Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย

Published by History Channel, 2021-02-06 09:55:55

Description: ประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

นา่ นเจ้าสบื สายกันทางบดิ า มรี ะบบของการต้งั ช่อื พยางคแ์ รกของ ชื่อเจ้าแตล่ ะตน คอื พยางค์เดยี วกนั กบั พยางคส์ ุดทา้ ยของนามบดิ า ดังน้ัน ก็จะเป็นเช่นน้ี คือ พี-ล่อ-โก๊ะ (Pi-lo-ko), โก๊ะ-ล่อ-ฝง (Ko-lo-feng), ฝง-เจย่ี -อ้ี (Feng-chia-i), อ-้ี ม่-ู ซุ่น (I-mou- hsun) ฯ ลฯ นเ่ี ปน็ แบบแผนทพ่ี บทว่ั ไปในหมขู่ องกลมุ่ โลโล่ กบั กลมุ่ ทเิ บต-พมา่ แตไ่ มเ่ ปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ในกลมุ่ คนไท-ไต นอกจากนี้ บนั ทกึ รายการของค�ำ ศพั ทน์ า่ นเจา้ ทกี่ ลา่ วถงึ ไวใ้ นหนงั สอื หมา่ นชู กเ็ ทยี บ ไดก้ ับภาษาโลโล่ ไมใ่ ชก่ บั ภาษาไท-ไต และตำ�นานของคนไท-ไต หรอื พงศาวดารกไ็ มม่ กี ารเอย่ ถงึ อาณาจกั รนา่ นเจา้ หรอื เจา้ ตนใดเลย ในขณะท่ีในคริสต์ศตวรรษท่ี 19 นี้ บรรดาหัวหน้าโลโล่ในยูนนาน กลาง กลับสบื บรรพชนของตนกลับไปยงั ราชส�ำ นักนา่ นเจา้ ในทาง กลบั กนั ความส�ำ คญั ของนา่ นเจา้ นา่ จะตอ้ งพจิ ารณาตอ่ ผลกระทบ ที่ มีต่อกลุ่มคนไท-ไตท่ีอาศัยอยู่ในดินแดนทางตอนใต้ และทางตอน ตะวันออกตามชายขอบของจกั รวรรดนิ ัน้ น่านเจ้าได้เปิดเส้นทางคมนาคมข้ามแดนระหว่างอินเดียกับ จีน ผลลัพธ์ทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรมคร้ังน้ีสำ�คัญย่ิง น่านเจ้า กลายเปน็ รฐั นบั ถอื พทุ ธ และคงไดช้ ว่ ยในการเผยแผพ่ ทุ ธศาสนาไป ในดนิ แดนทตี่ นครอบครองอยู่ รวมทงั้ การเผยแพรศ่ ลิ ปะและวทิ ยาการ ของอินเดียด้วย การท่ีน่านเจ้าเรืองอำ�นาจข้ึนมาได้ก็ปิดก้ันมิให้ดิน แดนตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนในติดต่อกับจีนได้ โดยตรง ในเวลาเดยี วกนั อ�ำ นาจของนา่ นเจา้ กช็ ว่ ยท�ำ ใหก้ ารคา้ ขาย ข้ามแดนระหว่างอินเดียกับจีนกระตุ้นการค้าในท้องถิ่นของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ตอนเหนือ เจ้าในท้องถ่ินก็คงจับโอกาสทางการ เมอื งใหมน่ ไ้ี ด้ สามารถไดผ้ ลประโยชนห์ รอื ไมก่ ไ็ ดร้ บั อารกั ขาในความ สัมพันธ์และในการต่อสู้กับเพ่ือนบ้าน พร้อมท้ังยังได้ลอกเลียนรูป แบบของการปกครองกบั การทหารของนา่ นเจา้ ดว้ ย แมว้ า่ บรรดาเจา้ 1 | เบอื้ งแรกประวัตศิ าสตร์ไท-ไต 21

ไท-ไตทไ่ี มไ่ ดต้ กอยภู่ ายใตอ้ �ำ นาจของนา่ นเจา้ โดยตรง แตก่ อ็ าจถกู กดดันให้รวบรวมกำ�ลังพลเพ่ือป้องกันตนเอง และน่านเจ้าหาใช่รัฐ แรกที่รุกเข้ามาในโลกของคนไท-ไตไม่ และก็ไม่ใช่รัฐสุดท้ายอย่าง แน่นอน แต่น่านเจ้าก็เป็นระบอบสำ�คัญแรกที่เข้ามาพัวพันกับที่สูง ตอนในของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป กล่าวคือ ในดิน แดนทป่ี จั จบุ นั คอื รฐั ฉานของพมา่ ไทยภาคเหนอื และลาว ตลอดจน เวียดนามตะวันตกเฉียงเหนือ อยา่ งไรก็ตาม ในศตวรรษต่อจากยุค รงุ่ เรืองของนา่ นเจา้ ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 8 และ 9 แรงกดดันกลับจะ มาจากทางทิศใต้จากจกั รวรรดิใหญ่โตท่ตี ่างออกไป หลกั ฐานเกี่ยวกบั น่านเจ้าทีห่ ลงเหลือตกทอดมา ไม่ไดก้ ล่าว ถึงอะไรทีจ่ ะท�ำ ให้คิดวา่ นี่คอื รฐั ของคนไท-ไต ในดินแดนที่สูงของ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทัง้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และที่ 10 แตห่ ลัก ฐานก็กลา่ วถึงบรรดารฐั เกอื บท้งั หมดทอี่ ยูข่ ้างเคียงทางใต้ และเปน็ ปฏปิ กั ษก์ บั คนไท-ไตในศตวรรษตอ่ ๆ มา ทง้ั ยงั มคี วามส�ำ คญั ยง่ิ ยวด ในการสรา้ งอารยธรรมของคนไท-ไตจากทิศตะวันออกไปทิศตะวัน ตก รฐั เหลา่ นคี้ อื อาณาจกั รของชาวเวยี ดนามในหบุ เขาลมุ่ แมน่ �ำ้ แดง และดินดอนสามเหล่ียมปากแม่นำ้�ในตอนเหนือของเวียดนาม รวม ทงั้ อาณาจกั รจามปาทางฝงั่ ทะเลตอนกลางของเวยี ดนาม จกั รวรรดิ เขมรทก่ี รงุ ศรยี โศธรปรุ ะ** รวมทงั้ บรรดาอาณาจกั รในไทยภาคกลาง กับภาคเหนือ อาณาจักรมอญกับพยูในพม่า โดยรวมแล้ว บรรดา อาณาจกั รเหลา่ นห้ี นั หนา้ ออกทะเล ตงั้ เรยี งรายเปน็ วงแหวนลอ้ มรอบ กล่มุ คนไท-ไตใวใ้ นดินแดนที่สงู นบั แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี 9 เปน็ ตน้ มา อาณาจกั รเหลา่ นก้ี เ็ ขม้ แขง็ ขน้ึ ทง้ั ยงั แผข่ ยายดนิ แดนออกไป และ กลุ่มคนไท-ไตก็จะเขา้ ไปพัวพันในชวี ติ และการเมอื งของอาณาจกั ร เหล่านัน้ 22 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

แผ่นดินใหญเ่ อเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ในครสิ ต์ศตวรรษท่ี 9 และ 10 ในเวียดนามเหนือ อาณาจักรเวียดนามได้เป็นเอกราชจาก การปกครองและการครอบงำ�ของจนี ใน พ.ศ. 1482 (939) และก็ต้งั อยู่ระหว่างท่ีราบชายฝ่ังทะเลกับดินดอนสามเหล่ียมปากแม่นำ้�แดง และกถ็ ูกขนาบด้วยจักรวรรดิใหญ่โต เช่น จีนทางทิศเหนอื น่านเจ้า ทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ จามปากบั กรุงศรียโศธรปรุ ะในกมั พชู า ทางใตก้ บั ตะวนั ตกเฉยี งใต้ เขตทางทสี่ งู แยกเวยี ดนามออกจากคแู่ ขง่ ท่ีมีกลุ่มท่ีสามต้ังหลักแหล่งอาศัยอยู่ โดยเฉพาะอย่างย่ิง คือ คน ไท-ไต ซงึ่ ผนู้ �ำ ตอ่ ๆ มาของเวยี ดนามพยายามทจ่ี ะสรา้ งความสมั พนั ธ์ ทเี่ ปน็ กลางตอ่ กนั เวยี ดนามพยายามด�ำ เนนิ การทตู กบั ชายแดนดา้ น ทิศเหนอื เขา้ เป็นพนั ธมติ รกับหัวหน้าชนเผ่าทอ้ งถน่ิ สร้างสมั พนั ธ์ ดว้ ยการสง่ “เจ้าหญงิ ” เวียดนามไปแตง่ งานดว้ ย ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 9 และ 10 นนั้ อาณาจักรจามปาต้องต่อสู้ กบั การรกุ รานของเพอื่ นบา้ น ในชว่ งสนั้ ๆ จามปาสามารถตอบโตต้ อ่ เวียดนามของจีน กับกัมพูชา (*สมัยเมืองพระนคร) ในต้นคริสต์ ศตวรรษท่ี 9 ได้ แต่ไมช่ ้ากต็ อ้ งกลายเปน็ ต้งั รบั ดินแดนของจามปา กค็ อ่ ยหดลง เหลอื แตใ่ นเวยี ดนามกลาง จามปาเคยมเี สน้ ทางคมนาคม ข้ามแดนเข้าสู่ลุ่มนำ้�โขงตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันคือลาวใต้ กับอีสาน ของประเทศไทย และก็ด้วยความเชื่อมโยงเช่นน้ี มีท้ังด้านการค้า การสงคราม ทศี่ ลิ าจารกึ  พ.ศ. 1593 (1050) กลา่ วถงึ ทาสไท (สยาม) ท่ีถกู จับสง่ ไปไกลถงึ จามปา ในบรรดาจักรวรรดิทั้งมวลในดินแดนน้ี จักรวรรดิศรียโศธร ปรุ ะ ก�ำ ลงั แผ่ขยายอย่างรวดเรว็ เร่ิมต้นจากการขึน้ ครองราชย์ของ พระบาทชยั วรมันที่ 2 เมือ่  พ.ศ. 1345 (802) ช่ัวเวลาสองศตวรรษ 1 | เบือ้ งแรกประวตั ิศาสตรไ์ ท-ไต 23

เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ภาคพื้นทวปี ในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 9-10 24 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

ทง้ั พระองคแ์ ละผสู้ บื ทอดตอ่ ๆ มา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ พระบาทยโศวร มนั ที่ 1 (ครองราชย์ ประมาณ พ.ศ. 1432-1443 (889-900) ไดก้ อ่ สรา้ ง จกั รวรรดทิ ยี่ งิ่ ใหญเ่ หนอื คแู่ ขง่ ใดๆ จากดนิ แดนศนู ยก์ ลางในกมั พชู า รอบๆ ตนเลสาบ และครงึ่ หนง่ึ ของตอนใตข้ องทร่ี าบสงู โคราช จกั รวรรดิ จะขยายไปทุกทิศทุกทาง ทางทิศตะวันออก ได้เข้าไปครอบครอง ดนิ ดอนสามเหลย่ี มปากแมน่ ้ำ�โขง กดดนั จามปาตามแนวชายฝง่ั ทะเล เวยี ดนาม ทางทศิ เหนอื กข็ ยายขน้ึ ไปอยา่ งนอ้ ยถงึ ทร่ี าบเวยี งจนั ซงึ่ ตอนนกี้ ค็ อื ประเทศลาว ทงั้ ยงั สามารถสรา้ งอทิ ธพิ ลเหนอื หลวงพระบาง และเชียงแสนได้ด้วย และจากจุดน้ันก็เข้าไปจนถึงดินแดนสิบสอง ปันนา ไปจรดเขตแดนของนา่ นเจ้า สว่ นทางทศิ ตะวันตกและตะวัน ตกเฉยี งเหนอื จกั รวรรดนิ กี้ ไ็ ดเ้ ขา้ ครอบครองทรี่ าบลมุ่ แมน่ �้ำ เจา้ พระยา ในประเทศไทย และขยายอ�ำ นาจอธปิ ไตยเหนอื อาณาจกั รหรภิ ญุ ไชย ซ่ึงอยู่ใกล้ๆ กับเชียงใหม่ในปัจจุบันน่ันเอง พระบาทยโศวรมันท่ี 1 ทรงสถาปนาอทิ ธพิ ลอยา่ งชดั เจนเหนอื คาบสมทุ รมลายู โดยเจา้ นาย จากกรงุ ศรยี โศธรปรุ ะอาจจะเขา้ ไปปกครองเหนอื ชมุ ชนหรอื เขตทหาร ที่เมอื งครหิ (Grahi) กบั ตามพรลิงค์ ทางทศิ ตะวันตก ซึ่งปจั จุบนั น้ีคอื พม่า (เมยี นมาร์) ในครสิ ต์ ศตวรรษที่ 9 และ 10 ยังหามีจักรวรรดใิ หญๆ่  ไม่ เม่อื แรงกดดนั จาก นา่ นเจา้ ลดลง อาณาจกั รพยทู เ่ี คยมศี นู ยก์ ลางอยทู่ เ่ี มอื งแปร (และตอ่ มายา้ ยไปเขตชเวโบ ทางเหนอื ) ไดล้ ม่ สลายไปแลว้ ทร่ี าบลมุ่ บรเิ วณ แมน่ �้ำ อริ วดนี กี้ เ็ ปน็ ทที่ ช่ี าวพมา่ เคลอื่ นยา้ ยเขา้ มาครอบครองแทน ชาว พมา่ มฐี านการท�ำ นาขา้ วทดน�้ำ อยบู่ รเิ วณแถบมณั ฑะเลย์ ไดส้ ถาปนา อาณาจักรเล็กๆ ขึ้นใหม่ ในกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 9 มีศูนย์กลางอยู่ ทเ่ี มอื งพกุ าม สว่ นทางชายฝงั่ ทะเลทางดา้ นเหนอื ของอา่ วเมาะตะมะ มีอาณาจกั รใหม่เจริญรงุ่ เรืองขึน้ มา คอื พะโค ซง่ึ เปน็ เวลาเดยี วกัน กบั ท่นี ่านเจ้ารกุ รานเข้ามาอีก ใน พ.ศ. 1378 (835) ทงั้ สองรฐั น้ีดูจะ 1 | เบื้องแรกประวัติศาสตร์ไท-ไต 25

ไม่สนใจกับรัฐที่อยบู่ ริเวณทีร่ าบสูง ซ่ึงตอ่ มาก็คอื รฐั ฉานนั่นเอง ในทสี่ ดุ นบั แตก่ ลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 9 เปน็ ตน้ มา อาณาจกั ร น่านเจ้าก็ดูจะจำ�กัดพลังทางทหารและพลังทางการเมืองของตนไว้ แต่เพียงดินแดนศูนย์กลางทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเท่าน้ัน คือ หลงั จากหลายทศวรรษทตี่ อ้ งออ่ นลา้ กบั การสงครามในพมา่ เวยี ดนาม และเสฉวน ซง่ึ จบลงดว้ ยสนธสิ ญั ญาสนั ตภิ าพกบั จนี ประมาณ พ.ศ.  1423 (880) และอีก 120 ปตี ่อมา น่านเจ้ากไ็ ร้เสถยี รภาพทางการ เมอื ง กษตั รยิ ์ 13 องคต์ อ่ มาน้นั ไม่มีพระองคใ์ ดที่ดูจะสนพระทัยต่อ ดนิ แดนทางใต้เลย ในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 9 และ 10 เราจะตอ้ งวาดภาพวา่ กลมุ่ คนไท-ไต อาศยั อยใู่ นดนิ แดนทส่ี งู ตอนบนของเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี ง ใต้ ทไี่ มค่ อ่ ยจะมคี วามยงุ่ ยากล�ำ บากมากนกั และกอ็ ยใู่ นพน้ื ทร่ี ะหวา่ ง รฐั ใหญๆ่  และกเ็ พราะวา่ อาณาจกั รนา่ นเจา้ ไดส้ ง่ กองทพั เขา้ มาโจมตี รฐั ตา่ งๆ ในพมา่ กมั พชู าเจนละ เวยี ดนาม และยังมหี ลักฐานว่ากรุง ศรยี โศธรปุระกม็ ีความสนใจดินแดนแถบน้ีในเวลาเดียวกนั นี้ เราคง สรปุ ไดว้ า่ ในเวลาเช่นนัน้ คนไท-ไตมไิ ด้อยอู่ ยา่ งโดดเด่ยี ว ไม่วา่ จะ ด้านการเมืองหรือด้านวัฒนธรรม และก็คงจะเหมือนๆ กับชาว พยู และชาวพมา่ คนไท-ไตหลายตอ่ หลายกลมุ่ กค็ งไดเ้ ขา้ ไปรว่ มอยู่ ในกองทัพของน่านเจ้า ได้เห็นราชการงานทัพท่ีไกลจากบ้านเรือน ของตน คนไท-ไตอาจถูกจับไปเปน็ เชลยศกึ ไปเปน็ ทาส โดยฝา่ ย ใดฝา่ ยหนงึ่ ในความขดั แยง้ ครงั้ นน้ั กเ็ ปน็ ได้ บา้ งกไ็ ดเ้ ดนิ ทางไปไกล ยังเมืองใหญ่ๆ ไปค้าขาย ไปจารึกแสวงบุญ คนไท-ไตได้เร่ิมต้นท่ี จะเป็นสว่ นหนงึ่ ของประวตั ศิ าสตร์เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ แตก่ ย็ ัง มปี ระวตั ศิ าสตรข์ องตนเองแมเ้ พยี งนอ้ ยนดิ กต็ าม และประวตั ศิ าสตร์ ของคนไท-ไตก็จะเกิดข้ึนเมื่อคนไท-ไตก่อร่างสร้างอาณาจักรและ จกั รวรรดขิ องตนขึ้นมาได้ 26 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

เชิงอรรถ * ไท-ไต หมายถงึ กล่มุ ชาติพนั ธุ์ไท-กะได หรอื ไท-ไต สองค�ำ น้ีใชค้ ู่กนั เพราะคนไทในภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของไทย คนไทในพมา่ ลาว และเวยี ดนาม ใชอ้ ักษร ต แทน ท จงึ เรยี กตนเองวา่ ไตยวน/ไตโยนก ไตลื้อ ไตใหญ่ ไตดำ� ไตแดง ไตขาว 1. ข้าพเจ้าขอขอบคุณ ดร.แอนโทนี่ รีด จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ออสเตรเลีย ส�ำ หรบั ความช่วยเหลอื ในการใหก้ รอบความคดิ ในสว่ นนี้ 2. G.H Luce, tran., Man Shu (Book of the South Barbarians) (Ithaca, 1991), pp. 83-84. **. ค�ำ วา่ Angor หมายถงึ จกั รวรรด/ิ อาณาจกั รพระนคร หรอื มกั เรยี กกนั วา่ เมืองพระนคร มอี ายยุ าวนานถึง 641 ปี ตง้ั แตค่ ริสต์ศตวรรษที่ 8-15 หรือ  พ.ศ. 1333-1974 (790-1431) มเี มอื งหลวงตงั้ อยหู่ ลายแหง่ ตามยคุ สมยั เรมิ่ แรก ในคริสตศ์ วรรษที่ 8 สมยั พระบาทชัยวรมันท่ี 2 (พ.ศ. 1333-1345 หรือ 1348 (790-802 หรอื 805)) สรา้ งเมืองหลวงคือ หรหิ ราลัย บริเวณเขาพนมกุเลน หรอื บริเวณ รอ่ ลวย ในปจั จบุ ัน ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 9 สมยั พระบาทยโศวรมนั ท่ี 1 (พ.ศ. 1432-1453 หรอื 1458 (889-910 หรือ 915)) สรา้ งเมืองใหม่ท่ี กรุงศรยี โศธรปรุ ะ บรเิ วณภเู ขา พนมบาเค็ง/เกง็ ถอื เป็นจดุ เร่มิ ต้นของอาณาจกั รพระนครยุคนครวดั -นครธม ถงึ สมยั พระบาทชยั วรมนั ท่ี 4 (พ.ศ. 1471-1484 (928-941)) ยา้ ยเมอื ง หลวงขน้ึ ไปทางเหนอื ทโ่ี ฉกเกยร์ หรอื คนไทยเรยี กวา่ เกาะแกร์ อยปู่ ระมาณ 7 ปี พระบาทราเชนทรวรมนั ท่ี 2 (พ.ศ. 1487-1511 (944-968)) กย็ า้ ยเมอื ง หลวงกลบั มาทก่ี รงุ ศรยี โศธรปรุ ะ แตน่ า่ ตง้ั ศนู ยก์ ลางแหง่ ใหมท่ บ่ี รเิ วณปราสาท แมบ่ ญุ ตะวนั ออกในปจั จุบัน กษตั ริยอ์ งค์ตอ่ ๆ มาไดข้ ยายเมืองออกไป จนถงึ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 12 สมยั พระบาทสรุ ยิ วรมนั ท่ี 2 (พ.ศ. 1655-1693 (1112-1150)) จงึ สร้างปราสาทนครวัดข้นึ ถอื เปน็ ยุครงุ่ เรืองของอาณาจกั รพระนคร จนสู่สดุ ยอดในอกี 30 ปีเศษ ตอ่ มา คอื สมยั พระบาทชยั วรมนั ที่ 7 (พ.ศ. 1724-1762 (1181-1219)) จงึ ไดส้ รา้ งเมอื งหลวงใหมข่ องอาณาจกั รพระนคร ชอ่ื นครธม (แปลวา่ เมอื งใหญ)่ 1 | เบ้ืองแรกประวตั ศิ าสตรไ์ ท-ไต 27

นบั ตั้งแตค่ รสิ ต์ศตวรรษที่ 13 อาณาจกั รพระนครเขา้ สู่ยคุ เรม่ิ เสอ่ื ม จน ใน พ.ศ. 1974 (1431) เจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรอี ยุธยาได้บกุ โจมตนี ครธมจน แตก เป็นอนั สน้ิ สดุ จกั รวรรด/ิ อาณาจักรพระนคร (บรรณาธิการ) 28 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

บทท่ี 2 คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณตา่ งๆ  ในช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11 และ 12 นคี่ อื ยุคทองของบรรดา จกั รวรรดิโบราณบนผืนแผน่ ดินใหญข่ องเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ท่ี ไดร้ บั อารยธรรมจากอนิ เดยี แลว้ จกั รวรรดเิ หลา่ นน้ั กไ็ ดส้ รา้ งอนสุ รณ สถานอันย่ิงใหญ่และทิ้งศิลาจารึกไว้เป็นจำ�นวนมาก เพ่ือเป็นหลัก ฐานถงึ ความรแู้ ละภูมปิ ัญญาของตนเอง น่คี ือยุคทองของจกั รวรรดิ พระนคร ในรัชสมยั ของพระบาทสุรยิ วรมนั ท่ี 1 พระบาทสรุ ิยวรมัน ท่ี 2 พระบาทชยั วรมนั ท่ี 7 ผสู้ รา้ งปราสาทนครวดั นครธม และบายน นี่คือยุคทองของจักรวรรดิพุกาม ในรัชสมัยพระเจ้าอโนรธาและ พระเจา้ ครรชติ ผสู้ รา้ งวดั วาอารามอนั ดาษดนื่ ในเมอื งพกุ าม ยงิ่ กวา่ นน้ั อารยธรรมสมยั เมอื งพระนครและอารยธรรมพกุ ามนน้ั ไมใ่ ชเ่ ปน็ ปรากฏการณ์ท่ีเรียบง่ายของพวกผู้ดีชั้นสูงเท่าน้ัน แต่ยังเป็นจำ�กัด วงอยู่เฉพาะในเมืองหลวงที่ห่างไกลจากชีวิตของคนธรรมดาสามัญ อีกด้วย อารยธรรมดังกล่าวแผ่ขยายไปยังชนบท และภูมิภาคโดย 2 | คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณต่างๆ 29



นบั ตั้งแตค่ รสิ ต์ศตวรรษที่ 13 อาณาจกั รพระนครเขา้ สู่ยคุ เรม่ิ เสอ่ื ม จน ใน พ.ศ. 1974 (1431) เจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรอี ยุธยาได้บกุ โจมตนี ครธมจน แตก เป็นอนั สน้ิ สดุ จกั รวรรด/ิ อาณาจักรพระนคร (บรรณาธิการ) 28 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

บทท่ี 2 คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณตา่ งๆ  ในช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11 และ 12 นคี่ อื ยุคทองของบรรดา จกั รวรรดิโบราณบนผืนแผน่ ดินใหญข่ องเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ท่ี ไดร้ บั อารยธรรมจากอนิ เดยี แลว้ จกั รวรรดเิ หลา่ นน้ั กไ็ ดส้ รา้ งอนสุ รณ สถานอันย่ิงใหญ่และทิ้งศิลาจารึกไว้เป็นจำ�นวนมาก เพ่ือเป็นหลัก ฐานถงึ ความรแู้ ละภูมปิ ัญญาของตนเอง น่คี ือยุคทองของจกั รวรรดิ พระนคร ในรัชสมยั ของพระบาทสุรยิ วรมนั ท่ี 1 พระบาทสรุ ิยวรมัน ท่ี 2 พระบาทชยั วรมนั ท่ี 7 ผสู้ รา้ งปราสาทนครวดั นครธม และบายน นี่คือยุคทองของจักรวรรดิพุกาม ในรัชสมัยพระเจ้าอโนรธาและ พระเจา้ ครรชติ ผสู้ รา้ งวดั วาอารามอนั ดาษดนื่ ในเมอื งพกุ าม ยงิ่ กวา่ นน้ั อารยธรรมสมยั เมอื งพระนครและอารยธรรมพกุ ามนน้ั ไมใ่ ชเ่ ปน็ ปรากฏการณ์ท่ีเรียบง่ายของพวกผู้ดีชั้นสูงเท่าน้ัน แต่ยังเป็นจำ�กัด วงอยู่เฉพาะในเมืองหลวงที่ห่างไกลจากชีวิตของคนธรรมดาสามัญ อีกด้วย อารยธรรมดังกล่าวแผ่ขยายไปยังชนบท และภูมิภาคโดย 2 | คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณต่างๆ 29

รอบบริเวณที่กลุ่มคนไท-ไตและกลุ่มคนอ่ืนๆ อาศัยอยู่ เมื่อพินิจ พิจารณาอารยธรรมโบราณ ในช่วงคริสตศ์ ตวรรษที่ 11 และ 12 ซึง่ กล่มุ คนไท-ไตรบั เขา้ มาแลว้ นน้ั เราจะเหน็ คณุ คา่ ของสถานการณ์ท่ี เกิดจากการรับอารยธรรมอินเดีย และการครอบงำ�ของอารยธรรม ดงั กลา่ วตอ่ วฒั นธรรมของกลมุ่ คนไท-ไตในทรี่ าบลมุ่ ของเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ แมว้ า่ ปจั จบุ นั จะมเี สน้ แบง่ อยา่ งชดั เจนระหวา่ งกลมุ่ คนไท-ไต ทอ่ี ยูภ่ ายใต้การครอบงำ�ของอารยธรรมอนิ เดีย และกลุ่มคนทไ่ี มไ่ ด้ อยู่ภายใต้อารยธรรมดังกล่าว ทั้งยังมีกลุ่มคนไท-ไตที่นับถือพุทธ ศาสนา และกลมุ่ คนทีไ่ มไ่ ดน้ ับถอื พุทธศาสนา และยงั มีกลมุ่ คนที่ใช้ ภาษาทผ่ี สมค�ำ จากภาษาสนั สกฤตและบาลี และกลมุ่ คนทไ่ี มใ่ ชภ้ าษา ท่ีมีการผสมคำ�แบบนี้ จากข้างต้นจะเห็นได้ว่าเส้นแบ่งที่เกิดข้ึนนั้น เปน็ การแบง่ แยกระหวา่ งกลมุ่ คนทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลของอารยธรรมสมยั เมอื งพระนครและพกุ ามช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11 และ 12 กบั กลุม่ คน ที่ไม่ไดร้ บั อิทธิพลจากอารยธรรมเหล่านี้ ทวารวดี รากฐานของอารยธรรมพทุ ธศาสนาในตอนกลางของภมู ภิ าค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หยั่งรากลงก่อนหน้านั้นแล้ว คือ ระหว่าง ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 6 และ 9 ในชว่ งเวลานนั้ ความซบั ซอ้ นทางวฒั นธรรม พทุ ธศาสนาอนั โดดเดน่ ไดก้ อ่ ตวั ขน้ึ ในพน้ื ทต่ี อนกลางและทางตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ซ่งึ เก่ียวขอ้ งกับชาวมอญ พน้ื ทน่ี ้นั มีชื่อว่า ทวารวดี น้อยคนนักที่จะทราบถึงประวัติศาสตร์ความเป็น มา ขอบเขตทางภมู ิศาสตร์ และแม้แตท่ ่ีตั้งของเมืองหลวงของทวาร วดี ท้ังนี้ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่า ทวารวดีมีเมืองหลวง 30 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

กลุ่มเมอื งทวารวดี 2 | คนไท-ไต และอาณาจักรโบราณตา่ งๆ 31

เพียงแหง่ เดียวหรือไม่ อยา่ งไรก็ตาม มีจารึกของทวารวดีอย่หู ลาย หลักทีจ่ ารึกดว้ ยภาษามอญ จงึ สันนษิ ฐานได้วา่ ทวารวดนี ัน้ เกดิ ขึน้ ในปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 6 และเกิดข้ึนในลักษณะของอารยธรรม มากกว่าอาณาจักร เพื่อผลประโยชน์ในการค้าทางบก ตั้งแต่อ่าว เมาะตะมะไปสอู่ า่ วไทย (ผ่านทางด่านเจดยี ์สามองค์) โดยลกั ษณะ ของกลมุ่ เมอื งของทวารวดนี น้ั จะรวมตวั กนั อยอู่ ยา่ งหนาแนน่ มานาน แล้ว ตามแนวท่ีราบตอนกลางของประเทศไทย กลุ่มเมืองทางทิศ ตะวันตกจะอยู่บริเวณนครปฐมและสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นท่ีรู้จักกันดี และที่น่ีเองที่พบเหรียญท่ีจารึกข้อความไว้ว่า “ศรีทวารวตี ศวร ปณุ ยะ” ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ หลกั ฐานเพยี งชน้ิ เดยี วของอารยธรรมดงั กลา่ ว การแผ่ขยายของกลุ่มเมืองของทวารวดี และการขุดค้นพบ วตั ถตุ า่ งๆ ในกลมุ่ เมอื งดงั กลา่ ว นบั เปน็ การเปดิ เผยขอ้ มลู อนั มากมาย เก่ียวกับอารยธรรมทวารวดี กลุ่มเมืองของทวารวดีตอนกลางท่ีตั้ง อยโู่ ดยรอบทร่ี าบภาคกลางของประเทศไทย และไดแ้ ผข่ ยายออกไป ตามเส้นทางที่คาดว่าจะเป็นเส้นทางการค้าทางบกที่มุ่งไปทางทิศ ตะวันตกจนถึงประเทศพม่า และที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกจนถึง ประเทศกมั พชู า อกี เสน้ ทางหนึง่ ทมี่ งุ่ ไปทางทศิ เหนอื จากลุ่มแมน่ ำ้� เจ้าพระยาจนถึงเชียงใหม่ และไปจนถึงที่ราบลุ่มแม่นำ้�ป่าสัก จรด ทางเหนอื ของประเทศลาว สว่ นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนอื นัน้ ไป จนถงึ ทรี่ าบสงู โคราช ดว้ ยลกั ษณะของกลมุ่ เมอื งของทวารวดนี นั้ เออ้ื ต่อการทำ�การค้า จากการขุดค้นพบวัตถุที่มาจากต่างแดนที่นำ�เข้า มายงั ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เชน่ ลกู ปัด เหรยี ญ ตะเกยี ง แมก้ ระทงั่ รปู หลอ่ ทนี่ �ำ เขา้ มาจากตา่ งแดน แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การตดิ ตอ่ ระหวา่ งทวารวดกี บั ชาวตา่ งชาตติ า่ งแดน ทสี่ �ำ คญั ทง้ั ทางดา้ นเศรษฐกจิ และวฒั นธรรม กลมุ่ เมอื งของทวารวดที างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื แผข่ ยาย 32 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

จนครอบคลมุ ที่ราบสูงโคราช ตง้ั แต่เมืองสมี า (นครราชสีมา) และ นา่ จะถงึ เมอื งฟา้ แดดสงยาง จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ และอาจขยายเรอื่ ยไป จนถงึ เมอื งโพนโฮง บรเิ วณชายแดนทางเหนอื ของทร่ี าบเวยี งจนั และ บรเิ วณพนื้ ทเ่ี หลา่ นนี้ เ่ี องมกี ารคน้ พบพระพทุ ธรปู แบบทวารวดี เปน็ ได้อย่างมากท่ีจะต้ังสมมติฐานว่า กลุ่มเมืองของทวารวดีดังท่ีกล่าว มาน้ันอยู่บนเส้นทางทางบก ท่ีเช่ือมอ่าวไทยกับดินแดนทางเหนือ ของเวียดนาม โดยแต่เดิมเราเช่ือกนั วา่ กลมุ่ เมืองเลก็ เมืองน้อยทาง เหนอื ซ่ึงมีศูนยก์ ลางอย่บู รเิ วณล�ำ พูนและเชยี งใหม่ ซึง่ เรมิ่ กอ่ ตงั้ ข้ึน ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 6 นน้ั เปน็ ลกู หลานในเมอื งทสี่ �ำ คญั ของทวารวดี ที่มีศูนย์กลางอยู่ท่ีลพบุรี ท้ังน้ี กลุ่มเมืองทางเหนือดังกล่าวล้วน เก่ียวข้องกับการค้าทางบกระหว่างเมืองในลุ่มแม่นำ้�เจ้าพระยาถึง ยนู นานอีกดว้ ย ตามเมอื งตา่ งๆ ทไี่ ดพ้ บจารกึ ภาษามอญ รวมไปถงึ ทเ่ี มอื งฟา้ แดดสงยางดว้ ย ทัง้ ลกั ษณะตวั เมอื ง (ผงั เมอื งมลี กั ษณะเป็นวงกลม และวงร)ี ลอ้ มดว้ ยก�ำ แพงดนิ และคเู มอื ง ทงั้ ยงั มซี ากปรกั หกั พงั ทาง พุทธศาสนาอย่มู าก รวมไปถึงศาสนสถานทางพุทธศาสนา รปู หลอ่ พระพทุ ธรปู รปู ปนั้ เครอื่ งปนั้ ดนิ เผา และพระพมิ พด์ นิ เผาหรอื โลหะ จารึกภาษามอญนั้นไม่ได้ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์การเมืองของ ภูมิภาคน้ีแต่อย่างใด แต่เราไดข้ ้อสรุปในเร่อื งดงั กลา่ วจากหลักฐาน อน่ื ๆ เมอื งทม่ี ปี ราการอนั แนน่ หนาน้ี เมอื่ รวมกบั ตวั ก�ำ แพงเมอื งกจ็ ะ มพี น้ื ทถี่ งึ 10 ตารางกโิ ลเมตร ซง่ึ พอทจ่ี ะชใี้ หเ้ หน็ ถงึ การขยายตวั ของ พลเมอื งในเมอื งดงั กลา่ ว ผทู้ อี่ ยอู่ าศยั ในเมอื งอาจใชแ้ รงงานจากผคู้ น ท่ีอาศัยอยู่รอบเมืองช้ันนอก และอาจทำ�อาชีพท่ีเกี่ยวข้องกับการ ขนส่งสนิ คา้ จ�ำ พวกโลหะ เครื่องเทศ ของปา่ และผ้า คนเหลา่ น้ีสว่ น มากเปน็ ชาวพทุ ธ และสนบั สนนุ การลงหลกั ปกั ฐานของศาสนาพทุ ธ อยา่ งมาก วถิ ที างศาสนาอาจไดร้ บั การฟนื้ ฟอู ยเู่ นอื งๆ จากการตดิ ตอ่ 2 | คนไท-ไต และอาณาจักรโบราณตา่ งๆ 33

ใบเสมาสมัยทวารวดี (ประมาณคริสต์ศตวรรษท่ี 6-9) จากเมืองฟ้า แดดสงยาง จังหวดั กาฬสินธุ์ 34 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

กบั อนิ เดยี ผา่ นทางคณะสงฆ์ และการนำ�เข้าส่ิงของตา่ งๆ เชน่ พระ คมั ภรี แ์ ละงานศลิ ปะ พระพทุ ธรปู แบบทวารวดนี นั้ สกดั มาจากหนิ ใน บริเวณน้ัน โดยช่างป้ันท้องถิ่น ข้ึนรูปด้วยดินเหนียวสีน้ำ�ตาลแดง หรอื ฉาบดว้ ยปนู ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะพเิ ศษของพระพทุ ธรปู แบบทวารวดี พระพุทธรูปหินในท่าน่ังห้อยพระบาท โดยใช้การขึ้นรูปแบบยุโรป นั้น เป็นท่รี ู้จักและไดร้ ับการเผยแพรอ่ ย่างกวา้ งขวาง ส่วนแผ่นหิน แกะสลกั ไมเ่ ป็นทน่ี ิยมทำ�กนั มากนกั แตใ่ ช้เปน็ เครื่องหมายกำ�หนด เขตพระอโุ บสถ ตวั อยา่ งทสี่ วยงาม คอื แผน่ หนิ แกะสลกั ฝมี อื ประณตี พบทีเ่ มอื งฟา้ แดดสงยางน่ันเอง บางเมืองในทวารวดีน้นั ขาดแคลน ดนิ เหนยี วทนี่ �ำ มาใชท้ �ำ พระพมิ พ์ นอกจากนน้ั ยงั มกี ารสลกั พระสตู ร บาลเี ปน็ ภาษามอญไวบ้ นองคพ์ ระพทุ ธรปู อกี ดว้ ย ซากทางโบราณคดี ดงั กลา่ วเปน็ เครอื่ งพสิ จู นถ์ งึ การด�ำ รงอยขู่ องอารยธรรมพทุ ธศาสนา ท่ีมีผู้คนจำ�นวนมากนับถือ ท้ังยังแผ่ขยายในวงกว้างอีกด้วย โดย ปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศไทยและส่วนหน่ึงของประเทศลาว อารยธรรมทวารวดนี น้ั มคี ณุ ลกั ษณะเฉพาะและมคี วามตา่ งอยา่ งสน้ิ เชงิ กบั เพอื่ นบา้ น เชน่ เขมร ซง่ึ บางสว่ นของอารยธรรมทวารวดอี าจ ไดม้ าจากอตั ลักษณท์ างภาษาและความเปน็ ชาตพิ ันธ์มุ อญ ในชว่ งสมยั ทวารวดี ลกั ษณะความสมั พนั ธข์ องแตล่ ะภมู ภิ าค ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตน้ นั้ เพงิ่ เรมิ่ เปน็ รปู เปน็ รา่ ง ซง่ึ นา่ จะมคี วาม เก่ียวเน่ืองต่อประวัติศาสตร์ของคนไท-ไตด้วยว่า กลุ่มคนดังกล่าว อาศัยอยู่บริเวณชายขอบของทวารวดี และนี่เอง อาจเป็นเหตุให้ ทวารวดเี ขา้ มามคี วามสำ�คญั ตอ่ ชวี ติ คนไท-ไต ในยคุ อนั รงุ่ เรอื งของ ทวารวดี มกี ารคบคา้ ระหวา่ งดนิ แดนบรเิ วณอา่ วไทย และรมิ แมน่ �้ำ โขง ตอนบนอยา่ งเปน็ ปกติ (ผา่ นทางเชยี งใหมแ่ ละล�ำ พนู ) จากแมน่ �้ำ โขง ตอนลา่ ง (ผา่ นทางทร่ี าบสงู โคราช) และอาจตอ่ เนอื่ งไปจนถงึ ยนู นาน จามปา และเวยี ดนาม 2 | คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณต่างๆ 35

ตัวอย่างท้ังสองประการต่อไปน้ีจะชี้ให้เห็นความสำ�คัญของ การเชื่อมโยงสัมพันธ์ดังกล่าว ประการแรก จากหลักฐานในกลุ่ม พงศาวดารทางเหนอื พบวา่ เมอื งหรภิ ญุ ไชยไดก้ อ่ ตงั้ ขนึ้ ทลี่ �ำ พนู เมอื่ วนั ที่ 19 กมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. 1204 (661) (วนั ทที่ รี่ ะบไุ วไ้ มเ่ ปน็ ความจรงิ แต่อย่างใด แต่ผู้รู้ได้คาดคะเนเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดขึ้นในช่วง ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 9) โดยบรรดาฤษที ไี่ มใ่ ชพ่ ระในพทุ ธศาสนา กลมุ่ หน่ึงที่รู้จักกับทางลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ บรรดาฤษีกลุ่มนี้ได้ กราบบังคมทูลกษัตริย์ชาวพุทธแห่งเมืองลพบุรี ให้ทรงแต่งต้ังผู้ ปกครองใหแ้ กเ่ มอื งหรภิ ญุ ไชย กษตั รยิ เ์ มอื งลพบรุ จี งึ ไดพ้ ระราชทาน พระราชธดิ า มพี ระนามวา่ พระนางจามเทวี พระนางไดเ้ สดจ็ ยงั เมอื ง หรภิ ุญไชย พรอ้ มดว้ ยเหล่าข้าราชบริพารชาวมอญมากมาย และได้ สถาปนาราชวงศ์ปกครองเมืองหริภุญไชย ต่อมาจนถึงกลางคริสต์ ศตวรรษท่ี 11 ท้ังระหว่างและหลังจากราชวงศ์มอญของพระนาง จามเทวปี กครองเมอื งหรภิ ญุ ไชยนน้ั ลพบรุ ใี หค้ วามส�ำ คญั แกห่ รภิ ญุ ไชย และบรรดาเมอื งทางเหนอื ในฐานะศนู ยก์ ลางทางศาสนาและวฒั นธรรม พระสงฆเ์ องกไ็ ดไ้ ปศกึ ษาเลา่ เรยี นและปฏบิ ตั ธิ รรมทนี่ น่ั และยงั คงมี ความสัมพันธ์กันในด้านการค้าขายและด้านการเมืองการปกครอง อยูเ่ ชน่ เดิม (*ประการทส่ี อง) อารยธรรมทวารวดใี นชว่ งคริสต์ศตวรรษท่ี 6 ถงึ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 9 นน้ั ยงั คงมปี ญั หาคา้ งคาอยู่ เพราะยงั มคี �ำ ถาม ทย่ี งั ตอบไมไ่ ดใ้ นเรอ่ื งสถาบนั การเมอื งการปกครอง และการรวมตวั กันของกลุ่มชาติพันธ์ุต่างๆ ในทวารวดี เราไม่สามารถระบุได้ถึง บริเวณที่อยู่ในเขตการปกครองของทวารวดีในแต่ละยุค และไม่ สามารถช้ชี ัดลงไปได้ว่า คนกลุ่มใดคือพลเมอื งของทวารวดี อกี ท้ัง เรายังไม่ทราบเลยว่า ทวารวดีมีเมืองหลวงเพียงแห่งเดียวหรือไม่ และตงั้ อยทู่ ่ีใดกนั แน่ ทงั้ น้ี มคี วามเปน็ ไปได้สงู วา่ คนไท-ไตไดย้ ้าย 36 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

ถ่ินเข้ามายังบ้านเมืองทางทิศเหนือของภูมิภาคน้ี ซ่ึงเป็นบริเวณท่ี อารยธรรมทวารวดตี ง้ั อยู่ แตเ่ รากไ็ มส่ ามารถปกั ใจเชอ่ื ในเรอื่ งน้ี จนถงึ คริสต์ศตวรรษที่ 11 เมื่อเรื่องราวของคนไท-ไตได้ปรากฏข้ึน ใน หนงั สอื โบราณของราชวงศท์ างตอนใต้ ซง่ึ ไดถ้ อดความและกลา่ วถงึ เรอ่ื งน้ี ทั้งนสี้ ง่ิ ที่ส�ำ คญั คอื พุทธศาสนาได้ลงหลกั ปักฐานอยา่ งดีแลว้ และมีความสมั พันธอ์ ันเหนียวแนน่ กบั “โลกภายนอก” ทำ�ใหพ้ ทุ ธ ศาสนานนั้ ด�ำ รงอยูแ่ ละววิ ฒั นต์ ่อไปได้ เมืองพระนครและคนไท-ไต คงจะเป็นการง่ายที่จะยกสมัยเมืองพระนครมาเปรียบเทียบ ความต่างกับต้นสมัยทวารวดี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 และ 12 สมยั เมอื งพระนครนน้ั มเี มอื งหลวงทช่ี ดั เจน ทง้ั ยงั ไดท้ ง้ิ รอ่ งรอยจารกึ ตา่ งๆ ไวม้ ากมาย แตป่ ระวตั ศิ าสตรท์ างการเมอื งนน้ั กลบั คลมุ เครอื เชน่ เดยี วกบั สมยั ทวารวดี เราทราบวา่ หลงั จากการก่อตงั้ เมอื งหลวง ในบริเวณกรุงศรียโศธรปุระโดยพระบาทชัยวรมันท่ี 2 (*น่าจะเป็น ยโศวรมันที่ 1) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 9 นั้น จักรวรรดิได้แผ่ ขยายไปทางตะวนั ตกและทางเหนอื อยา่ งรวดเรว็ คงมมี ลู อยไู่ มน่ อ้ ย ทจี่ ะคาดการณว์ า่ อาจเปน็ ไดท้ ง้ั ทพี่ ระองคไ์ ดเ้ ขา้ ยดึ ครองเมอื งหลวง ของทวารวดี หรือไม่ก็ได้ยึดดินแดนบางส่วนไว้ได้ และแล้วกรุงศรี ยโศธรปุระก็ประสบความสำ�เรจ็ ในการเขา้ ครองอำ�นาจของทวารวดี เหนือดินแดนตอนกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม่ือส้ินคริสต์ ศวรรษท่ี 9 และนคี่ อื เหตผุ ลชน้ั ดที จี่ ะสรปุ ไดว้ า่ กรงุ ศรยี โศธรปรุ ะได้ กลายเป็นจักรวรรดิอันทรงอำ�นาจแต่เพียงแห่งเดียวในภูมิภาคน้ีใน สมยั นั้น 2 | คนไท-ไต และอาณาจักรโบราณต่างๆ 37

หากต้องการสืบค้นถึงความสำ�คัญของจักรวรรดิศรี ยโศธรปุระสมัยเมืองพระนครท่ีมีต่อภูมิภาคนี้ จะเป็นการดีหากเรา หาความโดดเด่นและสิ่งเฉพาะตน ระหว่างหัวเมืองของเขมรที่เป็น แกนหลักในจักรวรรดินี้ กับหัวเมืองโดยรอบที่ซึ่งมีพลเมืองจำ�นวน มากท่ไี มใ่ ช่ชาวเขมรอาศยั อยู่ เม่อื ยอ้ นกลบั ไปศึกษาเหตุการณช์ ว่ ง ปลายสมยั ของจกั รวรรดดิ งั กลา่ ว คอื ชว่ งตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13 เรา สามารถคาดเดาได้วา่ ช่วงครสิ ต์ศตวรรษที่ 11 และ 12 เขมรได้รวม พลเมืองส่วนใหญ่ท่ีมีจำ�นวนไม่เกินพลเมืองของกัมพูชาในปัจจุบัน จากท่รี าบลมุ่ แมน่ ้�ำ โขงจรดทางเหนอื ราวสะหวันนะเขดในลาว และ บริเวณทรี่ าบล่มุ แม่นำ้�ชีตอนบน จนถึงจงั หวดั รอ้ ยเอ็ด โดยผา่ นทาง ทร่ี าบล่มุ แม่น้�ำ มูล จนถงึ ทางตะวนั ตกของทรี่ าบสงู โคราช และจาก ที่ราบสูงโคราชเร่ือยมา จนถึงทางเหนือและทางตะวันออกของ กรงุ เทพฯ ในปจั จบุ นั พลเมอื งมอญ-พทุ ธของทวารวดนี นั้ อาจจะหลง เหลอื อยูท่ างตะวนั ตก ในบรเิ วณภาคกลางตอนลา่ ง และบรเิ วณแอง่ แมน่ �ำ้ ปิงตอนบน ซึ่งอยูร่ ะหว่างล�ำ พูนและเชียงใหม่ ความเปน็ เมือง พเี่ มอื งนอ้ งนไ้ี ดข้ ยายตวั ออกไปทางดา้ นตะวนั ออก นนั่ กค็ อื ทางภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ในปจั จบุ นั ของประเทศไทย และในสมยั นน้ี เ่ี อง ทพ่ี ลเมอื งเขมรไดแ้ ทรกซมึ เขา้ มา และคนไท-ไตกไ็ ดเ้ ขา้ มาผสมปนเป อยู่กบั ชาวเขมร จากซากโบราณสถานทส่ี ำ�คญั ตา่ งๆ และศลิ าจารกึ ตา่ งๆ ของ เขมรนั้น บ่งชี้ว่าผู้ปกครองสมัยเมืองพระนครใช้หลากหลายวิธีการ เพอ่ื ทจี่ ะควบคมุ พน้ื ทโี่ ดยรอบดว้ ยการกมุ อ�ำ นาจสงู สดุ ทางการทหาร และทางการทูต โดยแต่งตั้งเจ้าเมืองไปปกครองหัวเมืองต่างๆ ที่ ส�ำ คญั หรอื บางครง้ั แตง่ ตง้ั เจา้ ชายไปอา้ งสทิ ธป์ิ กครองหวั เมอื งส�ำ คญั ตา่ งๆ ในฐานะรชั ทายาทแหง่ กรงุ ศรยี โศธรปรุ ะอกี ดว้ ย เจา้ ชายเหลา่ นี้มีข้าราชบริพารจำ�นวนมากตามเสด็จอย่างเป็นทางการ เช่น ผู้ 38 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ตรวจการ ผจู้ ดั เกบ็ ภาษี นายทหารฝา่ ยพลาธกิ าร เจา้ หนา้ ทอี่ าลกั ษณ์ ผพู้ พิ ากษา พนกั งานตลุ าการ ผปู้ ระเมนิ ภาษี และทหารรกั ษาการณ์ ท้ังยังมีเหล่าโหรและผู้รู้ทางศาสนา เพื่อเป็นการปูรากฐานให้แก่ ศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา ไกลออกไปจากแกนกลางของ จกั รวรรดศิ รยี โศธรปรุ ะ หวั เมอื งทเี่ ปน็ ศนู ยก์ ลางของจกั รวรรดนิ นั้ นา่ จะเป็นที่ธาตุพนม สกลนคร และที่ไซฟอง บริเวณตอนกลางของ ทีร่ าบลมุ่ แม่น�ำ้ โขง รวมไปถึงพมิ ายท่ีโคราช และลพบรุ ี นครชยั ศรี ราชบรุ ี (และอาจไปถงึ เพชรบรุ )ี ในบรเิ วณทรี่ าบลมุ่ แมน่ ้ำ�เจา้ พระยา ตอนล่าง และพิษณโุ ลก สวรรคโลก และสุโขทยั หรอื ศรสี ัชนาลัย ทางตอนเหนอื ของทีร่ าบภาคกลางในประเทศไทย โดยเฉพาะ นับจากรชั สมัยของพระบาทชยั วรมันท่ี 7 (พ.ศ.  1724-1762 (1181-1219)) หรอื อาจจะกอ่ นหนา้ สมยั ดงั กลา่ ว จกั รวรรดิ นครธมสามารถรวมเมืองต่างๆ เข้าด้วยกันได้ โดยอาศัยเครือข่าย ด้านคมนาคมและการตั้งสถาบันต่างๆ ระบบการสร้างถนนหนทาง กไ็ ดม้ กี ารถมเพือ่ ยกระดบั ให้สูงข้นึ และไดส้ ร้างสะพานข้ามคคู ลอง เพ่ือเช่ือมตัดเข้าสู่ใจกลางของจักรวรรดิ เราพบร่องรอยดังกล่าวที่ เปน็ การเชอ่ื มระหวา่ งพมิ ายและนครธม และระหวา่ งธาตพุ นมกบั ไซ ฟอง เราคาดวา่ แทจ้ รงิ แลว้ ควรมถี นนจากลพบรุ ที ใ่ี ชข้ นสง่ น�ำ้ ไปทาง ทศิ เหนอื และทางตะวนั ตก ดว้ ยพระราชานเุ คราะหจ์ ากองคก์ ษตั รยิ ์ แห่งนครธมอันไกลโพ้น และด้วยความอนุเคราะห์ของเจ้าเมืองใน ท้องถน่ิ และด้วยการอุปถัมภ์ศาสนา เราจึงไดพ้ บส่ิงปลกู สรา้ งทาง ศาสนาอยตู่ ามเมอื งตา่ งๆ โดยรอบ สงิ่ ปลกู สรา้ งทสี่ ำ�คญั กลบั ไดแ้ รง บนั ดาลใจมาจากพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน ในชว่ งเวลาทพ่ี ทุ ธศาสนา ไดร้ บั ความนยิ มในราชสำ�นกั แตใ่ นราชสำ�นกั กม็ คี นจำ�นวนหนงึ่ คอื พราหมณ์และผู้รู้ที่อุทิศตัวศรัทธาต่อไศวนิกาย หรือไวษณพนิกาย ทัง้ สองศาสนาน้นั ได้วางรากฐานแก่สถาบนั ศาสนาท่มี ีความสำ�คญั 2 | คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณตา่ งๆ 39

ตอ่ พลเมอื ง มากกวา่ จะเปน็ แคค่ วามงดงามทางสถาปตั ยกรรมทส่ี รา้ ง ขนึ้ ทงั้ นที้ รพั ยากรแรงงานและความศรทั ธาของคนเหลา่ นก้ี อ่ ใหเ้ กดิ สิ่งปลูกสร้างอันใหญ่โต ครอบครัวจำ�นวนมากได้รับมอบหมายให้ ชว่ ยเหลอื สถาบนั ศาสนาเหลา่ นไี้ ปตลอด เชน่ เปน็ ขา้ พระรบั ใชใ้ นวดั ดแู ลศาสนสถาน หรอื รบั ใชพ้ ระศาสนา แลกกบั การไดร้ บั ยกเวน้ ภาษี และการถกู เกณฑ์แรงงาน สถาบนั เหลา่ นมี้ ขี นึ้ เพ่อื เป็นการอทุ ิศและ ถวายความเคารพแด่พระเจ้าและศาสนา ท้ังยังเป็นเคร่ืองมือทาง การเมอื งและศาสนาเพอ่ื เชอ่ื มโยงผคู้ นในสงั คมเขา้ กบั กษตั รยิ ์ ทที่ รง เปน็ ทั้งผ้ปู กครองและเทพเจ้า กลา่ วคอื กษตั ริย์ทรงเป็นทง้ั พระศวิ ะ พระวิษณุ และพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ การร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา ตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในวดั นน้ั จงึ ถอื เปน็ กจิ กรรมทางการเมอื งและศาสนา การรวมตัวของพลเมืองโดยรอบจักรวรรดิพระนครที่นครธม น้ัน โดยมากแลว้ เป็นคนไท-ไต ท้งั ทอ่ี ยตู่ อนกลางแมน่ ้�ำ โขงในลาว และบรเิ วณสยามแถบตอนกลางของประเทศไทย บรเิ วณท้งั สองใน ปจั จบุ นั ยงั คงมพี ธิ กี รรมทางศาสนาและความเชอ่ื แบบทอ้ งถน่ิ แมจ้ ะ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลของพทุ ธศาสนาเถรวาทมามากแลว้ แตย่ งั คงมรี อ่ งรอย ของพุทธศาสนามหายานแต่เดิมอยู่ (ตัวอย่างเช่น ในคำ�สวดของ นกิ ายมหายาน ยังคงมกี ารใช้ศพั ท์ภาษาสนั สกฤตอยู่มาก แทนท่ีจะ ใช้ภาษาบาลีแบบนิกายเถรวาท) ซ่ึงท�ำ ให้มลี ักษณะเฉพาะตวั โดย การผสมผสานศาสนาพราหมณอ์ กี ดว้ ย พธิ กี รรมตา่ งๆ นนั้ มขี น้ึ เพอ่ื ให้การเก็บเก่ียวผลผลิตเป็นไปด้วยดี หรือเพื่อคงไว้ซ่ึงสุขภาพ พลานามัยอันสมบูรณ์ หรือเพื่อเฉลิมฉลองช่วงเปลี่ยนผ่านสถานะ (วยั แรกรนุ่ วยั แต่งงาน และเมือ่ สนิ้ อายุขัย) พิธกี รรมดงั กล่าวไมใ่ ช่ วิถีของชาวพุทธ แต่กลับเป็นความเชื่อที่มีรากฐานมาจากศาสนา พราหมณ์ ท่ถี อื ปฏบิ ตั ิกันมาในสมยั จกั รวรรดพิ ระนคร นอกจากน้นั ยังมีหลักฐานมากมายเก่ียวกับศิวลึงค์ ซึ่งก็คือสัญลักษณ์ของพระ 40 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

ศิวะ ปรากฏอยู่ในสถานท่ีเคารพบูชาในหมู่บ้านและเมืองส่วนใหญ่ เราจึงสรุปได้ว่า บริเวณสยามและตอนกลางของลาวได้รับอิทธิพล ศาสนาพราหมณ์มาแต่เดิมและยาวนาน ท้ังมีความเกี่ยวเนื่องกับ ประเพณที างศาสนาดงั กลา่ วอกี ดว้ ย และเปน็ การพสิ จู นไ์ ดว้ า่ ประเพณี ตา่ งๆ นมี้ มี าชา้ นาน ประเพณตี า่ งๆ เหลา่ นอี้ าจจะแทรกซมึ เขา้ ไปใน เมืองต่างๆ ของจักรวรรดิพระนครได้ โดยแรงงานรับจ้างชั่วคราว หรอื ทหาร หรอื อาจเปน็ ขา้ พระ ผรู้ บั ใชใ้ นวดั ซง่ึ ไมใ่ ชช่ นชนั้ ปกครอง แลว้ ใครกนั เลา่ คอื ชนชนั้ ปกครองในหวั เมอื งตา่ งๆ ของจกั รวรรดิ พระนคร ชนช้ันปกครองโดยมากน่าจะเป็นชาวเขมรท่ีถูกส่งไปหัว เมอื งตา่ งๆ เพอ่ื เปน็ ตวั แทนจากเมอื งหลวงอนั ไกลโพน้ เพอื่ แสดงถงึ ความยงิ่ ใหญข่ องเทพเจา้ และกษตั รยิ อ์ นั ทรงเกยี รติ เชน่ ผแู้ ทนทสี่ ง่ ไปยังเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองรอบนอกท่ีสำ�คัญที่สุด ก่อนหน้าน้ัน ศูนย์กลางสำ�คัญของอารยธรรมทวารวดีคาดว่าจะมีหน่วยปกครอง เปน็ ของตนเอง ลพบรุ เี องกย็ งั คงเปน็ อสิ ระจนถงึ ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษ ที่ 11 หลังจากนั้น จงึ ถกู กองทัพจากอาณาจกั รหรภิ ญุ ไชยโจมตี แล้ว กษตั รยิ ์จากจักรวรรดิพระนคร คอื พระบาทอทุ ยั ทิตยวรมัน (พ.ศ.  1544-45 (1001-02)) ทรงใหก้ ารชว่ ยเหลือลพบุรี และชว่ ยต้านทัพ จากหรภิ ญุ ไชยอีกดว้ ย ต่อจากนนั้ มีเจ้าชายเชือ้ สายเขมร พระนาม วา่ พระบาทชยั วีรวรมนั เสดจ็ มาจากรฐั โบราณ นามว่า ตามพรลิงค์ (ต้ังอยู่บริเวณนครศรีธรรมราชบนคาบสมุทรมลายู) เข้ายึดครอง ลพบรุ ี แลว้ จงึ เคลอ่ื นทพั เขา้ ควบคมุ จกั รวรรดพิ ระนครไวไ้ ดบ้ างสว่ น จากนน้ั ไดท้ รงกอ่ กวนไมใ่ หเ้ มอื งทางเหนอื และตะวนั ออกของจกั รวรรดิ อยอู่ ย่างสงบ ต่อมาพระบาทสรุ ิยวรมนั ท่ี 1 (พ.ศ. 1550-93?(1007- 50?)) ผอู้ า้ งสทิ ธใ์ิ นราชบลั ลงั กแ์ หง่ กรงุ ศรยี โศธรปรุ ะ ไดใ้ ชฐ้ านก�ำ ลงั พลขนาดใหญเ่ ขา้ ครอบครองเมอื งหลวง รวมถงึ ผนวกลพบุรีเขา้ กบั จกั รวรรดทิ พ่ี ระองคย์ ึดครองไดส้ �ำ เร็จ 2 | คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณต่างๆ 41

ในขณะท่ีลพบรุ เี ป็นหัวเมอื งหน่ึงของจักรวรรดศิ รยี โศธรปุระ สมยั เมอื งพระนคร เปน็ ทแ่ี นช่ ดั วา่ ลพบรุ เี คยถกู ปกครองโดยเจา้ เมอื ง หลายคนด้วยกนั และอย่างนอ้ ยครงั้ หนึ่ง พระโอรสของพระบาทชัย วรมันที่ 7 ก็ได้ปกครองลพบุรีด้วย อย่างไรก็ตาม ลพบุรีมีความ พยายามท่ีจะเป็นอิสระ โดยการส่งทูตไปยังจีน เพื่อให้ได้รับการ ยอมรบั ครั้งแรกคือใน พ.ศ. 1544 (1001) ต่อมาใน พ.ศ. 1658 (1115) ได้เกิดปัญหาภายในกัมพูชา และพระบาทสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ.  1656-93 (1113-50))ไดเ้ สดจ็ สวรรคตในปเี ดียวกนั น้ี อาจเปน็ ไดว้ า่ กษัตริย์แห่งลพบุรีได้เป็นอิสระเวลานี้ และเป็นผู้สร้างจารึกไว้ท่ี นครสวรรค์ใน พ.ศ. 1710 (1167) (*จารึกดงแม่นางเมือง บ้านมาบ มะขาม ต.บางตาหงาย อ.บรรพตพสิ ยั จ.นครสวรรค)์ อยา่ งไรกต็ าม พระบาทชยั วรมนั ท่ี 7 ไดส้ ถาปนาเมอื งนครธมขนึ้ อกี ครง้ั ณ ใจกลาง สยาม ก่อน พ.ศ. 1723 (1180) และได้ถอยลงไปทางใต้ ไมห่ า่ งจาก คาบสมทุ รมลายูมากนัก ลพบรุ เี องกไ็ ดพ้ ยายามอยหู่ ลายครง้ั เพอ่ื ความเปน็ อสิ ระ แสดง ใหเ้ หน็ ถึงความขดั แยง้ ของกล่มุ การเมือง และการแบ่งการปกครอง เมืองต่างๆ ภายในจักรวรรดิพระนคร อย่างไรก็ตาม ลพบุรีก็ดำ�รง ขนบประเพณี ทงั้ ทางวฒั นธรรมและศาสนาในฐานะทสี่ บื เชอื้ สายมา จากทวารวดี แล้วยังได้เผยอัตลักษณ์ทางจริยธรรมท่ีต่างจากแบบ เขมร โดยมีรากเหงา้ มาจากมอญ ซง่ึ กไ็ ดร้ บั การยอมรับนบั ถอื จาก ชาวพทุ ธ และกลมุ่ คนไท-ไตอกี ดว้ ย เมอื่ กรงุ ศรยี โศธรปรุ ะเปน็ ทร่ี จู้ กั แล้วน้ัน ลพบุรีเองก็ดูเหมือนว่าจะเป็นศูนย์กลางของเสียม (สยำ�) หรือเปน็ เมอื งท่รี บั ผดิ ชอบเร่ืองการบริหารจดั การพลเมอื งชาวเสียม ขอ้ มลู ขา้ งตน้ นนี้ �ำ มาจากจารกึ ประกอบภาพจ�ำ หลกั นนู ต�่ำ สมยั กลาง ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 12 ชน้ิ หนง่ึ ที่ (*ระเบยี งชน้ั นอกดา้ นทศิ ใต้ ปกี ตะวนั ตกของ) ปราสาทนครวัด (*จารึกในสมัยพระบาทสุริยวรมันที่ 2) 42 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ภาพสลักศิลานูนตำ่�ชุดนั้นเป็นภาพขบวนทัพ (*ของพระบาทสุริย วรมนั ที่ 2) ขบวนยาวมาก และแน่นอนวา่ ผ้นู ำ�ทัพกองหนา้ สุดเป็น ทพั ของลพบรุ ี กค็ อื พระบาทชยั สงิ หวรมนั และถดั มาเปน็ กองทหาร ชาวเสยี มกกุ ซงึ่ น�ำ ทพั โดยแมท่ พั ชาวเสยี มกกุ ทง้ั สองกองทพั มคี วาม ตา่ งกนั อยู่ เชน่ กองทพั ลพบรุ จี ะมคี วามเปน็ ระเบยี บและจรงิ จงั ทวา่ ทหารชาวเสียมกุกน้ันกลับดูผ่อนคลาย ไร้ระเบียบ แต่ก็ดุดัน ใน จกั รวรรดพิ ระนครทกี่ รงุ ศรยี โศธรปรุ ะ ทหารชาวเสยี มกกุ จงึ ไดช้ อื่ วา่ เป็นกำ�ลังส�ำ คญั ของกองทพั ชาวเสียมและชาวลาวได้เข้ามาติดต่อคบค้ากับจักรวรรดิอัน รุ่งเรืองนี้ได้อย่างไร ท้ังจารึกต่างๆ ของไท-ไต รวมไปถึงตำ�นาน ต่างๆ กลับไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว มีข้อบ่งช้ีต่างๆ ในเรื่องนี้ คือ เมื่ออาณาจักรไท-ไตสมัยแรกๆ ได้จัดตั้งสถาบันทางราชการ ต่างๆ ข้นึ จะมคี วามผิดแผกแตกตา่ งอยา่ งเห็นไดช้ ดั ไปจากสถาบัน ของจักรวรรดิศรียโศธรปุระสมัยเมืองพระนครโดยสิ้นเชิง เป็น เครอ่ื งหมายทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ คนไท-ไตรสู้ กึ อดึ อดั ใจทจี่ ะอยภู่ ายใต้ ความเข้มงวดในเร่อื งกฎระเบียบ และอำ�นาจเบด็ เสรจ็ ของกฎหมาย สมยั เมอื งพระนคร ทงั้ ความเครง่ ครดั ในการจดั ล�ำ ดบั ชนชนั้ ทงั้ หมด นข้ี ดั แยง้ กบั ความเรยี บงา่ ย และความเปน็ อสิ ระสว่ นตนของคนไท-ไต ความทรงจ�ำ หลกั ๆ เกยี่ วกบั จกั รวรรดศิ รยี โศธรปรุ ะซงึ่ ปรากฏอยใู่ น ต�ำ นานของคนไท-ไตบางสว่ น โดยมากมเี พยี งความรสู้ กึ ทไ่ี มเ่ ตม็ ใจ นกั ของคนไท-ไต ทีต่ ้องเข้ารว่ มในสงคราม และความขัดแย้งท่เี กิด จากการรักษาความมน่ั คงของกรุงศรยี โศธรปุระ นครโยนก ณ แมน่ ำ�้ โขงตอนบน ในบรรดาต�ำ นานของคนไท-ไตสมยั แรกๆ ทง้ั หมด มเี พยี งไม่ 2 | คนไท-ไต และอาณาจักรโบราณต่างๆ 43

กี่ชิ้นเท่านั้นท่ีจะยังเก็บรักษาความทรงจำ�ท่ีเล่าขานเร่ืองการติดต่อ สมั พนั ธก์ บั จกั รวรรดศิ รยี โศธรปรุ ะสมยั เมอื งพระนคร ต�ำ นานไท-ไต ส่วนใหญ่จะมาจากนครโยนก ท้ังยงั เป็นเรื่องเกี่ยวกับนครโยนก ซึ่ง ปัจจุบันคือเมืองเชียงแสน ตรงชายแดนแม่นำ้�โขง (รวมถึงแผ่นดิน ทางดา้ นเหนอื ของแมน่ �ำ้ ) ทน่ี น่ั เอง ประมาณหลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 7 (ความสบั สนในเรอ่ื งการล�ำ ดบั เหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตร์ ท�ำ ใหไ้ ม่ สามารถระบเุ วลาชช้ี ดั ได)้ เกดิ รฐั ขนึ้ รฐั หนง่ึ ซง่ึ ทางตะวนั ออกตดิ กบั เวยี ดนาม ทางเหนือติดกับน่านเจา้ และทางใต้ติดกับกรงุ ศรียโศธร ปุระหรือเมืองในปกครองของกรุงศรียโศธรปุระ มีตำ�นานฉบับหนึ่ง ระบวุ า่ มรี ฐั หนงึ่ ในภมู ภิ าคนไ้ี ดถ้ กู กองก�ำ ลงั “ขอม” (เขมร?) ซงึ่ มา จากเมืองอโุ มงคเสลา (ตง้ั อยตู่ น้ แมน่ ำ้�ปงิ ) โจมตี และเขา้ ยึดครอง ผู้ ปกครองขอมนนั้ เปน็ คนที่ “ต่อต้านพทุ ธศาสนาและโง่เง่า ทงั้ ยงั ไม่ ตง้ั อยใู่ นทศพศิ ราชธรรม และยงั รดี ไถภาษรี าษฎร ยงั หาขอ้ อา้ งตา่ งๆ  เพ่อื ใชป้ รับเงนิ และลงโทษพ่อคา้ ต่างชาตทิ ่ีเข้ามาในเมืองนี้ ท้งั นยี้ งั มีความสับสนอย่างมากในตำ�นานสุวรรณโคมคำ�... ท่ีว่า เมืองดัง กลา่ วไดห้ ายลบั ไปกบั กาลเวลา”1 ตำ�นานฉบับอ่ืนๆ ได้ระบุถึงเร่ืองราวท่ีคล้ายกันนี้เกี่ยวกับ หัวหน้ากลุ่มคนไท-ไตท่ีเข้ามายังดินแดนเดียวกันน้ีถึงสองเร่ือง ที่ กลา่ วต่อไปน้ี เรอ่ื งแรก เป็นเร่ืองของหวั หนา้ คนไท-ไต จากสบิ สอง ปันนา พร้อมทงั้ บริวารคนไท-ไตเป็นจำ�นวนมาก ไดม้ าเรียกชมุ นมุ หัวหน้าชนพ้ืนเมืองตามภูดอยต่างๆ เพื่อให้ยอมอยู่ภายใต้อาณัติ เมอื่ ผปู้ กครองชาวขอมแหง่ อโุ มงคเสลาปฏเิ สธทจ่ี ะอยใู่ ตอ้ �ำ นาจของ หัวหน้าคนไท-ไตแล้วนัน้ เจา้ ชาวไท-ไตจงึ เข้าโจมตผี ูป้ กครองชาว ขอมจนไดช้ ยั ชนะ แลว้ ยงั ออกโจมตอี าณาจกั รลา้ นนาทงั้ หมด ลา้ นนา เปน็ ชอ่ื เดมิ ของภาคเหนอื ของประเทศไทย อาณาจกั รแหง่ นส้ี ถาปนา ขน้ึ โดยทางทศิ ตะวนั ออก ตดิ กบั เวยี ดนาม ทางทศิ เหนอื ตดิ กบั นา่ น 44 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

เจา้ และทางใต้ติดกับลวรฐั (ค�ำ ท่ี หริภุญไชย เรียก ลพบุรี) และได้ ขยายเมอื งไปจนถงึ รฐั ฉาน ซง่ึ อยใู่ นลมุ่ น�ำ้ สาละวนิ ตอนบน ไปจนถงึ ทางทศิ ตะวนั ตก เรอ่ื งทส่ี องนนั้ เปน็ เรอ่ื งของคนไท-ไตทไ่ี ดร้ บั ความ ทกุ ขย์ ากล�ำ เคญ็ ในเงอื้ มมอื ของผปู้ กครองขอม จากเมอื งอโุ มงคเสลา เจ้าชาวไท-ไตมีพระนามวา่ พญาพังคราช ถกู พวกขอมปราบ และ ถกู ส่งไปเปน็ หวั หนา้ หมูบ่ ้าน ซง่ึ (ชัดเจนว่า) เปน็ หมบู่ ้านของชาว ลวั ะ ใกลก้ บั แมน่ �ำ้ แมส่ าย ทางทิศตะวันตกเฉยี งเหนือของเชยี งแสน พญาพังคราชจำ�ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเป็นทองสี่ตวงให้แก่ ขอม ตามตำ�นานว่า “เราชาวไตลำ�บากแสนเข็ญ ไม่ว่าจะเจ้าหรือ ไพร่ ด้วยจำ�ตอ้ งรอ่ นทอง เพื่อเปน็ เคร่ืองบรรณาการแกข่ อม”2 พระ โอรสองคแ์ รกในพญาพงั คราช ไดป้ ระสตู หิ นงึ่ ปตี อ่ มา (ใน พ.ศ. 1461 (918?)) มีพระนามว่า ทุกขิตกุมาร สองทศวรรษแห่งความทุกข์ ทรมานได้ผ่านไป พระโอรสอีกพระองค์ได้ประสูติ มีพระนามว่า พระเจ้าพรหม (พรหมกุมาร) ได้นำ�กองทพั โจมตีขับไล่พวกขอมไป จากนครโยนกแหง่ เมอื งเชยี งแสน พวกขอมไดห้ ลบหนลี งใต้ และถกู ตามลา่ เปน็ แรมเดอื นไปทัว่ เมอื งต่างๆ ในหบุ เขาทางเหนือ “ไปไกล ถึงชายแดนของลวรัฐเดิม” และแล้ว พระอินทร์เวทนาสงสารพวก ขอมทถี่ อยรน่ ลงมา จงึ บนั ดาลใหเ้ กดิ ก�ำ แพงหนิ เพอื่ กนั มใิ หพ้ ระเจา้ พรหมผ่านเข้ามา และปล่อยให้พวกขอมกลับไปยังเมืองพระนคร (อินทปตั ถน์ คร) แลว้ พระเจ้าพรหมจึงสถาปนาพระราชบดิ าเปน็ เจ้า ผปู้ กครองนครเชยี งแสนและใหพ้ ระเชษฐาเปน็ รชั ทายาท สว่ นพระเจา้ พรหมลงมาสร้างเมืองใหม่ ชอื่ เวยี งชยั ปราการ ซ่งึ ต้งั อย่ใู นอำ�เภอ ฝาง จังหวัดเชยี งใหม่ในปจั จบุ นั ชว่ งปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 10 หรอื ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 11 นนั้ เปน็ ชว่ งแหง่ ความรงุ่ โรจนแ์ ละสนั ตสิ ขุ เกดิ การฟน้ื ฟศู าสนาไปทว่ั ทง้ั โยนกนคร อาจเนอื่ งมาจากการคา้ ขายซงึ่ ผา่ นมาทางหรภิ ญุ ไชย แลว้ 2 | คนไท-ไต และอาณาจักรโบราณตา่ งๆ 45

ตอ่ ไปยงั เมอื งมอญ สะเทมิ (สธุ รรมวด)ี พะโค (หงสาวด)ี ทางชายฝงั่ ของพมา่ นค่ี อื การววิ ฒั นาการทสี่ ำ�คญั ทางดา้ นวฒั นธรรมอยา่ งมาก เปลี่ยนจากความเปน็ พทุ ธศาสนาทยี่ ังอ่อนแอ และมีความเปน็ ทอ้ ง ถนิ่ ตามแบบบรรดาฤษผี สู้ นั โดษ มาเปน็ พทุ ธศาสนาทมี่ ลี กั ษณะสากล โดยคณะสงฆ์ เพ่ือให้เกิดประเพณีทางศาสนาที่มีแบบแผนที่อิงกับ อารยธรรมพทุ ธเถรวาท จากมอญและศรลี งั กา นจี่ งึ เปน็ การรวมกลมุ่ คนไท-ไตในวงกวา้ งดว้ ย “สงั คมแหง่ ศรทั ธา” ทกี่ ลมุ่ คนไท-ไตรสู้ กึ และน้อมรับเปน็ ของตน และได้เขา้ แทนทค่ี วามเชื่อท้องถ่นิ เดิมด้วย คา่ นยิ มทเ่ี ปน็ สากล ทง้ั กอ่ ใหเ้ กดิ จรยิ ธรรมในมติ ทิ างสงั คมทถี่ า่ ยทอด ผ่านไปยงั หมู่บ้านและเมือง การรบั พทุ ธศาสนาของคนไท-ไตทางตอนเหนือ คงเป็นช่วง เดยี วกับทวี่ ิถชี ีวิตของคนไท-ไตได้เปลยี่ นแปลงไป นับเปน็ ครั้งแรก ในประวตั ศิ าสตรท์ ค่ี นไท-ไตไดโ้ ยกยา้ ยถนิ่ ฐานมายงั พน้ื ทลี่ มุ่ ทเี่ หมาะ แกก่ ารปลูกข้าวในท่ลี ุ่ม และนี่เองท่ีท�ำ ใหเ้ กิดความเป็นไปได้ในการ พัฒนาศูนย์กลางของเมือง และมีการเติบโตอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ของชนชาวเมอื งชน้ั ปกครองทไี่ มต่ อ้ งยงุ่ เกยี่ วกบั การเพาะปลกู อยา่ งไร ก็ตาม สงั คมของชนชนั้ ปกครอง (เจ้า) กบั ชนชน้ั สามัญ (ไพร)่ ยงั คงผูกพันกัน ท้ังเป็นส่วนตัวและความผูกพันแบบต่างตอบแทนใน เรื่องพันธะและความรับผิดชอบ แว่นแคว้นได้ก่อต้ังขึ้นบนพื้นฐาน ขององคก์ รทางสงั คมมากกวา่ พน้ื ฐานบนเรอ่ื งการเขา้ ปกครองเขตแดน เมื่อพระเจ้าพรหมเคล่ือนย้ายไปยังเมืองฝาง และสถาปนาเวียงชัย ปราการขน้ึ ไดพ้ าบรรดาขา้ ราชบรพิ ารและไพรพ่ ลในปกครอง พรอ้ ม กบั ครอบครวั ของพวกเขาไปดว้ ย เพอ่ื สรา้ งเมอื งใหมท่ เ่ี วยี งชยั ปราการ ณ ท่ีแห่งนน้ั พระองค์ไดส้ รา้ งทปี่ ระทบั พรอ้ มท้ังป้อมปราการตา่ งๆ  และยงั ใหก้ ารอปุ ถมั ภบ์ รรดาพระสงฆใ์ นพทุ ธศาสนา เพอ่ื ใหผ้ คู้ นใน เมืองไดม้ เี ครอื่ งยดึ เหน่ียวจิตใจ 46 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

อาณาจกั รโบราณ : เมืองพระนครและพกุ ามใน พ.ศ. 1743 (1200) 2 | คนไท-ไต และอาณาจักรโบราณต่างๆ 47

โลกของคนไท-ไตใน พ.ศ. 1743 (1200) ในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11 และ 12 คนไท-ไตไดจ้ ดั ตง้ั รฐั ใหมๆ่   ทางตอนเหนอื ของเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทง้ั ต�ำ นานของคนไท-ไต และบันทึกของอาณาจักรในท่ีลุ่มต่างๆ ได้กล่าวถึงเรื่องน้ีไว้ว่า มี การกลา่ วอา้ งอยา่ งใหญโ่ ตถงึ อาณาจกั รและการเขา้ โจมตเี มอื งตา่ งๆ  ของกษตั รยิ ์ และเจา้ ชายชาวไท-ไตหลายพระองค์ ซง่ึ ไมถ่ อื เปน็ หลกั ฐาน แต่เป็นเพียงคำ�กล่าวอ้างเพ่ือให้เห็นถึงขอบเขตของรัฐไท-ไต การสงครามและการศกึ นน้ั เปน็ เรอ่ื งใหญ่ แตเ่ ราจกั ตอ้ งหลกี เลย่ี งการ ตคี วามแบบครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 เสยี จกั รวรรดพิ ระนคร พกุ าม และ เวยี ดนาม (*ไดเวยี ด) เขา้ ยดึ ครองดนิ แดนตา่ งๆ และไดว้ างการบรหิ าร จัดการเมืองนั้นๆ โดยใช้หน่วยทหารรักษาการณ์และสร้างเครื่อง ป้องกันข้าศึก กลุ่มคนไท-ไตได้เข้าจู่โจม ปล้นสะดม และแย่งชิง สงิ่ ของและจบั เชลยเอาไว้ และเดนิ ทางออกไปนอกเมอื งอยา่ งรวดเรว็ โดยใช้ช้างและม้าเป็นพาหนะ หรืออาจเดินทางต่อหรือกลับไปยัง ถ่ินฐานบ้านเกิด ผู้ปกครองเมืองที่เคยพ่ายแพ้ต่อคนไท-ไตอย่าง ย่อยยับต่างก็เกรงกลัวการกลับมาของพวกเขาอีก จึงต้องส่งเครื่อง ราชบรรณาการใหแ้ กเ่ จา้ ชายทช่ี นะศกึ ครงั้ นนั้ ทง้ั ยงั มกี ารแลกเปลยี่ น บตุ รสาวระหวา่ งเจา้ เหนอื หวั กบั ขนุ นางชน้ั ผใู้ หญอ่ กี ดว้ ย ซง่ึ เปน็ การ สรา้ งสายสมั พนั ธ์ทั้งสว่ นตัวและทางการเมอื ง แตห่ าก “อาณาจกั ร” ใดเป็นรูปเป็นร่างข้ึนไดด้ ว้ ยวิธกี ารดงั กล่าว จกั ไม่มนั่ คงและยัง่ ยืน โดยเฉพาะช่วงคริสต์ศตวรรษ (ท่ี 13) นี้ ไม่มีผู้ปกครองรัฐ ไท-ไตคนใดทใี่ ชก้ ารปกครองแบบรวมอ�ำ นาจเขา้ สศู่ นู ยก์ ลาง เพอ่ื ที่ จะรวมดินแดนที่อยหู่ า่ งไกลเขา้ มาอยู่ในวงอ�ำ นาจ การคงความเป็น เจ้าผู้ปกครองแว่นแคว้นต่างๆ มีความสำ�คัญมากกว่าการรวมกลุ่ม เมอื งทมี่ ขี นาดใหญ่ ซง่ึ เกดิ จากการรวมตวั กนั เปน็ บางครงั้ บางคราว 48 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

เท่านน้ั เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 12 ไมม่ เี มืองใดของรัฐไท-ไต ทเ่ี กดิ ขนึ้ มา และมอี ำ�นาจเหนอื ดนิ แดนเพอื่ นบา้ น ถงึ อยา่ งไรรฐั ไท- ไตกไ็ ดแ้ ผข่ ยายไปทว่ั ทง้ั ภมู ภิ าค ไมม่ เี มอื งในรฐั ไท-ไตทเี่ คลอ่ื นยา้ ย ลงมายงั ทรี่ าบอนั กวา้ งใหญท่ สี่ ามารถรองรบั การขยายตวั เพม่ิ ขนึ้ ของ พลเมือง เช่นเดียวกับอาณาจักรขนาดใหญ่ท่ีมีขนาดเดียวกับเมือง พระนครและพุกาม อย่างไรก็ตาม และแล้ววันน้ันกำ�ลังจะมาถึงใน เวลาอันใกล้นี้แล้ว เนื่องจากว่า คนไท-ไตได้เริ่มตั้งถิ่นฐานท่ีเมือง รอบๆ จักรวรรดิพระนครและพุกาม เรื่อยไปจนถึงท่ีราบทางตอน เหนอื ของลาว หวั หนา้ ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ในกลมุ่ คนไท-ไต และเหลา่ เจา้ ทงั้ หลาย ในพ้ืนท่ีเหล่านี้ได้เข้าควบคุมแรงงานทั้งหมด ซ่ึงมักจะเกิดการ ขาดแคลนแรงงานอยู่บ่อยคร้ัง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสามารถในการเคลอ่ื นยา้ ยพลเมอื งเปน็ ทงั้ อนั ตรายตอ่ จกั รวรรดิ ขนาดใหญ่ และเป็นทั้งแหล่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งอย่างมี ประสิทธภิ าพตอ่ จกั รวรรดิอีกด้วย ตามปกติแล้วนนั้ ผปู้ กครองชาว ไท-ไตนั้นได้รบั การนับถอื ว่าเปน็ ผปู้ กครองทอ้ งถน่ิ หรือหัวหนา้ เขต และยงั มโี อกาสทจ่ี ะไดร้ บั เกยี รตใิ หไ้ ดม้ พี น้ื ทอ่ี ยใู่ นสงั คมของราชวงศ์ (มีหลายกรณีด้วยกัน) บางคร้ังไดร้ ับพระราชทานพระราชธิดาของ “กษตั รยิ ”์ ใหแ้ ตง่ งานดว้ ย อยา่ งไรกต็ าม ผปู้ กครองชาวไท-ไตยงั คง รกั ษาความต่างทางอัตลักษณ์ทางชาติพนั ธุ์ของตน โดยเฉพาะเมอ่ื เปรียบเทียบกับชาวเขมรแล้ว จะมีความแตกต่างอย่างส้ินเชิงทาง ภาษา องคก์ รทางสงั คม และประเพณแี บบพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท ในเรอื่ งความสมั พนั ธข์ องเจา้ ชาวไท-ไตกบั พลเมอื งทเ่ี ปน็ ชนพนื้ เมอื ง ในทอ้ งถิ่น ท่ชี าวไท-ไตไดย้ า้ ยตง้ั ถ่นิ ฐานน้นั นับได้ว่าพุทธศาสนา นั้นมีบทบาทสำ�คัญอย่างมากในการผสมกลมกลืนกลุ่มคนพ้ืนเมือง ในท้องถ่ิน ให้เข้ากับชาวไท-ไต ไม่ช้าไม่นาน เมืองในท่ีลุ่มก็ได้มี 2 | คนไท-ไต และอาณาจักรโบราณตา่ งๆ 49

พลเมืองชาวไท-ไต และชาวพุทธเพิ่มสูงขึ้น จากนี้ก็เป็นเร่ืองของ เวลาเทา่ นนั้ ทคี่ นไท-ไตจะไดข้ นึ้ มาเทยี บเทยี มจกั รวรรดโิ บราณอนั ย่ิงใหญ่ 50 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

เชิงอรรถ 1. “ตำ�นานสุวรรณโคมคำ�” ในประชุมพงศาวดารภาค 72 (กรุงเทพฯ , 2504) หน้า 46 ; แปลเป็นภาษาฝรง่ั เศสใน Camille Notton, Annals du Siam, vol.1 (Paris, 1926) หนา้ 121. 2. “ต�ำ นานสงิ หนวตั ”ิ ในประชมุ พงศาวดารภาค 6 (กรงุ เทพฯ , 2516) แปลเป็นภาษาฝรงั่ เศสใน Notton, Annals vol.1, หนา้ 186. 2 | คนไท-ไต และอาณาจกั รโบราณต่างๆ 51



บทท่ี 3 ศ พต.ศวร. ร17ษ6ข2อ-ง1ค8น9ไ3ท-(1ไ2ต19-1350) ในทศวรรษต้นๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 13 จักรวรรดิโบราณ อนั ยง่ิ ใหญท่ รี่ บั อทิ ธพิ ลอารยธรรมอนิ เดยี คอื พกุ ามและเมอื งพระนคร ได้เป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้วเป็นอย่างดี ความยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ของ จักรวรรดิทั้งสองยังมิได้สำ�คัญลดน้อยลงไปเลย อนุสรณ์ทาง สถาปตั ยกรรมอนั ยง่ิ ใหญไ่ ดถ้ กู สรา้ งขน้ึ งานศลิ ปห์ ลายชน้ิ ไดร้ บั การ รงั สรรค์ ศลิ าจารกึ ยอพระเกยี รตกิ ษตั รยิ ผ์ เู้ กรยี งไกรถกู สลกั จาร จาก นั้น ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษน้ัน ความรุ่งโรจน์แห่งอำ�นาจของ จักรวรรดิพระนครได้ล่มสลายลง และตามมาด้วยการล่มสลายของ จกั รวรรดพิ ุกาม พอถงึ สน้ิ ศตวรรษนี้ จกั รวรรดอิ ันเกรียงไกรทัง้ สอง นน้ั กลบั หลงเหลอื เพยี งความทรงจำ�อนั เรอื งโรจนแ์ หง่ อดตี กาล ซงึ่ มิ อาจท�ำ ใหห้ วนกลบั คนื มาได้อกี เลย การเปลี่ยนแปลงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพ้ืนทวีป ในช่วงราว พ.ศ. 1843 (1300) นนั้ สัมพันธ์กบั พฒั นาการทเี่ กดิ ขึน้ 3

ประการด้วยกัน ท่ีส�ำ คัญท่สี ุดนน้ั ประการแรก คอื การเคลื่อนย้าย ของคนไท-ไตจากที่สูงในเขตหุบเขาลงมาในเขตท่ีราบลุ่ม และได้ สถาปนารัฐใหม่ๆ ท่ีทรงอำ�นาจขึ้นมา อันเป็นความพยายามท่ีจะ เลียนแบบและเข้าแทนท่ีอำ�นาจของเหล่ารัฐคู่แข่ง รัฐใหม่ๆ เหล่าน้ี แผ่ขยายออกไปทุกทิศทาง จากที่ราบลุ่มของอัสสัมในบริเวณ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของอนิ เดยี ไปทางตะวนั ออก ถงึ ตอนกลางของ ประเทศลาว และลงไปถงึ นครศรธี รรมราช บนคาบสมุทรมลายูทาง ทิศใต้ ดว้ ยความพยายามในยคุ ตน้ ของคนไท-ไตนนั้ เพียงพอทีจ่ ะ เรยี กชว่ งเวลานวี้ า่ เปน็ “ศตวรรษของคนไท-ไต” พฒั นาการทสี่ �ำ คญั ประการที่สอง ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นอยู่กับความรุ่งเรืองของ คนไท-ไต ก็คือ การฟื้นฟูพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่คนไท-ไต รบั นบั ถอื กันแลว้ ผา่ นการติดตอ่ สมั พันธ์กับชาวพทุ ธสงิ หล และได้ มกี ารสถาปนาสถาบนั สงฆท์ เ่ี ขม้ แขง็ และไดร้ บั การสนบั สนนุ สง่ เสรมิ อย่างดีท่ัวทั้งภูมิภาค ประการสุดท้าย โดยเฉพาะในช่วงสามสิบปี สุดทา้ ยของคริสตศ์ ตวรรษที่ 13 นั่นคอื การเปลี่ยนแปลงในทางการ เมอื งของเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตภ้ าคพนื้ ทวปี ไดเ้ กดิ ขนึ้ คขู่ นานไป กบั การผงาดขนึ้ มามอี �ำ นาจของชาวมองโกลในจนี และการแผข่ ยาย อ�ำ นาจของมองโกลมายงั เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตด้ ว้ ยวธิ ที างการทตู และการทหาร ลกั ษณะเดน่ ทเี่ กดิ ขน้ึ ใหมท่ นี่ า่ จบั ตามองของเอเชยี ตะวนั ออก เฉียงใต้ภาคพ้ืนทวีปที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน ก็คือ การ แพรก่ ระจายของอำ�นาจ ขณะที่ในช่วงศตวรรษท่ีผา่ นมา ภมู ิภาคน้ี ถกู จักรวรรดิใหญ่สองจักรวรรดคิ รอบง�ำ น่ันคอื พกุ ามและพระนคร แต่ในตอนนี้ ฉากหลงั ทางการเมืองก็คอื การแตกออกเปน็ รัฐเล็กๆ  ย่อยๆ จำ�นวนมาก ซ่ึงเมอ่ื เทียบเคียงกันแล้ว เรยี กไดว้ ่ามีความเท่า เทยี มกนั ในดา้ นก�ำ ลงั อ�ำ นาจทางการเมอื งและทางทหารมากกวา่ ใน 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 53

อดตี ยง่ิ กวา่ น้นั การกระจายของอ�ำ นาจดงั กล่าวนย้ี ังรวมถึงอ�ำ นาจ เชิงวัฒนธรรมและศาสนาอีกด้วย ชุมชนขนาดเล็กหลายชุมชนใน ตอนน้ไี ดอ้ ำ�นาจกลบั คืนมาทจ่ี ะเลือกชะตากรรมของตนเอง ในด้าน ศาสนาและวฒั นธรรม ชุมชนใหม่เหล่าน้ดี �ำ เนนิ ชวี ิตไปตามครรลอง ของพุทธศาสนาเถรวาทนิกายลังกาวงศ์ โดยรับนิกายดังกล่าวเข้า มาเปน็ ศาสนาและวถิ กี ารด�ำ เนนิ ชวี ติ ของตนเอง ในเรอ่ื งศลิ ปะประดษิ ฐ์ และนาฏศิลป์ ชุมชนใหม่เหล่านี้มีรูปแบบสไตล์ของตนเอง และใน ทางวรรณศลิ ป์กม็ สี �ำ นวนและภาษาเป็นของตนเอง ตลอดชว่ งเวลา ศตวรรษคร่ึงของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอย่าง ถงึ รากถงึ โคน แผนทท่ี างการเมอื งและทางวฒั นธรรมของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ภาคพ้ืนทวีปก็ได้เปลี่ยนรูปไป องค์ประกอบจากจารีต ประเพณใี นยคุ กอ่ นยงั คงด�ำ รงอยู่ แตไ่ ดถ้ กู ขนึ้ รปู จากแปน้ พมิ พใ์ หม่ ซ่ึงส่วนหน่ึงนั้นเกิดขึ้นจากบริบทแวดล้อมของยุคสมัย และอีกส่วน หน่งึ ก็มาจากลักษณะพิเศษของจารีตประเพณีของคนไท-ไต ไม่มีท่ีใดท่ีลักษณะท่ีสำ�คัญดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนมากไป กวา่ ในบรเิ วณทเี่ รยี กวา่ บางสนกุ (*พบเมอื งโบราณชอ่ื ตรอกสลอบ) ซ่งึ ปัจจุบนั อยู่ใน (*อ.วังชิ้น) จงั หวดั แพร่ ท่บี ริเวณน้นั ในราว พ.ศ.  1762 (1219) ผู้ปกครองท้องถ่ินคนหนึ่ง (*แหง่ เมืองตรอกสลอบ) ได้ แสดงสง่ิ ทคี่ ดิ วา่ เปน็ วรี กรรมดว้ ยการสรา้ งเจดยี ป์ ระดษิ ฐานพระบรม สารีริกธาตุพระพุทธเจ้า คนท่วั ไปเชอื่ วา่ มเี พียงผูป้ กครองทีบ่ ริสทุ ธิ์ ผุดผ่องเท่าน้ันจึงจะกล้าสัมผัสพระบรมสารีริกธาตุ ผู้ปกครองท้อง ถนิ่ คนนน้ั คงจะภาคภมู ใิ จพอดู จนถงึ กบั ประกาศการกระท�ำ ดงั กลา่ ว ของตนไวใ้ นศลิ าจารึก (*คือศลิ าจารึกวดั บางสนุก หรือหลกั ท่ี 107) ทส่ี ลักจารข้ึนในปีเดียวกันนน้ั เอง (*นักอ่านจารึกสรปุ ว่า ศิลาจารึก หลักนี้สร้างใน พ.ศ. 1882 (1339) เป็นจารึกที่เก่าท่ีสุดของจังหวัด แพร่) ถึงแม้ว่าจะจารึกด้วยตัวอักขระท่ีเป็นที่รู้จักกันคร้ังแรกว่ามา 54 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

จากสโุ ขทยั เมอ่ื  พ.ศ. 1835 (1292) ซงึ่ เราจะไดเ้ หน็ ตอ่ ไปวา่ วรี กรรม ด้านศาสนาของผู้ปกครองท้องถิ่นคนน้ันไม่นานนักจะได้แสดงออก มาเปน็ วีรกรรมทางการเมอื งเมอื่ ถึงกลางศตวรรษน้ี กลมุ่ คนไท-ไตมไิ ดผ้ า่ นกระบวนการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ ว ใน ระดับทีเ่ ทา่ เทยี มกันทั้งหมด หรือทุกส่งิ ทุกอย่างกม็ ิไดเ้ กิดข้ึนอย่าง ปัจจุบันทันใด คนไท-ไตส่วนใหญ่ซ่ึงได้รับผลกระทบต่อการ เปล่ียนแปลงดังกล่าวก็เป็นผู้ที่อยู่ในสถานะซ่ึงจะได้ประโยชน์จาก การเสื่อมของพุกามและเมืองพระนครอยแู่ ล้ว สำ�หรับผซู้ งึ่ อยพู่ ้นไป จากชายขอบของจกั รวรรดิโบราณทีร่ ับอารยธรรมอนิ เดยี นั้น ครสิ ต์ ศตวรรษท่ี 13 ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ก่อให้เกิดการชะงักใดๆ เลยใน ความตอ่ เนอ่ื งทางประวัติศาสตรข์ องพวกเขา สำ�หรับคนไท-ไตส่วนใหญ่ ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง เอาเข้า จริงแล้ว เพ่ิงจะเกิดข้ึนในคริสต์ศตวรรษที่ 13 น้ีเอง เพราะในช่วง เวลานนั้ พงศาวดารเกอื บจะทกุ เรอื่ งทเี ดยี วมลี กั ษณะทเ่ี ปลยี่ นแปลง ไป ในขณะทพี่ งศาวดารของคนไท-ไตทเี่ กา่ แก่ ยอ้ นไปไดจ้ นถงึ ชว่ ง เวลาน้ัน ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพียงแค่การเรียงลำ�ดับรายนามของ กษัตริย์ หรือเป็นเพียงประชุมตำ�นานต่างๆ ซึ่งมักจะไม่ระบุเวลาที่ แนช่ ดั แตใ่ นครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13 และครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14 พงศาวดาร ไดก้ ลายมาเปน็ บันทึกจดหมายเหตรุ ายปีของรัฐ เตม็ ไปดว้ ยบันทกึ รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางศาสนาและสงคราม เกี่ยวกับ ความขดั แยง้ ของราชวงศ์ และการเคล่อื นไหวของพลเมอื ง แม้ว่าจะ ห่างไกลจากความน่าเช่ือถือได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ก็ตาม นอกจาก พงศาวดารของคนไท-ไตในตอนน้ี ก็ยังมีศิลาจารึกเพ่ิมเข้ามาอีก ส่วนหน่ึงด้วย ซึ่งเร่ิมที่จะวาดระบายภาพโลกคนไท-ไตขึ้นมาด้วย สรรพสขี องมนษุ ย์ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 55

รฐั สำ�คัญๆ ของคนไท-ไต ในปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 13 56 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

อาณาจักรลา้ นนา ตำ�นานพ้ืนเมืองเชียงใหม่ สืบย้อนราชวงศ์ผู้ปกครองของ ล้านนา กลับไปได้ถึงเชียงแสน ในแคว้นโยนกที่คุ้งน้ำ�ใหญ่บนลำ� แมน่ ำ้�โขง ตามต�ำ นานระบุว่า ในราวกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 12 ท่ีนัน่ มีผปู้ กครองชอ่ื วา่ ขนุ เจอื ง ซึง่ บางทีอาจสืบเชอื้ สายมาจากพญาพัง (*พังคราช) ซ่ึงกล่าวถึงไปแล้วในบทท่ี 2 ขุนเจืองถูกรุกรานจาก กองทพั ใหญข่ องผปู้ กครองแกวแหง่ หวั เมอื งประกนั (หรอื ปะกนั ) ซง่ึ เปน็ ดนิ แดนทน่ี า่ จะตงั้ อยใู่ นสบิ สองปนั นา หรอื ในเขตหบุ เขาทร่ี าบสงู ของแมน่ ้�ำ ดำ� ด้วยการรวบรวมกองก�ำ ลังจากภมู ิภาคอันกวา้ งขวาง ทางตอนเหนอื ของสยาม และในเขตรฐั ฉาน ขนุ เจอื งจงึ สามารถพชิ ติ แกวได้ และเป็นที่ยกย่องจากผู้ปกครองแห่งวิเทหะ (น่าจะอยู่ทาง ตะวันตกหรือตะวันตกเฉียงเหนือ) และเวียดนาม (*ไดเวียด) จน ทำ�ให้ต่างก็เข้ามายอมสวามิภักด์ิ เม่ือได้พิจารณาอย่างถ่ีถ้วนถึง อนาคตของบ้านเมืองในความสัมพันธ์กับพวกแกวแล้ว ขุนเจืองจึง ส่ังยกเลิก มติ ้องให้แกวส่งเคร่อื งบรรณาการให้ และได้ยกชาวแกว คนหนง่ึ ขนึ้ เปน็ ผปู้ กครองเมอื งวง ทง้ั ยงั ไดใ้ หป้ กั หลกั ศลิ าจารกึ เพอ่ื ประกาศเร่อื งนี้ไวใ้ นยนู นาน ใน พ.ศ. 1683 (1140) ไมน่ านกอ่ นที่ขนุ เจอื งจะสนิ้ พระชนมใ์ น พ.ศ. 1715 (1172) ขนุ เจอื งไดต้ งั้ ใหโ้ อรสทงั้ หา้ ไปเป็นผู้ปกครองดินแดนส่วนต่างๆ ท่ีอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ โอรสองค์โต ไปปกครอง (*เมืองเงินยาง) เชียงแสน องค์ที่สอง ปกครองหัวเมอื งแกว องค์ทีส่ าม ปกครองหลวงพระบาง มอี �ำ นาจ เหนอื พวกลาวทงั้ หลาย องค์ที่สี่ ปกครองเมอื งไชยนารายณ์ (เชยี ง ขวาง?) มอี �ำ นาจเหนอื เมอื งทงั้ หลายทางตะวนั ออกเฉยี งใต้ สว่ นองค์ ทห่ี ้า ปกครองเชียงรุ่งในสบิ สองปันนา ดูจะยากที่จะประเมินความเป็นประวัติศาสตร์ของเรื่องเล่าน้ี 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 57

แมแ้ ตก่ ารตดั ลดเนอื้ หาเกนิ จรงิ ทไี่ มม่ หี ลกั แกน่ สารใดๆ ออกไป หรอื ว่ามีความจำ�เป็นหรือไม่ที่จะต้องทำ�เช่นนั้น เร่ืองเล่าน้ีถูกผลิตซ้ำ� อยา่ งกวา้ งขวาง ไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ภาพลกั ษณข์ องโลกทไ่ี ดถ้ กู นยิ าม ในเชงิ ภมู ศิ าสตรใ์ นอกี แบบหนง่ึ แมจ้ ะคลา้ ยคลงึ กนั แตก่ ม็ คี วามตา่ ง จากสง่ิ ทเี่ ราพบในพงศาวดารอาหมและพงศาวดารไตใหญ่ นค่ี อื โลก ของลมุ่ น�ำ้ โขงตอนบน ดินแดนของผู้คนทเี่ รยี กตนเองวา่ ลาว และ ชีวติ ของพวกเขาถูกคกุ คามจากเวียดนาม (*ไดเวยี ด) และยูนนาน หรือก็คอื น่านเจ้า พงศาวดารดังกล่าวแสดงถงึ สายสัมพนั ธ์อนั ใกล้ ชดิ ระหวา่ งศนู ยก์ ลางของคนไท-ไตทส่ี �ำ คญั ๆ ในโลกแหง่ นน้ั นนั่ คอื เชยี งแสน (หรอื เมอื งทมี่ ชี อื่ เดยี วกนั แตเ่ กา่ แกก่ วา่ บนอกี ฝงั่ ของล�ำ น�้ำ แมโ่ ขง) เชยี งรงุ่ เมอื งราชธานขี องชาวไตลอ้ื ในยนู นานตอนใต้ หลวง พระบาง ศนู ยก์ ลางยุคแรกของโลกชาวลาว และดินแดนท่บี างทีนา่ จะเป็นศูนย์กลางของพวกไตดำ� ในหุบเขาแม่นำ้�ดำ� แว่นแคว้นใน ระยะตอ่ มาอกี เปน็ จ�ำ นวนมากนนั้ สามารถทจ่ี ะสบื สาวตน้ ก�ำ เนดิ ยอ้ น กลับไปถึงราชธานีใดราชธานีหน่ึงเหล่าน้ีได้ ไม่ว่าความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กึ่งๆ ในเชิงวงศาสาแหรกในรัฐต่างๆ เหล่านี้ จะสะท้อนให้ เหน็ ถงึ ความสมั พนั ธท์ างสายเลอื ดอยา่ งแทจ้ รงิ หรอื เปน็ เพยี งความ สมั พนั ธก์ นั ทางวัฒนธรรมหรอื ภาษาเทา่ นนั้ กต็ าม ส�ำ หรับเชียงแสน นั้นมีความสำ�คัญ มิใช่ด้วยเพียงแค่เป็นต้นรากของล้านนาและของ เมืองต่างๆ อีกมากมายท่ีรวมอยู่ในอาณาจักรแห่งนั้น แต่ดังท่ีบาง คนอา้ งไว้ เชยี งแสนยงั เปน็ จดุ ทก่ี �ำ เนดิ ของสายวงศท์ จี่ ะไดค้ รอบครอง ราชธานขี องคนไท-ไตทยี่ ง่ิ ใหญท่ ส่ี ดุ ซง่ึ รวมถงึ ราชอาณาจกั รอยธุ ยา ดว้ ย ผสู้ ถาปนานครเชยี งใหมซ่ งึ่ เปน็ ราชธานขี องลา้ นนา คอื พญา มงั รายนนั้ สมภพเมอ่ื วนั ท่ี 2 ตลุ าคม พ.ศ. 1781 (1238) ที่ (*เงนิ ยาง) เชยี งแสน พระราชมารดาของพระองคเ์ ปน็ พระธดิ าของเจา้ เมอื งเชยี ง 58 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

รุ่ง ซ่ึงเราจะเห็นว่าเป็นข้อมูลท่ีสำ�คัญทีเดียว เมื่อพระองค์สืบราช สมบตั เิ ปน็ เจา้ แหง่ เชยี งแสนตอ่ จากพระราชบดิ าใน พ.ศ. 1802 (1259) นน้ั กลา่ วกนั วา่ พระองคท์ รงเหน็ วา่ แวน่ แควน้ ของคนไท-ไตทงั้ หมด ในภมู ภิ าคนตี้ า่ งกร็ บราฆา่ ฟนั กนั เอง สรา้ งความเดอื ดรอ้ นแกพ่ ลเมอื ง และด้วยเหตุที่ว่าในบรรดาผู้ครองเมืองต่างๆ ท่ีเป็นเพื่อนบ้านของ พระองค์นั้น พระองค์เป็นผู้เดียวท่ีสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อันมี สิทธิธรรมโดยพร้อม ได้รับการบรมราชาภิเษกตามพิธีกรรมของ อินเดียอย่างเต็มรูป และเป็นผู้ครอบครองเครื่องราชกกุธภัณฑ์อัน เปน็ เครอ่ื งหมายของกษตั รยิ ์ พระองคจ์ งึ ตงั้ พระทยั แนว่ แนท่ จี่ ะรวบรวม เมอื งตา่ งๆ ไวใ้ นอ�ำ นาจ และในระยะเวลาไมน่ านนกั พระองคไ์ ดพ้ ชิ ติ เมอื งตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ เพอื่ นบา้ นได้ และแตง่ ตง้ั ขนุ นางของพระองคเ์ ขา้ ไป ปกครอง เรมิ่ จาก (*เมืองมอบ) เมอื งไล่ เชยี งค�ำ และเชียงช้าง แลว้ จากนน้ั กข็ ยายพระราชอ�ำ นาจลงไปทางใต้ เรมิ่ แรกโดยการสถาปนา เมอื งแหง่ ใหมข่ นึ้ ทเี่ ชยี งราย ใน พ.ศ. 1805 (1262) และไดย้ า้ ยราชธานี ไปท่ีน่ัน แล้วจากนั้นก็เข้ายึดครองเมืองเชียงของ และปกครอง ดนิ แดนแถวๆ เมอื งฝาง (ซงึ่ พระเจา้ พรหมทง้ิ รา้ งไวเ้ มอ่ื สองศตวรรษ กอ่ นหนา้ น้)ี อยชู่ ัว่ เวลาหนง่ึ ดว้ ย ในขณะที่ประทบั อยู่ทฝี่ าง เมือ่  พ.ศ. 1817 (1274) นั้น พญา มงั รายไดต้ อ้ นรบั การมาเยอื นของพอ่ คา้ วาณชิ คณะหนง่ึ จากหรภิ ญุ ไชย ซ่ึงได้พรรณนาถึงความมั่งค่ังอลังการของบ้านเมืองตนให้พระองค์ ฟัง จนกระทง่ั ทรงตั้งพระทัยแนว่ แนท่ ี่จะยึดแควน้ หรภิ ุญไชยท่มี เี จา้ ปกครองอันเก่าแก่น้ันมาให้ได้ เหล่าขุนนางอำ�มาตย์กล่าวทัดทาน พระองคว์ า่ หรภิ ญุ ไชยนนั้ แขง็ แกรง่ เกนิ ไปทจ่ี ะยดึ เอามาได้ และยงั มี พระสารรี กิ ธาตุอันศกั ด์สิ ทิ ธ์ปิ กปกั รกั ษาค้มุ ครองอยู่ดว้ ย แต่ขนุ นาง มอญหรือลัวะคนหนึ่งในราชสำ�นักของพระองค์ ซ่ึงทำ�หน้าที่เป็น อาลกั ษณแ์ ละสมหุ บญั ชแี ยง้ วา่ หรภิ ญุ ไชยจะถกู พชิ ติ ไดเ้ ปน็ แน่ ดว้ ย 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 59

เล่หเ์ พทบุ าย พญามังรายจึงสง่ อาลกั ษณค์ นนัน้ นามว่า อ้ายฟา้ ไป รบั ใชพ้ ญาย่บี าแห่งหริภญุ ไชย และเป็นไส้ศกึ แอบสง่ ขา่ วลับๆ เปิด ทางใหพ้ ญามงั รายเขา้ โจมตี จนสามารถยึดครองหริภญุ ไชยได้ พญามังรายใช้เวลาในทศวรรษต่อมา เพ่ือเตรียมการต่างๆ  แตโ่ ดยไมค่ าดฝนั ในปตี อ่ มา ผปู้ กครองแกวแหง่ เมอื งประกนั ไดม้ ายงั เชียงแสน โดยแจ้งว่ามาเพือ่ ชว่ ยราชาภเิ ษกพญามงั ราย ซึ่งสืบเชื้อ สายมาจากขนุ เจอื งเหมอื นกบั ตน ดว้ ยความปติ อิ ยา่ งเหลอื ลน้ พญา มังรายเสด็จไปพบ และก็ทำ�ให้ได้ทราบข่าวเกี่ยวกับสายสกุลของ พระองค์จากผ้ปู กครองแกวว่า “ปติ ลุ า (ลุง) ของพระองคน์ ั้น มีองค์ หนงึ่ นามวา่ ค�ำ หอ้ ไดเ้ ปน็ เจา้ ผคู้ รองลา้ นชา้ ง (หลวงพระบาง) สว่ น อกี องค์ นามวา่ เจา้ ชมุ แสง ปกครองเมืองนนั ทบรุ ี (น่าน) ส่วนตัว ข้าฯ นั้น เป็นบุตรของเจ้าพระเรืองแมนคำ�คาแห่งเมืองแกวประกัน เมอื่ พระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ได้สืบราชสมบัติต่อมา และเมอ่ื เจา้ ผู้ ครองฮ่อ ผเู้ ปน็ ใหญใ่ นใต้หล้า (จักรพรรดิจีน? หรอื ผปู้ กครองของ นา่ นเจา้ ?) ไดป้ ระชุมผู้ปกครองทั้งหมด (ในบรเิ วณใกลเ้ คียง) เพื่อ แตง่ ตงั้ ตวั ขา้ ฯ ทเ่ี ขาหวด (Hüt) ดงั เชน่ ทบ่ี รรพชนไดแ้ ตง่ ตง้ั ขนุ เจอื ง ดังน้ันข้าฯ จึงเป็นคนตระกูลเดียวกับพระองค์ และวันน้ีก็มีความ ประสงค์จะมาแต่งตั้งพระองค์ และขอให้พระองค์ครองราชสมบัติ อยา่ งสนั ตสิ ขุ ”1 และหลงั จากพธิ รี าชาภเิ ษกแลว้ ผปู้ กครองแกวกก็ ลบั ไปยงั เมอื งประกนั ขณะทร่ี อฟงั ขา่ วจากอา้ ยฟา้ ไสศ้ กึ ในหรภิ ญุ ไชย พญามงั ราย กต็ ดั สนิ พระทยั ทจ่ี ะรวบรวมดนิ แดนทางตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทปี่ กครอง โดยพญาง�ำ เมือง กษตั ริยแ์ ห่งพะเยา บางหลักฐาน (*ต�ำ นานเมือง พะเยา) กลา่ ววา่ พญาง�ำ เมอื งกเ็ ปน็ เชอ้ื สายของขนุ เจอื งเชน่ กนั และ เปน็ ผทู้ อ่ี ยรู่ ว่ มสมยั กบั พญามงั ราย สมภพใน พ.ศ. 1781 (1238) ขณะ ท่ยี ังเยาว์มีพระชนมไ์ ดส้ ิบหกพรรษา ได้เสดจ็ ไปยงั ลพบรุ ี เพ่อื ที่จะ 60 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

เลา่ เรยี นกบั ฤษตี นหนงึ่ และกไ็ ดร้ จู้ กั สนทิ สนมกบั เจา้ ชายอกี พระองค์ หนง่ึ ซึง่ ตอ่ มามพี ระนามว่า พอ่ ขนุ รามคำ�แหงแห่งสุโขทยั เมือ่ กลับ มายังบ้านเมือง พญางำ�เมืองได้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา เป็นเจา้ แห่งพะเยาใน พ.ศ. 1801 (1258) และยังคงอยใู่ นราชสมบัติ ใน พ.ศ. 1819 (1276) เมอื่ พญามงั รายไดน้ �ำ กองทพั บกุ เขา้ มาทช่ี ายแดน ระหว่างรัฐทง้ั สอง พญาง�ำ เมืองไดไ้ ปพบพญามังราย และแทนท่จี ะ ต้องรบรากัน ท้ังสองพระองค์ตกลงมีไมตรีเป็นพันธมิตรกัน แม้ว่า พญางำ�เมืองจะต้องยกพื้นท่ีในเขตชายแดนซ่ึงมีผู้คนห้าร้อยครัวให้ กบั พญามงั รายกต็ าม เครอื ขา่ ยความสมั พนั ธซ์ งึ่ เชอื่ มโยงพญามงั รายกบั เจา้ ไท-ไต เมืองเล็กเมืองน้อยท่ีอยู่ใกล้เคียงน้ันย่ิงมีความแข็งแกร่งมากยิ่งข้ึน ในอีกสองสามปีต่อมา เม่ือพระองค์ได้รับการทูลเชิญมาแก้ปัญหา พิพาทระหว่างพญาง�ำ เมืองและพ่อขนุ รามคำ�แหงแหง่ สโุ ขทัย พญา ง�ำ เมอื งมสี ทิ ธทิ จ่ี ะเอาชวี ติ พอ่ ขนุ รามค�ำ แหงทลี่ กั ลอบเปน็ ชกู้ บั มเหสี ของตน แต่พญามงั รายเหน็ วา่ การท�ำ เช่นนนั้ ไมก่ ่อใหเ้ กิดประโยชน์ อะไรนกั และพญางำ�เมอื งอาจจะสรา้ งความบาดหมางใจกบั ผปู้ กครอง แห่ง (นคร) ศรธี รรมราช และกรุงศรีอยธุ ยา ซง่ึ เปน็ “ญาติวงศข์ อง พญาร่วง (รามคำ�แหง) อีกต่อไปด้วย” ดังนั้น พญามังรายจึงให้ พ่อขุนรามค�ำ แหงขอขมาต่อพญาง�ำ เมือง และใหส้ ินไหมแกพ่ ญาง�ำ เมือง เป็นจำ�นวน 990,000 เบีย้ พญาง�ำ เมืองและพ่อขนุ รามค�ำ แหง สงบศกึ สมานฉนั ทก์ นั ได้ และกษตั รยิ ท์ ง้ั สามกไ็ ดใ้ หส้ ตั ยส์ าบานเปน็ ไมตรีต่อกันตลอดไป ทำ�ไมตำ�นานเรื่องน้ีจึงให้ความสำ�คัญในเรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข? อย่างน้อยท่ีสุดแล้ว ผู้ปกครองแห่ง เชยี งแสน/เชยี งราย และสโุ ขทยั ตา่ งกว็ างแผนการณอ์ นั ทะเยอทะยาน ในการขยายอำ�นาจ และไม่อาจยอมให้เกิดความบาดหมางปรากฏ ข้ึนในหมู่ผู้นำ�ในท้องถิ่นซึ่งมีผลประโยชน์และเป้าหมายร่วมกัน ที่ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 61

ส�ำ คญั ไปกวา่ นน้ั มภี ยนั ตรายและโอกาสทใ่ี หญห่ ลวงยงิ่ อนั เกดิ จาก ชาวมองโกลไดร้ กุ รานเขา้ มายงั พมา่ และเวยี ดนาม และคกุ คามเมอื ง พระนคร ในบรรยากาศแห่งความไมแ่ นน่ อนน้ี กษตั ริย์ทัง้ สามตอ้ ง ใหค้ วามส�ำ คญั กบั สายสมั พนั ธท์ ม่ี รี ว่ มกนั กอ่ น แมจ้ ะมบี รรพบรุ ษุ รว่ ม กัน หรือกลา่ วส้นั ๆ ก็คืออัตลักษณ์ท่ีมเี หมอื นกัน นัน่ คือ คนไท-ไต ในไมช่ า้ แผนการณข์ องพญามงั รายทจี่ ะบอ่ นท�ำ ลายหรภิ ญุ ไชย ก็บังเกิดผล อ้ายฟ้าได้รับความไว้วางใจจากพญายี่บา อ้ายฟ้าได้ กนั พญายบี่ าใหห้ า่ งเหนิ กบั ราษฎรและราชส�ำ นกั และไดอ้ อกพระราช โองการในพระนามของพระองค์ ซงึ่ สรา้ งความโกรธแคน้ ใหก้ บั ราษฎร เมื่อราษฎรแอบพูดกันถึงความไม่พอใจที่มีต่อกษัตริย์ของตน อ้าย ฟา้ กย็ ยุ งใหร้ าษฎรหนั ไปฝกั ใฝพ่ ญามงั รายแทน จนทา้ ยทส่ี ดุ อา้ ยฟา้ กไ็ ดส้ ่งสาสน์ ไปยงั พญามงั รายว่าสมควรแก่เวลาที่จะเข้ากระท�ำ การ ไดแ้ ล้ว พระองคค์ วรจะสง่ กองทัพมาโดยไม่รอชา้ พญามงั รายจงึ เกณฑไ์ พรพ่ ลจดั ทพั ขนาดมหมึ าในทนั ใด และ เคลือ่ นทัพส่หู ริภญุ ไชย โดยมอี า้ ยฟา้ เพาะหว่านเม็ดพันธ์แุ ห่งความ สบั สนอลหมา่ นอยใู่ นเมอื ง พญามงั รายสามารถทจี่ ะพชิ ติ หรภิ ญุ ไชย ไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย ในวนั ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 1824 (1281) พญา มังรายได้ครองบัลลังก์แคว้นหริภุญไชยอันเก่าแก่ที่ลำ�พูนได้ และ ตอนนกี้ ท็ รงมฐี านะเปน็ เจา้ ผคู้ รองดนิ แดนทางเหนอื ทง้ั หมด พระองค์ ใชเ้ วลาอกี หลายปตี อ่ มา ในการตระเวนไปตามทอ้ งทชี่ นบททางเหนอื สร้างเมืองและป้อมปราการใหมๆ่  พทุ ธเจดียแ์ ละพทุ ธสถาน และได้ สถาปนาระบบการบรหิ ารราชการของพระองคไ์ วอ้ ยา่ งมนั่ คง ในราว  พ.ศ. 1832 (1289) พระองค์ตัดสินพระทัยท่ีจะขยายอำ�นาจออกไป ดว้ ยการพชิ ติ หงสาวดี ซงึ่ เปน็ ราชธานขี องดนิ แดนมอญ ในเขตพมา่ ตอนลา่ ง ซงึ่ ขณะนนั้ เพง่ิ จะเปน็ กบฏปลดแอกจากพกุ าม ดว้ ยการน�ำ กองทัพเข้าไปยงั บรเิ วณแมฮ่ ่องสอน บนฝ่งั แมน่ ำ�้ สาละวนิ ณ ทีน่ ่นั 62 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ได้ทรงพบกับพญาสุตตโสมะ (*เจ็งพะยุเจ็ง) กษัตริย์แห่งหงสาวดี ซง่ึ พญามงั รายไดร้ บั ราชธดิ าของกษตั รยิ ห์ งสาวดี (*นางพายโค (ปาย โค)) เขา้ มาเปน็ พระสนม กษตั รยิ ท์ ง้ั สองจบลงดว้ ยการเปน็ ไมตรตี อ่ กัน และ “นับแตน่ ้ัน ยวน (ไตเหนอื ) ไทย และมอญ ไมว่ ่าจะใน หมู่บ้านใหญ่หรือเล็ก ได้รวมกันเป็นพลเมืองท่ีมีความเป็นอันหนึ่ง อนั เดียวกนั ” ผู้แตง่ ตำ�นานของยคุ นั้นคนหน่งึ ไดบ้ นั ทึกไว้เชน่ น2้ี บางทีอาจจะเป็นในปีต่อมาท่ีพญามังรายได้เข้าพัวพันกับ พกุ าม ต�ำ นานระบวุ า่ พญามงั รายรบี ยกทพั รดุ ไปยงั พกุ าม-องั วะ ใน  พ.ศ. 1833 (1290) เมือ่ ไปถึงเขตแดนทางด้านใต้ พระองค์ได้พบกบั ผู้แทนพระองค์ซ่ึงได้รับบัญชามาจากกษัตริย์พุกาม-อังวะ ให้ถาม ถึงจุดประสงค์ท่ีทรงมาในคร้ังน้ี พญามังรายยืนยันกับเสนาบดีคน นน้ั วา่ มไิ ดม้ าปลน้ สะดม แตม่ าเพอื่ ทจ่ี ะหาชา่ งโลหะขององั วะทมี่ ชี อื่ เลอ่ื งลอื ไปอยู่ทีอ่ าณาจักรของพระองคบ์ ้างเทา่ นัน้ และพญามังราย จึงได้รับพระราชทานครอบครัวช่างทอง ช่างเงิน และช่างทองแดง อย่างละ 500 ครอบครัว ซึ่งพระองค์ให้บรรดาชา่ งเหล่านีไ้ ปตัง้ หลกั ปักฐานอยูต่ ามเมืองต่างๆ ในอาณาจกั ร รวมทัง้ ทีเ่ ชยี งตุง ในชว่ งเวลาใกลเ้ คียงกันนี้ มีพระสงฆ์คณะหนึ่งไดเ้ ดินทางมา ถึงพร้อมกับพระสารีริกธาตุ 2 องค์ ซึ่งคณะสงฆ์ได้ถวายแด่พญา มงั ราย พญามงั รายทรงจดั งานประดษิ ฐานพระบรมธาตอุ ยา่ งยง่ิ ใหญ่ เอิกเกริก ทั้งพระราชทานข้าวและที่ดินจำ�นวนมหาศาล พร้อมกับ ครอบครวั มอญทมี่ าจากหงสาวดอี กี 500 ครวั เปน็ การกลั ปนาไวด้ แู ล รกั ษาพระบรมธาตุ ในทสี่ ดุ ในวันที่ 27 มนี าคม พ.ศ. 1835 (1292) พญามงั ราย ไดส้ ร้างพระราชวังขึ้น ณ ตำ�แหนง่ ทไ่ี ด้เลือกไวเ้ ป็นอย่างดี วา่ จะให้ เป็นที่ตั้งราชธานีแห่งใหม่ของพระองค์ น่ันคือ “เมืองใหม่”หรือ เชียงใหม่ ซ่ึงยังคงเป็นเมืองศูนย์กลางทางภาคเหนือของไทยจวบ 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 63

จนปจั จบุ นั พญามงั รายทรงปรกึ ษาหารอื กบั กษตั รยิ ส์ หายรว่ มสาบาน ของพระองค์ คือ พญางำ�เมือง และพ่อขนุ รามคำ�แหง มาเปน็ เวลา นานพอสมควรแลว้ ในเร่อื งของแบบแปลนการสร้างเมือง และการ วางผังเมือง รวมทั้งการวางป้อมปราการเพ่ือป้องกันเมือง แต่การ กอ่ สรา้ งทแ่ี ทจ้ รงิ นนั้ เพงิ่ จะเรมิ่ ขน้ึ เมอ่ื วนั ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 1839 (1296) ท�ำ ไมการกอ่ สรา้ งเชยี งใหมจ่ งึ ไดล้ า่ ชา้ ออกไปอกี ถงึ สปี่ ?ี เพราะ ว่าในทศวรรษต่อมา พญามังรายต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการคุกคาม ของมองโกลทร่ี กุ รานเขา้ มาในโลกของคนไท-ไตอยเู่ กอื บจะโดยตลอด อนั ทจี่ รงิ แลว้ พระองคเ์ ปน็ เปา้ หมายหลกั ทางทหารของพวกมองโกล ชาวจนี ตระหนักดีว่าพระองค์สนับสนนุ พุกาม ซ่งึ อาจจะมจี ุดก�ำ เนดิ มาจากการที่พญามังรายเป็นพันธมิตรกับมอญแห่งหงสาวดี ซ่ึง สะทอ้ นถงึ ความปรารถนาของพระองคท์ จ่ี ะรกั ษาอทิ ธพิ ลอ�ำ นาจบาง ประการไว้ในกลุ่มไตใหญ่ (*ฉาน หรือ เงี้ยว) ทางตะวันออกของ แมน่ �ำ้ สาละวิน ชาวจนี ซึง่ มีอ�ำ นาจปกครองในเขตยนู นาน ดูเหมอื น วา่ จะกลา่ วถงึ พญามงั รายวา่ เปน็ ผนู้ �ำ คนไท-ไตทสี่ �ำ คญั มากทส่ี ดุ กนิ บรเิ วณไปจนถงึ รฐั ฉานทง้ั หลายทอี่ ยทู่ างตะวนั ออกของแมน่ �้ำ สาละวนิ รวมทงั้ เขตไตลอื้ และลาว ทอ่ี ยบู่ นล�ำ น�ำ้ แมโ่ ขง ไมว่ า่ จะอยา่ งไรกต็ าม พระราชมารดาของพญามงั รายนน้ั เปน็ พระธดิ าของเจา้ เมอื งเชยี งรงุ่ และก็ดูเหมือนว่าพระองค์จะมีอิทธิพลบางอย่างอยู่เหนือเชียงรุ่งมา อย่างต่อเน่ือง โดยพิจารณาถึงการท่ีพระองค์ทรงจัดการเรื่องราว ตา่ งๆ กับพะเยา สุโขทยั หงสาวดี และพุกาม โดยไม่นบั หรภิ ญุ ไชย ทนี่ า่ สงสาร ซึง่ พระองคพ์ ิชิตได้! แลว้ นัน้ พญามังรายดเู หมือนว่าจะ สามารถดำ�เนินนโยบายทจี่ ะลดความขัดแย้งระหว่างรฐั ไท-ไต และ ดนิ แดนเพอื่ นบา้ นทชี่ ายแดนตดิ ตอ่ กนั ได้ และกอ่ ใหเ้ กดิ ความปรองดอง ร่วมมือกันระหว่างรัฐเหล่านั้น ในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่มี 64 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

ร่วมกัน คือ การแผข่ ยายเขา้ มาของพวกมองโกล การท�ำ สงครามของมองโกลนนั้ ไดเ้ ขา้ มารกุ รานพมา่ เวยี ดนาม จามปา หรือกระทั่งชวา ในชว่ งระยะเวลาน้ี เป็นทรี่ ูจ้ กั กนั ดขี องนัก ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ แตเ่ รารนู้ อ้ ยมากเกยี่ วกบั การ ท�ำ สงครามของมองโกลกบั พญามงั รายและพนั ธมติ ร เราไดแ้ ตเ่ พยี ง เดาวา่ สงครามดงั กลา่ วมจี ดุ ก�ำ เนดิ อยา่ งไร อาจเปน็ ไดว้ า่ เมอ่ื มองโกล ได้รับการสวามิภักด์ิจากเชียงรุ่ง เม่ือ พ.ศ. 1835 (1292) แล้ว เจ้า เมอื งเชยี งรงุ่ ขณะนนั้ คอื ทา้ วอา้ ย บตุ รชายของผทู้ เ่ี ปน็ ลกู พล่ี กู นอ้ ง กับพระราชมารดาของพญามังราย ท้าวอา้ ยยังทรงพระเยาว์ มพี ระ ชนมายุแค่ยี่สิบสามพรรษาเท่าน้ัน และต้องร้องขอความช่วยเหลือ จากพญามงั ราย เมอื่ เชยี งรงุ่ ไดล้ กุ ขนึ้ ตอ่ ตา้ น ในเวลาตอ่ มา เมอื่  พ.ศ.  1835 (1292) จักรพรรดิจีนได้สั่งให้ส่งกองทัพออกไปรบกับพญา มังราย และเชียงรุ่ง จนี ได้ยดึ เชียงรุ่งอีก ใน พ.ศ. 1839 (1296) แต่ พญามังรายก็ได้ส่งกองกำ�ลังเข้าไปยึดเมืองคืนมาโดยทันที การ ตอบโต้ของจนี เกิดขึน้ ล่าออกไป และจนถงึ  พ.ศ. 1844 (1301) แล้ว นน่ั เอง ทกี่ ารเตรียมการเพ่ือท�ำ สงครามคร้งั ใหญก่ ับบริเวณดนิ แดน ไท-ไตแถบนจ้ี งึ เกดิ ขนึ้ โดยมกี ารรวบรวมกำ�ลงั คนจำ�นวนสองหมน่ื นาย และม้าอีกหน่ึงหม่ืนตัว พร้อมกับมีพลธนูของมองโกลมาช่วย หนนุ เสรมิ สงครามครง้ั น้ี หายนะเปน็ ของฝา่ ยจนี ความลม้ เหลวของ จนี ไดแ้ ตท่ ำ�ใหพ้ วกคนไท-ไตฮกึ เหมิ ขนึ้ เพราะวา่ ในชว่ ง พ.ศ. 1852 (1309) นั้น เชียงใหม่และเชียงรุ่งได้พร้อมใจกันออกปล้นสะดมไป ทางเหนือไกลจนถึงเว่ยหยวน และดำ�เนินต่อไปเช่นน้ัน จนกระท่ัง  พ.ศ. 1854 (1311) ฝา่ ยจีนซงึ่ เหนือ่ ยลา้ จากการสงคราม ไดห้ ันไปใช้ วถิ ที างการทตู และยอมรบั เครอื่ งบรรณการเปน็ ชา้ งบา้ นและผลติ ผล พนื้ เมอื งตา่ งๆ จากเชยี งรงุ่ และเชยี งใหม่ ใน พ.ศ. 1855 (1312) เชยี งใหม่ สง่ คณะทตู อญั เชญิ เครอื่ งบรรณาการไปยงั ราชส�ำ นกั จนี ใน พ.ศ. 1858 3 | ศตวรรษของคนไท-ไต 65

(1315), พ.ศ. 1869 (1326 ซึ่งคณะทูตนำ�โดยราชโอรส), พ.ศ. 1870 (1327), พ.ศ. 1871 (1328), พ.ศ. 1872 (1329) และ พ.ศ. 1890 (1347) เชยี งรงุ่ ไดห้ ยดุ ปลน้ สะดมในเขตดนิ แดนจนี อยา่ งชา้ ๆ จนหยดุ ลงอยา่ ง สิน้ เชิง ใน พ.ศ. 1868 (1325) ท้ังหมดนั้นดูจะง่ายเกินไปท่ีจะมองข้ามความเป็นไปได้ที่ว่า อ�ำ นาจของพญามงั รายนนั้ มพี น้ื ฐานอยบู่ นพลเมอื งทม่ี คี วามแตกตา่ ง หลากหลายอย่างมาก ส่วนท่ีสำ�คัญเป็นเนื้อเป็นหนัง ซ่ึงบางทีอาจ จะเปน็ พลเมืองสว่ นใหญ่ โดยเฉพาะในทางตอนใตข้ องอาณาจกั รก็ คือมอญ และมีชุมชนสำ�คัญๆ ของลัวะ และชาวเขากลุ่มอื่นๆ เช่น เดียวกับคนไท-ไตอีกหลายกลุ่มด้วยกัน แกนกลางของชนชั้นนำ�ท่ี เปน็ ผปู้ กครอง กค็ อื คนไท-ไต ถงึ แมว้ า่ สายเลอื ดจะจางไปบา้ ง เพราะ การแตง่ งานระหวา่ งสายตระกลู กบั สตรที มี่ าจากครอบครวั เกา่ แกข่ อง ชนชั้นน�ำ ในพ้ืนถิ่น และจากการเกณฑผ์ ู้มคี วามช�ำ นาญเฉพาะด้าน เขา้ มาทำ�งานรบั ใช้ราชส�ำ นัก เชน่ อ้ายฟา้ ชาวลัวะ ซึ่งเปน็ อาลกั ษณ์ และสมหุ บญั ชี พญามงั รายประนีประนอมออ่ นข้อใหช้ าวมอญยง่ิ นกั แมก้ ระทงั่ ยอมใหพ้ ญายบี่ าแหง่ หรภิ ญุ ไชยซง่ึ เปน็ ผพู้ า่ ยแพ้ ยงั อยใู่ น ล�ำ ปางตอ่ ไปไดอ้ กี กวา่ ทศวรรษ จนกระทงั่ พญายบี่ ากบฏ (พ.ศ. 1839 (1296)) และถกู บีบให้ตอ้ งหนลี งไปทางใต้ พญามังรายทรงยกย่อง ศรัทธาวฒั นธรรมมอญและพทุ ธศาสนา และนับแต่แรกๆ แล้วทที่ รง รบั อปุ ถมั ภพ์ ทุ ธศาสนา อยา่ งไรกด็ ี ดว้ ยทรงสนบั สนนุ การเผยแผค่ �ำ สอนของพทุ ธศาสนานกิ ายลงั กาวงศ์ ซง่ึ เปน็ นกิ ายใหมท่ มี่ หี ลกั ธรรม ลกึ ซง้ึ กวา่ และดเู หมอื นวา่ จะเปน็ แบบดง้ั เดมิ แทๆ้  ในเวลาชว่ งสดุ สน้ิ ศตวรรษ กท็ �ำ ใหพ้ ญามงั รายสามารถเรมิ่ สรา้ งอตั ลกั ษณท์ างการเมอื ง และสังคมท่ีมีร่วมกันอย่างใหม่ อันมีพื้นฐานจากศาสนาขึ้นมาได้ โดยทบี่ อกไมไ่ ดช้ ดั วา่ เปน็ ของมอญหรอื ไท-ไต ในไมช่ า้ ดว้ ยความ ศรัทธาทางศาสนา ไมน่ อ้ ยไปกวา่ ความส�ำ เร็จทางการเมอื งและการ 66 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook