ ฯลฯ) นา้ํ ขา ว) นอกจากนนั้ ผลไมใ หญ (มหาผล) ปาตลีบุตร ชื่อเมืองหลวงของพระเจา ๙ ชนดิ (จาํ พวกผลไมท ที่ าํ กบั ขา ว) ไดแ ก อโศกมหาราช; เขียน ปาฏลีบตุ ร กม็ ี ปาตาละ นรก, บาดาล (เปนคําทพี่ วก ลกู ตาล มะพรา ว ขนนุ สาเก (“ลพชุ ” พราหมณใ ชเ รียกนรก) แปลกนั วา สาเก บา ง ขนนุ สาํ มะลอ บา ง) ปาติโมกข ดู ปาฏโิ มกข ปาทุกา รองเทาประเภทหน่งึ แปลกนั มา นา้ํ เตา ฟก เขยี ว แตงไทย แตงโม ฟก ทอง และพวกอปรณั ณะ เชน ถวั่ เขยี ว ทา นจดั วา “เขียงเทา” เปน รองเทา ท่ตี อ งหามทาง อนุโลมเขากับธัญผล เปน ของตอ งหา ม พระวนิ ยั อันภกิ ษไุ มพึงใช; ดู รองเทา ปานะ เครือ่ งด่ืม, นํ้าสาํ หรับดมื่ โดย ดว ย; จะเห็นวา มะซางเปน พืชทม่ี ีขอ เฉพาะที่คั้นจากลูกไม (รวมทง้ั เหงาพืช จํากัดมากสกั หนอ ย นํ้าดอกมะซางนั้น บางชนิด), นํา้ คั้นผลไม (จดั เปน ยาม ตองหามเลยทีเดียว สวนนาํ้ ผลมะซาง กาลิก); มพี ุทธานุญาตปานะ ๘ อยา ง จะฉนั ลว นๆไมไ ด ตอ งผสมนา้ํ จงึ จะควร (นยิ มเรยี กเลยี นเสยี งคาํ บาลวี า อฏั ฐบาน หรอื นาํ้ อฏั ฐบาน) พรอมทั้งน้ําค้นั พชื ทง้ั นเี้ พราะกลายเปน ของเมาไดง า ย ตา งๆ ดังพทุ ธพจนว า (วนิ ย.๕/๘๖/๑๒๓) วิธที าํ ปานะท่ีทา นแนะไว คือ ถา ผล “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตปานะ ๘ อยา ง
ปาปโรโค ๒๓๕ ปาราชิก ยังดิบ กผ็ าฝานหน่ั ใสในนาํ้ ใหสุกดวย วินัย เคยมีเรื่องท่ีพราหมณผูหนึ่งจัด แดด ถา สกุ แลว ก็ปอกหรอื ควา น เอา ถวายปโยปานะ คอื ปานะนา้ํ นม แกส งฆ ผาหอ บดิ ใหต ึงอดั เนอ้ื ผลไมใ หคายน้าํ (ในเรอ่ื งไมแ จง วา เปน เวลาใด) และภกิ ษุ ออกจากผา เติมนาํ้ ลงใหพ อดี (จะไม ท้ังหลายด่ืมน้ํานมมีเสียงดัง “สุรุสุรุ” เติมนาํ้ กไ็ ด เวนแตผลมะซางซ่งึ ทา นระบุ เปนตนบัญญัติแหงเสขิยวัตรสิกขาบทท่ี วาตองเจือนาํ้ จึงควร) แลวผสมนาํ้ ตาล ๕๑ (วนิ ย.๒/๘๕๑/๕๕๓) และเกลอื เปน ตนลงไปพอใหไดรสดี ขอ ปาปโรโค คนเปนโรคเลวรา ย, บางทีแ่ ปล จาํ กดั ที่พึงทราบคือ ๑. ปานะนใ้ี หใชข อง วา “โรคเปน ผลแหง บาป” อรรถกถาวา ได สด หา มมใิ หต ม ดว ยไฟ ใหเ ปน ของเยน็ แกโรคเรื้อรัง เชน ริดสีดวงกลอน หรือสุกดวยแดด (ขอนี้พระมติสมเด็จ เปน ตน เปนโรคทีห่ ามไมใหรบั บรรพชา พ ร ะ ม ห า ส ม ณ เ จ า กรมพระยา ปาปสมาจาร ความประพฤติเหลวไหล วชริ ญาณวโรรสวา ในบาลไี มไ ดห า มนาํ้ สกุ เลวทราม ชอบสมคบกับคฤหัสถดวย แมส กุ กไ็ มน า รงั เกยี จ) ๒. ตอ งเปนของท่ี การอนั มชิ อบ ทเี่ รยี กวา ประทษุ รา ยสกลุ ; อนุปสัมบันทํา จึงควรฉันในเวลาวกิ าล ดู กลุ ทูสก (ถาภิกษุทํา ถือเปนเหมือนยาวกาลิก ปาพจน “คําเปน ประธาน” หมายถึงพระ เพราะรับประเคนมาทั้งผล) ๓. ของ พทุ ธพจน ซงึ่ ไดแกธรรมและวนิ ัย ประกอบเชนน้าํ ตาลและเกลอื ไมใ หเอา ปายาส ขา วสกุ หุงดว ยนมโค นางสุชาดา ของทีร่ บั ประเคนคางคนื ไวมาใช (แสดง ถวายแกพระมหาบุรุษในเวลาเชาของวัน วามุงใหเปนปานะท่ีอนุปสัมบันทําถวาย ท่ีพระองคจะไดตรัสรู, ในคัมภีรทั้ง ดวยของของเขาเอง) หลาย นยิ มเรียกเต็มวา “มธปุ ายาส”; ดู ในมหานิทเทส (ขุ.ม.๒๙/๗๔๒/๔๔๙) สชุ าดา, สกู รมทั ทวะ ทา นแสดงปานะ๘(อฏั ฐบาน)ไว๒ชดุ ๆ ปาราชิก เปนชื่ออาบัติหนักท่ีภิกษุตอง แรกตรงกับที่เปนพุทธานุญาตในพระ เขาแลว ขาดจากความเปนภิกษุ, เปนชอ่ื วนิ ยั สว นชดุ ท่ี ๒ อนั ตา งหาก ไดแ ก นา้ํ บุคคลผูท่ีพายแพ คือ ตองอาบัติ ผลสะครอ นา้ํ ผลเลบ็ เหยย่ี ว นา้ํ ผลพทุ รา ปาราชิกท่ีทําใหขาดจากความเปนภิกษุ, ปานะทาํ ดว ยเปรยี ง ปานะนาํ้ มนั ปานะ เปนชื่อสิกขาบท ท่ีปรับอาบัติหนักข้ัน นาํ้ ยาคู (ยาคปุ านะ) ปานะนา้ํ นม (ปโย- ขาดจากความเปน ภิกษมุ ี ๔ อยา งคือ ปานะ) ปานะนา้ํ คนั้ (รสปานะ), ในพระ เสพเมถนุ ลกั ของเขา ฆามนษุ ย อวด
ปาริจรยิ านตุ ตริยะ ๒๓๖ ปาริสทุ ธศิ ลี อุตรมิ นสุ ธรรมที่ไมมใี นตน สีมาเดียวกัน เม่ือถึงวันอุโบสถไม ปาริจรยิ านุตตริยะ การบาํ เรออนั เย่ยี ม สามารถไปรว มประชมุ ได ภิกษผุ อู าพาธ ไดแก การบํารุงรับใชพระตถาคตและ ตองมอบปาริสุทธิแกภิกษรุ ูปหนึ่งมาแจง ตถาคตสาวกอนั ประเสรฐิ กวา การที่จะ แกส งฆ คอื ใหนําความมาแจง แกสงฆวา บชู าไฟหรอื บาํ รุงบาํ เรออยางอ่นื เพราะ ตนมีความบริสุทธิ์ทางพระวินัยไมมี ชวยใหบริสุทธ์ิหลุดพนจากทุกขไดจริง อาบัตติ ิดคาง หรือในวันอโุ บสถ มีภกิ ษุ (ขอ ๕ ในอนุตตริยะ ๖) อยูเพยี งสองหรอื สามรปู (คือเปนเพียง ปาริฉัตตก “ตนทองหลาง”, ช่ือตนไม คณะ) ไมครบองคสงฆที่จะสวด ประจําสวรรคช้ันดาวดึงส อยูในสวน ปาฏิโมกขได ก็ใหภ กิ ษุสองหรือสามรูป นันทวันของพระอนิ ทร; ปารฉิ ตั ร หรอื นั้นบอกความบริสุทธ์ิแกกันแทนการ ปารชิ าต กเ็ ขยี น สวดปาฏโิ มกข ปาริเลยยกะ ช่ือแดนบานแหงหน่ึงใกล ปารสิ ทุ ธศิ ลี ศลี เปน เครอื่ งทาํ ใหบ รสิ ทุ ธ,์ิ เมืองโกสัมพีที่พระพุทธเจาเสด็จเขาไป ศีลเปนเหตุใหบริสุทธิ์ หรือความ อาศัยอยูในปารักขิตวันดวยทรงปลีก ประพฤตบิ รสิ ทุ ธทิ์ จี่ ดั เปน ศลี มี ๔ อยา ง พระองค จากพระสงฆผูแตกกนั ในกรุง คือ ๑. ปาฏโิ มกขสงั วรศีล ศีลคือความ โกสมั พ;ี ชา งทปี่ ฏบิ ตั พิ ระพทุ ธเจา ทป่ี า นน้ั สํารวมในพระปาฏิโมกข เวนจากขอหาม กช็ อื่ ปารเิ ลยยกะ; เราเรยี กกนั ในภาษา ไทยวา ปาเลไลยก กม็ ี ปา เลไลยก กม็ ี ทาํ ตามขอ อนญุ าต ประพฤตเิ ครง ครดั ใน ควรเขยี น ปารไิ ลยก หรอื ปาเรไลยก สิกขาบทท้ังหลาย ๒. อินทรียสังวรศีล ปาริวาสิกขนั ธะ ชอ่ื ขันธกะที่ ๒ แหง ศีลคือความสํารวมอินทรีย ระวังไมให จลุ วรรค ในพระวนิ ัยปฎ ก วาดว ยเรอื่ ง บาปอกุศลธรรมครอบงํา เมื่อรับรู ภกิ ษุอยูปริวาส อารมณดว ยอนิ ทรียทัง้ ๖ ๓. อาชวี - ปาริวาสิกภิกษุ ภิกษุผูอยูปริวาส; ดู ปาริสุทธิศีล ศีลคือความบริสุทธิ์แหง ปรวิ าส ปาริวาสิกวัตร ธรรมเนียมที่ควร อาชีวะ เล้ียงชีวิตโดยทางสุจริตชอบ ธรรม เชน ไมหลอกลวงเขาเลีย้ งชพี ๔. ปจจยสันนิสิตศีล ศีลอันเน่ืองดวย ประพฤตขิ องภิกษผุ ูอยปู รวิ าส ปจ จัย ๔ ไดแกปจ จัยปจจเวกขณ คือ ปาริสุทธิ ความบริสุทธ์ขิ องภกิ ษุ; เปน พิจารณาใชสอยปจจัยส่ี ใหเปนไปเพื่อ ธรรมเนียมวา ถามีภิกษุอาพาธอยูใน ประโยชนตามความหมายของส่งิ น้ัน ไม
ปาริสทุ ธิอโุ บสถ ๒๓๗ ปาหเุ นยฺโย บรโิ ภคดว ยตณั หา ปารสิ ทุ ธิแกก นั ผแู กวา : “ปริสทุ โฺ ธ อหํ ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ อโุ บสถทภ่ี กิ ษทุ าํ ปารสิ ทุ ธิ อาวุโส, ปริสทุ โฺ ธติ มํ ธาเรหิ” (๓ หน) คือแจงแตความบริสุทธิ์ของกันและกัน ผอู อ นกวา วา : “ปรสิ ทุ โฺ ธ อหํ ภนเฺ ต, ปร-ิ ไมตองสวดปาฏิโมกข ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถน้ี สทุ ฺโธติ มํ ธาเรถ” (๓ หน); ดู อุโบสถ กระทาํ เมอ่ื มภี กิ ษอุ ยใู นวดั เพยี งเปน คณะ ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน กรรมฐานทจี่ ะตอ ง คอื ๒–๓ รปู ไมค รบองคส งฆ ๔ รปู บรหิ าร; ดู กมั มฏั ฐาน ๒; เทยี บ สพั พตั ถก- ถา มีภกิ ษุ ๓ รูปพึงประชมุ กันใน กัมมัฏฐาน โรงอุโบสถแลว รูปหนึ่งต้ังญัตติดังน้ี: ปาวา นครหลวงของแควนมัลละ คูก ับ “สณุ นฺตุ เม ภนเฺ ต อายสมฺ นฺตา, อชฺชุ- กุสินารา คือนครหลวงเดิมของแควน โปสโถ ปณฺณรโส ยทายสฺมนฺตานํ มัลละชื่อกุสาวดี แตภายหลังแยกเปน ปตฺตกลฺลํ, มยํ อฺมฺ ปาริสุทฺธิ- กุสนิ ารา กบั ปาวา อุโปสถํ กเรยยฺ าม” แปลวา: “ทานทงั้ ปาวาริกัมพวัน ดู นาลันทา หลาย อโุ บสถวนั นท้ี ่ี ๑๕ ถา ความพรอ ม ปาวาลเจดีย ชื่อเจดียสถานอยูที่เมือง พร่งั ของทานถงึ ที่แลว เราทง้ั หลายพึงทาํ เวสาลี พระพทุ ธเจาทรงทํานิมิตตโอภาส ปาริสุทธิอุโบสถดวยกัน” (ถารูปที่ต้ัง คร้ังสุดทายและทรงปลงพระชนมายุ ญตั ตแิ กก วา เพอื่ นวา อาวโุ ส แทน ภนเฺต, สงั ขาร ณ เจดียน ้ีกอ นปรินพิ พาน ๓ ถาเปน วัน ๑๔ คาํ่ วา จาตทุ ฺทโส แทน เดือน ปณฺณรโส) ภกิ ษผุ เู ถระพงึ หม ผา เฉวยี ง ปาสราสสิ ตู ร ช่อื สูตรท่ี ๒๖ ในคัมภีร บาน่ังกระหยงประนมมือบอกปาริสุทธิ มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก พระ วา : “ปรสิ ทุ ฺโธ อหํ อาวุโส, ปรสิ ทุ ฺโธติ สตุ ตันตปฎก; เรยี กอีกช่อื หน่ึงวา อริย- มํ ธาเรถ” (๓ หน) แปลวา: “ฉนั บริสทุ ธิ์ ปรเิยสนาสตู ร เพราะวา ดว ย อรยิ ปรเิ ยสนา แลวเธอ ขอเธอท้ังหลายจงจําฉันวาผู ปาสาณเจดยี เจดยี สถานแหง หน่ึงอยูใ น บริสทุ ธแิ์ ลว” อีก ๒ รปู พึงทาํ อยางเดยี ว แควน มคธ มาณพ ๑๖ คนซง่ึ เปนศิษย กันนน้ั ตามลําดบั พรรษา คาํ บอกเปลย่ี น ของพราหมณพาวรี ไดเฝาพระศาสดา เฉพาะ อาวโุ ส เปน ภนฺเต แปลวา “ผม และทลู ถามปญ หา ณ ทีน่ ี้ บรสิ ทุ ธิ์แลวขอรับ ขอทา นทั้งหลายจงจาํ ปาสาทกิ สตู ร ชอ่ื สตู รท่ี ๖ ในคมั ภรี ท ฆี - ผมวาผบู ริสทุ ธ์ิแลว ” นิกาย ปาฏิกวรรค พระสตุ ตันตปฎก ถา มี ๒ รูป ไมตอ งต้ังญัตติพึงบอก ปาหุเนยฺโย (พระสงฆ) เปนผูควรแกของ
ปงคิยมาณพ ๒๓๘ ปปาสวินโย ตอนรบั คอื มคี ณุ ความดีนารกั นาเคารพ โคตร ในพระนครราชคฤห เรียนจบ นับถือ ควรแกการขวนขวายจัดถวาย ไตรเพท ออกบวชในพระพุทธศาสนา ของตอ นรับ เปนแขกทีน่ า ตอนรบั หรอื ไดสาํ เร็จพระอรหตั เปน ผบู รบิ ูรณด วย เปนผูที่เขาภูมิใจอยากใหไปเปนแขกท่ี สติ สมาธิ ปญ ญา มกั เปลง วาจาวา “ผใู ด เขาจะไดตอ นรับ (ขอ ๖ ในสงั ฆคุณ ๙) มีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี ปงคิยมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวน ผลก็ดี ขอผูนั้นจงมาถามขาพเจาเถิด” ๑๖ คนของพราหมณพ าวรี ทีไ่ ปทลู ถาม พระศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะ ปญ หากะพระศาสดา ท่ปี าสาณเจดีย ในทางบันลือสีหนาท, ทานเปนตน ปฎก ตามศัพทแปลวา “กระจาด” หรอื บัญญัติแหงสิกขาบท ซ่งึ หามภกิ ษุ มิให “ตะกราอันเปนภาชนะสําหรับใสของ แสดงอิทธิปาฏิหาริย อันเปนอุตตริ- ตางๆ” เอามาใชในความหมายเปนท่ี มนสุ สธรรม แกค ฤหสั ถท งั้ หลาย และ รวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาที่จัด สกิ ขาบท ซ่ึงหามภิกษุ มใิ หใ ชบ าตรไม เปน หมวดหมแู ลว มี ๓ คอื ๑. วนิ ยั ปฎ ก (ทง้ั สองสกิ ขาบทน้ี ทรงบญั ญตั ใิ นโอกาส รวบรวมพระวินยั ๒. สุตตันตปฎก รวบ เดียวกัน โดยทรงปรารภกรณเี ดียวกนั รวมพระสูตร ๓. อภธิ รรมปฎ ก รวบ วนิ ย.๗/๓๓/๑๖); ดู ยมกปาฏหิ ารยิ รวมพระอภิธรรม เรียกรวมกันวาพระ ปตตฺ สมุฏานา อาพาธา ความเจ็บไขมี ไตรปฎ ก (ปฎ ก ๓) ดู ไตรปฎ ก ดเี ปนสมุฏฐาน; ดู อาพาธ ปณฑปาติกธุดงค องคคุณเคร่ืองขจัด ปต ตะ นาํ้ ด,ี นาํ้ จากตอ มตบั , โรคดเี ดอื ด กิเลสแหงภิกษุเปนตนผูถือการเท่ียว ปต ตวิ สิ ยั แดนเปรต, ภมู แิ หง เปรต (ขอ ๓ บณิ ฑบาตเปน วตั ร หมายถงึ ปณ ฑปาต-ิ ในทคุ ติ ๓, ขอ ๓ ในอบาย ๔); เปตตวิ สิ ยั กังคะ น่ันเอง กเ็ รยี ก; ดู เปรต, ทคุ ติ, อบาย ปณฑปาติกังคะ องคแหงผูถือเท่ียว ปต ุฆาต ฆา บดิ า (ขอ ๒ ในอนนั ตริย- บิณฑบาตเปนวัตร คือ ไมรับนิมนต กรรม ๕) หรือลาภพิเศษอยางอ่ืนใด ฉันเฉพาะ ปปผล,ิ ปป ผลิมาณพ ช่ือของพระมหา- อาหารที่บิณฑบาตมาได (ขอ ๓ ใน กัสสปเถระ เมื่อกอนออกบวช; สวน ธดุ งค ๑๓) กัสสปะ เปน ชอ่ื ท่ีเรียกตามโคตร ปณโฑลภารทวาชะ พระมหาสาวกองค ปปาสวินโย ความนําออกไปเสียซึ่ง หนงึ่ เปน บตุ รพราหมณม หาศาล ภารทวาช- ความกระหาย, กาํ จดั ความกระหายคือ
ปยรูปสาตรปู ๒๓๙ ปคุ คลสมั มขุ ตา ตณั หาได (เปนไวพจนของวริ าคะ) วดั จํานวน ๕๐๐ ท่ีพระเจาพิมพิสารพระ ปย รูป สาตรปู สภาวะท่ีนา รักนา ชืน่ ใจ ราชทานใหเปนผูชวยทําที่อยูของพระ มุงเอาสวนท่ีเปนอิฏฐารมณซึ่งเปนบอ ปลนิ ทวจั ฉะ เกิดแหง ตัณหามี ๑๐ หมวด หมวดละ ปส ณุ าย วาจาย เวรมณี เวน จากพูด ๖ อยา ง คอื อายตนะภายใน ๖ อายตนะ สอเสียด, เวนจากพูดยุยงใหเขาแตก ภายนอก ๖ วญิ ญาณ ๖ สมั ผสั ๖ รา วกนั (ขอ ๕ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐) เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ มี ปสุณาวาจา วาจาสอ เสียด, พดู สอเสียด, รปู สญั เจตนา เปน ตน ตณั หา ๖ มรี ปู - พูดยุยงใหเ ขาแตกรา วกัน (ขอ ๕ ใน ตัณหา เปนตน วิตก ๖ มีรูปวิตก อกุศลกรรมบถ ๑๐) เปนตน วิจาร ๖ มีรูปวิจาร เปนตน ปห กะ มา ม (เคยแปลกนั วา ไต) ดู วกั กะ ปยวาจา วาจาเปน ทีร่ กั , พูดจานา รกั นา ปต ิ ความอม่ิ ใจ, ความดม่ื ดาํ่ ในใจ มี ๕ คอื นิยมนับถือ, วาจานารัก, วาจาทก่ี ลา ว ๑. ขุททกาปติ ปต เิ ล็กนอ ยพอขนชันนา้ํ ดวยจิตเมตตา, คําที่พูดดวยความรัก ตาไหล ๒. ขณกิ าปต ิ ปต ชิ วั่ ขณะรสู กึ ความปรารถนาดี เชน คําพดู สภุ าพออน แปลบๆ ดจุ ฟา แลบ ๓. โอกกนั ตกิ าปต ิ โยน คําแนะนาํ ตกั เตอื นดวยความหวังดี ปต ิเปนระลอกรูสึกซลู งมาๆ ดจุ คล่ืนซดั (ขอ ๒ ในสงั คหวัตถุ ๔) ฝง ๔. อพุ เพคาปติ ปต ิโลดลอย ใหใจฟู ปยารมณ อารมณอ นั เปน ท่ีรกั เปนทีน่ า ตัวเบาหรืออทุ านออกมา ๕. ผรณาปต ิ ปรารถนา นาชอบใจ เชน รูปท่สี วยงาม ปติซาบซาน เอิบอาบไปท่ัวสรรพางค เปน ตน เปน ของประกอบกบั สมาธิ (ขอ ๔ ใน ปลินทวัจฉะ พระมหาสาวกองคหน่ึง โพชฌงค ๗) เกิดในตระกูลพราหมณวัจฉโคตร ใน ปฬ กะ พพุ อง, ฝ, ตอ ม เมืองสาวัตถี ไดฟ ง พระธรรมเทศนาของ ปกุ กสุ ะ บุตรของกษตั ริยม ัลละ เปน ศิษย พระพทุ ธเจา มีศรทั ธาเล่ือมใสออกบวช ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ไดถวาย ในพระพุทธศาสนา เจรญิ วิปส สนาแลว ผาสิงคิวรรณแดพระพุทธเจาในวัน ไดบรรลุอรหัตตผล ตอ มาไดรบั ยกยอ ง ปรินพิ พาน วาเปนเอตทัคคะในทางเปนท่ีรักของ ปุคคลสัมมุขตา ความเปนตอหนา พวกเทวดา บุคคล, ในวิวาทาธิกรณ หมายความวา ปล ินทวจั ฉคาม ช่อื หมบู านของคนงาน คูวิวาทอยูพรอ มหนากัน; ดู สัมมุขาวินยั
ปคุ คลญั ตุ า ๒๔๐ ปณุ ณสุนาปรันตะ ปคุ คลญั ตุ า ความเปน ผรู จู กั บคุ คล คอื ของพระพุทธเจา เปนหลานของพระ รูความแตกตางแหงบุคคล วาโดย อัญญาโกณฑญั ญะ ไดบ รรพชาเม่ือพระ อธั ยาศยั ความสามารถ และคณุ ธรรม เถระผเู ปน ลงุ เดนิ ทางมายงั เมอื งกบลิ พสั ดุ เปนตน เปน อยา งไร ควรคบควรใชควร บวชแลว ไมน านกบ็ รรลอุ รหัตตผล เปน สอนอยา งไร (ขอ ๗ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) ผูป ฏิบัตติ นตามหลกั กถาวตั ถุ ๑๐ และ ปคุ คลิก ดู บคุ ลกิ สอนศิษยของตนใหปฏิบัติเชนน้ันดวย ปคุ คลกิ าวาส ทอ่ี ยทู เี่ ปน ของบคุ คล, ที่ ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะใน อยทู เ่ี ปน ของสว นตวั ; เทียบ สังฆกิ าวาส บรรดาพระธรรมกถึก หลักธรรมเร่ือง ปุจฉา ถาม, คําถาม วิสทุ ธิ ๗ ก็เปนภาษติ ของทาน ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เปนบุญ, ปณุ ณมาณพ คอื พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร สภาพท่ีปรุงแตงกรรมฝายดี ไดแก เม่ือกอ นบวช กุศลเจตนา (เฉพาะท่เี ปน กามาวจรและ ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ, ปณุ ณสนุ าปรนั ตกะ รูปาวจร) (ขอ ๑ ในอภสิ ังขาร ๓) พระมหาสาวกองคห นง่ึ ในจาํ นวนอสตี -ิ ปุณณกมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจํานวน มหาสาวก ชอ่ื เดมิ วา ปณุ ณะ เกดิ ทเี่ มอื ง ๑๖ คนของพราหมณพ าวรี ท่ีไปทูลถาม ทา ชอื่ สปุ ปารกะ ในแควน สุนาปรนั ตะ ปญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย เม่ือเติบโตข้ึน ไดประกอบการคาขาย ปุณณชิ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี เปน รว มกับนอ งชาย ผลัดกนั นํากองเกวียน สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว ๕๐๐ เลม เท่ียวคาขายตามหัวเมือง ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม ตา งๆ คราวหนึ่ง นองชายอยเู ฝาบาน พรอ มดว ยสหายอกี ๓ คน คือวิมละ ปุณณะนํากองเกวียนออกคาขายผาน สพุ าหุ และควัมปติ ไดเปนองคหนึ่งใน เมอื งตางๆ มาจนถงึ กรงุ สาวตั ถี พกั กอง อสีติมหาสาวก เกวียนอยูใกลพระเชตวัน รับประทาน ปุณณมันตานีบุตร พระมหาสาวกองค อาหารเชาแลวก็น่ังพักผอนกันตาม หนึ่ง ไดชอ่ื อยา งนี้ เพราะเดิมชอื่ ปณุ ณะ สบาย ขณะน้ันเอง ปุณณะมองเห็นชาว เปนบุตรของนางมันตานี ทานเกิดใน พระนครสาวัตถแี ตง ตัวสะอาดเรยี บรอ ย ตระกูลพราหมณมหาศาลในหมูบาน พากันเดินไปยังพระเชตวันเพื่อฟงธรรม พราหมณช่ือโทณวตั ถุ ไมไกลจากเมอื ง ไตถามทราบความก็ดีใจ จึงพาบริวาร กบิลพสั ดุ ในแควนศากยะท่ีเปน ชาติภูมิ เดินตามเขาเขาไปสูพระวิหาร ยืนอยู
ปณุ ณสุนาปรนั ตะ ๒๔๑ ปณุ ณสุนาปรันตะ ทายสุดที่ประชุม ไดฟงพระธรรม- หนาท่ีเขาไมฟนแทงดวยศัสตรา ตรัส เทศนาของพระพุทธเจาแลวเลื่อมใส ถามวา ถาเขาฟนแทงดวยศัสตราจะวาง อยากจะบวช วันรงุ ขน้ึ ถวายมหาทานแด ใจอยา งไร ทูลตอบวา จะคดิ วา ยังดีนกั พระสงฆมีพระพุทธเจาเปนประมุขแลว หนาท่ีเขาไมเอาศัสตราอันคมฆาเสีย มอบหมายธุระแกเจาหนาที่คุมของใหนํา ตรสั ถามวา ถา เขาเอาศสั ตราอนั คมปลิด สมบัติไปมอบใหแกนองชาย แลวออก ชีพเสยี จะวางใจอยา งไร ทูลตอบวา จะ บวชในสํานักพระศาสดา ตั้งใจทํา คดิ วา มสี าวกบางทา นเบอ่ื หนา ยรางกาย กรรมฐาน แตก็ไมสําเร็จ คิดจะไป และชีวิตตองเท่ียวหาศัสตรามาสังหาร บําเพญ็ ภาวนาทถี่ ิน่ เดมิ ของทา นเอง จึง ตนเอง แตเ ราไมตองเทย่ี วหาเลย กไ็ ด เขาไปเฝาพระพุทธเจา กราบทลู ขอพระ ศัสตราแลว พระผูมีพระภาคประทาน โอวาท ดังปรากฏเน้ือความในปุณโณ- สาธุการ และตรัสวาทานมีทมะและ วาทสูตร พระผูมีพระภาคเจาประทาน อปุ สมะอยางน้ี สามารถไปอยใู นแควน พระโอวาทแสดงวธิ ปี ฏิบตั ติ อ รปู เสยี ง สนุ าปรันตะได พระโอวาทและแนวคดิ กลิน่ รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ ของพระปุณณะน้ีเปนคติอันมีคายิ่ง โดยอาการที่จะมิใหทุกขเกิดข้ึน แลว สําหรับพระภิกษุผูจะจาริกไปประกาศ ตรัสถามทานวาจะไปอยูในถ่ินใด ทาน พระศาสนาในถ่นิ ไกล ทูลตอบวาจะไปอยูในแควนสุนาปรันตะ ตรัสถามวาชาวสุนาปรันตะเปนคนดุราย พระปณุ ณะกลบั สแู ควน สนุ าปรนั ตะ ถาเขาดาวาทานจะวางใจตอคนเหลาน้ัน แลว ไดยายหาท่ีเหมาะสําหรับการทํา อยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก กรรมฐานหลายแหง จนในทสี่ ดุ แหง ท่ี ๔ หนาท่ีเขาไมต บตี ตรัสถามวา ถา เขาตบ ไดเขา จาํ พรรษาแรกทว่ี ดั มกุฬการาม ใน ตีจะวางใจอยา งไร ทูลตอบวา จะคิดวา พรรษานั้น นองชายของทานกับพอคา ยังดีนักหนาที่เขาไมข วางปาดว ยกอนดิน รวม ๕๐๐ คน เอาสนิ คาลงเรือจะไปยงั ตรัสถามวา ถาเขาขวางปาดวยกอนดนิ ทะเลอื่น ในวันลงเรือ นองชายมาลา จะวางใจอยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายงั และขอความคมุ ครองจากทา น ระหวาง ดนี ักหนาที่เขาไมทบุ ตดี ว ยทอนไม ตรัส ทางเรือไปถึงเกาะแหงหนึ่ง พากันแวะ ถามวา ถาเขาทุบตีดว ยทอ นไมจ ะวางใจ บนเกาะพบปาจนั ทนแดงอันมีคาสูง จึง อยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก ลมเลิกความคิดที่จะเดินทางตอ ชวย กันตัดไมจันทนบรรทุกเรือจนเต็มแลว
ปณุ มี ๒๔๒ ปถุ ุชน ออกเดินทางกลับถิ่นเดิม แตพอออก ฝงแมนํ้านัมมทา ไดแสดงธรรมโปรด เรือมาไดไ มนาน พวกอมนษุ ยทสี่ งิ ในปา นมั มทานาคราช นาคราชขอของท่ีระลึก จันทนซ่งึ โกรธแคน ไดทาํ ใหเ กิดลมพายุ ไวบูชา จึงประทับรอยพระบาทไวท่ีริม อยางแรงและหลอกหลอนตางๆ นอง ฝง แมน ํ้านมั มทานนั้ จากนน้ั เสด็จตอไป ชายของพระปุณณะระลึกถึงพระพี่ชาย ถึงภเู ขาสจั จพันธ ตรัสสงั่ พระสจั จพันธ พระปุณณะทราบ จึงเหาะมายืนอยูท่ี ใหอยูสง่ั สอนประชาชน ณ ท่ีน้นั พระ หนาเรือ พวกอมนษุ ยก ็พากันหนไี ป ลม สจั จพนั ธทลู ขอสิง่ ท่รี ะลกึ ไวบูชา จงึ ทรง พายุก็สงบ ประทับรอยพระบาทไวท่ีภูเขาน้ันดวย พวกพอคา ทงั้ ๕๐๐ คน กลับถึง อันนับวาเปนประวัติการเกิดขึ้นของรอย ถ่ินเดิมโดยสวัสดีแลว ไดพรอมท้ัง พระพทุ ธบาท ภรรยาพากันประกาศนับถือพระปุณณะ เหตุการณที่เลานี้เกิดขึ้นในพรรษา และถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ แลว แรกท่ีพระปุณณะกลับมาอยูในแควน แบงไมจันทนแดงสวนหนึ่งมาถวายทาน สุนาปรันตะ และทานเองก็ไดบรรลุ พระปุณณะตอบวาทานไมมีกิจที่จะตอง อรหัตตผลในพรรษาแรกนั้นเชนกัน ใชไมเหลานั้น และแนะใหสรางศาลา ทานพระปุณณเถระบําเพ็ญจริยาเพื่อ ถวายพระพุทธเจา ศาลาน้ันเรียกวา ประโยชนสุขแกประชาชนสืบมาจนถึง จนั ทนศาลา เมือ่ ศาลาเสร็จแลว พระ ปรนิ พิ พาน ณ แควน สุนาปรันตะนัน้ ปุณณะไดไปทูลอาราธนาพระพุทธเจา กอ นพทุ ธปรนิ พิ พาน เสด็จมายังแควนสุนาปรันตะพรอมดวย ปุณมี ดู บณุ มี พระสาวกจํานวนมาก ระหวา งทางพระผู ปุตตะ เปนช่ือนรกขุมหน่ึงของลัทธิ มีพระภาคทรงแวะหยุดประทับโปรด พราหมณ พวกพราหมณถ ือวาชายใดไม สัจจพันธดาบส ที่ภูเขาสัจจพันธกอน มีลูกชาย ชายนนั้ ตายไปตองตกนรกขุม แลว นาํ พระสจั จพนั ธ ซงึ่ บรรลอุ รหตั ตผล “ปุตตะ” ถามีลูกชาย ลูกชายน้ันชว ย แลวมายังสุนาปรันตะดวย ทรงแสดง ปอ งกันไมใ หต กนรกขมุ นนั้ ได ศพั ทว า ธรรมโปรดชาวสุนาปรนั ตะ และประทบั บุตร จึงใชเปนคําเรียกลูกชายสืบมา ทีจ่ นั ทนศาลา ในมกฬุ การาม ๒–๓ วนั แปลวา “ลูกผูปองกันพอจากขุมนรก เสด็จเท่ียวบิณฑบาตในหมูบาน แลว ปตุ ตะ” ทรงเดินทางกลับ ระหวางทางเสด็จถึง ปถุ ุชน คนท่หี นาแนนไปดวยกเิ ลส, คนที่
ปุนัพพสกุ ะ ๒๔๓ ปรุ ิสสพั พนาม ยงั มีกเิ ลสมาก หมายถงึ คนธรรมดาท่ัวๆ ปรุ ณมี วันเพญ็ , วนั พระจันทรเ ตม็ ดวง, ไป ซ่ึงยังไมเปนอริยบุคคลหรือพระ วันขนึ้ ๑๕ ค่ํา อริยะ; บถุ ชุ น กเ็ ขยี น ปุรัตถิมทิส “ทิศเบ้ืองหนา” หมายถึง ปนุ ัพพสุกะ ชือ่ ภกิ ษุรปู หน่งึ อยใู นภกิ ษุ มารดาบิดา; ดู ทิศหก เหลวไหล ๖ รปู ทเ่ี รยี กวา พระฉพั พคั คยี ปุราณจวี ร จวี รเกา ปุราณชฎิล พระเถระสามพ่ีนองพรอม คกู ับพระอสั สชิ ปุปผวิกัติ ดอกไมที่แตงเปนชนิดตางๆ ดว ยบริวาร คอื อุรเุ วลกัสสป นทกี สั สป เชน รอ ยตรึง รอ ยคุม รอ ยเสยี บ รอย คยากัสสป ซ่งึ เคยเปน ชฎิลมากอ น ผกู รอ ยวง รอยกรอง เปนตน ปรุ มิ กาล เรอื่ งราวในพุทธประวัติทมี่ ีข้นึ ปพุ พเปตพลี การทาํ บญุ อทุ ศิ ใหแ กผ ตู าย, ในกาลกอ นแตบ าํ เพญ็ พทุ ธกิจ; ดู พุทธ- การจดั สรรสละรายไดห รอื ทรพั ยส ว นหนงึ่ ประวตั ิ เปน คา ใชจ า ยสาํ หรบั บชู าคณุ หรอื แสดงนาํ้ ปุรมิ พรรษา ดู ปรุ มิ กิ า ใจตอ ญาตทิ ล่ี ว งลบั ไปกอ นดว ยการทาํ บญุ ปรุ มิ กิ า พรรษาตน เรมิ่ แตว นั แรมคา่ํ หนงึ่ อทุ ศิ ให, การใชร ายไดห รอื ทรพั ยส ว นหนง่ึ เดอื นแปด ในปท ไี่ มม อี ธกิ มาสเปน ตนไป เพื่อบาํ เพ็ญบุญอุทิศแกญาติท่ีลวงลับไป เปน เวลา ๓ เดอื นคือถงึ ขนึ้ ๑๕ คํา่ กอ น (ขอ ๓ ในพลี ๕ แหง โภคอาทิยะ ๕) เดอื น ๑๑; เทยี บ ปจ ฉมิ ิกา, ปจฉิมพรรษา ปพุ พัณณะ ดู บุพพัณณะ, ธญั ชาติ ปุริสภาวะ ความเปนบรุ ุษ หมายถงึ ภาวะ ปุพเพกตปุญญตา ความเปนผูไดทํา อันใหปรากฏมีลักษณะอาการตางๆ ที่ ความดีไวในกอน, ทําความดีใหพรอม แสดงถึงความเปนเพศชาย; คูก บั อติ ถี- ภาวะ; ดู อปุ าทายรปู ไวกอนแลว (ขอ ๔ ในจักร ๔) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรูเปน ปุริสเมธ ความฉลาดในการบํารุงขา เครอ่ื งระลกึ ไดถงึ ปุพเพนวิ าส คอื ขนั ธท่ี ราชการ รูจักสงเสริมคนดีมีความ เคยอาศัยอยใู นกอน, ระลกึ ชาตไิ ด (ขอ สามารถ เปน สงั คหวตั ถปุ ระการหนง่ึ ของ ๑ ในญาณ ๓ หรือวิชชา ๓, ขอ ๔ ใน ผูปกครองบา นเมอื ง (ขอ ๒ ในราช- อภญิ ญา ๖, ขอ ๖ ในวชิ ชา ๘, ขอ ๘ ใน สังคหวตั ถุ ๔) ทศพลญาณ), ใชวา บพุ เพนิวาสานุสต-ิ ปุริสสัพพนาม คําทางไวยากรณ หมาย ญาณ กม็ ,ี เขยี นเตม็ อยา งรปู เดมิ ในภาษา ถึงคําแทนชื่อเพ่ือกันความซ้ําซาก ใน บาลเี ปน ปพุ เพนิวาสานสุ สตญิ าณ ภาษาบาลหี มายถงึ ต, ตมุ หฺ , อมหฺ , ศพั ท
ปเุ รจารกิ ๒๔๔ โปราณฏั ฐกถา ในภาษาไทย เชน ฉัน, ผม, ทาน, เธอ, ไมไ ด หรอื กนิ ไดโ ดยยาก; ดู อบาย, ทคุ ติ เขา, มนั เปน ตน เปลี่ยวดาํ หนาวอยางใหญ, โรคอยา ง ปเุ รจารกิ “อนั ดาํ เนนิ ไปกอ น”, เปน เครอื่ ง หน่งึ เกดิ จากความเยน็ มาก นาํ หนา , เปน ตวั นาํ , เปน เครอื่ งชกั พาให เปสละ ภกิ ษผุ ูมศี ลี เปนท่ีรัก, ภกิ ษผุ ูมี มงุ ใหแ ลน ไป เชน ในคาํ วา “ทาํ เมตตาให ความประพฤติดนี านิยมนบั ถือ เปน ปเุ รจารกิ แลว สวดพระปรติ ร”, “ความ เปสญุ ญวาท ถอ ยคาํ สอ เสยี ด; ดู ปส ณุ า- วาจา เพยี รอนั มศี รทั ธาเปน ปเุ รจารกิ ” ปุเรภัต กอนภัต, กอ นอาหาร หมายถึง โปกขรพรรษ ดู โบกขรพรรษ เวลากอนฉันของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได โปตลิ นครหลวงของแควนอัสสกะ อยู แตเ ม่อื พูดอยางกวา ง หมายถึง กอ น ลมุ นา้ํ โคธาวรี ทศิ เหนอื แหง แควน อวนั ตี หมดเวลาฉนั คอื เวลาเชาจนถงึ เท่ยี ง โปราณฏั ฐกถา อรรถกถาเกา แก, คมั ภรี ซึ่งเปนระยะเวลาที่ภิกษุฉันอาหารได; หรือบันทึกคําอธิบายความในพระไตร- เทียบ ปจฉาภตั ปฎ ก ทใ่ี ชใ นการศกึ ษาและรกั ษาตอ กนั ปเุ รสมณะ พระนาํ หนา เปน ศพั ทค กู บั มาในลงั กาทวปี เปน ภาษาสงิ หฬ อนั ถอื ปจ ฉาสมณะ พระตามหลงั วาสืบแตคร้ังพระมหินทเถระพรอมดวย ปุโรหิต พราหมณผูเปนที่ปรึกษาของ คณะพระสงฆเ ดนิ ทางมาประดษิ ฐานพระ พระราชา พุทธศาสนาในลังกาทวีป ซึ่งไดนาํ พระ ปุสสมาส เดือน ๒, เดอื นยี่ ไตรปฎกและอรรถกถามาต้ังไวเปนหลัก ปูชนียบุคคล บคุ คลทค่ี วรบูชา แตอรรถกถาเดิมท่ีนาํ มาน้ัน เปนภาษา ปชู นยี วตั ถุ วตั ถุที่ควรบูชา บาลี จงึ สบื ตอ กนั มาเปน ภาษาสงิ หล เพอ่ื ปูชนียสถาน สถานทีค่ วรบชู า ใหช าวเกาะลงั กาสามารถใชเ ปน สอื่ ในการ ปรู ณมี ดู บณุ มี ศึกษาพระไตรปฎกที่ตองรักษาไวอยาง เปตตวิ สิ ยั ดู ปต ตวิ สิ ยั ,เปรต เดมิ เปน ภาษาบาลี ตอ มา ในกง่ึ ศตวรรษ เปรต 1. ผูละโลกนี้ไปแลว, คนที่ตายไป สดุ ทา ยทจี่ ะถงึ พ.ศ.๑๐๐๐ พระพทุ ธ- แลว 2. สัตวจ าํ พวกหนึ่งซง่ึ เกดิ อยูใ น ศาสนาในชมพทู วปี เสอ่ื มลงมากแลว แม อบายชนั้ ทเี่ รยี กวา ปต ตวิ สิ ยั หรอื เปตต-ิ พระไตรปฎ กบาลจี ะยงั คงอยู แตอ รรถ- วสิ ัย(แดนเปรต) ไดรบั ความทกุ ขท รมาน กถาไดหมดสน้ิ ไป พระพทุ ธโฆสาจารย เพราะอดอยาก ไมม จี ะกนิ แมเ มอื่ มี กก็ นิ ไดรบั มอบหมายจากพระเรวตเถระผเู ปน
โปราณฏั ฐกถา ๒๔๕ โปราณฏั ฐกถา อาจารย ใหเ ดนิ ทางจากชมพทู วปี มายงั ภาษาสิงหล ท่พี ระพทุ ธโฆสาจารยและ ลงั กาทวปี เพอื่ แปลอรรถกถาจากภาษา สงิ หฬเปน ภาษามคธ ทจี่ ะนาํ ไปใชศ กึ ษา พระอรรถกถาจารยอื่นในเวลาใกลเคียง ในชมพทู วปี สบื ไปไดอ กี พระพทุ ธโฆสา- จารย เมอื่ ผา นการทดสอบความรคู วาม กัน ไดใชเปนหลักและเปนแนวในการ สามารถและไดร บั อนญุ าตจากสงั ฆะแหง มหาวหิ ารใหท าํ งานทปี่ ระสงคไ ดแ ลว ก็ เรียบเรียงอรรถกถาภาษาบาลีข้ึนใหม ไดเ รียบเรยี งอรรถกถาจากของเดมิ ทเี่ ปน ภาษาสงิ หฬ ขนึ้ มาเปน ภาษาบาลี จนเกอื บ ก็จึงหมายรูกันโดยใชคําเรียกวาเปน ครบบรบิ รู ณ ขาดแตบ างสว นของขทุ ทก- “โปราณฏั ฐกถา” (อรรถกถาโบราณ, นกิ าย แหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ซงึ่ กไ็ ดม ี อรรถกถาของเกา) ซ่งึ มีชอื่ ทีอ่ างอิงหรือ พระเถระอนื่ อกี ประมาณ ๔ รปู มพี ระ ธรรมปาละ เปน ตน จดั ทาํ ขนึ้ ดว ยวธิ กี าร กลาวถึงในอรรถกถาภาษาบาลีบอยคร้ัง คลา ยคลงึ กนั จนจบครบตามคมั ภรี ข อง โดยเฉพาะ มหาอัฏฐกถา มหาปจจรี พระไตรปฎ ก ในชว งเวลาไมห า งจากพระ กุรุนที สงั เขปฏฐกถา อนั ธกฏั ฐกถา พทุ ธโฆสาจารยม ากนกั โปราณฏั ฐกถาสาํ คญั ทสี่ ดุ คอื มหา- เม่ืออรรถกถาท่ีเปนภาษาบาลีเกิดมี อัฏฐกถา ซึ่งเปนอรรถกถาที่อธิบาย ขน้ึ ใหมอ กี กช็ ว ยเปน หลกั ในการศกึ ษา ตลอดพระไตรปฎ กท้ังหมด และเกา แก พระไตรปฎ กสบื ตอ มา ไมเ ฉพาะในลงั กา ทวปี เทา นน้ั แตข ยายออกไปในประเทศ ท่ีสุด ถือวาเปนอรรถกถาเดิมท่ีพระ อน่ื ๆ กวา งขวางทวั่ ไป ตอ มา เมอ่ื พดู ถงึ อรรถกถา กเ็ ขา ใจกนั วา หมายถงึ อรรถ- มหินทเถระนํามาจากชมพูทวีป และ กถาภาษาบาลรี นุ ประมาณ พ.ศ.๑๐๐๐ ท่ี กลา วมานี้ บางทถี งึ กบั เรยี กกาลเวลาของ ทานไดแปลเปนภาษาสิงหลดวยตนเอง พระศาสนาชว งนี้ วา เปน ยคุ อรรถกถา ซง่ึ แทจริงนั้น เนื้อตัวของอรรถกถาก็เปน เพ่ือใหชาวลังกาทวีปมีเคร่ืองมือท่ีจะ ของทม่ี สี บื ตอ มาแตเ ดมิ ศกึ ษาพระไตรปฎ กไดโดยสะดวก เมอื่ สวนอรรถกถาเกาแกของเดิมใน พระพุทธโฆสาจารยเรียบเรียงอรรถกถา ภาษาบาลขี นึ้ ใหมน น้ั กอ็ าศยั มหาอฏั ฐ- กถานี่เองเปนหลัก ดังท่ีทานกลาวถึง การจัดทําอรรถกถาแหงพระวินัยปฎก (คอื สมนั ตปาสาทกิ า) วา ทา นนาํ เอามหา- อฏั ฐกถาน้ันมาเปน สรรี ะ คอื เปน เนอื้ หา หลกั หรอื เปน เนอื้ เปน ตวั ของหนงั สอื ใหม ทจ่ี ะทาํ พรอ มทงั้ ปรกึ ษาโปราณฏั ฐกถา และมตหิ ลกั ทถี่ อื กนั มาของสงั ฆะดว ย พงึ ทราบดงั ทกี่ ลา วแลว วา เวลาน้ี เมอ่ื
โปสาลมาณพ ๒๔๖ ผล พูดถึงอรรถกถา เราหมายถงึ อรรถกถา ท่ีคัมภีรอรรถกถาภาษาบาลีกลาวถึงนั้น ภาษาบาลีที่พระพุทธโฆสาจารยเปนตน มักหมายถึงโปราณัฏฐกถาภาษาสิงหล ไดเ รยี บเรยี งไว และเราใชก นั อยู แตพ งึ เฉพาะอยา งยง่ิ มหาอัฏฐกถานเี้ อง; ดู ทราบตอไปอีกข้ันหน่ึงวา ในอรรถกถา อรรถกถา ภาษาบาลนี นั้ เอง เมอ่ื มกี ารกลา วอา งถงึ โปสาลมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวน อรรถกถา เชนบอกวา “ในอรรถกถา ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ทไี่ ปทลู ถาม ทา นกลา ววา ‘…’ ดงั น”ี้ คาํ วา “อรรถกถา” ปญหากะพระศาสดา ทปี่ าสาณเจดยี ผ ผทม นอน (ใชแ กเจา ) ปะปนสับสนกัน แตวา ตามความหมาย ผนวช บวช (ใชแกเจา ) พืน้ ฐาน วิบาก หมายถงึ ผลโดยตรงของ ผรณาปติ ความอม่ิ ใจซาบซา น เมอ่ื เกดิ กรรมตอชีวิตของตัวผูกระทํา ไมวาจะ ขึ้นทําใหรสู กึ ซาบซานท่วั สารพางค (ขอ เปนผลดีหรือผลรายสุดแตกรรมดีหรือ กรรมชว่ั ท่เี ขาไดทาํ , นิสสันท หมายถงึ ๕ ในปต ิ ๕) ผลโดยออมที่สืบเน่ืองหรือพวงพลอยมา ผรุสวาจา วาจาหยาบ, คาํ พดู เผด็ รอ น, กับผลแหงกรรมนั้น ไมวาจะเปน คาํ หยาบคาย (ขอ ๖ ในอกศุ ลกรรมบถ อฏิ ฐารมณหรอื อนฏิ ฐารมณ อันนํามาซึง่ สุขหรือโศก ทั้งท่เี กิดแกต ัวเขาเอง และ ๑๐) แกคนอื่นท่ีเก่ียวของ (ตัวอยางดังใน ผรุสาย วาจาย เวรมณี เวน จากพูดคาํ หลกั ปฏจิ จสมุปบาทวา ภพ เปน วบิ าก หยาบ (ขอ ๖ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐) ขาตชิ รามรณะ เปน นสิ สนั ท, และ โสกะ ผล 1. สงิ่ ทีเ่ กดิ จากเหต,ุ ประโยชนหรือ ปริเทวะ เปนตน เปนนิสสันทพวงตอ โทษทไี่ ดร บั สนองหรอื ตอบแทน; “ผล” มี ออกไปอกี ซงึ่ อาจจะไมเ กดิ ขน้ึ กไ็ ด) และ นสิ สนั ทน น้ั ใชไ ดก บั ผลในเรอ่ื งทว่ั ไป เชน ช่ือเรียกหลายอยางตามความหมายท่ี เอาวัตถุดิบมาเขาโรงงานอุตสาหกรรม เกิดเปนนิสสันทหล่ังไหลออกมา ท้ังที่ จาํ เพาะหรอื ทม่ี นี ยั ตา งกนั ออกไป เฉพาะ นา ปรารถนาคอื ผลติ ภณั ฑ และทไี่ มน า อยางยิง่ คอื วบิ าก (วิบากผล) นสิ สนั ท (นิสสันทผล) อานสิ งส (อานสิ งสผล); คําเหลาน้ี มีความหมายกายเกยกนั อยู บา ง และบางทีก็ใชอ ยางหลวมๆ ทาํ ให
ผล ๒๔๗ ผล ปรารถนา เชน กากและของเสียตา งๆ, อยางที่มีผลเลิศ อันใหประสบส่ิงดีงาม อานสิ งส หมายถงึ ผลดที ี่งอกเงย หรอื มผี ลเปน สขุ เปน ไปเพอ่ื สวรรค ๑ …” คุณคาประโยชนแถมเหมือนเปนกําไร ซึ่งพลอยไดหรือพวงเพ่ิมสืบเนื่องจาก ดังท่ีกลาวแลววา การใชคําเหลาน้ี กรรมทดี่ ี เชน เอาความรทู เ่ี ปนประโยชน เมอ่ื ลงสรู ายละเอยี ด บางทกี ม็ คี วามแตก ไปสอนเขา แลวเกิดมอี านิสงส เชน เขา ตา งและซบั ซอ นสบั สนบา ง เชน ในกรณี รกั ใครนบั ถือ ตลอดจนไดล าภบางอยา ง ทค่ี ําวา “ผล” กบั “วบิ าก” มาดว ยกนั ดงั นี้ กไ็ ด หมายถงึ ผลดี คณุ คา ประโยชน อยางในคําวา “ผลวิบาก (คอื ผลและ ของการอยางใดอยางหนึ่งหรือส่ิงใดส่ิง วบิ าก) ของกรรมทท่ี ําดที ําช่ัว…” ทา น หนึง่ โดยทว่ั ไป กไ็ ด, อานิสงสน ้ี ตรง อธิบายวา “ผล” หมายถึงนิสสันทผล ขา มกบั อาทนี พ (หรอื อาทนี วะ) ซ่งึ หมาย (รวมท้ังอานิสงสผล) และ “วิบาก” ก็คือ ถึงโทษ ผลราย สวนเสีย ขอบกพรอง, วิบากผล แตในสาํ นวนวา “มีผลมาก มี พึงเหน็ ตวั อยางดงั พทุ ธพจนวา (อง.ปฺจก. อานิสงสม าก” บางคัมภรี (ดู ปฏิส.ํ อ.๒/ ๒๒/๒๒๗/๒๘๗) “ภิกษทุ ง้ั หลาย อาทีนพ ๖๒/๕๔; ท.ี อ.๒/๔๓๘/๔๒๙) อธบิ ายวา “ทีว่ า ในเพราะโภคทรัพย ๕ ประการน้ี … คือ ไมม ีผลมาก คือโดยวบิ ากผล ทีว่ าไมม ี โภคทรพั ยเปน ของท่ัวไปแกไ ฟ ๑ เปน อานิสงสม าก คอื โดยนสิ สนั ทผล (หรอื ของท่วั ไปแกนํ้า ๑ เปน ของท่วั ไปแกผู โดยอานิสงสผล)” แตบ างคัมภีร (ดู ม.อ. ครองบา นเมอื ง ๑ เปน ของทวั่ ไปแกโ จร ๑ เปน ของทัว่ ไปแกทายาทอปั รีย ๑ … ๑/๖๕/๑๗๑; ๒/๘๙/๒๒๐; อง.ฺ อ.๓/๖๖๓/๓๕๗) ภิกษุท้ังหลาย อานิสงสในเพราะโภค- ทรัพย ๕ ประการน้ี … คอื อาศยั โภค- อธบิ ายวา “ท่ีวา มผี ลมาก มอี านิสงสม าก ทรพั ย บคุ คลเลยี้ งตนใหเ ปนสขุ … ๑ นั้น ทั้งสองอยาง โดยความหมายก็ เลี้ยงมารดาบิดาใหเ ปน สขุ … ๑ เลยี้ ง อยางเดียวกัน” และบางทีก็ใหความ บุตรภรรยา คนใช กรรมกร และคนงาน หมายเพิ่มอีกนัยหน่ึงวา “มีผลมาก คือ ใหเปน สุข … ๑ เลีย้ งมติ รสหายและคน อํานวยโลกียสุขมาก มีอานิสงสมาก คือ ใกลชดิ ชว ยกจิ การ ใหเปนสขุ ใหอิ่มพอ เปน ปจ จยั แหง โลกตุ ตรสุขอนั ยง่ิ ใหญ”; ดู บรหิ ารใหเ ปนสขุ โดยชอบ ๑ บําเพ็ญ นสิ สนั ท, วบิ าก, อานสิ งส ทักษิณาในสมณพราหมณทั้งหลาย 2. ชอื่ แหงโลกตุ ตรธรรมคกู บั มรรค และเปน ผลแหง มรรค มี ๔ ชน้ั คือ โสดาปตติผล ๑ สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหตั ตผล ๑; คกู บั มรรค
ผลญาณ ๒๔๘ ผาตกิ รรม ผลญาณ ญาณในอรยิ ผล, ญาณท่เี กดิ เปนอเุ บกขาบาง (ขอ ๒ ในอาหาร ๔) ขึน้ ในลําดบั ตอจากมัคคญาณและเปน ผากฐิน ผาผืนหน่ึงท่ีใชเปนองคกฐิน ผลแหง มัคคญาณนนั้ ซึ่งผบู รรลุแลว ได สําหรบั กราน แตบ างทีพูดคลมุ ๆ หมาย ชื่อวาเปนพระอริยบุคคลข้ันนั้นๆ มี ถึงผาท้ังหมดที่ถวายพระในพิธีทอด โสดาบนั เปนตน; ดู ญาณ ๑๖ กฐนิ , เพ่อื กันความสับสน จงึ เรยี กแยก ผลภาชกะ ภกิ ษผุ ไู ดร บั สมมติ คอื แตง ตงั้ เปนองคกฐนิ หรือผา องคก ฐินอยางหนึง่ จากสงฆใหเ ปน ผมู ีหนา ที่แจกผลไม กับผาบริวารหรือผาบริวารกฐินอีกอยาง ผลเภสชั มีผลเปนยา, ยาทําจากลกู ไม หน่ึง; ดู กฐิน เชน ดปี ลี พริก สมอไทย มะขามปอม ผากรองน้ํา ผาสําหรับกรองนํ้ากันตัว เปนตน สัตว; ดู ธมกรก ผลสมังคี ดู สมังคี ผากาสายะ ดู กาสาวะ ผลเหตสุ นธิ “ตอ ผลเขา กบั เหต”ุ หมายถงึ ผากาสาวะ ดู กาสาวะ เงอื่ นตอ ระหวา งผลในปจ จบุ นั กบั เหตใุ น ผาจํานาํ พรรษา ผาทีท่ ายกถวายแกพ ระ ปจ จบุ นั ในวงจรปฏิจจสมุปบาท คือ สงฆผูอยูจําพรรษาครบแลวในวัดน้ัน ระหวางวญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ภายในเขตจีวรกาล; เรียกเปนคาํ ศัพท ผัสสะ เวทนา ขางหนงึ่ (ฝายผล) กบั วา ผาวัสสาวาสิกา วัสสาวาสิกสาฎก ตณั หา อปุ าทาน ภพ อกี ขา งหนึ่ง (ฝาย หรอื วัสสาวาสิกสาฏิกา; ดู อจั เจกจวี ร เหต)ุ ; เทียบ เหตุผลสนธิ ผาณิต รสหวานเกดิ แตออย, นาํ้ ออ ย (ขอ ผลาสโว ผลาสวะ, น้ําดองผลไม ๕ ในเภสชั ๕) ผะเดยี ง ดู เผดียง ผาติกรรม “การทําใหเจรญิ ” หมายถงึ ผัคคณุ มาส เดือน ๔ การจําหนายครุภัณฑ เพ่ือประโยชน ผัสสะ การถกู ตอ ง, การกระทบ; ผัสสะ สงฆอ ยา งหน่งึ อยางใด โดยเอาของเลว ๖; ดู ผัสสะ แลกเปล่ียนเอาของดีกวาใหแกสงฆ ผสั สาหาร อาหารคอื ผัสสะ, ผัสสะเปน หรือเอาของของตนถวายสงฆเปนการ อาหาร คอื เปน ปจจัยอดุ หนนุ หลอ เลี้ยง ทดแทนที่ตนทําของสงฆชํารุดไป, ร้ือ ใหเกดิ เวทนา ไดแ ก อายตนะภายใน ของที่ไมดีออกทําใหใหมดีกวาของเกา อายตนะภายนอก และวญิ ญาณกระทบ เชน เอาทว่ี ดั ไปทําอยางอน่ื แลว สรา งวดั กนั ทาํ ใหเ กดิ เวทนา คอื สขุ บา ง ทกุ ขบ า ง ถวายใหใ หม; การชดใช, การทดแทน
ผาไตร,ผา ไตรจวี ร ๒๔๙ แผเ มตตา ผา ไตร, ผา ไตรจวี ร ดู ไตรจีวร สบาย ผา ทรงสะพกั ผา หมเฉยี งบา ผาอาบน้าํ ฝน ผาสาํ หรับอธิษฐานไวใ ชน ุง ผาทิพย ผาหอยหนาตักพระพุทธรูป อาบนํ้าฝนตลอด ๔ เดือนแหงฤดฝู น ซึง่ (โดยมากเปนปูนปน มลี ายตา งๆ) พระภิกษุจะแสวงหาไดใ นระยะเวลา ๑ ผานิสีทนะ ดู นสิ ที นะ ผาบรวิ าร ผาสมทบ; ดู บรวิ าร เดอื น ตงั้ แตแ รม ๑ ค่าํ เดอื น ๗ ถึงขึ้น ผาบังสุกุล ดู บังสกุ ุล ผาปา ผาท่ีทายกถวายแกพระโดยวิธี ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ และใหทาํ นงุ ไดใ นเวลา ปลอยทิ้งใหพระมาชักเอาไปเอง อยาง กึ่งเดือน ตั้งแตข ้ึน ๑ ถงึ ๑๕ คา่ํ เดือน ๘, เรียกเปน คาํ ศพั ทว า วสั สกิ สาฏกิ า หรอื วัสสกิ สาฎก, มขี นาดที่กาํ หนดตาม เปน ผา บงั สกุ ลุ , ตามธรรมเนยี มจะถวาย พุทธบัญญัติในสิกขาบทท่ี ๙ แหงรตน- หลงั เทศกาลกฐนิ ออกไป; คาํ ถวายผา ปา วรรค (ปาจติ ตยี ขอ ที่ ๙๑; วนิ ย.๒/๗๗๒/๕๐๙) วา “อิมานิ มยํ ภนฺเต, ปส ุกูลจีวรานิ, คอื ยาว ๖ คบื กวา ง ๒ คบื ครง่ึ โดยคบื สปรวิ ารานิ, ภกิ ขฺ สุ งฺฆสฺส, โอโณชยาม, พระสุคต; ปจจุบันมีประเพณีทายก สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อมิ านิ, ปส ุ- ทายิกาทําบุญถวายผาอาบนํ้าฝนตามวัด กูลจีวรานิ, สปริวาราน,ิ ปฏิคฺคณหฺ าต,ุ ตา งๆ ในวันข้ึน ๑๕ คํ่าเดือน ๘, คํา อมฺหาก,ํ ทฆี รตตฺ ,ํ หติ าย, สุขาย” แปล ถวายผาอาบนํ้าฝนเหมือนคําถวายผาปา เปลีย่ นแต ปส กุ ลู จีวรานิ เปน วสฺสกิ - วา “ขาแตพระสงฆผ ูเ จริญ ขา พเจาท้ัง สาฏกิ านิ และ “ผา บงั สุกุลจีวร” เปน หลายขอนอมถวายผาบังสุกุลจีวร กับ ทั้งบริวารเหลาน้ีแกพระภิกษุสงฆ ขอ “ผา อาบนํา้ ฝน” พระภิกษุสงฆจงรับ ผาบังสุกุลจีวรกับ ผูมีราตรีเดียวเจริญ ผูมีความเพียรไม ทั้งบริวารเหลานี้ของขาพเจาทั้งหลาย เกยี จครา นท้งั กลางวนั กลางคืน อยูดว ย เพื่อประโยชนและความสุขแกขาพเจา ความไมประมาท ท้งั หลาย ส้นิ กาลนาน เทอญฯ” เผดียง บอกแจง ใหร,ู บอกนิมนต, บอก ผา วสั สาวาสิกสาฏิกา ดู ผา จํานาํ พรรษา กลาวหรือประกาศเช้ือเชิญเพื่อใหรวม ผา วสั สกิ สาฏกิ า ดู ผา อาบน้ําฝน ทํากจิ โดยพรอมเพรียงกัน; ประเดยี ง ก็ ผาสาฏกิ า ผา คลุม, ผาหม วา; ดู ญตั ติ ผาสกุ ความสบาย, ความสาํ ราญ แผเ มตตา ต้ังจิตปรารถนาดีขอใหผ ูอ่ืนมี ผาสุวิหารธรรม ธรรมเปนเคร่ืองอยู ความสขุ ; คาํ แผเมตตาทใ่ี ชเปน หลักวา
โผฏฐพั พะ ๒๕๐ พยัญชนะ “สพเฺ พ สตตฺ า อเวรา อพยฺ าปชฌฺ า อนฆี า พเิ ศษทส่ี งู กวา ยอ มเขา ถงึ พรหมโลก สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนตฺ ”ุ แปลวา “ขอสตั ว อน่ึง การแผเ มตตานี้ สําหรบั ทานท่ี ท้งั หลาย, (ท่ีเปน เพอ่ื นทุกข เกิด แก ชาํ นาญ เมื่อฝกใจใหเสมอกันตอ สัตวท้ัง เจ็บ ตาย ดว ยกนั ) หมดทง้ั สิ้น, (จงเปน หลายไดแลว จะทําจิตใหคลองในการ สุขเปน สขุ เถดิ ), อยาไดม เี วรแกกันและ แผไ ปในแบบตางๆ แยกไดเ ปน ๓ อยาง กันเลย, (จงเปนสุขเปน สขุ เถดิ ), อยาได (ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/๕๗๕/๔๘๓) คือ ๑.แผไปท่ัวอยา ง เบียดเบียนซ่ึงกันและกันเลย, (จงเปน ไมม ีขอบเขต เรียกวา “อโนธิโสผรณา” สุขเปน สขุ เถดิ ), อยา ไดมที กุ ขก ายทกุ ข (อยางคาํ แผเมตตาท่ียกมาแสดงขา งตน) ใจเลย, จงมีความสุขกายสขุ ใจ, รกั ษา ๒.แผไปโดยจํากัดขอบเขต เรียกวา ตน (ใหพน จากทกุ ขภ ัยทั้งส้ิน) เถดิ .” “โอธิโสผรณา” เชนวา ขอใหคนพวกน้นั [ขอความในวงเล็บเปนสวนที่เพ่ิมเขามา พวกน้ี ขอใหส ัตวเหลา นน้ั เหลาน้ี จงเปน ในคาํ แปลเปนไทย] สขุ ๓.แผไปเฉพาะทิศเฉพาะแถบ เรยี ก ผูเจริญเมตตาธรรมอยูเสมอ จน วา “ทิสาผรณา” เชนวา ขอใหม นษุ ยทาง จิตม่ันในเมตตา มีเมตตาเปนคุณสมบัติ ทิศน้ันทิศนี้ ขอใหประดาสัตวในแถบ ประจําใจ จะไดรับอานิสงส คือผลดี นัน้ แถบน้ี หรอื ยอยลงไปอีกวา ขอให ๑๑ ประการ คือ ๑. หลับกเ็ ปนสุข ๒. คนจนคนยากไรในภาคน้ันภาคนี้ จงมี ตื่นก็เปน สขุ ๓. ไมฝ นรา ย ๔. เปน ท่ีรัก ความสขุ ฯลฯ; ดู เมตตา, อโนธโิ สผรณา, ของมนุษยท ง้ั หลาย ๕. เปน ทรี่ ักของ โอธิโสผรณา, ทิสาผรณา, วิกุพพนา, อมนุษยท ้งั หลาย ๖. เทวดายอมรักษา สีมาสมั เภท ๗. ไมตองภัยจากไฟ ยาพิษ หรือ โผฏฐพั พะ อารมณทจี่ ะพึงถกู ตองดวย ศัสตราอาวธุ ๘. จติ เปน สมาธิงาย ๙. สี กาย, สิ่งทถ่ี กู ตองกาย เชน เย็น รอน หนาผองใส ๑๐. เมอ่ื จะตาย ใจก็สงบ ออ น แขง็ เปนตน (ขอ ๕ ในอายตนะ ไมหลงใหลไรสติ ๑๑. ถา ยงั ไมบ รรลคุ ณุ ภายนอก ๖ และในกามคณุ ๕ พ พจน ดู วจนะ พยญั ชนะ 1. อกั ษร, ตวั หนังสือท่ีไมใช พนาสณฑ, พนาสณั ฑ ดู ไพรสณฑ สระ 2. กบั ขา วนอกจากแกง; คูกบั สปู ะ
พยากรณ ๒๕๑ พร 3. ลักษณะของรา งกาย พร สิ่งท่ีอนุญาตหรือใหตามท่ีขอ, สิ่ง พยากรณ ทาํ ใหแ จงชัด, บอกแจง , ชแี้ จง, ประสงค ที่ขอใหผูอื่นอนุญาตหรือ ตอบปญหา (คัมภีรท้ังหลายมักแสดง อํานวยให, ส่งิ ท่ปี รารถนา ซง่ึ เมอ่ื ไดรับ ความหมายวาตรงกบั คาํ วา วิสัชนา); ใน โอกาสแลว จะขอจากผมู ศี กั ดห์ิ รอื มฐี านะ ภาษาไทย นิยมใชในความหมายวา ท่ีจะยอมให หรือเอ้ืออํานวยใหเปนขอ ทาย, ทาํ นาย (ความหมายเดมิ คอื บอก อนุญาตพิเศษ เปน รางวลั หรือเปน ผล ความหมายของส่งิ น้นั ๆ เชน ลกั ษณะ แหง ความโปรดปรานหรอื เมตตาการณุ ย, รางกาย ใหแ จม แจง ออกมา) ดงั พรสาํ คญั ตอ ไปน้ี เปน ตวั อยา ง พยากรณศาสตร วิชาหรือตําราวาดวย พร ท่ีพระเจาสุทโธทนะทรงขอจาก การทํานาย (ในภาษาบาลี ตามปกตใิ ช พระพุทธเจา กลา วคอื เมอ่ื เจา ชายราหลุ ในความหมายวา ตําราไวยากรณ) ทูลขอทายัชชะ (สมบัติแหงความเปน พยาธิ ความเจ็บไข ทายาท) พระพทุ ธเจา ไดโ ปรดใหเ จา ชาย พยาน ผูรเู หน็ เหตุการณ, คน เอกสาร ราหลุ บรรพชา เพอ่ื จะไดโ ลกตุ ตรสมบตั ิ หรอื ส่ิงของทอี่ างเปนหลกั ฐาน โดยพระสารบี ตุ รเปน พระอปุ ช ฌาย ครนั้ พยาบาท ความขัดเคืองแคน ใจ, ความ พระพทุ ธบดิ าทรงทราบ กไ็ ดเ สดจ็ มาทรง เจบ็ ใจ, ความคดิ รา ย; ตรงขา มกับ เมตตา; ขอพรจากพระพทุ ธเจา ขอใหพ ระภกิ ษุ ในภาษาไทยหมายถึง ผูกใจเจบ็ และคดิ ท้ังหลายไมบวชบุตรท่ีมารดาบดิ ายังมไิ ด แกแคน อนญุ าต จงึ ไดม พี ทุ ธบญั ญตั ขิ อ นสี้ บื มา พยาบาทวิตก ความตริตรึกในทางคิด (วนิ ย.๔/๑๑๘/๑๖๘) รายตอผูอื่น, ความคิดนึกในทางขัด พร ๘ ประการ ทีน่ างวิสาขาทูลขอ เคอื งชงิ ชัง ไมป ระกอบดวยเมตตา (ขอ คือ ตลอดชวี ติ ของตน ปรารถนาจะขอ ๒ ในอกศุ ลวติ ก ๓) ถวายผา วสั สิกสาฏกิ า ถวายอาคนั ตกุ ภตั พยุหะ กระบวน, เหลาทหารท่ีระดมจัด ถวายคมิกภตั ถวายคิลานภัต ถวาย ข้นึ , กองทัพ (บาลี: พยฺ หู ) คลิ านปุ ฏ ฐากภตั ถวายคลิ านเภสชั ถวาย พยุหแสนยากร เหลาทหารท่ีระดมจัด ธวุ ยาคู แกสงฆ และถวายอทุ กสาฏกิ าแก ยกมาเปน กระบวนทพั , กองทพั (บาลี: ภกิ ษณุ สี งฆ จึงไดมพี ทุ ธานญุ าตผา ภตั พฺยูห+เสนา+อากร; สันสกฤต: วยฺ หู + และเภสชั เหลา นส้ี บื มา (วนิ ย.๕/๑๕๓/๒๑๐) ไสนยฺ +อากร) พร ๘ ประการ ทพี่ ระอานนทท ลู ขอ
พร ๒๕๒ พร (ทาํ นองเปน เงอื่ นไข) ในการทจ่ี ะรบั หนา ท่ี บาํ รงุ พระศาสดา ผอู ปุ ฐากอยางนจี้ ะเปน เปน พระพทุ ธอปุ ฐากประจาํ แยกเปน ก) ภาระอะไร ถา ขาพระองคไ มไ ดพ รขอขา ง ดา นปฏเิ สธ ๔ ขอ คอื ๑. ถา พระองคจ กั ปลาย จักมีคนพดู ไดว า พระอานนท ไมประทานจีวรอันประณีตที่พระองคได บํารุงพระศาสดาอยางไรกัน ความ แลว แกข า พระองค ๒. ถา พระองคจ กั ไม อนุเคราะหแ มเ พียงเทานี้ พระองคก็ยัง ประทานบิณฑบาตอนั ประณตี ทพ่ี ระองค ไมท รงกระทํา สําหรบั พรขอ สุดทาย จกั ไดแ ลว แกข า พระองค ๓. ถา พระองคจ กั มีผูถามขาพระองคในท่ีลับหลังพระองค ไมโปรดใหขาพระองคอ ยูใ นพระคนั ธกฎุ ี วา ธรรมน้ีๆ พระองคทรงแสดงท่ีไหน ทป่ี ระทบั ของพระองค ๔. ถา พระองคจ กั ถาขาพระองคบ อกไมได กจ็ ะมีผูพ ดู ได ไมท รงพาขา พระองคไ ปในทนี่ มิ นต และ วา แมแ ตเร่ืองเทาน้ที า นยงั ไมร ู ทา นจะ ข) ดา นขอรบั ๔ ขอ คอื ๕. ถา พระองค เที่ยวตามเสด็จพระศาสดาดุจเงาไมละ จะเสด็จไปสูท่ีนิมนตที่ขาพระองครับไว พระองคต ลอดเวลายาวนาน ไปทาํ ไม) ๖. ถาขาพระองคจักพาบริษัทซึ่งมาเพื่อ เฝาพระองคแตท่ีไกลนอกรัฐนอกแควน พรตามตัวอยางขางตนนี้ เปนขอที่ เขา เฝา ไดใ นขณะทม่ี าแลว ๗. ถา ขา พระ แสดงความประสงคของอริยสาวกและ องคจักไดเขาเฝาทูลถามในขณะเมื่อ อรยิ สาวิกา จะเหน็ วา ไมม เี ร่ืองผลไดแก ความสงสยั ของขา พระองคเ กดิ ขนึ้ ๘. ถา ตนเองของผขู อ สว นพรที่ปถุ ชุ นขอ มี พระองคทรงแสดงธรรมอันใดในท่ีลับ ตัวอยา งที่เดน คอื หลังขาพระองค จักเสด็จมาตรัสบอก ธรรมอนั นนั้ แกข า พระองค, พระพทุ ธเจา พร ๑๐ ประการ (ทศพร) ทพี่ ระผสุ ดี ตรัสถามทานวาเห็นอาทีนพคือผลเสีย เทวีทูลขอกะทาวสักกะ เมื่อจะจุติจาก อะไรใน ๔ ขอ ตน และเหน็ อานสิ งสค อื เทวโลกมาอบุ ตั ใิ นมนษุ ยโลก ไดแ ก ๑. ผลดอี ะไรใน ๔ ขอ หลงั จงึ ขออยา งน้ี อคคฺ มเหสภิ าโว ขอใหไ ดป ระทบั ในพระ เม่ือพระอานนททูลชี้แจงแลว ก็ทรง ราชนเิ วศน (เปน อคั รมเหส)ี ของพระเจา อนญุ าตตามทที่ า นขอ (เชน ท.ี อ.๒/๑๔) สวี ริ าช ๒. นลี เนตตฺ ตา ขอใหม ดี วงเนตร ดาํ ดงั ตาลกู มฤคี ๓. นลี ภมกุ ตา ขอใหม ี (ขอ ชแ้ี จงของพระอานนท คือ ถาขา ขนคว้ิ สดี าํ นลิ ๔. ผสุ สฺ ตตี ิ นามํ ขอใหม ี พระองคไ มไดพ ร ๔ ขอตน จักมีคนพดู นามวา ผสุ ดี ๕. ปตุ ตฺ ปฏลิ าโภ ขอใหไ ด ไดวา พระอานนทไดลาภอยางนนั้ จึง พระราชโอรส ผใู หส งิ่ ประเสรฐิ มพี ระทยั โอบเออื้ ปราศความตระหน่ี ผอู นั ราชาทวั่
พรต ๒๕๓ พรรณนา ทกุ รฐั บชู า มเี กยี รตยิ ศ ๖. อนนุ นฺ ตกจุ ฉฺ ติ า ในพุทธพจนวา “ทายกผใู หโ ภชนะ ชื่อวา เมอ่ื ทรงครรภข ออยา ใหอ ทุ รปอ งนนู แต ยอมใหฐานะ ๕ ประการ แกปฏคิ าหก พึงโคงดังคันธนูที่นายชางเหลาไวเรียบ กลา วคอื ใหอายุ วรรณะ สขุ ะ พละ เกลยี้ งเกลา ๗. อลมพฺ ตถฺ นตา ขอยคุ ล ปฏภิ าณ ครั้นให ... แลว ยอ มเปน ภาคี ถนั อยา ไดห ยอ นยาน ๘. อปลติ ภาโว ขอ แหง อายุ ... วรรณะ ... สุขะ ... พละ ... เกศาหงอกอยา ไดม ี ๙. สขุ มุ จฉฺ วติ า ขอ ปฏิภาณ ที่เปนทิพย หรือเปนของ ใหมีผิวเนื้อละเอียดเนียนธุลีไมติดกาย มนษุ ย กต็ าม” (อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๓๗/๔๔) ๑๐. วชฌฺ ปปฺ โมจนสมตถฺ ตา ขอใหป ลอ ย ธรรม หรอื ฐานะ ๕ อันเรยี กไดว า นกั โทษประหารได (ข.ุ ชา.๒๘/๑๐๔๘/๓๖๕) เปน “เบญจพิธพร” (พรหา ประการ) อีก ในภาษาไทย “พร” มีความหมาย ชุดหนง่ึ ทค่ี วรนาํ มาปฏิบตั ิ พึงศึกษาใน เพ้ียนไป กลายเปนคําแสดงความ พุทธพจนวา “ภิกษุทง้ั หลาย เธอทง้ั หลาย ปรารถนาดี ซ่ึงกลาวหรือใหโดยไมต อ ง จงเท่ียวไปในแดนโคจรของตน อันสบื มีการขอหรือการแสดงความประสงค มาแตบิดา... เมื่อเท่ียวไปในแดนโคจร ของผูรับ และมักไมคํานึงวาจะมีการ ของตน อันสบื มาแตบ ิดา เธอท้ังหลาย ปฏบิ ัติหรือทําใหส าํ เรจ็ เชน น้ันหรอื ไม จกั เจรญิ ทง้ั ดว ยอายุ ...ทง้ั ดวยวรรณะ “พร” ทีน่ ิยมกลาวในภาษาไทย เชน ...ทง้ั ดวยสุข ...ทั้งดวยโภคะ ...ทงั้ ดว ย วา “จตรุ พธิ พร” (พรสีป่ ระการ) นั้น ใน ภาษาบาลเี ดมิ ไมเ รยี กวา “พร” แตเ รยี กวา พละ” และทรงไขความไววา สาํ หรับ ภกิ ษุ อายุ อยูที่อิทธิบาท ๔ วรรณะ “ธรรม” บา ง วา “ฐานะ” บา ง ดงั ในพุทธ- อยูที่ศลี สขุ อยทู ่ีฌาน ๔ โภคะ อยทู ี่ อปั ปมญั ญา (พรหมวหิ าร) ๔ พละ อยทู ี่ พจนวา “ธรรม ๔ ประการ คอื อายุ วมิ ตุ ติ (เจโตวมิ ตุ ตแิ ละปญญาวิมุตตทิ ี่ วรรณะ สขุ ะ พละ ยอมเจรญิ แกบคุ คล ผูมีปกติอภวิ าท ออนนอมตอวุฒชนเปน หมดส้ินอาสวะ) (ที.ปา.๑๑/๕๐/๘๕) สวน นติ ย” (ข.ุ ธ.๒๕/๑๘/๒๙) แดนโคจรของตน ท่สี บื มาแตบดิ า กค็ อื ธรรม หรอื ฐานะทีเ่ รียกอยา งไทยได สตปิ ฏ ฐาน๔ (ส.ํ ม.๑๙/๗๐๐/๑๙๘) วาเปนพรอยางน้ี ในพระไตรปฎ กมอี ีก พรต ขอ ปฏบิ ัตทิ างศาสนา, ธรรมเนียม หลายชดุ มีจาํ นวน ๕ บา ง ๖ บา ง ๗ บาง ความประพฤติของผูถือศาสนาท่ีคูกัน ท่ีควรทราบ คอื ฐานะ ๕ อันเรยี กไดวา กบั ศลี , วัตร, ขอ ปฏบิ ัติประจํา เปน “เบญจพธิ พร” (พรหา ประการ) ดงั พรรณนา เลา ความ, ขยายความ, กลา ว
พรรษกาล ๒๕๔ พรหมไทย ถอ ยคาํ ใหผ ูฟ งนกึ เหน็ เปนภาพ นยั สดุ ทา ย (อรยิ มรรค และพระศาสนา); พรรษกาล ฤดฝู น (พจนานุกรมเขยี น ในศาสนาพราหมณ พรหมจรรย หมาย พรรษากาล) ถึงการครองชีวิตเวนเมถุนและประพฤติ พรรษา ฤดฝู น, ป, ปข องระยะเวลาทบี่ วช พรรษาธษิ ฐาน อธษิ ฐานพรรษา, กาํ หนด ปฏิบัติตนเครงครัดตางๆ ทจ่ี ะควบคมุ ใจวา จะจําพรรษา; ดู จาํ พรรษา พรหม ผูป ระเสริฐ, เทพในพรหมโลก ตนใหมุง มนั่ ในการศึกษาไดเ ต็มท่ี โดย เฉพาะในการเรยี นพระเวท โดยนยั หมาย ถึงการศึกษาพระเวท และหมายถงึ ชว ง เปนผูไมเกีย่ วของดว ยกาม มี ๒ พวก เวลาหรือข้ันตอนของชีวิตท่ีพึงอุทิศเพื่อ คือ รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น อรูปพรหมมี ๔ การศึกษาอยา งนั้น (บาล:ี พรฺ หฺมจริย) ชัน้ ; ดู พรหมโลก; เทพสงู สุดหรือพระผู พรหมจริยะ ดู พรหมจรรย พรหมจารี ผูป ระพฤตพิ รหมจรรย, นัก เปน เจาในศาสนาพราหมณ พรหมจรรย “จริยะอนั ประเสรฐิ ”, “การ เรียนพระเวท, ผูประพฤติธรรมมีเวน ครองชวี ิตประเสริฐ”, ตามทเี่ ขาใจกันท่วั จากเมถนุ เปน ตน ; ดู อาศรม ไป หมายถึงความประพฤติเวนเมถุน พรหมทัณฑ โทษอยางสูง คอื สงฆ หรือการครองชีวิตดังเชนการบวชท่ีละ ตกลงกันลงโทษภิกษุรูปใดรูปหน่ึงโดย เวนเมถุน แตแ ทจริงนน้ั พรหมจรรย ภกิ ษุท้งั หลายพรอ มใจกนั ไมพูดดว ย ไม คอื พรหมจรยิ ะ เปน หลกั การใหญท ใี่ ชใ น วากลาวตักเตือน หรือสั่งสอนภิกษุรูป แงค วามหมายมากหลาย ดงั ทอ่ี รรถกถา น้ัน, พระฉนั นะซึ่งเปนภิกษุเจาพยศ ถอื แหง หนงึ่ ประมวลไว ๑๐ นยั คอื หมายถงึ ตัววาเปนคนเกาใกลชิดพระพุทธเจามา ทาน ไวยาวจั จ (คอื การขวนขวายชว ย กอนใครอื่น ใครวา ไมฟง ภายหลงั ถกู เหลอื รบั ใชท าํ ประโยชน) เบญจศลี อปั ป- สงฆลงพรหมทัณฑถึงกับเปนลมลม มญั ญาสี่ (คอื พรหมวหิ ารส)่ี เมถนุ วริ ตั ิ สลบหายพยศได; ดูท่ี ปกาสนียกรรม, (คือการเวนเมถนุ ) สทารสนั โดษ (คอื อสมั มขุ ากรณยี ความพอใจเฉพาะภรรยาหรอื คคู รองของ พรหมไทย ของอนั พรหมประทาน, ของ ตน) ความเพียร การรักษาอุโบสถ ใหท ปี่ ระเสรฐิ สดุ หมายถงึ ทดี่ นิ หรอื บา น อรยิ มรรค พระศาสนา (อนั รวมไตรสกิ ขา เมืองท่ีพระราชทานเปนบําเหน็จ เชน ท้งั หมด) เฉพาะอยา งยง่ิ ความหมาย เมืองอุกกุฏฐะที่พระเจาปเสนทิโกศล สาํ คญั ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรสั เปน หลกั คอื ๒ พระราชทานแกโปกขรสาติพราหมณ
พรหมบญุ ๒๕๕ พระ- และนครจัมปาที่พระเจาพิมพิสารพระ ทูลถามปญหาตางๆ มีความเลื่อมใส ราชทานใหโ สณทณั ฑพราหมณป กครอง และไดบ รรลธุ รรมเปน พระอนาคามี พรหมบุญ บุญอยางสงู เปนคําแสดง พรอมหนาธรรมวินัย (ระงับอธิกรณ) อานิสงสของผูชักนําใหสงฆสามัคคี โดยนําเอาธรรมวินัย และสัตถุสาสนท่ี ปรองดองกัน ไดพรหมบุญจักแชมชื่น เปนหลักสําหรับระงับอธิกรณน้ันมาใช ในสวรรคต ลอดกลั ป โดยครบถว น คอื วนิ จิ ฉยั ถกู ตอ งโดยธรรม พรหมโลก ทอี่ ยขู องพรหม ตามปกตหิ มาย และถูกตองโดยวินัย (ธัมมสัมมุขตา- ถงึ รปู พรหม ซงึ่ มี ๑๖ ชน้ั (เรยี กวา รปู - วนิ ยสัมมุขตา) โลก) ตามลาํ ดบั ดงั น้ี ๑. พรหมปารสิ ชั ชา พรอ มหนา บคุ คล บุคคลผเู ก่ียวขอ งใน ๒. พรหมปโุ รหติ า ๓. มหาพรหมา ๔. เรือ่ งน้นั อยูพ รอ มหนา กัน เชน ควู วิ าท ปรติ ตาภา ๕. อปั ปมาณาภา ๖. อาภสั สรา หรอื คคู วามพรอ มหนา กนั ในววิ าทาธกิ รณ ๗. ปรติ ตสภุ า ๘. อปั ปมาณสุภา ๙. สุภ- และในอนุวาทาธิกรณ เปน ตน (ปุคคล- กณิ หา ๑๐. อสัญญสี ัตตา ๑๑. เวหปั ผลา สมั มุขตา) ๑๒. อวหิ า ๑๓. อตปั ปา ๑๔. สทุ สั สา พรอมหนาวัตถุ ยกเร่ืองที่เกิดนั้นข้ึน ๑๕. สุทสั สี ๑๖. อกนิฏฐา; นอกจากน้ี พจิ ารณาวินจิ ฉัย เชน คาํ กลา วโจทเพอื่ ยงั มี อรปู พรหม ซงึ่ แบง เปน ๔ ชน้ั (เรยี ก เริ่มเร่ือง และขอวิวาทที่ยกขึ้นแถลง วา อรปู โลก) คอื ๑. อากาสานญั จายตนะ เปนตน (วตั ถสุ ัมมขุ ตา) ๒. วิญญาณญั จายตนะ ๓. อากิญจญั - พรอ มหนา สงฆ ตอหนาภกิ ษเุ ขา ประชมุ ญายตนะ ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ครบองค และไดน าํ ฉันทะของผูควรแก พรหมวิหาร ธรรมเครอ่ื งอยูข องพรหม, ฉนั ทะมาแลว (สังฆสมั มขุ ตา) ธรรมประจําใจอันประเสริฐ, ธรรม พระ- คาํ นาํ หนา ทใ่ี ชประกอบหนา คาํ อ่ืน ประจาํ ใจของทานผูมีคุณความดีย่งิ ใหญ เพือ่ แสดงความยกยอ ง เคารพ นับถือ มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทติ า อเุ บกขา พรหมายุ ช่ือพราหมณคนหน่ึง อายุ หรือใหความสาํ คัญ เชน นารายณ เปน ๑๒๐ ป เปน ผเู ชี่ยวชาญไตรเพท อยู ณ พระนารายณ ราชา เปน พระราชา เมืองมิถิลา ในแควน วเิ ทหะ ไดสง ศิษย (คําทข่ี ึ้นตนดว ย พระ- ซ่งึ ไมพบ มาตรวจดูมหาบุรุษลักษณะของพระ ในลําดับ ใหต ัด พระ ออก แลว ดูใน ลําดับของคําน้ัน เชน พระนารายณ ดู พุทธเจา ตอมาไดพบกับพระพุทธเจา นารายณ พระราชา ดู ราชา)
พระเครอื่ ง ๒๕๖ พระพุทธเจา พระเครื่อง พระเคร่อื งราง, พระพทุ ธรูป พระปา ดู อรญั วาสี องคเ ลก็ ๆ ทน่ี ับถือเปน เครอื่ งราง มกั ใช พระผูเปนเจา พระภิกษุ, เทพผูเปน เปน ของตดิ ตวั ดู เครอื่ งราง ใหญ, เทพสูงสุดท่ีนับถือวาเปนผูสราง พระโคดม, พระโคตมะ พระนามของ สรรคบันดาลทุกสิง่ ทุกอยา ง; คนไทยใช พระพุทธเจา เรยี กตามพระโคตร คําวาพระผูเปนเจา เปนคําเรียกพระ พระเจา พระพุทธเจา, พระพทุ ธรูป, เทพ ภิกษุ มาแตโบราณ เชนวา “ขออาราธนา ผูเปนใหญ; คนไทยใชคําวาพระเจา พระผูเปนเจาแสดงพระธรรมเทศนา” หมายถงึ พระพุทธเจา มาแตโบราณ เชน แตคงเปนดวยวา ตอ มา เมอ่ื ศาสนกิ วา “พระเจาหาพระองค” ก็คือ พระพทุ ธ แหงศาสนาท่นี บั ถอื เทพเปนใหญ ใชค าํ เจา ๕ พระองค แตคงเปน ดว ยวา ตอ น้ีเรียกเทพสูงสุดของตนกันแพรหลาย มาเม่ือศาสนิกแหงศาสนาที่นับถือเทพ ข้ึน พุทธศาสนิกชนจึงใชค าํ น้ีนอยลงๆ เปน ใหญ ใชค ําน้ีเรยี กเทพเปน ใหญของ จนบัดน้ีแทบไมเขาใจวา เปน คําที่ใชมาใน ตนกนั แพรหลายข้ึน พทุ ธศาสนิกชนจึง พระพุทธศาสนา ใชคําน้ีนอยลงๆ จนบัดนแี้ ทบไมเขา ใจ พระผมู ีพระภาคเจา พระนามของพระ วา เปน คําท่ใี ชม าในพระพทุ ธศาสนา พุทธเจา พระชนม อาย,ุ การเกิด, ระยะเวลาที่ พระพรหม ดู พรหม เกดิ มา พระพทุ ธเจา พระผตู รสั รเู องโดยชอบแลว พระชนมายุ อายุ สอนผูอนื่ ใหรตู าม, ทานผรู ูดรี ชู อบดว ย พระดาบส ดู ดาบส ตนเองกอนแลว สอนประชุมชนให พระธรรม คําส่ังสอนของพระพุทธเจา ประพฤตชิ อบดวยกาย วาจา ใจ; พระ ทง้ั หลกั ความจรงิ และหลกั ความประพฤติ พทุ ธเจา ๗ พระองคที่ใกลกาลปจ จบุ นั พระนม แมน ม ทีส่ ดุ และคมั ภีรกลา วถงึ บอยๆ คอื พระ พระนาคปรก พระพทุ ธรปู ปางหนงึ่ มรี ปู วปิ ส สี พระสขิ ี พระเวสสภู พระกกสุ นั ธะ นาคแผพ ังพานอยขู า งบน; ดู มจุ จลินท พระโกนาคมน พระกสั สป และพระโคดม; พระบรมศาสดา พระผูเปนครูผูยิ่ง พระพุทธเจา ๕ พระองคแหงภัทรกัป ใหญ, พระผูเปนครสู ูงสดุ หมายถงึ พระ ปจจุบันนี้ คือ พระกกุสันธะ พระ พทุ ธเจา โกนาคมน พระกสั สป พระโคดม และ พระบา น ดู คามวาสี พระเมตเตยยะ (เรยี กกันสามัญวา พระ
พระพทุ ธเจา ๒๕๗ พระพุทธเจา ศรีอารย หรือ พระศรอี รยิ เมตไตรย); สวามี, นรวระ, นรสีห, นาถะ, นายก, พระพทุ ธเจา ๒๕ พระองคนบั แตพ ระ พุทธะ, ภควา (พระผูมีพระภาค), องคแรกที่พระโคตมพุทธเจา (พระ ภรู ิปญ ญะ, มหามนุ ี, มเหสิ (มเหสี ก็ พุทธเจาองคปจจุบัน) ไดทรงพบและ ใช) , มารช,ิ มนุ ี, มนุ ินท, (มนุ นิ ทร กใ็ ช) , ทรงไดรับการพยากรณวาจะไดสําเร็จ โลกครุ, โลกนาถ, วรปญญะ, วินายก, เปน พระพทุ ธเจา (รวม ๒๔ พระองค) จน สมนั ตจกั ขุ (สมนั ตจกั ษ)ุ , สยมั ภ,ู สัตถา ถงึ พระองคเ องดว ย คอื ๑. พระทปี ง กร (พระศาสดา), สพั พญั ,ู สมั มาสมั พทุ ธ, ๒. พระโกณฑญั ญะ ๓. พระมงั คละ ๔. สคุ ต, อนธิวร, อังคีรส; และสาํ หรบั พระ พระสมุ นะ ๕. พระเรวตะ ๖. พระโสภติ ะ พุทธเจาพระองคปจจุบัน มีพระนาม ๗. พระอโนมทสั สี ๘. พระปทมุ ะ ๙. เฉพาะเพมิ่ อีก ๗ คํา คอื โคตมะ สกั กะ พระนารทะ ๑๐. พระปทมุ ุตตระ ๑๑. (ศากยะ) สักยมุนิ (ศากยมนุ )ี สักยสีห พระสเุ มธะ ๑๒. พระสุชาตะ ๑๓. พระ (ศากยสิงห) สิทธัตถะ สุทโธทนิ ปยทัสสี ๑๔. พระอัตถทัสสี ๑๕. พระ อาทิจจพนั ธุ; ดู อังคีรส ดว ย ธมั มทสั สี ๑๖. พระสทิ ธัตถะ ๑๗. พระ ตสิ สะ ๑๘. พระปุสสะ ๑๙. พระวปิ ส สี ขอควรทราบบางประการเก่ียวกับ ๒๐. พระสขิ ี ๒๑. พระเวสสภู ๒๒. พระพทุ ธเจา พระองคป จจุบัน ตามท่ตี รัส พระกกุสนั ธะ ๒๓. พระโกนาคมน ๒๔. ไวใ นคัมภรี พุทธวงส (โคตมพทุ ฺธวส, ข.ุ พทุ ธ. พระกสั สปะ ๒๕. พระโคตมะ (เรือ่ งมา ๓๓/๒๖/๕๔๓) คือ พระองคเปนพระสัม- ในคัมภีรพุทธวงส แหงขุททกนิกาย พทุ ธเจา พระนามวา โคดม (โคตมพทุ ธ) พระสุตตนั ตปฎ ก); ดู พุทธะ ดว ย เจรญิ ในศากยสกลุ พระนครอันเปน ถ่ิน กําเนดิ ช่อื กบลิ พัสดุ พระบดิ าคอื พระเจา พระนามตางๆ เพ่ือกลาวถึงพระ สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามวา พทุ ธเจา ซงึ่ เปน คาํ กลางๆ ใชแ กพ ระองค มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู ๒๙ ป ใดก็ได มีมากมาย เชน ทปี่ ระมวลไวใน มปี ราสาท ๓ หลงั ชอ่ื สจุ นั ทะ โกกนทุ คัมภรี อ ภิธานปั ปทปี กา (คาถาที่ ๑-๔) และโกญจะ มเหสีพระนามวายโสธรา มี ๓๒ คํา (ในทนี่ ี้ ไดปรบั ตัวสะกด และจัดเรียง โอรสพระนามวาราหุล ทอดพระเนตร ตามลําดบั อกั ษรอยา งภาษาไทย) คือ จักขุมา, เห็นนมิ ิต ๔ ประการแลว เสดจ็ ออก ชินะ, ตถาคต, ทศพล, ทิปทุตตมะ ผนวชดว ยมา เปน ราชยาน บําเพ็ญทกุ ร- (ทปิ โทดม), เทวเทพ, ธรรมราชา, ธรรม- กิรยิ าอยู ๖ ป ประกาศธรรมจกั รทปี่ า
พระมหาบรุ ษุ ลักษณะ ๒๕๘ พราหมณดาบส อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี พุทธเจาแลวปฏิบัติชอบตามพระธรรม พระอคั รสาวกทง้ั สอง คอื พระอุปตสิ สะ วินยั , หมูสาวกของพระพุทธเจา ; ดู สงฆ (พระสารบี ตุ ร) และพระโกลิตะ (พระ พระสมณโคดม คําทคี่ นภายนอกนยิ ม มหาโมคคัลลานะ) พุทธอปุ ฏฐากช่ือวา ใชเ ม่ือกลา วถงึ พระพทุ ธเจา พระอานนท พระอคั รสาวิกาทง้ั สอง คอื พระสมั พทุ ธเจา พระผูต รสั รูเ อง หมาย พระเขมา และพระอบุ ลวรรณา อัคร- ถงึ พระพทุ ธเจา อุปฏ ฐากอบุ าสก คอื จิตตคฤหบดี และ พระสาวก ผูฟ งคาํ สอน, ศิษยของพระ หตั ถกะอาฬวกะ อคั รอปุ ฏ ฐายกิ าอบุ าสกิ า พทุ ธเจา; ดู สาวก คอื นนั ทมารดา (หมายถึง เวฬกุ ณั ฏกี พระสูตร ดู สตู ร นันทมารดา) และอุตตรา (หมายถึง พระเสขะ ดู เสขะ ขุชชุตตรา) บรรลสุ มั โพธญิ าณทค่ี วงไม พระอภิธรรม ดู อภิธรรม อัสสัตถพฤกษ (คือ ไมอัสสัตถะ พระอูรุ ดู อรู ุ* เปนตนโพธิ์) มีสาวกสันนิบาต (การ พราหมณ คนวรรณะหนึง่ ใน ๔ วรรณะ ประชมุ พระสาวก) ครง้ั ใหญ คร้งั เดียว คอื กษตั รยิ พราหมณ แพศย ศทู ร; ภกิ ษผุ เู ขา รว มประชมุ ๑,๒๕๐ รปู ถงึ จะ พราหมณเปนวรรณะนักบวชและเปน ดํารงชนมอยูภายในอายุขัยเพียงรอยป เจาพิธี ถอื ตนวาเปน วรรณะสงู สุด เกิด ก็ชวยใหหมูชนขามพนวัฏสงสารไดมาก จากปากพระพรหม; ดู วรรณะ มาย ท้ังตง้ั คบเพลงิ ธรรมไวป ลกุ คนภาย พราหมณคหบดี พราหมณแ ละคหบดี หลงั ใหเกิดมปี ญ ญาไดต รัสรตู อไป คอื ประดาพราหมณ และชนผูเปน เจา พระมหาบุรุษลักษณะ ดู มหาบุรุษ- บา นครองเรือนท้งั หลายอ่ืน ที่นอกจาก ลกั ษณะ กษัตริยและพราหมณนั้น เฉพาะอยาง พระยม ดู ยม ยิ่งคือพวกแพศย; ดู วรรณะ พระยส ดู ยส พราหมณดาบส ดาบสท่ีมีชาติตระกูล พระรตั นตรัย ดู รัตนตรัย เปนพราหมณ ออกมาบําเพ็ญพรตถือ พระวินยั ดู วนิ ยั เพศเปน ดาบส, มบี ันทึกในอรรถกถาวา พระศาสดา ผูสอน เปนพระนามเรียก คร้ังอดีตสมัยพระเจาโอกกากราช ใน พระพุทธเจา ; ดู ศาสดา ดนิ แดนแถบทกั ขณิ าบถ อนั เปน ทกั ษณิ - พระสงฆ หมชู นทฟี่ งคําสง่ั สอนของพระ ชนบท มีพวกพราหมณดาบสอยมู าก
พราหมณทาํ นายพระมหาบรุ ุษ ๒๕๙ พละ ——————————————— สินความเลศิ ประเสริฐน้ัน โดยชาติ คอื *คําขึน้ ตนดวย พระ- ซึง่ ไมพ บในลําดบั ใหต ัด พระ ออก แลว ดูในลาํ ดับของคาํ น้ัน กําเนดิ โดยโคตร คือสายตระกูล ซ่ึงผูก พราหมณทํานายพระมหาบุรุษ ใน พนั กบั อาวาหะววิ าหะ คอื การแตง งาน ที่ พระพุทธประวัติ มคี วามตามทเี่ ลา ไวใน อา งออกมาวา ทานคคู วรกับเรา หรือ อรรถกถา (เชน ชา.อ.๑/๘๘) วา เม่ือพระ ทานไมคูควรกับเรา ตางกับพระพุทธ โพธิสัตวประสูติแลวผานมาถึงวันที่ ๕ ศาสนาซ่ึงใหวัดหรือตดั สนิ คนดว ยกรรม เปน วนั ขนานพระนาม พระเจา สทุ โธทนะ คอื การกระทําความประพฤติ โดยถือวา โปรดใหเชิญพราหมณผูจบไตรเพท ส่ิงท่ีทาํ ใหเ ลศิ ใหประเสรฐิ คอื วชิ ชาจรณะ จํานวน ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหารแลว (วิชชาและจรณะ; พราหมณบอกวา เขา ทํามงคลรับพระลกั ษณะ และขนานพระ ก็ถอื วชิ ชาและจรณะดว ย แตวิชชาของ นามวา “สทิ ธัตถะ”, ในบรรดาพราหมณ เขาหมายถึงไตรเพท และจรณะท่ีเขาถอื รอยแปดคนนั้น พราหมณท่ีเปนผูรับ อยูเพียงศีล ๕), พราหมณสมัย หรือ พระลกั ษณะมี ๘ คน คอื ราม ธัช พราหมณวาท ก็เรียก ลักขณ สชุ าตมิ นตรี โภช สยุ าม สุทตั ต พราหมณสมัย ลัทธิพราหมณ; ดู และโกณฑัญญะ ในแปดคนน้ี เจด็ ทาน พราหมณลัทธิ แรกชูนว้ิ ขน้ึ ๒ น้ิว และพยากรณเ ปน พราหมณี นางพราหมณ, พราหมณผ ู ๒ อยาง คือ ถา ทรงอยูครองฆราวาส หญงิ จะทรงเปนพระเจาจักรพรรดิราช แต พละ กําลัง 1. พละ ๕ คือธรรมอนั เปน หากออกผนวช จะเปนพระพุทธเจา กาํ ลัง ซ่ึงทาํ ใหเ กดิ ความเขมแขง็ มนั่ คง สว นทานท่ี ๘ ซ่งึ มีอายนุ อ ยทสี่ ุด คอื ดํารงอยูไดในสัมปยุตตธรรมทั้งหลาย โกณฑญั ญะ ชนู ว้ิ เดยี ว และพยากรณว า อยางไมหวั่นไหว อันธรรมที่เปน จะทรงเปน พระพทุ ธเจาอยางแนนอน; ดู ปฏิปกษจ ะเขา ครอบงาํ ไมไ ด เปน เครื่อง มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ; เทยี บ อสติ ดาบส พราหมณมหาสาล พราหมณผมู งั่ คงั่ เกอื้ หนนุ แกอริยมรรค จัดอยูในจําพวก พราหมณลัทธิ ลัทธพิ ราหมณ คือ หลัก โพธปิ ก ขยิ ธรรม มี ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ การ หรอื ขอยึดถอื ของพวกพราหมณ ที่ สติ สมาธิ ปญญา; ดู อนิ ทรยี ๕, โพธิ- ปก ขยิ ธรรม 2. พละ ๔ คือธรรมอันเปน กําหนดวา พราหมณเปนวรรณะที่ พลังทําใหดําเนินชีวิตดวยความมั่นใจ ประเสรฐิ เลิศ สูงสุด อันใหวดั หรอื ตดั ไมตองหวาดหวั่นกลัวภัยตางๆ ไดแก
พลความ ๒๖๐ พหุพจน,พหูพจน ๑. ปญ ญาพละ กาํ ลังปญ ญา ๒. วิริย- เปนคาใชจายประจาํ สําหรับการทําหนาที่ พละ กาํ ลงั ความเพยี ร ๓. อนวชั ชพละ เกื้อกูลตอผูอ่ืนและการสงเคราะหชวย กําลังคือการกระทําที่ไมมีโทษ (กําลัง เหลือกันในดานตางๆ, การทําหนาที่ ความสุจริตและการทําแตกรรมท่ีดีงาม) เก้ือกูลตอผูอื่นและการสงเคราะหชวย ๔. สงั คหพละ กาํ ลังการสงเคราะห คือ เหลอื กนั ทพี่ งึ ปฏบิ ตั ยิ ามปกตเิ ปน ประจาํ ชวยเหลือเก้ือกูลอยูรวมกับผูอ่ืนดวยดี โดยใชรายไดหรือทรัพยท่ีจัดสรรสละ ทําตนใหเปนประโยชนแกสังคม 3. เตรียมไวส าํ หรบั ดา นน้นั ๆ มี ๕ คอื ๑. พละ ๕ หรอื ขัตติยพละ ๕ ไดแ กก ําลัง ญาติพลี สงเคราะหญาติ ๒. อติถิพลี ของพระมหากษัตรยิ หรอื กําลงั ทที่ าํ ใหมี ตอนรับแขก ๓. ปุพพเปตพลี ทําบญุ ความพรอ มสาํ หรบั ความเปนกษัตรยิ ๕ อทุ ศิ ใหผ ูตาย ๔. ราชพลี ถวายเปน ประการ ดงั แสดงในคมั ภีรชาดก คอื ๑. หลวง หรอื บาํ รงุ ราชการ เชน เสยี ภาษี พาหาพละ หรอื กายพละ กาํ ลงั แขนหรือ อากร ๕.เทวตาพลี ทาํ บญุ อทุ ศิ ใหเ ทวดา กําลงั กาย คอื แข็งแรงสุขภาพดี สามารถ พหุบท “มีเทามาก” หมายถึงสัตว ในการใชแขนใชมือใชอาวุธ มีอุปกรณ ดิรัจฉานที่มีเทามากกวาสองเทาและสี่ พรงั่ พรอ ม ๒. โภคพละ กาํ ลงั โภคสมบตั ิ เทา เชน ตะขาบ กง้ิ กือ เปน ตน ๓. อมจั จพละ กาํ ลงั ขา ราชการทป่ี รกึ ษา พหุปุตตเจดีย เจดียสถานแหงหนึ่งอยู และผบู รหิ ารทสี่ ามารถ ๔. อภชิ ัจจพละ ทางเหนือของเมืองเวสาลี นครหลวง กําลงั ความมชี าติสูง ตองดวยความนิยม ของแควนวชั ชี เปนสถานทที่ ่พี ระพุทธ- เชิดชูของมหาชน และไดรับการศึกษา เจาเคยทรงทํานิมิตตโอภาสแกพระ อบรมมาดี ๕. ปญญาพละ กาํ ลงั ปญญา อานนท พหปุ ตุ ตนโิ ครธ ตน ไทรอยูระหวา งกรุง ซงึ่ เปนขอสาํ คัญท่สี ุด พลความ ขอความทไี่ มใชสาระสําคัญ ราชคฤหและเมืองนาลันทา ปปผลิ- พลววิปส สนา วิปส สนาที่มีกําลัง ทแ่ี รง มาณพไดพบพระพุทธเจาและขอบวชท่ี กลา หรอื อยางเขม; ดู วิปสสนูปกิเลส, ตน ไทรนี้ เขยี นวา พหุปุตตกนิโครธกม็ ี ญาณ ๑๖ พหุพจน, พหพู จน คาํ ที่กลาวถึงสงิ่ มาก พลี ทางพราหมณ คอื บวงสรวง, ทางพทุ ธ กวา หน่ึง คือตง้ั แตสองสง่ิ ขนึ้ ไป, เปนคาํ คอื สละเพอ่ื ชวยหรือบชู า หมายถงึ การ ทใี่ ชใ น ไวยากรณบาลแี ละไทย คกู ับ จัดสรรสละรายไดหรือทรัพยบางสวน เอกพจน ซ่ึงกลาวถึงสิ่งเดียว; แตใน
พหุลกรรม ๒๖๑ พหุสตู ,พหูสูต ไวยากรณสันสกฤตจํานวนสองเปน หลาย คือ จากกามาสวะ ภวาสวะ ทวพิ จน หรือทวิวจนะ จาํ นวนสามข้นึ อวชิ ชาสวะ’”, โดยใจความ ก็คอื หลกั ไป จงึ จะเปนพหุพจน ไตรสิกขา; จะใชว า พหลุ ธมั มกี ถา หรอื พหลุ กรรม กรรมทาํ มาก หรือกรรมชนิ พหลุ ธรรมกถากไ็ ด; เทยี บพหลุ านสุ าสนี ไดแก กรรมท้ังที่เปนกุศลและอกุศลท่ี พหลุ านุสาสนี คาํ แนะนําพราํ่ สอนทตี่ รสั ทาํ บอยๆ จนเคยชิน ยอ มใหผลกอ น เปนอันมาก, ตามเรื่องในจูฬสัจจกสูตร กรรมอืน่ เวน ครกุ รรม เรียกอกี อยา งวา (ม.ม.ู ๑๒/๓๙๓/๔๒๓) วา สจั จกนคิ รนถไ ดต งั้ อาจณิ ณกรรม (ขอ ๑๐ ในกรรม ๑๒) คาํ ถามกะพระอสั สชดิ งั น้ี “ทา นพระอสั สชิ พหลุ ธรรมกี ถา ธรรมกี ถา หรอื ธรรมกถา ผเู จรญิ พระสมณะโคดม แนะนาํ ใหเ หลา ที่ตรัสมาก, พระพุทธดํารัสบรรยาย สาวกศกึ ษาอยา งไร และคาํ สงั่ สอน (อน-ุ อธบิ ายธรรม ที่ตรสั เปน อนั มาก, ความ ศาสน)ี ของพระสมณะโคดม สว นอยา ง ในมหาปรินิพพานสูตร เลาเหตุการณ ไหน เปน ไปมากแกเ หลา สาวก” ทา นพระ เม่ือพระพุทธเจาเสด็จผานและทรงหยุด อสั สชติ อบวา “ดกู รอคั คเิ วสสนะ พระผมู ี ประทับในที่หลายแหง โดยกลาวเพียง พระภาค ทรงแนะนาํ ใหสาวกท้ังหลาย สั้นๆ อยางรวบรดั วา ณ ทีน่ น้ั ๆ (มี ๘ ศกึ ษาอยา งน้ี และอนศุ าสนขี องพระผมู ี แหง เริ่มแต ท.ี ม.๑๐/๗๕/๙๕) พระพุทธ พระภาค สวนอยางนี้ เปนไปมากแก เจา ตรสั พหุลธรรมกี ถา คอื ศลี สมาธิ สาวกทง้ั หลาย ดงั นว้ี า ‘ภกิ ษทุ งั้ หลาย รปู ปญ ญา แกภ กิ ษทุ ั้งหลาย ดังตวั อยาง ไมเ ทย่ี ง เวทนาไมเ ทยี่ ง สญั ญาไมเ ทยี่ ง วา “ไดทราบวา พระผูมีพระภาคเจา เมอื่ สงั ขารทง้ั หลายไมเ ทยี่ ง วญิ ญาณไมเ ทยี่ ง ประทบั อยู ณ ภเู ขาคชิ ฌกฏู เขตพระ รปู ไมใ ชต น เวทนาไมใ ชต น สญั ญาไมใ ช นครราชคฤห แมน ้นั ทรงกระทําธรรม-ี ตน สงั ขารทงั้ หลายไมใ ชต น วญิ ญาณไม กถาอันน้ีแหละเปนอันมากแกภิกษุทั้ง ใชต น สงั ขารทงั้ ปวงไมเ ทยี่ ง (อนจิ จา) หลายวา ‘ศลี เปนอยางนี้ สมาธเิ ปนอยา ง ธรรมทงั้ ปวงไมใ ชต น (อนตั ตา)’”, โดยใจ น้ี ปญญาเปน อยา งน้ี, สมาธิ อนั ศลี บม ความ ก็คอื หลัก ไตรลักษณ; พหลุ าน-ุ แลว ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก, ศาสนี กเ็ ขยี น; เทยี บ พหลุ ธรรมีกถา ปญ ญา อันสมาธิบม แลว ยอ มมีผลมาก พหวุ จนะ ดู พหุพจน มีอานิสงสมาก, จิตอันปญญาบมแลว พหสุ ูต, พหูสูต ผูไ ดยนิ ไดฟ งมามาก ยอมหลุดพนโดยชอบ จากอาสวะทั้ง คือทรงจาํ ธรรมและรศู ลิ ปวทิ ยามาก, ผู
พหูชน ๒๖๒ พาวรี เลาเรียนมาก, ผูศึกษามาก, ผูคงแก พกั กลุ ะ ก็เรียก เรยี น; ดู พาหสุ ัจจะ ดวย พาณชิ พอ คา พหชู น คนจํานวนมาก พาณิชย การคาขาย พกั มานตั ดู เกบ็ วัตร พาราณสี ชื่อเมืองหลวงของแควนกาสี พทั ธสมี า “แดนผูก” ไดแ ก เขตทส่ี งฆ อยรู มิ แมน า้ํ คงคา ปจ จบุ นั เรยี ก Banaras กําหนดขึ้นเอง โดยจัดต้ังนิมิตคือส่ิงท่ี หรอื Benares (ลาสดุ รอ้ื ฟน ชอ่ื ในภาษา เปนเครอ่ื งหมายกําหนดเอาไว; ดู สีมา สนั สกฤตข้ึนมาใชวา Varanasi), ปา อสิ -ิ พันธุ เหลากอ, พวกพอ ง ปตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจาทรง พัสดุ สิ่งของ, ทีด่ ิน แสดงปฐมเทศนา ซ่ึงปจจุบันเรียกวา พากุละ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เปน บตุ ร สารนาถ อยูหางจากตัวเมืองพาราณสี เศรษฐเี มืองโกสมั พี มีเร่อื งเลา วา เมือ่ ยัง ปจ จบุ ันประมาณ ๖ ไมล เปนทารกขณะท่ีพี่เล้ียงนําไปอาบนํ้าเลน พาวรี พราหมณผูเปนอาจารยใหญต้ัง ทแ่ี มนํ้า ทานถกู ปลาใหญก ลืนลงไปอยู อาศรมสอนไตรเพทแกศิษยอยูท่ีฝงแม ในทอง ตอมาปลาน้ันถูกจับไดท่ีเมือง นา้ํ โคธาวรี ณ สดุ เขตแดนแควน อสั สกะ พาราณสี และถูกขายใหแกภรรยา ไดส ง ศิษย ๑๖ คนไปถามปญหาพระ เศรษฐีเมืองพาราณสี ภรรยาเศรษฐีผา ศาสดา เพื่อจะทดสอบวาพระองคเปน ทองปลาพบเด็กแลวเล้ียงไวเปนบุตร พระสมั มาสมั พทุ ธะจรงิ หรอื ไม ภายหลงั ฝายมารดาเดิมทราบขาวจึงขอบุตรคืน ไดรับคําตอบแลวศิษยช่ือปงคิยะซ่ึงเปน ตกลงกนั ไมไ ด จนพระราชาทรงตัดสนิ หลานของทานไดกลับมาเลาเรื่องและ ใหเด็กเปนทายาทของท้ังสองตระกูล แสดงคาํ ตอบปญ หาของพระศาสดา ทาํ ทานจงึ ไดช อ่ื วา พากุละ แปลวา “คน ใหท า นไดบ รรลธุ รรมเปน พระอนาคามี สองตระกูล” หรือ “ผูท่ีสองตระกูล พาหันตะ ขณั ฑดา นขอบนอกทัง้ สองขา ง เลี้ยง” ทา นอยคู รองเรือนมาจนอายุ ๘๐ ของจีวร เวลาหม ปลายจะพาดบนแขน ป จึงไดฟงพระศาสดาทรงแสดงพระ หรืออยูสุดแขน, คําอธิบายในวนิ ยั มขุ ธรรมเทศนา มีความเล่ือมใสขอบวช เลม ๒ ตามท่สี มเดจ็ พระมหาสมณเจา แลวบาํ เพ็ญเพยี รอยู ๗ วันไดบ รรลพุ ระ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงไววา อรหัตไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะใน ในจีวรหา ขัณฑๆ ถัดออกมา (ตอ จาก ทางเปนผูมีอาพาธนอย คือสุขภาพดี; ชงั เฆยยกะ) อกี ทง้ั ๒ ขา ง ชอ่ื พาหนั ตะ
พาหิยทารจุ ีรยิ ะ ๒๖๓ พนิ ัยกรรม เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ขณั ฑน น้ั อยู พาหิรรูป ดูท่ี รูป ๒๘ ทแี่ ขนในเวลาหม ; ดู จวี ร พาหริ ลทั ธิ ลทั ธภิ ายนอกพระพทุ ธศาสนา พาหยิ ทารจุ รี ยิ ะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ พาหุสัจจะ ความเปน ผูไดย นิ ไดฟ ง มาก, เกิดในครอบครัวคนมีตระกูลในแควน ความเปน ผไู ดเ รยี นรมู าก หรอื คงแกเ รยี น พาหิยรัฐ ลงเรือเดินทะเลเพื่อจะไปคา มอี งค ๕ คือ ๑. พหุสฺสุตา ไดย นิ ไดฟ ง ขาย เรือแตกกลางทะเลรอดชีวิตไปได มาก ๒.ธตา ทรงจาํ ไวไ ด ๓. วจสา ปรจิ ติ า แตห มดเนอื้ หมดตวั ตองแสดงตนเปน คลอ งปาก ๔. มนสานเุ ปกขฺ ติ า เจนใจ ๕. ผูหมดกิเลสหลอกลวงประชาชนเลี้ยง ทิฏิยา สุปฏวิ ทิ ธฺ า ขบไดด วยทฤษฎ;ี ดู ชีวติ ตอ มาพบพระพุทธเจา ทลู ขอใหทรง พหสู ตู (ขอ ๒ ในนาถกรณธรรม ๑๐, แสดงธรรม พระองคทรงแสดงวิธี ขอ ๓ ในเวสารชั ชกรณธรรม ๕, ขอ ๔ ปฏิบัติตออารมณที่รับรูทางอายตนะท้ัง ในสทั ธรรม ๗, ขอ ๕ ในอริยทรัพย ๗) หก พอจบพระธรรมเทศนายนยอน้ัน พาเหยี ร ภายนอก (บาล:ี พาหริ ) พาหิยะก็สําเร็จอรหัต แตไมทันได พิกดั กําหนด, กาํ หนดทจ่ี ะตองเสยี ภาษี อุปสมบท กําลังเท่ียวหาบาตรจีวร พณิ เครอ่ื งดนตรชี นดิ หนงึ่ มสี ายสาํ หรบั ดดี เผอิญถูกโคแมลูกออนขวิดเอาส้ินชีวิต พทิ ยาธร ดู วิทยาธร เสยี กอน ไดร ับยกยอ งวา เปน เอตทัคคะ พทิ ักษ ดูแลรักษา, คุม ครอง, ปอ งกัน พนิ ทุ จดุ , วงกลมเล็กๆ ในที่น้ีหมายถงึ ในทางตรัสรฉู ับพลัน พาหิระ, พาหิรกะ ภายนอก เชน ในคาํ วา พนิ ทกุ ปั ปะ พาหิรวตั ถุ (วัตถภุ ายนอก) พาหริ สมยั พนิ ทกุ ปั ปะ การทาํ พนิ ท,ุ การทาํ จุดเปน (ลทั ธิภายนอก) พาหริ ายตนะ (อายตนะ วงกลม อยางใหญเทาแววตานกยูง ภายนอก); ตรงขา มกบั อัชฌัตตกิ ะ อยางเล็กเทาหลังตัวเรือด ท่ีมมุ จีวรดวย พาหริ ทาน, พาหริ กทาน การใหส่งิ ของ สีเขียวคราม โคลน หรอื ดําคลาํ้ เพ่อื ทํา ภายนอก, การใหของนอกกาย เชน เงนิ จวี รใหเ สยี สหี รอื มตี าํ หนติ ามวนิ ยั บญั ญตั ิ ทอง วตั ถุ อปุ กรณ ตลอดจนทรพั ย และเปนเคร่ืองหมายชวยใหจําไดดวย; สมบตั ทิ ั้งหมด; ดู ทานบารมี เขียนพินทุกัป ก็ได, คําบาลีเดิมเปน พาหิรทกุ ข ทกุ ขภายนอก กปั ปพนิ ท,ุ เรียกกันงายๆ วา พนิ ทุ พาหิรภณั ฑ, พาหิรกภัณฑ สิง่ ของภาย พนิ ัยกรรม หนังสอื สําคัญทีเ่ จา ทรพั ยท ํา นอก, ของนอกกาย; ดู ทานบารมี ไวกอนตาย แสดงความประสงคว า เมือ่
พปิ ลาส ๒๖๔ พุทธกจิ ประจําวนั ๕ ต า ย แ ล ว ข อ ม อ บ ม ร ด ก ท่ี ร ะ บุ ไ ว ใ น สัมมาสัมพทุ ธะ) ๒. พระปจ เจกพทุ ธะ ทานผตู รัสรูเองจาํ เพาะผูเดียว ๓. พระ หนงั สอื สาํ คญั นัน้ ใหแกค นนนั้ ๆ, ตาม อนพุ ุทธะ ทา นผูตรัสรตู ามพระพทุ ธเจา (เรียกอีกอยางวา สาวกพุทธะ); บาง พระวินัย ถาภกิ ษุทาํ เชนนี้ ไมม ีผล ตอ ง แหงจัดเปน ๔ คอื ๑.สพั พญั พู ทุ ธะ๒. ปจ เจกพทุ ธะ ๓. จตสุ จั จพุทธะ (= พระ ปลงบริขาร จึงใชได อรหันต) และ ๔. สุตพทุ ธ (= ผูเปน พปิ ลาส ดู วิปลาส, วิปลลาส พิพากษา ตดั สินอรรถคดี พิมพา บางแหงเรยี ก ยโสธรา เปน พระ ราชบุตรีของพระเจาสุปปพุทธะ กรุง พหสู ูต) เทวทหะ เปน พระชายาของพระสทิ ธตั ถะ พุทธการกธรรม ธรรมทที่ าํ ใหเ ปนพระ เปน พระมารดาของพระราหุล ภายหลงั พุทธเจา ตามปกติหมายถึง บารมี ๑๐ ออกบวชมีนามวา พระภัททกัจจานา นั่นเอง (ในคาถาบางทีเรียกสั้นๆ วา หรอื ภทั ทา กจั จานา พทุ ธธรรม) พมิ พิสาร พระเจาแผน ดนิ มคธครองราช พุทธกาล คร้งั พระพุทธเจายังดํารงพระ สมบัติอยูที่พระนครราชคฤห เปนผู ชนมอ ยู ถวายพระราชอุทยานเวฬุวันเปน พุทธกิจ กิจท่ีพระพุทธเจาทรงบําเพ็ญ, สังฆาราม นับเปนวัดแรกในพระพุทธ- การงานทีพ่ ระพุทธเจาทรงกระทํา ศาสนา ตอมา ถูกพระราชโอรสนามวา พุทธกิจประจําวัน ๕ พุทธกิจท่ีพระ อชาตศัตรู ปลงพระชนม พุทธเจาทรงบําเพ็ญเปนประจําในแตละ พิรธุ ไมปรกติ, มลี ักษณะนา สงสยั วันมี ๕ อยาง คอื ๑. ปพุ ฺพณฺเห ปณฑฺ - พิโรธ โกรธ, เคือง ปาตจฺ เวลาเชาเสด็จบิณฑบาต ๒. พิสดาร กวา งขวางละเอยี ดลออ, ขยาย สายณเฺ ห ธมฺมเทสนํ เวลาเยน็ ทรงแสดง ความออกไป; ดู วิตถาร, คูก ับ สงั เขป ธรรม ๓. ปโทเส ภิกฺขโุ อวาทํ เวลาคํา่ พีชคาม พืชพันธุอันถกู พรากจากทีแ่ ลว ประทานโอวาทแกเ หลา ภิกษุ ๔. อฑฒฺ - แตยงั จะเปน ไดอ กี ; คกู ับ ภูตคาม รตฺเต เทวปฺหนํ เท่ียงคืนทรงตอบ พทุ ธะ ทา นผูตรสั รูแลว , ผูรูอรยิ สัจจ ๔ ปญหาเทวดา ๕. ปจฺจุสเฺ สว คเต กาเล ภพพฺ าภพเฺ พ วโิ ลกนํ จวนสวา งทรงตรวจ อยา งถอ งแท ตามอรรถกถาทา นแบง เปน ๓ คือ ๑. พระพุทธเจา ทา นผูตรัสรูเอง พิจารณาสัตวที่สามารถและท่ียังไม และสอนผูอน่ื ใหรตู าม (บางทีเรียก พระ สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไป
พทุ ธกิจ๔๕ พรรษา ๒๖๕ พุทธคุณ โปรดหรอื ไม (สรปุ ทายวา เอเต ปจฺ วเิ ธ มารดา) พ. ๙ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี กจิ เฺ จ วโิ สเธติ มนุ ปิ งุ คฺ โว พระพทุ ธเจา พ. ๑๐ ปา ตาํ บลปาริเลยยกะ ใกลเ มอื ง องคพระมุนีผูประเสริฐทรงยังกิจ ๕ โกสมั พี (ในคราวทภี่ กิ ษชุ าวเมอื งโกสมั พี ประการนใี้ หหมดจด) ทะเลาะกัน) พ. ๑๑ หมูบ า นพราหมณ พทุ ธกิจ ๔๕ พรรษา ในระหวา งเวลา ช่ือเอกนาลา พ. ๑๒ เมืองเวรญั ชา พ. ๔๕ ปแหง การบําเพญ็ พทุ ธกิจ พระพทุ ธ ๑๓ จาลิยบรรพต พ. ๑๔ พระเชตวัน เจาไดเสด็จไปประทับจําพรรษา ณ (พระราหุลอุปสมบทคราวนี้) พ. ๑๕ สถานท่ีตางๆ ซ่ึงทานไดประมวลไว นิโครธาราม นครกบลิ พัสดุ พ. ๑๖ พรอมท้ังเหตุการณสําคัญบางอยางอัน เมืองอาฬวี (ทรมานอาฬวกยกั ษ) พ. ควรสงั เกต ดงั น้ี พรรษาที่ ๑ ปา อสิ ปิ ตน- ๑๗ พระเวฬวุ ัน นครราชคฤห พ. ๑๘, มฤคทายวัน ใกลกรุงพาราณสี (โปรด ๑๙ จาลยิ บรรพต พ. ๒๐ พระเวฬุวัน พระเบญจวคั คยี ) พ. ๒, ๓, ๔ พระเวฬวุ นั นครราชคฤห (โปรดมหาโจรองคลุ มิ าล, กรุงราชคฤห (ระยะประดิษฐานพระ พระอานนทไดรับหนาที่เปนพุทธ- ศาสนา เริ่มแตโปรดพระเจาพิมพิสาร อปุ ฏ ฐากประจํา) พ. ๒๑–๔๔ ประทบั ไดอ คั รสาวก ฯลฯ เสด็จนครกบิลพัสดุ สลบั ไปมา ณ พระเชตวนั กบั บพุ พาราม ครงั้ แรก ฯลฯ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐเี ปน พระนครสาวัตถี (รวมทั้งคราวกอนน้ี อุบาสกถวายพระเชตวนั ; ถา ถือตามพระ ดวย อรรถกถาวา พระพุทธเจาประทบั ท่ี วนิ ยั ปฎ ก พรรษาที่ ๓ นา จะประทบั ทพ่ี ระ เชตวนาราม ๑๙ พรรษา ณ บพุ พาราม เชตวนั นครสาวตั ถ)ี พ. ๕ กฏู าคารในปา ๖ พรรษา) พ. ๔๕ เวฬุวคาม ใกลนคร มหาวัน นครเวสาลี (โปรดพุทธบิดา เวสาลี ปรินิพพานที่กรุงกบิลพัสดุ โปรดพระ พทุ ธคารวตา ดู คารวะ ญาตทิ ว่ี วิ าทเรอื่ งแมน า้ํ โรหณิ ี มหาปชาบดี พุทธคุณ คณุ ของพระพทุ ธเจา มี ๙ คือ ผนวช เกดิ ภกิ ษณุ สี งฆ) พ. ๖ มกลุ บรรพต ๑. อรหํ เปน พระอรหนั ต ๒. สมฺมา- (ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริยที่ สมฺพุทโฺ ธ ตรสั รเู องโดยชอบ ๓. วชิ ชฺ า- นครสาวตั ถี) พ. ๗ ดาวดงึ สเทวโลก จรณสมฺปนฺโน ถงึ พรอมดวยวิชชาและ (แสดงพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธมารดา) จรณะ ๔. สคุ โต เสด็จไปดแี ลว ๕. พ. ๘ เภสกลาวัน ใกลเ มอื งสุงสุมารครี ี โลกวิทู เปนผูรูแจงโลก ๖. อนุตฺตโร แควนภัคคะ (พบนกุลบิดาและนกุล- ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ เปน สารถฝี ก คนทฝ่ี ก ได
พทุ ธโฆสาจารย ๒๖๖ พทุ ธธรรม ไมม ใี ครยงิ่ กวา ๗. สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ ประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจา เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้ง พุทธเจา ๕, ๗, ๒๕ ดู พระพทุ ธเจา และ หลาย ๘. พทุ ฺโธ เปน ผูตืน่ และเบกิ บาน พทุ ธะ แลว ๙. ภควา เปนผมู โี ชค พุทธธรรม 1. ธรรมของพระพทุ ธเจา , พุทธคุณท้งั หมดนัน้ โดยยอ มี ๒ พระคณุ สมบตั ขิ องพระพทุ ธเจา คมั ภรี คอื ๑. พระปญ ญาคุณ พระคุณคอื พระ มหานิทเทสระบุจํานวนไววามี ๖ ปญญา ๒. พระกรุณาคณุ พระคุณคือ ประการ แตไ มไ ดจ าํ แนกขอ ไว อรรถ- พระมหากรณุ า หรอื ตามท่ีนิยมกลาวกัน กถาโยงความใหว า ไดแ ก ๑. กายกรรม ในประเทศไทย ยอ เปน ๓ คือ ๑. พระ ทกุ อยา งของพระพทุ ธเจา เปน ไปตามพระ ปญญาคณุ พระคุณคือพระปญ ญา ๒. ญาณ (จะทาํ อะไรกท็ าํ ดว ยปญ ญา ดว ย พระวสิ ุทธคิ ุณ พระคุณคอื ความบริสทุ ธิ์ ความรเู ขา ใจ) ๒. วจกี รรมทกุ อยา งเปน ๓. พระมหากรณุ าคุณ พระคณุ คือพระ ไปตามพระญาณ ๓. มโนกรรมทกุ อยา ง มหากรุณา เปนไปตามพระญาณ ๔. ทรงมีพระ พทุ ธโฆสาจารย ดู วิสุทธมิ รรค; พุทธ- ญาณไมติดขดั ในอดตี ๕. ทรงมพี ระ โฆษาจารย กเ็ ขียน ญาณไมต ดิ ขดั ในอนาคต ๖. ทรงมพี ระ พทุ ธจรยิ า พระจรยิ าวตั รของพระพทุ ธเจา , ญาณไมต ดิ ขัดในปจจบุ นั ; คมั ภรี ส มุ งั - การบําเพ็ญประโยชนของพระพุทธเจา คลวิลาสินี อรรถกถาแหงทีฆนิกาย มี ๓ คือ ๑. โลกัตถจริยา การบาํ เพญ็ จาํ แนกพทุ ธธรรมวา มี ๑๘ อยา ง คอื ๑. ประโยชนแกโ ลก ๒. ญาตตั ถจรยิ า การ พระตถาคตไมท รงมกี ายทจุ รติ ๒. ไม บาํ เพญ็ ประโยชนแ กพ ระญาติ ๓.พทุ ธตั ถ- ทรงมวี จที จุ รติ ๓. ไมท รงมมี โนทจุ รติ จรยิ า การบาํ เพ็ญประโยชนโดยฐานเปน ๔. ทรงมพี ระญาณไมต ดิ ขดั ในอดตี ๕. พระพุทธเจา ทรงมีพระญาณไมตดิ ขดั ในอนาคต ๖. พุทธจกั ขุ จักษขุ องพระพุทธเจา ไดแ ก ทรงมพี ระญาณไมต ดิ ขดั ในปจ จบุ นั ๗. ญาณท่ีหย่ังรูอัธยาศัย อุปนิสัยและ ทรงมีกายกรรมทุกอยางเปนไปตามพระ อินทรยี ท ยี่ งิ่ หยอ นตางๆ กนั ของเวไนย- ญาณ ๘. ทรงมวี จกี รรมทกุ อยา งเปน ไป สัตว (ขอ ๔ ในจกั ขุ ๕) ตามพระญาณ ๙. ทรงมมี โนกรรมทกุ พทุ ธจักร วงการพระพทุ ธศาสนา อยา งเปนไปตามพระญาณ ๑๐. ไมม ี พุทธจาริก การเสด็จจาริกคือเท่ียวไป ความเสื่อมฉันทะ (ฉันทะไมลดถอย)
พุทธบริวาร ๒๖๗ พทุ ธประวตั ิ ๑๑. ไมม คี วามเสอื่ มวริ ยิ ะ (ความเพยี ร ลําดับกาลในพุทธประวัติตามที่ทานแบง ไมลดถอย) ๑๒. ไมม ีความเสอื่ มสติ ไวในอรรถกถา จดั ไดเปน ๓ ชวงใหญ คอื ๑. ทเู รนทิ าน เรอ่ื งราวตง้ั แตเ รมิ่ เปน (สตไิ มล ดถอย) ๑๓. ไมม กี ารเลน ๑๔. พระโพธิสตั ว เสวยพระชาติในอดตี จน ถึงอุบัติในสวรรคช้ันดุสิต ๒. อวิทูเร- ไมมีการพูดพลาด ๑๕. ไมมีการทํา นิทาน เรอ่ื งราวตงั้ แตจตุ ิจากสวรรคช นั้ ดุสิต จนถึงตรัสรู ๓. สันติเกนิทาน พลาด ๑๖. ไมม คี วามผลนุ ผลนั ๑๗. เรื่องราวตั้งแตตรัสรูแลว จนเสด็จ ไมม ีพระทยั ทไี่ มข วนขวาย ๑๘. ไมม ี ปรินพิ พาน ในสวนของสนั ติเกนทิ านน้ัน ก็คือ โพธกิ าล นน่ั เอง ซ่งึ แบง ยอยได อกุศลจิต 2. ธรรมที่ทําใหเปนพระ เปน ๓ ชว ง ไดแก ๑. ปฐมโพธิกาล คอื พทุ ธเจา ไดแ ก พทุ ธการกธรรม คอื ตงั้ แตต รัสรู จนถึงไดพ ระอคั รสาวก ๒. บารมี ๑๐ 3. ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรง มชั ฌมิ โพธกิ าล คอื ตง้ั แตป ระดษิ ฐานพระ ศาสนาในแควน มคธ จนถึงปลงพระชน แสดงไว คอื สตปิ ฏ ฐาน ๔ ฯลฯ มรรคมี มายุสังขาร ๓. ปจฉิมโพธิกาล คือตงั้ แตปลงพระชนมายุสังขาร จนถึง องค ๘ ขนั ธ ๕ ปจ จยั ๒๔ เปน อาทิ พทุ ธบริวาร บริวารของพระพทุ ธเจา , ผู ปรินิพพาน ตอ มาภายหลงั พระเถระผู เปนบรวิ ารของพระพุทธเจา พุทธบริษัท หมูชนที่นับถือพระพุทธ- เลาพุทธประวัติไดกลาวถึงเรื่องราวท่ี ศาสนามี ๔ จําพวก คือ ภิกษุ ภิกษณุ ี เปนมาในชมพูทวีป กอนถึงการตรัสรู อบุ าสก อุบาสกิ า พุทธบัญญัติ ขอที่พระพุทธเจาทรง ของพระพุทธเจา และเรียกเวลาชวงน้ีวา บญั ญัตไิ ว, วินยั สําหรบั พระ ปุรมิ กาล กับทั้งเลาเหตุการณหลังพทุ ธ- พุทธบาท รอยเทาของพระพุทธเจา ปรนิ พิ พาน เชน การถวายพระเพลงิ และ อรรถกถาวาทรงประทับแหงแรกท่ีบน สงั คายนา และเรยี กเวลาชว งน้ีวา อปร- กาล; ในการแบงโพธิกาล ๓ ชวงน้ี หาดชายฝงแมนา้ํ นมั มทา แหงท่ีสองทภ่ี ู อรรถกถายังมีมติแตกตา งกนั บาง เชน เขาสัจจพันธครี ี นอกจากน้ตี ํานานสมยั พระอาจารยธ รรมบาลแบง ๓ ชวงเทา ตอๆ มาวามที ีภ่ เู ขาสมุ นกูฏ (ลังกาทวีป) กัน ชว งละ ๑๕ พรรษา แตบ างอรรถ- สวุ รรณบรรพต (สระบุรี ประเทศไทย) กถานบั ๒๐ พรรษาแรกของพุทธกจิ และเมอื งโยนก รวมเปน ๕ สถาน พุทธปฏิมา รปู เปรยี บของพระพทุ ธเจา , พระพุทธรปู พุทธประวัติ ประวัติของพระพุทธเจา;
พทุ ธปรนิ พิ พาน ๒๖๘ พทุ ธภาษิต เปนปฐมโพธิกาล โดยไมระบุชวงเวลา พระชนมายุสังขารที่ปามหาวนั นัน้ วาอกี ของ ๒ โพธกิ าลท่เี หลอื (ไดแ กช ว งเวลา ๓ เดอื นขา งหนาจะปรนิ พิ พาน ครน้ั ใกล แรกที่พระพุทธเจายังมิไดทรงมีพระ ครบเวลา ๓ เดอื น ในวันหนึ่ง ไดเ สดจ็ อานนทเปนพทุ ธอุปฏ ฐากประจาํ และยัง เขาไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลีเปนคร้ัง ไมไ ดทรงบัญญัตสิ กิ ขาบทแกพระสงฆ) สดุ ทาย เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทอด พุทธปรินิพพาน การเสด็จดับขันธ- พระเนตรเมืองเวสาลีเปนปจฉิมทัศน ปรินิพพานของพระพุทธเจา, การตาย โดยนาคาวโลก จากนั้นเสด็จออกจาก ของพระพทุ ธเจา เวสาลี ผา นภัณฑคาม หัตถคิ าม อมั พ- ลําดบั เหตกุ ารณช ว งสุดทายวา ในป คาม ชัมพุคาม และโภคนคร ตามลําดับ ที่ ๔๕ แหงพทุ ธกจิ พระพทุ ธเจาทรงจาํ จนถงึ เมอื งปาวา ประทบั พักแรมทอี่ ัมพ- พรรษาสุดทายที่เวฬวุ คาม เมืองเวสาลี วัน ของนายจนุ ทะกัมมารบุตร แลวใน ในพรรษานั้น พระองคประชวรหนัก เชา วนั วิสาขบณุ มี เสดจ็ พรอ มภกิ ษสุ งฆ แทบจะปรินพิ พาน ทรงพระดําริวา พระ ไปฉันภัตตาหารที่บานของนายจุนทะ องคควรจะทรงบอกกลาวเลาความแก ตามทเ่ี ขานมิ นตไ ว นายจนุ ทะถวายสกู ร- ประดาอุปฏฐากและแจง ลาสงฆกอน จงึ มัททวะ หลงั จากเสวยแลว ทรงอาพาธ ทรงระงบั เวทนาไว ครัน้ ออกพรรษาแลว หนัก ลงพระโลหิต เสด็จตอ ไปยงั เมอื ง ก็เสด็จจาริกไปจนถึงเมืองสาวัตถี กุสนิ ารา ผา นแมน า้ํ กกุธา ไปถึงแมน้ํา ประทับอยูท่ีน่ันจนผานเหตุการณ หิรญั ญวดี เสด็จขา มแมน ้าํ นน้ั เขา ไป ปรินิพพานของพระสารีบุตร หลังจาก ประทับในสาลวโนทยานของกษัตริย โปรดใหสรางธาตุเจดียของพระธรรม- มัลละ เมืองกุสินารา บรรทมโดยสีห- เสนาบดีที่พระเชตวันแลว ก็เสด็จลง ไสยา ภายใตค ตู นสาละ และเสด็จดับ มายังเมืองราชคฤห ตรงกับชวงเวลาท่ี ขันธปรินิพพาน ในราตรีแหงวันวิสาข- พระมหาโมคคลั ลานะปรินพิ พาน ครนั้ บณุ มี คอื วันขนึ้ ๑๕ คาํ่ เดือน ๖ เมอ่ื มี โปรดใหสรางธาตุเจดียของทานไว ณ พระชนมายคุ รบ ๘๐ พรรษา; ดู พระ พระเวฬวุ นั แลว ก็เสด็จตอ ขน้ึ ไปเวสาลี พุทธเจา, นาคาวโลก, สกู รมัททวะ ประทบั ท่ีกฏู าคารศาลา ปามหาวัน พอ พุทธพจน พระดํารัสของพระพุทธเจา, บรรจบครบเวลา ๔ เดอื น นับแตออก คาํ พูดของพระพทุ ธเจา พรรษาสุดทายท่ีเวฬุวคาม ก็ทรงปลง พทุ ธภาษติ ภาษติ ของพระพทุ ธเจา , คาํ พดู
พทุ ธมามกะ ๒๖๙ พุทธมามกะ ของพระพุทธเจา , ถอยคําทพ่ี ระพทุ ธเจา พานไปถวายพระอาจารยที่จะใหเปน พูด พุทธมามกะ “ผูถือพระพุทธเจาวาเปน ประธานสงฆในพิธี พรอมท้ังเผดียง ของเรา”, ผรู บั เอาพระพทุ ธเจา เปน ของตน, ผูประกาศตนวาเปนผูนับถือพระพุทธ- สงฆรวมท้ังพระอาจารยเปนอยางนอย ศาสนา; พธิ แี สดงตนเปน พทุ ธมามกะนนั้ ๔ รูป ข. จดั สถานท่ี ในอโุ บสถ หรอื สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา วชิรญาณวโรรส ไดทรงเรียบเรียงต้ัง วหิ าร ศาลาการเปรียญ หรอื หอประชุม เปนแบบไว ในคราวท่ีพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว ทรงพระ ทีม่ ีโตะบชู ามพี ระพุทธรูปประธาน และ กรุณาโปรดจะสงเจานายคณะหนึ่งออก จัดอาสนะสงฆใ หเหมาะสม ค. พธิ กี าร ไปศึกษาในทวีปยุโรป ทรงถือตามคํา แสดงตนเปนอุบาสกของเดิมแตแกบท ใหผูแ สดงตน จดุ ธูปเทยี น เปลงวาจา อุบาสก ที่เฉพาะผูใหญผูไดศรัทธา บูชาพระรัตนตรัยวา “อมิ นิ า สกกฺ าเรน, เลอื่ มใสดว ยตนเอง เปน พุทธมามกะ พทุ ฺธํ ปเู ชมิ” (แปลวา) “ขาพเจาขอบชู า และไดเกิดเปนประเพณีนิยมแสดงตน เปนพุทธมามกะสืบตอ กันมา โดยจัดทาํ พระพุทธเจาดวยเคร่ืองสักการะน้ี” ในกรณีตา งๆ โดยเฉพาะ ๑. เม่ือบตุ ร (กราบ) “อมิ นิ า สกกฺ าเรน, ธมมฺ ํ ปเู ชมิ” หลานพน วัยทารก อายุ ๑๒–๑๕ ป ๒. เม่ือจะสงบุตรหลานไปอยูในถ่ินท่ีมิใช (แปลวา ) “ขา พเจา ขอบชู าพระธรรมดวย ดินแดนของพระพทุ ธศาสนา ๓. โรง เครอื่ งสกั การะน”ี้ (กราบ) “อมิ นิ า สกกฺ า- เรียนประกอบพิธีใหนักเรียนที่เขาศึกษา เรน, สงฺฆํ ปเู ชม”ิ (แปลวา ) “ขา พเจาขอ ใหมแตละปเปนหมู ๔. เมอื่ บุคคลผเู คย นับถือศาสนาอื่นตองการประกาศตน บูชาพระสงฆดวยเคร่ืองสักการะนี้” เปนผูนับถือพระพุทธศาสนา; ทานวาง ระเบียบพิธีไวสรุปไดดังน้ี ก. มอบตัว (กราบ) จากน้ันเขาไปสูที่ประชุมสงฆ (ถาเปนเด็กใหผูปกครองนําตัวหรือครู นํารายช่ือไป) โดยนําดอกไมธ ปู เทยี นใส ถวายพานเครอื่ งสกั การะแกพระอาจารย กราบ ๓ ครง้ั แลว คงนงั่ คกุ เขา กลา วคาํ ปฏญิ าณวา : “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสสฺ ” (๓ หน) “ขาพเจา ขอ นอบนอ ม แดพ ระผมู พี ระภาคอรหนั ต- สมั มาสมั พทุ ธเจา นน้ั ” (๓ หน) “เอสาหํ ภนเฺ ต,สจุ ริ ปรนิ พิ พฺ ตุ มปฺ , ตํ ภควนตฺ ํสรณํ คจฉฺ าม,ิ ธมมฺ จฺ สงฆฺ จฺ , พทุ ธฺ มามโกติ มํ สงโฺ ฆ ธาเรตุ” แปลวา “ขา แตพระ สงฆผูเจรญิ ขา พเจา ถงึ พระผมู พี ระภาค เจา พระองคน นั้ แมป รนิ พิ พานนานแลว
พุทธ ๒๗๐ พทุ ธโอวาท ท้งั พระธรรมและพระสงฆ เปน สรณะท่ี พุทธศักราช ปนับแตพระพทุ ธเจา เสด็จ ระลกึ นบั ถอื ขอพระสงฆจ งจําขา พเจาไว ปรินพิ พาน วา เปน พุทธมามกะ ผูรับเอาพระพทุ ธเจา พุทธศาสนา คําสั่งสอนของพระพุทธ- เปนของตน คือผูนับถือพระพุทธเจา” เจา, อยางกวา งในบัดนี้ หมายถึง ความ (ถา เปน หญงิ คนเดียวเปลยี่ น พทุ ธฺ มาม- เช่อื ถอื การประพฤตปิ ฏิบตั แิ ละกิจการ โกติ เปน พทุ ธฺ มามกาต;ิ ถาปฏิญาณ ทั้งหมดของหมูชนผูกลาววาตนนับถือ พรอ มกนั หลายคน ชายเปลย่ี น เอสาหํ พระพุทธศาสนา เปน เอเต มยํ หญิงเปน เอตา มย;ํ และ พุทธศาสนกิ ผนู ับถอื พระพุทธศาสนา, ทั้งชายและหญิงเปล่ียน คจฺฉามิ เปน ผปู ฏบิ ตั ติ ามคาํ ส่ังสอนของพระพทุ ธเจา คจฉฺ าม, พทุ ธฺ มามโกติ เปน พทุ ธฺ มามกาต,ิ พุทธศาสนกิ มณฑล วงการของผูนบั ถือ มํ เปน โน) จากนนั้ ฟง พระอาจารยให พระพทุ ธศาสนา โอวาท จบแลว รับคําวา “สาธ”ุ ครนั้ แลว พุทธสรรี ะ รา งกายของพระพุทธเจา กลา วคาํ อาราธนาเบญจศลี และสมาทาน พทุ ธสาวก สาวกของพระพทุ ธเจา, ศษิ ย ศีลพรอ มทง้ั คาํ แปล จบแลว กราบ ๓ ของพระพทุ ธเจา หน ถวายไทยธรรม (ถามี) แลว กรวด พุทธอาณา อํานาจปกครองของพระ นํ้าเมื่อพระสงฆอนุโมทนา รับพรเสร็จ พทุ ธเจา, อํานาจปกครองฝา ยพุทธจกั ร แลว คกุ เขา กราบพระสงฆ ๓ ครั้ง เปน พทุ ธอาสน ทป่ี ระทบั นง่ั ของพระพทุ ธเจา เสรจ็ พิธี พุทธอิทธานุภาพ ฤทธ์ิและอานุภาพ พุทธรัตนะ, พุทธรัตน รัตนะคือพระ ของพระพทุ ธเจา พทุ ธเจา , พระพุทธเจาอันเปนอยา งหนึง่ พุทธอปุ ฐาก ผคู อยรบั ใชพ ระพทุ ธเจา ใน ในรัตนะ ๓ ท่ีเรยี กวาพระรตั นตรัย; ดู ครั้งพุทธกาล มีพระอานนทพุทธอนุชา รตั นตรยั เปน ผูเลิศในเรือ่ งน้ี พุทธรูป รูปพระพทุ ธเจา พุทธโอวาท คาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา พุทธฤทธานุภาพ ฤทธิ์และอานุภาพ มหี ลกั ใหญ ๓ ขอ คอื ๑. สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ ไมท าํ ความชวั่ ทง้ั ปวง ๒. กสุ ลส-ฺ ของพระพุทธเจา พุทธเวไนย ผูท ่ีพระพทุ ธเจาควรแนะนํา สปู สมปฺ ทา ทําความดใี หเ พยี บพรอ ม ๓. สั่งสอน, ผูท่ีพระพุทธเจาพอแนะนาํ สง่ั สจิตฺตปริโยทปนํ ทําใจของตนให สอนได สะอาดบรสิ ุทธิ์
พทุ ธัตถจริยา ๒๗๑ พทุ ธาวาส พทุ ธตั ถจรยิ า ทรงประพฤตเิ ปน ประโยชน พุทธาวาส “อาวาสของพระพุทธเจา”, แกสัตวโลก โดยฐานเปนพระพุทธเจา สวนของวัดที่จัดใหเปนเขตท่ีพุทธบริษัท เชน ทรงแสดงธรรมแกเวไนยสตั วและ ประกอบกิจกรรมอุทิศคือตั้งใจมุงไปที่ บัญญัติวินัยข้ึนบริหารหมูคณะ ทรง องคพ ระพทุ ธเจา เสมอื นมาเฝา พระองค ประดิษฐานพระพุทธศาสนาใหย่ังยืนมา เชน พระสงฆม าทาํ สงั ฆกรรม มาพบปะ ตราบเทาทกุ วนั น้ี ฉลองศรัทธาของประชาชน มาแสดง พุทธันดร ชวงเวลาในระหวางแหงสอง ธรรม ชาวบา นมาเลย้ี งพระ ถวายทาน พุทธปุ บาทกาล, ชว งเวลาในระหวา ง นับ รกั ษาศลี ฟง ธรรม และทาํ การบชู าตา งๆ จากท่ีศาสนาของพระพุทธเจาพระองค จึงเปนเขตที่มีสิ่งกอสรางสําคัญ เชน หน่งึ สูญสนิ้ แลว จนถงึ พระพทุ ธเจาพระ โบสถ วหิ าร สถปู เจดยี และมกี ารจดั แตง องคใหมเสด็จอุบัติ คือชวงเวลาที่โลก อยางประณีตบรรจง ใหงดงามเปนที่ วา งพระพทุ ธศาสนา, คาํ นี้ บางทีใชใ น เจรญิ ศรทั ธา ตา งจากอกี สว นหนง่ึ ทเ่ี ปน คู การนับเวลา เชนวา “บรุ ษุ นน้ั … เที่ยว กนั คอื สงั ฆาวาส ซงึ่ จดั ไวเ ปน ทอ่ี ยอู าศยั เวียนวายอยตู ลอด ๖ พุทธันดร … ” ของพระภิกษุสามเณร อันเนนที่ความ พทุ ธาณัติ คําสงั่ ของพระพทุ ธเจา เรยี บงา ย เปน ทเ่ี หมาะแกก ารหลกี เรน มี พุทธาณัติพจน พระดํารัสส่ังของพระ สปั ปายะเออ้ื ตอ การเจรญิ ไตรสกิ ขา, ตาม พุทธเจา , คาํ ส่งั ของพระพุทธเจา ทเี่ ปน มา การจดั แบง เชน นดี้ าํ เนนิ มาอยา ง พุทธาทิบัณฑิต บัณฑิตมีพระพุทธเจา รกู นั เปน ประเพณี ในวดั ทว่ั ไป จงึ มกั ไม เปน ตน (พทุ ธ + อาทิ + บัณฑิต) ไดท าํ เครอ่ื งกน้ั เขต และไมม คี าํ เรยี กแยก พุทธาธบิ าย พระประสงคของพระพทุ ธ- ใหต า งกนั ออกไป แตใ นพระอารามหลวง เจา, พระดาํ รสั ชีแ้ จงของพระพุทธเจา มีการทํากําแพงแยกกันตางหากชัดเจน พุทธานุญาต ขอท่ีพระพุทธเจาทรง โดยใชค าํ เรยี กวา พทุ ธาวาส กบั สงั ฆาวาส อนุญาต ดงั ทกี่ ลา วมา, นอกจากนนั้ มวี ดั ทส่ี รา ง พุทธานุพุทธประวัติ ประวัติของพระ ข้ึนเปนท่ีประกอบสังฆกรรมและเปนท่ี พุทธเจา และพระสาวก เจริญกุศลของพุทธบริษัทโดยเฉพาะ พุทธานุสติ ตามระลึกถึงคุณของพระ โดยไมม สี งั ฆาวาส เชน วดั พระศรรี ตั น- พทุ ธเจา เขยี นอยา งรปู เดมิ ในภาษาบาลี ศาสดาราม (วัดพระแกว), คําวา เปน พทุ ธานสุ สติ (ขอ ๑ ในอนสุ ติ ๑๐) “พทุ ธาวาส” และ “สงั ฆาวาส” นี้ ไมพ บวา
พุทธิจริต ๒๗๒ เพื่อน มใี ชใ นคมั ภรี ใ ด; ดู สงั ฆาวาส ลักษณะและอาการท่ีปรากฏใหเห็นวา พทุ ธจิ รติ พน้ื นสิ ัยท่ีหนักในความรู มกั เปนบุคคลประเภทนี้ ประเภทนี้เชน ใชค วามคดิ พงึ สง เสรมิ ดว ยแนะนาํ ใหใ ช โดยเพศแหง ฤษี เพศบรรพชติ เพศแหง ความคดิ ในทางทชี่ อบ (ขอ ๕ ในจรติ ๖) ชางไม เปน ตน, ขนบธรรมเนียม พทุ ธุปบาทกาล [พดุ -ทุบ-บาด-ทะ-กาน] เพียรชอบ เพียรในที่ ๔ สถาน; ดู ปธาน กาลเปน ท่อี บุ ัตขิ องพระพุทธเจา, เวลาท่ี เพอื่ น ผูร วมธุระรว มกจิ รว มการหรือรว ม มีพระพทุ ธเจา เกิดข้ึนในโลก อยูในสภาพอยางเดียวกัน, ผูชอบพอ พทุ ฺโธ (พระผูม ีพระภาคเจาน้ัน) ทรงเปน รักใครคบหากัน, ในทางธรรม เน้ือแท ผตู นื่ ไมห ลงงมงายเองดว ย และทรงปลกุ ของความเปน เพอื่ น อยทู ่ีความมีใจหวงั ผูอื่นใหต่ืนพนจากความหลงงมงายน้ัน ดปี รารถนาดตี อ กัน กลาวคอื เมตตา ดวย ทรงเปนผเู บกิ บาน มีพระทยั ผอง หรือไมตรี เพ่ือนที่มีคุณสมบัติเชนนี้ แผว บําเพญ็ พทุ ธกิจไดถ กู ตอ งบรบิ รู ณ ทานเรียกวา มิตร การคบเพื่อนเปน (ขอ ๘ ในพทุ ธคณุ ๙) ปจจัยสําคัญยิ่งอยางหน่ึงที่จะนําชีวิตไป เพญ็ เต็ม หมายถึง พระจนั ทรเตม็ ดวง สูความเสื่อมความพินาศ หรือสูความ คือวันขึ้น ๑๕ คํา่ เจริญงอกงาม พึงหลีกเล่ียงมิตรเทียม เพทางค วชิ าประกอบกบั การศกึ ษาพระเวท และเลือกคบหาคนท่ีเปนมิตรแท; ดู มี ๖ อยาง คือ ๑. ศกิ ษา (วิธอี อกเสียง มติ ตปฏิรูป, มติ รแท คาํ ในพระเวทใหถ กู ตอ ง) ๒. ไวยากรณ ๓. ฉนั ทสั (ฉนั ท) ๔. โชยตษิ (ดารา- บุคคลท่ีชวยช้ีแนะแนวทาง ชักจูง ศาสตร) ๕. นริ กุ ติ (กาํ เนิดของคํา) ๖. ตลอดจนแนะนาํ ส่ังสอน ชักนาํ ผูอื่นให กัลปะ (วธิ จี ดั ทําพธิ ี) ดาํ เนินชีวิตทด่ี งี าม ใหป ระสบผลดแี ละ เพลาะ เยบ็ รมิ ตอใหติดกนั ; ผาเพลาะ คอื ความสขุ ใหเ จรญิ กา วหนา ใหพ ฒั นาใน ธรรม แมจ ะเปน บคุ คลเสมอกนั หรอื เปน ผาทีเ่ อามาเย็บริมตอ เขา (บาลี: อนวฺ าธกิ ํ) มารดาบดิ าครอู าจารย ตลอดทง้ั พระสงฆ เพลิงทิพย ไฟเทวดา, ไฟที่เปนของ จนถงึ พระพทุ ธเจา กน็ บั วา เปน เพอื่ น แต เทวดา, เพลงิ คราวถวายพระเพลงิ พระ เปน เพอ่ื นใจดี หรอื เพอ่ื นมธี รรม เรยี กวา กัลยาณมิตร แปลวา “มิตรดีงาม” พทุ ธสรีระ เพศ ลักษณะท่ีใหรูวาหญิงหรือชาย, กั ล ย า ณ มิ ต ร มี คุ ณ ส ม บั ติ ท่ี เ รี ย ก ว า กลั ยาณมติ รธรรม หรอื ธรรมของกลั ยาณ- เคร่ืองหมายวาเปนชายหรือเปนหญิง,
แพศย ๒๗๓ โพธิ,์ โพธิพฤกษ มติ ร ๗ ประการ คอื ๑. ปโ ย นา รกั ดว ย โพธ,์ิ โพธพิ ฤกษ ตนโพธ์,ิ ตนไมท่พี ระ มเี มตตา เปน ทสี่ บายจติ สนทิ ใจ ชวนให พุทธเจา ไดประทับ ณ ภายใตร ม เงาใน อยากเขา ไปหา ๒. ครุ นา เคารพ ดว ย คราวตรัสรู, ตนไมเปนท่ีตรัสรูและตน ความประพฤติหนักแนนเปนที่พ่ึงอาศัย ไมอื่นท่ีเปนชนิดเดียวกันนั้น สําหรับ ได ใหร สู กึ อบอนุ ใจ ๓. ภาวนโี ย นา พระพุทธเจาองคป จ จบุ ัน ไดแก พันธุไ ม เจรญิ ใจ ดว ยความเปน ผฝู ก ฝนปรบั ปรงุ อสั สตั ถะ (ตน โพ) ตน ที่อยู ณ ฝงแมนาํ้ ตน ควรเอาอยา ง ใหร ะลกึ และเอย อา ง เนรญั ชรา ตาํ บลคยา; ตน โพธต์ิ รสั รทู ่ี ดว ยซาบซง้ึ ภมู ใิ จ ๔. วตั ตา รจู กั พดู ใหไ ด เปนหนอของตนเดิมที่คยาไดปลูก ผล รจู กั ชแี้ จงแนะนาํ เปน ทป่ี รกึ ษาทด่ี ี เปน ตน แรกในสมยั พทุ ธกาล (ปลกู จาก ๕. วจนกขฺ โม อดทนตอ ถอ ยคาํ พรอ มที่ เมล็ด) ที่ประตูวัดพระเชตวันโดยพระ จะรบั ฟง คาํ ปรกึ ษาซกั ถาม ตลอดจนคาํ อานนทเ ปน ผดู าํ เนนิ การตามความปรารภ เสนอแนะวพิ ากษวิจารณ ๖. คมภฺ รี จฺ ของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี และเรยี กชอ่ื วา กถํ กตตฺ า แถลงเรอ่ื งลา้ํ ลกึ ได สามารถ อานนั ทโพธ;ิ หลงั พทุ ธกาล ในสมยั พระ อธิบายเรื่องยุงยากซับซอนใหเขาใจและ เจา อโศกมหาราช พระนางสงั ฆมติ ตาเถรี สอนใหเรียนรูเรื่องราวที่ลึกซ้ึงย่ิงขึ้นไป ไดนํากิ่งดานขวาของตนมหาโพธิท่ีคยา ๗.โน จฏาเน นโิ ยชเย ไมช กั นาํ ในอฐาน นั้นไปมอบแดพระเจาเทวานัมปยติสสะ คอื ไมช กั จงู ไปในทางเสอ่ื มเสยี หรอื เรอ่ื ง ทรงปลกู ไว ณ เมืองอนุราธปรุ ะ ใน เหลวไหลไมสมควร ลังกาทวปี ซงึ่ ไดช อื่ วา เปน ตน ไมเ กา แกท ่ี แพศย คนวรรณะทสี่ าม ในวรรณะส่ขี อง สุดในประวัติศาสตรที่ยังคงมีชีวิตอยูใน คนในชมพูทวีป ตามหลักศาสนา ปจ จบุ นั ; ในประเทศไทย สมยั ราชวงศ พราหมณ หมายถงึ พวกชาวนาและพอ คา จกั รี พระสมณทูตไทยในสมยั รชั กาลท่ี แพศยา หญิงหากินในทางกาม, หญงิ หา ๒ ไดนาํ หนอ พระศรมี หาโพธ์ิ ที่เมอื ง เงินในทางรว มประเวณี อนรุ าธปรุ ะมา ๖ ตน ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ โพชฌงค ธรรมท่เี ปนองคแ หงการตรัสรู โปรดใหปลูกไวที่เมืองนครศรีธรรมราช หรอื องคข องผูต รสั รู มี ๗ ขอ คอื ๑. ๒ ตน นอกนนั้ ปลกู ทวี่ ดั มหาธาตุ วดั สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดสอ งเลือก สุทัศน วัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน เฟน ธรรม) ๓.วริ ยิ ะ๔.ปต ิ๕.ปส สทั ธิ ๖. แหง ละ ๑ ตน ; ตอ มาในสมยั รชั กาลที่ ๕ สมาธิ ๗. อุเบกขา; ดู โพธิปกขยิ ธรรม ประเทศไทยไดพ ันธุต นมหาโพธจิ ากคยา
โพธิญาณ ๒๗๔ ไพศาลี โดยตรงครั้งแรก ไดปลูกไว ณ วัด สําเร็จความเปนพระพุทธเจา ซึ่งบางที เบญจมบพิตรและวดั อัษฎางคนิมิตร เรียกวา มหาโพธสิ มภาร อนั ประมวล โพธญิ าณ ญาณคือความตรัสร,ู ญาณ เขาไดใ นธรรมใหญ ๒ ประการ คือ คือปญญาตรัสรู, มรรคญาณท้ังสี่มี กรุณา และปญ ญา, เมื่อใชอ ยา งกวางๆ โสดาปตตมิ ัคคญาณ เปนตน หมายถงึ โพธิปกขยิ ธรรม ก็ได โพธปิ ก ขยิ ธรรม ธรรมอนั เปน ฝก ฝา ยแหง ในภาษาไทย มกั ใชใ นความหมายวา ความตรสั ร,ู ธรรมทเี่ กอ้ื หนนุ แกอ รยิ มรรค บุญบารมีของพระมหากษัตริย (โดยถือ มี ๓๗ ประการคือ สติปฏฐาน ๔, มาวา พระมหากษตั ริย คือทานผูกาํ ลัง สมั มัปปธาน ๔, อิทธบิ าท ๔, อนิ ทรยี บาํ เพญ็ คุณความดแี หง พระโพธิสตั ว) ๕, พละ๕, โพชฌงค ๗, มรรคมอี งค ๘; โพธิสัตว ทานผูที่จะไดตรัสรูเปนพระ ในจํานวน ๓๗ น้ี ถานบั ตัวสภาวธรรม พุทธเจา ซึง่ กําลังบําเพ็ญบารมี ๑๐ คือ แทๆ ตดั จํานวนทซี่ า้ํ ออกไป มี ๑๔ คือ ทาน ศลี เนกขัมมะ ปญ ญา วริ ยิ ะ ขนั ติ สติ วิริยะ ฉันทะ จิตตะ ปญ ญา สัทธา สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขา สมาธิ ปต ิ ปสสทั ธิ อเุ บกขา สัมมา- โพนทนา กลาวโทษ, ตเิ ตียน, พูดกลาว สงั กปั ปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ โทษทานตอหนาผูอื่น (พจนานุกรม สมั มาอาชีวะ (วิสุทธฺ ิ.ฏี.๓/๖๐๐) เขยี น โพนทะนา) โพธิมัณฑะ ประเทศเปนที่ผองใสแหง ไพบูลย ความเต็มเปยม, ความเจริญ โพธิญาณ, บรเิ วณตนโพธ์ิเปน ทตี่ รัสรู เต็มที่ มี ๒ คือ ๑. อามิสไพบูลย ความ โพธิราชกุมาร เจาชายโพธิ พระราช- ไพบูลยแหงอามิส ๒. ธรรมไพบูลย โอรสของพระเจาอเุ ทน พระเจา แผน ดิน ความไพบลู ยแ หงธรรม; ดู เวปลุ ละ ไพรสณฑ, ไพรสัณฑ ปาทบึ , ปา ดง; แควน วงั สะ โพธิสมภาร คุณความดีที่เปนเครื่อง คําบาลวี า “วนสณฑฺ ” (วน [ปา ] + สณฺฑ ประกอบของโพธ,ิ คุณความดที ง้ั หลาย [ดง, ทบึ , แนน หนา], เมอ่ื นาํ มาใชใ นภาษา เฉพาะอยางยิ่ง ประดาบารมีที่เปนสวน ไทย ไดเพ้ยี นไปตางๆ เชน ไพรสาณฑ, ประกอบอันรวมกันใหสําเร็จโพธิ คือ พนาสณฑ, พนาสัณฑ, วนาสณฑ, ความตรัสรู, ตามปกติ หมายถึงประดา วนาสัณฑ) บารมีที่พระโพธิสัตวบําเพ็ญ อันจะให ไพศาลี ดู เวสาลี
ฟน เฝอ ๒๗๕ ภวจกั ร ฟ ฟน เฝอ เคลือบคลุม, พวั พนั กนั , ปน ฟมู ฟาย มากมาย, ลนเหลอื , สุรยุ สรุ า ย, คละกัน, ยงุ น้ําตาอาบหนา ภ ภควา พระผมู พี ระภาค, เปนพระนาม ผานมา, ภพกอน, ชาติกอ น; ตรงขามกบั หนึ่งของพระพทุ ธเจา และเปน คําแสดง ภพหนา พระพุทธคุณอยา งหน่งึ แปลวา “ทรง ภยตปู ฏ ฐานญาณ ปรีชาหยัง่ เหน็ สงั ขาร เปน ผูมโี ชค” คอื หวงั พระโพธญิ าณกไ็ ด ปรากฏโดยอาการเปนของนากลัวเพราะ สมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู สังขารท้ังปวงนั้นลวนแตจะตองแตก คนใหไดบรรลุธรรมสมปรารถนา มีผู สลายไป ไมปลอดภยั ทั้งสนิ้ (ขอ ๓ ใน คิดรา ยก็ไมอ าจทํารา ยได; อีกนัยหนึง่ วา วปิ ส สนาญาณ ๙) ทรงเปนผจู าํ แนกแจกธรรม (ขอ ๙ ใน ภยันตราย ภยั และอันตราย, อันตรายท่ี พทุ ธคณุ ๙) นา กลวั ภคันทลา โรคริดสีดวงทวารหนกั ภยาคติ ลาํ เอยี งเพราะกลวั (ขอ ๔ ใน ภคนิ ี พ่หี ญงิ นองหญงิ อคติ ๔) ภคุ ดู ภัคคุ ภวจักร วงลอ แหง ภพ, อาการหมุนวน ภพ โลกเปนทอี่ ยูของสัตว, ภาวะชวี ิตของ ตอเน่ืองไปแหงภาวะของชีวิตท่ีเปนไป สตั ว มี ๓ คอื ๑. กามภพ ภพของผยู งั ตามเหตุปจจัย ในหลักปฏิจจสมุปบาท; เสวยกามคุณ ๒. รปู ภพ ภพของผเู ขา “ภวจักร” เปนคาํ ในช้ันอรรถกถาลงมา ถึงรปู ฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผเู ขา ถึง เชน เดยี วกบั คาํ วา สงั สารจกั ร ปจ จยาการ- อรปู ฌาน; เทียบ ภมู ิ, คติ จกั ร ตลอดจนปฏจิ จสมปุ บาทจกั ร ซง่ึ ภพหลัง โลกที่สัตวเกิดมาแลวในชาติท่ี ทานสรรมาใชในการอธิบายหลักปฏิจจ-
ภวตัณหา ๒๗๖ ภวงั คุปจเฉท สมปุ บาทนนั้ , อาการหมนุ วนของภวจกั ร ภวงั คจติ จติ ทเ่ี ปน องคแ หง ภพ, ตามหลกั หรอื สังสารจักรนี้ ทา นอธบิ ายตามหลกั อภิธรรมวา จิตที่เปนพ้ืนอยูระหวาง ไตรวฏั ฏ; ดู ไตรวฏั ฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏสิ นธแิ ละจตุ ิ คอื ตง้ั แตเ กดิ จนถงึ ตาย ภวตัณหา ความอยากเปนนนั่ เปนนี่ หรือ ในเวลาท่ีมิไดเสวยอารมณทางทวารท้ัง อยากเกดิ อยากมอี ยคู งอยตู ลอดไป, ความ ๖ มจี ักขุทวารเปน ตน แตเมื่อใดมีการ ทะยานอยากท่ีประกอบดวยภวทิฏฐิ รับรูอารมณ เชน เกิดการเหน็ การได หรอื สัสสตทฏิ ฐิ (ขอ ๒ ในตณั หา ๓) ยิน เปนตน ก็เกิดเปนวิถีจิตข้ึนแทน ภวทฏิ ฐิ ความเหน็ เนอ่ื งดวยภพ, ความ ภวงั คจติ เมือ่ วถิ จี ติ ดับไป กเ็ กดิ เปน เห็นวาอัตตาและโลกจักมีอยูคงอยูเท่ียง ภวงั คจิตขึน้ อยา งเดมิ แทต ลอดไป เปนพวกสัสสตทฏิ ฐิ ภวังคจิต นี้ คอื มโน ท่ีเปน อายตนะ ภวราคะ ความกําหนดั ในภพ, ความติด ที่ ๖ หรือมโนทวาร อันเปนวิบาก เปน ใครใ นภพ (ขอ ๗ ในสังโยชน ๑๐ ตาม อัพยากฤต ซง่ึ เปน จิตตามสภาพ หรือ นัยพระอภิธรรม, ขอ ๖ ในอนสุ ัย ๗) ตามปกติของมัน ยังไมข้ึนสูวิถีรับรู ภวัคค, ภวคั ร ภพสงู สุด ตามปกติ หมาย อารมณ (เปนเพยี งมโน ยงั ไมเ ปน มโน- ถงึ อรปู ภพ ชั้นเนวสัญญายตนะ ซง่ึ ไมมี วิญญาณ) ภพใดสงู กวา คอื สูงทสี่ ุดในไตรภพ หรือ พทุ ธพจนว า “จติ นปี้ ระภสั สร (ผดุ ในไตรภมู ,ิ แตบ างครง้ั ทา นแยกละเอยี ด ผอ ง ผอ งใส บรสิ ทุ ธ)ิ์ แตเ ศรา หมอง ออกไปวา มี ภวัคค (ภวัคคะ หรือ ภวคั ร) เพราะอปุ กเิ ลสทจี่ รมา” มคี วามหมายวา ๓ คอื ๑. ปถุ ุชชนภวคั ค ภพสูงสดุ ของ จติ น้โี ดยธรรมชาติของมนั เอง มใิ ชเ ปน ปุถุชนในรูปโลก ไดแก เวหัปผลภูมิ สภาวะทแ่ี ปดเปอ นสกปรก หรอื มสี งิ่ เศรา ๒. อรยิ ภวัคค ภพสูงสุดของพระอริยะ หมองเจอื ปนอยู แตส ภาพเศรา หมองนน้ั (ท่ีเกิดของพระอนาคามี) ไดแก อกนิฏฐ - เปน ของแปลกปลอมเขา มา ฉะนนั้ การ ภูมิ ๓. สพั พภวคั ค (หรอื โลกภวคั ค) ภพ ชําระจิตใหสะอาดหมดจดจึงเปนส่ิงท่ี สูงสดุ ของสรรพโลก ไดแ ก เนวสญั ญา- เปน ไปได; จติ ทป่ี ระภสั สรนี้ พระอรรถ- นาสญั ญายตนภมู ,ิ ในภาษาไทย นิยม กถาจารยอ ธบิ ายวา ไดแ ก ภวงั คจติ ; เทียบ พูดวา ภวคั คพรหม; ดู ภพ, ภูมิ ๔, ๓๑ วถิ ีจิต ภวงั ค ดู ภวังคจิต ภวงั คปริวาส ดู ปรวิ าส 2. ภวงั คจลนะ ดู วถิ จี ติ ภวังคุปจ เฉท ดู วถิ จี ติ
ภวาสวะ ๒๗๗ ภัตตัคควตั ร ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ, กเิ ลสทหี่ มกั หมม ต้งั จากสงฆ ใหเ ปนผูม หี นาทรี่ กั ษาเรือน หรอื ดองอยใู นสันดาน ทาํ ใหอ ยากเปน คลงั เกบ็ พสั ดขุ องสงฆ, ผรู กั ษาคลงั สง่ิ ของ, อยากเกดิ อยากมอี ยคู งอยตู ลอดไป (ขอ เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจาอธิการ แหงคลงั ๒ ในอาสวะ ๓ และ ๔) ภกั ษา, ภักษาหาร เหยอื่ , อาหาร ภณั ฑกู รรม ดู ภณั ฑกู ัมม ภัคคะ ช่ือแควนหนึ่งในชมพูทวีปคร้ัง ภัณฑูกัมม การปลงผม, การบอกขอ พุทธกาล นครหลวงชือ่ สงุ สุมารครี ะ อนุญาตกะสงฆเพ่ือปลงผมคนผูจะบวช ภัคคุ เจาศากยะองคหน่ึง ท่ีออกบวช ในกรณที ภ่ี กิ ษจุ ะปลงใหเ อง เปน อปโลกน- พรอมกับพระอนุรุทธะ ไดบรรลุพระ กรรมอยา งหนง่ึ อรหัต และเปน พระมหาสาวกองคหน่งึ ภตั , ภัตร อาหาร, ของกนิ , ของฉนั , เขียน ภคุ ก็มี อาหารที่รบั ประทาน (หรือฉัน) เปนมื้อๆ ภังคะ ผาทาํ ดวยของเจือกนั คอื ผา ทํา ภัตกาล เวลาฉนั อาหาร, เวลารับประทาน ดวยเปลือกไม ฝาย ไหม ขนสัตว อาหาร เดมิ เขียน ภัตตกาล เปลอื กปาน ๕ อยา งนี้ อยางใดก็ไดปน ภตั กจิ การบรโิ ภคอาหาร เดมิ เขยี น ภตั ตกจิ กัน เชน ผาดายแกมไหม เปนตน ภัตตัคควัตร ขอควรปฏิบัติในหอฉัน, ภงั คญาณ ปญ ญาหย่งั เห็นความยอ ยยับ ธรรมเนียมในโรงอาหาร ทานจดั เขาเปน คือ เห็นความดับแหงสังขาร; ภังคา- กิจวัตรประเภทหนึ่ง กลาวยอ มี ๑๑ นปุ ส สนาญาณ ก็เรียก ขอ คอื นุง หมใหเ รยี บรอย, รจู กั อาสนะ ภงฺคํ ดู ภงั คะ อันสมควรแกตน, ไมนั่งทับผาสังฆาฏิ ภังคานุปสสนาญาณ ญาณตามเห็น ในบา น, รบั นํ้าและโภชนะของถวายจาก ความสลาย, ปรชี าหยั่งเหน็ เฉพาะความ ทายกโดยเอ้อื เฟอ และคอยระวงั ใหได ดับของสังขารเดนชัดข้ึนมาวาสังขารท้ัง รับทั่วถึงกัน, ถาพอจะแลเห็นท่ัวกัน ปวงลวนจะตองแตกสลายไปทั้งหมด พระสังฆเถระพึงลงมือฉันเมื่อภิกษุท้ัง (ขอ ๒ ในวปิ ส สนาญาณ ๙) หมดไดรับโภชนะทั่วกันแลว, ฉันดวย ภณั ฑไทย ของที่จะตองให (คืน) แกเขา, อาการเรียบรอ ยตามหลกั เสขิยวัตร, อมิ่ สินใช, การที่จะตองชดใชทรัพยที่เขา พรอ มกนั (หัวหนา รอยังไมบวนปากและ เสยี ไป ลา งมือ), บว นปากและลา งมือระวังไมให ภัณฑาคาริก ภิกษผุ ูไดร ับสมมติ คอื แตง น้ํากระเซ็น, ฉันในที่มีทายกจัดถวาย
ภัตตาหาร ๒๗๘ ภัททากณุ ฑลเกสา เสร็จแลวอนุโมทนา, เมื่อกลับ อยา ภทั ทปทมาส เดอื น ๑๐ เรียกงายวา เบียดเสียดกันออกมา, ไมเทน้ําลาง ภัทรบท บาตรมีเมล็ดขาวหรือของเปนเดนใน ภัททวัคคีย พวกเจริญ, เปนชื่อคณะ บานเขา สหาย ๓๐ คนทพี่ ากันเขามาในไรฝ า ย ภตั ตาหาร อาหารคอื ขา วของฉนั , อาหาร แหงหนึ่งเพ่ือเที่ยวตามหาหญิงแพศยาผู ที่สาํ หรบั ฉันเปน มอ้ื ๆ ลักหอเคร่ืองประดับหนีไป และไดพบ ภตั ตทุ เทสกะ ผแู จกภัตต, ภกิ ษทุ ส่ี งฆ พระพุทธเจาซึ่งพอดีเสด็จแวะเขาไป สมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่จัด ประทับพกั อยูท่ไี รฝ ายนน้ั ไดฟ งเทศนา แจกภัต, นยิ มเขียน ภัตตเุ ทศก, เปน อนุบุพพกิ ถา และอริยสจั จ ๔ ไดดวงตา ตําแหนงหน่ึงในบรรดา เจาอธิการแหง เหน็ ธรรมแลว ขออุปสมบท อาหาร ภัททากจั จานา พระมหาสาวกิ าองคห นึง่ ภตั ตุเทศก ดู ภตั ตุทเทสกะ เปนธิดาของพระเจาสุปปพุทธะแหง ภตั ร ดู ภตั โกลยิ วงศ พระนามเดมิ วา ยโสธรา หรอื ภัทกัป ดู กัป พิมพา เปนพระมารดาของพระราหุล ภัททกาปล านี พระมหาสาวกิ าองคห นึง่ พทุ ธชิโนรส ไดน ามวา ภทั ทากจั จานา เปน ธดิ าพราหมณโ กสยิ โคตรในสาคลนคร เพราะทรงมีฉวีวรรณดุจทองคําเน้ือ แหง มัททรฐั (คัมภรี อ ปทานวาไวช ดั ดงั น้ี เกลี้ยง บวชเปนภิกษุณีในพระพุทธ- แตอ รรถกถาองั คตุ ตรนกิ ายคลาดเคลอ่ื น ศาสนาเจรญิ วิปสสนากัมมฏั ฐาน ไมชา ก็ เปนแควนมคธ) พออายุ ๑๖ ป ได ไดสําเร็จพระอรหัต ไดรับยกยองวา สมรสกบั ปป ผลมิ าณพ (พระมหากสั สปะ) เปนเอตทัคคะในทางบรรลุมหาภิญญา ตอ มามคี วามเบอ่ื หนา ยในฆราวาส จงึ ออก เรยี ก ภทั ทกจั จานา ก็มี บวชเปน ปรพิ าชกิ า เมอ่ื พระมหาปชาบดี ภทั ทากณุ ฑลเกสา พระมหาสาวกิ าองค ผนวชเปน ภิกษณุ แี ลว นางไดม าบวชอยู หน่ึง เปนธิดาของเศรษฐีในพระนคร ในสํานักของพระมหาปชาบดี เจริญ ราชคฤห เคยเปนภรรยาของโจรผูเปน วปิ ส สนากมั มฏั ฐานดว ยความไมป ระมาท นักโทษประหารชีวิต โจรคิดจะฆานาง ไดบ รรลพุ ระอรหตั ไดร บั ยกยอ งวา เปน เพื่อเอาทรัพยสมบัติ แตนางใชปญญา เอตทคั คะในทางปพุ เพนวิ าสานสุ ติ เรยี ก คิดแกไขกําจัดโจรได แลว บวชในสาํ นกั ภทั ทากาปล านี บา ง ภทั ทากปล านี บา ง นิครนถ ตอมาไดพบกับพระสารีบุตร
ภทั ทิยะ ๒๗๙ ภาณยักษ ไดถาม-ตอบปญหากัน จนนางมีความ ปญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดยี เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตอมาไดฟ ง ภนั เต “ขาแตท านผูเ จรญิ ” เปน คาํ ที่ภกิ ษุ พระธรรมเทศนาท่ีพระศาสดาทรงแสดง ผูออนพรรษากวาเรียกภิกษุผูแกพรรษา ไดสําเร็จพระอรหัต แลวบวชในสํานัก กวา (ผนู อยเรยี กผใู หญ) หรือคฤหสั ถ ภิกษุณี ไดรับยกยองวาเปนเอตทคั คะ กลาวเรียกพระภิกษุ, คูกับคําวา ในทางขปิ ปาภญิ ญา คอื ตรสั รฉู ับพลัน อาวุโส; บัดนี้ใชเลือนกันไปกลายเปน ภทั ทยิ ะ 1. ชอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในคณะปญ จ- คาํ แทนตัวบุคคล กม็ ี วัคคีย เปนพระอรหันตรุนแรก 2. ภัพพบุคคล คนที่ควรบรรลธุ รรมพิเศษ กษัตริยศากยวงศ โอรสของนางกาฬิ- ได; เทียบ อภพั บุคคล โคธา สละราชสมบตั ทิ มี่ าถงึ ตามวาระแลว ภัลลิกะ พอคาที่มาจากอุกกลชนบท คู ออกบวชพรอมกับพระอนรุ ทุ ธะ สาํ เร็จ กับ ตปุสสะ พบพระพุทธเจาขณะ อรหตั ตผล ไดร บั ยกยอ งวา เปน เอตทคั คะ ประทบั อยู ณ ภายใตต น ไมร าชายตนะ ในบรรดาภกิ ษผุ มู าจากตระกลู สงู และจดั ไดถ วายเสบยี งเดนิ ทาง คือ ขาวสัตตุผง เปน มหาสาวกองคห นงึ่ ในจาํ นวน ๘๐ ขา วสตั ตกุ อน แลว แสดงตนเปนอบุ าสก ภัททยิ ศากยะ ดู ภทั ทยิ ะ 2. ถึงพระพุทธเจากับพระธรรมเปนสรณะ ภทั เทกรตั ตสตู ร ชอ่ื สตู รหนง่ึ ในมชั ฌมิ - นับเปนปฐมอบุ าสกประเภทเทฺววาจกิ นิกาย อุปริปณณาสก แหงพระ ภาคี ผูมสี ว น, ผมู ีสวนรวม, ผูมีสวนแบง , สุตตนั ตปฎก แสดงเรอ่ื งบคุ คลผมู ีราตรี ผูรว มได, ผเู ขา รว ม เดยี วเจรญิ คือ คนทเ่ี วลาวันคืนหน่ึงๆ ภาชกะ ผแู จก, ผจู ัดแบง มแี ตค วามดงี ามความเจรญิ กา วหนา ได ภาณพระ ดู ภาณยักษ แก ผูทีไ่ มมวั ครนุ คาํ นงึ อดตี ไมเ พอ หวัง ภาณยักษ บทสวดของยกั ษ, คําบอกของ อนาคต ใชปญญาพิจารณาใหเห็นแจง ยักษ, สวดหรอื บอกแบบยกั ษ; เปนคาํ ที่ ประจักษส่ิงท่ีเปนปจจุบัน ทําความดี คนไทยเรยี กอาฏานาฏยิ สตู ร ท่ีนํามาใช เพิ่มพูนข้ึนเร่ือยไป มีความเพียร เปนบทสวดมนตในจําพวกพระปริตร พยายาม ทํากิจทีค่ วรทําเสียแตวันนี้ไม (เปนพระสตู รขนาดยาวสตู รหนึง่ นยิ ม รอวนั พรุง คัดตัดมาเฉพาะตอนที่มีสาระเกี่ยวกับ ภทั ราวุธมาณพ ศษิ ยคนหน่ึงในจํานวน ความคุมครองปองกันโดยตรง และ ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ทไ่ี ปทลู ถาม เ รี ย ก ส ว น ท่ี ตั ด ต อ น ม า ใ ช นั้ น ว า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: