พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพทพระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) (ชําระ-เพ่มิ เตมิ ชวงที่ ๑)
พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศัพท© พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต)ISBN 974-575-029-8พมิ พคร้งั ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ จํานวน ๑,๕๐๐ เลม– งานพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลัดสมยั กิตตฺ ิทตฺโต เจาอาวาสพระพิเรนทรพิมพครงั้ ท่ี ๒ (เพ่มิ ศพั ทและปรบั ปรงุ ) พ.ศ. ๒๕๒๗ จํานวน ๙,๔๐๐ เลมพมิ พค ร้งั ที่ ๓ (เพม่ิ ภาคผนวก) พ.ศ. ๒๕๒๘ จาํ นวน ๕,๐๐๐ เลม– พิมพถ วายมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย โดย “ทุนพมิ พพ จนานกุ รมพุทธศาสน”พมิ พครง้ั ท่ี ๔–๙ พ.ศ. ๒๕๓๑–๒๕๔๓ จํานวน ๓๑,๕๐๐ เลมพิมพครงั้ ท่ี ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ (จัดเรยี งพมิ พใ หมด วยระบบคอมพวิ เตอร) ขนาดตวั อักษรธรรมดา ๕,๐๐๐ เลม และขนาดตวั อกั ษรใหญ ๕,๐๐๐ เลมพิมพครั้งท่ี ๑๑ - มีนาคม ๒๕๕๐ (ชําระ-เพ่ิมเตมิ ชวงท่ี ๑)– คณะผศู รทั ธารวมกันจัดพมิ พเ ปน ธรรมทาน จาํ นวน ๕,๐๐๐ เลมพมิ พท่ี
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท© พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)ISBN 974-575-029-8พมิ พครง้ั ที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ จาํ นวน ๑,๕๐๐ เลม– งานพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลัดสมยั กิตฺตทิ ตฺโต เจาอาวาสพระพิเรนทรพิมพคร้ังที่ ๒ (เพ่มิ ศพั ทและปรับปรงุ ) พ.ศ. ๒๕๒๗ จํานวน ๙,๔๐๐ เลมพมิ พค ร้ังที่ ๓ (เพิม่ ภาคผนวก) พ.ศ. ๒๕๒๘ จํานวน ๕,๐๐๐ เลม– พิมพถ วายมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั โดย “ทนุ พิมพพ จนานกุ รมพุทธศาสน”พมิ พครงั้ ที่ ๔–๙ พ.ศ. ๒๕๓๑–๒๕๔๓ จาํ นวน ๓๑,๕๐๐ เลมพิมพครัง้ ที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ (จัดเรยี งพิมพใหมด วยระบบคอมพิวเตอร) ขนาดตัวอักษรธรรมดา ๕,๐๐๐ เลม และขนาดตัวอกั ษรใหญ ๕,๐๐๐ เลมพิมพคร้ังท่ี ๑๑ - มีนาคม ๒๕๕๐ มิถุนายน ๒๕๕๑ (ชําระ-เพิม่ เตมิ ชวงท่ี ๑)– คณะผศู รัทธารวมกันจดั พมิ พเ ปน ธรรมทาน จํานวน ๕,๐๐๐ เลมพมิ พท่ี
บนั ทกึ ในการชําระ-เพม่ิ เติม ชว งท่ี ๑: ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๐ก) งานในโครงการ แตชะงัก-หาย ยอนหลงั ไปถึง พ.ศ.๒๕๐๖ เม่ือหนังสือ Student’s Thai–Pali–English Dictionary ofBuddhist Terms เลมเลก็ ๆ เสรจ็ แลว ผูจดั ทําหนังสอื นี้ กไ็ ดเ รม่ิ งานพจนานกุ รมพระพทุ ธศาสนางานคางที่ ๑: เริ่มแรก คิดจะทําพจนานุกรมพระพุทธศาสนาเชิงสารานุกรม ฉบับที่คอนขางสมบูรณเ ลยทเี ดียว มที ัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเขยี นแยกเปน ๒ คอลมั น ซา ย-พากยไ ทยและ ขวา-พากยอังกฤษ เร่ิม ๒๙ ก.ย. ๒๕๐๖ ถึง ๑๒ พ.ย. ๒๕๐๗ จบอักษร “บ” (ยังคางชําระบางคํา) ตองเขารับงานท่ีมหาจุฬาฯ แลวยงุ กับงานท่นี น่ั จนงานพจนานุกรมชะงกั แลว หยดุ ไปเลยงานคางที่ ๒: เม่ือเหน็ วายากจะมโี อกาสทาํ งานคา งนั้นตอ จงึ คิดใหมว าจะทําฉบับที่มีเพยี งพากยไทย อยา งยนยอ โดยมีภาษาอังกฤษเฉพาะคาํ แปลศพั ทใ สว งเล็บหอยทายไว แลว เร่มิ งานใน พ.ศ.---- แตง านที่มหาจฬุ าฯ มาก พอทําจบ “ต” ก็ตองหยุด (ตน ฉบับงานชดุ นี้ท้ังหมดหายไปแลว ) (ระหวางนัน้ ในป ๒๕๑๕ โดยคํานมิ นตของทานเจา คุณเทพกิตติโสภณ ครัง้ ยังเปนพระมหาสมบูรณ สมปฺ ุณฺโณ ตกลงทาํ ประมวลหมวดธรรมออกมาใชก ันไปพลางกอน ทําใหเ กิดพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [ตอ มาเตมิ คาํ วา ประมวลธรรม] เสรจ็ เปน เลม ใน พ.ศ. ๒๕๑๘)งานคางท่ี ๓: ใน พ.ศ.๒๕๑๙ ไปเปนวิทยากรที่ Swarthmore College เมอื่ กลบั มาในป ๒๕๒๑ตง้ั ใจหยดุ งานอนื่ ทง้ั หมดเพอ่ื จดั ทาํ สารานกุ รมพทุ ธศาสนา โดยเรมิ่ ตน ใหม ทาํ เฉพาะพากยภ าษาไทย มีภาษาองั กฤษเพยี งคาํ แปลศพั ทใ นวงเลบ็ หอ ยทา ย พอใกลส นิ้ ป ๒๕๒๑ กจ็ บ “ก” รวมได ๑๐๕ หนากระดาษพมิ พดีด และขึน้ “ข” ไปไดเ ล็กนอ ย แลว หันไปทําคาํ เกยี่ วกับประวตั ิเสร็จไปอีก ๘๐ หนา ตน ป ๒๕๒๒ นน้ั เอง ศาสตราจารย ดร. ระวี ภาวิไล จะพมิ พ พทุ ธธรรม ไดขอเวลาทานเพือ่เขยี นเพ่มิ เติม แลว การไปบรรยายท่ี Harvard University มาแทรก กวาจะเติมและพิมพเ สรจ็ สน้ิเวลา ๓ ป งานทาํ พจนานุกรม-สารานกุ รมเปน อันหยดุ ระงับไป จากนนั้ งานดา นอน่ื เพ่มิ ขึ้นตลอดมาข) งานใหมนอกสาย แตเ สรจ็ : พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท๑. ยคุ พมิ พระบบเกา ตน ป ๒๕๒๒ นนั้ แหละ เมอ่ื เห็นวาคงไมมีโอกาสฟนงานท่คี า ง ก็นกึ ถึงหนงั สอื ศพั ทห ลกัสตู รภาษาไทย (สาํ หรบั วชิ าใหมใ นหลกั สตู รนกั ธรรม) ท่มี หาจฬุ าฯ พิมพออกมาใน พ.ศ.๒๕๐๓ ซง่ึแทบจะยงั ไมทนั ไดเ ผยแพร วิชาใหมน น้ั กถ็ กู ยกเลกิ เสยี จึงพบหนงั สือชุดนั้นเหลอื คา งถูกทอดทงิ้อยูมากมาย เห็นวา มขี อ มูลพอจะทําเปน พจนานุกรมเบ้อื งตนได อยางนอยหวั ศัพทท่ีมอี ยูก็จะทุนแรงทุนเวลาในการเกบ็ ศพั ทไ ปไดม าก จงึ ตกลงทํางานใหมช ิ้นทีง่ า ยและรวบรดั โดยนาํ หนงั สอื ชดุ นนั้ทงั้ ๓ เลม รวม ๙ ภาค (ศพั ท น.ธ.ตร–ี โท–เอก ชนั้ ละ ๓ วชิ า จงึ มชี นั้ ละ ๓ ภาค) มาจดั เรยี งเปน
ขพจนานกุ รมเบอื้ งตน เลม เดยี ว พมิ พอ อกมากอ น ในงานพระราชทานเพลงิ ศพทา นอาจารยพ ระครปู ลดัสมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต เรยี กชอื่ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู นกั เรยี น นกั ธรรม (เปลยี่ นเปน ชอ่ื ปจ จบุ นัวา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท เมอ่ื พมิ พค รงั้ ท่ี๒ พ.ศ.๒๕๒๗) หนงั สอื ใหมเ ลม นไี้ มเ กยี่ วขอ งกบั งานทที่ าํ มาแลว แตอ ยา งใด งานเกา ทที่ าํ คา งไวท งั้ หมดถกู พกัเกบ็ เฉยไว เพราะในกรณนี ี้ มงุ สาํ หรบั ผเู รยี นขน้ั ตน โดยเฉพาะนกั เรยี นนกั ธรรม ตอ งการเพยี งศพั ทพ้ืนๆ และความหมายสั้นๆ งายๆ จึงคงขอมูลสวนใหญไวตามหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทยนั้นโดยแกไ ขปรับปรุงอธบิ ายเพิ่มหรือเขียนขยายบา งเพียงบางคํา และเตมิ ศัพทนักธรรมทตี่ กหลน และศพั ทท ว่ั ไปอนั ควรรูที่ยังไมมี เขามาบาง รวมแลว เปนขอมลู ของเกา กบั ของใหมราวครง่ึ ตอครงึ่ หลังจากพิมพออกมาแลว พจนานุกรมเลมนี้ก็มีชะตากรรมท่ีขึ้นตอระบบการพิมพยุคน้ันโดยเฉพาะตนแบบซ่ึงอยูในแผน กระดาษท่ตี ายตวั แทบปรบั เปล่ียนอะไรไมไ ดเลย การพิมพครั้งตอๆ มา ตองพิมพซํา้ ตามตนแบบเดิม ถา จาํ เปนตองแกไ ข ก็แกไดเพียง ๔–๕ บรรทัด ย่ิงตอมาแผนกระดาษตนแบบก็ผเุ ปอ ย โดยเฉพาะพจนานกุ รมนี้ ตนแบบทีท่ ําข้ึนใหมใ นการพิมพค รัง้ ท่ี ๒ไดสญู หายไปตั้งแตพมิ พเ สร็จ การพมิ พตอน้ันมาตอ งใชว ิธถี ายภาพจากหนังสอื ที่พิมพครั้งกอ นๆ แตก ระนัน้ พจนานุกรมนี้ยงั มศี พั ทแ ละคาํ อธบิ ายท่ีจะตองเพม่ิ อีกมาก เมื่อแกไขของเดมิ ไมได พอถงึ ป ๒๕๒๘ จะพิมพครง้ั ที่ ๓ จึงใสส ว นเพ่มิ เขา มาตา งหากตอทายเลมเปน “ภาคผนวก” (มีศพั ทต ง้ั หรือหัวศัพทเ พม่ิ ๑๒๔ ศัพท รวม ๒๔ หนา) จากนั้นมา ก็ไดแคพ ิมพซ ํ้าเดมิ อยา งเดยี ว๒. เขาสยู ุคขอมลู คอมพวิ เตอร เมอ่ื เวลาผา นมาถงึ ยคุ คอมพวิ เตอร กม็ องเหน็ ทางวา จะแกไ ข–ปรบั ปรงุ –เพมิ่ เตมิ พจนานกุ รมนไ้ี ด แตก ต็ อ งรอจดุ ตงั้ ตน ใหม คอื พมิ พข อ มลู พจนานกุ รมในเลม หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอร แมจะตองใชเวลาและแรงงานมาก ก็มีทานท่ีสมัครใจเสียสละ ไดพิมพขอมูลหนังสือพจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ลงในคอมพวิ เตอร โดยมไิ ดน ดั หมายกนั เทา ทที่ ราบ ๔ ชดุเรมิ่ ดว ยพระมหาเจมิ สวุ โจ แหง มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ทที่ าํ งานอยหู ลายปจ นเตรยี มขอมลูเสร็จแลวมอบมาใหเ มื่อวนั ท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ แลวก็มชี ุดของผอู ่ืนตามมาอกี ทงั้ ทมี่ ขี อ มลู ในคอมพวิ เตอรแลว ผจู ดั ทาํ เองกไ็ มม เี วลาตรวจ เวลาผา นมาจนกระทง่ั รศ. ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ ราชบณั ฑติ (มบี ตุ รหญงิ –ชาย คอื น.ส.ภาวนา ตง้ั แตย งั เปน ด.ญ.ภาวนา ฌานวงั ศะและนอ งชาย คอื นายปญ ญา ตงั้ แตย งั เปน ด.ช.ปญ ญา ฌานวงั ศะ เปน ผชู ว ยพมิ พข อ มลู ) นอกจากพิมพข อ มลู หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอรแ ลว ยังชวยรับภาระในการพิสูจนอ กั ษร (ตรวจปรฟู ) ตลอดเลมนอกจากตรวจเองแลว ก็ยังหาพระชว ยตรวจทานอกี ใหแนใ จวาขอ มูลใหมใ นระบบคอมพวิ เตอรน ี้ตรงกบั ขอมูลเดมิ ในเลมหนังสอื แลว ในทีส่ ุด พจนานุกรมนก้ี พ็ ิมพเ สร็จออกมาใน พ.ศ. ๒๕๔๖ เน่อื งจากผูจดั ทําเองยงั ไมมเี วลาแมแ ตจะตรวจปรฟู พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท พิมพค รัง้ ที่ ๑๐ ทเ่ี สรจ็ ออกมาใน พ.ศ. ๒๕๔๖ ซงึ่ เปนครั้งแรกท่ีใชขอมูลในระบบคอมพิวเตอรจงึ มหี ลกั การทัว่ ไปวา ใหค งเนอื้ หาไวอ ยา งเดมิ ตามฉบบั เรยี งพมิ พเ กา ยงั ไมป รบั ปรงุ หรอื เพม่ิ เตมิ
คค) งานเร่มิ เขาทาง: ชาํ ระ-เพ่ิมเติม ชวงท่ี ๑๑. ผานไป ๒๘ ป จึงถึงทชี ําระ-เพิ่มเติม ชว งท่ี ๑ บัดน้ี เวลาผานไป ๒๘ ปแลว นบั แตพมิ พ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ออกมาครัง้ แรก ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ขอมลู สวนใหญในพจนานกุ รมน้นั ยังเปนขอมูลพนื้ ฐานทต่ี ั้งใจวา จะชาํ ระ-เพมิ่ เติม แตก ข็ ดั ขอ งตลอดมา ในชว ง ๒๔ ปแ รก ตดิ ขดั ดว ยระบบการพมิ พไ มเ ออ้ื แลว ความบบี คนั้ ดา นเวลากซ็ า้ํ เขา ไป สว นในชว ง ๔ ปท ชี่ ดิ ใกลน ้ี ทงั้ ทม่ี ขี อ มลู สะดวกใชอ ยใู นคอมพวิ เตอร กต็ ดิ ขดั ดว ยขาดเวลาและโอกาส จนมาถึงขน้ึ ปใ หม ๒๕๕๐ น้ี เมอ่ื หาโอกาสปลกี ตวั จากวดั พอดโี รคทางเดนิ หายใจกาํ เรบิ ขนึ้ อกีคออกั เสบลงไปถงึ สายเสยี ง พดู ยากลาํ บาก ตอ ดว ยกลา มเนอื้ ยดึ สายเสยี งอกั เสบ โรคยดื เยอ้ื เกนิ ๒ เดอื นไดไ ปพกั รกั ษาตวั ในชนบทนานหนอ ย เปน โอกาสใหไ ดเ รม่ิ งานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ พจนานกุ รม แตใ นขน้ั นี้เรง ทาํ เฉพาะสว นรบี ดว นและสว นทพี่ บเฉพาะหนา ใหเ สรจ็ ไปชนั้ หนง่ึ กอ น เรยี กวา “งานชาํ ระ-เพม่ิเตมิ ชว งที่ ๑” คดิ วา ลลุ ว งไปไดท หี นงึ่ ทปี่ ด งานจดั ใหพ รอ มจะเขา โรงพมิ พไ ดท นั กอ นโรคจะหาย๒. อะไรมากบั และจะมาตาม การชําระ-เพ่ิมเตมิ ชว งที่ ๑ งานชําระ-เพมิ่ เตมิ น้ี คอื การทาํ ให พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท มคี ณุ สมบตั ิเตม็ ตามความมุงหมาย เพราะหนังสือท่ีพิมพเร่ือยมานัน้ จัดทําข้นึ อยา งรวบรัดเพื่อพอใชไ ปพลางกอน เพยี งเปนขอมูลพน้ื ฐานอยางท่ีกลาวแลว (มีบา งบางคําทีม่ โี อกาสขยายความไปกอนแลว ) เนอื่ งจากตระหนักวา จะไมมโี อกาสทํางานชาํ ระ-เพมิ่ เติมอยางตอเน่ืองใหเสร็จสิ้นไปในคราวเดียว จึงกะวาจะแบง งานน้เี ปน ๓ ชวง คอื การชําระ-เพ่ิมเติม ชว งที่ ๑: แกไขปรับปรงุ ขอ ขาดตกบกพรองที่พบเฉพาะหนา โดยเฉพาะสวนหลงตาท่ีบังเอิญพบ และเพม่ิ เตมิ คําศพั ทและคําอธบิ ายท่รี บี ดว น หรอื บังเอิญนึกได การชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชว งที่ ๒: อา น-ตรวจตลอดเลม เพ่อื จะไดมองเหน็ จุดและแงท่ีจะแกไข-ปรับปรุง-เพม่ิ เติมทั่วท้ังหมด พรอมทงั้ เพิ่มเตมิ คาํ ศพั ท ทง้ั ท่ตี นเองเตรยี มไวสําหรบั งานคางยุคเกาและบนั ทกึ ไวร ะหวา งใชพ จนานกุ รมนี้ และทท่ี า นผใู ชไ ดม นี า้ํ ใจบนั ทกึ คาํ ซง่ึ คน ไมพ บแลว รวบรวมสง มา การชาํ ระ-เพ่ิมเติม ชว งที่ ๓: มงุ ทก่ี ารจดั ระบบ เพอ่ื ใหส ม่าํ เสมอ กลมกลืน เปน แบบแผนอันเดียวกนั และทั่วกัน เชน จะมคี าํ อา น บอกทมี่ าในคมั ภีร มที ่ีมาหรอื คําเดิมในภาษาบาลีและสนั สกฤตและถา เปน ไปได บอกคาํ แปลภาษาองั กฤษของศพั ทต ง้ั หรอื หวั ศพั ท พรอ มทง้ั แผนทแี่ ละภาพประกอบ อยา งไรกด็ ี เมอ่ื ตกลงยตุ งิ านชว งที่ ๑ วา พอเทา นก้ี อ น (๑๖ ม.ี ค. ๒๕๕๐) พอดไี ดอ า นจดหมายของพระมหานิยม สลี สวํ โร (เสนารินทร) ท่ีสง มาตัง้ แต ๑๘ พ.ย. ๒๕๔๗ ก็มองเหน็ วา ทา นแจง คําผิด-ตก ท่สี าํ คญั แมจ ะมากแหง กใ็ ชเวลาแกไขไมมาก จงึ ทาํ ใหเสร็จไปดว ยในคราวนี้ รวมเพมิ่ ท่ีแกไขอกี ราว ๕๐ แหง อีกทัง้ ไดเ หน็ ชัดวา ดว ยฉันทะของทานเอง พระมหานิยมตรวจพจนานกุ รม โดยเทียบกบั เลม เดิมที่เปนตน ฉบบั ไปดว ยน้ี ทา นใชเวลาอา นจรงิ จงั ละเอยี ด จนทาํ ใหค ิดวา ในการชําระ-เพิม่ เตมิ ชว งที่ ๒ ทจ่ี ะอา นแบบตรวจปรฟู ตลอดดว ยนัน้ งานสว นนีค้ งเบาลงมาก จะไดมงุ ไป
งท่ีงานเพม่ิ เตมิ -ปรบั ปรงุ ทวั่ ไป จงึ ขออนโุ มทนาพระมหานยิ ม สลี สวํ โร ไว ณ ทนี่ ี้พอจะปด งาน หนั มาดรู ายการศพั ท ๒๘ คาํ ทพี่ ระธรรมรกั ษาแจง มาแต ก.ค.๒๕๒๙ วา ไมพ บในพจนานกุ รมฯ เปน ศพั ทใ นอรรถกถาชาดกแทบทงั้ นนั้ เหน็ วา นา จะทาํ ใหเ สรจ็ ไปดว ยเลย จงึ ตดั คาํนอกขอบเขตออกไป ๖ แลว แถมเองอกี ราว ๒๐ ใชเ วลาคน -เขยี นจนเสรจ็ อกี ๔ วนั (ของพระมหานยิ มราว ๕๐ ศพั ท ทา นตรวจใชเ วลามากมาย แตเ พยี งแกค าํ ผดิ -ตก ๖.๔๐ ชม. กเ็ สรจ็ สว นของพระธรรม-รกั ษา แจง ทไ่ี มเ จอ แมน อ ยคาํ แตต อ งเขยี นเพม่ิ ใหม จงึ ใชเ วลามาก) ขออนโุ มทนาพระธรรมรกั ษาดว ย๓. การชําระ-เพ่ิมเตมิ ชว งท่ี ๑ ทําใหมีความเปล่ยี นแปลงอะไรการชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชว งท่ี ๑ น้ี ไดท ําให พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท มีศัพทต้ังที่เพ่ิมข้นึ และท่ีมีความเปลย่ี นแปลงราว ๓๑๗ หวั ศัพท (ไมน ับการแกค าํ ผิด-ตก ที่พระมหานพิ นธชวยแจงมา อีกราว ๕๐ แหง ) หวั ศพั ท ที่มีการปรับแก และที่เพิ่มใหม มี ตัวอยาง ดังน้ีกัป,กลั ป กริ ิยา กเิ ลสพันหา คงคา คณาจารย เคร่อื งรางชมุ นุมเทวดา ตัณหา ๑๐๘ ทกั ขิณาบถนัมมทา บริขาร บุพการ ทีฆนขสูตร ธรรมราชา ธญั ชาติปริตร,ปรติ ต ปญญา ๓ พรหมจรรยมานะ ยถากรรม ยมนุ า บพุ นมิ ติ แหง มรรค ปกตัตตะ ปปญจะสรภู สังคายนา สจั กริ ิยาหนี ยาน อจิรวดี อธษิ ฐาน มหานที ๕ มหายาน มาตราอาภัพ อายุ อายุสงั ขาร โยนก โวการ (เชน จตโุ วการ) สมานฉนั ท สจั จาธิฏฐาน สีหนาท สุตะ อธษิ ฐานธรรม อภสิ มั พทุ ธคาถา อโศกมหาราช อาสภวิ าจา อตุ ราบถ อุทยาน การชําระ-เพมิ่ เตมิ นี้ ทําให พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท มลี ักษณะคบื เคลื่อนเขา ไปใกลง านคางที่ ๓ ซึ่งไดห ยดุ ลงเมือ่ ใกลส ิน้ ป ๒๕๒๑ เชน คาํ “กัป, กัลป” ในการพมิ พคร้ังที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ มคี าํ อธบิ าย ๑๒ บรรทดั แตใ นฉบับชําระ-เพิม่ เตมิ ชวงท่ี ๑ นี้ ขยายเปน๑๑๓ บรรทดั เมอื่ นําไปเทียบกบั ฉบบั งานคา งท่ี ๓ นัน้ (ในการเขยี นขยายคราวน้ี ไมไดหนั ไปดูงานคา งนน้ั เลย) ปรากฏวา คาํ อธิบายในฉบับชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชวงท่ี ๑ น้ี ยงั สั้นกวา เกาเกอื บคร่งึ หนึ่ง ถา ตอ งการมองใหช ดั วางานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ มีลกั ษณะอยา งไร จะดูไดง ายทคี่ ําตวั อยา งขา งบนนั้น เฉพาะอยา งยงิ่ คําวา กัป, กลั ป; กเิ ลสพันหา ; เครื่องราง; ชาดก; ทักขิณาบถ; นมั มทา; บรขิ าร;ปริตร,ปริตต; มานะ; ยถากรรม; สจั กริ ยิ า; อธิษฐาน; อายุ บดั นี้ งานชาํ ระ-เพมิ่ เตมิ ชว งที่ ๑ ไดเ สร็จส้นิ แลว โดยกาํ หนดเอาเองวาเพยี งเทาน้ี แตงานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชว งที่ ๒ และ ๓ ซึง่ รอขางหนา มมี ากกวา และไมอ าจกําหนดวา จะเสรจ็ เมื่อใด หากไมนริ าศ-ไมไ ดโอกาสจากโรค ก็กลาวไดเพยี งวา อยใู นความต้งั ใจทจี่ ะทําตอไป พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๗ มนี าคม ๒๕๕๐
คาํ ปรารภ (ในการพิมพครั้งที่ ๑๐) เมือ่ กลาวถึง พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท หลายทา นนึกถงึ พจนานกุ รมพุทธศาสตรฉบบั ประมวลธรรม ดว ย โดยเขาใจวาเปนหนังสอื ชดุ ทีม่ ีสองเลมรวมกัน แตแ ทจริงเปน หนังสือที่เกิดขึ้นตางหากกัน ตางคราวตา งวาระ และมคี วามเปนมาที่ทง้ั ตา งหากจากกัน และตางแบบตา งลักษณะกนัก. ความเปน มา ชว งท่ี ๑: งานสาํ เร็จ แตขยายไมได พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม เปน หนังสือทค่ี อ ยๆ กอตวั ขนึ้ ทีละนอ ย เรม่ิ จากหนงั สือStudent’s Thai–Pali–English Dictionary of Buddhist Terms เลมเล็กๆ ท่จี ดั ทําเสร็จใน พ.ศ. ๒๕๐๖ตอแตน้ันก็ไดปรับปรุง–เพ่ิมเติม–ขยายขนาดข้ึนเร่ือยๆ และไดขยายขอบเขตออกไปจนกลายเปนงานท่ีมีลกั ษณะเปน สารานุกรม เมือ่ เวลาผานไปๆ ก็มองเหน็ วา งานทําสารานกุ รมจะกินเวลายืดเยื้อยาวนานมาก ยง่ิ มงี านอ่ืนแทรกเขามาบอยๆ กย็ ่งิ ยากทจ่ี ะมองเหน็ ความจบส้ิน ในทีส่ ุดจงึ ตกลงวาควรทาํ พจนานุกรมขนาดยอมๆ ขน้ั พื้นฐานออกมากอน และไดร วบรวมคัดเลือกหมวดธรรมมาจัดทาํ คําอธบิ ายขึ้น ซ่งึ ไดบรรจบรวมกับหนังสือเลม เลก็เดิมท่สี ืบมาแต พ.ศ. ๒๕๐๖ กลายเปน ภาคหนึง่ ๆ ใน ๓ ภาคของหนงั สือทีร่ วมเปนเลม เดียวกนั อันมีชอ่ื วาพจนานุกรมพุทธศาสตร เมือ่ พ.ศ. ๒๕๑๕ กาลลว งมาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๘ พจนานกุ รมพุทธศาสตร ซงึ่ พิมพครงั้ ท่ี ๔ จึงมชี ่อื ปจ จุบนั วาพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม เพือ่ ใหเ ขา คกู ับพจนานกุ รมอีกเลม หน่ึงท่ีเปลย่ี นจากช่อื เดิมมาเปน พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท ถงึ วาระน้ี พจนานุกรมสองเลม น้จี งึ เสมอื นเปน หนังสือทรี่ วมกนั เปน ชดุ อันเดยี ว พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ท่ีวา นั้น เปนหนงั สอื ท่เี กิดขน้ึ แบบทง้ั เลมฉับพลันทันทีโดยแทรกตัวเขา มาใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ระหวางทีง่ านทาํ พจนานกุ รมซ่ึงขยายขอบเขตออกไปจนจะเปนสารานุกรมน้ัน กาํ ลงั ดาํ เนนิ อยู เนื่องจากผูรวบรวมเรียบเรียงเห็นวางานทําสารานุกรม คงจะกินเวลายืดเย้ือไปอีกนาน และพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทที่ าํ เสรจ็ ไปแลว กม็ เี ฉพาะดา นหลกั ธรรมซง่ึ จดั เรยี งตามลาํ ดบั หมวดธรรม ควรจะมีพจนานกุ รมเลม เลก็ ๆ งา ยๆ วาดวยพระพุทธศาสนาทั่วๆ ไป แบบเรียงตามลาํ ดบั อกั ษร ทพ่ี อใชป ระโยชนพ น้ื ๆสาํ หรบั ผเู ลา เรยี นในขน้ั ตน โดยเฉพาะนกั เรยี นนกั ธรรม ออกมากอ น พรอมน้ันก็พอดีประจวบเหตุผลอีกอยา งหนง่ึ มาหนุน คือ ไดเห็นหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทยสาํ หรบั นกั ธรรม ชนั้ ตรี ชน้ั โท และชนั้ เอก ท่ีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั จัดพิมพอ อกมาใน พ.ศ. ๒๕๐๓เหลืออยูจํานวนมากมาย และดูเหมือนวา ไมมใี ครเอาใจใส หนงั สือ ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ชดุ นน้ั ทาง มจร. จดั พิมพข ้นึ มาเพอ่ื สนองความตอ งการของนกั เรยี นนักธรรมทจี่ ะตองสอบวิชาใหมซึ่งเพม่ิ เขามาในหลกั สูตร คอื วชิ าภาษาไทย แตแ ทบจะยังไมทนั ไดเผยแพรอ อกไป วชิ าภาษาไทยนน้ั ก็ไดถ ูกยกเลกิ เสยี หนงั สอื ชดุ นัน้ จึงถกู ทอดท้ิง ไดม องเหน็ วา หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย นนั้ ไมค วรจะถกู ทง้ิ ไปเสยี เปลา ถา นาํ มาจดั เรยี งใหมใ นรปูพจนานกุ รม กจ็ ะใชป ระโยชนไ ด อยา งนอ ยศพั ทต งั้ หรอื หวั ศพั ทท ม่ี อี ยกู จ็ ะทนุ แรงทนุ เวลาในการเกบ็ ศพั ทเ ปน อนั มาก
ฉ โดยนยั น้ี กไ็ ดน าํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ชดุ นน้ั ทงั้ ๙ ภาค (ศพั ทส าํ หรบั นกั ธรรมตร–ี โท–เอกชนั้ ละ ๓ วิชา จงึ มชี ั้นละ ๓ ภาค พิมพรวมเปนชนั้ ละเลม) มาจดั เรยี บเรยี งเปนพจนานุกรมเลม เดยี ว ดงั ไดเลาไวแ ลวใน “แถลงการจดั ทําหนงั สือ ประกาศพระคณุ ขอบคณุ และอนโุ มทนา (ในการพิมพครัง้ ที่ ๑)” ศพั ทจ ํานวนมากทเี ดยี ว ท่งี า ยๆ พ้นื ๆ และตองการเพียงความหมายสั้นๆ หรือคาํ อธิบายเพยี งเลก็นอย ไดคงไวต ามเดิมบา ง แกไขปรับปรุงบา ง สว นศัพทท ต่ี องการคาํ อธิบายยาวๆ กเ็ ขยี นขยาย และศัพทสําหรับการเรียนนักธรรมท่ีตกหลนหรอื ศัพททัว่ ไปอันควรรูท่ยี งั ไมม ี ก็เตมิ เขา มา รวมเปน ของเกากับของใหมประมาณครง่ึ ตอคร่ึง จงึ เกดิ เปน พจนานกุ รม ซง่ึ ในการพมิ พค รงั้ แรก พ.ศ. ๒๕๒๒ เรยี กชอ่ื วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับครู นักเรยี น นกั ธรรม ตอมา ในการพมิ พครัง้ ท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๒๗ พจนานุกรมเลมน้ันไดเปลีย่ นมีชอื่ อยางปจ จบุ ันวาพจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท คือหนังสอื เลม น้ี เม่ือมีการเผยแพรมากขึ้น ผูขออนุญาตพิมพบางแหงจึงไดนําพจนานุกรมท้ังสองเลมน้ีมาจัดรวมกันเปน ชุด และลาสุดบางทีถงึ กับทํากลอ งใสร วมกนั แมจะมีประวตั ิแหง การเกิดข้ึนตา งหากกนั แตพจนานกุ รมสองเลม น้กี ็มีลกั ษณะทีเ่ หมอื นกันอยางหนง่ึคือเปนงานในชวงระหวางที่งานทําพจนานุกรมซ่ึงตอเน่ืองมาแตเดิมและขยายออกไปจนกลายเปนสารานุกรมแสดงอาการวาจะเปนเรื่องยืดเยื้อตอ งรออกี ยาวนาน หลงั จากการพมิ พลงตวั แลว พจนานุกรมสองเลม นก้ี ็มชี ะตากรรมอยา งเดยี วกัน คอื ขึ้นตอระบบการทาํตนแบบและการพมิ พย ุคกอนน้ัน ซึ่งตนแบบอยใู นแผน กระดาษทต่ี ายตวั แกไขและขยบั ขยายไดย าก ยง่ิ เปนหนงั สอื ขนาดหนาและมรี ปู แบบซบั ซอน กแ็ ทบปรบั เปล่ยี นอะไรไมไดเ ลย ดวยเหตุนี้ การพมิ พพจนานกุ รมสองเลมน้ันในครงั้ ตอ ๆ มา จึงตองพมิ พซํา้ ตามตนแบบเดมิ ถาจาํเปน จริงๆ ทีจ่ ะตอ งแกไ ข กแ็ กไดเ พียง ๔–๕ บรรทัด ย่ิงเมือ่ เวลาผา นมานานขน้ึ แผน กระดาษตนแบบทง้ั หมดก็ผุเปอยหรือสูญหายไป (ตนแบบของ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ซึ่งทําขน้ึ ใหมในการพิมพครัง้ ที่ ๒ ไดสญู หายไปตง้ั แตเมื่อการพมิ พครงั้ ท่ี ๒ น้นั เสร็จส้นิ ลง) ทําใหการพิมพต อจากนน้ั ตอ งใชว ิธีถา ยภาพจากหนังสือท่ีพิมพครั้งกอนๆ ซึ่งจะไดตัวหนังสือที่เลือนลางลงไปเร่อื ยๆ ไดแตรอเวลาที่จะพิมพท ําตนแบบขึ้นใหม โดยจะถือโอกาสเพิ่มเตมิ ดว ยพรอ มกัน อยางไรก็ตาม เนื่องจาก พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท นี้ มีศัพทและคาํ อธบิ ายทจี่ ะเพม่ิมากมาย เมื่อแกไขตน แบบเดิมไมไ ด ก็จึงใสส ว นเพ่ิมเขา มาตา งหากตอ ทายเลมในการพมิ พคร้ังท่ี ๓ พ.ศ.๒๕๒๘ โดยทําเปน “ภาคผนวก” (มศี พั ทต้งั หรือหัวศพั ทเ พ่ิม ๑๒๔ ศัพท รวม ๒๔ หนา ขยายขนาดเลมหนงั สอื เฉพาะตวั พจนานกุ รมแทๆ ขนึ้ เปน ๔๖๖ หนา ) ตอแตน้นั มา ก็พมิ พซํ้าอยา งที่กลา วขา งตนข. ความเปนมา ชว งที่ ๒: เขา ยคุ ใหม มีฐานทีจ่ ะกาวตอ ระหวา งรอเวลาทีจ่ ะพิมพท ําตนแบบใหม พรอ มกับเขียนเพิม่ เตมิ ซึ่งมองไมเหน็ วาจะมโี อกาสทําไดเ ม่ือใด กาลก็ลว งมา จนถงึ ยุคคอมพวิ เตอร ระบบคอมพิวเตอรไดชวยใหการพิมพเจริญกาวหนาอยางมหัศจรรย ซ่ึงแกปญหาสาํ คัญในการทาํพจนานกุ รมไดท ง้ั หมด โดยเฉพาะ • การพิมพขอ มลู ใหมท ําไดอ ยา งดแี ละคลองสะดวก • รักษาขอมูลใหมน ้นั ไวไดส มบูรณแ ละยืนนาน โดยมคี ณุ ภาพคงเดิม หรือจะปรับใหดยี ง่ิ ขึ้นกไ็ ด
ช • ขอ มลู ใหมท เี่ ก็บไวน นั้ จะแกไ ข–ปรับปรงุ –เพมิ่ เตมิ ทจี่ ุดไหนสว นใด อยางไร และเม่อื ใด กไ็ ดต ามปรารถนา ถึงตอนน้ี กเ็ ห็นทางทีจ่ ะทําใหงานทําพจนานกุ รมกา วตอ ไป แตก ็ตอ งรอขน้ั ตอนสาํ คญั คอื จุดต้งั ตนคร้งั ใหม ไดแกการพมิ พขอ มลู พจนานุกรมท้ังหมดในเลมหนังสอื ลงในคอมพิวเตอร ซึ่งตองใชเ วลาและแรงงานมากทีเดียว ถามขี อมูลที่พมิ พลงในคอมพวิ เตอรไ วพรอมแลว ถึงจะยังไมมีเวลาท่ีจะแกไ ข–ปรบั ปรงุ –เพ่ิมเติม ก็อุนใจได เพราะสามารถเกบ็ รอไว มโี อกาสเมอื่ ใด กท็ าํ ไดเม่ือน้ัน แตตองเริ่มขน้ั เตรยี มขอ มูลนัน้ ใหไดกอ น ขณะทีผ่ ูรวบรวมเรียบเรยี งเองพมิ พด ีดไมเปน กบั ทั้งมีงานอ่นื พันตัวนุงนัง ไมไดด ําเนนิ การอันใดในเรือ่ งนี้ กไ็ ดม ที า นท่มี ใี จรักและทา นที่มองเห็นประโยชน ไดพมิ พขอมลู พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท ท้ังหมดของเลม หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอร ดวยความสมคั รใจของตนเอง โดยมไิ ดนดั หมาย เทาทีท่ ราบ/เทาทีพ่ บ ๔ ราย เปน ๔ ชดุ คือ ๑. พระมหาเจิม สุวโจ แหงสถาบันวิจัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ไดเ ริ่มจดั ทาํ งานนีต้ ั้งแตระยะตน ๆ ของยคุ แหงการพิมพดวยระบบคอมพวิ เตอร ซ่ึงท้ังอปุ กรณแ ละบคุ ลากรดานน้ียังไมพ รง่ั พรอม ใชเ วลาหลายป จนในทสี่ ุด ไดม อบขอมลู ที่เตรียมเสรจ็ แลวแกผ รู วบรวมเรยี บเรียง เมอ่ื วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ขอ มลู ทพี่ ระมหาเจมิ สวุ โจ เตรยี มไวน ้ี ไดจ ดั วางรปู แบบเสรจ็ แลว รอเพยี งงานขน้ั ทจ่ี ะสง เขา โรงพมิ พรวมทงั้ การตรวจครงั้ สดุ ทา ย นบั วา พรอ มพอสมควร แตผ รู วบรวมเรยี บเรยี งกไ็ มม เี วลาตรวจ เวลากผ็ า นมาเรอื่ ยๆ ๒. รศ. ดร.สมศีล ฌานวังศะ ราชบัณฑติ ไดเตรยี มขอมลู พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท(พรอ มท้งั พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม) โดยบุตรหญิง–ชาย คอื น.ส.ภาวนา ต้ังแตยงั เปนด.ญ.ภาวนา ฌานวังศะ และนองชาย คอื นายปญ ญา ต้ังแตย งั เปน ด.ช.ปญ ญา ฌานวงั ศะ ไดชวยกนั แบง เบาภาระดวยการพิมพขอ มลู ทง้ั หมดของเลม หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอร ภายใตก ารดแู ลของ ดร.สมศลี ฌานวงั ศะซ่งึ เปน ผูตรวจความเรยี บรอยและจดั รปู แบบขอมลู น้นั ตามเลมหนงั สืออกี ทีหนง่ึ ๓. พระไตรปฎ ก (ในแผน CD – ระบบคอมพิวเตอร) ฉบบั สมาคมศษิ ยเกา มหาจุฬาลงกรณราช-วิทยาลัย ซ่งึ เสรจ็ ออกเผยแพรในชวงตนของ พ.ศ. ๒๕๔๓ ไดข อบรรจุ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม และ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ไวในโปรแกรมดวย ผูจ ดั ทาํ จึงไดพิมพข อ มูลทัง้ หมดของหนงั สอื ทั้งสองเลม นนั้ ลงในคอมพวิ เตอร แตเ นอ่ื งจากเปนขอ มลู สําหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร จึงไมไดจดั รูปแบบเพือ่ การตพี มิ พอ ยางเลม หนังสือ ๔. พจนานุกรมพทุ ธศาสน (ในแผน CD – ระบบคอมพิวเตอร) รุน ๑.๕ (ในโปรแกรมวา พจนานกุ รมพุทธศาสตร Version <1.2>) พ.ศ. ๒๕๔๔ จดั ทาํ โดยคณะวิศวกรรมศาสตรค อมพวิ เตอร มหาวิทยาลัยรังสิตซึง่ ก็ไมไดจ ดั รูปแบบเพอื่ การตีพมิ พอ ยางเลม หนังสอื เพราะเปนขอมลู สําหรบั โปรแกรมคอมพวิ เตอร ขอ มลู ทง้ั ๔ ชดุ นี้ ผจู ดั ทาํ ชดุ นน้ั ๆ ไดน าํ ศพั ทต งั้ และคาํ อธบิ ายทง้ั หมดใน “ภาคผนวก” รวม ๒๔ หนา๑๒๔ ศพั ท ของฉบบั เรยี งพมิ พร ะบบเกา มาแทรกเขา ในเนอ้ื หาหลกั ของเลม ตามลาํ ดบั อกั ษรเสรจ็ เรยี บรอ ยดว ย เมือ่ มีชุดขอมูลใหเลอื ก กแ็ นน อนวาจะตองพจิ ารณาเฉพาะชุดทีจ่ ดั รูปแบบไวแลวเพอ่ื การตพี ิมพอยางเลม หนงั สือ คอื ชุดที่ ๑ และชดุ ที่ ๒ แตท ัง้ ที่มขี อ มลู นนั้ แลว เวลากผ็ า นไปๆ โดยผูร วบรวมเรยี บเรยี งมไิ ดด าํ เนนิ การใดๆ เพราะวา แมจะมีขอ มลู ครบทงั้ หมดแลว แตก ็ยงั มีงานสดุ ทายในขนั้ สงโรงพมิ พ โดยเฉพาะการพิสูจนอ ักษร (ตรวจปรฟู ) ตลอดเลม อกี ครัง้ ซึ่งควรเปน ภาระของผูร วบรวมเรยี บเรยี งเอง
ซ ถา จะใหผรู วบรวมเรยี บเรียงพสิ จู นอกั ษรเองอยา งแตกอน การพมิ พคงตองรออีกแรมป หรอื อาจจะหลายป (ยง่ิ มาบดั นี้ เมอื่ ตาทง้ั สองเปน โรคตอ หนิ เขา อกี กแ็ ทบหมดโอกาส) คงตอ งปลอ ยใหพิมพคร้งั ใหมด ว ยการถา ยภาพจากหนงั สือทพ่ี ิมพค รั้งกอ นตอ ไปอีกค. ความเปนมา ชว งที่ ๓: พมิ พค ร้ังใหม ในระบบใหม การพิมพในระบบใหมคบื หนา เม่ือ ดร.สมศีล ฌานวงั ศะ ชวยรบั ภาระข้ันสุดทายในการจดั ทําตนแบบใหพ รอมท่ีจะนาํ เขารับการตพี ิมพในโรงพิมพ ในงานขนั้ สดุ ทา ยน้ี สาํ หรบั พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม ซง่ึ จดั เรยี งใหมด ว ยระบบคอมพิวเตอร และพมิ พเปน เลม หนงั สือไปแลวเปน ครง้ั แรก เมื่อกลางป พ.ศ. ๒๕๔๕ นนั้ ผูร วบรวมเรยี บเรยี งไดอ านตน แบบสดุ ทายกอ นยตุ ิ แตเม่อื มาถึง พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท กเ็ ปน เวลาทผ่ี รู วบรวมเรยี บเรยี งประสบปญ หาจากโรคตามากแลว รวมทง้ั โรคตอ หนิ จึงยกภาระในการตรวจปรูฟ อา นตน แบบแมแตคร้งั ยตุ ใิ ห ดร.สมศีล ฌานวังศะ รบั ดาํ เนนิ การท้ังหมด เพยี งแตเ มอ่ื มขี อ ผดิ แปลกนา สงสยั ทใี่ ด กไ็ ถถ ามปรกึ ษาเปน แตล ะแหง ๆ ไป พอดีวา ผูรับภาระนอกจากมีความละเอียดและทํางานน้ีดวยใจรักแลว ยังเปนผูศึกษาวิจัยเรื่องพจนานุกรมเปน พเิ ศษอกี ดว ย ยิ่งเม่ือไดค อมพิวเตอรมาเปน เคร่ืองมือ ก็ย่งิ ชวยใหการจดั เรยี งพิมพต น แบบสามารถดาํ เนินมาจนหนงั สอื เสร็จเปน เลม ในรูปลกั ษณท ี่ปรากฏอยูน ้ี พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท พิมพครัง้ ที่ ๑๐ ซงึ่ เปน ครงั้ แรกทใี่ ชข อมูลอนั ไดเตรยี มข้ึนใหมด วยระบบการพิมพแบบคอมพวิ เตอรนี้ โดยหลกั การ ไดต กลงวาใหค งเนื้อหาไวอ ยางเดิมตามฉบบั เรยี งพมิ พระบบเกา ยงั ไมป รบั ปรงุ หรอื เพมิ่ เตมิ เนอื่ งจากผูรวบรวมเรียบเรียงยังไมมีเวลาที่จะดําเนินการกับคําศัพทมากมายอันควรเพม่ิ และสง่ิ ทค่ี วรแกไ ขปรบั ปรงุ ตา งๆ ทบ่ี นั ทกึ ไวร ะหวา งเวลาทผี่ า นมา และจะรอกไ็ มม ีกําหนด (จุดเนน หลกั อยูท ี่การไดฐ านขอ มูลในระบบคอมพิวเตอร ซ่งึ ทาํ ใหพ รอ มและสะดวกทจ่ี ะปรบั ปรุงเพิ่มเตมิ ตอไป) ทงั้ น้ี มขี อ ยกเวน คอื ๑. นาํ ศัพทตัง้ และคาํ อธิบายทั้งหมดใน “ภาคผนวก” ของฉบบั เรียงพิมพร ะบบเกา มาแทรกเขา ไปในเน้ือหาหลกั ของเลม ตามลําดบั อกั ษรของศพั ทน้นั ๆ (ขอ นเี้ ปน การเปลย่ี นแปลงดานรปู แบบเทา นัน้ สวนเน้อื หายังคงเดิม) ๒. เนื่องจากมศี พั ทต ้ัง ๘ คํา ท่ไี ดปรบั ปรุงคําอธิบายไวกอนแลว จงึ นาํ มาใสรวมดว ย พรอ มทั้งถือโอกาสแกไขเน้ือความผิดพลาด ๒–๓ แหงท่ผี ูใชพจนานกุ รมฉบับนี้ ทง้ั บรรพชติ และคฤหสั ถบางทานไดแ จงเขา มานับแตก ารพมิ พคร้ังกอ นๆ ซึ่งขอขอบคุณ–อนโุ มทนาไว ณ ทน่ี ีด้ วย ๓. มีการปรับปรุงเพ่ิมเติมปลีกยอยที่พบเห็นนึกไดแลวถือโอกาสทําไปดวยระหวางทาํ งานขั้นสุดทายในการจดั ทําตนแบบใหพ รอมกอ นจะสง เขา รับการตพี ิมพในโรงพมิ พ กลาวคือ คําอธิบายเล็กนอยในบางแหงซ่งึ เหน็ วา ควรจะและพอจะใหเสรจ็ ไปไดใ นคราวนี้ เฉพาะอยางย่ิง • ไดป รบั คาํ อธบิ ายคาํ วา ศลิ ปศาสตร และไดน าํ คาํ อธบิ ายการแบง ชว งกาลในพทุ ธประวตั ิ คอื ชดุทเู รนทิ าน–อวทิ เู รนทิ าน–สนั ตเิ กนทิ าน ชดุ ปฐมโพธกิ าล–มชั ฌมิ โพธกิ าล–ปจฉมิ โพธิกาล และชดุ ปุริมกาล–อปรกาล มาปรบั รวมกันไวท ศี่ ัพทตั้งวา พทุ ธประวัติ อีกแหง หน่งึ ดวย
ฌ • ไดแ ยกความหมายยอ ยของศพั ทต้งั บางคาํ ออกจากกนั เพื่อใหเ กิดความชดั เจนยิ่งขึน้ (เชน คําวา พยญั ชนะ) • ไดตดั ศัพทต ั้งบางคาํ ท่เี หน็ วาไมจ าํ เปน ออก (เชน วงศกลุ , เทวรปู นาคปรก) ๔. เนื่องจากเดิมนั้น พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท น้ี จดั ทําขนึ้ โดยมุง เพือ่ ประโยชนข องผูเ ลาเรยี นขั้นตน โดยเฉพาะนักธรรมตรี–โท–เอก ถอยคําใดมใี นแบบเรยี นนกั ธรรม กไ็ ดร กั ษาการสะกดตัวโดยคงไวอยา งเดมิ ตามแบบเรยี นเลม น้ันๆ เปนสว นมาก แตใ นการพมิ พต ามระบบใหมค รงั้ นี้ เหน็ วา ควรจะคาํ นงึ ถงึ คนทวั่ ไป ไมจ าํ กดั เฉพาะนกั ธรรม จงึ ตกลงปรบั การสะกดตวั ของบางศพั ทใ หเ ปน ปจ จบุ นั (เชน ปฤษณา แกเ ปน ปรศิ นา) พรอ มนนั้ ตามทพี่ จนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ใหห ลกั ไวว า คาํ ทเี่ ปน ศพั ทธ รรมบญั ญตั ิ จะเขียนตามพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน หรือเขยี นเต็มรูปอยา งเดมิ กไ็ ด และในพจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท แตเ ดิมมาเขยี นท้ังสองรูป เชน โลกตุ ตรธรรม–โลกตุ รธรรม อรยิ สจั จ– อรยิ สจั สว นในการพมิ พตามระบบใหมค รง้ั นี้ ถาคําน้นั อยใู นขอความอธบิ าย ไดปรบั เขียนเปนรูปเดยี วกนั ทง้ั หมด เชน โลกตุ ตรธรรมอริยสจั จ ทั้งน้ี เพือ่ ความสอดคลองกลมกลนื เปนอนั เดียวกนั แตผ อู านจะนําไปเขยี นเองในรปู ทปี่ ระสงคก ็ไดตามคาํ ชีแ้ จงตน เลม ๕. แตเดิมมาหนังสือน้ีมุงเพื่อประโยชนแกผูมีความรูพ้ืนฐานทางธรรมอยูแลว โดยเฉพาะนักเรียนนกั ธรรม ซงึ่ ถอื วารูว ธิ ีอานคําบาลอี ยแู ลว จงึ ไมไดนกึ ถงึ การท่ีจะแสดงวธิ อี านคําบาลีนน้ั ไว แตบ ัดน้ีไดตกลงท่ีจะคํานึงถึงผูใชท ว่ั ไป ดงั นน้ั ในการพมิ พค รงั้ ใหมด ว ยระบบใหมน ้ี จงึ ไดแ สดงวธิ อี า นออกเสยี งศพั ทต งั้ บางคาํ เพอ่ื เกอ้ื กลู แกผูใชทีย่ ังไมค ุนกบั วิธอี านคําที่มาจากภาษาบาลสี นั สกฤต เชน สมสีสี [สะ-มะ-ส-ี ส]ี , โอมสวาท [โอ-มะ-สะ-วาด]แตเ นื่องจากยงั เปน ทํานองงานแถม จงึ ทําเทา ทน่ี ึกไดหรอื พบเฉพาะหนา อาจมคี าํ ศพั ทท ํานองนอ้ี ยอู กี หลายคําทย่ี ังมไิ ดแ สดงวิธอี านออกเสยี งกาํ กบั ไว อยา งไรกต็ าม ในการพมิ พใ หมค รง้ั น้ี ไดแ ทรก “วธิ อี า นคาํ บาล”ี เพม่ิ เขา มาดว ย เพอ่ื ใหผ ใู ชท วั่ ไปทราบหลกั พน้ื ฐานทพี่ อจะนาํ ไปใชเ ปน แนวทางในการอา นไดด ว ยตนเอง โดย ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ ชว ยรบั ภาระเขยี นมา งานข้นั สดุ ทา ยทีจ่ ะเขา โรงพมิ พมคี วามละเอยี ด ซึง่ ตอ งใชเวลาและเรย่ี วแรงกําลังมาก ประกอบกบั ผูรบั ภาระมีงานอื่นท่ตี องรบั ผดิ ชอบอกี หลายดา น นับจากเริ่มงานขน้ั สุดทา ยน้ี จนตน แบบเสรจ็ เรยี บรอยนาํ สงโรงพมิ พได ก็ใชเ วลาไปหลายเดือน ทั้งนี้เพราะวา งานขั้นสุดทายกอนรับการตีพิมพมิใชเพียงการตรวจความถูกตองของตวั อักษรเทา นนั้นอกจากอานปรูฟ ตลอดเลม ทวนแลว ทวนอีกหลายเท่ยี วแลว ไดถ ือโอกาสแหงการพมิ พท ่ีเปน การวางรปู แบบคร้ังใหมและมีคอมพิวเตอรเปนอุปกรณน้ี ตรวจทานจัดการเก่ียวกับความสอดคลองกลมกลืน–สม่ําเสมอ–ครบถวน โดยเฉพาะในเรอื่ งทเ่ี ปน ระบบแบบแผน ใหลงตวั ไวเ ทาทีจ่ ะทาํ ได คือ ก) ความสอดคลองกลมกลืน ทั่วๆ ไป ไมวาจะเปน เคร่อื งหมายวรรคตอน หรือการพิมพค าํ –ขนาดตวั อกั ษร–รปู ลักษณข องตวั อักษร ทง้ั คาํ ทวั่ ไปและคําทใ่ี ชใ นการอา งอิงและอางโยง (เชน ดู เทียบ คกู ับ ตรงขามกบั )ไดพ ยายามตรวจและแกไ ขใหสมํ่าเสมอกันทุกแหง ข) ความถกู ตอ งครบถว นทว่ั ถงึ อกี หลายอยา ง ทยี่ งั อาจตกหลน หรอื ขามไปในการพิมพระบบเกาโดยเฉพาะการอา งโยง ไดต รวจสอบเทาทีท่ าํ ได เชน ตรวจดใู หแ นใ จวา ศัพทต ง้ั ทุกคาํ ที่เปนธรรมขอยอย ไดอางโยงถึงหมวดธรรมใหญท ่ีธรรมขอ ยอ ยนนั้ แยกออกมา
ญ ค) ระบบการอา งโยง ระหวา งศพั ทต ง้ั ไดจ ดั ปรบั ใหส มา่ํ เสมอชดั เจนและครบถว นยงิ่ ขนึ้ เชน • ไดส ํารวจคําแสดงการอางโยงทมี่ อี ยู ซ่งึ ยตุ ลิ งเปน ๔ คาํ และนอกจากไดป รบั ขนาดและแบบตวัอกั ษรของคาํ แสดงการอา งโยงนั้นใหสมา่ํ เสมอกันทั่วท้งั หมด กลาวคอื ดู เทียบ คกู บั ตรงขามกับ แลว ยังไดพยายามวางขอ ยตุ ใิ นการใชคําเหลาน้นั ดวยวาจะใชค าํ ไหนในกรณหี รอื ในขอบเขตใด ในการนี้ พึงทราบวา คาํ ทม่ี กั มาคกู นั และเปน คาํ ตรงขามกนั ดวย ในพจนานกุ รมน้ี ใชคําอา งองิ วาคกู บั หรือ ตรงขามกบั อยางใดอยา งหนึง่ โดยยงั ไมถ อื ขอยุตเิ ด็ดขาดลงไป เชนโลกียธรรม คกู ับ โลกุตตรธรรม,สงั ขตธรรม ตรงขา มกับ อสงั ขตธรรม • ใชก ารอางโยง แทนคาํ อธบิ ายบางตอนทีซ่ ้าํ ซอ นเกนิ จําเปน หรือชวยใหปรบั เปล่ียนคาํ อธบิ ายบางแหง ใหส้ันลง (เชน ตดั คําอธบิ ายที่ เบญจศีล ออก เนื่องจากซํ้ากบั ศลี ๕ แลว ใชก ารอางโยงแทน) นอกจากนั้น ยังมีงานแทรกซอนบางอยางท่ีใชเวลาเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียวนอกเหนือความคาดหมาย เชน ทกุ ครั้งทมี่ กี ารแกไขขอมลู ซง่ึ ทาํ ใหข อ ความและถอ ยคาํ ขยบั ขยายเลอ่ื นท่ี ตอ งตรวจดคู วามถกู ตอ งเหมาะสมในการตดั แยกคาํ ทา ยบรรทดั โดยเฉพาะคาํ ศพั ทบ าลสี นั สกฤต เชน ปาฏโิ มกข และคาํ ประสม เชนพระเจา นมสม ถา โมกข เจา หรือ สม เล่อื นแยกออกไปอยตู า งบรรทดั ซง่ึ ทาํ ใหผ ดิ หลกั อกั ขรวธิ กี ารเขยี นคาํบาลสี นั สกฤต หรอื อาจชวนใหอ า นเขา ใจผิดในกรณคี ําประสม กต็ องพยายามแกไขใหม าอยูในบรรทดั เดยี วกนัครบทง้ั คํา หรือใชวธิ ใี สเคร่อื งหมาย - (ยติภังค) หากเปน คําบาลีสนั สกฤตท่พี อจะเอื้อใหต ดั แยกได เชน กศุ ล-ธรรม (ดังในตัวอยางนี)้ และการแกไ ขนม้ี กั จะสง ผลกระทบตอคําอ่นื อยูเนอื งๆ ทาํ ใหตอ งตรวจดใู หทั่วซํ้าอกี อน่ึง การแกไขดังกลาว ยังสงผลกระทบตอทอดไปถึงการจัดหนาหนงั สือโดยรวม ซง่ึ พลอยขยับเขยือ้ นเปล่ียนแปลงไปเน่ืองจากการตดั เพมิ่ หรือเปลีย่ นแปลงขอความน้นั อันจะตองตรวจดแู ละจดั ปรับใหถกู ตอ งลงตวั ดว ยทกุ ครัง้ เชนเดยี วกนั การทงี่ านพิมพ พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท กาวมาจนถงึ ขน้ั สาํ เรจ็ เสรจ็ สน้ิ ในบดั น้ี จงึหมายถงึ การบาํ เพญ็ อทิ ธบิ าททง้ั ๔ ของ ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ และบตุ รหญงิ –บตุ รชาย คอื น.ส.ภาวนา ฌานวงั ศะและ นายปญญา ฌานวงั ศะ ซงึ่ ขออนโุ มทนาไว ณ ที่น้ี เปนอยางยง่ิ พรอ มน้ี ขอขอบคณุ พระมหาเจมิ สวุ โจ แหง มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ทไ่ี ดอ ตุ สาหะวริ ยิ ะเตรยี มฐานขอ มลู คอมพวิ เตอรช ดุ แรกของ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท และมอบใหไว แมจะเปน ชุดทมี่ ไิ ดนํามาใชในการพิมพคร้ังนี้ กถ็ ือวา พระมหาเจมิ สวุ โจ ไดมีสวนรวมในงานนด้ี ว ย อนง่ึ ระหวา งทแ่ี กไ ขทวนทานเพอื่ เตรยี มตน แบบสาํ หรบั สง โรงพมิ พน ี้ พระครปู ลดั ปฎ กวฒั น (อนิ ศรจินตฺ าปฺโ) และพระภิกษุหลายรูปในวัดญาณเวศกวนั ไดอานปรฟู อีกเท่ียวหนง่ึ ชว ยใหก ารพิสจู นอ ักษรถกูตอ งเรยี บรอยยง่ิ ขนึ้ จงึ ขอขอบคุณพระครูปลดั ปฎกวัฒนและพระภิกษุทกุ รูปทช่ี ว ยงาน ในโอกาสน้ี กระนน้ักต็ าม กค็ งยงั มขี อ ผดิ พลาดหลงเหลืออยูบ า ง หากผใู ชทานใดไดพบ กข็ อไดโ ปรดแจงใหทราบดวย เพื่อชว ยใหการพมิ พค รั้งตอ ๆ ไปมคี วามสมบูรณย่ิงขนึ้ หวงั วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ทพ่ี มิ พด ว ยระบบใหมค รง้ั นี้ จะเปน อปุ กรณอ นั เกอื้ กลูตอ การศกึ ษา ทส่ี าํ เรจ็ ประโยชนไ ดด ยี งิ่ ขนึ้ และเปน ปจ จยั หนนุ ใหเ กดิ ธรรมไพบลู ย เพือ่ ประโยชนสุขแกพ หูชนย่ังยนื นานสืบไป พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๓ กนั ยายน ๒๕๔๖
บันทกึ ของผูเ รยี บเรยี ง (ในการพิมพครัง้ ท่ี ๒ – พ.ศ. ๒๕๒๗) ๑. หนงั สอื นพี้ มิ พค รง้ั แรกเมอื่ พ.ศ. ๒๕๒๒ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ตเจา อาวาสวดั พระพิเรนทร มชี อื่ วา พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับครู นกั เรยี น นักธรรม แตใ นการพมิ พคร้งั ท่ี ๒นี้ ไดเ ปล่ียนชือ่ ใหมวา พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท ท้ังนีเ้ พราะชื่อเดิมยาวเกนิ ไป เรยี กยาก การทม่ี คี าํ สรอยทา ยชอ่ื วา ฉบับประมวลศพั ท ก็เพ่อื ปองกนั ความสับสน โดยทําใหตางออกไปจากพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ของผเู รียบเรียงเดยี วกนั ซึง่ มอี ยูกอน พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท เปน พจนานกุ รมซึ่งรวบรวมและอธิบายคําศัพทท ัว่ ไปทุกประเภททเ่ี ก่ียวกับพระพทุ ธศาสนา เชน หลักธรรม พระวนิ ยั พธิ ีกรรม ประวตั ิบคุ คลสาํ คญั ตํานาน และวรรณคดีท่สี าํ คญั เปน ตน ตางจาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร (จะขยายชอื่ เปน พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบบัประมวลธรรม) ท่มี งุ รวบรวมและอธิบายเฉพาะแตหลกั ธรรมซึ่งเปน สาระสําคญั ของพระพุทธศาสนา ๒. ศพั ทท่ีรวบรวมมาอธิบายในหนังสือนี้ แยกไดเปน ๓ ประเภทใหญๆ คอื ๑) พทุ ธศาสนประวัติ มีพุทธประวตั ิเปน แกน รวมถงึ สาวกประวัติ ประวตั บิ คุ คล สถานท่ี และเหตุการณส ําคญั ในพระพุทธศาสนา ตลอดจนตํานาน และเร่ืองราวท่มี าในวรรณคดตี างๆ เฉพาะที่คนทัว่ ไปควรรู ๒) ธรรม คอื หลกั คําสอน ทง้ั ทมี่ าในพระไตรปฎก และในคัมภรี ร ุนหลังมีอรรถกถาเปนตน รวมไวเฉพาะท่ศี ึกษาเลาเรยี นกันตามปกติ และเพ่มิ บางหลักทนี่ า สนใจเปนพิเศษ ๓) วนิ ยั หมายถงึ พทุ ธบญั ญตั ทิ ก่ี าํ กบั ความประพฤตแิ ละความเปน อยขู องพระสงฆ และในทน่ี ใ้ี หม ีความหมายครอบคลมุ ถงึ ขนบธรรมเนยี มประเพณี พธิ กี รรมบางอยา งทไ่ี ดเ ปน เครอื่ งยดึ เหนย่ี วคมุ ประสานสงั คมของชาวพทุ ธไทยสบื ตอ กนั มา นอกจากนมี้ ศี พั ทเ บด็ เตลด็ เชน คาํ กวซี ง่ึ ผกู ขนึ้ โดยมงุ ความไพเราะ และคาํ ไทยบางคาํ ทไี่ มค นุ แตปรากฏในแบบเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม ซงึ่ ภกิ ษสุ ามเณรจาํ เปน จะตอ งรคู วามหมาย เปน ตน ๓. หนังสอื นีร้ วมอยใู นโครงการสวนตัว ทจี่ ะขยายปรบั ปรุงกอ นการจัดพมิ พครัง้ ท่ี ๒ และไดเ พมิ่ เตมิปรบั ปรงุ ไปบา งแลว บางสว น แตต ามทต่ี งั้ ใจไวก ะวา จะปรบั ปรงุ จรงิ จงั และจดั พมิ พภ ายหลงั พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร(ฉบบั ประมวลธรรม) ครน้ั ดร.สจุ ินต ทังสุบุตร ตดิ ตอ ขอพมิ พเปนธรรมทานในงานพระราชทานเพลงิ ศพบดิ าผเู ปน บรุ พการี จงึ เปน เหตใุ หก ารพมิ พเ ปลย่ี นลาํ ดบั กลายเปน วา หนงั สอื นจ้ี ะสาํ เรจ็ กอ น โดยเบอื้ งแรกตกลงวา จะพมิ พไ ปตามฉบบั เดมิ ทส่ี ว นใหญย งั ไมไ ดป รบั ปรงุ แตป ญ หาขอ ยงุ ยากตดิ ขดั ทที่ าํ ใหก ารพมิ พล า ชา ไดก ลายเปนเครอื่ งชวยใหไ ดโ อกาสรบี เรง ระดมงานแทรกเพิ่ม ปรับปรงุ แขงกนั ไปกบั งานแกไขปญหา จนหนังสอื นม้ี เี นอื้ หาเกือบจะครบถวนสมบูรณตามความมุงหมาย นับวาเจาภาพงานน้ีไดมีอุปการะมากตอความสําเร็จของงานปรบั ปรงุ หนงั สอื และตอการชวยใหงานเสร็จสนิ้ โดยเรว็ ไมย ืดเยือ้ ตอ ไป อยา งไรกด็ ี มผี ลสบื เนอื่ งบางอยา งทค่ี วรทราบไวด ว ย เพอ่ื ใหร จู กั หนงั สอื นชี้ ดั เจนยงิ่ ขนึ้ เชน ก) ในโครงการปรบั ปรงุ เดมิ มขี อ พจิ ารณาอยา งหนง่ึ วา จะรวมศพั ทท แี่ ปลกในหนงั สอื ปฐมสมโพธกิ ถา และใน มหาเวสสนั ดรชาดก เขา ดว ยหรอื ไม การพมิ พท เี่ รง ดว นครง้ั นไี้ ดช ว ยตดั สนิ ขอพิจารณานนั้ ใหยตุ ิลงไดท นั ทีคอื เปน อันตอ งตดั ออกไปกอ น แตการไมร วมศัพทในวรรณคดี ๒ เรือ่ งน้นั เขา มากไ็ มท าํ ใหพ จนานกุ รมนเ้ี สยีความสมบรู ณแ ตอ ยา งใด เพราะศพั ทส ว นมากใน ปฐมสมโพธกิ ถา และ มหาเวสสนั ดรชาดก เปน คํากวีและคํา
ฏจําพวกตํานาน ซ่งึ มงุ ความไพเราะหรือเปน ความรปู ระกอบ อนั เกินจําเปน สําหรบั การเรยี นรใู นระดับสามัญ วา ที่จริงศัพทสองประเภทนั้นเทาท่ีมีอยูเดิมในหนังสือน้ีก็นับวามากจนอาจจะทําใหเกิดความสับสนกับศัพทจาํ พวกหลักวชิ าไดอ ยแู ลว สว นความรูท เี่ ปนหลักการของพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณคดี ๒ เร่ืองนั้น กลาวไดวามอี ยใู นพจนานกุ รมน้ีแลวแทบทั้งหมด ข) การปรับปรุงอยางเรงดวนแขงกับเวลาท่ีบีบรัดทําใหเกิดความลักล่ันขึ้นบางในอัตราสวนของการอธิบาย คอื บางคําอธิบายขยายใหมย ดื ยาวมาก เชน ไตรปฎก ยาวเกนิ ๑๐ หนา แตบ างคําคงอยอู ยา งเดิมซ่ึงเมือ่ เทยี บกนั แลวกลายเปนสั้นเกินไป เชน ไตรสิกขา ทีอ่ ยใู กลก ันนัน้ เอง และศัพทบ างศพั ทย ังตกหลนหลงตาเชน ไตรทศ, ไตรทพิ ย เปน ตน อยา งไรกต็ าม ขอ บกพรอ งเชน นเ้ี หลอื อยนู อ ยยง่ิ โดยมากเปน สว นทพี่ สิ ดารเกนิ ไปมากกวา จะเปน สว นที่หยอนหรือขาด และถา รูจกั คน กส็ ามารถหาความหมายทลี่ กึ ละเอยี ดออกไปอกี ได เชน ไตรสกิ ขา กอ็ าจเปด ดคู าํยอยตอ ไปอีก คอื อธิศลี สกิ ขา, อธิจิตตสกิ ขา, และ อธิปญ ญาสิกขา สวนคําจาํ พวก ไตรทศ, ไตรทพิ ย กเ็ ปนก่งึ คํากวี ไมใ ชศพั ทวชิ าการแท เพยี งแตหาความหมายของศัพท ไมตอ งอธิบายดา นหลกั วชิ า อาจปรึกษาพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ได ๔. ความหมายและคาํ อธบิ ายศัพท นอกจากสว นใหญท่ไี ดคน ควารวบรวมและเรียบเรยี งขน้ึ เปน เนอื้ หาเฉพาะของพจนานกุ รมนีแ้ ลว มแี หลง ทค่ี วรทราบอกี คือ ๑) ศัพทจํานวนหน่ึง เกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชานักธรรม ซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบแผนมคี วามสําคญั มากสาํ หรบั ผเู รยี นและผูสอบในระบบน้นั (โดยมากเปนศพั ทพ ระวินัย และมศี พั ทท างวชิ าธรรมปนอยบู า ง) ในทนี่ ม้ี กั คดั เอาความหมายและคาํ อธบิ ายในแบบเรยี นมาลงไวด ว ย ๒) ศัพทบ างศพั ท ทีเ่ ห็นวาความหมายและคาํ อธบิ ายในหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ของมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ชัดเจนและใชไ ดด อี ยู ก็คงไวตามน้ัน ๓) ศัพททใี่ ชก นั ในภาษาไทย ซึ่งผูคน มักตองการเพียงความหมายของคําศพั ท ไมมีเรอ่ื งทีต่ องรใู นทางหลกั วิชามากกวา น้ัน หลายแหงถอื ตาม พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ๔) ในขนั้ สมบรู ณข องพจนานกุ รมนี้ ไดต ง้ั ใจไวว า จะแสดงหลกั ฐานทมี่ าในคมั ภรี ข องเรอ่ื งทเ่ี ปน หลกัวิชาไวทั้งหมดโดยละเอยี ด แตเ พราะตองสงตนฉบับเขาโรงพมิ พท ันทกี อ นแลว จงึ มกี ารแทรกเพมิ่ ปรบั ปรงุ ตามโอกาสภายหลงั การบอกทม่ี าใหท ว่ั ถงึ จงึ เปน ไปไมไ ด ครนั้ จะแสดงทม่ี าของเรอื่ งทม่ี โี อกาสแทรกเพม่ิ หรอื ปรบั ปรงุใหม กจ็ ะทาํ ใหเ กดิ ความลกั ลนั่ ไมส มา่ํ เสมอกนั จงึ งดไวก อ นทง้ั หมด ผใู ชพ จนานกุ รมนจ้ี งึ จะพบหลกั ฐานทมี่ าบา งกเ็ ฉพาะทเี่ ปน เพยี งขอ ความบอกชอื่ หมวดชอ่ื คมั ภรี อยา งเปน สว นหนง่ึ ของคาํ อธบิ าย ไมม ตี วั เลขบอกเลม ขอ และหนา ตามระบบการบอกทมี่ าทสี่ มบรู ณ การเพิ่มเติมและปรับปรุงแมจะไดทําอยางรีบเรงแขงกับการพิมพเทาที่โอกาสเปดให แตก็นับวาใกลความครบถว นสมบูรณ ทําใหเ นอ้ื หาของหนังสือขยายออกไปมากประมาณวาอีก ๑ ใน ๓ ของฉบบั พิมพครั้งแรก มีศพั ทท ่เี พ่ิมใหมแ ละปรบั ปรุงหลายรอ ยศัพท กระนั้นก็ตาม เมอื่ ถึงโอกาสกจ็ ะมกี ารปรบั ปรุงใหญอกี ครั้งหน่ึง เพ่อื ใหกลมกลืนสม่าํ เสมอโดยสมบรู ณแ ละเหมาะแกผใู ชประโยชนท กุ ระดับ ตัง้ แตน กั สอนจนถงึ ชาวบา น อนึ่ง ในการเพ่ิมเติมและปรับปรุงนี้ ไดมีทานผูเปนนักสอนนักเผยแพรธรรมชวยบอกแจงศพั ทตกหลน ในการพมิ พครง้ั กอนและเสนอศัพทท ่คี วรเพ่ิมเติมหรอื ปรับปรุงคาํ อธบิ ายหลายศพั ท คอื พระมหาอารยี เขมจาโร วดั ระฆงั โฆสติ าราม รองเลขาธกิ ารมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั บอกแจง มา ๑๔ ศัพท เชน จวี รมรดก,
ฐติตถยิ ปก กันตกะ, อนาโรจนา, อโุ ปสถิกภัต เปน ตน คณุ หมออมรา มลิลา เสนอเพิ่มเติม ๒๔ ศัพท เชนจังหัน, จาร, เจริญพร, ตอ ง, ทกุ กฏ, ทพุ ภาสติ , ธิติ, สังฆการี เปนตน และเสนอปรบั ปรุงคาํ ท่ีอธิบายไมชัดเจนอานเขา ใจยาก หรอื ส้ันเกินไป ๒๓ ศพั ท เชน กัปปยภมู ,ิ กุฑวะ, คันโพง, ดาวเคราะห เปน ตน นับวา ไดมีสวนชว ยเสรมิ ใหห นงั สือสมบูรณยิง่ ข้ึน ในการพิมพท่ีเรงดวนภายในเวลาที่จํากัด ตอหนาปญหาความยุงยากสับสนในกระบวนการพมิ พชว งตนทีไ่ มร าบรนื่ นน้ั คุณชุตมิ า ธนะปุระ ไดมีจติ ศรัทธาชวยพิสูจนอ กั ษรสว นหนึง่ (คุณชตุ มิ า และคณุ ยงยทุ ธธนะปรุ ะ ไดบรจิ าคทุนทรัพยพ ิมพพจนานุกรมนีแ้ จกเปน ธรรมทานจาํ นวนหนึง่ ดว ย) คณุ พนติ า องั จนั ทรเพ็ญไดชวยพสิ จู นอักษรอีกบางสวน และชวยติดตอ ประสานงานทางดา นโรงพมิ พ ทางดานเจาภาพ ชว ยเหลือทาํธรุ ะใหล ุลวงไปหลายประการ นับวาเปนผูเก้ือกลู แกง านพมิ พห นังสือครั้งนเ้ี ปนอันมาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท พมิ พเ สรจ็ สนิ้ ในบดั นี้ กอ น พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบัประมวลธรรม ไมย ดื เยอ้ื ยาวนานตอ ไป กเ็ พราะคณะเจา ภาพงานพระราชทานเพลงิ ศพ อาจารยจ ติ ร ทงั สบุ ตุ ร ซง่ึ มีดร. สจุ นิ ต ทงั สบุ ตุ ร เปน ผตู ดิ ตอ ขอพมิ พ ไดเ พยี รพยายามเรง รดั ตดิ ตามงานมาโดยตลอด และไดส ละทนุ ทรพั ยเปน อนั มากในการผลกั ดนั ใหก ารพมิ พผ า นพน ปญ หาขอ ตดิ ขดั ตา งๆ เปน ฐานใหก ารพมิ พส ว นทจี่ ะเพมิ่ เตมิ เปน ไปไดโ ดยสะดวกและเสยี คา ใชจ า ยลดนอ ยลง นอกจากน้ี เจา ภาพทขี่ อพมิ พเ ผยแพรอ กี หลายราย กล็ ว นเปน ผมู จี ติ ศรทั ธาจดั พมิ พแ จกเปน ธรรมทานทงั้ สนิ้ เจา ภาพทขี่ อพมิ พจ าํ นวนมากทสี่ ดุ คอื มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั แมจ ะพมิ พจ าํ หนา ย มใิ ชพ มิ พแ จกอยา งใหเ ปลา แตก ม็ วี ตั ถปุ ระสงคเ พอื่ นาํ ผลประโยชนไ ปบาํ รงุ การศกึ ษาของพระภกิ ษสุ ามเณร นบั วา เปน การกศุ ลเชน กนั นอกจากน้ี เมอื่ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ขาดแคลนทนุ ทจี่ ะใชใ นการพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ก็บงั เอญิ ให คณุ หญงิ กระจา งศรี รกั ตะกนษิ ฐ ไดท ราบ จงึ ไดเ ชญิ ชวนญาตมิ ติ รของทา น รว มกนั ตง้ั “กองทนุ พมิ พพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร” ขนึ้ กองทนุ นนั้ มจี าํ นวนเงนิ มากจนพอทจ่ี ะใชพ มิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน เลม นดี้ ว ยเปน เครอ่ื งอปุ ถมั ภใ หก ารพมิ พส าํ เรจ็ ลลุ ว งสมหมาย ทาํ ใหม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดพ จนานกุ รมทง้ั สองเลมสาํ หรบั จาํ หนา ยเกบ็ ผลประโยชนโ ดยมติ อ งลงุ ทนุ ลงแรงใดๆ เลย ขออนุโมทนากุศลเจตนา บญุ กริ ยิ า และความอุปถมั ภของทา นผไู ดกลา วนามมาขา งตน ขอทกุ ทา นจงประสบจตุรพธิ พร เจรญิ งอกงามในธรรมยิ่งๆ ข้ึนไป และขอธรรมทานท่ไี ดร วมกันบาํ เพ็ญนจี้ งเปนเคร่ืองชักนํามหาชนใหบรรลุประโยชนสุขอนั ชอบธรรมโดยทัว่ กัน พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยตุ โฺ ต) ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๗
ควรทราบกอ น๑. พจนานกุ รมนี้ เหมาะแกครูและนักเรียนนกั ธรรม มากกวา ผูอน่ื คาํ ศพั ทใ นวชิ านกั ธรรม ซงึ่ การตอบและอธบิ ายตามแบบแผนมคี วามสําคัญมากสําหรับผูเรียนและผูสอบในระบบน้นั (โดยมากเปนศพั ทพ ระวนิ ัย) ในที่นีม้ กั คดั เอาความหมายและคําอธบิ ายในแบบเรียนมาลงไวด วย ความหมายและคาํ อธบิ ายหลายแหง เขยี นอยา งคนรกู นั คอื ผมู พี น้ื ความรอู ยบู า งแลว จงึ จะเขา ใจชดัเจนและใชป ระโยชนไ ดเ ตม็ ท่ี อยา งไรกต็ าม วา โดยสว นใหญ คนทว่ั ไปทส่ี นใจทางพระศาสนา กใ็ ชป ระโยชนไ ดเ ปน อยา งดี๒. ศัพทท่อี ธบิ าย มงุ วิชาธรรม พทุ ธประวตั ิ และวินัย เปน ใหญ ศพั ทท ค่ี วรอธบิ ายในวชิ าทงั้ สามนี้ พยายามใหค รบถว น เทา ทมี่ ใี นแบบเรยี นนกั ธรรม ทง้ั ชน้ั ตรี ชนั้ โทและชนั้ เอก แมว า ในการจดั ทาํ ทเี่ รง ดว นยง่ิ น้ี ยอ มมคี าํ ตกหลน หรอื แทรกไมท นั อยบู า งเปน ธรรมดา อยา งไรกต็ าม ศพั ทเ กยี่ วกบั ศาสนพธิ บี างอยา ง และเรอื่ งทค่ี นทว่ั ไป และนกั ศกึ ษาอน่ื ๆ ควรรู กไ็ ดเ พม่ิ เขามาอกี มใิ ชน อ ย เชน กรวดนาํ้ , ผา ปา , สงั ฆทาน, อาราธนาศลี , อาราธนาพระปรติ ร, อาราธนาธรรม, วสิ ทุ ธมิ รรค,จกั กวตั ตสิ ตู ร เปน ตน๓. ลาํ ดบั ศพั ท เรยี งอยา ง พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน เวน ตน ศพั ท มี –ะ คําท่เี ปน ตน ศัพท หรือแมศัพท แมม ีประวสิ รรชนีย ก็เรียงไวกอนคาํ ท่อี าศยั ตน ศพั ทนน้ั เชน เถระเรยี งไวก อ น เถรวาท; เทวะ เรียงไวกอ น เทวดา, เทวทติ เปน ตน๔. การสะกดการันต มีปะปนกันหลายอยา ง ใหถอื วา ใชไ ดท ั้งหมด ศพั ทส ว นมาก เกบ็ จากแบบเรยี นนกั ธรรม ซงึ่ เขยี นขนึ้ เมอื่ ศตวรรษลว งแลว แทบทง้ั สน้ิ คอื กอ นมีพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ เปน เวลานาน แบบเรยี นเหลา นน้ั แมเ ขยี นคาํ ศพั ทเ ดยี วกนั ก็สะกดการนั ตไ มเ หมอื นกนั แตก ถ็ อื วา ถกู ตอ งดว ยกนั อยา งนอ ยตามนยิ มในเวลานนั้ ยงิ่ กวา นนั้ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ยงั เปด โอกาสสาํ หรบั คาํ ทเี่ ปน ธรรมบญั ญตั ใิ หเ ขยี นเตม็รปู ตามภาษาเดมิ ไดด ว ย ดงั นน้ั พงึ ทราบการสะกดการนั ตไ มค งทใ่ี นหนงั สอื นี้ วา เปน ไปตามแหลง เดมิ ทเ่ี กบ็ ถอ ยคาํ นน้ั ๆ มา หรอืตามรปู คาํ ทยี่ อมรบั ในทางหลกั ภาษาวา ยกั เยอื้ งไปได ตวั อยา งคาํ เขยี นหลายแบบ เชน กรรมฐาน, กมั มฏั ฐาน; อรยิ สจั จ, อรยิ สจั ; นคิ คหะ, นคิ หะ; ญตั กิ รรม,ญตั ตกิ รรม, ญตั ตกิ มั ม; บรเิ ฉท, ปรเิ ฉท; ธรรมวจิ ยั , ธมั มวจิ ยะ; จลุ ลวรรค, จลุ วรรค, จลุ ลวคั ค เปน ตน ในการพิมพครงั้ ที่ ๑๐ (ระบบคอมพิวเตอร) ไดป รบั การสะกดตวั ของบางศัพทใหเปนปจจุบัน (เชนปฤษณา แกเปน ปรศิ นา ซึง่ แผลงมาจาก ปรศั นา ในสันสกฤต) และในขอ ความทเี่ ปน คาํ อธบิ ายของหนงั สอืหากคาํ ศพั ทใ ดปรากฏซา้ํ ไดป รบั การสะกดตัวใหเปน อยา งเดยี วกัน อนง่ึ คาํ ศพั ทท มี่ หี ลายรปู เพราะเขยี นไดห ลายอยา ง เชน อรยิ สจั จ, อรยิ สจั ถอื ปฏบิ ตั ดิ งั น้ี • ในคาํ อธบิ ายทกุ แหง เลือกใชรปู ใดรูปหนงึ่ ใหเ ปน อยา งเดยี วเหมอื นกนั หมด เชน ในกรณนี ้ี ใชร ปูอรยิ สจั จ
ฒ • แตที่ศพั ทต้งั อาจมรี ปู อรยิ สจั ดว ย โดยเขยี นรูปทต่ี างๆ เรยี งไวด ว ยกัน เปน “อริยสัจ, อรยิ สจั จ” • อาจยกรปู ทต่ี า งขนึ้ เปน ศพั ทต ง้ั ตา งหากดว ย แตไ มอ ธบิ าย เพยี งอา งองิ ใหด รู ปู ศพั ทท ถี่ อื เปน หลกั ในพจนานกุ รมนี้ เชน “อรยิ สจั ดู อรยิ สจั จ” • ในบางกรณี ไดช แ้ี จงไวท า ยคาํ อธบิ ายของศพั ทต งั้ ทถ่ี อื เปน หลกั นน้ั วาเขยี นอยา งนนั้ อยา งนกี้ ไ็ ด เชนทา ยคําอธบิ ายของ “อรยิ สัจจ” มีขอความช้แี จงวา “เขยี น อริยสัจ ก็มี” หรือ “อริยสัจ ก็เขยี น” ในกรณที เ่ี ขยี นศพั ทร ปู แปลก และควรทราบวา พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน เขยี นอยา งไร ไดช ี้แจงกาํ กบั ไวด ว ยวา พจนานกุ รม เขยี นอยา งนั้นๆ คําวา พจนานกุ รม ในที่นี้ พึงทราบวา หมายถึง พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓, พ.ศ. ๒๕๒๕ และ พ.ศ. ๒๕๔๒๕. คําทอี่ า งโยง มคี าํ อธบิ ายในลาํ ดบั อกั ษรของคาํ น้ัน เมือ่ พบคาํ ศัพทท อ่ี า งโยงในคําอธิบายของคาํ อื่น หลังคําทแ่ี สดงการอางโยงคอื ดู เทยี บ คูกับ หรือ ตรงขามกับ พงึ คน หาความหมายของคาํ ที่อา งโยงนน้ั เพ่มิ เติม ท่ลี าํ ดบั อกั ษรของคาํ น้ันๆ นอกจากน้ี การอา งโยงยงั มใี นคาํ บอกเลขขอ ในหมวดธรรมภายในวงเลบ็ ทา ยคาํ อธบิ ายของศพั ทต า งๆ เชนทค่ี าํ ทมะ ขา งทา ยมี “(ขอ ๒ ในฆราวาสธรรม ๔)” พงึ ทราบวา คาํ เหลา นน้ั (ในกรณนี ้ี คอื ฆราวาสธรรม) ก็มีคําอธิบายอยใู นลําดับอักษรของตนๆ๖. พจนานกุ รมน้ี เปนก่งึ สารานุกรม แตใ หม ลี ักษณะทางวิชาการเพียงเล็กนอ ย คําอธิบายของคําจาํ นวนมากในหนงั สือนี้ มใิ ชแสดงเพยี งความหมายของศัพทหรอื ถอยคาํ เทา นน้ั ยงั ใหความรอู นั พงึ ทราบเกยี่ วกบั เรอ่ื งนนั้ ๆ อกี ดว ย เชน จาํ นวน ขอ ยอ ย ประวตั ยิ อ สถานท่ี และเหตุการณแ วดลอ มเปนตน เขาลกั ษณะเปนสารานุกรม แตยงั คงช่ือเปนพจนานกุ รมตามความตง้ั ใจเมอ่ื เรมิ่ ทาํ และเปน การจาํ กดัขอบเขตไว ใหห นงั สอื นยี้ งั แตกตา งจาก สารานกุ รมพทุ ธศาสน ท่จี ัดทาํ คา งอยู เพื่อทราบวา พจนานกุ รมน้มี ีลกั ษณะและขอบเขตอยา งไร พึงคน ดูศพั ทต า งๆ เชน กรวดนา้ํ , จาํ พรรษา,กาลามสตู ร, กาลกิ , สารบี ตุ ร, พทุ ธกจิ , นาลันทา, สันโดษ, ชวี ก, ไตรปฎก, สงั คายนา,ผาปา, ราหุล, วรรค,สังเวช, สังฆราช เปนตน อนงึ่ หนงั สอื นเี้ กดิ ขน้ึ เนอื่ งดว ยเหตกุ ารณจ าํ เพาะหนา เรยี กไดว า เปน งานฉกุ เฉนิ นอกเหนอื ไปจากโครงการที่มอี ยูเ ดมิ แมว า จะอิง สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง ทจี่ ดั ทาํ คา งอยกู จ็ รงิ แตเ พราะเปน งานผดุ ขน้ึ กลางคนั จงึ ไมไ ดค ดิ วางรปู วางแนวหรอื วางแผนการจดั ทาํ ไวใ หช ดั เจน เนอื้ หาจงึ มคี วามลกั ลนั่ กนั อยบู า ง เชน คาํ ศพั ทประเภทเดยี วกนั บางคาํ อยตู น เลมอธิบายสั้น บางคาํ อยูตอนปลายเลม อธบิ ายยาวกวา ดงั น้เี ปน ตน นอกจากนั้น เม่ือแรกทาํ คิดเพียงแควาใหสาํ เร็จประโยชนเปนอุปกรณการศึกษาเบ้ืองตนและใหมีขนาดไมห นานกั (กะไวป ระมาณ ๒๕๐ หนา) เพราะเวลาพิมพก ระชนั้ และกําลงั ทนุ จํากดั จงึ คิดจาํ กดั ไมใ หหนงั สอื มลี ักษณะทางวิชาการมากนกั เชน คําอธบิ ายศัพทใหม ีเพียงเทา ท่ีควรรโู ดยตรง ไมมีขยายความเชิงวชิ าการ และยังไมบอกท่มี าสาํ หรบั ผูตองการคนควา เพิม่ เติม แมว าบดั น้ี หนังสอื นจี้ ะเปน งานทีบ่ านปลายออกไป แตโดยท่ัวไปยงั รักษาลักษณะจาํ กดั ทางวชิ าการทง้ัสองขอน้ไี ว โดยเฉพาะท่มี าไมไ ดบ อกไวเ ลย อยา งไรกด็ ี ไดตกลงใจวา ในการพมิ พคร้งั ตอๆ ไป เมือ่ มีโอกาส จะเลอื กบอกท่มี าสําหรบั บางเรอื่ งตามสมควร
วิธีอานคําบาลี ภาษาบาลเี ปน ภาษาทบ่ี รรจุพระพุทธศาสนาไวอยางครบถวน ผนู ับถอื พระพุทธศาสนาจงึ ควรจะรภู าษาบาลพี อสมควร หรอื อยา งนอยก็ควรจะรูว ธิ ีอานคาํ บาลีใหถ กู ตอ ง ซ่งึ จะเปน พ้ืนฐานในการอา นคาํ ศพั ทธรรมบญั ญตั ิจาํ นวนมาก ทย่ี ืมจากภาษาบาลี (และสนั สกฤต) มาใชใ นภาษาไทย เชน อนปุ พุ พิกถา, ปฏิจจสมุปบาทการเขียนภาษาบาลดี วยอกั ษรไทยและวิธอี าน ๑. รูปสระ เมื่อเขียนภาษาบาลดี ว ยอักษรไทย สระทกุ ตัว (ยกเวน สระ อ) มที งั้ รูป “สระลอย” (คือสระทไ่ี มมพี ยัญชนะตนประสมอยดู วย) และรปู “สระจม” (คือสระท่มี ีพยัญชนะตนประสมอยดู ว ย) ใหอ อกเสียงสระตามรปู สระนน้ั เชน อาภา [อา-พา], อิสิ [อ-ิ ส]ิ , อตุ ุ [อุ-ตุ] ทัง้ นี้กเ็ ชนเดียวกับในภาษาไทย ขอ พเิ ศษทีแ่ ปลกจากภาษาไทย คอื “สระ อ” จะปรากฏรูปเมอื่ เปนสระลอย และไมป รากฏรปู เม่อืเปนสระจม ใหออกเสยี งเปน [อะ] เชน อมต [อะ-มะ-ตะ] นอกจากนี้ “ตวั อ” ยังใชเ ปนทุนใหสระอน่ื เกาะ เมือ่ สระนัน้ ใชเ ปน สระลอย เชน เอก [เอ-กะ], โอฆ[โอ-คะ] ๒. รปู พยัญชนะ พยัญชนะเมื่อประสมกบั สระใด ก็จะมรี ปู สระนั้นปรากฏอยูดว ย (ยกเวนเม่ือประสมกบั สระ อ) และใหอ อกเสียงพยญั ชนะประสมกับสระน้ัน เชน กรณีย [กะ-ระ-น-ี ยะ] พยญั ชนะท่ีใชโดยไมม ีรูปสระปรากฏอยู และไมม เี ครื่องหมาย ฺ (พนิ ท)ุ กาํ กบั แสดงวาประสมกับสระ อ และใหออกเสียงพยัญชนะนั้นประสมกบั [อะ] เชน รตน [ระ-ตะ-นะ] สว นพยัญชนะทม่ี ีเคร่ืองหมาย ฺ (พินทุ) กาํ กับ แสดงวา ไมม สี ระใดประสมอยดู ว ย ใหออกเสียงเปนตวัสะกด เชน ธมมฺ [ทาํ -มะ], ปจจฺ ตฺตํ [ปด-จัด-ตงั ] หรือตวั ควบกลา้ํ เชน พฺรหฺม[พร๎ ะ-หม๎ ะ] แลว แตก รณี ในบางกรณี อาจตอ งออกเสยี งเปน ทงั้ ตวั สะกดและตวั ควบกลา้ํ เชน ตตรฺ [ตดั -ตร๎ ะ], กลยฺ าณ [กนั -ล๎ยา-นะ] อนึ่ง รูป เอยฺย มกั นิยมออกเสยี งตามความสะดวก เปน [ไอ-ยะ] กม็ ี หรือ [เอย-ยะ] ก็มี เชนทกฺขเิ ณยฺย ออกเสยี งเปน [ทัก-ขิ-ไน-ยะ] หรือ [ทกั -ข-ิ เนย-ยะ] เมื่อยมื เขามาใชในภาษาไทย จึงปรากฏวา มใี ชทัง้ ๒ รปู คอื ทักขิไณย(บคุ คล) และ ทกั ขิเณยย(บุคคล) ๓. เครือ่ งหมายนคิ หติ เครอื่ งหมาย ํ (นคิ หิต) ตอ งอาศัยสระ และจะปรากฏเฉพาะหลงั สระ อ, อิหรือ อุ ใหออกเสียงสระนั้นๆ (เปน [อะ], [อิ] หรอื [อุ] แลวแตก รณี) และมี [ง] สะกด เชน อสํ [อัง-สะ], เอวํ[เอ-วัง], กึ [กงิ ], วสิ ุ [ว-ิ สุง]ตวั อยางขอความภาษาบาลีและวิธอี าน มดี ังน้ีสพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กุสลสฺสูปสมปฺ ทา[สบั -พะ-ปา-ปด -สะ] [อะ-กะ-ระ-นงั ] [กุ-สะ-ลัด-ส-ู ปะ-สํา-ปะ-ทา]สจติ ฺตปรโิ ยทปนํ เอตํ พทุ ฺธาน สาสนํ[สะ-จดิ -ตะ-ปะ-ร-ิ โย-ทะ-ปะ-นงั ] [เอ-ตงั ] [พดุ -ทา-นะ] [สา-สะ-นัง]
ดการอานคาํ ที่มาจากภาษาบาลี (และสนั สกฤต) หลักพ้ืนฐานดังกลาวขางตนอาจนํามาประยุกตกับการอานคําไทยท่ีมาจากภาษาบาลี (และสันสกฤต)โดยอนโุ ลม แตยงั ตอ งดัดแปลงใหเ ขา กบั รูปคําและวิธีออกเสียงแบบไทยดว ย เชน การออกเสยี งอกั ษรนาํ ในคาํวา สมทุ ยั [สะ-หมุ-ไท] แทนท่ีจะเปน [สะ-มุ-ไท] นอกจากน้ี หากจะออกเสียงใหถูกตองตามความนิยมในวงการศกึ ษาพระพุทธศาสนา ผูอ านตองมีความรูเพมิ่ เตมิ วา รูปเดิมของศพั ทค าํ น้ันเปน อยางไร โดยเฉพาะอยา งย่ิง จะตองทราบวา พยัญชนะตวั ใดมีพนิ ทุกํากบั ดว ยหรอื ไม เชน ปเสนทิ มรี ูปเดิมเปน ปเสนทิ จึงตอ งอานวา [ปะ-เส-นะ-ทิ] ไมใ ช [ปะ-เสน-ทิ]แต อนปุ พุ พิกถา มีรปู เดิมเปน อนปุ ุพฺพกิ ถา จงึ ตองอา นวา [อะ-น-ุ ปบุ -พ-ิ กะ-ถา] ไมใ ช [อะ-น-ุ ปุบ-พะ-พ-ิ กะ-ถา] หรือ ปฏิจจสมปุ บาท มรี ูปเดิมเปน ปฏิจฺจสมุปปฺ าท จงึ ตองอา นวา [ปะ-ติด-จะ-สะ-หมบุ -บาด] ไมใ ช [ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ-ปะ-บาด]
สารบัญ ก จบนั ทึก (ในการชําระ-เพ่ิมเติม ชว งท่ี ๑) ฎคําปรารภ (ในการพมิ พค รงั้ ที่ ๑๐) ฑบนั ทึกของผเู รียบเรยี ง (ในการพมิ พค รั้งที่ ๒ – พ.ศ. ๒๕๒๗) ณควรทราบกอ น ๑๕๑วิธีอา นคาํ บาลี ๑๗๐ก ๑น ๑๘๔ข ๓๑ บ ๒๔๖ค ๓๖ ป ๒๕๐ฆ ๕๔ ผ ๒๗๕ง ๕๕ พ ๒๗๕จ ๕๕ ฟ ๒๙๐ฉ ๗๕ ภ ๓๒๓ช ๗๙ ม ๓๓๓ซ ๘๗ ย ๓๔๕ฌ ๘๗ ร ๓๔๖ญ ๘๗ ฤ ๓๕๑ฎ ๙๑ ล ๓๘๔ฐ ๙๑ ว ๓๘๙ด ๙๒ ศ ๔๖๒ต ๙๖ ส ๔๖๖ถ ๑๒๐ หท ๑๒๑ อ ๕๗๗ธ ๑๓๙ ๕๗๙แถลงการจัดทาํ หนงั สอื (ในการพิมพค ร้ังที่ ๑) ๕๘๒ความเปน มาของพจนานกุ รมพทุ ธศาสตรทนุ พมิ พพ จนานกุ รมพทุ ธศาสน
กกกุธานที แมนํ้าที่พระอานนททูลเชิญ ตอออกไปถงึ กลางเดอื น ๔); ผา ทีส่ งฆ เสด็จพระพุทธเจา ใหไปเสวยและสรง ชําระพระกาย ในระหวางเดินทางไป ยกมอบใหแกภิกษุรูปหน่ึงนั้นเรียกวา เมืองกสุ ินารา ในวันปรนิ ิพพาน ผา กฐิน (กฐนิ ทุสสะ); สงฆผูประกอบกฏัตตาวาปนกรรม ดู กตัตตากรรม กฐินกรรมตองมีจํานวนภิกษุอยางนอยกฐนิ ตามศพั ทแ ปลวา “ไมส ะดงึ ” คือไม แบบสําหรับขึงเพอื่ ตัดเยบ็ จีวร; ในทาง ๕ รูป; ระยะเวลาท่ีพระพุทธเจาทรง พระวนิ ัย ใชเปนช่ือเรียกสังฆกรรมอยาง หนงึ่ (ในประเภทญัตติทตุ ยิ กรรม) ที่ อนญุ าตใหป ระกอบกฐนิ กรรมได มเี พยี ง พระพุทธเจาทรงอนุญาตแกสงฆผูจํา พรรษาแลว เพื่อแสดงออกซึ่งความ ๑ เดือนตอจากส้ินสุดการจําพรรษา สามัคคีของภิกษุท่ีไดจําพรรษาอยูรวม เรยี กวา เขตกฐนิ คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คา่ํ กัน โดยใหพวกเธอพรอมใจกันยกมอบ เดอื น ๑๑ ถงึ ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๒ ผาผืนหนึง่ ท่เี กิดข้ึนแกส งฆ ใหแ กภิกษุ รูปใดรูปหนึ่งในหมูพวกเธอ ที่เปนผูมี ภิกษุผูกรานกฐินแลว ยอมได คุณสมบัตสิ มควร แลวภกิ ษรุ ูปนั้นนําผา ท่ีไดรับมอบไปทําเปนจีวร (จะทําเปน อานสิ งส ๕ ประการ (เหมือนอานิสงส อนั ตรวาสก หรอื อุตราสงค หรือสงั ฆาฏิ การจาํ พรรษา; ดูจาํ พรรษา) ยดื ออกไปอกี ก็ได และพวกเธอท้ังหมดจะตองชวย ๔ เดอื น (ตงั้ แตแ รม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๒ ถึง ภิกษุน้นั ทาํ ) ครั้นทําเสร็จแลว ภกิ ษุรปู น้ันแจงใหที่ประชุมสงฆซ่ึงไดมอบผาแก ข้นึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๔) และไดโ อกาสขยาย เธอนน้ั ทราบเพอ่ื อนโุ มทนา เมอื่ สงฆคอื ที่ประชุมแหงภิกษุเหลานั้นอนุโมทนา เขตจวี รกาลออกไปตลอด ๔ เดือนน้ัน แลว ก็ทาํ ใหพ วกเธอไดส ทิ ธิพเิ ศษท่ีจะ คําถวายผา กฐนิ แบบสนั้ วา : “อิมํ, ขยายเขตทําจีวรใหยาวออกไป (เขตทํา จีวรตามปกติ ถงึ กลางเดือน ๑๒ ขยาย สปรวิ าร,ํ กนิ จวี รทสุ สฺ ,ํ สงฆฺ สสฺ ,โอโณ- ชยาม” (วา ๓ จบ) แปลวา “ขาพเจาท้งั หลาย ขอนอ มถวาย ผา กฐนิ จีวรกบั ทั้ง บรวิ ารนี้แกพระสงฆ” แบบยาววา : “อิมํ, ภนฺเต, สปริวาร,ํ กินจีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ, อมิ ํ, สปริวารํ, กนิ ทสุ สฺ ,ํ ปฏคิ ฺคณฺหาตุ, ปฏคิ คฺ เหตฺวา จ,อมิ นิ าทสุ เฺ สน,กนิ ,ํ อตถฺ รต,ุ อมหฺ าก,ํ ทีฆรตฺตํ, หิตาย, สขุ าย” แปลวา “ขา แต
กฐินทาน ๒ กตกิ าพระสงฆผ เู จรญิ ขาพเจา ท้ังหลาย ขอ กตัญูกตเวทิตา ความเปนคนกตัญูนอมถวายผา กฐินจีวร กับทั้งบรวิ ารน้แี ก กตเวทีพระสงฆ ขอพระสงฆจงรับผากฐินกับ กตัญูกตเวที ผูรูอปุ การะทท่ี า นทําแลวท้งั บรวิ ารนี้ ของขาพเจาทง้ั หลาย ครั้น และตอบแทน แยกออกเปน ๒ คือรับแลว จงกรานกฐินดวยผาน้ี เพื่อ กตัญู รูคุณทาน; กตเวที ตอบแทนประโยชนและความสุข แกขาพเจาทั้ง หรือสนองคุณทาน; ความกตัญูหลาย สน้ิ กาลนาน เทอญฯ” (เครอื่ ง กตเวทวี า โดยขอบเขต แยกไดเปน ๒หมาย , ใสไ วเ พอ่ื เปน ทก่ี าํ หนดทจี่ ะกลา ว ระดับ คอื กตญั กู ตเวทีตอบคุ คลผมู ีเปน ตอนๆ ในพิธ)ี ; กถิน กเ็ ขยี น คุณความดีหรืออุปการะตอตนเปนสวนกฐินทาน การทอดกฐนิ , การถวายผา ตัว อยางหนึ่ง กตญั ูกตเวทตี อ บคุ คลกฐิน คอื การท่ีคฤหสั ถผ ูศรทั ธาหรอื แม ผูไดบําเพ็ญคุณประโยชนหรือมีคุณภกิ ษุสามเณร นาํ ผาไปถวายแกส งฆผ จู าํ ความดีเก้ือกูลแกสวนรวม เชนที่พระพรรษาแลว ณ วัดใดวดั หน่ึง เพ่อื ทํา เจาปเสนทิโกศลทรงแสดงความกตัญูเปน ผากฐนิ เรยี กสามัญวา ทอดกฐิน กตเวทีตอพระพุทธเจาโดยฐานท่ีไดทรง(นอกจากผากฐินแลวปจจุบันนิยมมีของ ประกาศธรรมยงั หมชู นใหต ง้ั อยูในกศุ ล-ถวายอื่นๆ อกี ดวยจํานวนมาก เรยี กวา กลั ยาณธรรม เปน ตน อยางหนงึ่ (ขอบริวารกฐิน) ๒ ในบุคคลหาไดยาก ๒)กฐินัตถารกรรม การกรานกฐิน กตตั ตากรรม กรรมสกั วา ทาํ , กรรมที่กตญาณ ปรีชากําหนดรูวาไดทํากิจเสร็จ เปน กศุ ลกต็ ามอกุศลกต็ าม สกั แตว า ทําแลว คือ ทุกข ควรกาํ หนดรู ไดร แู ลว คือไมไดจงใจจะใหเ ปนอยางนน้ั โดยตรงสมุทัย ควรละ ไดละแลว นโิ รธ ควรทาํ หรอื มเี จตนาออนไมช ัดเจน ยอมใหผลใหแจงไดทําใหแจงแลว มรรค ควร ตอเม่ือไมม ีกรรมอืน่ ทานเปรียบเสมือนเจริญ ไดเจรญิ คือปฏิบตั ิหรอื ทําใหเ กิด คนบา ยงิ ลกู ศร ยอมไมม คี วามหมายจะแลว (ขอ ๓ ใน ญาณ ๓) ใหถกู ใคร ทําไปโดยไมตงั้ ใจชดั เจน; ดูกตเวทติ า ความเปน คนกตเวท,ี ความ กรรม ๑๒ กตัตตาวาปนกรรม ดู กตัตตากรรมเปน ผสู นองคณุ ทานกตญั ุตา ความเปนคนกตัญ,ู ความ กติกา (ในคําวา “ขา พเจาถวายตามกตกิ าเปนผูรคู ุณทา น ของสงฆ”) ขอตกลง, ขอบงั คับ, กติกา
กถา ๓ กรรม ของสงฆในกรณีนี้ คือขอท่ีสงฆ ๒ ประเทศหิมพานต พระราชบตุ รและพระ อาวาส มีขอตกลงกันไวว า ลาภเกดิ ใน ราชบตุ รี ของพระเจาโอกกากราช พากัน อาวาสหนง่ึ สงฆอ ีกอาวาสหน่งึ มสี ว นได ไปสรางพระนครใหมในที่อยูของกบิล- รับแจกดวย ทายกกลาวคําถวายวา ดาบส จึงขนานนามพระนครท่ีสรางใหม “ขาพเจา ถวายตามกตกิ าของสงฆ” ลาภ วา กบิลพสั ดุ แปลวา “ทห่ี รือทด่ี ินของ ที่ทายกถวายนั้น ยอ มตกเปน ของภิกษุ กบลิ ดาบส” ผูอยใู นอาวาสที่ทาํ กตกิ ากนั ไวดวย กบิลพัสดุ เมืองหลวงของแควนสักกะกถา ถอยคํา, เร่อื ง, คาํ กลา ว, คาํ อธิบาย หรอื ศากยะ ที่ไดชือ่ วา กบลิ พสั ดุ เพราะกถาวัตถุ ถอยคาํ ท่คี วรพูด, เรือ่ งท่ีควร เดมิ เปนทอ่ี ยูข องกบลิ ดาบส บัดน้ีอยใู น นาํ มาสนทนากนั ในหมภู กิ ษุ มี ๑๐ อยา ง เขตประเทศเนปาล คอื ๑. อปั ปจ ฉกถา ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหม ี กปส สี ะ ไมทีท่ ําเปน รปู หวั ลิง ในวนั ท่พี ระ ความปรารถนานอย ๒. สันตุฏฐิกถา พทุ ธเจา จะปรนิ พิ พาน พระอานนทเถระ ถอยคําที่ชักนําใหมีความสันโดษ ๓. ยืนเหนี่ยวไมนี้รองไหเสียใจวาตนยังไม ปวเิ วกกถา ถอ ยคาํ ทชี่ กั นาํ ใหม คี วามสงดั สําเร็จพระอรหัต พระพุทธเจาก็จัก กายสงดั ใจ ๔. อสังสคั คกถา ถอยคาํ ท่ี ปรินิพพานเสยี แลว ชักนําใหไมคลุกคลีดวยหมู ๕. วิริยา- กพฬิงการาหาร ดู กวฬิงการาหาร รัมภกถา ถอยคําทีช่ ักนําใหปรารภความ กรณียะ เรอื่ งทคี่ วรทํา, ขอ ท่พี งึ ทาํ , กจิ เพยี ร ๖. สีลกถา ถอยคาํ ท่ีชักนาํ ใหต ้งั กรมการ เจาพนักงานคณะหน่ึงมีหนาที่ อยใู นศีล ๗. สมาธิกถา ถอยคาํ ท่ีชกั นํา บริหารราชการแผนดินในระดับหน่ึงๆ ใหท าํ จติ ม่ัน ๘. ปญญากถา ถอยคําทชี่ กั เชน กรมการจงั หวัด กรมการอําเภอ นาํ ใหเกดิ ปญญา ๙. วมิ ตุ ตกิ ถา ถอ ยคาํ ท่ี เปนตน ชักนาํ ใหทาํ ใจใหพนจากกิเลสและความ กรมพระสุรัสวดี ชอื่ กรมสมยั โบราณ มี ทุกข ๑๐ วิมุตตญิ าณทัสสนกถา ถอยคํา หนาที่เก่ียวกับการรวบรวมบัญชีเลข ที่ชักนําใหเกิดความรูความเห็นในภาวะ หรือชายฉกรรจ ทห่ี ลุดพน จากกเิ ลสและความทกุ ข กรรโชก ขูเ อาดวยกริ ิยาหรอื วาจาใหกลวักนิฏฐภคนิ ,ี กนษิ ฐภคนิ ี นองหญิง (แผลงมาจาก กระโชก)กนฏิ ฐภาดา, กนษิ ฐภาดา นอ งชาย กรรณ หูกบิลดาบส ดาบสที่อยูในดงไมสักกะ กรรม การกระทํา หมายถึง การกระทาํ ท่ี
กรรม ๒ ๔ กรรมกรณประกอบดวยเจตนา คือ ทาํ ดวยความ อุปปชชเวทนียกรรม กรรมใหผลในภพจงใจหรอื จงใจทาํ ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม เชน ทจ่ี ะไปเกดิ คอื ในภพหนา ๓. อปราปรยิ -ขุดหลมุ พรางดักคนหรอื สตั วใ หต กลงไป เวทนียกรรม กรรมใหผ ลในภพตอๆ ไปตาย เปนกรรม แตขุดบอนํ้าไวกินใช ๔. อโหสกิ รรม กรรมเลกิ ใหผ ล หมวดสตั วต กลงไปตายเอง ไมเ ปน กรรม (แต ท่ี ๒ วา โดยกจิ คอื จาํ แนกการใหผ ลตามถา รอู ยวู า บอ นาํ้ ทตี่ นขดุ ไวอ ยใู นทซี่ ง่ึ คน หนาท่ี ไดแก ๕. ชนกกรรม กรรมแตงจะพลดั ตกไดง า ย แลว ปลอ ยปละละเลย ใหเกดิ หรือกรรมที่เปนตวั นาํ ไปเกิด ๖.มีคนตกลงไปตาย ก็ไมพนเปน กรรม), อุปต ถมั ภกกรรม กรรมสนับสนนุ คือเขา วาโดยสาระ กรรมก็คือเจตนา หรือ สนับสนุนหรือซ้ําเติมตอจากชนกกรรม ๗. อปุ ปฬ กกรรม กรรมบีบค้นั คอื เขา มา เจตนานัน่ เองเปนกรรม, การกระทาํ ที่ดี บบี คนั้ ผลแหง ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภก- เรียกวา กรรมดี การกระทําทช่ี วั่ เรยี ก วา กรรมชว่ั ; เทียบ กริ ยิ า กรรมนั้นใหแปรเปล่ียนทุเลาเบาลงหรือกรรม ๒ กรรมจําแนกตามคุณภาพหรือ ส้นั เขา ๘. อปุ ฆาตกกรรม กรรมตัด ตามธรรมท่ีเปน มลู เหตุมี ๒ คอื ๑. รอน คอื กรรมแรงฝา ยตรงขามที่เขาตัด อกุศลกรรม กรรมทเี่ ปน อกศุ ล กรรมชวั่ คือเกิดจากอกุศลมูล ๒. กุศลกรรม รอนการใหผลของกรรมสองอยางน้ันให ขาดหรือหยดุ ไปทีเดยี ว หมวดที่ ๓ วา กรรมทเ่ี ปน กศุ ล กรรมดี คือเกดิ จาก โดยปากทานปริยาย คือจําแนกตาม ลําดบั ความแรงในการใหผ ล ไดแ ก ๙. กุศลมลู ครุกกรรม กรรมหนักใหผ ลกอ น ๑๐.กรรม ๓ กรรมจาํ แนกตามทวารคอื ทางท่ี พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม กรรมทํา ทํากรรม มี ๓ คือ ๑. กายกรรม การ มากหรือกรรมชินใหผลรองลงมา ๑๑. กระทาํ ทางกาย ๒. วจกี รรม การกระทํา อาสนั นกรรม กรรมจวนเจยี น หรอื กรรม ทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทาํ ทางใจกรรม ๑๒ กรรมจาํ แนกตามหลกั เกณฑ ใกลต าย ถาไมมีสองขอกอนก็จะใหผล เกย่ี วกับการใหผ ล พระอรรถกถาจารย กอ นอนื่ ๑๒. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตา- วาปนกรรม กรรมสักวา ทํา คอื เจตนา รวบรวมแสดงไว ๑๒ อยา ง คอื หมวดท่ี๑ วา โดยปากกาล คอื จาํ แนกตามเวลาที่ ออ นหรอื มิใชเจตนาอยา งนน้ั ใหผ ลตอใหผ ล ไดแ ก ๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม เม่อื ไมมกี รรมอนื่ ใหผ ลกรรมใหผลในปจจุบันคือในภพนี้ ๒. กรรมกรณ เครอ่ื งลงอาชญา, ของสําหรับ
กรรมการ ๕ กรรมวาท ใชล งโทษ เชน โซ ตรวน ขอ่ื คา เปน ตน กรรมวาจา คําประกาศกิจในทามกลางกรรมการ บคุ คลในคณะซง่ึ รว มกนั ทาํ งาน สงฆ, การสวดประกาศ แบง เปน ๒ คือบางอยา งทไี่ ดร บั มอบหมาย ญตั ติ ๑ อนุสาวนา ๑กรรมกเิ ลส กรรมเครอื่ งเศราหมอง, การ กรรมวาจาจารย พระอาจารยผูสวดกระทําที่เปนเหตุใหเศราหมอง มี ๔ กรรมวาจาประกาศในทามกลางสงฆในอยา งคอื ๑. ปาณาตบิ าต การทําชวี ิตให การอุปสมบทตกลวงคือ ฆาฟนสังหารกัน ๒. กรรมวาจาวิบัติ เสียเพราะกรรมวาจา,อทนิ นาทาน ถอื เอาของทเี่ จา ของเขามไิ ด กรรมวาจาบกพรอ งใชไ มไ ดให คือลักขโมย ๓. กาเมสุมิจฉาจาร กรรมวาจาสมบัติ ความสมบูรณแหงประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ; กรรมวาจา, คาํ สวดประกาศถกู ตอ งใชไ ดดู คหิ ิวนิ ัย กรรมวาท ผปู ระกาศหลักกรรม หรือผูกรรมฐาน ดู กมั มัฏฐาน ถอื หลกั กรรม เชน ยืนยนั วากรรมคอืกรรมบถ “กรรมอันเปนทาง”, กรรมดี การกระทํามแี ละมผี ลจรงิ วาแตล ะคนมีหรือช่ัวซึ่งแรงถึงขั้นท่ีเปนทางใหเกิดใน กรรมเปนของตนและเปนไปตามกรรมสคุ ติหรอื ทุคติ เชน มุสาวาทคอื เจตนา นัน้ วา การกระทาํ เปนเครอ่ื งตัดสนิ ความพูดเท็จถึงข้ันทําลายตัดรอนประโยชน ดีเลวสูงทราม (มิใชชาติกําเนิดตัดสิน)ของผูอ่นื จงึ เปน กรรมบถ ถาไมถ ึงขน้ั วาการกระทําเปนเหตุปจจัยใหสําเร็จผลอยางน้ี ก็เปนกรรมเทานั้น ไมเปน (มิใชสําเร็จดวยการออนวอนดลบันดาลกรรมบถ, มีคําอธิบายแบบครอบคลุม หรอื แลวแตโชค) เปนตน ; หลกั การแหงดว ยวา กรรมทัง้ หลายทวั่ ไป ช่ือวา เปน กรรม, การถอื หลกั กรรม; พระพทุ ธเจา กรรมบถ เพราะเปนทางแหงสุคติและ ตรสั เรยี กพระองคเ อง (อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๗๗/๓๖๙) วา ทรงเปน กรรมวาท (ถอื หลกั หรอื กฎ ทุคติ และเปนทางแหงความสุขความ แหง การกระทาํ ) กริ ยิ วาท (ถือหลักการ อันใหกระทํา) และวิริยวาท (ถือหลัก ทุกขของผูท่ีเกิดในคติน้ันๆ, กรรมบถ แยกเปน กุศลกรรมบถ ๑๐ และ ความเพยี ร); บางทกี ลา วถงึ พระกติ ตคิ ณุ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐กรรมปต ตะ ดู กัมมปต ตะ ของพระพทุ ธเจา (เชน ท.ี ส.ี ๙/๑๘๒/๑๔๗) วากรรมลักษณะ ดู กัมมลักขณะ ทรงเปนกรรมวาที กริ ยิ วาที (คอื เปนกรรมวัฏฏ ดู กัมมวฏั ฏ กรรมวาท และกริ ยิ วาท นนั่ เอง ตา งกนั
กรรมวาที ๖ กรานกฐนิเพยี งวา กรรมวาท และกริ ยิ วาท เปนได กระแสความ แนวความท้ังคําคุณศัพทของบุคคล และคํานาม กระแสเทศนา แนวเทศนาแสดงหลกั การ สว นกรรมวาที และกริ ยิ - กระหยง (ในคาํ วา “นั่งกระหยง ”) นงั่วาที เปนคุณศัพทอยางเดยี ว) คุกเขาเอาปลายเทาตั้งลงท่ีพื้น สนเทากรรมวาที ดู กรรมวาท ท้ังสองรับกน เรียกวา นงั่ กระโหยง ก็กรรมวิปากญาณ ปรีชาหย่ังรูผลของ ได; บางแหง วาหมายถงึ นั่งยองๆกรรม แมจ ะมกี รรมตางๆ ใหผลอยูมาก กรานกฐนิ ขึงไมสะดงึ คือเอาผาทจี่ ะเยบ็มายซับซอน กส็ ามารถแยกแยะลวงรไู ด เปนจีวรเขา ขึงท่ไี มสะดงึ เยบ็ เสรจ็ แลว วาอันใดเปนผลของกรรมใด บอกแกภิกษุท้ังหลายผูรวมใจกันยกผากรรมสิทธ์ิ ความเปนเจาของทรัพย, ใหใ นนามของสงฆ เพอื่ อนโุ มทนา ภิกษุ สิทธทิ ไี่ ดตามกฎหมาย ผเู ย็บจีวรเชน นนั้ เรยี กวา ผกู รานกรรมารหะ ดู กมั มารหะกรรแสง รองได บัดนเ้ี ขยี น กันแสง พิธีทําในบดั นค้ี ือ ภกิ ษุซึ่งจําพรรษากรวดน้าํ ตง้ั ใจอุทิศบญุ กศุ ลใหแ กผูลว ง ครบสามเดือนในวัดเดียวกัน (ตองมี จาํ นวน ๕ รูปข้นึ ไป) ประชุมกันในลับ พรอมไปกับหล่ังรินนํ้าเปนเครื่อง อุโบสถ พรอมใจกันยกผากฐินใหแกหมาย และเปนเครื่องรวมกระแสจิตท่ี ภกิ ษุรูปหนงึ่ ในหมพู วกเธอ ภิกษรุ ปู นนั้ตั้งใจอุทิศน้นั ใหแ นว แน; เริม่ รนิ นํา้ เมอื่ ทาํ กจิ ต้งั แต ซกั กะ ตัด เยบ็ ยอ มใหพระองคห ัวหนาเริ่มสวดยถา รินน้ําหมด เสร็จในวันนั้น ทําพินทุกัปปะอธิษฐานพรอมกับพระหัวหนา สวดยถาจบ และ เปนจีวรครองผืนใดผืนหน่ึงในไตรจีวรพระท้ังหมดเริ่มสวดพรอ มกัน จากนนั้ แลวบอกแกภิกษุสงฆผูยกผาใหเพ่ือ วางท่ีกรวดน้ําลงแลวประนมมือรับพร อนุโมทนา และภกิ ษนุ ้นั อนโุ มทนาแลว ตอ ไป; คํากรวดน้ําอยา งส้นั วา “อทิ ํ โน เรียกวา กรานกฐิน ถา ผากฐนิ เปนจีวร าตีนํ โหต”ุ แปลวา “ขอสวนบญุ นจี้ ง สําเรจ็ รปู กจิ ที่จะตอง ซกั กะ ตัด เย็บ สําเรจ็ แก ... (ออกชอ่ื ผลู ว งลับ) และ ยอม กไ็ มมี (กราน เปนภาษาเขมร แปลวา “ขงึ ” คือทําใหตึง กฐนิ เปน ญาติท้งั หลายของขา พเจาเถิด” จะตออีก ภาษาบาลี แปลวา “ไมส ะดึง” กราน ก็ไดวา “สขุ ิตา โหนฺตุ าตโย” แปลวา กฐิน ก็คือ “ขึงไมส ะดงึ ” คือเอาผา ท่ีจะ “ขอญาติทง้ั หลายจงเปนสขุ เถดิ ” เย็บเปนจีวรเขาขึงท่ีไมสะดึง) เขียนกระทู หวั ขอ, เคาเงอื่ น
กริยา ๗ กลาป กราลกฐิน บา งกม็ ี อันเปนสวนยอยของรูปธรรมประเภทกรยิ า ในทางไวยากรณ คอื รูปสนั สกฤต น้ันๆ โดยที่องคประกอบท้ังหมดมี ของคาํ วา กิรยิ า “สหวุตต”ิ คือมคี วามเปน ไปรวมกัน ทงั้กรีษ, กรสี คถู อุจจาระ ข้ี เ กิ ด ขึ้ น ด ว ย กั น พ ร อ ม เ ป น อั น เ ดี ย วกรณุ า ความสงสารคิดจะชวยใหพ น ทุกข, (เอกุปปาทะ) ท้ังดับดวยกันพรอมเปน ความหวั่นใจ เม่ือเห็นผูอ ่ืนมีทุกข คดิ หา อันเดียว (เอกนิโรธะ) และมีมหาภูตรูป ทางชวยเหลอื ปลดเปล้ืองทกุ ขของเขา; ดู เปนท่ีอ าศัย รว มกันเปนอันเดียว พรหมวิหาร (เอกนิสสยะ); ตามหลักทางอภิธรรมกรุย หลักที่ปกไวเพื่อเปนเคร่ืองหมาย หนว ยรวมรปู ธรรมเลก็ ทส่ี ดุ ทเ่ี ปน หนว ย กําหนดแนวทางหรือระยะทาง ยอยพื้นฐานของรูปธรรมท้ังปวง ไดแกกฤดายคุ , กฤตยคุ ดู กัป สทุ ธฏั ฐกกลาป (หนว ยรวมหมวด ๘กลาป [กะ-หลาบ] ฟอ น, มัด, กํา, แลง , ลว น) คือกลาปซง่ึ ประกอบดวยอวนิ พิ - กลมุ , หมวด, หนว ยรวม 1. ในการเจรญิ โภครูป ๘ (รปู ธรรมแปดอยา งทม่ี ีอยู วิปสสนา การพิจารณาโดยกลาป คือ ดว ยกันเปน ประจาํ เสมอไป ไมสามารถ พจิ ารณาธรรมอยา งรวมๆ โดยรวมเปน แยกพรากออกจากกันได) อันไดแก หมวด หรอื รวบทงั้ กลุม เชนวา รูปธรรม ปฐวี อาโป เตโช วาโย วัณณะ คันธะ ทัง้ ปวง ไมเ ท่ียง ฌานธรรมเหลา น้ี ไมมี รสะ โอชา แลวก็มีขึน้ มีแลว กไ็ มมี ฯลฯ (มีคาํ เรียกหลายอยา ง เชน กลาปวปิ ส สนา, กลาป คือ หนวยรวมยอยของ กลาปสมั มสนะ, นยวปิ สสนา, สมทุ าย- รูปธรรมท้ังหลาย มีอวินิพโภครูป ๘ มนสิการ) ซึ่งงายกวาการพิจารณาโดย นั้นเปน แกนยนื พ้ืน ถา ไมมีองคป ระกอบ องค หรือโดยแยกรายขอยอย เชน อนื่ รวม ก็เปน หนวยรวมหมวด ๘ ลว น พจิ ารณาองคฌ านตามลาํ ดบั ขอ หรอื เปน เรยี กวาสทุ ธฏั ฐกกลาป (สทุ ธ=ลวน + รายขอ (เรียกวา อนปุ ทธรรมวปิ ส สนา, อฏั ฐก=หมวด ๘ + กลาป=หนว ยรวม) อังคโต-สัมมสนะ) 2. (คําเรยี กเตม็ วา ดังกลาวแลว แตถามีองคประกอบอื่น “รปู กลาป”), หนวยรวมรูปธรรมที่เลก็ ท่ี เขา รว มเพมิ่ ขนึ้ กเ็ ปน กลาปตา งแบบออก สุด, หนวยรวมเล็กที่สุด ซ่ึงมีองค ไป โดยที่กลาปแตละแบบน้นั มีจาํ นวน ประกอบท่ีจําเพาะแนนอนมารวมกันขึ้น องคประกอบรวมอยางเดียวกันเทากัน ตายตวั ถา มอี งคป ระกอบ ๙ ก็เปน
กลา วคาํ อนื่ ๘ กสิกรรมนวก=หมวด ๙, ถา มอี งคป ระกอบ ๑๐ ก็ รปู ๓], วจวี ญิ ญตั ตสิ ทั ทลหตุ าทเิ ตรสก~เปน ทสก=หมวด ๑๐, ถา มอี งคป ระกอบ๑๑ ก็เปนเอกาสก=หมวด ๑๑, ถามี [๘+วจวี ญิ ญตั ตริ ปู +สทั ทรปู +วกิ ารรปูองคประกอบ ๑๒ ก็เปนทวาทสก= ๓] ๓. อุตชุ กลาป (กลาปท่ีเกดิ แตอ ตุ ุ) มีหมวด ๑๒, ถา มอี งคป ระกอบ ๑๓ ก็เปน ๔ แบบ ไดแก สทุ ธฏั ฐกกลาป [๘], สทั ท- นวก~ [๘+สทั ทรปู ], ลหตุ าทเิ อกาทสก~เตรสก=หมวด ๑๓ [๘+วกิ ารรปู ๓], สทั ทลหตุ าททิ วาทสก~กลาปแยกเปน ๔ ประเภทตาม [๘ + สทั ทรปู + วกิ ารรปู ๓] ๔. อาหารช-สมุฏฐาน คอื ๑. กมั มชกลาป (กลาปท่ี กลาป (กลาปท่ีเกิดแตอ าหาร) มี ๒ แบบเกิดแตก รรม คอื มกี รรมเปน สมฏุ ฐาน) ไดแ กสทุ ธฏั ฐกกลาป[๘], สทั ทนวก~[๘มี ๙ แบบ ไดแก จกั ขทุ สกกลาป [๘ + + สัททรูป], ลหุตาทิเอกาทสก~ [๘ +ชีวิตรูป + จกั ขปุ สาทรปู ], โสตทสก~ [๘ วกิ ารรปู ๓]; ดู มหาภูตรปู , อุปาทายรูป,+ ชีวิตรูป + โสตปสาทรูป], ฆานทสก~ อวนิ ิพโภครูป[๘ + ชีวติ รูป + ฆานปสาทรปู ], ชวิ หา- กลา วคาํ อนื่ ในประโยควา “เปน ปาจติ ตยิ ะทสก~ [๘ + ชวี ติ รูป + ชวิ หาปสาทรปู ], ในเพราะความเปน ผกู ลาวคําอ่นื ” ถูกซกักายทสก~ [๘ + ชวี ติ รปู + กายปสาทรปู ], อยใู นทามกลางสงฆ ไมปรารถนาจะใหอติ ถภี าวทสก~ [๘ + ชีวิตรูป + อิตถี- การตามตรง เอาเรื่องอื่นมาพูดกลบภาวรปู ], ปรุ สิ ภาวทสก~ [๘ + ชวี ติ รูป + เกลื่อนเสยีปุรสิ ภาวรปู ], วตั ถทุ สก~ [๘ + ชวี ติ รูป + กลยี ุค ดู กปัหทยรูป], ชวี ติ นวก~ [๘ + ชวี ิตรูป] ๒. กวฬิงการาหาร อาหารคอื คาํ ขา ว ไดแกจติ ตชกลาป (กลาปทเ่ี กดิ แตจ ติ ) มี ๘ แบบ อาหารทก่ี ลนื กินเขาไปหลอเล้ยี งรางกาย,ไดแ ก สทุ ธฏั ฐกกลาป [๘], สทั ทนวก~ อาหารท่เี ปนวัตถุ (ขอ ๑ ในอาหาร ๔)[๘ + สทั ทรปู ], กายวญิ ญตั ตนิ วก~ [๘ + กษัตรยิ พระเจาแผนดิน, เจา นาย, ชนช้ันกายวิญญัตติรูป], วจีวิญญัตติสัทท- ปกครอง หรือนกั รบทสก~ [๘ + วจวี ญิ ญตั ตริ ปู + สทั ทรปู ], กสาวเภสัช นํ้าฝาดเปนยา, ยาทีท่ าํ จากลหุตาทเิ อกาทสก~ [๘ + วกิ ารรปู ๓], น้ําฝาดของพชื เชน น้ําฝาดของสะเดาสัททลหตุ าททิ วาทสก~ [๘ + สทั ทรปู + น้ําฝาดกระดอม นํ้าฝาดบอระเพ็ดวกิ ารรปู ๓], กายวญิ ญตั ตลิ หตุ าท-ิ เปน ตนทวาทสก~ [๘ + กายวญิ ญตั ตริ ปู + วกิ าร- กสิกรรม การทํานา, การเพาะปลกู
กสิณ ๙ กัณฑกสามเณรกสิณ “ท้ังหมด”, “ทงั้ สนิ้ ”, “ลวน”, วัตถุที่ กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธ์ิดวยเปนอารมณอยางเดียวลวนในการเจริญ หมดสงสยั ในนามรปู คอื กาํ หนดรปู จ จยักรรมฐาน เชน ถาใชปฐวีคอื ดิน ก็เปน แหง นามรปู ไดว า เพราะอะไรเกดิ นามรปูปฐวีอยางเดียวลวน ไมมีอยางอื่นปน จงึ เกดิ เพราะอะไรดบั นามรปู จงึ ดบัจึงเรยี กวา “ปฐวีกสิณ”, ตามทเี่ รียนกัน กงั สดาล ระฆงั วงเดอื นบัดนี้ แปลกนั วา วัตถอุ ันจงู ใจ คือ จูง กจั จานโคตร, กจั จายนโคตร ตระกูลใจใหเขา ไปผูกอย,ู เปนช่อื ของกรรมฐาน พราหมณกัจจานะ หรือกจั จายนะที่ใชวัตถุของลวนหรือสีเดียวลวน กัจจายนปุโรหิต ปุโรหิตช่ือกัจจายนะสาํ หรับเพงเพอ่ื จงู จิตใหเ ปนสมาธิ มี ๑๐ เปนปุโรหิตของพระเจาจัณฑปชโชตอยาง คอื ภูตกสิณ ๔: ๑. ปฐวี ดนิ กรุงอุชเชนี ไดฟง พระธรรมเทศนาของ๒. อาโป นาํ้ ๓. เตโช ไฟ ๔. วาโย ลม; พระพุทธเจา บรรลุพระอรหัตแลวขอวรรณกสณิ ๔: ๕. นลี ํ สเี ขยี ว ๖. ปต ํ สี อปุ สมบท มชี อื่ ในพระศาสนาวา พระเหลอื ง ๗. โลหติ ํ สแี ดง ๘. โอทาตํ สี มหากจั จายนะ พระพุทธเจาทรงยกยอ งขาว; และ ๙. อาโลโก แสงสวา ง ๑๐. วาเปนเอตทัคคะในทางอธิบายความอากาโส ทวี่ า ง ของคาํ ยอ ใหพ สิ ดาร; ดู มหากจั จายนะกสณิ คุ ฆาฏมิ ากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ กัจฉะ, กจั ฉประเทศ รักแรกหาปณะ ช่ือมาตราเงินในสมัยโบราณ กัญจนา เจาหญิงแหงเทวทหนครเปน๑ กหาปณะเทากับ ๒๐ มาสก หรือ ๔ พระมเหสีของพระเจาสีหหนุ ผูครอง บาท นครกบิลพัสดุ เปนพระชนนีของพระกะเทย คนหรือสัตวท่ีไมปรากฏวาเปน เจาสุทโธทนะ เปนพระอัยยิกาของเจาชายหรือหญงิ ชายสทิ ธตั ถะกังขาเรวตะ พระมหาสาวกองคหนึ่ง กัณฐกะ ชื่อมาสีขาวที่พระมหาบุรุษทรงเดมิ เปนบตุ รของตระกลู ท่มี ั่งคัง่ ชาวพระ ในวนั ออกผนวชนครสาวัตถี ไดฟงพระธรรมเทศนาท่ี กัณฐชะ อกั ษรเกิดในลาํ คอ คอื อ, อา,พระศาสดาทรงแสดง มีความเล่ือมใส ก, ข, ค, ฆ, ง และ หขอบวช ตอมาไดส ําเรจ็ พระอรหตั ไดรบั กัณฑ หมวด, ตอน, สว นของเรื่องยกยองจากพระศาสดาวาเปนเอตทัคคะ กัณฑกสามเณร ช่ือสามเณรรูปหนึ่งในในทางเปน ผูยนิ ดใี นฌานสมาบัติ คร้ังพุทธกาล ผูกลาวตูพระธรรม
กณั ฑเ ทศน ๑๐ กปั ,กลั ป เปนตนเหตุใหพระพุทธเจาทรงบัญญัติ คร้งั หนึ่ง จนกวาภูเขานน้ั จะสึกหรอสิ้น สิกขาบทที่ ๑๐ แหง สัปปาณกวรรคใน ไป กัปหนึง่ ยาวนานกวาน้ัน; กําหนด ปาจติ ตยิ กณั ฑ และทรงใหส งฆน าสนะ อายุของมนษุ ยหรือสตั วจาํ พวกนนั้ ๆ ใน เธอเสยี เขียนเปน กณั ฏกะ กม็ ีกัณฑเทศน ดู เคร่ืองกัณฑ ยุคน้นั ๆ เรียกเต็มวา ‘อายุกัป’ เชน วากณั หปกข, กณั หปก ษ “ฝา ยดํา” หมาย ถงึ ขางแรม; กาฬปก ษ กเ็ รยี ก; ตรงขามกบั อายุกัปของคนยุคนี้ ประมาณ ๑๐๐ ป ชณุ หปก ษ หรือ ศกุ ลปกษกตั ตกิ มาส เดือน ๑๒ ทก่ี ลาวขา งตน น้ัน เปนขอ ควรรูท ่ีพอกตั ติกา 1. ดาวลูกไก 2. เดือน ๑๒ ตาม จนั ทรคติ ตกในราวปลายเดอื นตลุ าคม แกความเขา ใจทว่ั ไป หากตอ งการทราบ ถึงเดอื นพฤศจิกายน ละเอยี ด พึงศึกษาคตโิ บราณดงั นี้กัตตกุ มั ยตาฉันทะ ความพอใจคอื ความ เปน ผใู ครเ พอ่ื จะทํา, ความตอ งการทจ่ี ะ กปั มี ๔ อยา ง ไดแ ก ๑. มหากปั กัปใหญ คอื กาํ หนดอายุ ทาํ ไดแ ก ฉนั ทะทเ่ี ปน กลางๆ ดกี ็ได ชั่วก็ ของโลก อันหมายถงึ สกลพภิ พ ๒. อสงไขยกปั กัปอันนบั เวลามไิ ด คือ ได แตโดยท่ัวไปหมายถึงฉันทะท่ีเปน สวนยอ ย ๔ แหง มหากัป ไดแ ก กุศล คอื กุศลฉันทะ หรอื ธรรมฉันทะ ๑) สงั วฏั ฏกปั (เรยี กเตม็ วา สงั วฏั ฏ- อสงไขยกปั ) กปั เสอ่ื ม คอื ระยะกาลท่ี ตา งจากกามฉนั ทะทเี่ ปนแตฝ ายอกศุ ลกนั ดาร อตั คดั , ฝด เคอื ง, หายาก, ลาํ บาก, โลกเสอื่ มลงจนถึงวินาศ แหงแลง, ทางทผี่ านไปยาก ๒) สังวัฏฏฐายีกัป (สังวัฏฏฐายี-กัป, กัลป กาลกาํ หนด, กาํ หนดอายขุ อง โลก, ระยะเวลายาวนานเหลือเกนิ ที่ อสงไขยกปั ) ระยะกาลทีโ่ ลกพนิ าศแลว กําหนดวาโลกคือสกลจกั รวาล ประลยั ทรงอยู ๓) ววิ ฏั ฏกปั (ววิ ฏั ฏอสงไขยกปั ) กปั คร้งั หน่งึ (ศาสนาฮนิ ดวู า เปน วันหนึ่งคนื เจริญ คือ ระยะกาลทโี่ ลกกลับเจริญขึน้ หนงึ่ ของพระพรหม) ทานใหเ ขา ใจดว ย ๔) ววิ ฏั ฏฐายกี ปั (ววิ ฏั ฏฐายอี สงไขย- อุปมาวา เปรยี บเหมือนมภี เู ขาศลิ าลวน กปั ) ระยะกาลทโ่ี ลกเจรญิ แลว ทรงอยู กวา ง ยาว สงู ดา นละ ๑ โยชน ทกุ ๑๐๐ ครบรอบ ๔ อสงไขยกปั นี้ เปน มหากปั ป มีคนนาํ ผาเนื้อละเอยี ดอยางดีมาลูบ หนงึ่ ๓. อันตรกัป กัปในระหวาง ไดแก ระยะกาลที่หมูมนุษยเส่ือมจนสวนใหญ พินาศแลว สวนที่เหลือดีขึ้นเจริญข้ึน
กปั ,กัลป ๑๑ กปั ,กลั ปและมีอายยุ ืนยาวขึน้ จนถึงอสงไขย แลว และพระเจา จกั รพรรดิธรรมราชาดว ย)กลับทรามเสื่อมลง อายุส้ันลงๆ จน ๒. อสุญกปั กปั ไมสูญ หรือกัปไมว า งเหลือเพียงสิบปแลวพินาศ ครบรอบนี้ เปลา คือ กปั ทีม่ ีพระพุทธเจาอบุ ัติ แยกเปนอันตรกปั หนึ่ง ๖๔ อันตรกัปเชนน้นัเปน ๑ อสงไขยกัป ยอยเปน ๕ ประเภท ไดแก๔. อายุกัป กาํ หนดอายขุ องสัตวจ าํ พวก ๑) สารกัป (กัปท่ีมีสาระขึ้นมาไดน้นั ๆ เชน อายุกปั ของมหาพรหมเทา กับ๑ อสงไขยกัป โดยมีพระพุทธเจามาอุบตั )ิ คือ กัปท่มี ี โดยท่ัวไป คาํ วา “กัป” ที่มาโดดๆ พระพุทธเจาอบุ ตั พิ ระองคเ ดยี วมักหมายถงึ มหากปั แตห ลายแหงหมาย ๒) มัณฑกัป (กัปเยยี่ มยอด) คือถึงอายุกัป เชนท่ีพระพุทธเจาตรัสวาพระองคไดทรงเจรญิ อิทธิบาท ๔ เปน กปั ทีม่ ีพระพทุ ธเจา อบุ ัติ ๒ พระองคอยา งดแี ลว หากทรงจํานง จะทรงพระ ๓) วรกัป (กัปประเสริฐ) คือ กัปท่ีชนมอยูตลอดกัปหรือเกินกวากัปก็ได“กปั ” ในทนี่ ี้ หมายถึงอายุกัป คอื จะทรง มพี ระพทุ ธเจาอุบตั ิ ๓ พระองคพระชนมอยูจนครบกําหนดอายุของคน ๔) สารมัณฑกัป (กัปที่มีสาระในยคุ นน้ั เตม็ บริบูรณ คือเตม็ ๑๐๐ ปหรอื เกินกวา นน้ั ก็ได เยีย่ มยอดยงิ่ กวากัปกอ น) คือ กัปทมี่ ี ตามคติที่บางคัมภีรประมวลมา พระพุทธเจาอบุ ตั ิ ๔ พระองคบันทกึ ไว พึงทราบวา ตลอดมหากัปนนั้ ๕) ภัทกปั (ภัททกปั หรอื ภทั รกัปพระพุทธเจาจะอุบัติเฉพาะแตในวิวัฏฏ-ฐายีกัป คอื ในระยะกาลท่โี ลกกลบั เจรญิ ก็ได, กปั เจรญิ หรอื กปั ท่ดี ีแท) คือ กปัข้นึ และกาํ ลังทรงอยู เทา น้นั และกัปเม่ือจําแนกตามการอุบัติของพระพุทธ ท่ีมีพระพทุ ธเจาอบุ ตั ิ ๕ พระองคเจา มี ๒ อยาง ไดแ ก๑. สญุ กัป กัปสญู หรือกัปวา งเปลา คอื กัปปจจุบนั เปนภทั กปั มพี ระพทุ ธกปั ทไ่ี มมพี ระพทุ ธเจา อุบตั ิ (รวมทัง้ ไมม ีพระปจเจกพุทธเจา พระพุทธสาวก เจา อุบัติ ๕ พระองค คอื พระกกุสนั ธะ พระโกนาคมน พระกัสสปะ พระโคตมะ ท่ีอบุ ัติแลว และพระเมตไตรยท จ่ี ะอุบตั ิ ตอไป ในศาสนาฮนิ ดู ถือวา ๑ กัป (รูป สันสกฤตเปน กลั ป) อันเปน วันหนึง่ คืน หนงึ่ ของพระพรหม (กลางวนั เปน อทุ ยั กปั คอื กปั รงุ , กลางคนื เปน ขยั กปั คอื กัป มลาย) ต้งั แตโ ลกเริ่มตน ใหมจ นประลยั ไปรอบหนง่ึ นน้ั มี ๒,๐๐๐ มหายคุ แต
กปั ปมาณพ ๑๒ ปเยอกปปฺ ยสฺ ิตาละมหายคุ ยาว ๔,๓๒๐,๐๐๐ ป โดยแบง หรอื ฉนั ได เชน ขา วสกุ จวี ร รม ยาแดงเปน ๔ ยคุ (จตุยุค, จตุรยคุ ) เริม่ จาก เปนกัปปยะ แตสรุ า เสื้อ กางเกง หมวกระยะกาลทีม่ นุษยมีศลี ธรรมและรา งกาย น้ําอบ ไมเปนกัปปยะ ส่ิงที่ไมเปนสมบรู ณง ดงาม แลว เสอื่ มทรามลง และ กัปปย ะ เรียกวา อกปั ปย ะชว งเวลาของยคุ กส็ นั้ เขา ตามลาํ ดบั คือ กปั ปย การก ผทู าํ ของทสี่ มควรแกส มณะ,๑. กฤตยุค ยุคที่โลกอันพระพรหม ผูทําหนาท่ีจัดของท่ีสมควรแกภิกษุสรา งเสร็จแลว มคี วามดงี ามสมบูรณอ ยู บรโิ ภค, ผปู ฏบิ ตั ภิ กิ ษ,ุ ลกู ศษิ ยพ ระดงั ลกู เตา ดา น ‘กฤต’ ทม่ี ี ๔ แตม เปน ยคุ กปั ปย กฎุ ี เรอื นเกบ็ ของทเ่ี ปนกัปปย ะ; ดูดเี ลศิ ๑,๗๒๘,๐๐๐ ป (สตั ยยคุ คอื ยคุ กัปปยภูมิแหง สจั จะ กเ็ รยี ก; ไทยเรยี ก กฤดายคุ ) กัปปยบรขิ าร เครอื่ งใชส อยทสี่ มควรแก๒. เตรตายคุ ยุคทม่ี ีความดงี ามถอยลง สมณะ, ของใชทส่ี มควรแกภิกษุมา ดงั ลกู เตา ดา น ‘เตรตา’ ทมี่ ี ๓ แตม กัปปยภัณฑ ของใชท่ีสมควรแกภิกษุ,ยงั เปน ยคุ ทดี่ ี ๑,๒๙๖,๐๐๐ ป (ไทยเรยี ก สงิ่ ของทส่ี มควรแกส มณะไตรดายคุ ) กัปปยภูมิ ทีส่ าํ หรับเกบ็ เสบยี งอาหารของ๓. ทวาปรยคุ ยุคที่ความดีงามเส่ือม วดั , ครวั วดั มี ๔ อยา ง คอื ๑. อนสุ สาว-ทรามลงไปอกี ดงั ลกู เตา ดา น ‘ทวาปร’ ที่ นนั ติกา กัปปย ภูมทิ ี่ทาํ ดวยการประกาศมี ๒ แตม เปน ยคุ ทมี่ คี วามดพี อทรงตวั ใหรูกันแตแรกสรางวาจะทําเปนกัปปย-ได ๘๖๔,๐๐๐ ป (ไทยเรยี ก ทวาบรยคุ ) ภมู ิ คอื พอเรม่ิ ยกเสาหรอื ตงั้ ฝากป็ ระกาศ๔. กลยี คุ ยุคที่เสือ่ มทรามถงึ ท่ีสดุ ดงั ใหไ ดย นิ วา “กปปฺ ย ภมู ึ กโรม” แปลวาลกู เตา ดา น ‘กล’ิ ทมี่ เี พยี งแตม เดยี ว เปน “เราทง้ั หลายทาํ กปั ปย กฎุ ”ี ๒. โคนสิ าทกิ า ยคุ แหง ความเลวรา ย ๔๓๒,๐๐๐ ป กปั ปย ภมู ิขนาดเล็กเคลอ่ื นที่ได ดุจเปนกปั ปมาณพ ศิษยค นหนงึ่ ในจํานวน ๑๖ ทโ่ี คจอ ม ๓. คหปตกิ า เรอื นของคฤหบดี คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถาม เขาสรา งถวายเปน กปั ปย ภมู ิ ๔. สมั มตกิ า ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย กัปปยภูมทิ ่สี งฆสมมติ ไดแ กก ฎุ ที ่ีสงฆกัปปาสกิ ะ ผาทาํ ดว ยฝาย คือผาสามัญ เลือกจะใชเปนกัปปยกุฎี แลวสวดกัปปยะ สมควร, ควรแกสมณะท่ีจะ ประกาศดว ยญัตตทิ ตุ ิยกรรม บริโภค, ของที่สมควรแกภกิ ษบุ รโิ ภคใช กปปฺ เ ย อกปปฺ ยสฺิตา อาการทีต่ องสอย คอื พระพทุ ธเจา อนญุ าตใหภกิ ษุใช อาบตั ิดว ยสาํ คัญวาไมควรในของที่ควร
กปั ปละ ๑๓ กัมมฏั ฐานกัปปละ ชื่อพราหมณนายบานของหมู กรรมประเภทนน้ั ได แตทานไมไ ดอ อกบานพราหมณหมูหน่ึง ในแขวงกรุง ช่อื ไว และไมอาจจัดเขา ในชื่ออื่นๆ แหง ราชคฤห เปนบดิ าของปป ผลิมาณพ สังฆกรรมประเภทเดยี วกนั เชน การกมั ปล ละ ชอ่ื นครหลวงแหง แควน ปญ จาละ อปโลกนแ จกอาหารในโรงฉัน เปนกัมม-กัมพล ผาทอดวยขนสัตว เชนสกั หลาด ลักขณะในอปโลกนกรรม, การประกาศกมั โพชะ แควน หนง่ึ ในบรรดา ๑๖ แควน เริ่มตนระงับอธิกรณดวยติณวัตถารก-แหงชมพูทวีป มีนครหลวงช่ือทวารกะ วินัย เปนกัมมลักขณะในญัตติกรรม,บัดน้ีอยูในประเทศอฟั กานสิ ถาน ญัตตทิ ตุ ิยกรรมท่ีสวดในลาํ ดบั ไปในการกัมมขันธกะ ช่ือหมวดหน่ึงในคัมภีร ระงบั อธกิ รณด ว ยตณิ วตั ถารกวนิ ยั เปนจลุ ลวรรค พระวนิ ยั ปฎ ก วา ดว ยนคิ หกรรม กัมมลักขณะในญัตติทุติยกรรม,๕ ประเภท อปุ สมบทและอพั ภานเปน กมั มลกั ขณะในกัมมชรูป ดูท่ี รปู ๒๘ ญตั ตจิ ตตุ ถกรรมกมั มปต ตะ, กมั มปต ต “ผถู งึ กรรม”, “ผู กมั มวฏั ฏ วนคอื กรรม, วงจรสว นกรรม,เขา กบั กรรม”, ผเู ขา กรรม, ภิกษุผเู ขา หน่งึ ในวฏั ฏะ ๓ แหงปฏิจจสมุปบาทรว มทําสังฆกรรม โดยเปน ปกตัตตะ ประกอบดวยสังขารและกรรมภพ; ดูคือเปนผูมีสิทธิถูกตอง และไมเปน ไตรวัฏฏกมั มารหะ คือมิใชเปนผซู ่งึ ถกู ที่ประชมุ กมฺมวิปากชา อาพาธา ความเจบ็ ไขเกิดสงฆท าํ กรรม, สงฆท จ่ี ะครบองคป ระชมุ แตว บิ ากแหง กรรม; ดู อาพาธเชน สังฆกรรมท่ีทําโดยสงฆจตุวรรค กมั มสัทธา ดู สัทธาตอ งมภี กิ ษคุ รบ ๔ รปู กค็ อื มกี มั มปต ตะ กมั มญั ญตา ความควรแกก ารงาน, ภาวะครบ ๔ รูป (สงฆปญจวรรคตองมี ที่ใชการได หรือเหมาะแกการใชงาน,กัมมปตตะครบ ๕ รปู สงฆท ศวรรคตอ ง ความเหมาะงานมกี มั มปต ตะครบ ๑๐ รปู สงฆว สี ตวิ รรค กมั มัฏฐาน ทีต่ ้ังแหงการงาน, อารมณ ตองมีกัมมปตตะครบ ๒๐ รูป); ดู เปน ท่ตี ้ังแหง การงานของใจ, อบุ ายทาง ปกตตั ตะ, กมั มารหะกัมมลักขณะ การอันมีลักษณะเปน ใจ, วิธฝี กอบรมจติ ใจและเจรญิ ปญ ญา (นิยมเขียน กรรมฐาน); กัมมฏั ฐาน ๒ (สงั ฆ)กรรมนนั้ ได, กจิ การทมี่ ลี กั ษณะอนั (โดยหลกั ทัว่ ไป) คอื ๑. สมถกัมมฏั ฐานจัดเขาเปนสังฆกรรมอยางหนึ่งในสังฆ- กรรมฐานเพ่ือการทําจิตใจใหสงบ, วิธี
กมั มัฏฐาน ๔๐ ๑๔ กมั มารหะฝกอบรมเจริญจิตใจ ๒. วิปสสนา- อสุภสัญญาก็มาชวยใหโลภะหรือราคะกัมมัฏฐาน กรรมฐานเพื่อการใหเกิด เขามาครอบงําไมได เพราะจะไมติดใจความรแู จง, วธิ ฝี ก อบรมเจริญปญญา; แมแตใ นทิพยารมณ แลว กม็ งุ หนาไปในกมั มัฏฐาน ๒ (โดยการปฏิบตั )ิ คือ ๑. ปาริหารยิ กรรมฐานของตน; ดู ภาวนาสัพพัตถกกัมมัฏฐาน กรรมฐานท่ีพึง กัมมัฏฐาน ๔๐ คือ ส่ิงที่นิยมใชเปนตองการในที่ทั้งปวง หรอื พงึ ใชเ ปนฐาน อารมณในการเจริญสมถภาวนา ซึ่งพงึของการเจรญิ ภาวนาทกุ อยา ง, กรรมฐาน เลือกใชใหเหมาะกับตน เชนใหตรงกับทเี่ ปน ประโยชนใ นทกุ กรณี ไดแ ก เมตตา จรติ มี ๔๐ อยา ง ไดแ ก กสณิ ๑๐ อสภุ ะมรณสติ และบางทา นวา อสภุ สญั ญาดว ย ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อาหาเร-๒. ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน กรรมฐานทจี่ ะ ปฏกิ ลู สญั ญา๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน๑ อรปู ๔ตอ งบรหิ าร (ประจาํ ตวั ) คอื กรรมฐานขอ กัมมสั สกตาญาณ ความรูถ งึ ภาวะทส่ี ัตวหนง่ึ ขอ ใดกต็ าม ทเ่ี ลอื กวา เหมาะกบั ตน ท้ังหลายมีกรรมเปนของตน ทําดีไดดีเชน วา ตรงกบั จรติ แลว หรือกาํ หนดเอา ทําชวั่ ไดชั่ว, จดั เปนปญญาที่ถกู ตอ งในเปนขอท่ีตนจะปฏิบัติเพื่อกาวสูผลท่ีสูง ระดบั สามัญ (ยังไมเปน อธปิ ญ ญา) และขนึ้ ไปๆ แลว ตอ แตน น้ั กจ็ ะตอ งเอาใจใส เปน โลกิยสัมมาทิฏฐ;ิ กมั มัสสกตญาณก็จัดปรับบําเพ็ญตลอดเวลาเพื่อใหกาว เขยี น, กมั มสั สกตาปญ ญา หรือ กัมมัส-หนา ไปและไดผ ลด,ี ทงั้ นห้ี มายความวา สกตปญ ญา ก็เรียก; ดู สกิ ขาผปู ฏบิ ตั ทิ กุ คนพงึ ปฏบิ ตั กิ รรมฐานทง้ั ๒ กมั มสั สกตาสทั ธา ความเชื่อวา สตั วมีขอ เนอื่ งจากสพั พัตถกกมั มฏั ฐานจะชว ย กรรมเปนของตัว ทาํ ดไี ดดี ทาํ ช่ัวไดช ว่ั ,เปนพ้ืนเก้ือหนุนตอปาริหาริยกัมมัฏฐาน เปน คาํ ทผี่ กู ขน้ึ ภายหลัง โดยจัดไวในชดุโดยผูปฏิบัตินั้น พอเริ่มตน ก็เจริญ สัทธา ๔ สวนในพระไตรปฎกและเมตตาตอประดาภิกษุสงฆและหมูชน คัมภรี ท ัง้ หลาย มแี ต กัมมสั สกตาญาณ;ตลอดถึงเทวดาในถิ่นใกลรอบตัวจนทั่ว ดู กมั มัสสกตาญาณ, สัทธาสรรพสัตว เพ่ือใหมีใจออนโยนตอกัน กมั มารหะ ผคู วรแกกรรม คอื บคุ คลที่และมีบรรยากาศรมเยน็ เปน มติ ร พรอม ถูกสงฆทํากรรม เชน ภิกษุท่ีสงฆกนั นนั้ กเ็ จรญิ มรณสติ เพอื่ ใหใ จหา งจาก พิจารณาทาํ ปพพาชนยี กรรม คฤหสั ถท ่ีทจุ ริตไมคดิ ถึงอเนสนา และกระตุนเรา ถกู สงฆด าํ เนนิ การควํา่ บาตร เปนตน ; ดูใจใหป ฏิบตั จิ ริงจัง ไมย อ หยอน สวน ปกตัตตะ, กมั มปต ตะ
กลั บก ๑๕ กามกลั บก ชางตดั ผม, ชางโกนผม กัศมีร แควนหนึ่งของชมพูทวีป ซ่ึงกลั ป ดู กปั ปรากฏช่ือข้ึนในยุคอรรถกถาเปนตนมากัลปนา 1. ทีห่ รอื สิ่งอื่นซ่ึงเจาของอทุ ิศ โดยมกั เรยี กรวมกบั แควนคันธาระ เปนผลประโยชนใหแ กวัด 2. สวนบุญที่ผูทาํ “กศั มีรคันธาระ”, ในภาษาไทย บางทีอทุ ศิ ใหแกผูต าย เรยี กวา “แคชเมียร”; ดู คันธาระกัลยาณคุณ คณุ อันบณั ฑิตพงึ นบั , คณุ - กัสสปะ 1. พระนามพระพุทธเจา พระ องคห น่ึงในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๕ 2.สมบัติทด่ี งี าม, คณุ งามความดีกลั ยาณชน คนประพฤตดิ ีงาม, คนดี ชอ่ื ของพระมหากสั สปเถระเมอ่ื เรยี กตามกลั ยาณธรรม ธรรมอนั ด,ี ธรรมดงี าม, โคตร ทา นมีชื่ออกี อยา งหน่งึ วา ปป ผลิธรรมของกัลยาณชน; ดู เบญจธรรม หรือ ปปผลิมาณพ 3. หมายถึงกสั สปะกัลยาณปุถุชน คนธรรมดาท่ีมีความ สามพน่ี อ ง คอื อรุ เุ วลกสั สปะนทกี สั สปะประพฤติดี, ปุถุชนผมู ีคุณธรรมสูง คยากสั สปะ ซึง่ เปน นกั บวชประเภทชฎิลกัลยาณมิตตตา ความมีกัลยาณมิตร, ถอื ลัทธิบูชาไฟ เปนท่ีเคารพนบั ถือของความมีเพื่อนเปน คนดี ไมค บคนช่ัว (ขอ ชาวราชคฤห ภายหลงั ไดเ ปน พระอรหนั ต ๓ ในทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถสงั วัตตนกิ ธรรม ๔) พรอมกันท้ังสามพี่นองและบริวารหน่ึงกัลยาณมิตร “มติ รผมู ีคณุ อนั บัณฑติ พงึ พนั ดว ยไดฟ ง เทศนาอาทติ ตปรยิ ายสตู ร นบั ”, เพ่ือนท่ดี ี (คุณสมบตั ิ ดู เพอื่ น) จากพระพทุ ธเจา 4. คาํ เรยี กชอ่ื อยา งกลั ยาณมติ รธรรม ธรรม คอื คณุ สมบตั ิ สน้ั ๆ หมายถงึ พระกมุ ารกสั สปะ ของกลั ยาณมติ ร; กลั ยาณมิตรธรรม ๗ กัสสปโคตร ตระกลู พราหมณกัสสปะ ดู เพื่อน กัสสปสังยุตต ชื่อเรียกพระสูตรหมวดกัลยาณี นางงาม, หญิงงาม, หญิงท่มี ีคุณ หนึ่ง ในคัมภีรส งั ยตุ ตนกิ าย รวบรวมธรรมนา นบั ถือ เรื่องเก่ียวกับพระมหากัสสปะไวเปนกัลลวาลมุตตคาม ช่ือหมูบาน อยูใน หมวดหมูแควน มคธ พระโมคคัลลานะอปุ สมบท กาจ รา ย, กลา , เกงได ๗ วนั ไปทาํ ความเพยี รจนออ นใจ กาพย คํารอยกรองที่แตงทํานองฉันทนั่งโงกงวงอยู พระพุทธเจาเสด็จไป แตไมนยิ มครลุ หเุ หมอื นฉนั ทท ั้งหลายเทศนาโปรด จนไดสําเร็จพระอรหัตท่ี กาม ความใคร, ความอยาก, ความหมบู า นน้ี ปรารถนา, ส่ิงท่ีนาปรารถนา นา ใคร,
กามคุณ ๑๖ กาเมสุมจิ ฉาจารกามมี ๒ คอื ๑.กเิ ลสกาม กิเลสทท่ี ําให หลงใหลหมกมนุ ใน รูป เสยี ง กลน่ิ รสใคร ๒. วตั ถุกาม วัตถุอนั นา ใคร ไดแก และสัมผัส (ขอ ๓ ในเบญจธรรม)กามคุณ ๕ กามสุข สุขในทางกาม, สุขท่ีเกิดจากกามคณุ สว นท่นี า ปรารถนานา ใครม ี ๕ กามารมณอยา ง คอื รูป เสียง กลน่ิ รส และ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนใหโผฏฐพั พะ (สมั ผสั ทางกาย) ท่ีนา ใครน า พัวพนั หมกมนุ อยใู นกามสุข เปนอยา ง พอใจ หนึ่งในที่สดุ สองขาง คอื กามสุขลั ลิกา-กามฉันท, กามฉันทะ ความพอใจรัก นุโยค ๑ อตั ตกิลมถานโุ ยค ๑ ใครในอารมณที่ชอบใจมีรูปเปนตน, กามสคุ ตภิ ูมิ กามาวจรภมู ิท่เี ปน สุคติ คอืความพอใจในกามคณุ ท้ัง ๕ คือ รปู มนษุ ยและสวรรค ๖ (จะแปลวา “สุคติเสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ (ขอ ๑ ใน ภูมทิ ่ยี งั เกย่ี วขอ งกับกาม” ก็ได)นิวรณ ๕) กามาทนี พ โทษแหง กาม, ขอ เสยี ของกามกามตัณหา ความทะยานอยากในกาม, กามารมณ 1. อารมณท่ีนาใคร นา ความอยากไดกาม (ขอ ๑ ในตัณหา ๓) ปรารถนา หมายถงึ รปู เสยี ง กลนิ่ รสกามภพ ที่เกิดของผูท่ียังเก่ยี วของอยูใน โผฏฐพั พะ ไดแ กก ามคณุ ๕ นนั่ เอง 2. ในกาม, โลกเปนทอี่ ยูอ าศัยของผูเสพกาม ภาษาไทย มกั หมายถงึ ความรสู กึ ทางกามไดแ ก อบายภมู ิ ๔ มนษุ ยโลก และ กามาวจร ซง่ึ ทอ งเทยี่ วไปในกามภพ, ซึง่สวรรค ๖ ช้ัน ต้งั แตชั้นจาตมุ หาราชิกา เก่ียวของอยกู ับกาม ไดแ ก ขันธ ธาตุถึงช้ันปรนิมมติ วสวัตดีรวมเปน ๑๑ ชั้น อายตนะ ทุกสงิ่ ทุกอยา งประดามีทเี่ ปน(ขอ ๑ ในภพ ๓) ไปในกามภพ ต้ังแตอเวจีมหานรกถึงกามราคะ ความกาํ หนดั ดว ยอาํ นาจกเิ ลส- สวรรคช้ันปรนิมมติ วสวัตดี; ดู ภพ, ภูมิกาม, ความใครกาม (ขอ ๔ ในสงั โยชน กามาสวะ อาสวะคอื กาม, กเิ ลสดองอยใู น๑๐, ขอ ๑ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระ สันดานทท่ี าํ ใหเกดิ ความใคร; ดู อาสวะ กามุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในกามอภธิ รรม, ขอ ๑ ในอนสุ ยั ๗)กามสมบัติ สมบตั ิคือกามารมณ, ความ ยึดถือวาเปนของเราหรือจะตองเปนของถึงพรอ มดวยกามารมณ เรา จนเปน เหตใุ หเ กดิ รษิ ยาหรอื หวงแหนกามสงั วร ความสาํ รวมในกาม, การรูจ กั ลมุ หลง เขา ใจผิด ทําผิดยับย้ังควบคุมตนในทางกามารมณไมให กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดใน
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี ๑๗ กายบรหิ ารกามท้ังหลาย, ความผิดประเวณี กายทวารทใ่ี ชท าํ กรรมคอื เคลอื่ นไหวแสดงกาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เวนจาก ออกและทาํ การตา งๆ, ในคาํ วา “กายสขุ ”ประพฤติผิดในกาม, เวนการลวง (สขุ ทางกาย) หมายถงึ ทางทวารทง้ั ๕ คอืประเวณี ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย ซง่ึ คกู บั เจโตสขุกายกรรม การกระทําทางกาย เชน ฆา หรอื สขุ ทางใจ, ในคาํ วา “กายภาวนา” (การสัตว ลักทรัพย ประพฤติผิดในกาม พัฒนากาย) หมายถึงอินทรียสังวรคือหรือเวน จากการฆา สตั ว เวนจากการลัก ความรจู กั ปฏบิ ตั ใิ หไ ดผ ลดใี นการใชต า หูทรัพยเ ปน ตน จมกู ลนิ้ และกาย ดงั น้ี เปน ตนกาย กอง, หมวดหม,ู ทีร่ วม, ชุมนมุ เชน กายกัมมัญญตา ความควรแกงานแหงสัตวกาย (มวลสัตว) พลกาย (กอง นามกาย, ธรรมชาตทิ ที่ าํ นามกาย คือกําลังทหาร) รถกาย (กองทหารรถ) เจตสิกทัง้ หลายใหอยใู นภาวะทจี่ ะทาํ งานธรรมกาย (ที่รวมหรือท่ีชุมนุมแหง ไดดี (ขอ ๑๔ ในโสภณเจตสิก ๒๕)ธรรม) 1. ทรี่ วมแหง อวยั วะทง้ั หลาย หรอื กายคตาสติ, กายสติ สติที่เปนไปในชมุ นมุ แหง รปู ธรรม คอื รา งกาย บางที กาย, สติอันพิจารณากายใหเห็นตามเรียกเต็มวา รูปกาย 2. ประชุมแหง สภาพทมี่ สี ว นประกอบ ซงึ่ ลว นเปนของนามธรรม หรอื กองแหง เจตสกิ เชน ในคาํ ไมสะอาด ไมง าม นา รงั เกียจ ทําใหเ กิดวา “กายปส สทั ธ”ิ (ความสงบเยน็ แหง กอง ความรเู ทา ทนั ไมหลงใหลมัวเมาเจตสกิ ) บางทเี รยี กเตม็ วา นามกาย (แตใ น กายทวาร ทวารคือกาย, กายในฐานเปนบางกรณี นามกาย หมายถงึ นามขนั ธห มด ทางทาํ กรรม, ทางกายทง้ั ๔ คอื ทง้ั เวทนา สญั ญา สงั ขาร และ กายทุจริต ประพฤติชั่วดวยกาย,วญิ ญาณ หรอื ทงั้ จติ และเจตสกิ ); นอก ประพฤติชัว่ ทางกาย มี ๓ อยางคือ ๑.จากความหมายพนื้ ฐาน ๒ อยา งนแี้ ลว ยงั ปาณาตบิ าต ฆา สตั ว ๒. อทนิ นาทานมคี วามหมายปลกี ยอ ย และความหมาย ลักทรพั ย ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติเฉพาะ ตามขอความแวดลอมอกี หลาย ผดิ ในกาม; ดู ทจุ รติอยา ง เชน ในคาํ วา “กายสมั ผสั ” (สมั ผสั กายบริหาร การรักษารางกายใหเหมาะทางกาย) หมายถึงกายอินทรียที่รับรู สมแกค วามเปน สมณะ เชน ไมไ วผ มยาวโผฏฐพั พะคอื สง่ิ ตอ งกาย, ในคาํ วา “กาย เกนิ ไป ไมไ วหนวดเครา ไมไ วเ ล็บยาวทุจริต” (ทุจริตดวยกาย) หมายถึง ไมผัดหนา ไมแ ตงเครอื่ งประดบั กาย ไม
กายประโยค ๑๘ กายานุปส สนาเปลอื ยกาย เปน ตน โสดาบันขึ้นไปจนถึงผูต้ังอยูในอรหัตต-กายประโยค การประกอบทางกาย, การ มรรค ทเ่ี ปนผมู สี มาธนิ ทรยี แรงกลา ไดกระทําทางกาย สัมผสั วโิ มกข ๘ (เมือ่ บรรลอุ รหตั ตผลกายปสสัทธิ ความสงบรํางับแหงนาม- กลายเปน อภุ โตภาควมิ ตุ ); ดู อรยิ บคุ คล๗กาย, ธรรมชาติทํานามกาย คือ เจตสกิ กายสงั ขาร 1. ปจ จัยปรงุ แตง กาย ไดแกทง้ั หลายใหสงบเยน็ (ขอ ๘ ในโสภณ- ลมหายใจเขา หายใจออก 2. สภาพท่ีเจตสกิ ๒๕) ปรงุ แตงการกระทาํ ทางกายไดแก กาย-กายปาคุญญตา ความคลองแคลวแหง สัญเจตนา หรือความจงใจทางกาย ซ่งึนามกาย, ธรรมชาติทํานามกายคือ ทาํ ใหเ กิดกายกรรมเจตสิกทั้งหลาย ใหแคลวคลองวองไว กายสังสัคคะ ความเกี่ยวของดวยกาย, รวดเร็ว (ขอ ๑๖ ในโสภณเจตสิก ๒๕) การเคลาคลึงรางกาย, เปนชื่ออาบัติกายมุทุตา ความออนโยนแหงนามกาย, สังฆาทิเสสขอที่ ๒ ที่วาภิกษุมีความธรรมชาติทํานามกาย คือ เจตสิกท้ัง กําหนัดถึงความเคลาคลึงดวยกายกับหลายใหน มุ นวลออ นละมุน (ขอ ๑๒ ใน มาตุคาม, การจบั ตอ งกายหญงิ โดยมจี ติโสภณเจตสิก ๒๕) กาํ หนัดกายลหุตา ความเบาแหงนามกาย, กายสัมผัส สมั ผสั ทางกาย, อาการท่กี าย ธรรมชาติทาํ นามกาย คือกองเจตสิก ให โผฏฐพั พะ และกายวญิ ญาณประจวบกนั เบา (ขอ ๑๐ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) กายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาท่ีเกิดข้ึนกายวิญญัติ ความเคลอื่ นไหวรางกายใหร ู เพราะกายสัมผัส, ความรูสึกท่ีเกิดขึ้น ความหมาย เชน สน่ั ศรี ษะ โบกมอื เพราะการทกี่ าย โผฏฐพั พะ และกาย- ขยบิ ตา ดีดน้วิ เปนตน; เทียบ วจวี ิญญัติ วิญญาณประจวบกันกายวิญญาณ ความรูที่เกิดขึ้นเพราะ กายสามัคคี ดู สามคั คี โผฏฐัพพะกระทบกาย, โผฏฐัพพะ กายสุจริต ประพฤติชอบดวยกาย,กระทบกาย เกิดความรขู ึน้ (ขอ ๕ ใน ประพฤติชอบทางกาย มี ๓ อยา ง คือวิญญาณ ๖) เวนจากการฆาสัตว เวนจากการลักกายสมาจาร ความประพฤติทางกาย ทรัพย เวนจากประพฤติผิดในกาม; ดูกายสักขี “ผเู ปน พยานดวยนามกาย”, “ผู กายทุจรติ , สจุ รติประจกั ษกบั ตวั ”, พระอริยบุคคลตง้ั แต กายานุปสสนา สติพิจารณากายเปน
กายกิ สุข ๑๙ กาลามสตู รอารมณวา กายนี้ก็สักวากาย ไมใชส ตั ว ตามทพี่ ระพุทธเจา ตรสั ไวเ ดิม (อง.ฺ ปจฺ ก.บุคคลตัวตนเราเขา เปนสติปฏฐานขอ ๒๒/๓๖/๔๔) มี กาลทาน ๕ คอื อาคนั ตกุ -หนึง่ ; ดู สตปิ ฏฐาน ทาน (ทานแกผมู าจากตา งถ่นิ ), คมกิ ทานกายิกสุข สุขทางกาย เชนไดยินเสียง (ทานแกผ ูจ ะไปจากถนิ่ ), คลิ านทาน (ทานไพเราะ ลิ้มรสอรอย ถกู ตองสิ่งทอ่ี อน แกผ เู จบ็ ไข) , ทพุ ภกิ ขทาน (ทานในยามมีนุม เปนตน ทุพภกิ ขภัย), และทานคราวขา วใหม มีกายุชุกตา ความซื่อตรงแหงนามกาย, ผลไมใหม จดั ใหแกท านผมู ีศีลเปน ปฐม;ธรรมชาตทิ ที่ าํ นามกายคอื เจตสกิ ทง้ั หลาย ปจ จุบนั นี้ มกั ใชใ นความหมายวา ทานที่ ใหซ อื่ ตรง (ขอ ๑๘ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) ใหไดเฉพาะภายในระยะเวลาที่กําหนดการก ผูกระทํากรรมไดต ามพระวนิ ยั มี ๓ ไมม กี ารใหนอกเวลา หรือนอกเทศกาล คอื สงฆ คณะ และ บคุ คล เชนในการ เชน การถวายผา กฐนิ การถวายผา อาบทําอุโบสถ ภิกษุต้ังแตส่ีรูปข้ึนไปเรียก น้าํ ฝน เปนตน ซึง่ ทายกจะถวายไดต ามสงฆ สวดปาฏิโมกขไ ด ภกิ ษุสองหรอื กําหนดเวลาท่ีพระพุทธเจาทรงอนุญาตสามรูป เรียก คณะ ใหบอกความ เทา น้ัน กอ นหรอื เลยเขตกําหนดไป ทาํบริสุทธิ์ได ภกิ ษุรปู เดยี วเรยี กวา บคุ คล ไมได; ดู ทาน กาลเทศะ เวลาและประเทศ, เวลา และใหอธิษฐานการกสงฆ “สงฆผ กู ระทาํ ” หมายถงึ สงฆ สถานท่ีหมูหนึ่งผูดําเนินการในกิจสําคัญ เชน กาลวิภาค การแจกกาลออกเปนเดือนการสงั คายนา หรอื ในสงั ฆกรรมตา งๆ ปกษ และวันการงานชอบ ดู สัมมากมั มนั ตะ กาลญั ุตา ความเปน ผรู ูจ ักกาลเวลาอันกาล เวลา สมควรในการประกอบกจิ นัน้ ๆ เชน รูกาละ เวลา, คราว, คร้งั , หน วาเวลาไหนควรทําอะไร เปนตน (ขอ ๕กาลกรรณี, กาลกิณี ดู กาฬกรรณี ในสัปปรุ สิ ธรรม ๗)กาลกริ ยิ า “การกระทาํ กาละ”, การตาย, กาลามสตู ร สูตรหนึง่ ในคมั ภรี ติกนิบาต มรณะ อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจาตรัสสอนกาลทาน ทานท่ีใหต ามกาล, ทานท่ใี หได ชนชาวกาลามะแหงเกสปุตตนิคมในเฉพาะเหตุการณ หรือเปนคร้ังคราวใน แควนโกศล ไมใหเช่ืองมงายไรเ หตผุ ลโอกาสพิเศษ ไมใชใหไดตลอดเวลา, ตามหลัก ๑๐ ขอ คือ อยา ปลงใจเช่อื
กาลกิ ๒๐ กาฬสลิ า ดวยการฟงตามกนั มา, ดวยการถอื สืบๆ ไมเ ปน กาลิก แตนับเขาดว ยโดยปริยาย กันมา, ดว ยการเลาลือ, ดวยการอาง เพราะเปน ของเกยี่ วเนื่องกัน) ตําราหรอื คมั ภีร, ดวยตรรก, ดวยการ กาววาว ฉูดฉาด, หรูหรา, บาดตา อนมุ าน, ดวยการคดิ ตรองตามแนวเหตุ กาสะ ไอ (โรคไอ) ผล, เพราะเขากันไดก ับทฤษฎีของตน, กาสาวะ ผา ยอ มฝาด, ผา เหลอื งสาํ หรบั พระ เพราะมองเห็นรูปลกั ษณะนา เชอ่ื , เพราะ กาสาวพสั ตร ผา ท่ยี อมดว ยรสฝาด, ผา นับถือวาทานสมณะน้ีเปนครูของเรา; ยอมน้ําฝาด, ผา เหลืองสําหรับพระ ตอเม่ือใด พิจารณาเห็นดวยปญญาวา กาสี แควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควนแหง ธรรมเหลา นน้ั เปน อกศุ ล เปน กุศล มี ชมพูทวปี มีนครหลวงชื่อพาราณสี ใน โทษ ไมม ีโทษ เปนตนแลว จงึ ควรละ สมัยพุทธกาล กาสีไดถูกรวมเขาเปน หรือถือปฏบิ ตั ติ ามน้นั เรยี กอกี อยา งวา สว นหน่ึงของแควนโกศลแลว เกสปตุ ติยสตู ร หรอื เกสปุตตสตู ร กาฬกรรณี, กาฬกณั ณี “อันทําใหท ี่ตนกาลิก เนื่องดวยกาล, ขึ้นกบั กาล, ของอนั อาศัยพลอยเปนดังสดี าํ อับมดื ไป”, ตวั จะกลืนกินใหลวงลําคอเขาไปซึ่งพระ กอ อุบาทว, ตัวนาํ เคราะหรา ยหรอื ทาํ ให วินัยบัญญัติใหภิกษุรับเก็บไวและฉันได อับโชค, เสนยี ดจญั ไร, อปั มงคล, บางที ภายในเวลาทก่ี าํ หนด จาํ แนกเปน ๔ อยา ง เพยี้ นเปน กาลกณิ ี; ตรงขามกบั สิริ, ศรี คอื ๑. ยาวกาลิก รับประเคนไวแ ละฉนั กาฬเทวิลดาบส เปนอีกชื่อหน่ึงของ ไดช่ัวเวลาเชาถึงเท่ียงของวันน้ัน เชน อสติ ดาบส; ดู อสติ ดาบส ขา ว ปลา เนื้อ ผกั ผลไม ขนมตา งๆ ๒. กาฬปก ษ “ซีกมืด” หมายถึง ขางแรม; ยามกาลิก รับประเคนไวและฉันไดชั่ว กัณหปก ษ กเ็ รยี ก; ตรงขา มกบั ศกุ ลปก ษ วันหนงึ่ กบั คนื หน่งึ คอื กอนรุงอรณุ ของ หรอื ชณุ หปกษ วนั ใหม ไดแก ปานะ คือ นาํ้ คั้นผลไมท่ี กาฬสิลา สถานที่สําคัญแหงหน่ึงใน ทรงอนุญาต ๓. สัตตาหกาลิก รับ แควน มคธ อยูข า งภเู ขาอิสคิ ลิ ิ พระนคร ประเคนไวแ ลว ฉันไดภ ายในเวลา ๗ วนั ราชคฤห ณ ที่นี้พระพุทธเจาเคยทํา ไดแกเภสัชท้ังหา ๔. ยาวชีวิก รับ นิมิตตโ อภาสแกพระอานนท และเปนท่ี ประเคนแลว ฉันไดตลอดไปไมจํากัด ที่พระโมคคัลลานะถูกคนรายซ่ึงรับจาง เวลา ไดแกของท่ีใชปรุงเปนยา นอก จากพวกเดียรถียไปลอบฆาดวยการทุบ จากกาลกิ ๓ ขอตน (ความจรงิ ยาวชวี กิ ตีจนรางแหลก
กาฬิโคธา ๒๑ กิรยิ ากาฬิโคธา มารดาของพระภัททิยะ กรรม ญตั ติจตุตถกรรม กิจในอริยสัจจ ขอท่ีตองทําในอริยสัจจกษตั รยิ ศากยวงศกาฬทุ ายี อาํ มาตยข องพระเจา สทุ โธทนะ ๔ แตล ะอยา ง คือ ปริญญา การกําหนดเปนสหชาติและเปนพระสหายสนิทของ รู เปน กจิ ในทกุ ข ปหานะ การละ เปนพระโพธิสัตวเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว กิจในสมุทัย สัจฉิกิริยา การทําใหแจงพระเจา สทุ โธทนะสง ไปทลู เชญิ พระศาสดา หรือการบรรลุ เปนกิจในนโิ รธ ภาวนาเพือ่ เสดจ็ มากรุงกบิลพสั ดุ กาฬทุ ายีไป การเจริญคือปฏิบัติบําเพ็ญ เปนกิจในเฝาพระศาสดาท่ีกรุงราชคฤห ไดฟง มรรคพระธรรมเทศนา บรรลพุ ระอรหัตตผล กจิ เบ้ืองตน ในการอุปสมบท หมายถึงอุปสมบทเปนภิกษุแลว ทูลเชิญพระ ใหบรรพชา ถือนิสยั ถอื อปุ ช ฌายะ จน ศาสดาพรอมดวยภิกษุสงฆเสด็จกรุง ถึงถามอันตรายิกธรรมในท่ีประชุมสงฆ กบิลพัสดุ ทานไดรับยกยองวาเปน (คาํ เดิมเปน บุพกจิ ) เอตทคั คะในบรรดาผทู าํ ตระกลู ใหเ ลอื่ มใส กิตติศพั ท เสยี งสรรเสรญิ , เสยี งเลาลือกําลงั ของพระมหากษตั ริย ดู พละ ความดีกิงกรณีเยสุ ทักขตา ความเปนผูขยัน กินรว ม ในประโยควา “ภิกษใุ ดรูอ ยู กนิชวยเอาใจใสในกิจธุระของเพื่อนภิกษุ รวมก็ดี อยูรวมก็ดี สําเรจ็ การนอนดวยสามเณร (ขอ ๕ ในนาถกรณธรรม ๑๐) กนั กด็ ”ี คบหากนั ในทางใหห รือรับอามิสกจิ จญาณ ปรชี ากาํ หนดรูก ิจทค่ี วรทําใน และคบหากนั ในทางสอนธรรมเรยี นธรรมอรยิ สัจจ ๔ แตละอยาง คอื รวู า ทกุ ข กมิ พิละ เจา ศากยะองคห นึ่ง ออกบวชควรกาํ หนดรู สมทุ ยั ควรละ นโิ รธ ควร พรอ มกบั พระอนรุ ุทธะ ไดสาํ เร็จอรหัตทาํ ใหแ จง มรรค ควรเจรญิ คอื ควร และเปน มหาสาวกองคห นง่ึ ในจาํ นวน ๘๐ กิริยวาท ผูถือหลักการอันใหกระทํา,ปฏบิ ตั ิ (ขอ ๒ ในญาณ ๓)กิจจาธิกรณ การงานเปนอธิกรณ คอื หลกั การซ่ึงใหกระทํา; ดู กรรมวาทเรื่องท่ีเกิดข้ึนอันสงฆตอ งจดั ตอ งทําหรอื กิริยวาที ผูถือหลักการอันใหกระทํา; ดูกิจธุระที่สงฆจะพึงทํา; อรรถกถาพระ กรรมวาทวินัยวาหมายถึงกิจอันจะพึงทําดวย กิรยิ า 1. การกระทาํ หมายถึงการกระทาํประชุมสงฆ ไดแ ก สังฆกรรมทั้ง ๔ คอื ใดๆ ทก่ี ลาวถงึ อยางกวา งๆ หรืออยา งอปโลกนกรรม ญตั ติกรรม ญัตตทิ ุติย- เปน กลางๆ ถา เปน “กริ ิยาพิเศษ” คอื
กริ ิยากิตตกะ (กิรยิ ากิตก) ๒๒ กเิ ลส เปนการกระทําซง่ึ เปนไปดวยเจตนาทก่ี อ แฝงอยใู นความรสู กึ นึกคดิ ทาํ ใหจ ิตใจ ใหเกิดวิบาก ก็เรียกวา กรรม, การ ขุนมัวไมบริสุทธ์ิ และเปนเคร่ืองปรุง กระทาํ ซง่ึ เปนไปดว ยเจตนาทไี่ มก อ วบิ าก แตง ความคดิ ใหท าํ กรรมซง่ึ นาํ ไปสปู ญ หา ความยุงยากเดือดรอนและความทุกข; เชน การกระทาํ ของพระอรหนั ต ไมเรียก กเิ ลส ๑๐ (ในบาลเี ดมิ เรยี กวา กเิ ลสวตั ถุ วากรรม แตเปน เพยี งกิรยิ า (พดู ใหส นั้ วา คอื สง่ิ กอ ความเศรา หมอง ๑๐) ไดแ ก เจตนาท่ีกอวิบาก เปนกรรม, เจตนาทไ่ี ม โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา กอ วบิ าก ถา มใิ ชเ ปน วบิ าก กเ็ ปน กริ ยิ า); ดู ถนี ะ อุทธจั จะ อหริ กิ ะ อโนตตปั ปะ; กรรม 2. ในภาษาไทย มักหมายถงึ กเิ ลสพนั หา (กเิ ลส ๑,๕๐๐) เปน คําทม่ี ี อาการแสดงออกทางกายในเชิงมารยาท ใชในคัมภีรรุนหลังจากพระไตรปฎก เร่ิมปรากฏในช้ันอรรถกถา ซ่ึงกลาวไว บางทใี ชค วบคกู นั วา กริ ยิ ามารยาท 3. ใน ทาํ นองเปนตัวอยาง โดยระบชุ ่อื ไวมากที่ สุดเพียง ๓๓๖ อยา ง ตอ มาในคัมภรี ช น้ั ทางไวยากรณ ไดแ กค าํ แสดงอาการหรอื หลงั มาก อยา งธมั มสงั คณอี นฎุ กี า จงึ แสดงวธิ นี บั แบบตา งๆ ใหไ ดค รบจาํ นวน บอกการกระทําของนามหรือสรรพนาม, เชน กเิ ลส ๑๐ อารมณ ๑๕๐ = ๑,๕๐๐ (อารมณ ๑๕๐ ไดแ ก อรปู ธรรม ในไวยากรณไ ทย บางทกี าํ หนดใหใ ชร ปู ๕๗ และรปู รปู ๑๘ รวมเปน ธรรม ๗๕ สนั สกฤตวา กรยิ า แตใ นบาลไี วยากรณ เปน ฝา ยภายใน และฝา ยภายนอก ฝา ย โดยท่ัวไป ใชรปู บาลี คอื กิริยา ละเทา กนั รวมเปน ๑๕๐)กิรยิ ากติ ตกะ (กิรยิ ากิตก) เปนช่อื กริ ยิ า- ศัพทประเภทหน่ึงในภาษาบาลี ใชเปน อนึ่ง ในอรรถกถา ทา นนิยมจาํ แนก กิเลสเปน ๓ ระดับ ตามลาํ ดบั ขน้ั ของ กริ ยิ าสําคัญในประโยคบาง ใชเปนกิริยา การละดว ยสกิ ขา ๓ (เชน วินย.อ.๑/๒๒; ที.อ. ๑/๑๙; สงคฺ ณี อ.๒๓) คอื ๑. วตี กิ กมกเิ ลส ในระหวา งของประโยคบาง และใชเ ปน กิเลสอยางหยาบ ท่ีเปนเหตุใหลวง คณุ บทบาง เชน ปรินิพพฺ โุ ต (ดบั รอบ ละเมิดออกมาทางกายและวาจา เชน แลว) ปพพฺ ชติ วฺ า (บวชแลว) เปน ตน เปน กายทจุ รติ และวจีทจุ รติ ละดว ยศีลกิริยาอาขยาต เปนช่ือกิริยาศัพทป ระเภท (อธศิ ีลสกิ ขา) ๒. ปริยุฏฐานกเิ ลส กเิ ลส หนงึ่ ในภาษาบาลี ใชเปนกริ ยิ าสาํ คญั ใน ประโยค อันแสดงถึงการกระทําของ ประธาน เชน คจฉฺ ติ (ยอ มไป) ปรนิ พิ พฺ ายิ (ดบั รอบแลว ) เปน ตนกิลาโส โรคกลากกเิ ลส สิ่งทที่ าํ ใจใหเศราหมอง, ความชวั่ ที่
กิเลสกาม ๒๓ กุกกจุ จะอยางกลางที่พลงุ ขึ้นมาเรารมุ อยใู นจติ ใจ อุปาทาน; ดู ไตรวัฏฏดงั เชน นวิ รณ ๕ ในกรณที ่จี ะขมระงับไว กิเลสานุสยั กิเลสจําพวกอนสุ ัย, กเิ ลสท่ีละดว ยสมาธิ (อธิจติ ตสิกขา) ๓. อนุสย- นอนเนื่องอยูในสนั ดาน จะปรากฏเม่ือกเิ ลส กิเลสอยา งละเอียดที่นอนเนอื่ งอยู อารมณมายว่ั ยุ เหมือนตะกอนนาํ้ ที่อยูในสันดานอันยังไมถูกกระตุนใหพลุงข้ึน กนโอง ถาไมมีคนกวนตะกอนก็นอนมา ไดแ กอ นุสยั ๗ ละดวยปญญา (อธิ- เฉยอยู ถา กวนนาํ้ เขา ตะกอนกล็ อยขนึ้ มาปญญาสกิ ขา); ทั้งนี้ บางแหงทา นแสดง กโิ ลมกะ พงั ผดืไวโดยอธิบายโยงกับพระไตรปฎก คือ กสี าโคตมี พระเถรีสาํ คญั องคหน่ึง เดิมกลา ววา อธศิ ีลสิกขา ตรัสไวเปนพเิ ศษ เปนธิดาคนยากจนในพระนครสาวัตถีในพระวินัยปฎกๆ จึงวาดวยการละ แตไดเปนลูกสะใภของเศรษฐีในพระวีติกกมกเิ ลส, อธิจิตตสกิ ขา ตรัสไวเปน นครน้นั นางมีบุตรชายคนหนึ่ง อยมู าพิเศษในพระสุตตันตปฎ กๆ จงึ วา ดวย ไมน านบุตรชายตาย นางมีความเสียใจการละปริยฏุ ฐานกเิ ลส, อธปิ ญ ญาสิกขา มาก อุมบุตรที่ตายแลวไปในที่ตางๆตรัสไวเปนพิเศษในพระอภิธรรมปฎกๆ เพ่ือหายาแกใหฟน จนไดไปพบพระจงึ วาดวยการละอนุสยกเิ ลส พุทธเจา พระองคทรงสอนดวยอุบายกิเลสกาม กเิ ลสเปน เหตใุ คร, กิเลสท่ที ํา และทรงประทานโอวาท นางไดฟงแลวใหอยาก, เจตสกิ อนั เศราหมอง ชกั ให บรรลุโสดาปตติผล บวชในสํานักนางใคร ใหร ัก ใหอ ยากได ไดแกร าคะ ภิกษุณี วนั หนง่ึ นัง่ พิจารณาเปลวประทปีโลภะ อจิ ฉา (อยากได) เปน ตน ท่ีตามอยูในพระอุโบสถ ไดบรรลุพระกเิ ลสธลุ ี ธลุ คี อื กเิ ลส, ฝนุ ละอองคอื กเิ ลส อรหัต ไดร ับยกยอ งวา เปน เอตทัคคะในกิเลสมาร มารคือกิเลส, กเิ ลสเปนมาร ทางทรงจวี รเศรา หมองโดยอาการท่ีเขาครอบงาํ จิตใจ ขัดขวาง กุกกจุ จะ ความรําคาญใจ, ความเดือดไมใหทําความดี ชักพาใหทําความชั่ว รอนใจ เชน วา ส่งิ ดงี ามท่คี วรทาํ ตนมิลางผลาญคุณความดี ทําใหบุคคล ไดทํา สิ่งผดิ พลาดเสยี หายไมดไี มงามที่ประสบหายนะและความพนิ าศ ไมควรทํา ตนไดท ําแลว, ความยงุ ใจกิเลสวัฏฏ วนคือกิเลส, วงจรสวนกเิ ลส, กลมุ ใจ กังวลใจ, ความรังเกยี จหรือกินหน่งึ ในวฏั ฏะ ๓ แหง ปฏจิ จสมปุ บาท แหนงในตนเอง, ความระแวงสงสัย เชนประกอบดวย อวิชชา ตัณหา และ วา ตนไดท าํ ความผดิ อยางนั้นๆ แลว
กกุ กฺ จุ จฺ ปกตตา ๒๔ กุมารภี ูตา หรือมใิ ช ส่งิ ท่ีตนไดท ําไปแลวอยา งน้นั ๆ หมายถึงผูท่ีไดสมาบัติแลวแตยังไม เปนความผิดขอ นๆ้ี เสียแลว กระมัง ชาํ นาญ อาจเส่ือมได เทยี บ อกุปปธรรมกุกฺกุจฺจปกตตา อาการที่จะตองอาบัติ กมุ มาส ขนมสด คือขนมที่เกบ็ ไวนานดวยสงสัยแลว ขืนทาํ ลง เกนิ ไปจะบูด เชน ขนมดวง ขนมครกกุฎี กระทอ มท่ีอยูของนกั บวช เชน พระ ขนมถว ย ขนมตาล เปน ตน พระพทุ ธเจาภกิ ษุ, เรอื นหรือตึกท่ีอยอู าศัยของพระ หลังจากเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยาก็เสวยภกิ ษุสามเณร ขา วสุกและกุมมาสกฎุ มพี คนมีทรพั ย, คนม่ังคัง่ กมุ าร เด็ก, เดก็ ชาย, เดก็ หนุมกฏุ กะ เครอ่ื งลาดทใ่ี หญ ชนดิ ทม่ี นี างฟอ น กุมารกัสสปะ พระเถระมหาสาวกองค๑๖ คนยืนฟอนรําได (เชน พรมปหู อ ง) หน่ึง เปนบุตรธิดาเศรษฐีในพระนครกุฏฐงั โรคเรื้อน ราชคฤห คลอดเมื่อมารดาบวชเปนกุฏิภัต อาหารท่ีเขาถวายแกภิกษผุ อู ยใู น ภิกษุณีแลว พระเจาปเสนทิโกศลทรง กฎุ อี ันเขาสรา ง เล้ียงเปนโอรสบุญธรรม ทารกน้ันไดกฑุ วะ ชื่อมาตราตวง แปลวา “ฟายมือ” นามวา กัสสปะ ภายหลังเรียกกันวา คอื เต็มองุ มือหน่งึ ; ดู มาตรา กุมารกัสสปะ เพราะทานเปนเด็กสามัญกุณฑธานะ พระเถระผูเปนมหาสาวก แตไดรับการเลีย้ งดอู ยา งราชกมุ าร ทา นองคห นึง่ เปน บุตรพราหมณใ นพระนคร อุปสมบทในสํานักของพระศาสดา ไดสาวัตถี เรียนจบไตรเพทตามลัทธิ บรรลุพระอรหัต ไดรบั การยกยอ งจากพราหมณ ตอมา เมอื่ สูงอายุแลว ไดฟ ง พระบรมศาสดาวาเปนเอตทัคคะในทางพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา เกิด แสดงธรรมวิจติ รความเล่ือมใสจึงบวชในพระพุทธศาสนา กมุ ารี เด็กหญงิ , เด็กรุนสาว, นางสาวตัง้ แตน ัน้ มา ก็มรี ปู หญงิ คนหนงึ่ ติดตาม กุมารีภูตวรรค ชื่อหมวดในพระวินัย-ตัวตลอดเวลาจนกระท่ังไดบรรลุพระ ปฎก หมายถงึ ตอนอันวา ดวยกมุ ารีภตู าอรหตั รปู นน้ั จงึ หายไป ทา นไดร บั ยกยอ ง คือสามเณรีผูเตรียมจะอุปสมบทเปนจากพระศาสดาวาเปนเอตทัคคะในการ ภิกษุณี มีอยูในปาจิตติยกัณฑ ในถอื เอาสลากเปน ปฐม; โกณฑธานะ กว็ า ภกิ ขนุ วี ิภังคกุณฑลเกสี ดู ภทั ทากณุ ฑลเกสา กมุ ารภี ูตา “ผเู ปน นางสาวแลว” หมายถึงกุปปธรรม “ผูมีธรรมท่ียังกําเริบได” สามเณรีที่จะอุปสมบทเปนภิกษุณีเชน ใน
กุรุ ๒๕ กุศลคาํ วา “อฉี นั เปน นางสาว (กมุ ารภี ตู า) ของ กลุ มจั ฉริยะ “ตระหนตี่ ระกูล” ไดแกห วงแมเจาชอ่ื น้ี มอี ายุ ๒๐ ปเต็ม มสี กิ ขา แหนตระกูล ไมยอมใหตระกูลอ่ืนมาอันศึกษาแลว ในธรรม ๖ ประการ ๒ ป เก่ียวดองดวย ถาเปนบรรพชิตก็หวงขอวฏุ ฐานสมมติตอสงฆเ จาขา” ตระกูลอุปฏฐาก ไมพอใจใหบํารงุ ภิกษุกุรุ แควน หน่ึงในบรรดา ๑๖ มหาชนบท อื่น; ดู มัจฉรยิ ะแหง ชมพูทวปี อยแู ถบลุมนา้ํ ยมุนาตอน กลุ สตรี หญงิ มตี ระกลู มคี วามประพฤตดิ ,ีบน ราวมณฑลปญจาบลงมา นครหลวง สตรีท่ีมีคุณความดีสมควรแกตระกูล,ช่ือ อินทปตถ ตง้ั อยู ณ บริเวณเมืองเดลี สตรเี จา บา น กลุ ปุ กะ, กุลปู กะ “ผูเ ขาถึงสกลุ ”, พระท่ีนครหลวงของอินเดยี ปจ จบุ นักุรุนที ดูโปราณัฏฐกถา, อรรถกถา คุนเคยสนิท ไปมาหาสูประจําของกลุ ตระกลู , ครอบครวั , วงศ, หมชู นที่ ตระกูล, พระท่ีเขาอุปถัมภและเปนท่ีรวมพงศพันธุเดียวกัน, เผาชน; ใน ปรกึ ษาประจาํ ของครอบครวัความหมายท่ีขยายออกไป หมายถึงหมู กุเวร ดู จาตุมหาราช, จาตุมหาราชิกา,ชนที่รวมสงั กัด หรอื ขึ้นตอ การปกครอง ปริตรเดียวกนั เชนในคําวา “กลุ บด”ี ซึง่ บางที กศุ ล 1. “สภาวะทเ่ี กย่ี วตดั สลดั ทง้ิ สง่ิ เลว หมายถงึ หัวหนา สถาบันการศกึ ษา รา ยอนั นา รงั เกยี จ”, “ความรทู ที่ าํ ความชวั่กลุ ทสู ก “ผปู ระทษุ รายตระกลู ” หมายถึง รา ยใหเ บาบาง”, “ธรรมทตี่ ดั ความช่ัวอันภิกษุผูประจบคฤหัสถ เอาใจเขาตางๆ เปนดจุ หญา คา”, สภาวะหรอื การกระทาํดวยอาการอันผิดวินัย มุงเพื่อใหเขา ท่ฉี ลาด กอปรดว ยปญ ญา หรอื เกดิ จากชอบตนเปนสวนตัว เปนเหตุใหเ ขาคลาย ปญ ญา เกอ้ื กลู เออ้ื ตอ สขุ ภาพ ไมเ สยี หายศรทั ธาในพระศาสนาและเสอ่ื มจากกศุ ล- ไรโ ทษ ดงี าม เปน บญุ มผี ลเปน สขุ , ธรรม เชนใหของกํานัลเหมือนอยาง ความดี (กศุ ลธรรม), กรรมดี (กศุ ลกรรม) ตามปกติ กศุ ล กบั บญุ เปน คาํ ทใี่ ชแ ทน คฤหสั ถเ ขาทาํ กนั ยอมตวั ใหเ ขาใช เปน ตนกุลธิดา ลูกหญิงผูมีตระกูลมีความ กนั ได แต กศุ ล มคี วามหมายกวา งกวา คอื กศุ ล มที ง้ั โลกยิ ะ (กามาวจร รปู าวจร ประพฤตดิ ี อรปู าวจร) และโลกตุ ตระ สว น บญุ โดยกุลบุตร ลูกชายผูมีตระกูลมีความ ประพฤติดี ทั่วไปใชกับโลกียกุศล ถาจะหมายถึงกุลปสาทกะ ผยู งั ตระกูลใหเ ลือ่ มใส ระดบั โลกตุ ตระ มกั ตอ งมคี าํ ขยายกาํ กบั
กศุ ลกรรม ๒๖ กศุ ลกรรมบถไวด ว ย เชน วา “โลกตุ ตรบญุ ”, พดู อกี อยา ง ทาน] ชักจูงแมคนอื่นๆ ใหตง้ั อยใู นพระหนึ่งวา บุญ มักใชในความหมายทแี่ คบ สทั ธรรม ในพรหมจริยะ)กวา หรอื ใชใ นขนั้ ตน ๆ หมายถงึ ความดที ่ี คาถาน้ี แมจ ะเปนคาํ แนะนําแกเ ทวดายงั ประกอบดว ยอปุ ธิ (โอปธกิ ) คอื ยงั เปน ก็ใชไดท่วั ไป คือเปนคําแนะนาํ สาํ หรับผูสภาพปรงุ แตง ทก่ี อ ผลในทางพอกพนู ให ท่จี ะอยเู ปน คฤหัสถว า ในดานแรกหรอืเกดิ สมบตั ิ อนั ไดแ กค วามพรงั่ พรอ ม เชน ดา นหลกั ใหท าํ กศุ ล ท่ีเปน นริ ปู ธิ ซึ่งรา งกายสวยงามสมบรู ณ และมง่ั มที รพั ย เปนการศึกษาหรือปฏิบัติเพื่อใหไดสาระสนิ แต กศุ ล ครอบคลมุ หรอื เลยตอ ไป ของชีวิต โดยพัฒนาตนใหเปนอริยชนถึงนิรูปธิ (ไรอุปธิ) และเนนที่นิรูปธินั้น โดยเฉพาะเปนโสดาบนั จากนน้ั อีกดา นคือมุงทภี่ าวะไรป รงุ แตง ความหลดุ พน หน่งึ ในฐานะเปนอรยิ ชน ก็ทาํ ความดีเปน อสิ ระ โยงไปถงึ นพิ พาน, พดู อยา ง หรือกรรมสรางสรรคตางๆ ที่มีผลในงายๆ เชนวา บุญ มุงเอาความสะอาด ทางอปุ ธิ เชน ลาภ ยศ สรรเสรญิ และหมดจดในแงที่สวยงามนาชื่นชม แต ความสุข ซ่งึ เปนไปตามธรรมดาของมนักศุ ล มงุ ถงึ ความสะอาดหมดจดในแงท ่ี และที่เปนเรื่องสามัญในสังคมคฤหัสถเปนความบริสุทธ์ิ ไมมีอะไรติดคาง ได ไมเ สยี หาย เพราะเปน ผมู ีคุณความปลอดโปรง โลง วา ง เปน อสิ ระ, ขอใหด ู ดีที่เปนหลักประกันใหเกิดแตผลดีทั้งตวั อยา งที่ บญุ กบั กศุ ล มาดว ยกนั ใน แกตนเองและแกสังคมแลว; ตรงขามกับ อกศุ ล, เทียบ บุญ, ดู อุปธิ 2. บางแหง (เชนคาถาตอ ไปนี้ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๖๒/๒๙๐)กาเยน กุสล กตฺวา วาจาย กสุ ล พหุ ข.ุ เถร.๒๖/๑๗๐/๒๖๘) กศุ ล หมายถงึ ความมนสา กสุ ล กตฺวา อปฺปมาณ นิรปู ธึ ฯ เกษม, ความปลอดภัย, สวัสดิภาพ,ตโต โอปธกิ ปุ ฺ กตฺวา ทาเนน ต พหุ ความหวงั ด,ี ความมเี มตตาอฺเปมจเฺจสทธฺ มเฺม พรฺ หฺมจริเย นเิ วสย กุศลกรรม กรรมด,ี กรรมทีเ่ ปน กุศล,(ทานจงทาํ ใหม าก ท้งั ดวยกาย ดว ย การกระทําท่ีดคี อื เกดิ จากกุศลมูลวาจา และดว ยใจ ซง่ึ กศุ ล อันประมาณ กศุ ลกรรมบถ ทางแหง กรรมด,ี ทางทาํ ด,ีมิได [อปั ปมาณ แปลวา มากมาย ก็ได ทางแหงกรรมที่เปนกุศล, กรรมดีอันเปนโลกตุ ตระ กไ็ ด] อนั ไรอ ปุ ธิ [นริ ูปธ]ิ เปนทางนาํ ไปสูสุคติ มี ๑๐ อยางคอื ก.แตน นั้ ทา นจงทําบญุ อันระคนอปุ ธิ ให กายกรรม ๓ ไดแก ๑. ปาณาติปาตามาก ดวยทาน แลวจง [บาํ เพ็ญธรรม เวรมณี เวน จากทาํ ลายชวี ติ ๒. อทนิ นา-
กศุ ลธรรม ๒๗ กูฏทนั ตสตู รทานา เวรมณี เวน จากถอื เอาของท่ีเขามิ เบียดเบยี นไดใ ห ๓. กาเมสมุ ิจฉาจารา เวรมณี เวน กสุ าวดี ช่อื เกา ของเมืองกุสนิ ารา นครจากประพฤตผิ ิดในกาม ข. วจกี รรม ๔ หลวงของแควน มัลละ เมอ่ื ครง้ั เปน ราช-ไดแก ๔. มุสาวาทา เวรมณี เวนจากพดู ธานีของพระเจามหาสุทัศน จักรพรรดิเทจ็ ๕. ปส ุณาย วาจาย เวรมณี เวนจาก ครง้ั โบราณพดู สอเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี กุสิ เสนค่นั ดจุ คันนายืนระหวางขณั ฑก ับเวน จากพดู คําหยาบ ๗. สมั ผปั ปลาปา ขณั ฑของจีวร; เทียบ อฑั ฒกุสิ, ดู จีวรเวรมณี เวน จากพดู เพอ เจอ ค. มโนกรรม กสุ นิ ารา เมืองหลวงแหงหน่ึงของแควน๓ ไดแ ก ๘. อนภชิ ฌา ไมโ ลภคอยจอ ง มลั ละ (อกี แหง หนงึ่ คอื ปาวา) สมยั พทุ ธ-อยากไดข องเขา ๙. อพยาบาท ไมคดิ กาล กุสินาราเปนเมืองเล็กๆ มีมัลล-รายเบียดเบียนเขา ๑๐. สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ กษัตริยเปนผูปกครอง พระพุทธเจาชอบตามคลองธรรม; เทยี บ อกศุ ลกรรมบถ, เสด็จดับขันธปรนิ พิ พานท่ีเมอื งนี้ดู กรรมบถ กฏู ทนั ตสตู ร สตู รหนง่ึ ในคมั ภรี ท ฆี นกิ ายกศุ ลธรรม ธรรมทเ่ี ปน กศุ ล, ธรรมฝา ย สลี ขนั ธวรรค สตุ ตนั ตปฎ ก พระพทุ ธเจากุศล ธรรมทีด่ ี, ธรรมฝา ยดี ทรงแสดงแกกูฏทันตพราหมณผูกําลังกุศลบุญจริยา ความประพฤตทิ เ่ี ปนบุญ เตรียมพิธีบูชายัญ วาดวยวิธีบูชายัญ เปน กุศล, การทาํ ความดีอยางฉลาด ตามความหมายในแบบของพระพุทธ-กศุ ลมลู รากเหงา ของกศุ ล, ตน เหตขุ อง ศาสนา ซง่ึ ไมต อ งมกี ารฆา ฟน เบยี ดเบยี น กศุ ล, ตน เหตขุ องความดมี ี ๓ อยา ง คอื สัตว มีแตการเสียสละทําทานและการ ๑. อโลภะ ไมโ ลภ (จาคะ) ๒. อโทสะ ไม ทาํ ความดอี ืน่ ๆ เรมิ่ ดวยการตระเตรียม คดิ ประทษุ รา ย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม พิธโี ดยจดั การบา นเมอื งใหส งบเรยี บรอ ย หลง (ปญ ญา); เทียบ อกุศลมูล กอ นตามธรรมวธิ ี มกี ารสง เสรมิ กสกิ รรมกุศลวตั ร ขอ ปฏิบัตทิ ีด่ ,ี กจิ ทพ่ี ึงทําท่ดี ี พาณชิ ยกรรม สมั มาชีพ และบํารุงสงกศุ ลวิตก ความตริตรกึ ทเ่ี ปน กศุ ล, ความ เสรมิ ขา ราชการทด่ี ี ซงึ่ จะทาํ ใหป ระชาชน นึกคดิ ทีด่ งี ามมี ๓ คือ ๑. เนกขัมมวติ ก ขวนขวายขะมักเขมนในหนาที่การงาน ความตรกึ ปลอดจากกาม ๒. อพยาบาท- ของตนๆ จนบานเมืองมีความเกษม วติ ก ความตรึกปลอดจากพยาบาท ๓. ปลอดภยั พลเมอื งมคี วามสขุ ราชทรพั ย อวิหิงสาวิตก ความตรึกปลอดจากการ บรบิ รู ณด แี ลว จงึ กระทาํ พธิ บี ชู ายญั ดว ย
เกจิ ๒๘ เกจิ การบรจิ าคทรพั ยท าํ ทานเปน ตน ผลของ ใหมๆ ธิดามารไดมาสําแดงอาการย่ัว พระธรรมเทศนาน้ี คอื กฏู ทนั ตพราหมณ ยวนตางๆ ทั้งปรากฏตัวเปนหญิงสาว ลมเลิกพิธีบูชายัญของตน ปลอยสัตว เปนหญิงวยั กลาง และเปนสตรีผูใหญ ท้ังหมด และประกาศตนเปนอุบาสก แตพ ระพทุ ธเจามไิ ดท รงใสพ ระทยั เมอื่เกจิ “บางพวก” หมายถงึ อาจารยบาง เลาความตอนน้ี พระอรรถกถาจารย พวก (เกจอิ าจารย, ใชวา พระเถระบาง กลาววา “สวนอาจารยบางพวก พวก กม็ บี า ง แตน อยแหง), เปน คําที่ (เกจอิ าจารย) กลาววา พระผูมพี ระภาค กลาวถึงบอยในอรรถกถาท้ังหลาย เจา คร้นั ทรงเหน็ ธิดามารเหลา นัน้ เขา มา กลาวคือ ในเวลาท่ีพระอรรถกถาจารย หาโดยภาวะเปนสตรีผูใหญ จึงทรง อธิบายความและเลาเรอื่ งราวตา งๆ บาง อธิษฐานวา ‘หญิงเหลานี้จงเปนผูมีฟน คร้ังทานก็ยกมติหรือความเห็นของทาน หัก ผมหงอก อยางน้ีๆ’ คําของ ผอู น่ื มาใหด ดู ว ย เมอื่ ไมอ อกชอ่ื เจา ของ เกจอิ าจารยน น้ั ไมค วรเชอื่ ถอื เพราะพระ มตเิ หลา นน้ั กใ็ ชค าํ วา “เกจ”ิ นี้ (ถา ยก ศาสดายอมไมทรงกระทําการอธิษฐาน มติอืน่ มาอกี ตอ จาก “เกจ”ิ ก็คือ “อปเร” อยา งทว่ี า นนั้ แตพ ระผมู พี ระภาคเจา ทรง แตบางทีมีหลายมติ ก็ตองใชคําอื่นอีก ปรารภถึงการละกิเลสของพระองคเอง โดยเฉพาะ “เอเก” หรอื “อเฺ ” กม็ บี า ง) ตรสั วา ‘พวกทา นจงหลกี ไปเถดิ พวก มตขิ องเกจอิ าจารยเ หลา นนั้ ทา นยกมาให ทานเปนเชนไรจึงพากันพยายามอยางนี้ ดูเพราะเปนคําอธิบายที่ตางออกไปบาง ช่ือวากรรมเชนน้ี พวกทานควรกระทํา เพียงเพราะมีแงน าสนใจบาง มีบอยครั้ง เบ้ืองหนาคนท่ียังไมปราศจากราคะ ที่ทานยกมาเพ่ือปฏิเสธหรือชี้แจงความ เปนตน แตตถาคตละราคะ โทสะ โมหะ ผิดพลาด และมีบางท่ีทานยกมาโดย เสยี แลว ’”; ในภาษาไทย เมอื่ ไมน านนกั น้ี แสดงความเห็นชอบ, การอางมติของ คําวา เกจิ หรอื เกจอิ าจารย ไดม คี วาม เกจอิ าจารยอ ยางทวี่ าน้ัน มักมีในกรณี หมายเพี้ยนไปจากเดิมหางไกลมาก อธิบายหลักพระธรรมวินัยท่ีอาจจะยาก กลายเปนหมายถึงพระภิกษุผูมีชื่อเสียง สําหรบั คนทั่วไป หรือเร่ืองทีล่ ึกซง้ึ แต เดนในทางความขลัง (พระขลัง หรือ ในท่ีนี้ จะยกตัวอยา งทเี่ ขาใจงายมาดูสกั อาจารยข ลงั ) หรอื แมก ระทงั่ ในเชงิ ไสย- เร่อื งหนึ่ง ตามความในอรรถกถาชาดก ศาสตร, ขอ เพยี้ นทสี่ าํ คญั คอื ๑) ความ (ชา.อ.๑/๑๒๔) วา เม่อื พระพุทธเจาตรสั รู หมายในทางปญญาและความใสใจใน
เกตุมาลา ๒๙ โกนาคมนการศึกษาหาความรูเก่ียวกับพระธรรม ดงั น้ี วา คาํ ใดคาํ หนง่ึ กเ็ ปน อนั พกั มานตั ตอวินัยเลือนลางหรือถูกกลบบัง โดยลัทธิ ไปเมอื่ มโี อกาสกใ็ หส มาทานวตั รใหมไ ดอ กีถือความขลังศักด์ิสิทธ์ิอิทธิฤทธ์ิไสย- เกษม ปลอดภัย, พนภยั , สบายใจศาสตร ๒) “เกจ”ิ ซง่ึ เดมิ เปน เพยี งผู เกษมจากโยคธรรม ปลอดภยั จากธรรมแทรกเสรมิ หรอื เปน ตวั ประกอบ กลายมา เครอ่ื งผกู มดั , ปลอดโปรง จากเรอ่ื งทจ่ี ะ เปน ตวั หลกั ๓) “เกจ”ิ ซงึ่ เดมิ เปน คาํ ตอ งถกู เทยี มแอก, พน จากภยั คอื กเิ ลสที่ พหูพจนท่ีไมระบุตัว กลายเปนคําเอก- เปน ตวั การสวมแอก; ดู โยคเกษมธรรม พจนทีใ่ ชเรียกบุคคลผูม ชี ่ือเสียงน้นั ๆ เกสา ผมเกตมุ าลา รศั มซี งึ่ เปลง อยเู หนอื พระเศียร เกินพิกัด เกินกําหนดท่ีจะตองเสียภาษีของพระพทุ ธเจา อากรเก็บปรวิ าส ดู เก็บวัตร เกียรติยศ ยศคอื เกยี รติ หรือกติ ติคุณ,เก็บมานัต ดู เกบ็ วัตร ความเปนใหญโ ดยเกียรติ; ดู ยศเก็บวัตร โวหารเรียกวินัยกรรมเกี่ยวกับ แกงได รอยกากบาทหรือขีดเขียนซึ่งคนวฏุ ฐานวิธอี ยางหนึง่ คอื เมอื่ ภกิ ษุตอง ไมร หู นังสือขดี เขียนลงไวเ ปน สาํ คญัครุกาบัติข้ันสังฆาทิเลสกําลังอยูปริวาส โกฏิ ชือ่ มาตรานบั เทากบั สบิ ลา นยงั ไมค รบเวลาทปี่ กปด อาบตั ไิ วก ด็ ี กาํ ลงั โกณฑธานะ ดู กุณฑธานะประพฤติมานัตยงั ไมครบ ๖ ราตรกี ็ดี โกณฑญั ญะ พราหมณห นมุ ทสี่ ดุ ในบรรดาเม่อื มีเหตุอันสมควร ก็ไมต อ งประพฤติ พราหมณ ๘ คน ผูทํานายลกั ษณะของติดตอกันเปนรวดเดียว พึงเขาไปหา สทิ ธตั ถกมุ าร ตอ มาออกบวชตามปฏิบัติภิกษุรูปหนึ่ง ทําผาหมเฉวียงบา นั่ง พระสิทธัตถะขณะบําเพ็ญทุกรกิริยากระหยง ประนมมอื ถาเกบ็ ปริวาส พงึ เปนหัวหนาพระปญจวัคคีย ฟงพระกลาววา “ปริวาสํ นิกฺขิปามิ” แปลวา ธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร“ขา พเจา เกบ็ ปรวิ าส” หรือวา “วตตฺ ํ นกิ ฺข-ิ แลวไดดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชาปามิ” แปลวา “ขา พเจา เก็บวัตร” วา คาํ อปุ สมบทเปน ปฐมสาวกของพระพทุ ธเจาใดคาํ หนง่ึ กเ็ ปน อนั พกั ปรวิ าส; ถา เกบ็ มีช่ือเรียกกันภายหลังวา พระอัญญา-มานตั พงึ กลา ววา “มานตฺตํ นกิ ขฺ ปิ าม”ิ โกณฑัญญะแปลวา “ขา พเจา เกบ็ มานตั ” หรอื วา “วตตฺ ํ โกธะ ความโกรธ, เคอื ง, ขนุ เคืองนิกขฺ ิปามิ” แปลวา “ขาพเจาเก็บวตั ร” โกนาคมน พระนามพระพุทธเจาองค
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: