การบุกรกุ ของกองทพั พมา่ ใน พ.ศ. 2306-2310 (1763-67) 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 213
อดอาหารจนสวรรคตในอกี สบิ วนั ตอ่ มา พระเจา้ แผน่ ดนิ องคก์ อ่ น คอื พระเจ้าอุทุมพร และพระราชวงศ์ที่นับจำ�นวนไม่ถ้วน รวมท้ังพวก ขุนนางถกู จับไปเปน็ เชลย ผทู้ ่ีรอดชีวิตลว้ นทนทกุ ข์ทรมานอยา่ งยงิ่ ดงั ทเ่ี อกสารรว่ มสมยั ทเี่ ขยี นขน้ึ ในอกี หลายทศวรรษตอ่ มา ไดบ้ รรยาย ภาพเหตุการณไ์ ว้ “มนุษย์นิกรทัง้ หลายในกรุงศรีอยธุ ยา มีความ โศกปรเิ วทเทวทุกขโ์ ทมนัสคบั แค้นใจมาก ทัง้ มีความ หิวอดอยากจนมีกำ�ลังทุพพลภาพมาก บางเหล่าก็ พลัดพรากจากญาติมิตรบุตรภรรยามารดาบิดา ต่าง คนต่างวินาศจากเคร่ืองอุปโภคบริโภคธนธัญหิรัญ สุวรรณรัตน์ เป็นคนอนาถา ทุคคตะกำ�พร้าดังคน จัณฑาล ไม่มีอาหารจะบริโภค และปราศจากเคร่ือง อาภรณ์ผ้านุ่งห่มและท่ีอยู่ มีรูปกายอันซูบผอม ผิว พรรณวิปริต อาศัยเลี้ยงชีพด้วยผลไม้และใบไม้และ เครอื ลดาวลั ย์ เหงา้ บวั รากมนั รากไมใ้ บไม้ เปลอื กไม้ ดอกไม้ เปน็ ตน้ เปน็ คนก�ำ พรา้ อนาถาเทยี่ วไปในราวปา่ เที่ยวไปในนานาประเทศ เลี้ยงชีวติ ไดด้ ว้ ยล�ำ บากยงิ่ นกั ” 9 การทพี่ มา่ โจมตกี รงุ ศรอี ยธุ ยาเมอ่ื สองศตวรรษกอ่ นนนั้ ไมไ่ ด้ ท�ำ ใหก้ รงุ ศรอี ยธุ ยาหรอื รัฐรว่ มสมัยในโลกของคนไท-ไต เกิดระบบ โครงสรา้ งใหมใ่ ดๆ ขนึ้ เลยหรอื ในหลายๆ ดา้ น พวกเขาไมไ่ ดเ้ ตรยี ม พรอ้ มใหด้ ขี น้ึ เพอ่ื รบั การโจมตี มากกวา่ ทเี่ คยเปน็ เมอื่ สองรอ้ ยปกี อ่ น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสามารถในการระดมกำ�ลังคน ก็ไม่ได้ ปรบั ปรุง อยา่ งไรก็ตาม มคี วามคล้ายคลงึ กนั ในตอนจบระหว่างกรงุ 214 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป
ศรีอยุธยากบั เพือ่ นบ้านทางเหนือ ในสองรอ้ ยปีกอ่ น กรงุ ศรอี ยธุ ยา ได้พัฒนาสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือการจัดแบ่งหน้าท่ีตาม ความช�ำ นาญเฉพาะดา้ นอยา่ งกวา้ งขวาง และโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ได้ พฒั นาสถาบนั ทางเศรษฐกจิ ซงึ่ สามารถสนบั สนนุ สงั คมเมอื งศนู ยก์ ลาง การค้าท่มี ีความแตกตา่ งกันสูง ซึง่ โดยรวมแล้ว เปน็ การตอบสนอง โลกท่ีกว้างขวางกว่าเดิม อยุธยาจัดการด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา และกิจกรรมท่ีชอบดว้ ยกฎหมายอยา่ งมีประสิทธภิ าพ และ ตามปกตสิ ามารถปกครองเมอื งจ�ำ นวนมากทข่ี ยายออกไปอยา่ งกวา้ ง ขวางไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ กรงุ ศรีอยธุ ยาเปน็ ที่รวมของผู้คนจาก ทตี่ า่ งๆ ซง่ึ มคี วามแตกตา่ งทางวฒั นธรรม ชาตพิ นั ธ์ุ และภาษา และ ใช้ความสามารถพิเศษของคนเหลา่ น้ไี ด้อยา่ งดที สี่ ุด เปน็ เรอ่ื งงา่ ยทจี่ ะลมื ไปวา่ อยธุ ยามเี อกภาพเปน็ เวลายาวนาน เพราะในคริสต์ศตวรรษท่ี 17 ได้เกิดกบฏข้ึนเปน็ ประจำ�ในหัวเมอื ง ทางใตท้ ห่ี า่ งไกลในคาบสมทุ รมลายู แตท่ ศี่ นู ยก์ ลางของราชอาณาจกั ร นนั้ กรุงศรีอยุธยาสามารถปกครองอย่างมปี ระสิทธิภาพไดอ้ ยา่ งน่า ท่ึง ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกบั ทง้ั ลา้ นนาและลา้ นช้าง บางทกี ารไร้ ความสามารถของอยธุ ยาในการเตรียมพรอ้ มเพื่อเกณฑก์ ำ�ลงั คนใน พ.ศ. 2310 (1767) จะเปน็ ความลม้ เหลวจากสถาบนั การบรหิ าร นอ้ ย กวา่ เกดิ จากปญั หาเรอื้ รงั ซง่ึ มอี ยเู่ ปน็ เวลานานแลว้ ทว่ี า่ ก�ำ ลงั คนนน้ั มคี า่ มากกวา่ ทดี่ นิ การควบคมุ ทดี่ นิ นน้ั งา่ ยกวา่ หากเพยี งเพราะมนั เคล่ือนที่ไมไ่ ด้ และไม่ปรารถนาจะเลือกเจ้าของของมันเอง ราษฎร มีความตั้งใจของตัวเอง ตามปกติมักกระทำ�การเพ่ือผลประโยชน์ อยา่ งมากทสี่ ดุ แกต่ นเอง พวกเขาสามารถตอบสนองตอ่ ผลประโยชน์ ที่ทุกคนก็ได้รับเช่นกัน ให้มากเท่าที่ตนเองมีโอกาส และเพราะว่า อยธุ ยาขาดความเขม้ แข็ง ความย่ังยนื ของสถาบนั ทางการเมืองและ กลไกเพอื่ ถา่ ยอ�ำ นาจทางการเมอื งจากคนรนุ่ หนง่ึ ไปสอู่ กี รนุ่ หนง่ึ ซง่ึ 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 215
เปน็ ภัยตอ่ ความอยรู่ อดของราชอาณาจกั ร ท้ังในล้านนาและล้านช้าง โดยแท้จริงแล้วการสืบสันตติวงศ์ ของกษตั รยิ ท์ กุ พระองค์ ในชว่ งสองศตวรรษ ท�ำ ใหเ้ กดิ วกิ ฤตทางการ เมือง วิกฤตการณ์เหล่าน้ันกลายเป็นอันตรายที่เพิ่มขึ้น เม่ือผล ประโยชน์สูงข้ึน ขุนนางส่วนกลางมีผลประโยชน์ท่ีดีทางเศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื งทดี่ ี ซง่ึ ตอ้ งรกั ษาไว้ และพระเจา้ แผน่ ดนิ องคใ์ หม่ อาจจะปรบั เปลยี่ นความสมดลุ แหง่ อ�ำ นาจทมี่ อี ยใู่ นบรรดาพวกขนุ นาง หากมวี ิกฤตร้ายแรงทั่วไปจริงในครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17 และ 18 มนั ก็ เริ่มมาจากความตึงเครียดระหว่างอำ�นาจของกษัตริย์กับขุนนาง ระหวา่ งราชบลั ลงั กอ์ นั สงู สง่ กบั การแขง่ ขนั ในหมชู่ นชนั้ นำ� ความขดั แย้งในกลุ่มชนชั้นสูง และกลุ่มผลประโยชน์ อยุธยาในระหว่างสอง ศตวรรษนี้อย่างน้อยก็เอาใจใส่ในพัฒนาการแห่งอำ�นาจของชนชั้น สงู และความเตบิ โตในความหลากหลายของสงิ่ ทสี่ ามารถกลายเปน็ พฒั นาการและความเปลย่ี นแปลง ส�ำ หรบั ผสู้ บื ทอดอ�ำ นาจในอยธุ ยา แลว้ จะตอ้ งท�ำ ใหแ้ นใ่ จถงึ ความมเี สถยี รภาพ ซง่ึ จะท�ำ ใหร้ าชอาณาจกั ร นท้ี ัง้ เจริญเตบิ โตและสามารถรกั ษาอสิ รภาพของตนเองไว้ได้ 216 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป
เชิงอรรถ 1. Cushman, “Royal Chronicles,” p. 298. 2. “Report from the Council at Batavia (Jakarta) to the Dutch East India Company, Jan. 21, 1657,” in Records of the Relations between Siam and Foreign Countries in the 17th Century, vol. 2 (Bangkok, 1916), p. 20. 3. George Vinal Smith, The Dutch in Seventeenth-Century Thailand (DeKalb, III., 1977) p. 35. 4. Ibn Myhammad Ibrahim, The Ship of Sulaiman, trans. John O’Kane (London, 1972), pp. 94-97. 5. Van Vliet, Short Histroy, pp. 87-88. 6. Smith, Dutch, p.35. 7. Cushman, Royal Chornicles, pp. 435-36. 8. Koun-hpaung-hset maha-yazawin-taw-kyi [Royal chronicles of Konbaung era (of Burma)] (Ramggoon, 1967),1 : 382. 9. สมเดจ็ พระวนั รตั วดั พระเชตพุ น, สงั คตี ยิ วงศ์ : พงศาวดารเรอ่ื งสงั คายนา พระธรรมวินยั (กรุงเทพฯ, 1923 (2466)), หนา้ 409-10. 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 217
บทท่ี 6 พกร.ศุงร. 2ตั 3น1โ0ก-ส2นิ 3ท9ร4์ตอ(1น7ต6น้ 7-1851) หลงั จากราชอาณาจักรอยธุ ยาถูกพม่าท�ำ ลาย ใน พ.ศ. 2310 (1767) และการท่โี ลกของคนไท-ไตต้องแตกออกเป็นเส่ยี งๆ กลาย เปน็ เมอื งเลก็ เมอื งนอ้ ยทอ่ี อ่ นแอ ผคู้ นอาจจะคาดการณว์ า่ การฟน้ื ฟู และการบูรณะราชอาณาจักรคงเกิดข้ึนได้ช้าและต้องใช้เวลาท่ีเนิ่น นาน แตส่ ง่ิ ทเี่ กดิ ขนึ้ จรงิ กลบั ตรงกนั ขา้ ม ภายในหนงึ่ ทศวรรษตอ่ มา ราชอาณาจกั รสยามสามารถพลกิ ฟนื้ ขน้ึ มาใหมอ่ กี ครง้ั ครง้ั นแี้ มพ้ ระ นเรศวรและบูรพกษัตริย์ก็ยังไม่เคยประสบความสำ�เร็จในการสร้าง ราชอาณาจกั รสยามใหมใ่ หย้ ง่ิ ใหญเ่ ทา่ เทยี มถงึ ระดบั ทสี่ ามารถครอบ ครองอาณาจักรล้านนาและอาณาจักรล้านช้าง รวมถึงการยึดครอง กัมพูชาและหัวเมืองต่างๆ บริเวณคาบสมุทรมลายูได้ เมื่อถึงกลาง ศตวรรษที่ 19 ราชอาณาจกั รใหม่ของสยาม ไดแ้ ผ่ขยายอ�ำ นาจไป กวา้ งขวาง และเขม้ แขง็ มากกวา่ ในอดตี ที่ผ่านมา ความสำ�เร็จเหล่า น้ีเกิดจากพลังความคิดใหมท่ ี่โลดแล่นโดดแยกออกมาจากพลังของ
สยามเกา่ และความส�ำ เรจ็ นไ้ี มไ่ ดเ้ กดิ จากปจั จยั ของกองก�ำ ลงั ทหาร ที่เข้มแข็งอย่างเดียว ยังมีอีกส่ิงหน่ึงอันเป็นปัจจัยที่สำ�คัญมากกว่า นน่ั คอื ความส�ำ เรจ็ ทม่ี าจากวสิ ยั ทศั นอ์ นั กวา้ งไกลของผนู้ �ำ สยามใหม่ ท่ีสามารถเข้าใจและมองเห็นตำ�แหน่งแห่งที่ของราชอาณาจักรของ ตนเองในสถานการณ์ระดับโลก และได้สร้างความม่ันใจในความ สามารถของตนเองขน้ึ มาใหมท่ จ่ี ะน�ำ บรรดาอาณาจกั รเพอ่ื นบา้ นใน การฟันฝ่าวิกฤต และความไม่ม่ันคงแน่นอนต่างๆ ที่ต้องเผชิญอยู่ รายรอบ เป็นการเร่ิมต้นที่จะตอบโต้กับการเผชิญความหายนะอัน ใหญ่หลวงท่เี กิดข้ึนใน พ.ศ. 2310 (1767) และไมช่ า้ ไม่นาน สยามก็ กลายราชอาณาจักรที่สร้างสรรค์และมัน่ คงข้นึ มาอีกครัง้ การรือ้ ฟ้ืนราชอาณาจักร ของพระเจา้ ตากสนิ ในช่วงกองทัพพม่าเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2310 (1767) นั้น บรรดาหัวเมืองต่างๆ ของราช อาณาจักรอยุธยาตกอยู่ในความโกลาหลป่ันป่วน ไม่มีศูนย์กลาง อำ�นาจการปกครอง และขาดผู้นำ�การบังคับบัญชา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพม่าเองก็เกิดศึกสงครามกับจีนในทางตอนเหนือของ อาณาจกั ร ท�ำ ใหพ้ มา่ ตอ้ งตดั สนิ ใจถอนกองก�ำ ลงั ไปจากกรงุ ศรอี ยธุ ยา เหลอื แคเ่ พยี งกองก�ำ ลงั รกั ษาการณเ์ ลก็ ๆ ไว้ ในชว่ งเวลานเ้ี อง กม็ ผี ู้ พยายามแย่งชิงกันสถาปนาอำ�นาจของตนเองข้ึนตามเมืองต่างๆ บริเวณลุ่มน้ำ�เจ้าพระยา ส่วนในท้องถ่ิน ก็เกิดกลุ่มกองโจรทำ�การ ปล้นสะดมเพ่ือความอยู่รอด และในเวลาเดียวกัน ก็มีผู้พยายาม แสวงหาสมัครพรรคพวกและที่พ่ึงใหม่ที่มาจากผู้นำ�ท้องถ่ิน หรือ ขุนนางเก่าของราชอาณาจักรอยุธยาที่ยังหลงเหลืออยู่ การรวมตัว 6 | กรุงรัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ 219
กนั ของกลมุ่ คนเหลา่ นมี้ คี วามทะเยอทะยานขน้ึ ถงึ ขนั้ สถาปนาอ�ำ นาจ ในเมืองเล็กเมอื งนอ้ ย จนถึงข้ันต้งั “อาณาจักร” ขน้ึ มาแข่งขนั เพือ่ ได้ความเป็นใหญ่ท่ีสดุ ในดินแดน ในชว่ ง พ.ศ. 2310 (1767) น้นั มีชมุ นุมท่ตี ง้ั ตนเปน็ อิสระดว้ ย กนั 5 ชมุ นมุ แตม่ เี พยี งชมุ นมุ เดยี วทอี่ า้ งสทิ ธใิ์ นการสบื ทอดพระราช อำ�นาจจากเชื้อสายของกษัตริย์อยุธยา น่ันคือ ชุมนุมเจ้าพิมาย (โคราช) ภายใตก้ ารน�ำ ของกรมหมน่ื เทพพพิ ธิ โอรสของพระเจา้ บรม โกศ หา่ งออกไปทางเมืองสวางคบรุ ีหรือที่เรียกวา่ เมอื งฝาง ซึ่งอยู่ ฝง่ั ตะวนั ออกของอตุ รดติ ถ์ แถบลมุ่ แมน่ �ำ้ นา่ นนนั้ กม็ พี ระสงฆร์ ปู หนงึ่ ทแี่ ต่งกายด้วยจีวรสีแดงชาดแทนสีเหลอื ง ไดส้ ถาปนาตนเองขึ้นมา มีอำ�นาจ และเรียกตนเองว่า เจ้าพระ (*อาจเคยเป็นสังฆราชหรือ พระครูมาก่อน) ได้รวบรวมผู้คนท่ีศรัทธาที่อยู่รายรอบ ให้เข้ามา สวามิภักด์ิได้มากขึ้น (*ชุมนุมเจ้าพระฝาง) จนในท่ีสุดก็บุกเข้ายึด พษิ ณโุ ลกหวั เมอื งเอกไว้ไดใ้ น พ.ศ. 2313 (1770) ซ่ึงเมืองพิษณุโลก น้ีก็มีเจ้าเมืองท่ีสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และมีการปกครอง ตนเองอยา่ งอิสระ (*ชุมนมุ เจ้าพระยาพษิ ณุโลก) เหตกุ ารณ์คล้ายๆ กนั นี้ กเ็ กิดขน้ึ ทีน่ ครศรธี รรมราช แต่กม็ คี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งมาก เพราะเจา้ ครองเมอื งนครฯ นนั้ ไดส้ บื เชอื้ สายจากตระกลู ผคู้ รองเมอื ง นครฯ มาหลายชว่ั อายคุ น อกี ทง้ั อ�ำ นาจของเจา้ เมอื งนครฯ ไดร้ บั การ ยอมรับจากหวั เมอื งต่างๆ ทางใต้ขึ้นมาจนถึงเมอื งชุมพร ชมุ นมุ เจา้ นครฯ น้ีมีอำ�นาจมากกว่าชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้าพระฝางท่ี สวางคบุรี หรือแม้แต่ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ประเด็นที่น่า สนใจของการตงั้ ชมุ นมุ เหลา่ นี้ คอื ชมุ นมุ เหลา่ นไี้ มไ่ ดม้ คี วามพยายาม ทจ่ี ะสถาปนาอ�ำ นาจในดนิ แดนทร่ี าบลมุ่ ภาคกลางทเี่ คยเปน็ ศนู ยก์ ลาง อำ�นาจของราชอาณาจกั รอยธุ ยาเลย ชุมนุมที่ห้า คอื ชมุ นุมทส่ี �ำ คญั ทส่ี ุด ซึง่ ผู้น�ำ ของชมุ นุมน้ี คือผู้ 220 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป
ทเี่ ขา้ ตอ่ สรู้ บั ศกึ กบั พมา่ ใน พ.ศ. 2310 (1767) และเปน็ บคุ คลทมี่ คี วาม กลา้ หาญตา่ งจากผอู้ น่ื คอื หนมุ่ นอ้ ยนามวา่ สนิ ซงึ่ เปน็ บตุ รของชาว จีนและมีแมเ่ ป็นชาวสยาม มขี นุ นางไดร้ ับเล้ยี งไวเ้ ปน็ บุตรบุญธรรม และเติบโตอยู่ในเมืองหลวง ในช่วงเวลาที่พม่าเข้ามาโจมตีกรุง ศรอี ยธุ ยานน้ั นายสนิ ก�ำ ลงั รบั ราชการเปน็ เจา้ เมอื งตาก แตผ่ คู้ นนยิ ม เรยี กว่า พระยาตาก (สิน) หรอื ตากสิน เพอ่ื ใหต้ า่ งจากการเรยี กชอื่ เมืองตาก พระยาตากสนิ พรอ้ มกองก�ำ ลังไดย้ กทัพจากเมืองตากมา สมทบช่วยเมืองหลวงต่อสู้กับพม่า แต่เม่ือพระยาตากสินเห็น สถานการณ์ไม่สู้ดี จึงตัดสินใจนำ�กองทัพตีแหกค่ายจากวงล้อม ของกองทพั พมา่ ออกจากกรงุ ศรอี ยธุ ยามงุ่ หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ออก เฉียงใต้ ไปทางเมอื งจนั ทบุรี ซ่งึ ภายหลังพระยาตากสินเขา้ ยดึ เมือง น้ไี ด้ในเดอื นมิถุนายน พ.ศ. 2310 (1767) สิ่งสำ�คัญที่ทำ�ให้พระยาตากสินเอาชนะปัญหาต่างๆ ใน สถานการณ์อันยุ่งยากก็คือ พระยาตากสินมีความเป็นผู้นำ�ที่มี อัจฉรยิ ภาพ สามารถโน้มน้าวผูค้ นให้เกดิ ศรทั ธาและมีความนับถือ เฉกเชน่ “ผมู้ บี ญุ ” ทส่ี ง่ั สมบารมตี งั้ แตอ่ ดตี ชาติ และเปน็ แรงหนนุ น�ำ ให้มาเป็นผู้นำ�ที่มีความสามารถ ปราบอริราชศัตรูได้อย่างราบคาบ ราษฎรเองในขณะนนั้ กก็ �ำ ลงั ต้องการผูน้ ำ�ที่เข้มแขง็ มวี ิสยั ทัศนแ์ ละ หา้ วหาญ พระยาตากสนิ นนั้ มคี วามสามารถเปน็ เลศิ ทง้ั ในเรอ่ื งเทคนคิ กลยุทธว์ ิธีในการรบและการทหาร จนสามารถขยายอ�ำ นาจทัว่ แผน่ ดนิ สยามตอนกลางในเวลาอนั รวดเร็ว ตอ่ มาในปเี ดยี วกัน ช่วงเดอื น ตุลาคม พระยาตากสินได้เข้ายึดเมืองธนบุรีเมืองท่า (*ของราช อาณาจกั รอยธุ ยา ซ่งึ ในจดหมายเหตกุ รมหลวงนรทิ รเทวี ระบวุ า่ มี นายบญุ สงเป็นนายชุมนมุ คมุ เมอื งน้ไี ว้) ซง่ึ ตั้งอยู่ทฝ่ี ั่งตะวันตกของ แม่น้ำ�เจา้ พระยา ตรงกันข้ามกับกรงุ เทพมหานครในปัจจุบนั และใช้ เมอื งธนบรุ ีเป็นฐานทม่ี นั่ เดือนถัดมา พระยาตากสินกร็ บชนะ กอง 6 | กรงุ รตั นโกสินทรต์ อนต้น 221
ก�ำ ลงั ของพมา่ ทย่ี งั หลงเหลอื อยทู่ างดา้ นตะวนั ตก (*ทค่ี า่ ยโพธสิ์ ามตน้ ในกรงุ ศรอี ยธุ ยา ซงึ่ มนี ายทองสกุ ชาวมอญเชอ้ื สายไทย ไดต้ �ำ แหนง่ สกุ พี้ ระนายกองจากพมา่ ควบคมุ อยู)่ พระเจา้ ตากสินใชเ้ วลาเพียง หกเดอื นในการแสดงเดชานภุ าพใหเ้ ปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ (*วนั ที่ 28 ธนั วาคม 2310 จงึ ปราบดาภเิ ษกเปน็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ )ี สว่ นสนบั สนนุ ทสี่ �ำ คญั ของพระเจ้าตากสนิ คอื ชุมชนพอ่ ค้าชาวจนี แตจ้ ๋วิ ทอ่ี ย่ใู นพ้นื ท่ี (*หวั เมอื งดา้ นตะวนั ออกเฉยี งใต)้ ความดนี ตี้ อ้ งยกใหก้ ารทพ่ี ระเจา้ ตากสนิ นั้นมีเชื้อสายจีนจากทางฝ่ายพระราชบิดา จึงได้รับการเกื้อกูลเป็น อยา่ งดี และเพียงเวลาไม่นาน พระเจ้าตากสนิ ก็ได้รบั การสนับสนุน ดา้ นเสบยี งอาหารจากการคา้ กบั จนี จนท�ำ ใหส้ ามารถสรา้ งบา้ นแปง เมอื งขน้ึ มาใหมไ่ ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และส�ำ หรบั ระยะยาว การคา้ ขายกบั ชาวจีนก็สร้างรายได้เพ่ือเป็น “ค่าใช้จ่ายต่างๆ สำ�หรับอาณาจักร และค่าบำ�รุงรักษาแก่ขุนนาง เจา้ นาย และราชวงศ์ รวมถงึ ตระกลู ผู้ มง่ั คงั่ ”1 ดงั ปรากฏในเอกสารรว่ มสมยั ทกี่ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณข์ ดั สน ใน ระหว่าง พ.ศ. 2310-11 (1767-68) นัน้ วา่ พระเจ้าตากสิน ทรงมพี ระเมตตากรณุ า คนยากจนอดอยากได้ รบั การเลยี้ งดู ทรงน�ำ พระราชทรพั ยจ์ ากทอ้ งพระคลงั มาโปรยทานโปรยเงนิ เพอื่ บรรเทาความยากจนอดอยาก ในทางกลบั กนั เงนิ ทองทไ่ี ดก้ ลบั มาจากการทชี่ าวตา่ ง ชาตชิ ว่ ยเหลอื ซอ้ื สนิ คา้ ตา่ งๆ กม็ ไิ ดน้ �ำ เขา้ เกบ็ ในทอ้ ง พระคลงั แตท่ รงน�ำ มาแจกจา่ ยแกร่ าษฎร พระเจา้ ตากสนิ ทรงแสดงพระองค์ (เป็นพระเจ้าแผ่นดิน) ด้วยพระ เมตตากรุณา ความบอบช้ำ�ต่างๆ ได้รับการเยียวยา ความปลอดภยั ของผคู้ นและทรพั ยส์ นิ กไ็ ดร้ บั การฟนื้ ฟู ดแู ล แตส่ �ำ หรบั เหลา่ โจรผรู้ า้ ย จะมบี ทลงโทษทร่ี นุ แรง 222 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
และเขม้ งวดขน้ึ มกี ารประกาศใชก้ ฎหมายทผ่ี คู้ นทว่ั ไป ยอมรับได้ เพื่อควบคุมมิให้เกิดการแย่งชิงอำ�นาจใน กาลภายหนา้ ดว้ ยความสามารถในการน�ำ ความสนั ตสิ ขุ มาส่รู าษฎร พระเจา้ ตากสนิ จึงทรงมีพระราชอ�ำ นาจที่ เขม้ แขง็ ในการขน้ึ สูบ่ ลั ลังก์ อย่างไมม่ ีผใู้ ดเทียบเทยี ม ได้ 2 พระเจ้าตากสินตัดสินพระทัยไม่กลับไปตั้งศูนย์กลางอำ�นาจ ท่ีกรุงศรีอยุธยาอีก แต่เลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ ซ่ึงอยู่ หา่ งจากทะเลเพยี ง 20 กโิ ลเมตร ซง่ึ เปน็ ท�ำ เลทเ่ี หมาะตอ่ การคา้ ทาง ทะเล สิง่ ทพี่ ระเจ้าตากสินทรงตอ้ งกระทำ�เป็นการดว่ นคือ การฟนื้ ฟู พระราชอ�ำ นาจในสว่ นกลางและปราบชมุ นมุ ตา่ งๆ ทตี่ ง้ั ตนเปน็ อสิ ระ ด่านแรกของพระองค์คือ การนำ�กองทัพไปปราบชุมนุมพิษณุโลก กอ่ น ในเดอื นพฤษภาคม พ.ศ. 2311 (1768) แตไ่ ม่สามารถพิชติ ได้ (*หลงั จากนน้ั เจา้ พระยาพษิ ณโุ ลกถงึ แกพ่ ริ าลยั นอ้ งชายสบื ตอ่ อ�ำ นาจ แต่อ่อนแอ จึงถูกชุมนุมเจ้าพระฝางตีได้) ในปลายปีเดียวกัน พระเจา้ ตากสนิ จึงเข้ายดึ พมิ ายคืนมาได้ และในชว่ งตน้ ป ี พ.ศ. 2312 (1769) ทรงส่งกองทัพเข้าตีกัมพูชา และยึดเมืองพระตะบองและ เสยี มราฐได้ ในปเี ดยี วกนั ทรงน�ำ ทพั เขา้ ตชี มุ นมุ นครศรธี รรมราชได้ ส�ำ เรจ็ และในกลางป ี พ.ศ. 2313 (1770) ทรงสามารถยดึ เมอื งพษิ ณโุ ลก และเมืองฝางได้สำ�เร็จ ภายในเวลาเพียงสามปี นับจากทรง ปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2310 (1768 (? *น่าจะเป็น ค.ศ. 1767)) กส็ ามารถกอบก้หู ัวเมอื งตา่ งๆ ที่ เคยข้นึ กับราชอาณาจักรอยธุ ยาคืนกลบั มาได้ส�ำ เรจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงแสดงพลานภุ าพใหเ้ หน็ วา่ ทรงประสบ ความส�ำ เร็จในฐานะนกั รบกชู้ าตมิ ากกว่าความเป็นนักปกครอง แม้ 6 | กรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ 223
กระทั่งภารกิจทางการทหาร ก็ทรงแต่งต้ังขุนนางเพ่ิมขึ้นอีกหลาย คนให้ช่วยทำ�หน้าท่ีน้ี เพราะผลประโยชน์สำ�คัญในท่ามกลางภาวะ สงครามในทศวรรษ 1770 (2313-2322) คือ ความมน่ั คงปลอดภัย ของราชอาณาจกั ร การทก่ี องทพั พมา่ สามารถบกุ เขา้ โจมตเี มอื งตา่ งๆ ของราชอาณาจักรอยุธยาทั้งทางเหนือและใต้ได้น้ัน ก็ย่อมทำ�ให้ กรุงธนบรุ ีไม่อาจอยูอ่ ยา่ งปลอดภยั ได้เช่นกนั เว้นแต่ดนิ แดนเหลา่ นี้ ไม่ไปเข้าข้างฝ่ายศัตรู หรือเข้ามาร่วมอยู่ใต้สวามิภักดิ์กับแผ่นดิน สยาม ดังนน้ั ภารกจิ ในสว่ นนี้ของพระเจ้ากรุงธนบุรกี ล็ ลุ ว่ งไปได้ง่าย ข้ึน เมอื่ หัวเมอื งลาวและมลายูตอ้ งการให้สยามชว่ ยเหลือในการขับ ไลพ่ มา่ เหน็ ไดจ้ ากตวั อยา่ งในตน้ ป ี พ.ศ. 2312 (1769) ทเี่ มอื งหลม่ สกั (? *ขอ้ มลู นีน้ ่าจะเป็น เมอื งหลวงพระบาง) ตรังกานู (หรอื ไทรบุรี) และปัตตานี ส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่กรุงธนบุรี และไม่นาน หลงั จากนนั้ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงพยายามผลกั ดนั ใหเ้ จา้ แหง่ กมั พชู า (*พระองคร์ าม หรอื พระรามราชา) ขน้ึ ครองบลั ลงั กก์ มั พชู าไดส้ �ำ เรจ็ และเมอื่ ต้นป ี พ.ศ. 2315 (1772) พระเจ้าสิริบุญสารแห่งนครเวยี งจัน ได้ขอความช่วยเหลอื จากพระเจา้ ตากสนิ ในการบุกโจมตเี มืองหลวง พระบาง การสถาปนาอำ�นาจของอาณาจักรธนบุรีท่ีสำ�คัญท่ีสุดของ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี คอื การไดค้ รอบครองอาณาจกั รลา้ นนา เชยี งใหม่ และเมอื งอน่ื ๆ ทางภาคเหนอื ซงึ่ ตกอยใู่ ตก้ ารควบคมุ ของกองทหาร พม่ามาเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะในช่วงท่ีพม่าโจมตีอยุธยาและ ธนบรุ ี ก็ใช้เมืองเหลา่ นี้เป็นฐานของกองกำ�ลังของพมา่ ไพร่พลชาว ลาวกถ็ กู บงั คบั เกณฑแ์ รงงานและเสบยี งมารว่ มในการสงครามหลาย ครงั้ พระยาจา่ บา้ น (*บญุ มา) แหง่ นครเชยี งใหม่ และเจา้ กาวลิ ะแหง่ นครลำ�ปาง ถกู พมา่ ส่งั ให้เกณฑก์ องก�ำ ลงั ทหารของล้านนา เพือ่ ต่อ ตา้ นกองก�ำ ลงั ของพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี (*ทย่ี กทพั มาตลี า้ นนา) ใน พ.ศ. 224 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป
2317 (1774) แตก่ องทพั ลา้ นนากลบั เขา้ รว่ มสมทบกบั กองก�ำ ลงั ของ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ เี ขา้ ยดึ เมอื งตา่ งๆ ทางเหนอื และขบั ไลก่ องทพั พมา่ ร่วมกัน (*เรยี กกันวา่ การฟ้ืนม่าน) การต่อสู้กับพมา่ ในหัวเมอื งทาง เหนือกินอาณาบริเวณมาจนถึงเมืองพิษณุโลก พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ เขา้ ยดึ ครองเชยี งใหมไ่ ดใ้ นปลายป ี พ.ศ. 2319 (1776) (*และใหพ้ ระยา จา่ บา้ นเปน็ เจา้ เมอื งเชยี งใหม่ ปกครองในฐานะประเทศราชของสยาม) ในระยะนล้ี ้านนาอยู่ในสภาพทีอ่ อ่ นแอ จำ�นวนไพรพ่ ลกล็ ดลง จาก การท�ำ สงครามกบั พมา่ ตอ่ เนอ่ื งเปน็ เวลาหลายปี (*พระยาจา่ บา้ นจงึ พาผู้คนอพยพไปอยู่เมืองลำ�ปาง) ท้ิงเมืองเชียงใหม่ให้ร้างนานถึง 20 ปี (*ต้งั แต่ พ.ศ. 2319-2339) ผนวกกับการถงึ แก่อนจิ กรรมของ พระยาจ่าบ้าน ใน พ.ศ. 2322 ด้วย (*เพราะถูกพระเจ้ากรุงธนบุรี ลงโทษในขอ้ หาฆา่ อปุ ราชกอ้ นแกว้ ความหวงั ทจ่ี ะฟน้ื ฟเู ชยี งใหมจ่ งึ สนิ้ สดุ ลง) เจา้ กาวลิ ะแหง่ เมอื งล�ำ ปางไดร้ บั ต�ำ แหนง่ เจา้ เมอื งเชยี งใหม่ มีอำ�นาจปกครองทางเหนือ และสง่ เครือ่ งราชบรรณาการทูลเกลา้ ฯ ถวายพระเจา้ กรุงธนบรุ ี ในช่วงการต่อสู้อย่างหนัก เม่ือคราวทำ�ศึกกับหัวเมืองทาง เหนอื นน้ั อยภู่ ายใตก้ ารบญั ชาทพั ของเจา้ พระยาจกั รี (ทองดว้ ง) และ นอ้ งชาย คือ เจ้าพระยาสรุ สีห์ (บญุ มา) ท้ังสอง (เกดิ ใน พ.ศ. 2279 (*นบั ศกั ราชแบบเกา่ ตรงกบั ค.ศ.1737) และ พ.ศ. 2286 (1743)) เปน็ ลกู หลานตระกลู ขนุ นางในราชส�ำ นกั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ทเี่ คยไดม้ ตี �ำ แหนง่ เป็นถึงพระคลงั ในสมัยพระนารายณ์ ทง้ั สองเปน็ บุตรของขุนนางใน ระดบั กลางในกรมมหาดไทย (*หลวงพนิ จิ อกั ษร (ทองด)ี เสมยี นตรา มหาดไทย) กรมทม่ี หี นา้ ทดี่ แู ลก�ำ กบั หวั เมอื งฝา่ ยเหนอื และมมี ารดา เชือ้ สายจนี (*ช่ือ ดาวเรือง (หยก)) (ที่ไดร้ บั การเอย่ ขานจากหลาน ทา่ นวา่ ) เปน็ “ลกู สาวแสนสวยของตระกลู เจา้ สวั ผมู้ งั่ คง่ั ทส่ี ดุ ”3 เรอ่ื ง การสรา้ งสายสมั พนั ธข์ องตระกลู นนั้ เราควรใหค้ วามสนใจเปน็ พเิ ศษ 6 | กรุงรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น 225
ตระกลู ขนุ นางตา่ งๆ ทสี่ �ำ คญั ในอยธุ ยานนั้ คอื ตระกลู บนุ นาคทมี่ เี ชอ้ื สายเปอรเ์ ซยี ตระกลู ทมี่ าจากวรรณะพราหมณข์ องอนิ เดยี และตระกลู ท่ีมาจากเชื้อสายชาวจนี ที่เพ่งิ อพยพเขา้ มา อยา่ งน้อยใน พ.ศ. 2318 (1775) ตระกูลเจ้าพระยาจักรีและน้องชายก็มีสายสัมพันธ์ฉันเครือ ญาตกิ บั สามสายตระกลู เหลา่ นี้ ภรยิ าเอก (*เจา้ คณุ นาค) ของเจา้ พระยา จักรีมีสายสัมพนั ธใ์ กล้ชดิ กบั ตระกูลบนุ นาค และพเ่ี ขย (*ขอ้ มลู ทถ่ี กู คอื น้องเขย ช่อื มกุ พระสวามีของกรมหลวงนรนิ ทรเทวี (กุ) น้อง สาวตา่ งมารดาของเจา้ พระยาจกั รี มกุ เปน็ บตุ รเจา้ พระยามหาสมบตั ิ (ผล) ตระกูลพราหมณ์) ของเจ้าพระยาจักรีก็มีเชื้อสายจากตระกูล พราหมณ์ และบรรดาเมียนอ้ ยของเจ้าพระยาจักรที ่มี จี �ำ นวนไมน่ ้อย รวมถงึ มารดา และการแต่งงานของลกู หลานในตระกลู จกั รนี น้ั ลว้ น มคี วามสมั พันธ์อันแนบแน่นกบั สายตระกูลจีน เมื่อคราวทีเ่ สยี กรุงศรอี ยุธยาใน พ.ศ. 2310 (1767) ทองด้วง ไดร้ บั ต�ำ แหนง่ เปน็ ยกกระบตั รเมอื งราชบรุ ี เมอื งซง่ึ ตระกลู ของภรยิ า ทา่ นมฐี านอ�ำ นาจมาก ขณะนนั้ บดิ าของทา่ นอยทู่ เ่ี มอื งพษิ ณโุ ลกและ กินตำ�แหน่งเจ้าพระยาจักรี (*สมุหนายก) เป็นแม่ทัพใหญ่ ในช่วง กรงุ แตกแล้ว เจ้าพระยาพษิ ณุโลก (*เรอื ง เปน็ เจ้าเมอื งพษิ ณุโลก) ตง้ั ตนเปน็ อสิ ระ (*ตงั้ ชมุ นมุ พษิ ณโุ ลก) ซงึ่ กเ็ ปน็ ทพ่ี ง่ึ ส�ำ คญั ของบรรดา ขุนนางอยุธยา แต่ความพยายามน้ันจบสิ้นลง เพราะทงั้ เจา้ พระยา พิษณุโลกและบิดาของทองด้วงถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน และเมือง พิษณุโลกยังตกอยู่ในอำ�นาจของกลุ่มพระภิกษุแต่งตัวด้วยสบงจีวร แดงจากเมืองฝาง (*ชมุ นุมเจา้ พระฝาง) ในขณะทบ่ี ุญมาเข้ารว่ มใน กองทพั ของพระเจา้ ตากสนิ (*ตง้ั แตต่ ง้ั ฐานทเ่ี มอื งชลบรุ ี และจนั ทบรุ )ี กไ็ ดน้ �ำ พชี่ ายเขา้ ถวายตวั ตอ่ พระเจา้ ตากสนิ หลงั จากทที่ ง้ั สองประสบ ความส�ำ เรจ็ จากการรบในหลายสมรภมู ิ ทองดว้ งจงึ ไดเ้ ลอ่ื นต�ำ แหนง่ เปน็ พระยายมราช ใน พ.ศ. 2314 (1771) และไดร้ บั ต�ำ แหนง่ เจา้ พระยา 226 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป
จกั รี ใน พ.ศ. 2318 (1775) โดยไมต่ อ้ งพง่ึ พงิ บารมขี องความเปน็ เชอ้ื สายขนุ นางเกา่ และนอ้ งชายทา่ นกไ็ ดเ้ ลอื่ นต�ำ แหนง่ สงู เสมอทา่ นเชน่ กัน (* พ.ศ. 2317 ได้เล่ือนเป็น เจา้ พระยาสุรสหี ์) หลังจากได้ชัยชนะในล้านนา และแต่งต้ังเจ้ากาวิละเป็นผู้ ปกครองล้านนาในฐานะหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนือของสยาม เจา้ พระยาจกั รแี ละนอ้ งชายไดน้ �ำ ทพั มงุ่ หนา้ ไปปราบหวั เมอื งทางทศิ ตะวันออก ซึ่งบรรดาผู้นำ�ของสยามมีความต้องการเมืองเหล่าน้ีมา โดยตลอด เพ่ือต้องการยุติปัญหาทางการเมืองชายแดนทางตะวัน ออกทยี่ ดื เยอื้ มานาน ไมว่ า่ จะเปน็ ความขดั แยง้ ในหวั เมอื งตา่ งๆ ของ ลาว และสถานการณค์ วามไมม่ น่ั คงในกมั พชู า ในตน้ ทศวรรษ 1770 (2313-2322) กองทัพพม่าได้เข้ามามีส่วนพัวพันในกรณีความ ขดั แย้งระหว่างเมอื งหลวงพระบางและเวยี งจัน เหตกุ ารณน์ ก้ี ระตนุ้ ใหส้ ยามฉวยโอกาสในชว่ งนโยบายการพกั รบเพอื่ ความสงบของพมา่ ในรัชสมัยพระเจา้ จิงกจู า (*หรอื เช็งกูเม็ง พระราชโอรสของพระเจ้า มังระ) (2319-25 (1776-82)) และกันมใิ ห้พมา่ ขยายอำ�นาจเข้ามา ในเขตลมุ่ นำ้�โขงตอนบน ในขณะเดยี วกนั เวียดนามก็กำ�ลงั ประสบ ปัญหาการจลาจลภายในจนไม่สามารถแทรกแซงการเมืองในลาว หรอื กมั พูชาได้ ดังนน้ั ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2321 (1778) เจา้ พระยา จกั รจี งึ รวมไพรพ่ ลทหารราวสองหมน่ื นาย จากนครราชสมี าทร่ี าบสงู โคราช บุกไปตีเวียงจัน ในขณะท่ีเจ้าพระยาสุรสีห์นำ�กองกำ�ลังนับ หมนื่ คนมงุ่ หนา้ ไปตกี มั พชู า และไดเ้ ขา้ โจมตเี มอื งตา่ งๆ บนเสน้ ทาง แม่นำ้�โขง เพ่ือส่ังสมกำ�ลังพลและเสบียงเพ่ิม หลังจากเจ้าพระยา สุรสีห์ตีเมืองจำ�ปาสักและนครพนมได้แล้ว จึงเดินทางไปสมทบกับ กองก�ำ ลงั ของเจา้ พระยาจกั รี พรอ้ มกบั ก�ำ ลงั ทหารบางสว่ นจากหลวง พระบาง บกุ เข้าไปถึงกำ�แพงนครเวียงจัน และนครเวียงจนั ได้ถกู ตี แตกอยา่ งยอ่ ยยบั ในเวลาอนั รวดเรว็ ครวั ชาวลาวหลายรอ้ ยครวั เรอื น 6 | กรุงรัตนโกสินทรต์ อนต้น 227
ถกู ตอ้ นไปตง้ั หลกั แหลง่ ใหมใ่ นพน้ื ทข่ี องสระบรุ ี ในเวลาเดยี วกนั ได้ อญั เชญิ พระพทุ ธรปู สององคแ์ หง่ อาณาจกั รลา้ นชา้ ง ไดแ้ ก่ พระแกว้ มรกตและพระบาง มาประดษิ ฐาน (*ทว่ี ดั แจง้ หรอื วดั อรณุ ราชวราราม) ในกรงุ ธนบรุ ี สยามในขณะนนั้ ไดอ้ �ำ นาจปกครองเหนอื นครจ�ำ ปาสกั นครเวยี งจนั และข่มใหห้ ลวงพระบางยอมเป็นพันธมิตรใต้อาณตั ิ หลงั จากกองทพั ของเจา้ พระยาทงั้ สองเดนิ ทางกลบั สกู่ รงุ ธนบรุ ี ในเดอื นเมษายน พ.ศ. 2322 (1779) องคเ์ หนือหวั ของแผ่นดนิ และ ราชส�ำ นกั ก�ำ ลงั มีความวุ่นวายตกอย่ใู นภาวะไม่ปกติสุข หมอสอน ศาสนาชาวฝรั่งเศสได้เขียนรายงานไว้เกี่ยวกับการใฝ่พระทัยทาง ศาสนาอย่างเคร่งครัดของพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า : “ทรงอุทิศเวลา ทง้ั หมดของพระองคใ์ นการสวดมนต์ ถอื ศลี อด และการท�ำ สมาธเิ จรญิ กรรมฐาน เพอ่ื ให้มีอิทธิปาฏหิ าริย์ เหาะเหินเดินอากาศได”้ 4 ยิ่งไป กว่านั้น ที่สำ�คัญคือ พระองค์ทรงประกาศแบบแผนใหม่ของพุทธ ศาสนาแหง่ สยามวา่ พระสงฆจ์ ะตอ้ งนบไหวพ้ ระเจา้ แผน่ ดนิ ในฐานะ ทที่ รงเปน็ พระโสดาบนั หรอื ผแู้ รกถงึ กระแสแหง่ ธรรม ซงึ่ เปน็ หนงึ่ ใน พระอรยิ บคุ คล 4 ประเภท อนั ไดแ้ ก่ พระโสดาบนั คอื ผแู้ รกถงึ กระแส แหง่ ธรรม พระสกทาคามี คอื ผู้กลับมาเพยี งคร้ังเดยี ว (*จะมาเกดิ ในกามาวจรภพอกี เพยี งครง้ั เดยี วกจ็ ะถงึ พระนพิ พาน) พระอนาคามี คอื ผไู้ มม่ าเกดิ อกี (*จะไมก่ ลับมาเกดิ ในกามาวจรภพอีก แต่จะเกิด ในพรหมโลกอกี เพยี งครงั้ เดยี วกจ็ ะถงึ พระนพิ พาน) พระอรหนั ต์ คอื ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้และปรินิพพาน5 พระสงฆ์องค์ใดปฏิเสธที่จะ นบไหวพ้ ระองค์ เฉกเชน่ พระพทุ ธเจา้ กจ็ ะถกู ลดตำ�แหนง่ ลง และกม็ ี หลายองค์ที่ถูกเฆี่ยนตี และลงโทษให้เป็นแรงงานช้ันต่ำ� การปรับ เปล่ียนแบบแผนไปในรูปแบบอย่างนี้ทำ�ให้พระสงฆ์สายเถรวาทไม่ พอใจ แต่พฤติกรรมที่ผิดแปลกไป (*สัญญาวิปลาส) ของพระเจ้า กรงุ ธนบรุ ี ดเู หมอื นยง่ิ ตอกย�ำ้ ผศู้ รทั ธาในศาสนาอยา่ งแรงกลา้ ทเี่ ชอ่ื 228 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
กันว่ากรุงศรีอยุธยาต้องประสบความหายนะใน พ.ศ. 2310 (1767) นนั้ เปน็ เพราะกษตั รยิ อ์ ยธุ ยาหลายพระองคไ์ มต่ งั้ มนั่ ในครรลองแหง่ พทุ ธศาสนาทถี่ กู ตอ้ ง เปน็ เหตใุ หส้ งั คมจมดงิ่ ลงสคู่ วามเสอื่ มถอยทาง ศีลธรรม การทรงตระหนักในสิทธิธรรมความเป็นพระโสดาบันของ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี ทำ�ใหพ้ ระองค์ย่ิงทรงมีการกระท�ำ ที่เด็ดขาด และ โหดร้ายต่อผู้คนท้ังหลายมากขึ้น ในหลักฐานของหมอสอนศาสนา ชาวฝรั่งเศสไดเ้ ขยี นถึงเหตุการณน์ วี้ า่ : เมอื่ หลายปีล่วงมาแลว้ พระเจ้าตากสินได้กดข่ี ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินและชาวต่างประเทศที่เข้าไปอยู่ที่ หรอื ไปท�ำ การคา้ ขายในเมอื งไทยอยา่ งสาหสั มาก เมอื่ ปกี ลายนี้ พวกจนี ซงึ่ ไดเ้ คยไปคา้ ขายในเมอื งไทย ตอ้ ง ละท้ิงสมบัติหนีไปหมด ในปีท่ีผ่านมา พระอารมณ์ ฉุนเฉียวมีมากถึงขั้นก่ึงบ้า และโหดร้ายมากข้ึนกว่า เดิม ทรงสั่งจับผู้คนไปขังทรมานและเฆ่ียนโบยตาม พระทัย ไมว่ า่ จะเปน็ พระมเหสี พระโอรส และแม้แตผ่ ู้ ท่ีจะสืบตอ่ ราชบัลลงั ก์ รวมท้งั ขุนนางผใู้ หญ่ทง้ั หลาย ทรงต้องการให้คนเหล่าน้ีสารภาพผิดว่า ได้ก่อ อาชญากรรม ท้ังๆ ท่ีเปน็ ผบู้ รสิ ุทธ.์ิ 6 หากจะอธิบายพฤติกรรมภาวะพระสติฟั่นเฟือนของพระเจ้า กรงุ ธนบรุ ี กอ็ าจจะกลายเปน็ การเตมิ แตง่ ขอ้ มลู ของแตล่ ะคนไป หาก มองอีกมุมหนงึ่ พระองคท์ รงเปน็ คนนอก เป็นผู้เพง่ิ จะมอี �ำ นาจ เปน็ ลกู ผสมทอี่ ยชู่ ายขอบของสงั คม แมไ้ ดก้ า้ วขน้ึ มามตี ำ�แหนง่ สงู สดุ ของ สงั คม อยา่ งไรกต็ าม พระองคก์ ย็ งั ถกู มองวา่ เปน็ คนนอกอยตู่ ามเดมิ รากเหงา้ ของพระองคย์ งั ดผู วิ เผนิ ไปสำ�หรบั สังคมสยาม เพยี งแคว่ ่า 6 | กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น 229
อยูท่ ีน่ ่มี าหนึ่งช่ัวอายุคนเท่านัน้ ต่างกบั ตระกลู ผู้ดีเก่าทไ่ี ด้ปกครอง สยามมาหลายช่ัวคนภายใต้ร่มเงาของราชอาณาจักรอยุธยา และ บดั นสี้ งิ่ ทก่ี ษตั รยิ เ์ ยยี่ งพระเจา้ ตากสนิ ทรงกระท�ำ คอื ไดก้ อบกรู้ อ้ื ฟนื้ ความสงบสขุ สนั ติ และน�ำ ความเจรญิ มง่ั คงั่ ทท่ี �ำ ใหผ้ ลประโยชนต์ า่ งๆ ของกลุ่มผู้ดีอยุธยาเหล่านี้ดำ�เนินได้ต่อไป พระเจ้าตากสินต้องทรง เคยไดย้ นิ พวกกลมุ่ ผ้ดู เี หลา่ น้ีซุบซบิ นินทาเก่ียวกับพระองค์ และไม่ ยอมรบั ในการกระท�ำ หรือพระราชกจิ ของพระองค์ ซ่ึงสิ่งเหลา่ นเ้ี พิง่ เกดิ ข้นึ ไมน่ านนัก กอ่ นทพ่ี ระองคท์ รงถูกมองวา่ วิกลจรติ จากกลุ่ม คนทนี่ บั ไดว้ ่าเป็นผูม้ ีอ�ำ นาจในโครงสรา้ งอำ�นาจของเมืองหลวง ไม่ ว่าจะเปน็ กล่มุ พระสงฆ์ กลมุ่ ผดู้ ี กลมุ่ ขนุ นาง และกลุม่ พ่อค้า พระเจ้าตากสินทรงเป็นกษัตริย์ของสยามท่ีมีพลานุภาพใน การขยายดินแดนออกไปได้ไกล ย่ิงกว่าราชอาณาจักรอยุธยาเคย ทำ�ได้ แต่เบ้ืองลึกลงไป อำ�นาจในการปกครองดินแดนเหล่าน้ันยัง คงอยูใ่ นมือของคนกลมุ่ อน่ื ตวั อยา่ งเชน่ เมอื งนครศรีธรรมราชทาง ใต้ และลา้ นนาทางเหนอื ยงั คงอยใู่ นอ�ำ นาจการปกครองของตระกลู ผู้นำ�ท้องถิ่นต่างๆ แม้แต่ตระกูลบุนนาคก็ยังแบ่งสรรอำ�นาจในการ ควบคุมกรมพระคลังให้กับตระกูลจีนและตระกูลพราหมณ์ ทายาท รุ่นหนุ่มๆ ของตระกูลผู้ดีเก่าก็ใช้ช่ือเสียง เครือข่ายความเชื่อมโยง และความเปน็ ผูช้ �ำ นาญการของตระกูลตน เพ่อื การด�ำ รงรักษาหรอื ข้ึนมามีตำ�แหน่งของพวกเขา เพราะพวกเขารวมกันเป็นกลุ่มเป็น เหลา่ จำ�นวนมากมายกระจายกนั ไป และบอ่ ยคร้ังกค็ �้ำ จุนกนั ในการ ควบคุมแรงงานในแต่ละเมืองและหมู่บ้านที่อยู่นอกพระนคร (หรือ แมก้ ระทัง่ อยใู่ นพระนคร) ในปลาย พ.ศ. 2324 (1781) ความคิดเหน็ สว่ นใหญใ่ นกลมุ่ ชนชนั้ น�ำ กไ็ ดเ้ รมิ่ ปรากฏออกมาวา่ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี ควรจะตอ้ งถกู ปลดลงจากบลั ลงั กเ์ พอ่ื ผลประโยชนข์ องสว่ นรวม เพอ่ื ความร่งุ เรืองของพุทธศาสนาและอนาคตของสยาม 230 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
ในปีเดียวกันน้ัน ได้เกิดกบฏข้ึนในกัมพูชา อันเป็นเหตุให้ กษัตริย์กัมพูชาสิ้นพระชนม์ (*พระรามราชาถูกขุนนางร่วมกันจับ ถ่วงน้ำ�) และเกิดความโกลาหลวุ่นวายขยายวงออกไปท่ัว พระเจ้า กรงุ ธนบรุ มี พี ระประสงคท์ จี่ ะแตง่ ตง้ั ผสู้ วามภิ กั ดต์ิ อ่ สยามเปน็ กษตั รยิ ์ กัมพูชา จงึ ทรงได้มอบหมายให้เจา้ พระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสหี ์ กับพลทหารสองหม่ืนนายไปปฏิบัติภารกิจน้ี ในช่วงที่กองทัพได้ เคลื่อนกำ�ลังพลออกไปจากพระนครเข้าสู่เขตแดนกัมพูชา ได้เกิด วิกฤตร้ายแรงขึ้นเป็นลำ�ดับในเมืองหลวง ผู้คนในเมืองสระบุรีและ อยธุ ยาไดร้ วมกลมุ่ กนั เขา้ ทำ�รา้ ยผู้ประมลู อากร (*ขดุ หาทรพั ยท์ กี่ รงุ ศรีอยุธยา) ที่กดข่ีขูดรีด ซึ่งเป็นคนท่ีพระเจ้าตากสินแต่งตั้งขึ้นมา และแทนท่ีขุนนางท่ีถูกส่งไปเพื่อปราบจลาจล (*พระยาสรรค์) จะ ทำ�การตามพระบญั ชา กลับเข้าเปน็ พวกกบั กล่มุ กบฏ และเรยี กร้อง ใหพ้ ระเจา้ กรงุ ธนบรุ สี ละราชสมบตั ิ และยกยอ่ งใหเ้ จา้ พระยาจกั รขี นึ้ น่งั ราชบัลลงั กแ์ ทน มกี ารปะทะต่อสู้กันในบางแหง่ ขณะท่ีกล่มุ กบฏ นำ�กำ�ลังเข้ามายังกรุงธนบุรีและจับกุมพระเจ้ากรุงธนบุรี และได้ อญั เชญิ เจา้ พระยาจกั รใี หเ้ สดจ็ กลบั จากกมั พชู าทนั ที เพอื่ ปราบดาภเิ ษก ขึน้ ครองราชยเ์ ม่ือวันท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2325 (1782) ตามกฎหมายมณเฑียรบาลในรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15 ได้เปดิ ชอ่ งใหม้ กี ารสำ�เรจ็ โทษพระบรมวงศา นวุ งศไ์ ด้ พระเจ้ากรุงธนบรุ ที รงพบกบั จุดจบด้วยการถูกมัดอยใู่ นถงุ ก�ำ มะหยี่ (*ถุงแดง) และถูกทุบท่ที า้ ยทอยด้วยทอ่ นจนั ทน์ หลังจาก เสด็จสวรรคต พระบรมศพถูกนำ�ไปฝังไว้ในพื้นที่ชานเมืองของ กรุงธนบุรี (*ท่ีวัดบางยี่เรือใต้ หรือวัดอินทาราม) อย่างเงียบๆ (มี เกรด็ ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทยเลา่ กนั วา่ ทจ่ี รงิ แลว้ มขี า้ บรพิ ารผโู้ ชครา้ ย คนหนึ่งถูกมัดอยู่ในถุงกำ�มะหยี่ และถูกประหารชีวิตแทนพระเจ้า กรุงธนบุรี ส่วนพระเจ้ากรุงธนบุรีได้หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขา 6 | กรุงรัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ 231
แหง่ หนง่ึ ที่ (*เขาขนุ พนม อ�ำ เภอพรหมครี )ี จงั หวดั นครศรธี รรมราช ตอ่ มาทรงใช้ชวี ิตอย่ใู นพระราชวังทห่ี รูหรา ซึง่ ได้ถกู จัดเตรียมสร้าง ขนึ้ ส�ำ หรบั พระองคโ์ ดยเฉพาะ ทเ่ี มอื งนครศรธี รรมราช มกี ารเลา่ ตอ่ ๆ กนั มาวา่ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ เี สดจ็ สวรรคตจรงิ ๆ ใน พ.ศ. 2368 (1825)) การเสด็จสวรรคตของพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่มีการไว้ทุกข์แสดงความ อาลยั จากราษฎรอยา่ งกวา้ งขวาง แมว้ า่ (*พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ ยอดฟ้าจุฬาโลก แห่งราชวงศ์จกั รี ซึ่งเป็น) ผูส้ ืบต่อราชบลั ลังก์ จะ ทรงจดั งานพระเมรขุ นึ้ ใน พ.ศ. 2327 (1784) กต็ าม ดว้ ยความเรง่ รบี ของราชวงศน์ ที้ จี่ ะแกไ้ ขเรอื่ งราวพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ใี หถ้ กู ตอ้ งมากจน เกินไป จึงใชเ้ วลากันเพยี งไมน่ านนักในการพิจารณาสรา้ งพระบรม ราชานุสาวรยี ์ เพ่อื เปน็ อนุสรณ์แดพ่ ระเจ้ากรุงธนบรุ ี (*สร้างในวนั ที่ 17 เมษายน 2497 และมีรัฐพธิ ีเปิดเปน็ ทางการ วนั ท่ี 28 ธนั วาคม 2497) และพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงไดร้ บั การสถาปนาใหเ้ ปน็ วรี กษตั รยิ ์ (*คณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามถวายพระราช สมญั ญานามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช) ในยามทบี่ า้ นเมอื ง สยามตอ้ งการ เพอ่ื กอบกเู้ อกราชทไ่ี ดส้ ญู สน้ิ ไป เมอ่ื พ.ศ. 2310 (1767) ท้ังยังทรงสถาปนาความมั่นคงทางทหาร และการทูตขึ้นในสยาม ทำ�ให้สยามอยู่รอดมาได้ สยามยุคใหม่ในรชั กาลที่ 1 หลังจากพระราชพิธีปราบดาภิเษกแล้ว เจ้าพระยาจักรีได้ สถาปนาพระนามวา่ “พระบาทสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช รามาธบิ ดฯี ” (หลงั จากเสดจ็ สวรรคต ทรงไดร้ บั การสถาปนาพระนามวา่ พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก แต่โดยทวั่ ๆ ไปจะเอย่ พระนามว่า รัชกาลที่ 1 (*หรือ แผ่นดินต้น) พ.ศ. 2325–2352 (1782-1809)) 232 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป
พระราชกรณยี กจิ แรกของพระองค์ คอื ทรงโปรดใหย้ ้ายเมอื งหลวง จากเดมิ ทก่ี รงุ ธนบรุ มี าอยทู่ ก่ี รงุ เทพมหานคร ซง่ึ ตงั้ อยฝู่ ง่ั ตะวนั ออก ของแม่นำ้�เจ้าพระยา ที่ตั้งของราชธานีใหม่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์อัน เหมาะสม และยากตอ่ การโจมตจี ากกองทพั พมา่ ทเ่ี ขา้ มาทางทศิ ตะวนั ตก มีการสร้างพระบรมมหาราชวงั แห่งใหม่ รวมถึงสรา้ งพระอาราม ข้ึนในพระบรมมหาราชวัง (*วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่นิยม เรียกกันว่า วัดพระแก้ว) มีการสร้างวังของเจ้านาย และบ้านเรือน ของบรรดาขุนนางตามริมฝั่งคลอง ทางทิศตะวันออกของพระบรม มหาราชวัง ส่วนกลุ่มพ่อค้าชาวจีนและอินเดียได้ตั้งบ้านเรือน ร้าน คา้ และคลงั สนิ คา้ ของตนตามรมิ ฝงั่ แมน่ �้ำ ทางดา้ นทศิ ใตข้ องพระบรม มหาราชวัง ซ่ึงแตกต่างจากสมัยอยุธยาที่ส่วนใหญ่วังของเจ้านาย และบา้ นเรอื นของขนุ นางมกั สรา้ งตดิ กบั ก�ำ แพงพระบรมมหาราชวงั ในกรงุ เทพฯ ราชธานแี หง่ ใหม่ ชมุ ชนชาวจามซงึ่ เปน็ ทหารราบ (*อยู่ ในกองอาสาจาม ชาวจามมกั ถกู เรยี กวา่ แขกจาม) อยรู่ ว่ มกบั ชมุ ชน ชาวมลายู (*มาจากปตั ตานี เรยี กวา่ แขกตาน)ี ซงึ่ เปน็ ฝพี ายในกอง เรอื หลวง โดยตง้ั บา้ นเรอื นอยรู่ อบๆ มสั ยดิ (*ทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี ง เหนือของพระบรมมหาราชวงั คอื ทีบ่ า้ นครัว รมิ คลองแสนแสบ ใน กรงุ เทพฯ) ทางดา้ นทศิ เหนอื ของพระนครแหง่ ใหมย่ งั เปน็ ทต่ี งั้ ถน่ิ ฐาน ของชาวโรมันคาทอลิกท่ีสืบเช้ือสายมาจากชาวโปรตุเกสและชาว ญป่ี ุ่นทน่ี ับถือศาสนาคริสต์ในสมยั อยธุ ยา สว่ นบรรดาขา้ ราชบรพิ าร ของเจ้านาย ไพร่สม และทาสรับใช้ส่วนตัวของบรรดาขุนนาง มัก อาศยั อยบู่ รเิ วณใกลเ้ คยี งกบั ทอี่ ยอู่ าศยั เจา้ นายและมลู นายของพวก เขา ในพระนครขณะนน้ั ยงั ไม่มีถนนส�ำ หรบั สัญจร มแี ต่การสญั จร ทางนำ้�ด้วยลำ�คลองท่ีตัดเชื่อมโยงถึงกัน การย้ายราชธานีจากกรุง ศรอี ยธุ ยามาตงั้ ทกี่ รงุ เทพมหานคร ท�ำ กนั อยา่ งเปน็ รปู ธรรมมากกวา่ แคเ่ พยี งสญั ลกั ษณเ์ ทา่ นนั้ มเี รอื หลายพนั ล�ำ บรรทกุ กอ้ นอฐิ ทร่ี อื้ จาก 6 | กรงุ รตั นโกสินทร์ตอนต้น 233
กำ�แพงกรุงศรีอยุธยาเมืองเก่า เพ่ือนำ�มาสร้างกำ�แพงพระนคร พระบรมมหาราชวงั แหง่ ใหม่ และสร้างปอ้ มปราการต่างๆ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ทรงเผชญิ กบั ปญั หา ทน่ี า่ หวาดหวน่ั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ตอ่ เหตกุ ารณท์ นี่ �ำ ไปสกู่ ารสนิ้ สดุ รชั สมยั พระเจา้ ตากสนิ ดงั นนั้ พระราชกรณยี กจิ แรกทท่ี รงกระท�ำ คอื การปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ ด้วยทรงเห็นว่าพระพุทธศาสนา ของสยามในขณะนน้ั ตกอยใู่ นสภาวะวกิ ฤต กลา่ วคอื พระสงฆป์ ระพฤติ ตนหยอ่ นยานในพระธรรมวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง ไมใ่ ฝใ่ จศกึ ษาพระธรรม และละเมดิ ศลี ธรรม และประพฤตนิ อกรตี พระสงฆห์ ลายรปู ไดส้ นบั สนนุ การอวดอุตริของพระเจ้าตากสิน ในขณะท่ีพระสงฆ์ที่มีความรู้พระ ปรยิ ตั ิ และพระราชาคณะกลบั ถกู ถอดยศและถกู ลงโทษ หากขดั ขวาง การกระทำ�ดังกล่าว ฉะนั้น ในเดือนแรกเม่ือเสด็จข้ึนครองราชย์ รชั กาลที่ 1 จึงทรงออก “กฎพระสงฆ”์ (*ทั้งหมดมี 10 ฉบับ รวมอยู่ ในกฎหมายตราสามดวง) เพ่ือฟื้นฟูวินัยสงฆ์ รวมถึงทรงประกาศ เล่ือนสมณศกั ด์ิพระสงฆท์ ม่ี คี วามรู้พระปรยิ ัติ และพระราชาคณะให้ ดำ�รงตำ�แหน่งสูงขึ้น (*ทรงแต่งตั้งพระสังฆราช (ศรี) และถวาย สมณศักดิ์พระพุฒาจารย์และพระพิมลธรรมกลับคืนตามเดิม) ทรง สนบั สนนุ ใหม้ กี ารด�ำ เนนิ งานเพอื่ สรา้ งความสามคั คใี นคณะสงฆ์ ดว้ ย การตั้งคณะกรรมการสงฆ์ตรวจสอบข้อสงสัยทางศาสนากับพระ ไตรปฎิ ก ซง่ึ ในทสี่ ุดน�ำ ไปสกู่ ารแตง่ ต้งั คณะกรรมการสงฆ์คณะใหญ่ (*มีพระสังฆราช (ศรี) เป็นพระประธาน และมีพระสงฆ์ท่ีมีความรู้ พระปรยิ ัติกับราชบัณฑิต) มาร่วมกนั สังคายนาพระไตรปิฎกขน้ึ ใน พ.ศ. 2331-32 (1788-89) เพื่อสร้างพระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับ หลวงทม่ี ีความถกู ตอ้ ง (*เรยี กว่า ฉบับทองใหญ่ และน�ำ ไปไว้ท่ีหอ พระมณเฑยี รธรรม ในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม) ความเปน็ องคเ์ อก อัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธ 234 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป
ยอดฟา้ จฬุ าโลก ยงั รวมถงึ พระราชกรณยี กจิ ในการสรา้ งและปฏสิ งั ขรณ์ วัดจำ�นวนมากในพระนคร รวมถึงทรงสนับสนุนการศกึ ษาของพระ สงฆ์นับพันๆ รูป ดูเหมือนว่าการดำ�เนินงานอย่างรวดเร็วทางฝ่าย ศาสนาไดเ้ ชอ่ื มโยงกบั ฝา่ ยการปกครองของราชอาณาจกั รดว้ ยดี เออื้ ผลประโยชนใ์ หก้ บั ราชวงศ์ใหม่ แนวทางในเรอื่ งนแี้ ละเรอ่ื งอนื่ ๆ อกี มากมายทร่ี าชส�ำ นกั พยายาม ทจี่ ะฟน้ื ฟใู หก้ ลบั มารงุ่ โรจนเ์ รอื งรองเหมอื นในราชอาณาจกั รอยธุ ยา ทถี่ อื เปน็ ยคุ ทองของอดตี โดยเทยี บเคยี งกบั รชั สมยั ของพระเจา้ บรม โกศ ในชว่ งตน้ รชั สมยั รชั กาลท่ี 1 ทรงสนบั สนนุ ใหม้ กี ารฟน้ื ฟแู บบแผน ของพระราชพิธีต่างๆ ท่ีถูกระงับไป ตั้งแต่การล่มสลายของราช อาณาจักรอยุธยา เป็นพระราชพิธีท่ีเกี่ยวข้องกับบ้านเมือง การ ปกครองคณะสงฆ์ และขนบธรรมเนียมซึ่งเป็นแบบแผนของความ เปน็ ราชอาณาจกั ร เมอ่ื มกี ารคน้ ควา้ รวบรวมเปน็ ต�ำ ราแบบธรรมเนยี ม และพระราชพธิ ีอยา่ งแนน่ อนแล้ว– ทั้งราชอาณาจักรและราชวงศก์ ็ มคี วามมนั่ คงขนึ้ รชั กาลท่ี 1 จงึ ทรงประกอบพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก อยา่ งเตม็ รปู แบบขน้ึ ใน พ.ศ. 2328 (1785) ในทา้ ยทสี่ ดุ รชั กาลที่ 1 ทรงดำ�เนินพระราโชบายอย่างเป็นระบบต่อพระราชอำ�นาจในทาง ดา้ นกฎหมายท่ที รงมี ใน พ.ศ. 2348 (1805) ทรงแตง่ ต้งั คณะลูกขุน อาลักษณ์ และบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตขึ้น เพ่ือตรวจสอบ กฎหมายของสยามทงั้ หมด ทรงก�ำ หนดใหค้ ณะกรรมการชดุ นส้ี ามารถ บญั ญตั ิ แกไ้ ข และปรบั ปรงุ เนอ้ื หาในกฎหมายใหช้ ดั เจนและสมบรู ณ์ มากขึ้น และ “ทรงมุ่งม่ันที่จะแก้ไขกฎหมายที่ไม่ถูกครรลองคลอง ธรรม หรือมีข้อบกพร่องท่ีไม่สอดคล้องกับหลักความยุติธรรม”7 กฎหมายนั้นมีช่ือว่า “กฎหมายตราสามดวง” ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ ใช้กนั ในกรุงรัตนโกสินทรจ์ นถงึ ศตวรรษตอ่ มา นอกจากพระราชกรณยี กิจทางด้านศาสนา พระราชพิธี และ 6 | กรุงรตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น 235
การชำ�ระกฎหมายแล้ว พระราชกรณียกิจทางด้านการชำ�ระและ รวบรวมวรรณคดีราชสำ�นัก และบำ�รุงศิลปวัฒนธรรม ก็ได้รับการ เอาใจใสใ่ นเวลาตอ่ มา อนั สอดคลอ้ งกบั ขนบโบราณราชประเพณขี อง พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ สยาม พระราชกรณยี กจิ เหลา่ น้ี พระเจา้ ตากสนิ กไ็ ดท้ รงกระทำ�ไว้บา้ งแลว้ เช่นกัน แม้มิไดม้ ากเทา่ กต็ าม แตส่ ำ�หรบั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงอ้างอย่างชัดแจ้งอยู่ เสมอๆ ว่า สิ่งท่ีพระองค์ทรงกระทำ�คือ การร้ือฟ้ืนขนบโบราณราช ประเพณี อย่างไรก็ตาม พระราชกรณียกิจของพระองค์จะไม่ทรง คุณค่าเลย หากแม้นไม่ทรงร้ือฟื้นแบบแผนของวิถีแห่งสงฆ์แบบ อยธุ ยา แบบแผนพระราชพธิ แี หง่ ราชส�ำ นกั และบทบญั ญตั กิ ฎหมาย สมัยอยุธยาข้ึนมา แต่นัยท่ีแท้จริงแล้ว ทรงได้กระทำ�บางสิ่งที่เป็น จารีตใหมอ่ ย่างสุดโตง่ ในสองเรอื่ ง เรอ่ื งแรก รัชกาลท่ี 1 ทรงดำ�เนนิ พระราชกรณียกิจให้ถูกต้องตามแบบจารีตประเพณีที่ฝังรากลึกอยู่ ในสยาม และตามประเพณที างพทุ ธศาสนา กฎพระสงฆท์ ท่ี รงบญั ญตั ิ ขน้ึ ทรงมพี ระราชประสงคม์ ใิ ชเ่ พยี งทจี่ ะน�ำ คณะสงฆก์ ลบั ไปสแู่ บบแผน ในชว่ งปลายสมยั อยธุ ยาเท่าน้ัน แตน่ �ำ กลบั ไปส่แู บบแผนท่พี ระองค์ และพระราชาคณะทรงคิดว่าเป็นแบบแผนของยุคสมัยพระพุทธเจ้า ตามทบ่ี ัญญตั ิไว้ในพระไตรปฎิ ก ส่วนแบบแผนพระราชพิธขี องราช ส�ำ นกั กไ็ ดย้ ดึ ถอื ตามแบบแผนสมยั พระเจา้ บรมโกศ”8 โดยเนน้ สาระ และคณุ คา่ ของพธิ กี รรมตามแบบพทุ ธศาสนา และตดั ทอนความเชอ่ื ในลัทธิพราหมณ์และความเช่ือเร่ืองผีสางเทวดาออกไป ในทำ�นอง เดยี วกนั ระบบกฎหมายในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ า โลก กย็ ดึ ถอื ตามแบบกฎหมายสมยั อยธุ ยา พรอ้ มๆ ใหย้ ดึ ถอื แนวทาง ของระบบกฎหมายของอนิ เดยี แบบดง้ั เดมิ (*พระธรรมศาสตร)์ และ พระราชวินจิ ฉัยขององคพ์ ระมหากษตั รยิ ์ทท่ี รงเหน็ วา่ ไม่ “ตอ้ งตาม หลักยตุ ิธรรม” (*พระราชศาสตร์)9 แนน่ อนวา่ พระราชกรณยี กจิ นี้ 236 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
เป็นงานที่ต้องใช้ทั้งความคล่องแคล่วฉับไว พระปรีชาญาณในการ สร้างสรรค์ และความเข้าอกเข้าใจผู้คน และไม่ใช่เพียงพอใจแค่ส่ง ผ่านเนื้อหาของแบบแผนจากอดีตมาเท่านั้น แต่เป็นความประสงค์ ทีจ่ ะสรา้ งอดตี ขน้ึ เพ่ือสรา้ งทิศทางของอนาคตตอ่ ไปดว้ ย เรอ่ื งทสี่ อง ซง่ึ การปฏริ ปู ในเรอ่ื งตา่ งๆ ของรชั กาลที่ 1 ทป่ี รากฏ ให้เห็นว่า เป็นจารีตใหม่อย่างสุดโต่งก็คือ รูปแบบของพระราช กรณยี กจิ ตา่ งๆ ทท่ี รงกระท�ำ ไดผ้ ลส�ำ เรจ็ แลว้ ไมเ่ หมอื นกบั พระมหา กษัตริย์ผู้ทรงบัญญัติกฎหมายพระองค์ก่อนๆ ดูเหมือนว่าพระบาท สมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก ทรงถกู (*สถานการณ)์ บังคบั ให้ ตอ้ งทรงอธบิ าย และแสดงความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลในผลงานของพระองค์ บทบัญญัติกฎหมาย พระราชกฤษฎีกา และประกาศตา่ งๆ ทั้งหมด ในรัชสมัยของพระองค์ พร้อมทั้งส่วนอารัมภบทในวรรณคดี และ หนงั สอื ทางศาสนา ยงั ไดแ้ สดงขอ้ ความอยา่ งเปดิ เผย ตรงไปตรงมา กฎหมายของพระองค์มีลักษณะที่น่าสนใจ เร่ิมต้นด้วยการอธิบาย สถานการณท์ ี่เกิดข้ึนและถูกแกไ้ ข และอธิบายวา่ ทำ�ไมสถานการณ์ ท่ีว่านี้ผิดศีลธรรมหรือเป็นอันตราย หลังจากนั้นก็นำ�เข้าสู่บริบทใน ประวัตศิ าสตร์ และชี้หลกั การทีค่ วรจะน�ำ มาใช้ โดยมีการแสดงเหตุ และผลที่ทำ�ให้ราษฎรเข้าใจได้เป็นที่ทราบกันว่าในสมัยนั้นยังไม่มี เทคโนโลยีทางการพิมพ์เกิดขึ้นในสยาม การเขียนหนังสือราชการ ข้ึนอยู่กับกรมอาลักษณ์ท่ีทำ�หน้าท่ีคัดลอกเอกสารการติดต่อทาง ราชการท้ังหมด ด้วยลายมือ พระราชกฤษฎีกาต่างๆ ประกาศสู่ สาธารณะไดใ้ นวงแคบ ยงั จ�ำ กดั วงหมนุ เวยี นกนั อยใู่ นหมพู่ วกขนุ นาง อย่างไรก็ตาม ในสังคมท่ีมีลำ�ดับชนช้ันอย่างเข้มงวดเช่นสยามใน คริสต์ศตวรรษท่ี 18 คนกลุม่ นี้คือ “บุคคลทีส่ �ำ คญั ” เหนอื สิง่ อ่ืนใด เป็นกลมุ่ บุคคลผู้มสี ่วนในการร้ือฟ้ืนราชอาณาจักร หลังจากการล่ม สลายของกรุงศรีอยุธยาและยังร่วมกันต่อต้านพระเจ้าตากสิน และ 6 | กรุงรตั นโกสินทรต์ อนตน้ 237
สนบั สนนุ รชั กาลที่ 1 คนกลมุ่ นีไ้ มเ่ หมือนกบั ขา้ ราชบริพารขององค์ พระเจา้ อยหู่ ัวในทศวรรษท่ผี ่านมา หรือกอ่ นหน้านั้น คนกล่มุ นีบ้ าง คนเคยรว่ มในสมรภมู ริ บกบั เจา้ พระยาจกั รี บางคนกเ็ ปน็ ผทู้ เ่ี จา้ พระยา จกั รีรู้จักมักคนุ้ อยา่ งสหายมานานแลว้ หลายคนกเ็ ปน็ พระญาติของ พระองค์ และสว่ นใหญม่ ภี มู หิ ลงั ทค่ี ลา้ ยพระองค์ กษตั รยิ ห์ ลายพระองค์ ของอยุธยา เช่น พระเจ้าปราสาททอง หรอื พระเพทราชา หลงั จาก เสดจ็ เสวยราชยแ์ ลว้ จะปฏบิ ัติพระองค์หา่ งเหนิ และเป็นทางการกบั พวกขนุ นาง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกกท็ รงเคยเหน็ พระเจา้ ตากสนิ กระท�ำ แบบนน้ั ดว้ ย และคงตอ้ งคาดหวงั วา่ จะไดค้ วาม สนับสนุนอย่างสูง โดยภาพรวมแล้ว ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกทรงปฏบิ ตั งิ านรว่ มกบั บรรดาขนุ นางอยา่ ง เท่าเทียมกัน ทรงมีความสัมพันธ์ในการทำ�งานท่ีดีกับเหล่าขุนนาง ทรงปูนบำ�เหนจ็ รางวัลใหเ้ มอ่ื เหลา่ ขุนนางแสดงความสามารถ และ ลงโทษหากไรซ้ งึ่ ประสทิ ธภิ าพเชน่ กนั โดยทรงปฏบิ ตั อิ ยา่ งเทย่ี งธรรม เสมอ การปกครองในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ า โลก ไดด้ �ำ เนนิ รปู แบบเหมอื นกบั สมยั อยธุ ยาตอนปลาย คอื มี 6 กรม หลกั โดยใน 4 กรมแรกรบั ผดิ ชอบเรอื่ งตา่ งๆ ภายในดนิ แดนโดยตรง ซง่ึ มขี นุ นางปฏบิ ตั หิ นา้ ทตี่ า่ งๆ ทง้ั หมด กรมทส่ี �ำ คญั ทส่ี ดุ ตามความ เปน็ มาทางประวตั ศิ าสตร์ คอื กรมมหาดไทย ซง่ึ รบั ผดิ ชอบปกครอง หวั เมอื งทางเหนอื และทางตะวนั ออก; พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอด ฟ้าจุฬาโลก ได้แต่งตั้งเจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน สนธิรัตน์) เป็น เสนาบดีกรมมหาดไทย (*สมุหนายก) เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เป็น บตุ รของตระกลู ขุนนางเกา่ แหง่ ราชสำ�นักอยุธยา และในช่วงรัชสมยั ของพระเจ้าตากสินได้ทำ�หน้าท่ีเป็นเสมียนตราของเจ้าพระยาจักรี (ต�ำ แหนง่ หลวงพินิจอักษร เช่นเดียวกับพระราชบดิ าของรัชกาลท่ี 238 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป
1 ในสมัยอยธุ ยา) ส่วนกรมกลาโหม ปกครองหวั เมืองทางใต้ ตัง้ แต่ เมืองเพชรบุรีลงไป โดยมีเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) เป็นเสนาบดี (*สมหุ กลาโหม) เจา้ พระยามหาเสนาเปน็ บตุ รชายและหลานชายของ เสนาบดีกรมกลาโหม ในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสองคน และมี ความสนิทสนมใกล้ชิดกับตระกูลบุนนาค และเคยถวายงานรับใช้ สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก (*คอื เจา้ พระยาสรุ สหี )์ ในชว่ งสงครามในทศวรรษ 1770 (2313-2322) สว่ นกรมพระคลงั เจ้าพระยาพระคลงั (สน) ซ่งึ รับผิดชอบดูแล เปน็ เสนาบดีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน สมัยกรุงธนบุรี (ซ่ึงอาจเป็น เพราะมีความเช่ยี วชาญพิเศษ?) แต่ภายหลังก็ถูกลดต�ำ แหนง่ และ แตง่ ตงั้ เจา้ พระยาพระคลงั (หน) ขนึ้ มาแทน กรมพระคลงั ดแู ลควบคมุ หวั เมอื งรอบอา่ วไทย ทางใตข้ องกรงุ เทพฯ สว่ นกรมเวยี ง (*กรมเมอื ง หรอื นครบาล) รับผิดชอบดูแลพระนครและอาณาบรเิ วณโดยรอบ อยู่ภายใต้การควบคมุ ของเจา้ พระยายมราช (ทองอิน) ผทู้ ี่เคยตอ่ สู้ เคยี งบา่ เคียงไหลม่ ากับเจา้ พระยาจักรใี นสมยั กรงุ ธนบุรี เจ้าพระยา ยมราช (ทองอนิ ) ประสบความสำ�เรจ็ อยา่ งรวดเรว็ แตต่ อ่ มาทายาท จากตระกลู บนุ นาค (*คอื นายบนุ นาค) กม็ ารบั ต�ำ แหนง่ พระยายมราช แทน นับจาก พ.ศ. 2328-2330 (1785-1787) และต่อมาจึงมารับ ต�ำ แหนง่ เสนาบดกี รมกลาโหม ส่วนอีก 2 กรมทเี่ หลอื อยูภ่ ายใตก้ าร ควบคมุ ของตระกลู พราหมณอ์ ันเก่าแก่ ไดแ้ ก่ กรมนา มเี จ้าพระยา พลเทพ (ปิน่ สิงหเสน)ี เป็นเสนาบดี ซง่ึ ใน พ.ศ. 2348 (1805) กไ็ ด้ รบั ต�ำ แหนง่ เสนาบดกี ลาโหม กรมวงั รบั ผดิ ชอบในการบรหิ ารกจิ การ ของราชส�ำ นัก อย่ภู ายใต้เจา้ พระยาธรรมา (บญุ รอด บุณยรตั พันธ์)ุ ผู้เคยร่วมปฏบิ ัติหน้าท่กี บั เจา้ พระยาจักรใี นสมยั กรุงธนบุรี และเป็น บตุ รชายของครอบครัวตระกลู พราหมณท์ ีเ่ ก่าแก่ หากมองเป็นกลุ่มจะพบว่าเสนาบดีเหล่านี้เป็นตัวแทนของ 6 | กรงุ รัตนโกสินทร์ตอนตน้ 239
ตระกูลชนช้ันนำ�ที่ทรงอิทธิพลมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ท่ีอย่างน้อยก็ ดูแลควบคุมตำ�แหน่งท่ีสำ�คัญๆ ไม่ว่าจะเป็น–มหาดไทย กลาโหม และบรรดาศักด์ิยมราช–ก็อยู่ในมือของคนที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัว ใกลช้ ดิ กบั พระมหากษตั รยิ ์ ในขณะทต่ี ำ�แหนง่ พระคลงั และตำ�แหนง่ เสนาบดกี รมวงั กต็ กอยใู่ นมอื ของผทู้ ม่ี คี วามสามารถเชย่ี วชาญพเิ ศษ ตระกลู พราหมณแ์ ละตระกลู บนุ นาคเขา้ ควบคมุ เกอื บทกุ กรม ยกเวน้ มีตระกูลชาวจีนท่ีเคยรับตำ�แหน่งเสนาบดีกรมพระคลังอยู่สองคร้ัง แมว้ า่ สง่ิ นีจ้ ะไม่แนน่ อนเสมอไปก็ตาม ข้อสังเกตทมี่ ที ัง้ ความส�ำ คญั และน่าตกตะลงึ คือ บรรดาเสนาบดีเกอื บทัง้ หมดในช่วงต้นรชั กาล ที่ 1 ล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับพระองค์ โดยการแต่งงาน เสนาบดีส่วนใหญ่ได้ถวายผู้หญิงให้เป็นบาทบริจาริกาของพระองค์ และให้กำ�เนิดพระโอรส-ธิดา บรรดาลูกหลวงเหล่าน้ี จะผนึกเชื่อม รอ้ ยกนั เปน็ ชนชนั้ น�ำ ในสงั คมสยามร่วมกนั ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ เผชิญกับการโจมตีจากพม่าคร้ังใหญ่ (*สงครามเก้าทัพ) ใน พ.ศ. 2328 (1785) กษตั ริย์ของพม่า พระเจ้าปดงุ (โบดอพญา) (ครอง ราชย์ใน พ.ศ. 2324-2362 (1781-1819)) ได้จัดกองกำ�ลังมากกว่า แสนนาย (*144,000 นาย) (*จ�ำ นวน 9 ทัพ) เพอื่ บุกโจมตสี ยาม 5 ทศิ ทาง โดยทพั ที่ 1 ยกมาตหี วั เมอื งฝา่ ยใตบ้ นคาบสมทุ ร เขา้ มาทาง มะรดิ (*ดา่ นสงิ ขร) มุ่งไปทางชุมพรและไชยา และลงไปทางใต้ ทัพ ที่ 2 ออกจากเมอื งทวาย (*ดา่ นบอ้ งต)้ี ขา้ มภเู ขามงุ่ ไปยงั เมอื งราชบรุ ี และเพชรบรุ เี พอ่ื สมทบทพั ท่ี 1 ทชี่ มุ พร เพอื่ รว่ มกนั ตหี วั เมอื งทางใต้ ทัพที่ 3 คอื ทัพหลวงของพระเจา้ ปดุง (*บางตำ�ราระบุว่าคือทพั ที่ 3, 4, 5, 6, 7) ออกมาจากเมืองเมาะตะมะ ผา่ นด่านเจดีย์สามองค์ มา ทางกาญจนบุรี และตรงเขา้ ตกี รงุ เทพฯ ทัพที่ 4 (*บางต�ำ ราระบวุ า่ คอื ทพั ที่ 8 เขา้ มาทางดา่ นแมล่ ะเมา) เขา้ มาตเี มอื งตาก ก�ำ แพงเพชร 240 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป
การบุกรุกของกองทัพพม่าใน พ.ศ. 2328 (1785) 6 | กรงุ รัตนโกสินทรต์ อนตน้ 241
เพอ่ื ปดิ ลอ้ มเมอื งหลวงทางทศิ เหนือ ทพั ที่ 5 (*บางตำ�ราระบุวา่ ทัพ ที่ 9) เขา้ มาทางหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื ทเ่ี ชยี งแสน เขา้ สเู่ ชยี งใหม่ ล�ำ พนู ล�ำ ปาง และมุ่งไปทางทศิ ตะวันออกเฉียงใต้ไปสู่พษิ ณุโลก นค่ี ือการ บกุ โจมตที ม่ี คี วามใฝฝ่ นั ทจ่ี ะปราบสยามใหร้ าบคาบ และส�ำ หรบั ชาว สยามแล้วถอื วา่ เปน็ การโจมตีที่นา่ เปน็ อันตรายย่ิงนกั ราชสำ�นักกรุงเทพฯ ได้ต้านทานการรุกรานคร้ังนี้ด้วยการ กระจายกองกำ�ลังเท่าที่มี ตามความจำ�เป็นสูงสุด (*เพราะมีกำ�ลัง น้อยกว่ามาก และเปล่ียนไปใช้ยุทธวิธีรับศึกนอกเมือง ซึ่งต่างจาก สมัยอยุธยา) หลังจากท่ีกรุงเทพฯ ได้รับข่าวการบุกโจมตีของพม่า ในช่วงปลายป ี พ.ศ. 2327 (1784) พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกกไ็ ดแ้ บง่ ก�ำ ลงั ไพรพ่ ลประมาณเจด็ หมน่ื นาย ออกเปน็ 4 ทพั ใหญๆ่ เพอื่ รบั ทพั พมา่ ทสี่ �ำ คญั กอ่ น แลว้ ผลดั กนั ตที พั ทเ่ี หลอื กองทพั ของวังหนา้ เป็นทัพหลกั ท่ใี หญ่ทีส่ ดุ ภายใตก้ ารบัญชาของพระมหา อปุ ราช (สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท พระยศ เจ้าพระยาสุรสีห์ ในสมัยธนบุรี) เป็นแม่ทัพยกไปต้านทัพ พม่าท่ีเขา้ มาทางดา่ นเจดยี ส์ ามองค์ กองทัพท่ี 2 กองทพั ของวงั หลงั สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก) เปน็ แมท่ พั ไปตตี า้ นพมา่ ซงึ่ เขา้ มาทางเหนอื ทเี่ มอื งนครสวรรค์ เพอ่ื ยนั มใิ หพ้ มา่ ยกทพั ลงมายงั ทร่ี าบภาคกลาง กองทพั ที่ 3 เจา้ พระยาธรรมา (บญุ รอด) เปน็ แมท่ พั รว่ มกบั เจา้ พระยายมราช (ทองอนิ ) คอยรบั ทัพพมา่ ที่เข้ามาทเ่ี มือง ราชบรุ ี และคอยสง่ เสบยี งไปยงั เมอื งกาญจนบรุ ใี นกรณถี กู โจมตจี าก ทางใต้ สว่ นกองทพั ท่ี 4 กองทพั หลวง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอด ฟา้ จฬุ าโลกทรงเปน็ จอมทพั ควบคมุ กองทหารจ�ำ นวนสองหมน่ื นาย ต้ังมัน่ อย่ใู นพระนคร หากทัพใดเพล้ียงพล้ำ�กย็ กไปชว่ ย ตน้ ปี พ.ศ. 2328 (1785) ความขดั แยง้ เร่ิมข้ึนในดนิ แดนตอน 242 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป
ใน บริเวณต้นแม่น้ำ�แควท่ีเมืองกาญจนบุรี กองกำ�ลังของพระมหา อุปราชประสบความสำ�เร็จในการต้านทานกองทัพพม่า โดยโจมตี เสบยี งของพมา่ แถวแมน่ �ำ้ แควได้ ท�ำ ใหก้ องทพั พมา่ ขาดเสบยี ง ทหาร พมา่ กเ็ หนอื่ ยออ่ น หนรี ะส�่ำ ระสายไป พระเจา้ ปดงุ (โบดอพญา) เหน็ ไม่เข้าท่าจงึ ไดส้ ั่งถอยทพั กลบั ไปตัง้ หลักที่เมอื งเมาะตะมะ แตกต่าง จากกองทพั ทบ่ี ญั ชาการโดยเจา้ พระยาธรรมา และเจา้ พระยายมราช ทต่ี งั้ คา่ ยในเมอื งราชบรุ ี มคี วามประมาทเลนิ เลอ่ ปลอ่ ยใหก้ องกำ�ลงั ทหารพม่าเข้าล่วงล้ำ�มาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และมาต้ังทัพที่ ราชบรุ ี แมว้ า่ ทง้ั สองจะถอนก�ำ ลงั แยกออกจากกองทพั หลกั ของพระ มหาอปุ ราช และเขา้ ตอ่ สกู้ บั พมา่ อยา่ งหนกั จนเอาชนะได้ แตก่ ย็ งั ถกู ลงโทษฐานละเลยหนา้ ที่ โดยเจา้ พระยาธรรมาและเจา้ พระยายมราช ถูกโกนหวั ประจานและปลดออกจากตำ�แหน่งในทส่ี ดุ ในทางเหนอื เจา้ กาวลิ ะไดต้ า้ นทพั พมา่ ไดเ้ ปน็ เวลาหลายเดอื น กอ่ นทถี่ กู พมา่ รกุ ไลต่ มี าถงึ ก�ำ แพงเมอื งล�ำ ปาง ในขณะทก่ี องทพั ของ สยามไดต้ อ่ สกู้ บั ทหารพมา่ ท่เี หลอื ในทัพท่ี 4 และ 5 ทางทิศเหนอื ของนครสวรรค์ ภายหลงั เสร็จสิน้ การรบทีก่ าญจนบรุ ี (*สมรภูมทิ ่งุ ลาดหญ้า) แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกได้น�ำ กอง ก�ำ ลังข้ึนไปสมทบป้องกันทางเหนอื กองทัพหลวงของสยามได้ต่อสู้ กับทัพพม่าที่ใกล้จุดเช่ือมแม่น้ำ�ยมกับแม่นำ้�น่าน กองกำ�ลังพม่าก็ พ่ายกลับไป กองทัพของสยามจึงมุ่งหน้าไปทางเหนือ เพื่อสมทบ กองทหารท่ลี ำ�ปาง และร่วมขับไล่พมา่ ออกไปจากลา้ นนา ซึ่งมีกอง ก�ำ ลังมาสมทบเพมิ่ จากเมอื งนา่ น แพร่ และหวั เมืองทางเหนืออื่นๆ ในขณะทมี่ กี ารตอ่ สกู้ นั อยา่ งหนกั เกดิ ขน้ึ ในชว่ งเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ และมนี าคม ใน พ.ศ. 2328 (1785) กองทพั พมา่ ทางตอนใตบ้ กุ โจมตี หัวเมืองบนคาบสมุทรมลายูได้ท้ังสองฝ่ังทะเล นับจากเมืองชุมพร ซง่ึ มกี ารตอ่ ตา้ นบา้ ง ขา้ มมาจนถงึ ฝง่ั ตะวนั ตกบกุ ตเี มอื งถลาง (*คณุ 6 | กรุงรัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ 243
หญงิ จนั กับคณุ หญิงมกุ น�ำ พลสู้กบั พมา่ ) และบกุ ตีลงมาเร่อื ยๆ ถงึ ฝงั่ ตะวนั ออกทเี่ มอื งพทั ลงุ ซงึ่ ยากทจ่ี ะตา้ นทานไดใ้ นขณะนน้ั กองทพั สยามภายใตก้ ารน�ำ ของสมเด็จกรมพระราชวงั บวรสรุ สิงหนาท เดนิ ทัพมาทางคาบสมุทรฝ่ังตะวันตก ด้วยความกลัวว่าจะถูกตีตัดทัพ กองทพั พมา่ จงึ ถอยทพั ไปทางเหนอื และหลงั จากไดป้ ะทะกบั กองทพั ของสยามท่ีเมอื งไชยา กองทพั พม่ากถ็ อยหนีข้ามไปยงั ฝงั่ ตะวนั ตก และวกตรงขึ้นเหนอื กลบั ไปพม่า หัวเมืองหลายเมืองทางตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างย่ิง นครศรี ธรรมราช ไม่ได้ต้านทานกองทัพพม่าอย่างจริงจัง ด้วยเข้าใจว่า กรงุ เทพฯ ไดถ้ กู พมา่ ยดึ ไดเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ หรอื ไมก่ อ็ ยใู่ นสถานการณ์ ท่ียำ่�แย่จนไม่อาจส่งทัพมาช่วยเหลือหัวเมืองนครฯ สู้กับพม่าได้ กรุงเทพฯ ตระหนักดีว่าสถานการณ์เช่นน้ีอาจจะเป็นอันตรายอย่าง ยิ่งต่อสยาม หากพม่าสามารถยึดหัวเมืองฝ่ายใต้ได้ ทำ�ให้พม่าได้ ฐานท่ีม่ัน ได้แหล่งเสบียงอาหาร รวมท้ังได้ไพร่พลอีกด้วย ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงใช้ยุทธวิธี 2 ข้ันตอน เพอื่ เสรมิ กำ�ลังของกรุงเทพฯ ในหัวเมืองทางใต้ ยทุ ธวธิ ีแรก ทรงมี พระบญั ชาใหส้ มเดจ็ กรมพระราชวงั บวรสรุ สงิ หนาทใชอ้ ำ�นาจกรงุ เทพฯ เขา้ ควบคมุ หวั เมอื งมลายตู อนกลางของคาบสมทุ ร ในเบอื้ งตน้ ปตั ตานี ไดข้ ดั ขนื พระมหาอปุ ราชจงึ สง่ กองก�ำ ลงั เขา้ ปราบปราม และแตง่ ตงั้ สลุ ตา่ นคนใหมเ่ ปน็ ผปู้ กครอง หวั เมอื งใกลเ้ คยี งไมว่ า่ จะเปน็ ไทรบรุ ี กลนั ตนั และตรงั กานู – กย็ นิ ยอมอยใู่ ตอ้ �ำ นาจกรงุ เทพฯ โดยสง่ เครอื่ ง ราชบรรณาการเป็นตน้ ไม้เงนิ ต้นไมท้ อง เพอ่ื แสดงความจงรักภกั ดี ตอ่ กรงุ เทพฯ (*มีฐานะเปน็ หัวเมืองประเทศราชของสยาม) ยทุ ธวธิ ี ท่ีสอง ปรับวิธีการปกครองหัวเมืองทางใต้ใหม่ โดยให้เมืองสงขลา เป็นอิสระ แยกจากการดูแลของเมืองนครศรีธรรมราช และแต่งตั้ง เจ้าเมืองสงขลา ซ่ึงเป็นเชื้อสายชาวจีนท่ีอพยพมาอาศัยอยู่สงขลา 244 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
(*คอื เชอื้ สายของนายเหยยี่ ง แซเ่ ฮา ซง่ึ พระเจา้ ตากสนิ แตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ เจ้าเมืองสงขลา พ.ศ. 2318-2327) ด้วย ต�ำ แหนง่ สงู ระดบั เจา้ พระยา (*เจา้ พระยาสวุ รรณครี ศี รสี มทุ รสงคราม รามภกั ดฯี (บญุ หุ้ย) พ.ศ. 2327-2355) และใหข้ ึน้ ตรงตอ่ กรุงเทพฯ โดยมีหน้าท่โี ดยตรงในการกำ�กบั ดูแลหัวเมอื งประเทศราชมลายู ใน ขณะท่ีพระมหาอุปราชแห่งสยามกำ�ลังปราบปรามหัวเมืองมลายู สุลต่านแห่งไทรบุรีท่ีถูกกดข่ีท้ังจากพม่าและสยามก็พยายามหา พนั ธมิตรใหมโ่ ดยยกเมอื งท่าและเกาะหมาก (*ปีนัง หรอื ปเู ลา ใน ภาษามลายู) เกาะทางฝ่ังตะวันตกของไทรบุรีให้กับบริษัทอินเดีย ตะวันออกขององั กฤษ (27 สิงหาคม พ.ศ. 2328 (1785)) ดเู หมอื น กรุงเทพฯ แทบจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้นักในตอนแรก ผ่านไป 40 ปี กรุงเทพฯ จงึ เร่ิมรู้สกึ สนใจเหตกุ ารณน์ ้ี ศกึ เกา้ ทพั ใน พ.ศ. 2328 (1785) ซงึ่ สยามสามารถขบั ไลพ่ มา่ ออกไปได้สำ�เร็จ ด้วยยุทธวิธีอันฉลาดหลักแหลมและรอบคอบ ซึ่ง เปน็ เครอื่ งหมายวา่ เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการสนิ้ สดุ การรกุ รานของพมา่ ตอ่ สยาม แมว้ า่ จะเปน็ ชว่ งสนั้ ๆ กต็ าม พมา่ พยายามรกุ รานกรงุ เทพฯ อีกครั้ง โดยคร้ังน้ียกทัพมาทางเส้นทางเดียว คือ เข้ามาทางด่าน เจดยี ์สามองค์ ในชว่ งปลายป ี พ.ศ. 2328 (1785) และเดอื นแรกของ ปี พ.ศ. 2329 (1786) (*คือศึกท่าดินแดง) กรุงเทพฯ ได้ทราบข่าว การวางแผนโจมตขี องกองทัพพมา่ มาโดยตลอด ดว้ ยการช่วยเหลือ ของกลมุ่ ชาวมอญทแี่ ขง็ ขอ้ กบั พมา่ และไดต้ งั้ เปน็ กองอาทมาต (*ท�ำ หนา้ ทีล่ าดตระเวน และสอดแนม) พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกได้น�ำ ทัพไพรพ่ ลจ�ำ นวนสามหมน่ื นาย ใชเ้ วลาเพียงไม่กว่ี ัน (*3 วัน) ก็ตีคา่ ยพม่าทัง้ หมด ทแี่ ม่นำ�้ แควนอ้ ย (*จากท่าดนิ แดงถึง สามสบ) กองก�ำ ลงั พมา่ ไดแ้ ตกหนถี อยทพั กลบั อย่างระสำ่�ระสาย ขณะน้ี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ทรงตระหนกั 6 | กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น 245
ในความชอบธรรมของการเป็นพระมหากษัตริย์ที่สามารถปกป้อง บา้ นเมอื งตอ่ สกู้ บั ขา้ ศกึ ศตั รไู ด้ แตก่ อ่ นทจ่ี ะทรงด�ำ เนนิ การใดๆ ทรง ไดข้ า่ วศกึ วา่ พมา่ ยกทพั เขา้ ตดี นิ แดนลา้ นนาในตน้ พ.ศ. 2330 (1787) พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแบ่งกองทพั ออกเปน็ สองกอง และมีพระบัญชาใหส้ มเดจ็ กรมพระราชวงั บวรสรุ สิงหนาท ไปปอ้ งกนั เมอื งล�ำ ปาง และพระองคน์ �ำ ทพั หลวงไปโจมตเี มอื งทวาย ในกองทพั ของสมเดจ็ พระราชวงั บวรฯ มที ง้ั ทหารจากหวั เมอื งตา่ งๆ เข้าร่วมกับทหารจากกรุงเทพฯ และได้ร่วมกันขับไล่พม่าได้สำ�เร็จ และสร้างความเข้มแข็งให้กับหัวเมืองของล้านนา และทำ�การฟื้นฟู เมืองเชยี งใหม่ใหเ้ ป็นปราการป้องกันการรุกรานของพมา่ ในขณะท่ี กองทัพหลวงของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเดินทัพ ไปตามเส้นทางท่ีทุรกันดารด้วยความลำ�บาก เพื่อไปตีเมืองทวาย หลังจากการล้อมเมืองได้สักระยะ กองทัพหลวงเริ่มมีปัญหาเร่ือง เสบยี งเรมิ่ รอ่ ยหรอลง เปน็ เหตใุ หก้ องทพั หลวงตดั สนิ ใจถอยทพั กลบั ในไม่ก่เี ดอื นต่อมา สป่ี ตี อ่ มา ชาวมอญทตี่ อ่ ตา้ นพมา่ ไดก้ ราบบงั คมทลู ใหพ้ ระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกช่วยพวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าปดุง (โบดอพญา) ทำ�ให้สยามได้ครอบครองเมืองทวายเป็นเวลาหลาย เดือนในต้น พ.ศ. 2336 (1793) แตใ่ นท่ีสดุ กองทัพสยามก็ตอ้ งถอน ทพั เมอื่ เผชญิ กบั กองทพั พมา่ ทเ่ี หนอื กวา่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ ยอดฟ้าจุฬาโลกจึงได้ชาวมอญมาเพิ่มเติมในกองทัพสยามจากการ หลบหนลี ้ภี ัยสงครามกับพม่า การท�ำ สงครามกบั พมา่ หลายครงั้ ในชว่ งตน้ รชั สมยั พระบาท สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก อยา่ งนอ้ ยกไ็ ดส้ รา้ งความแขง็ แกรง่ ใหก้ บั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ซงึ่ เปน็ ราชอาณาจกั รใหม่ ท�ำ ใหส้ ยามสามารถ อยรู่ อดไดท้ า่ มกลางการทา้ ทายทางการทหารอนั นา่ สะพรึงกลัว ใน 246 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป
ชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19 งานดา้ นการบรหิ ารบา้ นเมอื งกด็ �ำ เนนิ ไปไดด้ ว้ ยดพี อควร สามารถเกณทแ์ รงงานไดม้ ากขน้ึ ขยายพน้ื ทกี่ าร เพาะปลูกเพ่ิมขึ้น ระบบการบังคับบัญชาจัดการด้านการทหารและ การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากขุนนางทำ�งานไม่มี ประสิทธิภาพก็จะถูกกำ�จัดออกไปอย่างรวดเร็ว ภาระในการต่อสู้ ป้องกันตัวเองได้รับความร่วมแรงร่วมใจกัน การทำ�ศึกร่วมกันใน สมรภูมิรบจะมีการปรึกษาหารือกันอย่างแข็งขันและกว้างขวาง ระหว่างแม่ทัพนายกองจนถึงเจ้านายระดับสูง ทำ�ให้ผู้คนในราช อาณาจกั รมคี วามเชอ่ื มน่ั วา่ รฐั บาลมคี วามสามารถปกปอ้ งอาณาจกั ร และอาณาประชาราษฎรไ์ ด้ ความรู้สึกน้ียังเกดิ ขนึ้ ในหมูเ่ จ้าหัวเมือง ประเทศราชด้วย โดยเฉพาะอย่างย่ิง พระยากาวิละ เจ้าเมืองนคร ลำ�ปาง (นับจาก พ.ศ. 2339 (1796) ได้รับการสถาปนาให้เป็นเจ้า เมอื งเชยี งใหม)่ มคี วามมน่ั ใจในการปอ้ งกนั เมอื งถงึ สองครงั้ ใน พ.ศ. 2340 (1797) และใน พ.ศ. 2345 (1802) ในระหวา่ งทถ่ี กู กองทพั พมา่ ปดิ ลอ้ ม พระยากาวลิ ะมคี วามเชอ่ื มน่ั มากพอในความเขม้ แขง็ ของกอง ทพั กรุงเทพฯ ทีจ่ ะมาช่วยหวั เมืองฝา่ ยเหนือ จงึ ไดต้ ้านทานกองทพั พม่าไว้ได้เป็นเดอื น จนกระทัง่ กองทพั จากกรุงเทพฯ มาช่วย ซงึ่ ท้ัง สองครง้ั น�ำ ทพั โดยพระมหาอปุ ราช แมว้ า่ ทพั ทมี่ าชว่ ยจากกรงุ เทพฯ ทัง้ สองครงั้ อาจจะมาไม่ทันเหตุการณ์ เพราะทหารในกองทัพขนาด ใหญ่ต้องเกณท์จากเมืองเล็กเมืองน้อยในทางเหนือ และยังเกณท์ ทหารจากเวียงจันมาร่วมด้วย เป็นที่ชัดเจนว่าเมื่อเปล่ียนศตวรรษ สยามทงั้ เตม็ ใจและมคี วามสามารถทจ่ี ะมบี ทบาทหลกั ในการเปน็ ผนู้ ำ� ของโลกสยาม/ลาว และทำ�ให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความหมายย่ิงข้ึน – แมว้ า่ นจี่ ะเปน็ การสลดั ความพะวงทางลบกบั การตอ่ สกู้ บั พมา่ กต็ าม จริงๆ แล้ว ราชสำ�นักของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกได้ยอมรับความหลากหลายทางสังคมที่มาจากการมีกลุ่ม 6 | กรุงรัตนโกสนิ ทรต์ อนต้น 247
คนซง่ึ มีพน้ื เพดัง้ เดมิ ทางสงั คมท่ีแตกต่างกนั นอกจากตระกลู ต่างๆ ของผู้ทรงอำ�นาจที่ต้นตระกูลข้ามน้ำ�ข้ามทะเลมา ในราชสำ�นัก กรุงเทพฯ ก็ยังมีผูค้ นมากมายท่พี ูดภาษาต่างถิ่นต่างแดน แต่งกาย ดว้ ยอาภรณแ์ ตกตา่ งกนั และนบั ถอื ศาสนาทต่ี า่ งไปจากพทุ ธศาสนา ท่ีเป็นศาสนาหลัก ภาพตัวแทนความหลากหลายนี้แสดงให้เห็นได้ จากภาพจิตรกรรมฝาผนังของสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งในภาพจะ ปรากฏผคู้ นหลายกลมุ่ ตงั้ บา้ นเรอื นอาศยั อยใู่ นกรงุ เทพฯ แมว้ า่ องค์ รวมของภาพจะมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื น�ำ เสนอสงั คมอนิ เดยี ในสมยั พทุ ธกาล แตจ่ ะเหน็ ไดช้ ดั วา่ ลกั ษณะชาวเมอื งกรงุ เทพฯ มคี วามแตกตา่ งกนั ใน ผวิ พรรณ ทรงผม และเครอื่ งแตง่ กาย ซง่ึ สะทอ้ นถงึ การมกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ท่ีแตกต่างกัน คนบางกลุ่มในภาพแต่งกายแบบชนช้ันสูง และบาง กลุ่มก็แสดงตัวตนให้เห็นชัดเจนว่าเป็นคนสามัญธรรมดา หรือต่าง วัฒนธรรมกัน สังคมกรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นสังคมที่มีเอกภาพเป็น แบบแผนเดยี วกนั แตเ่ ปน็ สงั คมทมี่ ชี วี ติ ชวี าจากความแตกตา่ งอยา่ ง หลากหลาย ระบบคิดจักรวาลวิทยาแบบเดียวกันน้ียังสะท้อนให้เห็นใน วรรณกรรมสมยั รชั กาลที่ 1 แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ วรรณกรรมชนิ้ เอก ที่เป็นมรดกตกทอดอันยิ่งใหญ่ คือ รามเกียรต์ิ ซึ่งมีต้นเค้ามาจาก มหากาพยเ์ รอื่ ง รามายณะ ของอินเดยี ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ ยอดฟ้าจุฬาโลกและบรรดาข้าราชบริพารประพันธ์ไว้ใน พ.ศ. 2340 (1797) (ฉบบั พิมพ์ในปจั จุบันมมี ากกว่า 3,000 หนา้ ) วรรณกรรม เรื่องน้ไี ดม้ กี ารแปลอยา่ งพินจิ พิเคราะหจ์ ากตน้ ฉบับของอนิ เดีย แต่ กค็ อ่ นขา้ งจะปรบั เปลยี่ นอารยธรรมอนิ เดยี ในสมยั คลาสสกิ ใหเ้ ขา้ กบั ลักษณะของประเพณีทอ้ งถนิ่ ตัวเอกในรามายณะ คอื พระราม (ซึง่ ดูไม่ต่างจากค�ำ ว่า พระรามาธิบดีที่ 1) ประทับอย่ใู นเมอื งทีเ่ รยี กวา่ อโยธยา (หรอื อยธุ ยา) และเสดจ็ ขน้ึ ครองบงั ลงั กก์ ด็ ว้ ยทรงมคี ณุ ธรรม 248 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป
และความกล้าหาญ หลังจากอโยธยาตกอยู่ในยุคมืดอันยาวนาน เพราะเผชญิ กบั สงคราม อยา่ งไรกต็ าม จดุ นแ้ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะ และการแต่งวรรณกรรมรามเกียรติ์ว่า ชาวสยามมีความชัดเจนใน เรอื่ งการเมอื งไมน่ อ้ ยไปกว่าเร่ืองภาษา มีวรรณกรรมที่มีกระบวนการต่างออกไปเกิดข้ึนในการผลิต วรรณกรรมในรัชสมัยรัชกาลที่ 1 รัชสมัยน้ีบรรดาผู้ดีท้ังหลายก็ได้ เขา้ รว่ มอยใู่ นโลกของการแต่งวรรณกรรมการเมือง เป็นยุคสมัยท่มี ี การแปลวรรณกรรมคลาสสกิ จากภาษาตา่ งๆ ในเอเชยี เปน็ ภาษาไทย อยา่ งแพรห่ ลาย และไดป้ รบั ใหเ้ ขา้ กบั จารตี ของวรรณกรรมท้องถ่นิ ในบรรดาวรรณกรรมแปลในรัชสมัยน้ี ที่สำ�คัญท่ีสุดและเป็นมรดก ตกทอดมายาวนาน คอื วรรณกรรมจีนเรื่อง สามกก๊ เป็นนยิ ายอิง ประวัติศาสตร์ท่ีเกิดข้ึนในคริสต์ศตวรรษที่ 1-2 เป็นเรื่องราวของ สงครามและการเมอื งในราชส�ำ นกั และเปน็ นยิ ายทคี่ อ่ ยๆ มอี ทิ ธพิ ล ในสยาม และถือเป็นแบบอย่างสำ�หรับพฤติกรรมของผู้ปกครอง บรรดาทปี่ รึกษา และแม่ทพั นายกอง วรรณกรรมแปลรัชสมยั นี้กย็ งั มีพงศาวดารกษัตริย์มอญแห่งหงสาวดี (ราชาธิราช) เร่ืองดาหลัง และอเิ หนา จากชวา เร่อื งอณุ รุท ซึ่งมโี ครงเรอ่ื งมาจากบางตอนใน มหาภารตะของอนิ เดีย นทิ านจากเปอร์เซยี เรือ่ งอาหรบั ราตรี และ มหาวงศ์ พงศาวดารพุทธศาสนาจากศรีลังกาซึ่งแปลมาจากภาษา บาลี นอกจากนี้ ไมเ่ พยี งแตง่ านวรรณกรรมเทา่ นน้ั ยงั มงี านประพนั ธ์ รูปแบบอนื่ ๆ อีกมากมาย ไมว่ ่าจะเปน็ การเขยี นบทกวี ซง่ึ ใช้ภาษา สามัญมากขึ้น ให้เหมือนกับการพูดในชีวิตประจำ�วันมากขึ้นกว่า วรรณคดใี นสมยั อยธุ ยา เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใกลก้ บั ชวี ติ ชาวบา้ นธรรมดา โดย สง่ เสรมิ วฒั นธรรมวรรณกรรมสากลใหก้ ลายเปน็ พน้ื ถนิ่ มากขน้ึ และ ได้รบั ความนิยมมากข้นึ ตามมา ในศตวรรษทผ่ี า่ นมา เราอาจกลา่ วสรปุ ไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ 6 | กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้ 249
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งสยามได้สร้างความมั่นคงถาวรให้แก่ ราชอาณาจกั ร ความร้สู ึกนี้เกดิ ขึ้นในจิตใจของผทู้ ีแ่ วดลอ้ มพระองค์ ด้านเศรษฐกิจ มีการค้าขายท�ำ ก�ำ ไรกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกบั จนี โดยมกี ารคา้ ขายแลกเปลยี่ นกนั ซง่ึ สว่ นใหญส่ นิ คา้ ของสยามคอื ข้าว และน�ำ เข้าสินคา้ หรูหราและเครื่องถว้ ยชามจากจีน (และนำ�เข้า ทองแดงและเงิน) การเจริญเตบิ โตทางการค้าเชน่ น้ี กลมุ่ คนทไี่ ดร้ บั ประโยชน์จากการค้าคือ ผู้คนในราชสำ�นัก ใน พ.ศ. 2339 (1796) สมเด็จกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาททรงกราบบังคมทูลพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกให้ทรงทราบว่า เงินเดือนประจำ� ตำ�แหน่งจำ�นวนแปดหมื่นบาทต่อปีน้ันไม่เพียงพอกับการเลี้ยงดู ข้าราชบริพารในวังหน้า รัชกาลที่ 1 ตรัสตอบว่า ภาษีท่ีเก็บมาได้ จำ�เป็นต้องใช้ส�ำ หรบั วัตถปุ ระสงคส์ าธารณะ; ถ้าเจา้ นายพระองคใ์ ด ต้องการรายได้มากขึ้นควรลงทุนทำ�การค้ากับจีน และใช้ผลกำ�ไรท่ี ได้ในการปรับปรุงพระราชวังของตน แน่นอนว่าครอบครัวขุนนาง หลายคนไดท้ �ำ การเช่นน้ันสบื ทอดกันมาหลายช่วั อายคุ นแลว้ 10 ผลท่ีตามมาในระยะยาวของการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ ท่ีเกิดข้ึนจากความเฟ่ืองฟูของการค้ากับต่างประเทศ ไม่ได้ชัดเจน เพยี งหนง่ึ หรอื สองชว่ั อายคุ น ส�ำ หรบั ทเ่ี ปน็ อยใู่ นชว่ งรชั สมยั น้ี รชั กาล ที่ 1 ทรงพยายามหลีกเล่ียงมิให้เกิดประวัติศาสตร์ซำ้�รอย ในเรื่อง สถานการณ์ที่ทำ�ให้ระบบแรงงานอ่อนแอลงเหมือนเช่นสมัยอยุธยา ดงั ทเ่ี ราไดเ้ หน็ แลว้ วา่ ในราชอาณาจกั รอยธุ ยานนั้ ระบบแรงงานภาย ใตก้ ารดแู ลของรฐั ออ่ นแอมาก แรงงานกลบั ไปอยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของขนุ นางแตล่ ะคนหรอื แตล่ ะกลมุ่ รชั กาลท่ี 1 ทรงด�ำ เนนิ มาตรการ หลายขั้นตอนในเรื่องนี้ ประการแรก ทรงมีพระบรมราชโองการว่า ไพรท่ กุ คนจะตอ้ งสกั ขอ้ มอื เปน็ ชอ่ื มลู นายทต่ี นสงั กดั และชอื่ ของเมอื ง ทตี่ นอาศยั อยู่ การปฏบิ ตั เิ ชน่ นคี้ อ่ ยๆ พฒั นาขนึ้ จนถงึ มกี ารท�ำ ทะเบยี น 250 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป
แรงงาน และ “สกั เลก” ในตอนต้นของแต่ละรชั กาล ประการทสี่ อง ใน พ.ศ. 2328 (1785) พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกทรง ประกาศวา่ ไพรท่ กุ คน ไมว่ า่ จะเปน็ “ไพรข่ องพระเจา้ แผน่ ดนิ ” (ไพร่ หลวง) หรอื เปน็ “ไพร่ของขุนนาง” (ไพรส่ ม) จะต้องเข้าเวรทำ�งาน ใหร้ ฐั ในปลายรชั สมยั ของพระองค์ ทรงใหล้ ดเวลาการเขา้ เวรลง จาก ปีละ 4 เดอื นเหลอื เพยี งปลี ะ 3 เดอื น ประการที่สาม โดยท่ัวไปแลว้ พระเจ้าแผ่นดินปฏิบัติตามนโยบายแบบผสมผสานที่จะทำ�ให้ไพร่ หลวงหลกี หนจี ากหนา้ ท่ีของตนไดย้ ากมากขนึ้ และในเวลาเดยี วกนั ได้ขยายสิทธิพเิ ศษ (เชน่ ยกเวน้ ไมต่ ้องเสียภาษีบางอยา่ ง) ทท่ี ำ�ให้ สถานะของไพรห่ ลวงมภี าระนอ้ ยลง ประการสดุ ทา้ ย เพอ่ื ปอ้ งกนั การ สัง่ สมไพร่พลจำ�นวนมากของเหล่าเจา้ นายและขนุ นาง ระบบไพร่จงึ ได้รับการดูแลอย่างรอบคอบ ในภาพรวมทั้งหมดแล้ว ในสมัยกรุง รตั นโกสนิ ทร์ เจา้ นายไมส่ ามารถควบคมุ ไพรพ่ ลมากพอทจ่ี ะทา้ ทาย อ�ำ นาจของพระเจา้ แผน่ ดนิ ได้ อยา่ งไรกต็ าม เราจะเหน็ วา่ มชี อ่ งโหว่ ในระบบนี้ ดังน้ัน พวกขนุ นางกไ็ ม่อาจเป็นกลางไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ในปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 18 แมว้ า่ หวั เมืองประเทศราชของ สยามฯ ดเู หมอื นจะยนิ ดอี ยใู่ ตบ้ งั คบั บญั ชาของกรงุ เทพฯ เพอ่ื ประโยชน์ สูงสุดของพวกเขา แต่ส่ิงหน่ึงที่สำ�คัญท่ีสุดในสมัยนี้คือ การรักษา ความปลอดภัยจากการรุกรานของพม่า รวมถึงการอารักขาความ ปลอดภยั ใหแ้ กก่ มั พชู าและลาวตอนใต้ พระยากาวลิ ะเจา้ เมอื งเชยี งใหม่ ไดส้ รา้ งสายสมั พนั ธเ์ กยี่ วดอง (*ระหวา่ งตระกลู เจา้ เจด็ ตนกบั ราชวงศ์ จักรี) กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จ พระราชวังบวรสถานมงคล ใน พ.ศ. 2328 (1785) เพือ่ ผลประโยชน์ แห่งตน (ขอ้ สงั เกต คือ (*เจา้ ศรีอโนชา หรือ เจ้ารจจา) ภริยาเอก ของเจา้ พระยาสรุ สหี ค์ อื นอ้ งสาวของพระยากาวลิ ะ) กรงุ เทพฯ มอบ หมายใหพ้ ระยากาวลิ ะปกปอ้ งหวั เมอื งทางตอนเหนอื ของสยาม และ 6 | กรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ 251
เตรียมกองกำ�ลังเพื่อสมทบกองกำ�ลังในภาคใต้ โดยในแตล่ ะปีใหส้ ่ง เครื่องบรรณาการเป็นต้นไม้ทองและเงินให้กรุงเทพฯ ส่วนฝ่าย กรงุ เทพฯ กม็ หี นา้ ทใี่ หค้ วามคมุ้ ครองปอ้ งกนั ลา้ นนาจากศตั รู พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังพระยากาวิละ เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ (*ใน พ.ศ. 2325 ซ่ึงพระยากาวิละไปต้ังม่ัน ชวั่ คราวอยทู่ เ่ี วยี งปา่ ซางตงั้ แต ่ พ.ศ. 2325-2339 เพราะเมอื งเชยี งใหม่ ยงั เป็นเมืองร้าง) และทรงไวว้ างใจพระยากาวลิ ะมากข้ึน ทรงโปรด ใหร้ ับผดิ ชอบก�ำ กับดูแลเมืองเถิน เมอื งตาก และเมอื งนา่ นอกี ดว้ ย พระยากาวลิ ะไดต้ ดั สนิ ใจฟน้ื ฟเู ชยี งใหมแ่ ละหวั เมอื งทางเหนอื ตลอดครสิ ต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 โดยเรมิ่ แรก คือ รวบรวมผู้คนเขา้ มาไว้ในเมอื งเชียงใหม่และล�ำ พนู (ล่มุ แมน่ ้�ำ ปงิ ตอนบน) (*เพราะเมอื งเชยี งใหมถ่ กู ปล่อยให้รา้ งไปนานต้งั แต ่ พ.ศ. 2319-2339) และต่อมาพระยากาวลิ ะได้เขา้ โจมตีดนิ แดนทางเหนือ และทางตะวันตกของรฐั ฉาน ซ่ึงขณะน้ันยังถกู พมา่ ควบคมุ อยู่ โดย ตง้ั ฐานอย่ทู ่เี ชยี งแสน การบุกครัง้ นที้ �ำ ใหไ้ ด้ไพร่พลและแรงงานเพ่ิม มากขน้ึ – กองทพั สยามไดเ้ ขา้ มาชว่ ยในการสรู้ บตา้ นทานกองก�ำ ลงั พมา่ ดว้ ย พระยากาวลิ ะสามารถยา้ ยจาก (*เวยี งปา่ ซาง ซง่ึ อยรู่ ะหวา่ ง) ลำ�ปาง (*กับเชียงใหม่) เข้าครองเมืองเชียงใหม่ได้ใน พ.ศ. 2339 (1796) ใน พ.ศ. 2345 (1802) พระเจ้ากาวิละ (*ราชสำ�นักกรงุ เทพฯ ปูนบำ�เหน็จเล่ือนยศ) ได้บุกเข้าไปในเชียงตุงและกวาดต้อนครัว (*เรยี กวา่ เทครวั ) ลงมาตงั้ ถน่ิ ฐานทางทศิ ใต้ (*การรวบรวมผคู้ นเขา้ มาไวใ้ นเมอื งเชยี งใหมส่ มยั พระเจา้ กาวลิ ะ เรยี กกนั วา่ “เกบ็ ผกั ใสซ่ า้ เก็บข้าใส่เมือง”) ท้ายท่ีสุด ในระหว่าง พ.ศ. 2347-48 (1804-5) พระเจา้ กาวลิ ะไมเ่ พยี งแตข่ บั ไลพ่ มา่ ออกจากเชยี งแสนไดเ้ ทา่ นนั้ แต่ ยงั พิชติ เมอื งยอง เมอื งหลวงภคู า และเมอื งเชียงรุ้ง และเมืองเล็กๆ อีกหลายเมืองในลุ่มแม่นำ้�โขงตอนบน เจ้าพี่เจ้าน้องของพระเจ้า 252 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป
กาวิละท่ีครองเมืองลำ�พูนและลำ�ปาง ได้ครองเมืองเชียงใหม่สืบต่อ จากพระเจา้ กาวลิ ะ นบั ไดว้ า่ พระเจา้ กาวลิ ะไดฟ้ นื้ ฟอู าณาจกั รลา้ นนา โบราณไดส้ �ำ เรจ็ และสรา้ งความเขม้ แขง็ แกล่ า้ นนาจนพระองคถ์ งึ แก่ พิราลยั ใน พ.ศ. 2359 (1816) (*สรัสวดี ออ๋ งสกลุ ประวตั ิศาสตร์ล้าน นา ระบุว่าถึงพริ าลยั ใน พ.ศ. 2356 (1813)) ส่วนกัมพูชาตกอยู่ในสถานการณ์ท่ีแตกต่างกันมาก เพราะ เกิดการจลาจลวุ่นวายจากการก่อกบฏและปลงพระชนม์กษัตริย์ใน ช่วงปลาย พ.ศ. 2324 (1781) พระเจ้าตากสินได้มีพระบัญชาให้ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์นำ�กองกำ�ลังเข้าไประงับความ วนุ่ วาย กอ่ นทเ่ี จา้ พระยาจกั รไี ดน้ �ำ กองทพั กลบั เพราะทราบขา่ วเกดิ เหตกุ ารณว์ นุ่ วายขน้ึ ในกรงุ ธนบรุ ี หลงั ระงบั เหตกุ าณแ์ ลว้ เจา้ พระยา จักรีขน้ึ ครองราชย์ ใน พ.ศ. 2326 (1783) เหตุการณ์ในกัมพูชากย็ งั ไม่อาจระงบั ไดเ้ พราะเหลือกำ�ลงั (*พระยายมราช (แบน) จงึ ได้พา) พระองคเ์ อง เจา้ นายกมั พชู าอายุ 9 ขวบซงึ่ เปน็ รชั ทายาท เขา้ มาพง่ึ พระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกทรง อปุ การะชบุ เลี้ยง ทรงท�ำ หน้าทีเ่ ปน็ “พระราชบิดาบญุ ธรรม”11 ในเวยี ดนามไดเ้ กดิ สงครามกลางเมอื งขนึ้ โดยกลมุ่ กบฏไกเซนิ และทฮี่ าเตยี น (*บนั ทายมาศ หรอื พทุ ไธมาศ) หวั เมอื งกงึ่ อสิ ระของ จนี ความเกยี่ วขอ้ งทสี่ �ำ คญั ของสยามคอื ตอ้ งการทจ่ี ะยตุ คิ วามวนุ่ วาย ที่อยู่ติดพรมแดนทางทิศตะวันออก โดยดำ�เนินนโยบายสองด้าน ด้านหน่ึงคือสนับสนุนเจ้าชายเหงียนอัน รัชทายาทราชวงศ์เหงียน แหง่ อาณาจกั รทางตอนใตแ้ ละตอนกลางของเวยี ดนาม ทไี่ ดข้ อลภ้ี ยั ในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2327-2330 (1784-1787) เพื่อพยายามยุติ สงครามกลางเมอื งในเวยี ดนาม และรวมอาณาจกั รใหเ้ ปน็ อนั หนง่ึ อนั เดียวกนั ในอกี ดา้ นหน่ึง คอื การสนบั สนนุ ขุนนางกมั พชู าท่เี ข้มแข็ง คือ เจา้ พระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) (*ซง่ึ เลื่อนบรรดาศกั ด์จิ ากพระยา 6 | กรุงรตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้ 253
ยมราช) จากเมืองพระตะบอง เป็นผู้สำ�เร็จราชการเพื่อเป็นผล ประโยชน์ของสยามในกัมพชู า (และพระองค์เอง) เมื่อพระองคเ์ อง ทรงเจรญิ วัยใน พ.ศ. 2337 (1794) อย่างน้อยกมั พชู ากอ็ ยู่ในความ สงบชั่วระยะหน่ึง (ต้องขอบคุณความสำ�เร็จของ เหงียนอัน และ เจา้ พระยาอภยั ภเู บศร์ (แบน)) พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ า โลกจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อภิเษกพระองค์เองเป็นกษัตริย์ ของกัมพชู า โดยประกอบพระราชพธิ ีราชาภเิ ษกทกี่ รงุ เทพฯ (*ทรง พระนามว่า พระนารายณร์ ามาธิบดี หรือ พระบาทองคเ์ อง) และสง่ พระบาทองคเ์ องกลบั ไปครองราชยท์ เี่ มอื งหลวงทอ่ี ดุ งมชี ยั (*มพี ระยา กลาโหม (ปก) เปน็ พระพีเ่ ลี้ยง ไดเ้ ลอื่ นยศเป็น สมเด็จฟา้ ทะละหะ) ราชส�ำ นกั ของพระบาทองคเ์ องบรหิ ารจดั การโดยขนุ นางทจี่ งรกั ภกั ดี ต่อสยาม และได้ส่งเคร่ืองราชบรรณาการทูลเกล้าถวายรัชกาลที่ 1 เป็นประจำ�ทุกปี และพระบาทองค์เองได้เสด็จมาเยือนกรุงเทพฯ ปี เว้นปี กัมพชู าจะตอ้ งเกณท์ไพรพ่ ลมาชว่ ยพระมหากษตั รยิ ์สยามใน ยามสงคราม หรอื มาชว่ ยท�ำ งานสาธารณะยามที่สยามตอ้ งการ ใน ชว่ งเวลานี้ เจา้ พระยาอภยั ภเู บศร์ (แบน) ไมต่ อ้ งชว่ ยราชการในราช สำ�นักพระบาทองค์เองอีกต่อไป แต่ถูกส่งไปปกครองเมืองใหญ่คือ พระตะบองและเสยี มราฐ โดยมสี ายงานการบังคับบญั ชาขน้ึ ตรงต่อ กรุงเทพฯ ซ่ึงเป็นเคร่ืองหมายท่ีแสดงถึงจุดเริ่มต้นของสยามในการ ผนวกดนิ แดนทางตะวันตกของกมั พูชา พระบาทองค์เองส้ินพระชนม์ก่อนวัยอันควรใน พ.ศ. 2340 (1797) (*เพิ่งครองราชย์ไดเ้ พยี ง 3 ปี) ขนุ นางในราชสำ�นกั กัมพูชา ที่จงรักภักดีต่อสยามทำ�หน้าท่ีปกครองผ่าน พระองค์จันท์ พระ ราชโอรสเยาวว์ ยั ของพระบาทองคเ์ อง (*คอื สมเดจ็ เจา้ ทะละหะ (ปก) เป็น ผู้สำ�เร็จราชการ) จนกระท่ังพระองค์จันท์ทรงเจริญวัย มีพระ ชนมายุ 16 พรรษา จงึ ได้ขึ้นครองราชยใ์ น พ.ศ. 2349 (1806) (*ทรง 254 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป
พระนามวา่ พระอไุ ทยราชา หรอื พระบาทองคจ์ นั ทท์ ่ี 2) เปน็ ทป่ี รากฏ วา่ การประกอบพระราชพธิ รี าชาภเิ ษกกอ่ นวยั อนั ควรนนั้ เปน็ ผลมา จากแรงกดดนั จากขนุ นางกลมุ่ ใหมท่ เ่ี ปน็ ฝา่ ยสนบั สนนุ เวยี ดนามมา ตง้ั แต่ พ.ศ. 2345 (1802) กษัตริยห์ นุ่มแหง่ กัมพชู าพระองคน์ ้ีไม่ได้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำ�นักสยามเฉกเช่นสมเด็จพระราช บดิ าทที่ รงลภี้ ยั ไปประทบั ในกรงุ เทพฯ นานนบั ทศวรรษ และรงั เกยี จ การแสดงความโอ้อวดถึงความสัมพันธ์แบบบิดากับบุตรของราช สำ�นักรัชกาลที่ 1 และพยายามท่ีจะแยกตัวเป็นอิสระ โดยให้สยาม เผชญิ หนา้ กบั เวยี ดนาม พระบาทองคจ์ นั ทจ์ งึ สง่ เครอ่ื งราชบรรณาการ ไปยงั ราชสำ�นักกรุงเว้ทุกๆ ส่ปี ี เพอ่ื เทยี บเทียมกับการส่งเครอ่ื งราช บรรณาการให้กรุงเทพฯ ทุกๆ ปี อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อัน แสดงเป็นจำ�นวนตัวเลขการส่งเครื่องราชบรรณาการน้ี อาจจะเป็น ตวั บง่ ชที้ ่ดี ีถงึ อิทธิพลของสยามและเวยี ดนามในราชสำ�นกั กัมพูชา ขณะน้คี วรจะเพียงพอส�ำ หรับการวาดภาพอ�ำ นาจทเี่ ป็นส่วน ประกอบทเ่ี หลอื ของกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในรชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ในปแี รกของครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19 สถานการณ์ ในลาวเปลยี่ นแปลงไปเลก็ นอ้ ยจากทเ่ี คยเปน็ ในปลายทศวรรษ 1770 (พ.ศ. 2313-2322) เมอื่ เจา้ พระยาจกั รแี ละเจา้ พระยาสรุ สหี บ์ กุ โจมตี ลาว (*ใน พ.ศ. 2321 (1778) และทัง้ สามอาณาจักรในลาว คือหลวง พระบาง เวียงจัน และจ�ำ ปาสกั ตกเป็นประเทศราชของสยามสมัย กรุงธนบุรี) สยามได้ปฏิบัติกับอาณาจักรจำ�ปาสักและเวียงจันมาก เท่าๆ กับที่ปฏิบัติกับกัมพูชา จำ�ปาสักในขณะน้ันมีอำ�นาจควบคุม พ้ืนท่ีทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ�โขงตอนล่าง ทางตะวันตกเข้ามาถึงเมือง อุบลราชธานี และทางตะวันออกถึงเมืองอัตตะปือ กองกำ�ลังสยาม (*น�ำ โดยท้าวฝา่ ยหนา้ แห่งบา้ นสงิ หท์ ่า (เมอื งยโสธร) กับเจา้ คำ�ผง เจา้ เมอื งอุบลฯ ) ไดเ้ ข้าแทรกแซงกจิ การภายใน เขา้ คมุ การบรหิ าร 6 | กรงุ รตั นโกสินทร์ตอนต้น 255
ราชการท่ีผิดพลาด และปราบปรามการก่อกบฏในจำ�ปาสัก เมื่อ พระเจา้ ไชยกมุ าร สน้ิ พระชนม์ใน พ.ศ. 2334 (1791) กษัตริย์สยาม จึงแต่งตงั้ ท้าวฝ่ายหน้าเป็น พระวิไชยราช (*ขัตติยวงศ) ปกครอง จ�ำ ปาสักตอ่ มา ราชส�ำ นกั เวยี งจนั กต็ กเปน็ ประเทศราชของกรงุ เทพฯ ใน พ.ศ. 2321 (1778) เชน่ กนั ทพั สยามไดก้ วาดตอ้ นบรรดาเจา้ ราชบตุ ร (*ของ พระเจา้ สริ บิ ญุ สาร คอื เจา้ นันทเสน เจา้ อนิ ทวงศ์ และเจา้ อนวุ งศ์) ของเวียงจันกลับมายังราชสำ�นักกรุงเทพฯ และให้ประทับอยู่ใน กรงุ เทพฯ ตลอดชว่ งสงครามระหวา่ งสยามกบั ลาวในทศวรรษตอ่ มา ต่อมาเจ้านันทเสนถูกส่งกลับไปปกครองเวียงจันในฐานะเมือง ประเทศราชของสยาม พรอ้ มกบั อญั เชญิ พระบาง (ซง่ึ รชั กาลท่ี 1 ทรง เห็นว่าพระพุทธรูปองค์น้ีนำ�เคราะห์ร้ายมาสู่พระนคร) ซ่ึงสยามนำ� มาจากลาว (*พรอ้ มกบั พระแกว้ มรกต) เมอื่ พ.ศ. 2325 (1782) กลบั คนื สเู่ วยี งจนั ดว้ ย เวลาตอ่ มาเจา้ นนั ทเสนไดร้ อ้ื ฟนื้ ความบาดหมางที่ มมี าแตเ่ กา่ กอ่ นระหวา่ งเวยี งจนั กบั หลวงพระบาง และไดน้ �ำ กองก�ำ ลงั เขา้ โจมตหี ลวงพระบางใน พ.ศ. 2335 (1792) เจา้ นนั ทเสนยงั ใชอ้ �ำ นาจ รุกรานเมืองหัวพัน (ไตดำ�) เช่นเดียวกับเจ้าเมืองประเทศราชท่ีมี ความทะเยอทะยานทง้ั ก่อน (และหลงั ) จากพระองค์ ท่ีฝันอยากจะ ท้าทายอ�ำ นาจของเจ้าเหนอื หวั ใน พ.ศ. 2337 (1794) เจ้านันทเสน ถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับเจ้าเมืองนครพนม (ซึ่งสันนิษฐานว่าคง สง่ บรรณาการใหก้ รงุ เทพฯ โดยตรงในเวลาน)ี้ กอ่ การแขง็ ขอ้ ตอ่ สยาม จงึ ถกู เรยี กตวั กลบั กรงุ เทพฯ และสน้ิ พระชนมท์ ก่ี รงุ เทพฯ และในทสี่ ดุ นอ้ งชายของเจา้ นนั ทเสนคอื เจา้ อนิ ทวงศ์ ถกู สง่ ไปปกครองเวยี งจนั ต่อไป และมีเจ้าอนุวงศ์ (หรือ อนุ) น้องชายคนเล็ก รับตำ�แหน่ง พระมหาอุปโยราช (*ฐานะเหมือน วังหน้า) ตลอดทศวรรษต่อมา เจา้ อนวุ งศเ์ กณทไ์ พรพ่ ลชาวลาวเวยี งจนั มาชว่ ยสยามท�ำ สงครามกบั 256 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
พมา่ จนทรงมชี อ่ื เสยี งในฐานะแมท่ พั ผกู้ ลา้ หาญ อยา่ งไรกด็ ี เมอ่ื เจา้ อนิ ทวงศส์ น้ิ พระชนมใ์ น พ.ศ. 2347 (1804) เวยี งจนั กไ็ ดส้ ง่ เครอ่ื งราช บรรณาการอย่างสม�่ำ เสมอให้กบั เวียดนามแล้ว และเจ้าอนวุ งศ์ก็ได้ การรบั รองจากราชส�ำ นกั กรงุ เว้ เมอ่ื ไดร้ บั การแตง่ ตง้ั ใหป้ กครองเวยี ง จันต่อจากพระเชษฐา ในที่สดุ ในชว่ งเวลาเดียวกนั นั้น หลวงพระบางยงั ถูกดดู เขา้ สู่ วงโคจรแหง่ อ�ำ นาจของสยามอยา่ งคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป พระเจา้ สรุ ยิ วงสา ส่งเคร่ืองราชบรรณาการประจำ�ปีไปยังกรุงเทพฯ และเมื่อพระองค์ ส้ินพระชนม์ใน พ.ศ. 2334 (1791) (?) บรรดาเสนาอำ�มาตย์จึงส่ง คณะทูตมายังสยาม เพ่อื ขอแตง่ ต้ังเจา้ อนุรุทธเปน็ ผู้ปกครองสบื ตอ่ ในเวลาเดยี วกนั หลวงพระบางยังสง่ เครือ่ งราชบรรณาการไปจนี สบิ ปีคร้ัง และเม่ือกองทัพเวียงจันของเจ้านันทเสนเข้าโจมตีหลวงพระ บางใน พ.ศ. 2335 (1792) สายราชวงศห์ ลวงพระบางกข็ อความชว่ ย เหลอื จากจนี ไดส้ �ำ เรจ็ เพอื่ ถวายความปลอดภยั แดเ่ จา้ อนรุ ทุ ธ (*บาง ตำ�ราระบุว่า เจา้ อนรุ ทุ ธถูกคุมตวั มาขงั ที่กรงุ เทพ 4 ป)ี และให้เสด็จ กลบั มาครองราชยด์ ังเดมิ จนกระทง่ั ถงึ พ.ศ. 2358 (1815) นโยบายของสยามต่อลาว ในช่วงรชั สมัยรชั กาลท่ี 1 คอื ใช้ หลักการแบ่งแยกจากความเป็นหนึ่งเดียวแล้วเข้าปกครอง จาก อาณาจักรล้านช้าง แบ่งแยกเปน็ อาณาจกั รเวียงจัน หลวงพระบาง และจำ�ปาสัก และเชยี งขวาง และ (บางท)ี รวมถงึ นครพนม ซึ่งได้ รับอนุญาตให้ปกครองตนเองภายในอาณาจักร และไม่มีอาณาจักร ใดได้รับอนุญาตให้ปรับปรุงสถานะของตนด้วยการขอกำ�ลังจากอีก อาณาจกั ร ดว้ ยเกรงวา่ อาณาจกั รใดอาณาจักรหนึง่ จะเขม้ แข็งพอที่ จะท้าทายอำ�นาจของกรงุ เทพฯ นโยบายเดียวกันนี้ได้ใช้กับหัวเมืองบนคาบสมุทรมลายู ใน รชั สมยั ของพระเจา้ ตากสนิ ทรงอนญุ าตใหเ้ จา้ พระยานคร (หน)ู เปน็ 6 | กรงุ รตั นโกสินทร์ตอนต้น 257
กรงุ รัตนโกสินทร์ สมยั รชั กาลที่ 1 ใน พ.ศ. 2352 (1809) 258 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป
เจา้ เมืองนครศรีธรรมราช และได้รับอาญาสทิ ธ์ิให้มีอำ�นาจปกครอง หวั เมอื งอน่ื ๆ ในคาบสมทุ ร ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอด ฟา้ จฬุ าโลกไดล้ ดยศลกู ชายของเจา้ พระยานครฯ (หน)ู คอื เจา้ พระยา นคร (พฒั น์) และทายาทสืบต่อมา ลงเหลือสถานะของเจา้ เมอื งช้ัน เอก อันเนื่องมาจากการไม่ต่อต้านการศึกกับพม่าอย่างแข็งขันใน พ.ศ. 2328 (1785) ในเวลาเดยี วกนั ทรงดงึ อ�ำ นาจการปกครองเมอื ง สงขลาและหัวเมืองประเทศราชมลายูออกจากการควบคุมของ นครศรธี รรมราช และแตง่ ตง้ั ชาวจนี ขนึ้ เปน็ เจา้ เมอื งสงขลา ในบรรดา หวั เมอื งมลายใู นตอนกลางของคาบสมทุ ร หวั เมอื งปตั ตานไี ดต้ อ่ ตา้ น อ�ำ นาจการปกครองของสยามอยา่ งตอ่ เนอ่ื งมากทส่ี ดุ และท�ำ สงคราม กบั กษตั รยิ ส์ ยามมากวา่ สองรอ้ ยปี สลุ ตา่ นปตั ตานคี นใหม่ ซงึ่ สมเดจ็ กรมพระราชวงั บวรสรุ สงิ หนาททรงสถาปนาขนึ้ ใน พ.ศ. 2328 (1785) พยายามท่ีจะจัดระเบียบการปกครอง แต่ก็มีการต่อต้านขึ้นมาอีก เปน็ ผลใหร้ าชส�ำ นกั กรงุ เทพฯ สง่ กองทพั เขา้ มาในปตั ตานอี กี ครง้ั ใน พ.ศ. 2334 (1791) เพอ่ื แตง่ ตง้ั สลุ ตา่ นคนใหมอ่ กี ครง้ั สว่ นในหวั เมอื ง มลายูอ่ืนๆ ที่เหลืออยู่และห่างไกลออกไป ซึ่งในอดีตมีความสำ�คัญ ค่อนข้างน้อยต่อสยาม หรือไม่อาจจะดูมีช่ือเสียงขึ้นในรัชสมัยนี้ รชั กาลท่ี 1 กท็ รงเขา้ ไปแทรกแซงโดยแบง่ แยกเมอื งกลนั ตนั และตรงั กานู ใน พ.ศ. 2343 (1800) พ.ศ. 2344 (1801) และเมอื่ กรงุ เทพฯ ได้ รับเครอ่ื งราชบรรณาการทส่ี ง่ มาเป็นประจำ�ทุกปี สยามจงึ เขา้ ไปยุง่ เก่ยี วกบั หวั เมอื งมลายนู อ้ ยมาก เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมของกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัย พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก หนงึ่ ในลกั ษณะทโี่ ดดเดน่ คอื การเกดิ ข้ึนของอ�ำ นาจจำ�นวนมากที่ศูนยก์ ลาง (*ในกรงุ เทพฯ ) การปกครองหวั เมอื งจากชนั้ นอกสดุ เขา้ มาถงึ ชน้ั ในสดุ เราพบวา่ หวั เมอื งช้นั นอกสดุ อยูใ่ นวงอำ�นาจของผปู้ กครองก่งึ อิสระทส่ี ัมพนั ธ์กบั 6 | กรงุ รัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ 259
กรงุ เทพฯ ไมน่ ้อยไปกวา่ การส่งเคร่ืองราชบรรณาการใหเ้ ปน็ ประจ�ำ พรอ้ มๆ กบั อาจจะสง่ เครอื่ งราชบรรณาการใหอ้ าณาจกั รอน่ื ดว้ ยเชน่ กนั หวั เมอื งทร่ี วมอยใู่ นกลมุ่ น้ี เชน่ ไทรบรุ ี ตรงั กานู กลนั ตนั กมั พชู า และหลวงพระบาง หวั เมอื งชน้ั ทส่ี องของกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ บางทอี าจ จะเคยเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยท่ีถูกรวมอยู่ในระบบของกรุงเทพฯ มากกวา่ นอกจากการสง่ เครือ่ งราชบรรณาการแลว้ หัวเมอื งเหล่านี้ ยังต้องจัดหาไพร่พลส่งมาให้สยามในยามศึกสงคราม หรือส่งมา ทำ�งานสาธารณะในยามสงบ บางคร้ังต้องส่งส่วยเพ่ิมมากข้ึน และ บางครง้ั ตอ้ งสง่ ผหู้ ญงิ ในสายตระกลู ไปแตง่ งานกบั เจา้ นายในราชวงศ์ จักรี และบางครงั้ สยามกเ็ ข้าไปแทรกแซงในการบรหิ ารภายใน หวั เมอื งในกลุม่ น้รี วมถึงเชยี งใหม่ น่าน เวยี งจัน จำ�ปาสัก และปตั ตานี ช้ันถัดไป (*ช้ันท่ีสาม) ประกอบด้วยศูนย์อำ�นาจในหัวเมืองขนาด ใหญ่ท่ีอยู่รายรอบสยาม จะปกครองโดยเจ้าพระยา และถือว่าเป็น เจ้าเมือง แตก่ ็มีอำ�นาจมากในหัวเมืองของตน หวั เมืองเหล่าน้ไี ด้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช พระตะบอง เสียมราฐ และบางทีก็รวม นครราชสีมาด้วย หัวเมืองช้ันที่ส่ี ส่วนใหญ่คือบริเวณที่ราบสูงโคราช อำ�นาจ ของสยามไดเ้ รม่ิ แผข่ ยายเขา้ ไปในบรเิ วณนไี้ ดร้ วดเรว็ อยา่ งนา่ ประหลาด ในไตรมาสสดุ ทา้ ยของครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 18 สว่ นใหญโ่ ดยการยอมรบั ของบรรดาผู้ปกครองเมอื งระดบั เลก็ โดยกรงุ เทพฯ ให้คำ�ม่ันสัญญา วา่ จะปกปอ้ งเมอื งเหลา่ นี้ และเพอ่ื เปน็ การตอบแทน ผปู้ กครองเมอื ง เหล่านี้จะต้องส่งส่วยและแรงงานให้กรุงเทพฯ ในยามจำ�เป็น เมือง ประเภทนม้ี ปี ระมาณ 20 เมอื งในปลายรชั กาลท่ี 1 เรมิ่ ตงั้ แตห่ นองหาน และนครพนมทางทศิ เหนอื ลงมาทอี่ ุบลราชธานีและบุรรี ัมย์ ทางทิศ ใต้ และยังรวมถึงขอนแก่น กาฬสินธ์ุ ร้อยเอ็ด สุวรรณภูมิ และ ศรสี ะเกษ ในระบบราชการของสยาม ขนุ นางทป่ี กครองเปน็ เจา้ เมอื ง 260 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
ของเมอื งเหลา่ นจ้ี ะมยี ศระดบั พระ และปกครองเมอื งสบื ตอ่ กนั มาใน สายตระกลู ท้ายที่สดุ แลว้ แกนภายในของอาณาจกั รประกอบด้วย เมืองท่ีบังคับบัญชา และปกครองโดยขุนนางที่เมืองหลวงแต่งต้ัง (แมว้ า่ ต�ำ แหนง่ อาจจะสบื ตอ่ กนั ในตระกลู ผปู้ กครองในทอ้ งถนิ่ จาก รุ่นสู่รุ่นก็ตาม) และยึดถือกฎระเบียบของรัฐบาลกลาง ผ่านสาย งานการบังคับบัญชาขึ้นไปถงึ ระดบั เสนาบดี เราจึงมีระดับของลำ�ดับช้ันของอำ�นาจในการควบคุม ท่ีใน ความเปน็ จรงิ แลว้ ในทางทฤษฎดี จู ะเหมาะเจาะมากกวา่ ทเี่ ปน็ อยใู่ น ทางปฏิบัติ เพราะสังคมไทยในภาพรวมมีองค์ประกอบพ้ืนฐานวาง อยู่บนความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างปัจเจกบุคคลกับกลุ่มขนาดเล็ก (เช่น ครอบครัว) จะมีการจัดการท่ีดีตลอดเวลากับความตึงเครียด ภายในระบบทอ่ี ยนู่ อกเหนอื อ�ำ นาจของราษฎร ระบบสามารถด�ำ เนนิ ไปอยา่ งถกู ตอ้ งเป็นอย่างดี กเ็ พราะยังอยู่ในสภาพแวดลอ้ มทยี่ ังวดั ความมั่งค่ังจากการได้ควบคุมแรงงาน ราชอาณาจักรก็ยังสามารถ ควบคุมการกระจายแรงงานกันในหมู่เจ้านายและขุนนางที่เป็นองค์ ประกอบของราชอาณาจกั ร และสงวนไว้ใหแ้ กอ่ �ำ นาจส่วนกลาง ใน การแบ่งสรรทรัพยากรเหล่าน้ี ผู้ใดก็ตามที่อาจจะลุกข้ึนมาท้าทาย อ�ำ นาจของกษตั รยิ ์ ในครั้งแรกจะหาหนทางดดู การควบคมุ แรงงาน ให้ได้จำ�นวนท่ีมากกว่า ราชสำ�นักเองก็ไม่ได้รอดพ้นจากปัญหาการก่อความวุ่นวาย ทางการเมอื ง มสี ญั ญาณทบี่ อกเหตกุ บั การซอ่ งสมุ ผคู้ นในชว่ งรชั สมยั รชั กาลท่ี 1 ส�ำ หรบั เหตเุ หลา่ นี้ ทส่ี �ำ คญั มศี นู ยก์ ลางอยทู่ ค่ี วามสมั พนั ธ์ ระหว่างพระเจ้าแผน่ ดนิ และสมเด็จพระอนุชาธิราช พระมหาอุปราช ความสมั พันธ์ระหวา่ งท้งั สองมกั ตงึ เครยี ดกนั ในบอ่ ยคร้ัง และมกั จะ กระทบกระท่งั กัน เนอื่ งมาจากความอิจฉาริษยากันของท้ังสองฝา่ ย (*เหตบุ าดหมาง เชน่ วงั หนา้ มแี ผนสรา้ งยอดปราสาทในพระราชวัง 6 | กรุงรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น 261
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 687
Pages: