Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_06

tripitaka_06

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:31

Description: tripitaka_06

Search

Read the Text Version

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 1พระวินยั ปฎก เลมที่ ๔มหาวรรค ภาคท่ี ๑ขอนอบนอ มแดพระผมู ีพระภาคอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา พระองคน ัน้มหาขนั ธกะโพธกิ ถา ปฏิจจสมปุ บาทมนสิการ[๑] โดยสมัยนน้ั พระผูมพี ระภาคเจา แรกตรสั รปู ระทับอยู ณ ควงไมโพธพิ ฤกษใ กลฝ ง แมน าํ้ เนรญั ชรา ในอุรเุ วลาประเทศ ครงั้ นัน้ พระผูม-ีพระภาคเจาประทบั นงั่ ดวยบลั ลงั กเดียว เสวยวมิ ุตตสิ ุข ณ ควงไมโพธพิ ฤกษตลอด ๗ วัน และทรงมนสกิ ารปฏิจจสมปุ บาทเปน อนโุ ลมและปฏโิ ลม ตลอดปฐมยามแหงราตรี วาดังน้:ี -ปฏิจจสมุปบาท อนุโลมเพราะอวชิ ชาเปนปจ จยั จงึ มีสังขารเพราะสังขารเปนปจ จัย จงึ มวี ญิ ญาณเพราะวญิ ญาณเปน ปจ จัย จึงมีนามรปูเพราะนามรปู เปน ปจ จยั จงึ สฬายตนะเพราะสฬายตนะเปน ปจจยั จึงมผี ัสสะ

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 2เพราะผัสสะเปนปจจยั จึงมเี วทนาเพราะเวทนาเปนปจ จยั จึงมีตัณหาเพราะตณั หาเปนปจ จัย จงึ มีอุปาทานเพราะอุปาทานเปน ปจจยั จึงมีภพเพราะภพเปน ปจจยั จึงมชี าติเพราะชาติเปนปจ จัย จงึ มีชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข โทมนัส อปุ ายาส.เปน อันวากองทกุ ขทง้ั มวลน่นั ยอมเกิด ดวยประการฉะน.้ี ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏโิ ลมอน่ึง เพราะอวชิ ชาน่ันแหละดับโดยไมเ หลอื ดว ยมรรคคอื วริ าคะสงั ขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วญิ ญาณจึงดบัเพราะวญิ ญาณดับ นามรูปจึงดบัเพราะนามรูปดับ สฬายตนะจงึ ดบัเพราะสฬายตนะดบั ผสั สะจงึ ดบัเพราะผสั สะดับ เวทนาจึงดบัเพราะเวทนาดบั ตณั หาจึงดบัเพราะตณั หาดับ อุปาทานจงึ ดับเพราะอปุ ทานดบั ภพจงึ ดับเพราะภพดับ ชาตจิ ึงดบัเพราะชาตดิ ับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข โทมนัส อุปยาส จงึ ดับ.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 3 เปน อนั วากองทุกขท ัง้ มวลน่ันยอ มดับ ดวยประการฉะน.ี้ ลาํ ดับนัน้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงทราบเน้ือความนัน้ แลว จึงทรงเปลง อุทานนใ้ี นเวลานั้น วาดังน:้ี - พุทธอทุ านคาถาท่ี ๑ เมื่อใดแล ธรรมทัง้ หลาย ปรากฏ แกพ ราหมณ ผูมเี พยี รเพงอยู เมือ่ นัน้ ความ สงสัยท้งั ปวง ของพราหมณนน้ั ยอมสิ้นไป เพราะมารูธรรมพรอ มทั้งเหต.ุ [๒] ลาํ ดับนนั้ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงมนสกิ ารปฎจิ จสมปุ บาท เปนอนุโลม และปฏโิ ลมตลอดมชั ฌิมยามแหงราตรี วา ดงั นี้ :-ปฏจิ จสมุปบาท อนโุ ลมเพราะอวิชาเปนปจ จยั จึงมสี งั ขารเพราะสงั ขารเปน ปจจยั จงึ มีวญิ ญาณเพราะวิญญาณเปน ปจ จัย จึงมีนามรปูเพราะนามรปู เปนปจ จัย จึงมสี ฬายตนะเพราะสฬายตนะเปน ปจ จยั จึงมผี ัสสะเพราะผัสสะเปนปจ จัย จงึ มีเวทนาเพราะเวทนาเปนปจจัย จงึ มตี ัณหาเพราะตณั หาเปน ปจจยั จึงมีอุปาทานเพราะอปุ าทานเปนปจจยั จึงมภี พเพราะภพเปน ปจจัย จงึ มชี าติ

พระวินยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 4 เพราะชาติเปน ปจจัย จงึ มีชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข โทมนัส อปุ ายาส. เปนอนั วากองทกุ ขทงั้ มวลน่นั ยอ มเกดิ ดว ยประการฉะน้.ี ปฏิจจสมุปาท ปฏโิ ลมอนงึ่ เพราะอวิชชาน่ันแหละดบั โดยไมเหลือ ดว ยมรรคคือวริ าคะสงั ขาร จงึ ดับเพราะสังขารดับ วญิ ญาณจงึ ดับเพราะวญิ ญาณดบั นามรูปจงึ ดับเพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดบัเพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดบัเพราะผัสสะดบั เวทนาจึงดบัเพราะเวทนาดบั ตัณหาจงึ ดับเพราะตณั หาดับ อปุ าทานจงึ ดบัเพราะอุปาทานดบั ภพจึงดบัเพราะภพดบั ชาติจึงดับเพราะชาติดบั ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส อปุ ายาส จึงดบั .เปนอันวา กองทุกขทัง้ มวลนัน่ ยอมดบั ดว ยประการฉะน้.ีลาํ ดับนนั้ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงทราบเนอ้ื ความนน้ั แลว จึงทรงเปลง อุทานน้ีในเวลานน้ั วาดังน้:ี -

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 5พทุ ธอทุ านคาถาท่ี ๒เม่อื ใดแล ธรรมทัง้ หลายปรากฏแกพราหมณ ผมู เี พยี รเพงอยู เมือ่ นัน้ ความสงสัยทง้ั ปวง ของพราหมณน น้ั ยอ มสิ้นไปเพราะไดร คู วามสน้ั แตง ปจจยั ทั้งหลาย.[๓] ลาํ ดับน้ัน พระผูมพี ระภาคเจา ทรงมนสิการปฏิจจสมปุ บาท เปนอนุโลมและปฏโิ ลม ตลอดปจฉมิ ยามแหง ราตรี วาดงั น้:ี -ปฏิจจสมุปบาท อนโุ ลมเพราะอวิชชาเปน ปจจยั จึงมีสงั ขารเพราะสังขารเปนปจจยั จงึ มีวิญญาณเพราะวิญญาณเปนปจ จัย จึงมีนามรปูเพราะนามรปู เปนปจ จัย จงึ มสี ฬายตนะเพราะสฬายตนะเปน ปจ จัย จงึ มผี สั สะเพราะผัสสะเปน ปจจยั จึงมีเวทนาเพราะเวทนาเปน ปจ จัย จงึ มีตณั หาเพราะตณั หาเปนปจจยั จงึ มอี ปุ าทานเพราะอปุ าทานเปน ปจจัย จงึ มีภพเพราะภพเปนปจจยั จึงมชี าติเพราะชาติเปนปจ จยั จึงมชี รา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข โทมนั ส อุปายาส.เปน อันวา กองทุกขท้ังมวลนน่ั ยอมเกดิ ดวยประการฉะนี้.

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 6 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏิโลมอนึง่ เพราะอวิชชานัน่ แหละดบั โดยไมเ หลือ ดวยมรรคคอื วิราคะสงั ขาร จงึ ดับ เพราะสงั ขารดับ วิญญาณจงึ ดับเพราะวิญญาณดับ นามรปู จงึ ดับเพราะนามรูปดบั สฬายตนะจึงดับเพราะสฬายตนะดบั ผสั สะจงึ ดบัเพราะผัสสะดบั เวทนาจงึ ดับเพราะเวทนาดับ ตณั หาจงึ ดบัเพราะตณั หาดับ อปุ าทานจึงดับเพราะอุปาทานดับ ภพจงึ ดบัเพราะภพดบั ชาติจึงดับเพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะทุกข โทมนสั อุปายาส จึงดบั .เปน อันวา กองทุกขท ้งั มวลนน่ั ยอมดับ ดวยประการฉะน้.ีลาํ ดับนนั้ พระผมู พี ระภาคเจาทรงทราบเนือ้ ความนน้ั แลว จงึ ทรงเปลงอุทานน้ีในเวลานน้ั วาดังนี้:- พุทธอทุ านคาถาท่ี ๓ เมอ่ื ใดแล ธรรมท้ังหลาย ปรากฏแกพราหมณ ผมู เี พยี รเพง อยู เมอื่ นัน้พราหมณน ัน้ ยอ มกาํ จดั มารและเสนาเสยี ไดดุจพระอาทติ ยอ ุทัยทาํ อากาศใหส วาง ฉะนั้น. โพธิกถา จบ

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 7 ตติยสมันตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวินยั ปฎ ก มหาขนั ธกวรรณนา มหาวรรค อปโลกถา พระมหาเถระท้ังหลาย ผูรเู นื้อความในขันธกะ ไดส ังคายนาขันธกะอันใด เปน ลาํ ดับแหง การสงั คายนาปาติโมกขท้ัง ๒. บัดน้ถี งึ ลําคบั สงั วรรณนาแหงขันธกะนัน้ แลว , เพราะฉะน้ัน สังวรรณนาน้จี ึงเปน แตอธบิ ายความยังไมชัดเจนแหงขนั ธกะนั้น, เน้อื ความเหลา ใด แหง บทเหลา ใด ขาพเจาท้ังหลายไดป ระกาศแลว ในบทภาชนีย ถาวาขา พเจา จะตอ งกลาวซํ้าเน้ือความเหลานัน้แหงบทเหลา นั้นอีกไซร, เมอื่ ไรจักจบ. สวนเนอ้ื ความเหลาใดชดั เจนแลว จะมีประโยชนอ ะไรดว ยการสังวรรณนาเนอ้ื ความเหลาน้ัน. ก็แลเนอื้ ความเหลา ใดยงั ไมชัดเจน ดวยอธบิ ายและอนุสนธิ และดว ยพยัญชนะ เนอ้ื ความเหลา นั้นไมพรรณนาไวใคร ๆ กไ็ มส ามารถจะทราบได. เพราะฉะน้นั จึงมีสงั วรรณนานยั เนือ้ ความเหลานนั้น ดงั นี:้ - อรรถกถาโพธกิ ถา ในคําวา เตน สมเยน พทุ ฺโธ ภควา อุรุเวลาย วิหรติ นชชฺ าเนรชฺ ราย ตเี ร โพธริ ุกฺขมเู ล ปฐมาภสิ มฺพุทฺโธ น้ี. ถึงจะไมม เี หตุพเิ ศษเพราะตตยิ าวภิ ตั ติ เหมอื นในคาํ ทีว่ า เตน สม-เยน พทุ โฺ ธ ภควา เวรชฺ ย เปนตน ก็จริงแล, แตโวหารน้ี ทา นยกข้นึ ดวยตติยาวิภตั ตเิ หมอื นกัน เพราะเพงวินัย เพราะฉะน้ัน ผศู ึกษาพึง

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 8ทราบสันนิษฐานวา คาํ นน้ั ทา นกลาวตามทาํ นองโวหารทย่ี กขึ้นแตแรกนั่น เอง.ในคาํ อน่ื ๆ นอกจากคํานี้ แมอ่นื อีกแตเหน็ ปานนีก้ ็นยั นน้ั . ถามวา ก็อะไรเปน ประโยชนในการกลา วคํานั้นเลา ?. ตอบวา การแสดงเหตุทง้ั แตแรกแหง วินยั กรรมทง้ั หลาย มบี รรพชาเปน ตน เปน ประโยชน. จรงิ อยู ผูศึกษาพึงทราบวา ประโยชนในการกลาวคาํ น้ัน กค็ อื การแสดงเหตุตงั้ แตแรกแหง วินัยกรรมท้ังหลาย มีบรรพชาเปนตน เหลา นนั้ อยา งนวี้ า บรรพชาและอปุ สมบทอันใด ซงึ่ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงอนุญาตอยางน้ีวา ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทดว ยไตรสรณคมนเ หลา นี้ดงั น้ี๑ และวตั รท้ังหลายมอี ปุ ช ฌายวัตร อาจรยิ วัตรเปนตน เหลาใด ซง่ึ ทรงอนุญาตในทท่ี งั้ หลายมีกรุงราชคฤหเ ปน ตน บรรพชาอปุ สมบทและอปุ ช ฌาย-วตั รเปน ตน เหลา น้ัน พระผูมพี ระภาคเจาทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแลว ให๗ สัปคาหผา นพน ไปที่โพธิมัณฑ ทรงประกาศพระธรรมจกั รในกรงุ พาราณสีแลว เสดจ็ ถงึ สถานน้ี ๆ โดยลาํ ดับน้ี ทรงบญั ญตั ิแลว เพราะเร่อื งน้ี ๆ. ในบทเหลาน้นั บทวา อรุ เุ วลาย . ไดแก ทแ่ี ดนใหญ. อธิบายวาทก่ี องทรายใหญ. อกี ประการหน่ึง ทราย เรยี กวาอรุ ุ, เขตคนั เรียกวา เวลา.แลพงึ เหน็ ความในบทน้ี อยา งน้ีวา ทรายทีเ่ ขาขนมาเพราะเหตทุ ีล่ ว งเขตคันชื่ออุรุเวลา. ไดย นิ วา ในอดีตสมยั เม่อื พระพุทธเจา ยังไมเ สด็จอบุ ตั ิ กลุ บุตรหมืน่คนบวชเปนดาบสอยูทป่ี ระเทศน้ัน วนั หนึง่ ไดป ระชมุ กนั ทาํ กติกาวัตรไววาธรรมดากายกรรม วจกี รรม เปนของปรากฏแกผอู นื่ ได ฝา ยมโนกรรม หา๑. มหาวคคฺ ปฐม. ๔๒.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 9ปรากฏไม เพราะฉะน้ัน ผูใดตรกึ กามวิตกหรือพยาบาทวิตก หรอื วิหงิ สาวติ กคนอน่ื ท่ีจะโจทผูน้ันยอ มไมมี ผนู น้ั ตองโจทคนดวยคนเองแลว เอาหอแหงใบไม๑ ขนทรายมาเกลีย่ ในทนี่ ้ี ดว ยตั้งใจวา นี่พึงเปนทัณฑกรรม จําเดมิแตน น้ั มาผใู ดตรกึ วติ กเชน น้นั ผนู ั้นยอมใชหอแหง ใบไมข นทรายมาเกลี่ยในท่ีนั้น. ดวยประการอยางน้ี กองทรายในท่นี ั้นจึงใหญข นึ้ โดยลาํ ดบั . ภายหลังมาประชุมชนในภายหลัง จึงไดแ วดลอ มกองทรายใหญน น้ั ทําใหเปน เจดยี สถาน. ขา พเจาหมายเอากองทรายนน้ั กลาววา บทวา อุรเุ วลาย ไดแกท แี่ ดนใหญ อธบิ ายวา ทกี่ องทรายใหญ. หมายเอากองทรายนน้ั เองกลา ววา อกีประการหนึ่ง ทราย เรยี กวาอรุ ,ุ เขตคัน เรียกวา เวลา. และพงึ เหน็ ความในบทนี้ อยางนว้ี า ทรายท่ีเขาขนมา เพราะเหตุท่ลี วงเขตคัน ช่ืออุรุเวลา. บทวา โพธริ ุกขฺ มูเล มีความวา ญาณในมรรค ๔ เรียกวา โพธญิ าณพระผูม ีพระภาคเจา ทรงบรรลโุ พธญิ าณน้ันท่ีตน ไมน้ี เพราะฉะนัน้ ตน ไมจ งึพลายไดน ามวา โพธพิ ฤกษด วย ทโ่ี คนแหงโพธพิ ฤกษน้ันชอื่ วา โพธริ กุ ขมลู . บทวา ปมาภสิ มพทุ ฺโธ ไดแ ก แรกตรัสร.ู อธิบายวา เปน ผูตรัสรูพรอ มเสรจ็ กอ นทุกอยา งทีเดยี ว. บทวา เอกปลฺลงฺเกน มคี วามวา ประทับน่ัง ดว ยบลั ลังกอ นั เดียวตามท่ีทรงคูแ ลว เทา น้ัน ไมเสด็จลุกขนึ้ แมค ร้ังเดยี ว. บทวา วิมตุ ตฺ ิสุขปฏิส เวที มีความวา เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข คอื สุขทเ่ี กิดแตผ ลสมาบัติ.๑. หรอื วา ใบไมสําหรบั หอ ตามนยั อรรถกถา สตตฺ ิคมุ ฺพชาตก ที่ทา นชักมาไวไ นมงฺคลตฺถทปี นี วา ปตตฺ ปูฏสเฺ สวาติ. . . ปลเิ วจนปณณฺ สฺเสว. นาจะเปนอยา งที่เรียกวา กระทง คอื เอาใบ ไมมาเย็บมากลดั ตดิ กนั เปนภาชนะใสข องได. โนโยชนา ภาค ๒ หนา ๑๖๗ แกว า ปตฺตปูเฎ- นาติ ปณฺณปเู ฏน.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 10 บทวา ปฏจิ ฺจสมปุ ปฺ าท ไดแ ก ปจ จยาการ. จริง ปจจยาการทา นเรยี กวา ปฏจิ จสมุปบาท เพราะอรรถวเิ คราะหวา อาศัยกันและกัน ยงั ธรรมท่สี ืบเนอื่ งกันใหเกิดขน้ึ . ความสังเขปในบทวา ปฏิจฺจสมปุ ฺปาท น้ี เทา น้.ีสวนความพิสดาร ผูปรารถนาวนิ ิจฉยั ทีพ่ รอ มมูลดวยอาการทง้ั ปวง พงึ ถือเอาจากวสิ ุทธิมรรค และมหาปกรณ. บทวา อนุโลมปฏิโลม มีวเิ คราะหวา ตามลําดบั ดวย ทวนลาํ ดบัดว ย ชอ่ื วา ทัง้ ตามลาํ ดับท้งั ทวนลาํ ดบั . ผศู กึ ษาพึงเหน็ ความในบทอยา งนแ้ี ลวา ในอนุโลมและปฏิโลมทั้ง ๒ นั้น ปจ จยาการมอี วชิ ชาเปนตน ทท่ี านกลา วโดยนยั วา อวชิ ิชาปจจฺ ยา สงฺขารา ดังนี้ เรยี กวา อนโุ ลม เพราะทํากิจท่ีตนพึงทาํ ปจจยาการน้นั นนั่ เอง ท่ที า นกลาวโดยนยั เปนตนวา อวชิ ชฺ าย เตวฺ วอเสสวริ าคนโิ รธา สงขฺ ารนิโรโธ ดงั นี้ เม่อื ดับเพราะนโิ รธ คือไมเกดิ ขึ้นยอ มไมท ํากิจนั้น เพราะฉะน้ัน จงึ เรียกวา ปฏโิ ลม เพราะไมท าํ กจิ นนั้ .อีกอยา งหนงึ่ ปจจยาการที่กลา วแลว ตามนยั กอ นน่ันแล เปน ไปตามประพฤติเหตุ นอกนเ้ี ปนไปยอนประพฤตเิ หต.ุ ก็แลความเปนอนโุ ลมและปฎิโลมในปจจยาการนี้ ยังไมต องดวยเนือ้ ความอนื่ จากนี้ เพราะทานมไิ ดกลาวตง้ั แตตนจนปลายและตัง้ แตป ลายจนถงึ ตน . บทวา มนสากาสิ ตัดบทวา มนสิ อกาสิ แปลวา ไดทําในพระหฤทัยในอนโุ ลมและปฏิโลมทั้ง ๒ นนั้ พระผูมพี ระภาคเจาไดทรงทําในพระหฤทัยดวยอนโุ ลมดวยประการใด เพือ่ แสดงประการนี้กอนพระธรรมสงั คาหกาจารยจงึ กลา วคาํ วา อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงขฺ ารา เปน ตน. ในคาํ นั้นผศู กึ ษาพงึ ทราบความในท้ังปวงโดยนยั นว้ี า อวชิ ชฺ านี้ดว ย เปน ปจ จยั ดวย เพราะฉะนัน้ ชือ่๑. วิ. ปฺา. ตติย. ๑๐๗.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 11วา อวชิ ชาเปน ปจ จยั , สังขารทั้งหลายยอมเกิดพรอ ม เพราะอวิชชาอนั เปนปจ จยั นนั้ ความสงั เขปในบทวา มนสากาสิ น้ีเทาน.้ี สวนความพสิ ดารผูตอ งการวินจิ ฉยั ที่พรอ มมูลดวยอาการทกุ อยา ง พงึ ถอื เอาจากวิสทุ ธมิ รรค๑ สัมโมห-วโิ นทนี๒ และอรรถกถาแหงมหาวิภังค. และพระผูมพี ระภาคเจาไดท รงทาํ ในพระหฤหัย โดยปฏิโลมดวยประการใด เพ่ือแสดงประการนี้ ทานจงึ กลา วคําวาอวชิ ฺชาย เตวฺ ว อเสสวิราคนโิ รธา สงฺขารนิโรโธ เปน ตน . ในคําน้ันพึงทราบวนิ ิจฉยั ดังนี้ บทวา อวชิ ชฺ าย เตฺวว ตดั บทวาอวิชฺชาย ตุ เอว. บทวา อเสสวริ าคนโิ รธา มคี วามวา เพราะดับไมเ หลือดว ยมรรคกลา วคือวริ าคะ. บทวา สงขฺ ารนโิ รโธ ไดแ ก ความดบั คือความไมเ กดิ ขึ้นแหงสงั ขารทงั้ หลาย. กแ็ ลเพ่อื แสดงวา ความดับแหง วญิ ญาณ จะมกี เ็ พราะดบั แหงสังขารทงั้ หลายทด่ี ับไปแลว อยางนน้ั และธรรมทงั้ หลายมีวิญญาณเปน ตน. จะเปน ธรรมทดี่ ับดแี ลวทเี คยี ว ก็เพราะดบั แหงธรรมทัง้ หลายมีวญิ ญาณเปน ตนทานจึงกลา วคําวา สงฺขารนิโรธา วิ ฺาณนโิ รโธ เปน ตน แลว กลา วคําวา กองทุกขท ั้งสิน้ นี้เปนอันดับไปดวยประการอยา งน.้ี ในบทเหลานัน้ บทวา เกวลสสฺ ไดแ กท้ังมวลหรือลว น ความวาปราศจากสตั ว. บทวา ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สฺส ไดแกกองทุกข. สองบทวา นิโรโธ โหติ มีความวา ความไมเ กดิ ยอ มมี.๑. วิ. ปฺ า. ตตยิ ะ. ๑๒๔. ๒. สม.ฺ วิ. ๑๖๘.

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 12 สองบทวา เอตมตถฺ  วทิ ติ ฺวา มคี วามวา เน้อื ความน้ีใดทพ่ี ระ-ธรรมสงั คาหกาจารยกลาววา กองทุกขมีสงั ขารเปนตน เปน อนั เกิคขึน้ ดว ยอํานาจแหง ปจจัยมอี วิชชาเปนตน และเปน อันดับไปดวยอาํ นาจดบั แหง ปจจัยมอี วชิ ชาเปนตนดังน้ี ทรงทราบเนือ้ ความน้นั ดวยอาการท้ังปวง. สองบทวา ตาย เวลาย ไดแ ก ในเวลาทท่ี รงทราบเน้อื ความนั้น ๆ. บทวา อิม อุทาน อุทาเนสิ มคี วามวา ทรงเปลงอทุ านช่งึ มีญาณอันสัมปยตุ ดว ยโสมนสั เปน เดนเกดิ มีคําวา ยทา ทเว ปาตุภวนฺติเปนตน ซง่ึ แสดงอานภุ าพแหงความทรงทราบเหตแุ ละธรรมท่ีเกิดแตเหตุ ในเนอื้ ความท่ีทรงทราบแลว นนั้ มีคําอธบิ ายวา ทรงเปลงพระวาจาแสดงความเบกิ บานพระหฤทัย. เนอื้ ความแหง อทุ านนั้นวา บทวา ยทา หเว ไดแ ก ในกาลใดแล. บทวา ปาตุภวนตฺ ิ ไดแก ยอมเกิด. โพธิปก ขิยธรรม ซ่งึ ใหสาํ เรจ็ ความตรสั รูปจจยาการโดยอนุโลม ชื่อวา ธรรม. อีกอยางหนึ่ง บทวา ปาตุภวนฺติ มคี วามวา แจม แจง คอื เปนของชดั เจน ปรากฏดวยอาํ นาจความรูตรสั ร.ู ธรรมคอื อรยิ สัจ ๔ ชอื่ วาธรรม.ความเพียรเรียกวา อาตาปะ เพราะอรรถวา ยา งกเิ ลสใหรอน. บทวา อาตาปโ น ไดแก ผมู ีความเพยี รอันบุคคลพงึ ตงั้ ไวช อบ. บทวา ฌายโต มคี วามวา ผเู พง ดว ยฌาน ๒ คอื ดว ยการกาํ หนดคืออารมั มณปู นชิ ฌาน ๑ ดวยการกําหนดคอื ลกั ขณูปนชิ ฌาน ๑. บทวา พรฺ าหฺมณสสฺ ไดแ ก พระขณี าสพผลู อยบาปแลว . หลายบทวา อถสฺส กงขฺ า วปยนตฺ ิ มีความวา เมอ่ื นั้นความสงสยั ของพราหมณน ้ัน คอื ผูมีธรรมปรากฏแลว อยางนั้นยอมส้ินไป.

พระวินยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 13 บทวา สพพฺ า มีความวา ความสงสัยในปจจยาการท่ีทานกลาวไวโดยนัยเปนตน วา เมอ่ื เขาถามวา ใครเลาหนอ ? ยอ มถูกตองพระเจาขา พระ-ผูมีพระภาคเจาไดต รสั วา ปญ หาไมส มควรแก๑ ดังน้ี และโดยนัยเปนตน วาเมอ่ื เขาถามวา ขา แตพระองคผูเ จริญกช็ ราและมรณะเปนอยางไรหนอ. ก็แลชราและมรณะนีจ้ ะมแี กใคร ?. พระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสวา ปญ หาไมสมควรแก. ดังนี้ ๒ และความสงสัย ๑๖ อยางเปนตน วา ในอดีตกาลเราไดม ีแลวหรือหนอ ? ซ่งึ มาแลวเพราะยงั ไมไดต รัสรปู จจยาการน่นั เอง (เหลาน)ี้ ทง้ั หมดยอ มสิน้ ไป คอื ยอ มปราศจากไป ยอ มดบั ไป. เพราะเหตไุ ร ? เพราะเหตุที่มาทราบธรรมพรอมทัง้ เหตุ. มีอธิบายวา เพราะทราบ คอื ทราบชดั ตรสั รูธรรมคอื กองทุกขทงั้ มวล มีสงั ขารเปน ตนพรอมท้ังเหตุ ดว ยเหตมุ อี วชิ ชาเปน ตน. พงึ ทราบวินิจฉยั ในทตุ ยิ วาร:- สามบทวา อมิ  อทุ าน อิทาเนสิ มีความวา ทรงเปลงอทุ านมีประการดงั กลา วแลวนี้ ซึง่ แสดงอานภุ าพแหงความตรสั รู ความสน้ิ ปจ จยักลา วคอื นิพพานซ่ึงปรากฏแลวอยา งนวี้ า อวิชชฺ าย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธาสงขฺ ารนิโรโธ ในเนือ้ ความที่ทรงทราบแลว นนั้ . ความสงั เขปในอทุ านนนั้ ดงั นีต้ อ ไปน้ี:- เพราะไดร ู คือไดทราบชัดไดต รัสรูนิพพานกลาวคอื ความสน้ิ ปจ จยัท้งั หลาย เมื่อใดธรรมท้งั หลายมีประการดงั กลาวแลวปรากฏแกพ ราหมณน ้นัผมู ีเพยี รเพง อยู เมอ่ื นน้ั ความสงสยั ทกุ อยางที่จะพึงเกดิ ข้ึนเพราะไมรนู ิพพานยอ มส้ินไป.๑. ส . น.ิ ๑๖ /ขอ ๓๓ ๒. ส . น.ิ ๑๖/ขอ ๑๒๙

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 14 พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในตตยิ วาร:- สามบทวา อิม อุทาน อุทาเนสิ มีความวา ทรงเปลง อุทานมีประการดงั กลาวแลวนี้ ซง่ึ แสดงอานภุ าพแหง อรยิ มรรคทเ่ี ปน เหตุ ทรงทราบเนือ้ ความกลา วคือความเกดิ และความดบั แหง กองทกุ ขน ัน้ ดว ยอํานาจกิจและดว ยทาํ ใหเปน อารมณ. ความสังเขปในอุทานนนั้ ดงั ตอ ไปนี้:- เม่ือใดแล ธรรมทง้ั หลายปรากฏแกพ ราหมณผ มู ีเพยี รเพง อยู เม่ือนั้น พราหมณน ้ันยอมกาํ จัด เสนามารดว ยโพธิปกขยิ ธรรมซึ่งเกิดแลว เหลาน้ัน หรือดว ยอริยมรรคเปน เครอ่ื งปรากฏแหง จตุสัจจธรรมาดํารงอยู ขอวา วิธปู ย ตฏิ ติ มารเสน ความวา ยอ มกําจัด คือผจญ ปราบเสนามาร มีประการดงั กลา วแลว โดยนยั เปนตน วา การทัง้ หลาย เปนเสนาที่ ๑ ของทา นดังน๑้ี ดํารงอยู. ถามวา กาํ จดั อยางไร ? ตอบวา เหมอื นพระอาทิตยสอ งอากาศใหสวา งฉะนนั้ . อธบิ ายวา พระอาทติ ยข ึ้นไปแลว เมื่อสอ งอากาศใหส วา งดวยรัศมขี องตนแล ชือ่ วากําจดั มืดเสีย ขอนี้ฉนั ใด. พราหมณแ มน ั้นเมอื่ ตรัสรูสจั จะทงั้ หลายดวยธรรมเหลานน้ั หรือดวยมรรคนัน้ แล ชอ่ื วา กาํ จดั เสนามารเสียได ขอ นก้ี ฉ็ นั น้นั เพราะฉะนน้ั ผศู ึกษาพงึ ทราบสันนิษฐานวาใน ๓ อทุ านน้ี อุทานท่ี ๑ เกิดขึ้นดวยอํานาจความพิจารณาปจ จยาการ อุทานที่ ๒ เกดิ ขน้ึดว ยอาํ นาจความพจิ ารณาพระนิพพาน อทุ านที่ ๓ เกดิ ข้ึนดว ยอํานาจความพจิ ารณามรรค ดว ยประการฉะน.้ี๑. ขุ. ส.ุ ๒๕/ขอ ๓๕๕.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 15 สวนในอุทาน๑ ทานกลาววา ทรงพิจารณา ปฏิจจสมปุ บาท โดยอนุโลมตลอดยามตน แหงราตรี โดยปฏโิ ลมตลอดยามที่ ๒ โดยอนุโลมและปฏ-ิโลมตลอดยามที่ ๓ คาํ นน้ั ทา นกลา วหมายเอามนสิการที่พระผมู ีพระภาคเจา ทรงใหเ กิดขึน้ ตลอดราตรี ดว ยทรงตงั้ พระหฤทัยวา พรุงนเ้ี ราจักลุกจากอาสนะเพราะครบ ๗ วัน. จริงอยู ครัง้ น้ัน พระผมู พี ระภาคเจา ไดท รงพิจารณาสว นอนั หนง่ึ ๆ เทานั้น ตลอดปฐมยาม และมชั ฌมิ ยาม ดวยอํานาจแหงความทราบชัดซ่งึ ปจจยาการ และความบรรลคุ วามสน้ิ ปจจยั ซง่ึ มีอานุภาพอันอุทานคาถา๒ เบอื้ งตนแสดงไว แตในท่ีนี้ พระผมู ีพระภาคเจาไดท รงพิจารณาอยา งน้นัในราตรีวนั ปาฏบิ ท. จรงิ อยู ในราตรีเพ็ญวิสาขมาส พระผูม ีพระภาคเจา ทรงระลกึ ปพุ เพนวิ าสในปฐมยาม ทรงชาํ ระทพิ ยจกั ษใุ นมชั ฌยิ ามทรงพิจารณาปฏจิ จสมปุ บาทโดยอนโุ ลมและปฏโิ ลมในปจ ฉมิ ยาม ทรงบรรลุความเปนพระสัพพญั ูในขณะทจ่ี ะพงึ กลา ววา อรุณจักขึ้นเดีย๋ วน้ี. อรณุ ขึ้นในเวลาตดิ ตอกับเวลาทีไ่ ดทรงบรรลคุ วามเปนพระสพั พญั ูทีเดยี ว. แตน น้ั พระองคท รงปลอยวันนน้ั ใหผ านพนไปดวยการนง่ั ขดั สมาธิฉะนน้ั แล แลวทรงพิจารณาอยางนน้ัเปลง อุทานเหลานัน้ ในยามท้ัง ๓ แหงราตรีวนั ปาฏิบทที่ถึงพรอมแลว. พระผูมีพระภาคเจาทรงพิจารณาอยา งนั้นในราตรีวนั ปาฏิบท ให ๗ วันทท่ี านกลา วอยางนว้ี า ประทบั นั่งดวยบลั ลังกอนั เดยี ว ท่ีโพธริ กุ ขมูลตลอด ๗ วัน. น้ันผานพนไปทโ่ี พธิรุกขมูลนน้ั แล ดวยประการฉะนแ้ี ล. อรรถกถาโพธิกถา จบ๑. ข.ุ อ.ุ ๒๕/๓๘

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 16 อชปาลนโิ ครธกถา เรือ่ งพราหมณหุหุกชาติ [๔] ครัน้ ลว ง ๗ วนั พระผมู พี ระภาคเจาทรงออกจากสมาธินัน้เสด็จจากควงไมโพธิพฤกษเ ขา ไปยงั ตน ไมอ ชปาลนิโครธ แลวประทบั นั่งดวยบลั ลงั กเ ดยี วเสวยวิมุตตสิ ุข ณ ควงไมอ ชปาลนโิ ครธตลอด ๗ วัน. ครงั้ นัน้ พราหมณห ุหุกชาตคิ นหนึ่ง ไดไ ปในพทุ ธสาํ นกั คร้ันถงึแลวไดท ลู ปราศรัยกับพระผมู ีพระภาคเจา ครน้ั ผา นการทลู ปราศรัยพอใหเ ปนที่บันเทงิ เปน ทร่ี ะลกึ ถงึ กนั ไปแลว ไดยนื อยู ณ ทค่ี วรสวนขางหนง่ึ พราหมณนน้ั คร้ันไดยืนอยู ณ ท่ีควรสว นขา งหน่งึ แลว ไดกราบทูลคาํ นี้ แดพระผมู ีพระภาคเจาวา ทานพระโคตม บคุ คลชอ่ื วาเปน พราหมณ ดว ยเหตุเพยี งเทาไรหนอ กแ็ ลธรรมเหลา ไหนทําบุคคลใหเ ปน พราหมณ. ลาํ ดับนั้น พระผมู ีพระภาคเจาทรงทราบเน้ือความนนั้ แลว จงึ ทรงเปลงอุทานน้ใี นเวลานัน้ วา ดงั นี้. พุทธอทุ านคาถา พราหมณใ ดมีบาปธรรมอันลอยเสยี แลว ไมตวาดผอู นื่ วา หหึ ึ ไมมกี เิ ลสดจุ นา้ํ ฝาด มีตนสํารวมแลว ถงึ ท่ีสดุ แหงเวท มี พรหมจรรยอ ยจู บแลว พราหมณน น้ั ไมม ี กิเลสเครื่องฟูขนึ้ ในอารมณไ หน ๆ ในโลก ควรกลาวถอยคําวา ตนเปนพราหมณโ ดย ธรรม. อชปาลนโิ ครธกถา จบ

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 17 อรรถกถาอชปาลนโิ ครธกถา ในคาํ วา อถ โข ภควา ตสฺส สตตฺ าหสฺส อจฺจเยน ตมหฺ าสมาธิมหฺ า วุฏหติ ฺวา โพธรกุ ฺขมลู า, เยน อชปาลนโิ คตรโธ เตนปุ -สงฺกมิ น้ี ผูศกึ ษาพงึ ทราบวนิ จิ ฉัยดงั น้ี:- พระผมู พี ระภาคเจา ออกจากสมาธิน้ันแลว เสด็จเขา ไปทต่ี นอชปาล-นิโครธ จากโคนโพธพิ ฤกษ ในทันทีทเี ดียวหามไิ ด เหมือนอยางวา ในคําท่ีพูดกนั วา ผูน้กี นิ แลว กน็ อน จะไดม คี ําอธบิ ายอยา งนวี้ า เขาไมล า งมือ ไมบว นปาก ไมไ ปใกลท่ีนอน ไมท ําการเจรจาปราศรัยอะไรบา ง อยา งอน่ื แลวนอน หามไิ ด แตในคาํ นีม้ คี วามหมายทีผ่ ูกลาวแสดงดังน้ีวา เขานอนภายหลงัแตการรบั ประทาน เขาไมไดน อนหามไิ ด ขอน้ฉี นั ใด แมในคาํ น้ี กฉ็ นั นัน้จะไดคําอธิบายวา พระผมู ีพระภาคเจา ออกจากสมาธนิ ้ันแลว เสดจ็ หลีกไปในทนั ทที เี ดียว หามิได ที่แทในคํานี้ มคี วามหมายท่ีทา นผูกลาวแสดงดงั น้ี วาพระองคเ สด็จหลีกไปภายหลังแตการออก ไมไดเ สด็จหลีกไปหามิได. ถามวา ก็พระผูม พี ระภาคเจาไมเ สดจ็ หลีกไปในตนทแี ลว ไดทรงทําอะไรเลา ?. ตอบวา ไดทรงให ๓ สปั ดาหแมอ่นื อกี ผา นพน ไปในประเทศใกลเคียงโพธพิ ฤกษน น่ั เอง. ในขอนัน้ มอี นปุ พุ พีกถาดังน้ี:- ไดยนิ วา เมือ่ พระผมู พี ระภาคเจาไดต รสั รูเ ปนพระพทุ ธเจาแลว ประทบั นงั่ ดว ยการนงั่ ชดั สมาธอิ ันเดียว สปั ดาห๑ เทวดาบางพวกเกดิ ความแคลงใจขนึ้ วา พระผมู ีพระภาคเจาไมเ สดจ็ ลุกขึน้ธรรมท่ีทําความเปน พระพทุ ธเจา แมอ่นื จะมีอีกละกระมัง ? ลําดบั น้นั พระ

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 18ผูม ีพระภาคเจาออกจากสมาบัติในวันที่ ๘ ทรงทราบความแคลงใจของเหลาเทวดา เพอื่ ตดั ความแคลงใจจึงทรงเหาะขน้ึ ไปในอากาศ แสดงยมกปาฏิหารยิ กาํ จัดความแคลงใจของเหลา เทวดาเหลาน้ันแลว ประทับยืนจองดดู วยพระเนตรมไิ ดก ระพริบ ซึ่งพระบังลงั ก และโพธพิ ฤกษ อนั เปนสถานทบ่ี รรลุผลแหงพระบารมีทที่ รงสรา งมาตลอด ๔ อสงไขยยิ่งดวยแสนกัลป ใหสัปดาห ๑ ผา นพนไปทางดานทิศอุดรเฉยี งไปทางทศิ ปราจีนหนอยหนึ่ง (ทิศอสี าน) แตพระบลั ลงั ก สถานท่ีน้นั ชือ่ อนิมมสิ เจดีย ลําดับนนั้ เสดจ็ จงกรม ณ รตั นจงกรมอันยาวยดื ไปขางหนา และขางหลังระหวา งพระบัลลังกกบั ทีเ่ สดจ็ ประทบั ยืน (อนิมมสิ เจดยี ) สัปคาห ๑ ผานพนไป. สถานที่นัน้ ชื่อรตั นจงกรมเจดยี . ตอ จากนน้ั เทวดาทั้งหลายนริ มิตเรือนแกว ข้นึ ทางดานทศิ ประจิม พระผูมพี ระภาคเจา เสด็จนงั่ ขดั สมาธิ ณ เรือนแกวน้นั ทรงพจิ ารณาอภิธรรมปฏ กคือสมนั ตปฏฐาน ซึ่งมีนัยไมส ้นิ สุดในอภธิ รรมปฏกน้ี โดยพสิ ดารใหส ปั ดาห ๑ผา นพนไป. สถานทน่ี ัน้ ชือ่ รตั นฆรเจดีย. พระผมู พี ระภาคเจาให ๔ สปั ดาหผานพน ไป ในประเทศใกลเ คียงโพธพิ ฤกษน ่ันเอง จงึ ในสปั ดาหคํารบ ๕ เสดจ็ จากโคนโพธพิ ฤกษเขา ไปทตี่ นอชปาลนโิ ครธ ดว ยประการฉะน.้ี ไดย ินวา คนเลี้ยงแพะไปนง่ั ท่ีรม เงาแหง ตน นิโครธนนั้ เพราะเหตุนน้ั ตนนโิ ครธจึงเกดิ ช่ือวา อชปาลนโิ ครธ. สองบทวา สตตฺ าห วิมตุ ฺติสขุ ปฏิส เวที มีความวา เมือ่ ทรงพจิ ารณาธรรมอยูท ่ตี นอชปาลนโิ ครธแมน้นั นนั่ แล ชื่อวา ประทบั เสวยวิมตุ ตสิ ขุตน ไมน ้ัน อยดู านทศิ ตะวนั ออกจากตนโพธิ. กแ็ ลเมอื่ พระผูม ีพระภาคเจา

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 19ประทบั น่งั อยา งนนั้ ทต่ี น อชปาลนิโครธน้ี พราหมณคนหน่ึงไดม าทลู ถามปญ หากะพระองค. เพราะเหตุน้นั พระธรรมสงั คาหกาจารยจ ึงกลาวคําวา อถ โขอฺตโร เปนตน. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา หุ หุ กชาตโิ ก มคี วามวา ไดยินวาพราหมณน นั้ ชอื่ ทิฏฐมังคลิกะ เที่ยวตวาดวา หึหึ ดวยอํานาจความถือตัว และดวยอาํ นาจความโกรธ เพราะฉะน้ัน เขาจงึ เรียกแกวา พราหมณหุงหงุ กะชาติบางอาจารยกก็ ลา ววา พราหมณหหุ กุ ชาตบิ าง. สองบทวา เอตมตถฺ  วทิ ติ ฺวา มีความวา พระผมู พี ระภาคเจาทรงทราบใจความสาํ คัญแหงคําทีแ่ กกลาวนนั้ จึงทรงเปลงอทุ านน้ีในเวลานนั้ . เนอ้ื ความแหง อุทานน้ันวา พราหมณใด ชือ่ วา เปน พราหมณเพราะมบี าปธรรมอนั ลอยเสียแลว จงึ ไดเ ปนผปู ระกอบดว ยบาปธรรมมกี ิเลสเปนเครอ่ื งขผู ูอืน่ วา หึหึ และกิเลสดุจน้าํ ฝากเปนตน เพราะดาท่มี าถือวา ส่งิ ที่เหน็ แลวเปนมงคล ปฏิญาณขอที่ตนเปน พราหมณดว ยเหตุสกั วาชาตอิ ยา งเดียวหามไิ ด พราหมณน ้ัน ชือ่ วาเปนผมู ีบาปธรรมอันลอยแลว เพราะเปน ผูลอยบาปธรรมเสีย ช่อื วาผไู มม กี ิเลสเปน เครอื่ งขผู ูอ น่ื วา หึหึ เพราะมาละกเิ ลสเปนเคร่ืองขผู ูอื่นวา หึหึ เสยี ได ชื่อวาผไู มม กี เิ ลสดุจนา ฝาด เพราะไมมีกเิ ลสดจุ น้ําฝาดมรี าคะเปนตน ชือ่ วามตี นสํารวมแลว เพราะเปนผมู ีจติ ประกอบดวยภาวนานโุ ยค อนึง่ ชอ่ื วาผมู ตี นสาํ รวมแลว เพราะเปนผมู จี ติ สาํ รวมแลว ดวยศลี สงั วร ช่ือวาผูจบเวทแลว เพราะเปนผูถึงทีสุดดว ยเวททัง้ หลาย กลา วคือจตมุ รรคญาณ หรอื เพราะเปนผเู รยี นจบไตรเพท ช่ือวา ผจู บพรหมจรรยแ ลวเพราะพรหมจรรยคอื มรรค ๔ อนั ตนไดอ ยเู สรจ็ แลว .

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 20 บาทพระคาถาวา ธมฺเมน โส พรฺ หมฺ วาท วเทยฺย มีความวากเิ ลสเครือ่ งฟขู นึ้ ๕ อยางนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ ในเพราะอารมณน อ ยหนง่ึ คือวา แมใ นเพราะอารมณอยา งหนึ่ง ในโลกทั้งมวลไมม แี กพราหมณใด พราหมณนัน้ โดยทางธรรม ควรกลา ววาทะนวี้ า เราเปน พราหมณ. เมฆทีเ่ กดิ ขน้ึ ในเม่ือยงั ไมถ ึงฤดูฝน ชอ่ื วา อกาลเมฆ ก็แลเมฆนเี้ กดิขน้ึ ในเดอื นทายแหง ฤดรู อน. บทวา สตตฺ าหวทฺทลกิ า มีความวา เมือ่ อกาลเมฆนน้ั เกิดขนึ้ แลวไดม ีฝนตกพรําตลอด ๗ วนั . บทวา สีตวาตททุ ฺทินี มีความวา กแ็ ลฝนตกพรําตลอด ๗ วนั นั้นไดช ื่อวา ฝนเจอื ลมหนาว เพราะเปน วันทล่ี มหนาวเจือเม็ดฝนพัดวนไปโดยรอบโกรกแลว. อรรถกถาอชปาลนิโครธกถา จบ มุจจลินทกถา เรอื่ งมจุ ลินทนาคราช [๕] ครน้ั ลวง ๗ วนั พระผมู พี ระภาคเจา ทรงออกจากสมาธิน้ันเสด็จจากควงไมอชปาลนิโครธเขา ไปยงั ตน ไมม จุ จลินท แลวประทับนง่ั ดวยบัลลังกเ ดยี วเสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ณ ควงไมมุจจลนิ ทตลอด ๗ วนั ครงั้ นั้น เมฆใหญในสมยั มิใชฤดูกาลต้ังขึน้ แลว ฝนตกพราํ เจอื ดวยลมหนาว ตลอด ๗ วนั คร้งั น้ัน มจุ จลนิ ทนาคราชออกจากที่อยูข องตนไดแวดวงพระกายพระผมู พี ระภาคเจาดวยขนด ๗ รอบ ไดแ ผพังพานใหญเ หนือพระ-

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 21เศยี รสถิตอยูดว ยหวงั ใจวา ความรอ น อยา เบยี ดเบียนพระผูมีพระภาคเจาสมั ผสั แหง เหลือบ ยุง ลม แดด และสตั วเล้อื ยคลาน อยา เบยี ดเบียนพระผูมพี ระภาคเจา คร้นั ลว ง ๗ วนั มุจจลนิ ทนาคราชรวู า อากาศปลอดโปรงปราศจากฝนแลว จึงคลายขนดจากพระกายของพระผูมพี ระภาคเจา จําแลงรูปของตนเปน เพศมาณพ ไดย ืนประคองอญั ชลีถวายมนั สการพระผมู พี ระภาคเจาทางเบื้องพระพกั ตรพ ระผมู ีพระภาคเจา. ลาํ ดบั นั้น พระผมู พี ระภาคเจา ทรงทราบเน้ือความนน้ั แลว จึงทรงเปลง อทุ านน้ใี นเวลาน้ัน วา ดังนี้:- พทุ ธอุทานกถา ความสงดั เปน สขุ ของบุคคลผสู นั โดษ มีธรรมปรากฏแลว เหน็ อยู ความไมพ ยาบาท คือความสาํ รวมในสตั วท งั้ หลาย เปนสุขใน โลก ความปราศจากกาํ หนดั คือความลวง กามท้งั หลายเสียได เปนสุขในโลก การกาํ จดั อัสมมิ านะเสยี ไดน ้นั แล เปน สขุ อยางย่งิ . มุจจลนิ ทกถา จบ

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 22 อรรถกถามุจจลนิ ทกลา หลายบทวา อถ โข มจุ จฺ ลินโฺ ท นาคราชา มคี วามวา พระยานาคผมู ีอานภุ าพใหญ เกดิ ข้ึนทีส่ ระโบกรณีใกลต น ไมจ ิกน่นั เอง. หลายบทวา สตตฺ กฺขตฺตุ โภเคหิ ปรกิ ฺขปิ ตฺวา มคี วามวาเม่อื พระยานาคนั้นวงรอบพระกาย ดว ยขนด ๗ รอบ แผพงั พานใหญป กเบอื้ งบนพระเศียรอยูอยางนนั้ รวมในแหงวงขนดของพระยานาคน้นั มปี ระมาณเทา หอ งเรือนคลงั ในโลหปราสาท, เพราะเหตุนน้ั พระผูมีพระภาคเจาจงึ เปนเหมือนประทับนั่งในปราสาทอันอับลม มีประตูหนา ตางปด. คาํ วา มา ภควนฺต สตี  เปนตน แสดงเหตุทีพ่ ระนาคน้ันทาํ อยา งนั้น. จรงิ อยู พระยานาคนนั้ ไดท าํ อยา งนน้ั กด็ วยตั้งใจวา หนาวอยาไดเ บียดเบยี นพระผูมีพระภาคเจา . รอ นอยา ไดเบยี ดเบียนพระผูม พี ระภาคเจาและสัมผัสเหลือบเปนตน อยาไดเบยี ดเบยี นพระผูม ีพระภาคเจา อนั ท่ีจริงเมื่อมีฝนตกพรําตลอด ๗ วัน ในท่นี ั้น ไมม คี วามรอ นเลย. ถึงอยางนั้นกส็ มควรที่พระยานาคน้ันจะคดิ อยางนว้ี า ถาเมฆจะหายไประหวาง ๆ ความรอ นคงจะมี แมค วามรอ นนนั้ อยา ไดเบียดเบยี นพระองคเลย. บทวา วทฺธ ไดแ ก หายแลว อธิบายวา เปน ของมไี กลเพราะหมดเมฆ. บทวา วคิ ตวลาหก ไดแก ปราศจากเมฆ. บทวา เทว ไดแ ก อากาศ. บทวา สกวณณฺ  ไดแก รปู ของตน.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 23 สองบทวา สุโข วิเวโก มีความวา อปุ ธิวเิ วก กลา วคือ นพิ พานเปน สุข. บทวา ตุฏสสฺ มีความวา ผูส นั โดษดวยความยินดใี นจตุมรรคญาณ. บทวา สุต๑ธมมฺ สฺส ไดแก ผมู ธี รรมปรากฏแลว . บทวา ปสสฺ โต มีความวา ผูเหน็ อยซู งึ่ วเิ วกนนั้ หรอื ธรรมอยา งใดยา งหนงึ่ ซงึ่ จะพึงเห็นไดทัง้ หมด ดว ยดวงตาคอื ญาณ ซึ่งไดบรรลุดวยกําลังความเพยี รของตน. ความไมเ กรี้ยวกราดกัน ช่ือวา ความไมเบยี ดเบยี นกัน. ธรรมเปนสวนเบื้องตน แหงเมตตา พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงดว ยบทวา ความไมเบียนเบียดนน้ั . สองบทวา ปาณภูเตสุ สฺโม มคี วามวา และความสาํ รวมในสตั วท ้งั หลาย อธิบายวา ความทไ่ี มเ บยี ดเบียนกนั เปนความสขุ . ธรรมเปนสว นเบ้ืองตน แหง กรณุ า พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงดว ยบทวา ความสาํ รวมน้ัน. บาทคาถาวา สขุ า วิราคตา โลเก มีดวามวา แมความปราศจากกําหนัด ก็จดั เปนความสขุ . ถามวา ความปราศจากกาํ หนดั เปน เชน ไร ? ตอบวา คือความลวงกามทงั้ หลายเสยี . อธิบายวา ความปราศจากกําหนัดอนั ใด ทที่ านเรยี กวาความลว งกามทั้งหลายเสยี แมค วามปราศจากกาํ หนดั อนั นั้น กจ็ ัดเปนความสุข. อนาคามิ-มรรค พระผูมพี ระภาคเจาตรัสดวยบทวา ความปราศจากกาํ หนดั นั้น.๑. สตุ ศพั ทใ นทีน่ ้ี ทา นใหแ ปลวา ปรากฏ. เชนอา งไวใน สมุ งคฺ ลวิลาสินี ภาค ๑ หนา๓๗.

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 24 สว นพระอรหตั พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสดวยคาํ น้ีวา ความกําจัดอสั มมิ านะเสีย. จริงอยู พระอรหตั ทา นกลา ววาเปน ความกําจัดดวยระงบัอัสมมิ านะ. กข็ ึน้ ชอื่ วา สุขอนื่ จากพระอรหัตนไี้ มม ี เพราะเหตนุ ้ัน พระผูม-ีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา ขอน้ีแลเปน สขุ อยา งยิ่ง. อรรถกถามจุ จสินทกถา จบ ราชายตนกถา เรื่องตปสุ สะภัลละิ ๒ พอ คา [๖] ครนั้ ลว ง ๗ วัน พระผมู พี ระภาคเจาทรงออกจากสมาธิน้ันแลวเสด็จจากควงไมม ุจจลินท เขาไปยงั ตนไมร าชายตนะ แลว ประทับนัง่ ดว ยบัลลงั กเ ดียว เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ณ ควงไมร าชายตนะ ตลอด ๗ วัน ก็สมยั นั้น พอคา ช่ือตปสุ สะ ๑ ภัลลิกะ ๑ เดนิ ทางไกลจากอกุ กลชนบทถึงตําบลน้นั ครง้ั นัน้ เทพดาผเู ปนญาติสาโลหติ ของตปุสสะภัลลกิ ะ ๒ พอ คาไดกลาวคาํ นก้ี ะ ๒ พอคา นน้ั วา ดูกอนทา นผนู ิรทกุ ข พระผมู ีพระภาคเจาพระองคน ี้ แรกตรสั รู ประทับอยู ณ ควงไมราชายตนะ ทา นทง้ั สองจงไปบชู าพระผมู ีพระภาคเจานัน้ ดว ยสัตตผุ ง และ สตั ตุกอน การบชู าของทานทงั้ สองนั้น จักเปนไปเพ่ือประโยชนและความสุขแกทานท้งั หลายตลอดกาลนาน. ครงั้ นัน้ พอ คาช่อื ตปสุ สะ และภลั ลิกะ ถอื สัตตผุ งและสัตตกุ อนเขาไปเฝาพระผูมพี ระภาคเจาแลวถวายบงั คม ไดย ีนอยู ณ ท่คี วรสวนขางหน่งึสองพอ คา น้ันครน้ั ยืนอยู ณ ทีค่ วรสวนขางหนึง่ แลว ครั้นแลวไดท ูลคาํ นี้แค

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 25พระผูม ีพระภาคเจาวา พระพุทธเจาขา ขอพระผพู ระภาคเจา จงทรงรับสตั ตผุ งสตั ตุกอ นของขาพระพุทธเจา ทัง้ สอง ซงึ่ จะเปนไปเพ่ือประโยชนเพ่อื ความสขุแกข า พระพุทธเจา ทัง้ หลายตลอดกาลนาน ขณะน้นั พระผมู พี ระภาคเจา ไดทรงปริวิตกวา พระตถาคตทง้ั หลาย ไมรบั วตั ถดุ วยมอื เราจะพึงรบั สัตตุผง และสัตตกุ อ นดว ยอะไรหนอ. ลําดับนน้ั ทา วมหาราชทัง้ ๔ องค ทรงทราบพรปู รวิ ติ กแหง จิตของพระผูม ีพระภาคเจาดว ยใจของตนแลว เสด็จมาจาก ๔ ทศิ ทรงนาํ บาตรทสี่ าํ เรจ็ดวยศลิ า ๔ ใบเขาไปถวายพระผูมพี ระภาคเจา กราบทลู วา ขอพระผูม พี ระ-ภาคเจา จงทรงรบั สัตตุผงและสตั ตกุ อ นดวยบาตรนี้ พระพทุ ธเจา ขา . พระผูม ีพระภาคเจาทรงใชบ าตรสาํ เร็จดว ยศลิ าอันใหมเอีย่ ม รับสตั ตผุ งและสัตตกุ อ น แลว เสวย. ครง้ั นั้น พอ คาตปุสสะและภัลลกิ ะ ไดทูลคาํ นแ้ี ดพระผมู พี ระภาคเจาวา พระพทุ ธเจาขา ขา พระพทุ ธเจาทัง้ สองน้ี ขอถงึ พระผมู พี ระภาคเจา และและพระธรรมวา เปนสรณะ ขอพระผูมีพระภาคเจา จงทรงจาํ ขาพระพทุ ธเจาทงั้ สองวาเปนอุบายสกผมู อบชวี ิตถงึ สรณะ จําเดิมแตว ันนีเ้ ปน ตน ไป. ก็นายพาณิชสองคนนั้น ไดเ ปนอบุ ายสกลาวอาง ๒ รัตนะ เปน ชุดแรกในโลก. ราชายตนกถา จบ

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 26 อรรถกถาราชายตนกถา บทวา มจุ จฺ ลนิ ทฺ มูลา ไดแ ก จากโคนตน ไมจ กิ ซงึ่ ทง้ั อยูในแถบทิศปราจีนแตม หาโพธ.์ิ บทวา ราชายตน มีความวา เสด็จเขาไปยงั โคนไมเกต ซง่ึ ตัง้ อยูดานทศิ ทักษิณ. ขอ วา เตน โข ปน สมเยน มคี ําถามวา โดยสมยั ไหน ?ตอบวา เมอ่ื พระผมู ีพระภาคเจาประทบั นั่งดว ยการนง่ั ขดั สมาธิอยา งเดยี วตลอด๗ วนั ท่ีโคนตน ไมเ กต ทา วสกั กเทวราชทรงทราบวา ตองมีกจิ เน่อื งดว ยพระกระยาหาร จึงทรงนอ มถวายผลสมอเปน พระโอสถ ในเวลาอรณุ ขนึ้ ณ วันท่ีทรงออกจากสมาธทิ ีเดียว. พระผมู ีพระภาคเจา เสวยผลสมอพระโอสถน้ัน พอเสวยเสร็จเทา นนั้ ก็ไดมกี ิจเน่ืองดวยพระสรรี ะ ทา วสกั กะไดถวายน้าํ บว นพระโอษฐแลว . พระผมู ีพระภาคเจา ทรงบว นพระโอษฐแลว ประทบั นั่งทีโ่ คนตน ไมน้ันน่นั แล. เมอ่ื พระผมู พี ระภาคเจาประทบั นงั่ ในเมื่ออรุณขนึ้ แลว ดว ยประการอยางน้ัน. กโ็ ดยสมยั นั้นแล. สองบทวา ตปสุ สฺ ภลฺลกา วาณชิ า ไดแ ก พานชิ สองพีน่ อ ง คอืตปุสสะ ๑ ภลั ลกิ ะ ๑. บทวา อกุ ฺกลา ไดแก จากอุกกลชนบท. สองบทวา ต เทส มคี วามวา สปู ระเทศเปนทีเ่ สดจ็ อยขู องพระผูม ีพระภาคเจา. ถามวา กพ็ ระผูมีพระภาคเจา เสด็จอยูในประเทศไหนเลา ?

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 27 ตอบวา ในมัชฌมิ ประเทศ. เพราะฉะนัน้ ในคาํ นี้จึงมีเนือ้ ความดงั น้ีสองพานิชนนั้ เปนผเู ดนิ ทางไกล เพ่ือไปยงั มัชฌมิ ประเทศ. สองบทวา าตสิ าโลหิตา เทวตา ไดแ ก เทวดาผูเคยเปน ญาติของสองพานชิ น้ัน. สองบทวา เอตทโวจ มีความวา ไดย ินวา เทวดาน้ัน ไดบันดาลใหเกวยี นท้งั หมดของพานชิ น้ันหยุด. ลําดับน้ัน เขาทง้ั สองมาใครค รวญดวู าน่ีเปน เหตุอะไรกัน ? จงึ ไดทาํ พลีกรรมแกเ ทวดาผเู ปน เจา ทางท้ังหลาย. ในเวลาทาํ พลกี รรมของเขา เทวดานัน้ สําแดงกายใหเหน็ ไดก ลา วคําน้ี. สองบทวา มนเฺ ถน จ มธปุ ณ ฑฺ ิกาย จ ไดแ ก ขา วสัตตุผง และขาวสตั ตุกอ น ปรุงดวยเนยใสนํ้าผึ้งและนาํ้ ตาลเปนตน . บทวา ปฏิมาเนถ ไดแ ก จงบํารุง. สองบทวา ต โว มคี วามวา ความบํารงุ นน้ั จกั มเี พ่ือประโยชนเกือ้ กูลเพอ่ื ความสุขแกท านท้ังหลายตลอดกาลนาน. สองบทวา ย อมฺหาก มคี วามวา การรบั อนั ใดจะพึงมีเพื่อประโยชนเกอ้ื กลู เพ่อื ความสุขแกเ หลาขาพระองคต ลอดกาลนาน. สองบทวา ภควโต เอตทโหสิ มีความวา ไดย ินวา บาตรใดของพระองคไ ดมีในเวลาทรงประกอบความเพียร บาตรนน้ั ไดห ายไปแตเมอ่ื นางสชุ าดามาถวายขา วปายาส. เพราะเหตนุ ้นั พระองคจ ึงไดท รงมีพระรําพงึ น้ีวา บาตรของเราไมมี กแ็ ลพระตถาคตท้งั หลายองคก อน ๆ ไมทรงรบั ดว ยพระหตั ถเ ลย. เราจะพึงรบั ขา วสัตตผุ งและขา วสตั ตุกอ นปรงุ นํ้าผงึ้ ดว ยอะไรเลาหนอ ?

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 28 บทวา ปริวุตกฺกมฺาย มคี วามวา กระยาหารท่ีนางสุชาดาถวายแดพ ระผูมีพระภาคเจา ในกาลกอนแตน ี้ ยังคงอยดู วยอํานาจที่หลอเลยี้ งโอชะไว ความหวิ ความกระหาย ความเปนผมู กี ายอิดโรยหาไดม ีไม ตลอดกาลเทา น้ี กบ็ ัดนี้พระราํ พึงโดยนยั เปน ตน วา นโข ตถาคตา ไดเ กิดข้ึน ก็เพราะพระองคใ ครจะทรงรบั พระกระยาหาร ทราบพระราํ พงึ ในพระหฤทยั ของพระผูมพี ระภาคเจา ซง่ึ เกิดขน้ึ อยางน้นั ดว ยใจของตน. บทวา จตุทฺทสิ า คือจาก ๔ ทิศ. สองบทวา เสลมเย ปตเฺ ต ไดแ ก บาตรทแี่ ลวดว ยศิลามพี รรณคลา ยถ่วั เขียว. พระผมู ีพระภาคเจาทรงรับบาตรนแล. คาํ วาบาตรแลว ดวยศิลา ทานกลาวหมายเอาบาตรเหลานี้. กท็ าวมหาราชทงั้ ๔ ไดน อมถวายบาตรแลวดวยแกวอนิ ทนลิ ๑ กอ น. พระผมู พี ระภาคเจาไมท รงรบั บาตรเหลานน้ั .ลําดับนนั้ จงึ นอมถวายบาตรแลวดว ยศิลา มีพรรณดังถ่ัวเขียวทงั้ ๔ บาตรน้.ีพระผมู ีพระภาคเจาไดทรงรับท้ัง ๔ บาตรเพือ่ ตอ งการจะรักษาความเลอ่ื มใสของทา วมหาราชทงั้ ๔ นัน้ ไมใชเ พราะความมกั มาก. ก็แลครน้ั ทรงรบั แลว ไดทรงอธษิ ฐานบาตรทัง้ ๔ ใหเปนบาตรเดียว ผลบุญแหงทาวเธอทัง้ ๔ ไดเปนเชน เดียวกนั พระผมู พี ระภาคเจา ทรงรบั ขาวสัตตุผงและขาวสัตตกุ อนปรงุ นํา้ ผึง้ดว ยบาตรศิลามคี า มาก ทที่ รงอธิษฐานใหเปน บาตรเดยี วดว ยประการฉะนี.้ บทวา ปจฺจคเฺ ฆ คือ มีคามาก อธบิ ายวา แตละบาตรมคี า มาก. อีกอยางหน่ึง บทวา ปจจฺ คเฺ ฆ ไดแก ใหมเ อย่ี ม คือ เพง่ิ ระบมเสร็จความวา เกิดในขณะน้ัน. เขาช่อื วามีวาจาสอง เพราะอรรถวเิ คราะหวา ไดเปนผูมีวาจาสอง. อีกอยา งหนึง่ ความวาสองพานิชนัน้ ถงึ ความเปนอุบายสก๑. มีพรรณเขยี วเล่อื มประภสั สร ดงั แสงปกแมลงทบั ในคาํ หรับไสยศาสตรช อ่ื วาแกว มรกต.

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 29ดว ยวาจาสอง. สองพานชิ นนั้ ครั้นประกาศความเปน อบุ ายสกอยา งน้ันแลว ไดกราบทูลพระผูมพี ระภาคเจาวา ทีน้ี ตง้ั แตว ันน้ไี ป ขา พระองคพ งึ ทาํ การอภิวาทและยืนรบั ใครเลา พระเจา ขา ? พระผูมีพระภาคเจาทรงลูบพระเศยี ร. พระเกศาตดิ พระหตั ถ ไดประทานพระเกศาเหลา นั้น แกเ ขาทัง้ สอง ดว ยตรัสวา ทานจงรักษาผมเหลานี้ไว. สองพานชิ น้ัน ไดพ ระเกศธาตุราวกะไดอภเิ ษกดวยอมตธรรม รืน่ เรงิ ยินดีถวายบังคมพระผมู พี ระภาคเจา แลวหลกี ไป. อรรถกถาราชายตนกถา จบ อปั โปสสกุ กกถา เร่อื งความขวนขวายนอ ย [๗] ครน้ั ลว ง ๗ วนั พระผูม ีพระภาคเจาทรงออกจากสมาธนิ ้นั แลวเสดจ็ จากควงไมราชายตนะ เขาไปยังตนไมอ ชปาลนโิ ครธ ทราบวา พระองคประทบั อยู ณ ควงไมอ ชปาลนิโครธนน้ั และพระองคเ สดจ็ ไปในท่ีสงัดหลกี เรนอยู ไดม พี ระปรวิ ิตกแหงจิตเกิดข้นึ อยางนวี้ า ธรรมที่เราไดบ รรลแุ ลวนี้ เปนคุณอนั ลกึ เห็นไดย าก รตู ามไดยาก เปนธรรมสงบ ประณีต ไมหยง่ั ลงสคู วามตรกึ ละเอียดเปนวสิ ัยท่ีบัณฑิตจะพึงรูแจง สวนหมูสัตวน ีเ้ ริงรมยดวยอาลัยยนิ ดีในอาลยั ชน่ื ชมในอาลัย ฐานะคือความท่อี วชิ ชาเปน ปจจัยแหง สังขารเปนตน น้ี เปน สภาพอาศยั ปจจัยเกิดชั้นนี้ อันหมูส ัตวผเู ริงรมยดว ยอาลยั ยินดีในอาลยั . ชนื่ ชมในอาลยั เห็นไดยาก แมฐ านะคือธรรมเปนทร่ี ะงับสงั ขารท้ังปวงเปนทส่ี ละคืนอปุ ธทิ ั้งปวง เปน ที่สิ้นตัณหา เปน ที่ส้ินกาํ หนัด เปน ทด่ี ับสนิทหากเิ ลสเคร่ืองรอยรัดมไิ ด นี้กแ็ สนยากทีจ่ ะเห็นได กถ็ า เราจะพึงแสดงธรรม

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 30สตั วเหลาอน่ื กจ็ ะไมพ งึ รทู ่วั ถึงธรรมของเรา ขอ นัน้ จะพงึ เปน ความเหนด็เหนือ่ ยเปลาแกเรา จะพงึ เปนความลาํ บากเปลาแกเรา. อน่ึง อนจั ฉริยคาถาเหลาน้ี ทไี่ มเคยไดส ดับ ในกาลกอน ปรากฏแกพระผูมีพระภาคเจา วา ดังนี้:- อนัจฉริยคาถา บัดน้ี เรายงั ไมควรจะประกาศธรรม ท่ีเราไดบ รรลุแลว โดยยาก เพราะธรรมน้อี นั สตั วผ อู ันราคะและโทสะครอบงําแลว ไมตรสั รูไ ดงา ย สตั วผอู ันราคะยอ มแลวถกู กอง อวชิ ชาหมุ หอแลว จักไมเ หน็ ธรรมอนั ละ- เอยี ดลึกซงึ้ ยากทจ่ี ะเห็น ละเอยี ดย่ิง อนั จะยงั สัตวใ หถ งึ ธรรมทท่ี วนกระแส คอื พระ นิพพาน. เมือ่ พระผมู ีพระภาคเจาทรงพิจารณาเหน็ อยู ดังนี้ พระทยั กน็ อมไปเพ่อื ความขวนขวายนอ ย ไมนอ มไปเพอื่ ทรงแสดงธรรม. พรหมยาจนกถา เร่อื งพรหมทลู อารธนา [๘] ครง้ั น้นั ทา วสหัมบดีพรหมทราบพระปริวิตกแหง จติ ของพระผู-มีพระภาคเจาดว ยใจของตนแลวเกดิ ความปริวิตกวา ชาวเราผูเจรญิ โลกจกั ฉบิหายหนอ โลกจกั วนิ าศหนอ เพราะตถาคตอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา ทรงนอมพระทยั ไปเพือ่ ความขวนขวายนอย ไมทรงนอมพระทยั ไปเพอื่ ทรงแสดงธรรม.

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 31 ลาํ ดบั นัน้ ทาวสหับดพี รหมไดห ายไปในพรหมโลก มาปรากฏ ณเบอ้ื งพระพักตรของพระผมู พี ระภาคเจา ดุจบรุ ษุ มกี ําลงั เหยยี ดแขนทค่ี ู หรอื คูแขนท่ีเหยยี ดฉะนน้ั ครัน้ แลว หมผา อุตราสงคเฉวียงบา คุกชาณุมณฑลเบ้ืองขวาลงบนแผน ดิน ประณมอญั ชลีไปทางพระผมู ีภาคเจา แลวไดทูลคําน้แี ดพ ระผมู .ีพระภาคเจา วา พระพทุ ธเจาขา ขอพระผูม พี ระภาคเจา ไดโ ปรดทรงแสดงธรรมขอพระสคุ ตไดโปรดทรงแสดงธรรม เพราะสัตวท ้งั หลายจาํ พวกท่ีมธี ลุ ีในจกั ษุนอ ยมีอยู เพราะไมไดฟง ธรรมยอ มเสื่อม ผูรทู ั่วถึงธรรมจกั มี. ทา วสหัมบดีพรหมไดกราบทูลดังนี้แลว จึงกราบทลู เปนประพันธคาถาตอไปวา:- พรหมนคิ นคาถา เมื่อกอ นธรรมไมบ รสิ ทุ ธิอ์ ันคนมี มลทินทัง้ หลาย คิดแลวไดป รากฏในมคธชน- บท ขอพระองคไดโ ปรดทรงเปด ประตูแหง อมตธรรมน้ี ขอสัตวทั้งหลายจงฟงธรรมท่ี พระสมั มาสมั พุทธเจา ผูหมดมลทินตรัสรู แลว ตามลาํ ดบั เปรียบเหมือนบุรษุ มจี ักษุยืน อยบู นยอดภเู ขา ซ่งึ ลวนแลว ดว ยศิลา พึง เหน็ ชุมชนไดโดยรอบฉนั ใด ขา แตพระองค ผมู ีปญ ญาดี มพี ระปญญาจกั ษุรอบคอบ ขอ พระองคผูป ราศจากความโศกจงเสดจ็ ขัน้ สู ปราสาท อันสาํ เร็จดวยธรรม แลวทรง

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 32 พิจารณาชุมชนผูเกล่ือนกลนดวยความโศก ผอู นั ชาติและชราครอบงําแลว มีอปุ มยั ฉนั น้ันเถิด ขา แตพ ระองคผูมีความเพยี ร ทรง ชนะสงความ ผนู ําหมูหาหนีม้ ิได ขอพระ- องคจงทรงอุตสาหะเทยี่ วไปในโลกเถิด ขอ พระผูมีพระภาคเจา โปรดแสดงธรรมเพราะ สัตวผ ูรูท ั่วถึงธรรมจักม.ี ทรงพจิ ารณาสัตวโลกเปรียบดว ยดอกบวั [๙] ลาํ ดบั น้นั พระผมู พี ระภาคเจา ทรงทราบคําทูลอาราธนาของพรหมและทรงอาศยั ความกรณุ าในหมูส ัตว จงึ ทรงตรวจดสู ตั วโลกดวยพทุ ธจักขุเม่ือตรวจดสู ัตวโ ลกดวยพุทธจักขุ ไดทรงเห็นสัตวท ง้ั หลายทีม่ ธี ลุ ีคอื กิเลสในจักษนุ อ ยกม็ ี ที่มธี ลุ ีคอื กิเลสในจกั ษมุ ากกม็ ี ท่มี ีอนิ ทรยี แกก ลาก็มี ท่ีมีอนิ ทรยี ออนกม็ ี ที่มีอาการดกี ม็ ี ทมี่ อี าการทรามกม็ ี ทจ่ี ะสอนใหรูไดง ายก็มี ทจ่ี ะสอนใหรูไดยากกม็ ี ทม่ี ีปรกตเิ หน็ ปรโลกและโทษโดยความเปน ภัยอยูกม็ ี. มอี ปุ มาเหมือนดอกอบุ ลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทมุ หรือดอกบุณฑรกิ ในกอบณุ ฑรกิ ท่เี กดิ แลว ในนาํ้ เจริญแลวในน้ํา งอกงามแลวในน้ําบางเหลายงั จมในนํ้า อนั นาํ้ เล้ียงไว บางเหลา ต้ังอยูเสมอนํา้ บางเหลาตั้งอยูพน นํา้ อนั นาํ้ ไมตดิ แลว พระผมู พี ระภาคเจาทรงตรวจดูสตั วโลกดว ยพุทธจักขุ ไดท รงเห็นสตั วทง้ั หลาย บางพวกมีธลุ ีคอื กเิ ลสในจักษนุ อย บางพวกมีธลุ คี ือกเิ ลสในจักษมุ ากบางพวกมีอนิ ทรียแกก ลา บางพวกมีอนิ ทรยี ออน บางพวกมีอาการดี บางพวก

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 33มีอาการทราม บางพวกสอนใหรูไดง าย บางพวกสอนใหรไู ดย าก บางพวกมีปรกติเหน็ ปรโลกและโทษโดยความเปนภัยอยู ฉนั น้นั เหมอื นกนั ครนั้ แลว ไดตรสั ดาถาตอบทาวสหมั บดพี รหมวา ดงั นี้:- เราเปด ประตอู มตะแกท า นแลว สัตว เหลา ใดจะฟง จงปลอยศรัทธามาเถดิ ดกู อ น พรหม เพราะเรามคี วามสําคญั ในความลาํ - บาก จงไมแ สดงธรรมทเ่ี ราคลองแคลว ประณตี ในหมมู นุษย. คร้ันทาวสหัมบดีพรหมทราบวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงประทานโอกาสเพ่อื จะแสดงธรรมแลว จึงถวายบงั คมพระผูมพี ระภาคเจาทําประทกั ษณิแลว อนั ตรธานไปในท่ีนั้นแล. พรหมยาจนกถา จบ อรรถกถาพรหมยาจนกถา ครั้งน้ันแล พอลว งเจด็ วัน พระผมู ีพระภาคเจา ทรงออกจากสมาธินั้นเสรจ็ กิจท้ังปวงมีประการดังกลา วแลวน้ันแล ออกจากโคนตน ไมเ กต เสด็จเขาไปยังตน อชปาลนิโครธแมอกี . สองบทวา ปริวิตกโก อุทปาทิ มีความวา ความรําพึงแหง ใจนี้ที่พระพทุ ธเจา ทกุ พระองคทรงพระพฤติกนั มาเปนอาจณิ เกดิ ขนึ้ แดพ ระผมู พี ระภาคเจา ผพู อประทับนงั่ ทีโ่ คนตน อชปาลนิโครธนั้นเทานน้ั .

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 34 ถามวา ก็เพราะเหตุไร ความรําพงึ แหง ใจนี้ จงึ เกิดข้ึนแกพ ระพทุ ธ-เจาทุกพระองค ? ตอบวา เพราะทรงพิจารณาชอ่ื ท่ีพระธรรมเปน คณุ ใหญ เปน คุณเลศิลอย เปน ของหนัก และเพราะเปน ผูใ ครจ ะทรงแสดงตามคาํ ทพ่ี รหมทลู วง่ิ วอน. จริงอยู พระพุทธเจาทัง้ หลายยอ มทรงทราบวา เม่อื พระองคทรงรําพึงอยา งน้นั พรหมจกั มาทลู เชญิ แสดงธรรม ท่นี น้ั สัตวทัง้ หลายจกั ใหเ กิดความเคารพในธรรม เพราะวา โลกสนั นิวาสเคารพพรหม. ความรําพงึ นี้ เกดิ ขนึ้เพราะเหตุ ๒ ประการนี้ ดวยประการฉะนนั้ แล. บรรดาบทเหลาน้ัน หลายบทวา อธคิ โต โข มยาย ตดั บทวาอธคิ โต โข เม อย ความวา ธรรมนี้ อันเราบรรลุแลว แล. บทวา อาลยรามา มคี วามวา สัตวท ้ังหลายยอ มพัวพันในกามคณุ๕ อยา ง เพราะเหตุนั้น กามคุณ ๕ เหลา น้นั ทา นจงึ เรยี กวา อาลัย หมูส ตั วยอ มร่ืนรมยดวยกามคณุ เปนทีพ่ วั พันเหลานัน้ เหตุนั้น จึงชอ่ื วา ผรู ่นื รมยดว ยอาลยั . หมสู ตั วยนิ ดแี ลว ในกามคณุ เปน ทพ่ี ัวพนั ท้ังหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อวาผูยนิ ดีในอาลยั . หมสู ตั วเ พลินดว ยดใี นกามคุณเปนท่ีพัวพนั ท้ังหลาย เพราะฉะน้นั จึงชอ่ื วา ผูเพลินในอาลยั . บทวา ยทิท เปน นิบาต ความแหง บทวา ยททิ  น้นั หมายเอาฐานะ พึงเหน็ อยางน้วี า ย อทิ  หมายเอาปฏิจจสมุปบาท พงึ เห็นอยางน้วี าโย อย . บทวา อิทปฺปจจฺ ยตาปฏจิ สฺ มปุ ปฺ าโท มีอรรถวิเคราะหวาธรรมเหลา น้ี เปน ปจ จัยแหง ธรรมเหลานี้ ชอื่ อทิ ปปฺ จฺจยา อทิ ปปฺ จฺจยา นัน่ช่ือวา อทิ ปฺปจฺจยตา ธรรมเหลานี้ เปนปจ จยั แหง ธรรมเหลา นนี้ น้ั เปน ธรรม

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 35อาศยั กนั เกิดขนึ้ เพราะฉะนัน้ จงึ ชอื่ วา ธรรม เหลา นี้เปน ปจจยั แหงธรรมเหลาน้ี เปนธรรมอาศยั กนั เกิดข้นึ . ขอวา โส มมสฺส กลิ มโถ มีความวา ข้นึ ชอื่ วา เทศนาแกเหลาชนผูไมร ู พงึ เปน ยาความเหนด็ เหนอ่ื ยแกเ รา พึงเปนความลําบากแกเรา. บทวา ภควนฺต แปลวา แกพระผูมีพระภาคเจา. บทวา อนจฉฺ รยิ า ไดแ ก ท่เี ปนอัศจรรยน ักหนา๑. บทวา ปฏภิ  สุ มคี วามวา ไดเปน อารมณแหง ญาณกลาวคือปฏภิ าณคอื ถึงความเปนคาถาอนั พระองคพงึ รําพึง. ห อักษรใน บทวา หล นี้ สักวาเปนนบิ าต ความวา ไมค วร. บทวา ปกาสิตุ ไดแ ก เพ่ือแสดง. มีคาํ อธิบายวา บัดน้ีไมค วรแสดงธรรมที่เราบรรลไุ ดโดยยากนี.้ บาทคาถาวา นาย ธมฺโม สสุ มพฺ ุทโฺ ธ มีความวา ธรรมนที้ ําไดง าย ๆ เพอ่ื จะตรสั รหู ามไิ ด อธบิ ายวา การท่จี ะรูมใิ ชท าํ ไดง า ย ๆ. บทวา ปฏโิ สตคามึ มคี วามวา ใหถ ึงนพิ พานที่ทา นเรียกวาธรรมอนั ทวนกระแส. บทวา ราครฺ ตฺตา มีความวา สัตวท้ังหลาย ผูอันเคร่ืองยอ มคอื กามเคร่ืองยอ มคือภพ และเครอื่ งยอ มคอื ทฏิ ฐิยอ ม (ใจ) แลว . บทวา น ทกฺขนฺติ ไดแก ยอ มไมเห็น. สองบทวา ตโมกฺขนเฺ ธน อาวุฏา มีความวา ผูอ นั กองแหงอวชิ ชาปกคลมุ ไวแลว.๑ แปลเอาความตามนัยฎีกา สารตถฺ ทปี นี ภาค ๑ หนา ๕๓๐ ซึง่ แกไ ววา อนอุ จฉฺ รยิ าติสวน- กาเล อปุ รปริ วิมฺหมกราติ อตฺโถ.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 36 บทวา อปโฺ ปสสฺ ุกฺกตาย มคี วามวา เพอื่ ความเปน ผไู มป ระสงคจะแสดง เพราะคาท่เี ปน ผปู ราศจากความขวนขวาย. บทวา ยตฺร หิ นาม มีความวา ในโลกชอื่ ใด. บทวา ภควโต ปุรโต ปาตรุ โหสิ มคี วามวา ทาวสหัมบดพี รหมไดพามหาพรหมทัง้ หลาย ในหมนื่ จกั รวาล มาปรากฏเฉพาะพระพักตรพ ระผูมีพระภาคเจา เพื่อทลู วงิ วอน ใหท รงแสดงธรรม. บทวา อปปฺ รชกฺชาติกา มีอรรถวิเคราะหวา ธุลี คอื ราคะ โทสะโมหะ นอ ย ในจักษุ ท่แี ลวดว ยปญญา เปน ปกตแิ หง ตนของสัตวเ หลา นี้ เหตุน้ันสัตวเหลา น้ี ชื่อผมู ชี าติแหง สตั วผ มู ธี ลุ ีนอ ยในจกั ษ.ุ บทวา ภวสิ ฺสนตฺ ิ ธมมฺ สฺส ไดแ ก ธรรมคือสจั จะ ๔. บทวา อฺ าตาโร ไดแก ผตู รัสรู. บทวา ปาตรุ โหสิ ไดแก มปี รากฏ. สองบทวา สมเลหิ จนิ ฺตโิ ต มีความวา อนั ครูทงั้ หกผูม ีมลทนิ มีราคะเปน ตน คิดแลว. บทวา อปาปเุ รต มีความวา ขอจงเปด ประตนู ัน้ . สองบทวา อมตสฺส ทฺวาร มีความวา อริยมรรคเปนประตู แหงนิพพานซ่ึงเปน ธรรมไมตาย. บาทพระคาถาวา สุณนตฺ ุ ธมมฺ  วมิ เลนานุพทุ ธ มีความวา สตั วเหลานี้จงฟงธรรมคือสจั จะ ๔ ท่พี ระสมั พทุ ธเจา ซ่งึ เปน ผปู ราศจากมลทินเพราะไมม มี ลทินมรี าคะเปนตน ตรัสรูสมควรแลว. บาทพระคาถาวา เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏ ิโต มีความวา เหมอื นอยางวา บรุ ุษผมู ีดวงตาน้นั ยืนบนยอดภูเขาซ่ึงลว นแลว ดว ยศิลา

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 37เปนเทือกเดยี วกัน จะพงึ เห็นประชมุ ชนไดร อบดา นฉนั ใด. ขาแดพระผูมีพระ-ภาคเจาผมู ีเมธาดี คือผูมปี ญญาดี ผูมพี ระจกั ษุรอบคอบดวยพระสัพพัญุตญาณแมพระองคเ สดจ็ ขึ้นสปู ราสาท ซ่งึ แลว ดว ยธรรม คอื ลว นดวยพระปญ ญาพระองคเองปราศจากความโศกแลว ขอจงทรงแลดู คือทรงพิจารณาประชุมชนผูคบั คงั่ ดว ยความโศก ถกู ความเกิดและความแกค รอบงาํ แลว ฉนั นั้นเถดิ .ทาวสหมั บดพี รหมเมอ่ื จะทรงวิงวอนใหพ ระผูมพี ระภาคเจา เสดจ็ จารกิ ไปเพอื่ทรงแสดงธรรม จึงทลู วา ขอจงเสดจ็ ลกุ ข้ึนเถิด. พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในบทวา วรี เปนตน ดังนี้ พระผมู ีพระภาคเจามีพระนามวา วีระ เพราะทรงมคี วามเพียร ทรงพระนามวา วชิ ิตสงความ เพราะทรงชาํ นะเทวบตุ รมาร มจั จุมาร กเิ ลสมาร และอภิสงั ขารมาร ทรงพระนามวา สตั ถวาหะ เพราะทรงสามารถชวยหมสู ัตวใ หพนจากกันดารมีชาติกันดารเปน ตน ทรงพระนามวา ผูไมมหี นี้ เพราะไมม ีหนี้ คือ กามฉันท. บทวา อชฺเฌสน ไดแ ก คาํ วงิ วอน. บทวา พุทธจกฺขนุ า คือ ดว ยอินทริยปโรปริยตั ิญาณ และอาสยา-นสุ ยญาณ. จรงิ อยู คําวา พุทธจกั ขุ เปนช่อื แหง พระญาณ ๒ อยา งนี.้ บทวา อปฺปรชิ กเฺ ข เเปน ตน มีความวา ธุลมี ีราคะเปนตน โนปญญา-จกั ขขุ องสัตวเหลา ใดมีนอย สัตวเหลา นนั้ ช่ือผูมธี ุลีในจกั ษุนอ ย. ของสัตวเหลาใดมมี าก สตั วเหลา นั้น ชื่อวาผูมธี ลุ ีในจักษมุ าก. อนิ ทรียม ศี รัทธาเปน ตนของสตั วเ หลาใดกลา สตั วเ หลานนั้ ชอ่ื ผมู ีอนิ ทรียก ลา, ของสตั วเ หลา ใดออ นสัตวเ หลาน้ัน ช่ือผูม ีอินทรยี อ อ น. อาการมศี รัทธาเปนตน ของสตั วเหลาใดดีสตั วเหลา น้นั ชอื่ ผูม ีอาการดี, ของสตั วเ หลา ใดไมด ี สตั วเหลา นน้ั ชื่อผูมี

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 38อาการช่วั . สัตวเหลา ใด กาํ หนดเหตุท่ที านกลาวได คือเปน ผูท่ีสามารถจะใหรไู ดโ ดยงาย สัตวเ หลา น้ัน ชื่อผูทจี่ ะพงึ สอนใหรไู ดโดยงา ย. สตั วเ หลาใดไมเปนอยา งน้ัน สตั วเหลา น้ัน ชอ่ื ผูที่จะพึงสอนใหรูโดยยาก. สตั วเหลาใดเห็นปรโลกและโทษโดยความเปน ภัย สตั วเ หลา นัน้ ชื่อผูมปี กตเิ ห็นปรโลกและโทษโดยความเปน ภยั . บทวา อปุ ฺปลินยิ  ไดแก ในกออุบล. แมใ นบทนอกจากน้ี ก็นัยนีเ้ หมือนกนั . บทวา อนุโตนมิ ุคฺคโปสนิ ี ไดแก ดอกบัวทีย่ ังจมอยูภายในน้ํา อันนํา้ เลยี้ งไว. บทวา สโมทกฏ ติ านิ ไดแก ดอกบวั ทที่ ัง้ อยูเสมอนํ้า. หลายบทวา อุทก อจจฺ ุคฺคมมฺ ตฏิ นฺติ ไดแ ก ตั้งอยูพนน้ํา. บทวา อปารุตา ไดแ ก เปด แลว . สองบทวา อมตสสฺ ทฺวารา ไดแก อริยมรรค. จริงอยู อริย-มรรคนนั้ เปน ประตูแหง พระนิพพาน กลาวคอื อมตธรรม. สองบทวา ปมุจฺ นตฺ ุ สทฺธ มคี วามวา ชนทง้ั ปวงจงปลอย คอืจงสละความเชอ่ื ของตน. ในสองบทขางทา ย มเี นอ้ื ความดังนน้ี ่เี อง เพราะวาเราเปนผูม ีความสาํ คญั วาจะตอ งลําบากกายวาจา จงึ ไมไ ดแ สดงธรรมท่อี ดุ มประณีตน้ี แมท่เี ปน ไปดีแคลว คลอ งสําหรับตนในหมมู นษุ ย คอื ในเทวดาและมนุษยท งั้ หลาย. อรรถกถาพรหมยาจนกถา จบ

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 39 พทุ ธปริวิตกกถา [๑๐] คร้ังนน้ั พระผูม พี ระภาคเจาไดท รงดําริวา เราจะพงึ แสดงธรรมแกใครกอนหนอ ใครจักรูท ว่ั ถึงธรรมนไี้ ดฉ ับพลนั คร้นั แลวทรงพระ-ดํารติ อไปวาอาฬารดาบสกาลามโคตรน้ีแล เปน ผูฉลาด เฉยี บแหลม มปี ญ ญามีธุลีคือกิเลสในจักษนุ อยเปนปรกติมานาน ถา กระไร เราพึงแสดงธรรมแกอาฬารดาบสกาลามโคตรกอ น เธอจักรทู ่ัวถึงธรรมน้ไี ดฉ บั พลัน ทนี ัน้ เทพดาอนั ตรธานมากราบทลู พระผมู ีพระภาคเจาวา อาฬารดาบสกาลามโคตร สิน้ ชพีได ๗ วันแลว พระพุทธเจาขา แมพระผมู ีพระภาคเจาก็ทรงทราบวา อาฬารคาบสกาลามโคตรสิ้นชีพได ๗ วันแลว จึงทรงพระดาํ ริวา อาฬารดาบสกาลามโคตรเปนผูมีความเสอ่ื มใหญ เพราะถาเธอไดฟงธรรมนีจ้ ะพึงรูท่ัวถึงไดฉบั พลัน. ลําดับน้ัน พระผมู พี ระภาคเจาไดท รงพระดํารวิ า เราจะพึงแสดงธรรมแกใ ครกอนหนอ ใครจกั รูท ัว่ ถงึ ธรรมนไ้ี ดฉับพลัน คร้นั แลว ทรงพระดํารติ อไปวา อุทกดาบสรามบุตรนี้แลเปน ผูฉลาดเฉียบแหลม มีปญ ญา มธี ลุ ีคอื กเิ ลสในจักษนุ อ ยเปนปรกติมานาน ถา กระไร เราพึงแสดงธรรมแกอทุ กดาบสรามบุตรกอนเธอจกั รูทั่วถงึ ธรรมน้ีไดฉับพลัน ทีน้ัน เทพดาอันตธานมากราบทลูพระผูม ีพระภาคเจาวา อุทกดาบสรามบตุ รสิน้ ชีพเสยี วานน้ีแลว พระพุทธเจา ขาแมพ ระผมู ีพระภาคเจากท็ รงทราบวา อทุ กดาบสรามบตุ รสิ้นชีพเสียวานนีแ้ ลวจงึ ทรงพระดาํ ริวาอุทกดาบสรามบุตรน้ี เปน ผมู คี วามเส่อื มใหญ เพราะถาเธอไดฟ ง ธรรมน้ี จะพงึ รทู ว่ั ถึงไดฉ ับพลัน.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 40 ลาํ ดับน้ัน พระผูมพี ระภาคเจาไดทรงพระดาํ ริวา เราจะพึงแสดงธรรมแกใครกอนหนอ ใครจักรทู ัว่ ถงึ ธรรมน้ีไดฉบั พลัน ครน้ั แลว ทรงพระดํารติ อไปวาภิกษุปญจวัคคียมอี ุปการะแกเ รามาก ไดบ ํารุงเราผตู ้ังหนา บําเพญ็ เพยี รอยูถา กระไรเราพงึ แสดงธรรมแกภิกษปุ ญ จวัคคยี ก อ น ครนั้ แลว ไดท รงพระดาํ รติ อไปวา บดั นีภ้ ิกษปุ ญ จวัคคยี อยทู ไี่ หนหนอ พระผูมีพระภาคเจาไดท รงเหน็ภิกษุปญจวัคคยี อ ยู ณ ปา อสิ ิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี ดว ยทิพพจักขุอนั บริสุทธิ์ ลวงจกั ษมุ นุษย ครัง้ พระองคประทบั อยู ณ อุรุเวลาประเทศตามควรแกพ ุทธาภริ มยแ ลว เสด็จจาริกไปทางพระนครพาราณสี. เรอื่ งอปุ กาชวี ก [๑ ] อาชีวกชื่ออปุ กะไดพ บพระผูมีพระภาคเจาเสด็จดาํ เนนิ ทางไกลระหวา งแมน้าํ คยาและไมโพธพิ ฤกษ ครนั้ แลว ไดทลู คําน้ีแดพ ระผมู ีพระภาคเจาวา ดกู อนอาวโุ ส อินทรียของทา นผอ งใสยง่ิ นัก ผิวพรรณของทา นบริสทุ ธ์ิผุดผอ ง ดกู อ นอาวโุ ส ทานบวชอุทศิ ใคร ใครเปนศาสดาของทา น หรอื ทานชอบธรรมของใคร เมอื่ อุปกาชีวกกราบทลู อยา งนีแ้ ลว พระผูม พี ระภาคเจาไดตรสั พระคาถาตอบ อุปกาชวี กวา ดงั น:้ี - เราเปน ผคู รอบงาํ ธรรมท้ังปวง รู ธรรมทง้ั ปวงอนั ตณั หาและทฏิ ฐิ ไมฉาบทา แลว ในธรรมท้งั ปวง ละธรรมเปน ไปในภมู ิ สานไดหมด พน แลวเพราะความสนิ้ ไปแหง ตัณหา เราตรสั รยู ิ่งเองแลวจะพึงอา งใครเลา อาจารยข องเราไมมี คนเชน เราก็ไมม ี บุคคล

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 41 เสมอเหมือนเราก็ไมมี ในโลกกับทัง้ เทวโลก เพราะเราเปน พระอรหนั ตใ นโลกเราเปน ศาสดาหาศาสดาอื่นย่ิงกวา มิได เราผเู ดยี ว เปนพระสัมมาสัมพทุ ธะ เราเปน ผเู ยน็ ใจ ดบั กิเลสไดแ ลว เราจะไปเมืองในแควนกาสี เพือ่ ประกาศธรรมจักรใหเ ปนไป เราจะตกี ลอง อมตะในโลกอนั มืด เพ่อื ใหส ตั วไดธรรมจกั ษ.ุ อปุ กาชีวกทลู วา ดูกอนอาวุโส ทานปฏิญาณโดยประการใด ทานควรเปน ผูชนะหาทส่ี ุดมไิ ด โดยประการน้ัน. พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา บคุ คลเหลาใดถงึ ความส้ินอาสวะแลวบคุ คลเหลา นน้ั ชื่อวาเปน ผูช นะเชน เรา ดกู อนอุปกะ เราชนะธรรมอนั ลามกแลวเพราะฉะนัน้ เราจึงช่อื วาเปน ผูชนะ เมอ่ื พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั อยางนแี้ ลว อปุ กาชีวกทลู วา พงึ เปน ผูชนะเถดิ ทานผมู ีอายุดงั นี้แลว กม ศรี ษะลงแลว แยกทางหลกี ไป. เรอื่ งอปุ กาชีวก จบ เรือ่ งพระปญจวคั คยี  [๑๒] คร้ังนัน้ พระผมู พี ระภาคเจา เสดจ็ จาริกโดยลําดบั ถงึ ปาอิสิปตนะมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี เสดจ็ เขาไปทางสํานักพระปญจวคั คยี พระปญจวัคคียไ ดเ หน็ พระผูมีพระภาคเจาเสดจ็ มาแตไกล แลว ไดน ดั หมายกนัและกันวา ทานทง้ั หลาย พระสมณะโคตมนเ้ี ปนผูม ักมาก คลายความเพยี ร

พระวนิ ัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 42เวียนนาเพ่อื ความเปนคนมักมาก กําลังเสดจ็ มา พวกเราไมพึงอภวิ าท ไมพงึลุกขน้ึ ตอนรับพระองค ไมพ ึงรับบาตรจีวรของพระองค แตพึงวางอาสนะไวถา พระองคปรารถนาก็จกั ประทับนงั่ ครั้นพระผมู ีพระภาคเจา เสดจ็ เขา ไปถึงพระปญจวคั คีย พระปญจวัคคียนนั้ ไมต ัง้ อยูในกติกาของตน ตา งลกุ ขึ้นตอ นรบัพระผมู พี ระภาคเจา รปู หน่ึงรบั บาตรจวี รของพระผมู ีพระภาคเจา รปู หนง่ึ ปูอาสนะ, รูปหนึ่งจดั หานํา้ ลางพระบาท, รูปหน่งึ จดั ต้ังตง่ั รองพระบาท, รปู หนึง่นํากระเบื้องเช็ดพระบาทเขาไปถวาย พระผูม ีพระภาคเจาประทับน่ังบนอาสนะที่พระปญจวคั คยี จ ดั ถวาย แลว ทรงลางพระบาท ฝา ยพระปญจวคั คยี เรยี กพระผมู ีพระภาคเจา โดยระบุพระนาม และใชค าํ วา อาวโุ สเมื่อพระปญจวัคคียก ลาวอยางนั้นแลว พระผูมีพระภาคเจา ไดต รสั หา มพระปญจวัคคียว า ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธออยาเรียกตถาคตโดยระบุช่อื และอยา ใชค ําวา อาวโุ ส ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเปนอรหนั ต ตรัสรเู องโดยชอบ พวกเธอจงเงย่ี โสตสดับ เราไดบรรลุอมตธรรมแลว เราจะสงั่ สอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏบิ ัตอิ ยตู ามทเ่ี ราส่ังสอนแลว ไมช าสกั เทาไร จักทําใหแจงซงึ่ คณุ อันยอดเยยี่ ม อนั เปนท่ีสุดแหง พรหมจรรย ทก่ี ุลบตุ รทั้งหลาย ออกจากเรอื นบวชเปนบรรพชติ โดยชอบตองการน้นั ดวยปญ ญาอนั ยงิ่ ดว ยตนเองในปจจบุ ันเขาถึงอย.ู เมอื่ พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสอยา งนแ้ี ลว พระปญจวคั คียพ ูดทลู คา นพระ-ผูม ีพระภาคเจาวา อาวุโสโคตม แมด ว ยจรยิ านน้ั แมดวยปฏปิ ทาน้นั แมดวยทกุ กรกริ ิยาน้ัน พระองคก ็ยังไมไ ดบรรลอุ ตุ ตริมนุสสธรรมอันเปนความรูความเห็นพิเศษอยา งประเสรฐิ อยางสามารถ กบ็ ัดน้ี พระองคเปน ผูม กั มากคลายความเพียรเวยี นมาเพือ่ ความเปนคนมักมาก ไฉนจกั บรรลุอตุ ตริมนสุ สธรรม อนั เปนความรูค วามเหน็ พิเศษอยางประเสรฐิ อยา งสามารถไดเลา.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 43 เมอื่ พระปญ จวัคคียกราบทูลอยางนแี้ ลว พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวาดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ตถาคตไมใ ชเปนคนมักมาก ไมไดเ ปนคนคลายความเพียรไมไ ดเ วียนมาเพ่ือความเปน คนมักมาก ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ตถาคตเปนอรหนั ตตรสั รูเองโดยชอบ พวกเธอจงเงยี่ โสตสดบั เราไดบรรลุอมตธรรมแลว เราจะสัง่ สอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏบิ ัติอยตู ามทเ่ี ราส่งั สอนแลว ไมช าสกัเทา ไร จกั ทําใหแ จงซ่งึ คณุ อันยอดเยยี่ ม อนั เปน ทส่ี ุดแหง พรหมจรรย ท่ีกลุ บตุ รทั้งหลายออกจากเรือนบวชเปนบรรพชิตโดยชอบตองการนน้ั ดวยปญญาอนั ยิ่งดว ยตนเองในปจ จบุ ันเขา ถึงอย.ู แมค รั้งที่สอง พระปญ จวคั คยี ไดท ูลคา นพระผูม ีพระภาคเจาวา . . . แมค รงั้ ท่สี อง พระผมู พี ระภาคเจาก็ไดต รสั วา . . . แมครง้ั ทส่ี าม พระปญ จวคั คียไดทลู คานพระผูม พี ระภาคเจา วา อาวุโส-โคดมแมดวยจรยิ าน้ัน แมด ว ยปฏิปทานั้น แมดวยทุกกรกริ ยิ าน้ัน พระองคก ็ยงัไมไ ดบ รรลอุ ุตตริมนุสสธรรม อันเปนความรูค วามเห็นพเิ ศษอยางประเสริฐอยา งสามารถ กบ็ ัดนพี้ ระองคเ ปน ผมู ักมาก คลายความเพยี ร เวยี นมาเพ่อืความเปนคนมักมาก ไฉนจักบรรลอุ ตุ ตรมิ นุสสธรรม อันเปน ความรคู วามเห็นพิเศษอยางประเสริฐ อยางสามารถไดเ ลา . เม่ือพระปญ จวคั คยี ก ราบทูลอยางนแี้ ลว พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรัสวาดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย พวกเธอยังจาํ ไดหรือวา ถอ ยคาํ เชนน้ี เราไดเ คยพูดแลวในปางกอ นแตก าลน้.ี พระปญ จวคั คียก ราบทลู วา คาํ นไ้ี มเ คยไดฟ ง เลย พระพุทธเจา ขา . พระผูม พี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย ตถาคตเปน อรหนั ตตรสั รูเ องโดยชอบ พวกเธอจงเงีย่ โสตสดับ เราไดบรรลุอมตธรรมแลว เราจะ

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 44สงั่ สอนจักแสดงธรรม พวกเธอปฏบิ ัติอยตู ามท่ีเราส่งั สอนแลว ไมชาสกั เทา ไรจักทําใหแจงซ่ึงคุณอนั ยอดเยย่ี ม อนั เปนท่สี ุดแหง พรหมจรรย ท่ีกลุ บุตรท้ังหลายออกจากเรือนบวชเปนบรรพชิตโดยชอบตอ งการนน้ั ดวยปญญาอันยิ่งดว ยตนเองในปจ จบุ นั เขาถงึ อยู พระผูม พี ระภาคเจาทรงสามารถใหพระปญ จ-วคั คยี ยนิ ยอมไดแ ลว ลําดบั น้ันพระปญจวคั คยี  ไดยอมเชื่อฟงพระผูม พี ระ-ภาคเจา เง่ียโสตสดับ ต้ังจติ เพ่อื รยู ิ่ง. ธัมมจกั กปั ปวัตตนสตู ร ปฐมเทศนา [๑๓] ลาํ ดบั นัน้ พระผมู พี ระภาคเจา รบั สั่งกะพระปญจวคั ดยี วา ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ท่สี ดุ ๒ อยา งนี้อนั บรรพชติ ไมค วรเสพคือ. การประกอบตนใหพัวพนั ดวยกามสุขในกามทง้ั หลาย เปนธรรมอนั เลวเปนของชาวบา น เปนของปุถชุ น ไมใ ชข องพระอรยิ ะ ไมประกอบดว ยประโยชน ๑. การประกอบความเหนด็ เหน่อื ยแกตน เปน ความลาํ บาก ไมใชข องพระอรยิ ะ ไมประกอบดว ยประโยชน ๑. ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปฏปิ ทาสายกลาง ไมเ ขาไปใกลที่สุดสองอยางนนั้ นั่นตถาคตไดต รสั รแู ลว ดว ยปญญาอันย่งิ ทาํ ดวงตาใหเ กิด ทาํ ญาณใหเกิดยอ มเปนไปเพ่อื ความสงบ เพอื่ ความรูย่งิ เพื่อความตรัสรู เพือ่ นิพพาน.

พระวนิ ัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 45 ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็ปฏปิ ทาสายกลายท่ีตถาคตไดต รัสรูแลวดว ยปญ ญาอนั ย่งิ ทําดวงตาใหเ กดิ ทําญาณใหเกิด ยอมเปนไปเพอ่ื ความสงบเพอื่ ความรูยิ่ง เพ่อื ความตรสั รู เพอ่ื นิพพานนน้ั เปน ไฉน ? ปฏิปทาสายกลางนั้น ไดแ กอรยิ มรรคมีองค ๘ นีแ้ หละ คอื ปญ ญาอนัเหน็ ชอบ ๑ ความดาํ รชิ อบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๐พยายามชอบ ๑ ระลกึ ชอบ ๑ ต้งั จติ ชอบ ๑. ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย น้ีแลคือปฏิปทาสายกลายนน้ั ท่ตี ถาคตไดต รัสรแู ลวดวยปญ ญาอันยิง่ ทําดวงตาใหเกดิ ทําญาณไดเ กิด ยอมเปน ไปเพ่อื ความสงบเพื่อความรยู งิ่ เพ่อื ความตรสั รู เพ่อื นิพพาน. [๑๔] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอนแี้ ลเปน ทกุ ขอริยสัจ คอื ความเกิดก็เปน ทกุ ข ความแกก เ็ ปน ทกุ ข ความเจ็บไขกเ็ ปน ทกุ ข ความตายกเ็ ปน ทุกขความประจวบดว ยส่ิงทีเ่ ปน ทร่ี กั ก็เปนทุกข ความพลัดพรากจากสง่ิ ทเี่ ปนที่รักก็เปนทุกข ปรารถนาสิ่งใดไมไดส่ิงนน้ั กเ็ ปนทกุ ข โดยยน ยอ อปุ าทานขันธ ๕เปนทกุ ข ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ขอ น้ีแลเปนทกุ ขสมุทยอริยสัจ คือตัณหาอันทําใหเกิดอีก ประกอบดว ยความกําหนดั ดว ยอํานาจความเพลิน มีปรกตเิ พลิดเพลนิในอารมณนัน้ ๆ คือ กามตณั หา ภวตณั หา วิภวตณั หา. ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย ขอน้แี ลเปน ทุกขนโิ รธอรยิ สจั คอื ตัณหานั่นแลดบั โดไมเหลอื ดวยมรรคคอื วิราคะ สละ สละคนื ปลอยไป ไมพัวพัน. ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย ขอ น้แี ลเปน ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทาอริยสัจ คอือรยิ มรรคมีองค ๘ น้แี หละ คอื ปญญาเหน็ ชอบ ๑. . . ตง้ั จติ ชอบ ๑.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 46 [๑๕] ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวา งไดเกิดขึ้นแลว แกเราในธรรมท้งั หลายทเี่ ราไมเ คยฟง มากอนวา นี้ทุกขอรยิ สัจ. ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ดวงตา ญาณ ปญ ญา วชิ ชา แสงสวา ง ไดเกิดข้นึ แลวแกเ ราในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราไมเ คยฟงมากอ นวา ทกุ ขอริยสัจน้นี น้ั แลควรกาํ หนดรู. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วชิ ชา แสงสวา ง ไดเ กิดเกิดขนึ้ แลว แกเราในธรรมทงั้ หลายที่เราไมเคยฟง มากอนวา ทกุ ขอรยิ สัจน้นี ้ันแล เราก็ไดก าํ หนดรแู ลว. ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วชิ ชา แสงสวา ง ไดเกดิขนึ้ แลว แกเราในธรรมทง้ั หลายทเี่ ราไมเ คยฟง มากอ นวา น้ีทกุ ขสมทุ ยอริยสจั . ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วชิ ชา แสงสวา ง ไดเ กิดขนึ้ แลวแกเ ราในธรรมท้ังหลายที่เราไมเคยฟงมากอนวา ทกุ ขสมุทยอริยสจั น้ีน้ันแล ควรละเสีย. ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปญ ญา วิชชา แสงสวาง ไดเ กิดขึน้ แลว แกเ ราในธรรมทั้งหลายท่เี ราไมเ คยฟง มากอ นวา ทกุ ขสมุทยอรยิ สจั นน้ี ัน้แล เราไดละแลว. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วชิ ชา แสงสวาง ไดเกิดขน้ึ แลวแกเ ราในธรรมท้ังหลายท่ีเราไมเคยฟง มากอนวา น้ที กุ ขนิโรธอรยิ สัจ. ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ดวงตา ญาณ ปญ ญา วชิ ชา แสงสวางไดเกิดขน้ึแลว แกเราในธรรมท้งั หลายท่เี ราไมเคยฟงมากอนวา ทุกขนิโรธอรยิ สจั นน้ี ้ันแลควรทําใหแจง .

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 47 ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวา ง ไดเ กิดขึ้นแลวแกเราในธรรมท้งั หลายที่เราไมเ คยฟง มากอนวา ทกุ ขนโิ รธอริยสัจน้นี ้ันแล เราทาํ ใหแ จง แลว. ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วชิ ชา แสงสวา ง ไดเ กิดขนึ้ แลวแกเราในธรรมทงั้ หลายทเี่ ราไมเคยฟงมากอ นวา นที้ กุ ขนิโรธคามนิ -ีปฏปิ ทาอรยิ สจั . ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ดวงตา ญาณ ปญ ญา วชิ ชา แสงสวาง ไดเกดิขึ้นแลว แกเ ราในธรรมท้ังหลายทเี่ ราไมเ คยฟง มากอ นวา ทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทาอริยสัจน้ีนั้นแล ควรใหเ จรญิ . ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย ดวงตา ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวา ง ไดเกิดข้นึ แลว แกเ ราในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราไมเ คยฟง มากอ นวา ทุกขนโิ รธคามินีปฏิปทาอริยสัจนีน้ น้ั แล เราใหเจริญแลว . ญาณทัสสนะมรี อบ ๓ มีอาการ ๑๒ [๑๖] ดกู อนภิกษุท้ังหลาย ปญญาอันรูเ หน็ ตามเปน จรงิ ของเราในอรยิ สัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อยา งน้ี ยังไมห มดจดดีแลว เพียงใดดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย เรายงั ยนื ยันไมไดวา เปนผตู รสั รูสัมมาสัมโพธิญาณ อนัยอดเย่ยี มในโลก พรอ มท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู ัตว พรอ มทงั้สมณะพราหมณ เทวดาและมนุษย เพียงนน้ั . ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย กเ็ มื่อใดแล ปญ ญาอนั รเู ห็นตามเปนจริงของเราในอริยสจั ๔ นี้ มรี อบ ๓ มอี าการ ๑๒ อยางนี้ หมดจดดีแลว ดกู อนภิกษุท้งั หลายเมือ่ นัน้ เราจึงยืนยันไดวา เปน ผตู รสั รสู ัมมาสมั โพธิญาณ อนั ยอด

พระวินยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 48เย่ียมในโลก พรอมทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสัตว พรอ มท้ังสมณะ พรามหณ เทวดา และมนุษย. อนง่ึ ปญญาอนั รูเ หน็ ไดเกดิ ขึ้นแลวแกเราวา ความพนั วิเศษของเราไมก ลับกําเรบิ ชาตินีเ้ ปนทีส่ ดุ ภพใหมไ มมีตอไป. กแ็ ลเมื่อพระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไวยากรณภาษติ นีอ้ ยู ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ไดเ กิดขึน้ แกท านพระโกณฑญั ญะวา สง่ิ ใดสิ่งหนงึ่ มีความเกดิ ข้ึนเปน ธรรมดา สิง่ น้นั ทั้งมวล มคี วามคบั เปนธรรมดา. [๑๗] ครัน้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงประกาศธรรมจกั รใหเ ปนไปแลวเหลา ภุมมเทวดาไดบันลอื เสียงวา นนั่ พระธรรมจกั รอันยอดเย่ยี ม พระผูมีพระ-ภาคเจาทรงประกาศใหเปน ไปแลว ณ ปาอิสปิ ตนะมฤคทายวนั เขตพระนคร-พาราณสี อนั สมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกจะปฏิวตั ิไมได. เทวดาช้ันจาตมุ หาราช ไดย ินเสยี งของพวกภมุ มเทวดาแลว ก็บันลอืเสียงตอ ไป. เทวดาช้ันดาวดึงส ไดยินเสยี งของพวกเทวดาชัน้ จาตุมหาราชแลว ก็บนั ลือเสยี งตอไป. เทวดาชัน้ ยามา . . . เทวดาชัน้ ดุสติ . . . เทวดาชน้ั นมิ มานรดี . . . เทวดาชน้ั ปรนิมมิตวสวตั ดี . . .

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 49 เทวดาทนี่ บั เนื่องในหมูพ รหมไดยนิ เสยี งของพวกเทวดาชนั้ ปรนิมมิต-วสวตั ดแี ลว ก็บันลอื เสียงตอ ไปวา นน่ั พระธรรมจกั รอนั ยอดเยีย่ ม พระผมู ีพระภาคเจา ทรงประกาศใหเ ปน ไปแลว ณ ปา อิสปิ ตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อนั สมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก จะปฏวิ ัตไิ มได. ช่ัวขณะกาลครูหนง่ึ นน้ั เสียงกระฉอนขึ้นไปจนถึงพรหมโลกดว ยประการฉะน้นั แล. ทัง้ หมนื่ โลกธาตุนไ้ี ดหว่ันไหวสะเทอื นสะทาน ทง้ั แสงสวา งอนั ยิง่ ใหญหาประมาณมไิ ด ปรากฏแลว ในโลกลว งเทวานภุ าพของเทวดาทั้งหลาย. ลําดับน้ัน พระผมู พี ระภาคเจา ทรงเปลงพระอทุ านวา ทา นผูเจรญิโกณฑญั ญะไดร ูแลวหนอ ทานผเู จริญ โกณฑัญญะไดร ูแ ลว หนอ เพราะเหตุน้ัน คาํ วา อัญญาโกณฑญั ญะนี้ จึงไดเปน ชื่อของทา นพระโกณฑัญญะ ดวยประการฉะนี้. ธมั มจักกปั ปวตั ตนสูตร จบ

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 50 พระปญ จวคั คียท ูลขอบรรพชาอุปสมบท [๑๘] ครงั้ น้ัน ทานพระอัญญาโกณฑญั ญะ ไดเ หน็ ธรรมแลว ไดบรรลธุ รรมแลว ไดรูธ รรมแจม แจง แลว มีธรรมอนั หยั่งลงแลว ขา มความสงสัยไดแ ลว ปราศจากถอ ยคําแสดงความสงสยั ถงึ ความเปนผูแ กลว กลา ไมตอ งเชอ่ื ผูอื่นในคาํ สอนของพระศาสดา ไดท ูลคํานี้ตอพระผูมพี ระภาคเจา วาขอขาพระองคพึงไดบรรพชา พงึ ไดอ ปุ สมบทในสํานักพระผูมีพระภาคเจาพระพทุ ธเจา ขา . พระผมู พี ระภาคเจาตรสั วา เธอจงเปน ภิกษุมาเถิด ดงั นี้ แลวตรัสตอไปวา ธรรมอนั เรากลาวดีแลว เธอจงประพฤตพิ รหมจรรย เพอ่ื ทําทส่ี ุดทกุ ขโดยชอบเถดิ . พระวาจาน้ันแล ไดเ ปนอปุ สมบทของทา นผูมอี ายุนน้ั . [๑๙] ครั้นตอ มา พระผูมีพระภาคเจาไดทรงประทานโอวาทสง่ั สอนภกิ ษุทัง้ หลายท่เี หลือจากน้ันดว ยธรรมกี ถา เมือ่ พระผมู ีพระภาคเจาทรงประทานโอวาทสัง่ สอนดวยธรรมีกถาอยู ดวงตาเหน็ ธรรมปราศจากธุลี ปราศ-จากมลทิน ไดเ กิดขนึ้ แกท านพระวัปปะและทานพระภทั ทิยะวา สิง่ ใดสง่ิ หนงึ่มีความเกดิ ขึน้ เปนธรรมดา สง่ิ นั้นทง้ั มวลมคี วามดับเปน ธรรมดา ทานทงั้ สองน้นั ไดเ ห็นธรรมแลว ไดบรรลธุ รรมแลว ไดร ูธรรมแจม แจง แลว มธี รรมอนั หยั่งลงแลว ขามความสงสยั ไดแ ลว ปราศจากถอยคําแสดงความสงสยั ถงึความเปน ผูแกลวกลา ไมตอ งเช่อื ผูอื่นในคาํ สอนของพระศาสดา ไดทลู คํานต้ี อพระผมู พี ระภาคเจาวา ขอขาพระองคท ั้งสองพึงไดบ รรพชา พงึ ไดอปุ สมบทในสาํ นกั พระผูมพี ระภาคเจา พระพุทธเจาขา .


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook