Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารพัฒนาทักษะวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนรายบุคคล ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รายวิชาการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม สค31003

เอกสารพัฒนาทักษะวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนรายบุคคล ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รายวิชาการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม สค31003

Published by กศน.จังหวัดขอนแก่น, 2021-06-19 12:04:51

Description: เอกสารพัฒนาทักษะวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนรายบุคคล ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รายวิชาการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม สค31003 หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

สารบัญ หน้้า คำ�ำ นำ�ำ 1 สารบััญ 1 คำ�ำ ชี้้�แจงการใช้เ้ อกสารพััฒนาทัักษะวิชิ าการผู้�เรีียนรายบุคุ คล 11 โครงสร้้างการเรีียนรู้้�ด้้วยตนเองวิิชา 12 แบบทดสอบก่อ่ นเรีียน 12 บทที่่� 1 ทััศนศิิลป์์สากล 19 20 สรุุปเนื้้�อหา 20 แบบทดสอบท้้ายบทเรีียน 24 บทที่่� 2 ดนตรีีสากล 25 สรุปุ เนื้้อ� หา 27 แบบทดสอบท้้ายบทเรีียน 28 บทที่่� 3 นาฏศิลิ ป์์สากล 28 สรุปุ เนื้้�อหา 29 แบบทดสอบท้้ายบทเรียี น 29 แบบทดสอบหลัังเรียี น 30 เฉลยแบบทดสอบ 31 แบบบันั ทึึกการพััฒนาทัักษะวิชิ าการเพื่อ�่ ยกระดับั ผลสััมฤทธิ์�ผ์ ู้้�เรีียนรายบุคุ คล การทดสอบก่่อนเรีียนและหลังั เรีียน เกณฑ์์การประเมินิ ผลการพััฒนาทักั ษะวิชิ าการผู้เ�้ รีียนรายบุคุ คล แบบบัันทึึกการพัฒั นาทักั ษะวิิชาการเพื่่�อยกระดัับผลสััมฤทธิ์�ผ์ ู้�้เรียี นรายบุคุ คล การทดสอบท้้ายบทเรีียน เกณฑ์ก์ ารประเมินิ ผลการพััฒนา แบบทดสอบท้้ายบทเรียี น บรรณานุุกรม คณะผู้�จััดทำ�ำ



คำำ�ชี้้�แจงการใช้้เอกสารพัฒั นาทัักษะวิิชาการเพื่อ่� ยกระดัับผลสัมั ฤทธิ์ผ�์ู้�เรีียนรายบุุคคล ระดับั ประถมศึกึ ษา รายวิิชาศิิลปศึกึ ษา ทช31003 เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการเพื่อ่� ยกระดับั ผลสัมั ฤทธิ์ผ�์ ู้เ้� รียี นรายบุคุ คล ระดับั มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย รายวิชิ าศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 เล่่มนี้้� จััดทำำ�ขึ้้�นเพื่่�อพััฒนาผู้้�เรีียน ให้้มีีความรู้�้ความสามารถทางด้้านวิิชาการในรายวิิชาบัังคัับ ตามหลัักสููตร การศึกึ ษานอกระบบระดัับการศึึกษาขั้น� พื้้�นฐาน พุทุ ธศักั ราช 2551 ในการศึึกษาเอกสารเล่่มนี้้�ผู้เ�้ รียี นควรปฏิิบััติิ ดังั นี้้� 1. ผู้เ้� รียี นสำ�ำ รวจรายวิชิ าที่่ต� นเองลงทะเบีียนเรีียนในรายวิิชาศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 2. ผู้้�เรีียนศึึกษารายละเอียี ดว่่าต้้องเรีียนรู้เ�้ นื้้อ� หาในเรื่�อ่ งใดบ้้างในรายวิิชานี้้� 3. ทำ�ำ แบบทดสอบก่่อนเรีียน เพื่�่อทราบพื้้�นฐานความรู้�้เดิิมของผู้�้เรีียน โดยตรวจสอบคำำ�ตอบจากเฉลยแบบทดสอบ ก่อ่ นเรีียนท้้ายเล่ม่ 4. ศึกึ ษาเนื้้�อหาสาระในแต่ล่ ะบทเรีียนให้เ้ ข้้าใจ และทำ�ำ แบบทดสอบท้้ายบทเรีียน ผู้�้เรีียนสามารถตรวจสอบคำำ�ตอบ ได้้จากเฉลยท้้ายเล่ม่ 5. เมื่อ่� ศึกึ ษาเนื้้อ� หาสาระครบทุกุ บทเรียี นแล้้ว ให้้ผู้เ� รียี นทำ�ำ แบบทดสอบหลังั เรียี นและตรวจคำำ�ตอบจากเฉลยท้้ายเล่ม่ ผู้้�เรียี นควรทำ�ำ แบบทดสอบหลังั เรียี นให้้ได้้คะแนนมากกว่่าแบบทดสอบก่อ่ นเรีียน 6. ให้้ผู้�เรีียนบัันทึึกคะแนนผลการทดสอบรายวิิชาศิิลปศึึกษา ทช31003 ในแบบบัันทึึกการพััฒนาทัักษะวิิชาการ ผู้�้เรีียนรายบุุคคล (อยู่่�ท้้ายเล่ม่ ) เพื่�่อเป็็นแนวทางในการพัฒั นาตนเองอย่า่ งต่่อเนื่อ�่ ง 7. ให้้ผู้เ� รียี นศึกึ ษาเพิ่่ม� เติมิ ได้้จากแบบเรียี นรายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 ระดับั ประถมศึกึ ษา ตามหลักั สููตรการศึกึ ษา นอกระบบระดัับการศึึกษาขั้�นพื้้�นฐาน พุุทธศักั ราช 2551 และสื่อ่� ออนไลน์์อื่น่� ๆ

โครงสร้้างการเรีียนรู้้�ด้้วยตนเอง สาระสํําคััญ มีีความรู้�้ความเข้้าใจ มีคี ุุณธรรม จริิยธรรม ชื่่�นชม เห็็นคุุณค่่าความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติิ สิ่�งแวดล้้อม ทาง ศิลิ ปะสากล ดนตรีีสากล นาฏศิิลป์ส์ ากลและวิิเคราะห์ไ์ ด้้อย่า่ งเหมาะสม ผลการเรียี นรูทู ี่่ค� าดหวังั 1. อธิบิ ายความหมายของธรรมชาติิ ความงาม ความไพเราะของศิลิ ปะสากล ดนตรีสี ากลและนาฏศิิลป์์สากล 2. อธิบิ ายความรู้�้พื้้น� ฐานของ ศิลิ ปะสากล ดนตรีีสากลและนาฏศิลิ ป์์สากล 3. สร้้างสรรค์ผ์ ลงานโดยใช้้ความรู้้�พื้้น� ฐาน ด้้านศิิลปะสากล ดนตรีีสากลและนาฏศิลิ ป์์สากล 4. ชื่�่นชม เห็น็ คุณุ ค่า่ ของ ศิิลปะสากล ดนตรีีสากลและนาฏศิิลป์ส์ ากล 5. วิิเคราะห์์ วิิพากย์์ วิิจารณ์์ งานด้้านศิิลปะสากล ดนตรีสี ากลและนาฏศิลิ ป์ส์ ากล 6. อนุุรัักษ์ส์ ืืบทอดภููมิปิ ััญญาด้้านศิลิ ปะสากล ดนตรีสี ากลและนาฏศิิลป์์สากล ขอบข่า่ ยเนื้้�อหา บทที่่� 1 ทัศั นศิลิ ป์์สากล บทที่่� 2 ดนตรีีสากล บทที่่� 3 นาฏศิลิ ป์ส์ ากล

แบบทดสอบก่่อนเรียี น คำำ�ชี้้แ� จง จงเลืือกคำ�ำ ตอบที่่ถ� ููกที่่�สุุดเพียี งข้้อเดียี ว 9. ทรััมเป็ท็ จัดั เป็็นเครื่่�องดนตรีปี ระเภทใด 1. ทัศั นธาตุุ (Visual Element)ในข้้อใดมีีมิิติเิ ป็น็ ศููนย์์ ก.เครื่่�องสาย ก. จุุด ข. เส้้น ข.เครื่�่องลมไม้้ ค. รููปร่่าง ง. รููปทรง ค.เครื่�อ่ งลมทองเหลืือง 2. ข้้อใดคืือสีโี ทนร้้อน ง.เครื่อ�่ งตีีกระทบ ก. สีีเขีียว ข. สีฟี ้้า ค. สีีแดง ง. สีนี ้ำำ�� เงินิ 10. การฝึึกฝนบััลเล่่ต์์สามารถแก้้ไขข้้อบกพร่่องทางสรีีระ 3. Out line หมายถึึงข้้อใด ข้้อใดได้้บ้้าง ก. เส้้นรอบวง ข. เส้้นร่า่ งโครงสร้้าง ก.หลัังค่่อม ค. เส้้นรายละเอีียดภายในภาพ ข.ขาโก่ง่ ง. เส้้นแสดงน้ำำ�� หนััก แสงเงาของภาพ ค.ศีีระษะเอียี ง 4. “รััก” ใช้้ในงานศิิลปะประเภทใด ง.เท้้าบิดิ ออกด้้านนอก ก. งานหล่อ่ 11. Ballet มีรี ากฐานมาจากภาษาใด ข. งานปั้้น� ก. ภาษาอิติ าเลีียน ค. งานแกะสลััก ข. ภาษาอังั กฤษ ง. งานปิิดทอง ค. ภาษาเยอรมันั 5. สีีใดให้้ความรู้ส�้ ึึก รุ่�งเรืือง ง. ภาษาอเมริกิ ันั ก. แดง 12. บัลั เล่ต่ ์์ กำ�ำ เนิดิ ขึ้�น้ ที่่�ประเทศใด ข. เหลืือง ก. อิติ าลีี ค. ดำำ� ข. อัังกฤษ ง. เขีียว ค. เยอรมััน 6. สีีใดที่่�ใช้้แทนความรััก ง. ฝรั่่�งเศส ก. ดำำ� 13. ละครโนะ เป็น็ การแสดงของประเทศใด ข. แดง ก. เกาหลีี ค. ชมพูู ข. ญี่่ป�ุ่�น ง. ขาว ค. อินิ เดียี 7. การบรรเลงเพลงโดยใช้้ผู้�้เล่่น 2 คนมีชี ื่่�อเรีียกว่่าอย่่างไร ง. จีนี ก. ดรููโอ 14. การเต้้นลีลี าศแบ่ง่ ออกเป็น็ กี่�ประเภท ข. ทรีีโอ ก. 2 ประเภท ค. ควอเทต ข. 3 ประเภท ง. โนเนต ค. 4 ประเภท 8. เครื่่�องดนตรีีในข้้อใดเป็น็ เครื่อ่� งดนตรีีประเภทเครื่่�องเป่่า ง. 5 ประเภท ก. ไวโอลินิ 15. การเต้้นลีลี าศจัังหวะใด จัดั อยู่�ในประเภทสแตนดาร์์ด ข. ฟลุุท ก. จัังหวะแทงโก้้ ค. กีตี าร์์ ข. จังั หวะแซมบ้้า ง. แทมบููรินิ ค. จัังหวะ ชะ ชะ ช่า่ ง. จังั หวะปาโซโดเบล

16. ละครตะวัันตกแบ่ง่ ออกได้้เป็น็ กี่ย� ุคุ สมััย 19. ละครพาสตอราล เป็็นละครที่่อ� ยู่�ในยุคุ สมัยั ใด ก. 3 ยุุคสมัยั ก. ยุุคแรก ข. 4 ยุุคสมัยั ข. ยุุคสมัยั กลาง ค. 5 ยุุคสมัยั ค. ยุคุ ฟื้น�้ ฟููศิิลปวิทิ ยา ง. 6 ยุุคสมััย ง. ยุคุ สมััยใหม่่ 17. ละครแนวมหััศจรรย์์ เป็น็ ละครที่่อ� ยู่�ในยุคุ สมััยใด 20. ข้้อใด ไม่่ใช่่ มารยาทในการชมละครเวทีี ก. ยุคุ แรก ก. แต่่งกายให้เ้ หมาะสมตามกาลเทศะ ข. ยุคุ สมััยกลาง ข. เข้้าโรงละครก่อ่ นเวลาแสดงอย่า่ งน้้อย 10 นาทีี ค. ยุคุ ฟื้้�นฟููศิิลปวิิทยา ค. งดใช้้เครื่�่องมืือสื่อ�่ สารทุุกชนิิด ง. ยุุคสมัยั ใหม่่ ง. นั่่�งตัวั ตรงตลอดเวลา ในขณะชมละคร 18. ละครเริงิ รมย์์ เป็็นละครที่่�อยู่�ในยุคุ สมััยใด ก. ยุคุ แรก ข. ยุุคสมัยั กลาง ค. ยุุคฟื้้�นฟููศิลิ ปวิิทยา ง. ยุคุ สมััยใหม่่

บทที่่� 1 ทััศนศิลิ ป์ส์ ากล สรุปุ เนื้้อ� หา เรื่�อ่ งที่่� 1 ความเปน็ มาของทัศั นศิิลป์สากล ศิลิ ปะ หมายถึึง ผลแหงความคิดิ สรา� งสรรคของมนุษุ ยที่่แ� สดงออกมาในรููปลักั ษณต์ า่ งๆ ใหปรากฏเปนความสุนุ ทรียี ภาพ ความประทับั ใจ หรืือความสะเทืือนอารมณ์ ตามประสบการณร์ สนิยิ ม และทักั ษะของบุคุ คลแตล่ ะ สวนผููทํํางานศิลิ ปะทุกุ สาขา เรียี กโดยรวมวา ศิลิ ปน ทัศั นศิลิ ป ทััศนศิิลป คืือ งานศิิลปะทุุกแขนง ที่่�ผููชมรัับรููถึึงความงามดวยตาหรืือการมองเห็็นประเภทของงานทััศนศิิลปมีีกี่� ประเภทอะไรบา� ง งานทัศั นศิลิ ปสามารถแบง่ ออกเปน 4 ประเภท คืือ 1. จิิตรกรรม 2. ประติิมากรรม 3. สถาปตยกรรม 4. ภาพพิิมพ จิิตรกรรม จิติ รกรรม คืืองานศิิลปะที่่�แสดงออกดวยการวาด ระบายสีี ผููทํํางานดานจิิตรกรรม จะเรีียกวา จิิตรกร งานจิติ รกรรม สามารถจํําแนกไดตามลักั ษณะผลงาน และ วััสดุอุ ุปุ กรณก์ ารสร�างสรรค์ เปน 2 ประเภท คืือ ภาพวาด และ ภาพเขียี น 1.1 จิิตรกรรมภาพวาด (Drawing) คืือ ภาพวาดเส�น สามารถแบ่งออกไดเปน 2 ประเภท คืือ ภาพวาดลายเส�น และการตููน 1.2 จิิตรกรรมภาพเขีียน (Painting) คืือ ภาพเขีียนเปนการสร�างงาน 2 มิิติิบนพื้้�นระนาบดวยสีีหลายสีี เช่น สีีน้ำำ�� สีีน้ำ�ำ� มันั สีีฝุุ่น สีีชอล์ค หรืือสีีอะคริิลิกิ ประติมิ ากรรม ประติิมากรรม คืือ ศิิลปะที่่�แสดงออกดวยการสร�างรููปทรง 3 มิิติิ ที่่�มีีปริิมาตร มีีน้ำำ��หนัักและกิินเนื้้�อที่่�ในอากาศ โดยการใชวัสั ดุุชนิดิ ต่าง ๆ ผููสร�างสรรคง์ านประติิมากรรม เรียี ก ประติมิ ากร วิธิ ีกี ารสร�างผลงานประติิมากรรมทํําได 4 วิธิ ีี คืือ 1. การปน (Casting) เปนการสร�างรููปทรง 3 มิิติิ จากวััสดุุที่่�มีีความเหนีียว อ่อนตััว และยึึดจัับตััวกัันไดดีี วััสดุุที่่� นิิยมนํํามาใชปน ไดแก่ ดิินเหนียี ว ดิินน้ำ�ำ� ามันั ปููน แปง ขี้�ผึ้ง้� กระดาษ หรืือขี้�เลื่่อ� ยผสมกาว เปนต�น 2. การแกะสลััก (Carving) เปนการสร�างรููปทรง 3 มิิติิ จากวััสดุุที่่� แข็็งแต่เปราะโดยอาศััยเครื่่�องมืือ วััสดุุที่่�นิิยม นํํามาแกะ ไดแก่ ไม� หิิน หินิ อ่อน ปููนปลาสเตอร์ เปนตน� 3. การหลอ่ (Molding) เปนการสร�างผลงานที่่�มีรี ููปทรง 3 มิติ ิิ จากวััสดุทุ ี่่ห� ลอมตััวไดและแข็็งตัวั ได โดยอาศััยแมพิิมพ ซึ่�งสามารถทํําใหเกิิดผลงานที่่�เหมืือนกัันทุุกประการตั้ �งแต่ 2 ชิ้�นขึ้้�นไปวััสดุุที่่�นิิยมนํํามาใชหล่อ ไดแก่ โลหะ ปููน แกว ขี้�ผึ้�้ง เรซิ่�น พลาสติกิ ฯลฯ 4. การประกอบขึ้้�นรููป (Construction) การสร�างผลงานที่่ม� ีีรููปทรง 3 มิิติิ โดยการนํําวััสดุุต่าง ๆ มาประกอบเขา ดวยกัันและยึึดติิดกัันดวยวััสดุุต่าง ๆ การเลืือกวิิธีีการสร�างสรรค์งานประติิมากรรม ขึ้�้นอยููกัับวััสดุุที่่�ต�องการใช�ในงาน ประติมิ ากรรม เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา 1 ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

ประเภทของงานประติมิ ากรรมสากล ประเภทของงานประติิมากรรมสากล แบง่ ได 3 ลักั ษณะตามรููปแบบของงานคืือ 1. ประติิมากรรมแบบนููนต่ำ�ำ� ( Bas Relief ) เปนรููปปนที่่�นููนขึ้น้� มาจากพื้้น� หรืือมีพี ื้้�นหลัังรองรัับ มองเห็็นไดชัดั เจน เพียี งดานเดียี ว คืือดานหนา� มีคี วามสููงจากพื้้น� ไมถึึงครึ่ง� หนึ่่ง� ของรููปจริงิ ไดแกรููปนููนบนเหรียี ญ รููปนููนที่่ใ� ชประดับั ตกแตง่ ภาชนะ รููปนููนที่่�ใชประดับั ตกแตง่ บริิเวณฐานอนุสุ าวรียี ์ หรืือ รููปนููนพระเครื่่อ� งบางองค 2. ประติมิ ากรรมแบบนููนสููง ( High Relief ) เปนรููปปนที่่ม� ีลี ักั ษณะเชน่ เดียี วกับั แบบนููนต่ำ��ำ แตมีคี วามสููงจากพื้้น� ตั้ง� แต ครึ่ง� หนึ่่ง� ของรููปจริงิ ขึ้น�้ ไป ทํําใหเห็น็ ลวดลายที่่ล� ึึก ชัดั เจนและเหมืือนจริงิ มากกวาแบบนููนต่ำ��ำ แตใ่ ชง� านแบบเดียี วกับั แบบนููนต่ำ��ำ 3. ประติมิ ากรรมแบบลอยตัวั ( Round Relief ) เปนรููปปนแบบต่าง ๆ ที่่�มองเห็น็ ไดรอบดานหรืือ ตั้�งแต่ 4 ดาน ขึ้�้นไป ไดแก่ ภาชนะต่าง ๆ รููปเคารพต่าง ๆ พระพุทุ ธรููป เทวรููป รููปตามคตินิ ิิยม อนุุสาวรีียของบุุคคลสํําคััญ และรููปสัตั ว ฯลฯ หมายเหตุุ พระพุทุ ธรููปในศาสนาพุุทธ ใชคํําวา “ประฏิิมากรรม” สถาปตยกรรม สถาปตยกรรม หมายถึึง การออกแบบผลงานทางทััศนศิิลปที่่�เปนการก่อสร�างสิ่�งต่างๆที่่�คนทั่่�วไปอยููอาศััยไดและ อยููอาศััยไม่ได เช่น สถููป เจดีีย์ อนุุสาวรีีย์ บ�านเรืือนต่าง ๆ เปนต�นนอกจากนี้้�ยัังรวมถึึงการออกแบบกํําหนดพื้้�นที่่�บริิเวณ ต่าง ๆ เพื่่�อใหเกิิดความสวยงามและเปนประโยชน์แก่การใช�สอยตามต�องการ ผููสร�างงานสถาปตยกรรม เรีียกวา สถาปนิิก ลักั ษณะงานของสถาปตยกรรมแบ่งออกไดเปน 3 แขนง ดัังนี้้�คืือ 1. สถาปตยกรรมออกแบบกอ่ สรา� ง ไดแก่ การออกแบบสรา� งตึึกอาคาร บา� นเรืือนสิ่ง� กอ่ สรา� งทางศาสนาตา่ ง ๆ เปนตน� 2 ภููมิิสถาปตย์ ไดแก่ การออกแบบวางผังั จััดบริเิ วณ วางผัังปลููกตน� ไม� จัดั สวน 3 สถาปตยกรรมผัังเมืือง ไดแก่ การออกแบบบริิเวณเมืืองใหมีีระเบีียบ มีคี วามสะอาดและถููกหลักั สุุขาภิิบาล องคป์ ระกอบสํําคัญั ของสถาปต ยกรรมมีีอะไรบ้าง องคประกอบสํําคัญั ของสถาปตยกรรมมีี 3 ประการ 1. ความงาม หมายถึึง สัดั สวนและองคประกอบ การจััดวางที่่�วาง สีี วัสั ดุุและพื้้น� ผิิวของอาคาร ที่่�ผสมผสานลงตััว ที่่�ยกระดับั จิติ ใจ ของผููไดยลหรืือเยี่�ยมเยืือนสถานที่่�นั้้�นๆ 2. ความมั่น� คงแข็็งแรง หมายถึึงสามารถสรา� งไดจริิง มีีโครงสร�างมั่น� คงแข็็งแรง 3. ประโยชนใ์ ชส� อย หมายถึึง การสนองประโยชน์ ในการใช�งาน ศิลิ ปะภาพพิิมพ ศิิลปะภาพพิิมพเปนศิิลปะที่่�สร�างขึ้�้นดวยกระบวนการพิิมพ มีีองคประกอบสํําคััญ คืือ แมพิิมพกัับวััสดุุที่่�รองรัับ การพิิมพ แมพิิมพโดยทั่่�วไปจะเปนวัสั ดุทุ ี่่ค� งทน เช่น โลหะ ไม� หินิ สวนวััสดุุที่่ร� องรับั การพิมิ พหรืือชิ้�นงานที่่�มีภี าพปรากฏอยููนั้้น� สวนมากจะเปนกระดาษ ผา� และยังั มีีวัสั ดุุอื่�่น เชน่ โลหะ ฝาผนััง แผ่น อะซีเี ตทลัักษณะเฉพาะของศิิลปะภาพพิิมพ ภาพพิมิ พ มีีลัักษณะผลงานมีีเพีียง 2 มิิติิเหมืือนงานจิิตรกรรม แต่การสร�างผลงานภาพพิิมพศิิลปนต�องสร�างแมพิิมพขึ้�้นมาเปนสื่่�อก่อน แลวจึึงผ่านกระบวนการพิิมพถายทอดออกมาเปนภาพที่่�ต�องการได ทํําใหศิิลปนสามารถสร�างผลงานที่่�เปนต�นแบบ ที่่�เหมืือน ๆ กัันไดหลายชิ้น� ผููสรา� งงานภาพพิมิ พ เรียี กวา ศิลิ ปนภาพพิิมพ การเขียี นจํํานวนผลงานการพิิมพของศิิลปน ภาพพิิมพ ศิิลปนจะเขีียนจํํานวนผลงานที่่ไ� ดพิิมพออกมา โดยจะเขียี นกํํากัับไวที่่�ดานลา่ งซ�ายของภาพเช่น 3/30 เลข 3 ตััวหน�า หมายถึึงภาพที่่� 3 สวนเลข 30 ตัวั หลังั หมายถึึงจํํานวนที่่พ� ิมิ พทั้้�งหมดอักั ษร A/P ในศิลิ ปะภาพพิิมพในภาพพิมิ พบางชิ้�นศิิลปน อาจเซ็็นคํําวา A/P ไวแทนตัวั เลขจํํานวนพิมิ พ A/P นี้้�ย่อมาจาก Artist’s Proof ซึ่�งหมายความวาภาพ ๆ นี้้�เปนภาพที่่พ� ิมิ พขึ้้�น มาหลัังจากที่่�ศิิลปนไดมีีการทดลองแก�ไข จนไดคุุณภาพสมบููรณ์ตามที่่�ต�องการ จึึงเซ็็นรัับรองไวหลัังจากพิิมพ A/P ครบตาม จํํานวนประมาณ 10% ของจํํานวนพิิมพทั้้ง� หมด จึึงจะเริ่�มพิิมพใหครบตามจํํานวนเต็็มที่่�กํําหนดไว 2 เอกสารพััฒนาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

เทคนิิคและกรรมวิธิ ีใี นการพิมิ พของศิลิ ปะภาพพิมิ พ 1. กรรมวิธิ ีีการพิิมพผิิวนููน (Relief Process) คืือการพิมิ พจากผิวิ สวนที่่อ� ยููสููงบนแมพิิมพ ดัังนั้้น� สวนที่่�ถููกแกะเซาะ ออกไปหรืือสวนที่่เ� ปนรอ่ งลึึกลงไปจะไมถููกพิมิ พ ซึ่ง� แมพิมิ พในลักั ษณะนี้้� เชน่ แมพิมิ พแกะไม� แมพิมิ พแกะยาง แมพิมิ พกระดาษ แข็็ง เวลาพิิมพแมพิิมพเหล่านี้้�จะทาหมึึกลงบนสวนนููนของแมพิิมพ วางกระดาษทัับลงไป แลวใช�เครื่่�องมืือประเภทลููกกลิ้�ง ลููกประคบหนังั กลิ้ง� หรืือกดลงบนกระดาษอาจจะพิิมพ ดวยมืือหรืือแทนพิมิ พ หมึึกก็ต็ ิิดกระดาษเกิดิ เปนรููปขึ้น�้ มา 2. กรรมวิิธีีการพิิมพร่องลึึก (Intaglio Process ) คืือ พิิมพลงในสวนที่่�เปนร่องลึึกของแมพิิมพ ในการพิิมพต�อง กดหมึึกลงไปในร่องลึึกและเช็็ดผิิวบนใหสะอาด แลวจึึงเอากระดาษปดทัับบนแมพิิมพ แลวใช�แทนพิิมพที่่�มีีแรงกดสููงเพื่่�อ กดกระดาษใหลงไปดููดซับั หมึึกขึ้�น้ มาได การพิมิ พชนิดิ นี้้ไ� ดแก่ การพิิมพแมพิิมพเอทชิ่่ง� และแมพิิมพโลหะแกะลาย 3. กรรมวิธิ ีีการพิมิ พพื้้น� ราบ (Planography Process) เปนการพิมิ พที่่ใ� ชหลัักการน้ำ��ำ กัับน้ำ�ำ� มันั ไมร่ วมตัวั กันั ผิวิ ของ แมพิิมพชนิิดนี้้จ� ะเสมอกันั หมดโดยใหสวนที่่เ� ปนภาพมีสี ภาพเปนไขมันั สามารถรัับหมึึกซึ่�งเปนน้ำ��ำ มันั เช่นกันั สวนที่่�ไม่เปนภาพ จะสามารถรัับน้ำ��ำ ไวได ในการพิิมพ จะคลึึงแมพิิมพดวยน้ำำ�� แลวคลึึงหมึึกตาม หมึึกไมถููกกัับน้ำำ�� จะไปเกาะเฉพาะสวนที่่�เปน ภาพเมื่อ่� นํําวัสั ดุุใชพิิมพทาบบนแมพิมิ พก็จ็ ะเกิิดภาพตาม ตอ� งการ การพิมิ พประเภทนี้้ม� ีี การพิมิ พจากแมพิิมพหิิน การพิมิ พ ระบบออฟเซ็ท็ 4. กรรมวิธิ ีกี ารพิมิ พผา่ นชอ่ งฉลุุ (Serigraphy) เปนการพิมิ พที่่ใ� ชหลักั การใหหมึึกผา่ นทะลุสุ วนที่่� เปนภาพบนแมพิมิ พ ไปติดิ อยููบนวััสดุุใชพิมิ พ ทํําใหเกิดิ ภาพ การพิิมพประเภทนี้้ม� ีีการพิมิ พโรเนีียว การพิมิ พซิลิ ค์สกรีีน และการพิิมพแบบสเตนซิลิ 5. กรรมวิธิ ีกี ารพิิมพเทคนิคิ ผสม (Mixed Tecniques) หมายถึึง วิธิ ีกี ารสร�างภาพโดยอาศัยั กรรมวิธิ ีีการพิิมพตั้้�งแต สองกรรมวิิธีขี ึ้น้� ไป หรืือใชวัสั ดุอุ ื่น่� ๆ เขามาผสมผสานในการสร�างผลงานแปลกใหมทางศิลิ ปะ ประวัตั ิิศาสตร์ทัศั นศิลิ ปส์ ากล ประวััติิศาสตร์ทัศั นศิิลปสากลแบง่ ออกเปน 5 ยุคุ ไดแก 1. ยุคุ ก่อนประวััติศิ าสตร 2. ยุุคโบราณ 3. ยุคุ กลาง 4. ยุุคใหม 5. ศิลิ ปะสมััยใหมใ่ นศตวรรษที่่� 20 ทัศั นศิลิ ปยุุคก่อนประวััติิศาสตร ยุคุ ก่อนประวัตั ิศิ าสตร์ ไดแก่ ยุคุ หินิ ยุุคโลหะ และยุุคสััมฤทธิ์์� ที่่ไ� มมีีการบันั ทึึกขอความ ทางประวัตั ิิศาสตร์ใดๆ ไว เปนตััวอัักษร แตมีีหลัักฐานทางโบราณคดีีปรากฏใหเห็็นซึ่ง� อยููในชวงเวลาประมาณ 30,000-10,000 ปมาแลว ทัศั นศิิลปใ์ นยุคุ หิินประกอบดวย จิิตรกรรม ไดแกภาพเขีียนบนผนัังถ้ำ��ำ ซึ่�งเขีียนดวยถาน เขม่าควััน ดิินสีีผสมกัับไขสััตวภาพที่่�มีีชื่่�อเสีียงที่่�สุุด ไดแก่ ภาพเขีียนในถ้ำำ��อมิิตรา ประเทศสเปน เปนภาพเขียี นระบายสีภี าพสััตว ตา่ งๆเช่น กวาง ม�า วัวั ปา จิิตรกรรมบนผนังั ถ้ำำ�� เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิิชา ศิลิ ปศึกึ ษา 3 ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

ประติิมากรรม เปนการแกะสลัักหิินขนาดเล็็ก ประติิมากรรมที่่�มีีชื่่�อเสีียงในยุุคนี้้�คืือ วีีนััสแหงวิิลเลนดอฟ ซึ่ง� เชื่�อ่ วารููปเหล่านี้้ส� รา� งขึ้้น� เพื่อ่� เปนสัญั ลักั ษณของความอุดุ มสมบููรณ วีีนัสั แหงวิิลเลนดอฟ สถาปต ยกรรม สวนมากเปนสิ่ง� กอ่ สรา� งที่่ท� ํําจากหินิ กอ� นใหญๆ่ คาดวานา่ จะสรา� งขึ้น้� เพื่อ�่ ประกอบพิธิ ีกี รรมทางศาสนา เช่น สุุสานหิิน Poulnabrone ในประเทศไอร์แลนด หรืือกลุมุ่ วงกลมหินิ สโตนเฮนจในประเทศอังั กฤษ เปนตน� วงกลมหิินสโตนเฮนจ ทััศนศิิลปยุุคโบราณ ทััศนศิลิ ปยุุคโบราณ แบ่งออกเปนยุุค-สมัยั ต่าง ๆ ได 5 ยุุค ดัังนี้้� 1. ยุุคอีียิปิ ต 2. ยุุคเมโสโปเตเมีีย 3. ยุคุ กรีีก 4. ยุุคโรมันั 5. ยุคุ ไบแซนไทน ทััศนศิลิ ปใ์ นยุุคกลาง ทัศั นศิลิ ปยุคุ กลางประกอบดวยศิิลปะ3สมััยดังั นี้้� 1. ศิลิ ปะโกธิกิ (Gothic Art) 2. ศิิลปะสมัยั ฟนฟููศิิลปวิิทยา (Renaissance Art) 3. ศิิลปะบารอกและรอกโกโก (Baroque and Rococo Art) 4 เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

ทัศั นศิิลปยุคุ ใหม่ (Modern Age) ศิิลปะสมััยใหม่ (Modern Art) เริ่�มขึ้�้นตอนปลายศตวรรษที่่� 18 ในประเทศฝรั่่�งเศส สืืบเนื่่�องจากความเจริิญทาง วิทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีี มีผี ลทํําใหเกิดิ การเปลี่่ย� นแปลงทางศิิลปะอย่างขนานใหญ่ ทั้้ง� รููปแบบและจุดุ ประสงค์ โดยเฉพาะ การสร�างสรรค์งานจิิตรกรรม ศิิลปนยุุคใหม่ต่างพากัันปลีีกตััวออกจากการยึึดหลัักวิิชาการ ซึ่�งเปนกฎเกณฑที่่�มีีรากฐานมา จากศิิลปะกรีีกและโรมััน มาใช�ความรููสึึกนึึกคิิดและความคิิดสร�างสรรคของแต่ละคนอย่างอิิสระ แยกศิิลปะออกจากศาสนา โดยสิ้�นเชิิง ศิิลปะจึึงเปนเรื่่�องสวนตััวของบุุคคลอย่างแทจริิง ในการใชสิิทธิิเสรีีภาพในการแสดงออกอย่างเต็็มที่่� จึึงทํําใหเกิิด รููปแบบศิลิ ปะใหม่ ๆ ขึ้้�นมากมาย ทั้้ง� ในยุุโรปและสหรัฐั อเมริกิ า ทัศั นศิลิ ปส์ มััยใหม ไดแกท่ ัศั นศิิลปที่่�เกิิดขึ้้น� ในศตวรรษที่่� 20 หรืือในยุคุ ปจจุุบัันนั้้�นเอง ทััศนศิลิ ปสมัยั ใหมไ่ ดแก 1. ศิลิ ปะโฟวิิสซึึม 2. ศิลิ ปะคิิวบิสิ ม ศิลิ ปะรวมสมััย (ยุคุ ปจจุุบััน) ศิิลปะรวมสมััยหมายถึึง การนํําแนวคิิดของลััทธิิศิิลปะสมััยเก่ากลัับมาใช�ใหม่ โดยมีีการปรัับปรุุงเปลี่่�ยนแปลง เรื่�อ่ งราวหรืือลวดลายบางสวนใหมีคี วามทัันสมัยั ทันั เหตุุการณใ์ นสมัยั ปจจุุบััน เรื่่�องที่่� 2 การวิิพากษว์ ิจิ ารณง์ านทััศนศิลิ ป์สากล การวิิจารณ์งานศิิลปะ หมายถึึง การแสดงออกทางดานความคิิดเห็็นต่อผลงานทางศิิลปะที่่�ศิิลปน สร�างสรรค์ขึ้�้น โดยผููวิิจารณใ์ หความคิดิ เห็น็ ตามหลักั เกณฑและหลักั การของศิลิ ปะ ทั้้�งในดานสุนุ ทรีียศาสตร์และสาระอื่่�นๆ ดวยการติิชม การวิิเคราะหงานศิิลปะ หมายถึึง การพิิจารณาแยกแยะศึึกษาองคประกอบของผลงานศิิลปะออกเปนสวนๆ ทีีละประเด็็น เพื่่�อนํําขอมููลที่่�ได มาประเมิินผลงานศิิลปะ วามีีคุุณค่าทางดานความงาม ทางดานสาระและทางดานอารมณ์ และความรููสึึกอย่างไร นัักวิิจารณที่่ด� ีคี วรมีีคุณุ สมบัตั ิิดังั นี้้� 1. ควรมีีความรููเกี่ย� วกับั ศิิลปะทั้้ง� ศิิลปะประจํําชาติิและศิิลปะสากล 2. ควรมีีความรููเกี่ย� วกับั ประวััติิศาสตรศิิลปะ 3. ควรมีีความรููเกี่�ยวกัับสุุนทรียี ศาสตร์ ชวยใหรููแงมุุมของความงาม 4. ต�องมีวี ิิสััยทัศั นก์ วางขวาง และตอ� งไมค่ ลอ� ยตามคนอื่่�นงา่ ย 5. กล�าที่่�จะแสดงออกตามหลักั วิิชาการ ตามความรููสึึกที่่�แทจริิง และประสบการณ 6. เปนผููที่่�สนใจ และทันั สมััยตอ่ ขอมููลขาวสาร 7. มีีความสามารถวิิเคราะหตีคี วาม และประเมินิ ค่างานศิลิ ปะ 8. ต�องเปนผููที่่ม� ีคี วามเปนประชาธิิปไตยรับั ฟงความคิิดเห็น็ ของผููอื่่น� ดวย ทฤษฎีกี ารสรา้ งงานศิิลปะ จััดเปน็ 4 ลักั ษณะ ดัังนี้้� 1. ทฤษฎีีการเลีียนแบบ (Imitationalism Theory) เปนการเห็็นความงามในธรรมชาติิแลวเลีียนแบบไวใหเหมืือน ทั้้�งรููปร่าง รููปทรง สีีสันั ฯลฯ 2. ทฤษฎีีสร�างรููปทรงที่่�สวยงาม (Formalism Theory) เปนการสร�างสรรครููปทรงใหม่ใหสวยงาม ดวยทััศนธาตุุ (เสน� รููปร่าง รููปทรง สีี น้ำ��ำ หนััก พื้้น� ผิวิ บริเิ วณวาง) และเทคนิคิ วิิธีีการต่างๆ 3. ทฤษฎีีแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) เปนการสร�างงานใหดููมีีความรููสึึกตา่ งๆ ทั้้�งที่่เ� ปน อารมณอันั เนื่่�องมา จากเรื่่อ� งราวและอารมณของศิิลปนที่่ถ� ายทอดลงไปในชิ้�นงาน เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึึกษา 5 ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

4. ทฤษฎีนี ิยิ มแสดงจินิ ตนาการ (Imagination Theory) เปนงานที่่แ� สดงภาพจินิ ตนาการแสดงความคิดิ ฝนที่่แ� ตกตา่ ง ไปจากธรรมชาติิและสิ่�งที่่�พบเห็น็ อยููเปนประจํําเราสามารถวิิเคราะหวิิจารณ์งานศิิลปะโดยพิิจารณาจากอะไร การวิเิ คราะห์และการประเมินิ คุุณค่าของงานศิิลปะโดยทั่่ว� ไปจะพิจิ ารณาจาก 3 ดานดัังนี้้� 1. ดานความงามเปนการวิเิ คราะหและประเมินิ คุณุ ค่าในดานทัักษะฝมืือการใช�ทัศั นะธาตุทุ างศิลิ ปะ และการจััดองค ประกอบศิิลป 2. ดานสาระการวิิเคราะหและประเมิินคุุณค่าของผลงานศิิลปะแต่ละชิ้�นวามีีลัักษณะส่งเสริิมคุุณธรรมจริิยธรรม ตลอดจนจุุดประสงค์ตา่ งๆ ทางจิิตวิิทยาวาใหสาระอะไรกับั ผููชม 3. ดานอารมณ์ความรููสึึก เปนการคิิดวิิเคราะหและประเมิินคุุณค่าในดานคุุณสมบััติิที่่�สามารถกระตุุ�นอารมณ ความรููสึึกและสื่�่อความหมายไดอยา่ งลึึกซึ้้�งของผลงาน เรื่่อ� งที่่� 3 ทัศั นศิิลป์สากลที่่�เกิิดจากความงามตามธรรมชาติิและธรรมชาติกิ ับั ทัศั นศิลิ ปธรรมชาติิตา่ งกัับศิิลปะอย่างไร ธรรมชาติิ (Natural) หมายถึึง สิ่�งที่่ม� นุุษยไ์ ม่ไดเปนผููสรรค์สรา� งขึ้น้� เช่น กลางวันั กลางคืืน เดืือนมืืด เดืือนเพ็ญ็ ภูเู ขา น้ำ�ำ� ตก ทะเล ถืือวาเปนธรรมชาติิ ศิิลปะ (Art) คืือ ผลแหงความคิิดสร�างสรรคของมนุุษยที่่�แสดงออกในรููปลัักษณ์ต่างๆ ใหปรากฏซึ่่�งสุุนทรีียภาพ ความประทัับใจ หรืือความสะเทืือนอารมณ ธรรมชาติสิ ัมั พันั ธกับั งานศิิลปะ ธรรมชาติเิ ปนทรััพยากรอันั สํําคัญั ของศิลิ ปะ เปนแหลง่ กระตุน�ุ ใหมนุษุ ยเ์ กิดิ แรงดลใจ ในการสรา� งสรรคศิิลปะทุุกแขนง ในการสรา� งสรรค์งานศิลิ ปะของศิลิ ปนแบง่ ออกไดเปน 3 กลุุ่มซึ่�งใน แตล่ ่ะกลุุ่มจะเห็็นไดวา ไดพื้้น� ฐาน หรืือแหล่งกระตุ�นุ มาจากธรรมชาติิทั้้ง� สิ้น� ดังั นี้้� 1. กลุมุ่ ที่่ย� ึึดรููปธรรม (REALISTIC) หมายถึึง กลุมุ่ ที่่ย� ึึดรููปแบบที่่เ� ปนจริงิ ในธรรมชาติมิ าเปนหลักั ในการสรา� งงานศิลิ ปะ สร�างสรรค์ออกมาใหมีีลัักษณะคล�ายกัับกล�องถายภาพ หรืือตััดทอนบางสิ่�งออกเพีียงเล็็กน�อย ทํําใหศิิลปนกลุุ่มนี้้�สามารถสื่่�อ ความหมายระหวางศิลิ ปะกับั ผููดููไดง่ายกวาการสร�างสรรคผ์ ลงานในลัักษณะอื่่น� ๆ ภาพเขีียนรููปแบบนามธรรม ลดและตััดทอนจากธรรมชาติิ 2. กลุุ่มนามธรรม (ABSTRACT) หมายถึึง กลุุ่มที่่�ยึึดแนวทางการสร�างงานที่่�ตรงขามกัับกลุุ่มรููปธรรม ซึ่�งศิิลปน กลุุ่มนี้้�มุุ่งที่่�จะสร�างรููปทรง (FORM) ขึ้้�นมาใหม่โดยที่่�ไม่อาศััยรููปทรงทางธรรมชาติิ หรืือหากนํําธรรมชาติิมาเปนขอมููลใน การสรา� งสรรคก็จ็ ะใช�วิธิ ีลี ดรายละเอียี ด ตัดั ทอนจนในที่่ส� ุุดจะเหลืือแตโ่ ครง สรา� งที่่เ� ปนเพีียงสััญลัักษณ 6 เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิลิ ปศึึกษา ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

3.กลุุม่ กึ่�งนามธรรม (SEMI-ABSTRACT) เปนกลุุม่ อยููกึ่่�งกลางระหวางกลุุ่มรููปธรรม(REALISTIC) และกลุมุ่ นามธรรม (ABSTRACT) หมายถึึง กลุุ่มที่่�สร�างงานทางศิิลปะโดยใช�วิิธีีลดรายละเอีียด ตััดทอน หรืือเพิ่่�มเติิมในรายละเอีียดที่่�มีีใน ธรรมชาติิใหปรากฏออกมาเปนรููปแบบทางศิิลปะ เพื่่�อผลทางองคประกอบหรืือผลของการแสดงออก แตยัังมีีโครงสร�าง อัันบง่ บอกถึึงที่่ม� าวามาจากการเลีียนแบบธรรมชาติิ ทัศั นธาตุุ คืืออะไร และประกอบดวยอะไรบ�าง ทัศั นธาตุุ หมายถึึง สวนสํําคััญที่่�รวมกัันเปนรููปร่างของสิ่�งทั้้�งหลายตามที่่ต� ามองเห็็น ทัศั นธาตุุ ไดแก่ 1. จุุด (PointหรืือDot) หมายถึึง รอยหรืือแตม� ที่่ม� ีลี ัักษณะกลมๆ ปรากฏที่่ผ� ิิวพื้้น� ไมมีี ขนาด ความกวาง ความยาว ความหนา เปนสิ่�งที่่�เล็็กที่่�สุุดและเปนธาตุเุ ริ่�มแรกที่่ท� ํําใหเกิดิ ธาตุุ อื่่�น ๆ ขึ้้น� 2. เส�น (Line) คืือ จุุดหลายๆจุดุ ต่อกัันเปนสาย เปนแถวแนวไปในทิศิ ทางใดทิิศทางหนึ่่�ง เปนทางยาว 3. สีี (Colour) หมายถึึง ลักั ษณะของแสงสวางที่่ป� รากฏหรืือสะทอนแกส่ ายตา ใหเห็น็ เปน สีขี าว ดํํา แดง เขียี ว น้ำำ�� เงินิ เหลืือง สีเี ปนสิ่�งที่่ม� ีอี ิิทธิิพลตอ่ ความรููสึึก จากการมอง ทํําใหเกิดิ อารมณ์ และสะเทืือนใจได 4. รููปร่างและรููปทรง (Shape and form) หมายถึึง เสน� รอบนอกของวััตถุุ คน สััตว สิ่ง� ของ รููปร่างจะมีี 2 มิติ ิิ คืือ ความกวาง และความยาว สวนรููปทรงจะมองเห็็นเปน 3 มิติ ิิ คืือ มีีความกวางความยาวและความหนาลึึก 5. คา่ น้ำำ�� หนััก (value) หมายถึึง ความอ่อนแกของสีี หรืือแสงเงาที่่น� ํํามาใชใ� นการเขีียนภาพ 6. ชอ่ งวาง (space) ระยะหางของรููปทรง หรืือชอ่ งไฟ 7. ลักั ษณะผิวิ (Texture) หมายถึึง ลัักษณะภายนอกของวััตถุทุ ี่่�มองเห็น็ และสัมั ผััสพื้้น� ผิวิ ได แสดงความรููสึึกหยาบ ละเอีียด ขรุุขระ มัันวาว ดาน ฯลฯ เสน้ แตล่ ะแบบใหค้ วามรูสู ึึกตอ่ การมองเห็น็ อยา่ งไร 1. เส�นตรง 1.1. เส�นดิ่�ง คืือ เสน� ตรงที่่�ตั้ง� ฉากกับั พื้้�นระดัับใหความรููสึึกมั่น� คง แข็็งแรง สง่า รุุ่งเรืือง สมดุุล พุงุ่ ขึ้น้� 1.2. เส�นนอน คืือ เส�นตรงที่่น� อนราบไปกัับพื้้น� ระดัับ ใหความรููสึึกกวางขวาง สงบ เงีียบ เยืือกเย็็น ผ่อนคลาย 1.3.เสน� เฉีียง คืือ เส�นตรงเอนไมตั้ง� ฉากกับั พื้้น� ระดับั ใหความรููสึึกไมมั่�นคง เคลื่�่อนไหว แปรปรวน ไมส่ มบููรณ์ 1.4. เส�นฟนปลา คืือ เส�นตรงหลายเส�นต่อกัันสลัับขึ้�้นลงระยะเทากััน ใหความรููสึึก รุุนแรง กระแทก ตื่่�นเต�น อันั ตราย ขััดแย�ง 1.5. เส�นประ คืือ เส�นตรงที่่ข� าดเปนชวง ๆ มีรี ะยะเทากันั ใหความรููสึึกตอ่ เนื่�่องขาด ระยะใจหาย ไม่แน่นอน 2. เส�นโคง� 2.1. เส�นโค�งลง คืือ เสน� ที่่เ� ปนทองกระทะคลา� ยเชืือกหย่อน ใหความรููสึึกออ่ นโยน เคลื่่อ� นไหวไม่แข็็งแรง 2.2. เส�นโค�งขึ้น้� คืือ เส�นที่่�โค�งเปนหลังั เต่าคล�ายคัันธนููใหความรููสึึกแข็็งแรง เชื่่�อมั่�น เคลื่�่อนไหว 3. เส�นคด คืือ เสน� โคง� ขึ้�น้ โคง� ลงต่อเนื่อ�่ งกันั คลา� ยคลื่�น่ ในทะเล ใหความรููสึึกเลื่อ่� นไหล ต่อเนื่อ่� ง อ่อนช�อย นุ่มุ นวล 4. เส�นก�นหอย คืือ เส�นโคง� ตอ่ เนื่อ�่ งกัันวนเขาเล็็กลงเปนจุดุ คลา� ยก�นหอย ใหความรููสึึกอึึดอัดั เคลื่�อ่ นไหวคลี่�คลาย 5. เสน� โคง� อิสิ ระ คืือ เสน� โคง� ตอ่ เนื่อ่� งกันั ไปไมมีที ิศิ ทาง คลา� ยเชืือกพันั กันั ใหความรููสึึก วุนุ่ วาย ยุงุ่ เหยิงิ ไมเ่ ปนระเบียี บ สีีและวงจรสีี สีีธรรมชาติิ คืือสีจี ากวััตถุุธาตุ(ุ ดินิ หิิน แรฯ่ ลฯ) หรืือแมสีีที่่�ช่างเขีียนใชนั่่�นเอง สวนวงจรสีี คืือการนํําเอาแมสีที ี่่เ� ปน วััตถุุธาตุุ หรืือสีีช่างเขีียน มาผสมกัันมีี 3 ขั้น� ตอน รวมทั้้�งหมด 12 สีี ดัังนี้้� สีีขั้น� ที่่� 1 แมสีี คืือ สีีที่่ไ� มมีีสีีใดสามารถผสมใหได สีีนั้้น� ไดแก่ สีีแดง สีีเหลืือง สีีน้ำ��ำ เงินิ เอกสารพััฒนาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิิชา ศิลิ ปศึกึ ษา 7 ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

สีใี หค้ วามรูสู ึกึ ทางอารมณ์ สีแี ต่ละสีจี ะมีอี ิทิ ธิิพลตอ่ ความรููสึึกและอารมณผููดููต่างกันั ออกไปดัังนี้้� สีีแดง = ตื่่น� เต�น เรา� ใจ อันั ตราย พลังั อํํานาจ สีสี �ม = ตื่�น่ ตััว ตื่่น� เตน� เรา� ใจ สนุุกสนาน สีีเหลืือง = ศรััทธา สดใส รา่ เริงิ ฉลาด เปรี้้�ยว สีีเขีียวอ่อน = สดชื่น่� รา่ เริงิ เบิกิ บาน สีเี ขียี วแก่ = สะอาด ปลอดภััย สดชื่�น่ ธรรมชาติิ สีนี ้ำ�ำ�เงินิ = สุุภาพ เชื่อ�่ มั่น� หนักั แน่น ถอมตัวั สีีฟา = ราบรื่่น� สวาง วััยรุนุ่ ทัันสมัยั สีีมวง = ฟุมุ่ เฟอย ลึึกลับั ขี้เ� หงา สีีชมพูู = ความรััก อ่อนหวาน นุุม่ นวล หอม สีีขาว = ความบริิสุทุ ธิ์์� สะอาด ปลอดภัยั เด็็กทารก สีดี ํํา = ทุกุ ข ลึึกลับั สืืบสวน หนัักแนน่ สีีเทา = สุุภาพ ขรึึม สีนี ้ำำ��ตาล = อนุุรัักษ์ โบราณ ธรรมชาติิ เรื่่�องที่่� 4 ความคิิดสร้างสรรค์ กับั การออกแบบเครื่อ่� งตกแต่งร่างกาย ที่่อ� ยูอู่ าศััยและผลิติ ภััณฑ การออกแบบแบ่งออกไดดัังนี้้� 1. ออกแบบตกแตง่ ที่่อ� ยููอาศััย 2. ออกแบบเครื่่�องร่างกาย 3. ออกแบบผลิติ ภััณฑ 4. ออกแบบสํํานัักงาน 8 เอกสารพััฒนาทัักษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

ออกแบบตกแตง่ ที่่อ� ยู่อู าศัยั เปนการออกแบบเพื่่�อเสริิมแต่งความงามใหกัับอาคารบ�านเรืือนและบริิเวณที่่�อยููอาศััยเพื่่�อใหเกิิดความสวยงาม น่าอยููอาศััยการออกแบบตกแต่งในที่่�นี้้�หมายถึึงการออกแบบตกแต่งภายนอกและการออกแบบตกแต่งภายในการออกแบบ ตกแต่งภายใน หมายถึึง การออกแบบตกแตง่ ที่่�เสริิมและจัดั สภาพภายในอาคารใหสวยงาม น่าอยููอาศััยการออกแบบตกแตง่ ภายนอกเปนการออกแบบตกแต่งนอกอาคาร บ�านเรืือน ภายในรั้�วที่่�สััมพัันธกัับตััวอาคาร เช่น สนาม ทางเดิิน เรืือนต�นไม� บริเิ วณพักั ผ่อน และสวนอื่�น่ ๆ บริเิ วณบา� น การออกแบบตกแต่งที่่อ� ยูอู่ าศัยั มีีหลัักการดัังนี้้� 1. ขนาดและสััดสวนเหมาะสมกับั การใช�งานและจํํานวนคน 2. ความกลมกลืืนของสีสี ัันหองและเครื่�อ่ งเรืือน 3. มีคี วามเปนเอกภาพ หรืือดููโดยรวมแลวเปนอัันหนึ่่�งอัันเดีียวกันั 4. ช่องวางและจังั หวะในการจััดวางเครื่่�องใช�และสิ่�งตกแต่ง 5. สีีที่่ส� ััมพัันธกัับจิติ ใจของผููใชง� าน ออกแบบเครื่�อ่ งประดับั ร่างกาย ออกแบบเครื่�่องร่างกาย เปนการออกแบบร่างกายและสิ่�งตกแต่งร่างกายใหสวยงามเหมาะสม และถููกใจ เช่น การ ออกแบบทรงผม เสื้�อผ�า เครื่�่องประดัับ การใช�เครื่�่องสํําอาง โดยใช�วิิธีีการทางศิิลปะและความคิิดสร�างสรรค์ แต่ต�องคํํานึึง ถึึงหลักั การดัังนี้้� 1. ราคาวััสดุกุ ับั พื้้น� ฐานทางเศรษฐกิิจของผููใช 2. พื้้น� ฐานทางวัฒั นธรรมของผููใช 3. สภาพแวดลอ� มของผููใช แนวคิดิ ที่่�ควรคํํานึงึ ถึึงในการออกแบบเครื่่อ� งประดับั ขั้�น้ พื้้น� ฐานไดแก 1. พื้้�นฐานความงามทางศิิลปะดานการออกแบบ 2. ความเรียี บง่ายของรููปทรงและมีีความสมบููรณใ์ นตัวั เอง 3. ความคิิดสรา� งสรรคทั้้�งดานการออกแบบและวััสดุุ 4. เทคนิิคทางการผลิิตที่่�ไมซ้ำำ�� ของเดิมิ 5. รัักษาคุณุ สมบััติขิ องโลหะ หินิ และวัสั ดุอุ ื่�น่ ๆ ออกแบบผลิติ ภัณั ฑ เปนการออกแบบเพื่�่อการผลิิต ผลิิตภััณฑชนิิดต่าง ๆ งานออกแบบสาขานี้้� มีีขอบเขตกวางขวางมากที่่�สุุด และ แบ่งออกไดมากมาย เช่น งานออกแบบเฟอรนิิเจอร์งานออกแบบครุุภััณฑงานออกแบบเครื่�่องสุุขภััณฑงานออกแบบภาชนะ บรรจุผุ ลิิตภัณั ฑงานออกแบบผลิิตเครื่�อ่ งมืือตา่ งๆ ฯลฯ โดยรวมหลักั การออกแบบผลิติ ภัณั ฑมีหี ลัักการเหมืือนกััน ดัังนี้้� 1. ตรงตามประโยชนใ์ ชส� อย 2. ปลอดภัยั ตอ่ ผููใชง� าน 3. แข็็งแรง ปกปองสิินค�า 4. ใชง� านง่าย ทั้้ง� ตอ่ ผููบรรจุุและผููใช 5. มีคี วามสวยงามดึึงดููดใจ 6. วัสั ดุุที่่�ใช�เหมาะสมตอ่ วิธิ ีกี ารผลิิตจํํานวนมาก 7. ประหยัดั ต�นทุนุ การผลิติ 8. งา่ ยต่อการขนสง่ เอกสารพััฒนาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา 9 ทช31003 มััธยมศึกึ ษาตอนปลาย

การออกแบบสํํานัักงาน ออกแบบสํํานัักงาน ไดแก่การจััดหองทํํางาน ทั้้�งในและนอกสถานที่่�ทํํางาน ใหน่าทํํางานตลอดจนสะดวกใน การใชส� อย โดยคํํานึึงถึึงหลัักเกณฑดังั นี้้� 1.การจััดวางอุุปกรณก์ ารทํํางานสะดวกกัับการใช�งานและเคลื่�่อนไหวในสํํานัักงาน 2. รููปแบบการออกแบบ โดยมุุ่งเนน� ใหตรงตอ่ ความต�องการของลููกค�า 3. ออกแบบใหดููเปนภาพลัักษณของบริิษัทั นั้้�นๆ ใหมีีจุดุ เดนชัดั เจน 4 .การออกแบบใหอยููในงบประมาณที่่ก� ํําหนด 5. ประหยัดั พลัังงานในการใช�งานประจํําวันั 6. รวดเร็็วในการออกแบบ โดยนํําเสนอเปนภาพ Perspective ใหลููกคา� ดููกอ่ นสร�างจริิง 7. ความรวดเร็็วในการผลิิตงานและก่อสร�างเสร็จ็ ตามกํําหนดการ ให้้นัักศึึกษาได้้ศึกึ ษาเพิ่่�มเติมิ จากหนังั สืือแบบเรียี น รายวิชิ าศิิลปศึกึ ษา ทช31003 10 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

แบบทดสอบท้้ายบทเรีียน 1. ทััศนธาตุุ (Visual Element)ในข้้อใดมีีมิิติเิ ป็็นศููนย์์ 6. ประเภทของงานทัศั นศิลิ ป์์ มีีกี่�ชนิดิ 1. จุุด 1. 2 ประเภท 2. เส้้น 2. 3 ประเภท 3. รููปร่่าง 3. 4 ประเภท 4. รููปทรง 4. 5 ประเภท 2. ข้้อใดคืือสีีโทนร้้อน 7. ผู้้ท� ี่่�ทำำ�งานด้้านจิิตรกรรม เรียี กว่า่ อย่า่ งไร 1. สีเี ขียี ว 1. จิิตรกร 2. สีีฟ้า้ 2. ประติิมากร 3. สีีแดง 3. จิิตรกรรม 4. สีีน้ำ��ำ เงินิ 4. ประติิมากรณ์์ 3. Out line หมายถึึงข้้อใด 8. ข้้อใดไม่่ใช่ว่ ิธิ ีีสร้้างผลงานประติิมากรรม 1. เส้้นรอบวง 1. การปั้้น� 2. เส้้นร่่างโครงสร้้าง 2. การแกะสลักั 3. เส้้นรายละเอีียดภายในภาพ 3. การพิมิ พ์์ 4. เส้้นแสดงน้ำำ�� หนััก แสงเงาของภาพ 4. การหล่อ่ 4. “รักั ” ใช้้ในงานศิิลปะประเภทใด 9. Hi-light หมายถึึงข้้อใด 1. งานหล่อ่ 1. บริเิ วณแสงสว่่าง 2. งานปั้้น� 2. บริเิ วณแสงสว่่างจัดั 3. งานแกะสลักั 3. บริิเวณเงา 4. งานปิิดทอง 4. บริเิ วณเงาเข้้มจััด 5. สีใี ดให้้ความรู้ส�้ ึึก รุ่�งเรืือง 10. ถ้ำ�ำ�ลาสโคซ์์ อยาในประเทศใด 1. แดง 1. ประเทศสเปน 2. เหลืือง 2. ประเทศอัังกฤษ 3. ดำำ� 3. ประเทศฝรั่่ง� เศส 4. เขีียว 4. ประเทศอิิตาลีี เอกสารพััฒนาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิิลปศึึกษา 11 ทช31003 มััธยมศึกึ ษาตอนปลาย

บทที่่� 2 ดนตรีีสากล สรุปุ เนื้้�อหา เรื่อ�่ งที่่� 1 ประวัตั ิแิ ละความเปน็ มาของดนตรีีสากล เครื่่อ� งดนตรีสี ากลที่่ช� าวตะวัันตกสร้้างขึ้�้นในยุุคแรก ๆ คืือ การกํําเนิิดของดนตรีีตะวัันตกนั้้�นมาจากเครื่่�องดนตรีีของชนชาติิกรีีกโบราณที่่�สร้้างเครื่�่องดนตรีีขึ้�้นมา 3 ชนิิด คืือ ไลราคีธี ารา และออโรส ไลราและคีีธารา ในยุุคโบราณเครื่่�องดนตรีีสากลระยะแรกมีีกี่�แนวเสีียง ตั้�งแต่่สมััยโบราณจนถึึงปััจจุุบััน ในระยะแรก ดนตรีีมีีเพีียง แนวเสียี งเดียี วเท่่านั้้น� เรียี กว่า่ Melody และไม่่มีีการประสานเสีียง ดนตรีสี ากลแบ่่งออกเป็น็ กี่�ยุคุ อะไรบ้้าง 1. ยุคุ กลาง (Middle Ages) ยุคุ นี้้�คืือ ช่ว่ งเวลาระหว่า่ งศตวรรษที่่� 5 - 15 (ราว ค.ศ. 450 - 1400) อาจเรียี กว่า่ ยุคุ เมดิิอีวี ััล (Medieval Period) ดนตรีใี นยุคุ นี้้เ� ป็น็ เพลงร้้องโดยมีีแนว ทํํานองหลายแนวสอดประสานกันั ซึ่ง� พััฒนามาจาก เพลงสวด และเป็น็ เพลงแบบมีที ํํานองเดีียว (Monophony) ในระยะแรกเป็็นดนตรีที ี่่ไ� ม่่มีอี ัตั ราจังั หวะ ในระยะต่่อมาใช้้อัตั รา จังั หวะ ¾ ต่อ่ มาใน ศตวรรษที่่� 14 มัักใช้้อััตราจัังหวะ 2/4 เพลงร้้องพบได้้ทั่่ว� ไป และเป็็นที่่น� ิิยมมากกว่่าเพลงที่่บ� รรเลงด้้วย เครื่อ่� งดนตรีี รููปแบบของเพลงเป็็นแบบล้้อทํํานองเปนยุุคที่่ด� นตรีมี ีกี ฎเกณฑแบบแผนอย่างมาก อยููในระหวางศตวรรษที่่� 18 และชวงต�นศตวรรษที่่� 19 (ค.ศ. 1750 -1825) การใส่เสีียงประสานเปนลัักษณะเดนของยุุคนี้้� การสอดประสานพบไดบ�าง แต่ไม่เดน เทาการใส่เสีียงประสาน การใชบัันไดเสียี งเมเจอร์ และไมเนอร์ เปนหลักั ในการประพันั ธ เพลง ลักั ษณะของบทเพลง มีีความสวยงามมีีแบบแผน บริสิ ุทุ ธิ์์� มีกี ารใชลักั ษณะของเสีียงเกี่ย� วกับั ความดัังค่อยเปนสํําคััญ ลีลี าของเพลงอยููในขอบเขตที่่� นัักประพัันธในยุุคนี้้�ยอมรัับกันั ไมมีกี ารแสดงอารมณ์ หรืือความรููสึึกของผููประพันั ธไวในบทเพลงอยา่ งเดนชััด 2. ยุุครีีเนซองค์ (Renaissance Period) เปนดนตรีีในชวงคริิสตศตวรรษที่่� 15-16 (ราว ค.ศ. 1450 - 1600) การสอดประสาน (Polyphony) ยังั เปนลักั ษณะของเพลงในยุคุ นี้้โ� ดยมีกี ารลอ� กันั ของแนวทํํานองเดียี วกันั ลักั ษณะ บันั ไดเสียี ง เปนแบบโหมด (Modes) ยัังไมนิิยมแบบบันั ไดเสียี ง (Scales) การประสานเสีียงเกิดิ จาก แนวทํํานองแต่ละแนวสอดประสาน กััน มิิไดเกิิดจากการใชคุุณสมบัตั ิิของคอรด ลักั ษณะของจัังหวะ มีีทั้้ง� เพลงแบบมีอี ััตราจังั หวะ และไมมีอี ัตั ราจัังหวะ ลัักษณะ ของเสีียงเกี่�ยวกัับความดัังค่อย ยัังมีีน�อยไม่ค่อยพบ ลัักษณะของเพลงมีีความนิิยมพอๆ กััน ระหวางเพลงร�องและบรรเลง ดวยเครื่่�อง ดนตรีี เริ่�มมีกี ารผสมวงเล็็กๆ เกิิดขึ้้น� 3. ยุคุ บาโรค (Baroque Period) เปนยุคุ ของดนตรีใี นระหวางศตวรรษที่่�17 - 18 (ราว ค.ศ. 1600 - 1750) มีีการใช� ลัักษณะการใสเ่ สีียงประสาน เริ่�มนิิยมการใช�เสีียงเมเจอร์ และไมเนอร์ แทนการใช�โหมด ตา่ งๆ การประสานเสียี งมีหี ลักั เกณฑ เปนระบบ มีกี ารใชเ� สียี งหลักั อัตั ราจังั หวะเปนสิ่ง� สํําคัญั ของบทเพลง การใชลักั ษณะของเสียี งเกี่ย� วกับั ความดังั คอ่ ย เปนลักั ษณะ ของความดััง-คอ่ ย มากกวาจะใช� ลักั ษณะคอ่ ยๆ ดัังขึ้้�นหรืือค่อยๆลง ไมมีีลัักษณะของความดังั ค่อยอยา่ งมาก 12 เอกสารพััฒนาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

บทเพลงบรรเลงดวยเครื่�่องดนตรีีเปนที่่�นิิยมมากขึ้�้น บทเพลงร�องยัังคงมีีอยููและเปนทีีนิิยม เช่นกััน นิิยมการนํํา วงดนตรีเี ลน่ ผสมกัับการเล่นเดี่ย� วของกลุุ่ม เครื่อ�่ งดนตรีี 2-3 ชิ้�น 4. ยุุคคลาสสิิค (Classical period) เปนยุุคที่่�ดนตรีีมีีกฎเกณฑแบบแผนอย่างมาก อยููในระหวางศตวรรษที่่� 18 และชวงตน� ศตวรรษที่่� 19 (ค.ศ. 1750 - 1825) การใสเ่ สียี งประสานเปนลัักษณะเดนของยุุคนี้้ก� ารสอดประสานพบไดบ�างแต ไม่เดนเทาการใส่เสีียงประสานการใชบัันไดเสีียงเมเจอร์และไมเนอร์เปน หลัักในการประพัันธเพลง ลัักษณะของบทเพลงมีี ความสวยงามมีีแบบแผน บริิสุุทธิ์์� มีีการใช� ลัักษณะของเสีียงเกี่�ยวกัับความดัังค่อยเปนสํําคััญ ลีีลาของเพลงอยููในขอบเขตที่่� นักั ประพัันธในยุุค นี้้ย� อมรับั กััน ไมมีกี ารแสดงอารมณ์ หรืือความรููสึึกของผููประพันั ธไวในบทเพลงอย่างเดนชััด การผสมวงดนตรีพี ััฒนามากขึ้้น� การบรรเลงโดยใชวงสลับั การเดี่�ยวดนตรีขี องผููเลน่ เพีียงคน เดีียว เปนลักั ษณะที่่น� ิิยม ในยุุคนี้้� บทเพลงประเภทซิิมโฟนีีมีีแบบแผนที่่�นิิยมกัันในยุุคนี้้�เช่นเดีียวกัับ เพลงเดี่�ยว(Sonata) ซึ่�งเปนการเดี่�ยวเครื่�่องดนตรีี ชนิิดต่างๆ ทั้้ง� เพลง ก็็เปนที่่น� ิิยมเปนอย่างมาก บท เพลงรอ� งมีีลัักษณะซัับซอ� นกันั มากขึ้�น้ เชน่ เดียี วกัับบทเพลงบรรเลงดวย เครื่่�องดนตรีี 5. ยุุคโรแมนติิก(Romantic period) เปนยุคุ ของดนตรีรี ะหวางคริิสตศตวรรษที่่� 19 (ราว ค.ศ. 1825-1900) ลักั ษณะ เดนของ ดนตรีีในยุุคนี้้� คืือ เปนดนตรีีที่่�แสดงความรููสึึกของนัักประพัันธเพลงเปน อย่างมากฉะนั้้�นโครงสร�าง ของดนตรีีจึึง มีีหลากหลายแตกต่างกัันไปในรายละเอีียด โดยการพััฒนาหลัักการต่าง ๆ ต่อจากยุุคคลาสสิิค หลัักการใชบัันไดเสีียง ไมเนอร์และเมเจอร์ ยัังเปนสิ่�งสํําคััญ แตลัักษณะการประสานเสีียง มีีการพััฒนาและคิิดค�นหลัักใหม่ๆ ขึ้�้นอย่างมากเพื่่�อเปน การสื่�่อสารแสดงออกทางอารมณ์และ ความรููสึึกของผููประพัันธเพลง การใส่เสีียงประสานจึึงเปนลัักษณะเดนของเพลงใน ยุุคนี้้� บทเพลงมักั จะมีคี วามยาวมากขึ้้น� โครงสร�างดนตรีี มีีการใสสีีสัันของเสีียงจากเครื่�่องดนตรีีเปนสื่�่อในการแสดงออกทางอารมณ์ ลัักษณะการผสม วงพััฒนาไปมาก วงออร์เคสตร�ามีีขนาดใหญ่มากขึ้�้นกวาในยุุคคลาสสิิค บทเพลงมีีลัักษณะต่าง ๆ กัันออกไป เพลงซิิมโฟนีี โซนาตา และแชมเบอรมิิวสิิก ยังั คงเปนรููปแบบที่่� นิยิ มนอกเหนืือไปจากเพลงลักั ษณะอื่่�น ๆ นักั ดนตรีที ี่่�ควรรููจักั ในยุคุ นี้้ม� ีเี ปน จํํานวนมาก เชน่ โมสารท และบีีโทเฟน 6. ยุุคอิมิ เพรสชั่�นนิสิ ติิค (Impressionistic Period หรืือ Impressionism) เปนดนตรีีอยููในชวงระหวาง ค.ศ. 1890 – 1910 ลัักษณะสํําคัญั ของเพลงยุุคนี้้ค� ืือ ใชบัันได เสีียงแบบเสีียงเต็็ม ซึ่ง� ทํําใหบทเพลงมีีลักั ษณะลึึกลับั คลุุมเครืือไม่กระจางชััด เนื่�่องมาจากการ ประสานเสียี งโดยใช�ในบัันไดเสียี งแบบเสีียงเต็็ม บางครั้ง� จะมีคี วามรููสึึกโล่งๆวางๆ เสียี งไมหนััก แนน่ ดัังเช่น เพลงในยุคุ โรแมนติิก การประสานเสียี งไม่ เปนไปตามกฎเกณฑ ในยุุคก่อน ๆ สามารถ พบการประสานเสีียงแปลก ๆ ไม่คาด คิดิ ไดในบทเพลงประเภทอิมิ เพรสชั่�นนิซิึ่�ม รููปแบบของเพลง เปนรููปแบบง่าย มัักจะเปนบทเพลงสั้�น ๆ รวมเปนชุดุ นักั ดนตรีี ที่่ค� วรรููจักั คืือ เดอบููสซีี ราเวล และ เดลิอิ ุุส 7. ยุุคศตวรรษที่่� 20 (Contemporary Period) ดนตรีีในยุุคศตวรรษที่่� 20 เปนยุุคของการทดลองสิ่�งแปลก ๆ ใหม่ ๆ และนํําเอาหลัักการเกา่ ๆ มาพััฒนาเปลี่่ย� นแปลงปรัับปรุงุ ใหเขากัับแนวความคิดิ ในยุุคปจจุบุ ันั โครงสร�างดนตรีแี บบ การสอดประสาน มีีการใชประสานเสียี งโดยการใชบัันไดเสีียงตา่ ง ๆ รวมกันั และการไมใ่ ช�เสียี ง หลักั ในการแตง่ ทํํานองหรืือประสานเสียี งจึึงเปนเพลงแบบใชบันั ไดเสียี ง 12 เสียี งซึ่ง� เรีียกวา Atonality อััตราจัังหวะ ที่่�ใชทีกี ารกลัับไปกลัับมา ลักั ษณะสํําคััญอีกี ประการหนึ่่�งคืือ การใชก� าร ประสานเสีียงที่่�ฟงระคายหููเปนพื้้น� วงดนตรีกี ลับั มาเปนวงเล็ก็ แบบเชมเบอรมิวิ สิกิ ไมนิยิ มวงออรเ์ คสตรามักั มีกี ารใช� อิเิ ลคทรอนิกิ ส์ ทํําใหเกิดิ เสียี งดนตรีี ซึ่ง� มีีสีีสัันที่่�แปลกออกไป เน�นการใชจ� ังั หวะรููปแบบตา่ ง ๆ บางครั้�งไมมีที ํํานองที่่�โดดเดน ในขณะที่่�แนวคิดิ แบบโรแมนติกิ มีกี าร พััฒนาควบคููไปเช่นกััน เรีียกวา นีีโอโรแมนติิก ดนตรีีที่่�ควรรููจัักในยุุคนี้้� คืือ สตราวิินสกีี โชนเบิิร์ก บาร์ตอก เบอร์ก ไอฟส์ คอป แลนด เปนตน� เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา 13 ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

เรื่อ�่ งที่่� 2 ประเภทของเครื่อ�่ งดนตรีสี ากล เครื่่�องดนตรีสี ากลในปจจุบุ ันั สามารถจํําแนกหรืือจััดเปนประเภทใหญๆ่ ตามลักั ษณะของ เสีียงที่่� คล�ายคลึึงกันั และ ลักั ษณะของเครื่่อ� งดนตรีี แบ่งออกเปน 5 ประเภทใหญ่ๆ ดังั นี้้� 1. เครื่่�องสาย (String Instruments) 2. เครื่่�องลมไม� (Woodwind Instruments) 3. เครื่่�องลมทองเหลืือง (Brass Instruments) 4. เครื่่�องลิ่�มนิ้้�ว (Keyboard Instruments) 5. เครื่�่องตี(ี Percussion Instruments) เครื่อ�่ งดนตรีีประเภทเครื่่�องสาย ไดแก่ ไวโอลิิน (Violin) คืือ เครื่�อ่ งดนตรีีที่่� กํําเนิดิ เสีียงในระดัับสููง เปนเครื่�่องดนตรีี ในตระกููล ไวโอลิิน (Violin Far) ทั้้�งหมด 4 ชนิดิ คืือ ไวโอลิิน วิโิ อลา เชลโลและ คอนทรา� ฮารป (Harp) เครื่อ่� งดนตรีีประเภท เครื่อ�่ งสาย ซึ่ง� แตกต่างจากเครื่�่องสายประเภทอื่่�น ๆ คืือ การขึึงสายจะไมผ่ า่ นกลอ่ งเสีียง (Sounding Board) เหมืือนเครื่�อ่ ง ดนตรีีชนิดิ อื่่น� ๆ เช่น กีตี าร์ ไวโอลิิน หรืือเปยโน โครงสํําหรัับขึึงสายมีลี ัักษณะเปน รููปสามเหลี่่�ยมโค�งงอเล็ก็ นอ� ย เพื่อ่� ใหเกิดิ ความสวยงามปกติิจะเลน่ ดวยการดีดี ที่่ส� าย คุณุ ภาพ เสีียงของฮารปมีีความแจมใส กวาเสียี งของเปยโน ใช�แสดงความสดชื่น่� แจมใส แมนโดลินิ (Mandolin) เปนเครื่่�องดนตรีปี ระเภทเครื่�อ่ งสายที่่�กํําเนิดิ เสีียงในระดับั เสีียงสููง ผููเล่นจะใช� เพล็ค็ ทรััม หรืือ ปคดีีดไปที่่�สาย ในลักั ษณะดีีดขึ้�้นลงติดิ ต่อกัันอยา่ งเร็็วเพื่�อ่ ใหเกิดิ เสียี งสั่น� รัวั กีีตาร์ (Guitar) เครื่่�องดนตรีีประเภทเครื่�อ่ งสาย เล่นโดยวิธิ ีกี ารดีีด เกี่�ยว ดึึง หรืือ กรีีดสายบนสาย กีีตาร์ อาจใชนิ้้�วหรืือเพล็ค็ ทรััมก็ไ็ ด กลอ่ งเสีียงของกีตี ารจะคลา� ยไวโอลิิน ขนาดใหญ่ คอยาว มีีเฟร็็ทโลหะ คั่�นอยูู 5 สาย และมีีหมุุดยึึดสายที่่�ปลายคอกีีตาร์ สายของกีีตารมีีทั้้�งทํําดวยโลหะ และ ไนล่อนแบนโจ (Banjo) เปนเครื่่�องดนตรีีประเภทเครื่�่องสาย เล่นดวยวิิธีีดีีดดวยนิ้้�วมืือหรืือ ดีีดดวยเพล็็คทรััม (Plectrum) นิิยมเลน่ ในกลุ่มุ นักั รอ� ง นัักดนตรีี ชาวอเมริิกััน 14 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

เครื่�่องดนตรีีประเภทเครื่่�องลมไม�แบ่งออกเปน 2 พวก คืือพวกขลุุ่ยและป ถาเปน ประเภทขลุุ่ยจะไมมีีลิ้�น เปาลม ผา่ นทอในลัักษณะของการผิิว เช่น ฟลุุท ปคโคโล รีคี อร์เดอร์ , ประเภทป ตอ� งเปาลมผ่านลิ้น� ซึ่ง� มีลีิ้น� เดี่ย� ว เชน่ คลาริเิ นต แซ็็กโซโฟน(แม�นตััวแซ็็กโซโฟนจะทํํา ดวยโลหะ แต่จััดเปนประเภทเครื่่�องลมไมมีีลิ้�นเดี่�ยว) และประเภทลิ้้�นคูู เช่น บาสซููน โอโบ เปนตน� เครื่่�องดนตรีีประเภทเครื่�่องลมทองเหลืืองทํําดวยโลหะผสมทองเหลืืองเสีียงของเครื่่�องดนตรีี ประเภทนี้้�เกิิดจากการ เปาลมผ่านทอโลหะความยาวของทอโลหะต่างกัันทํําใหระดัับเสีียงเปลี่่�ยนไป การเปลี่่�ยนความยาวของทอโลหะจะใชลููกสููบ เปนตััวบังั คัับ เช่น ทรัมั เปท คอร์เน็ท็ ทููบา ยููโฟเนียี ม เครื่อ่� งดนตรีบี างชนิดิ จะใช�การชักั ทอลมเขาออก เพื่่อ� เปลี่่�ยนความยาว ของทอลม เช่น ทรอมโบน ลัักษณะเดนของเครื่�่องดนตรีีประเภทนี้้�คืือมีีปากลํําโพงสํําหรัับขยายเสีียงใหมีีความดัังเจิิดจา เรามัักเรีียกเครื่�่องดนตรีีประเภทนี้้�รวม ๆ กัันวาแตรปากเปาเครื่่�องดนตรีีประเภทนี้้�ทํําดวยโลหะเปนรููปกรวยเรีียกวา กํําพวด (Mouthpiece) ตอ่ เขากับั ทอลมของเครื่�่องดนตรีีนั้้น� ๆ เครื่อ่� งดนตรีใี นกลุมุ่ นี้้ม� ักั นิยิ มเรียี กทับั ศัพั ทในภาษาอังั กฤษวา “เครื่อ่� งดนตรีปี ระเภทคียี บ์ อรด” ลักั ษณะเดนของเครื่อ�่ ง ดนตรีีที่่�อยููในกลุุ่มนี้้� คืือ มีลีิ่ม� นิ้้�วสํําหรับั กดเพื่�่อเปลี่่�ยนระดัับเสียี งดนตรีี ลิ่�มนิ้้ว� สํําหรัับกดนั้้น� นิยิ มเรีียกวา “คีีย์” เครื่�่องดนตรีี แต่ละชนิิดมีีจํํานวนคีีย์ไม่่เทากััน โดยปกติิสีีของคีีย์เปนขาวหรืือดํํา เช่น เปยโน เปนเครื่�่องดนตรีีประเภทลิ่่�มนิ้้�วนิิยมกััน อยา่ งกวางขวางกวาเครื่่อ� งดนตรีี ชนิิดอื่่น� ทั้้�งหมด เปนเครื่�อ่ งดนตรีปี ระจํําบา� น ประจํําวงคอนเสิริ ์ต นอกจากเปนเครื่�่องดนตรีี ที่่�จัดั วาเปนเอกทางเดี่�ยวแลว ยัังใชสํําหรัับคลอเสีียงดนตรีีชนิิดอื่�่น และใช� คลอเสีียงร�องไดดีีอีีกดวย เปยโน สามารถเปลี่่�ยน ระดัับเสีียงไดทุุกบัันไดเสีียง มีีลิ่�มทั้้�งหมด 88 ลิ่�ม นิ้้�ว สามารถเล่นไดทั้้�งทํํานอง (Malody) และเสีียงประสาน (Harmony) ในขณะเดีียวกัันเสีียงของเปยโนถืือเปนเสียี งมาตรฐาน ดัังนั้้�นในการแตง่ เพลงจึึงจํําเปนต�องใช�เปยโนเปนหลักั ในการเขีียนโน�ต ในบัันไดเสีียงต่าง ๆ ฮารปซีีคอรด (Harpsicord) แอ็็คคอร์เดีียน (Accordion) เอกสารพััฒนาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิิชา ศิิลปศึึกษา 15 ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

เครื่อ่� งดนตรีปี ระเภทเครื่อ�่ งตีีไดแก่ เครื่่�องดนตรีที ี่่�เกิดิ เสีียงจากการตีีกระทบ การสั่น� การเขย่า การเคาะ การตีอี าจ จะใช�ไมตีีหรืืออาจจะใชสิ่�งหนึ่่�งกระทบเขากัับอีีกสิ่�งหนึ่่�งเพื่�่อใหเกิิดเสีียง เครื่่�องตีีกระทบประกอบขึ้�้นดวยวััสดุุของแข็็งหลาย ชนิิด เช่น โลหะ ไม� หรืือแผ่นหนัังขึึงตึึง เช่น กลองใหญ่ (Bass Drum) กลองเล็็ก (Snare Drum) ทิิมปานีี (Timpani) คองก�า (Konga) บองโก (Bongo) แทมบููริิน (Tambourine) กิ๋ง� (Triangle) มาราคา (Maraca) คาบาซา (Cabasa) เคาเบลล์ (Cowbell) กลองชุุด (Drum set) ฉาบ (Cymbal) ระฆังั ราว (Tubular Bells) มาริิมบา (Marinba) ไซโลโฟน (Xylophone) ไวบราโฟน (Vibraphone) เรื่่�องที่่� 3 ประวัตั ิแิ ละความเป็นมาของเพลงสากล เพลงสากลแบง่ ออกได 12 ประเภทดังั นี้้� 1. เพลงศาสนา เพลงศาสนาหรืือดนตรีีศาสนา (Church music หรืือ Sacred music) เปนเพลงประเภทขัับ รอ� งที่่�มีี เนื้้อ� ร�องเกี่ย� วกับั ศาสนาโดยเฉพาะ มีีทั้้ง� ประเภทที่่�ขัับร�องเดี่ย� วและขับั รอ� งประสานเสีียง อาจประกอบดนตรีหี รืือไมก็็ได 2. เพลงที่่�ใชขัับร�องในละครอุุปรากร หรืือละครโอเปร่า เปนละครชนิิดหนึ่่�งที่่�แสดงโดยใช�การร�องเพลงโต�ตอบกััน ตลอดทั้้ง� เรื่่�อง 3. เพลงลีีลาศ ไดแก่เพลงทุุกชนิิดที่่ใ� ชใ� นการเต�นรํําลีลี าศได เชน่ เพลงแทงโก วอลท ช่าช่าช่า ฯลฯ มีีทั้้ง� ชนิดิ ขัับรอ� ง และบรรเลง 4.เพลงชาวบ�านเพลงชาวบ�านโดยมากเปนเพลงง่ายๆการแต่งก็็ไมมีีการบัันทึึกไวเปนโน�ตร�องต่อๆ กัันจนจํําได มีีทํํา นองซ้ำ�ำ� ๆ กัันหลายตอ่ หลายทอนในเพลงแต่ละเพลง คล�ายเพลงเต�นกํํารํําเคียี วของไทย 5.เพลงตะวันั ตก หมายถึึงเพลงที่่ข� ับั รอ� งกันั ในภาคตะวันั ตกของสหรัฐั เทานั้้น� พวกที่่บ� ุกุ เบิกิ ในการ รอ� งคืือ พวกกรรมกร รถไฟ พวกโคบาล พวกพเนจร เพลงตะวัันตกนับั ไดวาเปนเพลงอเมริกิ ันั แทเพราะเกิดิ ในอเมริิกา และเกิดิ จากสิ่ง� แวดล�อมและ จิิตใจของคนที่่�อยููอเมริิกา 6 เพลงแชมเบอรมิิวสิิก (Chamber music) สวนมากเปนเพลงบรรเลงดวยเครื่�่องดนตรีี ตั้�งแต่ 3 - 7 คนขึ้้�นไป แตบ่ างครั้ง� ก็็มีีการร�อง แทรกอยููบ�าง เปนเพลงสํําหรัับฟงใหอารมณผ์ ่อนคลาย เพลงแชมเบอรมิวิ สิิกมัักจะตอ� ง ประกอบดวย นักั ดนตรีฝี มืือเยี่ย� ม เพราะถาใครเล่นผิดิ พลาดไปคนฟงก็็สังั เกตได้้ 7. เพลงกล่อมเด็็ก (Lullaby) เปนเพลงที่่�เกิิดจากแรงดลใจภายในตััวแม่ เพื่่�อกล่อมลููกใหหลัับแต่ แลวก็็กลายเปน ทํํานองอัันไพเราะไป เพลงกล่อมเด็็กแทบทุุกเพลงจะมีีทํํานองช�าๆ 8. เพลง (Sonata) เปนเพลงที่่�แต่งขึ้�้นใหเล่นดวยเครื่�่องดนตรีีหนึ่่�งหรืือ 2 ชิ้�น ซึ่�งโดยมากมัักจะเปน ไวโอลิินกัับ เปยโน โดยมากเปนเพลงช�า ๆ เลน่ ใหเขากัับบรรยากาศในขณะที่่�ศิิลปนกํําลังั แต่งเพลงนั้้น� ๆ เชน่ เพลง moonlight Sonata ของบีโี ธเฟนแต่งขึ้น�้ เมื่่�อมีแี สงจัันทร์สอ่ งลอดเขามาทาง หน�าตา่ งเปนตน� 16 เอกสารพััฒนาทัักษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 มััธยมศึกึ ษาตอนปลาย

9. เพลงพาเหรด (March) ไดแกเ่ พลงซึ่�งมีจี ังั หวะเนน� หนักั เบา โดยมากเพื่�่อประกอบการเดินิ แถวของพวก ทหาร หรืือ เพื่อ่� ประโยชน์ในการปลุุกใจ ฟงคึึกคััก ตื่น่� เตน� เพลงเดิินนี้้�เรีียกวา Military March มีีเพลงชนิดิ หนึ่่�งมีีจัังหวะช�า ใช�ในการเดิิน ขบวนแห โดยเฉพาะการแหศพ เรีียกวา Processional March 10. เพลงแจส (Jazz) เพลงแจสเปนเพลงอเมริกิ ันั แทอีกี ชนิดิ หนึ่่ง� ลักั ษณะสํําคัญั ของเพลงแจสคืือ การมีี Syncopation (ซิินโคเปชั่่�น) หมายถึึงการเน�นจังั หวะที่่จ� ัังหวะยก มากกวาจังั หวะตก โดยมากเพลง แจสจะเปนเพลงที่่ม� ีีเสีียงอึึกทึึกอยููไม่น�อย แตเ่ พลงแจสที่่�เล่นอย่างช�า ๆและนุุม่ นวลก็็ มีีเช่นกันั เพลงแจส รุุ่นแรกเกิดิ ขึ้น้� ทางภาคใตของสหรััฐอเมริกิ าโดยพวกชนผิิวดํํา ที่่�เปนทาส เพลงแจสที่่�เกิิดทางใตนี้้�มีีชื่่�อเรีียกวา Dixieland Jazz เพลงแจสไดรัับการพััฒนาปรัับปรุุงขึ้�้นมาจนกลายมาเปน เพลง Blue ลัักษณะของเพลง Blue นี้้�จะเลน่ อยา่ งช�า ๆ เนิิบนาบ 11. เพลง Program music สาระสํําคััญของเพลงประเภทนี้้ค� ืือการพยายามเลา่ เรื่�่องหรืือบรรยายภููมิปิ ระเทศ ดวย เสียี งดนตรีี แตค่ วามพยายามนี้้ก� ็ม็ ิคิ อ่ ยสํําเร็จ็ นักั จึึงมักั จะตอ� งมีกี ารแจกบทความเลา่ เรื่อ่� ง นิยิ ายหรืือภาพนั้้น� ๆ ใหผููฟงไดทราบ ก่อนฟง แลวผููฟงจะจิินตนาการหรืือนึึกภาพจากเสียี งดนตรีี อีกี ทีี 12. เพลงอมตะ (Immoral song) หมายถึึง เพลงใด ๆ ก็็ได ที่่ไ� ดรับั การยอมรัับยกยอ่ งวา มีคี วามไพเราะ และเปนที่่� นิิยมอยููทุุกยุุคทุกุ สมัยั หรืือ เปนที่่�นิยิ มรููจักั ฟงไพเราะอยููเสมอไมวา เวลาใด ยุคุ ใด สมัยั ใด เช่น เพลงบัวั ขาว แสงทิิพยของไทย เรื่อ�่ งที่่� 4 คุณุ ค่าของดนตรีีสากล ดนตรีีเปนสื่�อ่ ที่่�ตอบสนองต่อธรรมชาติิโดยตรงและสรา� งความสุขุ ใหกับั มนุษุ ย์ เราสามารถ นํําดนตรีีมาใช�ในการชวย สง่ เสริมิ พัฒั นาการในดานร่างกาย อารมณ์ จิิตใจ สัังคม และสติปิ ญญาได ดัังนี้้� 1. ดนตรีีชวยพััฒนาทางดานร่างกาย การเคลื่�่อนไหวร่างกายตามเสีียงดนตรีีอย่างมีี ความสุุขสนุุกสนาน ซึ่�งการ เคลื่่อ� นไหวดัังกล่าว จะเปนการชวยใหกระดููกและกล�ามเนื้้อ� แข็ง็ แรง 2. ดนตรีีชวยพััฒนาทางดานอารมณ์และจิติ ใจ ดนตรีที ี่่�มีีจังั หวะชา� จะทํําใหมนุษุ ยมีี อารมณ์ผอ่ น คลาย สงบ มีีสมาธิิ และชวยกล่อมเกลาจิติ ใจใหออ่ นโยน ในขณะที่่�ดนตรีที ี่่ม� ีีจัังหวะ เร็ว็ จะทํําใหมีีอารมณ์แจมใส และมีจี ิติ ใจที่่เ� บิิกบาน 3. ดนตรีชี วยพัฒั นาทางดานสังั คม กิจิ กรรมดนตรีแี บบกลุมุ่ คืือการไดทํํากิจิ กรรมดนตรีี รวมกับั ผููอื่น�่ เชน่ การรอ� งเพลง เต�นระบํํา รํําละคร หรืือ การตั้�งวงดนตรีี เล่นกับั ครอบครััวหรืือ ผููอื่่น� ชวยใหมนุุษยรููจักั การปรัับตัวั เขากับั ผููอื่น�่ และไดเรีียนรูู การทํํางานรวมกัับผููอื่�น่ ไดดีีขึ้�น้ สํําหรัับกิิจกรรมดนตรีแี บบเดี่ย� ว เชน่ การเลน่ ดนตรีี การรอ� งเพลง หรืือการเต�นระบํํา รํําฟอน คนเดีียวตอ่ หน�าคนอื่�่น ชวยพััฒนาบุุคลิิกภาพและ สรา� งความเชื่่อ� มั่น� ในตนเอง 4. ดนตรีชี วยพัฒั นาทางดานสติปิ ญญา 4.1 ดนตรีีชวยพัฒั นาทักั ษะทางคณิิตศาสตร์ เช่นเพลงที่่ม� ีเี นื้้อ� หาเกี่�ยวกัับเรื่�อ่ งขอ จํํานวน และ การนัับ หรืือการ ไดหััดอา่ นโน�ตดนตรีี 4.2 ดนตรีชี วยพัฒั นาทักั ษะทางดานวิทิ ยาศาสตร์ เชน่ เพลงที่่ม� ีเี นื้้อ� หาเกี่ย� วกับั ธรรมชาติจิ ากเนื้้อ� เพลงที่่เ� กี่ย� วกับั สััตว ตน� ไม� รุ�งุ กิินน้ำำ�� พระจัันทร์ ดวงดาว 4.3 ดนตรีชี วยพัฒั นาทัักษะทางดานภาษาและการออกเสีียง ไดเรีียนรููคํําศัพั ทตา่ งๆ ทั้้ง� ภาษาไทยและภาษาต่าง ประเทศผา่ นทางเนื้้อ� เพลง 4.4 ดนตรีีชวยพัฒั นาความคิิดสรา� งสรรค์ เช่นการคิดิ ทาเตน� ประกอบ การแต่งเนื้้อ� หรืือทํํานองเพลง ตลอดจน การจิินตนาการตามเนื้้�อหา หรืือทํํานองของเพลง เรื่่อ� งที่่� 5 การสืืบสานภูมู ิิปญญาทางดนตรีสี ากล กระบวนการการอนุุรักั ษ์ และสืืบสานภููมิิปญญาทางดนตรีีสากล สามารถทํําไดดังั นี้้� 1. ศึึกษา ค�นควา การวิิจััย และเก็็บขอมููลดนตรีีสากลและดนตรีีทองถิ่�น ทั้้�งที่่�มีีการ รวบรวมไว เพื่�่อเปนขอมููล และเผยแพร่เพื่่อ� ใหเกิิดการมองเห็็นคุณุ ค่า ทํําใหเกิดิ การยอมรับั และ นํําไปใชประโยชนอ์ ย่างเหมาะสม ต่อไป เอกสารพััฒนาทัักษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึึกษา 17 ทช31003 มััธยมศึกึ ษาตอนปลาย

2. สง่ เสริมิ ใหทุกุ คนเห็น็ คุุณค่า รวมกันั รักั ษาเอกลัักษณรููปแบบทางดนตรีีสากลและดนตรีี สากลในทองถิ่น� เพื่�อ่ สรา� ง ความเขาใจและมั่�นใจแกประชาชนในการปรัับเปลี่่ย� นและตอบสนอง กระแส วััฒนธรรมอื่่�นๆ อย่างเหมาะสม 3. รณรงค์ใหประชาชนและภาคเอกชน ตระหนัักในความสํําคััญ ของดนตรีีสากลใน ประเทศไทย วาเปนเรื่่�องที่่� ทุกุ คนต�องใหการรับั ผิดิ ชอบรวมกััน 4. สง่ เสริมิ และแลกเปลี่่ย� นวัฒั นธรรมดนตรีภี ายในประเทศและระหวางประเทศ 5. สร�างทััศนคติิ ความรูู และความเขาใจวาทุุกคนมีหี นา� ที่่เ� สริิมสร�าง ฟนฟูู และการดููแล รักั ษาดนตรีีสากลในฐานะที่่� เปนสมบัตั ิิของมนุษุ ยชาติิ 6. จัดั ทํําระบบเครืือขายสารสนเทศ(อินิ เตอร์เน็ท็ ) ทางดานดนตรีีสากลในทองถิ่�น ในดาน การอนุรุ ักั ษภ์ ููมิปิ ญญาทาง ดนตรีสี ากลไว 7. ปลููกฝงทัศั นคติทิ ี่่ด� ีีตอ่ ดนตรีสี ากลใหแก่กลุมุ่ เด็็ก เยาวชน 8. ปรัับปรุงุ ผสมผสานวัฒั นธรรมดนตรีีสากลแบบดัังเดิมิ กับั วััฒนธรรมเพลงประจํําทองถิ่น� 9. เผยแพร่ความรููดานดนตรีีสากลในสื่�่อต่างๆเช่น สื่่�อ วิิทยุุ โทรทััศน์ อิินเตอร์เน็็ตเพื่�่อให ทุุกคนมีีโอกาสไดสััมผััส หรืือทํําความรููจักั กัับเครื่่�องดนตรีีสากลมากขึ้้น� ให้้นักั ศึกึ ษาได้้ศึกึ ษาเพิ่่ม� เติิมจากหนัังสืือแบบเรียี น รายวิิชาศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 18 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิิลปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

แบบทดสอบท้า้ ยบทเรีียน 1. เครื่�่องดนตรีสี ากล แบ่ง่ ออกเป็น็ กี่ป� ระเภท 6. การแสดงดนตรีเี กี่�ยวกัับอุปุ รากร (โอเปร่่า) เกิิดขึ้น้� ในยุคุ 1. 3 ประเภท สมัยั ใด 2. 4 ประเภท 3. 5 ประเภท 1. polyphonic Period 4. 6 ประเภท 2. Baroque Period 3. Classical Period 2. เชลโล จััดเป็็นเครื่อ�่ งดนตรีปี ระเภทใด 4. Romantic Period ก. เครื่�่องสาย 7. องค์์ประกอบของดนตรีีสากลแบ่่งได้้เป็็นกี่�องค์์ประกอบ ข. เครื่่�องลมไม้้ 1. 4 องค์์ประกอบ ค. เครื่่�องลิ่ม� นิ้้�ว 2. 5 องค์ป์ ระกอบ ง. เครื่่�องกระทบ 3. 6 องค์์ประกอบ 4. 7 องค์์ประกอบ 3. ไซโลโฟน จััดเป็น็ เครื่่�องดนตรีีประเภทใ 8. วงโยธวาทิติ ในประเทศไทย เกิดิ ขึ้น้� ในสมัยั รัชั กาลที่่เ� ท่า่ ใด 1. เครื่�่องสาย 1. สมััยรััชกาลที่่� 3 2. เครื่่�องลมไม้้ 2. สมัยั รััชกาลที่่� 4 3. เครื่�่องลิ่�มนิ้้ว� 3. สมััยรัชั กาลที่่� 5 4. เครื่�่องกระทบ 4. สมััยรัชั กาลที่่� 6 9. ยุคุ Romantic Period อยู่�ในระหว่า่ ง ค.ศ.ใด 4. ฟลุุท จัดั เป็็นเครื่อ�่ งดนตรีีประเภทใด 1. ค.ศ.1200 – ค.ศ.1650 ก. เครื่�่องสาย 2. ค.ศ.1650 – ค.ศ.1750 ข. เครื่่�องลมไม้้ 3. ค.ศ.1750 – ค.ศ.1820 ค. เครื่่�องลิ่ม� นิ้้ว� 4. ค.ศ.1820 – ค.ศ.1900 ง. เครื่่�องกระทบ 10. วงดนตรีสี ากลสามารถแบ่ง่ ออกเป็็น 2 กลุ่�ม อะไรบ้้าง 1. วงซิิมโฟนิกิ , วงออร์เ์ คสตรา 5. วงดนตรีีดููโอ (Duo) มีจี ำ�ำ นวนผู้้บ� รรเลงกี่�คน 2. วงแบนด์,์ วงซิิมโฟนิิก 1. 2 คน 3. วงออร์เ์ คสตรา, วงแบนด์์ 2. 3 คน 4. วงคอมโบ, วงแชมเบอร์ม์ ิิวสิิก 3. 4 คน 4. 5 คน เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา 19 ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

บทที่่� 3 นาฏศิิลป์์สากล สรุปุ เนื้้�อหา เรื่�่องที่่� 1 ประวัตั ิิและความเป็นมาของนาฏศิลิ ป์สากล การกํําเนิดิ ของนาฏศิลิ ปโลกหรืือนาฏศิลิ ปสากลเกิดิ ขึ้น้� จากอะไร การกํําเนิดิ ของนาฏศิลิ ปโลก หรืือนาฏศิลิ ปสากลเกิดิ ขึ้น้� จาก 2 สิ่�งคืือ จากธรรมชาติิ และความ เชื่่�อถืือศรััทธาในสิ่�งศักั ดิ์�สิิทธิ์์ท� ั้้ง� หลาย ดังั นี้้� นาฏศิิลปกํําเนิดิ จากธรรมชาติิ เริ่�มจากมนุุษยรููจัักการเต�นรํํา จากการเลีียนแบบการ เคลื่่�อนไหวของสิ่�งมีีชีีวิิตในโลกทั้้�งจากสััตว พืืช และมนุุษย ดวยกัันเอง เช่น การร�องและเต�นของคน ปาบางเผ่า เปนต�น จากนั้้�นไดมีีการพััฒนาทาทางและการขยัับเยื้�อนร่างกายตาม ความรููสึึกของ มนุุษยที่่�แสดงถึึงอารมณ์ เช่น ดีีใจ เสีียใจ โกรธ หิิวโหย และอิิริิยาบถต่าง ๆ ของมนุุษย์ตามความ เปนจริิง ซึ่ง� เปนที่่�มาของการแสดงละครที่่เ� ริ่�มตน� จากละครพููด โดยการพููด ทํําทาทางการ แสดง อารมณ์ตา่ ง ๆ และการสวม เครื่อ�่ งแต งกายตามบทละคร ซึ่ง� เปนเรื่อ�่ งราวที่่ม� าจากชีีวิติ จริงิ ของ มนุษุ ย์ แตกตา่ งกันั ไปตามความเชื่�อ่ คา่ นิิยม และอารยธรรมของแต ละชนชาติิ นาฏศิิลปกํําเนิดิ จากความเชื่่�อถืือศรัทั ธาในสิ่ง� ศักั ดิ์์ส� ิิทธิ์�์ มนุษุ ยมีีสัญั ชาตญาณแหงความกลัวั จึึงทํําใหมนุุษยพยายามหาสิ่ง� ยึึดเหนี่่�ยวจิติ ใจดวยการนับั ถืือสิ่�งศัักดิ์ส� ิิทธิ์�์ เทวดา เทพเจา และอํํานาจลี้้ล� ับั ต่าง ๆ โดยมีกี ารเซ่นไหวบููชาใหสิ่่ง� ศักั ดิ์ส� ิทิ ธิ์์� คุมุ� ครองใหปลอดภัยั หรืืออ�อนวอนขอใหสิ่่ง� ศัักดิ์ส� ิทิ ธิ์ช�์ วย ดลบันั ดาลใหสมปรารถนา เชน่ พิธิ ีบี ููชา ยัญั ของชนเผา่ ต่าง ๆ ในดิินแดนตะวัันตกเมื่�อ่ อดีตี กาล ซึ่�งจะมีีการบรรเลงดนตรีีพื้้น� เมืืองและ เตน� รํําประกอบ เปนสิ่�งเริ่�มตน� ของนาฏศิิลปที่่�เกิดิ จาดความศรัทั ธา เรื่�อ่ งที่่� 2 ประวัตั ิินาฏศิิลป์ตะวันั ตก นาฏศิิลปในสมััยกรีกี เกิิดจากอะไร ในสมัยั กรีีกโบราณ เริ่ม� ต�นจากการแสดงเรื่อ�่ งราวเกี่�ยวกับั เทพ เจาไดโอนีซี ุสุ (Dion- nysus) ซึ่ง� เปนเทพเจาแหงความอุดุ มสมบููรณข์ ึ้น�้ ในเทศกาลบููชาเทพเจาองคนี้้� จัดั ขึ้น้� ปละครั้ง� จากนั้้น� ก็ม็ ีี การพัฒั นาเปนละคร เกี่ย� วกับั เรื่อ�่ งของมนุษุ ย์ ซึ่ง� ยังั มีแี กน่ เรื่อ่� งเกี่ย� วกับั ความเชื่อ่� ทางศาสนา และ ศิลิ ปวัฒั นธรรม ประเภทของละครในสมัยั กรีกี มีที ั้้ง� ละครโศกนาฏกรรม และสุขุ นาฏกรรมซึ่�งใช้้นัักแสดงผููชายทั้้�งหมดเพียี ง 3 คนแสดงเปนตััวละครหลาย ๆ ตัวั ดวยการเปลี่่ย� น หน�ากากไป เรื่�่อย ๆ นาฏศิลิ ปในสมัยั โรมันั ในสมััยโรมััน เริ่�มจากนํํารููปแบบของละครกรีกี โบราณ ในเรื่่�องพิิธีกี รรมทางศาสนาที่่� เกี่�ยวกัับ การบููชาเทพเจา ตอ่ มาก็็ไดมีีการปรัับปรุงุ โดยเพิ่่ม� การเต�นรํําและใชทาทางแสดงอารมณ์ มากขึ้้�นตััวละครมีลี ัักษณะของสามััญ ชนที่่เ� นน� การแสดงแบบตลกโปกฮาตามแนวละครประเภทสุขุ นาฏกรรมมากขึ้น�้ รวมทั้้ง� มีกี ารยกเลิกิ การใสหนา� กากแบบละคร กรีกี ในตััวละครตลกจึึงทํําให นักั แสดงสามารถแสดงอารมณภายในและความสามารถในการแสดงไดมากขึ้้�น เหตุุที่่�นาฏศิิลปแบบละครสมััยโรมัันถึึงไดสิ้้�นสุุดลง เนื่่�องจากละครสมััยโรมัันสวนใหญ่เปนประเภทสุุขนาฏกรรมที่่�ไม ค่อยไดแก่นสาร และไมไ่ ด มีวี ััตถุปุ ระสงค์เพื่อ่� รัับใช�เทพเจา จึึงทํําใหศาสนจัักรแหงกรุงุ โรมไดออกคํําสั่�งหามไมใ่ หคนไปดููละคร จนในที่่ส� ุดุ โรงละครทุุกโรงในกรุงุ โรมตอ� งปดลง ละครแพนโทไมน์ (Pantomine) ละครแพนโทไมน์ (Pantomine) หรืือละครใบ� ในอัังกฤษที่่�เปนการแสดงละครที่่�มีีดนตรีี และการเต�นรํําประกอบ จนมาถึึงในศตวรรษที่่� 20 ตอนตน� รููปแบบการแสดงละครเริ่ม� หันั เขาสูู การสะทอนสภาพความเปนจริงิ ในสังั คมโดยแสดงละคร ตามแบบชีีวิิตจริงิ มากยิ่ง� ขึ้�้น จากนั้้น� จึึง พััฒนามาเปนละครในยุคุ ปจจุุบััน เรื่อ�่ ง 3 ประวัตั ิินาฏศิิลป์ตะวันั ออก นาฏศิลิ ปจีีน ประวััติิความเปนมาเหมืือนนาฏศิลิ ปตะวันั ออก เกิิดจากการประกอบพิธิ ีี ทางไสยศาสตร์ จนพััฒนามา เปนละครแบบต่างๆทั้้�งในราชสํํานััก และของชาวบ�าน จนทายที่่ส� ุดุ เกิิดเปนอุุปรากรจีีน หรืืองิ้�ว นัับเปนศิิลปะที่่ม� ีีแบบแผน 20 เอกสารพััฒนาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิิชา ศิลิ ปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

ระดัับชาติิที่่�ชาวจีีนไดพััฒนาสููงสุุด และอนุุรัักษ์มาเปนเวลาหลายร�อยป จนมีีลัักษณะเปนศิิลปะประจํําชาติิ นอกจากนั้้�น นาฏศิลิ ป ของจีนี มีมี ากมายเช่น ละครใบ� ละครตลก การขับั กลอ่ ม การเลา่ นิทิ านประกอบดนตรีี เพลง พื้้น� บา� น นาฏศิลิ ปจีนี ประจํําชาติจิ ีนี นาฏศิลิ ปประจํําชาติิจีีน คืือ อุปุ รากรจีนี หรืืองิ้�วที่่�เปนแบบมาตรฐานคืือ งิ้�วปกกิ่�งซึ่ง� องคก์ ารยููเนสโกยกระดัับใหเปน “มรดกโลก” เปนการแสดงศิิลปะดานดนตรีี การขับั ร�องนาฏลีลี า การแสดงอารมณ์ ศิลิ ปะกายกรรมภาษาจีีนเรียี กวา “จาจี้�” เช่น การตอ่ สูู ผููแสดงจะต�องมีีน้ำ��ำ เสียี ง คุุณภาพและมีีความอดทนสููงดวย นาฏศิิลปญี่่�ปุนุ ประวััติขิ องละครญี่่ป� ุุ่นเริ่ม� ตน� ประมาณศตวรรษที่่� 7 วิิวัฒั นาการมาจากการแสดงระบํํา บููชาเทพเจา แหงภููเขาไฟ และต่อมาญี่่�ปุุ่นไดรัับแบบแผนการแสดงมาจากประเทศจีีน โดยไดรัับผ่าน ประเทศเกาหลีีแบบแผนการแสดง ต่างๆ ที่่ป� รากฏอยููในสมััยปจจุุบันั นี้้� ไดแก่ ละครโนะ� ละคร คาบููกิิ บููงักั กุุ ละครหุนุ่ บุุนระกุุ ละครชิมิ ปะ และละครทาคาราสุกุ ะ เรื่�อ่ งที่่� 4 นาฏศิิลปส์ ากลกัับการพัฒั นาสัังคม ประโยชนของนาฏศิลิ ป์สากลกับั การพัฒั นาสัังคม 1. ใชใ� นรัฐั พิิธีีและราชพิิธีี 2. ใชใ� นการสัังสรรค์และการบันั เทิิงในสัังคม 3. ใชเ� พื่อ�่ การสื่อ�่ สารในสัังคมโดยการใชทาทางการเต�นหรืือรา่ ยรํํา 4. ใชใ� นการศึึกษา ทั้้ง� การศึึกษาทางดานศิลิ ปะโดยตรงหรืือใช�การศึกึ ษาดานอื่น�่ ๆ 5. ใช�เพื่อ�่ การอนุุรัักษ์ และเผยแพร่เอกลัักษณของชาติิ 6. ใชส� ่งเสริิมสุุขภาพและพลานามััยของคนในสัังคมและการแกปญหาที่่�มีีอยููในสังั คม 7. ใช�พััฒนาจิิตใจใหละเอีียดออ่ นและสร�างเสริิมจริยิ ธรรมในจิิตใจ นาฏศิลิ ป์สากลมีปี ระโยชนกัับการพััฒนาผููเ้ รียี น การเรียี นนาฏศิลิ ปสากลทํําใหเกิิดการพัฒั นาแกผููเรียี น ดัังนี้้� 1. ทํําใหเปนคนรื่น่� เริงิ แจมใส 2. มีคี วามสามัคั คีใี นหมููคณะ 3. สามารถยึึดเปนอาชีีพได 4. ทํําใหรููจัักดนตรีีสากลและเพลงต่าง ๆ 5. ทํําใหเกิดิ ความจํําและไหวพริบิ ดีี 6. ชวยใหเปนคนที่่�มีีการเคลื่�อ่ นไหวที่่�สง่างาม 7. ชวยในการออกกํําลัังกายไดเปนอยา่ งดีี 8. เมื่่�อไดรับั ความรููนาฏศิลิ ปสากลจนเกิดิ ความชํํานาญอาจมีชี ื่อ�่ เสียี งได้้ เรื่อ�่ งที่่� 5 วิิธีกี ารเลืือกชมการแสดงนาฎศิิลป์ การเลืือกชมการแสดงนาฏศิลิ ป มีีวิิธีปี ฏิิบัตั ิดิ ัังนี้้� 1. เลืือกชมในสิ่ง� ที่่ไ� ดรับั ความสนุุกสนานบัันเทิิงใจ 2. เลืือกการแสดงที่่�ชวยพัฒั นาจิติ ใจ อารมณ์และสติปิ ญญา 3. เลืือกการแสดงและสามารถนํําไปปรัับใช�ในชีวี ิิตประจํําวัันได 4. เลืือกการแสดงที่่ไ� ดฝกความคิิดและจิินตนาการไปพร�อมกัับการชมการแสดง 5. เลืือกการแสดงที่่ใ� หความรููจากการชมการแสดง 6. การศึึกษาทาเตน� หรืือวิิธีกี ารแสดงก่อนชมการแสดงจะทํําให เขาใจการแสดงมากขึ้น้� 7. ศึกึ ษาเนื้้อ� ร�องหรืือภาษาของบทเพลงที่่ใ� ช�ในการแสดงกอ่ นเขาชม เอกสารพััฒนาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา 21 ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

8.ทํําความเขาใจการแต่งกายของผููแสดงวาเหมาะสมกับั บรรยากาศและเรื่�่องราวในการแสดง หรืือไม่ 9. เขาใจบทบาทของตััวแสดงวาตััวแสดงแต่ละตััวเปนใครทํําอะไรที่่�ไหนในการเขาชมการแสดงนาฏศิิลปควรปฏิิบััติิ ตนอย่างไร ลักั ษณะและมารยาทของผูู้ชมการแสดงนาฏศิลิ ปที่่�ดีมี ีีดัังนี้้� 1. ไมพููดหรืือคุยุ ในระหวางการแสดง 2. ควรปรบมืือทุุกครั้�งที่่ก� ารแสดงจบ 3. ไม่วิิจารณผููแสดงในขณะชมการแสดง 4. ไมส่ ่งเสีียงโหเมื่่�อการแสดงจบหรืือผููแสดง แสดงผิิดพลาด เรื่่�องที่่� 6 ลีีลาศ ความเปน็ มาของลีลี าศ “ลีีลาศ” หมายถึึง การเต�นเพื่�่อความสนุุกสนานและไดพบกัับบุุคคลอื่�่น ๆ ในงานสัังสรรค์ หรืืองานราตรีีสโมสร การลีลี าศมีีพื้้�นฐานมาจากการเต�นรํําพื้้น� เมืือง แตจากความเปนมาไมมีี หลักั ฐานบ่งบอกวาการลีลี าศเกิดิ ขึ้น�้ แต่เปนการเต�นรํํา เพื่อ�่ เปนการประกอบกิจิ กรรมพิิธีที าง ศาสนา หรืือความเชื่�อ่ ต่าง ๆ แลวไดมีีวิวิ ัฒั นาการมาเรื่�อ่ ย ๆ ตามวัฒั นธรรมประเพณีี และความเปนอยููของชนชาติิต่างๆ ที่่�ไดมีีการพััฒนารููปแบบใหเปนทามาตรฐานมากขึ้�้น เปนรููปแบบสากล นิิยม หรืือการ ลีีลาศในปจจุุบััน ลีลี าศมีกีี่�ประเภทอะไรบา้ ง ลีลี าศแบ่งไดเปน 2 ประเภท คืือ 1. การลีีลาศแบบมาตรฐาน เปนจังั หวะมาตรฐานสากลนิยิ ม แบง่ เปน 2 รููปแบบ คืือ 1.1. การลีลี าศแบบบอลรููม (Ballroom หรืือ Standard) มีี 5 จังั หวะไดแก่ 1) วอลซ์ (Waltz) 2) แทงโก (Tango) 3) สโลว ฟอกซทรอท (Slow Foxtrot) 4) เวียี นนีสี วอลซ์ (Viennese Waltz) 5) ควิกิ สเต็ป็ (Quick Step) 1.2 การลีีลาศแบบละติิน – อเมริิกา (Latin-Amarican) มีจี ัังหวะที่่�เปนมาตรฐาน 5 จัังหวะคืือ 1) ช่า ช่า ชา่ (Cha Cha Cha) 2) แซมบ�า (Samba) 3) คิิวบััน รััมบา� (Cuban Rumba) 4) พาโซโดเบล (Paso Doble) 5) ไจวฟ (Jive) 2. การลีีลาศแบบไมเ่ ปนมาตรฐาน พัฒั นามาจากการเตน� ระบํําพื้้�นเมืือง มีี 3 รููปแบบคืือ 2.1 แบบละตินิ -อเมริกิ า เปนลีลี าศเพื่อ่� การเขาสังั คมและสนุกุ สนาน มีจี ังั หวะตา่ งๆ เชน่ จังั หวะ แมมโบ (Mambo) อารเ์ จนตินิ ่า แทงโก� (Argentina Tango) 2.2 แบบอเมริกิ ันั สไตล์ เปนการเตน� รํํา แบบบอลรููมและละตินิ เชน่ เดียี วกับั จังั หวะมาตรฐาน แตมีวี ิธิ ีหี รืือเทคนิคิ ในการเตน� ที่่แ� ตกตา่ งไปบา� งตามความนิยิ มของชาวอเมริกิ ันั เชน่ จังั หวะ ร็อ็ กแอนดโรล (Rock & Roll) และจังั หวะสวิงิ (Swing) 2.3 แบบโอลดไทมแ์ ดนซ์ เปนลักั ษณะลีลี าศ ที่่ม� ีวี ิวิ ัฒั นาการมาจากการเตน� รํําแบบ โบราณที่่น� ิยิ มใชเ� ตน� ตามงาน เลี้ย� งสังั สรรค์ โดยจะจัับเปนคูู แต่เวลาเต�นจะเต�นพรอ� มกัันทุกุ คูู เปน รููปแบบวงกลมโดยใชจ� ังั หวะหลายๆ จัังหวะในการเต�น เช่น สวิิง วอลช์ (Swing Waltz) เปนต�น 22 เอกสารพััฒนาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

ประโยชนของการลีีลาศ 1. กอ่ ใหเกิิดความซาบซึ้้�งในจังั หวะดนตรีี 2. กอ่ ใหเกิดิ ความสนุุกสนาน เพลิดิ เพลินิ 3. เปนกิิจกรรมนัันทนาการ และเปนการใช�เวลาวางใหเปนประโยชน์ 4. เปนกิิจกรรมสื่่�อสัมั พันั ธทางสัังคม ที่่ผ� ููชายและผููหญิงิ สามารถเขารวมในกิจิ กรรมพร�อม กัันได 5. ชวยพัฒั นาทัักษะทางร่างกาย 6. ชวยสง่ เสริิมสุขุ ภาพพลานามัยั ทั้้�งทางดานร่างกายและจิติ ใจ 7. ทํําใหมีีรููปรา่ งทรวดทรงงดงาม สมสวน มีบี ุุคลิกิ ภาพสงา่ งาม 8. ชวยผ่อนคลายความตึึงเครียี ดทางดานรา่ งกาย จิิตใจ อารมณ์และสังั คม 9. ชวยใหรููจัักการเขาสัังคม และรููจักั การอยููรวมกัันในสังั คมไดเปนอยา่ งดีี 10. ชวยสง่ เสริิมใหมีีความเชื่่�อมั่น� ในตนเอง กลา� แสดงออกในสิ่ง� ที่่�ดีงี าม 11. ทํําใหมีคี วามซาบซึ้�้งในวััฒนธรรมอัันดีี 12. เปนกิิจกรรมที่่ก� อ่ ใหเกิิดความคิิดริเิ ริ่�มสรา� งสรรค์ 13. เปนกิิจกรรมที่่ส� ามารถชวยแก�ไขขอบกพรอ่ งทางกายได ให้้นัักศึึกษาได้้ศึกึ ษาเพิ่่ม� เติมิ จากหนัังสืือแบบเรียี น รายวิิชาศิิลปศึกึ ษา ทช31003 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิลิ ปศึกึ ษา 23 ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

แบบทดสอบท้้ายบทเรียี น 1. Ballet มีีรากฐานมาจากภาษาใด 6. ละครตะวัันตกแบ่ง่ ออกได้้เป็็นกี่�ยุคุ สมััย 1. ภาษาอิิตาเลียี น 1. 3 ยุคุ สมัยั 2. ภาษาอัังกฤษ 2. 4 ยุุคสมัยั 3. ภาษาเยอรมััน 3. 5 ยุุคสมัยั 4. ภาษาอเมริกิ ันั 4. 6 ยุคุ สมััย 2. บััลเล่่ต์์ กำำ�เนิดิ ขึ้น�้ ที่่�ประเทศใด 7. ละครแนวมหัศั จรรย์์ เป็น็ ละครที่่�อยู่�ในยุุคสมััยใด 1. อิติ าลีี 1. ยุคุ แรก 2. อัังกฤษ 2. ยุุคสมััยกลาง 3. เยอรมััน 3. ยุคุ ฟื้�น้ ฟููศิลิ ปวิทิ ยา 4. ฝรั่่ง� เศส 4. ยุคุ สมัยั ใหม่่ 3. . ละครโนะ เป็น็ การแสดงของประเทศใด 8. ละครเริงิ รมย์์ เป็็นละครที่่�อยู่�ในยุคุ สมััยใดd 1. เกาหลีี 1. ยุคุ แรก 2. ญี่่ป�ุ่�น 2. ยุคุ สมัยั กลาง 3. อิินเดีีย 3. ยุคุ ฟื้น้� ฟููศิลิ ปวิทิ ยา ยุุ 4. จีีน 4. คสมัยั ใหม่่ 4. การเต้้นลีีลาศแบ่ง่ ออกเป็็นกี่�ประเภท 9. ละครพาสตอราล เป็็นละครที่่�อยู่�ในยุคุ สมัยั ใด 1. 2 ประเภท 1. ยุุคแรก 2. 3 ประเภท 2. ยุุคสมััยกลาง 3. 4 ประเภท 3. ยุุคฟื้้�นฟููศิลิ ปวิทิ ยา 4. 5 ประเภท 4. ยุคุ สมััยใหม่่ 5. การเต้้นลีีลาศจัังหวะใด จัดั อยู่�ในประเภทสแตนดาร์์ด 10. ข้้อใด ไม่่ใช่่ มารยาทในการชมละครเวทีี 1. จัังหวะแทงโก้้ 1. แต่ง่ กายให้เ้ หมาะสมตามกาลเทศะ 2. จังั หวะแซมบ้้า 2. เข้้าโรงละครก่อ่ นเวลาแสดงอย่า่ งน้้อย 10 นาทีี 3. จังั หวะ ชะ ชะ ช่่า 3. งดใช้้เครื่�่องมืือสื่่�อสารทุกุ ชนิิด 4. จังั หวะปาโซโดเบล 4. นั่่ง� ตััวตรงตลอดเวลา ในขณะชมละคร 24 เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

แบบทดสอบหลัังเรียี น คำ�ำ ชี้้แ� จง จงเลืือกคำ�ำ ตอบที่่ถ� ูกู ที่่ส� ุดุ เพีียงข้อ้ เดียี ว 8. เครื่�่องดนตรีใี นข้้อใดเป็น็ เครื่�อ่ งดนตรีปี ระเภทเครื่่�องเป่า่ 1. ทัศั นธาตุุ (Visual Element)ในข้้อใดมีีมิิติเิ ป็็นศููนย์์ ก. ไวโอลินิ ข. ฟลุุท ก. จุุด ค. กีีตาร์์ ข. เส้้น ง. แทมบููริิน ค. รููปร่่าง ง. รููปทรง 9. ทรัมั เป็ท็ จัดั เป็น็ เครื่�อ่ งดนตรีปี ระเภทใด 2. ข้้อใดคืือสีโี ทนร้้อน ก. เครื่่�องสาย ก. สีีเขียี ว ข. เครื่�่องลมไม้้ ข. สีีฟ้้า ค. เครื่�่องลมทองเหลืือง ค. สีีแดง ง. เครื่่�องตีกี ระทบ ง. สีนี ้ำ�ำ�เงิิน 3. Out line หมายถึึงข้้อใด 10. การฝึึกฝนบััลเล่่ต์์สามารถแก้้ไขข้้อบกพร่่องทางสรีีระ ก. เส้้นรอบวง ข้้อใดได้้บ้้าง ข. เส้้นร่่างโครงสร้้าง ค. เส้้นรายละเอีียดภายในภาพ ก. หลัังค่่อม ง. เส้้นแสดงน้ำำ�� หนักั แสงเงาของภาพ ข. ขาโก่่ง 4.“รััก” ใช้้ในงานศิิลปะประเภทใด ค. ศีรี ะษะเอียี ง ก. งานหล่อ่ ง. เท้้าบิดิ ออกด้้านนอก ข. งานปั้้�น 11. Ballet มีรี ากฐานมาจากภาษาใด ค. งานแกะสลััก ก. ภาษาอิติ าเลียี น ง. งานปิิดทอง ข. ภาษาอัังกฤษ 5. สีีใดให้้ความรู้้ส� ึึก รุ่�งเรืือง ค. ภาษาเยอรมันั ก. แดง ง. ภาษาอเมริกิ ััน ข. เหลืือง 12. บััลเล่่ต์์ กำ�ำ เนิดิ ขึ้น้� ที่่ป� ระเทศใด ค. ดำำ� ก. อิิตาลีี ง. เขีียว ข. อัังกฤษ 6. สีใี ดที่่ใ� ช้้แทนความรักั ค. เยอรมันั ก. ดำำ� ง. ฝรั่่�งเศส ข. แดง 13. ละครโนะ เป็น็ การแสดงของประเทศใด ค. ชมพูู ก. เกาหลีี ง. ขาว ข. ญี่่�ปุ่�น 7. การบรรเลงเพลงโดยใช้้ผู้�เ้ ล่่น 2 คนมีชี ื่�อ่ เรียี กว่า่ อย่า่ งไร ค. อินิ เดีีย ก. ดรููโอ ง. จีีน ข. ทรีีโอ 14. การเต้้นลีลี าศแบ่ง่ ออกเป็น็ กี่ป� ระเภท ค. ควอเทต ก. 2 ประเภท ง. โนเนต ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท เอกสารพัฒั นาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึึกษา 25 ทช31003 มััธยมศึกึ ษาตอนปลาย

15. การเต้้นลีีลาศจัังหวะใด จัดั อยู่�ในประเภทสแตนดาร์ด์ 18. ละครเริิงรมย์์ เป็็นละครที่่�อยู่�ในยุุคสมััยใด ก. จัังหวะแทงโก้้ ก. ยุุคแรก ข. จัังหวะแซมบ้้า ข. ยุคุ สมัยั กลาง ค. จัังหวะ ชะ ชะ ช่า่ ค. ยุุคฟื้�น้ ฟููศิลิ ปวิทิ ยา ง. จัังหวะปาโซโดเบล ง. ยุคุ สมัยั ใหม่่ 16. ละครตะวัันตกแบ่ง่ ออกได้้เป็น็ กี่�ยุคุ สมัยั 19. ละครพาสตอราล เป็น็ ละครที่่�อยู่�ในยุุคสมััยใด ก. 3 ยุคุ สมััย ก. ยุุคแรก ข. 4 ยุุคสมััย ข. ยุคุ สมััยกลาง ค. 5 ยุุคสมัยั ค. ยุุคฟื้�น้ ฟููศิลิ ปวิทิ ยา ง. 6 ยุคุ สมััย ง. ยุคุ สมััยใหม่่ 17. ละครแนวมหััศจรรย์์ เป็น็ ละครที่่อ� ยู่�ในยุุคสมััยใด 20. ข้้อใด ไม่่ใช่่ มารยาทในการชมละครเวทีี ก. ยุคุ แรก ก. แต่่งกายให้เ้ หมาะสมตามกาลเทศะ ข. ยุุคสมัยั กลาง ข. เข้้าโรงละครก่่อนเวลาแสดงอย่่างน้้อย 10 นาทีี ค. ยุุคฟื้น�้ ฟููศิิลปวิิทยา ค. งดใช้้เครื่่อ� งมืือสื่อ�่ สารทุกุ ชนิดิ ง. ยุคุ สมัยั ใหม่่ ง. นั่่ง� ตัวั ตรงตลอดเวลา ในขณะชมละคร 26 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิิลปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

เฉลยแบบทดสอบ บทที่่� 1 ทัศั นศิิลป์ส์ ากล 1.ก 2. ค 3. ก 4. ง 5. ข 6. ค 7. ก 8. ค 9. ข 10. ค บทที่่� 2 ดนตรีสี ากล 1. ค 2. ก 3. ง 4. ข 5. ก 6. ข 7. ง 8. ข 9. ง 10. ค บทที่่� 3 นาฏศิลิ ป์ส์ ากล 1. ก 2. ง 3. ข 4. ก 5. ก 6. ข 7. ข 8. ข 9. ค 10. ง แบบทดสอบก่อ่ น-หลังั เรีียน 1.ก 2. ค 3. ก 4. ง 5. ข 6. ค 7. ก 8. ข 9. ค 10. ก 11.ก 12.’ 13.ข 14.ก 15.ก 16.ข 17.ข 18.ข 19 ค. 20. ง เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึึกษา 27 ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

แบบบัันทึึกการพััฒนาทักั ษะวิชิ าการเพื่อ่� ยกระดับั ผลสัมั ฤทธิ์์ผ�ู้�เรียี นรายบุคุ คล การทดสอบก่อ่ นเรียี นและหลังั เรีียน ระดับั มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา ทช31003 *********************** ชื่อ่� - สกุลุ ...................................................................................................... รหััสนัักศึกึ ษา....................................................... กศน.ตำำ�บล............................................................ กศน.อำำ�เภอ............................................................... จัังหวัดั ขอนแก่่น จากการที่่�ผู้้�เรีียนได้้ศึึกษาเรีียนรู้้�จากแบบเรีียน และสรุุปเนื้้�อหาจากบทเรีียน ตามเอกสารเล่่มนี้้�แล้้ว ผู้�้เรีียนสามารถ ทราบได้้ว่่าทำำ�แบบทดสอบในบทเรียี นต่่าง ๆ ถููกต้้องจำำ�นวนกี่ข� ้้อ โดยการบันั ทึึกในแบบบันั ทึึกการพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการผู้เ�้ รียี น รายบุคุ คล ดังั นี้้� ที่่� แบบประเมินิ คะแนนเต็็ม คะแนนที่่�ได้้ ผลการประเมิิน 1 แบบทดสอบก่่อนเรีียน 20 2 แบบทดสอบหลัังเรียี น 20 เกณฑ์์การประเมิินผลการพััฒนา แบบทดสอบก่อ่ นเรียี นและหลัังเรีียน เมื่่�อทำ�ำ แบบทดสอบก่่อนเรีียน และแบบทดสอบหลัังเรีียน ซึ่�งมีีแบบทดสอบ 20 ข้้อ ผู้�้เรีียนสามารถทราบได้้ว่่ามีี ความรู้อ�้ ยู่�ในระดับั ใด ดังั นี้้� จำำ�นวนข้้อสอบที่่�ผู้ �เรีียนทำำ�ถููกต้้อง อยู่ �ในระดับั หมายเหตุุ 18 - 20 ข้้อ ดีีมาก 16 - 17 ข้้อ ดีี 14 - 15 ข้้อ ปานกลาง 10 - 13 ข้้อ พอใช้้ ต่ำำ��กว่่า 10 ข้้อ ควรปรับั ปรุุง หมายเหตุุ : ผลจากการประเมินิ ผู้�เ้ รียี นสามารถนำ�ำ ไปปรับั ปรุุงตนเองเพื่�อ่ ให้เ้ กิดิ การพัฒั นาต่่อไป 28 เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

แบบบัันทึึกการพัฒั นาทัักษะวิชิ าการเพื่�่อยกระดับั ผลสัมั ฤทธิ์์ผ�ู้�เรียี นรายบุคุ คล แบบทดสอบท้า้ ยบทเรียี น ระดับั มััธยมศึกึ ษาตอนปลาย รายวิิชา ศิิลปศึกึ ษา ทช31003 *********************** ชื่�อ่ - สกุุล...................................................................................................... รหััสนัักศึกึ ษา....................................................... กศน.ตำำ�บล............................................................ กศน.อำำ�เภอ............................................................... จัังหวัดั ขอนแก่่น จากการที่่�ผู้้�เรีียนได้้ศึึกษาเรีียนรู้�้จากแบบเรีียน และสรุุปเนื้้�อหาจากบทเรีียน ตามเอกสารเล่่มนี้้�แล้้ว ผู้้�เรีียนสามารถ ทราบได้้ว่า่ ทำำ�แบบทดสอบในบทเรีียนต่่าง ๆ ถููกต้้องจำ�ำ นวนกี่ข� ้้อ โดยการบันั ทึึกในแบบบันั ทึึกการพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการผู้เ้� รีียน รายบุคุ คล ดัังนี้้� ที่่� แบบทดสอบท้้ายบทเรียี น คะแนนเต็็ม คะแนนที่่ไ� ด้้ ผลการประเมิิน 1 บทที่่� 1 ทััศนศิลิ ป์์สากล 10 2 บทที่่� 2 ดนตรีีสากล 10 3 บทที่่� 3 นาฏศิิลป์์สากล 10 เกณฑ์ก์ ารประเมินิ ผลการพััฒนา แบบทดสอบท้า้ ยบทเรีียน เมื่�่อทำำ�แบบทดสอบท้้ายบทเรีียนในแต่่ละบทเรีียน ซึ่�งมีีแบบทดสอบบทละ 10 ข้้อ ผู้้�เรีียนสามารถทราบได้้ว่่ามีี ความรู้อ�้ ยู่�ในระดับั ใด ดังั นี้้� จำ�ำ นวนข้้อสอบที่่�ผู้�เรียี นทำ�ำ ถูกู ต้้อง อยู่ �ในระดัับ หมายเหตุุ 9 - 10 ข้้อ ดีีมาก 8 ข้้อ ดีี 7 ข้้อ ปานกลาง 6 ข้้อ พอใช้้ ต่ำ�ำ� กว่่า 6 ข้้อ ควรปรับั ปรุุง หมายเหตุุ : ผลจากการประเมิิน ผู้�้เรียี นสามารถนำ�ำ ไปปรัับปรุุงตนเองเพื่�่อให้เ้ กิิดการพัฒั นาต่่อไป เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิชิ าการฯ รายวิิชา ศิลิ ปศึึกษา 29 ทช31003 มัธั ยมศึึกษาตอนปลาย

บรรณานกุ รม (ทช31003) ระดับั มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย. กรุงุ เทพฯ : บริษิ ััท นวตสาร จำ�ำ กัดั . อุดุ ม อนุกุ ููล. (2561). หนังั สืือเรียี นสาระทักั ษะการดำ�ำ เนินิ ชีวี ิติ รายวิชิ าศิลิ ปศึกึ ษา (ทช31003) ระดับั มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย. กรุงุ เทพฯ : บริิษัทั เจ.ดี.ี แอสโซซิิเอท จำำ�กัดั . 30 เอกสารพััฒนาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิิลปศึึกษา ทช31003 มััธยมศึกึ ษาตอนปลาย

คณะผ้จู ัดท�ำ ที่่ป� รึกึ ษา1. นายถาวร พลีีดี ี ผู้อ้� ำำ�นวยการสำ�ำ นักั งาน กศน.จัังหวัดั ขอนแก่่น 2. พ.อ.อ. กฤชพล พรมลีี รองผู้อ้� ำำ�นวยการสำ�ำ นัักงาน กศน.จัังหวัดั ขอนแก่่น 3. ผู้้�อำ�ำ นวยการ กศน.อำำ�เภอ สัังกััดสำ�ำ นักั งาน กศน.จัังหวัดั ขอนแก่่น คณะทำ�ำ งาน 1. นางสาวประภาศิิริิ สมวงศ์์ษา ผู้้�อำำ�นวยการ กศน.อำ�ำ เภอหนองนาคำำ� 2. นางสาวธัันยพัฒั น์์ นููเร ครููชำำ�นาญการพิเิ ศษ กศน.อำ�ำ เภอเมืืองขอนแก่่น 3. นางสาวภััชณีีภรณ์์ บำำ�รุงุ ราษฏร์์ ครูู กศน.อำ�ำ เภอมััญจาคีรี ีี 4. นางสาวกิิตติมิ า ตั้ง� จิิตเจริิญกิิจ ครูู กศน.อำ�ำ เภอชุุมแพ 5. นายสมบููรณ์์ ยุุทธชัยั ครููผู้้�ช่ว่ ย กศน.อำ�ำ เภอมัญั จาคีรี ีี 6. นางสาวพัณั ณ์์ชิิตา สนิทิ ชน ครููผู้�้ช่ว่ ย กศน.อำำ�เภอพระยืืน 7. นางสาวกุลุ ภานััน เชื้�อนิิด ครููผู้�ช้ ่ว่ ย กศน.อำ�ำ เภอภูเู วียี ง บรรณาธิกิ าร รองผู้อ�้ ำำ�นวยการสำ�ำ นักั งาน กศน.จังั หวัดั ขอนแก่่น 1. พ.อ.อ. กฤชพล พรมลีี 2. นางสาวประภาศิิริิ สมวงศ์์ษา ผู้้�อำ�ำ นวยการ กศน.อำ�ำ เภอหนองนาคำำ� 3. นางสาวธัันยพัฒั น์์ นููเร ครููชำ�ำ นาญการพิิเศษ กศน.อำ�ำ เภอเมืืองขอนแก่่น 4. นางสาวภัชั ณีีภรณ์์ บำำ�รุุงราษฏร์์ ครูู กศน.อำำ�เภอมัญั จาคีรี ีี พิมิ พ์/์ รููปเล่ม่ ครููผู้้�ช่ว่ ย กศน.อำำ�เภอภูเู วีียง นางสาวกุุลภานััน เชื้อ� นิิด เอกสารพัฒั นาทักั ษะวิิชาการฯ รายวิิชา ศิิลปศึึกษา 31 ทช31003 มััธยมศึึกษาตอนปลาย

บนั ทึก 32 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิิลปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

บนั ทึก เอกสารพััฒนาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา 33 ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

บนั ทึก 34 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิิลปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

บนั ทึก เอกสารพััฒนาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา 35 ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

บนั ทึก 36 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิิลปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

บนั ทึก เอกสารพััฒนาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิลิ ปศึกึ ษา 37 ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

บนั ทึก 38 เอกสารพัฒั นาทัักษะวิชิ าการฯ รายวิชิ า ศิิลปศึึกษา ทช31003 มัธั ยมศึกึ ษาตอนปลาย

เอกสารพัฒนาทกั ษะวิชาการ เพ่อื ยกระดบั ผลสมั ฤทธผ์ิ ู้เรียนรายบุคคล ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย รายวชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ ทร31001 ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ส�ำนักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั ขอนแก่น สำ� นักงานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำ� นักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธกิ าร

เอกสารพัฒนาทกั ษะวชิ าการ เพอื่ ยกระดบั ผลสัมฤทธิ์ผ้เู รยี นรายบคุ คล รายวชิ า ทักษะการเรียนรู้ ทร31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย

คำ� น�ำ เอกสารพฒั นาทกั ษะวชิ าการเพอ่ื ยกระดบั ผลสมั ฤทธผ์ิ เู้ รยี นรายบคุ คลเลม่ นี้ เปน็ เอกสารทจี่ ดั ทำ� ขน้ึ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ กึ ษาเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ใหเ้ กดิ การพฒั นาทกั ษะทางวชิ าการ และยกระดบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นในการเรยี น ร้ตู ามหลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็นการพฒั นาต่อเนือ่ งจากเอกสารพฒั นา ทักษะวิชาการรายบุคคล มีรายละเอียดสรุปเน้ือหาตามรายวิชาทักษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร31001 ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย แบบทดสอบหลังเรียนและแบบบันทึกการพัฒนาทักษะวิชาการผู้เรียนรายบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนได้ประเมินและ พฒั นาตนเองอย่างตอ่ เนอ่ื งใหม้ ีพนื้ ฐานความรู้เพยี งพอกับการศกึ ษาตามระดับและมคี วามรู้เพม่ิ เตมิ ในการนำ� ไปพฒั นาทักษะ ทางวชิ าการใหม้ ีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นท่ีสูงขึน้ คณะผจู้ ดั ทำ� หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ เอกสารเลม่ นจี้ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ นกั ศกึ ษา ในการศกึ ษาเรยี นรตู้ ามหลกั สตู รการศกึ ษา นอกระบบระดบั การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 และขอขอบคุณทกุ ทา่ นท่ีมีสว่ นร่วมในการทำ� เอกสารเลม่ น้ีใหส้ �ำเร็จ ลุล่วงด้วยดี ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั ขอนแกน่ เอกสารพัฒนาทกั ษะวิชาการ เพอ่ื ยกระดบั ผลสมั ฤทธิ์ผเู้ รียนรายบคุ คล รายวชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ ทร31001 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย

เอกสารพัฒนาทกั ษะวชิ าการ เพอื่ ยกระดบั ผลสัมฤทธิ์ผ้เู รยี นรายบคุ คล รายวชิ า ทักษะการเรียนรู้ ทร31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย

สารบญั หนา้ 1 คำ� น�ำ 1 สารบัญ 4 ค�ำช้ีแจงการใช้เอกสารพฒั นาทักษะวชิ าการเพ่ือยกระดับผลสมั ฤทธิผ์ ้เู รียนรายบคุ คล 5 โครงสร้างการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 5 ขอบขา่ ยเน้ือหา 12 แบบทดสอบก่อนเรยี น 13 บทที่ 1 การเรียนรู้ด้วยตนเอง 13 สรปุ เนอ้ื หา 16 แบบทดสอบท้ายบทเรียน 17 บทที่ 2 การใชแ้ หล่งเรียนรู้ 17 สรปุ เนอ้ื หา 20 แบบทดสอบท้ายบทเรียน 21 บทท่ี 3 การจัดการความร้ ู 21 สรปุ เนอื้ หา 25 แบบทดสอบท้ายบทเรียน 26 บทท่ี 4 คดิ เป็น 26 สรปุ เนอ้ื หา 29 แบบทดสอบท้ายบทเรยี น 30 บทที่ 5 ความหมาย ความส�ำคญั ของการวิจยั 32 สรปุ เนอ้ื หา 33 แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น 33 บทท่ี 6 ทักษะการเรยี นร้แู ละศักยภาพหลกั ของพืน้ ทใี่ นการพฒั นาอาชพี 34 สรปุ เนอ้ื หา 34 แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน 35 แบบทดสอบหลังเรียน 36 เฉลยแบบทดสอบ แบบบันทึกการพฒั นาทักษะวชิ าการเพอื่ ยกระดับผลสัมฤทธิผ์ ู้เรียนรายบุคคล แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน เกณฑ์การปะเมนิ ผลการพฒั นา การทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน แบบบันทกึ การพฒั นาทักษะวชิ าการเพ่อื ยกระดับผลสัมฤทธผ์ิ ู้เรยี นรายบคุ คล แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น เกณฑ์การปะเมินผลการพฒั นา การทดสอบท้ายบทเรยี น บรรณานกุ รม คณะผูจ้ ดั ท�ำ เอกสารพฒั นาทักษะวชิ าการ เพ่ือยกระดับผลสมั ฤทธิ์ผู้เรยี นรายบุคคล รายวิชา ทกั ษะการเรยี นรู้ ทร31001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย