Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย

Published by History Channel, 2021-02-06 09:55:55

Description: ประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

ทหาร พลเมอื งของลา้ นนาสามารถแสดงใหเ้ หน็ ถงึ อตั ลกั ษณท์ ม่ี รี ว่ ม กนั ซ่ึงได้คอ่ ยๆ กลายเปน็ สิง่ ท่ีปัจจุบนั คิดว่า คือไตยวน หรือ “ไทย เหนอื ” ในช่วงปลายรัชสมัยพญามังราย ซงึ่ ไดม้ พี ระชนมล์ ว่ งมากวา่ เจ็ดสิบพรรษาแล้ว ทรงเริ่มที่จะครุ่นคิดตริตรองถึงปัญหาเรื่องการ สืบราชสมบัติของอาณาจักรอันทรงอำ�นาจและมั่งค่ังรุ่งเรืองของ พระองค์ พระราชโอรสองค์โตได้ถูกสังหารไปหลายปีแลว้ เน่ืองมา จากพยายามทจี่ ะชงิ ราชบลั ลงั ก์ และโอรสองคท์ สี่ าม และองคส์ ดุ ทอ้ ง ก็ไมเ่ ป็นโลเ้ ปน็ พายอะไร ใน พ.ศ. 1854 (1311) พญามงั รายไดส้ ง่ ขนุ เครอื โอรสองคท์ สี่ าม ออกไปปกครองดนิ แดนฉานตะวนั ออก ทเ่ี มอื ง นาย ราชธานีแหง่ ใหม่ ขณะทขี่ ุนคราม โอรสองค์ที่สอง และเปน็ ที่ โปรดปรานนน้ั ไดป้ กครองเมอื งเชยี งราย ในทส่ี ดุ เมอื่ วาระสดุ ทา้ ยมา ถึง ขุนครามได้รับพระราชโองการให้มายังเชียงใหม่ และมาถึงทัน เวลากอ่ นทพี่ ญามังรายจะสวรรคตใน พ.ศ. 1860 (1317) ตลอดระยะเวลาหกสบิ ปีของการเป็นกษตั ริย์ พญามังรายได้ สรา้ งอาณาจกั รอนั ไพศาล และทรงอ�ำ นาจขนึ้ มา จากเมอื งทโ่ี ดดเดยี่ ว จ�ำ นวนหนงึ่ และไดเ้ ขา้ มาครอบครองดนิ แดนใจกลางตอนใน ซงึ่ เปน็ เขตที่สูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พระองค์มีอิทธิพลเหนือพวก ไตใหญ่ (*ฉาน หรอื เงย้ี ว) และไตเขิน/ขนื ทางตะวนั ตก ไตลอ้ื ทาง เหนอื และพวกกาว และลาวทางเหนอื และตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และ ทรงยืนหยัดต่อต้านการรุกรานของมองโกลได้นานนับสองทศวรรษ พระองค์แทบจะไม่ได้เร่ิมงานในเร่ืองการสร้างสถาบันทางการเมือง และการบริหารปกครองเลย โดยไม่ค่อยจะทำ�อะไรมากไปกว่าการ ใช้ยทุ ธศาสตร์การสง่ โอรสและนัดดา และขนุ นางทเ่ี ปน็ ทีไ่ ว้วางพระ ราชหฤทัยไปปกครองตามหัวเมืองต่างๆ ที่สร้างข้ึนในเขตเทือกเขา ตอนบนจนกระท่งั  พ.ศ. 1860 (1317) นั้น จารีตการควบคุมอำ�นาจ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 67

จากส่วนกลาง คือ เชียงใหมม่ อี ยู่นอ้ ยมาก และยังไม่มีการสร้างกฎ เกณฑ์ที่มั่นคงถาวร ที่จะสามารถทำ�ให้เกิดความม่ันใจได้ว่าจะเกิด การเปลี่ยนผ่านอำ�นาจจากกษัตริย์ไปยังรัชทายาทได้อย่างสงบสุข แตพ่ ระองคก์ ไ็ ดเ้ รมิ่ สรา้ งจารตี ประเพณดี า้ นกฎหมายในเชงิ มนษุ ยธรรม และมเี หตุมผี ลขนึ้ มาแลว้ โดยทีอ่ าจจะไดร้ ับแรงบันดาลใจจากพวก มอญ ซึ่งปัจจุบันนี้ จารีตประเพณีด้านกฎหมายดังกล่าวยังคงรู้จัก กนั ผ่านพระนามของพระองคว์ ่า “วินิจฉยั มังราย”(*มงั รายศาสตร)์ เจตนารมณ์ของกฎหมายนี้ได้สะท้อนออกมาได้เป็นอย่างดี จาก ขอ้ ความทบ่ี ญั ญตั ไิ วอ้ ยา่ งหนกั แนน่ ทวี่ า่ “ตามแตโ่ บราณกาล กษตั รยิ ์ จะสามารถรกั ษาพระราชอาณาจกั รไวไ้ ด้ กด็ ว้ ยเพราะความชว่ ยเหลอื จากไพร่ ไพรห่ าไดย้ าก และไมค่ วรทจี่ ะตอ้ งหมดเปลอื งไป (ดว้ ยการ ยอมใหไ้ พรม่ าเปน็ ทาส)”3 รชั ทายาททส่ี บื ราชบลั ลงั กต์ อ่ มาจากพญามงั รายนน้ั อยใู่ นโลก ซงึ่ บางมมุ นนั้ ดจู ะอนั ตรายนอ้ ยกวา่ ทพี่ ญามงั รายเผชญิ อยู่ อนั ตราย คุกคามท่ีมาจากการรุกรานของมองโกลจากทางเหนอื ไดผ้ ่อนคลาย ลง และสุโขทยั ที่ทรงอิทธพิ ลอ�ำ นาจทางใตก้ เ็ ร่มิ ทีจ่ ะสั่นคลอน ไมม่ ี แรงจงู ใจในการสรา้ งเอกภาพหรอื คานค�ำ้ ทมี่ าจากความส�ำ เรจ็ ในทาง ทหาร หรอื การทูตในอดีต ทจ่ี ะมาค�ำ้ จุนความย่ิงใหญ่ของเชียงใหม่ ไว้ให้อยู่ตรงยอดสุดของพีระมิด ซ่ึงพญามังรายได้เคยนำ�มันข้ึนไป ไว้ได้ การดิ้นรนเพื่อแย่งอำ�นาจการเป็นกษัตริย์ระเบิดขึ้นในกลุ่มผู้ สบื เชอ้ื สายของพญามงั ราย แตล่ ะคนกใ็ ชพ้ น้ื ฐานอ�ำ นาจจากทอ้ งถนิ่ หรอื หวั เมืองของตนเอง ในการทีจ่ ะชิงราชบัลลังก์ของเมืองราชธานี มีกษตั รยิ ห์ กพระองคป์ กครองในชว่ งสบิ เอ็ดปี และจากการข้นึ ครอง ราชย์ของพญาคำ�ฟู หลานของพญามังราย ใน พ.ศ. 1871 (1328) แล้วน่ันเอง ที่ทำ�ให้ความมีเสถียรภาพในระดับหน่ึงกลับคืนมายัง ลา้ นนา ซง่ึ เมอื่ ถงึ ตอนนนั้ แลว้ อทิ ธพิ ลอ�ำ นาจและอาณาเขตดนิ แดน 68 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

ของลา้ นนากไ็ ด้เสอ่ื มถอยลงไปแลว้ ชาวสยาม สุโขทัย และภาคใต้ เม่ือครั้งที่พญามังราย พญางำ�เมืองแห่งพะเยา และพ่อขุน รามค�ำ แหงแหง่ สโุ ขทยั ไดม้ าพบกนั และใหส้ ตั ยส์ าบานเปน็ พนั ธมติ ร กนั เพอ่ื ตอ่ ตา้ นมองโกล ใน พ.ศ. 1830 (1287) นนั้ สโุ ขทยั ไดด้ นิ แดน ทางใต้และทางตะวันออก ซง่ึ ขยายอ�ำ นาจไปได้อยา่ งนอ้ ยๆ กเ็ ทียบ ไดก้ บั ลา้ นนาของพญามงั รายทอี่ ยใู่ นตอนเหนอื อยา่ งไรกต็ าม สภาพ เงื่อนไขท่ีทำ�ให้เกิดเร่ืองเช่นนี้ และลำ�ดับชุดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ เกิดข้นึ นน้ั เรารู้ไดน้ อ้ ยมาก และกท็ �ำ ไดแ้ คเ่ พียงคาดเดาเท่าน้ัน มี สองประการที่ส่งผลสำ�คัญต่อประวัติศาสตร์ของคนไท-ไต ในภาค กลางของสยามในระหวา่ งคริสต์ศตวรรษท่ี 13 น้นั ประการแรกกค็ อื พลเมืองไท-ไตจำ�นวนมากในขณะน้ันได้ลงหลักปักฐานอยู่ท่ัวทั้ง ทรี่ าบภาคกลางในดนิ แดนทเี่ ปน็ แกนกลางเกา่ ของทวารวดี และลพบรุ ี และประการทีส่ องกค็ ือ คนไท-ไตมีประสบการณอ์ ยา่ งเพยี งพอกับ การเปดิ ตวั สู่สงั คม วฒั นธรรม และการเมอื งของจักรวรรดิพระนคร อันเกา่ แก่อยมู่ ากทเี ดียว เราไดเ้ หน็ แลว้ วา่ พระเจา้ พรหมผปู้ กครองแควน้ โยนก ถกู บบี ใหต้ อ้ งออกจากฝาง เมอื งเลก็ ๆ ของพระองค์ โดยกองทพั ของผรู้ กุ ราน ที่มาจากตะวันตกใน พ.ศ. 1560 (1017) ได้อย่างไร ตามต�ำ นานนัน้ พระองค์หนีมาต้ังบ้านเมืองใหม่ในเขตกำ�แพงเพชร และสถาปนา ราชวงศป์ กครองอยตู่ รงนน้ั ตรงชายขอบของจกั รวรรดพิ ระนคร เปน็ เวลานานหลายช่ัวอายุคน เหน็ ได้ชดั เจนว่า ทนี่ ั่นมีบา้ นเมืองทีม่ ีเจา้ ปกครองเชน่ นีไ้ ด้รับการสถาปนาขึ้นมา หรอื ค่อยๆ ถูกยึดครองโดย เจา้ ผคู้ รองชาวไท-ไตทที่ ะเยอทะยาน ดว้ ยความชว่ ยเหลอื ของเหลา่ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 69

ขา้ บรวิ าร และบรรดาทาสเชลยจากสงคราม เมอ่ื พจิ ารณาจากต�ำ นาน ต่างๆ และเร่ืองเล่าที่เก่ียวข้องกันในตำ�นานการแต่งงานระหว่างกัน กับกลุ่มชนชั้นปกครองพ้ืนเมือง จะต้องเป็นวิธีการที่สำ�คัญอย่าง ย่ิงยวดในการท่ีเจ้าผู้ครองชาวไท-ไตจะค่อยๆ ขึ้นมามีอำ�นาจ ถ้า หากวา่ หนึง่ จารตี ตำ�นานเช่นน้พี อจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บา้ ง ความ สัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์เช่นนี้ที่สำ�คัญท่ีสุด ได้แก่ ความสัมพันธ์ ระหวา่ งผปู้ กครองพนื้ เมอื งของบา้ นเมอื งตรงชายขอบทร่ี าบลมุ่ แมน่ �ำ้ เจ้าพระยาซีกตะวันตก กับราชวงศ์ท่ีพระเจ้าพรหมสถาปนาขึ้นมา พน้ ไปจากขา่ ยความสมั พนั ธท์ างการเมอื งและเครอื ญาตดิ งั กลา่ ว ซง่ึ มศี นู ยก์ ลางอยใู่ นเขตเมอื งเกา่ สพุ รรณบรุ แี ละเพชรบรุ แี ลว้ กม็ หี วั หนา้ และเจา้ ผปู้ กครองที่สืบตอ่ กนั มาจำ�นวนหนึ่งทีไ่ ดส้ รา้ งชุมชนใหมข่ ้นึ ไกลลงไปทางใต้จนถึงนครศรีธรรมราชบนคาบสมุทรมลายู และมี อ�ำ นาจปกครองเหนือเมอื งทกี่ อ่ ต้งั แล้ว เชน่ ชยั นาท พิษณโุ ลก และ นครสวรรค์ การปรากฏข้ึนของคนไท-ไตในยุคต้น ท่ีน่าฉงนฉงายมาก ทส่ี ุด เปน็ การปรากฏขน้ึ ของราชวงศ์ผคู้ รองนครศรธี รรมราช ซ่งึ ใน ครสิ ต์ศตวรรษที่ 13 จะกลายเป็นอ�ำ นาจทอ้ งถิ่นทยี่ ่งิ ใหญ่เกรียงไกร อยบู่ นคาบสมทุ ร เปน็ เวลาถงึ สองศตวรรษทเี ดยี วทนี่ ครศรธี รรมราช กลายเปน็ จดุ สนใจของศตั รจู ากตา่ งแดนทแี่ ขง็ แกรง่ เชน่ เขมร มลายู พม่า มอญ และบรรดาเจ้าผู้ครองอินเดียใต้ท่ีแสวงหาอำ�นาจ เพื่อ ควบคมุ การคา้ ทางทะเลระดบั นานาชาตดิ ว้ ยการสถาปนาอ�ำ นาจของ ตนท่ีนครศรีธรรมราช จารีตตำ�นานท้องถิ่นอันสับสนยุ่งเหยิงของ นครศรีธรรมราช มไิ ด้ใหเ้ งื่อนงำ�ใดๆ เลยเกย่ี วกับการเขา้ มาของคน ไท-ไต แต่กลับปรากฏให้เห็นว่า มีราชวงศ์ผู้ปกครองชาวไท-ไต อย่างน้อยหน่ึงสายตระกูลสถาปนาบ้านเมืองขึ้นท่ีน่ัน ไม่ช้าไปกว่า ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 13 โดยการปกครองพลเมืองที่ผสม 70 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

ปนเปกนั ไมน่ อ้ ยไปกวา่ ประวตั ศิ าสตรข์ องรฐั และแนน่ อนวา่ พลเมอื ง ดงั กลา่ วนัน้ รวมถงึ พวกเขมร มอญ และมลายูจ�ำ นวนมากพอควร บรรดาผปู้ กครองของนครศรธี รรมราชจะตอ้ งปรบั ผลประโยชนร์ ะหวา่ ง รัฐในแบบจารตี ของเมอื งนครฯ ให้เข้ากับสภาพการณ์ดงั กลา่ ว ดว้ ย การพยายามทจี่ ะเขา้ ไปแทรกแซงการเมอื งของลงั กา และไดส้ ถาปนา ความสัมพันธ์แบบประเทศราชอันเก่าแก่กับบ้านเมืองใกล้เคียงกับ นครฯ ข้ึนมาอกี คร้งั หนึ่ง รวมท้ังบา้ นเมืองของมลายูทางใตแ้ ละทาง ตะวนั ตก รวมทง้ั ปาหังและไทรบรุ ี นอกจากน้นั ในช่วงกลางคริสต์ ศตวรรษท่ี 13 นครศรีธรรมราชได้กลายเป็นศูนย์กลางหลักในการ เผยแผ่พุทธศาสนาเถรวาทสายใหม่ ซ่งึ มีพนื้ ฐานอยู่บนค�ำ สอนของ อารามมหาวหิ าร (Mahavihara) แห่งลังกา จากเมอื งนครฯ นั่นเอง ท่ีคณะสงฆ์ได้นำ�พุทธศาสนาแบบใหม่เข้าไปยังจักรวรรดิพระนคร ไปยงั ลพบรุ ี สโุ ขทยั และลา้ นนา ถงึ แมว้ า่ จะไมไ่ ดม้ อี ทิ ธพิ ลหนกั หนว่ ง มากนัก แต่การแผ่อำ�นาจของคนไท-ไตในลักษณะคล้ายคลึงกันน้ี ดูเหมือนว่าจะเกิดข้ึนอย่างกว้างขวางท่ัวทั้งภูมิภาคน้ีในเกือบช่วง เวลาเดียวกนั การเคล่ือนไหวของการพัฒนาการทางการเมืองน้ีจะมีความ แขง็ แกรง่ มากยง่ิ ขน้ึ เนอื่ งจากอ�ำ นาจของจกั รวรรดพิ ระนครไดเ้ สอื่ ม ลง หลงั จากการสวรรคตของพระบาทชยั วรมนั ท่ี 7 ในราว พ.ศ. 1763 (1220) ซ่ึงอาจจะสะท้อนให้เห็นได้จากการส่งคณะทูตไปยังจีนใน ระหวา่ ง พ.ศ. 1743 (1200) และ 1748 (1205) เพอ่ื แสวงหาการยอมรบั ทางการเมอื งและการคา้ โดยรฐั ทช่ี าวจนี เรยี กวา่ “เจนิ หลฟ่ี ู่ (Chen- li-fu)” ตั้งอยู่ในตำ�แหน่งท่อี าจจะอยู่ในเพชรบรุ ี อยา่ งไรกต็ าม ใน ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 13 รัฐเช่นนี้ดูเหมือนจะเห็นได้อย่าง ชดั เจนวา่ เปน็ เพยี งรฐั ของคนพนื้ เมอื งซง่ึ สรา้ งขนึ้ จากเมอื งเดย่ี วหนง่ึ เมือง และเป็นดินแดนท่ีอยู่ตอนใน จึงมีเพียงความสัมพันธ์อย่าง 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 71

หลวมๆ เปน็ ทสี่ ดุ กบั เมอื งตา่ งๆ ทอี่ ยใู่ กลเ้ คยี ง ในระหวา่ งชว่ งน้ี บา้ น เมืองทม่ี เี จา้ ปกครองดังกลา่ วอาจจะพวั พนั อยกู่ บั การท�ำ สงครามกับ เพ่ือนบ้าน หรือกบั จักรวรรดิพระนครเป็นครั้งเปน็ คราว แตบ่ างชว่ ง เวลาทมี่ คี วามสงบสนั ตนิ น้ั บา้ นเมอื งเหลา่ นน้ั ดเู หมอื นวา่ จะสามารถ ครอบครองพวกผอู้ พยพทเี่ ขา้ มาปกั หลกั สรา้ งบา้ นเรอื น หรอื พลเมอื ง ทีเ่ ป็นเชลยในบริเวณเขตชนบทรอบนอก และสถาปนาเครือขา่ ยใน การบรหิ ารปกครองขน้ึ มา เมอื่ มองในเชงิ เปรยี บเทยี บแลว้ ประสบการณ์ ของบรรดาเจา้ ผปู้ กครองเหลา่ นจี้ ะอยใู่ นสภาพการณแ์ วดลอ้ มทพี่ ฒั นา ขึ้นกว่า มีความซับซ้อน และมีความลึกลำ้�กว่ามาก ซึ่งถูกสร้างรูป ขน้ึ มานานนบั ศตวรรษจากการปกครองและอทิ ธพิ ลของพวกเขมรท่ี จกั รวรรดิพระนคร ทำ�ใหช้ นชนั้ น�ำ ไท-ไตแห่งล่มุ เจ้าพระยา และใน คาบสมทุ รมลายตู อนบนเหลา่ นม้ี วี ฒั นธรรมทโ่ี ดดเดน่ เปน็ เอกลกั ษณ์ มคี วามแตกตา่ งในบางแงม่ มุ ทสี่ �ำ คญั จากวฒั นธรรมของญาตพิ น่ี อ้ ง คนไท-ไตในภาคเหนือ ซ่ึงทา้ ยท่ีสดุ แล้ว กลายเปน็ ท่รี จู้ ักกันในช่อื วา่ ลาว หรือไตใหญ่ (*ฉาน หรอื เง้ียว) ชนชั้นนำ�ไท-ไตแห่งลมุ่ เจา้ พระยา และคาบสมทุ รตอนบน ดเู หมอื นจะคนุ้ ชนิ กบั การจดั องคก์ ร ทางการเมืองและสังคม ที่โดยเปรียบเทียบแล้วจะมีความซับซ้อน และมกี ารจดั ล�ำ ดบั ศกั ดนิ ามากกวา่ พวกไตยวนหรอื ลาว ส�ำ หรบั ลทั ธิ ความเชอ่ื ในการนบั ถอื ผอี นั ดงั้ เดมิ ของพวกเขานนั้ ไดเ้ พม่ิ เอาสว่ นที่ เป็นความเช่ือและแบบแผนการปฏิบัติของพราหมณ์อินเดียเข้าไป ปะปนมากอยู่ โดยเฉพาะในสว่ นทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั พิธกี รรมท่เี กยี่ วขอ้ ง กบั การเปลยี่ นผา่ นชว่ งชวี ติ และยามเกดิ ความทกุ ขย์ ากในครวั เรอื น คนไท-ไตเหล่านี้ ซงึ่ อาจจะมีตน้ กำ�เนดิ เป็นมอญ หรือเขมร ไดถ้ ูก กลา่ วถงึ ในประวตั ศิ าสตรว์ า่ เปน็ ชาวสยาม (Siamese) อนั เปน็ การ แปลงของท้องถนิ่ จากค�ำ ว่า สยำ� (Syam) ในจารึกของจาม เขมร และพุกาม ศัพท์คำ�น้ีมีนัยสำ�คัญทางการเมืองขึ้นมา เม่ือหน่ึงใน 72 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

บรรดารฐั ท้ังหลายของคนไท-ไต น่ันคือ สุโขทัย ได้รบั การกล่าวถึง อยใู่ นหลกั ฐานของชาวจนี ในชว่ งปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13 วา่ เสยี ม ซึง่ กค็ ือ สยาม นนั่ เอง ในยุคที่เขมรเรืองอำ�นาจ บรรดาเจ้าผู้ปกครองไท-ไต และ หัวหน้าคนพื้นเมืองในลุ่มน้ำ�เจ้าพระยาได้สยบอยู่ใต้อำ�นาจของ จักรวรรดพิ ระนคร และไดร้ ับยศศักดิ์ และบางทไี ดร้ บั มอบผู้หญิงมา เป็นชายา เพื่อท่ีผูกใจให้อยู่ในจักรวรรดิ ตัวอย่างที่สำ�คัญท่ีสุดใน เร่ืองนี้ ก็คือ พ่อขุนผาเมือง ซ่ึงเป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองเล็กๆ ที่ เรยี กวา่ เมอื งราด ใกลก้ บั อตุ รดติ ถ์ (?) ซงึ่ กษตั รยิ เ์ ขมรไดพ้ ระราชทาน ยศ ศรบี ดนิ ทราทติ ยใ์ ห้ ยศศกั ดด์ิ งั กลา่ วเทยี บเทา่ กบั ต�ำ แหนง่ กษตั รยิ ์ หรืออุปราชของเขมร และพระราชทานพระขรรค์ศักดิ์สิทธ์ิ (*พระ ขรรคไ์ ชยศร)ี และ “พระราชธดิ า”(*พระนางสขุ รมหาเทว)ี ให้ บางที พ่อขุนผาเมืองอาจจะต้องให้สัตย์สาบานว่า จะภักดีต่อจักรวรรดิ พระนคร และสญั ญาวา่ จะสง่ บรรณาการไปยงั จกั รวรรดพิ ระนครเปน็ ประจำ� เพื่อตอบแทนกับสิ่งทีพ่ ระองคไ์ ด้รบั การยินยอมใหป้ กครอง บา้ นเมืองไดโ้ ดยไม่ถูกรบกวนใดๆ  พอถงึ ช่วงเวลาหนง่ึ อาจจะในราว พ.ศ. 1790 (1247) พ่อขนุ ผาเมืองได้รวบรวมกำ�ลังคนขึ้นจำ�นวนหนึ่ง และเข้าร่วมกับเหล่าผู้ ปกครองสยามทีอ่ ยใู่ กล้เคยี ง คอื พอ่ ขุนบางกลางหาวแห่งเมืองบาง ยาง (น่าจะตั้งอยู่ใกล้กับสุโขทัย) ผู้ซึ่งไม่สยบยอมต่ออำ�นาจเขมร หลงั จากปราบบางขลงและศรสี ชั นาลยั ทอี่ ยใู่ กลๆ้  นนั้ ไดแ้ ลว้ ทง้ั สอง กเ็ ดนิ ทพั มงุ่ ไปยงั ทม่ี นั่ หลกั ของเขมร ในเขตบรเิ วณสโุ ขทยั ซงึ่ บางที อาจจะตง้ั ม่นั ข้ึนท่นี ่ันมาตัง้ แตศ่ ตวรรษที่ผ่านมาแลว้ พวกเขมรต่อสู้ ตา้ นทานแตป่ ราชยั และพอ่ ขนุ ผาเมอื งรดุ เขา้ เมอื งได้ บางทดี ว้ ยอาจ จะเป็นเพราะพระองคไ์ ดผ้ ิดต่อคำ�สตั ย์สาบานที่จะภักดตี อ่ จักรวรรดิ พระนคร หรืออาจจะเพราะทรงยอมรับว่าพ่อขุนบางกลางหาวนนั้ มี 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 73

อำ�นาจเหนือกว่า หรือมีอาวุโสกว่า พ่อขุนผาเมืองจึงได้ยกชัยชนะ ของพระองค์ครงั้ น้ีให้กับผู้เป็นสหาย คือพอ่ ขุนบางกลางหาว พรอ้ ม กบั ถวายยศและพระขรรคใ์ หก้ บั พอ่ ขนุ บางกลางหาวดว้ ย และพอ่ ขนุ บางกลางหาวกร็ าชาภเิ ษกใหม่ ในต�ำ แหนง่ ศรอี นิ ทราทติ ย์ กษตั รยิ ์ แหง่ สโุ ขทยั คนเหล่าน้เี ปน็ ใครและมาจากไหนกนั เลา่ ? เพราะวา่ พวกเขา เชอื่ กนั วา่ วญิ ญาณสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธซ์ิ ง่ึ สถติ อยตู่ ามถ�้ำ หรอื บนเขา ทต่ี งั้ อยู่ ทางเหนอื ของลมุ่ แม่น�ำ้ นา่ น และลุ่มนำ�้ อูในลาวเหนือ จะพิทักษ์ปก ปกั ษพ์ วกเขา จงึ เชอ่ื กนั วา่ บรรพบรุ ษุ ของพวกเขามาจากดนิ แดนแหง่ นั้น ภาษาท่ีพวกเขาใช้ตามที่พบในศิลาจารึกที่ย้อนกลับไปได้เก่า ทส่ี ดุ นน้ั ดเู หมอื นวา่ จะบอกใหเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะบางประการทส่ี มั พนั ธ์ กบั ไตขาว อยา่ งไรกต็ าม พวกเขาเองกลบั ไมท่ ้ิงหลักฐานใดๆ เกี่ยว กบั ภูมหิ ลังหรอื ชีวิตท่ผี า่ นมาของตนเลย ในรัชสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และพระราชโอรส คือ พ่อขุนบานเมือง (ครองราชย ์ พ.ศ. ?- พ.ศ. 1822 (1279) สโุ ขทัยยงั คงเป็นเพียงอำ�นาจท้องถิ่น ตรงชายขอบท่ีราบลุ่มท่ีค่อยๆ ยกตัว กลายเปน็ เนนิ สงู ขน้ึ แลว้ กแ็ ปรเปลยี่ นเปน็ เทอื กเขาสงู กษตั รยิ เ์ หลา่ นี้ดูจะมิได้ใส่พระทัยนักกับการคุกคามท่ีเกิดขึ้นไม่ขาดสายจาก จักรวรรดิพระนคร แต่สนพระทัยต่อความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้าผู้ ปกครองชาวไท-ไต ทเ่ี ปน็ เพอ่ื นบา้ นขา้ งเคยี งมากกวา่ เชน่ ผปู้ กครอง เมืองฉอด (ใกลก้ ับแมส่ อด) ซง่ึ ได้มารกุ รานเมอื งตาก อนั เป็นเมอื ง หน้าด่านทางตะวันตกของสุโขทยั เมือ่ กองทัพของพอ่ ขุนศรีอินทรา ทิตย์ ได้แตกพา่ ยจากสนามรบอย่างไม่เป็นกระบวน พระโอรสพระ ชนมายสุ บิ เก้าพรรษานามวา่ ขุนราม ตั้งหลักได้ และเข้าบัญชาการ ทพั โจมตที พั ขา้ ศกึ จนมชี ยั ชนะ ไดร้ บั สมญั ญานามวา่ “คำ�แหง” จงึ มพี ระนามว่า รามค�ำ แหง อันหมายถงึ รามผ้กู ล้าหาญ 74 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

เมื่อขุนรามคำ�แหงสืบราชสมบัติต่อจากพระเชษฐา ในฐานะ กษัตริย์แห่งสุโขทัยในราว พ.ศ. 1822 (1279) นั้น อาณาจักรของ พระองคย์ งั คงมขี นาดคอ่ นขา้ งเลก็ มขี อบเขตเพยี งสโุ ขทยั สวรรคโลก อุตรดติ ถ์ กำ�แพงเพชร และตากในปัจจุบัน บรรพบรุ ุษของพระองค์ และอ�ำ นาจของพระองศ์อนั กระชบั มั่นท่ีสุโขทยั ตลอดจนชื่อเสยี งใน การศกึ สงคราม ทำ�ใหพ้ ระองคม์ ีความโดดเด่นในทา่ มกลางกลมุ่ คน ไท-ไตในบรเิ วณใกลเ้ คยี งและในดนิ แดนทางตอนเหนอื ทง้ั ยงั ดเู หมอื น ว่าพระองค์ยิ่งโดดเด่นมากข้ึนในดินแดนทางตอนใต้ ไม่ว่าจะผ่าน ทางสายพระราชมารดา หรอื จากการอภเิ ษกกบั สายตระกลู ผปู้ กครอง ในดนิ แดนทางใต้ (ซงึ่ บางทอี าจจะเขา้ ไปอยใู่ นสายของพระเจา้ พรหม แหง่ ก�ำ แพงเพชร) ทส่ี �ำ คญั ทส่ี ดุ ชว่ งเวลากป็ ระจวบเหมาะและโอกาส กส็ กุ งอม ส�ำ หรบั กษตั รยิ ห์ นมุ่ ซง่ึ มคี วามทะเยอทะยานและมเี สน้ สาย สัมพันธ์ เห็นได้ชัดเจนว่าจักรววรดิพระนครนั้น กำ�ลังมีลมหายใจ เฮอื กสดุ ทา้ ยแลว้ ในการเปน็ มหาอ�ำ นาจและสถานภาพทางการเมอื ง ของบา้ นเมอื ง ในท่ีราบลมุ่ เจ้าพระยากย็ งั คงไมแ่ นน่ อน พญามังราย ก็อยู่ในภาวะกำ�ลังสร้างอาณาจักรใหญ่ทางตอนเหนือและตะวันตก เฉียงเหนือ และพวกมอญก็ก�ำ ลังไดร้ บั อิสรภาพจากพุกาม ไมว่ ่าจะ โดยตั้งใจหรือเพราะความจำ�เป็น พ่อขุนรามคำ�แหงจึงมุ่งม่ันความ พยายามทจ่ี ะสถาปนาอำ�นาจออกไปอยา่ งกวา้ งขวางและม่นั คง ใน ชว่ งทม่ี โี อกาสอนั ยงิ่ ใหญเ่ ชน่ น้ี และหลกี เลย่ี งความบาดหมางกบั ทงั้ บ้านเมืองไท-ไต และเพ่ือนบ้านทางเหนือ และทางตะวันตกเฉียง เหนอื ซ่ึงก็คือ พญามังราย และพญาง�ำ เมอื ง รวมท้งั กับลพบุรที ่อี ยู่ ทางตะวนั ออกเฉียงใต้ จากคำ�ของพระองค์เองท่ีปรากฏอยู่ในศิลาจารึก พ.ศ. 1835 (1292) พ่อขุนรามคำ�แหงได้บรรยายรูปแบบและหลักการในการ ปกครองของพระองค์ และแสดงให้เห็นถึงวิธีการซ่ึงพระองค์ได้ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 75

สถาปนาอาณาจกั รอนั ยิง่ ใหญข่ ึ้นได้อยา่ งรอบคอบและรวดเรว็ ...เมอื่ ชวั่ พอ่ ขนุ รามค�ำ แหง เมอื งสโุ ขทยั นดี้ ี ใน น�ำ้ มปี ลา ในนามเี ขา้ เจา้ เมอื งบเ่ อาจกอบในไพรล่ ทู าง เพอื่ นจงู ววั ไปคา้ ขม่ี า้ ไปขาย ใครจกั ใครค่ า้ ชา้ งคา้ ใคร จกั ใครค่ า้ มา้ คา้ ใครจกั ใครค่ า้ เงนิ คา้ ทองคา้ ไพรฝ่ า้ หนา้ ใส ลกู เจา้ ลกู ขนุ ผใู้ ดแล้ ลม้ ตายหายกวา่ อยา้ วเรอื นพอ่ เชื้อเส้อื คำ�มัน ช้างขอลกู เมียเยยี เขา้ ไพร่ฝา้ ข้าไท ปา่ หมากป่าพลูพ่อเชอ้ื มัน ไว้แก่ลกู มันสิน้ ไพร่ฝ้าลูกเจ้า ลูกขุน ผีแ้ ล้ผตี แผกแสกว้างกนั สวนดูแท้แล้ จึง่ แลง่ ความแกข่ าด้วยซ่อื บเ่ ข้าผ้ลู ักมกั ผซู้ อ่ น เหน็ เข้าทา่ น บใ่ ครพ่ นี เหน็ สนี ทา่ นบใ่ ครเ่ ดอื ด ...ในปากประตมู กี ดง่ิ อนั ณงึ่ แขวนไวห้ นั้ ไพรฝ่ า้ หนา้ ปกกลางบา้ นกลางเมอื ง มถี อ้ ยมคี วาม เจบทอ้ งขอ้ งใจ มนั จักกล่าวเถงิ เจา้ เถงิ ขนุ บไ่ ร้ ไปลน่ั กะดงิ่ อนั ทา่ นแขวนไว้ พอ่ ขนุ รามค�ำ แหง เจา้ เมอื งได้ ญนี เรยี กเมอื ถาม สวนความแกม่ นั ดว้ ยซอ่ื ไพรใ่ นเมืองสโุ ขทยั น้จี ่ึงชม...4 ในคำ�ประกาศยกยอตนเองนี้ พ่อขุนรามค�ำ แหงได้วาดภาพ ของอาณาจกั รในอดุ มคติ ซงึ่ ปลอดจากการกดขบี่ งั คบั ปกครองโดย ธรรม คณุ งามความดี และเปน็ กษัตรยิ ท์ ี่เป็นท่ีรักใครข่ องประชาชน จนได้ชื่อว่าเป็น “พอ่ ขุน” และมคี วามสัมพันธ์ทางสงั คมในลกั ษณะ พอ่ กบั ลกู ในขณะทค่ี ณุ สมบตั ทิ วี่ า่ นนั้ ตรงกนั ขา้ มกบั การจดั ฐานนั ดร ทางสงั คมอยา่ งเขม้ งวด กระบวนการยตุ ธิ รรมอนั อยตุ ธิ รรม การเกบ็ ภาษีอย่างหนัก และอำ�นาจปกครองอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุนามน้ัน ซ่ึง อนมุ านไดว้ า่ เปน็ รปู แบบของจกั รวรรดพิ ระนคร พอ่ ขนุ รามค�ำ แหงดู 76 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

เหมอื นจะทรงกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะน�ำ เสนอรปู แบบการปกครอง อนั เปน็ ทางเลือกใหแ้ ก่คนโดยทวั่ ไป และโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คนสยามหรือ ไท-ไต พระองคท์ รงแสดงตนในฐานะกษตั รยิ ผ์ ซู้ งึ่ นบั ถอื ภตู ผวี ญิ ญาณ ซ่ึงดำ�รงอยู่ในโลกเหนือธรรมชาติของคนไท-ไต รวมท้ังทรงเป็น พุทธศาสนิกชนผู้เคร่งครัด และส่งเสริมการเผยแพร่ความเชื่อทาง ศาสนา และสนบั สนนุ คณะสงฆอ์ ยา่ งแขง็ ขนั ดว้ ยการใหค้ วามยตุ ธิ รรม และความมง่ั คง่ั แกผ่ อู้ ยใู่ ตป้ กครอง พระองคย์ นื ยนั ความปลอดภยั ใน ชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา แต่พระองค์ก็ยังทรงนับถือเรื่องจิต วญิ ญาณดว้ ย ทเ่ี หนอื กวา่ อน่ื ใด สโุ ขทยั เปน็ รฐั พทุ ธศาสนา ซง่ึ อปุ ถมั ภ์ คำ้�จุนคณะสงฆ์ ซ่ึงได้รับการฟื้นฟูและกลับมามีพลังขึ้นอีกคร้ังโดย พระสงฆผ์ ู้เรืองนามจากนครศรธี รรมราช พลเมอื งของสโุ ขทัยไดต้ ั้ง มน่ั ในแนวคดิ พน้ื ฐานแบบพทุ ธ และเฉลมิ ฉลองประเพณี ตามปฏทิ นิ ทางศาสนากนั อยา่ งคกึ คกั ตระการตา กษตั รยิ ท์ รงออกประทบั นงั่ บน ขดารหิน เพ่ือรับฟังการร้องทุกข์และฎีกาของราษฎร และในทุกๆ  สัปดาห์ทรงนิมนต์พระสงฆ์ผู้รู้ธรรม เทศนาส่ังสอนธรรมะของ พระพุทธเจ้าบนขดารหิน ด้วยกษตั ริยแ์ ละพระภกิ ษุสงฆ์ประทบั บน พระที่นงั่ เดยี วกนั พุทธศาสนาและรฐั จึงมีความแนบสนิทใกล้ชิดกนั อย่างยิ่ง รัฐคือพทุ ธรฐั แต่ศาสนาก็เปน็ การเมืองด้วย อยา่ งนอ้ ยก็ใน ระดับท่ีว่าเอกภาพและอัตลักษณ์ทางการเมืองน้ันต้ังอยู่บนพ้ืนฐาน ทางศาสนา (ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำ�แหง ถูกกล่าวหาจากผู้ท่ีไม่ได้ เชย่ี วชาญในจารกึ วา่ เปน็ การท�ำ ปลอมขน้ึ ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19 ใน การทจี่ ะปลอมศลิ าจารกึ ขน้ึ มานนั้ จ�ำ เปน็ จะตอ้ งมที กั ษะความรอู้ ยา่ ง มหาศาลทางภาษาศาสตร์ของโลกในยุคนั้น และด้วยปัญหาต่างๆ  เหล่าน้ี คงจะดีกวา่ หากจะเหน็ วา่ ศิลาจารกึ ดังกลา่ วเปน็ ของแท)้ พ่อขุนรามคำ�แหงได้สร้างอาณาจักรอันกว้างใหญ่ด้วยการ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 77

ผสมผสานการใชก้ �ำ ลงั ทหารเขา้ กบั การทตู อยา่ งแยบยล พระองคไ์ ด้ รบั การกลา่ วถงึ วา่ ไดท้ �ำ การปลน้ สะดมเมอื งและหมบู่ า้ น เขา้ ยดึ ชา้ ง แรโ่ ลหะอนั มคี ่าและเชลยศึก โดยไมป่ ระหารชีวิตคนเหล่านัน้ แต่ใน ขณะเดียวกัน พระองค์เปน็ แรงกระตนุ้ ใหผ้ ปู้ กครองและผู้น�ำ ท้องถนิ่ เลก็ ๆ จ�ำ นวนมากเขา้ มาสวามภิ กั ด์ิ อนั เนอื่ งมาจากพระองค์ ทงั้ ทรง ตงั้ อย่ใู นศีลธรรมจรรยาและทรงมีชือ่ เสยี งในการรณรงค์สงคราม คนใดซ้อื ขายมาหาพาเมอื ง มาดูสู่ ขอ้ ยเหนอื เพอ่ื กู มนั บม่ ชี า้ งบม่ มี า้ บม่ ปี วั่ บม่ นี างบม่ เี งอื นบม่ ที อง ให้แกม่ นั ของมนั ต้งั เปนบา้ นเปนเมืองใด ข้าเลือกข้า เสือหวั พง หัวปกตบี ่ฆา่ บต่ ี 5 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำ�แหงได้มีข้อความที่เขียนเพิ่มเติมขึ้น มาภายหลงั ได้แสดงรายชือ่ “เมืองซง่ึ สวามภิ กั ดิ์ตอ่ พระองค์ (อาจ ปราบฝูงข้าเศิก มีเมืองกว้างซ้างหลาย)” ซึ่งขยายออกไปท้ังสี่ทิศ หลักของสุโขทัย ทางตะวันออก ประกอบด้วยเมืองพิษณุโลก ดนิ แดนหลม่ สกั และเวยี งจนั ทางใต้ ขยายออกไปถงึ นครสวรรคแ์ ละ ชยั นาท สพุ รรณบุรี ราชบุรี และนครศรธี รรมราช ทางตะวนั ตกไป ถงึ หงสาวดี และเมาะตะมะ ดนิ แดนซง่ึ นกั แสวงโชคชาวมอญ (*มะกะโท) ได้อภิเษกกับพระราชธิดาของพ่อขุนรามคำ�แหง แล้วไปปกครองที่ นั่น ในชว่ ง พ.ศ. 1830-1849 (1287-1306) ทางทิศเหนือ ศิลาจารึก ไดก้ ลา่ วชอ่ื เมอื งแพร่ นา่ น และหลวงพระบาง การขยายตวั ในทางภมู ศิ าสตรข์ องอ�ำ นาจสโุ ขทยั พอจะเทยี บ ไดก้ บั อาณาจกั รสยามในศตวรรษตอ่ มาเทา่ นนั้ และไมค่ วรทจ่ี ะเขา้ ใจ ดว้ ยคำ�ศัพท์ทางรัฐศาสตรส์ มยั ใหม่ พอ่ ขุนรามค�ำ แหงมไิ ด้รวบรวม กองทพั ขนาดมหมึ า แลว้ เดนิ ทพั ไปเปน็ ระยะทางหลายพนั ไมล์ แลว้ 78 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

พชิ ติ ดนิ แดนบา้ นเมอื งทง้ั หลายทง้ั ปวงทเี่ อย่ นามไวใ้ นศลิ าจารกึ ของ พระองค์ จากหลักฐานในศิลาจารึกท่ีพบน้ัน เราแน่ใจได้เพียงว่า พระองค์ได้ยกทัพไปยังเมืองตาก เมื่อยังทรงเป็นพระราชโอรสอยู่ เทา่ นนั้ บนั ทกึ ของจนี บนั ทกึ วา่ พระองคย์ กทพั ไปยงั ราชบรุ -ี เพชรบรุ ี ใน พ.ศ. 1837 (1294) ถึงแม้ว่าตำ�นานเมืองนครศรีธรรมราชจะอา้ ง ว่าพ่อขุนรามคำ�แหงได้เสด็จไปที่นครฯ และได้ปกครองนครฯ ใน ช่วงเวลา พ.ศ. 1817-1819 (1274–1276) แต่จะเป็นการดีท่ีสุดท่ีจะ มองต�ำ นานน้วี ่า เปน็ การต่อเติมเสริมแตง่ เขา้ ไปทีหลัง ดเู หมอื นจะ เป็นไปได้มากกว่าที่ว่า การอ้างสิทธิเหนือแหลมมลายูของพ่อขุน รามค�ำ แหงนน้ั มาจากการยอมสวามภิ กั ดข์ิ องผปู้ กครองเมอื งเพชรบรุ ี หรือราชวงศส์ พุ รรณบรุ ตี อ่ พระองค์ เราอาจจะต้ังข้อสงสยั ไดว้ า่ ใน ทางกลับกัน นครศรีธรรมราชก็ได้นำ�หัวเมืองและประเทศราชของ ตนบนแหลมมลายู ซงึ่ อาจจะขยายออกไปไกลทางใตจ้ นถงึ ปาหงั เขา้ มาอย่ใู นวงอำ�นาจของสุโขทยั ดว้ ยเช่นกัน รูปแบบเช่นน้ีทำ�ให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองสามารถที่จะ ไลเ่ ปน็ ชน้ั พีระมดิ นับจากผู้ใตอ้ ปุ ภมั ภไ์ ปยงั นายเหนือหวั และนาย เหนอื หวั อกี ชน้ั ตอ่ ขนึ้ ไปเรอื่ ยๆ นน้ั ดเู หมอื นทจ่ี ะเปน็ เรอ่ื งปกตทิ วั่ ไป ไมเ่ ฉพาะแคเ่ พยี งในรฐั ของคนไท-ไตในช่วงเวลานี้ แต่อนั ทีจ่ รงิ นัน้ เป็นโครงสร้างทางการเมืองของรัฐจำ�นวนมากในเอเชียตะวันออก และเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ตวั อยา่ งทด่ี ที ส่ี ดุ คอื ระบบบรรณาการ ของจีน อย่างไรก็ดี ต่างไปจากระบบของจีนท่ีมีลักษณะแบบแผน เป็นทางการสูง ความภักดีทางการเมืองในโลกของคนไท-ไตน้ันมี แนวโน้มว่าจะเป็นลักษณะส่วนบุคคล ดังนั้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้ ปกครองนครศรีธรรมราช อาจจะมอบความภักดีในส่วนตนต่อผู้ ปกครองเมืองเพชรบุรี ซ่ึงในทางกลับกัน ก็อาจจะสวามภิ กั ดต์ิ ่อเจ้า ผู้ปกครองสุพรรณบุรีที่ทรงพลานุภาพ ซึ่งผู้ปกครององค์น้ีน้ันก็ได้ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 79

ยอมสวามิภกั ดิ์ต่อพอ่ ขนุ รามค�ำ แหง ซงึ่ กห็ มายความวา่ ในทกุ สว่ น ยกเวน้ แต่ดนิ แดนแกนกลางของอาณาจักร ยังคงแยกออกเปน็ เมือง เล็กๆ ซ่ึงแต่ละเมืองก็มีผู้ปกครองของตนเอง และความสัมพันธ์ ระหวา่ งผปู้ กครองทอ้ งถนิ่ กบั กษตั รยิ ก์ ถ็ อื วา่ เปน็ อ�ำ นาจความสมั พนั ธ์ ของแต่ละบุคคล ซึ่งจะจำ�กัดอยู่เพียงชั่วรุ่นของตนเท่าน้ัน ดูจะเข้า ท่าดีท่ีจะกล่าวถึงอาณาจักรทางใต้ของพ่อขุนรามคำ�แหงว่า เป็น ผลผลติ ของการอภเิ ษกหรอื ความสัมพนั ธ์ทางเครอื ญาตกิ บั ราชวงศ์ ผู้ปกครองท่ีดำ�รงอย่างม่ันคงเป็นเวลานาน ในบริเวณดินแดนที่อยู่ ระหวา่ งสพุ รรณบรุ แี ละนครศรีธรรมราช การขยายตวั ไปทางเหนอื ของอาณาจกั รของพอ่ ขนุ รามค�ำ แหง ในลักษณะเดยี วกัน อาจจะตคี วามไดว้ ่าเป็นความสัมพันธ์ทางเครือ ญาติ ถ้าบรรพบุรุษของพระองค์มาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตามที่ดูเหมือนจะเป็นเช่นน้ัน ข้อความตอนหน่ึงในศิลาจารึกของ พระองคร์ ะบุว่า : พอ่ ขนุ รามค�ำ แหงลกู พอ่ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ยเ์ ปน็ ขุนในเมอื งศรสี ชั นาไลยสุโขทัย ทั้งมากาวลาวแลไทย เมอื งใตห้ ลา้ ฟา้ (ชำ�รดุ ) สโุ ขไทยชาวอชู าวของมาออก6 ขอ้ ความดงั กลา่ ว แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การยอมสวามภิ กั ดโิ์ ดยสมคั ร ใจมากกว่าการพิชิตยึดครองดินแดน อำ�นาจของพ่อขุนรามคำ�แหง ซง่ึ ประกอบดว้ ยความแขง็ แกรง่ ทางทหาร และความสงู สง่ ทางศลี ธรรม ทแี่ ผก่ ระจายออกไปจากราชธานขี องพระองค์ และผทู้ ยี่ อมรบั ในความ เหนือกวา่ และความเปน็ ผู้น�ำ ของพระองค์กย็ อมเข้ามาสิโรราบ เมืองที่ไม่ถูกกล่าวถึงในรายช่ือของเมืองบริวารของพ่อขุน รามค�ำ แหงนน้ั กค็ อื บรรดารฐั เพอื่ นบา้ นใกลเ้ คยี ง ซง่ึ มคี วามเทา่ เทยี ม 80 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

กับสุโขทยั ได้แก่ ลา้ นนาของพญามังราย พะเยาของพญาง�ำ เมือง นครพนม และลพบรุ เี กา่ พอ่ ขนุ รามค�ำ แหงไดท้ �ำ สญั ญาเปน็ พนั ธมติ ร กบั ผปู้ กครองสององคแ์ รกใน พ.ศ. 1830 (1287) โดยปลอ่ ยใหเ้ ขตแดน ทางเหนือของพระองค์ไดร้ บั การปกป้อง ในขณะท่พี ญามงั ราย (ซงึ่ นา่ จะไดร้ บั การชว่ ยเหลอื จากพญาง�ำ เมอื ง) ก�ำ ลงั รบั มอื อยา่ งแขง็ แกรง่ กับการโจมตีอันรุนแรงของมองโกล ซ่ึงเกิดขึ้นต่อเน่ืองมาหลาย ทศวรรษ เป็นไปได้หรือไม่ท่ีพ่อขุนรามคำ�แหงได้มีความปรองดอง ในลักษณะเดียวกันน้ีกับผู้ปกครองลพบุรี? ลพบุรีได้ปลดแอกเป็น อสิ ระจากจกั รวรรดพิ ระนคร ในราวกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13 และเรม่ิ ส่งคณะทตู ไปยังราชส�ำ นกั มองโกล ในราว พ.ศ. 1823 (1280) ซึง่ ท�ำ อย่างต่อเน่ืองเป็นปกติ จนถึง พ.ศ. 1842 (1299) กริสโวลด์และ ประเสรฐิ (* A.B.Griswold และศาตราจารย์ ดร. ประเสรฐิ ณ นคร) เสนอวา่ ผปู้ กครองลพบรุ จี ะตอ้ งเปน็ มติ รกบั ราชส�ำ นกั สโุ ขทยั เพราะ วา่ ชาวจนี ซงึ่ มาเยอื นเมอื งพระนครใน พ.ศ. 1839 (1296) รายงานวา่ เสยี น ซง่ึ เราเชอื่ วา่ หมายถงึ สโุ ขทยั นนั้ เพง่ิ จะไดเ้ ขา้ ท�ำ ลายดนิ แดน ของจกั รวรรดพิ ระนครเปน็ บรเิ วณกวา้ งใหญ่ และบบี บงั คบั ใหก้ ษตั รยิ ์ เขมรต้องทำ�การเกณฑ์ไพร่พลท่ัวทั้งจักรวรรดิ เป็นการยากท่ีจะ จินตนาการว่า กองทัพของพ่อขุนรามคำ�แหงจะสามารถเข้าไปถึง ชายแดนของจกั รวรรดพิ ระนคร โดยไมย่ าตราผา่ นเขตแดนของลพบรุ ี ไดอ้ ยา่ งไร บางทีลพบรุ อี าจจะยอมยกการอา้ งสทิ ธเิ หนอื ดนิ แดนซกี ตะวันตกของลุ่มน้�ำ เจ้าพระยา แลกกับการชว่ ยเหลอื จากสโุ ขทยั ใน การตอ่ สกู้ บั จกั รวรรดพิ ระนคร อยา่ งไรกต็ าม ลพบรุ ยี งั คงด�ำ รงความ เป็นอิสระอยู่ และยังคงมีอำ�นาจควบคุมดินแดนซีกตะวันออกและ ตะวนั ออกเฉียงใตไ้ วไ้ ดอ้ ยา่ งมั่นคง สโุ ขทยั ในรชั สมยั พอ่ ขนุ รามค�ำ แหงเปน็ ทจ่ี ดจ�ำ กนั ในเรอื่ งของ ศิลปะ และแนวความคดิ ตา่ งๆ มากพอๆ กับความสำ�เร็จในทางการ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 81

เมอื ง แม้ว่าประติมากรรมท่สี ร้างขน้ึ ในช่วั พระชนมว์ ารของพระองค์ นนั้ จะเหลอื รอดมานอ้ ยมาก แตก่ ม็ บี างชน้ิ ทย่ี งั คงชใี้ หเ้ หน็ ถงึ คณุ ลกั ษณะ ของรูปแบบสุโขทัยโบราณท่ีพัฒนาข้ึนก่อนสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษท่ี 13 ตัวอย่างเช่น พระพุทธปฏิมา ที่มีพุทธศิลป์ของเค้าโครงสีพระ พักตร์แบบไท-ไตอันโดดเด่นไม่เหมือนใคร และองค์พระปฏิมาใน ปางลีลา อันมีท่วงท่าแช่มช้อยงดงาม ดูราวกับจะเคลื่อนไหวเย้ือง ย่างประจักษ์อยู่ในสายตาของผู้ชม ในการบรรยายถึงราชธานีของ พระองค์น้นั พ่อขนุ รามค�ำ แหงกล่าวถึงอนุสรณท์ ี่ส�ำ คญั หลายแห่งท่ี สร้างข้ึนในช่วงรัชสมัยของพระองค์ ซ่ึงซากปรักหักพังของสถานท่ี เหล่าน้ีจำ�นวนมากยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน เป็นประจักษ์พยานเงียบ แหง่ ความรงุ่ โรจนอ์ ลงั การของราชธานแี หง่ น้ี จากการสรา้ งสรรคง์ าน ศิลป์ควบคู่ไปกับการสร้างระบอบการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และในการสร้างตำ�แหน่งแห่งท่ีของพุทธศาสนาแบบเถรวาทเข้าไว้ เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชุมชน พลเมืองของสุโขทัยได้รับการ สร้างสรรคใ์ ห้มเี อกลกั ษณ์เฉพาะเชน่ กนั โดยท่ยี งั คงมีความซ่อื สัตย์ ต่อจารีตแบบไท-ไตของตนเองไว้ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีชีวิต อย่างดีท่ีสุดเท่าท่ีโลกอันกว้างใหญ่จะมอบให้แก่พวกเขาได้ ศิลปะ ของสุโขทัยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศิลปะของศรีลังกาและ นครศรีธรรมราช ทั้งสันนิษฐานว่าได้นำ�เคร่ืองป้ันดินเผามาจากจีน ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์งานอันปราดเปรื่อง ในการทำ�เครื่องเคลือบ ดินเผาและเครือ่ งสงั คโลกอันโด่งดงั อยา่ งไรก็ดี ไม่ว่าแหลง่ กำ�เนดิ หรอื อทิ ธพิ ลของมนั จะมาจากทใี่ ด ศลิ ปะสโุ ขทยั กเ็ หมอื นกบั ชวี ติ ของ คนสุโขทัยที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองมากกว่าการเป็นชาวสยาม ท่รี จู้ ักผสมผสานความหลากหลายและมเี อกลกั ษณโ์ ดดเดน่ ภาพทป่ี รากฏขน้ึ มา คอื เมอื งราชธานอี นั ทรงอ�ำ นาจและมงั่ คง่ั มีความม่นั คง และเชื่อมนั่ ในตนเองอยา่ งสงบ ในการตดิ ตอ่ สัมพันธ์ 82 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

พระพุทธรูปส�ำ รดิ ความสงู 2.2 เมตร สมยั สโุ ขทยั ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 14 วดั เบญจมบพติ ร กรงุ เทพฯ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 83

กบั โลกภายนอก คณุ คา่ ทเ่ี ปน็ ฐานรากทางวฒั นธรรมของอาณาจกั ร โดยแก่นแท้แล้วยังคงเป็นไท-ไต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเร่ือง วฒั นธรรมทางการเมอื งจากเทอื กเขาท่สี งู จนถึงขอบทรี่ าบล่มุ แม่น้ำ� เจา้ พระยาอนั กวา้ งใหญ่ สโุ ขทยั ปลกู ถา่ ยการจดั องคก์ รทางการเมอื ง และสังคมของเมืองในที่สูงมาไว้ ซึ่งโดยเปรียบเทียบแล้ว มีความ แตกต่างทางสังคมและการเมืองอยู่น้อยมาก การแบ่งแยกท่ีสำ�คัญ คอื การแบง่ ระหวา่ งเจา้ และไพรส่ ามญั ชน และความเปน็ กษตั รยิ น์ น้ั อยู่บนพ้ืนฐานของสายสัมพันธ์ส่วนบุคคลและทางเครือญาติอย่าง แนบแน่นเสียย่ิงกว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ส่วนบุคคล และเป็นแบบ ทางการ อย่างไรก็ตาม สภาพการแวดล้อมซ่ึงสุโขทัยได้รับการ สถาปนาขน้ึ มานั้นนบั เป็นเรอ่ื งใหม่ มีพลเมืองทไ่ี ม่ใช่ชาวไท-ไตอยู่ เป็นจำ�นวนมากทีเดียว ท้ังชุมชนมอญและเขมรที่มีอายุสืบเน่ืองมา ยาวนาน มผี ปู้ กครองของตนเองและมจี ารตี ทางวฒั นธรรมและศาสนา ทีเ่ ปน็ ตา่ งดา้ วสำ�หรับคนไท-ไต ปจั จยั ใหมท่ ง้ั หลายนกี้ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาทางการเมอื งแกผ่ ปู้ กครอง ของสโุ ขทยั ซึง่ ดูเหมือนวา่ ผ้ปู กครองสุโขทัยจะพยายามท่จี ะแก้ไข ปญั หาดงั กลา่ วดงั เชน่ ทผี่ ปู้ กครองในเทอื กเขาสงู ตอนบนจะพงึ กระท�ำ ท้ังในด้านสังคมและการบริหาร พลเมืองท่ีดำ�รงอยู่ที่นั่นมาก่อนถูก รวมเขา้ ไปอยใู่ นสงั คมสโุ ขทยั ไมว่ า่ จะฐานะทาสหรอื ในฐานะขนุ นาง ช้ันสงู ชายหญงิ ซง่ึ มขี า้ ทาสบรวิ าร ทัง้ ในฐานะที่เปน็ ข้าใต้ปกครอง หรอื ผปู้ กครองเมอื งประเทศราช ภาษาไทสยามกลายเปน็ ภาษาทใี่ ช้ ในการบริหารบ้านเมือง และภาษาแห่งอำ�นาจราชศักดิ์ ซึ่งพ่อขุน รามคำ�แหงทรงอ้างว่าเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทสยาม ใน พ.ศ. 1826 (1283) โดยนำ�เอาอักขระของท้องถ่ินอันหลากหลายมาสร้างเป็น ภาษาไท ซ่ึงมีพยัญชนะเป็นตัวเขียน และมีวรรณยุกต์กำ�กับ และ ทำ�ให้เป็นท่ีเข้าใจได้สำ�หรับผู้ท่ีพูดภาษาซึ่งไม่มีเสียงวรรณยุกต์ข้ึน 84 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

มา ศาสนาพราหมณ์ซ่ึงเป็นแบบแผนปฏิบัติมายาวนานในภูมิภาค นี้ได้เข้ามาอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของราชสำ�นัก และช่างของราช ส�ำ นกั ถงึ กบั ไดส้ รรคส์ รา้ งรปู หลอ่ สำ�รดิ ของพระวษิ ณแุ ละพระศวิ ะ ใน รปู แบบทค่ี ลา้ ยคลงึ กบั พระพทุ ธปฏมิ าของสโุ ขทยั ยงิ่ กวา่ อนื่ ใดทงั้ หมด พ่อขุนรามคำ�แหงได้ตอบสนองต่อความเป็นไปได้อย่างใหม่ ที่จะ ขยายอิทธิพลอำ�นาจของพระองค์ออกไปเหนือดินแดนอันห่างไกล ด้วยการสร้างส่ิงที่เรียกว่าเป็น “เมืองเอก” อันรวมเอาความภักดี แบบส่วนตัวที่มีลักษณะเหมือนพีระมิดเข้าด้วยกัน เช่นเดียวกับท่ี เมืองในเขตทีส่ งู ตอนบนได้ผนวกรวมเขา้ ดว้ ยกัน แต่ในขนาดทีเ่ ลก็ กวา่ มาก พระองคม์ ไิ ดท้ รงรวมศนู ยอ์ ำ�นาจทง้ั หมดไวใ้ นเมอื งราชธานี แห่งเดียว ไม่ว่าจะในทางการเมือง หรือเศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรม และความไมเ่ สมอภาคกนั ในเรอ่ื งความแขง็ แกรง่ ระหวา่ งสโุ ขทยั และ หวั เมืองเอกทอ่ี ยู่หา่ งไกลออกไป ดเู หมอื นจะไมม่ คี วามแตกต่างกนั อย่างสลักสำ�คัญอะไรนัก แม้กระทั่งในศิลาจารึกของพระองค์เอง พ่อขุนรามคำ�แหงก็ช้ีให้เห็นว่า อำ�นาจของพระองค์นั้นโดยหลักๆ  แลว้ มพี นื้ ฐานอยบู่ นอำ�นาจและความเปน็ ผนู้ ำ�ทที่ รงคณุ ธรรม เพราะ ว่าพระองค์อย่ใู นศลี ในธรรม และปกครองดว้ ยความยุติธรรม ผ้คู น ท้ังหลายก็ควรจะเคารพในคุณธรรมความดงี ามของพระองค์ เม่ือพ่อขุนรามคำ�แหงสวรรคตใน พ.ศ. 1841 (1298) พระ ราชโอรส คือ พญาลือไทย (ครองราชย ์ พ.ศ. 1841-1889 หรือ 1890 (1298-1346 หรอื 1347)ไดส้ บื ราชสมบตั ติ อ่ จากพระองค์ และอาณาจกั ร อันกว้างใหญ่ก็สลายลงอย่างรวดเร็ว เขตปกครองของสุโขทัยทาง เหนือของอุตรดติ ถส์ ลายไปเกอื บจะในทนั ที และบ้านเมืองเล็กๆ อีก เปน็ จ�ำ นวนมาก ทงั้ ตอ่ สดู้ น้ิ รนระหวา่ งกนั เอง และพยายามทจ่ี ะรกั ษา เอกราชของตนไวจ้ ากลา้ นนา หลวงพระบาง เวยี งจนั และเขตแมน่ �ำ้ โขงตอนกลาง ดูเหมือนจะหลุดเลอ่ื นไปเป็นอสิ ระอย่างรวดเร็ว และ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 85

อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าไร้ระเบียบ ทางตะวันตก รัฐของมอญท่ีมี ศนู ยก์ ลางอยทู่ หี่ งสาวดมี ไิ ดย้ อมรบั อ�ำ นาจอธริ าชของสโุ ขทยั อกี แลว้ หลงั จาก พ.ศ. 1862 (1319) และใน พ.ศ. 1864 (1321) แม้แตต่ าก ซง่ึ เปน็ เมอื งขน้ึ เกา่ แกข่ องอาณาจักรก็ตกไปอยู่ภายใตอ้ �ำ นาจของล้าน นา ทางทิศใต้ เมืองท่ีส�ำ คญั คือสุพรรณบรุ ี ดูเหมอื นว่าจะแตกหกั ไป จากพญาลือไทยตัง้ แตต่ น้ รัชกาล และด้วยเหตดุ ังกลา่ ว จึงเปน็ การ กน้ั มใิ หส้ โุ ขทยั เขา้ ถงึ เมอื งบรวิ ารทไ่ี กลออกไปทางดา้ นใต้ และกอ่ ให้ เกดิ ชดุ ล�ำ ดบั ของพฒั นาการทนี่ �ำ ไปสกู่ ารสถาปนารฐั ขนึ้ ทอ่ี ยธุ ยา ใน กลางศตวรรษ ซึง่ ทา้ ยท่ีสดุ แลว้ อยุธยาก็ไดผ้ นวกเอาสุโขทัยเข้าไว้ ด้วย ดังนั้น อยา่ งช้าทส่ี ดุ กใ็ นราว พ.ศ. 1863 (1320) สโุ ขทยั ไดก้ ลับ กลายเปน็ รฐั ขนาดเลก็ ทโ่ี ดยเปรยี บเทยี บแลว้ มคี วามส�ำ คญั ในระดบั ท้องถน่ิ แทนท่ีจะเป็นรัฐท่ีมคี วามส�ำ คญั ระดับภมู ิภาค ในชว่ งทศวรรษ 1340 (1883-1892) คนไท-ไตไดเ้ ขา้ มามสี ว่ น รว่ มทสี่ �ำ คญั ในชวี ติ ทางวฒั นธรรมและการเมอื งของเอเชยี ตะวนั ออก เฉียงใต้ภาคพ้ืนทวีป แม้ว่าจะมีความพยายามสักเพียงใด แต่คน ไท-ไตกไ็ มป่ ระสบความส�ำ เรจ็ ในการทจ่ี ะสรา้ งอาณาจกั รอนั ยง่ิ ใหญ่ ตามแบบของจักรวรรดิโบราณในอดีต พ่ีน้องชาวไตใหญ่มิได้เข้า ครอบครองจกั รวรรดพิ กุ ามทย่ี งั เหลอื รอดอยู่ หรอื พอ่ ขนุ รามคำ�แหง ก็มไิ ด้เข้าไปแทนที่เขมรแห่งจกั รวรรดิพระนคร อาจเป็นไดว้ า่ ความ ทะเยอทะยานอยากจะเปน็ จกั รวรรดนิ นั้ มไิ ดเ้ ปน็ ความตง้ั ใจของพวก เขา ด้วยเหตผุ ลที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องท่ี อาจจะเป็นไป ไดว้ า่ ความพยายามทจ่ี ะสรา้ งจกั รวรรดทิ มี่ คี วามมงุ่ มนั่ ทะยานอยาก มากกว่านี้ เป็นการประชันขันแข่งกันในลักษณะท่ีเป็นการฉกฉวย โอกาส เพอื่ ไดม้ าซงึ่ อ�ำ นาจทที่ งิ้ วา่ งเอาไว้ หรอื ไมก่ ส็ หพนั ธรฐั ทรี่ ว่ ม กนั ปกปอ้ งตนเอง ซงึ่ ก�ำ เนดิ ขน้ึ มาจากชว่ งทต่ี กอยใู่ นภยนั ตราย ลา้ น นาเปน็ รฐั ส�ำ คญั ทมี่ อี �ำ นาจสบื เนอ่ื งตอ่ มายาวนาน ซงึ่ ด�ำ รงอยใู่ น พ.ศ.  86 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

1893 (1350) กย็ ังมีขนาดเลก็ ลงมากกวา่ ล้านนาในรชั สมยั ของพญา มังราย ในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรที่ 14 รฐั ไท-ไตในระดบั ทอ้ งถนิ่ ขนาด เล็กหลายแห่งได้ผุดพรายข้ึนทั่วท้ังแผนท่ี นับจากด้านตะวันตก จากอัสสัมตะวันออก มายังนครศรธี รรมราชทอ่ี ยดู่ ้านใต้ และแม่น�ำ้ โขงทอ่ี ยทู่ างดา้ นตะวนั ออก ไกลออกไปทางเหนอื และตะวนั ออกกย็ งั คงมรี ฐั เลก็ รฐั นอ้ ยอกี เปน็ จ�ำ นวนมากของลาว และของไท-ไตในเขต ที่สูงดังเช่นที่เคยเป็นมานานนับศตวรรษ บ้านเมืองเหล่าน้ีบางยุค บางสมยั อาจจะถกู ดงึ เขา้ ไปพวั พนั อยกู่ บั เหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื งของรฐั ทใี่ หญก่ วา่ หรอื ได้รับแรงบนั ดาลใจจากความสำ�เรจ็ ของรฐั เหล่าน้ัน อยา่ งไรกด็ ี รฐั ไท-ไตทางเหนอื และทางตะวนั ออกกไ็ มต่ กอยใู่ นสถานะ เดยี วกบั ญาตพิ นี่ อ้ งของพวกเขาทางใต้ และตะวนั ตก ซง่ึ ไดร้ วมศนู ย์ อ�ำ นาจกอ่ ตง้ั ราชธานขี นึ้ มา ในขณะทเ่ี กดิ การลม่ สลายของจกั รวรรดิ โบราณอันเกา่ แก่ หรือว่ารัฐเหลา่ นีจ้ ะมฐี านพลังจากการมีพื้นท่ีปลูก ข้าวและมแี รงงานพอทจ่ี ะเริม่ ก่อตวั เปน็ อาณาจักรได้ อาจเป็นไปได้ ว่าจติ วญิ ญาณแห่งยคุ สมัยมาถงึ พวกเขาล่าชา้ กวา่ ไม่วา่ จะเป็นการ ผนวกรวมกนั ของโอกาสทางการเมอื ง ความรสู้ กึ ไดถ้ งึ การเปลยี่ นแปลง ที่น่าต่ืนเต้นยินดี และการไหลบ่าเข้ามาของแนวคิดและเทคนิค ใหมๆ่  ซง่ึ รวมถงึ พทุ ธศาสนาแบบเถรวาท ณ ทซ่ี ง่ึ จติ วญิ ญาณนส้ี ถติ อยู่น้ัน ทำ�ให้คนไท-ไตนับไม่ถ้วนลุกข้ึนกระทำ�การอันย่ิงใหญ่ แต่ ในชว่ งกลางของคริสตศ์ ตวรรษที่ 14 ซงึ่ สิง่ ทีท่ ำ�กลับเป็นการทำ�ลาย ระเบยี บเก่าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป เสียมากกว่า จะสร้างระเบียบใหม่ข้นึ มา 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 87

เชงิ อรรถ 1. The Chiang Mai Chronicle (2nd ed.), trans. David K. Wyatt and Aroonrut Wichienkeeo (Chiang Mai, 1998), pp. 22-23. 2. ยกมาจากเน้ือความต่างๆ ในตำ�นานพื้นเมืองเชียงใหม่โดย Notton, Annales, vol. 3, p. 49, n. 2. 3. A.B. Griswold and Prasert na Nagara, “The ‘Judgments of King Man Ray’: Epigraphic and Historical Studies, no. 17,” JSS 65, pt. 1 (Jan. 1977): 153. กรสิ โวล์ดและประเสรฐิ แปล ไพร่ วา่ “พลเมอื ง (citizen)” ขณะทีข่ า้ พเจา้ ชอบที่จะแปลวา่ “คนสามญั (freeman)” และได้ เปลย่ี นค�ำ แปลใหเ้ ปน็ ไปตามนน้ั 4. Griswold and Prasert, “The Inscription of King Rama Gamhen of Sukhodaya (1292 A.D.): Epigraphic and Historical Studies, no.9”, JSS , 59, pt. 29 July 1970: 205-8. Ibid., pp. 207-8. Ibid.,p.216. 88 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

บทที่ 4 พ.ศ. 1893-2อ1ย1ุธ2ยา(แ13ล5ะ1เพ*-ือ่ 1น5บ6า้9น) เมอ่ื ประมาณกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14 แม้ว่าจะมีแวน่ แควน้ ของคนไท-ไตจำ�นวนมากผุดพรายอยู่ในแผนท่ีท่ัวภาคกลางของ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตภ้ าคพนื้ ทวปี แตม่ เี พยี งไมก่ แี่ วน่ แควน้ เทา่ นนั้ ทอ่ี าจเรยี กไดว้ า่ “ราชอาณาจกั ร” ในสองศตวรรษตอ่ มา ราชอาณาจกั ร ทส่ี �ำ คญั ของคนไท-ไตปรากฏขน้ึ คอื ราชอาณาจกั รอยธุ ยา และราช อาณาจกั รคแู่ ขง่ อกี สองแหง่ (*คอื ลา้ นนา และ สโุ ขทยั ) ทค่ี อยทา้ ทาย ความทะเยอทะยานของราชอาณาจักรอยุธยาที่จะเป็นผู้นำ�ในโลก ของคนไท-ไต การเดิมพนั น้นั สงู นัก เปน็ คร้งั แรกในประวัติศาสตร์ ของคนไท-ไตทเ่ี หลา่ กษตั รยิ แ์ ละขนุ นางปรารถนามากกวา่ เพยี งการ รวบรวมเมืองเล็กๆ ในรัฐต่างๆ ในดินแดนตอนบนเข้าด้วยกัน เพื่อ รว่ มกนั ตอ่ ตา้ นเจา้ เหนอื หวั ผมู้ กั ใหญใ่ ฝส่ งู ทป่ี กครองพวกเขาอยู่ และ ต้องการปกป้องเมืองเหล่านี้ให้พ้นจากการควบคุมจากจักรวรรดิท่ี ไมใ่ ชข่ องกลมุ่ คนไท-ไต ถงึ ตอนนม้ี อี าณาจกั รของคนไท-ไตทส่ี �ำ คญั ๆ 



เชงิ อรรถ 1. The Chiang Mai Chronicle (2nd ed.), trans. David K. Wyatt and Aroonrut Wichienkeeo (Chiang Mai, 1998), pp. 22-23. 2. ยกมาจากเน้ือความต่างๆ ในตำ�นานพื้นเมืองเชียงใหม่โดย Notton, Annales, vol. 3, p. 49, n. 2. 3. A.B. Griswold and Prasert na Nagara, “The ‘Judgments of King Man Ray’: Epigraphic and Historical Studies, no. 17,” JSS 65, pt. 1 (Jan. 1977): 153. กรสิ โวล์ดและประเสรฐิ แปล ไพร่ วา่ “พลเมอื ง (citizen)” ขณะทีข่ า้ พเจา้ ชอบที่จะแปลวา่ “คนสามญั (freeman)” และได้ เปลย่ี นค�ำ แปลใหเ้ ปน็ ไปตามนน้ั 4. Griswold and Prasert, “The Inscription of King Rama Gamhen of Sukhodaya (1292 A.D.): Epigraphic and Historical Studies, no.9”, JSS , 59, pt. 29 July 1970: 205-8. Ibid., pp. 207-8. Ibid.,p.216. 88 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

บทที่ 4 พ.ศ. 1893-2อ1ย1ุธ2ยา(แ13ล5ะ1เพ*-ือ่ 1น5บ6า้9น) เมอ่ื ประมาณกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14 แม้ว่าจะมีแวน่ แควน้ ของคนไท-ไตจำ�นวนมากผุดพรายอยู่ในแผนท่ีท่ัวภาคกลางของ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตภ้ าคพนื้ ทวปี แตม่ เี พยี งไมก่ แี่ วน่ แควน้ เทา่ นนั้ ทอ่ี าจเรยี กไดว้ า่ “ราชอาณาจกั ร” ในสองศตวรรษตอ่ มา ราชอาณาจกั ร ทส่ี �ำ คญั ของคนไท-ไตปรากฏขน้ึ คอื ราชอาณาจกั รอยธุ ยา และราช อาณาจกั รคแู่ ขง่ อกี สองแหง่ (*คอื ลา้ นนา และ สโุ ขทยั ) ทค่ี อยทา้ ทาย ความทะเยอทะยานของราชอาณาจักรอยุธยาที่จะเป็นผู้นำ�ในโลก ของคนไท-ไต การเดิมพนั น้นั สงู นัก เปน็ คร้งั แรกในประวัติศาสตร์ ของคนไท-ไตทเ่ี หลา่ กษตั รยิ แ์ ละขนุ นางปรารถนามากกวา่ เพยี งการ รวบรวมเมืองเล็กๆ ในรัฐต่างๆ ในดินแดนตอนบนเข้าด้วยกัน เพื่อ รว่ มกนั ตอ่ ตา้ นเจา้ เหนอื หวั ผมู้ กั ใหญใ่ ฝส่ งู ทป่ี กครองพวกเขาอยู่ และ ต้องการปกป้องเมืองเหล่านี้ให้พ้นจากการควบคุมจากจักรวรรดิท่ี ไมใ่ ชข่ องกลมุ่ คนไท-ไต ถงึ ตอนนม้ี อี าณาจกั รของคนไท-ไตทส่ี �ำ คญั ๆ 

หลายอาณาจกั ร ซงึ่ แตล่ ะแหง่ มองตนเองวา่ เปน็ หนว่ ยทางการเมอื ง และวัฒนธรรมที่มีความชอบธรรมในโครงสร้างของรัฐแบบสากลที่ กว้างไกลเกนิ ไปกวา่ โลกของคนไท-ไต การเปล่ียนแปลงทัศนคติต่อโลกภายนอกของคนไท-ไตนี้ ส�ำ คญั มากย่ิงนกั รฐั ไท-ไตในหลายศตวรรษท่ีผ่านมาเคยดำ�เนนิ ไป ในขอบเขตทจี่ �ำ กดั ผปู้ กครองของรฐั เหลา่ นไ้ี มค่ อ่ ยเกยี่ วขอ้ งกบั เรอื่ ง ราวของโลกทไี่ มใ่ ชข่ องคนไท-ไตทอ่ี ยพู่ น้ ไปจากเขตแดนทต่ี ดิ กบั รฐั เพอ่ื นบา้ น รฐั ทค่ี นไท-ไตปกครองเปน็ รฐั ระดบั เลก็ และมลี กั ษณะเปน็ ส่วนตวั โดยแทบจะไมถ่ ูกรบกวนจากการบกุ รุกของจกั รวรรดใิ หญ่ เมอื่ รฐั ไท-ไตจ�ำ นวนหนง่ึ บงั เกดิ ความทะเยอทะยานทจ่ี ะสรา้ ง ความยงิ่ ใหญ่ ผปู้ กครองของรฐั เหลา่ นต้ี อ้ งเปลยี่ นแปลงอยา่ งสดุ โตง่ ในวธิ กี ารมองโลกของตน ทั้งภายในและภายนอก ในประชาคมแห่ง รฐั ระดับนานาชาติ ผปู้ กครองรัฐไท-ไตต้องตอ่ สู้ดิน้ รนเพอื่ ให้ไดร้ บั การยอมรบั ในฐานะมหาอ�ำ นาจ ทง้ั จากบรรดาจักรวรรดโิ บราณของ ภมู ภิ าคนี้ทค่ี รั้งหน่งึ เคย “เหนอื กว่า” รัฐไท-ไต และจากรัฐทเ่ี คยมี สถานะเทา่ เทยี มกนั ซง่ึ ตอนนไ้ี ดก้ ลายเปน็ ผสู้ วามภิ กั ดขิ์ องรฐั ไท-ไต ไปเแล้ว ในการสรา้ งความเปลย่ี นแปลงน้ี “ราชอาณาจกั ร” ไท-ไตยคุ ใหมจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งสรา้ งอตั ลกั ษณใ์ หมใ่ หแ้ กต่ นเอง ราชอาณาจกั รเหลา่ นี้กำ�ลังเผชิญกับมาตรฐานท่ีเป็นสากล ในเร่ืองวิธีปฏิบัติและคุณค่า ซงึ่ โลกภายนอกใชเ้ พอ่ื แยกแยะระหวา่ งอารยชนและอนารยชน ระหวา่ ง รฐั กบั ชนเผา่ ระหวา่ งกษตั รยิ ห์ รอื จกั รพรรดกิ บั หวั หนา้ เผา่ แรงกดดนั ใหม่ต่อผู้ปกครองของคนไท-ไตไม่ต่างจากการกลายเป็นสมัยใหม่ และการกลายเปน็ ตะวนั ตก ทผี่ ลกั ดนั ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง ในอกี หลายศตวรรษตอ่ มาภายหนา้ และในลกั ษณะทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั มาตรฐาน ใหม่อาจถูกมองว่าเป็นต่างด้าวและแปลกแยกจากคุณค่าและจารีต 90 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

เดมิ ของคนไท-ไต ระบบบริหารราชการ การสรา้ งกฎเกณฑต์ า่ งๆ  กฎหมายทไ่ี มไ่ ดใ้ ชก้ บั ตวั บคุ คลใดบคุ คลหนง่ึ (*ปจั จบุ นั คอื กฎหมาย มหาชน) เศรษฐกจิ ทจ่ี ดั การและจดั เกบ็ ภาษโี ดยรฐั สงิ่ เหลา่ นอี้ าจถกู มองและถกู ปฏเิ สธวา่ เปน็ สง่ิ แปลกปลอม ดงั เชน่ ทพ่ี อ่ ขนุ รามค�ำ แหง แหง่ สโุ ขทยั ไดท้ �ำ ในทศวรรษสดุ ทา้ ยของครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13 อยา่ งไร กต็ าม สง่ิ เหลา่ นก้ี ย็ งั ไดร้ บั การยอมรบั ดว้ ยวา่ เปน็ ความคดิ ทมี่ ปี ระโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับที่อาจถูกมองว่า ไม่มี “เทคโนโลยี” ทางการเมืองหรือการปกครองที่ใหม่กว่าน้ี และ “ปรับปรุง” ข้ึน มากกวา่ นีอ้ ีกแลว้ แม้ว่ามีหลากหลายส่ิงท่ีสอดคล้องกับคำ�นิยามร่วมสมัยของ ค�ำ วา่ อารยธรรม ซง่ึ โดยหลกั แลว้ มตี น้ ก�ำ เนดิ มาจากอนิ เดยี รวมถงึ ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทซึ่งกำ�ลังเป็นที่ยอมรับนับถือในภูมิภาคน้ี ด้วย และก็เช่นเดียวกับศาสนาพุทธ มาตรฐานใหม่ของอารยธรรม แทบไม่ไดใ้ หมส่ ำ�หรับภูมภิ าคน้ที เี ดยี วนัก แต่ได้รบั การนอ้ มรับจาก จักรวรรดโิ บราณมาเปน็ เวลานานหลายศตวรรษแล้ว และถกู บูรณา การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของชุมชนคนไท-ไตอพยพรุ่นแรกๆ  มาถงึ ตอนนี้ หลงั จากหลายชว่ั คนของการผสมกลมกลนื สโู่ ลกอารยะ น้ี กลุ่มคนไท-ไตแสดงความปรารถนาท่ีเพ่ิมข้ึนอย่างแรงกล้าที่สุด เท่าท่จี ะท�ำ ไดท้ ีจ่ ะเข้าเสีย่ งในการเปน็ ผู้น�ำ ภายในระบบใหม่ นค่ี อื ชว่ งเวลาอนั เหมาะสมทจี่ ะท�ำ เชน่ นน้ั จกั รวรรดใิ หญก่ �ำ ลงั ตกอยใู่ นความสบั สนวนุ่ วาย ไมอ่ ยใู่ นสถานะทจี่ ะใสใ่ จกบั ผนื แผน่ ดนิ ภายในที่ทอดตัวจากทิศเหนือ-ใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน ที่ซ่ึงคน ไท-ไตเขา้ มาอาศยั อยอู่ ยา่ งหนาแนน่ ทสี่ ดุ จนี สมยั มองโกลก�ำ ลงั เขา้ สสู่ มยั แหง่ ความเสอ่ื ม ซง่ึ จะน�ำ ราชวงศห์ มงิ ขน้ึ สอู่ �ำ นาจใน พ.ศ. 1911 (1368) เวียดนาม (*ไดเวียด) ท่ีกำ�ลังฟ้ืนตัวจากการรุกรานของ มองโกล ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็กำ�ลังรบติดพันกับจามปา 4 | อยธุ ยาและเพ่อื นบา้ น 91

แทบจะตลอดเวลา จามปาเองก็อ่อนแอเสียจนต้องเผชิญกับการ รุกรานของคนไท-ไตใน พ.ศ. 1856 (1313) ซึ่งอาจจะจากสุโขทัย? อาณาจักรสุโขทัยขนาดใหญ่สมัยพ่อขุนรามคำ�แหงสลายตัวเม่ือ พระองคส์ วรรคต ล้านนา (เชียงใหม)่ กำ�ลังอยู่ในความวุ่นวาย และ เมืองตา่ งๆ ทีเ่ คยรวมเป็นจกั รวรรดพิ ุกามกก็ �ำ ลังรบราฆา่ ฟันกันเอง ในกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14 ระเบยี บใหม่ทม่ี ีเสถียรภาพเกดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ ในสภาวะวนุ่ วายน้ี ในการคน้ หาสภาวะทเ่ี ปน็ พนื้ ฐาน ของพฒั นาการน้ี การพฒั นาระดบั นานาชาตอิ าจมคี วามส�ำ คญั อยา่ ง แรก คือ ในกลางศตวรรษ ได้เริ่มมีการเติบโตของการเคลื่อนไหว ทางการค้านานาชาติบนเส้นทางอันยาวไกลระหว่างอินเดียและจีน สิง่ นจี้ ะนำ�ไปสู่โอกาสทางเศรษฐกิจสำ�หรบั ผปู้ กครองในเอเชยี ตะวัน ออกเฉียงใต้ และสู่การรเิ ริม่ ทางการทูตของจนี ในการสนบั สนนุ การ สรา้ งระเบยี บทางการเมอื งและเศรษฐกจิ ทมี่ เี สถยี รภาพในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ อยา่ งทสี่ อง คอื ชว่ งเวลานม้ี กี ารเปลยี่ นแปลงทางศาสนา และวัฒนธรรมท่ีสำ�คัญ ลักษณะท่ีสำ�คัญที่สุดในการเปล่ียนแปลง เหล่านี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพ้ืนทวีป คือ การแพร่ขยาย ของพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทแบบลงั กาวงศร์ ปู แบบใหมท่ มี่ พี ลงั กวา่ เดิม รูปแบบเฉพาะทางศาสนานี้ได้รับพระราชูปถัมภ์จากกษัตริย์ และเชอ่ื มโยงกบั จกั รวรรดทิ กี่ �ำ ลงั เตบิ โตในภมู ภิ าค กระแสนานาชาติ ทเี่ ปน็ ใจตอ่ ดนิ แดนของคนไท-ไตทจ่ี ะเปดิ รบั สงิ่ เหลา่ นม้ี ากทสี่ ดุ นน่ั คือ กรงุ ศรอี ยุธยา ณ ปากแมน่ �ำ้ เจา้ พระยา และใจกลางอา่ วไทย อยุธยาผงาด ศนู ยก์ ลางของบริเวณที่จะกลายมาเปน็ อยธุ ยาเคยเปน็ แควน้ ลพบรุ ี ดนิ แดนในจกั รวรรดพิ ระนคร การควบคมุ ของจกั รวรรดพิ ระนคร 92 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

เหนอื บรเิ วณนอี้ อ่ นก�ำ ลงั ลง เมอื่ ประมาณ พ.ศ. 1833 (1290) สโุ ขทยั ประสบความส�ำ เรจ็ ในการแยง่ แวน่ แควน้ ตา่ งๆ ทางซกี ตะวนั ตกของ ทรี่ าบลุ่มแมน่ ้ำ�เจ้าพระยามาจากจกั รวรรดิพระนคร ขณะท่ีลพบรุ ียัง คงรกั ษาอทิ ธพิ ลเหนอื ซกี ตะวนั ออกของทร่ี าบลมุ่ ไวไ้ ด้ ลพบรุ พี ยายาม ท่ีจะเป็นอิสระโดยส่งคณะทูตหลายคณะไปจีนระหว่าง พ.ศ. 1832 (1289) ถงึ  พ.ศ. 1842 (1299) เรอ่ื งทว่ี า่ อ�ำ นาจของจกั รวรรดพิ ระนคร ถูกทา้ ทายในซีกตะวนั ตกถูกเสนอไวอ้ ย่างชัดเจนในบันทึกของ โจว ตากวน (Chou Ta-kuan) ทูตจีนผู้มาเยือนเมืองนครธมใน พ.ศ.  1839 (1296) เขารายงานว่า “ในสงครามกบั พวกสยาม ประชากร ทั้งหมดถกู ระดมกำ�ลังไปสู้” และบนั ทกึ ไว้อีกทวี่ ่า “เม่อื เรว็ ๆ นี้ ใน ระหวา่ งการท�ำ สงครามกบั สยาม (หมบู่ า้ นหลายแหง่ ) ถกู ท�ำ ลายจน สน้ิ ซาก”1 หลกั ฐานอนื่ ๆ จะเอย่ ถงึ การแทรกซมึ อยา่ งสนั ตมิ ากกวา่ : พระในพทุ ธศาสนาถกู เรยี กขานแบบภาษาไท-ไต และมกี ารกลา่ วที่ นา่ สนใจถงึ เทคโนโลยีการทอผา้ ของคนไท-ไตทเี่ หนอื กว่า เมอ่ื เรว็ ๆ นี้ ชาวสยามทเ่ี ขา้ มาตง้ั หลกั แหลง่ ใน ประเทศน้ี สนใจเล้ียงตัวไหม และปลูกต้นหม่อนกัน มาก เมลด็ ต้นหม่อน และตัวไหมของพวกเขาลว้ นมา จากสยามทง้ั สนิ้ ... หญงิ ชาวสยาม รจู้ กั เยบ็ และปะชนุ และเมื่อเส้ือผ้าท่ีชาวกัมพูชาใส่ฉีกขาด ชาวสยามจะ ถกู เรยี กมาซอ่ มแซม2 “ชาวสยาม” ในเอกสารเหล่าน้ี เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคือคน ไท-ไตจากซีกตะวนั ตกของลมุ่ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยา ซงึ่ เคยตกเป็นสว่ น หน่ึงในความขัดแย้งและการแข่งขันระหว่างจักวรรดิพระนครและ ลพบุรี อย่างไรก็ตาม หลังการสวรรคตของพ่อขุนรามคำ�แหงแห่ง 4 | อยธุ ยาและเพอื่ นบา้ น 93

สุโขทัยในช่วงเปล่ียนศตวรรษ สถานะทางการเมืองของลุ่มแม่นำ้� เจ้าพระยาอันกวา้ งใหญ่คงต้องตกอยใู่ นภาวะวนุ่ วาย ลพบรุ ซี ง่ึ เป็น ศนู ยก์ ลางทางวฒั นธรรมและการปกครองของจกั รวรรดพิ ระนครแต่ เดมิ ในซกี ตะวนั ตกของทรี่ าบลมุ่ ดเู หมอื นวา่ จะสามารถรกั ษาอสิ รภาพ ของตนจากทงั้ สโุ ขทยั และจกั รวรรดพิ ระนครได้ วฒั นธรรมของลพบรุ ี แสดงถึงการผสมผสานอย่างหลวมๆ ระหว่างพุทธศาสนานิกาย มหายานและพุทธศาสนานิกายเถรวาทท่ีเก่ากว่า รวมกับศาสนา พราหมณ์แบบเมืองพระนครและศิลปวิทยาจากอินเดีย พลเมืองใน เมอื งเกา่ แกท่ ข่ี น้ึ กบั ลพบรุ ี เชน่ อนิ ทรบ์ รุ ี สงิ หบ์ รุ ี ชยั นาท นครนายก และปราจีนบรุ ี เปน็ ตน้ อาจจะมีเชอื้ สายเขมรเสยี เป็นส่วนใหญ่ แต่ คงต้องรวมชาวมอญจำ�นวนพอสมควร นอกเหนือจากคนไท-ไตท่ี ก�ำ ลงั เพม่ิ จ�ำ นวนมากขนึ้ คนไท-ไตในบรเิ วณนค้ี งจะมคี วามแตกตา่ ง ทางภาษาจากคนไท-ไตทส่ี โุ ขทยั เพราะภาษาของพวกเขาแสดงวา่ มกี ารยา้ ยมาสดู่ นิ แดนแถบนจ้ี ากทางเหนอื และตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ผ่านทางลุ่มแม่น้ำ�ป่าสักของจังหวัดเพชรบูรณ์ในปัจจุบัน และจาก ท่ีราบสูงโคราช ไม่ว่าสัดส่วนของกลุ่มภาษาท้ังสามจะเป็นอย่างไร เราอาจอนมุ านไดว้ า่ มคี วามหลากหลายทางวฒั นธรรมทา่ มกลางผคู้ น เหลา่ นี้ ในช่วงเวลานี้ ซีกตะวันตกของท่ีราบลุ่มแม่นำ้�เจ้าพระยามี แควน้ สุพรรณบุรีมีอำ�นาจปกครองอยู่ ซึง่ ประวัติศาสตร์ของแควน้ น้ี ก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจถือได้ว่าสุพรรณบุรีเป็นผู้ สืบทอดจารีตทางการเมืองของการปกครองเหนือดินแดนท่ีแผ่จาก (ประมาณ) ชยั นาทในทศิ เหนอื ถงึ บรเิ วณชมุ พรในทศิ ใต้ ซง่ึ ในหลาย ศตวรรษกอ่ นหนา้ ดนิ แดนนอ้ี าจมศี นู ยก์ ลางทน่ี ครปฐมและทเ่ี พชรบรุ ี ในสมยั ตอ่ มา อยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ ในตอนเรมิ่ ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13 บรเิ วณ นส้ี มั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กบั นครศรธี รรมราชบนคาบสมทุ ร และดนิ แดน 94 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

แห่งนีท้ ั้งหมดตกอยูภ่ ายใตก้ ารควบคุม อยา่ งนอ้ ยกแ็ ต่เพยี งในนาม ของพอ่ ขนุ รามค�ำ แหงในทศวรรษ 1290 (1833-1842) เมอื่ การควบคมุ ของพ่อขุนรามคำ�แหงส้ินสุดลง ราวประมาณ พ.ศ. 1843 (1300) สุพรรณบุรีสถาปนาความเป็นอิสรภาพของตน และรักษาอิทธิพล (ไม่ใช่การควบคมุ ) เหนอื ดินแดนใต้อิทธิพลทแ่ี ผข่ ยายไปถงึ ทางใต้ โดยหลกั แลว้ สพุ รรณบรุ เี ปน็ รฐั สยามทน่ี บั ถอื พทุ ธศาสนาแบบเถรวาท ความแขง็ แกรง่ ของสพุ รรณบรุ อี ยทู่ คี่ วามสามารถของผปู้ กครองทจี่ ะ เรียกร้องความจงรักภักดีจากคนไท-ไตที่มีจำ�นวนมากขึ้น บริเวณ ซีกซ้าย (*ฝั่งตะวันตก) ของที่ราบลุ่มแม่นำ้�เจ้าพระยา คือ ผู้คนท่ี ราชบรุ ี เพชรบรุ ี กาญจนบรุ ี และนครปฐม ทส่ี ามารถรกั ษาความเปน็ อิสระของตนเองพ้นจากการปกครองของจักรวรรดิพระนคร อยา่ งไรกต็ าม จนกระทง่ั ถึงทศวรรษ 1340 (1883-1892) ใน ทร่ี าบลมุ่ แมน่ �้ำ เจา้ พระยายงั ขาดจดุ สนใจทางการเมอื งและความเปน็ ผนู้ �ำ ทม่ี คี ณุ ภาพ เชน่ ทพ่ี อ่ ขนุ รามค�ำ แหงและเมอื งพระนครเคยมกี อ่ น หนา้ นน้ั ถงึ แมว้ า่ ลพบรุ แี ละสพุ รรณบรุ ยี งั คงเปน็ ศนู ยก์ ลางของอ�ำ นาจ และอทิ ธพิ ล ตอนนน้ั ยงั คงมเี มอื งขนาดเลก็ มากมายในภมู ภิ าค แตล่ ะ เมืองอยู่กับความไม่แน่นอนในอนาคตของตน และยังขาดการจัด องค์กรที่ดีพอที่จะเข้าใจโอกาสทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในยคุ สมยั นนั้ พนั ธมติ รและสมาพนั ธรฐั ตา่ งๆ ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ เปน็ เพยี ง สงิ่ ทเี่ ปราะบาง เปน็ ผลผลติ ของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและเครอื ญาติที่ถูกเสริมสร้างด้วยการแต่งงานทางการเมือง หรือถูกบังคับ ดว้ ยความเหนือกวา่ ทางกำ�ลังทหารในช่วั เวลานัน้ ความเปน็ ผนู้ ำ�ทเี่ ปล่ยี นโฉมภมู ภิ าคในกลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 14 มาจากนกั แสวงโชคผมู้ ที มี่ าไมช่ ดั เจนนามวา่ อทู่ อง พระเจา้ อทู่ อง ประสูติเม่ือ พ.ศ. 1857 (1314) (ตามข้อสันนิษฐานของชาญวิทย์ เกษตรศริ )ิ คาดว่าจากตระกลู พ่อค้าชาวจนี ท่ีทรงอิทธพิ ล ซ่งึ น่าจะ 4 | อยุธยาและเพือ่ นบ้าน 95

ตงั้ ถนิ่ ฐานในเพชรบรุ ี เราทราบวา่ พระเจา้ อทู่ องอภเิ ษกสมรสกบั พระ ธิดาของผู้ปกครองสุพรรณบุรี และอาจจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง ทเี่ ป็นเครอื ญาติกบั สายผู้ปกครองลพบุรี ดว้ ยความสัมพนั ธ์กับแวน่ แคว้นท่ีทรงอำ�นาจถึงสองแห่ง ผนวกกับประชาคมการค้าที่กำ�ลัง เตบิ โต แสดงอยา่ งนอ้ ยในเชงิ สญั ลกั ษณใ์ หเ้ หน็ ถงึ ความแขง็ แกรง่ พนื้ ฐานทพ่ี ระเจา้ อทู่ องจะทรงใชเ้ ปน็ ฐานในการพฒั นาความมกั ใหญใ่ ฝส่ งู ทางการเมอื งของพระองค์ พระราชพงศาวดารอยธุ ยาฉบบั หนง่ึ ระบวุ า่ พระเจา้ อทู่ องเปน็ ทายาทของกษตั รยิ แ์ หง่ “กมั พชู า” ซงึ่ นา่ จะหมายถงึ ลพบรุ ี และเลา่ ถงึ การสถาปนากรุงศรอี ยธุ ยาของพระองคว์ า่ พระเจ้าแผ่นดินสวรรคต หาพระวงศ์มิได้ ชน ทั้งปวงจึ่งยกเจ้าอู่ทองอันเป็นบุตรโชฎึกเศรษฐี มา ราชาภเิ ษกผา่ นถวัลยราช ครงั้ นัน้ บังเกดิ ไข้ทรพิษนกั ราษฎรทงั้ ปวงลม้ ตายเปน็ อนั มาก พระองคจ์ ง่ึ ยงั เสนา และอพยพราษฎรออกจากเมอื ง แตเ่ พลาราตรกี าล ไป โดยทักขณิ ทิศ เพือ่ จะหนหี ่า และพระเชษฐาท่านนนั้ เขา้ พกั พลปกตอิ ยใู่ นประเทศเมอื งสพุ รรณบรุ ี แตพ่ ระเจา้ อทู่ องนนั้ ยาตราพลรอนแรมไปหลายราตรี จงึ่ พบแมน่ �ำ้ ใหญ่ แลว้ เหน็ เกาะหนงึ่ เปน็ ปรมิ ณฑล ประดษิ ฐานอยู่ ท่ามกลางภูมิภาคนั้นราบร่ืนดูสะอาด พระองค์จึ่งไห้ ข้ามพลพยุหเขา้ ตงั้ ถึงเกาะดงโสน ศุภมสั ดุ ศักราช 712 ปีขาลโทศก (พ.ศ. 1893) วันศุกร์ เดือน 5 ขึน้ 6 ค่�ำ เพลา 3 นาฬกิ า 9 บาท สถาปนากรุงพระนครศรอี ยธุ ยา (ตรงกับวนั ศกุ ร์ท่ี 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 (1351) หลังเวลา 9.00 นาฬกิ าใน 96 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

ตอนเชา้ )3 พระเจ้าอู่ทองทรงมีพระราชสมัญญานามว่า พระรามาธิบดี ท่ี 1 ทรงส่งพระเชษฐาของพระมเหสี คอื ขนุ หลวงพะงัว่ ไปปกครอง สพุ รรณบุรี ซงึ่ เปน็ เมืองฐานทมี่ ั่นทางอ�ำ นาจดง้ั เดมิ ของตระกลู และ ทรงส่งพระราชโอรสองค์โต คือ พระราเมศวร “ไปครองราชบลั ลังก์ ท่ีลพบุร”ี จากการท่รี าชธานขี องพระองค์ตัง้ อย่ทู ี่กรงุ ศรอี ยุธยา ซ่งึ อยูไ่ ม่ใกลไ้ ม่ไกลจากเมืองเอกท้งั สอง ดว้ ยการเดินทางทางน�้ำ และ ยังเป็นเมืองท่าเก่าแก่พอควรท่ีมีการค้านานาชาติอันรุ่งเรือง พระ รามาธบิ ดีท่ี 1 จงึ ทรงอย่ใู นสถานะท่ีมีขอ้ ได้เปรยี บย่งิ ทางธรรมชาติ จากประโยชน์ของข้อดีเหล่านี้ และยังทรงมีความสัมพันธ์ทางการ เมืองด้วยความเป็นเครือญาติกับพวกผู้นำ�และเมืองเล็กเมืองน้อย ต่างๆ ที่มเี จา้ ปกครองในภมู ภิ าคนี้ พระรามาธิบดที ี่ 1 จงึ ทรงสรา้ ง อาณาจกั รไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ซงึ่ ในเวลาไมน่ าน อยธุ ยากม็ อี �ำ นาจเหนอื อาณาจกั รคูแ่ ข่งทง้ั หลายท่อี ยู่ข้างเคยี ง การผสมผสานระหวา่ งการใชก้ ำ�ลงั และผลประโยชน์ ไดส้ รา้ ง ความแขง็ แกรง่ ใหก้ บั อยธุ ยา ตลอดศตวรรษแรกๆ ของการสถาปนา อาณาจกั ร ปรากฏใหเ้ หน็ จากความผนั ผวนทางการเมอื งภายใน การ แปรเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศและรูปแบบของสถาบันต่างๆ ของ อยุธยาในแต่ละด้านเหล่านี้ ปรากฏท้ังความตึงเครียดและความขัด แย้งท่ีอาจเป็นไปได้ ซึ่งสามารถบรรเทาและกำ�กับได้โดยผู้นำ�ท่ีมี ความคิดสร้างสรรคแ์ ละมีความเข้มแข็งเทา่ น้นั อยุธยาในสมยั พระรามาธิบดที ี่ 1 และผ้สู ืบทอดราชสมบัติตอ่ จากพระองค์ ดำ�รงอำ�นาจทางการเมืองบนพืน้ ฐานของความผูกพนั ทเี่ ขา้ กนั ไมค่ อ่ ยไดน้ กั ระหวา่ งก�ำ ลงั จากกลมุ่ คนไท-ไตจากซกี ตะวนั ตกของอาณาจักร กับวถิ ีการปกครองและเกยี รตภิ มู ิแบบเขมร จาก 4 | อยุธยาและเพื่อนบ้าน 97

ภาพการสถาปนากรงุ ศรอี ยธุ ยา ในพทุ ธศตวรรษที่ 19 ภาพเขยี นฝมี อื ชาวไทย อยใู่ นพิพธิ ภัณทสถานแห่งชาต,ิ กรุงเทพฯ 98 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

ลพบรุ แี ละหวั เมอื งซกี ตะวนั ออก และพลงั ทางการคา้ ของชาวจนี (และ ชาวเอเชียอนื่ ๆ ) ท่รี วมตวั กนั อยทู่ ่ศี ูนยก์ ลางในราชธานีเมอื งทา่ ใน ฐานะมชี มุ ชนตา่ งชาตทิ ี่เขา้ มาอยู่อาศยั ถาวร จึงอาจกล่าวไดว้ ่าชาว จีนมอี ทิ ธิพลทางการเมอื งมากกวา่ อำ�นาจทางการเมอื ง และเป็นไป ได้ว่าชาวจีนพยายามที่จะใช้อิทธิพลน้ันโดยให้ความช่วยเหลือแก่ ฝ่ายต่างๆ ในราชสำ�นัก ในการเพ่ิมพูนความมั่งค่ังหรือสร้างความ สมั พนั ธท์ างการทตู กบั ตา่ งแดน ผนู้ �ำ คนไท-ไตแหง่ ทรี่ าบลมุ่ ซกี ตะวนั ตกสรา้ งความแขง็ แกรง่ ของตนโดยหลกั ๆ บนการอา้ งสทิ ธเิ หนอื ก�ำ ลงั คนในภูมิภาคที่ตนควบคุมอยู่ การอ้างสิทธิน้ันอยู่บนพื้นฐานของ ความสวามิภักดส์ิ ่วนบุคคล และจะแสดงให้เห็นได้โดยเฉพาะอย่าง ย่ิง ในยามระดมพลเพ่ือทำ�ศกึ แต่พลเมอื งของลพบรุ ีและเหล่าผคู้ น ที่เหมือนชาวลพบุรีในหัวเมืองซีกตะวันออก อาจถูกมองว่าคุ้นเคย อย่างยิ่งกับการมีรัฐบาลที่มีรูปแบบเป็นทางการ ท่ีน่ีมีแรงงานท่ีมี ทักษะ ทำ�งานตามหน้าที่ และเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สำ�หรับ อาณาจกั รใหมท่ ก่ี �ำ ลงั ขยายตวั แหลง่ ทมี่ าของความแขง็ แกรง่ ทง้ั สาม ทแี่ สดงออกในองคป์ ระกอบเหลา่ น้คี ือ – เศรษฐกิจ การทหาร และ การบรหิ ารแผน่ ดนิ – ไมไ่ ดป้ ระสานงานกนั เสมอไป และอาจใชเ้ วลา หลายช่ัวคนกว่าจะบรรลถุ งึ การประสานงานทคี่ ลอ่ งตัวได้ ความขดั แยง้ ทางการเมอื งในอยธุ ยามศี นู ยก์ ลางอยทู่ เ่ี รอ่ื งการ สืบราชสมบัติ ซ่ึงเปล่ียนมือไปมาระหว่างราชวงศ์สุพรรณบุรีและ ลพบรุ อี ยหู่ ลายชว่ั คน วกิ ฤตการณก์ ารสบื ราชสมบตั ทิ ส่ี ำ�คญั ครงั้ แรก ใน พ.ศ. 1912 (1369) เมือ่ พระรามาธิบดีท่ี 1 สวรรคต พระราเมศวร ซงึ่ เปน็ พระราชโอรสเสดจ็ ลงมาจากลพบรุ เี พอื่ เสวยราชย์ แตก่ ค็ รอง ราชยไ์ ดช้ ว่ งเวลาสนั้ ๆ เทา่ นน้ั ในปถี ดั มาพระบรมราชาธริ าชที่ 1 (ขนุ หลวงพะง่ัว) ซึ่งเป็นพระปิตุลาของยุวกษัตริย์ เป็นพระเชษฐาของ พระวิมาดาของพระองค์และปกครองสุพรรณบุรีอยู่ ได้เสด็จพร้อม 4 | อยุธยาและเพอ่ื นบ้าน 99

นำ�กองก�ำ ลังเขา้ มาถึงราชธานี อาจดว้ ยค�ำ แนะนำ�ของเสนาบดขี อง พระองค์ พระราเมศวรจงึ ทรงสละราชสมบตั ิ และเสดจ็ กลบั ไปปกครอง ลพบุรีเช่นท่ีทรงเคยครองในรัชสมัยของพระราชบิดา ขณะที่พระ ราเมศวรซ่งึ มีพระชนมายุ 30 พรรษา อาจจะไมม่ ีประสบการณ์ ไม่ สนใจกจิ การบา้ นเมอื ง และไมม่ คี วามสามารถทางการทหาร แตพ่ ระ ปติ ลุ ามพี ระชนมายุ 63 พรรษา เปน็ ทก่ี ลา่ วขานกนั วา่ เปน็ ผปู้ กครอง ที่กล้าหาญ ปราดเปรื่องเร่ืองอาวุธ ดูแลทหารและบ้านเมืองของ พระองค์อย่างด4ี การเผชิญหน้าระหว่างสองพระองค์อาจไม่ได้เป็น ไปอยา่ งสนั ติ เทา่ ทพ่ี งศาวดารระบไุ ว้ ขอ้ ความตอนหนง่ึ บอกวา่ “แผน่ ดนิ หมองไปดว้ ยสงครามกลางเมอื ง ภายใตก้ ารปกครอง (ของพระบรม ราชาธริ าชที่ 1) แตพ่ ระองคย์ ตุ ทิ กุ อยา่ งไดด้ ว้ ยการเสยี เลอื ดเนอื้ เพยี ง เลก็ น้อย ท�ำ ให้ทุกคนเข้าสวามิภักดต์ิ อ่ พระองค์เพียงองค์เดียว”5 สบิ แปดปตี อ่ มา สถานการณพ์ ลกิ ผนั เมอ่ื พระบรมราชาธริ าช ที่ 1 สวรรคตใน พ.ศ. 1931 (1388) พระเจา้ ทองจนั (*พระเจา้ ทองลนั ) ซง่ึ เปน็ พระราชโอรสชนั ษาสบิ เจด็ ขนึ้ ครองราชย์ หลงั จากทที่ รงซอ่ งสมุ ก�ำ ลังพลอย่างลบั ๆ ในลพบรุ ีและเขตใกล้เคียง อดีตกษตั รยิ ์ คอื พระ ราเมศวรน�ำ ก�ำ ลงั เขา้ โจมตพี ระราชวงั ในกรงุ ศรอี ยธุ ยา จบั ยวุ กษตั รยิ ์ ประหารชวี ติ และขน้ึ ครองราชย์ นค่ี อื การฟนื้ ฟอู �ำ นาจของสายราชวงศ์ ลพบรุ อี ีกครง้ั รัชสมัยท่ีสองของพระราเมศวรดำ�เนินไปเพียงแค่ 7 ปี ถึง  พ.ศ. 1938 (1395) พระราชโอรสวยั ยีส่ ิบเอด็ พรรษา ทรงมีพระนาม ว่า พระรามราชา (พระรามราชาธริ าช) สืบทอดอำ�นาจตอ่ ดเู หมือน ว่าพระรามราชาทรงพยายามอย่างพร้อมเพรียงที่จะคืนดีกับสาย ราชวงศส์ พุ รรณบรุ ี ทรงแตง่ ตงั้ พระนครอนิ ทร์ ซง่ึ เปน็ พระอนชุ าของ พระเจา้ ทองจนั (ผถู้ กู พระราชบดิ าของพระองค์ (*พระราเมศวร) ทรง แย่งราชบัลลงั กม์ า) ใหป้ กครองสุพรรณบุรี และทีเ่ หน็ ได้ชัดเจนคอื 100 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

ทรงอนุญาตแม้กระทั่งให้พระนครอินทร์เจริญสัมพันธ์ทางการทูต โดยตรงกับราชสำ�นักจีน (ซึ่งเท่ากับรับรองว่าพระนครอินทร์เป็น รัชทายาทของราชบัลลังก์อยุธยา) นโยบายน้ีดำ�เนินไปด้วยดี จน กระทงั่ ถงึ  พ.ศ. 1952 (1409) พระรามราชาเกดิ แตกคอโดยไมร่ สู้ าเหตุ กับหัวหน้าเสนาบดีของพระองค์ ซึ่งหนีออกจากราชธานี และไป อัญเชิญพระนครอินทร์ให้ร่วมกับเขาในการโค่นล้มองค์กษัตริย์ด้วย กองก�ำ ลงั ของพวกเขา สง่ ผลใหพ้ ระรามราชาธริ าชตอ้ งลภี้ ยั พระนคร อินทรข์ นึ้ ครองราชย์ โดยไดร้ ับสมัญญานามว่า พระอินทราชาธริ าช ที่ 1 และเสนาบดีได้รับพระราชทานพระธิดาท่เี กิดแตพ่ ระสนมเป็น รางวลั วกิ ฤตการณก์ ารสบื สนั ตตวิ งศใ์ น พ.ศ. 1952 (1409) ดเู หมอื น ว่าจะเป็นจุดจบของการเป็นอริกันระหว่างสายราชวงศ์ลพบุรีและ สพุ รรณบรุ ี เพราะหลงั จากนสี้ ายราชวงศล์ พบรุ แี ทบจะไมป่ รากฏเรอื่ ง ราวในพงศาวดารอกี อยา่ งไรกต็ าม พงศาวดารอาจจะปดิ บังการสนิ้ สดุ ของเชอื้ สายของพระราเมศวร เพราะหลกั ฐานหนงึ่ กลา่ ววา่ “ระหวา่ ง รัชสมัยของกษัตริย์พระองค์น้ี (พระอินทราชาที่ 1) เกิดสงคราม กลางเมืองในแผ่นดิน แต่พระองค์ทรงรอมชอมระหว่างทั้งสองฝ่าย ได้”6 พระอนิ ทราชาท่ี 1 คงจะเข้าปกครองลพบรุ ีโดยตรง เพราะทรง สง่ พระราชโอรสท่ีมวี ยั วุฒิแลว้ สามพระองค์ไปปกครองหัวเมืองทาง เหนอื และตะวนั ตก คอื สุพรรณบรุ ี สรรค์ (สรรคบรุ ี) และพษิ ณุโลก และแล้วการทา้ ทายราชบลั ลังกก์ เ็ กิดข้ึนอยา่ งต่อเน่อื งอีก ไมใ่ ช่จาก ลพบรุ ี แต่จากหวั เมอื งทางเหนือท่ไี กลกวา่ ณ จุดนี้ ประวัติศาสตร์ของอยุธยาผ่านมายังไม่ถึงหกสิบปี หลังจากการกอ่ ตัง้ อาณาจกั ร อยธุ ยาใกล้จะกลายเปน็ มหาอำ�นาจที่ ส�ำ คญั ในการตดิ ตอ่ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั ตา่ งๆ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี ง ใตภ้ าคพนื้ ทวปี พระรามาธบิ ดที ี่ 1 (พ.ศ. 1893-1912 (1351-69)) ทรง 4 | อยธุ ยาและเพอ่ื นบา้ น 101

เขา้ ไปยุ่งเกีย่ วในดินแดนใจกลางอาณาจกั ร ได้เขา้ สรู้ บกบั จักรวรรดิ พระนครทน่ี ครธมเพอ่ื รกั ษาพรมแดนทางตะวนั ออก ในสงครามครงั้ น้ี เมอื งนครธมอาจจะถกู ยดึ ครองชวั่ ขณะหนงึ่ ในระหวา่ งนน้ั ราษฎร จ�ำ นวนมากพอควรถกู กวาดตอ้ นใหเ้ ขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐานในเขตแดนอยธุ ยา สว่ นหวั เมอื งทางเหนอื ในรชั สมยั ของพระรามาธบิ ดที ่ี 1 อาจจะไดร้ บั การประกันความปลอดภัยด้วยความตกลงร่วมมือหรือการเป็น พันธมิตรกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท พ.ศ. 1889/90- 1911/17 (1346/7–1368/74)) แหง่ สโุ ขทยั ซง่ึ เปน็ การใหโ้ อกาสแตล่ ะ ฝ่ายไดส้ รา้ งความเข้มแข็งแกอ่ าณาจักรของตน เมอื่ พระบรมราชาธริ าชท่ี 1 (พ.ศ. 1913-31 (1370-88)) เสดจ็ มาจากสพุ รรณบรุ เี พอ่ื เสวยราชยท์ กี่ รงุ ศรอี ยธุ ยา ทรงหนั ความสนใจ ไปสู่หัวเมืองทางเหนือ เราอาจจินตนาการว่าทรงเป็นนักรบเก่าผู้ โชกโชน ในวยั พระชนมายุ 60 กวา่ พรรษา ดูเหมอื นว่าจะทรงมอง สโุ ขทยั ในฐานะทเี่ ปน็ คแู่ ขง่ ส�ำ คญั ของอยธุ ยา ในการผงาดขน้ึ ในโลก ของคนไท-ไต แท้จริงแล้ว สโุ ขทยั ไดฟ้ ้ืนฟูความแขง็ แกร่งขึ้นมาได้ ในรชั สมยั พระมหาธรรมราชาท่ี 1 และไดเ้ มอื งหลายเมอื งทตี่ งั้ ตนเปน็ อิสระหลังจากพ่อขุนรามคำ�แหงสวรรคตแล้วเข้ามาอยู่ใต้อาณัติได้ พระบรมราชาธิราชท่ี 1 ใช้เวลาเกือบตลอดรัชกาลทำ�สงครามกับ สุโขทยั บางทอี าจด้วยความหวงั ทจ่ี ะฉกฉวยประโยชนจ์ ากความไม่ แน่นอนทางการเมืองในสุโขทัย หลังจากการสวรรคตของพระมหา ธรรมราชาท่ี 1 ในชว่ งระหวา่ ง พ.ศ. 1911-17 (1368-74) ใน พ.ศ. 1921 (1378) พระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้เข้ายึดเมืองนครสวรรค์ เมือง พษิ ณุโลก และเมืองก�ำ แพงเพชร และบังคบั ใหพ้ ระมหาธรรมราชา ที่ 2 (พ.ศ. 2011/17-41? (1468/74-98?)) ถวายสตั ย์เปน็ พันธมิตร และยอมรับอำ�นาจเหนือหัวของอยุธยา ต่อมาพระบรมราชาธิราช ท่ี 1 ไดบ้ กุ เขา้ โจมตอี าณาจกั รลา้ นนาเปน็ ครง้ั แรก ซง่ึ สง่ ผลใหล้ �ำ ปาง 102 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

เข้ามาสวามิภักดิ์ใน พ.ศ. 1929 (1386) และต่อมาทรงร่วมมือกับ ล้านนาเขา้ รกุ รานสโุ ขทยั คร้งั ใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกดิ กบฏขนึ้ ที่ เมืองกำ�แพงเพชร พระบรมราชาธิราชที่ 1 เสด็จไปปราบกบฏดัง กลา่ ว และสวรรคตระหวา่ งทางเสดจ็ กลบั อยธุ ยาใน พ.ศ. 1931 (1388) การกลับข้ึนครองราชย์ของพระราเมศวร (พ.ศ. 1931-38 (1388-95)) เป็นจุดเร่ิมของการเปล่ียนนโยบายท่ีหลายคนเห็นว่า เปน็ นโยบายทใี่ หค้ ณุ กบั สโุ ขทยั ถา้ หลกั ฐานในพงศาวดารมคี วามนา่ เชอ่ื ถอื ทวี่ า่ พระราเมศวรทำ�สงครามกบั ลา้ นนาและจกั รวรรดพิ ระนคร ตามหลกั ฐานน้ี พระราเมศวรโจมตเี ชยี งใหม่ และเชยี งใหมส่ วามภิ กั ดิ์ ใน พ.ศ. 1933 (1390) และไดก้ วาดตอ้ นผคู้ นจำ�นวนมากจากเชยี งใหม่ สง่ ไปตงั้ ถน่ิ ฐานทพ่ี ทั ลงุ สงขลา นครศรธี รรมราช และจนั ทบรุ ี (อยา่ งไร ก็ตาม สงครามคร้ังน้ีไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพงศาวดารของเชียงใหม่) ไมน่ านหลงั จากนน้ั เมอื่ กษตั รยิ ก์ มั พชู าเขา้ รกุ รานชลบรุ แี ละจนั ทบรุ ี เพอ่ื กวาดตอ้ นก�ำ ลงั คนไป พระราเมศวรสง่ กองทพั ไปยงั กมั พชู า และ ยึดเมืองพระนครได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีครั้งใดของสงคราม เหลา่ นท้ี ร่ี ะบไุ วอ้ ยา่ งชดั เจนในหลกั ฐานทเ่ี ชอ่ื ถอื ได้ และทงั้ หมดทเ่ี รา สามารถสรปุ ไดเ้ กยี่ วกบั นโยบายตา่ งประเทศในรชั สมยั พระราเมศวร คอื การหลีกเล่ียงการเผชิญหนา้ กบั สุโขทัย พระรามราชาธิราช (พ.ศ. 1938-1952 (1395-1409)) พระ ราชโอรสของพระราเมศวร ทรงมีความพยายามอย่างกระตือรือร้น ยงิ่ กวา่ ทจี่ ะแสดงอ�ำ นาจเหนอื ดนิ แดนทางเหนอื ใน พ.ศ. 1939 (1396) ทูตของอยุธยาลอบปลิดชีพเจ้าผู้ครองแคว้นน่าน และในปีต่อมา อยุธยาบังคับใช้ระบบกฎหมายของตนกับสุโขทัยและประเทศราช ของตน แต่ไม่นานนัก สุโขทัยก็ตอบโต้กลับด้วยสิ่งที่เรียกว่า “คำ� ประกาศอิสรภาพ” ของพระมหาธรรมราชาท่ี 3 (พระยาไสลือไท  พ.ศ. 1941-1962 (1398-1419)) แหง่ สโุ ขทยั โดยพระมหาธรรมราชา 4 | อยุธยาและเพ่ือนบา้ น 103

ที่ 3 ได้เขา้ ยดึ เมืองนครสวรรค์คืนจากอยธุ ยาใน พ.ศ. 1943 (1400) ซง่ึ เปน็ การปดิ กนั้ เสน้ ทางการตดิ ตอ่ ทางแมน่ �ำ้ ทส่ี �ำ คญั ขยายอ�ำ นาจ เข้าไปในแคว้นน่านและแพร่ และพยายามแม้กระท่ังแทรกแซงใน การสืบราชสมบัติของล้านนา เป็นท่ีโต้เถียงกันว่า การถดถอย เกยี รตภิ มู ขิ องอยธุ ยาในดนิ แดนทางเหนอื เชน่ นไ้ี ดส้ ง่ ผลตอ่ การเสอ่ื ม อำ�นาจของพระรามราชาธิราชและราชวงศ์ลพบุรีหรือไม7่ เมอื่ พระอนิ ทราชาธริ าชท่ี 1 (พ.ศ. 1952-67 (1409-24)) เสดจ็ จากสุพรรณบรุ มี าครองราชยท์ ีก่ รงุ ศรีอยุธยา ทรงขยายอ�ำ นาจของ อยุธยาเข้าไปในดินแดนสุโขทัย ใน พ.ศ. 1955 (1412) หลังจาก เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ เจ้านายจากกรุง ศรอี ยุธยาได้เสดจ็ มาปกครองสโุ ขทัย และพระมหาธรรมราชาท่ี 3 ก็ ถูกลดสถานะเป็นเจ้าสวามิภักดิ์ พระอินทราชาเสด็จเยือนสุโขทัย ระยะเวลาหนึ่งใน พ.ศ. 1960 (1417) เมื่อพระมหาธรรมราชาท่ี 3 สวรรคตใน พ.ศ. 1962 (1419) พระอนิ ทราชาเสดจ็ ไปเมอื งนครสวรรค์ อกี ครัง้ เพอ่ื ตัดสินเรอ่ื งการสืบราชสมบตั ิในสโุ ขทยั และทรงแตง่ ตงั้ พระมหาธรรมราชาท่ี 4 (พ.ศ. 1962-81 (1419-38)) เป็นกษัตริย์ สโุ ขทัย พระมหาธรรมราชาที่ 4 ทรงย้ายราชธานไี ปเมอื งพิษณโุ ลก ประมาณ พ.ศ. 1973 (1430) และเม่อื พระองค์สวรรคตใน พ.ศ. 1987 (1438) สุโขทัยถกู ผนวกเป็นหัวเมืองหน่ึงของราชอาณาจกั รอยุธยา เหมอื นกบั ทพี่ ระรามาธบิ ดที ่ี 1 ทรงสง่ พระราชโอรส คอื พระราเมศวร ไปปกครองเมอื งลพบรุ ี ในตอนนพ้ี ระบรมราชาธริ าชที่ 2 (พ.ศ. 1967- 91 (1424-48)) ทรงส่งพระราชโอรสคือพระราเมศวร (ต่อมาคือ พระบรมไตรโลกนาถ) ไปปกครองเมอื งพิษณโุ ลก พระบรมราชาธิราชท่ี 2 คงไม่ไดค้ าดหวังวา่ จะสบื ราชสมบตั ิ ตอ่ จากพระราชบดิ า (พระอนิ ทราชาที่ 1) ในกรงุ ศรอี ยธุ ยา เพราะยงั มีพระเชษฐาสองพระองค์ท่ีมีสิทธิเหนือกว่าในราชบัลลังก์ อย่างไร 104 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

กต็ าม เมอื่ พระราชบดิ าสวรรคตใน พ.ศ. 1967 (1424) พระเชษฐาทง้ั สองแยง่ ชิงราชบลั ลังก์ดว้ ยการสัปยทุ ธบ์ นหลงั ชา้ ง และทั้งสองตา่ ง สนิ้ พระชนม์ พระบรมราชาธริ าชท่ี 2 ซง่ึ ขณะนั้นพระชนมายไุ ด้ 35 พรรษา ทรงพิสูจน์ว่าเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถและทรงอำ�นาจ ทรงไดส้ บื ทอดบลั ลงั กข์ องอาณาจกั รทก่ี วา้ งใหญอ่ ยแู่ ลว้ พรอ้ มกองทพั ทีเ่ ขม้ แข็ง ดว้ ยผา่ นการศกึ กับพวกเขมร สโุ ขทัย และลา้ นนา ทรงมี ไพร่ฟ้าเพิม่ มากข้นึ จากพวกเชลยศกึ รัชสมยั ของพระองคถ์ กู บันทกึ ไวใ้ นพงศาวดารวา่ มคี วามมง่ั คง่ั ร�ำ่ รวยและรงุ่ โรจน์ พระบรมราชาธริ าช ท่ี 2 และพระราชโอรส ทรงรบั ภาระในการรวมอาณาจกั รใหเ้ สรจ็ สนิ้ และท�ำ ใหอ้ าณาจักรเป็นมหาอ�ำ นาจระดบั นานาชาติ พระบรมราชาธิราชที่ 2 รับช่วงการทำ�ศึกกับเมืองพระนคร ซง่ึ ยงั คงยดื เยอื้ มาไมจ่ บสนิ้ นบั แตร่ ชั สมยั พระรามาธบิ ดที ่ี 1 และพระ ราเมศวร กษัตริย์แห่งจักรวรรดิพระนครองค์ก่อนๆ เป็นที่รู้จักน้อย มาก ดเู หมือนว่าเมือ่ ถงึ รัชสมัยนี้ จกั รวรรดพิ ระนครยังรุกเขา้ มายัง ชายเขตเมอื งตา่ งๆ เปน็ ระยะๆ จากจนั ทบรุ ถี งึ ชลบรุ แี ละนครราชสมี า เพอ่ื กวาดต้อนผูค้ นและปลน้ สะดม ในทศวรรษ 1420 (1963-1972) จักรวรรดิพระนครกำ�ลังเส่ือมอำ�นาจอย่างเห็นได้ชัด ถูกประกบอยู่ ระหว่างพวกจามทางด้านตะวันออก ซ่ึงมักเข้ารุกรานใจกลางเขมร อยู่บ่อยๆ และอยุธยาทางด้านตะวันตก ทรัพยากรของจักรวรรดิ พระนครถกู ขดู รดี มาเพอ่ื ใชใ้ นการสงคราม จนถงึ จดุ ทไี่ มเ่ พยี งพอตอ่ การรกั ษาระบบชลประทาน (*หรือ บาราย) ท่ีซับซอ้ น ซง่ึ เปน็ พน้ื ฐานของความมั่งค่ังของอาณาจักรได้ ในท่ีสุดใน พ.ศ. 1974-75 (1431-32) พระบรมราชาธริ าชที่ 2 ไดส้ ง่ กองทพั ขนาดใหญไ่ ปโจมตี เมอื งนครธม จนยดึ เมอื งไดส้ �ำ เรจ็ เมอื งหลวงถกู ปลน้ สะดม—เครอื่ ง ราชกกธุ ภณั ฑถ์ กู ขนยา้ ย—และพระราชโอรสของพระบรมราชาธริ าช ท่ี 2 ถกู แตง่ ตง้ั ใหป้ กครองเมอื งในฐานะเจา้ เมอื งประเทศราชชวั่ ระยะ 4 | อยุธยาและเพอื่ นบา้ น 105

เวลาสน้ั ๆ เทยี บเทา่ กบั สถานะของพระมหาธรรมราชาที่ 4 แหง่ สโุ ขทยั ไมน่ านนกั เมอื งพระนครกถ็ กู ทง้ิ รา้ ง และรชั ทายาทของกษตั รยิ เ์ มอื ง พระนครองค์สุดท้ายหนีไปตั้งราชธานีใหม่ ณ ท่ีตั้งกรุงพนมเปญ (ปจั จบุ นั ) หา่ งออกไปทางตะวนั ออก (*ชอ่ื เมอื งจตรุ พกั ตร)์ หลงั จาก เกือบหน่ึงศตวรรษแห่งความขัดแย้ง เม่ือถึงตอนนี้ อยุธยารู้สึก ปลอดภัยกับดินแดนซกี ตะวนั ออกอย่างนอ้ ยกช็ ่วงเวลาหนึง่ การขยายไปสุโขทัยและหัวเมืองทางเหนือ บริเวณท่ีราบลุ่ม ภาคกลางเป็นเป้าหมายต่อไป เม่ือพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่ง สุโขทยั สวรรคตใน พ.ศ. 1981 (1438) พระบรมราชาธิราชท่ี 2 ทรง มน่ั ใจในอ�ำ นาจมากพอทจ่ี ะแตง่ ตงั้ พระราชโอรสพระชนมายุ 7 พรรษา คอื พระราเมศวรเปน็ เจา้ เมอื งสโุ ขทยั โดยนา่ จะมกี ลมุ่ ขนุ นางผบู้ รหิ าร และกองทหารตามเสด็จไปด้วย ในที่สดุ ใน พ.ศ. 1985 (1442) พระบรมราชาธริ าชท่ี 2 หนั ไป ใหค้ วามสนใจกบั ลา้ นนา เปน็ การเรมิ่ ตน้ ของสงครามทยี่ ดื เยอ้ื ตอ่ มา เกอื บศตวรรษ น�้ำ หนกั ของภารกจิ นต้ี กหนกั ทส่ี ดุ อยกู่ บั พระราเมศวร พระราชโอรส ซึ่งสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ในพระนาม พระบรมไตรโลกนาถ (หรือไตรโลก) หลังจากพระบรมราชาธิราช ท่ี 2 สวรรคตระหวา่ งการสรู้ บกบั เชยี งใหม่ ใน พ.ศ. 1991 (1448) ดว้ ย ในตอนน้ี ราชอาณาจักรอยธุ ยารวมดนิ แดนได้กว้างใหญย่ ่งิ ขึ้น และ มีจำ�นวนพลเมืองมากกว่าท่ีพระราชบิดาได้รับตกทอดมาใน พ.ศ.  1967 (1424) และทรงหวังท่ีจะทำ�การศึกขนาดใหญก่ บั ดินแดนทอี่ ยู่ ไกลออกไป พระบรมไตรโลกนาถจึงคงตกอยู่ภายใตแ้ รงกดดนั ทจี่ ะ สรา้ งระบบราชการของราชอาณาจกั รใหเ้ ปน็ ระบบและมคี วามแขง็ แกรง่ เหนอื อื่นใดท้งั หมดเป็นเพราะวา่ ทรงเห็นความจ�ำ เป็นที่จะย้ายเมอื ง หลวงเป็นการชั่วคราวไปยังเมืองพิษณุโลก เพื่อสะดวกในการเข้า โจมตีดินแดนทางเหนือมากยิ่งข้ึน 106 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

นับจากจุดเริ่มต้นของอาณาจักรอยุธยา อย่างน้อยที่สุด หัว เมอื งทส่ี �ำ คญั ไดถ้ กู ปกครองและควบคมุ อยา่ งเขม้ งวด ในทางเศรษฐกจิ และการเมอื ง รฐั ถกู สรา้ งบนพนื้ ฐานการอา้ งสทิ ธขิ องชนชน้ั ผปู้ กครอง เหนือกำ�ลังคนท่ีอาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐ ไพร่ท้ังหมดถูกเกณฑ์ แรงงานหกเดอื นในแตล่ ะปใี หร้ บั ใชก้ ษตั รยิ ์ และถกู ใชท้ �ำ งานสาธารณะ หรอื งานด้านการทหาร ก�ำ ลังคนของอยธุ ยาถูกจัดการและประสาน งานโดย มูลนาย ขุนนางประจ�ำ ทอ้ งถนิ่ ซ่งึ หลวงแต่งตง้ั ให้เปน็ ผูร้ บั ผิดชอบดูแลไพร่ คอยมอบหมายงานให้ไพร่ทำ� และเตรียมไพร่ให้ พรอ้ มเมอ่ื รฐั ตอ้ งการ การควบคมุ ก�ำ ลงั คนตามทอ้ งท่ี และดว้ ยระบบ ราชการในลักษณะน้ีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับรูปแบบดั้งเดิมของ คนไท-ไต ทว่ี า่ กนั ตามประเพณแี ลว้ ไพรจ่ ะรบั ใชน้ ายผอู้ ปุ ถมั ภเ์ ปน็ สว่ นตวั โดยไมใ่ สใ่ จกบั อ�ำ นาจเหนอื ของทอ้ งท่ี หรอื การควบคมุ ดว้ ย ระบบราชการอนั เปน็ ลกั ษณะของระบบทส่ี โุ ขทยั และรฐั ไท-ไตอน่ื ๆ  ทางเหนอื การขยายการควบคมุ ของระบบราชการเหนอื ก�ำ ลงั คนใน อยธุ ยา และดนิ แดนรายรอบทขี่ น้ึ ตรงกบั เมอื งหลวง นบั จากครง่ึ หลงั ของครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14 เปน็ แหลง่ ทมี่ าใหมท่ ส่ี �ำ คญั ของความแขง็ แกรง่ ซงึ่ ทำ�ให้อยธุ ยามีขอ้ ได้เปรยี บเหนือเพอื่ นบา้ น อย่างไรกต็ าม นีเ่ ป็น นวัตกรรมซ่ึงไม่อาจทำ�ได้อย่างง่ายดายหรืออย่างสมบูรณ์ โดย ธรรมชาตแิ ลว้ ไพรน่ ยิ มความยดื หยนุ่ และความเปน็ สว่ นตวั ในความ สัมพันธ์ระหว่างนาย-ไพร่แบบดั้งเดิมมากกว่าความไม่เป็นส่วนตัว และความเขม้ งวดของระบบราชการแบบใหม่ และไพร่จะมองหาวิธี ทจี่ ะหลกี เลีย่ งอยู่ตลอด ไพร่บางส่วนทำ�เชน่ นนั้ ไดส้ �ำ เรจ็ โดยไปเขา้ สงั กดั เปน็ ไพรส่ ว่ นตวั ของขนุ นางทท่ี รงอทิ ธพิ ล ขณะทส่ี ว่ นอน่ื หนไี ป ยงั ท้องที่อืน่ หรอื หนเี ขา้ ป่าท่รี า้ งผคู้ น หรือแมก้ ระทัง่ ขายตวั เองเปน็ ทาสสินไถ่ ความตึงเครียดโดยธรรมชาติระหว่างการควบคุมกำ�ลัง คนโดยบคุ คลและโดยระบบราชการ จะเปน็ พลวตั ทไ่ี มม่ วี นั จบสนิ้ ใน 4 | อยุธยาและเพ่ือนบ้าน 107

ประวตั ิศาสตรอ์ ยุธยา ขนุ นางของอาณาจกั รอยธุ ยาตอนตน้ เขา้ สกู่ ระบวนการเปลยี่ น รูปให้อยู่ในระบบราชการ อาจจะตามรูปแบบของจักรวรรดิพระนคร ที่สถาปนาข้ึนก่อนหน้านี้ในลพบุรี และท่ีราบลุ่มภาคกลาง พระ รามาธบิ ดที ี่ 1 คงต้องระดมบุคลากรทม่ี คี วามเชย่ี วชาญเฉพาะด้าน —อาลกั ษณ์ พราหมณป์ ระจ�ำ ราชส�ำ นกั ผรู้ กู้ ฎหมาย มหาดเลก็ สมหุ บญั ชี หมอ โหร และอน่ื ๆ —จากชนชน้ั นำ�ชาวเขมรในเมอื งลพบุรี อยธุ ยา พรหมบุรี อนิ ทรบ์ ุรี สรรค์บรุ ี และนครนายก คนเหลา่ น้พี ูด ภาษาเขมร และเริ่มการสรรเสริญเยินยอกษัตริย์ด้วยราชาศัพท์ที่มี รากมาจากภาษาเขมรและสันสกฤต สำ�หรบั ชนชน้ั นำ�ชาวเขมรแลว้ กษตั รยิ ท์ แ่ี ทจ้ รงิ ควรไดร้ บั การเทดิ ทนู เหนอื ขา้ แผน่ ดนิ ถกู กนั ใหห้ า่ ง ไกลจากการติดต่อโดยตรงกับราษฎร ดว้ ยสายงานของขนุ นาง และ ถูกห่อหุ้มด้วยม่านแห่งความลี้ลับและศักด์ิสิทธ์ิที่รังสรรค์ข้ึนมาจาก ศาสนาพราหมณ์ ลทั ธิไศวนิกาย และไวษณพนกิ าย พระรามาธิบดีที่ 1 และผู้สืบทอดราชสมบัติ มีระยะห่างอีก แบบหน่ึงจากขนุ นางท่ัวไปและขุนนางหัวเมือง ซ่งึ ปกครองหวั เมือง จำ�นวนมากในอาณาจักรขนุ นางเหลา่ น้ี บางส่วนอาจเร่ิมมาจากการ เป็นข้ารับใชส้ ว่ นพระองค์ พระสหายท่ไี วว้ างใจ และผสู้ วามภิ ักดต์ิ อ่ กษตั รยิ ท์ ท่ี รงมอบดนิ แดนใหอ้ ยใู่ นการดแู ล ขนุ นางเหลา่ นอ้ี าจมที ม่ี า จากชนช้ันปกครองของเมืองใดเมืองหนึ่ง แล้วถูกดึงเข้ามารับใช้ กษตั รยิ เ์ มอื่ อาณาจกั รขยายตวั ถงึ ตอนน้ี ในฐานะทเี่ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของ เมอื งราชธานี และหนว่ ยงานตา่ งๆ ของรฐั บาล ขนุ นางจะถกู แยกจาก ความเป็นผูส้ วามภิ ักด์ทิ เ่ี คยเปน็ การควบคมุ กำ�ลังคนทไ่ี มเ่ ป็นส่วน ตัวและเป็นไปตามระบบราชการข้ึนอยู่ตามแต่พระทัยของกษัตริย์ เท่านัน้ พวกขุนนางอาจถกู ส่งไปรับราชการในฐานะเจ้าเมือง หรือผู้ เกณฑ์แรงงาน หรอื ผ้ตู รวจการ หรอื เจ้าภาษีนายอากร ในสถานที่ 108 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

หน่งึ ๆ เป็นเวลาหน่ึงหรือสองปี จากนั้นอาจถูกส่งไปที่อ่ืน โดยอาจ ไดห้ รอื ไมไ่ ดร้ บั การเลอ่ื นยศ หรอื ไดเ้ บยี้ หวดั การปฏบิ ตั หิ นา้ ทท่ี ง้ั หมด ของขุนนางจะถูกบญั ญัติหรือกำ�หนดอย่างละเอียดด้วยเอกสารเป็น ลายลักษณ์อักษร เชน่ ตวั บทกฎหมายและพระบรมราชโองการ ในฐานะผู้ออกกฎหมาย พระรามาธิบดีที่ 1 และผู้สืบทอด อ�ำ นาจทรงล�ำ้ หนา้ กวา่ คนรว่ มสมยั ทรงเปน็ เชน่ เดยี วกบั กษตั รยิ พ์ มา่ กมั พชู า และชวา ทมี่ คี วามเชอื่ รว่ มกนั ในหลกั ธรรมะ ซง่ึ เปน็ กฎแหง่ ธรรมชาตทิ ไ่ี มส่ ามารถเปล่ยี นแปลงไดอ้ ันวา่ ด้วยจักรวาล ซึง่ เปน็ ท่ี รู้จักของเหล่าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่าน พระธรรมศาสตร์ หลากหลายฉบับ ซ่ึงเป็นเอกสารกฎหมายของอินเดียที่เชื่อกันว่า เขยี นโดยนกั ปราชญช์ อ่ื พระมนู ขณะทกี่ ษตั รยิ อ์ นื่ ๆ ตดั สนิ คดคี วาม ตามความรู้เร่ืองหลักธรรมะ แต่เหล่ากษัตริย์อยุธยาทรงบัญญัติ กฎหมายออกใชเ้ องได้ (*พระราชศาสตร)์ ทงั้ กฎหมายลกั ษณะอาญา หลวงและอาญาราษฎร์ เป็นกฎหมายซึ่งสามารถแกไ้ ขได้ ประกาศ ใช้ช่ัวเวลาหน่ึงและเปล่ียนแปลงได้ กฎหมายหลายฉบับของกรุง ศรีอยุธยาได้ชื่อว่าออกโดยพระรามาธิบดีท่ี 1 รวมถึงพระอัยการ ลกั ษณะพยาน พระอยั การลกั ษณะอาญาหลวง พระอยั การลกั ษณะ รบั ฟ้อง พระอยั การลักษณะลกั พาและมูลวิวาท พระอัยการลกั ษณะ อาญาราษฎร์ พระอยั การลกั ษณะโจร พระอยั การลกั ษณะผวั เมยี ถงึ แมว้ า่ จะมกี ารถกเถยี งกนั เรอื่ งวนั ทท่ี ป่ี ระกาศใชก้ ฎหมายโบราณของ สยาม แต่เราก็สามารถแน่ใจได้ว่า พระอัยการลักษณะลักพาได้ ประกาศใช้อย่างน้อยท่ีสุดใน พ.ศ. 1940 (1397) เพราะว่าข้อความ ตอนหนงึ่ ของกฎหมายถกู ระบอุ ยใู่ นศลิ าจารกึ ของสโุ ขทยั ทจ่ี ารขน้ึ ใน ปีนัน้ อยธุ ยาในศตวรรษแรก การบรหิ ารราชการของอาณาจกั ร โดย เฉพาะส่วนหัวเมืองไม่เป็นไปอย่างราบร่ืนเพียบพร้อม จะเห็นจาก 4 | อยุธยาและเพ่อื นบา้ น 109

ขอ้ เท็จจรงิ ทีว่ า่ โดยธรรมเนียมแล้ว กษตั ริย์พระองคแ์ รกๆ ของราช อาณาจักร ทรงแตง่ ตงั้ พระญาติทางสายเลอื ดใหป้ กครองหวั เมืองที่ ส�ำ คญั ทสี่ ดุ เนอ่ื งจากสายของพระรามาธบิ ดที ี่ 1 มกั สง่ เจา้ หนมุ่ ๆ ไป ครองลพบรุ ี ขณะทส่ี ายของพระบรมราชาธริ าชท่ี 1 สง่ เจา้ หนมุ่ ๆ ไป ครองสพุ รรณบรุ ี ท�ำ ใหอ้ นมุ านไดว้ า่ ยงั คงมฐี านอ�ำ นาจระดบั ทอ้ งถน่ิ หรือหัวเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับชนช้ันนำ� ท้องถ่ินและกับไพร่อิสระ ด้วยวิธีน้ี ทั้งอำ�นาจทางการเมืองและ เศรษฐกจิ สามารถน�ำ มาใชใ้ นเหตกุ ารณฉ์ กุ เฉนิ เชน่ การสบื ราชบลั ลงั ก์ ดงั นน้ั ขณะทร่ี ะบบการบรหิ ารราชการทมี่ คี วามเปน็ ระบบและสถาบนั ทำ�ให้ศูนย์กลางของอาณาจักรมีความแข็งแกร่งคงทน และมี ประสิทธภิ าพ แต่การสืบราชบลั ลังกค์ ร้ังแลว้ ครงั้ เลา่ มกั ตกเป็นของ ผอู้ า้ งสทิ ธทิ์ ส่ี ามารถรวบรวมก�ำ ลงั คนและผสู้ วามภิ กั ดจ์ิ ากหวั เมอื งท่ี สำ�คัญ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031 (1448-88)) ทรงใช้ ความพยายามอยา่ งมากทจ่ี ะสรา้ งความแขง็ แกรง่ ใหแ้ กส่ ถาบนั ทางการ บริหารของอาณาจักร ทรงออกกฎหมายสำ�คัญสองฉบับ คือ พระ อัยการตำ�แหน่งนาพลเรือน และ พระอัยการตำ�แหน่งนาทหารหัว เมอื ง ซง่ึ ใหน้ �ำ้ หนกั ส�ำ คญั กบั การจดั ล�ำ ดบั ชน้ั และการแบง่ แยกหนา้ ที่ ในสังคม กฎหมายเหล่านี้ถูกสร้างบนหลักการและการปฏิบัติท่ีทำ� กันมายาวนานในอาณาจักร เพอ่ื จำ�แนกแยกแยะสังคมที่มลี ำ�ดับชั้น ที่ซับซ้อนอย่างมหาศาลตามตำ�แหน่งและสถานะของแต่ละบุคคลท่ี ถกู กำ�หนดอยา่ งละเอยี ด กฎหมายกำ�หนดใหท้ ุกคนมีจ�ำ นวนหนว่ ย ของ ศักดินา แม้ว่าในตอนแรกอาจเปน็ หน่วยจ�ำ นวนทแ่ี สดงการวัด ทน่ี าจรงิ ๆ เป็นไร่ (22 ไร่ = 1 เอเคอร)์ แตใ่ นคริสตศ์ ตวรรษที่ 15 ไม่ ได้มคี วามหมายเช่นนีแ้ ล้ว เพราะแมก้ ระทั่งพระสงฆ์ แม่บ้าน ทาส และพอ่ คา้ ชาวจนี ตา่ งกไ็ ดร้ บั ศกั ดนิ า ไพรช่ าวนาธรรมดาไดร้ บั ศกั ดนิ า 110 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

25 ทาส 5 ชา่ งฝมี อื ท�ำ งานใหห้ ลวง 50 และขนุ นางชน้ั ผนู้ อ้ ย 50-400 ไร่ ด้วยศักดินาต้ังแต่ 400 ข้ึนไปจึงถือว่าเป็นขุนนาง คนในกลุ่ม ขนุ นาง เรม่ิ ตงั้ แต่หวั หนา้ กรมกองเล็กๆ ที่มีศกั ดนิ า 400 ไปจนถึง เสนาบดตี �ำ แหนง่ สงู สดุ ซง่ึ มศี กั ดนิ า 10,000 ศกั ดนิ าสงู สดุ ของขนุ นาง เทียบเท่ากับบรรดาเจ้านายในพระราชวงศ์ระดับล่างๆ และเจ้านาย ยศศักดิ์สูงมีศักดินาเหนือพวกขุนนาง จนถึงพระมหาอุปราชซ่ึงมี ศักดินาสูงสุด 100,000 ในกฎหมายท่ีมีความละเอียด ในรัชสมัย พระบรมไตรโลกนาถ ซ่ึงเหมอื นกบั ได้อ่านแผนผงั ของท้ังสังคม ทกุ ตำ�แหน่งและสถานะถูกจดั ล�ำ ดับและก�ำ หนดศกั ดนิ า ซ่ึงระบุสถานะ ทน่ี า่ จะเปน็ ของแตล่ ะบคุ คล นอกจากนี้ สถานะทางศกั ดนิ าถกู ตอกย�้ำ จากพระอัยการลักษณะอาญาหลวง และพระอัยการลักษณะอาญา ราษฎร์ คา่ ปรบั และการลงโทษเปน็ ไปตามสดั สว่ นของสถานะทแี่ ตล่ ะ บุคคลเก่ียวข้อง ถ้าไพร่คนหน่ึงกระทำ�ความผิดต่อขุนนางท่ีทรง อำ�นาจคนหน่ึง จะมีความผิดมากกว่าการกระทำ�ต่อทาส เพราะ อาชญากรรมน้ีเป็นการละเมิดต่อระเบียบสังคมและต่อกษัตริย์ ซึ่ง ทรงเปน็ ท่ีมาของสถานะความเปน็ ขนุ นาง ความย่งิ ใหญ่แห่งอ�ำ นาจ ของกษตั รยิ ด์ งั ทป่ี รากฏในการออกกฎหมาย มเี พอื่ จดั ระเบยี บความ ไม่เทา่ เทียมกนั โดยธรรมชาตริ ะหวา่ งมนษุ ย์ เพื่อประโยชนแ์ หง่ การ ดำ�เนนิ ไปของระเบยี บสังคมอย่างถูกตอ้ งสมควร ลักษณะสำ�คัญอื่นๆ ในพระอัยการตำ�แหน่งนาพลเรือน และ พระอยั การต�ำ แหนง่ นาทหารหวั เมอื งของพระบรมไตรโลกนาถ คอื มาตราวา่ ดว้ ยการปฏบิ ตั งิ านบรหิ ารราชการใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ กฎหมาย ดงั กลา่ วไดแ้ บง่ สว่ นราชการเปน็ สองฝา่ ยใหญๆ่  ฝา่ ยทหารอยภู่ ายใต้ เสนาบดกี ลาโหม (*สมหุ กลาโหม) และฝา่ ยพลเรอื นอยภู่ ายใตเ้ สนาบดี มหาดไทย (*สมหุ นายก) แตล่ ะฝา่ ยถกู แบง่ เปน็ กรม กองตา่ งๆ แตล่ ะ หนว่ ยมหี นา้ ทช่ี ดั เจน ตวั อยา่ งเชน่ ในฝา่ ยพลเรอื นมสี ก่ี รม (จตสุ ดมภ)์ 4 | อยธุ ยาและเพอ่ื นบา้ น 111

คอื เวียง วงั คลัง นา แตล่ ะกรมถกู แบง่ ยอ่ ยเป็นหนว่ ยย่อย ทสี่ ำ�คญั คอื กรมพระคลงั หนว่ ยงานทแ่ี ยกตา่ งหาก ท�ำ หนา้ ทด่ี แู ลการคา้ ตา่ ง ประเทศ กิจการต่างประเทศ และปกครองชุมชนของพวกพ่อค้าที่ เขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานในอาณาจกั ร ความมปี ระสทิ ธภิ าพของระบบบรหิ าร แผ่นดินน้ีจะถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง ในช่วงคร่ึงหลังของคริสต์ ศตวรรษที่ 15 เมอ่ื ราชอาณาจกั รอยธุ ยาตกอยใู่ นภาวะสงครามเกอื บ จะตลอดเวลา ระบบราชการจงึ ตอ้ งจดั หากองกำ�ลงั ทหาร เสบยี ง และ ผนู้ �ำ ที่สามารถ ซง่ึ ท�ำ ใหอ้ าณาจักรสามารถคงอยไู่ ด้อย่างม่ันคง สงครามซง่ึ จะเกดิ ขนึ้ บอ่ ยมากในชว่ งสส่ี บิ ปขี องรชั สมยั พระบรม ไตรโลกนาถ ไมใ่ ชผ่ ลจากความทะเยอทะยานอยา่ งบา้ คลง่ั ของกษตั รยิ ์ หากแต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการของการพัฒนาท่ีได้สุกงอม ภายในโลกของคนไท-ไต เปน็ เวลามากกวา่ หนง่ึ ศตวรรษ ในทศวรรษ 1450 (1993-2002) รฐั ไท-ไตที่เกิดใหมท่ ส่ี �ำ คญั ได้ผงาดขึน้ ในสาม ภมู ภิ าค คอื ราชอาณาจกั รอยธุ ยา ซง่ึ ในขณะนไี้ ดอ้ ยรู่ ว่ มกบั อาณาจกั ร ล้านนาที่รุ่งเรืองข้ึน และอาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรแห่งใหม่ใน ระหวา่ งการพฒั นาของอาณาจกั รเหลา่ น้ี กษตั รยิ ข์ องแตล่ ะอาณาจกั ร เห็นความจ�ำ เปน็ และมีความปรารถนาทจี่ ะผละออกจากที่แคบๆ ท่ี เนน้ จดุ ส�ำ คญั เพยี งแคใ่ นระดบั ทอ้ งถนิ่ ของบรรพบรุ ษุ และเพอ่ื นบา้ น และนยิ ามความมตี วั ตนของรฐั ของตนเสยี ใหม่ บนพนื้ ฐานใหมท่ กี่ วา้ ง กวา่ และเป็นนานาชาติมากกวา่ บัดนีอ้ ยุธยามคี ่แู ขง่ ท่ีทรงอำ�นาจถงึ สองแห่งส�ำ หรบั ความเปน็ ผนู้ ำ�ในโลกของคนไท-ไต ล้านนารงุ่ เรอื ง ล�ำ ดับเหตกุ ารณใ์ นเชยี งใหม่ ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 เตม็ ไปดว้ ยศกึ สงคราม ซง่ึ ดเู หมอื นจะเกดิ ขน้ึ จนเกอื บเปน็ สว่ นประกอบ 112 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

ในชวี ติ ประจ�ำ วนั อาณาจกั รลา้ นนามคี วามขดั แยง้ กบั เพอื่ นบา้ นเกอื บ ทุกแห่ง ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหน่ึง และยังทำ�สงครามภายในอยู่ บ่อยคร้ังยิ่งกว่า นี่ทำ�ให้ล้านนาประสบความสำ�เร็จเหนือกองทัพ อยุธยาอย่างน่าประทับใจ และทำ�ให้เกิดคำ�ถามถึงที่มาของความ แข็งแกร่งที่ยง่ั ยนื น้ัน ด้านหนึ่งของความแข็งแกร่งของล้านนาถูกระบุอยู่ในข้อมูล ของต�ำ นาน ถงึ การก่อตั้งเมืองใหมท่ เ่ี ชียงแสนใน พ.ศ. 1872 (1329) ในตอนแรกของตำ�นาน (*เมืองเชยี งแสน) เลา่ ว่า ขอบเขตทางการ บริหารของเชียงแสนได้แยกเชียงแสนออกจากเมืองต่างๆ ที่สำ�คัญ ในทุกทิศทาง—เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองสาด เมืองเชียงตุง เมอื งเชยี งรงุ่ เมอื งเชยี งของ จากนน้ั เชยี งแสนกส็ รา้ งจดุ ปอ้ งกนั ตา่ งๆ  จำ�นวนมากไวห้ ่างจากเมอื งพอควรในทกุ ทศิ ทาง และหันไปพฒั นา เรอื่ งการบรหิ ารภายในเมอื ง แควน้ เชยี งแสนเปน็ นครหลวงประกอบ ดว้ ยสบิ เขต ซงึ่ บา้ งกเ็ รยี กกนั วา่ เมอื ง แตล่ ะเขตประกอบดว้ ยจ�ำ นวน นาเปน็ หลักพัน เชียงแสนรวมเขตทง้ั หมดมนี า 32,000 ไร่ (ช่ือของ อาณาจักรลา้ นนาหมายความว่า “นาล้านไร”่ ) เปน็ ไปไดว้ ่าเหมอื น กบั ระบบศกั ดินาของอยุธยา จำ�นวนนาทน่ี บั ไว้ของล้านนาเปน็ หลกั ก�ำ หนดแตเ่ พยี งในนามมากกวา่ จะเปน็ จรงิ แตด่ เู หมอื นวา่ ทน่ี าจะท�ำ หนา้ ทใี่ นฐานะเครอื่ งมอื ทม่ี ปี ระโยชนส์ �ำ หรบั ก�ำ หนดสดั สว่ นการเกบ็ ภาษี และเปน็ มาตรวดั ความแขง็ แกรง่ โดยประมาณของสว่ นประกอบ ของแคว้นต่างๆ และอาณาจักร ต�ำ นานระบตุ อ่ ไปถงึ การบรหิ ารสว่ นกลางของแควน้ เชยี งแสน ต�ำ นานอธบิ ายว่า มีหัวหน้า (ขนุ ) สบิ สองคนทำ�หนา้ ทบี่ ริหาร บวก อีกหนง่ึ คนทำ�หน้าที่ด้านยุติธรรม หนึ่งคนส�ำ หรับดูแลฉางข้าว หนึ่ง คนทำ�หน้าท่ีด้านการรบ สองคนทำ�หน้าที่ดูแลราชสำ�นัก และหนึ่ง คนเพื่อดูแลกิจการนอกพระนคร ไม่มีอะไรตรงนี้ที่ช้ีว่า เจ้าผู้ครอง 4 | อยธุ ยาและเพื่อนบ้าน 113


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook