Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย

Published by History Channel, 2021-02-06 09:55:55

Description: ประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

ท�ำ นองเดยี วกบั กบฏ ร.ศ. 130 อยบู่ า้ ง โดยครงั้ ส�ำ คญั ทส่ี ดุ เกดิ ขน้ึ ใน ช่วงกลางปี พ.ศ. 2460 (1917) ทว่า มีการจับกุมผู้เก่ียวข้องได้ทัน ทว่ งที (*สว่ นใหญเ่ ปน็ นายทหารบกและทหารเรอื ทจ่ี บการศกึ ษาจาก เยอรมนั ซงึ่ ตอ่ ตา้ นกษตั รยิ แ์ ละราชส�ำ นกั ทสี่ นบั สนนุ ฝา่ ยสมั พนั ธมติ ร ในสงครามโลกครง้ั ท่ี 1) (ทกุ วนั นเ้ี กอื บไมป่ รากฏรอ่ งรอยของแผนการ กบฏในครง้ั น้ันเหลอื อยเู่ ลย)3 อย่างไรก็ตาม โดยท่วั ไปแลว้ ตลอด ช่วงรัชสมัย มีการวิพากษ์วิจารณ์องค์พระประมุขในหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่ด้านการเมืองไปจนเรื่องส่วนพระองค์ บางฝ่ายเร่ิมวิตกกังวล กบั การทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ทรงบบี ใหบ้ รรดาเจา้ นาย ผใู้ หญอ่ อกจากต�ำ แหนง่ สงู ๆ ในคณะรฐั บาล แลว้ ตงั้ บคุ คลทมี่ สี ถานภาพ ทางสงั คมต�ำ่ กวา่ ขนึ้ แทน บา้ งกว็ ติ กวา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มีพระราชอำ�นาจเหนือรัฐบาลมากเกินไป ขณะท่ีบางฝ่ายก็แย้งว่า อำ�นาจการปกครองน้ัน ท่ีจริงแล้วกลับตกอยู่ในหมู่ราชเสวกผู้ใกล้ ชิด โดยเฉพาะพวกชายหนุม่ ในราชสำ�นัก ทีท่ รงพระราชนิพนธ์บท ละครให้เลน่ หรือรว่ มสนุกในเกมกีฬา สโมสร และสมาคมตา่ งๆ กบั พระองค์ บางฝ่าย โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 เอง และสมเด็จพระศรี พัชรนิ ทราบรมราชินีนาถ ก็ไดแ้ สดงความไม่พอพระทยั ในพระราช จริยวัตรส่วนพระองค์มาต้ังแต่ในรัชกาลก่อนแล้ว โดยเฉพาะการท่ี พระองคเ์ กอื บไมม่ คี วามสนพระทยั ในเพศตรงขา้ มเลย กลา่ วโดยสรปุ แลว้ ประเดน็ ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ทรงตกเปน็ เปา้ ของ การวพิ ากษว์ จิ ารณข์ องทกุ ฝา่ ยโดยตลอดรชั สมยั คอื พระราชจรยิ วตั ร การใชจ้ า่ ยอยา่ งฟมุ่ เฟอื ย และการทท่ี รงสนกุ สนานไปกบั การละเลน่ และการละคร รชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯยงั คงสรา้ งความ ขดั แยง้ แมจ้ นทกุ วนั นี้ ในสมยั ของพระองค์ ความขดั แยง้ นย้ี ง่ิ มากมาย เปน็ ทวคี ณู ทง้ั นอี้ าจเปน็ เพราะพระราชจรยิ วตั รสว่ นพระองคป์ ระกอบ 410 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

กบั ลกั ษณะทา่ ทางทเ่ี ปน็ ตะวนั ตกของพระองคป์ ระสมกนั การทท่ี รง ฝักใฝ่อยู่แต่กับข้าราชบริพารหนุ่มๆ คนโปรดนั้น มิได้เป็นประเด็น ส�ำ คญั ทางการเมอื งแตอ่ ยา่ งใด จนกระทงั่ เรม่ิ เปน็ ทส่ี งั เกตกนั วา่ การ นนั้ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ดลุ ยภาพแหง่ อ�ำ นาจภายในรฐั บาลในพระปรมาภไิ ธย ทง้ั ยงั ท�ำ ใหค้ า่ ใชจ้ า่ ยสว่ นพระองคท์ วสี งู ขน้ึ อยา่ งมหาศาล เมอ่ื ถงึ จดุ น้ัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตกเป็นเป้าของการวิพากษ์ วจิ ารณ์ในทุกๆ เรอื่ ง อย่างทีก่ รมหลวงรกั ษรณเรศ (*หมอ่ มไกรสร) ประสบใน พ.ศ. 2391 (1848) ในทางสงั คม และการเมอื งการปกครอง พระบาทสมเดจ็ พระ มงกุฎเกล้าฯ ทรงเปล่ียนแปลงเร่ืองสำ�คัญบางประการ การท่ีทรง จ�ำ กดั อ�ำ นาจของกลมุ่ เจา้ นาย โดยเฉพาะบรรดาพระเชษฐาและพระ ปติ ลุ า และการทโี่ ปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตง้ั ใหส้ ามญั ชนจ�ำ นวนมากไดด้ �ำ รง ตำ�แหน่งสูงๆ ในระบบราชการ ซึ่งยังคงขยายตัวไปไม่หยุดย้ังนั้น ทำ�ให้ดรู าวกบั ว่าพระองคก์ �ำ ลงั ทรงกระจายอ�ำ นาจ (ทจี่ รงิ แล้ว ทรง เลอื กสรรบรรดาขา้ ราชเสวกคนโปรด จากภมู หิ ลงั ทางสงั คมทหี่ ลาก หลาย ย่ิงกว่าบรรดาขุนนางที่ทรงแตง่ ตง้ั ขึน้ ดว้ ยซ้ำ�) แม้วา่ บางคน อาจมีข้อกังขาต่อคุณวุฒิของคนสามัญท่ีโปรดฯ ให้รับตำ�แหน่งสูง บางคน แต่กต็ อ้ งยอมรับว่ารฐั บาลของพระองคน์ ั้นมไิ ด้มีแตพ่ วกเจา้ นายดงั ท่เี คยเป็นมา เมื่อสิบหรือยส่ี บิ ปกี ่อนหน้านี้ อันเป็นสญั ญาณ ว่าสยามในอนาคตอาจใช้ระบอบการปกครองแบบท่ีเน้นคุณวุฒิย่ิง กว่าชาติวุฒกิ ็เป็นได้ อยา่ งไรกด็ ี ราษฎรทั่วไปคงมคี วามรู้สกึ ว่า ตน มสี ว่ นรว่ มในการเมอื งการปกครองอยา่ งจ�ำ กดั แมว้ า่ คนจ�ำ นวนมาก อาจถกู กระตนุ้ โดยการเขา้ รว่ มในกจิ กรรมอยา่ งเสอื ปา่ หรอื กจิ กรรม กลมุ่ ทมี่ ุง่ รวมน�้ำ ใจคน เชน่ ราชนาวีสมาคมแห่งกรงุ สยาม ตลอดจน พระราชพธิ ใี นวนั ส�ำ คญั หรอื เหตกุ ารณใ์ หญๆ่  เชน่ การสง่ กองทหาร อาสาไปในการสงคราม ณ ทวปี ยโุ รป เมอื่  พ.ศ. 2461 (1918) เปน็ ตน้ 8 | ก�ำ เนดิ ลทั ธชิ าตนิ ิยมชนชัน้ นำ� 411

และนบั ตง้ั แตช่ ว่ งตน้ ทศวรรษท่ี 1920 (2463-2472) เปน็ ตน้ มา เปน็ ไปได้ว่ามีราษฎรบางพวกเริ่มร้อนใจ ใคร่จะมีส่วนร่วมในการเมือง การปกครองอย่างเต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น เปน็ ทแี่ นช่ ดั วา่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าฯ ไม่ทรงสน พระทัยที่จะดำ�เนินการเปล่ียนแปลงทางการเมืองการปกครองแต่ อยา่ งใด เวลล่า ชใี้ หเ้ ห็นว่า ใน พ.ศ. 2428 (1885) นน้ั ทรงเหน็ พ้อง กับสมเด็จพระบรมชนกนาถ ในการปฏิเสธแนวความคิดที่จะนำ� ระบอบรัฐธรรมนญู มาใช้ รัชกาลที่ 6 ทรงเห็นวา่ การเรียกรอ้ งให้มี การปฏิรูปการปกครองทุกคร้ังเป็นความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ความไม่จงรักภักดี และจักนำ�ความพินาศล่มจมมาสู่ประเทศสยาม โดยมิต้องสงสัย4 บางคร้ังแม้แต่ขุนนางช้ันผู้ใหญ่เองก็ยังพยายาม โนม้ นา้ วใหพ้ ระองคแ์ กไ้ ขปรบั ปรงุ รฐั บาล แมเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยกต็ าม ใน  พ.ศ. 2460 (1917) สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ซึ่งขณะน้ันทรงดำ�รงตำ�แหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไดก้ ราบบงั คมทลู เสนอใหร้ ชั กาลที่ 6 ทรงรอื้ ฟน้ื สภาทปี่ รกึ ษาราชการ แผน่ ดนิ เชน่ ทเ่ี คยมมี าในรชั กาลกอ่ น โดยสมาชกิ สภามาจากการแตง่ ตั้ง เป็นสภาที่มีอำ�นาจในการออกพระราชกำ�หนดกฎหมายเหนือ พระปรมาภไิ ธย ทงั้ ยงั มสี ทิ ธใิ นการสอบสวนเสนาบดอี กี ดว้ ย พระบาท สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ทรงปฏเิ สธขอ้ เสนอนี้ โดยทรงใหเ้ หตผุ ลวา่ เมอ่ื สมาชกิ สภามาจากการแตง่ ตงั้ สภานกี้ ม็ หี นา้ ทเ่ี ปน็ เพยี งตรายาง ส�ำ หรบั พระเจา้ แผน่ ดนิ เทา่ นนั้ 5 ตอ่ มาใน พ.ศ. 2464 (1921) เจา้ พระยา สุรศักดม์ิ นตรี (เจิม แสง-ชูโต) ขา้ ราชการฝา่ ยทหารคนส�ำ คญั ที่สุด ในรชั กาลก่อน ไดก้ ราบบังคมทูลเสนอใหร้ ชั กาลท่ี 6 ทรงร้อื ฟ้นื สภา ทปี่ รกึ ษาราชการแผน่ ดนิ ขน้ึ มาใหมอ่ กี ครงั้ ใหเ้ หมอื นอยา่ งในรชั กาล สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ หลวง มหี นา้ ทถ่ี วายค�ำ ปรกึ ษาขอ้ ราชการแผน่ ดนิ แดอ่ งคพ์ ระประมขุ ซง่ึ ขอ้ เสนอนก้ี ถ็ กู บอกปดั ไป โดยอา้ งวา่ เปน็ เพยี ง 412 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ความคดิ ของคนแกท่ เ่ี ลอะเลอื นดว้ ยความชรา6 และมเี พยี งครงั้ เดยี ว ทร่ี ัชกาลท่ี 6 ดูจะมีพระราชด�ำ รไิ ปในทางการเปลี่ยนแปลงทางการ เมืองการปกครอง คือในช่วงปลายรัชกาล ที่ทรงอภิปรายกับคณะ เสนาบดเี ก่ียวกบั ความเป็นไปได้ในการตั้งนายกรฐั มนตรี (*สมยั น้ัน เรยี กวา่ อรรคมหาเสนาบด)ี ซงึ่ ทา้ ยทส่ี ดุ แลว้ กท็ รงปฏเิ สธ ไมย่ อมรบั แนวความคดิ นนั้ 7 ประเดน็ ส�ำ คญั ทคี่ รอบง�ำ ชว่ งปที า้ ยๆ แหง่ รชั สมยั มสี องเรอื่ ง ไดแ้ ก่ เรอื่ งเศรษฐกจิ และการคลงั และเรอ่ื งรชั ทายาท หลงั สงครามโลก ครงั้ ที่ 1 เศรษฐกจิ สยามดำ�เนินไปอยา่ งไม่ราบรน่ื เกดิ ความผนั ผวน อยา่ งมากในการคา้ ขา้ ว ซงึ่ เปน็ สนิ คา้ สง่ ออกทส่ี �ำ คญั ทสี่ ดุ ของสยาม ราคาข้าวพุ่งสูงสุดสลับกับตกต่ำ�ที่สุด ผกผันไปมาอยู่ระยะหน่ึงใน ชว่ ง พ.ศ. 2462-64 (1919-21) ประกอบกบั วกิ ฤตการณท์ างการเงนิ และการแลกเปลย่ี นเงนิ ตราตา่ งประเทศทเี่ กดิ จากราคาของเงนิ ทสี่ งู ขน้ึ มาก ในชว่ งหลงั สงคราม และผลติ ผลทางการเกษตรทต่ี กต�่ำ มาก ในชว่ ง พ.ศ. 2462-63 (1919-20) ทำ�ใหเ้ กิดความปนั่ ปว่ นในสภาวะ เศรษฐกิจสยาม ในชว่ ง พ.ศ. 2462-64 (1919-21) เศรษฐกจิ การคา้ ทำ�ให้เกิดการขาดดุลครั้งมโหฬาร เงินปริมาณมากมายหายไปจาก ตลาดในประเทศ ส่วนรายได้ของรัฐก็ตกต่ำ�ลงจนขาดดุลยภาพต่อ เนอื่ งไปจนสน้ิ รชั กาล ทำ�ใหร้ ฐั บาลตอ้ งกยู้ มื เงนิ ตราจากตา่ งประเทศ เปน็ ระยะๆ ประกอบกบั รายจา่ ยสว่ นพระองคใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระ มงกฎุ เกลา้ ฯ ซงึ่ กท็ วสี งู ขนึ้ โดยล�ำ ดบั ตราบจนสน้ิ รชั กาลเชน่ เดยี วกนั สง่ ผลใหส้ ถานการณท์ างเศรษฐกจิ ตกต�่ำ ลงไปอกี ในครงั้ นนั้ กรมพระ คลงั ขา้ งทแี่ ละกระทรวงวงั ใชง้ บประมาณมากถงึ เกอื บรอ้ ยละสบิ ของ งบประมาณแผ่นดนิ ในแต่ละปี เฉพาะกองเสอื ปา่ หลวงกองเดยี ว ใช้ งบประมาณถงึ 1 ลา้ น 6 แสนบาทใน พ.ศ. 2467-68 (1924-25) จาก งบประมาณรายจา่ ยสว่ นพระองค์ 9 ลา้ นบาท (ทรงใชไ้ ปจรงิ ๆ นา่ จะ 8 | กำ�เนิดลัทธชิ าตนิ ยิ มชนชั้นน�ำ 413

กว่า 12 ล้านบาท) ขณะที่ในปีนนั้ งบประมาณแผน่ ดินรวม 96 ล้าน 4 แสนบาท มีความพยายามควบคุมสภาวะผนั ผวนทางเศรษฐกิจน้ี หลายครั้ง เช่น มีการตั้งสภาเผยแพร่พาณิชย์อย่างที่เคยมีมาคร้ัง หนง่ึ เมื่อ พ.ศ. 2455 (1912) ขน้ึ มาอีกสองครง้ั เพือ่ ก�ำ หนดนโยบาย เศรษฐกจิ แตก่ ็ไม่ประสบผลอะไร ทา้ ยที่สดุ แลว้ จงึ เป็นทีป่ รากฏวา่ ความลม้ เหลวทางเศรษฐกจิ ในชว่ งรชั กาลนมี้ สี าเหตสุ องประการ คอื การใชจ้ า่ ยสว่ นพระองคอ์ ยา่ งฟมุ่ เฟอื ย และการทอ่ี งคพ์ ระประมขุ ไม่ สามารถคิดค้นหรือบังคับใช้มาตรการในการควบคุมงบประมาณ แผน่ ดนิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ วนั วกิ ฤตแหง่ ดลุ ยภาพในทางเศรษฐกจิ การคลังอาจชะลอออกไปได้ระยะหนง่ึ แตก่ ไ็ มน่ านนัก ในชว่ งปที า้ ยๆ ของรชั สมยั ปญั หารชั ทายาทกลายเปน็ ประเดน็ ที่สำ�คัญย่ิง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มีพระราชโอรสและ พระราชธิดารวมท้งั สิน้ 77 พระองค์ ในจำ�นวนนมี้ เี พยี ง 7 พระองค์ (รวมพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯดว้ ย) ทเี่ ปน็ สมเดจ็ พระราชโอรส อันประสูติแต่พระราชมารดาช้ันพระมเหสีเทวี และมีพระชนม์มา จนถึงในรชั กาลท่ี 6 การท่ที รงเลือกให้สมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวธุ เปน็ รชั ทายาทนน้ั เปน็ เครอื่ งชว้ี า่ รชั กาลท่ี 5 ทรงเลอื กใหก้ ารสบื ทอด ราชบัลลังก์ลงไปทางสายของพระราชโอรสในสมเด็จพระนางเจ้า เสาวภาผอ่ งศรี บรมราชเทวี ฉะนน้ั สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ จกั รพงษภ์ วู นาถ พระอนชุ าธริ าชรว่ มพระครรโภทรในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ย่อมด�ำ รงตำ�แหนง่ รชั ทายาทโดยนยั ทว่า เนอ่ื งดว้ ยสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ พระองค์นั้นทรงรับหญิงชาวรัสเซียเป็นหม่อมห้าม ตั้งแต่สมัยที่ยัง ทรงศกึ ษาอยทู่ โี่ รงเรยี นทหาร ณ กรงุ เซนตป์ เี ตอรส์ เบริ ก์ ท�ำ ใหโ้ อกาส ในการสบื ราชสมบัติของพระองคม์ วั หมองไปบา้ ง แตอ่ ย่างไรก็ตาม สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ จกั รพงษภ์ วู นาถเสดจ็ ทวิ งคตไปใน พ.ศ. 2463 (1920) ใน พ.ศ. 2467 (1924) พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าฯ ทรงตรากฎ 414 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป

มณเฑียรบาลว่าดว้ ยการสืบราชสนั ตตวิ งศ์ ใหร้ าชสมบัตสิ ืบทอดไป ทางสายของพระราชโอรสในสมเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี บรม ราชเทวี หากพระองคเ์ สด็จสวรรคตไปโดยมไิ ด้มีพระราชโอรส โดย ในชว่ งปที ้ายๆ แหง่ รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ ฯ ทรงมี ทั้งพระราชเทวี พระสนม ตลอดจนเจา้ จอมหลายคน ในระหว่างน้ัน สมเดจ็ พระราชอนชุ ารว่ มพระครรโภทรกส็ น้ิ พระชนมไ์ ปอกี สองพระ องค์ จนเหลือแต่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิ เดชน์ พระราชโอรสองค์ที่ 76 ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ ฯ เพยี งพระองคเ์ ดยี ว นบั เปน็ พระราชโอรสในสายของสมเดจ็ พระนาง เจ้าเสาวภาผ่องศรีท่ียังทรงพระชนม์ชีพอยู่เป็นองค์สุดท้าย เม่ือ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯเสดจ็ สวรรคตในวนั ที่ 26 พฤศจกิ ายน  พ.ศ. 2468 (1925) หรอื เพยี งสองวนั หลงั จากพระประสตู กิ าลของสม เดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ พระราชธดิ า (*สมเดจ็ เจา้ ฟา้ เพชรรตั นราชสดุ า สริ โิ สภา พณั ณวดี) ก่อนเสดจ็ สวรรคต รชั กาลที่ 6 มพี ระราชหตั ถเลขาโปรด เกลา้ ฯ ให้สมเดจ็ ฯ เจ้าฟา้ ประชาธปิ กศักดิเดชน์เป็นองค์รชั ทายาท สบื ราชสนั ตตวิ งศเ์ ปน็ พระมหากษตั รยิ พ์ ระองคท์ ี่ 7 แหง่ บรมราชจกั รี วงศต์ อ่ ไป เหตกุ ารณท์ ง้ั ปวงนเี้ กดิ ขนึ้ ตอ่ เนอ่ื งกนั กระชน้ั ชดิ พระบาท สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯเองมพี ระชนมายไุ ดเ้ พยี ง 44 พรรษาเทา่ นนั้ เมื่อสวรรคต และสมเด็จพระราชอนุชาโดยมากก็ทรงรับราชการใน ด้านต่างๆ อย่างเข้มแข็ง ก่อนท่ีจะส้ินพระชนม์ไปไล่ๆ กัน ในช่วง  พ.ศ. 2463-68 (1920-25) ฉะนน้ั เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ในชว่ ง พ.ศ. 2468 (1925) จงึ เปน็ เรอื่ งทนี่ า่ ประหลาดใจอยา่ งมาก ทงั้ น้ี ผทู้ นี่ า่ จะประหลาด ใจมากทส่ี ดุ นา่ จะไดแ้ กส่ มเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ ประชาธปิ ก ศกั ดเิ ดชน์ พระชนั ษา 32 พรรษา พระราชโอรสองคส์ ดุ ทา้ ยในพระบาท สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ และพระมหากษตั รยิ อ์ งคส์ ดุ ทา้ ยของสยาม ในระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ 8 | ก�ำ เนดิ ลัทธิชาตินยิ มชนชัน้ น�ำ 415

เจ้าชีวติ พระองคส์ ุดท้าย รชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ รชั กาล ทส่ี น้ั ทสี่ ดุ และเตม็ ไปดว้ ยความขดั แยง้ มากทส่ี ดุ ในประวตั ศิ าสตรข์ อง พระราชวงศ์จกั รี ทัง้ ช่วงต้นและชว่ งปลายรัชกาล มบี รรยากาศของ การวพิ ากษว์ จิ ารณแ์ ละเกดิ ความไมส่ งบ ทงั้ ยงั เกดิ ปญั หาทางเศรษฐกจิ ตลอดชว่ งรชั กาล อยา่ งไรกต็ าม ฉากสดุ ทา้ ยของรชั สมยั กม็ สี ว่ นเกยี่ ว พันกับการเมืองการปกครองอย่างลึกซ้ึง ทั้งเป็นจุดจบของระบอบ สมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ และการเถลิงอ�ำ นาจของชนช้นั น�ำ กลุ่มใหม่ ซึ่งก่อตัวข้ึนทีละน้อย ตั้งแต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงปฏริ ปู การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงทศวรรษที่ 1880 (พ.ศ.  2423-2432) โดยล�ำ ดบั มา ฉะนนั้ ประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งยอ่ ของรชั สมยั นจ้ี งึ เปน็ เรอื่ งราวเกยี่ วกบั ความเคลอื่ นไหวของพลงั ทางประวตั ศิ าสตร์ ที่สำ�คัญๆ ได้แก่ ความทะยานอยากทางการเมือง การแสดงความ คดิ เหน็ ของคนสว่ นใหญ่ การเคลอื่ นไหวทางสงั คมและการเมอื ง การ ปฏริ ปู เศรษฐกจิ ใหท้ นั สมยั เปน็ ตน้ แตใ่ นขณะเดยี วกนั ประวตั ศิ าสตร์ ชว่ งนก้ี เ็ ปน็ เรอ่ื งราวของตวั ละครทเ่ี ปน็ ปจั เจกบคุ คล มบี คุ ลกิ ลกั ษณะ และการกระท�ำ ทส่ี ง่ ผลตอ่ เหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตร์ อาจไมใ่ ชเ่ รอ่ื ง งา่ ยนกั ทจ่ี ะประเมนิ น้ำ�หนกั ของปจั จยั แตล่ ะสว่ น ทวา่ ความเขา้ ใจใน ปัจจัยท้ังหมดนี้จำ�เป็นอย่างยิ่งต่อความเข้าใจในเหตุการณ์ทาง ประวตั ศิ าสตร์ของยคุ สมยั เมอ่ื แรกเสวยราชย์ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ ฯไดร้ ับพระ ราชมรดกจากสมเด็จพระเชษฐาธิราชเป็นปัญหานานัปการท่ีเร้ือรัง มาตงั้ แตร่ ชั กาลท่ี 6 ปญั หาเรง่ ดว่ นทส่ี ดุ คอื เรอื่ งเศรษฐกจิ ระบบการ คลงั ของประเทศอยใู่ นสภาวะสบั สนวนุ่ วาย งบประมาณแผน่ ดนิ ขาด ดุลอยา่ งรนุ แรง ขณะทีง่ บประมาณคา่ ใช้จา่ ยส่วนพระองค์ก็เรยี กได้ 416 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

วา่ เปน็ ฝนั รา้ ยของนกั บญั ชี เพราะมที ง้ั หนสี้ นิ และธรุ กรรมทเี่ ปน็ ปญั หา เม่ือแก้ไขปัญหาเหล่าน้ีได้จึงสามารถทำ�ให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจของสยาม ซ่ึงต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็น อยา่ งมากนัน้ สามารถด�ำ รงอยไู่ ด้ ย่ิงไปกวา่ น้ัน ประเดน็ ปัญหาทาง เศรษฐกจิ เหลา่ น้ี ยังทำ�ใหเ้ กิดปญั หาทางการเมืองในหลายๆ ระดบั กระทรวงต่างๆ ทะเลาะเบาะแว้งกันในเร่ืองการตัดลดงบประมาณ ทำ�ให้เกิดภาพลักษณ์ของระบบราชการที่ไม่สามารถควบคุมได้ มี ขนุ นางระดบั ลวิ่ ลอ้ ทที่ ะเลาะกนั อยเู่ ปน็ นจิ และขาดผนู้ �ำ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ การทรี่ ฐั บาลไรป้ ระสทิ ธภิ าพจนแทบจะเปน็ อมั พาตไปนี้ ท�ำ ใหช้ นชน้ั น�ำ ในเมอื งหลวง หรอื ขา้ ราชการทง้ั หมด (รวมทง้ั ฝา่ ยทหาร) เรมิ่ สญู เสียความเช่ือม่ันในรัฐบาลไปไม่มากก็น้อย ท้ังนี้ ยังเริ่มต้ังคำ�ถาม หรอื ท้าทายความเชื่อพืน้ ฐานของระบบสงั คม และระบอบการเมือง การปกครองตามวิถแี หง่ สมบรู ณาญาสิทธิราชย์ รชั กาลนี้ เปน็ ครงั้ แรกในประวตั ศิ าสตรช์ าตสิ ยามทมี่ สี ง่ิ ทอ่ี าจ เรยี กไดว้ า่ การแสดงความคดิ เหน็ ของคนสว่ นใหญ่ เปน็ ยคุ แหง่ สอ่ื สง่ิ พิมพ์ของสามัญชน ในรูปหนังสือพิมพ์รายวัน และนิตยสารราย สปั ดาห์ เพยี งใน พ.ศ. 2468 (1925) ปเี ดยี ว มีหนังสอื พมิ พร์ ายวนั ภาษาไทยเจด็ หวั ภาษาองั กฤษสามหวั และภาษาจนี สามหวั ตพี มิ พ์ จำ�หน่ายในกรุงเทพฯ และหลงั จากนัน้ กม็ จี �ำ นวนมากขึน้ เป็นทวคี ูณ ท้ังรัฐบาลและชนช้ันนำ�ที่มีการศึกษาต่างเห็นว่า หนังสือพิมพ์เป็น เสียงของความเห็นของคนส่วนใหญ่ ถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1920 (2463-2472) มกี ารวพิ ากษว์ จิ ารณร์ ฐั บาลมากยง่ิ ขน้ึ และความเหน็ ของชนช้ันนำ�กม็ ีท้งั แสดงออกผ่านสงิ่ พมิ พ์ของสามัญชน และก่อรูป สง่ ผลคนื กลับสชู่ นชั้นน�ำ ผา่ นสิง่ พิมพข์ องสามญั ชนเชน่ กัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไม่ได้ทรงเตรียมพระองค์มา พร้อมสำ�หรับพระราชภารกิจใหม่ๆ ท้ังหลายเหล่าน้ี ทรงศึกษาใน 8 | กำ�เนดิ ลัทธิชาตินิยมชนช้ันน�ำ 417

ประเทศองั กฤษ ท่ีวิทยาลัยอตี นั และโรงเรียนทหารวูลลชิ จากน้ัน ทรงศกึ ษาเพิ่มเตมิ ทโี่ รงเรียนเสนาธิการทหารชน้ั สงู ในฝรงั่ เศส และ เพิ่งเสดจ็ กลบั ส่สู ยาม เมอื่  พ.ศ. 2467 (1924) เท่านน้ั โดยทรงคาด วา่ จะได้รบั ราชการในกองทพั ทว่า ภายในเวลาเพียงไมก่ ี่เดอื นหลัง จากน้ัน ก็ทรงเล่ือนขึ้นตามลำ�ดับชั้นการสืบราชสันตติวงศ์อย่าง รวดเรว็ จนเปน็ องคร์ ชั ทายาท ทรงมปี ระสบการณก์ ารบรหิ ารราชการ แผน่ ดินเพยี งเลก็ น้อย และทรงย�ำ เกรงบรรดาพระเจา้ พยี่ าเธอ และ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอทั้งหลายซ่ึงทรงรับราชการมาอย่างต่อ เน่ืองและยาวนาน พระชันษาอันเยาว์ประกอบกับประสบการณ์อัน น้อย จึงเป็นอุปสรรคสำ�หรับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ข้อดีท่ี ทรงมนี นั้ มเี พยี งพระสติปญั ญา ศิลปะในการติดตอ่ กบั ผูค้ น ความ ถอ่ มพระองค์ ความสนพระทยั ใฝร่ ู้ และมนตข์ ลงั ของสถาบนั กษตั รยิ ์ ทแ่ี มจ้ ะเสอ่ื มคลายลงไปบ้าง แต่ก็ยงั คงทรงพลงั อยู่พอสมควร หลงั จากเสด็จขึ้นครองราชย์ ส่ิงแรกท่รี ัชกาลท่ี 7 ทรงกระท�ำ คือ การสถาปนาอภิรัฐมนตรีสภาข้ึน (*เม่ือวันท่ี 28 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2468 (1925)) เพ่ือเสริมสร้างความเช่ือมั่นในสถาบันกษัตริย์ ตลอดจนรัฐบาล อภิรัฐมนตรีสภาเป็นสภาท่ีปรึกษา ประกอบด้วย พระบรมวงศานุวงศ์อาวุโสที่ทรงมีประสบการณ์รับราชการมานาน รวมหา้ พระองค์ มพี ระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ 3 พระองค์ เชน่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ ผเู้ คยทรงด�ำ รงต�ำ แหนง่ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมายาวนาน (พ.ศ. 2435-58 (1892- 1915)) เป็นต้น นอกจากน้ี ยังมีพระเจ้าพี่ยาเธอสองพระองค์คือ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ บรพิ ตั รสขุ มุ พนั ธุ์ กรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ติ ผทู้ รง เปน็ ทหารอาชพี และพระเจา้ พยี่ าเธอ กรมพระจนั ทบรุ นี ฤนาถ ผทู้ รง ด�ำ รงต�ำ แหน่งเสนาบดกี ระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มาเปน็ เวลาช้า นาน (พ.ศ. 2451-66 (1908-23)) (*อีกสองพระองค์ คอื สมเด็จฯเจา้ 418 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ฟา้ ภาณรุ งั ษสี วา่ งวงศ์ กรมพระยาภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดช และสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ)์ ดว้ ยค�ำ แนะน�ำ และแรงสนบั สนนุ จากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่เหล่าน้ี พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่จึงทรง เรมิ่ ด�ำ เนนิ การแกไ้ ขปญั หาการเงนิ การคลงั ทกี่ �ำ ลงั อยใู่ นภาวะวกิ ฤต ไดโ้ ดยรวดเร็ว (ในปงี บประมาณ พ.ศ. 2469 (1926-27) ทรงลดเงิน คา่ ใชจ้ า่ ยสว่ นพระองค์ จาก 10,800,000 บาท เหลอื 6,800,000 บาท เพ่อื ให้เป็นแบบอย่าง)8 ภายในหกเดอื นรชั กาลท่ี 7 ทรงปรับคณะ เสนาบดใี หมเ่ กอื บทงั้ คณะ เสนาบดที ดี่ �ำ รงต�ำ แหนง่ มาแตค่ รง้ั รชั กาล ก่อน 12 ทา่ น คงเหลืออยู่เพยี ง 3 ทา่ น โดยโปรดฯ ใหพ้ ระบรมวงศา นวุ งศม์ าด�ำ รงต�ำ แหนง่ ทว่ี า่ งลงนน้ั แทนเสยี เปน็ สว่ นมาก ในระยะแรก การแต่งตง้ั เสนาบดีใหม่น้สี ง่ ผลดีต่อองคพ์ ระประมขุ เพราะสามารถ นำ�คนเก่ง มีความเป็นกลาง ไม่คดโกง และมีความสามารถ เข้ามา ในคณะรฐั บาลได้ ทวา่ ในระยะยาว การตง้ั เสนาบดใี หมเ่ หลา่ นีก้ ลับ ดูเป็นสัญญาณแห่งการหวนคืนสู่สมัยของการปกครองโดยคณะเจ้า และเมอื่ เกดิ ปญั หาตา่ งๆ นานาขนึ้ กย็ อ่ มงา่ ยทจ่ี ะโทษวา่ ปญั หาเหลา่ นัน้ มาจากพวกเจา้ เช่นกนั เมอ่ื วกิ ฤตการณเ์ ฉพาะหนา้ ไดล้ ลุ ว่ งไปแลว้ ในชว่ งตน้ ป ี พ.ศ.  2469 (1926) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯจงึ ทรงหันไปเริ่มจดั การ ปัญหาเก่ียวกับการพัฒนาการเมือง ซ่ึงเรื้อรังมายาวนานแล้ว โดย ในเดือนกรกฎาคม เมอ่ื ฟรานซิส บี. แซยร์ (*พระยากัลยาณไมตรี) ไดก้ ลบั มากรงุ เทพฯอีกครงั้ หน่ึงตามพระราชประสงค์แลว้ รัชกาลท่ี 7 ได้พระราชทานพระราชบันทึกอันยืดยาวฉบับหน่ึง มีหัวเรื่อง วา่ “ปญั หาของสยาม” เพอ่ื ขอค�ำ แนะน�ำ จากแซยรใ์ นปญั หาตา่ งๆ ท่ี ทรงเหน็ วา่ เปน็ เรือ่ งสำ�คญั ทส่ี ดุ ในขณะนน้ั โดยทรงจำ�แนกเปน็ พระ ราชปุจฉา 9 ข้อ เช่น “ในสักวันหนึ่งประเทศน้คี วรจะมีการปกครอง ระบบรฐั สภาหรอื ไม่ และการปกครองระบบรฐั สภาของแองโกลแซก 8 | ก�ำ เนิดลทั ธิชาตินยิ มชนชน้ั นำ� 419

ซอนเหมาะสมกับคนตะวันออกหรือไม่” (*พระราชปุจฉาข้อ 3) “ประเทศนีพ้ รอ้ มแลว้ หรือยงั ทจี่ ะมีการปกครองแบบมีผ้แู ทน” (*ข้อ 4) และ “เราควรจะมีอคั รมหาเสนาบดีหรือไม่ ระบบน้ีควรจะเรม่ิ ใน ตอนนเ้ี ลยหรอื ไม”่ (*ขอ้ 6) ทรงปดิ ทา้ ยดว้ ยค�ำ ถามวา่ “จะท�ำ อยา่ งไร จึงจะทำ�ให้ชาวจีนกลายเป็นชาวสยามเหมือนในอดีตที่ผ่าน”9 (*ข้อ 9) ตลอดทงั้ พระราชบนั ทกึ ฉบบั นี้ รชั กาลท่ี 7 ทรงแสดงพระราชด�ำ ริ ชดั เจนวา่ ทรงเหน็ วา่ สยามนนั้ ยงั ไมพ่ รอ้ มส�ำ หรบั ระบอบประชาธปิ ไตย และนา่ จะเป็นการดี ถา้ จะทดลองให้มีสภาเทศบาลท่สี มาชกิ มาจาก การเลือกตัง้ กอ่ น ฉะนั้น ในภาพรวมแล้ว รัชกาลท่ี 7 ไดแ้ สดงพระ ราชประสงค์อย่างจริงใจ ทว่า ระมัดระวังท่ีจะให้มีการขยายวงการ เมืองของสยามใหก้ วา้ งขวางย่ิงขนึ้ อยา่ งไรก็ดี ในครัง้ น้นั ทงั้ แซยร์ และสมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพตา่ งกม็ ไิ ดม้ ที า่ ทสี นบั สนนุ พระราชประสงคด์ งั กลา่ วแตป่ ระการใด และกไ็ มม่ คี วามเปลย่ี นแปลง ทางการเมอื งใดๆ เกิดขน้ึ เลยตามแนวพระราชด�ำ รินั้น อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ ฯ มไิ ดท้ รงปลอ่ ย ให้เรื่องราวจบไปเช่นน้ัน เม่ือได้ครองราชย์นานวันเข้า แนวพระ ราชดำ�ริเรื่องการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองก็เริ่มโลดโผน มากยง่ิ ขนึ้ โดยล�ำ ดบั และพฒั นาไปถงึ ขน้ั ถดั มาใน พ.ศ. 2470 (1927) เมอ่ื โปรดเกล้าฯ แตง่ ตงั้ กรรมการขน้ึ คณะหนงึ่ เพื่อเลอื กสรรสภาที่ ปรึกษาราชการ ในครั้งน้ันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงมีพระ ราชบันทึกเรอื่ ง “ประชาธิปไตยในสยาม” เพ่อื ให้คณะกรรมการจะ ไดใ้ ชพ้ ิจารณาอยา่ งรอบคอบ มีความตอนหน่งึ วา่ หากจะยอมรบั กันวา่ วนั หนง่ึ เราอาจถูกบังคบั ให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใดรูป แบบหนึ่งในสยามแล้ว เราต้องเตรียมการอย่างค่อย 420 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

เปน็ ค่อยไป เราต้องเรียนรู้และศึกษาด้วยตนเอง เรา ตอ้ งเรยี นรแู้ ละทดลอง เพอื่ ใหม้ คี วามเขา้ ใจวา่ ระบอบ การปกครองแบบรัฐสภาจะดำ�เนินไปในรูปแบบใดใน สยาม เราต้องพยายามอบรมให้ราษฎรมีความรู้สึก นึกคิดทางการเมือง ให้เข้าใจส่วนได้ส่วนเสียของตน เพ่ือที่จะได้ไม่ถูกล่อลวงโดยนักปลุกระดม หรือนัก อดุ มคติ ถา้ เราจะมรี ฐั สภา เรากต็ อ้ งสอนใหร้ าษฎรรจู้ กั วิธีออกเสียง วิธีเลือกผู้แทนท่ีเห็นแก่ประโยชน์ของ ราษฎรเองอย่างแท้จริง10 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเหน็ วา่ สำ�หรบั การเฉพาะ หน้าน้ัน ควรให้มีสภากรรมการองคมนตรี มีลักษณะคล้ายสภาที่ ปรึกษาราชการแผ่นดินท่ีเคยมี หรือมีการเสนอให้ต้ังขึ้นในรัชกาล ก่อนๆ และให้มีการทดลองปกครองตนเองในระดับเทศบาล สภา กรรมการองคมนตรีต้ังขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2470 (1927) และเลกิ ไปเมอ่ื เกดิ การเปลย่ี นแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 (1932) โดยทมี่ ไิ ดม้ ผี ลงานโดดเดน่ อนั ใด สว่ นเรอ่ื งเทศบาลนน้ั ไมม่ อี ะไรเกดิ ขน้ึ เลย ในชว่ งปลายทศวรรษท่ี 1920 (2463-2472) ความกดดนั คอ่ ย คลายลงพอสมควร ความเจรญิ ทางเศรษฐกจิ กลบั คนื มาอกี ครงั้ พรอ้ ม กับงบประมาณแผ่นดินท่ีสมดุล (มีรายได้มากกว่ารายจ่ายด้วยซำ้�) ขณะทีก่ ารวพิ ากษว์ ิจารณท์ างการเมืองก็ดจู ะสงบลงไป อย่างไรก็ดี ลกึ ๆ แลว้ กลับมีความเคล่ือนไหวเกิดข้ึนอย่างต่อเนือ่ ง โดยในชว่ ง แรกน้ัน เกดิ ขน้ึ ในหมูค่ นหน่มุ โดยเฉพาะนักเรยี นนอกและพวกคน ต่างด้าว ในชว่ งระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 8 | กำ�เนิดลทั ธชิ าตินิยมชนชน้ั น�ำ 421

ชนกลมุ่ น้อยในสยามมิได้เปน็ ปญั หาท้าทายรัฐบาลแตอ่ ยา่ งใด โดย เฉพาะในแง่ของการแบ่งแยกดินแดน พวกมลายูทางใต้ยอมอยู่กัน อย่างสงบ ทง้ั นอ้ี าจเปน็ เพราะในชว่ งปลายรัชกาลที่ 5 ถกู อำ�นาจรฐั จากส่วนกลางกำ�ราบเสียเต็มท่ีแล้ว ส่วนลาวอีสานและล้านนาก็ตก อยู่ในสภาพทไ่ี รผ้ ้นู ำ� และถูกกลืนกลายให้เปน็ “ไทย” อย่างรวดเร็ว และงา่ ยดาย จะมีก็แตพ่ วกคนจนี เทา่ นนั้ ที่เป็นปญั หา เนอื่ งมาจาก บทบาทและอำ�นาจพเิ ศษในทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการกระจายตวั เพราะคนไทยสยามอยู่ที่ไหนมาก คนจีนก็อยู่ท่ีน่ัน โดยเฉพาะใน บริเวณเมืองกรุงเทพฯ ยิง่ ไปกวา่ นัน้ ในรชั กาลที่ 7 น้ีเอง ชาวจนี ใน สยามทวจี ำ�นวนขน้ึ มากท่สี ดุ จนมีถงึ ร้อยละ 12.2 ของประชากรใน  พ.ศ. 2475 (1932) ขณะเดยี วกนั สงั คมสยามกก็ ลนื กลายใหพ้ วกจนี ใหม่เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ยากขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยใน สมยั นน้ั เรม่ิ มหี ญงิ จนี อพยพเขา้ มามากขน้ึ การศกึ ษาในโรงเรยี นจนี ทแ่ี พรห่ ลาย พฒั นาการของหนงั สอื พมิ พจ์ นี ตลอดจนการรบั รขู้ า่ วสาร เร่ืองเมืองจีนและการเมืองในเมืองจีน11 ดังท่ีเราได้เห็นกันมาแล้ว พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ ฯนนั้ ทรงวติ กกบั การทค่ี นจนี เรม่ิ ประสม กลนื กลายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คมสยามไดช้ า้ ลง มาตง้ั แต ่ พ.ศ. 2468 (1925) แลว้ และใน พ.ศ. 2470 (1927) กท็ รงเกรงวา่ หากโปรดฯ ให้ มีสถาบันทางการเมืองใดๆ ข้ึนมาแล้ว สถาบันนั้นๆ อาจตกอยู่ใต้ อทิ ธิพลเงนิ ทุนของพวกจีนกเ็ ป็นได้ อยา่ งไรก็ตาม ทแี่ ทจ้ ริงแลว้ สิ่ง ท่ีพระองค์ประสบกลายเป็นการควำ่�บาตรทางการค้า เพื่อต่อต้าน ญ่ีปนุ่ มกี ารประท้วง (จนเกือบเปน็ การจลาจล) ตลอดจนการตื่นตัว ทางการเมืองมากยิ่งข้ึน เกิดความสนใจในลัทธิคอมมิวนิสต์ แม้ใน ชน้ั ตน้ นนั้ คอมมวิ นสิ ตจ์ นี ในสยามยงั คงมอี ทิ ธพิ ลทจี่ �ำ กดั และไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากประเทศจนี เทา่ นนั้ กต็ าม จนถงึ ชว่ งปลายทศวรรษท่ี 1920 (2463-2472) จงึ เกดิ ความเคลอื่ นไหวของพวกคอมมวิ นสิ ตใ์ นสยาม 422 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ชนกลมุ่ นอ้ ยชาตติ า่ งๆ ไดแ้ ก่ ความเคลอ่ื นไหวของโฮ จมิ นิ ห์ ในหม่คู นญวนในภาคอสี าน และการมาเยอื นกรุงเทพฯ และ เชยี งใหมข่ องตนั มะละกา นกั ชาตนิ ยิ มกง่ึ คอมมวิ นสิ ตช์ าวอนิ โดนเี ซยี เปน็ ตน้ อยา่ งไรกด็ ี ความเคลอ่ื นไหวเหลา่ นก้ี ม็ ไิ ดส้ ง่ ผลสะเทอื นอะไร ในสยามสมัยน้ัน ส่ิงท่ีเป็นปัญหาย่ิงกว่า คือความเคล่ือนไหวของนักสู้กู้ชาติ ของประเทศตา่ งๆ ในทวปี เอเชยี ทเ่ี ขา้ มาในสยาม ในสมยั รชั กาลที่ 7 น้ี สยามกลายเป็นแหล่งที่คนจีนทำ�กิจกรรมต่อต้านญ่ีปุ่น และจีน คอมมิวนิสต์ต่อสู้กับจีนคณะชาติ ท้ังยังเป็นฐานที่นักชาตินิยมชาว ญวน ลาว เขมร และพม่า ใช้ในการต่อสู้กับการปกครองของเจ้า อาณานิคมในประเทศของตน ชาวสยามดูจะเห็นอกเห็นใจกับการ ตอ่ สขู้ องคนเหลา่ น้ี โดยออกจะภมู ใิ จวา่ สามารถประคบั ประคองตน มใิ หต้ กเปน็ เมอื งขน้ึ ได้ ทวา่ ในขณะเดยี วกนั ชาวสยามกต็ อ้ งระมดั ระวงั มิให้กลายเป็นปฏิปักษ์กับมหาอำ�นาจเจ้าอาณานิคมของประเทศ เพอื่ นบา้ น โดยพยายามยดึ ถอื นโยบายวางตวั เป็นกลางไว้ อยา่ งไร ก็ดี การที่ชนชาวสยามได้รู้ได้เห็นข่าวสารข้อมูลเก่ียวกับการเมือง การตอ่ สู้เพือ่ ชาติในประเทศเพ่ือนบา้ นเหล่านี้ ยอ่ มส่งผลกระทบให้ แก่ความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองท่ีสามารถถ่ายทอดมายังประเด็น ทางการเมืองของสยามเองไดโ้ ดยไมย่ ากอะไร อยา่ งไรกต็ าม ในชว่ งทศวรรษที่ 1920 (2463-2472) นนั้ กลมุ่ นกั เรยี นนอกชาวสยาม เปน็ กลมุ่ ทเ่ี กยี่ วพนั กบั การถกเถยี งอภปิ ราย และความฝนั ทางการเมอื งอยา่ งแรงกลา้ มากทสี่ ดุ กลมุ่ นกั เรยี นเหลา่ นแ้ี มจ้ ะมสี มาชกิ ไมม่ าก (ใน พ.ศ. 2467 (1924) มนี กั เรยี นทนุ รฐั บาล ประมาณ 400 คน และนกั เรยี นทนุ สว่ นตวั อกี จ�ำ นวนหนงึ่ )12 แตก่ ลมุ่ นกี้ ม็ อี ทิ ธพิ ลสงู มาก เพราะสว่ นใหญม่ าจากครอบครวั ผดู้ มี ฐี านะ และ เม่ือกลับมาสสู่ ยาม กไ็ ดร้ บั ราชการหรอื ทำ�งานในตำ�แหนง่ อนั สูง ทงั้ 8 | กำ�เนดิ ลทั ธิชาตนิ ิยมชนช้ันน�ำ 423

ยงั ได้ชอ่ื ว่าเคยมีประสบการณ์ในเมืองนอกมาแลว้ อีกด้วย คนเหลา่ น้ีใช้ชีวิตหลายปีในต่างแดน เป็นอิสระจากกรอบเกณฑ์ของสังคม สยาม จึงมโี ลกทัศนก์ ว้างขวางกวา่ คนเหล่านโี้ ดยมากเปน็ นกั เรียน เมอื งองั กฤษทกี่ ลบั มาพรอ้ มกบั ความชา่ งสงสยั แบบผดู้  ี แตท่ า้ ยทส่ี ดุ แลว้ กย็ งั คงเชอื่ ถอื ในโครงสรา้ งอ�ำ นาจและระบบศกั ดนิ าอยู่ โดยมไิ ด้ เหน็ เปน็ ปญั หาใดๆ ในเชงิ อดุ มการณ์ ตรงขา้ มกบั พวกนกั เรยี นฝรง่ั เศส ทแ่ี มว้ า่ จะมจี �ำ นวนนอ้ ยกวา่ แตก่ ม็ อี ดุ มการณท์ างการเมอื งทชี่ ดั เจน และรุนแรงกว่ากันมาก นกั เรียนเหลา่ น้ีมีทัง้ นกั เรียนกฎหมาย และ นายทหารหนุ่มๆ ที่พบปะกันในกรุงปารีส ในช่วงทศวรรษท่ี 1920 (2463-2472) เพ่ือสนทนาถกเถียงกันในเร่ืองลัทธิสังคมนิยม และ ประชาธิปไตย คนที่กระตือรอื รน้ ท่สี ดุ ในหม่นู กั เรยี นฝรงั่ เศสเหลา่ นี้ คอื นายปรดี ี พนมยงค์ นกั กฎหมายหนมุ่ ซงึ่ ไดร้ บั ราชการในกระทรวง ยุติธรรม ทำ�หน้าที่เกี่ยวข้องกับการร่างประมวลกฎหมายในสมัย รัชกาลที่ 7 ท้ังยังสอนวิชากฎหมายท่ีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีก ด้วย อีกคนหน่ึงคือร้อยเอก แปลก ขีตตะสังคะ ซ่ึงสำ�เร็จวิชาการ ทหารชน้ั สงู ทโ่ี รงเรยี นเสนาธกิ ารทหารบก ประเทศฝรงั่ เศส แลว้ กลบั มา รบั ราชการเปน็ นายพนั ตรี หลวงพบิ ลู สงคราม ประจ�ำ กองเสนาธกิ าร ทหารบก คนหนมุ่ ทง้ั สองไมพ่ อใจทง้ั ระบบเจา้ แบบโบราณ และระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างลึกซ้ึง จึงร่วมกันวางแผนล้มเจ้าอย่าง ลับๆ  ท้ายท่ีสุดแล้ว เราควรคำ�นึงถึงกลุ่มปัญญาชนสยามท่ีได้ก่อ ตวั ข้ึนในชว่ งปลายทศวรรษที่ 1920 (2463-2472) ประกอบด้วยคน ทม่ี ีการศกึ ษา เปน็ ปัญญาชนในเมือง ซึง่ เริม่ แสดงความเป็นตวั ตน ผ่านการประพันธ์ ท้ังนี้มิได้หมายความว่าก่อนหน้าน้ันสยามไม่มี กลุ่มปัญญาชน เพราะเราได้เห็นกันมาแล้วว่าศิลปะและวรรณคดี สยามไดร้ งุ่ เรืองมาช้านานแล้วเพยี งไร ตัง้ แตค่ รัง้ รชั กาลที่ 3 เริม่ มี 424 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

เสยี งวพิ ากษ์วจิ ารณส์ ังคมทีห่ มปู่ ัญญาชนสยามแสดงออก ผา่ นงาน ประพันธ์แบบร้อยกรองอยา่ งโบราณ ต่อมาในช่วงปลายรชั กาลท่ี 5 และช่วงต้นรัชกาลท่ี 6 ก็เริ่มมีนักคิดแหวกแนว นักเขียนนอกรีต อยา่ ง ก.ศ.ร. กหุ ลาบ และเทยี นวรรณ ทกี่ ลา้ โจมตที า้ ทายระบบสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื งการปกครองในสมยั นนั้ ผา่ นหนา้ หนงั สอื พมิ พ์ นิตยสาร และบทความ ซึง่ ทำ�ให้ท้ังสองตอ้ งเขา้ คุกไประยะหนง่ึ แต่มาในช่วงทศวรรษท่ี 1920 (2463-2472) นี้เอง ท่ีเร่ิมมี กลมุ่ หรอื ชนชน้ั ของนกั เขยี นและศลิ ปนิ ทส่ี ามารถทมุ่ เทเวลาทง้ั หมด ใหแ้ กก่ ารสรา้ งสรรคผ์ ลงาน โดยเฉพาะพวกนกั หนงั สอื พมิ พใ์ นสมยั รชั กาลท่ี 7 และนกั เขยี นส�ำ หรบั นติ ยสารใหมๆ่  ทเี่ กดิ ขน้ึ มามากมาย นา่ สนใจวา่ ในชว่ ง พ.ศ. 2471-72 (1928-29) เกดิ นวนยิ ายสมยั ใหม่ ในสยามขนึ้ มาพร้อมๆ กนั หลายเรอื่ ง โดยนกั ประพันธ์อยา่ งกหุ ลาบ สายประดิษฐ์ หมอ่ มเจา้ อากาศด�ำ เกิง รพีพฒั น์ และ “ดอกไมส้ ด” (หมอ่ มหลวงบปุ ผา กญุ ชร นมิ มานเหมนิ ท)์ นวนยิ ายเหลา่ นมี้ งุ่ กลา่ ว ถงึ ความขดั แยง้ ระหวา่ งวฒั นธรรมตะวนั ตกกบั วฒั นธรรมสยาม หรอื ไมก่ ผ็ ลกระทบตอ่ ปจั เจกบคุ คลและสงั คม อนั เนอื่ งมาจากการพฒั นา เขา้ สสู่ มยั ใหม่ ในขณะเดยี วกนั นน้ั กเ็ กดิ มกี ารตพี มิ พเ์ รอ่ื งแตง่ ความ เรยี ง และหนงั สอื ขนึ้ มาเปน็ จำ�นวนมากมายในหลายๆ วงการ ตวั อยา่ ง เชน่ นิตยสาร กสกิ ร ทีห่ ม่อมเจ้าสทิ ธิพร กฤดากร ทรงก่อต้ังข้นึ ใน  พ.ศ. 2470 (1927) เพอ่ื เป็นส่วนหนึง่ ของการต่อสเู้ พือ่ ชาวไร่ชาวนา ชาวสยาม ทพ่ี ระองคท์ รงรเิ รม่ิ โดยล�ำ พงั ทรงกระตนุ้ ใหร้ ฐั บาลสนบั สนนุ การศึกษาวิจัย ตลอดจนการกำ�หนดนโยบายทางการเกษตร ทรง ตระหนกั ในบทบาทอนั ส�ำ คญั ยง่ิ ของเกษตรกรรมทม่ี ตี อ่ ระบบเศรษฐกจิ และสงั คมสยาม ประเดน็ ส�ำ คญั ตรงน้คี ือ เมอ่ื ถึงช่วงรัชกาลท่ี 7 ไดเ้ กดิ มีกล่มุ ของปญั ญาชนท่เี ป็นอิสระจากระบบราชการท่ีสามารถคิดอา่ นแกไ้ ข 8 | ก�ำ เนิดลัทธิชาตินิยมชนช้นั น�ำ 425

ปญั หาตา่ งๆ ของประเทศได้ โดยไมต่ อ้ งพง่ึ พาผมู้ อี �ำ นาจ ตราบใดท่ี สอ่ื สง่ิ พมิ พย์ งั คงคอ่ นขา้ งเปน็ อสิ ระ ปญั ญาชนเหลา่ นก้ี ย็ งั ทรงอทิ ธพิ ล ในการก�ำ หนดการแสดงความคดิ เหน็ ของคนสว่ นใหญไ่ ดพ้ อสมควร อยา่ งไรกต็ าม ความเห็นของคนสว่ นใหญ่นน้ั ไม่ใช่ว่าจะปน้ั แต่งกันได้ง่ายๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นความเห็นของชนช้ันกลางที่มี เชื้อจีน หรือไม่ก็อยู่ในความสัมพันธ์เชิงอำ�นาจของระบบราชการ แม้ว่าเหล่าปัญญาชนจะสามารถใช้ส่ือส่ิงพิมพ์ช้ีนำ�ความคิดความ อา่ นของคนสว่ นใหญไ่ ด้ โดยเฉพาะในหมคู่ นรนุ่ ใหม่ แตเ่ สยี งของคน ส่วนใหญ่นั้นก็ยังคงน่ิงเฉย ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแต่อย่างใด แม้ว่า ผ้คู นอาจจะบ่นกระปอดกระแปดกันเอง เพอ่ื แสดงความไม่พอใจใน ระบบท่ีเป็นอยู่บ้าง แต่ระบบนั้นก็เป็นระบบที่ครอบงำ�ทั้งชีวิตของ พวกเขาอยู่ เปน็ ระบบทผี่ คู้ นตอ้ งพง่ึ พาเพอื่ หาเลยี้ งชพี และเปน็ ฐาน ในการสร้างอตั ลักษณค์ วามเป็นชาวสยาม จึงเปน็ การจ�ำ เป็นอยู่เอง ทจี่ ะตอ้ งมแี รงกระเทอื นครง้ั ใหญ่ เพอื่ สนั่ คลอนความเชอ่ื มน่ั ในระบบ เกา่ ๆ ของคนเหล่าน้ี แรงกระเทอื นนน้ั เกดิ ขนึ้ เมอ่ื ภาวะเศรษฐกจิ ตกต�่ำ ครง้ั ใหญ่ สง่ ผลกระทบมาถึงสยาม ในช่วงต้นทศวรรษท่ี 1930 (2473-2482) ภายในเวลาเพยี งสองปี ตัง้ แต ่ พ.ศ. 2473 (1930) ถึงปลายป ี พ.ศ.  2474 (*นบั ศกั ราชแบบเกา่ 1932) ราคาขา้ วลดลงถงึ สองในสาม ขณะ ท่ีราคาที่ดินลดลงเหลือหนึ่งในหก จึงเกิดความหายนะครั้งใหญ่ข้ึน เพราะข้าวเปน็ ส่วนท่ีส�ำ คัญยิง่ ในระบบเศรษฐกิจสยาม เม่ือเงนิ ราย ไดห้ ดหายไปโดยฉบั พลนั ทนั ที ชาวนาจงึ ไมส่ ามารถเสยี ภาษี ชดใช้ หน้ีสิน หรือซ้ือข้าวของเคร่ืองใช้ได้ ถึงปลายปี พ.ศ. 2474 (1932) รฐั บาลจำ�เป็นต้องตดั ลดรายจา่ ยลงไปถงึ หนึง่ ในสาม ซ�้ำ ร้ายไปกวา่ นั้น เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ขึ้น เนื่องจากในสมัยน้ัน สยามยังคงยึดถือมาตรฐานทองคำ�ในการกำ�หนดค่าเงินบาท ตาม 426 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

ค�ำ แนะน�ำ ของทป่ี รกึ ษาชาวองั กฤษ แมว้ า่ ประเทศองั กฤษเองจะเลกิ ใชม้ าตรฐานทองค�ำ ไปแลว้ กต็ าม ผลกค็ อื ขา้ วทผ่ี ลติ ในสยามมรี าคา สูงกว่าข้าวท่ีซื้อขายกันในเงินตราสกุลอ่ืนที่มิได้ผูกยึดกับมาตรฐาน ทองคำ�มาก ทง้ั ยังท�ำ ให้สยามสูญเสยี ทองคำ�สำ�รองไปมากมาย จดุ วกิ ฤตมาถงึ เมอ่ื รฐั บาลเตรยี มวางแผนงบประมาณแผน่ ดนิ ส�ำ หรบั  พ.ศ. 2475 คอื ปงี บประมาณทเี่ รม่ิ ตน้ ในวนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ.  2475 (1932) เกดิ ความขดั แยง้ ใหญโ่ ตในคณะรฐั บาลเกยี่ วกบั นโยบาย เศรษฐกิจ การตัดทอนรายจ่าย การตัดเงินเดือน มาตรการภาษี สรรพากรใหมๆ่  มาตรฐานทองค�ำ การลดคา่ เงนิ บาท และการประมาณ รายรับรายจา่ ยแผ่นดนิ ส�ำ หรบั  พ.ศ. 2475-76 (1932-33) ความขัด แย้งนี้ลามเลยออกมาในหน้าหนังสือพิมพ์ และน่าจะทำ�ให้ราษฎร สรปุ ได้วา่ รฐั บาลน้ันลงั เลไมแ่ น่นอน เสนาบดแี ตล่ ะท่าน (ซง่ึ หมาย ถึงพวกเจ้า) ก็ห่วงพะวงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนยิ่งกว่าสวัสดิภาพ ในทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม นอกจากนั้น ราษฎรยังอาจ เหน็ วา่ ทง้ั คณะรฐั บาลและพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เอง ไมร่ ดู้ ว้ ย ซ�ำ้ วา่ ก�ำ ลงั ท�ำ อะไรอยู่ และในเดอื นกมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. 2474) พระบาท สมเด็จพระปกเกล้าฯพระราชทานพระบรมราโชวาทในที่ประชุม ขา้ ราชการทหาร มคี วามตอนหนงึ่ ว่า การท่ีจะรบกับการเงินนั้น ย่อมมืดแปดด้าน แม้แต่ผู้ที่เป็นเอกซ์เปอด ก็เถียงกันคอแตก มีความ เห็นกันต่างๆ นานา ข้าพเจ้าเองไม่รู้เร่ืองการเงินเลย ก็ได้แต่ฟงั ความเหน็ เขาไป เหน็ อย่างไหนดี ก็ตัดสนิ เอาอย่างน้ัน ไม่เคยประสบการยากลำ�บากเช่นนี้เลย เพราะฉะนนั้ , ถงึ แม้วา่ จะพลาดพลั้งไปบ้าง กห็ วงั ว่า จะไดร้ บั อภยั จากข้าราชการ และประชาชนชาวสยาม 8 | ก�ำ เนิดลัทธชิ าตนิ ิยมชนชนั้ นำ� 427

จงึ ขอใหเ้ หน็ ใจกนั บา้ ง และใหช้ ว่ ยกนั ท�ำ ใจป�ำ้ ไปจนกวา่ เราจะรอดพ้นจากภยนั ตรายและอุปสรรคอนั น้ไี ปได้13 แม้ความในพระราชดำ�รัสตอนนี้จะแสดงความถ่อมพระองค์ และพระทยั สจุ รติ ทวา่ กม็ ิได้สรา้ งความมน่ั ใจแต่ประการใดใหแ้ ก่ผู้ ท่ีกำ�ลังเร่ิมสูญเสียศรัทธาในรัฐบาลว่าคงจะไม่สามารถจัดการกับ ปญั หาทก่ี ำ�ลังเกิดขึน้ กบั ส่ิงซง่ึ สำ�คญั ทส่ี ดุ กับชวี ิตความเป็นอยู่ของ พวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการท่ีทางรัฐบาลใช้แก้ไขปัญหาต่างๆ ก็ มไิ ดฉ้ ลาดรอบคอบนกั นอกจากการปลดขา้ ราชการออกเปน็ จ�ำ นวน มาก และระงับการเลื่อนข้ันแล้ว รฐั บาลยังดำ�เนินการท้งั ตดั ลดเงิน เดอื น และเพม่ิ ภาษรี ายไดจ้ ากเงินเดอื นท่ีถูกตดั นน้ั ดว้ ย หลายฝ่าย ชีใ้ หเ้ ห็นว่า มาตรการในครง้ั น้นั มิใช่การเก็บภาษีรายได้ทวั่ ไป ทว่า มีผลต่อข้าราชการท้ังระบบที่มีเงินเดือนเป็นรายได้ประจำ� รายได้ จากเงนิ คา่ เชา่ คา่ ภาคหลวง เงนิ ปนั ผล ดอกเบยี้ และก�ำ ไรจากธรุ กจิ การค้านัน้ ไมไ่ ดร้ บั ผลกระทบจากมาตรการน้ี ฉะนนั้ อาจกลา่ วได้วา่ ชนชน้ั กลางชาวสยามไดร้ บั ผลกระทบรนุ แรงทสี่ ดุ เมอื่ เทยี บกบั พวก คนจนี ชนชัน้ สูง และพระราชวงศ์ ซึ่งต้องเสียภาษีนอ้ ยมาก ส�ำ หรับ ชาวไรช่ าวนาน้นั ย่ิงร้ายท่สี ดุ เพราะได้รบั ลดหยอ่ นเงนิ คา่ นา เพียง รอ้ ยละ 20 เปน็ เวลาเพยี งปเี ดยี ว ขณะทร่ี ายรบั หายไปถงึ สองในสาม แล้วเพราะเหตุใดจึงไม่เกิดการปฏิวัติโดยกลุ่มชาวนาข้ึน? ชาวไรช่ าวนาในสยามยงั อยใู่ นระดบั ทม่ี ชี วี ติ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง ชาวนา โดยมากยงั คงเปน็ เจา้ ของทนี่ าทต่ี นท�ำ กนิ เวน้ แตบ่ างกรณี โดยเฉพาะ ทน่ี าบริเวณทุ่งรังสติ ทางตะวันออกเฉยี งเหนือของพระนคร ฉะนัน้ ชาวนาสว่ นใหญก่ ย็ งั คงเลยี้ งปากเลย้ี งทอ้ งตนเองได้ สงิ่ ทเ่ี พง่ิ สญู เสยี ไปคือ ผลผลติ สว่ นเกนิ และขา้ วในสว่ นทีเ่ คยปลกู ไว้กนิ เอง แต่มา 428 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

บัดน้ี จำ�ต้องขาย ถ้าขายได้ เพือ่ หาเงนิ มาเสียภาษคี ่านา ย่ิงไปกว่า นนั้ แมจ้ ะมชี าวนามากมาย แตก่ ลบั ไรผ้ นู้ �ำ เนอ่ื งจากขนุ นางทอ้ งถน่ิ ได้สูญหายไปหมดแล้ว ชาวนาจึงไม่เหลือที่พ่ึงอีกต่อไป คงเหลือ เพยี งพระเจ้าแผ่นดินให้ขอความชว่ ยเหลอื ดังปรากฏวา่ ชาวนานบั พันได้ถวายฎีกา ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงช่วยยกเว้น ภาษี หรอื เพอ่ื ขอรับพระราชทานเงนิ เชอื่ ชนชั้นกลางก็มีลักษณะแตกเป็นเส่ียงๆ รวมกันไม่ติดเช่น เดยี วกนั มโี ครงขา่ ยของระบบอปุ ถมั ภน์ บั รอ้ ยๆ แทรกปนอยใู่ นระบบ ราชการ และเม่ือมีช่องทางในการแสดงความไม่พึงพอใจอยู่จำ�กัด ชนชน้ั กลางสว่ นใหญก่ ไ็ ดแ้ ตเ่ ขยี นจดหมายรอ้ งเรยี นไปลงหนงั สอื พมิ พ์ โดยมากลงชื่อด้วยนามแฝง ด้วยเกรงว่าหากใช้ชื่อจริงจะถูกกล่ัน แกลง้ โดยหนว่ ยงานทีเ่ กยี่ วขอ้ งได้ ทางฝา่ ยรัฐบาล โดยเฉพาะพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั เอง ต่างวิตกกังวลกับความไม่พอใจของราษฎรที่ทวีสูงข้ึน หลายๆ คน เรม่ิ ระลกึ ถงึ ค�ำ พยากรณโ์ บราณทว่ี า่ กนั วา่ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรม หลวงนรินทรเทวี พระขนิษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลก ทรงนพิ นธ์ข้ึนก่อน พ.ศ. 2370 (1827) มเี น้อื หาตคี วาม ได้ เป็นค�ำ พยากรณ์วา่ พระราชวงศ์จกั รจี ะยืนยาวอยูไ่ ด้เพยี ง 150 ปี และจะเสอ่ื มสญู ไปในวนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2475 (1932) ฝา่ ย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯน้ันทรงพยายามแก้ไขสภาวการณ์ ทางการเมอื งมากกวา่ ค�ำ พยากรณ์ โดยทรงพจิ ารณาความเปน็ ไปได้ ในการมีรัฐบาลท่ีมาจากการเลือกตั้ง ในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง ใน ครง้ั นน้ั ทรงปรกึ ษาพระวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื เทววงศว์ โรทยั เสนาบดี กระทรวงการตา่ งประเทศ ซง่ึ พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ให้ทรงศกึ ษารปู แบบของสภาผู้แทนในเนเธอร์แลนด์ อีสต์ อินดีส์ (*อินโดนีเซีย อาณานิคมของฮอลันดา) มาต้งั แต ่ พ.ศ. 2472 (1929) แลว้ ในช่วง 8 | กำ�เนดิ ลทั ธชิ าตนิ ยิ มชนชน้ั น�ำ 429

พฤติกรรมไมเ่ หมาะสมของต�ำ รวจในสมัยรชั กาลท่ี 7 430 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

ปลายปี พ.ศ. 2474 (*ต้นปี ค.ศ 1932) โปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่น เทววงศ์วโรทัยร่างรัฐธรรมนูญที่พระองค์อาจนำ�ออกประกาศใช้ใน วนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2475 (1932) ซึง่ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัยได้ สง่ ต่องานนใ้ี หแ้ ก่นายเรยม์ อนด์ บ.ี สตีเวนส์ ทป่ี รึกษาชาวอเมรกิ นั และพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเล้ียง ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลอง กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้นำ�ขึ้น ทลู เกล้าฯ ถวายให้ทอดพระเนตรได้ในต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2474 (1932) โครงร่างรฐั ธรรมนญู ฉบบั นน้ั มีสาระสำ�คัญ คอื การถา่ ยโอน อ�ำ นาจบรหิ ารจากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไปยงั นายกรฐั มนตรี ที่มาจากการแต่งตง้ั นายกรัฐมนตรนี ้ีเป็นหัวหนา้ คณะรัฐบาล โดยมี สภานิติบัญญัติรับผิดชอบตรวจสอบ มีสมาชิกสภากึ่งหนึ่งมาจาก การเลอื กตงั้ (โดยทางออ้ ม) อกี กง่ึ หนงึ่ มาจากการแตง่ ตงั้ รฐั ธรรมนญู ตามโครงรา่ งนจ้ี งึ มลี กั ษณะหลายประการทคี่ ลา้ ยกบั รฐั ธรรมนญู ฉบบั แรก ที่ประกาศใช้หลังเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 (1932) อย่างไร กต็ าม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มไิ ด้ทรงมีโอกาสที่จะประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญตามโครงร่างนี้ เพราะเสียงคัดค้านจากเจ้านายบาง พระองค์ในคณะอภิรัฐมนตรีสภา และวันท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2475 (1932) ก็ผ่านไป โดยไมม่ ีสงิ่ ใดเกิดข้นึ สบิ เอด็ สปั ดาหต์ อ่ มา ในขณะทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ ฯ ก�ำ ลงั แปรพระราชฐาน ณ วงั ไกลกงั วล หวั หนิ นายทหารระดบั กลาง กลมุ่ เลก็ ๆ จ�ำ นวนเพยี งรอ้ ยกวา่ นาย ไดท้ �ำ การปฏวิ ตั ยิ ดึ อ�ำ นาจอยา่ ง รวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด ณ เวลายำ่�รุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.  2475 (1932) ดว้ ยทหารในอาณตั เิ พยี งไมก่ ก่ี องรอ้ ย นายทหารเหลา่ นี้ล่อลวงให้กองทหารอ่ืนๆ ในพระนครรักษากำ�ลังอยู่ในกรมกองไม่ ให้ออกมาเคลอ่ื นไหว จับกมุ บคุ คลส�ำ คัญๆ ในรัฐบาลไว้ แล้วสง่ ตวั แทนในนามของ คณะราษฎร ไปเฝ้าพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั 8 | กำ�เนดิ ลัทธิชาตินิยมชนช้ันน�ำ 431

เพื่อขอให้ทรงยอมรับรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราช หัตถเลขาตอบ มคี วามตอนหนงึ่ วา่ : ด้วยได้ทราบความ ตามสำ�เนาหนงั สือทีส่ ง่ ไป ยังกระทรวงมุรธาธร คณะทหารมีความปรารถนาจะ เชิญให้ข้าพเจ้ากลับพระนคร เป็นกษัตริย์อยู่ใต้พระ ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ข้าพเจ้าเห็นแก่ความ เรยี บรอ้ ยของอาณาประชาราษฎร์ ไมอ่ ยากใหเ้ สยี เลอื ด เน้ือ กับท้ังเพ่ือจัดการโดยละม่อม ไม่ให้ขึ้นช่ือได้ว่า จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง และความจริงข้าพเจ้าก็ คดิ อยแู่ ลว้ ทจี่ ะเปลย่ี นแปลงท�ำ นองนี้ คอื มพี ระเจา้ แผน่ ดนิ ปกครองตามพระธรรมนญู จงึ ยอมรบั ทจ่ี ะชว่ ยเปน็ ตัวเชิด เพื่อให้คุมโครงการต้ังรัฐบาลให้เป็นรูปวิธี เปลย่ี นแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก14 ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ท่ี ยืนยาวมาได้ถึงร้อยห้าสิบปีจึงยุติลงอย่างฉับพลัน ด้วยฝีมือของผู้ กอ่ การคณะเล็กๆ อันประกอบด้วยทหารบกและทหารเรอื 49 นาย และพลเรือนอีก 65 คน โดยมนี ายปรีดี พนมยงค์ และหลวงพบิ ูล สงคราม เปน็ ผู้น�ำ ในบทตอ่ ไป ลกั ษณะของคณะผกู้ อ่ การ พ.ศ. 2475 (1932) จะ ไดร้ บั การวเิ คราะหอ์ ยา่ งละเอยี ด อยา่ งไรกด็ ี กอ่ นทจ่ี ะละจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ในบทน้ีไป เราควรพิจารณาความล้มเหลว ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯเสียก่อน เป็นที่เห็นพ้องกันโดย มากวา่ จดุ ออ่ นประการส�ำ คัญของพระองค์ คือ พระราชอุปนิสยั ท่ดี ู จะอ่อนแอ และเคารพเช่อื ฟงั ผู้ใหญม่ ากเกนิ ไป ฉะนนั้ แมจ้ ะมีพระ 432 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

ราชประสงคอ์ นั ดที จ่ี ะเรมิ่ แผว้ ถางหนทางไปสกู่ ารปฏริ ปู การปกครอง ใหเ้ ปน็ ประชาธปิ ไตยในชว่ งปลายรชั สมยั ทวา่ กไ็ มท่ รงประสบความ สำ�เร็จ ไม่สามารถผลักดันให้พระราชประสงค์น้ันเป็นจริงข้ึนมาได้ อนั ทจี่ รงิ แลว้ ประเดน็ ความออ่ นแอนก้ี ม็ ใิ ชเ่ รอ่ื งทน่ี า่ แปลกใจนกั หาก จะพิจารณาถึงภูมิหลังของพระองค์ ตลอดจนการท่ีทรงได้รับราช สมบัติมาโดยมิได้ทรงคาดฝันไว้ ประกอบกับพระราชประสงค์อัน จรงิ ใจทจ่ี ะอาศยั ความสามารถและประสบการณข์ องบรรดาพระบรม วงศานวุ งศช์ ัน้ ผ้ใู หญ่ ท่พี ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯทรงละเว้น ไมใ่ ช้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯมิได้ทรงอ่อนแอ ข้ีอาย หรือ ขาดความมนั่ พระทัยอย่างทีบ่ างคนคิด ทรงเปน็ ผู้บรหิ ารทขี่ ยนั และ มีประสทิ ธิภาพ และทรงพระปรชี าสามารถพอสำ�หรับตำ�แหน่งของ พระองค์ ทงั้ ยงั ทรงสามารถปฏเิ สธคำ�คดั คา้ นของเหลา่ ทป่ี รกึ ษาและ เสนาบดีของพระองค์ได้ แนวความคิดชาตินิยมซึ่งกำ�ลังเติบโตข้ึน ในหมชู่ นชน้ั น�ำ ของพระนครในขณะนนั้ โดยเฉพาะในคนรนุ่ หนมุ่ สาว ได้รบั การประเมินโดยรชั กาลที่ 7 และบคุ คลทีแ่ วดล้อมพระองค์อยู่ อยา่ งต�ำ่ เกนิ ไป โดยรชั กาลท่ี 7 ทรงรสู้ กึ ไดถ้ งึ ปรากฏการณด์ งั กลา่ ว แตก่ ท็ รงลงั เลทจ่ี ะโตแ้ ยง้ หรอื เหน็ ตา่ งจากบรรดาทป่ี รกึ ษาทใ่ี กลช้ ดิ ทส่ี ดุ ของพระองค์ รชั กาลท่ี 7 มไิ ดท้ รงปรารถนาจะเปน็ เจา้ ชวี ติ ผทู้ รง สมบูรณาญาสิทธิ์ ฉะนั้นในประเด็นท่ีสำ�คัญอย่างยิ่งยวดจึงทรงไม่ เตม็ พระทัยทีจ่ ะบงั คบั ใหช้ นช้ันปกครองคลอ้ ยตามพระราชประสงค์ หรอื กลา่ วอกี นยั หน่งึ การทรี่ ัชกาลท่ี 7 ทรงพยายามไมใ่ ชอ้ �ำ นาจสม บูรณาญาสทิ ธ์ิ กลบั ทำ�ลายระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์นน้ั ลงเอง แมจ้ นเมอื่ สวรรคตในตา่ งแดนใน (*วนั ที่ 30) เดือนพฤษภาคม พ.ศ.  2484 (1941) หลายๆ คนคงเหน็ พอ้ งดว้ ยพระราชวนิ จิ ฉยั ในพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าการเปล่ียนแปลงการปกครองไปสู่ 8 | ก�ำ เนดิ ลทั ธิชาตนิ ยิ มชนชนั้ น�ำ 433

ระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 (1932) น้นั เป็นเร่ืองท่เี กดิ ขึ้น ก่อนกาลอนั ควร 434 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป

เชิงอรรถ 1. Walter F. Vella, Chaiyo! King Vajiravudh and the Development of Thai Nationalism (Honolulu, 1978), p.9. (สมยั วคิ ตอเรยี นคอื ชว่ ง พ.ศ.  2380-2444 (1837-1901) สมยั เอด็ วอรเ์ ดยี น คอื ชว่ ง พ.ศ. 2444-2453 (1901- 1910)-บรรณาธิการ) 2. The Souvenir of the Siamese Kingdom Exhibition at Lumbini Park B.E. 2468 (Bangkok, 1927; reprint, 1976?), p. 167, quoting from a speech delivered by Vajiravudh at his coronation in 1911. 3. Benjamin A. Batson, “The End of the Absolute Monarchy in Siam,” Ph.D. diss., Cornell University, 1977, p.22; Bangkok Times, 25 June 1932. 4. Vella, Chaiyo! pp.60-75. 5. Chula, Lords of Life, p. 290. 6. Stephen L. W. Greene, “Thai Government and Administration in the Reign of Rama VI (1910-1925),” Ph.D. diss., University of London, 1971, p. 326. 7. ม.จ.วบิ ลู ยส์ วสั ดวิ์ งศ์ สวสั ดวิ ตั น,์ ความทรงจ�ำ (กรงุ เทพฯ, 2486) หนา้ 28-29. 8. Batson, “Absolute Monarchy,” p. 50. 9. พระราชบนั ทกึ ฉบบั นท้ี รงพระราชนพิ นธเ์ ปน็ ภาษาองั กฤษ และตพี มิ พ์ ซำ�้ ใน Benjamin A. Batson, comp. and ed., Siam’s Political Future: Documents from the End of the Absolute Monarchy, rev. ed. (Ithaca, 1977), pp.13-22. 10. Reproduced in ibid., pp.48-50; quotation from p. 49. 11. G. William Skinner, Chinese Society in Thailand (Ithaca, 1957), p. 183. 12. Batson, “Absolute Monarchy,” p. 72. 13. Bangkok Times, 13 Feb. 1932, in Batson, Siam’s Political 8 | ก�ำ เนิดลัทธิชาตินิยมชนช้ันนำ� 435

Future, p. 80. ดู หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ, ร.7 รล. 21/5 พระบรมราโชวาท พระราชทานในทป่ี ระชุมขา้ ราชการทหาร. 14. Kenneth Perry Landon, Siam in Transition: A Brief Survey of Cultural Trends in the Five Years Since the Revolution of 1932 (Chicago, 1939; reprint, New York, 1968), p. 10. ภาษาไทยจาก พระ ราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (กรุงเทพฯ, 2537). 436 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

บทที่ 9 พ.ศ. 2475-2500 (1อ9ำ�3น2า–จ1ท9ห57าร) ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศไทย ตง้ั แต ่ พ.ศ. 2575 (1932) เวยี น วนอยู่กับทหาร ในช่วงคร่ึงศตวรรษท่ีผ่านมาในประวัติศาสตร์ไทย ท่จี ะกล่าวถงึ ในบทนีแ้ ละบทตอ่ ไป เราจะพิจารณาเรือ่ งทหาร จำ�ไว้ ว่าทหารในประเทศไทยเป็นสถาบันทางสังคมไม่น้อยกว่าสถาบัน ทางการเมอื งหรอื สถาบนั ทางทหาร ทหารกา้ วขนึ้ มาสอู่ �ำ นาจในชว่ ง ไตรมาสแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังจากการล้มเลิกระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยใ์ น พ.ศ. 2475 (1932) และนบั จากราวๆ พ.ศ.  2500 (1957) เป็นต้นมา สถานะของทหารค่อยๆ ถูกทำ�ลายลง น่ี เปน็ การประยุกตก์ ารตคี วามทางสังคมของการเมอื งไทย เพ่อื เสนอ วา่ องคก์ รและการรวมตวั ทางสงั คมสมั พนั ธก์ บั การตอ่ สทู้ างการเมอื ง ว่าใครปกครองใคร และทรพั ยากรของชาตถิ กู แบง่ สรรอยา่ งไร ยอ้ นกลบั ไปทท่ี ศวรรษ 1890 (2433–2442) พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกังวลเกี่ยวกับอนาคตทางการเมือง



Future, p. 80. ดู หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ, ร.7 รล. 21/5 พระบรมราโชวาท พระราชทานในทป่ี ระชุมขา้ ราชการทหาร. 14. Kenneth Perry Landon, Siam in Transition: A Brief Survey of Cultural Trends in the Five Years Since the Revolution of 1932 (Chicago, 1939; reprint, New York, 1968), p. 10. ภาษาไทยจาก พระ ราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (กรุงเทพฯ, 2537). 436 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

บทที่ 9 พ.ศ. 2475-2500 (1อ9ำ�3น2า–จ1ท9ห57าร) ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศไทย ตง้ั แต ่ พ.ศ. 2575 (1932) เวยี น วนอยู่กับทหาร ในช่วงคร่ึงศตวรรษท่ีผ่านมาในประวัติศาสตร์ไทย ท่จี ะกล่าวถงึ ในบทนีแ้ ละบทตอ่ ไป เราจะพิจารณาเรือ่ งทหาร จำ�ไว้ ว่าทหารในประเทศไทยเป็นสถาบันทางสังคมไม่น้อยกว่าสถาบัน ทางการเมอื งหรอื สถาบนั ทางทหาร ทหารกา้ วขนึ้ มาสอู่ �ำ นาจในชว่ ง ไตรมาสแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังจากการล้มเลิกระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยใ์ น พ.ศ. 2475 (1932) และนบั จากราวๆ พ.ศ.  2500 (1957) เป็นต้นมา สถานะของทหารค่อยๆ ถูกทำ�ลายลง น่ี เปน็ การประยุกตก์ ารตคี วามทางสังคมของการเมอื งไทย เพ่อื เสนอ วา่ องคก์ รและการรวมตวั ทางสงั คมสมั พนั ธก์ บั การตอ่ สทู้ างการเมอื ง ว่าใครปกครองใคร และทรพั ยากรของชาตถิ กู แบง่ สรรอยา่ งไร ยอ้ นกลบั ไปทท่ี ศวรรษ 1890 (2433–2442) พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกังวลเกี่ยวกับอนาคตทางการเมือง

สมาชิกฝ่ายะในกลุ่มคณะราษฎรในการปฏิวัติของไทย พ.ศ. 2475 (1932) 438 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ของสยาม และทรงคาดคะเนว่า ทหารจะแสดงบทบาทสำ�คัญใน ทางการเมืองอยา่ งถึงทีส่ ดุ ทหารอยใู่ นฐานะได้เปรียบมาก มีเกียรติ สูง และเป็นสถาบันทางสังคม เพราะเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยม จากเจ้านายในรัชกาลที่ 5 จนถึงรชั กาลท่ี 7 ทหารเปน็ ตวั อย่างใน การอธบิ ายคา่ นยิ มหลายประการทแี่ ขง็ แกรง่ และยงั่ ยนื ทส่ี ดุ ในสงั คม ไทย มลี ำ�ดับข้นั อยา่ งเด่นชัดเหมอื นกับระบบศกั ดนิ าสมยั กอ่ น ทกุ คนในวงการทหารรู้ตำ�แหน่งของพวกเขาดี สังเกตได้จากการแต่ง กายตามยศกนั ในสงั คมทหาร สง่ิ ทท่ี �ำ ใหเ้ หลา่ นายทหารเปน็ ปกึ แผน่ อย่างมาก คือ พวกเขามีส่วนในขบวนการทางสังคมเดียวกัน เข้า โรงเรยี นทหารเดยี วกนั ถกู สรา้ งโดยหลกั สตู รเดยี วกนั และไดร้ บั การ ปลกู ฝงั คา่ นยิ มพน้ื ฐานเดยี วกนั ทเ่ี นน้ บทบาทของทหารในฐานะเปน็ ผู้ปกป้องชาติเป็นพิเศษ ลำ�ดับชั้นทางพลเรือนแบ่งเป็นกระทรวง กรม กอง แผนก และฝ่าย ทหารก็แบง่ เป็นกลุ่มเชน่ กนั โดยเฉพาะ ทหารบกแยกจากทหารเรือ แต่เม่ือเทยี บกับคแู่ ข่งฝา่ ยพลเรอื นแล้ว ทหารดจู ะเปน็ ปกึ แผน่ มากกวา่ และเนน้ การใชก้ �ำ ลงั ทางกายมากกวา่ ช่วงไตรมาสแรกของคริสต์ศตวรรษท่ี 20 ของการปกครอง แบบรัฐธรรมนูญ ไม่มีกลุ่มพลเรือนรวมตัวกับทหาร กลุ่มท่ีมีความ สำ�คัญทางการเมืองมาจากสายอาชีพกฎหมาย (ภายในกระทรวง ยตุ ธิ รรม และมหาวทิ ยาลยั แทบจะไมม่ มี าจากสายอนื่ นอกจากนี้ จน กระทง่ั หลงั จากนน้ั ) กลมุ่ นอี้ ยภู่ ายใตส้ ถาบนั ทางการเมอื งทม่ี บี ทบญั ญตั ิ ทางรัฐธรรมนูญนำ�พาพวกเขาเข้ามา ซ่ึงดูเหมอื นวา่ จะไมแ่ ข็งแกรง่ หรอื ยวนใจผู้คน ในทางตรงขา้ ม ทหารมีการสบื ทอดอำ�นาจ จากร่นุ สู่รุ่นโดยเคล่ือนไหวผ่านการรับหน้าท่ีภายใต้การฝึกภาคบังคับทาง ทหาร ทอี่ าจจะพฒั นาความเขา้ ใจและความเหน็ อกเหน็ ใจในคา่ นยิ ม ทนี่ กั การเมอื งสายทหารแสดงออกมาในชว่ งนน้ั จงึ ยากส�ำ หรบั พลเรอื น ทจ่ี ะแขง่ ขนั ทางการเมอื ง ตอ่ ตา้ นความแขง็ แกรง่ ทท่ี หารน�ำ เขา้ สเู่ วที 9 | อำ�นาจทหาร 439

สาธารณะ สิ่งหนึ่งท่ีตรงข้ามกันระหว่างช่วงเวลา พ.ศ. 2478-2500 (1935–57) และชว่ งกอ่ นหนา้ นนั้ คอื ราชวงศม์ อี ยแู่ ตใ่ นนาม พระบาท สมเดจ็ พระปกเกลา้ ฯ ทรงขดั แยง้ กบั ทหาร และไดเ้ สดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ตา่ งประเทศใน (*วนั ที่ 12 มกราคม) พ.ศ. 2476 (*นับศกั ราชแบบ เกา่ 1934) เม่ือทรงสละราชสมบัติใน (*วนั ที่ 2 มีนาคม) พ.ศ. 2477 (*นับศักราชแบบเก่า 1935) ผู้สืบทอดราชสมบัติต่อมายังเป็น เด็กชายอยู่ในขณะน้ัน (*สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ขณะ นน้ั พระชนมายุ 8 ชนั ษา 6 เดอื น) ก�ำ ลงั ศกึ ษาอยทู่ ป่ี ระเทศสวติ เซอร์ แลนด์ เสดจ็ นวิ ตั สิ ยามครง้ั แรกในชว่ งสน้ั ๆ ใน (*วนั ที่ 15 พฤศจกิ ายน- วันท่ี 13 มกราคม) พ.ศ. 2481 (1938) และไดเ้ สดจ็ นิวัตสิ ยามอกี คร้ัง (*ในวนั ที่ 5 ธนั วาคม 2488) ไม่นานหลังจากน้นั (*6 เดือนเศษ) เสด็จสวรรคตใน (*วนั ที่ 9 มถิ นุ ายน) พ.ศ. 2489 (1946) พระราช อนชุ าสบื ทอดราชสมบตั ติ อ่ และทรงไมม่ บี ทบาททางสงั คมจนกระทงั่ หลงั  พ.ศ. 2500 (1957) ในชว่ งหนงึ่ ไตรมาสของครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 สงั คมสยามไมไ่ ดเ้ นน้ ทร่ี าชวงศเ์ หมอื นกบั ทเ่ี ปน็ มาเมอ่ื หลายศตวรรษ และสามารถอธบิ ายไดว้ า่ ราชวงศไ์ ดร้ บั การฟนื้ ฟขู นึ้ หลงั จากนน้ั ชว่ ง น้เี ป็นชว่ งเวลาทไ่ี ม่ปกตทิ สี่ ุด เป็นชว่ งเวลาท่ีพระมหากษตั รยิ ไ์ ม่ได้ ปกครอง แต่ปกครองโดยคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  พ.ศ. 2475 (1932) จ�ำ นวนไมก่ ค่ี น กลมุ่ ผกู้ อ่ การฯ คอื คนทเ่ี ผชญิ และ ผา่ นพน้ ชว่ งอนั ตรายของโลกแหง่ สงครามและการเมอื งของมหาอ�ำ นาจ และถูกท้าทายอีกคร้ัง เพือ่ รักษาเอกราชของสยามท่ีตกอยใู่ นภาวะ อนั ตราย 440 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ชว่ งตน้ สมัยรัฐธรรมนูญ รัฐประหารที่ล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เม่ือวันที่ 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475 (1932) ไมอ่ าจอธบิ ายไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ดว้ ย ความรู้สกึ ใดในโลกว่า คอื การปฏวิ ัติ ถ้าค�ำ นึงถงึ การทตี่ อ้ งไปข้อง เกี่ยวกับส่วนอื่นๆ ในระยะยาว รัฐประหารน้ีสำ�เร็จได้ด้วยผู้มีส่วนรู้ เหน็ ในการวางแผนจ�ำ นวนเลก็ นอ้ ย รว่ มดว้ ยกองก�ำ ลงั ไมก่ รี่ อ้ ยนาย และมผี บู้ าดเจบ็ เพยี งรายเดยี ว (*คอื นายพลตรี พระยาเสนาสงคราม หรอื ม.ร.ว. อี๋ นพวงศ์ ผ้บู ญั ชาการกองพลท่ี 1) รฐั ประหารประสบ ความสำ�เร็จตั้งแต่ช่วงแรก ด้วยการสร้างความงุนงงและการตบตา ให้หลงเชื่อ และต่อมาผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าจับกุม เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไว้เป็นองค์ประกัน และในที่สุดได้รับการยินยอม อย่างเปน็ ทางการจากราชสำ�นกั ปฏบิ ัตกิ ารทง้ั หมดนเ้ี กดิ ขนึ้ ภายใน เวลาไม่ก่ีช่ัวโมง (*ปฏิบัติการจริง 3 ช่ัวโมงเท่าน้ัน) ประชาชนยัง ไมท่ นั รับรู้วา่ เกิดอะไรขนึ้ จนกระทงั่ เม่อื ทกุ อย่างสิน้ สดุ ลง และก่อน เท่ียงของวันที่ 24 มิถุนายน ชีวิตในกรุงเทพฯ และสยามดำ�เนิน เหมือนเชน่ ปกติ แตม่ ีผู้ปกครองกลมุ่ ใหมข่ น้ึ มามอี �ำ นาจ ผกู้ อ่ การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 (1932) จ�ำ นวน 114 คน (*ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เขียนไว้ในประวัติศาสตร์การเมือง ไทย พ.ศ. 2475-2500 ว่ามี 102 คน) จะไม่ประสบความสำ�เรจ็ ถ้า ไมม่ นี ายทหารระดับสูงอยู่ในกล่มุ ด้วย การเข้าเปน็ สมาชิกในกล่มุ ผู้ กอ่ การฯ ของนายทหารเหลา่ นช้ี ว่ ยสรา้ งความนา่ เชอื่ ถอื อาจจะกลา่ ว ไดว้ า่ นายทหารระดบั สงู เหลา่ นเี้ รมิ่ สญู เสยี ความเชอื่ มนั่ ในระบอบเกา่ พวกเขาคอ่ นข้างอนรุ กั ษนยิ ม เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั พลเรอื นรนุ่ หนมุ่ หัวเอียงซ้าย นำ�โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แต่ก็มีส่วนสำ�คัญต่อ ระบอบรัฐธรรมนูญในช่วงแรก จนกระท่ังปลายทศวรรษ 1930 9 | อ�ำ นาจทหาร 441

(2573–2482) บคุ คลทส่ี �ำ คญั ในกลมุ่ นคี้ อื พระยาพหลพลพยหุ เสนา (พจน์ พหลโยธนิ ) และ พระยาทรงสรุ เดช (เทพ พนั ธมุ เสน) ทงั้ สอง เปน็ นายพันเอก ตง้ั แต่ พ.ศ. 2475 (1932) นายพนั เอก พระยาทรง สุรเดช ดำ�รงตำ�แหน่งอาจารย์ใหญ่ในโรงเรียนนายร้อยทหารบกใน กรงุ เทพฯ จงึ มสี ว่ นชว่ ยใหผ้ กู้ อ่ การฯ มเี ครอื ขา่ ยการตดิ ตอ่ กวา้ งขวาง และสามารถเขา้ ถึงเหลา่ นกั เรยี นทหารท่ีถกู ปลกู ฝงั วินยั เพ่ิมมากข้นึ ดว้ ยก�ำ ลงั ทหารเพยี งหยบิ มอื และความเฉลยี วฉลาดเชงิ กลยทุ ธข์ อง นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช ช่วยสร้างความเป็นกลาง ระหว่าง ทหารบกท่ีแข็งแกร่งกับรัฐบาล ส่วน นายพันเอก พระยาพหลพล พยุหเสนามีความโดดเด่น เพราะยึดถือในคุณธรรม ทำ�ให้เป็นท่ี ยอมรับจากทุกกลุ่มในกลุ่มผู้ก่อการฯ ในฐานะเป็นผู้นำ�ของคณะ ราษฎร กลุ่มผู้กอ่ การฯ ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เพ่ือ ใหท้ รงยอมรบั การกระท�ำ ของพวกตน (*ใหท้ รงลงพระปรมาภไิ ธยใน ร่างพระราชกำ�หนดนริ โทษกรรม) และได้จัดต้ังรัฐบาลตามพระราช บัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามช่ัวคราว ฉบับวันที่ 27 มถิ นุ ายน เพอื่ มใิ หเ้ กดิ การตอ่ ตา้ นจากภายใน และหลกี เลย่ี งอนั ตราย จากการแทรกแซงของตา่ งชาติ ทพี่ วกเขาคดิ วา่ อาจน�ำ ไปสกู่ ารตอ่ สู้ กนั ในหมรู่ าษฎร ผกู้ อ่ การฯอยเู่ บอ้ื งหลงั ตงั้ แตแ่ รก ถงึ แมว้ า่ พวกเขา ยงั คงควบคมุ การด�ำ เนนิ งานของรฐั บาลไดอ้ ยา่ งมนั่ คง หลวงประดษิ ฐ์ มนธู รรมรา่ งแผนทางการเมอื งระยะยาวขน้ึ ประกอบดว้ ยกระบวนการ พฒั นาทางการเมอื งสามขน้ั ตอน ขัน้ แรก เรม่ิ ขนึ้ ในตอนนน้ั คือการ ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ธิ รรมนญู การปกครองแผน่ ดนิ สยามชวั่ คราว (*มกี ารจดั ตง้ั คณะกรรมการราษฎรเปน็ ฝา่ ยบรหิ าร) มกี ารจดั ตงั้ สภา ผูแ้ ทนราษฎร จำ�นวน 70 คน ซึง่ แต่งตง้ั โดยผกู้ อ่ การฯ และคณะผู้ รกั ษาพระนครฝา่ ยทหารโดยเฉพาะเทา่ นน้ั ขน้ั ทส่ี อง เกดิ ขนึ้ ภายใน 442 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

6 เดอื น ภายใตธ้ รรมนญู การปกครองแผน่ ดนิ สยามชวั่ คราว ซง่ึ คลา้ ย กับเค้าร่างธรรมนูญที่มีการจัดทำ�ข้ึนทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าฯ เม่ือเดือนมีนาคมทีผ่ ่านมา (*วันท่ี 9 มนี าคม 2474) ซง่ึ สภาผแู้ ทนราษฎรจะประกอบดว้ ยผแู้ ทนราษฎรทจี่ �ำ นวนครง่ึ หนงึ่ ทมี่ าจากการแตง่ ตงั้ และอกี ครงึ่ หนงึ่ มาจากการเลอื กตง้ั แบบทางออ้ ม และผู้สมัครต้องได้รับการตรวจสอบจากคณะราษฎรก่อนการเลือก ตง้ั ทกุ ครงั้ ขน้ั ทสี่ าม รฐั บาลแบบมผี แู้ ทนราษฎรจากการเลอื กตง้ั จะ เร่ิมขึ้นได้เมื่อราษฎรมากกว่าครึ่งหน่ึงของประเทศสำ�เร็จการศึกษา เกินกว่าระดับประถม หรือภายใน 10 ปี แล้วแต่อย่างใดเกิดก่อน ทงั้ น้ี กรอบการท�ำ งานทว่ั ๆ ไปถกู ก�ำ หนดจากความเปน็ ผนู้ �ำ ทางการ เมอื งและการควบคมุ ของคณะราษฎร คณะราษฎรน้ีไม่มสี มาชกิ แบบมวลชน ไมม่ ีผู้สนับสนนุ ไม่มี แมก้ ระทงั่ การควบคมุ เหนอื ทหารทเี่ ปน็ รปู ธรรม แตอ่ ยา่ งนอ้ ยรฐั บาล ชดุ แรกทค่ี ณะราษฎรตงั้ ขน้ึ กแ็ สดงใหเ้ หน็ ถงึ การไดร้ บั ความสนบั สนนุ อย่างกว้างขวาง สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยข้าราชการระดับ อาวโุ สจ�ำ นวนมากถงึ หนง่ึ ในสามของสมาชกิ ทงั้ หมด รวมถงึ เจา้ พระยา ในระบอบเก่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร คือ มหาอำ�มาตย์เอก เจา้ พระยาธรรมศกั ดมิ์ นตรี (สนน่ั เทพหสั ดนิ ณ อยธุ ยา) อดตี เสนาบดี กระทรวงธรรมการ คณะกรรมการราษฎรท�ำ หนา้ ทบ่ี รหิ ารงานประจ�ำ ในคณะรัฐบาล ประกอบด้วยผ้กู ่อการฯ 11 คน รวมทั้งหวั หน้ากลุ่ม หลักๆ 4 กล่มุ และข้าราชการอาวุโส 4 คน สำ�หรบั กล่มุ ขา้ ราชการ อาวุโสน้ัน คนท่ีสำ�คัญคือ มหาอำ�มาตย์โท พระยามโนปกรณ์นิติ ธาดา (กอ้ น หตุ ะสงิ ห)์ ผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณท์ นี่ า่ เชอ่ื ถอื และมหา อำ�มาตย์ตรี พระยาศรีวิสารวาจา อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงต่าง ประเทศ และทป่ี รกึ ษาในพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ ฯ มหาอ�ำ มาตย์ ตรี พระยาศรีวสิ ารวาจาได้รับตำ�แหนง่ รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงการ 9 | อำ�นาจทหาร 443

ตา่ งประเทศคนใหม่ และมหาอ�ำ มาตยโ์ ท พระยามโนปกรณน์ ติ ธิ าดา รบั ต�ำ แหนง่ ประธานคณะกรรมการราษฎร (*เทยี บเทา่ นายกรฐั มนตร)ี และรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงการคลงั ในเวลาเดียวกัน คณะราษฎรยังต้องการรวบอำ�นาจของตน พร้อมๆ กับใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่บริหารประเทศ คณะราษฎรจึง ปรับโครงสร้างทหารบกและทหารเรือ ให้คนของตนดำ�รงตำ�แหน่ง สำ�คัญ และจดั ตง้ั สมาคมการเมอื งเพื่อสรา้ งความนิยม คณะราษฎร ได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าการดำ�เนินการเรื่องแรกง่ายกว่าเร่ืองหลัง เนื่องจากประชาชนจะไม่เดินขบวนประท้วง ถ้าไม่ถูกส่ังให้ทำ� ใน ตอนน้ี มีหลายคนอยากมาร่วมงานในรัฐบาลใหม่ เพราะอยากมี ตำ�แหน่ง การไม่ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนปรากฏให้เห็น ชัดเจนภายในไม่กี่เดือนต่อมา ทำ�ให้กลุ่มพลเรือนรุ่นหนุ่มในคณะ ราษฎรเสียเปรียบอย่างมาก ในการแข่งอิทธิพลกับกลุ่มทหารและ พลเรือนอาวุโสท่ีมีประสบการณ์ในราชการ และมีเครือข่ายความ สมั พันธ์กบั ชนชัน้ น�ำ เมอ่ื รฐั ธรรมนญู ฉบบั ถาวร วนั ท่ี 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2475 (1932) มีผลบังคับใช้ ความขัดแย้งและการแข่งขันที่แฝงอยู่ภายในคณะ บริหารชดุ ใหมก่ เ็ ริ่มปะทุ เราสามารถวนิ ิจฉยั ได้ตง้ั แตเ่ ริม่ วา่ มกี ลมุ่ หลัก 5 กลุ่มท่มี ุ่งแสวงหาอำ�นาจในระบอบใหม่ ฝา่ ยอนรุ ักษนยิ มรนุ่ เกา่ แบง่ ออกเปน็ 2 กลมุ่ คอื กลุ่มพลเรือนอาวโุ ส ท่ีน�ำ โดยพระยา มโนปกรณน์ ติ ธิ าดาเพยี งแตใ่ นนาม และกลมุ่ กษตั รยิ น์ ยิ มทข่ี าดผนู้ �ำ ผกู้ อ่ การแบง่ เปน็ 3 กลมุ่ คอื กลมุ่ ทหารอาวโุ สของนายพนั เอก พระยา พหลพลพยหุ เสนาท่มี พี ระยาทรงสุรเดชมอี �ำ นาจอยเู่ บ้ืองหลงั กลมุ่ ทหารบกและทหารเรอื รุ่นหนมุ่ นำ�โดยหลวงพิบูลสงคราม และกล่มุ พลเรือน นำ�โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ท้ังน้ี การใช้เลห่ อ์ ุบายทซ่ี บั ซอ้ นในการรวมตวั กนั เปน็ คณะบรหิ ารชดุ ใหม่ ไดน้ �ำ ไปสวู่ กิ ฤตการณ์ 444 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

สำ�คัญ 3 คร้งั ใน พ.ศ. 2476 (1933) และจบลงดว้ ยชยั ชนะของนาย ทหารรุน่ หนุ่ม วิกฤตการณ์แรก (*คือ รัฐประหารโดยพระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476) ตน้ ป ี พ.ศ. 2476 (1933) ผนู้ �ำ ในคณะรฐั บาลสนบั สนนุ ให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ เค้าโครง เศรษฐกจิ นมี้ ฐี านสว่ นหนง่ึ มาจากค�ำ บรรยายทห่ี ลวงประดษิ ฐม์ นธู รรม ไดร้ �ำ่ เรยี นจากฝรงั่ เศส เปน็ เคา้ โครงทยี่ งั ไมเ่ ปน็ รปู ธรรม เปน็ อดุ มคติ และมีลักษณะเป็นสงั คมนิยม ในเร่ืองการจัดระบบที่ดนิ และแรงงาน ให้เป็นของรัฐ เรอื่ งใหร้ าษฎรท้ังหมดของสยามอยู่ในระบบราชการ ทกุ คนเปน็ ขา้ ราชการ แมแ้ ตก่ ลมุ่ ชาวนา และมโี ครงการใหร้ ฐั ประกอบ อตุ สาหกรรม กลมุ่ อนรุ กั ษนยิ มซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ ทหาร โจมตเี คา้ โครง เศรษฐกจิ วา่ เปน็ คอมมวิ นสิ ต์ และเขา้ ชอื่ กนั กราบบงั คมทลู พระบาท สมเด็จพระปกเกล้าฯ ใหท้ รงยกเลกิ เค้าโครงเศรษฐกจิ เมอ่ื สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรกลุ่มพลเรือนรุน่ หนุ่มและหวั รนุ แรง น�ำ โดยหลวง ประดษิ ฐม์ นธู รรมรสู้ กึ ไมพ่ อใจ รฐั บาลจงึ ออกพระราชกฤษฎกี า (*วนั ที่ 1 เมษายน 2476) ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร (*และงดใช้ รฐั ธรรมนญู บางมาตรา) ตอ่ มาคณะรฐั มนตรชี ดุ ใหมไ่ ดม้ กี ารตราพระ ราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยคอมมวิ นสิ ต์ (*ขน้ึ เปน็ ฉบบั แรก 2476) ภายใตไ้ ฟ ทร่ี มุ เรา้ มากขน้ึ หลวงประดษิ ฐม์ นธู รรมถกู บบี ใหอ้ อกไปลภี้ ยั การเมอื ง นอกประเทศระยะหนงึ่ เขาเลอื กท่จี ะไปฝร่งั เศส นอกจากนี้ รัฐบาล หา้ มรวมกลมุ่ สมาคมการเมือง ทั้งนี้ เพอื่ ขัดขวางความพยายามใน การจดั ตง้ั พรรคการเมอื งทม่ี ฐี านของขา้ ราชการทอ่ี าจจะทา้ ทายรฐั บาล ได้ วิกฤตการณค์ รัง้ ท่สี อง (*คือ รฐั ประหาร 20 มิถนุ ายน 2476) เรม่ิ ปรากฏเมอ่ื มหาอ�ำ มาตยโ์ ท พระยามโนปกรณน์ ติ ธิ าดา และนาย พันเอก พระยาทรงสุรเดช เคล่ือนไหวต่อต้านกลุ่มนายทหารหนุ่ม 9 | อำ�นาจทหาร 445

(*น�ำ โดยนายพันโท หลวงพบิ ูลสงคราม และ นายพันโท หลวงศภุ ชลาศยั ) ไมใ่ หน้ ายทหารหนมุ่ ไดเ้ ลอ่ื นต�ำ แหนง่ เขา้ ควบคมุ ก�ำ ลงั ทหาร โดยตรง (*หลวงพิบูลฯได้เลื่อนเป็นผู้รักษาการณ์ตำ�แหน่งผู้ช่วยผู้ บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการแทนพระยาทรงสุรเดช ซ่ึงขอลา ออกจากต�ำ แหนง่ ) เพอ่ื ใหก้ ลมุ่ อนรุ กั ษนยิ มอาวโุ สยงั มอี �ำ นาจเตม็ ใน กองทพั กลมุ่ นายทหารหนมุ่ พบกบั ความยากล�ำ บากในการขอความ ร่วมมือจากนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา และแล้วในวันท่ี 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 (1933) ก็เกดิ การรฐั ประหารทไ่ี ม่เสยี เลอื ด เนอ้ื ขนึ้ อีกครง้ั ท�ำ ให้รัฐบาลของมหาอำ�มาตยโ์ ท พระยามโนปกรณ์ นิตธิ าดาส้นิ สดุ ลง และนายพนั เอก พระยาพหลพลพยหุ เสนา ไดร้ ับ แต่งตัง้ ใหเ้ ป็นนายกรัฐมนตรี สมาชิกในกลุม่ ผกู้ ่อการฯ 7 คนอยูใ่ น คณะรฐั มนตรชี ดุ ใหม่ แตย่ งั ลงั เลทจี่ ะเขา้ ดแู ลกระทรวงโดยตรง ปลอ่ ย หน้าท่ีนี้ให้ข้าราชการอาวุโสที่ไว้ใจได้ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเปิด ประชมุ อกี ครง้ั ไดผ้ า่ นกฎหมายใหอ้ �ำ นาจคณะรฐั ประหารเปลยี่ นแปลง คณะบริหาร และแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ คณะ รัฐบาลใหม่ของนายพันเอก พระยาพหลพลพยหุ เสนา ดูเหมอื นจะ ตระหนักดีว่าการอยู่รอดในอำ�นาจข้ึนอยู่กับภาพลักษณ์ของความ มั่นคงและความต่อเนื่องของรัฐบาล ไม่ควรเป็นปรปักษ์กับชนช้ัน กลางสายขา้ ราชการดว้ ยการใชค้ วามรนุ แรงสรา้ งความหวาดกลวั สง่ิ เหลา่ นเ้ี ปน็ ส่งิ ทร่ี ฐั บาลชุดนีค้ วรระวงั ไว้ แต่เพยี งแค่ 4 เดอื นตอ่ มา ราชอาณาจกั รตกอยใู่ นภาวะใกลเ้ กดิ สงครามกลางเมอื งอยา่ งไมเ่ คย มมี ากอ่ น วกิ ฤตการณ์ครั้งท่ีสาม (*คือกบฏบวรเดช) นับต้ังแต่การลม้ ลา้ งระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ เกดิ ความไมพ่ อใจ การตอ่ สู้ หรอื กระทง่ั การวางแผนตอ่ ต้านระบอบใหม่ จากเหตจุ ูงใจหลายประการ จากความยดึ ม่ันในลทั ธริ าชาธปิ ไตย ไปจนถงึ ความมักใหญ่ใฝ่สงู ที่ 446 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ถูกขดั ขวาง ใน (*วนั ที่ 11) เดอื นตุลาคม พ.ศ. 2476 (1933) ภาพ เหตกุ ารณป์ รากฏเปน็ รปู เปน็ รา่ งขนึ้ จาก พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ บวรเดช พระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรง เคยด�ำ รงต�ำ แหนง่ เปน็ เสนาบดกี ระทรวงกลาโหม ในรชั สมยั พระบาท สมเด็จพระปกเกล้าฯ ต้นเดือนน้ัน ในฐานะแม่ทัพได้นำ�ทหารจาก ตา่ งจงั หวดั กอ่ การกบฏ โดยปลกุ ระดมกองทหารรกั ษาการณจ์ งั หวดั นครราชสมี าใหก้ อ่ การกบฏ ไดร้ บั ก�ำ ลงั เสรมิ จากกองก�ำ ลงั ทหารจาก สระบรุ ีและอยุธยา พระองค์เจ้าบวรเดชเคลอื่ นทพั ถึงกรงุ เทพฯ และ วันท่ี 12 ตลุ าคม เขา้ ยดึ สนามบินดอนเมอื ง และเคลือ่ นพล (*โดย รถไฟ) มาทางชานเมืองตอนเหนือของกรุงเทพฯ (*บริเวณหลักส่ี บางเขน และดอนเมือง) ผู้ก่อการกบฏ (*คณะกู้บ้านกู้เมือง) ยื่น ค�ำ ขาดใหร้ ฐั บาลลาออก เพราะรัฐบาลปลอ่ ยให้มีคนดหู มิ่นพระบรม เดชานภุ าพ และสง่ เสรมิ ลทั ธคิ อมมวิ นสิ ต์ (*เพราะใหห้ ลวงประดษิ ฐ์ มนูธรรมกลับมาจากล้ีภัยเพื่อดำ�เนินการแบบคอมมิวนิสต์ต่อไป) ขณะที่กลมุ่ กบฏในกรุงเทพฯใกลเ้ พล่ยี งพล้�ำ กองทหารรกั ษาการณ์ ตา่ งจงั หวดั ยงั กอ่ กบฏดว้ ย แตถ่ กู ขดั ขวางจากกองก�ำ ลงั ทจ่ี งรกั ภกั ดี ตอ่ รฐั บาล ไมใ่ หเ้ ขา้ รว่ มกบั กองก�ำ ลงั ของพระองคเ์ จา้ บวรเดชในการ โจมตกี รงุ เทพฯ ผกู้ อ่ การกบฏยงั คดิ พงึ่ การสนบั สนนุ จากหนว่ ยทหาร บกและทหารเรอื ในกรุงเทพฯ แต่ไม่พบหลักฐานเรื่องน้ี นายพันโท หลวงพิบูลสงคราม ผู้บัญชาการกองบังคับการ ผสม รบั ผดิ ชอบการรบของทหารฝา่ ยรฐั บาล ไดต้ อบโตก้ ลบั ทบ่ี รเิ วณ แถบชานเมอื งทางตอนเหนอื ของกรงุ เทพฯ ระหว่างวนั ที่ 13 ถงึ 16 ตลุ าคม มีการรบอย่างรนุ แรง และมีผู้บาดเจบ็ สาหัสทงั้ สองฝา่ ย ใน ท่ีสุดกองกำ�ลังฝ่ายกบฏล่าถอยไปทางจังหวัดนครราชสีมา ขณะท่ี กองทหารรฐั บาลยดึ นครราชสีมาได้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม เมอื่ แน่ใจ วา่ การกอ่ การของพระองคไ์ มส่ �ำ เรจ็ เปน็ แนแ่ ลว้ พระองคเ์ จา้ บวรเดช 9 | อ�ำ นาจทหาร 447

จึงลี้ภัยไปยังอินโดจีนของฝร่ังเศส (*บินไปลงไซ่ง่อน ในเวียดนาม แล้วต่อไปกัมพูชา) ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระบาทสมเด็จพระปก เกล้าฯ ทรงสนับสนุนการกบฏ ถึงแม้ว่ารัฐบาลไม่วางใจในตัวพระ องค์เพิ่มขึ้น รัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างมากใน ช่วงวิกฤตการณ์น้ี โดยเฉพาะในกรุงเทพฯมีอาสาสมัครเข้าร่วมใน กองทหารของรฐั บาล รฐั บาลฝา่ วกิ ฤตไดด้ ว้ ยความแขง็ แกรง่ กวา่ เดมิ ดว้ ยบทบาทของชายบนหลงั มา้ คนใหม่ ซงึ่ เปน็ ทนี่ ยิ ม คอื นายพนั โท หลวงพบิ ลู สงคราม ไม่ก่ีเดือนต่อมา ใน (*วันท่ี 12) เดือนมกราคม พ.ศ. 2476 (*นบั ศักราชแบบเกา่ 1934) ความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าฯ กบั ระบอบใหม่เกิดความตงึ เครยี ดมากขนึ้ พระองค์ เสด็จพระราชด�ำ เนนิ ต่างประเทศเพอื่ รักษาพระเนตร ในขณะท่ที รง ประทบั อยทู่ ป่ี ระเทศองั กฤษ ยงั ทรงตดิ ตอ่ กบั รฐั บาล ทรงเนน้ บทบาท ของพระองคท์ ยี่ งั คงท�ำ หนา้ ทใ่ี นฐานะพระมหากษตั รยิ ข์ องสยามภาย ใตร้ ัฐธรรมนญู นอกเหนือจากการต่อรองเรอื่ งพระราชอำ�นาจพิเศษ บางส่วนของกษตั ริยต์ ามแบบจารตี เช่น การพระราชทานอภัยโทษ ทรงกระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะเจรจากบั รฐั บาลใหป้ รบั ลกั ษณะของระบอบใหม่ ทีไ่ ม่เป็นประชาธปิ ไตย เช่น การออกเสียงในนาม “ราษฎร”ในการ แตง่ ตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (*ประเภททส่ี อง) แตร่ ฐั บาลไมเ่ หน็ ด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯก็ทรงสละราชสมบัติในวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (*นบั ศักราชแบบเก่า 1935) โดยพระราชทาน พระราชหัตถเลขาทรงประกาศสละราชสมบัติ ซ่ึงมีเน้ือหาวิจารณ์ ระบอบใหม่ รวมถงึ ขอ้ ความดังตอ่ ไปนีท้ ีน่ กั วิจารณเ์ รอื่ งการพัฒนา ทางการเมืองท่ลี ้าหลงั ของสยามมกั อ้างถงึ อย่บู อ่ ยๆ  ข้าพเจ้ามีความเตม็ ใจทจี่ ะสละอำ�นาจ อันเป็น 448 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำ�นาจท้ังหลายของข้าพเจ้าให้ แกผ่ ูใ้ ด คณะใดโดยเฉพาะ เพอ่ื ใช้อ�ำ นาจน้นั โดยสทิ ธิ ขาด และโดยไมฟ่ งั เสยี งอนั แทจ้ รงิ ของประชาชนราษฎร1 เมื่อยอมรับการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปก เกลา้ ฯแลว้ นนั้ สภาผแู้ ทนราษฎรไดก้ ราบทลู เชญิ พระราชโอรสของ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลา นครนิ ทร์ คอื พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อานนั ทมหดิ ล พระชนมายุ 10 พรรษา (*พระชนมายุทีถ่ กู ตอ้ งคอื 8 พรรษา 6 เดือน) ขณะท่ี ทรงศกึ ษาทปี่ ระเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ เปน็ ผสู้ บื ราชสมบตั ิ และแตง่ ตง้ั คณะผสู้ ำ�เร็จราชการแทนพระองค์ ซงึ่ ประกอบดว้ ยเจ้านายระดับสูง และเจา้ พระยายมราช (ป้นั สขุ ุม) หลงั จากทจ่ี ดั การกบั ความว่นุ วายภายในแล้ว รัฐบาลจะต้อง รักษาคำ�สัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ก่อนขึ้นสู่อำ�นาจ โดยรัฐบาลมีเวลา ประมาณ 5 ปีที่จะทำ�สิ่งน้ัน ก่อนที่เมฆแห่งสงครามจะก่อตัวและ บดบังความพยายามของรัฐบาลทจ่ี ะทำ�ตามสัญญา เมื่อข้ึนสู่อำ�นาจ คณะราษฎรสัญญาว่า จะให้มีสภาผู้แทน ราษฎรที่มาจากการเลือกต้ังเต็มรูปแบบ เมื่อระดับการศึกษาของ ราษฎรเหมาะสม เร่ืองนี้ต้องให้เครดิตกับคณะราษฎรที่ต้องใช้ขั้น ตอนท่ีละเอียดมากกว่าผู้ท่ีบุกเบิกเร่ืองการศึกษาก่อนหน้านี้ จนใน ทส่ี ดุ ไดม้ กี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั กิ ารประถมศกึ ษา ซง่ึ เงนิ จะ เป็นปัจจยั สำ�คญั ในการด�ำ เนนิ การเร่ืองน้ี รัฐบาลจงึ ได้เพิม่ ค่าใชจ้ ่าย ทางการศกึ ษาถงึ สเ่ี ทา่ ระหวา่ ง พ.ศ. 2476-77 (1933–34) และ พ.ศ.  2480-81 (1937–38) ขณะที่ค่าใช้จา่ ยของรัฐบาลทั้งหมด ระหวา่ ง ช่วงเวลาเดียวกัน เพ่ิมขึ้นเพียงแค่หนึ่งส่วนสาม แม้การศึกษาข้ัน 9 | อ�ำ นาจทหาร 449

ประถมยงั ไมก่ า้ วหนา้ และยงั ตอ้ งใชร้ ะยะเวลากวา่ ทจ่ี ะเขา้ ไปถงึ พน้ื ที่ ห่างไกล แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นว่าคณะราษฎรได้มีความพยายาม อยา่ งตั้งใจจริง ตัวเลขจากการสำ�รวจสำ�มะโนประชากรระบุวา่ คณะ ราษฎรประสบความส�ำ เรจ็ มาก กลุ่มเด็กทอี่ ายถุ ึงเกณทเ์ ข้าโรงเรียน ได้ในกลางทศวรรษ 1930 (2473-2482) มีอัตราการอา่ นออกเขียน ได้มากกวา่ รอ้ ยละ 60 (เปน็ เด็กผูช้ ายมากกวา่ รอ้ ยละ 80) และโดย เฉพาะเด็กผู้หญงิ ทอ่ี า่ นออกเขยี นไดค้ ือ เดก็ ผู้หญิงที่อายมุ ากกวา่ 5 ปี ในช่วงเวลาเดียวกัน งบประมาณทางทหารเพิ่มข้ึนสองเท่า เหตุผลท่ีจะอธิบายส่ิงน้ีอาจซับซ้อนเกินกว่าที่คิด กลุ่มอิทธิพลใน รฐั บาลใชอ้ �ำ นาจในทางทผ่ี ดิ เลอ่ื นต�ำ แหนง่ ใหก้ บั ตนเอง สรรหาเครอื่ ง มอื และสง่ิ อ�ำ นวยความสะดวกตา่ งๆ และสรา้ งระเบยี บการเกณฑท์ าง ทหารใหเ้ ข้มงวด อย่างไรกต็ าม กลุม่ อิทธิพลชอบเยาะเย้ยผอู้ นื่ และ ใจแคบในการกระท�ำ เชน่ น้ี หลายคนถกู โน้มน้าววา่ มหาอำ�นาจยังมี แผนการสำ�หรับสยาม เมื่อความสัมพันธ์ที่เห็นด้วยกับระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ส้ินสุดลง หลายคนถูกชักจูงอีกว่า สงคราม กำ�ลังจะเกิดข้ึน และถูกไล่ล่าด้วยคล่ืนของการชูลัทธิทหารที่สูงข้ึน ซึ่งสัมพนั ธ์กบั ระบอบเผดจ็ การทหารนาซี-ฟาสซสิ ม์ ท่ีกำ�ลงั เฟือ่ งฟู และแพร่ไปทวั่ โลกระหว่างเวลาน้ี ชาวสยามหลายคนประทบั ใจและ หลงใหลชื่นชมประเทศเยอรมนีและอิตาลี และแม้กระท่ังประเทศ ญ่ีปนุ่ นับจากชว่ งแรกของสมัยรัฐธรรมนญู  พ.ศ. 2475 (1932) กลุม่ ทหารหนมุ่ ไดใ้ กลช้ ดิ กบั บรรดาเจา้ หนา้ ทแ่ี ละผลประโยชนข์ องญป่ี นุ่ แล้ว การเปล่ียนแปลงน้ี (*เป็นการแตกแยกในกลุ่มผู้นำ�ของคณะ ราษฎรอย่างเดน่ ชัด) ฝ่ายหนง่ึ (*ปกี ของจอมพล ป.พิบลู สงคราม) หนั เหสแู่ นวสัจนยิ ม ส�ำ หรับอกี ฝ่าย (*ปีกของนายปรีดี พนมยงค)์ ยงั ยดึ ถอื ในอดุ มคติ การเปลย่ี นแปลงนค้ี วบคไู่ ปกบั การหยดุ ยงั้ ทางการ 450 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

เมอื งและสถาบนั ทพี่ วกเขาไดส้ รา้ งขนึ้ มาพรอ้ มกบั อดตี ของพวกเขา เอง น่เี ป็นยุคของลัทธิชาตนิ ยิ ม ลัทธทิ หาร นายทหารที่เข้มแขง็ ถูก วาดภาพไวใ้ หเ้ ปน็ ผนู้ ำ�พาชาตทิ า่ มกลางโลกทวี่ กิ ฤต การเคลอื่ นไหว ของยวุ ชนแผข่ ยายไปทว่ั ประเทศ แสดงใหเ้ หน็ จากการฝกึ อบรบและ ฝกึ ฝนเดก็ วยั รนุ่ ในฐานะกองก�ำ ลงั เสรมิ ทางทหาร จ�ำ นวนของยวุ ชน รวมอยกู่ บั ทหารประจ�ำ การและพลส�ำ รอง เมอื่ เดอื นพฤศจกิ ายน พ.ศ.  2481 (1938) นายพนั เอก หลวงพบิ ลู สงคราม อวดวา่ มที หารจ�ำ นวน 1 ล้านนาย จากประชากร 14 ล้านคน ทางดา้ นนโยบายเศรษฐกจิ นน้ั รฐั บาลมภี าพลกั ษณท์ ดี่ ี แมว้ า่ จะไมไ่ ดท้ �ำ อะไรเลยกต็ าม รฐั บาลขน้ึ มามอี �ำ นาจตอนย�่ำ แยท่ ส่ี ดุ ของ ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ�ท่ัวโลก และเศรษฐกิจของสยามพฒั นาขึน้ เกอื บ จะทันทเี มื่อมกี ารออกจากมาตรฐานทองค�ำ เมือ่ วนั ที่ 5 พฤษภาคม  พ.ศ. 2475 (1932) กระตุ้นการส่งออกข้าวของสยาม มูลค่าการส่ง ออกเพิม่ จากจดุ ตำ่�คือ 134 ลา้ นบาทใน พ.ศ. 2474-75 (1931–32) เปน็ 153 ลา้ นบาทใน พ.ศ. 2475-76 (1932–33) และ 204 ลา้ นบาท ใน พ.ศ. 2481-82 (1938–39) งบประมาณของรฐั บาลเพม่ิ ขน้ึ เชน่ กนั รายจา่ ยเพม่ิ ขน้ึ จากจดุ ต�่ำ คอื 70 ลา้ นบาทใน พ.ศ. 2473-76 (1930– 33) เป็น 111 ลา้ นบาทใน พ.ศ. 2481-82 (1938–39) ขณะท่รี ายได้ กระโดดจาก 80 ลา้ นบาทใน พ.ศ. 2475-76 (1932–33) เปน็ 118 ลา้ นบาทใน พ.ศ. 2481- 82 (1938–39) งบประมาณของรฐั ทเ่ี กนิ ดลุ ทุกปีระหว่างช่วงเวลาน้ี ยืนยันถึงการใช้แนวทางทางการคลังแบบ อนุรักษนิยมอย่างต่อเน่ือง อย่างไรก็ตาม การใช้คารมโวหารทาง เศรษฐกิจอาจจะรุนแรง แต่ยังไม่มีฐานท่ีแข็ง นโยบายของรัฐบาล เนน้ เรอ่ื งสหกรณแ์ ละสนบั สนนุ เครดติ ทางการเกษตร การด�ำ เนนิ งาน ที่สำ�คญั ในทันที คอื การเลิกเงินรชั ชปู การ เปล่ียนเปน็ ภาษีเงนิ ได้ที่ ไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพเทา่ ใดนกั ยกเลิกอากรสมพตั สร และอากรค่านา 9 | อำ�นาจทหาร 451

และปรับขนาดเงินเดือนข้าราชการ เพ่ือเอื้อประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ ระดบั ลา่ ง ซงึ่ ในภาพรวม การฟนื้ ตวั ทางเศรษฐกจิ จากชว่ งทเ่ี ลวรา้ ย ที่สุดของเศรษฐกิจตกต่ำ�เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว และสะท้อนถึงความ นา่ เช่ือถือของรฐั บาล ชว่ งต้นของสมัยรัฐธรรมนญู เปน็ ชว่ งทน่ี ่าต่ืนเต้น โดยเฉพาะ สำ�หรับผู้ท่ีไม่มีความคิดที่แท้จริง เกี่ยวกับความหมายของคำ�ว่า รฐั ธรรมนญู และ ประชาธิปไตย มีผคู้ ดิ วา่ ประชาธปิ ไตย คือพระ อนชุ าของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ หรือ รัฐธรรมนูญ คอื ลูก ของนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ใน พ.ศ. 2475 (1932) มี รายงานทัว่ ไปวา่ พระสงฆร์ ุ่นเยาวท์ ้าทายอ�ำ นาจพระสงฆ์อาวุโสวา่ “ไม่เปน็ ประชาธปิ ไตย” และนักเรียนชายประท้วงระเบยี บวนิ ัยของ โรงเรยี น ท้งั นี้ มีขอ้ สนั นิษฐานวา่ พวกเขาก้าวทนั เหตกุ ารณ์สมยั น้นั ไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า การไปใช้สิทธิออกเสียงในการเลือกต้ังครั้ง แรก ในเดอื นพฤศจิกายน พ.ศ. 2476 (1933) มีอตั ราท่ตี ่ำ�มาก ต่ำ� กวา่ ร้อยละ 10 ผทู้ ไี่ ดร้ ับเลอื กสว่ นใหญ่ (ซง่ึ ตรงข้ามกบั สมาชกิ ทไี่ ด้ รบั การแตง่ ตง้ั ในจ�ำ นวนเดยี วกนั ) เปน็ ผสู้ นบั สนนุ หลวงประดษิ ฐม์ นู ธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกลับคืนมาสู่บทบาท สำ�คัญในรัฐบาล ท่ีนำ�โดย นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีได้รับเลือกตั้งมีจำ�นวน เพียงครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังสามารถแสดงบทบาท ส�ำ คญั บบี ใหค้ ณะรฐั บาลลาออกในเดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2477 (1934) กรณีการให้สัตยาบันเรื่องสัญญาการจำ�กัดราคายางพารา (นาย พันเอก พระยาพหลพลพยหุ เสนากลบั มาอีกคร้งั พร้อมกบั การปรบั คณะรัฐมนตรีบางต�ำ แหน่ง) ตลอดกลางทศวรรษ 1930 (2473-2482) เหน็ ไดช้ ดั วา่ มกี าร แขง่ ขนั กนั เพอ่ื แยง่ ชงิ อ�ำ นาจอยเู่ สมอ ทงั้ ในและนอกรฐั บาล ต�ำ แหนง่ 452 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

ในคณะรฐั มนตรจี ดั สรรไดไ้ มด่ นี กั รฐั มนตรอี ยรู่ ว่ มกนั ไดเ้ พยี งเพราะ บุคลิกของนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา บุคคลสำ�คัญใน ชว่ งน้ี คอื นายพนั เอก หลวงพบิ ลู สงคราม รฐั มนตรวี า่ การกระทรวง กลาโหม และหลวงประดษิ ฐม์ นธู รรม ซง่ึ รบั ต�ำ แหนง่ รฐั มนตรวี า่ การ กระทรวงการตา่ งประเทศเมอื่  พ.ศ. 2478 (1935) เพอ่ื เจรจาเรอ่ื งสนธิ สัญญากับมหาอำ�นาจตะวันตก ที่ในที่สุดก็สามารถยืนยันอำ�นาจ อธิปไตยของสยามโดยสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมมี อำ�นาจ และได้รับความนิยม แต่อิทธิพลเรื่องนโยบายภายใน และ เรื่องเศรษฐกิจก็ลดน้อยลงไป ขณะท่ีบารมีของนายพันเอก หลวง พิบูลสงครามกำ�ลังเพิ่มข้ึนมาก ขณะเดียวกัน สภาผู้แทนราษฎรก็ เขม้ แข็งมากขึ้น ไดค้ ัดค้านงบประมาณทสี่ ูงมากของฝ่ายทหาร และ โดยเฉพาะ การแตง่ ตั้งนายทหารให้ด�ำ รงตำ�แหน่งพลเรอื น เริ่มเกดิ ฝา่ ยตรงขา้ มจ�ำ นวนไม่มากแต่ก็มีความสำ�คญั อย่ใู นกลุม่ ผู้สนบั สนุน หลวงประดิษฐ์มนูธรรม และในกลุ่มผู้แทนจากภาคตะวันออกเฉียง เหนอื นอกจากนี้ ยังมีขา่ วลือเรอ่ื งแผนการตา่ งๆ ทั้งนอกวงรฐั บาล ในระบบราชการและทหาร และบคุ คลทเ่ี ปน็ ลางไมด่ ี เชน่ นายพนั เอก พระยาทรงสุรเดช ผู้ท่ีมีอำ�นาจถัดจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เหย่ือสำ�คัญของรัฐประหาร พ.ศ. 2476 (1933) ท่ีแผ่อำ�นาจบดบัง รัฐบาล ที่สุดของการต่อสู้ในทศวรรษ 1930 (2473-2482) เกิดข้ึน ระหว่าง พ.ศ. 2480-81 (1937–38) เม่ือหลายประเดน็ ปะทุข้นึ เรือ่ ง แรก ตลอด พ.ศ. 2470 (1937) เกิดเรื่องอื้อฉาวสะเทือนกรุงเทพฯ เก่ียวกับการบริหารงานของรัฐบาล เร่ืองทรัพย์สินส่วนพระมหา กษตั รยิ ์ เมอ่ื รกู้ นั วา่ ทดี่ นิ ของพระคลงั ขา้ งทถี่ กู น�ำ มาขายต�่ำ กวา่ ราคา ตลาด ใหแ้ กบ่ คุ คลระดบั สูงจ�ำ นวนหนง่ึ ในรฐั บาล รัฐบาลเกอื บลม้ ใน เดือนสิงหาคม แต่สภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีดูเหมือนจะ 9 | อ�ำ นาจทหาร 453

ถอยจากการเผชิญหน้า โดยเห็นด้วยกับการแก้ไขความเสียหายน้ี อยา่ งเงยี บๆ และมรี ฐั มนตรเี พยี ง 3 คนทสี่ ญู เสยี เกา้ อใ้ี นคณะรฐั มนตรี ในสามเดอื นตอ่ มา มกี ารเลอื กตง้ั สภาผแู้ ทนราษฎรทางตรงครงั้ แรก ข้ึนในเดือนพฤศจิกายน และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำ�นวน นอ้ ยรายได้รบั เลอื กกลับเข้ามา สมาชกิ ฝ่ายคา้ นจากภาคตะวนั ออก เฉยี งเหนอื ยังคงรกั ษาที่นงั่ ไวไ้ ด้ คนที่ส�ำ คัญในกลมุ่ ได้แก่ นายเลียง ไชยกาล (อุบลราชธานี) นายเตียง ศิริขันธ์ (สกลนคร) นายทอง อินทร์ ภรู ิพฒั น์ (อบุ ลราชธานี) ผู้ออกเสียงเลือกต้ังคิดเปน็ รอ้ ยละ 26 ของจำ�นวนประชากรท้ังหมด และได้เลือกสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจำ�นวน 91 คน สำ�หรับสภาผู้แทนราษฎรท่ีมีสมาชิกท้ังส้ิน 182 คน มสี มาชกิ เกา่ ไดร้ บั เลอื กเพยี ง 11 คน ไมน่ า่ แปลกใจวา่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทอี่ ยเู่ งยี บๆ ตง้ั แตแ่ รก แตห่ ลงั จากไดต้ งั้ กระทถู้ าม เรือ่ งท่ีดนิ พระคลงั ข้างทีท่ ีโ่ ต้เถยี งกันตลอดระยะเวลาหน่ึงปี สมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรไดแ้ สดงสทิ ธใิ หร้ ฐั บาลชแ้ี จงรายละเอยี ดงบประมาณ แผ่นดินในเดอื นกันยายน พ.ศ. 2481 (1938) และลงคะแนนเสียงจน ชนะเสยี งรฐั บาล สง่ ผลใหค้ ณะรฐั มนตรตี อ้ งลาออก การเลอื กตงั้ ครงั้ ใหมถ่ กู ก�ำ หนดขนึ้ เดอื นพฤศจกิ ายน และจากการประชมุ สภาผแู้ ทน ราษฎร ในเดอื นธนั วาคม นายพนั เอก หลวงพบิ ลู สงคราม กลายเปน็ นายกรฐั มนตรี แทนนายพนั เอก พระยาพหลพลพยหุ เสนา ซง่ึ ปฏเิ สธ ทจ่ี ะรบั ต�ำ แหนง่ นายกรฐั มนตรอี กี ครง้ั เพราะเออื มระอากบั ความมกั ใหญใ่ ฝ่สูงของนักการเมอื งและทหารที่ชอบขดั แย้งกัน พ.ศ. 2481 (1938) สยามเก่ามีการเปล่ียนแปลงอย่างมาก สถาบันกษัตริย์ยังคงมีอยู่ตามแบบแผน แต่แทบจะไม่มีบทบาท ในทางปฏิบตั ิ ถึงแม้วา่ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวอานันทมหิดล เสดจ็ เยอื นกรุงเทพฯ สองเดอื นระหว่าง พ.ศ. 2481-82 (1938–39) น้อยคนนัก ท่ีจะคิดจะย้อนเวลาทางการเมือง กลับไปหาระบอบ 454 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ และการยอมรับความคิดเรื่องกฎเกณฑ์ รฐั ธรรมนญู นนั้ แพรห่ ลาย ลทั ธกิ ารแบง่ แยกภมู ภิ าคและชนกลมุ่ นอ้ ย เหมอื นจะจางหายไป การปกครองสว่ นภมู ภิ าค 70 จงั หวดั เขา้ แทนที่ ระบบมณฑลเทศาภิบาลที่ทรงพลัง และระบอบประชาธิปไตยแบบ ผแู้ ทน เรมิ่ บังคับใชใ้ นระดบั ทอ้ งถน่ิ การเขา้ รว่ มและความสนใจของ ประชาชนเรอ่ื งการเมอื งระดบั ชาตกิ �ำ ลงั เตบิ โตขนึ้ และอยา่ งนอ้ ยกม็ ี เชื้อของการต่อต้านการปกครองของทหารท่ีมีอิทธิพลอยูในรัฐบาล (ตอนนี้คำ�ว่า คณะราษฎร เป็นไม่เกินกว่าคำ�ร่ืนหู) อย่างไรก็ตาม รฐั บาลนยี้ งั คงเปน็ รฐั บาลทเ่ี ราเรยี กกอ่ นหนา้ นวี้ า่ ลทั ธชิ าตนิ ยิ มชนชนั้ น�ำ ถงึ แมว้ า่ ตอนนช้ี นชน้ั น�ำ ทมี่ จี �ำ นวนมากขนึ้ ก�ำ ลงั เรม่ิ ขยายตวั ออก นอกกลมุ่ ขา้ ราชการทหารและพลเรอื น เพอื่ เรยี กรอ้ งขอการสนบั สนนุ ลทั ธิชาตนิ ยิ มของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และสงคราม พ.ศ. 2481-2487 (1938-1944) จอมพล ป. พบิ ลู สงครามเปน็ หนง่ึ ในผคู้ นจ�ำ นวนนอ้ ยนดิ ทถ่ี กู ประทับตราไว้ในประวัติศาสตร์ไทย รัฐบาลชุดแรกของนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม (*เล่ือนยศจากนายพันเอกเป็นนายพลตรีเม่ือ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ นายกรัฐมนตรีในวันท่ี 16 ธันวาคม 2481) เร่ิมต้ังแต่ ปลาย พ.ศ. 2481 (1938) ถงึ กลาง พ.ศ. 2483 (1944) เป็นชว่ งเวลา แหง่ การกอ่ รปู ทงั้ อ�ำ นาจและบคุ ลกิ ภาพของเขา เหมอื นกบั ทกี่ ษตั รยิ ์ สมยั สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยก์ ระท�ำ ในยคุ กอ่ นหนา้ น้ี การด�ำ รงต�ำ แหนง่ ของนายพลตรี หลวงพิบลู สงคราม เกอื บจะตรงกับสงครามโลกครัง้ ที่ 2 และนโยบายของเขากม็ ผี ลตอ่ แนวทางการใชช้ วี ติ ของชาวไทย ระหวา่ งสงคราม ระยะนเ้ี ปน็ ชว่ งเวลาของลทั ธชิ าตนิ ยิ มมวลชน ไมใ่ ช่ เพยี งแตล่ ทั ธชิ าตนิ ยิ มชนชน้ั น�ำ ปรากฏการณท์ างการเมอื งและสงั คม 9 | อ�ำ นาจทหาร 455

เกอื บจะมคี วามเทา่ เทยี มกนั โดยนยั มากกวา่ ทเี่ ปน็ มากอ่ นหนา้ นภี้ าย ใต้จิตวิทยาของระบอบกษัตริย์ ทศวรรษต่อมา เม่ือชาวไทยพูดถึง ยคุ ของ นายพลตรี หลวงพบิ ลู สงครามชว่ งแรก และใชส้ รรพนาม เรา แสดงถงึ นยั ของชาวไทยในระดบั การมสี ว่ นรว่ มกนั ในความเปน็ ชาติ ทแ่ี ตกตา่ งจากประสบการณข์ องชาวไทยในทศวรรษกอ่ นหนา้ นเ้ี ปน็ อย่างมาก นายพลตรี หลวงพบิ ลู สงคราม เดมิ ชอื่ แปลก ขตี ตะสงั คะ เกดิ ในครอบครวั ยากจน (*อาชพี ชาวสวน) ใกล้ๆ กรงุ เทพฯ (*ทจ่ี งั หวัด นนทบุรี) เมื่อวันท่ี 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 (1897) เข้าเรียนใน โรงเรียนนายรอ้ ยทหารบกเมื่ออายุ 12 ปี ส�ำ เร็จการศึกษาเมอื่  พ.ศ.  2457 (1914) และเข้ารับราชการทหารปนื ใหญ่ จากผลการท�ำ งานที่ ดี ทำ�ให้ไดท้ ุนไปศกึ ษาต่อทางทหารขนั้ สูงท่ปี ระเทศฝรั่งเศส ตงั้ แต่  พ.ศ. 2467-70 (1924-27) ระหวา่ งเวลาน้ไี ดก้ ลายเปน็ ผ้นู ำ�นกั เรียน รุ่นหนุ่ม ท่ีเริ่มวางแผนการทางทหาร เพ่ือล้มล้างระบอบสมบูรณา ญาสทิ ธริ าชย์ นายพลตรี หลวงพบิ ลู สงครามกลบั กรงุ เทพฯ เมอื่  พ.ศ.  2470 (1927) เข้ารับราชการเป็นนายทหารยศนายพันตรี ในคณะ เสนาธกิ ารกองทพั บก และ พ.ศ. 2471 (1928) ไดร้ บั ต�ำ แหนง่ และยศ หลวงพบิ ลู สงคราม (ตอ่ มาใชค้ �ำ วา่ พบิ ลู สงคราม เปน็ นามสกลุ ) นาย พลตรี หลวงพบิ ลู สงครามไดร้ บั แตง่ ตงั้ เปน็ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวง กลาโหมใน พ.ศ. 2477 (1934) และมีอำ�นาจสำ�คญั ยงิ่ ในรฐั บาลของ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาอย่างรวดเรว็ ในฐานะท่เี ป็น นายทหารรนุ่ หนมุ่ และเปน็ ขวั้ อ�ำ นาจทโี่ ดดเดน่ ในรฐั บาล เขาตกเปน็ เปา้ ของการพยายามลอบสงั หารหลายครงั้ และการรอดพน้ จากการ ลอบสงั หารได้ สรา้ งพลังมหศั จรรยอ์ ันเร้นลบั รายรอบตวั เขา ในตน้ ป ี พ.ศ. 2477 (1934) เขาเปน็ ผนู้ �ำ ทม่ี อี �ำ นาจคนหนง่ึ ทา่ มกลางความ ต้องการผู้นำ�ท่ีเข้มแข็งของสยามในช่วงเวลาการสร้างชาติ และ 456 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook