๓ (๗) เมื่อการลงมตไิ ด้เปน็ ไปตามทก่ี ลา่ วแล้ว ใหน้ าร่างรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพิ่มเติมขน้ึ ทูลเกล้า ทูลกระหมอ่ มถวาย และให้นาบทบญั ญัติมาตรา ๘๑ วรรคสอง มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม (๘) ก่อนนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพ่ือทรงลงพระปรมาภิไธยตาม (๗) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวฒุ ิสภา หรอื สมาชิกท้ังสองสภารวมกันมีจานวนไม่นอ้ ยกว่าหนึ่ง ในห้าของสมาชิกท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่ของแต่ละสภา หรือของท้ังสองสภารวมกัน แล้วแต่กรณี มีสิทธิ เข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาท่ีตนเป็นสมาชิกหรอื ประธานรฐั สภา แล้วแต่กรณี ว่ารา่ ง รัฐธรรมนูญตาม (๗) ขัดต่อมาตรา ๒๕๕ และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความเห็นไป ยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับเร่ือง ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญนายกรฐั มนตรีจะนาร่างรฐั ธรรมนูญแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ดังกล่าว ข้ึนทูลเกลา้ ทูลกระหมอ่ มถวายเพือ่ พระมหากษัตริยท์ รงลงพระปรมาภิไธยมิได้” มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๑๕/๑ การจัดทารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาตรา ๒๕๖/๑ ถึงมาตรา ๒๕๖/๑๔ ของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๕/๑ การจดั ทารัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ _______________ มาตรา ๒๕๖/๑ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทาหน้าท่ีจัดทาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามหมวดน้ี ประกอบด้วยสมาชิกจานวนสองร้อยคน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ในแตล่ ะจงั หวัด การคานวณจานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญท่ีแต่ละจังหวัดจะพึงมี ให้ใช้จานวนราษฎร ทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรท่ีประกาศในปีสุดท้ายก่อนมีการเลือกต้ังสมาชิกสภาร่าง รัฐธรรมนูญเฉล่ียด้วยจานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจานวนสองร้อยคน จานวนท่ีได้รับให้ถือว่า เปน็ จานวนราษฎรต่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนญู หนง่ึ คน จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จานวนราษฎรต่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหน่ึงคน ตามวรรคสอง ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในจังหวัดนั้นได้หนึ่งคน จังหวัดใดมีราษฎรเกินจานวน ราษฎรต่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหน่ึงคน ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้น อกี หน่ึงคนทกุ จานวนราษฎรท่ีถงึ เกณฑ์จานวนราษฎรต่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหนงึ่ คน เมื่อได้จานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญของแต่ละจังหวัดตามวรรคสองและวรรคสาม แล้ว ถ้าจานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ครบสองร้อยคน จังหวัดใดท่ีมีเศษที่เหลือจากการ คานวณตามวรรคสองมากที่สุด ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้นอีกหน่ึงคน และให้ เพิ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตามวิธีการดังกล่าวแก่จังหวัดที่มีเศษท่ีเหลือจากการคานวณนั้นใน ลาดับรองลงมาตามลาดบั จนครบจานวนสองรอ้ ยคน ในการเลอื กตั้งสมาชิกสภาร่างรฐั ธรรมนญู ให้ใช้เขตจงั หวัดเปน็ เขตเลอื กตัง้
๔ มาตรา ๒๕๖/๒ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปน้ี เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิก สภารา่ งรัฐธรรมนญู (๑) มสี ญั ชาติไทยโดยการเกิด (๒) มีอายไุ มต่ ่ากวา่ สบิ แปดปบี ริบูรณ์ ในวนั เลอื กตงั้ (๓) มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อย กว่าห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกต้ังหรือเป็นบุคคลท่ีเกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง หรือเคยศึกษา ในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปีการศึกษา หรือเคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าท่ีในหน่วยงานของรัฐหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัด ทสี่ มคั รรับเลือกตง้ั แล้วแต่กรณี เป็นเวลาตดิ ตอ่ กันไม่น้อยกว่าหา้ ปี มาตรา ๒๕๖/๓ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัคร รบั เลอื กตัง้ เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (๑) เปน็ บุคคลซง่ึ มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใชส้ ิทธิสมคั รรับเลือกตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตาม มาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๔) (๕) (๖) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) (๑๕) (๑๖) (๑๗) หรอื (๑๘) (๒) เปน็ ขา้ ราชการการเมือง (๓) เปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา หรือรฐั มนตรี มาตรา ๒๕๖/๔ ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่าง รัฐธรรมนูญใหแ้ ลว้ เสร็จภายในหกสิบวนั นับแต่มีเหตแุ หง่ การจดั ทาร่างรัฐธรรมฉบบั ใหมต่ ามหมวดนี้ การกาหนดวันเลือกต้ังตามวรรคหน่ึงให้กระทาโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ซงึ่ ต้องกาหนดให้เป็นวัน เดยี วกนั ท่วั ราชอาณาจกั ร ใหค้ ณะกรรมการการเลือกต้งั จัดใหม้ ีการแนะนาตัวผูส้ มัครอย่างเท่าเทยี มกนั การเลอื กตง้ั สมาชิกสภารา่ งรัฐธรรมนูญให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลบั โดยให้ ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกต้ังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้หนึ่งคน และจะลงคะแนนเลือก ผ้สู มัครผ้ใู ดหรือจะลงคะแนนไม่เลอื กผู้ใดเลยก็ได้ คณุ สมบัตแิ ละลกั ษณะตอ้ งหา้ มในการใชส้ ิทธิเลอื กต้งั สมาชกิ สภาร่างรัฐธรรมนญู ใหเ้ ปน็ ไป ตามมาตรา ๙๕ และมาตรา ๙๖ ของรัฐธรรมนญู หลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกต้ังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามระเบียบท่ี คณะกรรมการการเลือกต้งั กาหนด เม่ือได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกต้ัง ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันเลือกต้ัง โดยให้ผู้สมัครที่ได้รับ คะแนนสูงสุดเรียงตามลาดับจนครบตามจานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญท่ีพึงมีในแต่ละจังหวัด เปน็ ผไู้ ด้รับเลือกตัง้ สมาชิกภาพของสมาชกิ สภาร่างรัฐธรรมนูญ เร่มิ ต้ังแตว่ ันเลอื กตัง้ มาตรา ๒๕๖/๕ สมาชิกภาพของสมาชกิ สภาร่างรัฐธรรมนูญส้นิ สุดลง เมอ่ื (๑) สภาร่างรฐั ธรรมนญู ส้นิ สดุ (๒) ตาย (๓) ลาออก
๕ (๔) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๕๖/๒ หรือมีลกั ษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๒๕๖/๓ เมื่อตาแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญว่างลงเพราะเหตุอ่ืนใดนอกจากท่ีถึงคราวออก ตามมาตรา ๒๕๖/๑๓ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดาเนินการเลื่อนบุคคลผู้ท่ีได้คะแนนในลาดับ ต่อไปในการเลือกต้ังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญซ่ึงเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ ต้องห้าม ขึ้นแทนตาแหน่งท่ีว่าง ภายในกาหนดเวลาสิบห้าวัน เว้นแต่ระยะเวลาการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญของ สภาร่างรฐั ธรรมนญู จะเหลอื ไมถ่ งึ เก้าสิบวัน ในกรณีที่ตาแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใดและยังไม่มีการเล่ือน ลาดับข้ึนแทนตาแหน่งทว่ี ่างตามวรรคสอง หรือเป็นกรณีทีไ่ ม่มบี ุคคลท่ีจะเล่ือนลาดับขนึ้ แทนตาแหน่ง ที่ว่างได้ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเท่าท่ีมีอยู่ แต่ท้ังน้ีสภาร่าง รฐั ธรรมนญู ต้องมีจานวนสมาชกิ เหลืออยู่ไม่นอ้ ยกว่าก่งึ หนึ่งของจานวนสมาชกิ สภาร่างรัฐธรรมนูญตาม มาตรา ๒๕๖/๑ มาตรา ๒๕๖/๖ สภาร่างรัฐธรรมนูญมีประธานสภาคนหน่ึงและรองประธานสภาคนหนึ่ง หรือสองคนซ่ึงพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังจากสมาชิกแห่งสภาร่างรัฐธรรมนูญตามมติของสภาร่าง รัฐธรรมนญู และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าท่ีและอานาจดาเนินกิจการของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตามหมวดนี้ รองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าท่ีและอานาจตามที่ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ มอบหมาย และปฏบิ ัตหิ นา้ ที่แทนประธานสภาร่างรัฐธรรมนญู ในกรณที ี่ประธานสภารา่ งรฐั ธรรมนูญไม่ อยูห่ รอื ไมส่ ามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี ด้ กรณีประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้และไม่มีรอง ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่แทนตามวรรคสอง ให้ที่ประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญเลือก สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญคนหนึ่งทาหน้าที่เป็นประธานการประชุมในคราวนั้น เพื่อดาเนินการ ประชมุ ตอ่ ไปได้ มาตรา ๒๕๖/๗ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งต้ังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น คณะหน่ึง ทาหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญตามแนวทางที่สภาร่างรฐั ธรรมนูญกาหนด เพือ่ เสนอตอ่ สภาร่าง รัฐธรรมนูญประกอบด้วยกรรมาธิการจานวนสี่สิบห้าคน ซึ่งแต่งต้ังจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จานวน สามสบิ คน จากผู้เชย่ี วชาญด้านกฎหมายมหาชนจานวนหา้ คน ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ จานวนหา้ คน และจากผมู้ ีประสบการณ์ด้านการเมอื ง การบรหิ ารราชการแผน่ ดิน และการร่างรัฐธรรมนญู ห้าคน การแต่งตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้ คานึงถึงสมาชิกสภารา่ งรัฐธรรมนญู ในภมู ิภาคต่างๆ อย่างเปน็ ธรรม มาตรา ๒๕๖/๘ เงนิ ประจาตาแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรอง ประธานสภาร่างรฐั ธรรมนญู สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและกรรมาธิการที่สภาร่างรัฐธรรมนญู แตง่ ต้ัง ให้เปน็ ไปตามทกี่ าหนดไว้ในพระราชกฤษฎกี า มาตรา ๒๕๖/๙ สภาร่างรัฐธรรมนูญต้องจัดทาร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน กาหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันที่มีการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก ซึ่งต้องจัดให้มีข้ึน ไม่ชา้ กว่า
๖ สามสิบวันนับแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศรับรองผลการเลือกต้ังสมาชิก สภา รา่ งรฐั ธรรมนูญ ก า ร ที่ ส ภ า ผู้ แ ท น ร า ษ ฎ ร สิ้ น อ า ยุ ห รื อ มี ก า ร ยุ บ ส ภ า ผู้ แ ท น ร า ษ ฎ ร ไ ม่ เ ป็ น เ ห ตุ กระทบกระเทอื นการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ของสภาร่างรฐั ธรรมนญู ตามวรรคหน่งึ ในการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนทั่วไป และประชาชนในทุกจังหวัดอย่างทั่วถึง โดยให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้อง จัดให้มีการเผยแพร่เนื้อหาสาระและความคืบหน้าในการร่าง รัฐธรรมนูญ ผ่านสือ่ มวลชนและเวทแี สดงความคิดเหน็ ตา่ งๆ การจัดทาร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการแก้ไขเพ่ิมเติมหมวด ๑ และหมวด ๒ ของ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย จะกระทามิได้ กรณีท่ีรัฐสภาวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญมีลักษณะตามวรรคส่ีให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอัน ตกไป มาตรา ๒๕๖/๑๐ การพิจารณาและจัดทาร่างรัฐธรรมนูญ การประชุม การลงมติ การ แต่งตั้งกรรมาธิการ และการดาเนินการของกรรมาธิการ การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และ กิจการอืน่ เพอื่ ดาเนินการตามหมวดนี้ ให้นาขอ้ บงั คบั การประชุมรัฐสภามาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ให้นาบทบัญญัติมาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๔ และมาตรา ๑๒๕ มาใช้บังคับกับการประชุม สภาร่างรฐั ธรรมนูญ และการประชุมของคณะกรรมาธกิ ารยกร่างรัฐธรรมนญู โดยอนโุ ลม มาตรา ๒๕๖/๑๑ เม่ือสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้นาเสนอต่อ ประธานรัฐสภาและเมื่อประธานรัฐสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วให้ส่งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวไปยัง คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่รัฐสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญน้ันจากสภาร่าง รัฐธรรมนูญ เพ่ือให้คณะกรรมการการเลือกต้ังดาเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติของ ประชาชนว่าจะเหน็ ชอบกับร่างรฐั ธรรมนญู หรือไม่ ในกรณีไม่มีผู้ดารงตาแหน่งประธานรัฐสภา ให้ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญส่งร่าง รัฐธรรมนญู ไปยังคณะกรรมการการเลือกต้ังเพื่อดาเนินการตามวรรคหนง่ึ ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศกาหนดวันออกเสียงประชามติซึ่งต้องไม่เกินหกสิบ วนั แต่ไม่น้อยกว่าสสี่ ิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญจากรัฐสภา หรือจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี วันออกเสียงประชามติให้กาหนดเปน็ วนั เดียวกนั ทัว่ ราชอาณาจักรต้ังแตเ่ วลาแปดนาฬกิ า จนถึงเวลาสิบเจ็ดนาฬิกา สาหรับหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติให้เป็นไปตามกฎหมายว่า ด้วยการนนั้ เท่าทีไ่ ม่ขดั หรือแยง้ ต่อรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้องจัดให้มีการ เผยแพร่เน้ือหาของร่างรัฐธรรมนญู ให้ประชาชนรับทราบเป็นการทั่วไปผ่านส่ือมวลชน เวทีแสดงความ คิดเห็น และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท โดยให้ผู้ท่ีเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญได้ แสดงความคิดเห็นโดยเสรภี ายใต้กรอบของกฎหมาย เมื่อการออกเสียงประชามติเสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศผลการ ออกเสียงประชามติให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันออกเสียงประชามติ หากคะแนนการออก เสียงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญให้ดาเนินการตามมาตรา ๒๕๖/๑๒ ต่อไป แต่หากคะแนน
๗ การออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป และให้แจ้ง ผลการออกเสียงประชามติให้ประธานรัฐสภาหรือประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณีทราบ โดยเร็ว มาตรา ๒๕๖/๑๒ เม่ือผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ นาร่างรัฐธรรมนูญข้ึนทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นาบทบัญญัติ มาตรา ๘๑ วรรคสอง และมาตรา ๑๔๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลมและให้ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ เปน็ ผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ มาตรา ๒๕๖/๑๓ สภารา่ งรฐั ธรรมนูญสน้ิ สุดลงในกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) สภารา่ งรัฐธรรมนูญมีจานวนสมาชกิ เหลอื อยู่ไมถ่ ึงกง่ึ หนง่ึ (๒) สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทาร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในกาหนดระยะเวลา ตามมาตรา ๒๕๖/๙ วรรคหน่งึ (๓) เมอ่ื รา่ งรฐั ธรรมนูญตกไปตามมาตรา ๒๕๖/๙ วรรคห้า หรอื มาตรา ๒๕๖/๑๑ วรรคหา้ (๔) เมือ่ ร่างรฐั ธรรมนญู ไดป้ ระกาศใช้บังคบั เปน็ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว มาตรา ๒๕๖/๑๔ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญท่ีจัดทาขึ้นตามหมวดนี้ตกไป คณะรัฐมนตรี หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในห้าของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่ของสภา ผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามี จานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในห้าของ จานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่อยู่ของท้ังสองสภา มีสิทธิเสนอญัตติต่อรัฐสภาเพ่ือให้รัฐสภามี มติให้มี การจัดทาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้อีกได้ การออกเสียงลงคะแนนให้ความเห็นชอบของ รัฐสภาต้องได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ท้ังน้ีบุคคลผู้ที่เคยเป็น สมาชิกสภาร่างรฐั ธรรมนญู จะเป็นสมาชกิ สภาร่างรัฐธรรมนูญอกี มไิ ด้ เม่ือรัฐสภามีมติอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคหน่ึงแล้วจะมีการเสนอญัตติตามวรรคหน่ึง อกี มิได้ เว้นแต่จะมีการเลือกตง้ั ทัว่ ไปครัง้ ใหมแ่ ลว้ ” มาตรา ๕ ในวาระเริ่มแรกให้ตราพระราชกฤษฎีกากาหนดให้มีการรับสมัครเลือกต้ังเป็น สมาชกิ สภารา่ งรัฐธรรมนูญภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ทร่ี ฐั ธรรมนญู นใ้ี ชบ้ ังคับ ผ้รู บั สนองพระบรมราชโองการ ..................................................... นายกรฐั มนตรี
๘ บันทกึ วิเคราะห์สรุปสาระสาคัญ ของรา่ งรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ..) พทุ ธศกั ราช .... _______________ ๑. กาหนดช่ือเรียกของรัฐธรรมนูญว่า “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท.ี่ .) พุทธศักราช .... (มาตรา ๑) ๒. กาหนดวันมีผลใช้บังคับของรัฐธรรมนูญให้นับตั้ง แต่ถัดจากวันประกาศใน ราชกิจจานเุ บกษาเป็นตน้ ไป (มาตรา ๒) ๓. ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เก่ียวกับ หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและใหใ้ ช้ความใหม่แทน (มาตรา ๓) โดยมีสาระสาคัญ ดังนี้ ๓.๑ ญตั ติขอแก้ไขเพิ่มเติมตอ้ งมาจากคณะรฐั มนตรี สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรมีจานวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าท่ีมีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจานวนสมาชิกทั้งหมด เท่ า ท่ี มี อ ยู่ ข อ ง ทั้ ง ส อ ง สภ า ห รื อ จ า ก ป ร ะ ช า ช นผู้ มี สิ ท ธิ เ ลื อ ก ตั้ ง จ า น วน ไ ม่ น้ อ ย ก ว่ า ห้ า ห ม่ื น ค น ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย (ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกาหนด จานวน ส.ส. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้า หรือ ส.ส. และ ส.ว. รวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของสภาผู้แทนราษฎร หรือของท้ังสองสภาแลว้ แต่กรณี) ๓.๒ ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภา พิจารณาเป็นสามวาระ (เชน่ เดยี วกับรัฐธรรมนญู ทใ่ี ช้บังคบั อยู่) ๓.๓ การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หน่ึงขั้นรับหลักการให้ใช้วิธีเรียกช่ือและ ลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมน้ันไม่น้อยกว่าก่ึงหนึ่ง ของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าทมี่ ีอยขู่ องทั้งสองสภา (ท้งั น้ี โดยตัดส่วนที่ตอ้ งมีเสยี งของสมาชกิ วฒุ ิสภา ใหค้ วามเหน็ ชอบด้วยออก) ๓.๔ การพิจารณาในวาระท่ีสองข้ันพิจารณาเรียงลาดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟัง ความคิดเหน็ จากประชาชนผูม้ สี ิทธิเลอื กต้งั ทเ่ี ขา้ ชื่อเสนอรา่ งรฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพม่ิ เติมดว้ ย ๓.๕ เมอื่ การพิจารณาวาระทส่ี องเสร็จสน้ิ แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกาหนดนนั้ แล้ว ให้รัฐสภาพจิ ารณาในวาระทีส่ ามต่อไป ๓.๖ การออกเสียงลงคะแนนในวาระทส่ี าม ข้ันสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนน โดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการท่ีจะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนญู มากกวา่ กึ่งหน่ึง ของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (ทั้งน้ี โดยตัดส่วนที่จะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดารงตาแหน่งรัฐมนตรี ประธานหรือรองประธานสภา ผแู้ ทนราษฎร รวมถึงสว่ นทีจ่ ะตอ้ งใหส้ มาชกิ วฒุ สิ ภาใหค้ วามเหน็ ชอบดว้ ยไมน่ ้อยกว่าหนึ่งในสามออก)
๙ ๓.๗ เมื่อการลงมติได้เป็นไปตามท่ีกล่าวแล้ว ให้นาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นาบทบัญญัติมาตรา ๘๑ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม (ซ่ึงเป็นไปตามหลักการเดิมท่ใี ชบ้ งั คับในปัจจุบัน) ๓.๘ ก่อนนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้สิทธิ แก่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวฒุ ิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกันมีจานวนไม่น้อยกว่า หนง่ึ ในหา้ ของสมาชิกทัง้ หมดเท่าท่ีมีอยขู่ องแต่ละสภาหรือของทัง้ สองสภารวมกัน แล้วแตก่ รณี เข้าช่ือ กันเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา ว่าร่างรัฐธรรมนูญขัดต่อ มาตรา ๒๕๕ ได้ ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญนายกรัฐมนตรีจะนาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไข เพิ่มเตมิ ดังกลา่ วขน้ึ ทูลเกล้าฯ มไิ ด้ ๔. ให้เพิ่มความต่อไปน้ีเป็นหมวด ๑๕/๑ การจัดทารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้ังแต่มาตรา ๒๕๖/๑ ถึงมาตรา ๒๕๖/๑๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ โดยมี สาระสาคญั ดังน้ี ๔.๑ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทาหน้าที่จัดทาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ ประกอบด้วยสมาชิกจานวน ๒๐๐ คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในแต่ละจังหวัด โดยใหใ้ ชเ้ ขตจงั หวัดเปน็ เขตเลอื กตง้ั (มาตรา ๒๕๖/๑) ๔.๒ กาหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เชน่ ต้องมสี ญั ชาติไทยโดยการเกดิ มอี ายุไมต่ ่ากวา่ สบิ แปดปบี รบิ รู ณ์ในวนั เลอื กต้งั (มาตรา ๒๕๖/๒) ๔.๓ กาหนดลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยนาลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. ในมาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๔) (๕) (๖) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) (๑๕) (๑๖) (๑๗) และ (๑๘) มาใช้บังคับ และต้องไม่เป็นข้าราชการการเมือง หรือเป็น ส.ส. , ส.ว. หรอื รฐั มนตรี (มาตรา ๒๕๖/๓) ๔.๔ กาหนดให้คณะกรรมการการเลือกต้ังดาเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่าง รฐั ธรรมนญู ให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่มีเหตุการณ์จดั ทารา่ งรฐั ธรรมนูญฉบับใหม่ โดยตราเป็น พระราชกฤษฎีกา ให้ใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง ส.ส. ส่วนคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้นามาตรา ๙๕ และมาตรา ๙๖ ของรฐั ธรรมนูญมาใชบ้ งั คบั (มาตรา ๒๕๖/๔) ๔.๕ กาหนดเหตุของการส้ินสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กรณี ตาแหน่งสมาชกิ สภารา่ งรฐั ธรรมนูญวา่ งลง (มาตรา ๒๕๖/๕) ๔.๖ กาหนดให้มีตาแหน่งประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญและรองประธานสภาคนหนึ่ง หรือสองคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และกาหนดหน้าท่ี และการปฏบิ ัติหนา้ ทขี่ องประธานและรองประธานสภารา่ งรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๒๕๖/๖) ๔.๗ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ แตง่ ตัง้ คณะกรรมาธกิ ารยกรา่ งรฐั ธรรมนญู ประกอบดว้ ย สมาชิกสภา จานวน ๔๕ คน โดยแต่งต้ังจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ๓๐ คน ผู้เชี่ยวชาญ ด้านกฎหมายมหาชน สาขารัฐศาสตรห์ รือรฐั ประศาสนศาสตร์ และจากผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง และการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ และการร่างรฐั ธรรมนูญ สาขาละ ๕ คน เป็น ๑๕ คน (มาตรา ๒๕๖/๗)
๑๐ ๔.๘ กาหนดเงินประจาตาแหน่งและประโยชน์ตอบแทนของประธานและรอง ประธาน และสมาชกิ สภารา่ งรฐั ธรรมนญู ใหท้ าเปน็ พระราชกฤษฎกี า (มาตรา ๒๕๖/๘) ๔.๙ กาหนดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทาร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใ น กาหนดเวลา ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่มีการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก กรณีครบวาระของ สภาผู้แทนราษฎรหรือยุบสภาไม่กระทบการทาหน้าท่ีของสภาร่างรัฐธรรมนูญ กาหนดเรื่องการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนต้องทาในทุกจังหวัดอย่างท่ัวถึง และกาหนดห้ามมิให้มีการจัดทาร่าง รฐั ธรรมนูญทม่ี ผี ลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด ๑ และหมวด ๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (มาตรา ๒๕๖/๙) ๔.๑๐ ให้นาข้อบังคับการประชุมสภา รวมถึงเรื่ององค์ประชุมตามมาตรา ๑๒๐ เร่ือง เอกสิทธ์ิตามมาตรา ๑๒๔ และมาตรา ๑๒๕ มาใช้กับการพิจารณาและจัดทาร่างรัฐธรรมนูญของสภา ร่างรฐั ธรรมนญู และคณะกรรมาธิการยกร่างรฐั ธรรมนญู (มาตรา ๒๕๖/๑๐) ๔.๑๑ กาหนดขั้นตอนภายหลังเม่ือสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จส้ิน ให้เสนอต่อประธานรัฐสภา เพื่อส่งให้คณะกรรมการเลือกตั้งดาเนินการเพื่อให้มีการออกเสียง ประชามติ และการเผยแพร่รา่ งรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๒๕๖/๑๑) ๔.๑๒ กาหนดขั้นตอนการนาร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติขึ้นทูลเกล้าฯ (มาตรา ๒๕๖/๑๒) ๔.๑๓ กาหนดเหตุของการส้ินสดุ ของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๒๕๖/๑๓) ๔.๑๔ กรณีท่ีร่างรัฐธรรมนูญตกไป ให้คณะรัฐมนตรี หรือ ส.ส. หรือ ส.ส. และ ส.ว. ร่วมกันมีสิทธิเสนอญัตติต่อรัฐสภาเพ่ือให้รัฐสภามีมติให้มีการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญตามหมวดน้ีอีกได้ (มาตรา ๒๕๖/๑๔) ๕. ให้มีการรับสมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ รัฐธรรมนูญนใ้ี ช้บังคบั (มาตรา ๕)
เสนอโดย รองศาสตราจารยโ์ ภคิน พลกุล ทีป่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาวิเคราะหบ์ ทบญั ญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น บนั ทกึ หลกั การและเหตผุ ล ประกอบรา่ งรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบับที่ ..) พทุ ธศกั ราช .... _______________ หลักการ แกไ้ ขเพิ่มเติมมาตรา ๑๕๗ ยกเลกิ เตมิ มาตรา ๒๗๒ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เหตุผล โดยท่ีมาตรา ๒๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กาหนดให้การให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งต้ังเป็นนายกรัฐมนตรีให้กระทาในที่ประชุมร่วมกันของ รัฐสภาในระหว่าง ห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมน้ันเท่ากับให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมิได้มาจากการเลือกตั้ง ของประชาชนมีสิทธิในการเลือกผู้ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย และการให้ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็น นายกรัฐมนตรีจากัดเฉพาะผู้ที่อยู่ในบัญชีรายช่ือของพรรคการเมืองเท่านั้น เป็นการไม่สอดคล้องตาม หลักการประชาธิปไตยและประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อีกท้ังสมาชิกวุฒิสภาชุดแรกได้รับการคัดเลือกและเสนอช่ือโดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติซ่ึงสิ้นสุดลงแล้วตามรัฐธรรมนูญ ดังน้ัน การเลือกผู้ดารงตาแหน่ง นายกรฐั มนตรใี นคร้ังตอ่ ๆ ไป จึงควรให้เป็นไปตามมาตรา ๑๕๙ ของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย และควรกาหนดให้นายกรัฐมนตรมี าจากสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรได้ด้วย จึงจาเป็นต้องตรารัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ..) พุทธศักราช ....
ร่าง รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย แก้ไขเพ่มิ เติม (ฉบับที่ ..) พุทธศกั ราช .... _______________ ……………………………………………………………………… …………………………………………………………………….. …………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… โดยทีเ่ ป็นการสมควรแกไ้ ขเพิ่มเตมิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย …………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………….................................................................................................................... มาตรา ๑ รัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พทุ ธศักราช .... มาตรา ๒ รัฐธรรมนญู นี้ใหใ้ ช้บงั คับต้งั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย และใหใ้ ช้ความตอ่ ไปนี้แทน “มาตรา ๑๕๙ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ใน บัญชีรายชื่อท่ีพรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ หรือจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เฉพาะจากบัญชีรายชื่อหรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือก เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจานวนสมาชิกท้ั งหมดเท่าที่มีอยู่ ของสภาผู้แทนราษฎร” มาตรา ๔ ให้ยกเลิก มาตรา ๒๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่มิให้มีผลกระทบ กระเทือนตอ่ การเลือกนายกรฐั มนตรที ไ่ี ด้ดาเนนิ การไปแล้วกอ่ นวันทรี่ ฐั ธรรมนญู นี้มีผลใชบ้ งั คับ ผู้รบั สนองพระบรมราชโองการ ..................................................... นายกรัฐมนตรี
บนั ทึกวเิ คราะห์สรปุ สาระสาคญั ของร่างรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ที่ ..) พุทธศกั ราช .... _______________ ๑. กาหนดชือ่ เรียกของรัฐธรรมนูญว่า “รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย แกไ้ ขเพมิ่ เติม (ฉบับ ท.่ี .) พุทธศกั ราช .... (มาตรา ๑) ๒. กาหนดวันมีผลใช้บังคบั ของรัฐธรรมนูญให้นับต้ังแต่ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เปน็ ต้นไป (มาตรา ๒) ๓. แก้ไขเพ่ิมเติมมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง โดยกาหนดให้ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากผู้มีช่ืออยู่ในบัญชีของพรรคการเมืองแล้ว ให้มาจากผู้ซ่ึงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ด้วย (มาตรา ๓) ๔. ให้ยกเลกิ มาตรา ๒๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่มิให้มีผลกระทบกระเทือน ตอ่ การเลอื กนายกรัฐมนตรที ไ่ี ด้ดาเนนิ การไปแล้วกอ่ นวนั ท่ีรฐั ธรรมนญู นี้มผี ลใช้บงั คับ (มาตรา ๔)
เสนอโดย นายประยทุ ธ์ ศิริพานชิ ย์ ทปี่ รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร ศกึ ษาวิเคราะหบ์ ทบัญญตั ริ ัฐธรรมนญู พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู และกฎหมาย ร่าง อน่ื รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ (ฉบับที่ ..) พทุ ธศกั ราช....... --------------------------------------- ......................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ....................................................... โดยท่ีเปน็ การสมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย ............................................................................................................................. ........................... ............................................................................................................................. ....................................................... มาตรา ๑ รัฐธรรมนูญนเ้ี รียกว่า “รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย แกไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่...) พุทธศักราช....... มาตรา ๒ รฐั ธรรมนูญน้ใี หใ้ ช้บงั คับต้ังแต่วันถดั จากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และให้ใชค้ วามต่อไปนี้แทน “ มาตรา ๒๕๖ ภายใต้บงั คบั มาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิม่ เติมรัฐธรรมนูญให้กระทาตามหลักเกณฑ์ และวิธกี าร ดังต่อไปนี้ (๑) ญัตติขอแกไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจานวน ไมน้อย กว่าหนึ่งในห้าของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าท่ีมีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ สมาชิกวุฒิสภามีจานวนไมน้อยกว่าหน่ึงในห้าของจานวนสมาชิกท้ังหมด เท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจาก ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลือกตัง้ จานวนไมนอ้ ยกว่าหา้ หม่ืนคน ตามกฎหมายว่าด้วยการเขา้ ชอ่ื เสนอกฎหมาย (๒) ญัตติขอแกไขเพ่ิมเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแกไขเพ่ิมเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็น สามวาระ (๓) การออกเสียงลงคะแนนในวาระท่ีหนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนน โดย เปดิ เผย และต้องมีคะแนนเสียงเหน็ ชอบด้วยในการแกไขเพ่ิมเติมนน้ั ไมน้อยกว่ากึ่งหนงึ่ ของ จานวนสมาชิกท้ังหมด เทา่ ทมี่ ีอยู่ของท้ังสองสภา (๔) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลาดับมาตรา ตองจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนผมู้ ีสิทธเิ ลือกตั้งที่เขา้ ชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนญู แกไขเพิ่มเติมด้วย การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลาดับมาตรา ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็น ประมาณ
2 (๕) เมื่อการพิจารณาวาระท่ีสองเสร็จสิ้นแลว ให้รอไวสิบห้าวัน เม่ือพ้นกาหนดน้ีแลว ให้รัฐสภา พจิ ารณาในวาระทสี่ ามต่อไป (๖) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกช่ือและลงคะแนน โดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหน่ึง ของจานวนสมาชิก ท้งั หมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (๗) เมื่อการลงมติไดเป็นไปตามท่ีกล่าวแลว ให้นาร่างรัฐธรรมนูญแกไขเพ่ิมเติมข้ึนทูลเกล้า ทลู กระหม่อมถวาย และให้นาบทบัญญัติมาตรา ๘๑ วรรคสอง และมาตรา ๑๔๖ มาใชบ้ ังคบั โดยอนโุ ลม มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปน้ีเป็นหมวด 15/1การจัดทารัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ มาตรา ๒๖๑/ ๑๔ ถึงมาตรา ๒๕๖/๑๔ ของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๕/๑ การจัดทารัฐธรรมนญู ฉบับใหม่ ----------------------- มาตรา ๒๕๖/๑ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทาหน้าท่ีจัดทาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดน้ี ประกอบด้วยสมาชกิ จานวนสองร้อยคนซ่ึงมาจากการเลือกตัง้ โดยตรงของประชาชนในแต่ละจงั หวัด การคานวณจานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีให้ใช้จานวนราษฎรทั้ง ประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรท่ีประกาศในปสี ุดท้ายก่อนมกี ารเลือกตงั้ สมาชิกสภารา่ งรัฐธรรมนูญเฉลี่ย ดว้ ยจานวนสมาชิกสภาร่างรฐั ธรรมนูญจานวนสองร้อยคนจานวนที่ได้รับให้ถือว่าเป็นจานวนราษฎรต่อสมาชิกสภา ร่างรฐั ธรรมนญู หนง่ึ คน จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จานวนราษฎรต่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหน่ึงคนตามวรรคสอง ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในจังหวัดนั้นได้หน่ึงคนจังหวัดใดมีราษฎรเกินจานวนราษฎรต่อสมาชิกสภาร่าง รัฐธรรมนูญหน่ึงคนให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในจังหวัดน้ันเพ่ิมข้ึนอีกหน่ึงคนทุกจานวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์ จานวนราษฎรตอ่ สมาชกิ สภาร่างรฐั ธรรมนูญหน่ึงคน เม่ือได้จานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญของแต่ละจังหวัดตามวรรคสองและวรรคสามแล้วถ้า จานวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ครบสองร้อยคน จังหวัดใดท่ีมีเศษท่ีเหลือจากการคานวณตามวรรคสอง มากท่ีสุดให้จังหวัดน้ันมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนและให้เพ่ิมสมาชิ กสภาร่างรัฐธรรมนูญตาม วิธีการดังกลา่ วแกจ่ ังหวดั ท่มี ีเศษท่เี หลอื จากการคานวณน้ันในลาดับรองลงมาตามลาดบั จนครบจานวนสองรอ้ ยคน ในการเลือกตง้ั สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญใหใ้ ช้เขตจงั หวดั เปน็ เขตเลือกตั้ง มาตรา 256/๒ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิ์สมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิกสภาร่าง รฐั ธรรมนญู (๑) มีสัญชาตไิ ทยโดยการเกิด (๒) มีอายุไม่ต่ากวา่ สิบแปดปบี รบิ ูรณใ์ นวันเลือกต้ัง
3 (๓) มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกต้งั มาแล้วเปน็ เวลาติดต่อกนั ไมน่ ้อยกวา่ ห้าปี นับถึงวันสมัครรับเลือกต้ังหรือเป็นบุคคลที่เกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกต้ังหรือเคยศึกษาในสถานศึกษาท่ีต้ังอยู่ใน จังหวัดท่ีสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปีการศึกษาหรือเคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ใน หน่วยงานของรัฐหรือเคยมีชอ่ื อยู่ในทะเบยี นบ้านในจังหวัดทีส่ มคั รรับเลือกต้ังแล้วแต่กรณีเป็นเวลาติดต่อกนั ไม่น้อย กว่าหา้ ปี มาตรา 256/๓ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปน้ีเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภารา่ งรัฐธรรมนญู (๑) เป็นบุคคลซ่ึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม มาตรา 98 (๑) (๒) (๔) (๕) (๖) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) (๑๕) (๑๖) (๑๗) หรอื (๑๘) (๒) เปน็ ข้าราชการการเมือง (๓) เปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชกิ วุฒิสภา หรอื รัฐมนตรี มาตรา 256/๔ ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังจัดให้มีการเลือกต้ังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้ แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพ่ิมเติมฉบับที่ ๑ พุทธศกั ราช 2563 การกาหนดวันเลือกตั้งตามวรรคหนึ่งให้กระทาโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องกาหนดให้ เป็นวนั เดียวกนั ทัว่ ราชอาณาจักร ใหค้ ณะกรรมการการเลือกตั้งจดั ให้มีการแนะนาตัวผู้สมคั รอย่างเทา่ เทยี มกัน การเลือกตง้ั สมาชิกสภาร่างรฐั ธรรมนูญให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับให้ผ้มู ีสิทธิออก เสียงลงคะแนนเลือกต้ังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญคนละหนึ่งคะแนนโดยจะลงคะแนนเลือกผู้สมัครผู้ใดหรือจะ ลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเลยก็ได้ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิเลือกต้ังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตาม มาตรา 95 และมาตรา 96 ของรฐั ธรรมนญู หลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามระเบียบท่ี คณะกรรมการการเลอื กต้งั กาหนด เม่ือได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนญู แล้วให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับรอง ผลการเลือกต้ังให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวัน นับแต่วันเลือกต้ังโดยให้ผู้สมคั รท่ีได้รับคะแนนสูงสุดเรียงตามลาดับจน ครบตามจานวนสมาชกิ สภาร่างรัฐธรรมนูญทีพ่ งึ่ มใี นแต่ละจงั หวัดเป็นผู้ได้รบั เลอื กตั้ง สมาชกิ ภาพของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเร่ิมต้งั แต่วันเลือกต้งั มาตรา 2๕6/๕ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงเม่ือ (๑) สภารา่ งรัฐธรรมนูญส้ินสดุ ลง (๒) ตาย (๓) ลาออก (๔) ขาดคณุ สมบตั ิตามมาตรา 256/๒ หรือมลี ักษณะต้องหา้ มตามมาตรา 256/๓
4 เม่ือตาแหนง่ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญว่างลงเพราะเหตุอืน่ ใดนอกจากที่ถึงคราวออกตามมาตรา 256/13 ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังดาเนินการเล่ือนบุคคลผู้ที่ได้คะแนนในลาดับต่อไปในการเลือกต้ังสมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามขึ้นแทนตาแหน่งท่ีว่างภายในกาหนดเวลา สิบห้าวนั เวน้ แตร่ ะยะเวลาการจัดทารา่ งรฐั ธรรมนูญของสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเหลือไมถ่ ึงเกา้ สบิ วัน ในกรณีท่ีตาแหน่งสมาชิกสภาร่างรฐั ธรรมนูญว่างลงไมว่ ่าด้วยเหตใุ ดและยังไม่มีการเล่ือนลาดบั ขึ้น แทนตาแหน่งท่ีว่างตามวรรคสองหรือเป็นกรณีที่ไม่มีบุคคลที่จะเล่ือนลาดับข้ึนแทนตาแหน่งท่ีว่างได้ให้สภาร่าง รัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเท่าที่มีอยู่แต่ทั้งน้ีสภาร่างรัฐธรรมนูญต้องมีจานวนสมาชิก เหลืออย่ไู ม่นอ้ ยกวา่ กงึ่ หน่ึงของจานวนสมาชิกสภาร่างรฐั ธรรมนญู ตามมาตรา 256 /๑ มาตรา 256/๖ สภารา่ งรัฐธรรมนูญมปี ระธานสภาคนหนึ่งและรองประธานสภาคนหนง่ึ หรอื สอง คนซึง่ พระมหากษตั ริย์ทรงแต่งต้งั จากสมาชกิ แหง่ สภาร่างรัฐธรรมนญู ตามมตขิ องสภารา่ งรัฐธรรมนูญและให้ ประธานสภาและเป็นผ้ลู งนามรบั รองรบั สนองพระบรมราชโองการ ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าท่ีและอานาจดาเนินกิจการของสภาร่างรัฐธรรมนูญตามหมวด นี้รองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าท่ีและอานาจตามท่ีประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญมอบหมายและปฏิบัติ หน้าทแ่ี ทนประธานสภาร่างรฐั ธรรมนญู ในกรณีทีป่ ระธานสภาร่างรฐั ธรรมนญู ไม่อยูห่ รือไม่สามารถปฏิบตั ิหนา้ ท่ีได้ กรณีประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้และไม่มีรองประธานสภา รา่ งรัฐธรรมนูญปฏบิ ัติหน้าท่ีแทนตามวรรคสองใหท้ ่ีประชุมสภาร่างรัฐธรรมนญู เลือกสมาชิกสภาร่างรฐั ธรรมนูญคน หน่งึ ทาหนา้ ที่เปน็ ประธานการประชุมในคราวน้ันเพ่ือดาเนินการประชุมต่อไปได้ มาตรา 256/๗ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น คณะหนึ่งทาหน้าท่ียกร่างรัฐธรรมนูญตามแนวทางท่ีสภาร่างรัฐธรรมนูญกาหนดเพ่ือเสนอต่ อสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยกรรมาธิการจานวนสี่สิบห้าคน ซึ่งแต่งต้ังจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจานวนสามสิบคน จาก ผู้เช่ียวชาญด้านกฎหมายมหาชนจานวนห้าคน ผู้เช่ียวชาญสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ จานวนห้าคน และจากผมู้ ปี ระสบการณ์ด้านการเมือง การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ และการรา่ งรัฐธรรมนูญห้าคน การแต่งตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้คานึงถึง สมาชกิ สภาร่างรัฐธรรมนญู ในภมู ิภาคต่างๆ มาตรา 256/๘ เงินประจาตาแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอ่ืนของประธานและรอง ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและกรรมาธิการท่ีสภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งต้ังให้เป็นไป ตามทีก่ าหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา มาตรา 256/๙ สภาร่างรัฐธรรมนูญต้องจัดทาร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในกาหนดเวลา หน่ึงร้อยยี่สิบวันนับแต่วันท่ีมีการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญคร้ังแรกซึ่งต้องจัดให้มีข้ึนไม่ช้ากว่าสามสิบวันนับแต่ วันทคี่ ณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศรับรองผลการเลอื กต้งั สมาชิกสภารา่ งรัฐธรรมนญู การท่ีสภาผู้แทนราษฎรส้ินอายุหรือมกี ารยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรไมเ่ ป็นเหตกุ ระทบกระเทือนต่อการ ปฏบิ ตั หิ น้าทีข่ องสภารา่ งรัฐธรรมนูญตามวรรคหน่ึง
5 ในการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทั่วไปและประชาชนในทุกจังหวัดอย่างทั่วถึงโดยให้สภาร่างรัฐธรรมนูญคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐท่ี เกี่ยวข้องจัดให้มีการเผยแพร่เนื้อหาสาระและความคืบหน้าในการร่างรัฐธรรมนูญผา่ นสื่อมวลชนและวธิ ีแสดงความ คิดเห็นตา่ งๆ มาตรา 256/10 การพิจารณาและจัดทาร่างรัฐธรรมนูญ การประชุมการลงมติการแต่งตั้ง กรรมาธิการและการดาเนินการของกรรมาธิการ การรักษาระเบียบและความเรียบร้อยและกิจการอื่นเพ่ือ ดาเนนิ การตามหมวดน้ี ใหน้ าข้อบงั คบั การประชุมรัฐสภามาบ้ามาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้นาบทบัญญัติมาตรา 120 มาตรา 124 และมาตรา 125 มาใช้บังคับกับการประชุมสภาร่าง รฐั ธรรมนญู และการประชุมของคณะกรรมาธกิ ารยกร่างรัฐธรรมนูญโดยอนโุ ลม มาตรา 256/11 เม่ือสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้นาเสนอต่อประธาน รัฐสภาและเมื่อประธานรัฐสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วให้ส่งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวไปยังคณะกรรมการการ เลือกต้ังภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่รัฐสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญนั้นจากสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้คณะกรรมการการ เลอื กต้งั ดาเนินการจัดใหม้ ีการออกเสียงประชามตขิ องประชาชนว่าจะเห็นชอบกับร่างรฐั ธรรมนูญหรือไม่ ในกรณีไม่มีผู้ดารงตาแหน่งประธานรัฐสภาให้ประธานสภารา่ งรัฐธรรมนญู ส่งรา่ งรัฐธรรมนูญไปยัง คณะกรรมการการเลือกตัง้ เพื่อดาเนินการตามวรรคหนง่ึ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกาหนดวันออกเสียงประชามติซ่ึงตอ้ งไม่เกนิ หกสิบวันแต่ไม่ น้อยกว่าส่ีสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญจากรัฐสภาหรือจากสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้วแต่กรณี วันออก เสียงประชามติให้ กาห นดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณ าจักรตั้งแต่เวลา แปดนาฬิ กาจนถึงเวลาสิบเจ็ ดนาฬิ กา หลักเกณฑแ์ ละวิธีการออกเสียงประชามติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าดว้ ยการนั้นเทา่ ที่ไมข่ ัดหรอื แยง้ ต่อรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้องจัดให้มีการเผยแพร่ เน้ือหาของร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนรับทราบเป็นการทั่วไป ผ่านส่ือมวลชน เวทีแสดงความคิดเห็นและสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท โดยให้ผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญได้แสดงความคิดเห็นโดยเสรี ภายใต้กรอบของกฎหมาย เมื่อการออกเสียงประชามติเสร็จส้ินแล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการออกเสียง ประชามติให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันออกเสียงประชามติ หากคะแนนการออกเสียงประชามติเห็นชอบ กับรา่ งรฐั ธรรมนูญใหด้ าเนนิ การตามมาตรา 256/12 ต่อไป แต่หากคะแนนการออกเสียงประชามตไิ ม่เห็นชอบกับ ร่างรัฐธรรมนูญให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป และให้แจ้งผลการออกเสียงประชามติให้ประธานรัฐสภาหรือ ประธานสภาร่างรฐั ธรรมนญู แล้วแต่กรณที ราบโดยเรว็ มาตรา 256/12 เมื่อผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญให้ประธาน รัฐสภาหรือประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้วแต่กรณีนาร่างรัฐธรรมนูญข้ึนทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย แล้วให้นา บทบัญญัติมาตรา 81 วรรคสองและมาตรา 145 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
6 มาตรา 256/13 สภารา่ งรฐั ธรรมนูญสิ้นสดุ ลงในกรณีดงั ต่อไปน้ี (๑) สภาร่างรัฐธรรมนูญมีจานวนสมาชกิ เหลอื อยู่ไม่ถึงกง่ึ หน่ึง (๒) สภารา่ งรัฐธรรมนญู จัดทารา่ งรัฐธรรมนญู ไมแ่ ล้วเสร็จภายในกาหนดระยะเวลาตามมาตรา 256 /๙ วรรคหนงึ่ (๓) เมอื่ ร่างรัฐธรรมนูญตกไปตามมาตรา 256/๙ วรรคหา้ หรือมาตรา 256/11 วรรคส่ี (๔) เมือ่ รา่ งรฐั ธรรมนูญได้ประกาศใชบ้ งั คบั เป็นรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว มาตรา 256/14 ถ้าร่างรัฐธรรมนูญท่ีจัดทาขึ้นตามหมวดน้ีตกไป คณะรัฐมนตรี หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกว่าหนึง่ ในสาม ของจานวนสมาชกิ ทั้งหมดเท่าท่ีมอี ยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวฒุ ิสภามีจานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในสามของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่ มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธ์ิเสนอญัตติต่อรัฐสภาเพ่ือให้รัฐสภามีมติให้มีการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตาม หมวดนี้อีกได้การออกเสียงลงคะแนนให้ความเห็นชอบของรัฐสภาต้องได้เสียงมากกว่าคร่ึงหนึ่งของสมาชิกท้ังหมด เท่าท่ีมีอยู่ของท้ังสองสภา ท้ังน้ีบุคคลผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญอีก ไม่ได้ เม่ือรัฐสภามีมติอย่างหนง่ึ อย่างใดตามวรรคหนึ่งแล้ว จะมีการเสนอญัตติตามวรรคหนึ่งอีกมิได้เว้น แตจ่ ะมกี ารเลอื กตง้ั ท่วั ไปคร้งั ใหมแ่ ลว้ มาตรา ๕ ในวาระเริ่มแรกให้ตราพระราชกฤษฎีกากาหนดให้มีการรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภารา่ งรัฐธรรมนญู ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีรฐั ธรรมนูญนใ้ี ชบ้ งั คับ ผูร้ ับสนองพระบรมราชโองการ ....................................... ประธานรัฐสภา
คณะผจู้ ัดทำรำยงำน นายไพบลู ย์ นติ ิตะวนั ประธานคณะอนกุ รรมาธิการ นายนิกร จานง เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธกิ าร นางสาวชมพนู ุท ตง้ั ถาวร ท่ีปรึกษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร นายรัฐภูมิ คาศรี นติ กิ รชานาญการพเิ ศษ นายเฉลิมศกั ดิ์ ใจชานิ วทิ ยากรชานาญการพิเศษ นางสาวตรีทิพยนภิ า ธานี เจ้าพนกั งานธรุ การชานาญงาน (จัดทารปู เล่มและออกแบบปก) ฝำ่ ยเลขำนุกำรคณะอนกุ รรมำธิกำร นางสาวจนิ ดารักษ์ แสงกาญจนวนิช ผู้บังคับบัญชากลมุ่ งานบริการเอกสารอา้ งองิ นายรฐั ภมู ิ คาศรี นิติกรชานาญการพเิ ศษ นางสาวอจั ฉรา สวนสมทุ ร วทิ ยากรชานาญการพเิ ศษ นางสาวศกิมินาภรณ์ สุวรรณรงค์ นิตกิ รชานาญการพเิ ศษ นายเฉลิมศักด์ิ ใจชานิ วทิ ยากรชานาญการ นายภานุวัฒน์ เถยี รชนา วทิ ยากรชานาญการ นายเผา่ พันธุ์ นวลสง่ นิตกิ รชานาญการ นายสกนธ์ พรหมบุญตา นติ ิกรชานาญการ นายสรุ พงศ์ อุทัต นิตกิ รชานาญการ นายนฤพนธ์ ธลุ ีจนั ทร์ นิติกรปฏบิ ัตกิ าร นางสาวอรรถยา เมฆตะวันฉาย เจ้าพนักงานธุรการชานาญงาน นางสาวเออื้ มพร ขอสุข เจา้ พนักงานธุรการชานาญงาน นางสาวนราภรณ์ ใจอินทร์ เจา้ พนกั งานธรุ การชานาญงาน นางสาวตรที ิพยนิภา ธานี เจ้าพนกั งานธุรการชานาญงาน
สารบญั ๑. องค์ประกอบของคณะอนุกรรมาธิการ หน้า ๑.๑ ตำแหน่งต่ำง ๆ ในคณะอนกุ รรมำธิกำร ๑.๒ ทีป่ รึกษำคณะอนกุ รรมำธิกำร ๑ ๑ ๒. การดาเนนิ งานของคณะอนกุ รรมาธกิ าร ๒.๑ ช่องทำงและวธิ ีกำรดำเนินกำรศึกษำ ๒ ๒.๒ เง่อื นไขและข้อจำกัดในกำรศกึ ษำ ๕ ๕ ๓. กรอบการพจิ ารณาศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการ ๕ ๔. ผลการพจิ ารณาศกึ ษาของคณะอนุกรรมาธิการ ๔.๑ แนวนโยบายและหน้าทข่ี องรฐั ต่อการดารงชวี ิต เศรษฐกจิ และทรพั ยากรธรรมชาติ ๕ และสิง่ แวดลอ้ ม ๗ ๔.๑.๑ ควำมคำดหวงั ๙ ๔.๑.๒ สภำพปัญหำทเ่ี กดิ ข้นึ ๑๐ ๔.๑.๓ ข้อเสนอแนะในเชิงหลักกำร ๑๓ ๔.๑.๔ ข้อเสนอท่ีมีตอ่ บทบญั ญัตทิ เ่ี ก่ียวข้อง ๑๓ ๔.๒ สทิ ธแิ ละเสรีภาพของประชาชน ๑๔ ๔.๒.๑ ควำมคำดหวัง ๑๕ ๔.๒.๒ สภำพปญั หำทเ่ี กดิ ขึ้น ๑๖ ๔.๒.๓ ข้อเสนอแนะในเชิงหลกั กำร ๑๘ ๔.๒.๔ ข้อเสนอที่มีตอ่ บทบัญญัตทิ ่ีเก่ียวข้อง ๑๘ ๔.๓ ระบบการเมอื งและสถาบันการเมือง ๑๘ ๔.๓.๑ ควำมคำดหวัง ๒๑ ๔.๓.๒ สภำพปัญหำที่เกดิ ขึ้น ๒๒ ๔.๓.๓ ขอ้ เสนอแนะในเชงิ หลกั กำร ๒๔ ๔.๓.๔ ข้อเสนอท่ีมีต่อบทบัญญตั ิที่เกี่ยวข้อง ๒๔ ๔.๔ ระบบการตรวจสอบ ๒๔ ๔.๔.๑ ควำมคำดหวงั ๒๖ ๔.๔.๒ สภำพปัญหำท่เี กิดขึ้น ๒๘ ๔.๔.๓ ข้อเสนอแนะในเชงิ หลกั กำร ๔.๔.๔ ข้อเสนอที่มตี ่อบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ๒๙ ๔.๕ ความเห็นต่อรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๓๐ ๔.๖ ความคดิ เห็นตอ่ แนวทางในการแก้ไขรฐั ธรรมนญู
รายงานของคณะอนกุ รรมาธิการ ประชาสมั พนั ธแ์ ละรับฟังความคดิ เหน็ ของประชาชน ในคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญพจิ ารณาศกึ ษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเตมิ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ----------------------------- ตามท่ีทป่ี ระชุมคณะกรรมาธิการวสิ ามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๒ เม่ือวันศุกร์ท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ ได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยมีหน้าที่และอานาจ ประชาสัมพันธ์และรับฟงั ความคิดเห็นของประชาชนเก่ียวกับปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแกไ้ ขเพิ่มเติม รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ นน้ั บดั น้ี คณะอนุกรรมาธิการไดด้ าเนินการแลว้ ปรากฏผลดงั นี้ ๑. องค์ประกอบของคณะอนุกรรมาธิการ ๑.๑ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ในคณะอนกุ รรมาธกิ าร (๑) นายวฒั นา เมืองสุข เปน็ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (๒) นายวิเชยี ร ชวลิต เปน็ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ (๓) ศาสตราจารยว์ ฒุ สิ าร ตนั ไชย เปน็ รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร (๔) นายรังสมิ ันต์ โรม เป็นโฆษกคณะอนกุ รรมาธกิ าร (๕) นางสาวธณกิ านต์ พรพงษาโรจน์ เป็นโฆษกคณะอนุกรรมาธิการ (๖) นายสทุ นิ คลงั แสง เป็นอนุกรรมาธิการ (๗) นายนพิ ิฏฐ์ อินทรสมบตั ิ เป็นอนกุ รรมาธกิ าร (๘) นายโกวิทย์ ธารณา เป็นอนกุ รรมาธิการ (๙) นายเอกพันธ์ุ ปิณฑวณิช เปน็ อนกุ รรมาธิการ (๑๐) ผู้ช่วยศาสตราจารย์วลัยพร รตั นเศรษฐ เปน็ เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ ๑.๒ ทปี่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร (๑) นายวรรณรตั น์ ชาญนกุ ลุ (๒) นายชัยธวชั ตุลาธน (๓) พันตารวจเอก ทวี สอดส่อง (๔) นายยงยุทธ ตยิ ะไพรัช (๕) นายดารงค์ พิเดช (๖) นายพงศกร อรรณนพพร (๗) ผูช้ ว่ ยศาสตราจารยอ์ นสุ รณ์ ธรรมใจ (๘) ผู้ชว่ ยศาสตราจารยพ์ รสนั ต์ เลยี้ งบญุ เลศิ ชัย (๙) ศาสตราจารย์นิเวศน์ นนั ทจติ (๑๐) นายสุทศั น์ เงินหม่นื
๒ (๑๑) นายภมู ภัสส์ พงษจ์ ิรนิธภิ ร (๑๒) นายสัญญา สถิรบุตร (๑๓) ร้อยตารวจโท อาทติ ย์ บญุ ญะโสภตั (๑๔) นายนาลาภ เบ้าสุวรรณ (๑๕) นายพจน์ เจรญิ สันเทยี ะ (๑๖) นายณริช ผลานรุ กั ษา (๑๗) นายสังข์ ทรัพยพ์ ันแสง (๑๘) นายดสิ ทตั คาประกอบ (๑๙) นายธนชาติ แสงประดับ (๒๐) นางสาวชุตมิ า กุมาร (๒๑) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล (๒๒) รองศาสตราจารยช์ ลวิทย์ เจยี รจติ ต์ (๒๓) พนั เอก (พเิ ศษ) เจียรนยั วงศ์สะอาด (๒๔) วา่ ทร่ี ้อยตรี ถวัลย์ รุยาพร (๒๕) นายยงิ่ ชีพ อชั ฌานนท์ (๒๖) นายลา่ สัน เลิศกูลประหยัด (๒๗) นายณฐั รจุ วงศท์ างสวัสด์ิ (๒๘) นายคมสณั ห์ ฐานะโชตพิ นั ธุ์ (๒๙) นายวรภพ วริ ยิ ะโรจน์ (๓๐) นายโคทม อารียา (๓๑) นายพรษิ ฐ์ ชีวารกั ษ์ (32) นางสาววทนั ยา วงษโ์ อภาสี (33) ร้อยโทหญิง สณุ ิสา ทวิ ากรดารง ๒. การดาเนินการของคณะอนุกรรมาธิการ 2.1 ชอ่ งทางและวิธีการดาเนินการศกึ ษา คณะอนุกรรมาธิการได้กาหนดให้การรับฟังมีลักษณะท่ีเปิดกว้าง เพื่อให้ประชาชนได้แสดง ความคิดเห็นให้มากที่สุด โดยมีองค์ประกอบที่เป็นเนื้อหาสาระเฉพาะและกรอบท่ีเป็นการรับฟังความคิดเห็น แบบทั่วไป โดยมีกรอบแนวคิดในการศึกษา กล่าวคือ ให้ประชาชนเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะผ่าน ชอ่ งทางตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ๑) ตู้ ปณ. ๙ ปณ.รัฐสภา ๑๐๓๐๕ มคี วามเหน็ จานวน ๑ ความเห็น ๒) การแสดงความคิดเห็นบนหน้าเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการ URL:constitution๖๐. parliament.go.th มีความเห็นจานวน 15 ความเห็น ๓) Facebook:ศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ แนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๖๐ https://www. facebook.com/constitution60 มคี วามเห็นจานวน 3 ความเหน็ ๔) LINE@:constitution๖๐ มีความเหน็ จานวน ๔ ความเหน็
๓ ๕) E-mail: constitution๖๐@ parliament.go.th มคี วามเหน็ จานวน 3 ความเหน็ ๖) การยื่นข้อเสนอโดยตรงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ ณ บริเวณชั้น ๑ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสติ กรุงเทพมหานคร มีความเห็นจานวน 3 ความเหน็ ๗) การจดั ทาแบบสอบถามทง้ั ในรปู แบบแบบสอบถามทั่วไปและแบบสอบถามเฉพาะ ๗.๑) กรณีแบบสอบถามท่ัวไป มีผู้ตอบแบบสอบถาม ๔๘๓ ฉบับ ๗.๒) กรณีแบบสอบถามเฉพาะ มีการจัดส่งแบบสอบถามไปยังหน่วยงานของรฐั และเอกชน จานวน ๑,๒๑๔ ฉบับ และมกี ารตอบกลับมา จานวน ๑๒๒ ฉบบั ๘) การจัดสัมมนาของคณะกรรมาธิการในรูปแบบท่ีเป็นการเฉพาะกลุ่มเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก ในลักษณะการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) โดยในส่วนของการจัดให้มีการสนทนากลุ่ม เป็นการ รับฟังความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เช่ียวชาญในประเด็นทเี่ กี่ยวขอ้ งทง้ั ในระดับนโยบายและระดับปฏบิ ัตกิ าร ท่ีสังกัดภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม มูลนิธิ องค์กรเพื่อสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เพ่ือให้เห็นถึงประเด็นความคาดหวัง สภาพปัญหา และข้อเสนอแนะ เพื่อการปรับปรุงแก้ไข และกลมุ่ ลกั ษณะทเี่ ปิดกว้าง รวมทงั้ การจดั สัมมนาจากองคก์ รอน่ื โดยการแสดงเจตจานง ให้คณะอนุกรรมาธกิ ารเดินทางไปรบั ฟังความคิดเห็นของประชาชน ซ่ึงคณะอนุกรรมาธิการได้เก็บรวบรวมข้อมูล โดยเชิญผู้แทนของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของภาคเอกชน และบุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับ ประเด็นนั้น ๆ เข้าร่วมสนทนากับคณะอนุกรรมาธิการ โดยมีผู้ดาเนินการสนทนา (Moderator) ท่ีเป็น อนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ และผู้แทนของสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการ ได้มีการรับฟังความคดิ เห็น ดังนี้ ๘.๑) การสนทนากลมุ่ (Focus Group Discussion) จานวน ๑๗ กลุ่ม ไดแ้ ก่ (๑) วนั จันทรท์ ี่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๓ ไดแ้ ก่ กลุ่มผพู้ ิการ จานวน 34 คน (๒) วันอังคารที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มประชาสังคม และกลุ่มสตรี จานวน 51 คน (๓) วนั พุธท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มแรงงาน จานวน 34 คน (๔) วันศุกร์ท่ี ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มนิสิต นักศึกษา และเยาวชน จานวน ๗๖ คน (๕) วนั จันทร์ที่ ๑๖ มนี าคม ๒๕๖๓ ไดแ้ ก่ กลุ่มการกระจายอานาจและการปกครอง ทอ้ งถนิ่ และกล่มุ กระบวนการยตุ ธิ รรม จานวน 7๓ คน (๖) วันอังคารท่ี ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ ม จานวน 31 คน (๗) วันอังคารที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน และกลุ่มการพัฒนาเศรษฐกจิ จานวน 50 คน (๘) วันพุธท่ี ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มระบบเลือกต้ังและพรรคการเมือง จานวน 43 คน (๙) วันอังคารที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มตัวแทนพรรคการเมือง และ กลุม่ นโยบายแหง่ รฐั /การจดั บรกิ ารของรัฐ จานวน 63 คน
๔ (๑๐) วันอังคารที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มองค์กรตามรฐั ธรรมนญู /องค์กร อสิ ระ และกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ จานวน 42 คน (๑๑) วันพุธที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ กลุ่มปฏิรูปกฎมายและปฏิรูประบบ ราชการ จานวน 27 คน (๑๒) วันอังคารที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ไดแ้ ก่ กลุม่ สิทธิ/สิทธชิ ุมชน จานวน 30 คน ๘.๒) การจัดสัมมนาในกลุ่มลักษณะที่เปิดกว้าง ในเวทีภูมิภาค ๕ แห่ง ซ่ึงจัดให้มีการรับฟัง ความคิดเห็นใน 2 ช่องทาง ได้แก่ การแสดงความคิดเห็นผ่านการถา่ ยทอดสดออนไลนผ์ ่าน Facebook Live บนเพจ “ศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ แนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๖๐” และการรับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งจัดในแตล่ ะภมู ิภาค จานวนประมาณ ๑,๐๐๐ คน ไดแ้ ก่ (๑) วันเสารท์ ี่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ หอ้ งประชมุ ทองกวาว สานกั บริการวชิ าการ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ จังหวดั เชยี งใหม่ จานวนประมาณ ๒๐๐ คน (๒) วันเสารท์ ี่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมพรี สทิ ธ์ิ คานวณศิลป์ วิทยาลัย การปกครองท้องถนิ่ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น จังหวัดขอนแกน่ จานวนประมาณ ๒๐๐ คน (๓) วันเสาร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุม KA ๕๐๐ อาคาร เฉลมิ พระเกยี รตฉิ ลองสิริราชสมบัตคิ รบ ๖๐ ปี มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวดั ชลบรุ ี จานวนประมาณ ๒๐๐ คน (๔) วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมอาคาร ๑๐๐ ปี มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนครศรีอยุธยา จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา จานวนประมาณ ๒๐๐ คน (๕) วันเสาร์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคารศูนย์รวมกิจการ นักศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สงขลา อาเภอเมือง จงั หวัดสงขลา จานวนประมาณ ๒๐๐ คน ๘.๓) การจัดสัมมนาโดยองค์กรอื่นและเชิญคณะอนุกรรมาธิการเข้าร่วมรับฟัง ความคดิ เห็น จานวน ๔ แหง่ ผเู้ ข้าร่วมสัมมนา จานวนประมาณ ๕๐๐ คน ไดแ้ ก่ (๑) วันอาทิตย์ท่ี ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จัดโดยภาคีเพ่ือรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ร่วมกับสถาบันสร้างอนาคตไทย คณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย (ครป.) และ ๓๐ องค์กรประชาธิปไตย ณ หอ้ งราณี โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดาเนนิ กรุงเทพมหานคร จานวนประมาณ ๘๐ คน (๒) วันเสาร์ท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๖๓ เวทีถกแถลงแจงรัฐธรรมนูญ จัดโดย สถาบันสิทธิ มนษุ ยชนและสันตศิ ึกษา มหาวิทยาลัยมหดิ ล ณ ห้องประชมุ กาสะลอง ช้ัน ๘ อาคารมหาวชิราลงกรณ์ (ตึก ม.) วิทยาลัยการจัดการและพัฒนาท้องถ่ิน มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก จานวนประมาณ ๑๐๐ คน (๓) วันเสารท์ ี่ ๑๔ มนี าคม ๒๕๖๓ เวทีถกแถลงแจงรฐั ธรรมนญู จดั โดย สถาบันสิทธิ มนุษยชนและสนั ติศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหิดล ณ ห้องประชุม ๑ อาคาร ๕ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ จานวนประมาณ ๒๐ คน (๔) วันอาทิตย์ท่ี ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๓ เวทีถกแถลงแจงรัฐธรรมนูญ จัดโดย สถาบัน สิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์บุญชนะ อัตถากร วิทยาลัย การเมืองการปกครอง มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม จานวนประมาณ ๓๐๐ คน
๕ 2.2 เง่ือนไขและข้อจากดั ในการศกึ ษา เ น่ื อง จ า ก ใ น ช่ ว ง ร ะย ะ เ ว ล า ด า เ นิ น กา ร ศึ กษ า ข อ ง ค ณ ะอนุ กร ร ม า ธิ กา ร เ พ่ื อ กา ร รั บ ฟั ง ความคิดเห็นของประชาชนเป็นช่วงท่ีอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ดงั นน้ั ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนจึงต้องมกี ารปรับเปลีย่ นช่องทาง กระบวนการ รูปแบบ รวมท้ังการกาหนดจานวนผู้เข้าร่วม และระยะเวลาในการแสดงความคิดเห็นในแต่ละคร้ัง นอกจากน้ี ยงั มีขอ้ จากัดในเรอ่ื งชอ่ งทางการประชาสมั พันธเ์ ผยแพร่ทอี่ าจยังไม่ทัว่ ถงึ ๓. กรอบการพจิ ารณาศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการกาหนดกรอบการประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เก่ียวกับปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ดงั ต่อไปน้ี ๓.๑ แนวนโยบายและหน้าท่ีของรัฐต่อการดารงชีวิต เศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดลอ้ ม ๓.๒ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน (การกาหนดสิทธิของประชาชนและชุมชนในด้านต่าง ๆ รวมท้ังการกาหนดเร่ืองสทิ ธเิ สรภี าพขององค์กร ภาคส่วนอ่ืน ๆ) ๓.๓ ระบบการเมอื งและสถาบนั การเมอื ง (ระบบเลือกตง้ั พรรคการเมอื ง การปกครองทอ้ งถ่ิน บทบาทและความสัมพันธ์ระหวา่ งฝ่ายนิติบญั ญตั ิ ฝา่ ยบรหิ าร ศาล และองค์กรตามรฐั ธรรมนูญ) ๓.๔ ระบบการตรวจสอบ (การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ องค์กรอิสระ การตรวจสอบท่ีมา และการใช้อานาจของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง องค์กรตุลาการ องค์กรอิสระ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ของรฐั และการมสี ่วนร่วมของประชาชน) ๓.๕ ความเห็นตอ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ๔. ผลการพิจารณาศกึ ษาของคณะอนกุ รรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการได้ดาเนินการประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ปรากฏผล ดงั นี้ ๔.๑ แนวนโยบายและหน้าท่ีของรัฐต่อการดารงชีวิต เศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หนว่ ยงานในช่องทางต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว ข้างต้น สามารถสรปุ ความคาดหวัง สภาพปัญหา และขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ไดด้ ังนี้ ๔.๑.๑ ความคาดหวังที่มีต่อแนวนโยบายและหน้าท่ีของรัฐต่อการดารงชีวิต เศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม จากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ พบว่าโดยส่วนใหญ่ คาดหวังและมีความต้องการให้ประชาชนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตดี มีความมั่งคงด้านอาชีพและรายได้ มีการกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนอย่างเสมอภาค มีระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ ให้ยั่งยืน ระบบเศรษฐกิจของประเทศเติบโตไปในทิศทางที่ม่ังคง ย่ังยืน และไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อ
๖ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมของประเทศในระยะยาว ประชาชนในประเทศอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ปราศจากความขัดแย้ง ได้รับการคุ้มครองจากรัฐอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมเก่ียวกับความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน สามารถดารงชีวิตโดยอาชีพสุจริตทุกสาขาวิชาชีพได้อย่างมีเกียรติ มีศักด์ิศรี และมีความสุข มีทรัพยากรธรรมชาติท่ีส่งเสริมสุขภาวะข้ันพื้นฐานของชีวิต เช่น อากาศบริสุทธ์ิ ระบบสาธารณสุขที่ดี การมีแหล่งน้าสะอาด อาหารปลอดสารพิษ และมีความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน มนุษย์กับธรรมชาติ และส่งิ แวดลอ้ ม เปน็ ต้น โดยรัฐควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและ สนับสนุนให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาและพัฒนาฝีมือตามความถนัดของตนเอง เพ่ือให้เกิดศักยภาพสูงสุดต่อ ภาคการผลิตและบริการ ให้สามารถปรับตัวไปสู่การผลิตสินค้าและบริการท่ีมีประสิทธิภาพและมูลค่าสูงขึ้น เพอ่ื เพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อยกระดบั การดารงชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ รัฐควรมีหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุน ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกช่วงวัย เด็ก สตรี บุรุษ คนพิการ คนชรา คนไรท้ ่ีพึง่ ผดู้ ้อยโอกาส คนชายชอบ กลุ่มเปราะบาง รวมทั้งกลุ่มที่ มีความหลากหลายทางเพศได้รับโอกาสและมีโอกาสในการเข้าถึงนโยบายและการบริการของรัฐ เพ่ือส่งเสริม และสนับสนุนให้การดาเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและอยู่ในสังคมอย่างเท่าเที ยมกัน และควรส่งเสริม กากับดูแลด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ การบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดลอ้ ม ความสมดุลของมนุษยแ์ ละธรรมชาติภายในสงั คมใหเ้ ป็นไปด้วยความชอบธรรม เกิดประโยชน์สูงสุด กับประชาชนทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยกเช้ือชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือแนวคิด อ่ืน ๆ เพอ่ื ไมใ่ ห้เกดิ ความเหลือ่ มลา้ ทางสงั คม ในด้านการดารงชีวิต รัฐควรดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน คุ้มครองแรงงานให้ได้รับความ ปลอดภัย มีสุขภาพอนามัยท่ีดีในการทางานอย่างย่ังยืน รวมถึงมีรายได้ สวัสดิการท่ีเหมาะสมแก่การดารงชีพ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง นอกจากน้ี ภาครัฐมีหน้าที่ต้องดาเนินการให้ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิ และเสรีภาพในการดารงชีวิตอย่างเป็นรูปธรรมและเท่าเทียม โดยท่ีประชาชนไม่ต้องเรียกร้องหรือร้องขอ ทั้งในเรื่องการศึกษาภาคบังคับ การบริการสาธารณสุข การบริการสาธารณูปโภคข้ันพื้นฐาน ด้านศิลปะ วฒั นธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ การใช้ประโยชน์ในคลนื่ ความถ่ีของชาติ การป้องกัน และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นต้น แนวนโยบายของรัฐด้านเศรษฐกิจน้ัน รัฐควรจัดให้มีกลไก ท่ีมีประสิทธิภาพในการปรับโครงสร้างและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้าด้านรายได้ และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน สาหรับด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรให้ภาคประชาชนและชุมชนในท้องถ่ินเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครอง บารุงรักษา ฟื้นฟู บริหาร จัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ มให้เกิดประโยชน์อย่างสมดลุ และยัง่ ยืนมากขนึ้ การดาเนินการใด ๆ ของรฐั จะต้องดาเนินการบนฐานของสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค ความเป็นธรรม เท่าเทียม สร้างโอกาสในการเข้าถึงการบริการของรัฐให้แก่คนด้อยโอกาส และกลุ่มเปราะบาง ต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มท่ีมีความหลากหลายทางเพศ เน้นการสร้างความสมดุล การบูรณาการและดาเนินการ ให้เป็นไปตามกรอบการพัฒนาอย่างย่ังยืน ให้ความสาคัญกับ “หลักนิติธรรม” โดยรัฐต้องเปิดโอกาส แก่ทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้องได้มีส่วนร่วมในการดาเนินการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในส่วนของการบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการดาเนินงานด้านต่างๆ โดยรัฐต้องไม่ลิดรอนสิทธิของประชาชน
๗ ในด้านต่าง ๆ เช่น สวัสดิการ เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และรัฐจะต้องมีระบบ การบรหิ ารงานที่มีคุณธรรม เพือ่ ป้องกันไม่ให้พรรคการเมือง นกั การเมืองและผู้มีอานาจทางการเมืองแทรกแซง เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในนโยบายของรัฐท่ีมีผลต่อการดารงชีวิต ของประชาชนในระดับพ้นื ฐานต้ังแต่ระดบั ชมุ ชนจนถงึ ระดับครัวเรือน ท้ังน้ี “แนวนโยบายและหน้าที่ของรัฐ” ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และภาวะความเปล่ียนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ วางนโยบายเพ่ือรองรับการเป็นสังคมเทคโนโลยี และสังคมผู้สูงอายุ เปน็ ตน้ ๔.๑.๒ สภาพปญั หาทเี่ กิดข้ึน ๑) ขาดการบังคับใช้กฎหมายลาดับรองเพ่ือให้เกิดผลในทางปฏิบัติ แนวนโยบาย แห่งรัฐและหน้าท่ีของรัฐได้ถูกวางหลักการไว้อย่างเหมาะสม แต่การจะนาไปปฏิบัติเพื่อให้บังเกิดผลน้ัน ต้องมีกฎหมายลาดับรอง เพื่อให้เกิดการกาหนดแนวทาง ขั้นตอน และวิธีการในแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น มาตรา 51 วรรคหน่ึง “การใดที่รัฐธรรมนูญให้เป็นหน้าท่ีของรัฐตามหมวดนี้ ถ้าการนั้นเป็นการทาเพื่อให้ เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง ย่อมเป็นสิทธิของประชาชนและชุมชนท่ีจะติดตามและเร่งรัด ให้รัฐดาเนินการ รวมทั้งฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐท่เี ก่ียวข้อง เพื่อจัดให้ประชาชนหรือชุมชนได้รบั ประโยชน์น้ัน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ” มาตรา 57 (2) ท่ีบัญญัติว่า รัฐต้อง “อนุรักษ์ คุ้มครอง บารุงรักษา ฟื้นฟู บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์และย่ังยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่น ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งมีส่วนร่วมดาเนินการและได้รบั ประโยชน์อย่างสมดุลจากการดาเนนิ การดังกลา่ วด้วยตามที่กฎหมาย บัญญัติ” มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง “สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตรย่อมได้รับความ คุ้มครองและช่วยเหลือตามที่กฎหมายบัญญัติ” ดังตัวอย่างบทบัญญัติข้างต้นจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญ บัญญัติให้มีการกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ตลอดจนข้ันตอนการดาเนินการในกฎหมายลาดับรอง ดังนั้น หากส่วนราชการซ่ึงเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายลาดับรองขาดความเข้าใจในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้ว ย่อมไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ในอันท่ีจะนาแนวนโยบายแห่งรัฐและหน้าที่ของรัฐไปเกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ อย่างแท้จรงิ ๒) ความไม่สอดคล้องในทิศทางการกาหนดแนวนโยบายในแต่ละด้าน ควรกาหนด กรอบหรือแนวทางที่เป็นนโยบายหลักของประเทศ เพ่ือให้เกิดความม่ันคงแห่งรัฐและตอบสนองต่อความต้องการ ของประชาชนเป็นสาคัญ และควรจะพิจารณาทิศทางการพัฒนาในแต่ละด้านท้ังด้านการดารงชีวิต สังคม เศรษฐกิจ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะปัจจุบัน แนวนโยบายและหน้าท่ีของรัฐบางภารกิจยังไม่มีความสอดคล้องกัน และไม่มีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ ทางดา้ นสังคม เศรษฐกจิ และวัฒนธรรมในปจั จุบนั เน่อื งจากการดาเนนิ การตามภารกิจของหนว่ ยงานรฐั ในการ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติท่ีมากข้ึน หรือการทาให้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่เสื่อมโทรม และทิศทางและ แนวนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจไม่สอดคล้องกับการปฏิรูปประเทศที่มุ่งเน้นให้ประเทศมีศักยภาพ ด้านการแข่งขัน และไม่เชื่อมโยงกับการดารงชีวิตและสภาพการณ์ในปัจจุบัน ประการสาคัญการกาหนด นโยบายของรัฐในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจยังมีความผูกขาด ทาให้มีความเหลื่อมล้าทางรายได้ของประชาชน ในประเทศมากยง่ิ ขนึ้
๘ ๓) การขาดความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติและการกากับดูแล แนวนโยบาย และหน้าท่ีของรัฐต่อการดารงชีวิต เศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมมีความครอบคลุม ในประเด็นที่กว้าง แต่ขาดความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม อาทิ ทิศทางและแนวทาง การดาเนินงานของรัฐในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการดาเนินงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนา เศรษฐกิจ ด้านท่ีดินทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม สิทธิของสัตว์ในการรับความคุ้มครอง ควบคุม ป้องกันการทารณุ กรรมและการค้าสัตว์อยา่ งผิดกฎหมาย และการทาหน้าท่ีของรัฐบางประการขาดการส่งเสริม การกากับดแู ลทเี่ ป็นรูปธรรมชดั เจนนามาสูป่ ัญหาความเหลื่อมล้าภายในสังคม ซงึ่ เกิดจากระบบเศรษฐกจิ ระบบ การเมืองหรือแนวนโยบายของรัฐท่ีเกิดช่องว่างบางประการ ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างด้านกฎหมายหรือช่องว่าง ด้านนโยบายที่อาจนาไปสู่การเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือเป็นการเอารัดเอาเปรียบ เชิงระบบท่ีทาให้เกิดการผูกขาดทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ส่งผลต่อประชาชนทาให้ไม่สามารถ เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง และเท่าเทยี ม ๔) ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการกาหนดแนวนโยบายด้านต่าง ๆ รวมทั้งการริเร่ิมให้มีการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน องค์กรต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับแต่ละประเด็น หรือเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ประชาสังคม และประชาชน ผู้ซ่ึงได้รับผลกระทบ จึงทาให้การดาเนินการต่าง ๆ ของรัฐได้แสดงความคิดเห็นต่อการดาเนินการของรัฐ เพ่ือร่วมกันออกแบบ แนวนโยบายทพ่ี งึ ประสงค์โดยการมสี ว่ นรว่ มของทกุ ภาคสว่ น ๕) การแทรกแซงและตีความที่แตกตา่ ง ในการดาเนนิ การต่าง ๆ เพ่อื นานโยบาย ไปสู่การปฏิบัติไม่ควรมีการตีความท่ีแตกต่างในการดาเนินการตามแนวนโยบายแห่งรัฐ และทุกรัฐบาล ควรยึดถือเป็นแนวทางท่ีต้องปฏิบัติตามและทาให้เกิดข้ึนจริง รวมท้ังจะกาหนดนโยบายหรือการปฏิบัติ ทข่ี ัดหรอื แย้งกบั แนวนโยบายและหน้าทีข่ องรัฐตามท่รี ฐั ธรรมนญู กาหนดไว้ไม่ได้ ๖) แนวนโยบายแห่งรัฐไม่ครอบคลุมกลุ่มผู้พิการ กลุ่มเปราะบาง และกลุ่ม ผมู้ ีความหลากหลายทางเพศ ปัจจุบันกลุ่มประชากรท่ีมีความหลากหลายทางเพศบางส่วนยงั คงถูกเลอื กปฏบิ ัติ และบังคับไม่ให้แสดงออกตามเพศสภาพของตนเอง เช่น ในกรณีของการดาเนินชีวิตในสถานศึกษา และการถูกดูหม่ินศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบคุ คลนน้ั ยังคงมีอยู่ รวมท้ังการถูกสังคมมองว่าเป็นกลมุ่ ท่ีผิดปกติ ผิดแปลกจากบุคคลอื่นดังกล่าวจึงนามาสู่การตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเนื่องด้วยมาจากสาเหตุแห่งเพศ รวมทั้งในการกาหนดแนวปฏิบัติ หรือการดาเนินการของรัฐ มักจะไม่ได้คานึงถึงความสามารถในการเข้าถึง ขอ้ มูลข่าวสาร และการบริการของรัฐของกลมุ่ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มเปราะบาง ๗) ความสามารถในการจัดบริการสาธารณะของรัฐ โครงสร้างของระบบ ราชการมีความซับซ้อน มีขนาดใหญ่ และมีลักษณะรวมศูนย์ รวมทั้งประสิทธิภาพในการบริการของรัฐ ในบางเรื่องยังไม่มีคุณภาพและประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เทา่ เทียม และท่ัวถึง
๙ ๔.๑.๓ ขอ้ เสนอแนะในเชงิ หลักการ ๑) แนวนโยบายและหน้าทขี่ องรัฐต่อการดารงชีวิต เศรษฐกจิ และทรัพยากรธรรมชาติ ในหมวดหน้าท่ีของรัฐนั้นครอบคลุมอยู่แล้ว แต่ในส่วนแนวนโยบายแห่งรัฐ ควรเน้นการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การไม่มีระบบสองมาตรฐาน ไม่เลือกปฏิบัติ ดาเนินการบนฐานสิทธิเสรีภาพ และเน้นความเป็นธรรม ความรวดเร็วในกระบวนการยุติธรรมให้มากขนึ้ ๒) แนวนโยบายแห่งรัฐ และหน้าท่ีของรัฐ จะต้องกาหนดให้ชัดเจนโดยให้ คานึงถึงความเท่าเทียม เป็นธรรม วัย สถานภาพ ความหลากหลายทางชาติพันธ์ุ ศาสนา เพศ เพศสภาพ และความหลากหลายทางเพศ ครอบคลุมกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ โดยใหม้ ีลักษณะ “ถ้วนหนา้ ” เพอ่ื ให้ทุกคนได้รับ ประโยชนร์ ว่ มกันอย่างเท่าเทยี ม เปน็ ธรรม ๓) การกาหนดหลักการ/สาระของแนวนโยบายแห่งรัฐ หนา้ ท่ขี องรัฐ ต้องสอดคล้อง เชื่อมโยงกบั SDGs เพ่ือใหเ้ กิดการพัฒนาอย่างยง่ั ยนื อยา่ งแท้จริง และสามารถวัดผลได้ ๔) รัฐจะต้องมีระบบการบริหารงานท่ีมีคุณธรรม ธรรมาภิบาล หลักนิติธรรม หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เน้นการตรวจสอบ มีการประเมินผลการดาเนินงานตามแนวนโยบาย เพื่อสร้างความรับผิดชอบให้แก่ส่วนราชการและนักการเมือง และเพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดการแทรกแซงระบบ การแต่งตั้งโยกย้ายขา้ ราชการ หรือแทรกแซงการดาเนนิ งานของรัฐ ๕) การกาหนดแนวนโยบายควรจะกาหนดภาพหวังให้ชัดเจน และกาหนด ในลักษณะภาพรวม และภาพย่อย และกาหนดแนวทางการดาเนินงานในระดับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ชัดเจน กาหนดความรับผิดชอบร่วม กาหนดตัวช้ีวัดร่วม เพ่ือให้ง่ายในการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทง้ั การติดตามประเมนิ ผลการการดาเนนิ นโยบายและผลกระทบท่เี กดิ ขึน้ ๖) เรง่ บังคับใชก้ ฎหมายลาดับรองทีเ่ กี่ยวข้อง เพอ่ื ใหเ้ กิดผลในทางปฏบิ ัติ รวมท้ัง การทบทวน ยกเลิก แก้ไข ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพ่ือให้มีความเป็นปัจจุบัน และเกิดผลสัมฤทธิ์ ในการนาไปปฏิบัติจริง และไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในด้านต่าง ๆ และควรมีการกาหนดให้ชัดเจนถึง ระยะเวลาที่ส่วนราชการจะต้องบังคับใช้กฎหมายในลาดับรองเพ่ือให้เกิดผลสัมฤทธ์ิตามเจตนารมณ์แห่ง รัฐธรรมนูญ ๗) รัฐต้องให้ความสาคัญกับการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและดารงชีพ ได้อย่างยั่งยืน รวมท้ังต้องส่งเสริมคุ้มครองให้คนมีงานทา สนับสนุนการประกอบอาชีพ ส่งเสริมการพัฒนา ทักษะ และการพัฒนาความรู้ความสามารถเพ่ือให้มีศักยภาพในการแข่งขัน อันจะนาไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ ในระดบั ตา่ ง ๆ ๘) แนวนโยบายและหน้าท่ีของรัฐ ควรบัญญัติเพิ่มเติมเรื่อง “สิทธิที่จะอยู่ ในสงิ่ แวดลอ้ มท่ีดี” 9) แนวนโยบายแห่งรัฐ ควรจะเพิ่มเติมในเรื่องการแสวงหาพลังงานทดแทน หรือพลังงานสารองเพ่อื ความม่ันคงของชาติ 10) ส่งเสริมการกระจายอานาจท้ังในทางภารกิจและงบประมาณแก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรหลักในการจัดบริการสาธารณะ และนาแนวนโยบายแหง่ รฐั ไปส่รู ะดับพื้นท่ี
๑๐ ๑1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน องค์กรชุมชน องค์กรภาคส่วน ต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการดาเนินนโยบาย และดาเนินงานร่วมกับรัฐในด้านต่าง ๆ อาทิ การจัดกระบวนการมีส่วนร่วมด้านส่ิงแวดล้อมของประชาชนโดยเริ่มจากระดับครัวเรือน ชุมชน สังคม เพ่ือลดการเกิดปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ในการออกแบบและกาหนดนโยบายของรัฐในด้านต่าง ๆ อาทิ สร้างช่องทาง กลไก และเคร่ืองมือในการ เปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนมีสว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เห็นตอ่ นโยบาย ๑2) หน่วยงานของรัฐควรส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่มีความตระหนักในการให้บริการ ตามแนวนโยบายและหน้าที่ของรัฐต่อการดารงชีวิต เศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมน้ัน โดยเน้นย้าว่าภารกิจเหล่าน้ีเป็นหน้าท่ีที่ต้องดาเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ท่ีรัฐธรรมนูญกาหนดไว้ ตลอดจนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชนอย่างย่ังยืน และกาหนดบทลงโทษแก่หน่วยงานของรัฐ ในกรณที ่ไี มไ่ ด้ดาเนินการตามที่กฎหมายหรือรัฐธรรมนญู บญั ญัติไว้ ๑3) รัฐควรวางแนวทางและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบท้ังในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน เพอ่ื ลดความเหลอ่ื มล้าและไม่เป็นธรรมในสงั คมอย่างบูรณาการและเป็นองค์รวม ๑๔) แนวนโยบายแห่งรัฐ ต้องเน้นเร่ืองยกระดับคุณภาพของการจัดการศึกษา ที่ครอบคลุม ลดความเหลื่อมล้าทางการศึกษา มุ่งความเป็นเลิศและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศ และปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร สร้างเสริมธรรมาภิบาล และเพม่ิ ความคล่องตัวในการรองรบั ความหลากหลายของการจดั การศึกษาในแต่ละพืน้ ท่ีแต่ละกลุ่มเป้าหมาย 15) ควรมีการปรับโครงสร้างระบบกฎหมายและระบบราชการเพ่ือให้ระบบ กฎหมายมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเพื่อให้ระบบกฎหมายส่งเสริมต่อ การให้บริการและการอานวยความสะดวกแก่ประชาชน รวมท้ังส่งเสริม สนับสนุนให้มีการนาเทคโนโลยี และระบบการบริหารงานทที่ ันสมัยมาใช้ในระบบราชการเพื่อยกระดบั การบริการให้แกป่ ระชาชน ๑6) ปรับปรุงแผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ โดยกาหนดระยะเวลา ที่ส่วนราชการต่าง ๆ ต้องดาเนินการโดยด่วน และจัดทาบัญชีกฎหมายที่เป็นข้ออุปสรรคในการปฏิรูป และกาหนดให้เป็นแผนนิติบัญญัติแห่งชาติเพ่ือการปฏิรูป รวมทั้งกาหนดให้ต้องมีการทบทวนยุทธศาสตร์ชาติ ในทุก ๑ ปี เพื่อให้รัฐสภาเร่งดาเนินการเพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติจริง รวมถึงการปฏิรูประบบราชการ ทมี่ คี วามคลอ่ งตัวในการสร้างประสิทธิภาพในการปฏบิ ตั ิงานทต่ี อบสนองตอ่ สงั คมทเี่ ปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ว ๔.๑.๔ ข้อเสนอทมี่ ตี ่อบทบญั ญัตทิ เี่ กยี่ วข้อง ๑) เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐหรือในหมวดหน้าท่ีของรัฐ เกย่ี วกบั การให้ความคมุ้ ครอง ชว่ ยเหลือเกษตรกรไทย ๒) ลดรายละเอียดในหมวดหน้าที่ของรัฐ และแนวนโยบายแห่งรัฐลง ให้เป็นเพียง ทิศทางและข้อปฏิบัติท่ีจาเป็นเท่าน้ัน และให้มีการกาหนดรายละเอียด ขั้นตอน วิธีการดาเนินงาน ในกฎหมาย ลาดับรอง ๓) มาตรา ๕๓ รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเห็นควรเพ่ิมเติม “รวมถึงต้องส่งเสริม สนับสนุน และคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ซ่งึ บญั ญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนูญหรอื ในกฎหมายอ่นื และตามพันธกรณีระหวา่ งประเทศ”
๑๑ ๔) มาตรา ๕๔ (๑) ข้อเสนอท่ี ๑ : มาตรา ๕๔ วรรคสอง โดยให้ใช้ข้อความต่อไปน้ีแทน “รัฐต้องดาเนินการใหเ้ ด็กทุกคนได้รับการศกึ ษาเป็นเวลา ๑๕ ปี ต้ังแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เพือ่ พฒั นาร่างกาย จติ ใจ วินยั อารมณ์ สังคม และสตปิ ัญญาใหส้ มกับวยั ทัง้ นี้ ตอ้ งจัดระบบหลักสตู รการศึกษา สถานศกึ ษา สภาพแวดล้อม โดยไม่เปน็ อุปสรรค อนั เน่ืองมาจากกายพิการ การนับถือศาสนา เพศ” (๒) ข้อเสนอท่ี ๒ : แก้ไขมาตรา ๕๔ เรื่องหน้าที่ของรัฐในการจัดการศึกษา ต้องครอบคลุม ๑๒ ปี “ตง้ั แตว่ ยั เรยี น” ยกเลิกคาว่า “ก่อน” วัยเรยี น (๓) ข้อเสนอท่ี ๓ : เพิ่มเติมคาว่า “และไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” ในวรรคหนึ่ง และเพ่ิมข้อความ “ผู้ยากไร้ คนพิการ ผู้ทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลาบาก และผู้ด้อยโอกาส ต้องได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่งและการสนับสนุนจากรัฐเพื่อสร้างหลักประกันความเสมอภาคทางการศึกษา และให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอ่ืน” ในวรรคสอง และเพ่ิมเติมคาว่า “และกฎหมายอื่น” ในวรรคส่ี (๔) ข้อเสนอที่ ๔ : เพิ่มเติมเน้ือหาในวรรคสองเป็น “บริการสาธารณสุข ตามวรรคหน่ึง ต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม และป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟ้ืนฟู สุขภาพอยา่ งรวดเร็ว ทว่ั ถงึ และเป็นธรรมด้วย” (๕) ข้อเสนอท่ี 5 : เพิ่มเติมเนอื้ หาในวรรคสามเป็น “รฐั ต้องพัฒนาการบริการ สาธารณสขุ ให้มีคณุ ภาพและมมี าตรฐานสงู ข้นึ อยา่ งเปน็ รูปธรรมและต่อเนื่อง” (๖) ข้อเสนอที่ ๔ : ใหใ้ ชข้ ้อความตอ่ ไปนีแ้ ทน “รัฐตอ้ งดาเนินการให้เดก็ ทกุ คน ได้รับการศึกษาเป็นเวลา ๑๕ ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพ่ือพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย ทั้งนี้ ต้องจัดระบบหลักสูตรการศึกษา สถานศึกษา สภาพแวดล้อม โดยไมเ่ ปน็ อุปสรรค อันเนือ่ งมาจากกายพิการ การนับถอื ศาสนา เพศ” ๕) มาตรา ๕๖ (๑) ข้อเสนอท่ี ๑ : มาตรา 56 วรรคหน่ึง ให้ใช้ข้อความต่อไปน้แี ทน “มาตรา ๕๖ รฐั ต้องจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพ้ืนฐานที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตของประชาชนอย่างท่ัวถึงและ ต้องจดั ใหม้ สี ่ิงอานวยความสะดวกเพอื่ ให้ทกุ คนสามารถเขา้ ถึงไดโ้ ดยยึดหลกั การออกแบบเพ่อื คนทั้งมวล” (๒) ข้อเสนอท่ี ๒ : มาตรา 56 วรรคหนึ่ง ให้ใช้ข้อความต่อไปน้ีแทน “มาตรา 56 รัฐต้องจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพ้ืนฐาน สภาพแวดล้อม ส่ิงอานวยความสะดวก และบริการ อันเป็นสาธารณะที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงและไม่เลือกปฏิบัติตามหลักการออกแบบ ท่ีเป็นสากลและการพัฒนาอย่างยง่ั ยืน” ๖) มาตรา ๕๙ (๑) ข้อเสนอที่ ๑ : ให้ใช้ข้อความต่อไปน้ีแทน “รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือ ข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐ ที่มิใช่ข้อมลู เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับ ของทางราชการตามท่กี ฎหมายบัญญัติ และตอ้ งจัดให้ประชาชนเข้าถงึ ข้อมลู หรอื ขา่ วสารดังกล่าวได้โดยสะดวก โดยคานงึ ถึงหลักการออกแบบเพ่ือคนท้ังมวล”
๑๒ (๒) ข้อเสนอท่ี ๒ : ให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน “รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือ ข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ข้อมูลเก่ียวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับ ของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารดังกล่าว ในรูปแบบ ช่องทาง และวธิ กี ารทป่ี ระชาชนทุกกลมุ่ สามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกและไมเ่ ลือกปฏิบัติ” (๓) ข้อเสนอท่ี ๓ : ควรเพ่ิมคาวา่ “รวดเร็วและทนั ต่อเหตุการณ์ดว้ ย” ๗) มาตรา ๖๘ (๑) ข้อเสนอที่ ๑ : มาตรา 68 วรรค 3 เพ่ิมเติมคาว่า “ผู้ด้อยโอกาส” โดยบัญญัติความดังน้ี “รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็วและไม่เสีย ค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติ หน้าท่ีได้ โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงาใด ๆ รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ท่ีจาเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้ คนพิการ หรือผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึง การจัดหาทนายความให้” (๒) ข้อเสนอที่ ๒ : มาตรา 68 วรรคสาม ให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน “รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเต็มที่แก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสและคนพิการ ในการเข้าถึง กระบวนการยุตธิ รรม รวมตลอดถึงการจดั หารทนายความใหใ้ นทกุ กรณี” ๘) มาตรา ๗๑ วรรคสาม เพิ่มเติมคาว่า “จัดสวัสดิการ เสริมพลัง และให้ การค้มุ ครองทางสังคมแก่เด็ก” ๙) มาตรา ๗๒ ควรเพิ่มเติมให้รัฐพงึ ดาเนินการเกย่ี วกับทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ปา่ ไม้ สตั ว์ปา่ และทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่งั ๑๐) มาตรา ๗๓ ควรเพิ่มเติมในเร่ืองการจัดให้มีตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพ่ือให้เกษตรกรจาหน่ายสินค้าทางการเกษตรเพิ่มขึ้น และมีความม่ันคงในการทาอาชีพเกษตรกรรม เม่ือผลิตสินคา้ เกษตรแล้วมคี วามมัน่ ใจว่าจะมตี ลาดรองรบั แนน่ อน ๑๑) มาตรา ๗๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง ควรแก้ไขโดยให้รัฐสามารถประกอบ กิจ ก า ร แ ข่ ง ขั น กั บ เ อ ก ช น ไ ด้ แ ต่ ต้ อ ง อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ โ ค ร ง ส ร้ า ง ท า ง ก ฎ ห ม า ย แ ล ะม า ต ร ฐ า น ก า ร ก า กั บ ดู แ ล ในลักษณะเดียวกัน เพื่อสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมและ ขณะเดยี วกนั รัฐก็ยงั คงมีกลไกในการสง่ เสริมระบบเศรษฐกจิ ที่ประชาชนเข้าถงึ บริการไดอ้ ยา่ งทั่วถงึ ๑๒) มาตรา ๗๗ (๑)ข้อเสนอที่ ๑ : ควรกาหนดให้ชัดเจนว่าในการตราพระราชบัญญัติว่าด้วย งบประมาณรายจ่าย อาจไมต่ ้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในลักษณะเชน่ เดียวกบั การรับฟงั ความคิดเห็น ตอ่ พระราชบญั ญัติอ่นื ทมี่ ีผลกระทบตอ่ ประชาชน (๒) ข้อเสนอที่ ๒ : มาตรา 77 วรรคหน่ึง เพิ่มเติมข้อความต่อไปน้ี “รัฐพึงจัด ให้มีกฎหมายเพียงเท่าท่ีจาเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจาเป็นหรือไม่สอดคล้อง กับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดารงชีวิตหรือการประกอบอาชีพ โดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระ แก่ประชาชน และดาเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ในรูปแบบ ช่องทาง และวิธีการ
๑๓ ท่ีประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก ไม่เลือกปฏิบัติ และสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพ่ือปฏิบัติ ตามกฎหมายไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง” ๑๓) มาตรา ๒๕๙ แผนและขั้นตอนการดาเนินการปฏิรูปประเทศ หน่วยงาน ภาครัฐต้องแสดงให้เห็นถึงการเปิดโอกาสการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมซ่ึงในมาตราดังกล่าว กาหนดว่า “...อย่างน้อยต้องมีวิธีการจัดทาแผน การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง... ” ควรต้องให้ ความสาคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมเพ่ิมข้ึน ท้ังในส่วนของกระบวนการจัดทา การแก้ไขเปล่ียนแปลง แผนตามสภาวการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไป และการรายงานผลเพื่อเป็นการแสดงเจตจานงของรัฐบาลในการ พัฒนาประเทศใหแ้ กป่ ระชาชนโดยมผี ลประโยชน์ประชาชนเป็นตั้งอยา่ งแท้จรงิ ๔.๒ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน (การกาหนดสิทธิของประชาชนและชุมชนในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการกาหนดเรื่องสทิ ธิเสรภี าพขององค์กร ภาคส่วนอืน่ ๆ) จากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หนว่ ยงานในช่องทางต่าง ๆ ดังท่ีกล่าวไปแล้ว ข้างต้น สามารถสรปุ ความคาดหวัง สภาพปญั หา และข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ ไดด้ ังน้ี ๔.๒.๑ ความคาดหวังที่มตี ่อประเดน็ สทิ ธเิ สรีภาพของประชาชน จากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ พบว่าโดยส่วนใหญ่ เห็นว่าประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ควรได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย สิทธิและเสรีภาพสว่ นบคุ คล สิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกจิ สิทธิและเสรีภาพในการมีสว่ นรว่ มทางการเมือง และประชาชนควรได้รับทราบถึงสิทธิและเสรีภาพของตนอย่างท่ัวถึง มีการเสริมสร้างจริยธรรมให้กับสังคม เพอ่ื การพัฒนาประเทศใหเ้ จรญิ ก้าวหน้านัน้ ในรัฐธรรมนูญควรกาหนดว่ารัฐต้องกาหนดให้มีสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน ประชาชนควรมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา สิทธิในการ ไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว สิทธิในทรัพย์สิน และการสืบมรดก สิทธิของผู้บริโภคในการรวมกันจัดต้ังองค์กรของผู้บริโภคเพ่ือคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ ของผู้บริโภค สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุข สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐของผู้เป็นมารดา โดยรัฐต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน ประชาชนย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรัฐ ใหป้ ราศจากการใชค้ วามรุนแรงและการปฏบิ ตั ิอนั ไม่เป็นธรรม ประชาชนควรมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา การปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรม ตามหลักศาสนา เสรีภาพในเคหสถาน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอนื่ และเสรภี าพในทางวิชาการ เสรภี าพในการติดต่อส่อื สาร เสรภี าพ ในการเดินทางและการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัย เสรีภาพในการประกอบอาชีพ เสรีภาพการรวมตัวกัน ในรูปแบบต่าง ๆ เสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ปวงชนชาวไทยควรมีสิทธิและเสรีภาพ อย่างเท่าเทียมกัน และรัฐย่อมต้องเป็นผู้สร้างหลักประกันน้ันให้แก่ประชาชน มิให้เกิดความเหล่ือมล้า ซึ่งกันและกัน ประชาชนควรได้รับสิทธิและเสรีภาพข้ันพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติแก่บุคคล ทุกคนย่อมเสมอกันตอ่ กฎหมาย เช่น การได้รับการศกึ ษา การไดร้ บั การรักษาพยาบาล นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญต้องให้มีการรองรับประเด็นเรื่องสิทธิชุมชนในการ มีส่วนร่วมของรัฐและชุมชนในการบารุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลาย ทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพ่ือให้ดารงชีพอยู่ได้อย่างปกติ
๑๔ และต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อม ที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ อนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิต รวมถึงการที่สิทธิของชุมชนได้รับความคุ้มครองในการฟ้องหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนทอ้ งถ่ินหรอื องค์กรอนื่ ของรัฐที่เปน็ นติ ิบุคคล เพ่อื ใหป้ ฏิบตั หิ น้าทต่ี ามรฐั ธรรมนญู ทั้งน้ี การดาเนินการใด ๆ ของรัฐท่ีมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนตามท่ีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้ ควรกระทาเท่าที่มีความจาเป็นเพ่ือประโยชน์ สาธารณะ และจะต้องเป็นไปตามกรอบเง่ือนไขท่ีมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ และกรอบกติกาสากล ที่เก่ียวข้องว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง ขณะเดียวกันรัฐควรสนับสนุนให้ประชาชนมีเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเหน็ หรือดาเนินการอืน่ ใดทีต่ นต้องการโดยไม่กระทบละเมดิ สิทธผิ ้อู ่นื ๔.๒.๒ สภาพปญั หาทีเ่ กิดขึน้ ๑) กฎหมายที่บังคับใช้ปัจจุบันบางฉบับมีลักษณะที่จากัดสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน ในปัจจุบันยังมีกฎหมายที่ยังจากัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ ทาให้การใช้สทิ ธิและเสรีภาพของประชาชนที่ไม่เป็นการละเมิดผูอ้ ื่นถูกจากัดโดยการยกเหตผุ ลเร่อื งความมั่งคง และศลี ธรรม ๒) ขั้นตอนและกระบวนการในการได้รับความคุ้มครองสิทธิข้ันพ้ืนฐาน ที่มีขั้นตอนเกินความจาเป็น การขอให้ได้รับความคุ้มครองสิทธิพ้ืนฐานและเสรีภาพของประชาชน กฎหมาย กาหนดให้มีขนั้ ตอนและวิธีปฏบิ ตั ิเกนิ ความจาเปน็ ทาใหป้ ระชาชนไมไ่ ด้รบั การคุ้มครองอยา่ งรวดเรว็ ทันการณ์ ๓) เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อถูกจากัด ในบางประเด็น แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรองรับสิทธิของประชาชนและส่ือในการแสดงความคิดเห็น ในสภาพความเปน็ จริงแลว้ ประชาชนถกู ลิดรอน จากัดสทิ ธใิ นการแสดงความคดิ เหน็ ถกู คุกคามโดยอ้างประเด็น เรื่องความม่ันคงของรัฐ นอกจากน้ี บางกรณีรัฐไม่ส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะสิทธิในการตรวจสอบการกระทาของรัฐ จึงทาให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิตามท่ีรัฐธรรมนูญ รองรับไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกจากัดด้วยกติกาของรัฐ และบทกาหนดโทษท่รี ฐั กาหนดข้ึนเอง ๔) ปัญหาการตีความตามบทบัญญัติ มาตรา ๒๕ ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ กาหนดให้ “...บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพทจ่ี ะทาการได้ และไดร้ ับความคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าท่ีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่าน้ันไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความ มน่ั คงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอนื่ ...” การกาหนดในลักษณะเช่นน้ีอาจเกิดปัญหาในการตีความกฎหมายว่าการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในเรอ่ื งใดเป็นการกระทบความม่ันคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน ทาใหอ้ าจเกิด การใช้ดุลพินิจโดยมิชอบของเจ้าหน้าท่ีรัฐในการตีความคาดังกล่าว และหรือความเข้าใจในการตีความของ ประชาชนอันจะนามาส่กู ารปดิ กนั้ สิทธแิ ละเสรีภาพของประชาชนในบางกรณี ๕) ขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิตามท่ีรัฐธรรมนูญกาหนด แม้ว่ารัฐธรรมนูญ จะกาหนดเรื่องสิทธิ และหน้าท่ีของรัฐไว้ แต่ในปัจจุบันพบว่ายังมีกลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ท่ีไม่สามารถเข้าถึงโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ และการเข้าถึงทรัพยากรท่ีจาเป็นอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และ ทั่วถึง รวมทั้งกรณีของผู้ใช้แรงงานท่ีไม่สามารถจัดตั้งสหภาพแรงงาน ตามท่ีรัฐธรรมนูญ ได้ให้สิทธิไว้ นอกจากน้ี กรณีของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะแม้ว่ารัฐธรรมนญู จะใหส้ ิทธิเร่ืองการเข้าถึง
๑๕ ข้อมูลข่าวสาร แต่ส่วนราชการก็ไม่ได้ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ โดยงา่ ยเทา่ ทคี่ วร ประชาชนไมส่ ามารถแสดงความคิดเหน็ ในทางทเี่ หมาะสมได้อยา่ งอสิ ระ ๖) สิทธิชุมชนไม่ถูกรองรับในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญรองรับ สิทธิในระดับปัจเจกบุคคลมากกวา่ สิทธิชุมชน ในขณะที่รัฐธรรมนญู ฉบับท่ีผา่ นมาใหส้ ิทธิแก่ชุมชนในการบรหิ าร จดั การร่วมกับภาครัฐในหลายด้าน อาทิ การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการศึกษา การปกครองทอ้ งถน่ิ เป็นต้น ๔.๒.๓ ขอ้ เสนอแนะในเชงิ หลักการ ๑) รัฐธรรมนูญควรกาหนดหลักเกณฑ์การขอให้ได้รับความคุ้มครองท่ีไม่ยุ่งยาก ลดข้ันตอน และไม่เกนิ ความจาเป็น ๒) การตราและบังคับใช้กฎหมายซ่ึงมีบทบัญญัติอันเป็นการจากัดสิทธิเสรีภาพ ของประชาชนควรทาเท่าที่จาเป็นและจะต้องจากัดอานาจการใช้ดุลพินิจให้มีเท่าท่ีจาเป็น เพื่อความเป็นธรรม เพม่ิ ความเท่าเทยี มและรกั ษามาตรฐานของการบงั คับใช้กฎหมาย ๓) รัฐควรเพิ่มเติมกลไกที่เป็นการเปิดโอกาส รวมทั้งเป็นการสนับสนุนให้ ภาคประชาชนมีสิทธิในการเรียกร้อง หรือคัดค้านการดาเนินโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐ เพ่ือให้เกิดการปกป้อง ผลประโยชนส์ ่วนรวมของประเทศ และชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ๔) รัฐควรมีมาตรการ หลักประกันหลักสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชน ในด้านการประกันตัวผู้ต้องหาให้มากกว่าเดิมเพ่ือเพิ่มช่องทางในการได้รับความคุ้มครองเรื่องสิทธิในกฎหมาย ของประชาชน ๕) รัฐควรมีแนวทางท่ีชัดเจนในการให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการ แสดงออกและแสดงความคิดเห็นที่เป็นอิสระ ได้รับการคุ้มครองภายในกรอบบทบัญญัติตามกฎหมาย โดยภาครัฐต้องพิจารณาและตีความอย่างถ้วนถ่ี รอบคอบในส่วนของการจากัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้อยู่ในกรอบกฎหมาย แต่ทั้งน้ีต้องไม่จากัดสิทธิของประชาชนจนถึงขั้นเป็นการละเมิดสิทธิอันพึงมีของ ประชาชน ๖) รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐควรใช้หลักธรรมาภิบาลในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิและเสรีภาพท่ีเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะประชาชนท่ีไม่สามารถเข้าถึง สิทธิต่าง ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกาหนด ท้ังน้ี หน่วยงานของรัฐต้องสารวจและให้ความช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้น ให้มากขน้ึ เพ่อื ให้สิทธิท่รี ัฐธรรมนญู รับรองนนั้ เกิดผลในทางปฏิบตั จิ ริงอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ๗) การดาเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐควรมีการศึกษาถึงผลกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนอย่างครอบคลุม เพ่ือให้การดาเนินการของรัฐไม่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ ของประชาชน หรือหากกระทบกส็ ง่ ผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ๘) ในกรณีที่มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมโดยรัฐ หรือเกิดการละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือส่วนราชการควรได้รับการลงโทษ รวมทั้งให้มีการดาเนินคดี ทางกฎหมาย ๙) ภาครัฐ องค์กรอิสระ ส่ือสารมวลชนและภาคเอกชน รวมถึงองค์การระหว่าง ประเทศต้องมีการบูรณาการร่วมกันในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง ต้องมีการทบทวน
๑๖ ปรับปรุง แก้ไขอุปสรรคต่อปัญหาในเร่ืองนี้เพื่อให้มีการดาเนินการต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนท่ีเป็นธรรม ถูกต้องและรวดเรว็ ๑๐) ดาเนินการแก้ไขกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสิทธิและ เสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ และควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายเพ่ือคุ้มครอง สิทธเิ สรภี าพข้ันพ้ืนฐานทปี่ ระชาชนทุกคนพงึ ได้รับให้ชัดเจนและยตุ ิธรรม ๔.๒.๔ ขอ้ เสนอที่มตี ่อบทบญั ญัตทิ ีเ่ กี่ยวข้อง ๑) ควรเพิ่มประเดน็ สทิ ธิในรัฐธรรมนญู ใหช้ ัดแจง้ โดยเพม่ิ เติมให้ครบถว้ น ๒) ควรเพ่ิมเติมเรอ่ื งการรบั รองสทิ ธิชมุ ชน ๓) มาตรา ๒๕ – ๒๗ ควรเพ่ิมเรื่องสิทธิเสรีภาพของคนพิการท่ีครอบคลุม ในทุกประเด็น และมคี ณุ ภาพ ๔) มาตรา ๒๕ กาหนดกรอบแนวทางการใช้สิทธิตามมาตรา ๒๕ ให้ชัดเจน เพื่อใหเ้ กดิ ผลในทางปฏบิ ตั ิ ๕) มาตรา ๒๗ (๑) ข้อเสนอท่ี ๑ : มาตรา ๒๗ วรรคสอง ควรให้เปล่ยี นคาวา่ “สมรรถภาพ” เปน็ “ประสิทธิภาพ” (๒) ข้อเสนอท่ี ๒ : มาตรา ๒๗ วรรคสอง กาหนดรับรองความเท่าเทียมกัน ของ “ชาย” และ “หญิง” ซ่ึงไม่สอดคล้องกับบริบททางสังคมปัจจุบัน เพราะมีความหลากหลายทางเพศ (เพศสภาวะหลายแบบ) การบัญญัติเช่นน้ีจึงถือเป็นการเลือกปฏิบัติ ดังนั้น ควรปรับข้อความให้สอดคล้องกับ สถานการณใ์ นปัจจุบนั (๓) ข้อเสนอที่ ๓ : ควรระบุคาว่า \"คนพิการ\" และ \"ความพิการ\" ให้เป็น ลายลกั ษณ์อกั ษรให้ปรากฏในรฐั ธรรมนญู (๔) ข้อเสนอท่ี ๔ : พจิ ารณาทบทวนความหมาย แนวทางและการดาเนินการ ของคาว่า “ความเทา่ เทยี ม” และ “ไมเ่ ลือกปฏบิ ัติ” ในรัฐธรรมนญู (๕) ข้อเสนอท่ี ๕ : มาตรา ๒๗ วรรคสอง “ชายและหญิงมสี ิทธิเท่าเทยี มกนั ” ควรแก้ไขเปน็ “บุคคลมีสิทธิเทา่ เทยี มกัน” ๖) มาตรา ๓๒ รัฐธรรมนูญมีการรับรองสิทธิความเป็นอยู่ส่วนตัว แต่ก็มีการ ยกเว้น โดยบัญญัติว่า “...เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีตราข้ึนเพียงเท่าที่จาเป็น เพื่อประโยชน์สาธารณะ” หรือมาตรา ๓๔ บัญญัติรับรองเสรีภาพในการแสดงความเห็น บัญญัติว่า “...เว้นแต่ โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีตราขึ้นเฉพาะเพ่ือรักษาความม่ันคงของรัฐ...” ดงั นั้น ในส่วนน้ี จึงไม่ควรมีการยกเว้น หรือยกเว้นให้น้อยที่สุด เพราะข้อยกเว้นอาจทาให้บทบัญญัติหลักได้รับการยกเว้น มากเกินไปโดยกฎหมายลูก (กฎหมายลาดับรอง) ซ่ึงอาจส่งผลต่อความไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ หลักในรัฐธรรมนูญ ๗) มาตรา ๔๐ วรรคสาม ให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน “การตรากฎหมาย เพ่ือจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่ง ความพิการ เพศ การนับถอื ศาสนา”
๑๗ ๘) มาตรา ๔๒ (๑) ข้อเสนอท่ี ๑ : ให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการ รวมกันเป็นสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์กร ชุมชน องค์กรภาคประชาสังคมหรือหมู่คณะอื่น โดยได้รับการ สนับสนนุ จากรฐั ตามทกี่ ฎหมายบญั ญัติ” (๒) ขอ้ เสนอท่ี ๒ : การบญั ญตั ิว่า “การรวมตวั ทีไ่ มข่ ัดต่อความม่ันคงของรัฐ” ถือเป็นการกีดขวางความเป็นประชาธิปไตยและสิทธิในการรวมตัวของประชาชน รวมถึงเป็นการเปิดโอกาส ให้แก่ผู้มอี านาจ จงึ ไม่ควรมกี ารบัญญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนูญ (๓) ข้อเสนอที่ ๓ : ขยายขอบเขตความหมายของคาวา่ “สทิ ธิในการรวมตัว” ใหห้ มายรวมถงึ การมีส่วนรว่ มของภาคประชาสังคม ๙) มาตรา ๔๗ ให้ตัดคาว่า “ผู้ยากไร้” ออก เพื่อให้สิทธิครอบคลุมประชาชน ทกุ คนแบบถ้วนหน้า ๑๐) มาตรา ๔๘ วรรคสอง ให้ใช้ข้อความต่อไปน้ีแทน “บุคคลซ่ึงมีอายุเกิน หกสิบปีและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และบุคคลผู้ยากไร้ และคนพิการย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ ทเี่ หมาะสมจากรัฐอยา่ งมีคณุ ภาพตามที่กฎหมายบญั ญัติ” ๑๑) มาตรา ๕๖ ในประเด็นเร่ืองสิ่งอานวยความสะดวกนั้น ควรมีบทลงโทษ เพื่อเป็นหลักในการจัดบริการ ส่ิงอานวยความสะดวกแก่ประชาชน รวมทั้งการกาหนดให้ครอบคลุมถึงวิธีการ ในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากสิ่งอานวยความสะดวกท่ีรัฐจัดให้มีข้ึน และกาหนดเพ่ิมเติมว่า การที่ประชาชนชนสามารถเข้าถึงสิ่งอานวยความสะดวกเหล่านั้น ต้องไม่ก่อให้เกิดภาระเพ่ิมเติมในการเข้าถึง รวมถงึ ต้องให้ประชาชนสามารถดารงชีวติ อยา่ งอสิ ระในชมุ ชนได้ ๑๒) มาตรา ๗๑ ให้มีการแกไ้ ขคาว่า “สงเคราะห”์ เป็น “เสริมพลัง” ๑๓) มาตรา ๗๔ วรรคหน่ึง หญิง-ชาย และเพศสภาพอื่น ๆ (Gender Quota) โดยให้มีเพศใดเพศหน่ึงไม่น้อยกว่าหน่ึงในสามในองค์กรตัดสินใจทุกระดับ รวมท้ังในการเลือกต้ังสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร หรือในการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ถ้ามี) และกรรมการในองค์กรอิสระต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ รวมท้ังในกระบวนการจัดทานโยบายและงบประมาณของรัฐทุกหน่วยงานทุกระดับ ต้องคานึงถึงเพศสภาพ วัยและสภาพของบุคคล (Gender Responsive Budgeting-GRB) ๑๔) มาตรา ๒๕๖ (๑) กรณีที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งประสงค์ที่จะแก้ไข หรือเปล่ียนแปลงสิทธิเลือกตั้งของผู้ต้องขังควรสามารถดาเนินการเข้าช่ือเสนอกฎหมายเพ่ือแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๕๖ (๑) โดยเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตอ่ รัฐสภา โดยทาการรวบรวมรายช่ือประชาชนผมู้ ีสทิ ธิเลือกต้ังจานวนไมน่ ้อยกว่าหา้ หมนื่ คนตามกฎหมาย ว่าด้วยการเข้าชือ่ เสนอกฎหมายตามกระบวนการและข้นั ตอนของกฎหมาย ๑๕) หมวด ๓ (๑) ข้อเสนอที่ ๑ : ควรเพ่ิมสารบัญญัติเก่ียวกับสิทธิด้านการศึกษา และสทิ ธิดา้ นสขุ ภาพของประชาชน (๒) ข้อเสนอที่ ๒ : ต้องมีบัญญัติเร่ืองหลักประกันและข้อบัญญัติเรื่อง ศักด์ศิ รคี วามเป็นมนษุ ย์ สิทธเิ สรีภาพ สิทธิชมุ ชน และความเสมอภาคระหว่างเพศอยา่ งชดั เจนเปน็ รูปธรรม
๑๘ ๑๖) หมวด ๓ ควรบทบัญญัติโดยกาหนดสิทธิความหลากหลายทางเพศ ให้ชัดเจน ท้ังสิทธิด้านการรับบริการและการไม่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม สิทธิทางด้านการสาธารณสุข ท่ีต้องเป็นสวัสดิการพื้นฐานของรัฐ ดูแลบุคคลให้เข้าถึงบริการเพ่ือการได้เป็นเพศสภาพตามที่แต่ละบุคคล ต้องการ รวมถึงระบบการศึกษา และสังคมที่รองรับสิทธิเสรีภาพในการเลือกที่จะดารงอัตลักษณ์หรือเรียนรู้ ความเปน็ เพศสภาพทีแ่ ตกตา่ งหลากหลายได้อยา่ งเสรี ไม่ถกู บงั คับกาหนดโดยบรรทัดฐานของสงั คม ๑๗) หมวด ๓ และหมวด ๔ โดยให้แก้ไขถ้อยคาในหมวด ๓ และหมวด ๔ ซึ่งมถี อ้ ยคาวา่ “ปวงชนชาวไทย” เป็น “ชนชาวไทย” ๑๘) หมวด ๖ ควรเพ่ิมให้รัฐมีหน้าที่เกี่ยวข้องคนพิการด้านการจัดการศึกษา จัดหาอาชพี และสถานพยาบาลใหช้ ัดเจน และใหม้ ีการจัดตง้ั องค์กรคนพิการเปน็ องค์กรอิสระ 19) ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลาดับรองที่เก่ียวข้องกับสิทธิและเสรีภาพ ควรจะพิจารณาการใช้คา ”การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” โดยควรตัดคาว่า “ไม่เป็นธรรม” ออกจาก ทกุ มาตราทางกฎหมาย ๔.๓ ระบบการเมืองและสถาบันการเมือง (ระบบเลือกตั้ง พรรคการเมือง การปกครอง ทอ้ งถนิ่ บทบาทและความสัมพนั ธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญตั ิ ฝา่ ยบริหาร ศาล และองค์กรตามรฐั ธรรมนญู ) จากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หน่วยงานในช่องทางต่าง ๆ ดังที่กล่าว ไปแลว้ ขา้ งตน้ สามารถสรุปความคาดหวงั สภาพปญั หา และขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ได้ดงั น้ี ๔.๓.๑ ความคาดหวงั ทมี่ ตี ่อระบบการเมอื งและสถาบนั การเมือง จากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ พบว่า โดยส่วนใหญ่เห็นว่าระบบการเมืองและสถาบันการเมืองควรมีความยึดโยงกับประชาชน ชุมชน สังคม ควรมีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพและความต่อเน่ืองในการดาเนินงาน เพื่อให้สามารถขับเคล่ือนการปฏิรูป ประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม อันจะส่งดีต่อการพัฒนาประเทศในระยะย าว โดยต้อง ดาเนินงานด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ตามหลักธรรมาภิบาล สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึน ได้อย่างตรงจุด และดาเนินงานอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงคานึงถึงประโยชน์สุขโดยรวมประชาชนเป็นสาคัญ ในฐานะเจ้าของอานาจ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลการดาเนินงานและร่วมแสดงความคิดเห็น ได้อย่างสรา้ งสรรค์ และเป็นระบบการเมืองท่ีปราศจากการแทรกแซงจากผูม้ ีอานาจ อานาจอธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และตุลาการ รวมท้ังองค์กรอิสระน้ัน จะต้องดาเนินงานตามเจตนารมณ์และต้องสามารถตรวจสอบ ถ่วงดุลไดร้ ะหวา่ งกนั ระบบ พรร คการเมืองควรเ ป็นพรรคใหญ่เ พ่ือให้พร รคการเ มืองท่ี มีคะแน น มากสามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพ สามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพ่ือพัฒนา ให้พรรคการเมืองมีความเป็นสถาบันการเมือง เป็นท่ีรวมของบุคคลผู้ซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกัน และสามารถเป็นผ้แู ทนกลุ่มผลประโยชน์ไดจ้ รงิ กระบวนการได้มาหรือระบบการได้มาของนกั การเมอื ง ผู้บริหารองคก์ รภาครัฐ ผู้บริหารของหน่วยงานยุติธรรมควรมีประสิทธิภาพมากเพียงพอ เป็นกระบวนการท่ีมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม ทาให้สามารถคัดกรองคนดี มีคุณภาพเข้ามาสู่ระบบการเมืองและสถาบันการเมืองได้ โดยในส่วนของผู้สมัคร
๑๙ และสมาชิกรัฐสภาน้ันจะต้องเป็นคนดีมีคณุ ภาพ มีการทางานอย่างมืออาชีพ ยึดถือระเบียบ กฎหมาย ไม่มีการ แบ่งเป็นพรรคเป็นพวก มคี วามเป็นกลางอยา่ งแท้จริง ประชาชนและทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครอง ท้ังในระดับชาติและระดับท้องถ่ินได้อยา่ งแท้จรงิ โดยการปกครองทอ้ งถิ่นต้องเป็นไปตามหลักแห่งการปกครอง ตนเอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการกาหนดนโยบายและอานาจหน้าที่ ดาเนินงานด้วยความ โปร่งใส เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน บริหารและดาเนินงานเพื่อการจัดบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ แกป่ ระชาชนและชุมชน ภายใตก้ ารดาเนนิ งานตามหลกั ธรรมาภิบาล ๔.๓.๒ สภาพปญั หาทเี่ กดิ ขึ้น ๑) รัฐสภาที่ขาดประสทิ ธิภาพ ระบบรฐั สภาของไทยเป็นระบบท่ีขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถทาหน้าทเ่ี ป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ได้อยา่ งเตม็ ท่ี และไม่สามารถทาหนา้ ทีด่ า้ นนติ บิ ญั ญตั ไิ ด้อย่างสมบรู ณ์ ๒) สถาบันการเมืองและองค์กรอิสระไม่สามารถทาหน้าท่ีได้อย่างมีคุณภาพ พรรคการเมืองขาดความเป็นสถาบันการเมือง ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง และองค์กรอิสระต่าง ๆ ยังไม่สามารถ ดาเนนิ งานตามเจตนารมณ์และความตอ้ งการของประชาชนไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ ๓) ความคิดเห็นท่ีแตกต่างกันทางการเมือง เกิดความเห็นต่างในความคิด ทางการเมืองอันนามาสู่ความแตกแยกทางการเมือง ซ่ึงกลายเป็นอุปสรรคสาคัญต่อการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ๔) การแบ่งพรรคแบ่งพวกของนักการเมือง การแบ่งฝ่ายของพรรคการเมือง สง่ ผลใหเ้ กดิ ความขดั แย้งในการบรหิ ารจัดการประเทศและการพฒั นาประเทศอย่างเห็นได้ชัด ๕) นักการเมืองไม่มีคุณภาพ นักการเมืองไม่มีคุณภาพ ทุจริตคอร์รัปชัน ทาใหก้ ารเมืองไมโ่ ปรง่ ใส และทาให้ระบบการเมืองไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และไม่สามารถ แกไ้ ขปัญหาของประชาชน สงั คมได้อยา่ งเตม็ ท่ี ๖) ระบบการเลือกตั้งท่ีไม่สามารถคัดกรองคนคุณภาพได้ ระบบการเมืองไทย ไมส่ ามารถคัดกรองนักการเมืองที่ดมี ีคุณภาพเข้ามาทางานในสภาผู้แทนราษฎรได้ ๗) ปัญหาการได้มาของสมาชิกวุฒิสภา การออกแบบท่ีมาของสมาชิกวุฒิสภา ทาให้วุฒิสภาไม่ยึดโยงกับประชาชน ไม่สอดคล้องตามหลักประชาธิปไตย เนื่องจากสมาชิกวุฒิสภามิได้มีท่ีมา จากประชาชนส่วนใหญ่ ๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไม่ส่งเสริมให้พรรคการเมือง มีความเข้มแข็ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔๗ กาหนดให้ พรรคการเมืองส่งผู้สมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตต้องมีสาขาพรรค หรือตัวแทน พรรคการเมืองประจาจังหวัดท่ีมีเขตพื้นที่รับผิดชอบในเขตเลือกต้ังน้ัน จะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองส่วนใหญ่ ไม่สามารถจัดต้ังสาขาพรรคได้ครบทุกเขตเลือกต้ัง เนื่องจากไม่สามารถหาสมาชิกพรรคในแต่ละสาขา ได้ครบตามจานวนข้ันต่าท่ีกฎหมายกาหนด (๕๐๐ คน) เหตุเพราะการกาหนดคุณสมบัติและเงื่อนไข การเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไว้สูง และปัจจุบันพรรคการเมืองสามารถถูกยุบได้โดยง่าย ซ่ึงไม่เป็นการ ส่งเสริมระบบพรรคการเมือง นอกจากน้ี ส.ส. ในปัจจุบันมีเอกสิทธิ์ในการออกเสียงในสภาผู้แทนราษฎร โดยไมจ่ าเป็นต้องทาตามมติพรรค ทาให้พรรคการเมืองในฐานะสถาบันการเมืองไม่เข้มแข็ง
๒๐ ๙) ระบบการเมืองแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน เน่ืองจากระบบ การเมืองที่ใกล้ชิดกับระบบการบริหารราชการแผ่นดิน จึงทาให้การเมือง นักการเมือง พรรคการเมืองสามารถ แทรกแซงการทางานของส่วนราชการได้โดยง่าย และนโยบายการดาเนินงานของส่วนราชการก็มักจะ ถูกผลกั ดนั ใหเ้ ป็นไปตามแนวนโยบายของพรรคการเมือง ๑๐) ระบบการเลอื กตั้งทเี่ ปน็ ปญั หา (๑) ประชาชนสับสนกับระบบการเลือกตั้งท่ีมีบัตรใบเดียว ในขณะท่ีมีผลต่อ การเลอื กท้งั ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชรี ายชื่อ และนายกรัฐมนตรี (๒) ระบบเลือกตั้งที่ออกแบบทาให้มีพรรคการเมืองขนาดเล็กจานวนมาก ได้รับการเลือกตั้งเขา้ สู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบต่อปัญหาในเรื่องการประสานนโยบาย และทาให้เกิด การต่อรองตาแหน่งทางการเมือง อีกท้ังส่งผลให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพและไม่สามารถบริหารประเทศ ไปในแนวทางท่ีเสนอต่อสภาผแู้ ทนราษฎรไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ (๓) การคานวณหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือ ตามมาตรา ๙๑ กาหนดให้การนับคะแนน หลักเกณฑ์และวิธีการคานวณ การคิดอัตราส่วน และการประกาศผลการเลือกตั้ง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น มีความซับซ้อน เกิดการตีความท่ีหลากหลาย ทาให้การนับคะแนน การคานวณ หรือการคิดอัตราส่วน ใชร้ ะยะเวลานาน กระทบต่อความล่าชา้ ในการประกาศผลการเลือกตัง้ (๔) ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรคการเมืองท่ีได้จานวน ส.ส. มากท่ีสุด อาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ระบบการคานวณจานวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อทาให้เกิดปรากฏการณ์ ที่มีพรรคการเมืองขนาดเล็กซ่ึงได้คะแนนต่ากว่าเกณฑ์คะแนนเฉลี่ยได้เป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ทั้งน้ี ทาให้รัฐบาลหลังการเลือกต้ังเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ซ่ึงอาจมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และประสทิ ธภิ าพในการทางานของพรรครัฐบาล (๕) ระบบการเลือกต้ังของไทยในปัจจุบัน เป็นแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ส่วนพรรคการเมืองส่วนใหญ่มิได้จัดต้ังข้ึนอันเน่ืองมาจากการรวมกลุ่มของบุคคลผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน หากแต่เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนายทุน ดังนั้น การขับเคลื่อนอุดมการณ์ของ พรรคการเมืองจึงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มทุนท่ีสนับสนุน มิได้เกิดจากอุดมการณ์ทางการเมือง ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติให้ ส.ว. มีอานาจลงคะแนนเลือก นายกรัฐมนตรี ดังนั้น กลุ่มทุนสามารถเข้าถึงอานาจทางการบริหารได้ง่าย ซึ่งขัดกับหลักการด้านการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข (๖) ระบบการเลือกตั้ง และผลของการเลือกต้ังท่ัวไปท่ีผ่านมาทาให้เห็นว่า เสยี งของประชาชนไม่ได้รับการจดั สรรเพอื่ นาไปตงั้ ผแู้ ทนของประชาชนในรัฐสภาอย่างแท้จริง ๑๑) ประชาชนขาดความศรัทธา เชื่อมั่นในระบบการเมือง ประชาชนขาดการ ยอมรับ เช่ือม่ันในระบบการเมืองและสถาบันทางการเมืองในการเป็นตัวแทนของประชาชน เพราะระบบ การเมืองและสถาบันการเมืองไม่สามารถเป็นกระบอกเสียงของประชาชนและไม่สามารถตอบ สนองต่อ สิ่งที่ประชาชนต้องการได้อย่างแท้จริง รวมท้ังเกิดความหวาดระแวง กังวลใจ ไม่เชื่อมั่นในระบบการเมือง สถาบนั การเมอื ง และประชาธิปไตย
๒๑ ๑๒) ขาดการกาหนดทิศทางการปกครองท้องถิ่นท่ีชัดเจน รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ไม่มีการบัญญัติเก่ียวกับทิศทางของการปกครองท้องถิ่น และการกระจายอานาจท่ีชัดเจน อีกทั้งยังตัดข้อความ “ความเป็นอิสระแก่ท้องถ่ินตามหลักแห่งการปกครอง ตนเอง” ทาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินสูญเสียความเป็นอิสระในการกาหนดนโยบายและการดาเนินงาน และสง่ ผลตอ่ การจัดบรกิ ารสาธารณะใหแ้ กป่ ระชาชน และการพฒั นาประชาธปิ ไตยระดบั ทอ้ งถนิ่ ๔.๓.๓ ข้อเสนอแนะในเชงิ หลักการ ๑) ควรมีการปฏิรูปการเมือง ซึ่งควรประกอบด้วยบุคคลท่ีเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพ่ือให้เกิดการยอมรับในเบ้ืองต้นอันจะนามาสู่ความร่วมมือกันอย่างแท้จริงในการออกแบบระบบการเมือง ร่วมกันเพ่ืออนาคต โดยรัฐบาลต้องไม่แทรกแซงการทางานในกระบวนการปฏิรูปการเมือง และทาหน้าที่ เพียงแต่สนับสนุนและอานวยความสะดวกเท่าน้ัน และในการปฏิรูปการเมือง ต้องปฏิรูปในภาพกว้าง และเป็นองค์รวม คือต้องปฏิรูปทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ เพราะทุกภาคส่วนมีความเกี่ยวเนื่องกัน และต่างได้รบั ผลกระทบซ่ึงกันและกัน ๒) กาหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติและบริหาร ควรแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพ่ือกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอานาจระหวา่ งกัน ๓) การดาเนนิ การแกไ้ ขเกี่ยวกับพรรคการเมือง (๑) ปรับแก้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบที่เกี่ยวข้อง โดยส่งเสริมใหม้ ีการตั้งพรรคการเมืองไดโ้ ดยง่าย มุง่ เน้นเจตนารมณ์และอดุ มการณท์ ี่เหมือนกันในทางการเมือง ของประชาชนเปน็ สาคญั (๒) ควรสนับสนุนให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง และไม่ถูกยุบง่าย เพราะเปน็ หัวใจของประชาธปิ ไตย ๔) การทาหนา้ ทีข่ ององคก์ รอิสระ (๑) กรณีผู้ตรวจการเลือกต้ัง เห็นควรปรับโครงสร้างในการควบคุมกากับ ดูแลการเลือกต้ังในระดับจังหวัดในรูปแบบคณะกรรมการ โดยให้ปฏิบัติหน้าท่ีในช่วงระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกา ให้มีการเลือกต้ัง ส.ส. และ ส.ว. จนกระท่ังประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ทั้งน้ี โดยสรรหาจากบุคคลที่มีความรู้ มีประสบการณ์ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่เป็นข้าราชการประจาและเจ้าหน้าท่ีของรัฐ เพ่อื มิให้ถูกครอบงาและให้การเลือกต้ังเป็นไปด้วยความสุจรติ เทีย่ งธรรม (๒) องค์กรอิสระต้องทางานโดยปราศจากการแทรกแซงของนักการเมือง พรรคการเมอื ง และรัฐบาล (๓) ควรวางระบบการตรวจสอบการทางานขององค์กรอิสระใหช้ ัดเจน (๔) ควรมีหน่วยงานอิสระอื่น หรือมีคณะกรรมการชุดพิเศษ ทาหน้าที่ ตรวจสอบคุณภาพของกระบวนการตรวจสอบอีกหนึ่งช้ัน โดยอาจมีบทบาทในประเด็นตรวจสอบท่ีสังคม ให้ความสนใจเป็นพิเศษหรอื เปน็ ประเด็นทีเ่ กิดผลกระทบในวงกว้าง เป็นต้น
๒๒ ๕) การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน (๑) ควรให้มีการกาหนดขั้นตอนของการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถพิสูจน์ได้ทุกขั้นตอน รวมทั้งข้ันตอนและช่องทางเพ่ือให้ สามารถตรวจสอบได้ (๒) ต้องวางหลักเกณฑ์ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในโครงสร้างทางการเมือง โดยเฉพาะการตรวจสอบการใชอ้ านาจรฐั และการมีส่วนร่วมในกลไกทางการเมอื งทุกข้นั ตอน ทกุ ระดบั (๓) สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการใช้อานาจทางการเมืองของประชาชน ในชุมชนท้องถิ่น และการกระจายอานาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความรู้ความเข้าใจระบบ การเมืองและสถาบนั การเมืองใหก้ บั ประชาชนในชุมชนทอ้ งถ่นิ ๖) เห็นควรปรับปรุงกฎหมายที่เก่ียวข้องเพ่ือเพ่ิมบทบาทขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นและการกระจายอานาจ อาทิ กฎหมายรายได้ท้องถิ่น กฎหมายจัดต้ัง กฎหมายที่ให้อานาจ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในการจัดบริการสาธารณะ ให้ความเป็นอิสระแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ลดการกากับดูแลท่ีไม่จาเป็น และส่งเสริมให้มีการจัดต้ังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ อาทิ การกระจาย อานาจการปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยให้มีการเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดของตนเอง เพ่ือการพัฒนาได้ ตรงตามประสงคข์ องพ้ืนที่ และเป็นระบบประชาธิปไตยท่ีแท้จรงิ ๗) ควรจะได้มีการศึกษาวิจัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกหมวด ทุกมาตรา โดยนักวิชาการท่ีเป็นอิสระและได้รับการยอมรับ และควรท่ีจะได้ศึกษาและเปรียบเทียบกับรูปแบบ ของตา่ งประเทศ เพอ่ื จะไดน้ ามาปรับใชไ้ ด้อยา่ งเหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศไทย ๔.๓.๔ ข้อเสนอท่มี ตี อ่ บทบญั ญตั ิที่เกี่ยวข้อง 1) กาหนดอานาจหน้าท่ีของสถาบันการเมือง และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ใหช้ ัดเจน โดยยึดหลักการแบง่ แยกอานาจ และหลักนติ ธิ รรมอยา่ งเคร่งครดั 2) เหน็ ควรแกไ้ ขรัฐธรรมนญู เกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. หลกั เกณฑ์การเลือกตง้ั ส.ส. 3) กาหนดให้มีสภาเดยี ว (ยกเลิกวุฒิสภา) 4) แก้ไขบทบัญญัติที่เก่ียวกับการได้มาของ ส.ว. โดยกาหนดว่าผู้สมัคร ส.ว. ควรมาจากตัวแทนกลุ่มอาชีพตามที่รฐั ธรรมนญู กาหนด และไม่ควรมอี านาจเลือกนายกรัฐมนตรี 5) ควรจากัดสิทธิการเป็น ส.ส. โดยใช้กรอบการดารงตาแหน่งไม่เกินจานวน สมัยหรือจานวนปี และกรอบการจากัดสิทธิการเป็นสมาชิกสภาทางสายโลหิตหรือสายสัมพันธ์ทางตระกูล ตดิ ตอ่ กันไม่เกนิ สามช่วั คนหรือตามกรอบที่สามารถป้องกนั การสบื ทอดและสรา้ งอทิ ธิพลในระยะยาว 6) หากจะมีการกาหนดให้ ส.ว. มีอานาจเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ว. ควรมีที่มา ทีย่ ดึ โยงกับประชาชนผา่ นการเลอื กต้งั จากกลุม่ อาชพี แบบ Register vote 7) ควรกาหนดให้ ส.ว. เป็นตัวแทนสาขาวิชาชีพ และ ส.ส. เป็นตัวแทน ของพื้นที่ และออกแบบการได้มาให้เหมาะสม 8) กรณีหากจะใช้การเลือกต้ังแบบบัตร ๒ ใบ ควรให้ ส.ว. มีสิทธิลงคะแนน ไมไ่ ว้วางใจร่วมกับ ส.ส. ได้ 9) รัฐธรรมนูญต้องบัญญัติหลกั เกณฑก์ ารคานวณหาสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อไว้อยา่ งชดั เจน ไม่ซบั ซอ้ น เพอ่ื ใหส้ ามารถประกาศผลเลอื กต้ังและจัดต้งั รฐั บาลได้โดยเร็ว
๒๓ ๑๐) ควรกาหนดว่าเมื่อพรรคการเมืองถูกยุบ ต้องถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน และไมส่ ามารถย้ายพรรคได้ ๑๑) ควรแบ่งเขตการเลือกต้ังใหม่และกาหนดจานวนคะแนนเสียงต้องไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๗๐ ของประชาชนทงั้ หมดในเขตจงึ มสี ิทธิเปน็ ส.ส. ๑2) การดาเนนิ การแกไ้ ขเกย่ี วกับระบบเลือกตั้ง (๑) แก้ไขระบบการเลือกตั้งให้มีความเป็นสากล โดยเปน็ ระบบผสมระหว่าง เสียงข้างมากและระบบสดั สว่ น และบตั รเลือกตั้งต้องแยกเปน็ ๒ แบบอย่างชดั เจน (๒) ควรแก้ไขระบบการเลือกตั้งเพื่อลดปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนในการ คานวณจานวน ส.ส. (๓) เมื่อพบการกระทาความผิดต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม และเสมอภาค และควรมกี ารดาเนินทางกฎหมายกับการซือ้ ขายเสียงอยา่ งจริงจงั และมขี ัน้ ตอนท่ถี กู ต้อง (๔) พิจารณาทบทวนเร่ือง Primary vote ๑๔) รัฐมนตรแี ละนายกรัฐมนตรี (๑) กาหนดวาระของรฐั มนตรี รองนายกรัฐมนตรี ไม่เกนิ ๘ ปี เชน่ เดยี วกับ นายกรฐั มนตรี เพ่อื เปดิ โอกาสบคุ คลท่ีมีความรู้ ความสามารถไดเ้ ขา้ รว่ มบรหิ ารประเทศได้ (๒) นายกรัฐมนตรคี วรมาจาก ส.ส. (๓) ควรมีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงหรือเปล่ียนรูปแบบการปกครอง มาเปน็ ระบบประธานาธิบดอี ันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ๑๕) ควรเปิดโอกาสให้มีการก่อต้ังพรรคการเมืองได้มากขึ้นและเงื่อนไข ในการยบุ พรรคหรือตรวจสอบการดาเนนิ การของพรรคการเมืองใหม้ ีความเครง่ ครดั มากขึน้ ๑๖) กาหนดโทษสาหรบั นักการเมอื งที่กระทาผิดวินัย ผดิ พฤติกรรม ผิดศลี ธรรม จริยธรรม กระทาการให้รัฐเสียหายต้องพ้นจากการเป็นนักการเมือง และควรกาหนดโทษไม่ให้ยุ่งเก่ียว กบั การเมืองเปน็ ระยะเวลาหน่งึ ไมว่ ่าทางตรงหรือทางอ้อม ๑๗) ให้บัญญัติห้ามมิให้มีกฎหมายยุบพรรคการเมือง โดยหากบุคคลซึ่งเป็น สมาชิกพรรคการเมืองกระทาผิด ก็ให้ดาเนินคดีกับผู้นั้นเท่านั้น เพราะพรรคการเมืองเป็นศูนย์รวมอุดมการณ์ ของบุคคลที่คลา้ ยคลงึ กนั และเปน็ องค์กรสะทอ้ นความคดิ เห็นของคนกลุ่มท่ีมีเจตนารมณเ์ ดียวกนั ๑๘) อานาจหน้าท่ีและการกระทาของรัฐสภา ควรบัญญัติเรื่องการกระทาของ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือกรรมาธิการ ในการเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทาด้วยประการใด ๆ ท่ีมี ผลให้ ส.ส. ส.ว. หรือกรรมาธิการว่าห้ามมีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ให้มีความชัดเจนเพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดการกระทาผดิ 19) มาตรา ๑๒๙ ที่วา่ ด้วยการให้คณะกรรมาธิการมอี านาจเรยี กบุคคลมาชีแ้ จง ควรกาหนดให้ชดั เจนวา่ “การเรียกเชน่ วา่ นั้นไมใ่ หใ้ ช้บงั คับแกน่ ายกรฐั มนตรี หรอื รฐั มนตรี” 20) มาตรา ๑๕๐ ควรตัดถ้อยคา “โดยไมต่ ้องแจง้ ล่วงหนา้ ” ออก 21) หมวด ๑๔ การปกครองท้องถนิ่ ควรกาหนดหลักความเป็นอิสระแก่ท้องถ่ิน ตามหลักแห่งการปกครองตนเองและควรมีการกล่าวถึงการกระจายอานาจเพ่ิมเติมเพ่ือให้มีความชัดเจน มากย่งิ ขึน้
๒๔ 22) ยุบเลิกองค์กรตามรัฐธรรมนูญบางองค์กร ที่ไม่ใช่องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตามหลกั การท่ีแท้จรงิ ๔.๔ ระบบการตรวจสอบ (การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ องค์กรอิสระ การตรวจสอบ ท่ีมาและการใช้อานาจของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง องค์กรตุลาการ องค์กรอิสระ ข้าราชการ และ เจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั และ การมสี ่วนร่วมของประชาชน) จากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หน่วยงานในช่องทางต่าง ๆ ดงั ที่กล่าวไปแล้ว ขา้ งต้น สามารถสรปุ ความคาดหวงั สภาพปญั หา และขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ไดด้ งั นี้ ๔.๔.๑ ความคาดหวงั ท่ีมตี อ่ ระบบการตรวจสอบ จากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผา่ นช่องทางต่าง ๆ พบว่าโดยส่วนใหญ่ เ ห็ น ว่ า ห น่ ว ย ง า น ที่ ท า ห น้ า ที่ ต ร ว จ ส อ บ ค ว ร มี ก า ร อ อ ก แ บ บ เ ค ร่ื อ ง มื อ แ ล ะ ว า ง ก ล ไ ก ใ น ก า ร ต ร ว จ ส อ บ โดยไม่กระทาการตรวจสอบเกินกว่าอานาจอันอาจเป็นการแทรกแซงหรือควบคุมการทางานของหน่วยงานรัฐ บุคคลและองค์กรท่ีมีอานาจตรวจสอบไม่ควรก้าวล่วงการใช้ดุลพินิจในการบริหารราชการของหน่วยงานรัฐ เพ่ือให้การปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานรัฐเป็นไปอย่างยืดหยุ่น สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและเกิดประสิทธิภาพ สูงสุด ระบบการตรวจสอบควรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอานาจได้มีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดาเนินงานของหนว่ ยงานรฐั และการใช้อานาจของรฐั ระบบการตรวจสอบท่ีดีควรเป็นท่ีพึ่งให้กับประชาชนได้ รับฟังเสียงของ ประชาชน ให้ความสาคัญกับกลไกการตรวจสอบของภาคประชาชน มีความเป็นเอกภาพธารงไว้ซ่ึงความเป็น ธรรมในสังคม ไร้ซึ่งการแทรกแซง เป็นระบบการตรวจสอบที่โปร่งใส ยุติธรรม มีความทันสมัย สามารถ แสดงผลตรวจสอบได้ท้ังเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ประชาชนมีสิทธิท่ีจะเข้าถึงระบบการตรวจสอบดังกล่าว ได้อย่างอิสระและเท่าเทียมกัน สามารถทาหน้าที่แทนประชาชนในการตรวจสอบให้การบริหารราชการแผน่ ดิน เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเพื่อความยุติธรรม เป็นเคร่ืองมือกากับให้ หน่วยงานภาครฐั ดาเนินการตามแนวนโยบายแหง่ รัฐแหง่ บทบัญญตั ิรัฐธรรมนญู ทั้งน้ี ระบบการตรวจสอบและบุคคลผู้มีอานาจตรวจสอบควรมีมาตรฐาน การปฏิบัติหน้าท่ี เช่น มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ซ่ึงผลการตรวจสอบ ต้องสามารถอธิบายหรือชี้แจงให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงและประชาชนได้รับทราบ ทั้งน้ี การตรวจสอบ การใช้อานาจรฐั ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับร้นู โยบายของรัฐให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรตุลาการ ขา้ ราชการและเจา้ หน้าทีข่ องรฐั ๔.๔.๒ สภาพปญั หาทเ่ี กดิ ขึ้น ๑) ระบบการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐยังขาดความชัดเจน มีหน่วยงาน จานวนมากและมีเขตอานาจการตรวจสอบทับซ้อนระหว่างองค์กร และหน่วยงานตรวจสอบบางหน่วยงาน ท่ีเป็นองค์กรอิสระอาจใช้อานาจเกินขอบเขตของการตรวจสอบจนกลายเป็นการแทรกแซงการทางานของ หน่วยงานรัฐ และบางองค์กรใช้จานวนของการตรวจสอบเป็นตัวช้ีวัด ซ่ึงอาจทาให้เกิดปัญหาของความถูกต้อง ของการตรวจสอบ และการตรวจสอบในบางครั้งขาดหลักเกณฑ์ท่ีชัดเจน จึงเปิดโอกาสให้เกิดการใช้ดุลพินิจ ซงึ่ ถือเป็นความเสยี่ งในระบบการตรวจสอบ
๒๕ ๒) ระบบการตรวจสอบขาดความเป็นอิสระ ระบบตรวจสอบถูกแทรกแซง จากผู้มีอานาจ ดังน้ัน ทาให้การตรวจสอบมีลักษณะท่ีไม่เป็นกลาง ยังมีระบบอุปถัมภ์ ในการตรวจสอบ หากผทู้ ่ีมีอานาจในการตรวจสอบไมเ่ ป็นกลาง ใช้ดุลพินิจไม่ชอบ ผู้มีหน้าที่หรือผู้ทาหน้าที่ตรวจสอบไม่สามารถ ทาหนา้ ทไี่ ด้อยา่ งเต็มที่และเต็มความสามารถ เพราะถกู ครอบงาโดยผ้มู อี านาจทางการเมือง หรอื ผมู้ ีอทิ ธิพล ๓) การตรวจสอบท่ีเป็นอุปสรรคต่อการทางานของส่วนราชการ นอกจาก การที่ผู้มีอานาจตรวจสอบได้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายต่อหน่วยงานราชการ บางครั้งก้าวล่วงการใช้ ดุลพินิจในการปฏิบัติงานของหน่วยงานราชการ เป็นเหตุให้การปฏบิ ัติตามอานาจหน้าท่ีของหน่วยงานราชการ ลา่ ช้าและสง่ ผลกระทบต่อการปฏิบตั ริ าชการและประโยชน์สูงสุดท่ีจะเกดิ แก่ประชาชนเปน็ สาคญั ๔) ระบบการตรวจสอบท่ีเข้าไม่ถึง รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้บรรดาคาส่ังหรือ การกระทาใด ๆ ของหัวหน้าคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาตโิ ดยความเห็นชอบของคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ ซ่ึงมีสถานะเป็นคาส่ังหรือกระทาหรือการปฏิบัติท่ีชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด ปฏิบัติ ตามประกาศหรือคาส่ังนั้นไม่ว่าจะกระทาก่อนหรือหลังวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ เป็นประกาศหรือคาส่ัง หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย และชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด ซ่ึงหมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่มีอานาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบรรดาคาสั่ง ประกาศและการกระทาดังกล่าว ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อสิทธ์ิและเสรีภาพของประชาชน อันเป็นสาระสาคัญของหลักการตรวจสอบ และการถ่วงดุลการใช้อานาจซ่ึงเป็นหลักสาคัญของการปกครองระบบประชาธิปไตยของรัฐเสรีประชาธิปไตย และบางกรณใี นปจั จุบันยงั มีหลายหน่วยงานของรัฐท่ีระบบตรวจสอบเข้าไม่ถงึ หรอื เข้าถึงกไ็ ม่สามารถตรวจสอบ ไดจ้ ริง ๕) ขาดกลไกในการให้อานาจประชาชนในการตรวจสอบ ไม่มีการออกแบบ ระบบ/กลไกในการตรวจสอบการดาเนินงานขององค์กรอิสระ และแม้มีประชาชนที่ร้องเรียนผ่านระบบต่าง ๆ แต่อานาจจากประชาชนก็ไม่สามารถมีอานาจในการสร้างสมดุลของอานาจขององค์กรอิสระ จนอาจทาให้ องค์กรอิสระต่าง ๆ ใช้อานาจและหน้าท่ี ตลอดจนการใช้ดุลพินิจขององค์กรได้อย่างอิสระจนอาจเกินกว่า อานาจท่ีถูกบัญญัติไว้ นอกจากนี้ การที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงระบบการตรวจสอบได้มากพอ ส่งผลต่อ ความเช่ือม่ันในการตรวจสอบ อีกท้ังรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ยังไม่ให้อานาจประชาชนเข้าชื่อเพื่อถอดถอน ผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองเช่นในอดตี ๖) ที่มาของผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ การให้อานาจ ส.ว. ในการสรรหา ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระทั้ง ๗ หน่วยงาน ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกต้ัง (กกต.) ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา จึงทาให้เกิดข้อครหาในการเอ้ือผลประโยชน์ระหว่างกัน ความเหมาะสม และความสามารถของผู้ได้รับคัดเลือกให้ดารงตาแหน่งสาคัญในระบบการตรวจสอบ ซ่ึงส่งผลโดยตรงต่อ ความเชอ่ื ม่นั ของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมและระบบการตรวจสอบ ๗) ระบบตรวจสอบท่ีล่าช้า ระบบการตรวจสอบในปัจจุบันยังมีความล่าช้า ไมท่ นั ต่อสถานการณใ์ นปัจจบุ ัน และบางกรณีใชร้ ะยะเวลานานในการตรวจสอบ
๒๖ ๘) ระบบตรวจสอบที่ทาให้เกิดความไม่เสมอภาคในการตรวจสอบ รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ได้วางกลไกในการตรวจสอบการใช้อานาจของรัฐไวเ้ ป็นอย่างดี แต่การตรวจสอบเป็นไปได้ ยากในทางปฏิบัติเพราะหน่วยงานของรัฐสามารถพิสูจน์ได้โดยการแสดงหลักฐานจากการปฏิบัติงาน ซึ่งโดยทั่วไปหลักฐานน้ันรัฐเป็นผู้จัดทาข้ึนเองเป็นส่วนใหญ่ จึงเกิดความไม่เสมอภาคข้ึนระหว่างหน่วยงาน ของรัฐและประชาชน โดยอาจเป็นช่องว่างทาให้ไม่สามารถตรวจสอบการใช้อานาจรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทงั้ การใช้ดลุ พินจิ เพื่อประโยชน์ของพวกพ้องโดยไม่ตรวจสอบใหเ้ ปน็ มาตรฐานเดยี วกนั ๙) การใช้ระบบตรวจสอบเป็นเคร่ืองมือในทางท่ีมิชอบ ปัจจุบันพบว่ามีการ ใช้ระบบการตรวจสอบกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม ทาให้เกิดความไม่ยุติธรรมในระบบการบริหาร รวมท้ัง ระบบตรวจสอบไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีประสิทธิภาพ อยู่ภายใต้การควบคุม กากับ ของผู้มีอานาจในทางการเมือง ขาดความเป็นอสิ ระอยา่ งแท้จริง อกี ทั้งฝ่ายนติ ิบัญญัตมิ คี วามสมั พันธก์ บั ฝ่ายรัฐบาลหรือฝา่ ยบรหิ ารอยา่ งใกล้ชิด ๑๐) ระบบตรวจสอบท่ีขาดความน่าเชื่อถือ การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรภายใต้ ระบบการตรวจสอบไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน และเร่ิมเกิดกระแสขาดความเชื่อมั่นขององค์กรต่าง ๆ ภายใต้ระบบการตรวจสอบ ทาให้กลไกบางประการในระบบการตรวจสอบไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพเพ่อื ประโยชน์สงู สุดของประชาชนทีแ่ ท้จริง ๔.๔.๓ ขอ้ เสนอแนะในเชงิ หลกั การ ๑) สร้างกระบวนการตรวจสอบโดยประชาชน ประชาคม โดยควรมีการ ทาประชาพิจารณ์ เพ่ือทราบความต้องการหรือความเห็นของประชาชน หรือการแสดงประชามติ ในส่วนท่ี เกี่ยวกับนโยบายสาคัญ ๒) กาหนดให้มีการตรวจสอบขององค์กรอิสระโดยประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาครัฐร่วมกัน โดยในการตรวจสอบในแต่ละด้านควรมีมากกว่าหน่ึงองค์กรท่ีทาหน้าท่ี ในการตรวจสอบ หรือการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ให้มีตัวแทน ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบองค์กรต่าง ๆ ได้มากขึ้น หรือเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสีย เข้ามาตรวจสอบ หรือรับทราบ ติดตาม ประเมินผลการทางานอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม อาทิ กลุ่มเยาวชน ผสู้ ูงอายุ ผพู้ กิ าร ประชาชนทวั่ ไป และเครือขา่ ยผบู้ ริโภคทท่ี างานด้านคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น ๓) ประชาชนมีส่วนร่วมในการริเริ่ม เช่น การเข้าชื่อถอดถอนผู้ดารงตาแหน่ง ให้ออกจากตาแหน่ง และการเสนอเรื่องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินโดยองค์กรของรัฐ เช่น การควบ คุม โดยองคก์ รศาล และการควบคมุ ตรวจสอบโดยองค์กรอ่นื ๆ ๔) หน่วยงานท่ีมีหน้าที่ตรวจสอบ ตามระบบการตรวจสอบต้องปฏิบัติ ตามอานาจหน้าท่ีของตนท่ีได้กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายอ่ืน ๆ และควรมีการให้ข้อมูล หน่วยงานราชการในเร่ืองดังกล่าวเพื่อให้เข้าใจระบบการตรวจสอบไปในทางทิศทางเดียวกัน รวมทั้งควรมี การบูรณาการระบบการทางานขององค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทาหน้าท่ีในการตรวจสอบ เพ่ือให้การ ตรวจสอบเป็นไปในมาตรฐานเดียวกนั ๕) ควรมีองค์กรที่ทาหน้าที่ตรวจสอบการใช้อานาจและหน้าท่ีขององค์กรอิสระ และองค์กรตรวจสอบดังกล่าวต้องเป็นองค์กรที่ยึดโยงกับภาคประชาชนด้วยการกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อยา่ งชดั เจน
๒๗ ๖) ควรมีการทบทวนและปรับปรุงวิธีการสรรหา ส.ว. ซ่ึงจะมาทาหน้าท่ีคัดสรร ผู้มาดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ จนถึงวิธีการการคัดเลือกผู้ท่ีจะมาดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระให้มีความ เหมาะสม โดยรับฟังเสียงประชาชน เปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพ่ือให้เป็นไปตาม แนวนโยบายแห่งรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญท่ีกาหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมตลอดทั้งการตัดสินใจ ทางการเมือง และบรรดาการใด ๆ ทีอ่ าจมีผลกระทบตอ่ ประชาชนหรอื ชุมชน ๗) มีกระบวนการ กลไกในการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาทาหน้าที่ตรวจสอบ โดยคัดเลือกคนท่ีเป็นกลางมาจากหลายภาคส่วน มีกลไกที่จะตรวจสอบความเป็นธรรมาภิบาลของระบบ การตรวจสอบ ๘) เจ้าหน้าที่รัฐที่ทาหน้าที่ตรวจสอบ ความอิสระของการตรวจสอบ ความเช่ียวชาญของการตรวจสอบ ความโปร่งใสของเอกสารตรวจสอบ ควรเป็นคนที่ประชาชนไว้วางใจและ มีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ระบบการคัดสรรบุคคลท่ีมีหน้าที่ตรวจสอบต้องเคร่งครัดมากข้ึน และควรมบี ทลงโทษต่อเจ้าหนา้ ที่ของรัฐท่ีปฏิบตั ิหนา้ ทบ่ี กพร่องหรือเลอื กปฏิบัติ ๙) ควรพัฒนาหรือนาเทคโนโลยี AI มาช่วยในการตรวจสอบ และเพ่ิมช่อง ทางการตรวจสอบดว้ ยสอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ เพื่อความสะดวกรวดเรว็ ทนั การณ์ และแกไ้ ขปญั หาไดท้ นั ท่วงที ๑๐) แก้กฎหมายให้มีการตรวจสอบการใช้งบลับเพื่อประโยชน์ทางราชการ และสว่ นรวม ท้ังน้ี อาจไมต่ ้องเปดิ เผยตอ่ สาธารณชน ๑๑) ผู้ท่จี ะเขา้ มาเป็นกรรมการในองค์กรอิสระไมค่ วรเปน็ ตารวจ ทหาร ๑๒) หน่วยงานท่ใี ช้อานาจตรวจสอบตอ้ งมีการตรวจสอบทีโ่ ปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ กับฝ่ายใดฝา่ ยหน่ึง เพื่อใหเ้ กดิ ความไวว้ างใจและยอมรบั จากผไู้ ด้รับการตรวจสอบ ๑๓) ปฏิรูปการทาหน้าท่ีของคณะกรรมการ กรรมาธกิ ารต่าง ๆ ต้องสรา้ งทัศนคติ ท่ีดี ให้คานึงถึงหลักคุณธรรม คานึงถึงศักดิ์ศรีของการทาหน้าท่ี การกาหนดคุณสมบัติ อานาจหน้าที่ ขนั้ ตอนการตรวจสอบน่าจะกระทาไดโ้ ดยตรง โดยไม่ต้องผา่ นระบบรัฐสภาเพ่ือให้การตรวจสอบมีประสทิ ธภิ าพ ๑๔) องค์กรที่มีอานาจตรวจสอบ ควรจะมาจากการเลือกตั้งและสรรหาจากผู้มี ความเชย่ี วชาญในเรือ่ งนั้น ๆ โดยไดร้ ับการยอมรับจากหนว่ ยงานและประชาชน ๑๕) การแต่งตั้งผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรตรวจสอบ ต้องไม่ให้ฝ่ายการเมือง เป็นผู้แต่งตง้ั เพราะจะเปน็ การชว่ ยเหลอื เกอ้ื กูลกัน และทาให้ระบบการตรวจสอบไรซ้ ึ่งประสิทธิภาพ ๑๖) กาหนดให้องค์กรตรวจสอบปฏิบัติหน้าท่ีโดยยึดหลักนิติรัฐ (Legal State) และหลักนิติธรรม (The Rule of Law) และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เป็นไปในทางเดียวกันและเสมอภาค ตอ่ ประชาชนทุกระดบั ๑๗) ควรมีการตรวจสอบอย่างเปิดเผยและรวดเร็ว โดยจะต้องชี้แจงผลการตรวจสอบ ให้ประชาชนทราบ โดยปราศจากขอ้ สงสัย ๑8) ควรแก้ไขกลไกและกระบวนการตรวจสอบทั้งกระบวนการได้มาและอานาจ หน้าทข่ี องกระบวนการตรวจสอบท่ีใหอ้ งคก์ รสามารถปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีได้อย่างอสิ ระอย่างแท้จรงิ
๒๘ 19) การปฏิบัติหน้าที่ในระบบการตรวจสอบของบางองค์กร ส่งผลกระทบในทาง การเมือง ย่อมต้องสร้างความไม่พอใจแก่ฝ่ายท่ีสูญเสียประโยชน์ ทาให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากทั้ง ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล ส่ือมวลชนเป็นปัจจัยสาคัญในการนาเสนอข่าวและ ถ่ายทอดความเข้าใจให้กับประชาชน ดังน้ัน จึงควรให้ส่ือมวลชนได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนนาเสนอข่าว ในเร่ืองการตรวจสอบต่าง ๆ โดยภาครัฐมีส่วนสาคัญในการเผยแพร่และเสริมสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ในทุกระดับ ขณะเดียวกันรัฐต้องกาหนดมาตรการในการตรวจสอบอานาจรัฐโดยประชาชนอย่างมีความ ยตุ ธิ รรม ๒0) แก้ระบบการสรรหาองค์กรอิสระ เช่น ให้ภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วม ในระบบสรรหาและผเู้ ปน็ องค์กรอสิ ระควรมาจากกลุม่ คนท่ีหลากหลายเพ่ือเพ่ิมระบบตรวจสอบกนั เอง เปน็ ต้น ๒1) กาหนดแนวทางให้มีระบบการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเปน็ กลาง โดยต้องเน้น ในคุณภาพของการตรวจสอบ อีกทั้งบุคคลากรที่ตรวจสอบต้องมีความรู้ในการตรวจสอบพร้อมกับมีคุณธรรม ไปดว้ ยกัน ๒2) การตรวจสอบภาครัฐ ควรมีองค์กรอิสระที่ทาหน้าที่ด้านการตรวจสอบ ไมข่ ึ้นกบั องค์กรใด/การเมือง/หน่วยงานราชการ เพื่อใหก้ ารตรวจสอบมคี วามโปร่งใส ยตุ ิธรรมแก่ทกุ ภาคส่วน ๔.๔.๔ ข้อเสนอที่มีตอ่ บทบัญญัติท่ีเกีย่ วข้อง ๑) มาตรา ๑๗๘ ควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขถ้อยคาให้มีความชัดเจนย่ิงขึ้น โดยเฉพาะถ้อยคาของมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “... หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความ มั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบ ของรัฐสภา” และมาตรา ๑๗๘ วรรคสาม ที่บัญญัติว่า “หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความม่ันคง ทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับ การค้าเสรี…” เป็น “... หนงั สือสัญญาที่มเี นอ้ื หาสาระท่สี ่งผลกระทบต่อการค้าเสรีอย่างกวา้ งขวาง อันจะสง่ ผล กระทบต่อโครงสร้างทางสังคมหรือทางเศรษฐกิจ หรือส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุนในระดับชาติ ” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และป้องกันไม่ให้หนังสือสัญญาที่เกี่ยวกับการค้า เสรีทุกฉบับต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ซ่ึงจะเป็นภาระและอุปสรรคต่อการทาความตกลงระหว่าง ประเทศท่เี กี่ยวกบั การค้าเสรี ๒) ควรบัญญตั ิเร่ืองการรบั รองสิทธขิ องประชาชนให้มสี ิทธิเข้าชื่อรอ้ งเพื่อถอดถอน บคุ คลออกจากตาแหนง่ ไวใ้ นรฐั ธรรมนญู ๒๕๖๐ ๓) ควรจากัดกรอบการใช้อานาจศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน และควรแก้ไข มาตรา ๗๔ ของพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยวิธพี จิ ารณาของศาลรฐั ธรรมนญู ๒๕๖๑ ๔) ควรปรับปรุงแกไ้ ขกระบวนการสรรหา และวิธีการไดม้ าซงึ่ ตาแหน่งกรรมการ ในองค์กรอิสระ โดยสร้างระบบสรรหา แต่งตั้งจากบุคลากรผู้ทาหน้าที่ในองค์กรดังกล่าวให้สอดคล้องกับ แนวทางประชาธิปไตย กล่าวคือ ต้องทาให้องค์กรอิสระหรือผู้ทาหน้าที่การตรวจสอบมีอานาจเหนือการเมือง อยา่ งแท้จริง เพ่อื สร้างความม่ันใจให้แกป่ ระชาชน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 685
Pages: