พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 1 พระอภิธรรมปฎ ก เลม ที่ ๒ วิภังค ภาคที่ ๑ ขอนอบนอ มแดพ ระผมู พี ระภาคอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระองคน ้นั ๑. ขนั ธวภิ ังค สุตตนั ตภาชนีย [๑] ขันธ ๕ คอื ๑. รูปขันธ ๒. เวทนาขันธ ๓. สัญญาขันธ ๔. สงขารขันธ ๕. วญิ ญาณขันธ รปู ขนั ธ [๒] ในขนั ธ ๕ นัน้ รูปขันธ เปนไฉน ? รูปอยา งใดอยา งหนึ่ง คือ รูปอดตี รปู อนาคต รูปปจ จบุ นัรปู ภายในรปู ภายนอก รูปหยาบ รปู ละเอียด รูปทราม รูปประณีตรปู ไกล รูปใกล ประมวลยอ เขาเปนกองเดียวกัน นีเ้ รยี กวา รปู ขนั ธ.
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 2 [๓] ในรูปขนั ธน้นั รปู อดีต เปน ไฉน ? รปู ใด ลว งไปแลว ดับแลว ปราศไปแลว แปรไปแลว ถึงความดับแลว ถงึ ความดับสนิ้ แลว ทเ่ี กิดข้นึ แลว ปราศไปแลว ท่ีเปนอดีต สงเคราะหเขากับสวนอดตี ไดแ กม หาภูตรปู ๔ และอุปาทายรปู ท่ีอาศัยมหาภูตรปู ๔ นี้เรยี กวา รปู อดีต. รปู อนาคต เปน ไฉน ? รูปใด ยังไมเ กิด ยงั ไมเ ปน ยงั ไมเ กดิ พรอ ม ยงั ไมบงั เกิด ยังไมบังเกิดยง่ิ ยังไมปรากฏ ยงั ไมเกิดขนึ้ ยงั ไมเกิดขน้ึ พรอ ม ยังไมต้ังข้นึยงั ไมต ้ังขึน้ พรอม ที่เปนอนาคตสงเคราะหเขากับสวนอนาคต ไดแ กม หาภูตรูป ๔และอปุ าทายรปู ท่อี าศยั มหาภูตรูป ๔ นีเ้ รยี กวารปู อนาคต. รูปปจจบุ ัน เปน ไฉน ? รปู ใด เกดิ แลว เปนแลว เกิดพรอ มแลว บงั เกดิ แลว บังเกดิยงิ่ แลว ปรากฏแลว เกิดขน้ึ แลว เกดิ ขน้ึ พรอ มแลว ตัง้ ขนึ้ แลว ต้งั ขึ้นพรอมแลว ทีเ่ ปนปจจบุ นั สงเคราะหเ ขากบั สวนปจ จุบนั ไดแกมหาภูตรปู ๔และอุปาทายรูปท่ีอาศัยมหาภตู รูป ๔ น้เี รยี กวา รปู ปจจุบนั . [๔] รูปภายใน เปนไฉน ? รปู ใด ของสัตวนน้ั ๆ เอง ซึ่งมใี นตน เฉพาะตน เกิดในตนเฉพาะบุคคล อันกรรมท่สี มั ปยุตดวยตัณหาทฏิ ฐยิ ดึ ครอง ไดแกม หาภูตรูป ๔และอุปาทายรปู ทอ่ี าศยั มหาภตู รปู ๔ น้เี รียกวา รปู ภายใน. รปู ภายนอก เปน ไฉน ? รูปใด ของสัตวอ น่ื ของบคุ คลอื่นน้ัน ๆ ซงึ่ มีในตน เฉพาะตน เกดิ ในตน เฉพาะบคุ คล อนั กรรมที่สมั ปยตุ ดว ยตณั หาทฏิ ฐยิ ดึ ครอง ไดแ กม หาภูตรปู ๔และอปุ าทายรูปที่อาศัยมหาภูตรปู ๔ นีเ้ รียกวา รปู ภายนอก.
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 3 [๕] รูปหยาบ เปนไฉน ? จกั ขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชวิ หายตนะ กายายตนะรูปายตนะ สทั ทายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ นเี้ รยี กวารูปหยาบ. รูปละเอยี ด เปน ไฉน ? อติ ถนิ ทรยี ปรุ ิสินทรยี ชวี ิตินทรยี กายวญิ ญัตติ วจวี ญิ ญัตติ อากาส-ธาตุ รูปลหุตา รูปมทุ ุตา รูปกมั มญั ญตา รปู อปุ จยะ รูปสันตติ รปู ชรตารปู อนจิ จตา กวฬงิ การาหาร นเี้ รยี กวา รปู ละเอยี ด. [๖] รปู ทราม เปนไฉน ? รปู ใด ของสัตวนนั้ ๆ ที่นา ดูหมน่ิ นา เหยียดหยาม นา เกลียด นาตําหนิ ไมน า ยกยอ ง ทราม รูกันวา ทราม สมมติกันวา ทราม ไมนา ปรารถนาไมน ารกั ไมนา ชอบใจ ไดแ ก รูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ น้ีเรียกวารูปทราม. รูปประณีต เปนไฉน ? รูปใด ของสตั วนั้น ๆ ทไี่ มน าดูหมน่ิ ไมนา เหยียดหยาม ไมน า เกลยี ดไมนาตําหนิ นา ยกยอ ง ประณีต รกู นั วาประณีต สมมติกนั วา ประณีต นาปรารถนา นา รกั นาชอบใจ ไดแ ก รปู เสยี ง กลน รส โผฏฐพั พะ นี้เรียกวา รูปประณีต. หรือพงึ ทราบรปู ทรามรปู ประณตี โดยอาศยั เทยี บเคียงรปู น้นั ๆ เปนชนั้ ๆ ไป. [๗] รปู ไกล เปน ไฉน ?
พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 4 อติ ถนิ ทรยี ฯลฯ กวฬิงการาหาร หรอื รูปแมอน่ื ใดมอี ยใู นที่ไมใ กลในทีไ่ มใกลช ดิ ในท่ไี กล ในท่ีไมใชใ กล น้ีเรยี กวา รูปไกล. รปู ใกล เปนไฉน ? จกั ขายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ หรอื รูปแมอ ืน่ ใดมอี ยูในท่ีใกลเ คียงในที่ใกลชิด ในทีไ่ มไ กล ในที่ใกล นเ้ี รียกวารูปใกล. หรอื พงึ ทราบรปู ไกลรูปใกล โดยอาศัยเทยี บเคียงรปู นนั้ ๆ เปนช้นั ๆไป. เวทนาขันธ [๘] เวทนาขันธ เปน ไฉน ? เวทนาอยา งใดอยางหน่ึง คือ เวทนาอดตี เวทนาอนาคต เวทนาปจ จบุ ัน เวทนาภายใน เวทนาภายนอก เวทนาหยาบ เวทนาละเอียดเวทนาทราม เวทนาประณตี เวทนาไกล เวทนาใกล ประมวลยอเขาเปนกองเดยี วกัน น้เี รยี กวาเวทนาขนั ธ. [๙] ในเวทนาขันธนน้ั เวทนาอดีต เปนไฉน ? เวทนาใด ลว งไปแลว ดบั แลว ปราศไปแลว แปรไปแลว ถงึ ความดบั แลว ถงึ ความส้นิ แลว ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ปราศไปแลว ทเี่ ปน อดตี สงเคราะหเขา กับสว นอดีต ไดแกสขุ เวทนา ทุกขเวทนา อทกุ ขมสุขเวทนา น้เี รียกวาเวทนาอดตี . เวทนาอนาคต เปน ไฉน ? เวทนาใด ยงั ไมเ กดิ ยงั ไมเปน ยงั ไมเ กิดพรอม ยงั ไมบังเกดิยังไมบังเกดิ ยง่ิ ยังไมป รากฏ ยงั ไมเกิดข้ึน ยงั ไมเ กดิ ขึ้นพรอ ม ยงั ไมตัง้ ขนึ้
พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 5ยงั ไมต้ังขึน้ พรอ ม ท่เี ปน อนาคตสงเคราะหเ ขา กบั สวนอนาคต ไดแก สขุ เวทนาทกุ ขเวทนา อทกุ ขสุขเวทนา นี้เรยี กวา เวทนาอนาคต. เวทนาปจจบุ ัน เปน ไฉน ? เวทนาใด เกิดแลว เปนแลว เกิดพรอ มแลว บังเกิดแลว บงั เกิดยิง่แลว ปรากฏแลว เกดิ ข้นึ แลว เกดิ ขึ้นพรอ มแลว ตัง้ ข้นึ แลว ต้งั ขนึ้ พรอมแลวทีเ่ ปน ปจ จุบนั สงเคราะหเขากับสวนปจ จุบนั ไดแ ก สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนาอทกุ ขสุขเวทนา นี้เรียกวาเวทนาปจ จบุ นั . [๑๐] เวทนาภายใน เปน ไฉน ? เวทนาใด ของสตั วนน้ั ๆ เองซึ่งมีในตน เฉพาะตน เกดิ ในตนเฉพาะบคุ คล อนั กรรมที่สัมปยุตดว ยตณั หาทิฏฐยิ ึดครอง ไดแก สุขเวทนาทุกขเวทนา อทกุ ขมสขุ เวทนา นเี้ รียกวาเวทนาภายใน. เวทนาภายนอก เปน ไฉน ? เวทนาใด ของสตั วอ น่ื ของบคุ คลอ่นื น้ัน ๆ ซ่ึงมใี นตน เฉพาะตนเกดิ ในตน มีเฉพาะบุคคล อันกรรมท่ีสมั ปยตุ ดวยตณั หาทฏิ ฐยิ ึดครอง ไดแกสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสขุ เวทนา นเ้ี รยี กวา เวทนาภายนอก. [๑๑] เวทนาหยาบ เวทนาละเอียด เปน ไฉน ? อกุศลเวทนาเปนเวทนาหยาบ กุศลเวทนาและอัพยากตเวทนาเปนเวทนาละเอียด กศุ ลเวทนาและอกศุ ลเวทนาเปน เวทนาหยาบ อัพยากตเวทนาเปนเวทนาละเอยี ด ทุกขเวทนาเปน เวทนาหยาบ สขุ เวทนาและอทุกขมสขุ เวทนาเปน เวทนาละเอยี ด สขุ เวทนาและทุกขเวทนาเปนเวทนาหยาบ อทกุ ขมสุขเวทนาเปน เวทนาละเอยี ด เวทนาของผูไ มเขาสมาบัติเปนเวทนาหยาบ เวทนาของผู
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 6เขา สมาบัตเิ ปน เวทนาละเอียด เวทนาทเ่ี ปน อารมณข องอาสวะเปนเวทนาหยาบเวทนาที่ไมเ ปน อารมณข องอาสวะเปนเวทนาละเอยี ด หรอื พงึ ทราบเวทนาหยาบเวทนาละเอียด โดยอาศัยเทยี บเคยี งเวทนาน้ัน ๆ เปนชน้ั ๆ ไป. [๑๒] เวทนาทราม เวทนาประณตี เปน ไฉน ? อกุศลเวทนาเปนเวทนาทราม กศุ ลเวทนาและอพั ยากตเวทนาเปนเวทนาประณตี กุศลเวทนาและอกศุ ลเวทนาเปนเวทนาทราม อัพยากตเวทนาเปน เวทนาประณีต ทกุ ขเวทนาเปน เวทนาทราม สขุ เวทนาและอทกุ ขมสขุ เวทนาเปน เวทนาประณตี สุขเวทนาและทกุ ขเวทนาเปนเวทนาทราม อทุกขมสุขเวทนาเปน เวทนาประณตี เวทนาของผูไ มเ ขา สมาบตั เิ ปนเวทนาทราม เวทนาของผูเขาสมาบตั เิ ปน เวทนาประณตี เวทนาทเ่ี ปนอารมณข องอาสวะเปนเวทนาทรามเวทนาทไี่ มเ ปน อารมณข องอาสวะเปนเวทนาประณตี หรือพงึ ทราบเวทนาทรามเวทนาประณตี โดยอาศยั เทียบเคียงเวทนานน้ั ๆ เปนชั้น ๆ ไป. [๑๓] เวทนาไกล เปนไฉน ? อกศุ ลเวทนาไกลจากกุศลเวทนาและอัพยากตเวทนา กุศลเวทนาและอัพยากตเวทนาเปน เวทนาไกลจากอกุศลเวทนา กุศลเวทนาเปน เวทนาไกลจากอกศุ ลเวทนาและอพั ยากตเวทนา อกศุ ลเวทนาและอพั ยากตเวทนาเปนเวทนาไกลจากกศุ ลเวทนา อัพยากตเวทนาเปน เวทนาไกลจากกศุ ลเวทนาและอกศุ ล-เวทนา กศุ ลเวทนาและอกศุ ลเวทนาเปน เวทนาไกลจากอพั ยากตเวทนา ทุกข-เวทนาเปนเวทนาไกลจากสขุ เวทนาและอทุกขมสขุ เวทนา สุขเวทนาและอทกุ ขมสุขเวทนาเปนเวทนาไกลจากทกุ ขเวทนา สุขเวทนาเปน เวทนาไกลจากทกุ ข-
พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 7เวทนาและอทกุ ขมสขุ เวทนา ทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเปนเวทนาไกลจากสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาเปนเวทนาไกลจากสุขเวทนาและทกุ ขเวทนาสุขเวทนาและทุกขเวทนาเปน เวทนาไกลจากอทกุ ขมสุขเวทนา เวทนาของผูไ มเขา สมาบัตเิ ปน เวทนาไกลจากเวทนาของผูเขา สมาบัติ เวทนาของผเู ขาสมาบัติเปนเวทนาไกลจากเวทนาของผไู มเขาสมาบตั ิ เวทนาทเ่ี ปนอารมณข องอาสวะเปน เวทนาไกลจากเวทนาที่ไมเปนอารมณข องอาสวะ. เวทนาท่ไี มเปน อารมณของอาสวะเปน เวทนาไกลจากเวทนาท่ีเปนอารมณของอาสวะ น้เี รียกวาเวทนาไกล. เวทนาใกล เปนไฉน ? อกุศลเวทนาเปนเวทนาใกลก ับอกุศลเวทนา กุศลเวทนาเปน เวทนาใกลกบั กศุ ลเวทนา อัพยากตเวทนาเปนเวทนาใกลก บั อพั ยากตเวทนา ทกุ ข-เวทนาเปน เวทนาใกลกบั ทุกขเวทนา สขุ เวทนาเปนเวทนาใกลกบั สุขเวทนาอทกุ ขมสุขเวทนาเปน เวทนาใกลกบั อทกุ ขมสุขเวทนา เวทนาของผูไ มเ ขาสมาบัตเิ ปน เวทนาใกลก ับเวทนาของผูไ มเขาสมาบัติ เวทนาของผูเขา สมาบตั ิเปน เวทนาใกลกบั เวทนาของผูเ ขา สมาบตั ิ เวทนาทีเ่ ปนอารมณข องอาสวะเปนเวทนาใกลก บั เวทนาท่ีเปนอารมณข องอาสวะ เวทนาทไ่ี มเ ปนอารมณข องอาสวะเปน เวทนาใกลก บั เวทนาท่ไี มเปนอารมณข องอาสวะ นีเ้ รยี กวาเวทนาใกล หรอื พงึ ทราบเวทนาไกลเวทนาใกล โดยอาศัยเทยี บเคียงเวทนาน้นั ๆเปน ช้นั ๆ ไป. สัญญาขนั ธ [๑๔] สัญญาขันธ เปน ไฉน ? สัญญาอยางใดอยางหนึง่ คอื สญั ญาอดตี สญั ญอนาคต สญั ญา-ปจ จุบนั สญั ญาภายใน สัญญาภายนอก สัญญาหยาบ สญั ญา-
พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 8ละเอียด สญั ญาทราม สัญญาประณตี สญั ญาไกล สญั ญาใกลประมวลยอเขา เปนกองเดยี วกนั นเ้ี รียกวา สญั ญาขันธ. [๑๕] ในสัญญาขันธ นั้น สญั ญาอดีต เปนไฉน ? สญั ญาใด ลว งไปแลว ดับแลว ปราศไปแลว แปรไปแลว ถึงความดบั แลว ถงึ ความส้ินแลว ที่เกิดขน้ึ แลว ปราศไปแลว ทเ่ี ปนอดีตสงเคราะหเ ขากับสว นอดตี ไดแกจักขสุ มั ผัสสชาสัญญา โสตสัมผัสสชาสญั ญา ฆานสัมผัสสชาสญั ญา ชวิ หาสัมผัสสชาสญั ญา กายสมั ผัสสชาสัญญา มโนสัมผัสสชาสญั ญานีเ้ รยี กวาสญั ญาอดตี . สัญญาอนาคต เปน ไฉน ? สัญญาใด ยงั ไมเ กดิ ยงั ไมเ ปน ยังไมเ กิดพรอ ม ยังไมบังเกิด ยังไมบ ังเกิดยิ่ง ยังไมปรากฏ ยงั ไมเกดิ ขนึ้ ยงั ไมเ กดิ ขึ้นพรอม ยงั ไมตั้งขึ้น ยังไมต้ังขึ้นพรอ ม ทเี่ ปน อนาคตสงเคราะหเ ขากบั สว นอนาคต ไดแ ก จักขุสัมผัส-สชาสัญญา ฯลฯ มโนสมั ผสั สชาสญั ญา น้เี รยี กวา สญั ญาอนาคต. สญั ญาปจจุบัน เปนไฉน ? สญั ญาใด เกดิ แลว เปนแลว เกิดพรอ มแลว บังเกิดแลว บงั เกดิยง่ิ แลว ปรากฏแลว เกิดข้ึนแลว เกดิ ขึน้ พรอ มแลว ตั้งขน้ึ แลว ต้ังขึน้ พรอ มแลวท่ีเปนปจ จุบนั สงเคราะหเขากับสว นปจ จบุ ัน ไดแก จกั ขสุ มั ผสั สชาสญั ญาฯลฯ มโนสัมผสั สชาสญั ญา นี้เรยี กวา สญั ญาปจ จบุ ัน. [๑๖] สัญญาภายใน เปนไฉน ? สญั ญาใดของสตั วนน้ั ๆ เอง ซึ่งมใี นตน เฉพาะตน เกิดในตนเฉพาะบคุ คล อนั กรรมท่ีสมั ปยุตดว ยตัณหาทฏิ ฐยิ ึดครอง ไดแ กจกั ขุสัมผัสสชา-สญั ญา ฯลฯ มโนสมั ผสั สชาสัญญา นเี้ รียกวา สญั ญาภายใน.
พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 9 สัญญาภายนอก เปน ไฉน ? สัญญาใด ของสตั วอน่ื ของบคุ คลอื่นนัน้ ๆ ซึง่ มีในตน เฉพาะตนเกดิ ในตน เฉพาะบคุ คล อันกรรมทส่ี ัมปยตุ ดวยตณั หาทิฏฐิยดึ ครอง ไดแ กจักขุสมั ผสั สชาสัญญา ฯลฯ มโนสมั ผสั สชาสัญญา นเ้ี รียกวา สญั ญาภายนอก. [๑๗] สัญญาหยาบ สญั ญาละเอียด เปนไฉน ? สัญญาอนั เกิดแตป ฏิฆสัมผัส (คอื สญั ญาเกิดแตปญ จทวาร) เปนสัญญาหยาบ สญั ญาอนั เกิดแตอ ธวิ จนสมั ผัส (คอื สัญญาเกดิ แตมโนทวาร) เปนสัญญาละเอยี ด อกุศลสัญญาเปนสัญญาหยาบ กุศลสญั ญาและอพั ยากตสญั ญาเปนสญั ญาละเอยี ด กศุ ลสัญญาและอกุศลสัญญาเปน สญั ญาหยาบ อัพยากตสัญญาเปน สญั ญาละเอียด สัญญาทส่ี มั ปยตุ ดว ยทกุ ขเวทนาเปน สัญญาหยาบ สัญญาที่สัมปยุตดวยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเปนสัญญาละเอยี ด สญั ญาท่ีสมั ปยุตดว ยสขุ เวทนาและทกุ ขเวทนาเปนสัญญาหยาบ สญั ญาที่สัมปยตุ ดว ยอทุกขมสขุเวทนาเปน สัญญาละเอียด สัญญาของผไู มเ ขาสมาบัตเิ ปนสญั ญาหยาบ สญั ญาของผูเขา สมาบตั ิเปน สญั ญาละเอียด สญั ญาทเ่ี ปน อารมณข องอาสวะเปนสญั ญาหยาบ สัญญาท่ไี มเ ปน อารมณของอาสวะเปน สญั ญาละเอยี ด หรอื พึงทราบสญั ญาหยาบ สญั ญาละเอยี ด โดยอาศัยเทยี บเคยี งสัญญาน้ัน ๆ เปนช้นั ๆ ไป. [๑๘] สญั ญาทราม สญั ญาประณตี เปน ไฉน ? อกุศลสญั ญาเปน สญั ญาทราม กุศลสัญญาและอัพยากตสญั ญาเปนสญั ญาประณีต กุศลสญั ญาและอกุศลสัญญาเปนสัญญาทราม อพั ยากตสัญญาเปน สญั ญาประณตี สญั ญาท่ีสัมปยุตดว ยทุกขเวทนา เปน สัญญาทราม สัญญาท่ีสมั ปยตุ ดว ยสุขเวทนาและอทกุ ขมสขุ เวทนาเปน สัญญาประณีต สญั ญาท่ีสัม-
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 10ปยตุ ดวยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเปนสญั ญาทราม สัญญาที่สมั ปยตุ ดวยอทุกขมสุขเวทนาเปน สัญญาประณตี สัญญาของผูไมเขาสมาบัติเปนสญั ญาทราม สัญญาของผเู ขา สมาบัตเิ ปน สญั ญาประณีต สญั ญาทเี่ ปน อารมณข องอาสวะเปน สญั ญาทราม สัญญาทไ่ี มเ ปน อารมณข องอาสวะเปนสัญญาประณีต หรือพึงทราบสัญญาทรามสญั ญาประณตี โดยอาศัยเทยี บเคยี งสญั ญานัน้ ๆ เปนชั้นๆ ไป. [๑๙] สญั ญาไกล เปน ไฉน ? อกุศลสญั ญาเปน สัญญาไกลจากกศุ ลสัญญาและอพั ยากตสญั ญา กุศล-สัญญาและอัพยากตสัญญาเปน สญั ญาไกลจากอกุศลสญั ญา กศุ ลสัญญาเปนสญั ญาไกลจากอกศุ ลสัญญาและอพั ยากตสญั ญา อกุศลสญั ญาและอพั ยากตสญั ญาเปนสญั ญาไกลจากกศุ ลสัญญา อัพยากตสญั ญาเปน สญั ญาไกลจากกศุ ลสญั ญาและอกุศลสัญญา กศุ ลสัญญาและอกศุ ลสญั ญาเปนสัญญาไกลจากอพั ยากตสัญญาสัญญาท่ีสัมปยุตดว ยทุกขเวทนาเปนสัญญาไกลจากสญั ญาทสี่ มั ปยุตดวยสขุ เวทนาและอทุกขมสุขเวทนา สญั ญาทส่ี มั ปยุตดวยสขุ เวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเปนสญั ญาไกลจากสญั ญาที่สมั ปยุตดวยทกุ ขเวทนา สัญญาทส่ี ัมปยุตดวยสขุ เวทนาเปนสัญญาไกลจากสัญญาทีส่ ัมปยตุ ดว ยทุกเวทนาและอทกุ ขสขุ เวทนา สญั ญาทีส่ ัมปยตุ ดวยทกุ ขเวทนาและอทกุ ขมสุขเวทนา เปนสญั ญาไกลจากสัญญาทีส่ ัม-ปยตุ ดว ยสุขเวทนา สญั ญาทสี่ มั ปยตุ ดว ยอทุกขมสุขเวทนาเปนสัญญาไกลจากสญั ญาท่สี ัมปยุตดวยสุขเวทนาแสะทุกขเวทนา สัญญาทส่ี ัมปยตุ ดว ยสขุ เวทนาและทุกขเวทนาเปนสัญญาไกลจากสัญญาท่ีสัมปยุตดวยอทุกขมสขุ เวทนา สัญญาของผไู มเ ขาสมาบัติเปน สัญญาไกลจากสัญญาของผเู ขาสมาบตั ิ สญั ญาของผเู ขาสมาบัติ เปน สญั ญาไกลจากสญั ญาของผไู มเขา สมาบัติ สญั ญาท่เี ปนอารมณของ
พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 11อาสวะเปนสัญญาไกลจากสัญญาทไ่ี มเ ปนอารมณของอาสวะ สญั ญาทไ่ี มเปนอารมณของอาสวะเปน สัญญาไกลจากสญั ญาที่เปนอารมณของอาสวะ น้ีเรียกวาสัญญาไกล. สญั ญาใกล เปน ไฉน ? อกุศลสญั ญาเปนสญั ญาใกลกับอกศุ ลสัญญา กศุ ลสญั ญาเปน สญั ญาใกลกบั กุศลสัญญา อัพยกตสัญญาเปนสัญญาใกลก บั อพั ยากตสัญญา สญั ญาทส่ี ัมปยตุดว ยทกุ ขเวทนาเปนสญั ญาใกลก ับสญั ญาท่ีสมั ปยุตดวยทกุ ขเวทนา สัญญาที่สมั ปยุตดวยสขุ เวทนาเปน สัญญาใกลก บั สัญญาท่ีสมั ปยุตดว ยสุขเวทนา สัญญาท่ีสมั ปยตุ ดวยอทุกขมสขุ เวทนาเปนสัญญาใกลกบั สญั ญาท่ีสัมปยตุ ดวยอทกุ ขมสขุ -เวทนา สญั ญาของผไู มเ ขา สมาบัติเปนสญั ญาใกลก บั สญั ญาของผูไ มเขาสมาบตั ิสญั ญาของผูเขา สมาบัตเิ ปน สัญญาใกลก ับสญั ญาของผเู ขาสมาบัติ สญั ญาทีเ่ ปนอารมณข องอาสวะเปน สญั ญาใกลกบั สญั ญาทีเ่ ปนอารมณของอาสวะ สัญญาที่ไมเปนอารมณข องอาสวะเปนสญั ญาใกลก ับสัญญาทีไ่ มเ ปนอารมณของอาสวะน้ีเรียกวา สญั ญาใกล หรอื พงึ ทราบสญั ญาไกลสัญญาใกล โดยอาศัยเทยี บเคยี งสญั ญานั้น ๆเปนช้นั ๆ ไป. สงั ขารขันธ [๒๐] สงั ขารขันธ เปน ไฉน ? สงั ขารเหลา หน่งึ คือ สงั ขารอดตี สังขารอนาคต สงั ขารปจ จบุ นั สงั ขารภายใน สงั ขารภายนอก สงั ขารหยาบ สงั ขารละเอยี ด สังขารทราม สังขารประณีต สงั ขารไกล สงั ขารใกลประมวลยอเขา เปนกองเดียวกัน นีเ้ รียกวา สังขารขันธ.
พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 12 [๒๑] ในสงั ขารขันธน้นั สังขารอดีต เปน ไฉน ? สงั ขารเหลา ใด ลวงไปแลว ดับแลว ปราศไปแลว แปรไปแลวถงึ ความดับแลว ถึงความส้นิ แลว ท่ีเกดิ ข้ึนแลว ปราศไปแลว ท่เี ปน อดตีสงเคราะหเ ขา กบั สว นอดตี ไดแกจักขุสัมผสั สชาเจตนา โสตสัมผัสสชาเจตนาฆานสัมผัสสชาเจตนา ชวิ หาสมั ผสั สชาเจตนา กายสมั ผัสสชาเจตนา มโน-สมั ผสั สชาเจตนา น้ีเรยี กวา สงั ขารอดีต. สังขารอนาคต เปนไฉน ? สงั ขารเหลาใด ยังไมเ กิด ยังไมเปน ยงั ไมพ รอม ยงั ไมบ ังเกดิยงั ไมบังเกดิ ยิ่ง ยังไมป รากฏ ยังไมเกิดข้ึน ยังไมเกิดข้ึนพรอ ม ยงั ไมตง้ั ข้ึนยงั ไมตง้ั ข้นึ พรอ ม ท่ีเปนอนาคต สงเคราะหเขา กบั สว นอนาคต ไดแก จักขุสัมผัสสชาเจตนา ฯลฯ มโนสมั ผัสสชาเจตนา น้เี รียกวาสังขารอนาคต. สงั ขารปจ จบุ นั เปน ไฉน ? สังขารเหลา ใด เกดิ แลว เปนแลว เกิดพรอ มแลว บังเกิดแลวบงั เกดิ ยิง่ แลว ปรากฏแลว เกดิ ขึ้นแลว เกิดขนึ้ พรอมแลว ตั้งขึน้ แลวตัง้ ขน้ึ พรอมแลว ท่เี ปนปจจบุ นั สงเคราะหเขา กับสว นปจจุบนั ไดแกจักขุสัมผสั สชาเจตนา ฯลฯ มโนสัมผัสสชาเจตนา นี้เรยี กวาสังขารปจจบุ นั . [๒๒] สังขารภายใน เปนไฉน ? สังขารเหลา ใด ของสัตวน ัน้ ๆ เองซ่งึ มีในตน เฉพาะตน เกดิ ในตน เฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตดวยตัณหาทิฏฐิยดึ ครอง ไดแกจ กั ขุ-สัมผัสสชาเจตนา ฯลฯ มโนสมั ผสั สชาเจตนา นเี้ รยี กวา สังขารภายใน. สังขารภายนอก เปน ไฉน ?
พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 13 สงั ขารเหลาใดของสตั วอ ื่นของบุคคลอน่ื น้ัน ๆ ซ่งึ มใี นตนเฉพาะตนเกดิ ในตน เฉพาะบคุ คล อนั กรรมท่ีสัมปยุตดวยตัณหาทิฏฐยิ ึดครอง ไดแ กจกั ขุสมั ผสั สชาเจตนา ฯลฯ มโนสัมผัสสชาเจตนา น้เี รียกวาสังขารภายนอก. [๒๓] สงั ขารหยาบ สงั ขารละเอียด เปนไฉน ? อกศุ ลสงั ขารเปน สงั ขารหยาบ กุศลสงั ขารและอัพยากตสงั ขารเปนสังขารละเอยี ด กุศลสังขารและอกุศลสังขารเปนสงั ขารหยาบ อพั ยากตสังขารเปนสงั ขารละเอยี ด สงั ขารท่ีสัมปยตุ ดว ยทกุ ขเวทนาเปนสังขารหยาบ สงั ขารท่ีสมั ปยตุ ดว ยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเปน สงั ขารละเอียด สังขารท่ีสมั ปยตุดว ยสุขเวทนาและทกุ ขเวทนาเปน สงั ขารหยาบ สังขารทสี่ มั ปยุตดว ยอทุกขมสุข-เวทนาเปนสังขารละเอยี ด สังขารของผูไมเ ขาสมาบัตเิ ปน สงั ขารหยาบ สังขารของผูเขาสมาบตั ิเปนสังขารละเอยี ด สังขารที่เปนอารมณข องอาสวะเปน สังขารหยาบ สงั ขารที่เปน อารมณของอาสวะเปนสงั ขารละเอียด หรอื พงึ ทราบสังขารหยาบสงั ขารละเอียด โดยอาศยั เทยี บเคยี งสังขารน้ัน ๆ เปนชั้น ๆ ไป. [๒๓] สังขารทราม สงั ขารประณตี เปน ไฉน ? อกศุ ลสังขารเปนสังขารทราม กุศลสังขารและอพั ยากตสงั ขารเปนสังขารประณีต กุศลสงั ขารและอกุศลสงั ขารเปนสังขารทราม อพั ยากตสงั ขารเปนสงั ขารประณีต สงั ขารทีส่ มั ปยตุ ดว ยทุกขเวทนาเปนสังขารทราม สังขารที่สัมปยุตดวยสุขเวทนาและอทุกขมสขุ เวทนาเปนสงั ขารประณตี สงั ขารทส่ี มั ปยุตดว ยสขุ เวทนาและทกุ ขเวทนาเปน สังขารทราม สงั ขารที่สมั ปยุตดว ยอทกุ ขมสขุ -เวทนาเปนสังขารประณีต สงั ขารของผไู มเขา สมาบัติเปนสงั ขารทราม สังขารของผเู ขาสมาบัติเปน สงั ขารประณีต สงั ขารที่เปน อารมณของอาสวะเปน สงั ขารทราม สังขารที่ไมเ ปนอารมณของอาสวะเปน สงั ขารประณีต
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 14 หรือพึงทราบสังขารทรามสงั ขารประณีต โดยอาศยั เทียบเคยี งสังขารนัน้ ๆ เปนชน้ั ๆ ไป. [๒๕] สงั ขารไกล เปนไฉน ? อกศุ ลสงั ขารเปน สังขารไกลจากกศุ ลสังขารและอัพยากตสงั ขาร กุศลสังขารและอพั ยากตสังขารเปน สังขารไกลจากอกุศลสงั ขาร กศุ ลสงั ขารเปน สังขารไกลจากอกุศลสงั ขารและอัพยากตสังขาร อกศุ ลสังขารและอพั ยากตสังขารเปนสงั ขารไกลจากกุศลสงั ขาร อพั ยากตสังขารเปน สังขารไกลจากกุศลสังขารและอกุศลสงั ขาร กุศลสงั ขารและอกศุ ลสังขารเปนสังขารไกลจากอัพยากตสงั ขารสังขารทสี่ ัมปยตุ ดว ยทุกขเวทนาเปนสงั ขารไกลจากสงั ขารท่สี ัมปยุตดวยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา สงั ขารที่สัมปยุตดวยสุขเวทนาและอทุกขมสขุ เวทนาเปนสังขารไกลจากสงั ขารทีส่ ัมปยุตดว ยทุกขเวทนา สังขารที่สมั ปยตุ ดวยสขุ เวทนาเปน สังขารไกลจากสังขารทส่ี มั ปยุตดว ยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา สงั ขารท่ีสัมปยุตดวยทกุ ขเวทนาและอทกุ ขมสขุ เวทนาเปนสงั ขารไกลจากสงั ขารทสี่ มั ปยุตดวยสขุ เวทนา สังขารทส่ี ัมปยตุ ดว ยอทุกขมสุขเวทนาเปนสังขารไกลจากสังขารทีส่ ัมปยุตดว ยสุขเวทนาและทกุ ขเวทนา สังขารท่ีสมั ปยุตดวยสุขเวทนาและทกุ ข-เวทนาเปนสงั ขารไกลจากสังขารทีส่ มั ปยตุ ดวยอทกุ ขมสุขเวทนา สังขารของผูไมเ ขาสมาบัตเิ ปน สงั ขารไกลจากสังขารของผเู ขา สมาบตั ิ สงั ขารของผเู ขาสมาบตั ิเปน สงั ขารไกลจากสงั ขารของผไู มเ ขา สมาบตั ิ สงั ขารที่เปน อารมณข องอาสวะเปน สงั ขารไกลจากสังขารท่ีไมเปน อารมณของอาสวะ สงั ขารทไ่ี มเ ปนอารมณของอาสวะเปนสังขารไกลจากสงั ขารทีเ่ ปน อารมณข องอาสวะ น้เี รียกวาสังขารไกล. สังขารใกล เปน ไฉน ?
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 15 อกุศลสงั ขารเปน สังขารใกลก ับอกุศลสังขาร กุศลสังขารเปนสงั ขารใกลกบั กุศลสงั ขาร อพั ยากตสงั ขารเปนสงั ขารใกลก ับอัพยากตสงั ขาร สังขารที่สมั ปยตุ ดวยทุกขเวทนาเปน สังขารใกลกบั สงั ขารท่สี มั ปยตุ ดว ยทกุ ขเวทนาสังขารทสี่ มั ปยตุ ดวยสุขเวทนาเปนสงั ขารใกลกับสังขารที่สัมปยุตดวยสุขเวทนา สงั ขารทส่ี มั ปยุตดวยอทุกขมสุขเวทนาเปนสงั ขารใกลก ับสงั ขารท่สี ัมปยุตดวยอทุกขมสุขเวทนา สังขารของผไู มเขาสมาบัติเปน สังขารใกลกบั สงั ขารของผูไมเ ขาสมาบตั ิสังขารของผเู ขา สมาบัติเปน สงั ขารใกลกบั สังขารของผเู ขา สมาบัติ สงั ขารทีเ่ ปนอารมณของอาสวะเปน สงั ขารใกลกับสงั ขารท่ีเปน อารมณข องอาสวะ สงั ขารทไ่ี มเปนอารมณของอาสวะเปนสังขารใกลกบั สงั ขารท่ไี มเปน อารมณข องอาสวะ นี้เรยี กวา สังขารใกล หรือพึงทราบสงั ขารไกลสังขารใกล โดยอาศยั เทียบเคียงสังขารน้นั ๆเปน ชน้ั ๆ ไป. วิญญาณขนั ธ [๒๖] วิญญาณขนั ธ เปน ไฉน ? วญิ ญาณอยา งใดอยา งหน่งึ คือ วญิ ญาณอดตี วญิ ญาณอนาคตวญิ ญาณปจ จุบนั วญิ ญาณภายใน วญิ าณภายนอก วิญญาณหยาบวญิ ญาณละเอยี ด วญิ ญาณทราม วญิ ญาณประณตี วิญญาณไกลวญิ ญาณใกล ประมวลยอ เขา เปนกองเดียวกนั นเี้ รียกวาวิญญาณขนั ธ. [๒๗] ในวิญญาณขันธนนั้ วิญญาณอดตี เปนไฉน ? วิญญาณใด ลวงไปแลว ดับแลว ปราศไปแลว แปรไปแลว ถงึความดบั แลว ถงึ ความดับสิ้นแลว ที่เกิดข้นึ แลว ปราศไปแลว ที่เปนอดีตสงเคราะหเขากบั สว นอดตี ไดแกจักขวุ ิญญาณ โสตวญิ ญาณ ฆานวิญญาณชิวหาวญิ ญาณ กายวิญญาณ มโนวญิ ญาณ นี้เรยี กวาวิญญาณอดตี .
พระอภธิ รรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 16 วิญญาณอนาคต เปนไฉน ? วิญญาณใด ยงั ไมเ กิด ยงั ไมเปน ยังไมเ กดิ พรอ ม ยงั ไมบ งั เกิดยังไมบ งั เกิดยิง่ ยังไมปรากฏ ยงั ไมเกิดข้ึน ยงั ไมเกดิ ขึ้นพรอ ม ยังไมต ง้ั ข้นึยังไมต ้ังขนึ้ พรอม ทเ่ี ปนอนาคตสงเคราะหเขากบั สว นอนาคต ไดแ กจ ักขวุ ญิ ญาณฯลฯ มโนวญิ ญาณ น้เี รียกวาวิญญาณอนาคต. วิญญาณปจ จุบนั เปน ไฉน ? วิญญาณใด เกิดแลว เปนแลว เกิดพรอมแลว บงั เกิดแลว บังเกิดยงิ่ แลว ปรากฏแลว เกิดขน้ึ แลว เกิดขน้ึ พรอมแลว ตั้งขึ้นแลว ต้ังขน้ึพรอมแลว ท่ีเปนปจ จบุ นั สงเคราะหเ ขากับสวนปจ จุบนั ไดแกจ ักขวุ ญิ ญาณฯลฯ มโนวิญญาณ น้ีเรยี กวาวิญญาณปจจุบัน. [๒๘] วญิ ญาณภายใน เปน ไฉน ? วิญญาณใด ของสัตวน้นั ๆ เองซ่งึ มใี นตน เฉพาะตน เกดิ ในตนเฉพาะบุคคล อนั กรรมทส่ี มั ปยตุ ดวยตัณหาทฏิ ฐยิ ดึ ครอง ไดแกจักขวุ ิญญาณฯลฯ มโนวิญญาณ นเ้ี รยี กวาวิญญาณภายใน. วญิ ญาณภายนอก เปนไฉน ? วิญญาณใด ของสัตวอ่ืนของบคุ คลอื่นนน้ั ๆ ซึง่ มใี นตน เฉพาะตนเกดิ ในตน เฉพาะบุคคล อันกรรมทสี่ มั ปยุตดวยตัณหาทิฏฐยิ ดึ ครอง ไดแกจักขวุ ญิ ญาณ ฯลฯ มโนวญิ ญาณ นเ้ี รียกวา วิญญาณภายนอก. [๒๙] วญิ ญาณหยาบ วญิ ญาณละเอยี ด เปนไฉน ? อกุศลวิญญาณเปนวิญญาณหยาบ กศุ ลวิญญาณและอัพยากตวญิ ญาณเปนวญิ ญาณละเอยี ด กุศลวญิ ญาณและอกศุ ลวญิ ญาณเปน วญิ ญาณหยาบ อพั -ยากตวญิ ญาณเปนวญิ ญาณละเอยี ด วิญญาณทสี่ ัมปยุตดว ยทกุ ขเวทนาเปน
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 17วญิ ญาณหยาบ วิญญาณทส่ี มั ปยตุ ดวยสขุ เวทนาและอทกุ ขมสขุ เวทนาเปนวิญญาณละเอียด วญิ ญาณท่ีสมั ปยุตดว ยสขุ เวทนาและทกุ ขเวทนาเปน วญิ ญาณหยาบ วญิ ญาณท่สี มั ปยตุ ดวยอทกุ ขมสุขเวทนาเปนวิญญาณละเอยี ด วญิ ญาณของผไู มเขาสมาบัตเิ ปน วญิ ญาณหยาบ วญิ ญาณของผูเ ขา สมาบตั เิ ปน วญิ ญาณละเอียด วญิ ญาณที่เปน อารมณของอาสวะเปน วิญญาณหยาบ วญิ ญาณทีไ่ มเปนอารมณข องอาสวะเปนวิญญาณละเอยี ด หรือพงึ ทราบวญิ ญาณหยาบวิญญาณละเอยี ด โดยอาศัยเทียบเคยี งวิญญาณนัน้ ๆ เปนชัน้ ๆ ไป. [๓๐] วิญญาณทราม วิญญาณประณตี เปน ไฉน ? อกุศลวิญญาณเปน วิญญาณทราม กุศลวญิ ญาณและอพั ยากตวิญญาณเปน วญิ ญาณประณตี กุศลวญิ ญาณและอกุศลวิญญาณเปน วิญญาณทรามอพั ยากตวิญญาณเปน วญิ ญาณประณตี วญิ ญาณทีส่ มั ปยุตดวยทุกขเวทนาเปนวญิ ญาณทราม วิญญาณที่สัมปยตุ ดว ยสขุ เวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเปนวิญญาณประณีต วญิ ญาณที่สมั ปยตุ ดว ยสขุ เวทนาและทกุ ขเวทนาเปนวิญญาณทราม วิญญาณท่ีสัมปยุตดว ยอทกุ ขมสุขเวทนาเปน วญิ ญาณประณตี วิญญาณของผูไมเขา สมาบัตเิ ปน วญิ ญาณทราม วญิ ญาณของผูเขาสมาบัติเปนวิญญาณประณตี วญิ ญาณท่ีเปนอารมณข องอาสวะเปน วิญญาณทราม วญิ ญาณทไ่ี มเ ปนอารมณข องอาสวะเปน วญิ ญาณประณีต หรอื พึงทราบวิญญาณทรามวญิ ญาณประณตี โดยอาศัยเทยี บเคยี งวญิ ญาณน้นั ๆ เปนชนั้ ๆ ไป. [๓๑] วญิ ญาณไกล เปนไฉน ? อกศุ ลวิญญาณเปน วญิ ญาณไกลจากกุศลวญิ ญาณ และอพั ยากตวิญญาณกศุ ลวญิ ญาณและอพั ยากตวญิ ญาณเปน วญิ ญาณไกลจากอกศุ ลวิญญาณ กศุ ล
พระอภิธรรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 18วิญญาณเปน วญิ ญาณไกลจากอกุศลวญิ ญาณและอัพยากตวิญญาณอกศุ ลวิญญาณและอพั ยากตวญิ ญาณเปน วิญญาณไกลจากกุศลวญิ ญาณ อัพยากตวญิ ญาณเปนวิญญาณไกลจากกศุ ลวญิ ญาณและอกศุ ลวญิ ญาณ กศุ ลวญิ ญาณและอกศุ ลวิญญาณเปน วิญญาณไกลจากอัพยากตวญิ ญาณ วญิ ญาณที่สมั ปยตุ ดวยทุกขเวทนาเปนวญิ ญาณไกลจากวิญญาณท่ีสัมปยุตดวยสุขเวทนาและอทุกขมสขุ เวทนา วญิ ญาณทส่ี ัมปยตุ ดว ยสขุ เวทนา และอทุกขมสุขเวทนา เปนวิญญาณไกลจากวิญญาณทส่ี ัมปยุตดว ยทกุ ขเวทนา วิญญาณทีส่ มั ปยุตดว ยสุขเวทนาเปน วญิ ญาณไกลจากวญิ ญาณทีส่ มั ปยุตดว ยทกุ ขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา วิญญาณทส่ี ัมปยตุ ดวยทกุ ขเวทนาและอทุกขมสขุ เวทนาเปนวญิ ญาณไกลจากวิญญาณทสี่ ัมปยุตดว ยสุขเวทนา วิญญาณที่สมั ปยตุ ดว ยอทุกขมสขุ เวทนาเปน วญิ ญาณไกลจากวิญญาณที่สมั ปยตุ ดว ยสุขเวทนาและทกุ ขเวทนา วิญญาณทสี่ ัมปยตุ ดว ยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเปน วญิ ญาณไกลจากวญิ ญาณทส่ี มั ปยตุ ดวยอทกุ ขมสุขเวทนา วิญ-ญาณของผไู มเ ขา สมาบัติเปนวญิ ญาณไกลจากวิญญาณของผูเ ขาสมาบัติ วิญญาณของผูเขาสมาบตั เิ ปน วิญญาณไกลจากวญิ ญาณของผไู มเ ขาสมาบตั ิ วิญญาณที่เปนอารมณของอาสวะเปน วิญญาณไกลจากวิญญาณที่ไมเปน อารมณข องอาสวะวญิ ญาณท่ไี มเ ปน อารมณของอาสวะเปนวิญญาณไกลจากวิญญาณทีเ่ ปน อารมณของอาสวะ น้เี รยี กวาวิญญาณไกล. วิญญาณใกล เปนไฉน ? อกศุ ลวญิ ญาณเปนวิญญาณใกลก บั อกศุ ลวญิ ญาณ กุศลวญิ ญาณเปนวิญญาณใกลกบั กุศลวญิ ญาณ อัพยากตวญิ ญาณเปน วิญญาณใกลกับอพั ยากต-วิญญาณ วิญญาณท่ีสัมปยตุ ดว ยทกุ ขเวทนาเปนวิญญาณใกลก บั วญิ ญาณท่สี มั ป-ยุตดวยทกุ ขเวทนา วิญญาณท่สี มั ปยตุ ดวยสุขเวทนาเปนวญิ ญาณใกลก บั วญิ ญาณ
พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 19ทส่ี ัมปยุตดว ยสขุ เวทนา วญิ ญาณท่ีสมั ปยุตดว ยอทุกขมสขุ เวทนาเปน วิญญาณใกลก ับวิญญาณท่ีสมั ปยตุ ดว ยอทกุ ขมสุขเวทนา วิญญาณของผไู มเ ขา สมาบัติเปนวญิ ญาณใกลกบั วิญญาณของผไู มเ ขาสมาบัติ วิญญาณของผเู ขา สมาบตั เิ ปนวญิ ญาณใกลกับวิญญาณของผเู ขาสมาบัติ วญิ ญาณทีเ่ ปน อารมณของอาสวะเปนวิญญาณใกลก บั วิญญาณที่เปน อารมณข องอาสวะ วญิ ญาณท่ีไมเ ปนอารมณข องอาสวะเปนวิญญาณใกลกับวิญญาณทไี่ มเปนอารมณของอาสวะ น้ีเรียกวาวิญญาณใกล หรือพงึ ทราบวญิ ญาณไกลวญิ ญาณใกล โดยอาศยั เทียบเคยี งวญิ ญาณนน้ั ๆ เปนชน้ั ๆ ไป. สุตตนั ตภาชนยี จบ
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 20 สัมโมหวโิ นทนี อรรถกถาพระวภิ ังค อารัมภกถา พระสัมพทุ ธเจา ผูเ ปนนาถะ ทรงเหน็สจั จะทัง้ ๔ จงึ ทรงประกาศพระธรรมสงั คณี๔ กัณฑ (คอื จิตตุปปาทกณั ฑ รูปกณั ฑนกิ เขปกัณฑ อตั ถุทธารกัณฑ) แลว ทรงเปนนายกประกอบดวยธรรมของพระพทุ ธเจา ๑๘ประการ ทรงเปน พระบรมศาสดา แสดงพระวภิ งั คอ นั ใด ดวยอํานาจวภิ งั ค ๑๘ ประ-การ มขี นั ธวภิ ังคเ ปนตน ในลาํ ดับแหงพระธรรมสงั คณีนนั่ แหะ บดั นลี้ ําดบัแหง การสงั วรรณนาพระวิภังคน นั้ ถงึ พรอมแลว เพราะเหตนุ ัน้ ขาพเจา สะสางนยัอรรถกถาโบราณแลว จักเรยี บเรยี งอรรถกถาพระวิภงั คน ั้น ขอทานสาธชุ นทัง้ หลายจงตง้ั ใจทําความเคารพพระสัทธรรม ฟง อรรถ-กถาพระวิภังคนนั้ เทอญ.
พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 21 ๑. ขนั ธวภิ งั คนเิ ทศ วรรณาสตุ ตันตภาชนีย คาํ วา ขันธ ๕ คือ รูปขันธ เวทนาขนั ธ สัญญาขนั ธสงั ขารขันธ วญิ ญาณขันธ ดังน้ี นี้ ชอื่ สตุ ตนั ตภาชนีย๑ ในขนั ธวิภังคอันเปน วิภังคตน แหงวภิ ังคป กรณ. ในบรรดาคําเหลาน้นั คําวา ๕ เปน คาํกาํ หนดจาํ นวน ดวยคําวา ๕ นัน้ พระผมู ีพระภาคเจายอมทรงแสดงวา ขนั ธทั้งหลายมีไมน อ ยกวานน้ั ไมม ากกวาน้ัน. คําวา ขันธ เปน คําแสดงธรรมท่ที รงกําหนดไว. วา ดวยขนั ธศัพท ในพระบาลขี ันธวิภังคน ้นั ศัพทว า ขันธ (ขนธฺ สทฺโท) นี้ใชในฐานะมาก คือ ในฐานะวา กอง (ราสมิ ฺห)ิ ในฐานะวา คณุ (คเุ ณ)ในฐานะโดยเปนบัญญตั ิ (ปณณฺ ตฺติย ) ในความเปน คาํ ติดปาก (รฬุ หฺ ยิ ). จรงิ อยู ชื่อวา ขันธ โดยฐานะวา กอง เหมอื นในประโยคมคี ําเปนตนวา ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย การถอื เอาประมาณแหง นา้ํ ในมหา-สมุทรวา มนี ํา้ เทาน้ีอาฬหก หรือวาเทา นร้ี อ ยอาฬหก หรอื วาเทานี้พันอาฬหก หรอื วาเทา นแ้ี สนอาฬหก ไมใ ชท ําไดโดยงาย โดยท่ีแทยอมถงึ การนับวา เปนมหาอุทกขันธ ( กองน้ําใหญ ) อันใคร ๆ พึงนบัไมได พึงประมาณไมไ ดทีเดยี ว แมฉ ันใด ดังน๒้ี เพราะมิใชนํา้๑. คาํ วา สุตตันตภาชนยี คือ คําทจ่ี าํ แนกโดยนยั ที่ทรงแสดงในพระสตู ร๒. อง จตุกฺก เลม ๒๑ ๕๑/๗๒ คาํ วา อาฬหก เปนชอื่ กําหนดนบั โดยการตวงของ เชน๔ กํามือเปน ๑ ฟายมือ ๒ ฟายมือเปน ๑ กอบ ๒ กอบเปน ๑ ทะนาน ๔ ทะนานเปน๑ อาฬหก
พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 22นดิ หนอย คือเปนน้าํ จาํ นวนมากทีเดียว เขาจึงเรยี กวา อทุ กขนั ธ (กองนํา้ )อน่งึ ธุลีมใิ ชมปี ระมาณเลก็ นอย เขากเ็ รยี กวา รชกั ขันธ (กองธลุ )ี โคมีประมาณไมนอ ย เขาก็เรียกวา ควกั ขันธ (กองโค) พลมีประมาณไมนอ ยเขากเ็ รียกวา พลขันธ (กองพล) บุญมปี ระมาณไมนอย เขากเ็ รยี กวา บุญขันธ(กองบุญ) เพราะธลุ มี ีมากทีเดยี ว ทา นจึงเรียกวา รชกั ขันธ โคเปน ตน มปี ระมาณมากทเี ดียว ทานจึงเรียกวา ควักขนั ธ พลมีประมาณมาก และบุญมปี ระมาณมาก ทานกเ็ รยี กวา พลขนั ธ และบุญขนั ธ ดังน้ี. อนึง่ ชอ่ื วา ขนั ธ โดยฐานะวา คณุ เหมอื นในประโยคมคี ําเปน ตนวาสีลกขฺ นฺโธ (คุณคือศีล) สมาธิขนฺโธ (คณุ คือสมาธิ) ดงั น.ี้ และช่อื วาขันธโดยฐานะเปน บัญญัติ เหมอื นในชอ่ื น้ีวา พระผมู พี ระภาคเจาไดทอดพระเนตรเห็นทอนไมท อนใหญ (มหนตฺ ทารุกฺขนฺธ ) ลอยตามกระแสแมน้าํ คงคาไป* ดังน้ี. ช่ือวา ขนั ธ ในฐานะโดยความเปน คาํ ตดิ ปากเหมอื นในประโยคมีคาํ เปนตน วา จติ มโน มานัส วญิ ญาณ วิญญาณ-ขันธ อนั ใด๒ ดงั นี.้ ขันธนน้ี ้ัน ทรงประสงคเอาโดยฐานะวา กอง ในอธิการนี้ เพราะชอ่ื วา อรรถแหง ขนั ธนีม้ อี รรถวา เปนกอ น เปนกลุม เปน แทง เปน กองฉะนั้น พึงทราบวาขนั ธท้งั หลายมลี กั ษณะเปน กอง ดงั น้ี แมจะกลาววา อรรถแหงขนั ธน ้ีมีอรรถเปนโกฏฐาส (คือเปน สวน) ดงั นี้ กค็ วร เพราะคนท้งั หลายในโลกกหู นเ้ี ขามาแลว เม่ือถูกเจา หนี้ทวง กพ็ ดู วา พวกเราจกั ให ๒ ขนั ธ(๒ สว น) ๓ ขนั ธ (๓ สวน) ดังน้ี แมก ารกลา ววา ขันธท ั้งหลายมลี กั ษณะเปนโกฏฐาส คอื เปน สวน ดงั นก้ี ็ควร ดวยประการฉะนี้ คาํ วา รูปขนั ธ๑. ส . สฬายตนวคคฺ เลม ๑๘ ๓๒๕/๒๒๖๒. อภ.ิ วิ เลม ๓๕ ๒๙๔/๑๙๓
พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 23ในสุตตนั ภาชนยี น ้ีจึงไดแ ก กองแหง รูป สวนแหงรูป. คําวา เวทนาขนั ธก็ไดแ ก กองแหงเวทนา สว นแหงเวทนา เพราะฉะนั้น บัณฑิตพงึ ทราบอรรถแหง ขันธมสี ญั ญาเปน ตนโดยนัยน้ี. พระสมั มาสมั พุทธเจา ไดทรงประมวลรูปทั้งหมด ทําใหเ ปนกองแหงรปูมปี ระเภทอยางน้ี คอื สว นแหงรปู ๒๕๑ และสว นแหงรปู ๙๖๒ ซงึ่ ทรงจําแนกไวใ นโอกาส ๑๑ อยา ง มรี ปู ทเ่ี กดิ แตอ ดตี อนาคต และปจจุบันเปน ตน โดยพระดํารัสทต่ี รสั วา มหาภตู รปู ๔ และรูปอาศยั มหาภูตรูป ๔ ดังน้ีแลวทรงแสดงวา ชื่อวา รปู ขนั ธ ไวด วยคํามีประมาณเทาน.้ี อนงึ่ ทรงประมวลเวทนาน้นั ทัง้ หมดทาํ ใหเ ปน กองแหง เวทนาอนั เปนไปในภูมิ ๔ ซง่ึ ทรงจาํ แนกไวใ นโอกาส ๑๑ เหลานั้นนน่ั แหละวา สขุ เวทนาทุกขเวทนา อทกุ ขมสุขเวทนา ดังนี้ แลวทรงแสดงวา ช่อื วา เวทนาขันธ.และทรงประมวลสัญญาน้นั ทั้งหมด ทําใหเปน กองแหงสัญญาอันเปนไปในภมู ิ ๔ซึ่งทรงจําแนกไวใ นโอกาส ๑๑ เหลานั้นนั่นแหละวา สัญญาเกดิ แตจกั ขุ-สมั ผสั ฯลฯ สัญญาเกิดแตมโนสมั ผัส ดังนี้ แลว ทรงแสดงวา ช่ือวาสัญญาขนั ธ. และทรงประมวลสังขารนัน้ ท้งั หมด ทาํ ใหเ ปนกองแหงเจตนาอันเปน ไปในภมู ิ ซ่งึ ทรงจาํ แนกไวในโอกาส ๑๑ เหลา น้นั นน่ั แหละวา เจตนาเกิดแตจ กั ขุสัมผสั ฯลฯ เจตนาเกิดแตมโนสัมผัส ดงั นี้ แลว ทรงแสดงวาช่ือวา สงั ขารขันธ. และทรงประมวลวญิ ญาณนนั้ ทงั้ หมดทาํ ใหเ ปนกองแหงจติ อนั เปน ไปในภมู ิ ๔ ซง่ึ ทรงจําแนกไวใ นโอกาส ๑๑ เหลา นั้นนนั่ แหละวา๑. รปู ๒๕ คอื อายตนะภายในและภายนอก ๑๐ แสะสุขมุ รูป ๑๕๒. รูป ๙๖ คือ กรรมชรปู ไดแก จกั ขุทสกะ โสต ฆาน ชิว กายทสก อิตถีภาวทสกปรุ สิ ภาวทสก รวม ๗๐ และสุทธัฏฐกรปู ๘ เกิดแต จิติ อตุ ุ อาหารรวม ๒๔ สทั ทรปู ๒เกดิ แตจิตและอตุ .
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 24จกั ขุวิญญาณ โสตวญิ ญาณ วญิ ญาณ ชวิ หาวญิ ญาณ กายวญิ ญาณมโนธาตุ มโนวญิ าณธาตุ ดังนี้ แลวทรงแสดงวา ชอ่ื วา วญิ ญาณขนั ธ. อกี อยางหน่ึง ในอธิการแหง ขันธ ๕ นี้ รูปแมท ้งั หมดทเี่ กดิ จากสมฏุ ฐานทง้ั ๔ (คอื กรรม จิต อุตุ อาหาร) ชอื่ วา รปู ขนั ธ เวทนาท่เี กิดพรอ มกบั จติ ๘๙ มีกามาวจรกศุ ลจิต ๘ เปน ตน ช่อื วา เวทนาขนั ธแมสญั ญากช็ ่อื วา สัญญาขนั ธ ธรรมมผี สั สะเปน ตน กช็ อ่ื วา สงั ขารขันธจติ ๘๙ ช่ือวา วญิ ญาณขนั ธ พงึ ทราบการกาํ หนดธรรมในขันธ ๕ แมอยางนี้ ดว ยประการฉะนี.้ อธบิ ายรปู ขนั ธ บัดนี้ พระผมู ีพระภาคเจา มีความประสงคจ ะทรงจาํ แนกแสดงรปู ขนั ธเปน ตน เหลาน้ัน จงึ ตรัสคํามีอาทวิ า ตตถฺ กตโม รูปกฺขนโฺ ธ ในขันธ๕ นัน้ รปู ขนั ธ เปนไฉน ดงั น.้ี พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในขันธวิภังคนน้ั ดงั นี้ บทวา ตตถฺ แปลวา ในขันธ ๕ เหลาน้ัน บทวา กตโม เปนกเถตุกมั ยตาปจุ ฉา. บทวา รปู กฺขนโฺ ธ (รูปขันธ) เปนบทแสดงธรรมที่ทรงปุจฉา. พระผมู ีพระภาคเจา เมือ่ จะทรงจาํ แนกรูปขนั ธน น้ั ในบดั นี้ จงึ ตรัสพระดํารัสมอี าทวิ า ย กิ ฺจิ รปู (รปู อยา งใดอยางหนง่ึ ). บรรดาบทเหลา นน้ับทวา ย กิ จฺ ิ (อยางใดอยา งหนง่ึ ) เปนบททที่ รงถือเอาโดยไมเ หลอื . บทวารูป (รูป) เปนบทกาํ หนดธรรมท่ีเก่ยี วของ ดว ยบทวา ย กิ ฺจิ รปู แมท้ังสองอยา งนี้ ยอมเปนอนั ทรงทาํ การกาํ หนดเอารูปโดยไมมสี วนเหลือ. ถามวา ในรูปขันธน นั้ ธรรมทชี่ ่ือวา รปู ดว ยอรรถวา กระไร ตอบวา ที่ชือ่ วา รูป ดว ยอรรถวา ยอยยับ.
พระอภิธรรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 25 สมจรงิ ดงั พระดํารัสทต่ี รสั ไววา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เพราะเหตไุ รพวกเธอจึงเรยี กวารปู เลา ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย เพราะเหตทุ ่รี ูปยอมยอ ยยบั ไปแล ฉะ-นัน้ จงึ เรียกวา รปู รูปยอมยอ ยยบั เพราะอะไร ? ยอมยอ ยยบั เพราะความเย็นบา งยอ มยอยยับ เพราะความรอนบา ง ยอ มยอยยับ เพราะความหวิ บา ง ยอ มยอ ย-ยับ เพราะความหายบา ง ยอ มยอยยับ เพราะสมั ผสั เหลือบ ยงุ ลมแดดและสัตวเ ลือ้ ยคลานบา ง ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตทุ ี่รูปยอ มยอ ยยบั ไปแล เพราะฉะนัน้ จึงเรียกวา รปู ดังนี.้ ในพระดาํ รสั เหลานนั้ คาํ วา กึ เปนการณปุจฉา (ถามถึงเหต)ุอธบิ ายวา พวกเธอเรยี กรปู ดวยเหตอุ ะไร คอื ชื่อวา รปู นัน้ ดวยเหตอุ ะไร.อิตศิ พั ทในบทวา รุปฺปติ นีเ้ ปนศัพทยกเหตุขึ้นแสดง อธบิ ายวา เพราะเหตุทร่ี ูปยอ มยอ ยยบั ฉะนั้น จงึ ชือ่ วา รูป. กบ็ ทวา รปุ ปฺ ติ มีอธบิ ายวารูปยอมกําเรบิ อันปจ จัยยอ มกระทบ อันปจจัยยอ มเบียดเบยี น ยอมแตกสลายโดยฐานะนม้ี ีประมาณเทา นี้ รปู เปนอนั พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสแลว ดวยอรรถวา ยอยยับไป ดวยประการฉะน้ี แมจะกลาววา ช่ือวา รปู ดว ยลกั ษณะที่ยอยยับไป ดังน้ีก็ควร เพราะรูปนม้ี กี ารยอ ยยับเปน ลกั ษณะ. อนงึ่ พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในคํามอี าทวิ า รูปยอ มยอยยับไปเพราะความเย็นบา ง ดงั นี้ วา ดว ยความเยน็ กอ น ความทร่ี ูปยอ ยยบั ไปปรากฏในโลกัน-ตรกิ นรก. จริงอยู นรกหนึ่ง ๆ ในระหวางทุก ๆ สามจกั รวาล มีประมาณ๘,๐๐๐ โยชน ซ่งึ ภายใตไ มมแี ผน ดนิ เบอื้ งบนไมม พี ระจนั ทร พระอาทิตยไมม ีดวงประทีป ไมม ีแสงสวา งแหงแกวมณี มดื มิดเปน นติ ย ชอ่ื วา โลกันตริกนรกอัตภาพของสัตวผูเกดิ ในโลกนั ตริกนรกนั้น มปี ระมาณ ๓ คาวตุ สตั วเหลานั้นจะมเี ลบ็ ท้ังหลายทย่ี าวหนาเกาะที่เชงิ เขา หอยหวั ลงดจุ คางคาว เม่ือใดมนั เขยิบตวั ไปถึงหตั ถบาสของกนั และกนั เมือ่ นัน้ พวกมันกจ็ ะสาํ คญั วา พวกเราได
พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 26อาหารแลวตา งกพ็ ากันขวนขวายในสงิ่ ทตี่ นวาเปน อาหารนนั้ จึงไลตามกนั ไปรอบ ๆ แลว พลดั ตกลงไปในนํา้ ทร่ี องแผน ดนิ เม่ือถกู ลมเยน็ พัดกระหนํ่าอยูมนั ก็จะขาดตกลงในน้าํ เหมอื นผลมะซางสกุ ฉะนนั้ . พอตกลงเทานั้น มนัก็มหี นังเอน็ เนอื้ กระดกู ถูกน้ํากรดเยน็ กัดทาํ ลายเปนชิ้น ๆ เหมือนกอ นแปงท่เี ขาใสใ นน้ํามันเดือด ความยอ ยยบั ไปแหงรปู ปรากฏในโลกันตริกนรก ดว ยความเยน็ อยางน้.ี ความยอ ยยับแหง รปู นี้ปรากฏ ในประเทศทงั้ หลายทม่ี คี วามเยน็ เกดิ แตห มิ ะตก แมมีแควน ชอื่ วา มหสิ กะเปนตน กเ็ หมอื นกัน เพราะสตั วทัง้ หลายในประเทศนัน้ มรี า งกายถูกความเยน็ ทําลายตดั ขาดแลวยอมถึงแมค วามสิ้นชีวติ ดงั น้.ี วา ดวยความรอน ความทีร่ ปู ยอยยบั ไปปรากฏแลว ในอเวจมี หานรกจรงิ อยู ในอเวจมี หานรกนน้ั สตั วนรกยอมเสวยทุกขใหญ ในเวลาตอ งกรรมกรณม ีการใหน อนลงบนพน้ื แผนดนิ โลหะ ทีร่ อ นแลว จองจําดวยเคร่ืองจองจํา๕ อยางเปนตน. วาดว ยความหวิ ความทีร่ ูปยอ ยยับไปปรากฏแลว ในปตติวิสัย (กําเนิดเปรต) และในเวลาเกิดทุพภิกขภยั จริงอยู พวกสตั วในกําเนิดเปรต ชือ่ วาเอามือถอื อามสิ อยา งใดอยา งหน่งึ ใสเ ขา ไปในปากมไิ ดมตี ลอด ๒-๓ พทุ ธันดรภายในทอ งเปนเหมือนตน ไมมีโพรงทไี่ ฟติดทวั่ แลว ในเวลาเกิดทุพภิกขภยัช่อื วาสตั วท ง้ั หลาย ผไู มไดแ มเพียงนํา้ ขาวแลวถงึ ความตายไป นบั ประมาณมไิ ด. วา ดวยความระหาย ความท่รี ปู ยอ ยยับไปปรากฏแลว ในอสุรกายทั้งหลาย มกี าลกัญชกิ าสรู เปนตน จรงิ อยู สตั วท ้งั หลายในพวกกาลกญั ชิกาสูรเปนตน นั้น ยอ มไมอาจไดหยาดนา้ํ เพียงยังหทยั ใหชมุ หรอื เพียงใหเ ปย กลนิ้สิน้ ๒-๓ พุทธันดร แมบ างพวกท่ไี ปถงึ แมนาํ้ ดวยคดิ วา พวกเราจักดื่มนาํ้
พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 27ดังน้ี น้ํานน้ั กแ็ หงถึงความสําเรจ็ เปนทรายแหงแมน้าํ ไป แมบางพวกท่ีแลน ไปถึงมหาสมุทร มหาสมุทรกก็ ลายเปน หนิ ดาด สัตวเหลานั้นจึงซูบซีดถกู ทุกขมีกาํ ลงับบี ค้ันทอ งเทยี่ วไป. ไดยินวา กาลกัญชกิ าสรู ตนหน่ึง ไมสามารถทนความระหายไดจึงลงไปยังแมน ้ําใหญทัง้ ลกึ ท้งั กวา งหน่ึงโยชน ในทีก่ าลกญั ชิกาสรู น้ัน ลงไปแลว น้าํก็แหง เปนควันพลุงขึ้นเหมือนเดนิ บนหนิ ดาดอันรอนจดั ฉะนน้ั . เมอ่ื อสรุ กายนนั้ ไดย ินเสียงนาํ้ จงึ วงิ่ พลานไปขางโนนขางนีอ้ ยนู ่ันแหละ ราตรสี วา งแลว. ในขณะนั้น พวกภิกษุ ๓ รูป ผูเท่ียวบิณฑบาตเปน วัตรกําลังเทย่ี วภิกขาจารแตเ ชาตรเู ห็นเขาแลว จงึ ถามวา ดกู อ นสัปบุรษุ ทานเปนใคร อสุรกายนนั้ตอบ วากระผมเปน เปรต ขอรบั . พวกภิกษุ : ทานแสวงหาอะไร ? อสุรกาย : นาํ้ ดืม่ ขอรับ. พวกภกิ ษุ : แมน้ําน้ีเตม็ ฝง ทานไมเห็นหรอื ? อสุรกาย : ทา นขอรับ มนั ไมสาํ เรจ็ แกก ระผม. พวกภิกษุ : ถาอยางนั้น ทา นจงนอนลงตรงหลงั แมน าํ้ เถิด พวกอาตมาจกั เทนํา้ ลงในปากของทาน. อสรู น้นั กน็ อนหงายบนหาดทราย พวกภิกษุไดช วยกันเอาบาตร ๓๐ ใบตกั น้าํ มาเทลง ๆ ในปากของอสูรน้นั เม่ือภิกษุเหลานั้นทาํ อยูอยา งนี้ เวลาของภกิ ขาจารก็ใกลเขามาแลว พวกภิกษุจึงพดู วา ถงึ เวลาภิกขาจารของพวกอาตมาแลว สัปบรุ ษุ ทานไดค วามพอใจบา งไหม ? อสรู นนั้ตอบวา ทา นขอรับ ถาวา น้ํามีเพยี งฟายมือจากนํา้ ทีเ่ ทลงดว ยบาตร ๓๐ ใบ ของพระคุณเขาไปในลาํ คอของกระผมดวยการทําของคนไดไซร ขอความพนจากอัตภาพเปรตอยา ไดมเี ลย ดังน้.ี ความยอยยบั ไปแหง รปู ปรากฏแลวในปต ติวิสัยเพราะความระหาย ดวยประการฉะนี้.
พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 28 ความที่รูปยอ ยยับเพราะสัมผัสเหลือบเปนตน ปรากฏแลวในประเทศท้งั หลายทม่ี ากดวยเหลือบและยุงเปนตน . อน่ึง ในอธิการน้ี คาํ วาเหลือบ ไดแก แมลงวันหัวเหลอื ง. คาํ วา มกสา ไดแก ยงุ นั่นแหละ.คําวา ลม พงึ ทราบดว ยอํานาจแหง ลมมลี มในทอง และลมในเบอ้ื งหลังเปนตน . จรงิ อยู โรคลมเกิดข้นึ ในรางกายแลวยอมทาํ ลายมอื เทา และเบ้ืองหลังเปนตน ยอมทาํ ใหเปน คนบอด ยอมทาํ ใหเ ปน คนงอย เปนคนเปลี้ย. บทวา อาตโป (แดด) ไดแ ก ความรอ นของดวงอาทติ ย ความทร่ี ปูยอยยบั ไปดว ยความรอ นน้ันปรากฏแลว ในทางกันดาร มีทะเลทรายเปนตน.ไดย ินวา มีหญงิ คนหนงึ่ ลา หลังพวกเกวียนในเวลาราตรีในทะเลทราย เม่อื พระ-อาทติ ยโ คจรไปถงึ กลางวนั ไมสามารถจะวางเทาทท่ี รายกําลงั รอนได จึงยกกระเชา ลงจากศีรษะเหยยี บ เม่ือไมอ าจยืนบนกระเชา เพราะความรอ นยิง่ กว็ างผาสาฏกบนกระเชานัน้ แลว เหยียบ แมผ าสาฏกนน้ั รอ นทวั่ แลว ก็จบั ลกู นอ ยท่ีอุมมาใหน อนควาํ่ เหยยี บบนลูกนอยที่กาํ ลงั รองจา อยู พรอ มกบั ลกู นอ ยกไ็ ดทาํกาละในทน่ี ั้นนนั่ เอง เพราะความรอนใหเ รารอ นแลว. คาํ วา สริ ิสปฺปา (สตั วเล้ือยคลาน) ไดแ ก สัตวทง้ั หลายมตี ัวยาวอยางใดอยา งหนง่ึ แลน เล้อื ยไป ความท่ีรปู ยอยยบั ไปเพราะสัมผสั แหง สัตวเ หลานั้นบณั ฑติ พงึ ทราบดว ยอํานาจในเวลาที่ถกู อสรพษิ ขบเอาเปน ตน. บัดนี้ พระผมู พี ระภาคเจาทรงประสงคจ ะรวมรปู แมท้งั หมดซงึ่ มี ๒๕และ ๙๖ สวน ทที่ รงรวบรวมไวด วยบทวา ย กิฺจิ รปู (รูปอยา งใดอยางหนึ่ง). เขา ในสวนแหง รูปทีเ่ ปน อดตี เปน ตนมาแสดง จงึ ตรสั คาํ วา อตตี า-นาคตปจฺจุปปฺ นฺน (รปู เปน อดีต เปน อนาคต เปนปจ จบุ นั ) ดังน้ี ตอจากนนั้ ทรงประสงคจะจัดรูปน้นั น่ันแหละกระทําใหเ ปนทุกกะ ๔ ทกุ ะมีอัชฌตั ต-
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 29ทุกะเปนตนมาแสดง จึงตรัสคํามอี าทวิ า อชฌฺ ตฺต วา พหทิ ธฺ า วา (รูปภายใน หรือรูปภายนอก) ดงั นี้ ตอ จากน้ัน เม่อื จะทรงประมวลรปู นน้ั แมทง้ั หมดทท่ี รงกาํ หนดไวใ น ๑๑ สวนแสดงรวมเปน อนั เดยี วกนั จึงตรสั คําวาตเทกชฌฺ (รูปนน้ั รวมเปนอนั เดียวกัน) ดังน.ี้ บรรดาบทเหลา นนั้ บทวาตเทกชฺฌ แยกออกเปน ต เอกชฺฌ . บทวา อภิสฺ ูหิตฺวา แปลวาประมวลมา. บทวา อภิส ขปิ ต วฺ า ไดแ ก ทาํ การยอ คาํ นี้ ตรสั อธบิ ายไววากร็ ูปมีประการยงั กลา วแลวน้นั แมทั้งหมด บณั ฑติ เรยี กวา รูปขันธ เพราะรวมเปนกองเดียวกันในภาวะอยา งเดียวกัน กลาวคอื ความเปนรูปท่ยี อยยับไปเปนลักษณะ ดงั นี.้ ดว ยคาํ อธิบายนี้ ยอ มเปนอันตรสั รูปแมท ้ังหมดในลักษณะแหงการยอยยบั ไปนว้ี า ชือ่ วา รปู ขันธ เพราะความเขา ถึงความเปนกอง ดังน้ีเพราะขึ้นชอื่ วา รูปขนั ธ อื่น นอกจากรูปหามีไม. กร็ ูป ฉันใด ธรรมมีเวทนาเปน ตน ก็ชอ่ื วา เวทนาขนั ธเ ปนตน ฉนั นัน้ เพราะความเขาถงึ ความเปนกองในลักษณะมีการเสวยอารมณเปน ลักษณะเปนตน เพราะขึ้นชื่อวาเวทนาขันธเ ปนตน อ่ืนนอกจากเวทนาเปนตน หามีไม. วาดว ยรูปเปนอดีตเปน ตน บดั น้ี พระผูม พี ระภาคเจา เม่อื จะทรงแสดงจําแนกรปู ทท่ี รงจัดเขาในโอกาสหนงึ่ ๆ ใหเปนสว น ๆจึงตรัสคาํ มีอาทิวา ตตฺถ กตม รปู อตตี ในรูปขันธนนั้ รูปอดตี เปนไฉน ดงั นี.้ บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา ตตถ เปนบทสัตตมวี ิภตั ตใิ นมาติกาตามที่ทรงจดั ตั้งไวใ นโอกาส ๑๑ อยา ง คําน้ีตรัสอธบิ ายวา คาํ วา รูปอดตี ที่ตรัสไวใ นมาตกิ าตามทท่ี รงต้งั ไวโ ดยนัยมีอาทิวา อตีตานาคตปจจฺ ุปปฺ นนฺ ดังนี้รปู นนั้ เปน ไฉน. บณั ฑิตพงึ ทราบเน้ือความในปุจฉาท้งั หมดโดยอุบายนี้.
พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 30 บททงั้ หลายมคี ําเปน อาทวิ า อตตี นริ ทุ ธฺ รูปใดลว งไปแลว ดบัไปแลว ดงั นี้ เปนคาํ ท่ตี รสั ไวใ นการพรรณนาบทภาชนยี อ ตีตตกิ ะแหงนกิ -เขปกณั ฑน น่ั แหละ. คาํ วา จตฺตาโร จ มหาภตู า นี้เปน คําแสดงสภาวะของรปู ท่ีตรัสวา อดีต ดังน.้ี อนึ่ง ในอธกิ ารน้ี คาํ ท่ีขาพเจา กลาวแลว ฉันใด คําท่ีกลาวไวในท่ที ุกแหง กพ็ ึงทราบฉนั น้นั . ดว ยคําน้ี พระผูมพี ระภาคเจายอ มทรงแสดงมหาภูตรูป และรูปอาศยั มหาภูตรูปกระทํารปู นใี้ หเ ปนรปู อดีตบาง กระทาํรูปนใ้ี หเปน รปู อนาคตบาง ฯลฯ กระทําใหเปนรปู ไกลและใกลบาง เพราะข้นึชอ่ื วารปู อ่นื นอกจากมหาภูตรูปและรปู ท่ีอาศยั มหาภตู รปู แลวหามีไม. อีกนยั หน่งึ ขอ วา อตตี เสน ส คหิต (รปู ทส่ี งเคราะหเ ขาโดยสวนอดตี ) ไดแก รูปท่สี งเคราะหโ ดยสวนอดีตน่นั แหละ ทาํ การนับได มอี ยู. ถามวา รปู อะไร ? ตอบวา มหาภูตรปู ๔ และรปู ทอี่ าศยั มหาภตู รปู ๔ พึงทราบอรรถในท่ีทง้ั ปวงอยางน.้ี แมบทอธบิ ายรูปท่ีเปนอนาคต และปจ จุบนั ก็มีเน้ือความตามทก่ี ลาวไวแ ลว ในหนหลงั น้นั แล. วา ดวยรปู ๒ อยา ง ก็รปู นี้ ทชี่ ่อื วา เปน อดีต อนาคต ปจ จุบนั มี ๒ อยาง คือ รปู โดยปริยายแหงพระสูตร ๑ รปู โดยนเิ ทศพระอภิธรรม ๑. วาโดยปรยิ ายแหงพระสูตร ทรงกําหนดรูปท่เี ปน อดตี อนาคต ปจ จุบันน้ันไวด ว ยภพ จรงิ อยู รูปทีเ่ กิดในภพอดตี จําเดมิ แตป ฏิสนธิ (ในภพปจ จบุ นั )หรือรูปท่เี กิดแลว ในภพถัดไป หรอื รปู ทีเ่ กดิ แลวในภพท่สี ดุ แหง แสนโกฏกิ ัปกต็ าม ทงั้ หมดชอ่ื วา รปู อดตี ทั้งน้ัน. รปู ทีจ่ ะเกดิ ในภพอนาคตจําเดมิ แต
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 31จุติแลว หรือรูปท่ีจะเกิดในภพถดั ไป หรือรูปทจ่ี ะเกดิ ในทส่ี ดุ แหง ภพแสนโกฏิกัปก็ตาม ทง้ั หมดช่อื วา รูปอนาคต ท้งั นนั้ . รูปทีก่ ําลงั เปน ไประหวางจตุ ิปฏิสนธิ (ต้งั แตเ กิดถึงตายในภพปจ จุบนั ) ชอ่ื วา รูปปจจบุ นั . สว นในนิเทศแหงพระอภิธรรม ทรงกาํ หนดรปู ดว ยขณะ ดวยวา ขณะแหงรูปมี ๓ อยาง คอื อุปปาทขณะ (ขณะเกดิ ) ฐิตขิ ณะ (ขณะตง้ั อยู) ภังคขณะ (ขณะดับ) รปู ที่ถึงขณะทงั้ ๓ เหลานี้แลวดบั ไป หรือรปู ทีด่ บั ในขณะใกล ๆ หรอื รปู ดับในขณะที่สดุ แหง แสนโกฏกิ ปั ก็ตาม ทั้งหมด ช่ือวา รูปอดีตน่ันแหละ รูปทย่ี ังไมถ งึ ขณะทัง้ ๓ หรือยังไมถึงลักษณะแหง จิตดวงหน่งึ หรอืยังไมถึงขณะในท่ีสุดแหง แสนโกฏิกัปกต็ าม ทงั้ หมด ชื่อวา รูปอนาคตนน่ั แหละ แตรูปท่ีถึงขณะทง้ั ๓ เหลา น้แี ลว ชอ่ื วา รูปปจ จุบัน. ในปริยายแหงพระสตู ร และในนิเทศแหงพระอภธิ รรมนนั้ แมรปูนี้ จะเปนการจําแนกตามพระสูตร (สุตตนั ตภาชนีย) กจ็ ริง ถึงอยางนนั้ ก็พงึ ทราบวา รูปท่เี ปนอดตี อนาคต และปจจบุ ัน สาํ เร็จแลว โดยนเิ ทศแหงพระอภธิ รรมเทา นน้ั ดังนี.้ อกี นยั หน่งึ เพราะวา รูปนีช้ อ่ื วา รปู อดีต โดยสวนท้ัง ๔ ดว ยอาํ นาจอทั ธา ๑ สนั ตติ ๑ สมยั ๑ ขณะ ๑ เปนรปู อนาคตและเปนรปู ปจจุบนั ก็โดยสวน ทงั้ ๔ เหมอื นกนั . วาดว ยอาํ นาจอัทธากอน รูปในกาลกอ นแตป ฏิสนธใิ นภพหน่ึงของบุคคลหนึ่ง ชอื่ วา รูปอดตี รปู ในบัน้ ปลายแตจ ตุ ิ ชื่อวา รูปอนาคตรปู ในระหวางท้ัง ๒ นัน้ ชื่อวา รปู ปจ จบุ ัน. วาดวยอํานาจสนั ตติ รปูทมี่ อี ุตเุ ดียวกัน มสี ว นเสมอกันเปนสมฏุ ฐาน และรูปทีม่ อี าหารอยางเดียวกันเปนสมุฏฐาน แมกําลงั เปน ไปอยูดว ยอํานาจเกิดสบื ตอ มาแตเบอ้ื งตน ชื่อวา รูป-
พระอภิธรรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 32ปจ จบุ นั . รปู ทมี่ อี ุตแุ ละอาหารไมเสมอกับสมุฏฐานซ่งึ เกดิ กอนแตร ปู ปจ จบุ ันน้ัน ชอื่ วา รูปอดตี รูปทม่ี ีอตุ ุและอาหารไมเ สมอกันเปนสมฏุ ฐานเกิดหลังปจจบุ นั ช่อื วา รปู อนาคต จิตตชรปู (คอื รปู เกิดแตจ ิต) มีวิถเี ดยี วกนั มีชวนะเดยี วกันและสมาบัติเดียวกนั ชื่อวา รปู ปจ จบุ นั จติ ตชรูปท่เี กดิ กอ นรปู ปจจุบนั นั้น ช่ือวา รปู อดีต จติ ตชรปู ทเ่ี กิดหลังรปู ปจจบุ นั ชอ่ื วารปู อนาคต. รปู ทม่ี กี รรมเปนสมฏุ ฐานไมมปี ระเภทอดีตเปน ตน ดวยอํานาจสันตติอยางหน่งึ โดยเฉพาะ แตพ ึงทราบประเภทรูปอดตี เปนตน ของรปู ท่มี ีกรรมเปนสมฏุ ฐานนนั้ ดวยอาํ นาจเปน รูปอปุ ถัมภอ ตุ ชุ รูป อาหารชรูป จิตตชรปู เหลาน้นั น่ันแหละ. วาดว ยอํานาจสมยั รปู ทีก่ ําลงั เปนไปดว ยอํานาจการสบื ตอ ในสมยั ทง้ั หลายมคี รู ยาม เวลาเชา เวลาเย็น กลางคืน และกลางวนั เปนตนแตละอยา ง สมัยนั้น ๆ ชอ่ื วา รูปปจจุบัน. รูปท่เี กดิ กอนแตสมัยน้ัน ชอ่ื วา รปู อดตีรปู ที่เกิดหลงั สมัยนัน้ ช่อื วา รูปอนาคต. วาดว ยอาํ นาจขณะ รูปท่นี บั เนือ่ งดวยขณะท้งั ๓ มีอปุ ปาทขณะ เปนตน ช่ือวา รปู ปจ จบุ นั . รูปทเี่ กิดกอ นขณะท้ัง ๓ นนั้ ชอ่ื วา รปู อดตี รปู ท่ีเกดิ หลังขณะทง้ั ๓ นนั้ ชือ่ วา รปู อนาคต. อีกอยางหนง่ึ รูปท่ีมีกิจแหง เหตแุ ละปจจยั ผา นไปแลว ช่ือวา รปู อดีตรปู ท่ีมกี จิ แหงเหตสุ าํ เรจ็ แลว แตก ิจแหงปจ จยั ท่ียังไมสําเร็จ ช่ือวา รูปปจ จุบนัรูปทมี่ ีกจิ ท้งั ๒ ยังไมมาถงึ ชื่อวา รปู อนาคต. อกี อยางหนง่ึ รปู ที่เปนไปในขณะกิจของตน ชอ่ื วา รูปปจจบุ นั รปู ท่เี ปนไปกอ นกจิ ของตนน้ันชอ่ื วารปู อดตี รูปทจ่ี ะเปนไปในภายหลังกิจของตนนนั้ ชือ่ วา รปู อนาคต. กใ็ นนเิ ทศแหง รูปทเ่ี ปน อตีตตกิ ะน้ี กถาวา ดวยขณะเปนตน เปน กถาไมอ อมคอม(โดยตรง) ทเ่ี หลือยังมปี ริยายออ มคอม ในกถาทงั้ ๒ เหลา น้นั นิปปริยายกถา(กถาไมอ อ มคอ ม) ทรงประสงคเอาในสตุ ตนั ตภาชนยี น ้.ี แมน เิ ทศแหงบท
พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 33รปู หมวดอชั ฌัตตทุกะมเี นอื้ ความตามที่กลาวไวใ นนเิ ทศแหง อชั ฌัตติกะในหน-หลงั นั่นแหละ. รูปหยาบเปน ตน มเี น้อื ความตามที่ขาพเจา กลาวไวใ นการพรรณนารปู กัณฑน ั่นแล. วา ดว ยนิเทศแหง รูปหนิ ทุกะ (ขอ ที่ ๖) พงึ ทราบวินิจฉยั ในนเิ ทศแหง รปู หีนทุกะ ตอไป บทวา เตส เตส สตฺตาน (ของสัตวน้ันๆ) น้เี ปนฉัฏฐีวิภตั ตเิ ปนไปในสัตวม าก เพราะเมือ่ ตรัสอยูวา ของสตั วแ มอื่น ของสตั วแ มอนื่ดังนี้ ตรสั อยตู ลอดวันก็ดี ตลอดแสนกัปกด็ ี ก็ยอมตรสั ดวยพระดํารัส (วาของสตั วน้ัน ๆ) มปี ระมาณเทานีเ้ ทานั้น เพราะฉะนน้ั พระศาสดาเม่อื จะทรงกาํ หนดเอาสัตวโ ดยไมเหลอื ดวยบททง้ั ๒ เทา นน้ั จงึ ตรัสวา เตส เตสสตตฺ าน ดงั นี.้ ก็ดวยบทมีประมาณเทา นย้ี อมสาํ เร็จการแสดงถงึ สัตวอ่นื ๆแมท ั้งหมด. บทวา อฺุาต (ทน่ี าดหู มิ่น) คอื ท่เี ขาสบประมาท. บทวาอวมฺ าต (นา เหยยี ดหยาม) คอื รปู ทีเ่ ขาเยย หยัน ซ่ึงใคร ๆ รแู ลว ก็ไมประกาศวา รูปบา ง. บทวา หฬี ิต (นาเกลยี ด) คือ รปู ทเ่ี ขาขวาง ทเี่ ขาทงิ้ดวยอรรถวา ไมค วรถือเอา อาจารยบ างพวกกลา ววา รูปทีน่ าเกลียด ดงั น้กี ม็ .ีบทวา ปริภูต (นา ตาํ หนิ) คือ รปู ทีเ่ ขากาํ หนดดวยคาํ พดู วา ประโยชนอ ะไรดว ยรูปนเ้ี ลา ดังน.้ี บทวา อจิตตฺ กี ต ๑ (ไมน า ยกยอง) คือ รูปทไ่ี มน าเคารพ. บทวา หนี (ทราม) คอื รูปทีล่ ามก. บทวา หนี มต (รกู นั วาทราม)คอื รปู ทเี่ ขารกู นั วา เลว ไดแ ก รปู ทเ่ี ขากระทาํ ใหลามกรูก ัน. บทวา หนี สมมฺ ต(สมมตกิ นั วาทราม) คือ รูปที่เขาสมมติกนั ในโลกวา ชั่วชา หรือรปู ที่คน๑ บาลีเปน อจิตกี ต
พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 34เลวทรามรูจ กั กันดี เหมือนคถู ทีส่ ตั วม ีคถู เปน อาหารรูจ ักกนั ดี. บทวา อนิฏ(ไมนาปรารถนา) คือรปู ท่ีไมน ารัก หรือรูปทีเ่ ขาไมแ สวงหาเพอ่ื ตอ งการจะไดถาใคร ๆ จะพงึ แสวงหารูปน้ัน กพ็ ึงแสวงหาเถิด แตว า รูปทีไ่ มน าปรารถนานีแ้ หละเปนชื่อของอารมณน้นั . บทวา อกนตฺ (ไมนา รัก) คือรูปท่ไี มน าปรารถนา หรือหาสิรมิ ิได. บทวา อมนาป (ไมนาชอบใจ) คือรปู ทไ่ี มชมุ ช่ืนใจจริงอยู รูปเชนน้นั ยอมไมช มุ ชื่นใจ อกี อยางหนง่ึ มีวเิ คราะหว า มนอปปฺ ายติ วฑเฺ ฒตตี ิ มนาป น มนาป อมนาป แปลวา รูปใดยอ มยังใจใหเอบิ อาบ คอื ใหใจเจรญิ เพราะเหตุนัน้ รูปนนั้ จงึ ชื่อวามนาปะ (ยงั ใจใหเ อิบอาบ) รูปที่ไมย งั ใจใหเ อิบอาบ ชื่อวา อมนาปะ. อกี อยางหน่งึ รูป ชอ่ื วา ไมน า ปรารถนา เพราะเวน จากสมบัติ รูปท่ไี มน า ปรารถนาน้ันมีอกศุ ลกรรมเปนสมฏุ ฐานโดยสว นเดยี ว ในบรรดารปูทงั้ หลายทม่ี ีกรรมเปน สมฏุ ฐาน ท่ชี ่อื วา อกนฺต (รปู ทไี่ มน า รัก) เพราะไมม ีเหตแุ หงความสขุ . ที่ชือ่ วา อมนาป (รปู ทไ่ี มน า ชอบใจ) เพราะเปนเหตุแหง ทกุ ข. บทวา รปู า สททฺ า (รปู เสยี ง) เปน ตน น้ีเปนคําแสดงสภาวะของรปู ทรามนั้น จรงิ อยู พระองคทรงจาํ แนกกามคณุ ๕ ที่ไมนา ปรารถนาดว ยสามารถแหงรปู ท่เี กดิ จากอกุศลกรรมไวใ นบทนี้ เพราะวา รปู ท่เี กิดแตก ศุ ลกรรมชื่อวา ไมน าปรารถนาหามีไม รปู ทั้งหมดที่เกิดแตก ศุ ลกรรมเปนรูปทน่ี า ปรา-รถนาทั้งน้นั . นิเทศแหง บทรปู ประณีต พงึ ทราบโดยนัยตรงกนั ขามทขี่ าพเจากลา วแลว แตในบทน้ี พระองคท รงจาํ แนกกามคุณ ๕ ทน่ี าปรารถนาดวยอํานาจแหง รปู ที่เกดิ แตกศุ ลกรรม. เพราะรูปท่เี กดิ แตก ุศลกรรม ช่ือวา เปนรปู ท่ีไมนา ปรารถนายอมไมมี รปู ท้งั หมดนาปรารถนาท้งั น้นั . ก็ในรูปเกิดแตกรรม
พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 35ฉันใด แมในรปู ทัง้ หลายทีม่ ีอตุ เุ ปนสมฏุ ฐานเปนตนก็ฉันนนั้ ยอ มมีความเปนรปู ที่นาปรารถนาและไมน าปรารถนา บัณฑิตพงึ ทราบวา พระผูม ีพระภาคเจาทรงจําแนกเฉพาะอฏิ ฐารมณแ ละอนิฏฐารมณไวใ นทุกะนี้ ดว ยประการฉะน้.ี นเ้ี ปน กถามีอรรถเสมอกนั ของอาจารยทัง้ หลายกอน. สวนอาจารยว ติ ณั ฑวาทกี ลา ววา ขึน้ ช่อื วา อฏิ ฐารมณแ ละอนิฏฐารมณท่พี ระองคทรงจําแนกไวเ ฉพาะสว นเดียวไมมี พระองคทรงตรัสธรรมนั้นไวดวยอํานาจความชอบใจของสตั วน น้ั ๆ เหมอื นอยางท่ีตรัสวา ดกู อนมหาบพติ รท่ีสุดแหงความพอใจแล อาตมากลา ววา เปน ยอดในเบญจกามคุณดกู อ นมหาบพิตร รูปเหลา ใดเปน ทพี่ อใจของบุคคลบางคน รูปเหลาน้ัน ไมเปนท่ีพอใจของคนบางคน เขาดีใจ มคี วามดาํ ริบรบิ รู ณดวยรูปเหลา ใด รูปอื่นจากน้นั จะยิ่งกวา หรือประณตี กวา เขากไ็ มปรารถนา รูปเหลานนั้ เปนอยา งยิ่งสําหรับเขา รปู เหลาน้นั เปน ยอด-เยย่ี มสาํ หรับเขา ดกู อนมหาบพติ รเสียงเหลาใด...กล่นิ เหลาใด...รสเหลา ใด...โผฏฐพั พะเหลาใด เปน ท่พี อใจของคนบางคน โผฏ-ฐัพพะเหลานัน้ เปนท่พี อใจของคนบางคน ไมเปนท่พี อใจของคนบางคน* ดังนเี้ ปนตน . ดว ยพระดาํ รัสอยา งนี้ เพราะบคุ คลคนหนง่ึ ยอมชอบใจยอ มยนิ ดีย่ิง ซง่ึ รปู เปน ตน เหลา นน้ั น่ันแหละ เขายอ มยังความโลภใหเ กิดข้ึนในรูปเปนตนเหลาน้ัน บุคคลคนหนงึ่ ยอมโกรธ ยอ มขดั เคือง ยอ มยังโทสะใหเกดิ ข้นึ ในรูปเปนตน เหลา นนั้ รปู เปน ตน เหลา นนั้ ยอ มนา ปรารถนา ยอมรักใคร ยอมชอบใจแกคนบางคน แตไมเ ปน ทนี่ าปรารถนา ไมนารกั ใครไมนา พอใจแกค นบางคน อน่ึง บางคนยอมยึดถือโดยความเคารพวา รูปเหลา นัน้* ส . สคาถวคฺค. เลม ๑๕ ๓๖๑/๑๑๗ (เน้อื ความในอรรกถาหายไปมาก)
พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 36นา ปรารถนา นาใคร นาชอบใจ แตอ ีกคนหนงึ่ ถอื เอารปู เหลา น้นั นน้ั แหละโดยไมเคารพ ดวยคิดวา รปู เหลานน้ั ไมนาปรารถนา ไมนาใคร ไมนาชอบใจ ดงั นี้ฉะน้ัน ขึ้นชอ่ื วา รปู ที่เปน อฏิ ฐารมณแ ละอนิฏฐารมณท ที่ รงจาํ แนกเฉพาะโดยเฉพาะจึงไมม.ี จรงิ อยู แมไสเ ดือนทัง้ หลายกย็ อ มเปน ส่ิงนา ปรารถนา นาใครนาพอใจของพวกบุคคลผูอยูปจจันตประเทศ แตว าเปนสิง่ นา รังเกยี จอยา งยง่ิของพวกทีอ่ ยูในมัชฌิมประเทศ อนึง่ เน้อื ของนกยูงเปนตน ยอมเปน สงิ่ นาปรารถนาของบคุ คลผูอยูในมชั ฌมิ ประเทศเหลานน้ั แตเ ปนทเ่ี กลียดชงั ของบุคคลนอกนี้ ดังน.ี้ พึงถามทานอาจารยวติ ัณฑวาทนี ัน้ วา ก็ทา นกลาววา ข้นึ ชอื่ วา รปู ที่เปน อฏิ ฐารมณแ ละอนฏิ ฐารมณที่พระผูม ีพระภาคเจา ทรงจําแนกไวเฉพาะอยางไมมีดังนห้ี รอื อาจารยวิตัณฑวาทนี ั้นกจ็ ะพูดวา ใชแลว กระผมกลาววาไมมี ดังน้.ีแลวถามปญ หาเหมอื นอยางน้นั น่ันแหละอีก ๓ ครั้ง แลวควรถามวา ธรรมดาพระนิพพานเปนอิฏฐารมณหรอื อนิฏฐารมณ ดังน.้ี อาจารยวติ ัณฑวาทีเมื่อทราบก็จะบอกวา เปน อฏิ ฐารมณ. ก็ถาอาจารยว ติ ัณฑวาทีน้นั ไมพ ึงตอบอาจารยส กวาทีกไ็ มพงึ บอกวา พระนิพพานเปน อฏิ ฐารมณอ ยา งเดยี วกอน พึงกลา วตอไปวา กท็ า นปรารถนาความขอ นวี้ า บคุ คลคนหนึ่ง เมอื่ มีใคร ๆกลา วถึงคุณของพระนพิ พานอยู กโ็ กรธแลว ถามวา ทา นกลา วชมพระนิพพานในนิพพานนนั้ มีขา วน้าํ มรี ะเบยี บดอกไมของหอม เครื่องลบู ไล มที ี่นอนเคร่ืองนุงหม มกี ามคณุ ๕ สําเรจ็ พรอ มแลว หรอื เมอ่ื เขากลา ววา ไมมี ก็จะพงึกลาววา อยาเลยดวยนิพพานของทา น เม่ือบุคคลนัน้ กลาวสรรเสรญิ นพิ พานอยูตอ ไป ก็โกรธเอามืออุดหทู งั้ ๒ เสยี ดังนี้ มใิ ชห รือ ? กด็ วยอาํ นาจความขอ นี้ นิพพานในวาทะของทา นจะชือ่ วา เปน อนิฏฐารมณก ็ตามที ถึงอยา งนน้ั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 705
Pages: