Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย

Published by History Channel, 2021-02-06 09:55:55

Description: ประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

แผนที่ประเทศไทยปจั จบุ นั 506 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ทุกระดับภายในประเทศไทยเท่าน้ัน ด้วยเหตุที่ถ้านับจากปลาย ทศวรรษ 1920 จนถึงตน้ ทศวรรษ 1950 (ระหว่าง 2463 ถงึ ประมาณ 2493) การสง่ นกั เรยี นไทยไปศกึ ษาตา่ งประเทศคอ่ นขา้ งจ�ำ กดั ขอ้ มลู นช้ี ว่ ยอธบิ ายถงึ การทผี่ นู้ �ำ รนุ่ นมี้ อี ดุ มการณแ์ บบไทยๆ มคี วามเคารพ ต่อสถาบนั และคา่ นิยมแบบประเพณีไทย และม่ันใจวา่ ตนเองดีกว่า ผนู้ �ำ รนุ่ กอ่ นตรงทส่ี ามารถเปน็ ตวั แทนของประชาชนรว่ มชาตจิ �ำ นวน มากกวา่ นอกจากนี้ ลักษณะเฉพาะดงั กลา่ วยงั ชว่ ยอธิบายว่า เหตุ ใดผู้นำ�รุ่นนี้จึงมีการพัฒนาในเร่ืองการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่ม ทางสังคมบางกลุ่มได้น้อยกว่า แม้ว่าการที่ผู้นำ�รุ่นนี้ยึดถือค่านิยม แบบประเพณแี ละสถาบนั จารตี จนทำ�ใหไ้ ดร้ บั การยอมรบั จากสถาบนั ทางอำ�นาจอื่นๆ ทมี่ ีความเป็นอนุรักษ์มากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน กลบั ท�ำ ใหต้ นเองแปลกแยกจากสมาชกิ รนุ่ ใหมข่ องชนชนั้ น�ำ พลเรอื น ท่กี ำ�ลงั เตบิ โตขึ้นในเขตเมือง จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ เคยเป็นทหารคนสนิทของจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม เปน็ เวลานาน แลว้ แปรเปลยี่ นมาเปน็ ศตั รู และผนู้ �ำ การรฐั ประหาร พ.ศ. 2500 (1987) จอมพลสฤษดเิ์ กดิ วนั ที่ 16 มถิ นุ ายน  พ.ศ. 2451 (1908) ท่กี รงุ เทพฯ เป็นบุตรของนายพนั แห่งกองทพั บก ผมู้ หี น้าที่หนงึ่ คือ การแปลภาษาเขมร แม้เกิดในกรงุ เทพฯ แต่จอม พลสฤษดใิ์ ชช้ วี ติ วยั เดก็ กบั ครอบครวั ลาวของมารดาทจ่ี งั หวดั มกุ ดาหาร การย้ายกลับมาพำ�นักท่ีกรุงเทพฯ ช่วงสั้นๆ เพ่ือรับการศึกษาใน โรงเรยี น เมอ่ื มอี ายุ 11 ปี จงึ เลอื กอาชพี ทหารและเขา้ ศกึ ษาทโ่ี รงเรยี น นายรอ้ ยทหารบก จนสำ�เรจ็ การศกึ ษาใน พ.ศ. 2471 (1928) ในช่วง แรกของอาชีพทหาร จอมพลสฤษดิ์วนเวียนทำ�งานหลายตำ�แหน่ง อยูใ่ นกรงุ เทพฯ จนกระทั่ง พ.ศ. 2481 (1938) ยา้ ยไปประจำ�การใน สงครามทร่ี ฐั ฉาน ทน่ี เี่ อง จอมพลสฤษดไ์ิ ดเ้ กย่ี วพนั กบั พลต�ำ รวจเอก เผา่ ศรียานนท์ และจอมพลผิน ชณุ หะวัณ และน�ำ ไปสูเ่ ส้นทางการ 10 | การพัฒนาและการปฏวิ ัติ 507

เมอื ง จากการทจี่ อมพลสฤษดใิ์ หค้ วามรว่ มมอื กอ่ รฐั ประหารใน พ.ศ.  2490 (1947) ซ่ึงการรัฐประหารดังกล่าวส่งผลให้จอมพล ป.พิบูล สงครามกลับมามีอำ�นาจอีกครั้ง หลังจากน้ันจอมพลสฤษด์ิเติบโต ทางหน้าท่ีการงานอย่างรวดเรว็ เห็นได้จากการสร้างฐานอ�ำ นาจใน กองทพั ภาคท่ี 1 ซึง่ อยู่ในกรุงเทพฯ และได้รบั การเล่ือนยศเปน็ พล ตรี ใน พ.ศ. 2491 (1948) เปน็ พลโทใน พ.ศ. 2493 (1950) เปน็ นาย พลใน พ.ศ. 2495 (1952) และเปน็ จอมพลใน พ.ศ. 2499 (1956) การทำ�รัฐประหารลม้ รัฐบาลจอมพล ป. พบิ ลู สงครามในวนั ท่ี 17 กันยายน พ.ศ. 2500 (1957) จอมพลสฤษดิ์ย�ำ้ ว่าท�ำ ในนามของ ประชาชน ไดร้ บั การสนับสนนุ จากประชาชน โดยยกเลิกสภาผแู้ ทน ราษฎรซ่ึงมีสมาชิกมาจาก “การเลือกต้ังท่ีสกปรก” และตั้งรัฐบาล รกั ษาการนำ�โดยนายพจน์ สารสนิ นกั การทตู ผเู้ พง่ิ กลับมาจากกรงุ วอชิงตัน เพื่อมารับตำ�แหน่งเลขาธิการองค์กรสนธิสัญญาป้องกัน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) (*ซีโต้) ท่ีกรุงเทพฯ นายพจน์เคล่ือนไหวทางการเมืองด้วยการยืนยันจุดยืนของไทยใน การเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาควบคไู่ ปกับการเตรียมการเลือก ตง้ั ในเดอื นธนั วาคม ในเวลาเดยี วกนั นน้ั จอมพลสฤษดเิ์ ดนิ ทางอยา่ ง เรง่ ดว่ นไปสหรฐั อเมรกิ า เพอ่ื รกั ษาโรคตบั แขง็ หลงั การเลอื กตง้ั พรรค รัฐบาลคุมเสียงข้างมากได้อย่างเฉียดฉิว แต่นายพจน์กลับปฏิเสธ การเปน็ นายกรฐั มนตรอี กี สมยั มอื ขวาของจอมพลสฤษดคิ์ อื พลเอก ถนอม กติ ติขจร ยอมรับต�ำ แหนง่ แทน หลังจากทไี่ ด้รบั การรอ้ งขอ สองสามครั้ง ถือไดว้ ่าเปน็ ตัวแทนของจอมพลสฤษดใ์ิ นช่วงทีน่ ายก รัฐมนตรตี วั จรงิ ไม่อยใู่ นประเทศ ตอ่ มาการเลอื กต้ังในเดือนมนี าคม ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ที่นั่งเพ่ิมในสภาผู้แทนราษฎรอีก 13 ทีน่ ัง่ สว่ นพรรครัฐบาลไดเ้ พียง 9 ท่นี ่ัง และการประชมุ สภาเปน็ ไป อย่างดเุ ดือด เมอื่ เผชญิ กับปญั หางบประมาณ แมแ้ ต่พรรครฐั บาลก็ 508 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

ไม่ได้ร่วมมือเพ่ือช่วยให้การทำ�งานของรัฐบาลเป็นไปอย่างราบร่ืน พลเอกถนอมรสู้ กึ วา่ ไมส่ ามารถแกไ้ ขอะไรได้ และถา้ เปน็ ไปไดก้ อ็ ยาก ลาออกจากต�ำ แหน่ง เวลาเดียวกันน้ัน จอมพลสฤษด์ิซ่ึงอยู่ระหว่างการพักฟื้นที่ อังกฤษ ได้ใช้เวลาในชว่ งกลาง พ.ศ. 2501 (1958) ครุ่นคดิ เกีย่ วกับ ปญั หาของประเทศไทย ในความเหน็ ของจอมพลสฤษด์ิ ความเห็น แก่ตัวและพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสร้างปัญหาแก่ รฐั สภา สือ่ มวลชนทไ่ี ร้การควบคมุ กอ่ ให้เกิดการวิพากษว์ จิ ารณ์ ซ่ึง สว่ นใหญอ่ อกมาในทางลบ รวมทง้ั ขอ้ พพิ าทแรงงานและการประทว้ ง ทงั้ หมดนบี้ อ่ นทำ�ลายประเทศ จอมพลสฤษดจิ์ งึ ลงความเหน็ วา่ การ เปลย่ี นแปลงอยา่ งรนุ แรงและรวดเรว็ มคี วามจ�ำ เปน็ ตอ่ ระบบการเมอื ง จอมพลสฤษดจ์ิ งึ ใชเ้ วลาสองสามเดอื นปรกึ ษากบั  พนั เอกถนดั คอมนั ตร์ และหลวงวจิ ติ รวาทการ ซงึ่ ในเวลานนั้  พนั เอกถนดั เปน็ เอกอคั รราชทตู ประจำ�สหรัฐอเมริกา และต่อมาประจำ�ที่สวิตเซอร์แลนด์ จอมพล สฤษดเิ์ ชอ่ื มน่ั วา่ “การปฏวิ ตั ”ิ เปน็ สงิ่ จ�ำ เปน็ ส�ำ หรบั การเปลย่ี นแปลง ประเทศ ดงั ทต่ี ่อมาไมน่ านนัก พันเอกถนัดต้องอธบิ ายว่า “สาเหตพุ น้ื ฐานของการไรเ้ สถยี รภาพทางการ เมอื ง เกดิ จากการรบี เรง่ ปลกู ถา่ ยสถาบนั ทแี่ ปลกปลอม มาไว้บนแผ่นดินของเรา โดยปราศจากการพิจารณา สภาพแวดล้อม ความเป็นไปในบ้านเมือง รวมทั้ง ธรรมชาตแิ ละคุณลักษณะของประชาชน ซ่งึ สามารถ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ชนท่ีเป็นชาติพันธ์ุเดียว กับเรา ผลลัพธ์คือ การทำ�งานของสถาบันเหล่านี้ไร้ ประสทิ ธิภาพและย่งุ เหยิง ถา้ ดปู ระวตั ศิ าสตรช์ าติเรา เหน็ ไดง้ า่ ยๆ เลยวา่ ประเทศนไ้ี ปไดด้ แี ละรงุ่ เรอื ง ภาย 10 | การพฒั นาและการปฏิวัติ 509

ใต้การปกครองขององค์กรท่ีมีอำ�นาจองค์กรเดียวที่ ไม่ใช่อำ�นาจทรราช แต่เป็นองค์กรที่มีเอกภาพ ซึ่ง อำ�นวยให้องค์ประกอบอื่นๆ ของชาติสามารถทำ�งาน รว่ มกนั ได”้ 1 จอมพลสฤษดล์ิ งความเหน็ วา่ ตนเองตอ้ งเปน็ ผจู้ ดั การใหเ้ กดิ องค์กรที่มีอำ�นาจดังกล่าว หลังจากเดินทางกลับกรุงเทพฯ อย่าง เงียบๆ ก็ยกเลิกรัฐธรรมนูญและประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 (1958) ผวู้ จิ ารณร์ ฐั บาลกว่ารอ้ ยคนถกู จบั กมุ ใน จ�ำ นวนนร้ี วมไปถงึ จติ ร ภมู ศิ กั ด์ิ และกลมุ่ ปญั ญาชนและนกั หนงั สอื พมิ พ์ ท่ีเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อนหน้าน้ัน สื่อมวลชนถูก ควบคมุ อยา่ งเขม้ งวด ในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว ประเทศไทยปกครองโดย ประกาศของสภาปฏิวตั ิ จอมพลสฤษดิ์สถาปนารูปแบบการควบคุมซึ่งยากท่ีจะลืม เลอื น ตอกยำ�้ เรือ่ งความสะอาดและความเปน็ ระเบยี บ ดว้ ยการซอ่ ม ถนนหนทาง และรกั ษาความสะอาด การจบั กมุ เหลา่ วยั รนุ่ กวนเมอื ง การลกั เลก็ ขโมยนอ้ ยลดลง กจิ การโสเภณถี กู ควบคมุ มกี ารสงั่ ยกเลกิ การใช้รถสามล้อ เนื่องจากถูกมองว่าล้าสมัย และสะท้อนความไร้ อารยธรรม นอกจากน้ี ยงั ประกาศใหก้ ารสบู ฝน่ิ และจ�ำ หนา่ ยฝนิ่ เปน็ ส่ิงผิดกฎหมาย และใช้มาตรการเฉียบขาดกับผู้วางเพลิง ด้วยการ ส่ังประหารชีวิตมือวางเพลิงในจุดเกิดเหตุ จอมพลสฤษดิ์ยัดเยียด ความเปน็ “คอมมวิ นสิ ต”์ ใหก้ บั ศตั รทู างการเมอื งทงั้ หมดของรฐั บาล ไมว่ า่ จะเปน็ คอมมวิ นสิ ต์ หรอื นกั วจิ ารณก์ ารเมอื ง แลว้ จดั การกกั ตวั บคุ คลเหลา่ นไ้ี วเ้ ปน็ เวลานาน โดยไมใ่ หป้ ระกนั ตวั และไมม่ กี ารด�ำ เนนิ คดีใดๆ หลายภาคส่วนของสังคมไทยให้การยอมรับผู้นำ� และการ ปกครองแบบเบ็ดเสรจ็ ดงั กล่าว เนอ่ื งจากคนเหล่านมี้ คี วามกังวลว่า 510 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ประเทศตกอย่ใู ตภ้ าวะทรราชย์มากเป็นทุนเดมิ อยู่ก่อน ในชว่ งเวลา เดยี วกนั น้ี คนสว่ นนอ้ ยทส่ี นบั สนนุ พรรคประชาธปิ ตั ย์ โดยเฉพาะใน เขตเมือง รวมท้ังผู้สนับสนุนนักการเมืองจากภาคอีสานจำ�นวนไม่ น้อย ถ้าไม่แสดงความโกรธแค้นก็ต้องหลบไปเก็บเน้ือเก็บตัว ไม่ ทำ�การเคลอื่ นไหวเป็นเวลานบั สิบห้าปี จอมพลสฤษดส์ิ รา้ งความชอบธรรมทางอำ�นาจบนพนื้ ฐานของ อุดมการณ์แบบด้ังเดิมที่ร่วมคิดค้นกับหลวงวิจิตรวาทการ ผู้มีชีวิต ยนื ยาวกวา่ ตน ดงั ทีท่ กั ษ์ เฉลมิ เตยี รณ เสนอวา่ 2 ปรชั ญาทางการ เมืองดังกล่าวต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของหลักการทางอำ�นาจแบบไทยๆ  รวมทั้งล�ำ ดบั ชน้ั ทางสังคมและการเมืองแบบจารตี และลักษณะการ ปกครองแบบดง้ั เดิม ทีเ่ รียกว่า ระบบพอ่ ขนุ อปุ ถมั ถ์ ท้งั หมดนี้ลว้ น ถกู น�ำ เสนอในแงท่ เี่ ปน็ คา่ นยิ มประเพณไี ทย จอมพลสฤษดไ์ิ มไ่ ดเ้ นน้ การจงรกั ภักดตี ่อรฐั ซ่งึ มีลักษณะเปน็ นามธรรม และตอ่ รฐั ธรรมนูญ ดว้ ยเหน็ วา่ ไมม่ ปี ระสทิ ธผิ ล แตก่ ลบั ใหค้ วามส�ำ คญั ตอ่ สถาบนั กษตั รยิ ์ ท้ังในฐานะทเ่ี ป็นศนู ย์กลางแหง่ ความจงรกั ภักดีของประชาชน และ เปน็ แหลง่ ท่มี าของความชอบธรรมทางการเมอื งของรัฐบาล ในทาง กลบั กนั การทรี่ ฐั บาลมฐี านะเปน็ แขนขาในทางอาณาจกั รของสถาบนั กษัตริย์ ซึ่งมสี ถานะกึง่ สมมติเทพอนั ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ ท�ำ ให้รฐั บาลสมควร ไดร้ บั การเคารพและเช่ือฟัง การตอกย้�ำ เรือ่ งล�ำ ดับช้ันในสังคมแบบ ทมี่ ฐี านเปน็ ประชาชน โดยมรี ะบบราชการและรฐั บาล เรอ่ื ยไปจนถงึ พระมหากษัตริย์อยู่เบ้ืองบนน้ัน เกิดขึ้นบนความสูญเสียความเท่า เทียมกันในทางประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ได้รับการฟ้ืนฟูให้ เปน็ สถาบนั สงู สดุ ของระเบยี บทางศลี ธรรม สงั คม และการเมอื ง จอม พลสฤษดิ์พยายามให้ความหมายแก่ระบอบประชาธิปไตยเสียใหม่ วา่ การดแู ลความตอ้ งการและความหวงั ของประชาชนเปน็ ความรบั ผดิ ชอบของรฐั บาล ระบบราชการ และพระมหากษตั รยิ ์ ความรบั ผดิ 10 | การพฒั นาและการปฏวิ ัติ 511

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ และนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ 512 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

ชอบดังกล่าวของรัฐบาลถูกนำ�เสนอในรูปแบบพ่อขุนอุปถัมภ์อย่าง เต็มที่ ผู้นำ�ปฏิบัติต่อสมาชิกในสังคมเสมือนพ่อท่ีห่วงใยความเป็น อยขู่ องลกู ๆ ไปพรอ้ มๆ กบั ใชค้ วามเขม้ งวดในการรกั ษากฎระเบยี บ ทงั้ สาธารณชนและกองทพั ตา่ งไมต่ อ้ งการเหน็ การกลบั มาของ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้น การแบ่งหน้าที่ระหว่างพระ มหากษตั รยิ ก์ บั รฐั บาลซงึ่ ครอบง�ำ โดยกองทพั เปน็ สงิ่ จ�ำ เปน็ จอมพล สฤษดฟิ์ น้ื ฟสู ถาบนั กษตั รยิ ใ์ หก้ ลบั มามบี ทบาทในสงั คมดว้ ยการฟน้ื ฟู ประเพณหี ลวงซ่งึ ถูกละเลยมาตงั้  พ.ศ. 2475 (1932) นอกจากน้ียัง สนบั สนนุ ใหม้ กี ารปรากฏพระองคใ์ นทส่ี าธารณะ และสรา้ งฉากความ จงรกั ภกั ดตี อ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช เชน่ การ ท่ีองค์พระมหากษัตริย์พระราชทานปริญญาบัตรให้แก่บัณฑิตใหม่ ทุกมหาวิทยาลัยด้วยพระองค์เอง และการเสด็จพระราชดำ�เนินไป ตา่ งจงั หวดั เปน็ นจิ วตั ร รฐั บาลไดร้ บั อ�ำ นาจเพมิ่ ขน้ึ จากการโยงตนเอง เขา้ กบั สถาบนั นอกจากนี้ ยงั ไดร้ บั ความเชอ่ื ถอื จากการใชผ้ เู้ ชย่ี วชาญ และนักเทคนิคท่ีมีความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นหัวกะทิ ของคนไทยรุ่นใหม่ท่ีได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ และกลับมา รบั ต�ำ แหนง่ ผเู้ ชย่ี วชาญในรฐั บาลและหนว่ ยงานของรฐั บาล ประการ สุดทา้ ย รฐั บาลจอมพลสฤษดย์ิ งั พยายามหาความชอบธรรม ใหก้ ับ การปกครองของตนเองตามวิถีประชาธปิ ไตย ด้วยการส่งเสรมิ การ พฒั นาเศรษฐกจิ เพอื่ ประโยชนข์ องสว่ นรวม จากความเปน็ ไปดงั กลา่ ว ตัวจอมพลสฤษด์ิเองลงความเหน็ ว่า นบั ตงั้ แต่ พ.ศ. 2475 (1932) มี เพยี งรฐั บาลของตนเทา่ นนั้ ทส่ี มควรไดร้ บั การขนานนามวา่ เปน็ “การ ปฏิวัติ” ด้วยเหตทุ ่ีรฐั บาลทหารของตนอุทศิ ตัวให้กับการปรับระบบ ทางสังคมและการเมืองอยา่ งเต็มรูปแบบ ไม่นานนกั ความม่งุ ม่ันของรฐั บาลจอมพลสฤษด์ใิ นเรื่องการ พัฒนาก็นำ�ไปสู่ความสำ�เร็จค่อนข้างสูง รัฐบาลตอบสนองความ 10 | การพัฒนาและการปฏวิ ัติ 513

ต้องการในชนบทมากกว่ารัฐบาลชุดใดๆ ในอดีต ด้วยการสร้าง ทางหลวง ระบบการชลประทาน และระบบไฟฟา้ ในชนบท รวมทัง้ การวิจัยทางการเกษตรและงานอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง นอกจากน้ียังให้ ความใส่ใจเป็นพิเศษกับภูมิภาคท่ีมีประชากรหนาแน่นและยากจน ทส่ี ดุ ของประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซง่ึ เปน็ ภมู ภิ าค ที่จอมพลสฤษด์ิแสดงตนว่าเป็นคนพ้ืนถิ่นที่มีเทือกเถาเหล่ากอเป็น ลาว รัฐบาลใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อปรับปรุงการศึกษาข้ันพื้น ฐาน โดยต้งั เป้าขยายการศกึ ษาภาคบงั คับจากส่ีปีเปน็ เจด็ ปี สง่ ผล ให้ระหว่าง พ.ศ. 2501-2505 (1958-1962) จำ�นวนนักเรียนระดับ มธั ยมเพมิ่ ถงึ รอ้ ยละ 63 ควบคไู่ ปกบั การขยายตวั ของการศกึ ษาระดบั อาชวี ะ จ�ำ นวนครทู ผี่ ลติ ออกมาในชว่ งนเี้ พมิ่ ขน้ึ รอ้ ยละ 79 พรอ้ มกนั น้ัน มกี ารขยายตัวครั้งส�ำ คญั ของการศึกษาระดับมหาวทิ ยาลยั คือ การเปิดมหาวิทยาลัยใหม่ทจ่ี งั หวดั เชียงใหม่และขอนแก่น และยงั มี การวางแผนขยายการศกึ ษาแบบเดยี วกนั นใี้ นจงั หวดั ทางภาคใตอ้ กี ด้วย ในช่วงเวลาดังกล่าว คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ทำ�การวางแผนเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ ด้วยการวางแผน เศรษฐกจิ หา้ ปี เรมิ่ ตน้ ใน พ.ศ. 2504 (1961) ซง่ึ เนน้ ระบบการชลประทาน การขนส่ง พลังงานไฟฟ้าและการศึกษา นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ  ของรฐั บาลทร่ี วมไปถงึ การสง่ เสรมิ การลงทนุ ของเอกชนและตา่ งชาติ อยา่ งเสรี สง่ ผลใหเ้ กดิ การเพมิ่ อตั ราผลผลติ มวลรวมระดบั ชาตอิ ยา่ ง รวดเร็ว โดยระหว่าง พ.ศ. 2502-12 (1959-69) มอี ัตราสงู ถึงร้อยละ 8.6 ตอ่ ปี ถอื เปน็ เกอื บสองเทา่ ของทศวรรษกอ่ น เรยี กไดว้ า่ เปน็ ความ ส�ำ เรจ็ ที่ส�ำ คญั แม้ว่าความส�ำ เรจ็ ดงั กลา่ วเกดิ จากเงนิ ช่วยเหลือและ การลงทุนจากภายนอก แต่ปัจจัยท่ีสำ�คัญคือ นโยบายและความ สามารถของไทยเอง จอมพลสฤษด์ิไม่ใช่เพียงแค่ตัวแทนของคนกลุ่มเล็กๆ ใน 514 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

กองทัพ หากเป็นทั้งตัวแทนของคนรุ่นเดียวกัน และความร่วมมือ ทางการเมืองของคนร่นุ น้ี สิง่ ทีจ่ อมพลสฤษดิ์เรียกวา่ “การปฏวิ ตั ิ” และการยึดแนวทางเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จในการสร้างโครงสร้าง สงั คมใหม่ สง่ ผลใหไ้ ดร้ บั การสนบั สนนุ จากกลมุ่ ขา้ ราชการและขนุ นาง รุ่นเก่า และพวกกษัตริย์นิยม และการท่ีจอมพลสฤษด์ิส่งเสริมการ พัฒนา และมุ่งมั่นให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ทำ�ให้ได้รับแรง สนบั สนนุ จากผูน้ ำ�ทางเศรษฐกจิ อีกดว้ ย นอกจากนี้ จอมพลสฤษด์ิ ยงั กอ่ ให้เกดิ ชนชน้ั ใหมข่ องกลุ่มเทค็ โนแครต็ ทไี่ ด้รบั การศึกษาจาก ตะวนั ตก ดว้ ยการสนบั สนนุ ใหบ้ คุ คลเหลา่ นเี้ ขา้ มาเปน็ สว่ นหนง่ึ ของ ระบบราชการทกี่ ำ�ลงั ขยายตวั สว่ นกลุ่มคนท่ีต่อต้านซึ่งมีทงั้ นกั การ เมอื งทอ้ งถนิ่ และปญั ญาชนฝา่ ยซา้ ย จอมพลสฤษดท์ิ �ำ ใหค้ นเหลา่ น้ี หมดปากเสยี งหรอื ไม่กก็ ำ�จัดเสีย พัฒนาการทางการเมืองไทย ท้ังสมัยจอมพลสฤษด์ิและใน สมัยของผู้สืบทอดอำ�นาจต่อมา เกิดขึ้นในบริบทของสถานการณ์ การเมอื งระหวา่ งประเทศทคี่ กุ คามประเทศไทย จดุ เปลย่ี นเกดิ ขน้ึ ใน ชว่ งวกิ ฤตการณล์ าวระหวา่ ง พ.ศ. 2503-04 (1960-61) ซง่ึ ไทยเขา้ ไป เกี่ยวข้องและมีส่วนในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก แรงจูงใจหลักที่ ท�ำ ใหเ้ กดิ การกระชบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศไทยกบั สหรฐั อเมรกิ า ในชว่ งตน้ ทศวรรษ 1950 (2493-2502) และการเขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ องค์การซีโต้ ใน พ.ศ. 2497 (1954) คอื การท่คี อมมิวนสิ ตข์ ึ้นมามี อ�ำ นาจในเวยี ดนาม และโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การทเ่ี วยี ดนามสนบั สนนุ กลมุ่ ปะเทดลาวฝา่ ยซา้ ยของเจา้ สภุ านวุ งศใ์ นลาว ในชว่ งกลางทศวรรษ 1950 (2493-2502) ไทยพยายามคานอ�ำ นาจดว้ ยการพัฒนาความ สมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั ลาวฝา่ ยขวา ซง่ึ รวมไปถงึ นายพลภมู ี หนอ่ สวรรค์ ซงึ่ เผอญิ เปน็ ญาตขิ องจอมพลสฤษดด์ิ ว้ ย หลงั จากทล่ี าวไดร้ บั เอกราช อย่างสมบูรณ์จากฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2496 (1953) กลุ่มปะเทดลาว 10 | การพัฒนาและการปฏิวัติ 515

ถูกกันออกจากการเปน็ รฐั บาล แต่ยงั คงคุมอ�ำ นาจทางทหาร เหนือ บางจังหวัดในประเทศลาวท่ีอยู่ติดบริเวณชายแดนทางตอนเหนือ ของเวียดนาม ใน พ.ศ. 2500 (1957) นายกรฐั มนตรีเจ้าสุวรรณภูมา กลบั เจรจาประนปี ระนอมใหก้ ลมุ่ ปะเทดลาวเปน็ สว่ นหนงึ่ ของรฐั บาล ราชอาณาจกั รลาว รฐั บาลทหารของไทยตอบโตด้ ว้ ยการปดิ ชายแดน ระหว่างไทยกับลาวเป็นระยะช่วงสั้นๆ ในจุดที่การค้าต่างประเทศ ของลาวต้องไหลผ่าน และต่อมาไม่นานนัก อาจเป็นเพราะแรงหนุน จากประเทศไทย สง่ ผลใหก้ ลมุ่ ลาวฝา่ ยขวาบงั คบั ใหก้ ลมุ่ ปะเทดลาว ออกไปจากรฐั บาล และตง้ั รฐั บาลใหมท่ มี่ นี ายพลภมู ี หนอ่ สวรรคเ์ ปน็ รัฐมนตรีกลาโหม ปลาย พ.ศ. 2502 (1959) หลังจากมีรายงานว่า เวยี ดนามเหนือใหก้ ารสนบั สนุนทางทหารแก่กลมุ่ ปะเทดลาว ท�ำ ให้ ไทยพยายามให้สหประชาชาติเข้ามาทำ�การตรวจสอบเป็นคร้ังแรก และตามมาดว้ ยการปฏบิ ตั กิ ารของซโี ต้ ซงึ่ การปฏบิ ตั กิ ารทงั้ สองครงั้ ลม้ เหลว นายพลภมู ที �ำ การปฏวิ ัติ และต้งั รัฐบาลฝ่ายขวาใหม่อีกชุด หนึ่งท่ีเวียงจันในเดือนเมษายน พ.ศ. 2503 (1960) สถานการณ์ใน ลาววกิ ฤตจนน�ำ ไปสูส่ งครามกลางเมือง ไทยเรมิ่ วติ กกบั การเตบิ โต ของกลุ่มปะเทดลาว ด้วยมีความรู้สึกว่าบัดน้ีคอมมิวนิสต์ได้เข้ามา ประชิดชายแดนแลว้ และเหน็ ว่าซโี ตล้ ม้ เหลวในการปฏบิ ัตงิ านตาม ท่ีไทยเคยคาดหวังไว้ พร้อมท้ังรู้สึกถูกหักหลังเมื่อสหรัฐอเมริกา ลอยแพลาวฝ่ายขวา และหันมาสนับสนุนฝ่ายที่เป็นกลางอย่างเจ้า สวุ รรณภมู า ซงึ่ กลายเปน็ ผนู้ �ำ รฐั บาลราชอาณาจกั รลาวเพอ่ื เอกภาพ แห่งชาติ จากการรับรองของที่ประชุมเจนีวาเรื่องลาว ในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2505 (1962) ดูเหมือนว่าประเทศไทยใช้ความอดกล้ันต่อสิ่งท่ีเกิดข้ึนดัง กล่าว เห็นได้จากประการแรก ยอมรับข้อตกลงท่ีแน่นอนของ สหรฐั อเมรกิ า ในการปกปอ้ งไทย ไมว่ า่ ซโี ตจ้ ะเหน็ ดว้ ยหรอื ไมก่ ต็ าม 516 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ตารางท่ี 1 ความชว่ ยเหลอื ทางเศรษฐกจิ และทางทหารของสหรฐั อเมรกิ า แกป่ ระเทศไทย พ.ศ. 2501-2510 (1958-1967) (ล้านดอลลาร์สหรฐั ) ปงี บประมาณ ทางเศรษฐกจิ การทหาร 2501 25.9 19.7 2502 58.9 18.0 2503 25.9 24.7 2504 24.3 49.0 2505 47.6 88.0 2506 21.9 71.8 2507 15.1 35.2 2508 41.4 30.8 2509 60.4 42.3 2510 37.0 59.0 a. David A. Wilson. The United States and the Future of Thailand (New York), p. 144. b. พ.ศ. 2501 และ 2503 จากเลม่ เดมิ สว่ น พ.ศ. 2504-2510 จาก US. Senate, Subcommittee on United States Security Agreements and Commitments Abroad, Committee on Foreign Relations, United States Security Agreement and Commitments Abroad (Washington, 1971, vol. 1, p. 633). ประการที่สอง ให้มีฐานทัพอเมริกันในประเทศไทย และประการที่ สาม รบั ความชว่ ยเหลอื ทางการทหารและเศรษฐกจิ ของสหรฐั อเมรกิ า เพิ่มมากข้ึน แต่ดูเหมือนไทยยอมเสียสัดส่วนความช่วยเหลือทาง 10 | การพฒั นาและการปฏวิ ตั ิ 517

เศรษฐกจิ เพอื่ แลกกบั ความชว่ ยเหลอื ทางการทหารทมี่ ากขน้ึ ยงิ่ ไป กว่าน้ัน ทั้งความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการวางแผนได้ถูกดึง ไปเสรมิ ประเดน็ เรอื่ งความมนั่ คง ดว้ ยเหตทุ มี่ กี ารกอ่ ความไมส่ งบตอ่ ตา้ นรฐั บาล โดยเฉพาะในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ความชว่ ยเหลอื ทางทหารของสหรัฐอเมริกาทำ�ให้เกิดการสร้างกำ�ลังกองทัพใน ประเทศไทย โดยระยะแรก มีเป้าหมายท่ีลาว และต่อมามุ่งไปที่ สงครามเวียดนามทีเ่ พม่ิ มากขึ้นเร่ือยๆ  ความกังวลของกองทัพไทยไม่ได้อยู่ท่ลี าวเทา่ น้นั แตย่ งั รวม ไปถึงการท่ีพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุแห่งกัมพูชา เร่ิมถูกดึง เข้าไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงปลาย ทศวรรษ 1950 (2493-2502) (สว่ นหนงึ่ อาจเกิดจากความต้องการ คานอ�ำ นาจเวยี ดนามเหนอื ) ประเทศไทยสนบั สนนุ กลมุ่ ชาตนิ ยิ มตอ่ ตา้ นพระบาทสมเดจ็ พระนโรดมสหี นุ พร้อมท้งั ปดิ ชายแดน และยุติ ความสัมพันธ์กับกัมพูชา ความขัดแย้งของทั้งสองประเทศในเรื่อง พรมแดนที่เก่ียวกับปราสาทบนยอดเขา (พระวิหาร) ถูกนำ�เข้าสู่ ศาลโลกทกี่ รงุ เฮก ในสายตาของคนไทย ค�ำ พพิ ากษาของศาลโลกที่ ตดั สนิ ใหไ้ ทยแพ้ใน พ.ศ. 2501 (1962) น้ันไมม่ ีความยุตธิ รรม แมว้ า่ จะเปน็ ไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศทเี่ คยมมี าก่อนนัน้ ก็ตาม ความสมั พนั ธก์ บั ลาวและกมั พชู าทเ่ี สอ่ื มลงในชว่ งเวลาน้ี ท�ำ ให้ กองทพั ไทยเปน็ กงั วลอยา่ งยง่ิ ทงั้ สองกรณลี ว้ นเกย่ี วขอ้ งกบั ดนิ แดน ท่ีไทยรู้สึกว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของมาก่อนในอดีต และรู้สึกว่าตน เป็นเสมือนพี่ใหญ่ เอาเข้าจริงแล้ว กองทัพไทยเคยเข้ายึดดินแดน บางสว่ นของลาว และกมั พูชาได้อกี ครง้ั หน่งึ ในระหวา่ ง พ.ศ. 2483- 84 (1940-41) เพยี งแตถ่ กู “ขโมย” ตอ่ ทนั ที โดยนกั การเมอื งพลเรอื น และมหาอ�ำ นาจทงั้ หลายในชว่ งหลงั สงคราม (*โลกครง้ั ท่ี 2) ในเวลา นี้ กองทพั สรา้ งความชอบธรรมดว้ ยการอา้ งว่าปกป้องประเทศไทย 518 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

ใหพ้ น้ จากอทิ ธิพลและการครอบง�ำ ของคอมมวิ นสิ ต์ในอนิ โดจีน แต่ ดเู หมอื นไรป้ ระโยชน์ เปน็ ไปไดว้ า่ ในระหวา่ ง พ.ศ. 2505-06 (1962- 63) ทางกองทัพไทยหวังใช้การฝึกซ้อมและยุทโธปกรณ์ทางทหาร ของสหรัฐอเมริกา เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพของตนใน กรณจี �ำ เป็น หรอื มโี อกาสทีจ่ ะต้องปฏิบัติการฉกุ เฉินในอินโดจนี แต่ ถ้าประเมนิ อยา่ งเสยี ดสี อาจกลา่ วได้วา่ ความคิดเบ้ืองตน้ ของกอง ทัพหมกมุ่นอยู่กับการรักษาและเพ่ิมความแข็งแกร่งของตนในการ ควบคมุ ประเทศของตนเองมากกว่าตา่ งหาก สขุ ภาพของจอมพลสฤษดท์ิ รดุ ลงอยา่ งรวดเรว็ ใน พ.ศ. 2506 (1963) และเสยี ชวี ิตในวันท่ี 8 ธันวาคม หลังจากน้นั ไม่นาน ทาง ครอบครวั กท็ ะเลาะแยง่ มรดกกนั จนท�ำ ใหค้ วามแตกวา่ ทา่ นจอมพล ท้งิ ทรัพยส์ มบตั ไิ วจ้ ำ�นวนมหาศาลเกือบ 150 ลา้ นดอลลาร์ ท้งั หนุ้ ใน ธรุ กจิ ตา่ งๆ จ�ำ นวนมาก (เชน่ บรษิ ทั ทผี่ กู ขาดการสง่ กระสอบใหก้ าร ขายข้าวไทย) ท่ดี นิ จ�ำ นวน 20,000 ไร่ (8,000 เอเคอร)์ รวมทงั้ บา้ น หลายหลัง และนอกจากภรรยาคนท่ีสองผู้กำ�ลังเศร้าโศกแล้ว ยังมี ภรรยาเกบ็ อกี มากกวา่ หา้ สบิ คน ชอื่ เสยี งของจอมพลสฤษดต์ิ กต�ำ่ ลง แตน่ น่ั เปน็ ชว่ งเวลาสนั้ ๆ กอ่ นทสี่ าธารณชนทว่ั ไปเรม่ิ รบั รรู้ สชาตขิ อง การอยภู่ ายใตก้ ารสบื ทอดอ�ำ นาจทางการเมอื ง และเรม่ิ สงสยั วา่ การ มจี อมพลสฤษดเิ์ ปน็ ผนู้ �ำ นน้ั คมุ้ คา่ หรอื ไมก่ บั สงิ่ ทเี่ สยี ไป ดว้ ยจอมพล สฤษด์ิไม่เคยมีความปราณี เอาแตส่ ร้างสมเงินและบารมี ใช้อำ�นาจ ตามอำ�เภอใจ และเป็นเผด็จการ ทำ�ให้ระบบประชาธิปไตยแบบ รฐั สภาและสทิ ธมิ นษุ ยชนถอยหลงั เขา้ คลอง และเอาสถานะทางการ เมืองระหว่างประเทศของไทยไปผูกไว้กับชะตาอันรุ่งโรจน์ของ สหรฐั อเมรกิ า ซง่ึ เทา่ กบั จ�ำ นองอนาคตของประเทศไว้ นอกจากนย้ี งั ได้ต้ังระบบปรัชญาทางการเมอื งทีเ่ หลอื ทน ดว้ ยการส่งเสริมคุณค่า และสถาบนั จารตี ตา่ งๆ อยา่ งเกนิ จรงิ สรา้ งล�ำ ดบั ชน้ั ทางสงั คมการเมอื ง 10 | การพฒั นาและการปฏิวตั ิ 519

ที่ต้องแลกกับการสูญเสียความเท่าเทียมกัน และย่ิงไปกว่านั้นคือ สทิ ธมิ นษุ ยชน แตก่ ระนน้ั กต็ าม มรดกทางการเมอื งนย้ี ากทจ่ี ะเอาผดิ ได้ เน่ืองจากความสำ�เร็จของจอมพลสฤษด์ิและกองทัพในด้านการ พฒั นากเ็ ปน็ เรอ่ื งทยี่ ากทจี่ ะปฏเิ สธ นอกจากน้ี ยงั รวมถงึ ภาพลกั ษณ์ วีรบุรษุ ขมี่ า้ ขาวเชยๆ การเป็นผู้น�ำ ทเ่ี ฉียบขาดม่งุ มนั่ และการเสนอ ภาพตนเองเป็นชายท่ีทำ�งานสำ�เร็จลุล่วง รวมทั้งใส่ใจคุณภาพชีวิต ของประชาชนคนธรรมดา ระบอบสฤษดิ์มีลักษณะเด่นท่ีขัดแย้งกัน โดยเฉพาะแนวคิด หลกั สองเรอื่ ง ซงึ่ เปน็ หวั ใจของสไตลแ์ ละนโยบายของจอมพลสฤษดิ์ เอง เปา้ หมายการปฏวิ ตั ทิ จ่ี อมพลสฤษดต์ิ ง้ั ไวค้ อื เพอื่ รกั ษาระเบยี บ สังคมและการเมืองตามค่านิยมไทย ซึ่งรวมถึงการรักษาเทิดทูน สถาบันกษัตริย์ และลำ�ดับช้ันทางสังคม โดยใช้การพัฒนาช่วยส่ง เสรมิ และรกั ษาระเบยี บดงั กลา่ ว แตใ่ นทางปฎบิ ตั แิ ลว้ ผลลพั ธท์ เ่ี กดิ ขน้ึ กลบั บน่ั ทอนเปา้ หมายทจี่ อมพลสฤษดต์ิ งั้ ไว้ กลา่ วคอื การพฒั นาการ ทางเศรษฐกิจทำ�ให้ชนชั้นกลางมีความเข้มแข็งขึ้น นอกจากน้ีการ ขยายตัวของระบบการศึกษา ทำ�ให้ค่านิยมของคนกลุ่มน้ีเป็นแบบ ตะวนั ตก หรอื ไมก่ ส็ งสยั กบั คา่ นยิ มไทยบางอยา่ ง ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั ความ ผูกพันของระบอบสฤษดิ์กับนโยบายของสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิด ปัญหาสำ�คัญๆ เร่งด่วนท่ีเก่ียวพันกับชะตากรรมของคนส่วนใหญ่ ทา้ ยทสี่ ดุ แลว้ ความเขม้ แขง็ และความมน่ั คงของระบอบสฤษดิ์ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในระยะเวลาสน้ั ๆ นี้ กลบั ตอ้ งแลกดว้ ยความไมม่ นั่ คงทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ในระยะยาว และยง่ิ ไปกว่านน้ั ต้องแลกดว้ ยวิกฤตทางการเมอื ง 520 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

ใต้เง้ือมเงาของสงครามเวยี ดนาม พ.ศ. 2506-2516 (1963-1973) เม่ือจอมพลสฤษดิ์เสียชีวิตลง อำ�นาจทางทหารตกเป็นของ พลเอกถนอม กติ ตขิ จร ผเู้ คยเปน็ รองนายกรฐั มตรขี องจอมพลสฤษดิ์ มาเปน็ เวลานาน และยงั เคยเลน่ บทนายกรฐั มนตรแี ทนจอมพลสฤษด์ิ มาแลว้ ใน พ.ศ. 2501 (1958) โดยทว่ั ไปจอมพลถนอมถกู มองวา่ เปน็ คนสมถะ ค่อนข้างซื่อสัตย์ และเป็นผู้นำ�ไม่ก้าวร้าว แต่ขาดบุคลิก และความเปน็ ผนู้ �ำ แบบจอมพลสฤษด์ิ ทวา่ มคี วามอดกลน้ั และยดื หยนุ่ ในชว่ งหนง่ึ ทศวรรษระหวา่ ง พ.ศ. 2506-2516 (1963-1973) ทจี่ อมพล ถนอมเป็นนายกรัฐมตรี โครงสร้างทางการเมืองหรือปรัชญาแบบ จอมพลสฤษดิ์มีการเปล่ียนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในช่วงเวลา นี้ พลเอกประภาส จารเุ สถยี รในฐานะรองนายกรฐั มนตรี และรฐั มนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนหยัดข้างจอมพลถนอมตลอดเวลา สายสัมพันธ์ของคนทั้งสองแนบแน่นขึ้น จากการแต่งงานระหว่าง พนั เอกณรงค์ กติ ตขิ จร บตุ รชายของจอมพลถนอม กบั บตุ รสาวของ จอมพลประภาส ยุคถนอม-ประภาสมีลักษณะเด่นสามประการ คือ ประการ แรก ไทยเกย่ี วพนั กบั สหรฐั อเมรกิ าและสงครามอนิ โดจนี เพมิ่ มากขนึ้ ประการทีส่ อง มีการด�ำ เนนิ นโยบายการพัฒนาอย่างไมห่ ยดุ ยั้ง ถอื เป็นการสานต่อความคิดริเร่ิมของจอมพลสฤษดิ์ในการเร่งทำ�ให้ ประเทศทันสมัย ลักษณะเด่นทั้งสองนี้นำ�ไปสู่ประการท่ีสามคือ การเมืองไทยพฒั นาไปในทศิ ทางทยี่ ากจะหลีกเลี่ยง ท้ังๆ ทจี่ อมพล สฤษด์แิ ละต่อมาจอมพลถนอม ตา่ งพยายามหยดุ ย้งั พฒั นาการนไี้ ว้ ดว้ ยการผลกั ดนั ใหก้ ารเมอื งเดนิ ไปในทศิ ทางทตี่ นตอ้ งการแลว้ กต็ าม ทว่า กลับนำ�ไปสู่การปฏิวัติที่ต่างไปจากความต้องการของจอมพล 10 | การพฒั นาและการปฏิวัติ 521

สฤษดิ์ สงั คมไทยในทศวรรษนเ้ี ตม็ ไปดว้ ยการอภปิ รายประเดน็ กรา้ วๆ  โดยเฉพาะเร่ืองความสัมพันธ์ทีซ่ บั ซ้อนของไทยกับเพอ่ื นบา้ น และ ประเทศในส่วนอ่ืนๆ ของโลก ถ้ามองจากแง่มุมทางการเมือง การ อภิปรายเหล่านี้วนเวยี นอยูท่ ีค่ ำ�ถามเกี่ยวกบั ลาว และกัมพูชา หรอื อีกนัยหนี่งอินโดจีน รวมถึงท้ังเรื่องความสัมพันธ์ของไทยกับ สหรฐั อเมรกิ า หรอื ไมก่ ม็ หาอ�ำ นาจอนื่ ๆ การตดิ ตอ่ ทางเศรษฐกจิ กบั ญี่ปุ่น หรือบริษัทข้ามชาติ และยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ด้าน วัฒนธรรมกับส่วนอ่ืนๆ ของโลก การถกเถียงกันนี้เปน็ ไปอย่างเผด็ ร้อน และการแสดงความคิดดังกล่าวสะท้อนทัศนะและความรู้สึกท่ี แตกตา่ งกันอย่างมาก เอาเข้าจรงิ แลว้ ความขัดแย้งทางความคดิ ท่ี เกดิ ขนึ้ นเ้ี ปน็ ประเดน็ ส�ำ คญั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความมอี สิ ระ และเอกภาพ ของประเทศทางดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ และวฒั นธรรม ในประวตั ศิ าสตร์ ไทยสมยั ใหม่ ไมม่ เี หตุการณใ์ ดทเ่ี ปน็ ตัวอย่างของความขดั แย้งได้ดี เทา่ กบั เรอื่ งความเกยี่ วพนั ของประเทศกบั สหรฐั อเมรกิ า และสงคราม อินโดจีนในช่วงสิบปขี องทศวรรษ 1970 (2503-2512) อีกแล้ว ในประวตั ศิ าสตรค์ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศของไทย ความ กังวลด้านการทหารในส่วนท่ีติดกับลาวและกัมพูชาถือเป็นประเด็น ส�ำ คญั ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั ความกงั วลรฐั บาลสมยั กอ่ นๆ นบั ตง้ั แตค่ รสิ ต์ ศตวรรษท่ี 18 เปน็ ต้นมา ทเ่ี ห็นว่าปัญหาคา้ งคาทางประวตั ิศาสตร์ คอื การทเี่ วยี ดนามเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการเมอื งเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี ง ใต้ภาคพื้นทวีป แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เร่ืองใหญ่ในช่วงศตวรรษ กอ่ นๆ ดว้ ยเหตทุ เ่ี วยี ดนามหนั ทศิ ทางของตนไปหาจนี และดว้ ยสภาพ ทางภมู ศิ าสตรท์ ถ่ี กู แยกจากอำ�นาจบนภาคพน้ื ทวปี ดว้ ยเทอื กเขาอนั หนาแน่นทางตะวันตก นอกจากนี้ยังมีรัฐกันชนของอาณาจักรจาม ปาทท่ี อดยาวไปตามชายฝ่ังถงึ ด้านใต้ ทว่า ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อจำ�นวนประชากรของเวียดนามในแถบท่ีราบลุ่มแม่น้ำ�โขงเพิ่ม 522 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

มากขนึ้ ปญั หาจงึ เกดิ ขน้ึ นบั แตส่ มยั พระเจา้ ตากสนิ โดยเรมิ่ ทกี่ มั พชู า กอ่ น แล้วตามมาด้วยลาว การที่ไทยเขา้ ไปมีส่วนเก่ียวขอ้ งกับสงครามเวียดนาม ท�ำ ให้ มักถูกกล่าวหาว่าละท้ิงความเป็นอิสระหรือความเป็นกลางด้าน นโยบายตา่ งประเทศ เพยี งเพอื่ ตอ้ งการโยงตวั เองใหเ้ ขา้ กบั มหาอ�ำ นาจ อย่างสหรัฐอเมริกา แต่ข้อเสนอน้ีบิดเบือนประวัติศาสตร์ แม้แต่ใน อดตี กเ็ ปน็ ทย่ี อมรบั กนั แลว้ วา่ แมส้ ยามพยายามคานอำ�นาจทง้ั องั กฤษ และฝรงั่ เศส แต่เอาเข้าจริงแล้ว สยามกลับพึง่ พาองั กฤษอยา่ งมาก ในการต่อต้านฝรั่งเศส ซ่ึงเป็นจักรวรรดินิยมท่ีก้าวร้าวกว่าอังกฤษ เร่ืองทำ�นองนี้เกิดขึ้นอีกคร้ังในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 ไทยเป็น พันธมิตรใกล้ชิดกับญ่ีปนุ่ อยูด่ ๆี  กก็ ลบั ล�ำ หนั มาสรา้ งความสัมพนั ธ์ กับสหรัฐอเมริกาอย่างกะทันหัน และความสัมพันธ์นี้ก็ย่ิงแนบแน่น ขน้ึ ในชว่ งหลายทศวรรษหลงั สงคราม เมอ่ื ใดกต็ ามทไ่ี ทยรสู้ กึ วา่ ก�ำ ลงั ถกู คุกคามจากสง่ิ ท่ีเกิดขึ้นในอนิ โดจีน ก็ยง่ิ ทำ�ใหไ้ ทยหันไปหามหา อ�ำ นาจ คอื สหรฐั อเมรกิ า เพอ่ื ขอความชว่ ยเหลอื มากยงิ่ ขนึ้ เรมิ่ จาก สงครามอินโดจีนครั้งแรกใน พ.ศ. 2497 (1954) ทำ�ให้เกิดซีโต้ (SEATO) และความรว่ มมอื แบบทวภิ าคแี บบกวา้ งๆ ทโี่ ยงกบั ความ มั่นคงของไทย ต่อมาวิกฤตการณ์ลาว พ.ศ. 2503-04 (1960-61) ท�ำ ใหเ้ กดิ สญั ญาลบั ทเี่ รยี กกนั ภายหลงั วา่ ขอ้ ตกลงรสั ค-์ ถนดั (Rusk- Thanat agreement) ซง่ึ เปน็ ขอ้ ตกลงทส่ี หรฐั อเมรกิ าใหก้ ารคมุ้ ครอง ไทย และดูเหมือนว่าข้อตกลงดังกล่าวย่ิงมีนัยว่า สหรัฐอเมริกาจะ ปกป้องไทยจากศัตรูภายในของรัฐบาล ไม่น้อยไปกว่าการปกป้อง ไทยจากการรุกรานภายนอก แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของ ไทยกบั สหรฐั อเมรกิ าทดี่ �ำ เนนิ ไปในชว่ งเวลานี้ เปน็ ไปตามแบบฉบบั ของไทยเอง โดยประเทศไทยด�ำ เนนิ งานตามเปา้ หมายของนโยบาย ตา่ งประเทศของตนทไ่ี มจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั สหรฐั อเมรกิ าในทกุ 10 | การพัฒนาและการปฏิวัติ 523

รายละเอยี ด รฐั บาลไทยใชป้ ระโยชนจ์ ากความสมั พนั ธก์ บั สหรฐั อเมรกิ า เพอื่ ใหบ้ รรลุเป้าสง่ิ ทต่ี นเองตอ้ งการ ซง่ึ เปา้ หมายแรกคอื การสร้าง หรือรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับรัฐบาลลาวและกัมพูชาฝ่ายที่ไม่ ได้เปน็ คอมมิวนสิ ต์ และต่อต้านอทิ ธพิ ลของรฐั บาลเวียดนามในลาว และกัมพูชา ด้วยเหตุดังกล่าว กองทัพไทยจึงถูกดึงเข้าร่วมในสงคราม เวยี ดนาม ซง่ึ ควรเรยี กเสยี ใหถ้ กู ตอ้ งวา่ สงครามอนิ โดจนี ครงั้ ที่ 2 ใน ช่วงต้นๆ ของทศวรรษ 1960 (2503-2512) เมื่อสงครามระหว่าง เวียดนามเหนือและเวยี ดนามใต้เปิดฉากขึน้ ทั้งลาวและกมั พชู าตา่ ง เขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งดว้ ยทนั ที แมว้ า่ รฐั บาลทอ่ี า้ งวา่ เปน็ กลางของทง้ั สอง ประเทศพยายามปกปดิ ขอ้ เทจ็ จริงดงั กลา่ วกต็ ามที เวยี ดนามเหนือ อาศัยการใช้เส้นทางทีเ่ รียกว่า เส้นทางโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Trail) ผา่ นเขา้ ไปในเทอื กเขาทางตอนใตข้ องลาว และทางตะวนั ออก เฉยี งเหนือของกัมพชู า เพื่อสง่ กองกำ�ลังบำ�รงุ ไปให้กองทัพของตน ทางตอนใต้ ทั้งไทยและสหรัฐอเมรกิ าต่างตอบสนองดว้ ยการเขา้ ไป ปฏิบัติการในลาวโดยไม่ใคร่เปิดเผย ส่วนทางเวียดนามเหนือและ สาธารณรฐั ประชาชนจนี ตอบโตด้ ว้ ยการสนบั สนนุ การตอ่ ตา้ นรฐั บาล ในประเทศไทย เมอื่ ถงึ กลางปี พ.ศ. 2507 (1964) สถานการณใ์ นอินโดจีนย่งิ ดเู ปน็ ภัยตอ่ ไทยและสหรฐั อเมรกิ ามากข้นึ ฝา่ ยไทยจงึ ตกลงใจเพมิ่ สมรรถนะของฐานทพั และระบบการขนสง่ ดงั เหน็ ไดว้ า่ นบั แตเ่ ดอื น มนี าคม พ.ศ. 2507 (1964) เครอ่ื งบนิ ของสหรฐั อเมรกิ ามาจอดประจ�ำ ทสี่ นามบนิ ตาคลี จงั หวดั นครสวรรค์ ซงึ่ อยหู่ า่ งจากกรงุ เทพฯไปทาง เหนือ 255 กิโลเมตร และในเดอื นสงิ หาคมปเี ดียวกนั หลังจากเกิด เหตกุ ารณใ์ นอ่าวตังเก๋ยี เครือ่ งบินของสหรัฐอเมริกาเขา้ มาประจำ�ท่ี ฐานทพั โคราชเพิม่ ขึน้ อีกแหง่ หนง่ี พร้อมกันนั้น กม็ กี องก�ำ ลังทหาร 524 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

ปฏบิ ตั กิ ารในนครพนม เพอ่ื ตอ่ ตา้ นกองก�ำ ลงั ของเวยี ดนามเหนอื ใน ภมู ภิ าคแถบเสน้ ทางโฮจมิ นิ หท์ างตะวนั ออกเฉยี งใตข้ องลาว ระหวา่ ง  พ.ศ. 2507-2511 (1964-1968) กองทพั อเมรกิ นั ในประเทศไทยเตบิ โต ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง รวมไปถงึ ระยะเวลาตอ่ มาดว้ ย มเี จา้ หนา้ ทกี่ องทพั อเมริกันเกือบ 45,000 คน ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นกองทัพอากาศท่ี ประจำ�อยู่ในไทย นอกจากนี้ยังมีเคร่ืองบินเกือบ 600 ลำ� รวมทั้ง เครื่องบินท้ิงระเบิดบี 52 (B-52) ซึ่งประจำ�การอยู่ที่อู่ตะเภา สหรฐั อเมรกิ าปฏบิ ตั กิ ารตอ่ ตา้ นเวยี ดนามเหนอื และลาว จากการตง้ั ฐานทัพแบบเดียวกันในบริเวณอื่นๆ ของไทย การปฏิบัติการของ สหรฐั อเมรกิ าจากฐานทพั ในไทย ยงั รวมไปถงึ การทง้ิ ระเบดิ การจาร กรรมข่าว การส่งกำ�ลังและส่ิงของบำ�รุงทางอากาศ ยุทธวิธีกวน สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ การรวบรวมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เรดาร์ ปอ้ งกัน และส่งกองกำ�ลังลบั ภาคพ้ืนดินเข้าไปในลาวและทอ่ี ืน่ ๆ อกี ด้วย สว่ นประเทศไทยเองนน้ั กเ็ ขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มกบั สงครามโดยตรง มาตงั้ แตต่ น้ โดยมกี องก�ำ ลงั กองทพั อากาศเขา้ ไปในเวยี ดนามในชว่ ง กลางป ี พ.ศ. 2507(1964) และมกี องก�ำ ลงั จากกองทพั เรอื เสรมิ เขา้ ไป ใน พ.ศ. 2508 (1965) ในท่สี ุด ในเดอื นมกราคม พ.ศ. 2510 (1967) ไทยตกลงส่งกองกำ�ลงั ภาคพ้ืนดนิ ไปเข้าไปในเวียดนามใต้ และจาก กลางปี พ.ศ 2510-2512 (1967-1969) กำ�ลงั ทหารไทยในเวียดนาม เพมิ่ จาก 2,200 นายเปน็ 11,000 นาย จ�ำ นวนดงั กลา่ วถอื เปน็ ประมาณ 14 % ของกองก�ำ ลังทง้ั หมดท่กี องทัพไทยมอี ยู่ ขณะเดยี วกันไทยก็ ลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารในลาว ทงั้ โดยการหนนุ หลงั และปราศจากการหนนุ หลังของสหรัฐอเมริกา มีรายงานหลายฉบับใน พ.ศ. 2509 (1966) พดู ถงึ กองทหารไทยในลาว และในชว่ งนน้ั ราชกจิ จานเุ บกษากลา่ ว ถงึ ชื่อทหารท่ไี ด้รับบาดเจ็บและเสียชวี ิตเสมอ แตไ่ มไ่ ดร้ ะบวุ า่ จากท่ี 10 | การพัฒนาและการปฏิวัติ 525

ใด อยา่ งไรกต็ าม กจิ กรรมเหลา่ นไี้ มไ่ ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ การวพิ ากษว์ จิ ารณ์ เทา่ ใดนกั เนอ่ื งจากตามประเพณแี ลว้ กองทพั ไทยดเู หมอื นสามารถ ด�ำ เนิน “กิจของกองทัพ”ไดอ้ ยา่ งเสรี ผลกระทบจากการปฏบิ ตั งิ านของกองทพั ขยายไปถงึ ทกุ อณู ชวี ติ ของชาติ สงิ่ ทเี่ กดิ ขน้ึ ไมใ่ ชเ่ พยี งแคก่ ารกระตนุ้ เศรษฐกจิ ดว้ ยเงนิ ดอลลารอ์ เมรกิ นั หรอื คนไทยนบั หมนื่ หรอื แสนคนตอ้ งพงึ่ พาการเขา้ มาของสหรฐั อเมรกิ า รวมทงั้ ไมใ่ ชเ่ พยี งแคส่ งครามเวยี ดนาม ทท่ี �ำ ให้ เกดิ การระบาดของการฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวง และการคา้ โลกยี ท์ ผี่ ดุ ขน้ึ ตามโรงแรม บารเ์ ลวๆ รวมทงั้ อาบอบนวดตามถนนเพชรบรุ ตี ดั ใหม่ หรือในจงั หวัดอุดรธานี แต่ผลกระทบของช่วงเวลาสัน้ ๆ น้ี กลับหยงั่ รากลกึ มากไปกวา่ นน้ั ความเยา้ ยวนของเศรษฐกจิ ในเมอื ง และภาค บรกิ าร สง่ ผลใหค้ วามสมั พนั ธท์ างสงั คมในครอบครวั ชาวนาเปลย่ี นแปลง ไป พรอ้ มๆ กบั เกดิ การพ่ึงพากนั ระหว่างผู้ปกครองจากกองทพั กับ ผนู้ �ำ ภาคธรุ กิจเชอื้ สายไทย-จนี อย่างแนบแน่น คนรุ่นหนุม่ สาวตา่ ง พากนั ไปอยใู่ นเมอื ง เพอื่ เรยี นภาษาองั กฤษ และท�ำ งานเปน็ พนกั งาน เสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์ พนักงานต้อนรับในโรงแรม โสเภณีและหมอ นวด รวมทงั้ มคั คเุ ทศกแ์ ละพนกั งานขายของตามรา้ น ภาคอตุ สาหกรรม การกอ่ สรา้ งเตบิ โตเปน็ ปรากฏการณ์ มกี ารสรา้ งถนน ลานบนิ โรงแรม คอฟฟี่ช็อฟ มีการสร้างแหล่งพำ�นักโออ่าสำ�หรับชาวต่างชาติที่มี ตำ�แหน่งสงู และคนรวยใหม่ชาวไทย ในอนาคต สาธารณูปโภคทดี่ ี และหรหู ราส�ำ หรบั อตุ สาหกรรมการทอ่ งเทยี่ วจะไดร้ บั การพฒั นา แต่ ในระยะเฉพาะหน้านี้ สงิ่ สำ�คญั ยิง่ กว่าคือ ผลกระทบด้านวฒั นธรรม และการเมอื งทมี่ าจากการเขา้ มาของชาวตา่ งชาตจิ �ำ นวนมหาศาลใน ประเทศไทย ประมาณช่วงปลายทศวรรษ 1960 (2503-2512) การเข้าถงึ วัฒนธรรมตะวนั ตก แนวความคดิ ค่านยิ มและแฟชน่ั ของโลกตะวัน 526 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ตก ยงั คงจำ�กัดอย่ใู นกลุ่มผนู้ ำ�ไทยกลุ่มเลก็ ๆ แต่สงครามเวียดนาม ได้นำ�โลกภายนอกท้ังใบมาไว้ตรงหน้าประชาชนจำ�นวนมากอย่าง ใกล้ชิดแบบที่ไม่เคยเกิดข้ึนมาก่อน อันที่จริงสงครามเป็นเพียงแค่ ตัวการเร่งให้เกิดขยายโอกาสทางการศึกษา และการเข้าถึงส่ือสาร มวลชน ซง่ึ เรม่ิ ตน้ มากอ่ นแลว้ ในชว่ งทศวรรษทผี่ า่ นมาหรอื กอ่ นหนา้ น้นั การทสี่ งั คมสว่ นใหญม่ ีประสบการณ์ตรงกับโลกตะวันตก ก่อให้ เกดิ ความขดั แยง้ ระหวา่ งคา่ นยิ มไทยและตะวนั ตกมากยง่ิ ขน้ึ ตวั อยา่ ง ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น นักดนตรีที่ต้องการมีช่ือเสียง ประสบความ ส�ำ เรจ็ ไดง้ า่ ยกวา่ ถา้ แสดงดนตรตี ะวนั ตกแทนดนตรไี ทยเดมิ และการ บันทึกเสียงในรูปเทปคาสเซ็ต ก็ยิ่งทำ�ให้ผลงานของพวกเขาแพร่ หลายไปทุกแหล่งแห่งท่ี สิ่งที่มาพร้อมกับรสนิยมและแฟช่ันแบบ ตะวนั ตกคอื แนวความคดิ ใหมเ่ กยี่ วกบั ความสมั พนั ธท์ างสงั คม (ซง่ึ รวมถงึ ศีลธรรมเรอื่ งเพศ ความรกั โรแมนติก และวฒั นธรรมคนหนมุ่ สาวท่ีมาแทนระบบการนับถืออาวุโส) และการต้ังคำ�ถามเก่ียวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นอยู่ นักศึกษา มหาวิทยาลัยที่หัวดีวิพากษ์วิจารณ์การที่ญ่ีปุ่นครอบงำ�การค้าและ ภาคทางเศรษฐกจิ ใหม่ๆ ของไทย นักศกึ ษาเหล่านเี้ หมอื นกบั หนุ่ม สาวทวั่ โลก ทกี่ �ำ ลงั ตนื่ เตน้ กบั การเคลอ่ื นไหวตอ่ ตา้ นสงครามเวยี ดนาม จนถงึ ขนาดตง้ั ค�ำ ถามเกีย่ วกับบทบาทของชาตติ นเองในสงคราม ในเวลาเดียวกันน้ัน ปัจจัยหลายประการรวมกันนำ�ไปสู่การ ท้าทายการปกครองของรัฐบาลทหารที่ก่อตัวข้ึนในเขตชนบท นัก เศรษฐศาสตรอ์ าจเสนอวา่ เป็นเพราะรายได้จรงิ ๆ ในชนบทไทยใน ชว่ งทศวรรษ 1960 (2503-2512) เตบิ โตขนึ้ หรอื ไมก่ เ็ ปน็ เพราะ ชอ่ ง วา่ งระหวา่ งรายไดข้ องชนบทกบั เมอื งลดลงหรอื ไมก่ เ็ พมิ่ ขนึ้ ทง้ั หมด นไี้ มส่ �ำ คญั เทา่ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ ครอบครวั ชาวนาชาวไรค่ ดิ วา่ อะไร กำ�ลังเกิดขึ้นต่างหาก รัฐบาลพยายามปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ 10 | การพฒั นาและการปฏวิ ัติ 527

ของคนจนในชนบทอย่างมาก แต่ผลที่ได้กลับเป็นการสร้างกระแส สำ�นกึ ของชาวนาชาวไร่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ให้ เห็นทั้งความเลวร้ายของสภาพชีวิตตนเองท่ีเป็นอยู่ และท้ังเม่ือนำ� ไปเปรียบเทียบกับผู้คนในเมือง และสิ่งท่ีน่าสนใจควรบันทึกไว้คือ ชาวชนบททพี่ รอ้ มทา้ ทายรฐั บาล ไมใ่ ชพ่ วกยากจนทส่ี ดุ ในกลมุ่ คนจน แตก่ ลบั เปน็ กลมุ่ ทมี่ ฐี านะดที สี่ ดุ เนอ่ื งจากการเขา้ ถงึ การศกึ ษาระดบั ตน้ และโอกาสทางเศรษฐกจิ กลมุ่ คนเหลา่ นนี้ เ่ี องทแ่ี ปรเปลย่ี นความ ไมพ่ งึ พอใจมาเปน็ การตอ่ ตา้ นรฐั บาล เพอื่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ พวกเขาตก อย่ใู นฐานะด้อยโอกาสทางสังคม ปลายป ี พ.ศ. 2507 (1964) การต่อต้านรัฐบาลพุ่งขึ้นสูง เกดิ จากการรวมกลมุ่ กนั ของฝา่ ยซา้ ยตอ่ ตา้ นรฐั บาลกบั พรรคคอมมวิ นสิ ต์ แห่งประเทศไทย ท่ีพยายามประสานความพยายามและขยายกลุ่ม มวลชน การคุกคามใหญ่ครั้งแรกมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยฝมี อื กลมุ่ กองก�ำ ลงั ทผี่ า่ นการฝกึ ซอ้ มมาจากเวยี ดนามเหนอื และ ลาว ที่ผสมรวมกับกองกำ�ลังติดอาวุธซึ่งเป็นชาวอีสานสองถึงสาม พนั คน ตอ่ มาใน พ.ศ. 2510 (1967) การต่อตา้ นรฐั บาลขยายข้ึนไป ทางเหนอื ถงึ จงั หวดั เชยี งรายและนา่ น โดยคนทล่ี กุ ขนึ้ ตอ่ สสู้ ว่ นใหญ่ เปน็ ชาวมง้ ภายใตก้ ารนำ�ของชาวไทยและชาวไทย-จนี ทไ่ี ดร้ บั การ สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ทางอาวธุ จากจนี ในปนี นั้ กองก�ำ ลงั แบบเดยี วกนั เริ่มลงมอื ในบริเวณจังหวดั พษิ ณโุ ลก-เพชรบูรณ์ พร้อมกบั มีการกอ่ ความไม่สงบที่ถือเป็นการคุกคามรัฐบาลท่ีร้ายแรง ทั้งด้วยฝีมือคน ไทยในบริเวณตอนกลางของภาคใต้ (จังหวัดสุราษฎร์ธานีและ นครศรีธรรมราช) และดว้ ยฝีมอื ชาวมลายทู ไี่ ดร้ บั การสนบั สนนุ จาก กองกำ�ลงั จีนของพรรคคอมมิวนสิ ตม์ ลายใู นเขตภาคใต้ตอนล่าง ถงึ ตอนนี้ ไทยเผชญิ ศกึ ภายในทม่ี ปี รมิ าณมากและมคี วามรนุ แรงขนึ้ จน ไม่สามารถละเลยปัญหาได้ เหมือนอย่างที่เคยทำ�ในช่วงทศวรรษ 528 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

1920 (2463-2472) ซึ่งมีเพยี งแค่กลุ่มปัญญาชนจนี และไทย-จีน ท่ี มหี ัวปฏวิ ัติแบบยูโทเปยี ที่ไมพ่ อใจรัฐบาลจ�ำ นวนไม่มากนัก ประมาณต้นทศวรรษ 1970 (2513-2522) ระบอบถนอม- ประภาสเผชญิ วกิ ฤตความมนั่ คงครง้ั ใหญ่ ไมเ่ พยี งเผชญิ ศกึ หนกั สอง ด้านคอื การปราบปรามกระแสการต่อตา้ นภายในประเทศ และการ ตรึงกำ�ลังทหารไว้ในอินโดจีนเท่าน้ัน แต่จอมพลถนอมและจอมพล ประภาสหวาดกลัวเพ่ิมมากข้ึนเร่ือยๆ ว่า พันธมิตรใกล้ชิดอย่าง สหรฐั อเมรกิ าจะทอดทง้ิ ตน โดยเฉพาะเมอื่ ประธานาธบิ ดนี ิกสนั แก้ ปัญหาอินโดจีนด้วยนโยบายใหม่ต่อเวียดนาม เพ่ือให้ “ชาวเอเชีย ตอ่ สสู้ งครามดว้ ยตวั เอง” และเพอื่ เปดิ ความสมั พนั ธท์ างการทตู ใหม่ กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศท่ีกองทัพไทยเช่ือว่าให้การ สนบั สนนุ ปฏบิ ตั กิ ารตอ่ ตา้ นรฐั บาลในไทย ปฏกิ ริ ยิ าของจอมพลถนอม ตอ่ การกลับลำ�ของสหรัฐอเมรกิ า คอื พยายามใช้ประโยชน์จากการ พฒั นาทเี่ คยท�ำ มา เพอ่ื ใหร้ ะบอบทกี่ �ำ ลงั เสอ่ื มกลบั มามคี วามเขม้ แขง็ โดยหวังแรงสนับสนุนจากกลุ่มคนในสังคมไทยท่ีได้ประโยชน์มาก ทสี่ ดุ จากความเปลย่ี นแปลงดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม และการศกึ ษา ทวา่ สิ่งที่จอมพลถนอมค้นพบนั้นเหมือนกับสิ่งท่ีพระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกลา้ ฯ ในชว่ ง พ.ศ. 2417-18 (1873-74) หรอื พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ใน พ.ศ. 2455 (1912) หรอื พระบาทสมเดจ็ พระปก เกลา้ ฯ ใน พ.ศ. 2475 (1932) หรอื แมแ้ ตจ่ อมพล ป. พบิ ลู สงครามใน  พ.ศ. 2500 (1957) ค้นพบมากอ่ น นั่นคือ การตอบกลับของคนกลุ่ม นีท้ ่ปี ราศจากทั้งความรู้สกึ ขอบคุณและความเคารพนบั ถอื ราคาทางสงั คมและการเมอื งของการพฒั นา การทจี่ อมพลสฤษดยิ์ ดึ แนวทางทวลิ กั ษณ์ คอื เนน้ การปฏวิ ตั ิ 10 | การพัฒนาและการปฏิวตั ิ 529

และการพัฒนาไปพรอ้ มๆ กันน้นั ทำ�ให้ระบอบทส่ี รา้ งขึ้นมีความขดั แย้งในตัวเอง การพฒั นาผลักให้การปฏวิ ตั ิเปน็ ไปในทศิ ทางตรงกัน ข้ามกับแผนการที่วางไว้ ไม่ว่าจอมพลสฤษด์ิและจอมพลถนอมจะ ตั้งใจให้การพัฒนาสร้างความมั่นคง และให้เกิดความสามัคคีข้ึนใน สงั คมไทยถงึ ระดับใดกต็ าม แตผ่ ลลพั ธ์กลับออกมาตรงกนั ขา้ ม ถึง ขนาดทเี่ ราอาจนกึ ถงึ สงั คมไทยใน พ.ศ. 2516 (1973) วา่ มโี ครงสรา้ ง ทอี่ อ่ นแอ หรอื หลวมกวา่ ทศวรรษกอ่ น หรอื แมแ้ ตช่ ว่ งเวลากอ่ นหนา้ นนั้ พฒั นาการดงั กลา่ วซบั ซอ้ น สงิ่ ทผ่ี เู้ ขยี นท�ำ ไดค้ อื พยายามเสนอ ความเปน็ มาของพฒั นาการนี้ (สรปุ ตวั เลขทางสถติ เิ สนอไวใ้ นตาราง ท่ี 2) เรอื่ งราวการพฒั นาประเทศไทยในชว่ งสองทศวรรษของ 1960 และ 1970 (2503-2522) ไดร้ ับการบรรยายไว้เปน็ สถติ ิยาวเหยยี ด จ�ำ นวนประชากรของประเทศพงุ่ สงู ขนึ้ จากรฐั เลก็ ๆ ทม่ี ปี ระชากรไม่ มากนกั ในชว่ งกอ่ นสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ประเทศไทยกลบั มปี ระชากร จำ�นวนมาก และถือว่ามากกว่าสัดส่วนของทรัพยากรที่มีอยู่ จาก  พ.ศ. 2490 (1947) ทมี่ ปี ระชากรเพยี ง 18 ลา้ นคนเพม่ิ กระโดดมาเปน็ 26 ล้านคนใน พ.ศ. 2503 (1960) และ 34 ล้านคนใน พ.ศ. 2513 (1970) และใน พ.ศ. 2523 (1980) จ�ำ นวนประชากรเพ่ิมถงึ 44 และ กลายมาเปน็ 45 ลา้ นคนในปเี ดยี วกนั อตั ราเพม่ิ จ�ำ นวนเฉลยี่ รอ้ ยละ 2.74 ใน พ.ศ. 2490 (1947) ลดลงเหลอื รอ้ ยละ 2.2 ในช่วงทศวรรษ 1980 (2523-2532) เนอื่ งจากอตั ราการเกดิ และตายลดลง ในชว่ งสบิ ปขี องทศวรรษ 1980 (2523-2532) อายุเฉลี่ยของประชากรเริ่มสงู ข้ึนและขยบั เปน็ 20 ปใี นทศวรรษนี้ ทศวรรษ 1970 (2513-2522) ทงั้ ชาวบา้ นยากจนในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และครอบครวั ชนชนั้ กลางไทย-จนี ทม่ี ง่ั คงั่ ตา่ งกน็ ยิ มใชว้ ธิ กี ารคมุ ก�ำ เนดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ เปน็ เวลาหลายปที ร่ี ฐั บาลไทยสมยั ตอ่ ๆ มา พากนั ลงั เลในการ 530 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

ออกนโยบายด้านการคุมกำ�เนิด บุคคลสำ�คัญบางคนถึงกับอ้างว่า พลเมืองไทยทหี่ วั ออ่ นว่าง่ายคงลดขนาดครอบครัวลง แตช่ าวจนี ซึง่ เปน็ คนกลมุ่ นอ้ ยคงเพม่ิ จ�ำ นวนมากขน้ึ จนกลายเปน็ สดั สว่ นหนง่ึ ของ ประชากรทงั้ หมด แต่อย่างไรก็ตาม ในชว่ งทศวรรษ 1980 (2523- 2532) สง่ิ ทีไ่ ทยเรยี กวา่ “ปัญหาชาวจีน” ลดความส�ำ คัญลง ดว้ ย เหตุ ทป่ี ราศจากการอพยพระลอกใหญๆ่  ของชาวจนี เปน็ เวลาหลาย ปีมาแล้ว และสัดส่วนของพลเมืองจีนต่อพลเมืองไทยก็ลดลงอย่าง เร็วจากร้อยละ 3.7 ของประชากรทัง้ หมดใน พ.ศ. 2480 (1937) ลด เหลอื รอ้ ยละ 1.6 ใน พ.ศ. 2503 (1960) และเหลอื รอ้ ยละ 0.9 ใน พ.ศ.  2513 (1970) ยิง่ ไปกวา่ นั้น ประชาชนทเ่ี ปน็ พลเมอื งไทยพดู ภาษา จีน และบอกวา่ ตนเองเปน็ คนจีนก็ลดจ�ำ นวนลงอย่างรวดเรว็ เพราะ นโยบายการศกึ ษาของไทยซงึ่ ควบคมุ การศกึ ษาของคนจนี และโดย เฉพาะมีแรงกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจหลายอย่างที่ทำ�ให้ต้อง กลายเปน็ คนไทย บนั ไดแหง่ ความส�ำ เรจ็ ในประเทศไทยชว่ งทศวรรษ 1960 และ 1970 (2503-2512) ซึ่งเปน็ ช่วงการเติบโตทางเศรษฐกจิ อย่างรวดเรว็ น้ัน ประกอบไปดว้ ยการศกึ ษาแบบไทย นามสกุลแบบ ไทย พูดภาษาไทย และแมแ้ ต่การแตง่ งานกับครอบครัวไทย ประเทศไทยเปล่ียนแปลงอย่างมโหฬารในช่วงสองทศวรรษ นี้ ปรากฏชัดเจนท่ีสุดในกรุงเทพฯซึ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสาม เทา่ และดเู หมอื นหายใจตดิ ขดั กบั การจราจรและอากาศพษิ ฟากฟา้ ของกรงุ เทพฯ เสยี ดแทงดว้ ยแทง่ ตกึ สงู ๆ ทงั้ ทเี่ ปน็ ทงั้ โรงแรมส�ำ หรบั นกั ทอ่ งเทย่ี ว หนว่ ยงานรฐั บาล อพารท์ เมนต์ และบรษิ ทั การคา้ เขต ชานเมอื งทข่ี ยายออกไปมโี รงงานผดุ ขน้ึ จ�ำ นวนมาก ตง้ั แตผ่ ลติ รถยนต์ ไปจนถึงผลิตงานฝีมือหัตถกรรมออกมาเป็นสินค้าแบบโรงงาน พัฒนาการของเมืองแบบนี้ไม่ได้จำ�กัดตัวอยู่แต่ในกรุงเทพฯเท่านั้น แตย่ งั รวมไปถึงต่างจงั หวดั ทสี่ งบเงียบ เชน่ พษิ ณุโลกและหาดใหญ่ 10 | การพัฒนาและการปฏิวัติ 531

หรือโคราช ขอนแกน่ และอดุ รธานีทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ในหมบู่ า้ นกเ็ กดิ การเปลยี่ นแปลงขนานใหญเ่ ชน่ กนั ตวั อยา่ ง เช่น หมู่บา้ นในชนบทอยา่ งหนองสงู อยูใ่ นเขตภเู ขา ห่างไกลความ เจริญของตัวจังหวัดมุกดาหาร ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ กอ่ นเคยถกู ตดั ขาดในฤดฝู น ดว้ ยถนนจมอยใู่ ตน้ �้ำ แตป่ จั จบุ นั มถี นน ราดยางทนทานทกุ สภาพอากาศ มนี �้ำ ประปา ไฟฟา้ ตเู้ ยน็ โทรทศั น์ และมโี รงเรยี นมธั ยมหนงึ่ แหง่ ลกู ชายลกู สาวของคนในหมบู่ า้ นไดร้ บั การศกึ ษา ทง้ั ระดบั มหาวทิ ยาลยั รวมทงั้ วทิ ยาลยั ครู และตอ่ มากไ็ ด้ งานมเี กยี รตใิ นระบบราชการ เมอื่ ตรวจสอบสถติ สิ องชดุ อยา่ งละเอยี ด พบวา่ ปรากฏการณ์ แบบข้างต้นเกิดข้ึนไม่น้อยทีเดียว ประการแรก อัตราส่วนจำ�นวน ครอบครัวเกษตรกรตอ่ ครอบครวั ทั้งหมดลดลงจากรอ้ ยละ 73.9 ใน  พ.ศ. 2503 (1960) เหลอื รอ้ ยละ 62.9 ใน พ.ศ. 2513 (1970) และรอ้ ย ละ 55.6 ใน พ.ศ. 2523 (1980) แตต่ วั เลขเหลา่ นค้ี อ่ นขา้ งไมต่ รงความ จรงิ ดว้ ยไมไ่ ดเ้ ปดิ เผยสดั สว่ นของคนชนบททที่ �ำ การเกษตรเพมิ่ เตมิ จากงานอื่นๆ แต่ก็เป็นสัญญาณบอกว่าเมืองไทยไม่ใช่สังคมชนบท ทป่ี ลกู ขา้ วอกี ตอ่ ไป คนไทยจ�ำ นวนมากขน้ึ เรมิ่ เขา้ สอู่ าชพี อนื่ ๆ นอก ภาคการเกษตร นอกจากนี้ โครงสร้างอาชีพของประเทศมีความ หลากหลายมากขน้ึ ซงึ่ ในเวลานมี้ ตี ง้ั แตน่ กั คอมพวิ เตอร์ และนกั เคมี อุตสาหกรรม ไปจนถึงชาวนากบั ชาวประมง ประการท่สี อง ภาคโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศกา้ วเขา้ สกู่ ารเปลยี่ นแปลงเชงิ โครงสรา้ งทส่ี �ำ คญั เศรษฐกจิ ในชว่ ง พ.ศ. 2503 (1960) โนม้ เอยี งไปทกี่ จิ กรรมการแปรทรพั ยากรธรรมชาตคิ อ่ นขา้ ง มาก เชน่ ด้านการเกษตร ปา่ ไม้ และเหมอื งแร่ ส่วนการผลติ แบบ อตุ สาหกรรมมเี พยี งท�ำ เพอ่ื การสง่ ออก ในชว่ งทศวรรษ 1960 (2503- 2512) ทรี่ ฐั บาลมีนโยบายส่งเสริมการพฒั นาการอตุ สาหกรรม เพ่ือ 532 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

สง่ เสรมิ การผลติ สนิ คา้ แทนการน�ำ เขา้ อตุ สาหกรรมการแปรรปู อาหาร สูญเสียบทบาทสำ�คัญในภาคอุตสาหกรรม ในช่วงทศวรรษ 1970 (2513-2522) รฐั บาลปรบั นโยบายการพฒั นามงุ่ ไปทกี่ ารสง่ ออก ภาค อุตสาหกรรมการผลิตก็เติบโตและมีความหลากหลายมากข้ึน จน ท�ำ ใหก้ ลายเปน็ หนง่ึ ในสามของรายไดท้ ง้ั หมดจากการสง่ ออกในเวลา อันส้นั และยังมีสัดส่วนการใช้แรงงานนอ้ ยลงอีกด้วย ทั้งหมดน้ีไม่ได้หมายความว่าภาคเกษตรกรรมไม่มีบทบาท ทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากอัตราการเติบโตของประชากรอย่าง มหาศาลแล้ว ประเทศไทยยังคงเป็นหน่ึงในจำ�นวนไม่ก่ีประเทศใน โลกท่ีผลิตขา้ วส�ำ หรบั สง่ ออก ผลผลิตขา้ วได้รบั การพัฒนา ในช่วงที่ เกดิ สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ “การปฏวิ ตั สิ เี ขยี ว” เรม่ิ ตน้ ขน้ึ สง่ ผลใหม้ กี ารปรบั ปรงุ เมลด็ พนั ธ์ุ และเทคโนโลยขี องการเกษตรกรรมในเอเชยี สว่ นใหญ่ ใน เวลาเดยี วกนั ชาวนาไทยมผี ลผลติ ทห่ี ลากหลายขน้ึ ชว่ งปลายๆ ของ ทศวรรษ 1970 ( 2513-2522) สนิ คา้ การเกษตรอกี ชนดิ หนง่ึ คอื มนั ส�ำ ปะหลงั กลายเปน็ สนิ คา้ สง่ ออกอนั ดบั หนงึ่ ของไทยแทนทข่ี า้ ว และ มูลค่าของสินค้าอุตสาหกรรมมีจำ�นวนมากกว่ามูลค่าการส่งออก ทั้งหมดในทศวรรษก่อน แม้ว่าการท่องเท่ียวไม่จัดเป็นการส่งออก เหมอื นกบั สนิ คา้ การเกษตรและอตุ สาหกรรมอน่ื ๆ แตก่ เ็ ปรยี บเทยี บ ไดก้ ับการสง่ ออก เนือ่ งจากมีส่วนสำ�คญั ในดุลช�ำ ระเงินของประเทศ รายไดจ้ ากการทอ่ งเทย่ี วเพม่ิ จาก 250 ลา้ นบาทใน พ.ศ. 2504 (1961) เป็น 2,209 ลา้ นใน พ.ศ. 2514 (1971) และ 5,600 ลา้ นใน พ.ศ. 2521 (1978) ตัวเลขทางสถิติเหล่านี้ดูดีมาก ประเทศไทยประสบความ ส�ำ เรจ็ ในการสรา้ งความหลากหลายทางเศรษฐกจิ และลดการพง่ึ พา พืชหลักทางเศรษฐกิจจำ�นวนไม่ก่ีชนิดลง แต่ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 (2513-2522) ประเทศตกอย่ใู นภาวะท่รี าคาสินค้าพืน้ ฐานท่วั โลกตกต�ำ่ แต่ราคาปิโตรเลยี มและสนิ คา้ อตุ สาหกรรมนำ�เขา้ จำ�นวน 10 | การพฒั นาและการปฏวิ ัติ 533

มากพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ภาวะเงินเฟ้อกลายเป็นปัญหารุนแรง เฉพาะหนา้ และกล่มุ ท่ีไดร้ บั ผลกระทบมากทสี่ ดุ คือ ชนช้นั กลาง ท่ี ผุดขึน้ มาจากการพฒั นาการทางเศรษฐกิจและการศึกษา การใหค้ �ำ จ�ำ กดั ความเกยี่ วกบั ชนชน้ั กลางใหมน่ เี้ ปน็ เรอ่ื งยาก ถ้าใช้เกณฑม์ าตรฐานรายไดม้ าอธบิ ายกส็ ามารถท�ำ ได้ แตค่ งทำ�ให้ ความเข้าใจคลาดเคลื่อน เราอาจดูได้จากลักษณะและขนาด โดย ตรวจสอบตัวบ่งช้ีสำ�คัญๆ ทางสังคม ท่ีชัดเจนคือ เราเห็นกลุ่มคน ส่วนนี้เติบโตข้ึนในเมืองซ่ึงไม่เก่ียวข้องกับการเกษตรกรรม โดย ชนชน้ั กลางเกอื บทงั้ หมดเกดิ ขนึ้ ในกรงุ เทพฯ รวมทงั้ เมอื งใหญอ่ น่ื ๆ  ต้ังแต่ พ.ศ. 2503 (1960) ลักษณะท่ีสำ�คัญ คือ มีการศึกษาระดับ มธั ยมศกึ ษาหรอื สงู กวา่ นนั้ มรี ปู แบบการใชช้ วี ติ แบบคนชน้ั กลาง ซงึ่ รวมถึงการเขา้ ถึงส่อื สารมวลชน โดยเฉพาะโทรทัศน์ มีรายได้เพียง พอทป่ี ระกนั ไดว้ า่ จะใหก้ ารศกึ ษาทมี่ คี ณุ ภาพแกบ่ ตุ รได้ และมคี วาม สำ�เร็จในการปรับเปล่ียนฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจบางประการ จากการตรวจสอบจำ�นวนคนท่ีได้รับการศึกษาระดับต่างๆ ระหว่าง  พ.ศ. 2490-2523 (1947-1980) อาจช่วยอธิบายเพิม่ เติมได้ ตัวเลขแสดงความกา้ วหนา้ อย่างชัดเจน จากทศวรรษ 1960 ถงึ 1980 (2503-2522) สดั สว่ นนกั เรยี นส�ำ เรจ็ การศกึ ษาระดบั มธั ยม ซง่ึ เรยี นตอ่ จากระดบั ประถมเพม่ิ มากถงึ สเ่ี ทา่ ใน พ.ศ. 2503 (1960) มีจ�ำ นวนนกั เรียนเรยี นจบชนั้ ประถม 26 คน ตอ่ นักเรียนทเ่ี รียนจบ ชน้ั มธั ยม 1 คน แตล่ ดลงเหลอื เพยี งเจด็ ตอ่ หนงึ่ ใน พ.ศ. 2523 (1980) สดั สว่ นของนกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การศกึ ษาขนั้ สงู เพม่ิ ขน้ึ อยา่ งนา่ อศั จรรย์ จำ�นวนสัดส่วนของเยาวชนท่ีได้รับการศึกษาระดับมัธยมและระดับ ที่สูงข้ึนมีความสำ�คัญยิ่ง เน่ืองจากสะท้อนให้เห็นการเพ่ิมโอกาส ทางการศกึ ษา และการเปลย่ี นแปลงความความมงุ่ หวงั ทางเศรษฐกจิ และสงั คม แตส่ งิ่ ทีส่ �ำ คัญไม่แพ้กนั คอื จากจำ�นวนเยาวชนท้งั หมดน้ี 534 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

ตารางท่ี 2 ลำ�ดับของสนิ คา้ ส่งออกท่ีสำ�คัญๆ พ.ศ. 2504-2521 (1961- 1978) (หน่วยล้านบาท)  พ.ศ. 2504 (1961)  พ.ศ. 2513 (1970)  พ.ศ. 2521 (1978) 1. ข้าว 3,598 1. ข้าว 2,516 1. แปง้ มัน 10,837 2. ยาง 2,130 2. ยาง 2,232 ส�ำ ปะหลัง 10,403 3. ปอกระเจา 626 3. ขา้ วโพด 1,969 2. ข้าว 8,020 และปอชวา 1,618 3. ยาง 7,225 4. ดบี กุ (a) 4. ดบี ุก (a) 1,223 4. ดบี กุ (a) 6,863 5. ขา้ วโพด 617 5. แป้งมัน 4,215 6. แปง้ มนั 597 ส�ำ ปะหลงั 5. สิง่ ทอ 3,913 ส�ำ ปะหลงั 428 6. ปอกระเจา 719 6. ขา้ วโพด 2,148 7. ไมส้ กั 1,709 8. ซเี มนต์ และปอชวา 7. น้ำ�ตาล 1,488 9. น�ำ้ ตาล 252 7. ถว่ั เขียว 255 8. วงจรไฟฟ้า 1,342 10. สิง่ ทอ 53 8. กงุ้ แชแ่ ข็ง 224 9. เพชรพลอย 1,195 11. เพชรพลอย 26 9. ฟลอู อไรด์ 222 10. กุ้งแชแ่ ข็ง 1,148 12. ยาสูบ 23 10. ยาสบู 197 11. ถ่ัว 1,019 21 1 1. ไม้สกั 156 12. สับปะรด 16 12. ขา้ วฟ่าง 103 กระป๋อง 94 13. ยาสบู 1 3. น้�ำ ตาล 83 14 ปลาหมกึ 1 4. ซเี มนต์ แช่แขง็ (a) เปน็ สนิ แรถ่ ึง พ.ศ. 2508 (1965) หลงั จากน้ันเป็นแรด่ ีบุกถลุงแล้ว แหล่งท่มี า : พ.ศ. 2504 (1961) สถติ ปิ ระเทศไทย พ.ศ. 2507 (1964), หน้า 323-29 และ พ.ศ. 2513-2521 (1970-1978) จากประเทศไทยเข้าสู่ ทศวรรษ’80 (กรุงเทพฯ, 2522), หน้า 206. มีอัตราชายและหญิงเท่าๆ กันทุกอัตราส่วน ในช่วงเวลาน้ี จำ�นวน นักศึกษามหาวิทยาลัยท่ีเคยมีเพียงหนึ่งแสนคน เพิ่มข้ึนถึงสิบเท่า หรอื เกอื บหนง่ึ ลา้ นคน เมอื่ รวมกบั จ�ำ นวนนกั เรยี นทสี่ �ำ เรจ็ การศกึ ษา 10 | การพฒั นาและการปฏวิ ัติ 535

ระดับมัธยมท่ีเพิ่มขึ้นคล้ายๆ กัน ส่งผลให้ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มคน กลุ่มใหญ่ที่สำ�คัญของประเทศไทย จำ�นวนและความมั่งค่ังทำ�ให้ ชนชน้ั กลางเปน็ เปา้ หมายของการโฆษณาสนิ คา้ และการสอื่ สาร ดว้ ย พนื้ ฐานการศกึ ษา ประสบการณ์ การใชช้ วี ติ คา่ นยิ ม และพฤตกิ รรม ทำ�ให้คนชั้นกลางแยกตัวออกมาจากประชากรในสังคมชนบท การ ท่ีชนชั้นกลางมีจำ�นวนมาก จนไม่สามารถถูกดึงเข้าไปสู่โครงสร้าง ของระบบราชการและกองทพั ได้ ท�ำ ใหค้ นกลมุ่ นไี้ มไ่ ดเ้ ปน็ สว่ นส�ำ คญั ของการปกครอง ในแต่ละปี จำ�นวนของชนชั้นกลางเพ่ิมมากข้ึน พิจารณาจากการลงทะเบียนเรียนในการศึกษาระดับสูงเพิ่มจาก ตารางที่ 3 ระดับการศกึ ษา พ.ศ. 2480-2523 (1937-1980) 2480 2490 2503 2513 2523 (1937) (1947) (1960) (1970) (1980) สำ�เร็จการ 1,142 2,457 7,371 12,535 26,756 ศกึ ษาระดับ ประถม (ชั้น ปที ่ี 4 สำ�เรจ็ การ 13 87 276 575 3,471 ศกึ ษาระดบั มธั ยม (ปที ่ี 10) ส�ำ เร็จการ 5 10 95 186 868 ศกึ ษาระดบั วทิ ยาลัยและ มหาวทิ ยาลยั ทมี่ า : การส�ำ รวจ พ.ศ. 2480, 2490, 2503, 2513, 2523, รายงานเบอ้ื ง ต้นการส�ำ รวจจำ�นวนประชากรและที่อยู่อาศยั  พ.ศ. 2523 536 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

107,634 ใน พ.ศ. 2517 (1974) เป็น 169,639 ใน พ.ศ. 2521 (1978) และเพม่ิ ขนึ้ มากกวา่ 200,000 ในชว่ งตน้ ของทศวรรษ 1980 (2523- 2532) ทศวรรษต่อๆ มา ชนชั้นกลางต้องพบกับความลำ�บากและ การทา้ ทาย การจา้ งงานภาครฐั บาลไมไ่ ดข้ ยายตวั รวดเรว็ เทา่ กบั การ เพ่ิมจำ�นวนของนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นครั้งแรกท่ีคนหนุ่มสาว ทงั้ จากชนชน้ั กลางเชอ้ื สายอนื่ ๆ และจากครอบครวั ไทยทมี่ งุ่ มน่ั ตอ้ ง หนั มาประกอบอาชีพในภาคเอกชนแทน แตแ่ ลว้ กพ็ บว่าตนเองไมม่ ี ความมัน่ คงในภาวะเศรษฐกิจท่ผี นั ผวน และยังต้องถกู ประเมินการ ปฏิบัติงานที่ต่างไปจากแบบประเพณีนิยมท่ีทำ�กันในระบบราชการ เมื่อเกิดความรู้สกึ วา่ มีความมั่นคงน้อย และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ม่ันใจ กบั สถานะของตนเองในสงั คม ความเปลย่ี นแปลงเหลา่ นปี้ รบั เปลยี่ น เป็นปฎิกิริยาและความมุ่งหวังทางการเมือง ซึ่งนำ�ไปสู่ความไม่ แนน่ อนทางการเมอื งประเทศไทย ชนชนั้ กลางทถี่ อื ก�ำ เนดิ ขน้ึ นม้ี สี �ำ นกึ เตม็ เปย่ี มทงั้ ดา้ นอตั ลกั ษณ์ และผลประโยชนท์ ม่ี ลี กั ษณะเฉพาะของตนเอง พจิ ารณาจากพฤตกิ รรม ของสมาชกิ กลมุ่ ชนชนั้ กลางแตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว อาจท�ำ ใหส้ รปุ ไดว้ า่ การเติบโตของชนชั้นกลางทำ�ให้เกิดลักษณะอนุรักษนิยมทางการ เมอื งแบบประเพณี สมาชกิ ของชนชนั้ นม้ี ผี ลประโยชนช์ ดั เจน ในการ รักษาสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจทีค่ ่อนขา้ งพเิ ศษ พร้อมกนั น้ัน คา่ นยิ มทยี่ ดึ ถอื เชน่ แนวคดิ เรอื่ งเสรภี าพทไี่ ดร้ บั จากระบบการศกึ ษา และเสรมิ ดว้ ยการเขา้ ถงึ วถิ กี ารเมอื งแบบตะวนั ตก ท�ำ ใหช้ นชนั้ กลาง ร่นุ ใหมน่ ้ีรู้สกึ อึดอดั กับระบอบเผดจ็ การทหาร และองค์ประกอบของ ประเพณีวฒั นธรรมไทยทต่ี นเองมองว่าไรส้ าระอยา่ งเหลือเชื่อ หรือ ไมก่ ไ็ มม่ คี วามเปน็ มนษุ ยต์ ามมาตรฐานสากล ผลประโยชนข์ องชนชนั้ กลางทำ�ให้คนกลุ่มนี้ให้ความสำ�คัญกับระเบียบและลำ�ดับชั้นทาง 10 | การพฒั นาและการปฏิวัติ 537

สงั คม พรอ้ มๆ กบั หวาดกลวั เรอ่ื งความไมม่ น่ั คง และความเปลยี่ นแปลง อย่างรวดเร็วของส่ิงท่ีเป็นพ้ืนฐานในระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่ ด�ำ รงอยู่ ดงั นนั้ พวกเขาจงึ สนบั สนนุ การโคน่ ลม้ ระบอบถนอม-ประภาส ใน พ.ศ. 2516 (1973) แตก่ ส็ ามารถเขา้ รว่ มกบั พวกปฏกิ ริ ยิ าฝา่ ยขวา เพ่อื ตอ่ ตา้ นความวุ่นวายทางการเมอื งใน พ.ศ. 2519 (1976) ได้ดว้ ย เชน่ กัน ชนชั้นกลางในยุคน้ีแสดงตนเป็นพลังสำ�คัญในทางการเมือง ไทยชา้ ไป ปจั จยั ทผ่ี ลกั ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวของคนกลมุ่ นคี้ ลา้ ยกบั การลงมอื ทางทหารในชว่ งทศวรรษ 1930 (2473-2482) ชนชนั้ กลาง ในชว่ งทศวรรษ 1970 และ 1980 (2513-2532) เป็นกล่มุ กอ้ นน้อย กวา่ คนรุ่นพอ่ และรุ่นปู่ ไมใ่ ช่เพราะมีจำ�นวนมากกว่า หรอื เหตทุ ว่ี ่า ภาคเอกชนเปน็ ภาคส�ำ คญั ยงิ่ กวา่ ที่เคยเปน็ มา ในเวลาน้ี แมแ้ ตท่ าง ราชการและกองทัพท่มี ีขนาดใหญโ่ ตกไ็ มม่ เี อกภาพ นอกจากนี้ ใน หนว่ ยงานราชการยงั มแี บง่ แยกระบบขา้ ราชการเปน็ ระดบั สงู และต�่ำ แยกด้วยระบบผู้ใหญ่และผู้น้อย รวมไปถึงแบ่งแยกด้วยการศึกษา และพนื้ เพทางสงั คม ภายใตภ้ าพลกั ษณท์ ก่ี ลมกลนื กลบั ซอ่ นไวด้ ว้ ย การแข่งขัน การไม่ลงรอยกันและความขัดแย้ง ทั้งหมดนี้เป็นเร่ือง จริงแม้แต่ในกองทัพเองก็มีกลุ่ม “ยังเติร์ก” รุ่นหนุ่ม และ “ทหาร ประชาธิปไตย” ท้าท้ายเหล่านายพลที่มีอำ�นาจ แม้แต่กองทัพท่ีมี ทุกอย่างพร้อมยังแตกแยกมากขึ้น นับประสาอะไรกับชนช้ันกลาง ท่ีมีความหลากหลาย ย่อมมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน้อยกว่า แต่จิตสำ�นึกทางการเมืองของชนชั้นกลางท่ีเติบโตขึ้นเร่ือยๆ กลับ ทำ�ให้ผู้ปกครองไทยต้องใส่ใจกับเร่ืองผลประโยชน์และค่านิยมของ คนกลุ่มนี้ ความเปน็ ไปดงั กลา่ วเกดิ ขนึ้ ในหมชู่ าวนาและกรรมกรไทยซง่ึ เปน็ ทงั้ ผไู้ ดป้ ระโยชนแ์ ละเหยอ่ื ของการพฒั นา แตเ่ ปน็ ในระดบั ทน่ี อ้ ย 538 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

กวา่ และพฒั นาไปชา้ กวา่ อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ การตอ่ ตา้ นและการคกุ คาม รัฐบาล ทำ�ใหร้ ัฐบาลต้องหันมาใสใ่ จปญั หาชนบท โดยเฉพาะเขตท่ี อยหู่ า่ งไกลและยากจนทส่ี ดุ ของประเทศ ความใสใ่ จนเ้ี ปน็ รปู เปน็ รา่ ง ขน้ึ มาได้ เพราะการสนบั สนนุ และความชว่ ยเหลอื ทางเศรษฐกจิ ของ สหรัฐอเมริกา มีการสร้างหรือไม่ก็ปรับปรุงถนนเพื่อเพิ่มสมรรถนะ ของรัฐบาลในการตอบโตก้ ารท้าทายทางทหาร ซึง่ ในระยะยาว สง่ ผลให้หมู่บ้านห่างไกลได้รับการบูรณาการเป็นส่วนหน่ึงของระบบ เศรษฐกิจของชาติ ความพยายามปรับปรุงการศึกษา และระบบ สาธารณสุขทำ�ให้เกิดประโยชนแ์ ทจ้ ริงบ้าง เช่นเดยี วกับโครงการท่ี มเี ป้าหมายสูงอย่างการพัฒนาระบบประปา และการก�ำ จัดมาลาเรีย โครงชลประทาน และความพยายามขยายการเกษตรกรรม ทำ�ให้ การปฏวิ ตั เิ ขยี วเปน็ จรงิ เรว็ ขนึ้ ขณะทกี่ ารพฒั นาการสอื่ สารโทรคมนาคม และการพฒั นาสาธารณปู โภคทางเศรษฐกจิ สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ผลผลติ ที่ หลากหลาย และช่วยพัฒนาการตลาดของผลผลิตส่วนเกนิ ทางการ เกษตร แต่ในเวลาเดียวกัน รายได้ชนบทที่เพ่ิมข้ึนไม่ได้มีการกระ จายในหม่ชู าวนาของประเทศอย่างเท่าเทยี มกัน นอกจากนี้ จ�ำ นวน ประชากรทเี่ พม่ิ มากขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ เกดิ ควบคไู่ ปกบั การขาดแคลน ทีด่ นิ ใหม่ๆ น�ำ ไปสกู่ ารลดขนาดของทนี่ า การเช่าที่นามเี พิ่มมากข้ึน และหนุ่มสาวจากท้องนาต้องต่อสู้เพ่ือเข้าสู่ตลาดแรงงานในเมืองท่ี ก�ำ ลงั มปี ัญหา การท่ีรัฐไทยเข้าไปมีอำ�นาจถึงในหมู่บ้านตามชนบท ก่อให้ เกดิ ความไมพ่ อใจในรฐั บาลสงู ขนึ้ ชาวบา้ นกลายเปน็ เปา้ การขม่ เหง ของกองทัพและต�ำ รวจ หรอื ไม่ก็การถูกเบียดบังฉ้อโกงจากรฐั รวม ทงั้ การไรค้ วามสามารถของทางราชการ ชาวบา้ นมคี วามคาดหวงั สงู เพราะรฐั บาลสญั ญาเรอื่ งการพฒั นาไวใ้ หญโ่ ต แตใ่ นทางปฏบิ ตั กิ ลบั ไม่เปน็ จริง ผลคอื ชาวบา้ นเริม่ ตระหนักว่า ตนเองล้าหลังกว่าชาว 10 | การพัฒนาและการปฏวิ ตั ิ 539

เมอื งและภมู ภิ าคทรี่ �ำ่ รวยกวา่ มาก ความเปน็ ไปดงั กลา่ วคอื การพฒั นา ส�ำ นกึ ทางการเมอื ง ไปพรอ้ มกบั การหลอ่ เลย้ี ง ทงั้ การตอ่ ตา้ นรฐั บาล ควบคไู่ ปการด�ำ เนนิ งานของสหภาพชาวนาและกรรมกร ในชว่ งตน้ ๆ  ของทศวรรษ 1970 (2513-2522) แมว้ า่ ความเคลอื่ นไหวตา่ งๆ เหลา่ นม้ี คี วามมงุ่ มน่ั แตก่ ป็ ราศจากความเขม้ แขง็ และมคี วามเรง่ รอ้ นแบบ เดียวกับชนชั้นกลางที่มีต่อระบอบทหาร ความไม่พอใจของภาค ชนบทอาจเป็นสว่ นเสริมความชอบธรรมให้แกน่ กั ศึกษา และชนชนั้ กลาง ในการยนื หยดั เร่ืองความเปล่ยี นแปลงทางการเมอื ง การปฏวิ ัติและปฏกิ ิรยิ า พ.ศ. 2516-2519 (1973-1976) จอมพลสฤษดปิ์ กครองโดยใชร้ ฐั ธรรมนญู ฉบบั ชวั่ คราว ตอ่ มา แต่งตัง้ สภาร่างรฐั ธรรมนูญเพ่อื รา่ งรัฐธรรมนูญฉบบั ถาวร พร้อมทั้ง ยืนยันว่าสภาดังกล่าวจะยึดหลักการการเป็นองค์กรประชาธิปไตย ชนช้ันกลางทั้งหมด เป็นคนรุ่นท่ีเติบโตมาพร้อมกับแนวคิด ประชาธปิ ไตย ทไี่ ดร้ บั จากโรงเรยี นมธั ยมและการศกึ ษาระดบั สงู โดย การศึกษาประวัตศิ าสตร์ และสถาบันตา่ งๆ ของเหลา่ ประชาธิปไตย ตะวันตก จอมพลถนอมเข้ามาพร้อมกับแรงกดดันอย่างหนักจาก สหรฐั อเมรกิ าทอี่ ดึ อดั กบั การเปน็ พนั ธมติ รกบั ระบอบเผดจ็ การทหาร ทำ�ให้ต้องสร้างภาวะผ่อนคลายทางการเมือง นอกจากนี้ ยังมีแรง กดดนั จากชนชน้ั กลางไทย โดยเฉพาะทสี่ ะทอ้ นผ่านนกั เรยี นมัธยม และนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายแสนในกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2511 (1968) รัฐบาลจอมพลถนอมประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่ ซงึ่ มี ลกั ษณะคล้ายฉบับ พ.ศ. 2475 (1932) ที่เออ้ื ให้เกดิ องคก์ รของสภา สองส่วน ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรท่ีได้รับการเลือกต้ัง และ 540 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

วุฒิสภาทไี่ ด้รับการแตง่ ตงั้ การเลือกต้งั ท่จี ัดข้นึ ในเดือนกุมภาพันธ ์ พ.ศ. 2512 (1969) ท�ำ ให้พรรครฐั บาลไดเ้ สยี งขา้ งมากในสภาผแู้ ทน ราษฎร และจอมพลถนอมยงั ด�ำ รงต�ำ แหนง่ นายกรฐั มนตรตี อ่ ไป การ ทดลองทางประชาธปิ ไตยดังกล่าวมีสภาพเหมอื นกบั สง่ิ อน่ื ๆ ที่มีมา กอ่ นหนา้ นี้ นนั่ คอื ความลม้ เหลว จอมพลถนอมรฐั ประหารตวั เองใน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (1971) โดยการยุบสภาและยกเลิก พรรคการเมอื ง พรอ้ มทั้งหวนกลบั ไปปกครองด้วยรัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราวท่ีชว่ ยให้กองทัพมีอำ�นาจเหนือรัฐบาล สาเหตุที่การทดลองนี้ล้มเหลวเป็นเร่ืองซับซ้อน ในเวลานั้น รัฐบาลตกอยใู่ นภาวะคบั ขัน ในเรอื่ งการขอมติผา่ นงบประมาณจาก สภาผู้แทนราษฎร และยังตื่นภัยไปกับสิ่งที่เชื่อว่าเป็นการล่มสลาย ของความสามคั คแี หง่ ชาติ อนั เกดิ จากบรรยากาศการแขง่ ขนั ระหวา่ ง พรรคการเมอื ง การควบคมุ ส่ือท่ผี ่อนคลายลง และกิจกรรมทางการ เมืองต่างๆ ที่เกิดข้ึน โดยเฉพาะกรณีคนหนุ่มสาวประท้วงเพ่ือต่อ ต้านการร่วมมือของไทยกับสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงความล่าช้าใน ดำ�เนินงานด้านการพัฒนาของรัฐบาล ผู้นำ�ไทยซ่ึงมาจากกองทัพ ต่างพากันกังวลยิ่งไปอีก เม่ือสหรัฐอเมริการ้ือฟื้นความสัมพันธ์กับ สาธารณรัฐประชาชนจีน และใช้นโยบายใหม่ต่อเวียดนามเพ่ือแก้ ปญั หาในอนิ โดจนี โดยทง้ั สองเรอื่ งมนี ยั ตอ่ ความมนั่ คงของไทย ผนู้ �ำ ไทยเกรงวา่ การสนับสนุนจากสหรัฐอมริกาที่ลดลง และความเต็มใจ ของสหรฐั อเมรกิ าในการปกปอ้ งไทยเกดิ ในชว่ งบรบิ ททคี่ อมมวิ นสิ ต์ เริ่มยึดครองกัมพูชาและลาว เหนืออื่นใด ระบอบถนอม-ประภาส ลงั เลตอ่ การผอ่ นปรนการควบคมุ ในชว่ งเวลาทก่ี องทพั ไทยกำ�ลงั เสยี ความเป็นปึกแผ่นและเอกภาพ จอมพลถนอมและจอมพลประภาส ใกล้เวลาเกษยี ณอายรุ าชการ (60 ปี) และทายาทที่เห็นก็มีเพยี งคน เดยี ว คอื พันเอกณรงค์ กิตติขจร ซ่ึงไดร้ ับการสนับสนนุ อยา่ งแข็ง 10 | การพฒั นาและการปฏวิ ัติ 541

ขนั จากกองทพั แตส่ าธารณชนท่ัวไปมองวา่ เขาเป็นคนไมซ่ ่อื ตรง การท่ีจอมพลถนอมฟื้นฟูอำ�นาจการปกครองของกองทัพ ไม่ใช่ทางออกสำ�หรับปัญหา การใช้วิธีสร้างผู้นำ�ให้เข้มแข็งในช่วง วกิ ฤตทางการเมอื งเปน็ วธิ ที ใี่ ชไ้ ดผ้ ลส�ำ หรบั พระยาพหลพลพยหุ เสนา ใน พ.ศ. 2476 (1933) รวมทั้งไดผ้ ลสำ�หรับจอมพลป. พบิ ูลสงคราม ใน พ.ศ. 2481 (1938) และ พ.ศ. 2490 (1947) รวมทั้งเป็นประโยชน์ สำ�หรับจอมพลสฤษดิ์ใน พ.ศ. 2500-01 (1957-58) แต่กลับใชไ้ มไ่ ด้ ผลในประเทศไทยในยุคนี้อีกต่อไป ท้ังหมดน้ีไม่ได้มีสาเหตุมาจาก การทผี่ นู้ �ำ กองทพั ไมส่ ามารถตกลงกนั ได้ ปญั หาลกึ ซงึ้ ยง่ิ ไปกวา่ นนั้ กลา่ วคอื สงั คมไทยท้ังหมด ท้ังนกั ศกึ ษาและชนชั้นกลาง ถัดมาคอื กรรมกรและชาวนา ดูเหมือนไม่ยอมรับระบอบท่ีเป็นตัวแทนผล ประโยชน์ของกองทัพท่ีซ่อนมาในรูปความมั่นคงแห่งชาติ และ สวสั ดกิ ารสงั คม ไมว่ า่ เพอื่ ประโยชนส์ ว่ นตนหรอื ประโยชนข์ องสงั คม กลมุ่ คนเหล่าน้ีต้องการให้มีตวั แทนทเ่ี ปน็ ปากเสียงใหก้ บั ความทกุ ข์ ยากและผลประโยชน์ของตนเองโดยตรง ซึ่งเปน็ ความตอ้ งการแบง่ สว่ นอำ�นาจทางการเมืองมากกวา่ ท่กี องทพั เต็มใจให้ ในทสี่ ดุ นกั ศกึ ษา ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ทางสงั คมทยี่ ดึ ตดิ กบั โครงสรา้ ง สงั คมปจั จบุ นั นอ้ ยทส่ี ดุ และสนใจอนาคตมากท่ีสุด ไดท้ �ำ ให้ระบอบ ถนอม-ประภาสยุติลง นกั ศกึ ษารู้สกึ ถกู ทรยศ หลงั จากทไ่ี ดร้ ับการ ชี้นำ�ให้คาดหวังต่อวิวัฒนาการทางการเมือง การท่ีจอมพลถนอม สถาปนาอ�ำ นาจกองทัพใหป้ กครองประเทศอีกครงั้ ทำ�ใหค้ วามหวงั ของคนกลุ่มนี้พังทลายลง และเริ่มเคลื่อนไหวด้วยสำ�นึกแบบใหม่ และพรอ้ มใชก้ �ำ ลงั ในไมช่ า้ นกั ศกึ ษากไ็ ดแ้ รงสนบั สนนุ จากสาธารณชน จ�ำ นวนมากประมาณกลางปี พ.ศ. 2516 (1973) นกั ศึกษากลายเปน็ พลงั ทางการเมอื งทส่ี �ำ คญั โดยเปดิ ฉากการประทว้ งในเดอื นมถิ นุ ายน เนื่องจากมีการไล่นักศึกษามหาวิทยาลัย (*รามคำ�แหง) ออกด้วย 542 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป

สาเหตุทำ�การตีพิมพ์เอกสารวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เหตุการณ์เร่ิม สกุ งอมในเดอื นตลุ าคม เมอ่ื นกั ศกึ ษากลมุ่ หนง่ึ ทเ่ี ดนิ แจกใบปลวิ เพอ่ื เรียกร้องรัฐธรรมนูญถูกจับกุม เกิดการเดินขบวนประท้วงแบบมืด ฟา้ มวั ดนิ มคี นเขา้ รว่ มจ�ำ นวนระหวา่ ง 200,000 ถงึ 500,000 คน ซง่ึ มที ้ังนักศกึ ษามหาวทิ ยาลยั นกั เรียนมัธยมและอาชวี ะ และสมาชิก รุ่นใหม่ของชนช้ันกลาง ต่างเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้วิจารณ์รัฐบาล และให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งนำ�ไปสู่การปะทะกับตำ�รวจ และ ความรุนแรงเพ่ิมมากขึ้น เมื่อมีการบุกสถานีตำ�รวจและหน่วยงาน รัฐบาล จอมพลถนอมไม่อาจแสวงหาการสนับสนุนจากกองทัพได้ อย่างที่ต้องการ ผู้นำ�กองทัพอ่ืนๆ มีเหตุผลกว่าท่ีจะปฏิเสธไม่ยอม ส่งกองทัพมาจัดการม็อบประชาชน และได้รับการสนับสนุนจาก พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช วนั ที่ 14 ตลุ าคม พ.ศ.  2516 (1973) จอมพล ถนอม และจอมพลประภาสถกู บงั คบั ใหล้ าออก จากต�ำ แหนง่ และตอ้ งรบี หนอี อกนอกประเทศเพอ่ื ลภี้ ยั ทางการเมอื ง เหตกุ ารณ์ต่างๆ ในเดอื นตลุ าคม พ.ศ. 2516 (1973) สมควร จะถูกเรียกว่า การปฏิวัติ มากกว่าการเรียกธรรมดาๆ เหมือนการ เรียกเหตุการณ ์ พ.ศ. 2475 (1932) หรือโครงการเผด็จการของจอม พลสฤษด์ิ พวกท่ีเคลื่อนไหวในครงั้ นี้ได้ทำ�ใหก้ ารปกครองเผด็จการ ด้วยบุคคลคนเดียวถึงกาลอวสาน แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ยุติบทบาท กองทพั ในทางการเมอื ง แตอ่ ยา่ งนอ้ ยกเ็ ปน็ สญั ลกั ษณข์ องส�ำ นกึ แบบ ใหมท่ เี่ หน็ ความจ�ำ เปน็ ของการกระจายอ�ำ นาจทางการเมอื งใหข้ ยาย ออกไปในวงกวา้ งมากกวา่ ทเี่ คยเปน็ มาในอดตี ถงึ เวลาน้ี ทศั นะทาง สงั คมโดยรวมคอื การมองเหน็ ความผดิ ปกตขิ องระบอบการปกครอง แบบเดมิ ซง่ึ มที ง้ั การฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวง การท�ำ ใหผ้ ลประโยชนข์ อง ชาตเิ ปน็ รองผลประโยชนข์ องกองทพั ความโอหงั ไมใ่ สใ่ จตอ่ ประโยชน์ และคา่ นยิ มของกลมุ่ ทางสงั คม เศรษฐกจิ และวฒั นธรรมอนื่ ๆ รวมทง้ั 10 | การพัฒนาและการปฏิวตั ิ 543

ไม่เอาจริงเอาจังในการสร้างความก้าวหน้า ท่ีนำ�ไปสู่การปฏิรูป เศรษฐกจิ และสงั คม ประการสดุ ทา้ ย คอื มองวา่ ระบอบเดมิ ทที่ ง้ั พงึ่ พา และเปน็ ลูกไล่ของสหรฐั อเมรกิ าและโลกตะวันตกมากจนเกินไป นักศึกษาซึ่งเป็นแนวหน้าของการเคล่ือนไหว แม้แสดงออก รุนแรงกว่ากลุ่มอ่ืน แต่ก็ได้ประกาศความรู้สึกร่วมของเพ่ือนร่วม ประเทศจำ�นวนมาก ท�ำ ใหป้ ระเพณีการแสดงความเห็นต่าง ซ่ึงถกู เกบ็ กดมาเป็นเวลานานกลับมามปี ากเสียงอกี ครงั้ มกี ระทงั่ การอ้าง พระราชด�ำ รสั สละราชสมบตั ขิ องพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยู่ หัว ที่ทรงวิจารณ์รัฐบาลทหารใน พ.ศ. 2477 (*นับศักราชแบบเก่า 1935) และทำ�ให้งานเขียนของนักเขียนฝ่ายซ้ายรุ่นทศวรรษ 1940 (2483-2492) และทศวรรษ 1950 (2493-2502) กลับมาเปน็ ทีน่ ยิ ม อกี ครง้ั สงิ่ ทนี่ กั ศกึ ษาไดร้ บั อยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ คอื ความปรารถนาดี และ อาจรวมไปถึงการสนับสนุนจากองค์พระมหากษัตริย์ และจากส่วน อ่ืนๆ ของกองทัพ นักศึกษาท่ีมุ่งม่ันเร่ิมต้นทดลองการปฏิรูป ประชาธปิ ไตยทเี่ กดิ จากความเชอื่ มนั่ วา่ ทงั้ ประเทศมคี วามรสู้ กึ รว่ ม กันถึงความเลวร้ายของระบอบเก่า แต่นักศึกษาประเมินความ แตกต่างของทัศนะคนไทยเกี่ยวกับการเมืองที่พึงประสงค์ และ อดุ มการณใ์ นการสรา้ งอนาคตรว่ มกันต่�ำ เกนิ ไป ผลลัพธ์ประการแรกของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คือ รฐั บาลพลเรือนภายใตก้ ารนำ�ของศาสตราจารย์ สญั ญา ธรรมศกั ดิ์ ผู้เป็นนักวิชาการด้านกฏหมายที่โดดเด่น เคยเป็นอธิการบดี มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรม์ ากอ่ น และเปน็ ประธานองคมนตรี มคี วาม ใกลช้ ดิ กับองค์พระมหากษัตรยิ ์ ถดั มาคอื มีรัฐธรรมนูญทก่ี �ำ หนดให้ รัฐสภามีสมาชิกท่ีมาจากการเลือกต้ังโดยตรงท้ังหมด และมีการ กำ�หนดการเลือกต้ังในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2519 (1975) นักศึกษา กลายแรงบนั ดาลใจใหเ้ กดิ องคก์ ร และกจิ กรรมทางการเมอื งอยา่ งไม่ 544 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

การปฏวิ ตั ิ 14 ตลุ าคม พ.ศ. 2516 (1973) ฝงู ชนทช่ี มุ นมุ กนั ทอี่ นสุ าวรยี ์ ประชาธปิ ไตยซึ่งสร้างขนึ้ เมือ่ วันที่ 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2482 เพอ่ื เป็นทรี่ ะลึก ถึงเหตุการณ์การปฏวิ ตั ิ พ.ศ. 2475 (1932) 10 | การพัฒนาและการปฏวิ ัติ 545

เคยมมี ากอ่ น มที งั้ การประทว้ งของกรรมกรในเมอื งและการประทว้ ง ชาวนาท่ีมีความไมพ่ อใจ นกั ศกึ ษาออกบรกิ ารใหค้ วามรใู้ นหม่บู ้าน ขณะเดยี วกนั พรรคการเมอื งเกดิ ขน้ึ เตม็ ไปหมด การแสดงความเหน็ ในทสี่ าธารณะมอี สิ ระอยา่ งมาก หนงั สอื พมิ พแ์ ละวารสารตา่ งตพี มิ พ์ เผยแพร่ความคิดเกือบทุกแนว งานเขียนของปัญญาชนฝ่ายซ้าย ทศวรรษ 1940 (2483-2492) และ 1950 (2493-2502) อยา่ งเช่น จิตร ภูมิศักดิ์ และ กหุ ลาบ สายประดิษฐ์ได้รับการนำ�มาตพี มิ พ์ใหม่ สงั คมนยิ มมารก์ ซสิ เปน็ ทนี่ ยิ ม รา้ นหนงั สอื เตม็ ไปดว้ ยกองงานเขยี น ของเหมา เซตุง คมิ อลิ ซงุ โฮจิมนิ ห์ เลนนิ และสตาลนิ และสามารถ หาไดต้ ง้ั แตห่ นงั สอื ทป่ี ลกุ ใหเ้ กดิ การตอ่ สรู้ ะหวา่ งชนชนั้ การท�ำ ระเบดิ โมโลต็อฟ หรอื และการปดิ ลอ้ มท�ำ ลายกองทพั รัฐบาล ขา้ งฝา่ ยซา้ ย แมแ้ ตซ่ า้ ยสดุ ขวั้ ยงั เปดิ ตวั เตม็ ที่ ดว้ ยมนั่ ใจกบั วนั ใหมข่ องประชาธปิ ไตย และสงั คมนยิ มท่ีอย่ตู รงหน้า องคก์ รแรงงานและสหพันธ์ชาวนาต่าง เกิดขนึ้ ท้ังหมดน้รี ะยะแรกเพอ่ื การเลือกตง้ั ใน พ.ศ. 2518 (1975) การเลอื กตง้ั ไมส่ ง่ ผลใหพ้ รรคใดมเี สยี งขา้ งมากในรฐั สภา แรก เริ่มนักการเมืองลายครามอย่าง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ผู้สืบทอด ตำ�แหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากนายควง อภัยวงศ์ และ ประเพณที างการเมอื งทีม่ มี านาน ทำ�ใหเ้ ขาพยายามตั้งรัฐบาลผสม กับพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายสองพรรค แต่ความพยายามล้มเหลว ภายในสองอาทิตย์ หน้าท่ีการต้ังรัฐบาลจึงตกมาอยู่ท่ีน้องชาย ของ ม.ร.ว.เสนยี ์ คอื ม.ร.ว.คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช ผใู้ ชก้ ลยทุ ธแ์ ยบยล ใน การตงั้ รฐั บาลผสม จากพรรคทเี่ ปน็ กลางและพรรคฝา่ ยขวา 17 พรรค ภายใต้การนำ�ของพรรคกจิ สงั คมของตนเอง ซ่ึงเป็นพรรคทอี่ ่อนใน อุดมการณ์ แรกเริ่ม ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิได้ประสบความสำ�เร็จทั้งการให้ สหรัฐอเมริกาให้คำ�มั่นสัญญาอย่างแน่นอนว่า จะถอนกองทัพออก จากประเทศไทย และเจรจาต่อรองให้มีการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ 546 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ความสำ�เร็จท้ังสองเร่ืองนี้ทำ�ให้ม.ร.ว. คกึ ฤทธ์ไิ ดร้ ับความนิยมจากสงั คม ความเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของไทยในการเมืองระหว่าง ประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลผสมแบบสบายๆ แต่ค่อนข้างวุ่นวาย ของ ม.ร.ว.คึกฤทธ์เิ รมิ่ เปน็ พิษ ต้น พ.ศ. 2518 (1975) คอมมวิ นสิ ต์ ไดช้ ยั ชนะอยา่ งทว่ มทน้ ในอนิ โดจนี เมอ่ื กมั พชู าและเวยี ดนามใตพ้ า่ ย แพ้ รวมทงั้ เมอื่ ฝา่ ยปะเทดลาวมอี �ำ นาจเหนอื ลาว และยกเลกิ สถาบนั กษัตริย์ท่ีมีอายุยาวนานมาถึงหกร้อยปี บรรยากาศของความไม่ แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น และเพ่ิมความตึงเครียดให้กับรัฐบาลผสมที่ไม่ ม่ันคงของ ม.ร.ว.คกึ ฤทธิ์ แมว้ ่าความพยายามของรฐั บาลในการให้ สหรฐั อเมรกิ าถอนก�ำ ลงั ทหารออกไปจะเปน็ ประเดน็ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความ ขัดแย้ง แต่สิ่งที่ทำ�ให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต้องลาออกในเดือนมกราคม  พ.ศ. 2519 (1976) ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งน้ี กลบั เปน็ การเมอื งภายในประเทศ คอื การลงมตไิ มไ่ วว้ างใจรฐั บาลของสภาผแู้ ทนราษฎร ม.ร.ว.คกึ ฤทธลิ์ า ออกพร้อมกับประกาศให้มีการเลือกต้ังท่ัวไป โดยมีความหวังที่ไม่ ต้งั อยู่บนพ้ืนฐานของความจรงิ ว่าตนเองจะชนะการเลอื กต้ัง แรกเรม่ิ ดเู หมอื นวา่ การเลอื กตง้ั สมาชกิ รฐั สภาในเดอื นเมษายน  พ.ศ. 2519 (1976) นา่ จะท�ำ ใหเ้ กดิ ความมน่ั คง ดว้ ยพรรคประชาธปิ ปตั ย์ ได้ที่นัง่ ในสภา 114 จาก 279 ท่ีนงั่ ม.ร.ว.เสนยี ์ ปราโมช กลบั เข้ามา มอี �ำ นาจอกี ครงั้ และคมุ รฐั บาลผสมซง่ึ มาจากสพ่ี รรคทเี่ ปน็ กลางและ ฝ่ายขวา เหล่าพรรคฝ่ายซ้ายทำ�ได้ไม่ดีและได้คะแนนเสียงในสภา เพยี ง 6 ท่นี ัง่ จากเดมิ 37 ท่ีนง่ั แตก่ ระนนั้ ก็ตาม ม.ร.ว.เสนยี ต์ กอยู่ ในภาวะลำ�บาก เนือ่ งจากความขดั แยง้ ภายในรฐั บาลผสม ดงั พบวา่ ม.ร.ว.เสนีย์แก้ปัญหาสำ�คัญๆ ในเวลานั้นได้น้อยมาก โดยไม่ต้อง กลา่ วถงึ ระเบยี บสงั คม และการปฏริ ปู เศรษฐกจิ (รวมไปถงึ การปฏริ ปู ท่ดี นิ ในชนบท) ขณะทกี่ ารทะเลาะกนั ของนักการเมอื ง ท�ำ ให้ผอู้ ่าน 10 | การพัฒนาและการปฏวิ ัติ 547

หนงั สอื พมิ พใ์ นกรงุ เทพฯทง้ั สนกุ สนานเและเบอื่ หนา่ ยไปพรอ้ มกนั ๆ  นั้น นักศึกษาฝ่ายซ้ายในมหาวิทยาลัยทำ�ให้ผู้สนับสนุนนักศึกษา จำ�นวนมากรู้สึกแปลกแยกด้วยการใช้ถ้อยคำ�เกินเลย ปฏิกิริยาต่อ ตา้ นนกั ศกึ ษาเรม่ิ กอ่ ตวั อยา่ งรวดเรว็ และพฒั นายง่ิ ขนึ้ ในกลมุ่ การเมอื ง ฝา่ ยขวา กอ่ นหนา้ นี้ ตั้งแต่ช่วงแรกๆ แลว้ ทสี่ ถาบันกษัตรยิ ์ ชนช้นั นำ� ในเมอื ง และชนชน้ั กลางจ�ำ นวนมาก ตา่ งพากนั ตน่ื ตระหนกกบั ความ รนุ แรงของนักศึกษา โดยมองวา่ นกั ศกึ ษาอยใู่ ต้การบงการหรอื ไม่ก็ การชีน้ �ำ ของคอมมิวนิสต์ ดังนน้ั การสนบั สนนุ ท่ีกล่มุ นี้มีให้แก่เหล่า นักศึกษาแปรเปล่ียนไปให้แก่กลุ่มองค์กรใหม่ๆ ของฝ่ายขวา ซึ่ง เกือบท้ังหมดได้รับการสนันสนุนจากกองทัพหรือทางราชการ รวม ถึงกลุ่มนวพล ซึ่งเกิดจากเครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนตัวในระบบ ราชการเพื่อหยุดย้ังฝ่ายซ้ายในนามของ “ชาติ” “ศาสนา” “พระ มหากษตั ริย”์ นอกจากนี้ ยงั รวมถงึ องคก์ รทีไ่ ด้รับความนยิ มอย่าง สูงคือ ลูกเสือชาวบ้าน ซ่ึงเป็นกลุ่มของวัยรุ่นและคนวัยทำ�งาน ท่ี อทุ ิศตนเพ่อื ลา่ คอมมวิ นสิ ต์ และยดึ ม่ันกบั ค่านยิ มความรักชาติ และ กลุ่มกระทิงแดงซึ่งเป็นนักเรียนอาชีวะที่แตกออกมาจากขบวนการ นกั ศึกษาใน พ.ศ. 2516 (1973) โดยการต่อตา้ นฝา่ ยซา้ ยเหลา่ นีม้ กั ใชค้ วามรนุ แรง ใน พ.ศ. 2519 (1976) อดตี นายกรัฐมนตรีถนอม ซงึ่ ลภ้ี ยั อยตู่ า่ งประเทศไดเ้ ดนิ ทางกลบั ไทย ในฐานะบรรพชติ (จ�ำ พรรษา ทวี่ ดั บวรนเิ วศ ซง่ึ เคยเปน็ ทป่ี ระทบั ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวในขณะทรงผนวช) การกลับมาของพระถนอมได้รับการ ตอ้ นรับจากฝา่ ยขวา และความสำ�คญั ของพระถนอมดเู หมือนไดร้ บั การยนื ยนั จากการทร่ี าชวงศเ์ สดจ็ ไปเยย่ี มทวี่ ดั นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ตา่ งพากนั โกรธเคอื งทมี่ กี ารตอ้ นรบั ผทู้ ตี่ อ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ เหตกุ ารณ์ ความรุนแรง ใน พ.ศ. 2516 (1973) การประทว้ งเกดิ ข้ึนเป็นรายวัน 548 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

โดยเฉพาะท่ีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่โดยการสนับสนุนอย่าง เงียบๆ แต่โดยตรงจากส่วนของกองทัพและรัฐบาล และโดยการ สนับสนุนอย่างเป็นนัยๆ ของภาคส่วนโดยกว้างของกลุ่มผู้ปกครอง รวมทง้ั กลมุ่ ทางเศรษฐกจิ และชนชน้ั กลางสว่ นมาก ---ปฏกิ ริ ยิ าฝา่ ย ขวาท�ำ การตา้ นกลบั วนั ท่ี 5 ตลุ าคม (*2519) หนงั สอื พมิ พใ์ นกรงุ เทพฯ หลายฉบับตีพิมพ์ภาพนักศึกษาธรรมศาสตร์ล้อเลียนการแขวนคอ องค์รัชทายาท เจ้าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ และสถานีวิทยุแห่งหน่ึง (*ยานเกราะ) ก็ปลุกระดมให้ผู้รักชาติมารวมตัวกัน เพื่อต่อต้าน นกั ศกึ ษาและ “ฆา่ คอมมวิ นสิ ต!์ ” การรมุ สกรมั มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ เกดิ ขนึ้ อยา่ งขนาดหนกั ลกู เสอื ชาวบา้ น กระทงิ แดง ต�ำ รวจและอนื่ ๆ  ต่างร่วมในพิธีกรรมความรุนแรง นักศึกษาถูกฆ่าแขวนคอ เผาท้ัง เปน็ และถกู ทบุ ตีในวนั ที่ 6 ตุลาคม เป็นการปิดฉากการทดลองทาง ประชาธิปไตยอย่างเห้ียมโหด กองทัพเข้ามามีบทบาทอีกคร้ัง รฐั ธรรมนญู ถกู ยกเลกิ และการแสดงออกทางการเมอื งถกู ปดิ กนั้ คน ไทยจำ�นวนมากรังเกียจความป่าเถื่อนของฉากการเมืองที่เกิดขึ้น และหวาดหว่ันกับอนาคตท่ีดูเหมือนจะมืดมนของประเทศไทย อัน เกิดจากการถูกสั่นคลอนด้วยความรุนแรงทางการเมือง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2516-19 (1973-76) ประทับท้ังใน ความทรงจำ�และความรู้สึกของคนไทยอยา่ งแจ่มชัด แมว้ า่ ภาพและ ความรสู้ กึ เหลา่ นถ้ี กู กรองและแตง่ แตม้ ดว้ ยคา่ นยิ ม และผลประโยชน์ ของแตล่ ะบคุ คล และหลายคนอาจตคี วามภาพและความรสู้ กึ ดงั กลา่ ว โดยปราศจากข้อกงั ขา และแนน่ อนวา่ คนไทยทั้งหมดชอบความมี ระเบียบที่กลับคืนมามากข้ึน ทว่า ผู้คนอีกจำ�นวนมากอาจไม่เห็น ดว้ ยกบั คา่ นยิ มทเี่ ปน็ พน้ื ฐานของความมรี ะเบยี บดงั กลา่ ว วฒั นธรรม การเมอื งไทยในชว่ งทศวรรษตอ่ มาคอื 1980 (2523-2532) มกี ระแส ส�ำ นกึ ทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากชว่ ง พ.ศ. 2516-19 (1973-76) รวมทงั้ การ 10 | การพัฒนาและการปฏิวัติ 549

ให้ความหมายแก่ความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนอย่างฉับพลัน อีกท้ัง ความรสู้ กึ ของการเปน็ ชมุ ชนชาติ ไมว่ า่ ชมุ ชนนด้ี แู หวง่ ๆ วนิ่ ๆ กต็ าม ที กลุ่มชนชัน้ กลางส่วนมาก อย่างน้อยท่ีสดุ กก็ ลบั มายึดถือระเบียบ สงั คมหลวมๆ ทม่ี โี ครงสรา้ งของ “ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ”์ ไปพรอ้ มๆ กบั มคี วามคลางแคลงใจตอ่ ทง้ั กองทพั และพวกนกั วชิ าการ มหาวทิ ยาลยั สว่ นชาวนาและกรรมกรอาจยงั ไมแ่ นใ่ จนกั ดว้ ยตกอยู่ ในภาวะทต่ี อ้ งการความชดั เจนวา่ มอี ะไรทผี่ ดิ ปกตเิ กยี่ วกบั สงั คมไทย เพอื่ ดูวา่ ตนเองสามารถทำ�อะไรได้ ฝา่ ยนกั ศึกษาและปัญญาชนน้ัน ในใจรับอุดมการณ์มาร์กซิสมากขึ้น พร้อมกันก็ระแวดระวังยุทธวิธี ทางการเมอื ง และการเคลือ่ นไหวทยี่ ังคงทำ�อยู่ แตย่ งั คงรู้สกึ แย่กบั การลอ้ มปราบในเหตกุ ารณ์ 6 ตลุ า และรสู้ กึ หมดหนทางทไ่ี มม่ คี วาม สามารถในการเปลยี่ นแปลงสงั คมไทยได้ ประการสดุ ทา้ ย นบั แตช่ ว่ ง  พ.ศ. 2516-19 (1973-76) ความเปน็ เอกภาพและความมนั่ ใจของกอง ทัพเริ่มผุกร่อน อย่างน้อยท่ีสุด ก็ถึงขนาดยอมทนต่อความขัดแย้ง และความคิดท่ีแตกต่างในระดับที่ช่วงก่อน พ.ศ. 2516 (1973)ไม่ สามารถจินตนาการได้ ก่อนท่ีกองทัพมาถึงจุดน้ี กองทัพต้องหา หนทางเพอื่ อยกู่ บั สงั คมและคนในชาตทิ เี่ ปลย่ี นแปลงไป กระบวนการ ดังกล่าวนต้ี ้องใชเ้ วลาถึงห้าปี 550 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

เชงิ อรรถ 1. Bangkok Post, 10 March 1959, อา้ งใน in Thak, Thailand, p. 156. 2. Thak, Thailand., pp 152-71. 10 | การพฒั นาและการปฏวิ ตั ิ 551



บทท่ี 11 กพา.ศรเ. ร2ิม่ 5ต1้น9-ให25ม4่ 5 (1976–2002) ความลังเลและความไมแ่ นน่ อน พ.ศ. 2519-2523 (1976-1980) ในชว่ งเวลาสนั้ ๆ หลงั การตนื่ ตวั ในเหตกุ ารณ์ 6 ตลุ าคม พ.ศ.  2519 (1976) ประเทศไทยหนั กลับไปใชอ้ �ำ นาจนยิ มมากเสยี ย่ิงกวา่ สมยั สมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ คณะปฏริ ปู การปกครองแผน่ ดนิ ได้แตง่ ตั้งนายธานนิ ทร์ กรัยวิเชยี ร ซง่ึ เคยด�ำ รงต�ำ แหนง่ ประธานศาลฎกี า ขนึ้ เปน็ นายกรฐั มนตรี สง่ิ ทนี่ า่ ยอ้ นแยง้ คอื การทเ่ี ขามาจากพลเรอื น และเป็นนักกฎหมาย แต่กลับใช้อำ�นาจปกครองและควบคุมเสียยิ่ง กว่านายกรัฐมนตรที มี่ าจากทหารกอ่ นหน้านน้ั มีการตรวจสอบและ กำ�หนดโทษอย่างเข้มงวด สหภาพแรงงานถูกห้ามเคลื่อนไหว ข้าราชการและครูไม่ได้เลื่อนขั้น และอาจถึงกับถูกไล่ออก หากไม่ รว่ มมอื ในการตอ่ ตา้ นลทั ธคิ อมมวิ นสิ ต์ ขณะทกี่ ลมุ่ ปกี ขวายนิ ดปี รดี า

ในชยั ชนะ กลมุ่ ปกี ซา้ ยและพนั ธมติ รจากกลมุ่ ทเ่ี ปน็ กลางจ�ำ นวนมาก ได้หลบหนีเข้าป่าโดยเข้าร่วมกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่อสู้ในป่าใน เวลาตอ่ มา รวมถงึ กลมุ่ ผนู้ �ำ นกั ศกึ ษาหลายคนในชว่ ง พ.ศ. 2516-19 (1973-76) มที งั้ ปญั ญาชน และนกั เขยี นทมี่ ชี อ่ื เสยี งจ�ำ นวนหนง่ึ เชน่ คำ�สิงห์ ศรีนอก ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่ง ประเทศไทย และอธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ กองทพั ยนื หยดั เคยี งขา้ งรฐั บาลนายธานนิ ทรไ์ ดไ้ มน่ าน รฐั บาล ก็หมดส้ินความน่าเช่ือถือ และหวนกลับไปสู่การทะเลาะวิวาทและ การตอ่ สทู้ างการเมอื ง จนกองทพั ตอ้ งปลดนายธานนิ ทรอ์ อกในเดอื น ตุลาคม พ.ศ. 2520 (1977) พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้ท่ีมี กองทัพหนุนหลังเพียงบางส่วน ก้าวข้ึนมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และสัญญาว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2522 (1979) พลเอกเกรียงศักดิ์สามารถลดความรุนแรงของกลุ่มปีกขวา ลงได้ และพยายามใหก้ ลมุ่ ผทู้ ห่ี ลบหนเี ขา้ ปา่ จ�ำ นวนมากออกมาจาก ปา่ รวมทงั้ กลบั มาจากตา่ งประเทศ เหตกุ ารณใ์ นยคุ สมยั นายธานนิ ทร์ ท่ีเตม็ ไปด้วยความมืดมนและส้ินหวังจงึ คลค่ี ลายลงไปได้ระดบั หนงึ่ อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันกับที่มีการเลือกต้ังใน พ.ศ.  2522 (1979) เกดิ ความวติ กกงั วลใหมเ่ กยี่ วกบั การบกุ ยดึ ครองกมั พชู า ของเวียดนามในช่วงต้นปนี ้ันเอง คนไทยในภาคตะวันออกท่ีอยตู่ ิด พรมแดนถูกกดดันจากจำ�นวนผู้อพยพจากกัมพูชาและลาวนับแสน คน และกลมุ่ กองก�ำ ลงั ตดิ อาวธุ หลายกลมุ่ ทพี่ ยายามจะขา้ มชายแดน เข้ามา (โดยตรงจากท้ังสองประเทศ) พรรคการเมืองของรฐั บาลพล เอกเกรียงศักดิ์ได้รับเสียงในการลงคะแนนเสียงข้างมากในรัฐสภา ดว้ ยการดงึ พรรคการเมอื งเลก็ ๆ และผสู้ มคั รอสิ ระเขา้ มารว่ มดว้ ย แต่ อ�ำ นาจของรฐั บาลพลเอกเกรยี งศกั ดก์ิ อ็ อ่ นแอเกนิ ไป และไมส่ ามารถ แก้ไขผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกตำ่� รวมทั้งสถานการณ์ใน 11 | การเร่มิ ตน้ ใหม่ 553

กัมพูชาได้ ในที่สุดพลเอกเกรียงศักด์ิก็ถูกบีบบังคับให้ลาออกจาก ต�ำ แหนง่ เสยี กอ่ น แทนทจี่ ะมกี ารท�ำ รฐั ประหารโดยพลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ ผบู้ งั คบั บญั ชาการทหารบกในเดอื นกมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. 2523 (1980) พลเอกเปรมเรม่ิ ท�ำ สัญญากบั กลุ่มต่างๆ ในรัฐสภา ด้วยการ ประนีประนอม และดึงเอาพรรคประชาธิปัตย์และพรรคกิจสังคม ของม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช ซ่ึงมีจำ�นวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มากกว่า 180 ทน่ี ั่งจากจ�ำ นวน 301 ท่ีนง่ั ในการรับรองรัฐบาลพลเอก เปรม สมาชิกจำ�นวนหน่ึงในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลพลเอกเปรม มาจากการแตง่ ตงั้ กลมุ่ นายทหารทสี่ นบั สนนุ เขา และแตง่ ตงั้ ผเู้ ชยี่ วชาญ เขา้ มาบรหิ ารนโยบายเศรษฐกจิ เปน็ ทร่ี กู้ นั วา่ พลเอก เปรม มกี องทพั สนับสนุนอยู่เบ้ืองหลัง เพราะพลเอกเปรมไม่มีมลทินติดตัวในเร่ือง การฉ้อราษฎร์บังหลวง และจากความสำ�เร็จในการต่อสู้กับฝ่ายแบง่ แยกดินแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อกันว่าเบ้ืองหลังเขามี พระมหากษัตรยิ ์ทรงสนบั สนนุ อย่างเข้มแขง็ ดว้ ย พลเอกเปรมครองอ�ำ นาจในต�ำ แหนง่ ยาวนาน มากกวา่ นายก รัฐมนตรคี นอนื่ ๆ กอ่ นหนา้ น้ี แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องเผชิญหน้า กบั ความยงุ่ ยากอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ความกงั วลมากทสี่ ดุ คอื การทเ่ี วยี ดนาม บุกเข้ายึดครองกัมพูชาเป็นระลอก นับต้ังแต่ พ.ศ. 2523 (1980) เปน็ ตน้ มา กองทพั เวยี ดนามบกุ มาประชดิ เขตชายแดนไทย เปดิ การ โจมตีเขมรสามฝ่าย ทุกครั้งทำ�ให้ไทยต้องป้องกันพรมแดนอย่าง เหนยี วแนน่ เหตกุ ารณน์ ที้ �ำ ใหไ้ ทยรสู้ กึ ถงึ ภยั คกุ คามทเ่ี วยี ดนามก�ำ ลงั จะเขา้ ครอบครองอนิ โดจนี และท�ำ ใหอ้ นิ โดจนี กลายเปน็ คอมมวิ นสิ ต์ ในการตอ่ ตา้ นภยั คกุ คามนี้ ไทยใชน้ โยบายยนั กองทพั เวยี ดนาม มากกวา่ จะตโี ตร้ กุ คบื เขา้ ไป ซง่ึ อยา่ งนอ้ ยกเ็ ปน็ การสรา้ งความสมดลุ กับกองกำ�ลงั เวียดนาม ซง่ึ เป็นลักษณะจารีตของรฐั กนั ชน กองทพั ไทยประสบความส�ำ เรจ็ เพราะไดร้ บั การสนบั สนนุ จากสหรฐั อเมรกิ า 554 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook