Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย

Published by History Channel, 2021-02-06 09:55:55

Description: ประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

เชยี งแสน (หรอื เจา้ ผคู้ รองทอี่ นื่ ) มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งโดยตรงในการบรหิ าร เขตและเมืองในแคว้นของตน เขตและเมืองเหล่านี้ดูเหมือนจะมีผู้ ปกครองของตนเอง แมว้ ่าจะอยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ โดยรวมของเจ้า แคว้นที่สำ�คัญ บางทีผู้ปกครองเมืองต่างๆ จะต้องจัดหากำ�ลังคน ตามสดั สว่ นของจ�ำ นวนนา เพอื่ น�ำ ไปใชแ้ รงงานและรบั ราชการทหาร และจัดส่งภาษีท่ีเป็นผลผลิตจากแผ่นดินและผืนน้ำ�อันเป็นสิทธิของ ผปู้ กครองทจี่ ะอา้ งกรรมสทิ ธ์ิ ก�ำ ลงั ของลา้ นนาอยทู่ คี่ วามสามารถใน การควบคมุ ผลผลติ ความจงรกั ภกั ดี และก�ำ ลงั คน จากเขตกง่ึ เอกเทศ จำ�นวนหลายร้อยแห่ง ผ่านตัวแทนของแคว้นที่เป็นตัวกลาง และ เพราะวา่ แควน้ เหลา่ นมี้ คี วามส�ำ คญั ยง่ิ ยวดตอ่ ชะตากรรมของอาณาจกั ร บรรดากษตั รยิ เ์ ชยี งใหมเ่ นน้ การควบคมุ แควน้ เหลา่ นโ้ี ดยความสมั พนั ธ์ สว่ นตวั บ่อยคร้ังท่กี ษตั ริยเ์ ชียงใหมส่ ่งลูกชาย นอ้ งชาย ผูร้ ับใช้ใกล้ ชดิ หรอื บางครงั้ พระราชบดิ าทส่ี ละราชสมบตั แิ ลว้ ไปปกครองแควน้ ส�ำ คัญ อยา่ งเชน่ เชียงราย เชียงแสน เชยี งของ เชยี งตงุ สาด ฝาง ลำ�ปาง และแควน้ อ่ืนๆ ทยี่ ดึ ครองได้ระหว่างสงคราม จากทศวรรษ 1320 (1863-1872) ถงึ ทศวรรษ 1350 (1893- 1902) ผู้สืบทอดอำ�นาจต่อจากพญามังรายดูจะประสบความยาก ลำ�บากในการดึงแคว้นต่างๆ เข้ามารวมเป็นเอกภาพในอาณาจักร พญาแสนพู (ครองราชย์ พ.ศ. 1861-62 (1318-19) และ 1867-71 (1324-28)) สละราชสมบัติ และเสด็จไปปกครองเชยี งแสน ปล่อย ใหพ้ ระราชโอรส คือ พญาคำ�ฟู (พ.ศ. 1871-80 (1328-37)) ครอง ราชยใ์ นเชยี งใหม่ หลงั จากพระราชบดิ าสวรรคตใน พ.ศ. 1877 (1334) พญาคำ�ฟูดูเหมือนจะไม่เคยได้ทรงพักเลย ทรงปกครองเชียงแสน ชว่ งเวลาหนงึ่ และพยายามใหเ้ จา้ ผคู้ รองแควน้ นา่ นทเ่ี ปน็ แควน้ อสิ ระ ก�ำ จัดแควน้ พะเยาคแู่ ขง่ ท่ีสำ�คญั แตก่ ็ไมส่ ำ�เรจ็ ความพยายามของ พระองคเ์ องที่จะยึดครองแพร่กล็ ้มเหลว 114 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

เชน่ เดยี วกบั พระราชบดิ า พญาผายู (ครองราชย ์ พ.ศ. 1888- 98 (1345-55)) ทรงปกครองเชียงใหม่อย่หู ลายปี ขณะทีพ่ ญาค�ำ ฟู ประทับอยู่ที่เชียงแสน พญาผายูต่างจากพระราชบิดา ทรงอุทิศให้ กบั งานทางศาสนาตลอดรชั สมัยของพระองค์ ต่อเมอ่ื มาถงึ รัชสมยั ของพญากอื นา (ครองราชย ์ พ.ศ. 1910- 28 (1367-85)) พฒั นาการของล้านนาในฐานะอาณาจักรดูเหมอื น จะได้รับแรงขับเคลื่อนใหม่ ท้ังทางการเมืองและวัฒนธรรม พญา กือนาถูกจดจำ�ในฐานะผู้ปกครองท่ีประสบความสำ�เร็จและมีความ สามารถ ทรงเป็นผู้มีการศึกษาดีเป็นพิเศษสำ�หรับคนรุ่นพระองค์ ทรงคุ้นเคยอย่างดีกับศิลปะและวิทยาการของอินเดียยุคคลาสสิก โดยเฉพาะอย่างย่ิง ดาราศาสตร์ และการฝึกช้าง (เพื่อใช้ในการ สงคราม) และทรงมคี วามสนใจอยา่ งแรงกลา้ ในการตั้งพุทธศาสนา นกิ ายใหมท่ ่นี ิยมความสันโดษ และเปน็ พระภิกษุอรญั วาสที ี่มีความ รลู้ กึ ซงึ้ ในพุทธศาสนา ใน พ.ศ. 1912 (1369) ทรงอาราธนาพระสุมน เถร พระภิกษจุ ากสุโขทยั ผู้เคยศึกษาท่ีมะตะบนั (*เมาะตะมะ) ใน รามัญประเทศ เพ่ือมาก่อตั้งนิกายลังกาวงศ์ในเมืองลำ�พูน พญา กอื นาทรงสรา้ งวดั แหง่ ใหม่ (*วดั บปุ ผารามหรอื วดั สวนดอก และเปน็ ศนู ยก์ ลางนกิ ายลังกาวงศ์หรือรามญั วงศ์เดิม) เป็นที่จำ�พรรษาของ พระสุมนเถรในเชยี งใหม่ และท่านไดเ้ ปน็ เจา้ อาวาสในวัดน้ี ใน พ.ศ.  1914 (1371) จนถงึ แกม่ รณภาพใน พ.ศ. 1932 (1389) ความส�ำ คัญ ทางวัฒนธรรมของการรับพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์นี้ และพระ ราชูปถัมภ์พุทธศาสนานิกายน้ีอย่างต่อเนื่องของพญากือนาและผู้ สบื ทอดอ�ำ นาจตอ่ มามคี ณุ คา่ ยง่ิ พทุ ธศาสนานกิ ายลงั กาวงศท์ ส่ี ถาปนา ในล้านนาโดยพระสุมนเถร กลายเป็นพลังช้ีนำ�ทางปัญญาและ วฒั นธรรมในอาณาจกั ร ในสองสามศตวรรษตอ่ มา พระภกิ ษใุ นนกิ าย นไ้ี ดเ้ ขยี นผลงานวรรณกรรมทางศาสนาหลายชน้ิ ทยี่ ังคงอยสู่ บื ทอด 4 | อยธุ ยาและเพอ่ื นบ้าน 115

มาถงึ ปจั จบุ นั และส�ำ นกั สงฆท์ พ่ี ระภกิ ษนุ กิ ายนส้ี รา้ งขน้ึ ไดม้ อี ทิ ธพิ ล ทางวัฒนธรรมและศาสนาต่อชาวไตเหนือหลายชั่วคน เม่ือรวมกับ อ�ำ นาจทางการเมอื งทเ่ี พมิ่ พนู ขน้ึ อยา่ งคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไปของเชยี งใหม่ ความเปน็ ผนู้ �ำ ทางวฒั นธรรมของพระภกิ ษนุ กิ ายลงั กาวงศไ์ ดส้ ง่ เสรมิ การรวมศูนย์อำ�นาจของอาณาจักร และเกิดพัฒนาการของความ ส�ำ นกึ ในอตั ลกั ษณข์ องความเปน็ ไตยวนในหมพู่ ลเมอื งระดบั หวั เมอื ง ในหมผู่ ปู้ กครองลา้ นนาสองรนุ่ ตอ่ มา บทบาทระดบั นานาชาติ ของเชยี งใหม่ ทวีความเขม้ ขน้ ข้นึ อกี คร้ังหนงึ่ เช่นเดยี วกับการเมือง ภายใน ขณะทเ่ี ดมิ พนั ของอ�ำ นาจสงู ขนึ้ เมอื่ พญากอื นาสวรรคต พระ ราชโอรส คอื พญาแสนเมอื งมา (ครองราชย ์ พ.ศ. 1928-1944 (1385- 1401)) ขน้ึ ครองราชย์ พระอนชุ าของพญากอื นา คอื ทา้ วมหาพรหม วางแผนยึดราชสมบัติร่วมกับเจ้าเมืองลำ�ปาง แต่ล้มเหลวและลี้ภัย ไปกรงุ ศรอี ยธุ ยา แลว้ พระองคก์ ท็ รงเกลยี้ กลอ่ มใหพ้ ระบรมราชาธริ าช ที่ 1 แห่งอยุธยา ส่งกองทัพไปโจมตีล้านนาได้สำ�เร็จ แต่ล้านนาก็ ตา้ นทานไวไ้ ด้ ตอ่ มาเมอื่ ทา้ วมหาพรหมทำ�ตนเปน็ ทเ่ี สอื่ มเสยี ท่รี าช ส�ำ นกั อยธุ ยา กเ็ สดจ็ กลบั ไปยงั ลา้ นนาและถกู สง่ ไปปกครองเชยี งราย เมอื งทเี่ คยปกครองเมอ่ื กอ่ น พ.ศ. 1928 (1385) ดเู หมอื นวา่ พระองค์ ยังทรงมีขุนนางในท้องถ่ินสนับสนุนอยู่ รัชสมัยของพญาแสนเมือง มาเป็นที่จดจำ�ด้วยเรื่องการยุทธ์ท่ีล้มเหลวกับสุโขทัยใน พ.ศ. 1930 (1387) หรอื 1931 (1388) และพญาแสนเมืองมาอาจจะเคยรบในหวั เมอื งไตลอื้ เพราะพระราชโอรสและผสู้ บื ทอดอ�ำ นาจของพระองคค์ อื พญาสามฝงั่ แกน (ครองราชย์ พ.ศ. 1944-53 (1401-10)) ประสูตทิ ่ี นน่ั ใน พ.ศ. 1932 (1389) พญาสามฝงั่ แกนถกู สถาปนาเปน็ กษตั รยิ ์ ขณะทที่ รงพระเยาว์ ทง้ั ทพ่ี ระเชษฐา (พระชนั ษา 13 ป)ี เรยี กรอ้ งสทิ ธใิ์ นการสบื ตอ่ บลั ลงั ก์ แต่พระเชษฐาถูกส่งไปปกครองเชียงราย บางทีด้วยการสนับสนุน 116 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป

ของขุนนางเดิมของทา้ วมหาพรหม และการขอความช่วยเหลือจาก สุโขทัย ซ่ึงตอนน้ีได้เป็นอิสระในช่วงเวลาส้ันๆ พระเชษฐาองค์นี้จึง รวบรวมก�ำ ลงั คนเขา้ ยดึ บลั ลงั ก์ ความขดั แยง้ ในราชวงศด์ งึ เอากองทพั ที่สนับสนุนทั้งสองฝ่ายจากท่ัวดินแดนล้านนาเข้ามาเก่ียวข้อง และ ในท้ายที่สดุ พระเชษฐากพ็ า่ ยแพแ้ ละล้ภี ยั ไปสโุ ขทัย ตอ่ มาใน พ.ศ.  1947 (1404) ลา้ นนาตอ้ งเผชญิ กบั การทา้ ทายครงั้ ส�ำ คญั จากยนู นาน เจ้าเมอื งยูนนานส่งกองทัพเข้าโจมตเี ชียงแสนใน พ.ศ. 1947 (1404) และ 1948 (1405) ลา้ นนาเกณฑไ์ พรพ่ ลจ�ำ นวน 300,000 (?) คน จากเชียงใหม่ เชียงแสน ฝาง เชียงของ เทิง และพะเยา เขา้ ขับไล่ กองทัพยนู นานไปได้ ตลอดรัชสมัยพญาสามฝ่งั แกน ล้านนาอยู่ใน ความสงบ และทรงคอ่ ยๆ เสรมิ สรา้ งอ�ำ นาจในการควบคมุ อาณาจกั ร โดยการแต่งต้ังพระราชโอรสไปปกครองแคว้นท่ีสำ�คัญ ซึ่งรวมถึง เชียงแสน พะเยา เชียงราย และฝาง วิกฤตการณ์ที่นำ�ไปสู่การส้ินรัชสมัยของพญาสามฝั่งแกนใน  พ.ศ. 1954 (1411) เผยใหเ้ หน็ ความเปราะบางของอ�ำ นาจของสถาบนั กษัตริย์ล้านนาท่ีมีอยู่อย่างต่อเนื่อง กษัตริย์ถูกขุนนางระดับรองๆ  โคน่ ลม้ อ�ำ นาจ นายสามเดก็ ยอ้ ยน�ำ พระราชโอรสองคท์ หี่ กของกษตั รยิ ์ มาจากหัวเมืองอย่างลับๆ และบังคับให้กษัตริย์ผู้สูงวัยสละบัลลังก์ และล้ภี ยั ไปยงั เมอื งสาด แล้วพระราชโอรสองคน์ ้กี ็ขึ้นครองราชยใ์ น นาม พระเจา้ ตโิ ลกราช (ครองราชย์ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 1985 (1442) – 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2030 (1487) ซง่ึ ทรงถกู จดจำ�ในฐานะกษตั รยิ ์ ทยี่ งิ่ ใหญท่ ส่ี ดุ ของลา้ นนา ทรงใชเ้ วลาเกอื บหนง่ึ ทศวรรษเพอื่ สถาปนา อำ�นาจเหนือผู้ชิงบัลลังก์อื่นๆ รวมทั้งนายสามเด็กย้อย ผู้มักใหญ่ ใฝ่สูง ซ่ึงในท่ีสุดเขาได้รับการแนะนำ�จากเหล่าคนที่เขาไปขอความ สนับสนุนว่า เขาไม่ใช่วงศ์กษัตริย์โดยสายเลือด ดังนั้นไม่สามารถ เปน็ กษตั รยิ ไ์ ด้ (ในภาวะทย่ี งั ไมม่ หี ลกั เกณทท์ วี่ า่ ลกู ชายคนโตเปน็ ผู้ 4 | อยุธยาและเพือ่ นบ้าน 117

สืบทอดอำ�นาจ นี่คือสิ่งท่ีใกล้เคียงกับการสร้างความมีเสถียรภาพ ของราชวงศโ์ ดยสายเลอื ดเทา่ ทช่ี าวลา้ นนาท�ำ ไว)้ อาจเปน็ เพราะได้ รบั การกระตนุ้ จากความส�ำ เรจ็ แรกเรม่ิ นี้ ในตอนนี้ พระเจา้ ตโิ ลกราช จึงเคลอื่ นไหวเพือ่ ยดึ เมอื งสาดจากพระราชบิดา แตก่ ารโจมตีคร้ังนี้ เกือบนำ�ไปสู่สงครามกลางเมือง เม่ือเจ้าเมืองฝางเข้าร่วมกับพญา สามฝงั่ แกนเพ่อื ต่อตา้ น อยุธยาเหน็ เปน็ โอกาสในการเขา้ แทรกแซง จึงส่งกองทัพมาโจมตีล้านนา หลังจากการปราบปรามศัตรูภายใน ลา้ นนาได้อยา่ งรวดเรว็ พระเจ้าตโิ ลกราชทรงทำ�ศึกกบั อยุธยาอยา่ ง เข้มแข็งทีล่ ำ�พูน ซึง่ อยู่ห่างไปจากเชียงใหมแ่ คส่ องสามชว่ั โมง และ ทรงขบั ไลก่ องทพั อยธุ ยาออกไป ในทส่ี ุดใน พ.ศ. 1986 (1443) เจา้ ผู้ ครองน่านท่ียังเป็นแคว้นอิสระ ได้ท้าทายอำ�นาจพระเจ้าติโลกราช และเปิดยุคสงครามระหว่างอาณาจักรท้ังสอง ซึ่งจะดึงเอาแพร่และ หลวงพระบางเขา้ รว่ มดว้ ย ในตอนทา้ ยสดุ ของสงครามครง้ั น้ี ลา้ นนา ได้ครองอ�ำ นาจเหนอื นา่ นใน พ.ศ. 1992 (1449) ใน พ.ศ. 1993 (1450) พระเจา้ ติโลกราชแห่งล้านนา ไดส้ รา้ ง ความมน่ั คงใหแ้ กด่ นิ แดนลา้ นนา และเรมิ่ ทจ่ี ะใชก้ ารจดั การทางทหาร และการเมอื งกบั เมอื งที่ไกลออกไป ในปีนนั้ ทรงท�ำ ศึกกบั พวกไตล้อื แหง่ เมอื งยอง ในการยทุ ธค์ รง้ั น้ี เชน่ เดยี วกนั กบั สงครามครงั้ อน่ื ๆ ท่ี จะเกดิ ขน้ึ ตอ่ มา คอื กบั หลวงพระบาง (พ.ศ. 1997 (1454)) และเมอื ง เชยี งรุง่ (พ.ศ. 1998 (1455) และ 1999 (1456)) พระเจ้าตโิ ลกราช อาจก�ำ ลงั พยายามสรา้ งความแขง็ แกรง่ ใหก้ บั ก�ำ ลงั คนและสตั วพ์ าหนะ ทพี่ ระองคม์ อี ยู่ ส�ำ หรบั ท�ำ สงครามใหญก่ บั อยธุ ยา ซงึ่ จะเกดิ ขน้ึ อยา่ ง แนช่ ดั สงครามครง้ั นไี้ ด้ส่อเคา้ ลางมาก่อนหนา้ โดยการทีอ่ ยุธยาได้ ผนวกอาณาจักรสุโขทัยอันเก่าแกไ่ ด้แลว้ ใน พ.ศ. 1981 (1438) และ ยังรุกรานเข้าไปถึงลำ�พูนใน พ.ศ. 1985 (1442) ประเด็นตรงน้ีคือ แคว้นเล็กต่างๆ ทางตอนเหนือบริเวณรอบนอกที่ราบลุ่มภาคกลาง 118 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

ขนาดใหญ่และความเป็นผูน้ ำ�ในโลกของคนไท-ไต ใน พ.ศ. 1994 (1451) ราชส�ำ นกั ของพระเจา้ ตโิ ลกราชไดต้ อ้ นรบั เจ้านายจากราชวงศ์สุโขทัย (*พระยายทุ ธิษเฐยี ร) ซ่ึงถกู อยุธยาสง่ ไปปกครองพิษณุโลก และต่อมาถูกกษัตริย์อยุธยาเจ้าเหนือหัว (*พระบรมไตรโลกนาถ) ทรยศ (*ไม่แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ อปุ ราชครองหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื ตามทีส่ ัญญาไว้) ลา้ นนาสง่ กองทพั จะไปยดึ ดินแดน สโุ ขทัยคืนให้แก่เจ้านายพระองคน์ นั้ ในปนี ั้น แต่ถูกตแี ตกพา่ ย หลงั จากใช้เวลาเตรียมตัวอีกยาวนาน สงครามคร้งั ใหมก่ เ็ ริม่ ข้ึนใน พ.ศ.  1999 (1456) หรอื 2000 (1457) เมอ่ื พระบรมไตรโลกนาถแหง่ อยธุ ยา ทรงส่งกองทัพเข้ายึดครองแพร่และลำ�ปาง สงครามนี้จะยืดเยื้อต่อ ไปอกี รว่ มสามทศวรรษ แตช่ ว่ งเวลาสน้ั ๆ เมอ่ื กองทพั อยธุ ยาซงึ่ เปน็ ฝา่ ยเรม่ิ รกุ รานกอ่ นใน พ.ศ. 1999 (1456) และ/หรอื  พ.ศ. 2000 (1457) ใน พ.ศ. 2020 (1459) พระเจา้ ตโิ ลกราชเปลีย่ นไปท�ำ การรกุ โดยการเขา้ ปดิ ลอ้ มพษิ ณโุ ลก แตป่ รากฏวา่ กองทพั อยธุ ยาตา้ นทาน การปดิ ล้อมครัง้ นีไ้ ด้ กองทัพชาวเหนอื เข้าโจมตพี ิษณุโลกอกี ครัง้ ใน ปตี อ่ มา คราวนด้ี ว้ ยความชว่ ยเหลอื จากเจา้ เมอื งศรสี ชั นาลยั แตก่ าร โจมตีท้ังพิษณุโลกและกำ�แพงเพชรของพระเจ้าติโลกราชใน พ.ศ.  2003 (1460) กล็ ม้ เหลว และตอ้ งเสดจ็ กลบั เชยี งใหมด่ ว้ ยมอื เปลา่ อกี ครง้ั สงครามด�ำ เนนิ ตอ่ ไปอกี ปแี ลว้ ปเี ลา่ ใน พ.ศ. 2005 (1462) สโุ ขทยั อาณาจกั รเกา่ ก็เป็นกบฏต่ออยธุ ยา แตถ่ ูกกองทัพหลวงของอยุธยา ปราบได้ ด้วยทรงตระหนักถึงความจำ�เป็นในการรักษากำ�ลังทหาร และอทิ ธิพลทางการเมอื งให้เข้มแขง็ ในหัวเมืองทางตอนเหนอื ของ ที่ราบลุ่มภาคกลาง พระบรมไตรโลกนาถแห่งอยุธยาจึงทรงย้าย ราชธานไี ปยงั พษิ ณโุ ลกใน พ.ศ. 2006 (1463) และแตง่ ตงั้ พระราชโอรส คือพระอินทราชา (พระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือ อินทราชาธิราช ท่ี 2) ใหเ้ ป็นเจ้าปกครองกรงุ ศรอี ยุธยา 4 | อยุธยาและเพือ่ นบา้ น 119

เหตกุ ารณท์ นี่ า่ ซง้ึ ใจและชวนฉงน เกดิ ขน้ึ ใน พ.ศ. 2007 (1464) ในปีน้ันพระบรมไตรโลกนาถทรงโปรดให้สร้างวัดใหม่แห่งหนึ่งทาง ใตข้ องเมอื งพษิ ณโุ ลก (*วดั จฬุ ามณ)ี และไดข้ อเปน็ ไมตรหี รอื พกั รบ กบั พระเจ้าติโลกราชแหง่ เชยี งใหม่ แต่ถูกปฏเิ สธ พระบรมไตรโลก นาถทรงสละราชย์สมบตั ิอย่างเป็นทางการให้แก่พระราชโอรส และ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาที่วัดน้ัน พระเจ้าติโลกราช เชน่ เดยี วกบั กษตั รยิ แ์ หง่ หลวงพระบางและหงสาวดี ทรงสง่ ปจั จยั มา ถวาย แต่ปฏิเสธคำ�ขอบิณฑบาตของพระบรมไตรโลกนาถที่ขอให้ คนื เมอื งศรสี ชั นาลยั แกพ่ ระองค์ เพอื่ ทจี่ ะไดถ้ วายเปน็ ปจั จยั ไทยทาน แม้ว่าจะทรงเคร่งในศาสนา แต่พระบรมไตรโลกนาถไม่ได้ล้มเลิก แผนการต่อตา้ นล้านนาแต่อย่างใด ทรงสง่ พระขมงั เวทไปเชียงใหม่ ในฐานะจารชน และพยายามบ่อนทำ�ลายและสร้างความอ่อนแอ ภายในเมืองเชยี งใหม่ พระเจา้ ตโิ ลกราชแหง่ ลา้ นนากม็ ไิ ดท้ รงวางเฉย ทรงสง่ จารชน ไปบอ่ นท�ำ ลายพษิ ณโุ ลกและอยธุ ยาเชน่ เดยี วกนั และทรงท�ำ สงคราม ต่อไปกับเมอื งในรัฐฉานต่างๆ เชน่ เมืองไลคา เมืองสปี อ้ เมอื งปูน และเมืองนาย เพื่อให้ได้กำ�ลงั ไพรพ่ ลเพิม่ ในกองทพั ขณะเดยี วกัน ความอ่อนแอภายในเชียงใหม่ที่จารชนพระขมังเวทของพระบรม ไตรโลกนาถกอ่ ขึน้ เร่ิมสง่ ผล อย่างหน่งึ คอื พระราชโอรสพระองค์ เดียวของพระเจ้าติโลกราช ช่ือท้าวบุญเรือง ถูกกล่าวหาอย่างไม่มี มลู วา่ วางแผนกอ่ กบฏและถูกประหารชวี ิต ในตน้  พ.ศ. 2009 (1466) เสนาบดขี องกรงุ ศรอี ยธุ ยาไดอ้ ญั เชญิ พระบรมไตรโลกนาถใหล้ ะเพศบรรพชติ เสดจ็ เถลงิ ราชยอ์ กี ครง้ั และ เสด็จกลบั กรุงศรีอยุธยา หลงั จากน้นั ไมน่ าน พระบรมไตรโลกนาถ ทรงสง่ คณะทตู ไปเชยี งใหม่ ท�ำ ทวี า่ เพอื่ ไปเจรจาขอสงบศกึ แตท่ จี่ รงิ กเ็ พอ่ื ไปหยง่ั เชงิ วา่ แผนการจารกรรมของพระองคก์ า้ วหนา้ ไปแคไ่ หน 120 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

ด้วย ในระหว่างการเจรจาของคณะทูตของกรุงศรีอยุธยานี้ ทูตคน หนง่ึ พยายามขโมยแจกนั ทองค�ำ ในพระราชวงั ของพระเจา้ ตโิ ลกราช จงึ ทรงรบั รถู้ งึ การทรยศของจารชนพระขมงั เวทของอยธุ ยา จงึ มรี บั สง่ั ให้โบยพระรูปน้ันจนตาย และสังหารคณะทูตระหว่างเดินทางกลับ กรุงศรอี ยุธยา นา่ ประหลาดใจท่สี งครามดเู หมือนว่าจะลดลง มกี าร รบกันต่ออีกสองคร้ัง คร้ังแรกใน พ.ศ. 2017 (1474) เม่ือสุโขทัย พยายามเขา้ ยึดศรีสชั นาลัยคนื แตถ่ ูกตา้ นทานไวไ้ ด้ และอีกครั้งใน  พ.ศ. 2029 (1486) เมอื่ กรุงศรอี ยธุ ยาสง่ กองทัพมาโจมตีนา่ น แต่ไม่ สามารถยึดเมืองได้ ขณะน้ันการต่อสู้ระหว่างมหาอำ�นาจไท-ไตท่ี สำ�คัญเหลา่ นีไ้ ด้มาถึงทางตนั แลว้ พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ทรงใช้เวลาทศวรรษสุดท้าย ในรัชสมัยของพระองค์ไปกับปัญหาภายในมากกว่า ระหว่าง พ.ศ.  2018-2021 (1475-1478) ทรงโปรดใหส้ รา้ งพระธาตเุ จดยี ห์ ลวง ศาสน สถานอนั ยงิ่ ใหญข่ น้ึ ทใ่ี จกลางเมอื งเชยี งใหม่ ไมน่ านหลงั จากนน้ั ขณะ ทพี่ ระเจา้ ตโิ ลกราชก�ำ ลงั ท�ำ สงครามกบั พวกไตใหญ่ (*ฉานหรอื เงย้ี ว) เร่ิมมภี ยั คุกคามใหมเ่ กิดข้ึน พวกเวยี ดนาม (*ไดเวียด) เข้ารุกราน หลวงพระบางครงั้ ใหญใ่ น พ.ศ. 2021-22 (1478-79) และเขา้ คกุ คาม น่าน เมืองหน้าด่านทางตะวันออกของล้านนา ล้านนาสกัดก้ันภัย คกุ คามครัง้ นด้ี ้วยความยากลำ�บาก เชลยศกึ ทกี่ องทัพลา้ นนาจบั ได้ ถกู ส่งไปใหท้ างการจีนท่ียนู นาน อาจเป็นเพราะมีเปา้ หมายที่จะขอ ความชว่ ยเหลอื จากจนี ในทางการทหารหรอื ทางการทตู เพอื่ ตอ่ ตา้ น การรุกรานอีกคร้ังของเวียดนามในดินแดนแถบนี้ ในปีถัดมา ราช ส�ำ นกั จนี สง่ คณะทตู สองชดุ มาเชยี งใหม่ เพอื่ เรยี กรอ้ งการสวามภิ กั ดิ์ ตามระบบบรรณาการของจนี ซงึ่ พระเจา้ ตโิ ลกราชทรงยอมตามอยา่ ง เห็นได้ชัด ในทสี่ ดุ ในกลางทศวรรษ 1480 (2023-2032) ล้านนาก็ เขา้ มายงุ่ เกยี่ วกบั สงครามในทางเหนอื เมอื่ กลมุ่ ชาวลวั ะยดึ เมอื งยอง 4 | อยธุ ยาและเพอื่ นบ้าน 121

พระธาตุเจดยี ห์ ลวง เชยี งใหม่ บรู ณะใหมเ่ ม่อื  พ.ศ. 2543 (2000) 122 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

และหนีไปยังเมืองเชียงรุ่ง พระเจ้าติโลกราชส่งกองทัพตามล่าพวก ลัวะ และเข้ายึดเมืองเชียงรุ่งได้สำ�เร็จอย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง หลงั จากนนั้ ทรงแกป้ ญั หาการสมคบคดิ ระหวา่ งขนุ นางหวั เมอื งทจ่ี ะ ยดึ บลั ลงั กล์ า้ นนาใหแ้ กเ่ จา้ เมอื งล�ำ ปางได้ พระเจา้ ตโิ ลกราชสวรรคต เม่ือวนั ท่ี 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2030 (1487) หลังจากที่ครองราชย์ มา 46 ปี แม้ว่าสงครามกบั อยุธยาของพระองคจ์ ะไมป่ รากฏผลแพ้ ชนะเดด็ ขาด แตอ่ าณาจกั รลา้ นนาในตอนนก้ี แ็ ขง็ แกรง่ กวา่ ทเี่ คยเปน็ มากอ่ นยง่ิ กวา่ รนุ่ บรรพชน พระเจา้ ตโิ ลกราชไดท้ รงท�ำ ใหล้ า้ นนาเปน็ มหาอำ�นาจทม่ี อี ทิ ธิพลขจรไกลไปทุกทิศ คู่แข่งองค์ฉกาจของพระเจ้าติโลกราช คือ พระบรมไตรโลก นาถแห่งอยุธยา ซึ่งมีพระชนมายุแก่กว่าพระองค์เพียงหน่ึงพรรษา พระบรมไตรโลกนาถสวรรคตทพี่ ษิ ณโุ ลกใน พ.ศ. 2031 (1488) ความ แขง็ แกรง่ ทางสถาบนั ของอยธุ ยาอนั มาจากระบบกฎหมายทพ่ี ระบรม ไตรโลกนาถทรงตราไว้ จะสร้างข้อได้เปรียบให้กับราชอาณาจักร อยุธยา ทำ�ให้เหนือกว่าล้านนาในระยะยาว แต่จะใช้เวลาอีกหลาย ชวั่ คนกวา่ จะปรากฏผลอย่างชดั เจน ดว้ ยพระราชโอรสพระองคเ์ ดยี วของพระเจา้ ตโิ ลกราช (*ทา้ ว บุญเรือง) ได้ถูกประหารชีวิต ด้วยข้อหากบฏไปเม่ือสิบเจ็ดปีก่อน พระนัดดาของพระองค์ (*โอรสของท้าวบุญเรือง) คือ พญายอด เชยี งราย (ครองราชย ์ พ.ศ. 2130-38 (1487-95)) จงึ เป็นผสู้ บื ทอด ราชบลั ลงั กต์ อ่ กษตั รยิ พ์ ระองคน์ ไี้ มเ่ ปน็ ทนี่ ยิ มของราษฎร จนเสนาบดี กอ่ การกบฏเพอื่ ก�ำ จดั พระองค์ และสถาปนาพระราชโอรสพระชนมายุ 13 พรรษาของพญายอดเชยี งราย คอื พญาเมืองแกว้ (ครองราชย ์ พ.ศ. 2038-2069 (1495-1526)) ต�ำ นาน (*ต�ำ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่ บันทึกไว้เพียงน้อยนิดว่า กษัตริย์เหล่าน้ีสามารถรักษาจารีตของ ความเขม้ แขง็ ทางการทหารและการเมอื งของบรรดาบรรพชนทปี่ รชี า 4 | อยธุ ยาและเพื่อนบ้าน 123

สามารถทสี่ ดุ ไดท้ �ำ ไว้ ลา้ นนาสมยั พญาเมอื งแกว้ ท�ำ สงครามกบั อยธุ ยา เกือบตลอดเวลา ในดินแดนแถบสุโขทัย ตัง้ แต่ พ.ศ. 2050 (1507) เป็นต้นมา ซ่ึงกองทัพล้านนาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตลอดเวลา ใน พ.ศ.  2058 (1515) อยุธยายังเข้ายึดครองลำ�ปางได้ แต่เพียงกวาดเอา ทรพั ยส์ นิ และเชลยศกึ ไป จากนนั้ อยธุ ยากไ็ มอ่ าจจะหาประโยชนจ์ าก ความไดเ้ ปรยี บของตนตอ่ ลา้ นนาไปอกี หลายปี อาจเปน็ เพราะในสอง ปตี อ่ มา เชยี งใหมใ่ ชค้ วามพยายามอยา่ งหนกั ในการเสรมิ สรา้ งระบบ ป้องกัน ตำ�นานได้บันทึกถึงการเคล่ือนย้ายพลเมืองชาวไตใหญ่ (*ฉานหรือเงีย้ ว) ครั้งส�ำ คัญเขา้ สูด่ ินแดนล้านนา ในช่วงเวลานี้ อาจ จะบง่ ชว้ี า่ ลา้ นนาก�ำ ลงั มปี ญั หาการขาดแคลนก�ำ ลงั คน อนั เปน็ ผลมา จากการสญู เสยี ไพรพ่ ลระหวา่ งสงคราม ยวุ กษตั รยิ ท์ รงขนึ้ ครองราชย์ อยา่ งเป็นทางการกเ็ มือ่  พ.ศ. 2063 (1520) เมื่อมีพระชนมายไุ ด้ 38 พรรษาแล้ว และดูเหมือนว่าการรวมศูนย์อำ�นาจทางการเมืองดังท่ี ลา้ นนานา่ จะทำ�สำ�เรจ็ ในช่วงเวลาน้ีกลบั ไมม่ นั่ คงอยา่ งมาก ล้านนา ดเู หมอื นจะยดึ มน่ั ในจารตี ประเพณอี ยา่ งเหนยี วแนน่ จงึ ท�ำ ใหข้ นุ นาง ชน้ั สงู ในราชส�ำ นกั สามารถด�ำ เนนิ กจิ การทางการเมอื งและการทหาร ไดอ้ ย่างคกึ คัก ตามปกตแิ ลว้ การตอ่ สทู้ างทหารเปน็ หนา้ ทขี่ องขนุ นางเหลา่ น้ี ผู้ซ่งึ ได้รบั การปนู บ�ำ เหน็จให้เป็นเจ้าเมือง หรือมตี �ำ แหนง่ ในราช ส�ำ นกั เมอื่ ปฏบิ ตั งิ านเปน็ ผลส�ำ เรจ็ เปน็ เรอื่ งส�ำ คญั ทต่ี �ำ นานพน้ื เมอื ง เชียงใหม่บันทึกเรอ่ื งการก่อสรา้ งอาคารส�ำ หรบั กจิ การของหลวง ใน  พ.ศ. 2063-64 (1520-21) โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง เค้าสนามหลวง ซึ่ง เปน็ ทีท่ ำ�การของการบรหิ ารราชการส่วนกลาง เมอ่ื ถงึ ปลายรชั สมยั พญาเมอื งแกว้ ทรงเขา้ ไปมสี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง กบั กจิ การภายนอกทสี่ �ำ คญั คอื ในเชยี งตงุ ซง่ึ นา่ จะเปน็ เมอื งทสี่ �ำ คญั ทส่ี ดุ ของรฐั ฉาน ทเี่ ชยี งตงุ มกี ารแยง่ ชงิ ราชบลั ลงั กร์ ะหวา่ งเจา้ สองพระ 124 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

องค์ ซง่ึ ตา่ งกข็ อความชว่ ยเหลอื จากเมอื งแสนหวแี ละลา้ นนา ใน พ.ศ.  2066 (1523) พญาเมอื งแกว้ สง่ กองทพั สองกอง ซง่ึ แตล่ ะทพั มที หาร มากกวา่ สองหมนื่ นายไปรบในเชยี งตงุ ทพั หนงึ่ ไปทางเชยี งแสน และ อีกทัพหนึ่งไปทางเมืองสาด การรบครั้งนี้พ่ายแพ้ ด้วยการคุมทัพ ของแม่ทัพใหญ่ (*แสนยีพิงค์ไชย) ท่ีพญาเมืองแก้วเห็นว่าไร้ ประสทิ ธภิ าพ จงึ ทรงสั่งให้ประหารชวี ติ เสยี อย่างไรกต็ าม ในอีกมุมหนึง่ ของรัชสมัยพญาเมอื งแก้ว เป็น ช่วงเวลาท่ีรุ่งโรจน์ของประวัติศาสตร์ล้านนา ตำ�นานภาษาบาลีชื่อ ชินกาลมาลีปกรณ์ ประพันธ์ข้ึนในเชียงใหม่ไม่นานก่อนพระองค์ สวรรคต เปน็ หลกั ฐานทด่ี ขี องยคุ สมยั น้ี ไดก้ ลา่ วถงึ พระราชกรณยี กจิ ด้านการทำ�นุบำ�รุงพระพุทธศาสนาของพญาเมืองแก้ว ได้แก่ การ สรา้ งวดั ใหม่ๆ การคัดลอกพระไตรปฎิ ก การหลอ่ พระพุทธรปู ขนาด ใหญ่ การทำ�บุญทำ�ทาน แต่เน้นหนักอย่างย่ิงที่พระราชูปถัมภ์ต่อ ศาสนาพทุ ธนกิ ายลงั กาวงศท์ เี่ ครง่ ครดั ซงึ่ เผยแผม่ าสอู่ าณาจกั รลา้ น นาต้ังแต่รัชสมัยพญากือนามากว่าหนึ่งศตวรรษท่ีผ่านมา นี่คือ นโยบายทมี่ คี วามส�ำ คญั ยง่ิ ทางศาสนาและวฒั นธรรม เพราะดว้ ยการ สนบั สนนุ ของกษตั รยิ ์ ท�ำ ใหพ้ ระภกิ ษใุ นรชั สมยั พญาเมอื งแกว้ มคี วาม รสู้ งู ยง่ิ จงึ เขยี นวรรณกรรมทางพทุ ธศาสนาจ�ำ นวนมาก ซง่ึ พระภกิ ษุ ทไ่ี ดร้ บั การศกึ ษาในส�ำ นกั นจี้ ะเปน็ ผนู้ �ำ ทางภมู ปิ ญั ญาทร่ี งุ่ เรอื งใหแ้ ก่ สังคมล้านนาเปน็ เวลานาน เมื่อพญาเมืองแก้วสวรรคต ในต้น พ.ศ. 2069 (1526) พระ อนชุ า คอื พญาเกศเชษฐราช (ครองราชย ์ พ.ศ. 2069-81 (1526-38), 2086-88 (1543-45)) สบื ราชสมบตั ติ ่อมา การข้ึนครองราชยข์ อง พระองค์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเส่ือมอย่างรวดเร็วของล้านนา นอกจากรัชสมัยของพระองค์จะไม่มีความสำ�คัญใดๆ แล้ว ก็ยังมี ขุนนางบางคนพยายามที่จะโค่นล้มพระองค์ใน พ.ศ. 2078 (1535) 4 | อยธุ ยาและเพอื่ นบ้าน 125

พญาเกศเชษฐราชทรงกระทำ�การเป็นปฏิปักษ์กับขุนนาง ด้วยการ แต่งตั้งเจ้าเมืองเชียงแสนคนใหม่ จึงทรงถูกโค่นล้มใน พ.ศ. 2091 (1538) พระราชโอรส คอื พระชัย (*ท้าวชายหรอื ซายค�ำ ) (ครอง ราชย์ พ.ศ. 2081-86 (1538-43)) “เสวยเมอื งบช่ อบทศราชธรรม”8 และขุนนางระดับสูงจึงไดป้ ลงพระชนม์ และไปอัญเชญิ พระราชบิดา กลับมาปกครองอีกครัง้ พญาเกศเชษฐราชถูกลอบปลงพระชนมใ์ น  พ.ศ. 2088 (1545) อาจจะมีสาเหตุมาจากนโยบายทางศาสนาของ พระองค์ เพราะดูเหมือนว่าทรงพยายามทีจ่ ะตงั้ เงอื่ นไขใหพ้ ระภิกษุ นกิ ายหนง่ึ บวชซ�ำ้ ดว้ ยพธิ กี รรมของอกี นกิ ายหนงึ่ ไมว่ า่ จะเปน็ ดว้ ย เหตผุ ลใด การสวรรคตของพระองค์ถอื เปน็ จดุ เริ่มตน้ ของการสิน้ สุด ความเปน็ อิสระของอาณาจกั รล้านนา เหตุการณ์แรก ขุนนางล้านนาระดับสูงบางคนได้ไปอัญเชิญ เจา้ เมอื งเชยี งตงุ มาเสวยราชยท์ ล่ี า้ นนา และเมอื่ พระองคแ์ สดงความ ลงั เลใจ กห็ นั ไปเชญิ เจา้ ไตใหญแ่ หง่ เมอื งนายในรฐั ฉานมาแทน อยา่ งไร กต็ าม กอ่ นทเี่ จา้ เมอื งนายจะมาถงึ มขี นุ นางอกี กลมุ่ ทม่ี าจากหวั เมอื ง มาประชุมกันท่ีเมืองเชียงแสนและตัดสินใจเชิญเจ้าหลวงพระบาง มาปกครอง ทา่ มกลางความยงุ่ เหยงิ เจา้ ชาวไตใหญแ่ หง่ แสนหวี ซงึ่ ถูกเพิกเฉยได้เข้ารุกรานและโจมตีเชียงใหม่ แต่เชียงใหม่ต้านทาน ไดด้ ว้ ยการปอ้ งกนั เมืองอย่างเขม้ แข็ง เจ้าแสนหวีถอยทัพไปลำ�พูน และส่งคณะทูตไปหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา เพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันขุนนางระดับสูงจากเชียงแสนมาถึงเชียงใหม่ และได้ สถาปนาพระนางจริ ประภาขน้ึ เปน็ กษตั รยิ ์ (ครองราชย ์ พ.ศ. 2088- 89 (1545-46)) เหตกุ ารณต์ อ่ มาทที่ �ำ ใหเ้ กดิ ความวนุ่ วาย และการท�ำ ลายลา้ ง กันอยา่ งใหญห่ ลวง คอื อย่างแรก กองทัพจากอยธุ ยาเคลื่อนทัพสู่ เชยี งใหม่ และยกทพั กลบั อยธุ ยาหลงั จากไดป้ ระกอบพธิ พี ระบรมศพ 126 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

อย่างสมพระเกียรติ และอย่างเจตนาถวายแด่พญาเกศเชษฐราชผู้ วายชนม์ ซง่ึ ตอนนถ้ี อื ไดว้ า่ เชยี งใหมเ่ ปน็ รฐั สวามภิ กั ดิ์ สองสามเดอื น ต่อมา เจ้าแห่งเมืองนายในรัฐฉานเข้าล้อมเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่ สามารถยดึ เมอื งได้ จากนนั้ ขนุ นางระดบั สงู สองคนมาจากหลวงพระ บาง “เพอื่ ปกปอ้ งเชยี งใหม”่ และสองสามวนั ตอ่ มา กองก�ำ ลงั อยธุ ยา มาถึงลำ�พูน เพ่ือเจรจาให้เชียงใหม่ยอมแพ้ ไมน่ าน เมอื งเชยี งใหม่ ก็ถูกกองทัพอยุธยาปิดล้อมอย่างแน่นหนา หลังการต่อสู้กันอย่าง หนกั กองทัพสยามกต็ ้องถอยทพั กลบั ในตน้  พ.ศ. 2089 (1546) มบี า้ งบางเดอื นใน พ.ศ. 2089 (1546) ทชี่ าวลา้ นนาอาจคดิ วา่ ชว่ งเวลาแหง่ ความวนุ่ วายก�ำ ลงั จบลง ขณะทม่ี กี ารประกอบพระราช พธิ ที ยี่ งิ่ ใหญถ่ วายแดพ่ ระราชโอรสวยั เยาวข์ องกษตั รยิ ห์ ลวงพระบาง ซงึ่ ถกู น�ำ เสดจ็ ไปทว่ั อาณาจกั รลา้ นนา จากเชยี งแสนสเู่ ชยี งใหม่ และ จากน้ันถกู ยกขึน้ เถลงิ ราชยใ์ นนาม พระไชยเชษฐา (ครองราชย์ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2089 (1546)- 20 สงิ หาคม พ.ศ. 2090 (1547)) แต่ สิบสามเดอื นใหห้ ลัง เมอ่ื พระราชบดิ าสวรรคต พระไชยเชษฐาเสด็จ กลบั ไปปกครองหลวงพระบาง ตอนนเี้ ชยี งใหมจ่ ะกลายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของอาณาจกั รล้านช้าง และยังถูกปกครองโดยกษัตริยอ์ งคเ์ ดียวกัน เชียงใหม่และดินแดนทั้งหมดของล้านนาจึงตกอยู่ในภาวะสงคราม กลางเมอื งอยา่ งรวดเรว็ ขนุ นางและแควน้ ตา่ งๆ ตอ่ สกู้ นั เองเพอ่ื แยง่ อ�ำ นาจ ความวนุ่ วายด�ำ เนนิ อยสู่ ปี่ ี เมอื่ ไมอ่ าจสรา้ งความสงบเรยี บรอ้ ย ให้กลับคืนมาสู่ล้านนาได้ พระไชยเชษฐามอบบัลลังก์ล้านนาให้กับ พระชายาชาวเชียงใหม่ของพระองค์ แต่พระนางก็ไม่อาจต่อกรกับ บรรดาเจา้ นายลา้ นนาได้ จงึ ถกู ก�ำ จดั ไป และมเี จา้ องค์อ่ืนขน้ึ นง่ั บน บัลลงั กแ์ ทน ในกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16 ล้านนาตกอยู่ในภาวะกลียคุ อีก ครั้ง กลายเป็นเหย่ือที่อ่อนเปลี้ยที่แย่งชิงกันในหมู่เจ้าแคว้นต่างๆ  4 | อยธุ ยาและเพือ่ นบ้าน 127

ในทีร่ าบสงู ตอนเหนอื กำ�เนิดลา้ นชา้ ง-หลวงพระบาง บรเิ วณตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของอนิ โดจนี ตอนกลาง มพี ฒั นาการ ที่ช้ากว่า ซึ่งอาจไม่ใช่เพราะคนพูดภาษาไท-ไตไปต้ังถ่ินฐานท่ีนั่น ชา้ กวา่ แตเ่ ปน็ เพราะบรเิ วณนนั้ ไดอ้ ยภู่ ายใตก้ ารปกครองของจกั รวรรดิ พระนครนานกวา่ ในทสี่ ดุ เมอื่ พระเจา้ ฟา้ งมุ้ แหง่ หลวงพระบางประสบ ความส�ำ เร็จในการรวบรวมอาณาจักรขน้ึ ทนี่ ัน่ ใน พ.ศ. 1896 (1353) ทรงตั้งศูนย์กลางของอาณาจักรขึ้นในเขตเหนือสุดที่หลวงพระบาง แตม่ ีชาวลาวที่พูดภาษาไท-ไตจ�ำ นวนพอสมควรแลว้ ในพน้ื ทเี่ ชยี ง ขวาง รอบๆ ที่ราบลุม่ เวยี งจัน และแมก้ ระทั่งในเมอื งนครพนม และ พื้นท่ีที่ลงมาทางใต้ของลุ่มแม่นำ้�โขง ท่ีบริเวณสะหวันนะเขต และ อาจจะมีชาวลาวมากกว่าแถบนี้ ในทางตะวันตกของเมืองร้อยเอ็ด ด้วย เช่นเดียวกับชาวล้านนา เชียงตุง และน่านในทิศตะวันตก องคก์ รทางการเมอื งของชาวลาวอยู่ภายใตก้ ารจัดองค์กรทางสงั คม หน่วยทางการเมืองของชาวลาวมีขนาดเล็กเหมือนกับหน่วยทาง สงั คม ศนู ยก์ ลางอ�ำ นาจของลา้ นชา้ งเคลอื่ นยา้ ยอยา่ งชา้ ๆ ไปทางใต้ ของลมุ่ แมน่ �ำ้ โขงในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 จากน้นั ก็จะใชเ้ วลาไม่ นาน กอ่ นท่ลี าวในลุ่มแม่น้�ำ โขงจะเขา้ มามสี ่วนร่วมในการเมืองของ มหาอ�ำ นาจตา่ งๆ ในอนิ โดจีนตอนกลาง สง่ิ เดยี วกนั เกดิ ขนึ้ ในทศิ ใตท้ ห่ี า่ งไกลออกไป ซง่ึ มพี ลเมอื งพดู ภาษาไท-ไตจ�ำ นวนพอสมควร อยใู่ นดนิ แดนตอนกลางของคาบสมทุ ร มลายู เจา้ ผคู้ รองนครศรธี รรมราชไดม้ อี �ำ นาจบนชายฝง่ั ตะวนั ตกของ คาบสมทุ รมานานแลว้ และนครศรธี รรมราชมเี มอื งบรวิ ารจ�ำ นวนมาก 128 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป

อยทู่ างใต้ โดยเฉพาะในบรเิ วณซงึ่ เวลานอี้ ยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลของพทั ลงุ และสงขลา แต่อ�ำ นาจของนครศรธี รรมราชในแถบทางใต้ลงไป บน ชายฝง่ั ตะวนั ออกของคาบสมทุ รไดต้ กไปสตู่ ระกลู เจา้ มลายใู นปตั ตานี และเมอื งทางทิศใตล้ งไป ผลผลติ จากป่าและแร่ธาตมุ อี ยู่เป็นบริเวณ กว้างในแถบน้ี และในไม่ช้าไม่นาน ก็มีผลต่อการกระจายอำ�นาจ ทางการเมืองในภูมิภาคน้ี โดยเฉพาะหลังจากการเติบโตของเมือง มะละกา ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ซ่ึงเกิดจากการเติบโตของการค้า นานาชาติในภูมภิ าคน้ี การค้านานาชาตนิ ั้นท�ำ ใหก้ รงุ ศรอี ยุธยาเข้า รกุ รานและแทรกแซงมะละกา เนอ่ื งจากมะละกาจะเปน็ แหลง่ ท�ำ ราย ไดใ้ หก้ บั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเพมิ่ มากขนึ้ จากการน�ำ สนิ คา้ จากภายนอกเขา้ มา (รวมท้ังอาวธุ และทหารรบั จ้าง) กษัตริยส์ ากล สงครามสากล หลงั จากพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต ใน พ.ศ. 2031 (1488) ราชอาณาจกั รอยธุ ยายงั คงพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ในฐานะมหาอ�ำ นาจ ในโลกของคนไท-ไต ในรชั สมยั ของพระราชโอรสของพระบรมไตรโลก นาถ คือ พระอินทราชา (พระบรมราชาธริ าชท่ี 2) (ครองราชย์ พ.ศ.  2031-34 (1488-91)) และพระรามาธิบดีท่ี 2 (ครองราชย์ พ.ศ.  2034-72 (1491-1529)) อยธุ ยาเจรญิ รงุ่ เรอื งยงิ่ ขนึ้ ในทศวรรษ 1460 (2003-2012) ราชอาณาจกั รอยธุ ยามอี �ำ นาจในการควบคมุ คาบสมทุ ร มลายูและชายฝง่ั ทะเลดา้ นอา่ วเบงกอล ดังน้ัน จึงอยู่ในสถานะทีจ่ ะ แสวงหาประโยชน์จากการเตบิ โตของการคา้ นานาชาติ อนั สืบเน่ือง มาจากการก่อต้ังมะละกาในฐานะเมืองท่าการค้านานาชาติที่สำ�คัญ ในตอนต้นครสิ ตศ์ ตวรรษ ตลอดเวลาส่วนใหญข่ องครสิ ต์ศตวรรษน้ี เจ้าเมืองมะละกายอมรับความเป็นเจ้าเหนือหัวของกษัตริย์อยุธยา 4 | อยุธยาและเพ่ือนบา้ น 129

และพระบรมไตรโลกนาถทรงรวมมะละกาไว้ในรายช่ือของเมือง ประเทศราชที่สำ�คัญของพระองค์ ในกลางศตวรรษนี้ ไม่ว่าเนื้อแท้ ของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกรงุ ศรอี ยธุ ยาและมะละกา ซงึ่ อาจจะด�ำ เนนิ ผา่ นนครศรธี รรมราชจะเป็นอยา่ งไร ความสมั พันธน์ ีร้ องรบั การวาง โครงสร้างของการติดต่อทางการค้าและเศรษฐกิจเป็นหลัก อยธุ ยา เป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ส่งให้แก่มะละกา และมะละกาจะนำ�เข้าท้ัง สินค้าฟุ่มเฟือยและผ้าฝ้ายจากอินเดีย อยุธยายังมีอำ�นาจในการ ควบคมุ ตะนาวศรี (ในทศวรรษ 1460 (2003-2012)) และทวาย (ใน  พ.ศ. 2031 (1488)) ดเู หมอื นว่าจะมจี ดุ ประสงคห์ ลกั เพ่ือเข้าถงึ การ คา้ นานาชาตใิ นอา่ วเบงกอล และมหาสมทุ รอนิ เดยี โดยตรง มากกวา่ ต้องอ้อมผา่ นมะละกา เปน็ ธรรมเนยี มทวั่ ไปในเอเชยี ในชว่ งเวลานี้ ทก่ี ษตั รยิ ค์ วบคมุ กิจการค้ากับต่างชาติแบบผูกขาด ไม่มีพ่อค้าคนใดท่ีเข้ามาติดต่อ สามารถขายสินค้าได้ จนกว่ากษัตริย์จะได้ซื้อสิ่งที่ทรงต้องการใน ราคาทท่ี รงก�ำ หนดเองเสยี กอ่ น และไมม่ ใี ครสามารถซอื้ สนิ คา้ สำ�คญั ๆ  ได้ จนกวา่ สนิ คา้ ในคลงั สนิ คา้ ของหลวงจะหมดลง ซง่ึ ปกตแิ ลว้ สนิ คา้ เหลา่ นเี้ รยี กเกบ็ จากราษฎรในรปู สว่ ยแทนภาษี และสนิ คา้ ในพระคลงั สนิ คา้ จะตอ้ งขายในราคาที่หลวงกำ�หนดเทา่ นน้ั การควบคมุ การคา้ เช่นน้ีดำ�เนินไปเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กษัตริย์เหนือกว่าชนช้ัน ปกครอง เมืองหลวงเหนอื กว่าผผู้ ลิตในท้องถิ่น และรฐั ท่มี ีทางออก ที่ดีสู่ทะเลมีความเหนือกว่ารัฐท่ีอยู่ภายในทวีปเช่นล้านนาและล้าน ชา้ ง การเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ทไ่ี ดร้ บั การกระตนุ้ จากการคา้ นานาชาติ ที่เพ่ิมข้ึนอย่างมาก ในครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15 และ 16 มผี ลกระทบตอ่ ก�ำ เนดิ ราชอาณาจกั รอยธุ ยาซง่ึ ไมอ่ าจมองขา้ มไปได้ บางครงั้ ทงั้ สอง สิ่งก็ดำ�เนินไปเกือบจะเป็นแบบวงจร ยิ่งกษัตริย์สั่งสมความม่ังค่ัง 130 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

จากการคา้ เท่าไร ก็ยง่ิ สามารถสรา้ งความเกรงกลัว หรอื เอาชนะทั้ง ศตั รภู ายในและจากประเทศรอบขา้ ง และรวบรวมเขตแดนตา่ งๆ ของ พวกศตั รเู ขา้ กบั เขตแดนของพระองคไ์ ด้ และดว้ ยวธิ นี จี้ ะยงิ่ เพม่ิ ความ สามารถของกษตั รยิ ์ในทางการคา้ ตอ่ ไป มสี ัญญาณทเี่ ห็นชดั เจนถึง ความมัง่ ค่งั ของกษตั รยิ จ์ ากนโยบายของพระรามาธิบดที ี่ 2 ในการ ท�ำ นบุ ำ�รงุ บา้ นเมอื งและศาสนา ตลอดทศวรรษ 1490 (พ.ศ. 2033- 2042) ทรงโปรดให้ก่อสร้างศาสนสถานท่ีสำ�คัญหลายแห่งในเมือง หลวง และระหวา่ ง พ.ศ. 2043 (1500) และ 2046 (1503) ทรงมบี ญั ชา ใหห้ ลอ่ พระพทุ ธรปู ยนื ทใี่ หญท่ สี่ ดุ เทา่ ทเ่ี คยปรากฏ สงู 16 เมตร และ หุม้ ดว้ ยทองหนักเกือบ 173 กิโลกรมั (*พระศรีสรรเพชญ)์ ในเวลา เดียวกัน เพื่อเสริมความม่ันคงของอยุธยาเพ่ิมขึ้น ทรงกระทำ�การ ส�ำ คญั เพอื่ สรา้ งเสรมิ กองทพั ดว้ ยการท�ำ บญั ชไี พรพ่ ล และเกณฑช์ าย ฉกรรจ์คร้งั ใหญ่เพือ่ รบั ราชการทหาร และปรบั ปรุงกระบวนการและ สถาบนั การควบคมุ แรงงานไพรพ่ ลเสยี ใหม่ ในทส่ี ดุ กม็ กี ารแตง่ ต�ำ รา พชิ ยั สงครามขนึ้ เพอื่ สอนการยทุ ธแ์ กก่ องทพั อธบิ ายเหตแุ หง่ สงคราม ยทุ ธศาสตร์ทางทหาร ศิลปะการตอ่ สู้ และกลยุทธ์ต�ำ รารอ้ ยกรองน้ี เขียนขึ้นในลักษณะท่ีชี้ให้เห็นว่าความสำ�เร็จทางการทหารได้กลาย เปน็ ท่ยี อมรบั ว่ามีค่าคู่ควรกบั ผทู้ ่ีมีวฒั นธรรม เมื่อชาวโปรตุเกสยึดมะละกาได้ใน พ.ศ. 2054 (1511) จึงส่ง คณะทตู มายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยาในทนั ที สว่ นหนง่ึ เปน็ เพราะความกงั วล ทางการเมือง เพราะโปรตุเกสเชื่อว่ามะละกาเป็นเมืองประเทศราช ของสยาม และอกี สว่ นหนงึ่ เพอ่ื ประกนั ความตอ่ เนอื่ งของการคา้ ทาง ทะเลปริมาณมหาศาลของมะละกา ซึ่งสินค้าที่สำ�คัญ คือ ข้าวของ สยาม ดูอารตึ ฟือร์นานดึช (*ดูอาร์เต้ เฟอร์นานเดซ) (Duarte Fernandes) ทตู โปรตเุ กสคนแรกทีม่ าเยอื นสยามมาถงึ อย่างไมส่ ม เกยี รตนิ กั โดยอาศยั เรอื ส�ำ เภาจนี มา แตย่ งั ไดร้ บั การตอ้ นรบั อยา่ งดี 4 | อยุธยาและเพ่ือนบา้ น 131

และคณะทูตกลับไปมะละกาพร้อมของขวัญมากมาย เพ่ือถวายแด่ กษตั รยิ แ์ หง่ โปรตเุ กส ตอ่ มาในปเี ดยี วกนั คณะทตู โปรตเุ กสอกี คณะ หนงึ่ มาถงึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา คราวนม้ี าพรอ้ มขา้ หลวงทม่ี หี นา้ ทรี่ วบรวม ข้อมลู ทางการค้า และใน พ.ศ. 2061 (1518) คณะทตู ชุดท่ีสามกม็ า ถึง และได้ท�ำ สญั ญาไมตรีตอ่ กนั ใน พ.ศ. 2055 (1519) เพื่อเปน็ การ ตอบแทนที่อยุธยาอนุญาตให้ชาวโปรตุเกสมีสิทธิพำ�นักในอยุธยา และมีเสรีภาพในการเผยแผ่ศาสนา และมีสิทธิพิเศษทางการค้า โปรตเุ กสรบั ประกนั วา่ จะจัดหาปืนและอาวุธให้แก่สยาม (และต่อมา ไม่นาน ยังรวมถึงการจัดหาทหารรับจ้างชาวโปรตุเกสท่ีเกณฑ์มา เพ่อื ชว่ ยฝึกอาวุธและการรบด้วย) อย่างน้อยในระยะส้ันๆ การเข้ามาของชาวโปรตุเกสก็มี ผลอย่างเป็นรูปธรรมต่ออยุธยาอยู่บ้าง ความสัมพันธ์ทางการค้า ระหว่างทงั้ สองเพียงแค่แทนที่การตดิ ต่อระหว่างอยธุ ยากบั มะละกา ในช่วงก่อนหน้านี้ และแม้ว่าการค้านานาชาติของสยามจะเติบโต อยา่ งสม�่ำ เสมอ โดยเฉพาะการคา้ ทางทะเลทม่ี ตี อ่ มา และเพมิ่ ปรมิ าณ เป็นสองเท่า ในระหว่าง พ.ศ. 2043 (1500) ถึง 2103 (1560) ความ สำ�เร็จนี้เป็นผลจากการติดต่อทางการค้าใหม่ๆ กับรัฐมุสลิม (เช่น ปตั ตานี อาเจะห์ และบนั ตมั ) ทม่ี กี ารจดั ตง้ั ขนึ้ เพอ่ื แขง่ ขนั กบั มะละกา ของโปรตุเกส มากพอๆ กับท่ีเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ทางสนธิ สญั ญากบั โปรตเุ กส ทต่ี งั้ ของปนื ใหญเ่ กา่ ๆ จ�ำ นวนนบั รอ้ ยในบางกอก และนครศรีธรรมราช ทีด่ จู ะผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน นา่ จะแสดง ให้เห็นนวัตกรรมที่สำ�คัญที่ชาวโปรตุเกสนำ�มา และทำ�ให้การทำ� สงครามพฒั นาไปสคู่ วามเป็นสมยั ใหม่ อยา่ งไรก็ตาม ชาวโปรตเุ กส ยังขายปนื และอาวธุ ให้กบั คแู่ ขง่ สำ�คญั ต่างๆ ของอยุธยาอกี ดว้ ย ดัง นั้น จึงทำ�ให้นวัตกรรมน้ีมีผลจำ�กัดพอสมควร อย่างไรก็ตามมีการ แย้งว่าอาวุธปืนได้อยู่ในกระบวนการพัฒนาในภูมิภาคน้ีแล้วในช่วง 132 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

โลกของคนไท-ไต ประมาณ พ.ศ. 2083 (1540) 4 | อยธุ ยาและเพ่อื นบา้ น 133

เวลาน้ี ด้วยการน�ำ เขา้ ผ่านการค้ากับอาหรับและจีน สถานการณ์ที่เปล่ียนไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพ้ืน ทวปี ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 16 ววิ ัฒนม์ าจากพฒั นาการจ�ำ นวนหนง่ึ ท่ี เกีย่ วเน่ืองกัน ซ่ึงชาวโปรตุเกสแสดงบทบาทหน่งึ ทไ่ี ม่ใชแ่ ค่บทบาท เดียว พัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเมืองท่ีเกี่ยวเน่ืองกัน สร้าง ความไดเ้ ปรยี บโดยท่ัวไปให้อาณาจกั รชายฝง่ั ในภมู ิภาค และเร่งให้ เกดิ การรวมศูนยใ์ นรฐั เหล่านี้ ในทางกลบั กนั พฒั นาการเหล่าน้ีเกดิ คู่ขนานกันไปกับการเติบโตอย่างช้าๆ ของการประสานทางสังคม และวฒั นธรรม ในฐานะสงิ่ ทเี่ ราอาจเรยี กวา่ “วฒั นธรรมเมอื งหลวง” ที่เริ่มมีรูปแบบการแสดงออกที่เป็นเอกลักษณ์ทางภาษา วรรณคดี และพธิ กี รรมทว่ั ๆ ไปของชวี ติ อนั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ อกี ครง้ั หนงึ่ ทค่ี วามมง่ั คง่ั ของอาณาจักรชายฝงั่ เรง่ ใหเ้ กดิ ภาวะผนู้ �ำ ในราชธานีเมืองท่า ขณะ ท่ีชนช้ันนำ�ในอาณาจักรเปิดรับวัฒนธรรมนานาชาติ และแสดงตัว ตนกบั วฒั นธรรมของตนอยา่ งมสี �ำ นกึ มากขนึ้ ขณะทก่ี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สาร พฒั นาต่อไป ซ่ึงกระตนุ้ จากการค้าทเี่ พมิ่ ขึน้ วัฒนธรรมของชนช้ัน นำ�ในเมืองเร่ิมท่ีจะแทรกซึมออกไปยังหัวเมือง ในกรณีของกรุง ศรีอยุธยา สไตล์ รสนิยม และคุณคา่ ของเมืองหลวงซึง่ ไดถ้ ูกนิยาม อยา่ งเด่นชัดว่ามภี มู ิหลงั จากมอญ เขมร และไท-ไต ผสมผสานกัน เร่ิมท่ีจะก่อรูปเป็นแบบ “สยาม” ที่มีลักษณะเฉพาะ และแตกต่าง จากวัฒนธรรมของไตยวนแหง่ ลา้ นนาหรอื ของลาวแห่งลา้ นช้าง พระรามาธิบดีท่ี 2 ทรงมีความกังวลทางการเมืองท่ีท้าทาย พระองค์โดยตรง มากกว่ากงั วลกับชาวโปรตุเกส อาณาจักรลา้ นนา เรมิ่ ตน้ ท�ำ ศกึ แบบศตวรรษกอ่ นอกี ครง้ั โดยเขา้ รกุ รานสโุ ขทยั ใน พ.ศ.  2050 (1507) กรุงศรีอยุธยาตอบโต้โดยรุกกลบั จนเขา้ ยดึ แพรไ่ ด้ใน  พ.ศ. 2051 (1508) และเขา้ ยดึ ได้แมก้ ระท่ังลำ�ปางซงึ่ อยหู่ ่างไปจาก เชยี งใหม่ 80 กโิ ลเมตรใน พ.ศ. 2058 (1515) แต่อยธุ ยากไ็ มไ่ ด้เข้า 134 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

ครองเมอื งทย่ี ดึ ไดแ้ ตอ่ ยา่ งใด ในชว่ งปลายรชั สมยั พระรามาธบิ ดที ี่ 2 ทรงปรบั นโยบายการตง้ั รบั ศกึ ทางเหนอื โดยทรงแตง่ ตงั้ พระราชโอรส องค์โต ในตำ�แหน่งพระมหาอุปราชไปปกครองพิษณุโลกใน พ.ศ.  2069 (1526) พระมหาอุปราชพระองค์น้ัน คือพระบรมราชาหน่อ พทุ ธางกรู ซง่ึ ตอ่ มาสบื ราชสมบตั ใิ นอยธุ ยาในฐานะพระบรมราชาธริ าช ที่ 4 ใน พ.ศ. 2072 (1529) ทรงเปน็ กษัตรยิ ท์ ป่ี กครองยาวนานพอที่ จะสืบต่อนโยบายของพระราชบิดาในการส่งทูตไปเจรจาทำ�สัญญา ไมตรีกับล้านนา ก่อนที่พระองค์จะสวรรคตด้วยโรคฝีดาษใน พ.ศ.  2076 (1533) พระราชโอรสพระชนมายุห้าพรรษาของพระบรมราชาหน่อ พทุ ธางกูร คอื พระรษั ฎาธริ าช ครองราชยอ์ ย่เู พียงหา้ เดอื น ก่อนท่ี พระอนชุ าของพระราชบิดา คอื พระไชยราชาธิราชจะปลงพระชนม์ และขนึ้ ครองราชยใ์ นตน้ ป ี พ.ศ. 2077 (1534) พระไชยราชาธริ าช (ครองราชย์ พ.ศ. 2077-90 (1534-47)) แมจ้ ะขนึ้ มาด้วยการยดึ อำ�นาจเหนอื บัลลงั ก์อยา่ งนา่ กงั ขา แต่ก็ทรง ถกู จดจ�ำ อยา่ งยาวนานในฐานะกษตั รยิ ท์ ดี่ แี ละฉลาดปราดเปรอ่ื ง ใน ตน้ รชั กาล ทรงใหส้ รา้ งสง่ิ ปลกู สรา้ งสาธารณะเพอ่ื อ�ำ นวยความสะดวก แกก่ ารคา้ ทางทะเล โดยเฉพาะอยา่ งทพ่ี ระราชบดิ าไดท้ รงท�ำ มากอ่ น โดยให้ปรับปรุงเส้นทางเดินเรือในแม่นำ้�เจ้าพระยา (*ด้วยการขุด คลองลดั บางกอก) ในบรเิ วณทปี่ จั จบุ นั เปน็ ทต่ี งั้ ของกรงุ เทพมหานคร และเชน่ เดยี วกบั พระราชบดิ า ทรงจา้ งทหารรบั จา้ งโปรตเุ กส 120 คน เป็นทหารรักษาพระองค์ และฝึกสอนกองทัพเรื่องการใช้อาวุธปืน ด้วยกองทัพที่ได้ปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ไม่นานนักพระองค์ก็เกิด ความขดั แยง้ กบั ท้ังพม่าและลา้ นนา เหตกุ ารณน์ ี้กลายเปน็ สว่ นหน่ึง ของฉากสงครามอันยาวนานที่ต่อมาจะทำ�ลายโลกของคนไท-ไต ทัง้ หมด 4 | อยุธยาและเพ่อื นบา้ น 135

พมา่ โบราณไดแ้ ตกออกเปน็ เสย่ี งๆ พรอ้ มกบั การลม่ สลายของ จักรวรรดิพุกามในปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 13 อาณาจักรที่ต้ังขึ้นใน เมอื งองั วะ โดยสามพน่ี อ้ งชาวไตใหญใ่ นทศวรรษ 1290 (1833-1842) ได้สูญเสียความเป็นฉานหรือไท-ไตท่ีเคยมี และพร้อมกันนี้ ยังมี อ�ำ นาจเหนอื เมอื งตา่ งๆ ทมี่ เี จา้ ปกครองชาวไตใหญไ่ ปจนถงึ ทศิ ตะวนั ออก ขณะเดยี วกนั อาณาจกั รมอญทม่ี ศี นู ยก์ ลางทหี่ งสาวดบี นชายฝงั่ ทะเลกต็ งั้ ตวั เปน็ อสิ ระ และมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งจากการคา้ นานาชาติ รัฐใหม่ที่เป็นชาวพม่าผงาดขึ้นอย่างช้าๆ ที่ตองอู ซึ่งอยู่ขึ้นไปทาง แมน่ ำ้�สะโตง หา่ งจากทะเล ห่างไกลจากทง้ั อังวะและหงสาวดพี อที่ จะปลอดภัย เป็นเวลาหลายศตวรรษทีช่ าวไตใหญแ่ หง่ ดนิ แดนทส่ี งู ทางตะวนั ออก ด�ำ รงวถิ ขี องตนและเมอื งสว่ นใหญใ่ นชว่ งเวลาน้ี เชน่ เมอื งสปี อ้ เมอื งยาง เมอื งยองหว้ ย เมอื งมดี เมอื งกอง และเมอื งอนื่ ๆ  สว่ นใหญเ่ ปน็ อสิ ระอยา่ งสมบรู ณ์ มปี ระโยคนา่ จดจ�ำ ของ G.E. Harvey ว่า “พม่าเหนือเป็นดินแดนเฉพาะของรัฐฉานที่ดุดัน” ในต้นคริสต์ ศตวรรษท่ี 169 ในทศวรรษ 1540 (2083-2092) อ�ำ นาจของไตใหญ่ ในอังวะฟ้ืนตวั ข้นึ จากการข้ึนครองราชย์ของเจ้าเมอื งสีป้อ และด้วย การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวของผู้นำ�ไตใหญ่อ่ืนๆ แต่การรวมตัวของ ชาวไตใหญเ่ ปลยี่ นเปน็ สงครามอยา่ งรวดเรว็ และองั วะกถ็ กู ทง้ิ ใหเ้ ปน็ เหยอ่ื ของกองทัพพม่าใน พ.ศ. 2098 (1555) ตลอดชว่ งเวลานี้ ตองอรู อดพน้ ภยั และรงุ่ เรอื งพอสมควร โดย หลกั เปน็ เพราะอยนู่ อกวถิ สี งครามใหญท่ ต่ี ดิ พนั ระหวา่ งหงสาวดแี ละ องั วะ ตองอรู บั ผอู้ พยพชาวพมา่ จากทางเหนอื กลมุ่ แลว้ กลมุ่ เลา่ อยา่ ง เงียบๆ ในทศวรรษ 1490 (2033-2042) เจ้าเมืองตองอูได้รับการ ยอมรบั และกระทงั่ ไดร้ บั การรบั รองต�ำ แหนง่ จากทง้ั องั วะและหงสาวดี เชน่ เดยี วกบั ลา้ นนาและชาวกะเหรย่ี งเพอ่ื นบา้ นตดิ กนั ดา้ นตะวนั ออก ความแขง็ แกรง่ ทางทหารของเจา้ เมอื งตองอเู พยี งพอทจี่ ะท�ำ ใหไ้ ดร้ บั 136 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ข้อเสนอขอเป็นพันธมติ รจากเพอ่ื นบา้ นทั้งหมด และเจา้ เมืองตองอู สามารถชกั ใยสถานการณใ์ หเ้ กดิ ความไดเ้ ปรยี บแกพ่ ระองคไ์ ดอ้ ยา่ ง เกง่ กาจ พระเจา้ ตะเบงชะเวตี้ (ครองราชย ์ พ.ศ. 2074-93 (1531-50)) แห่งตองอู เริ่มต้นรัชสมัยด้วยการหาประโยชน์จากความแข็งแกร่ง ของพระองค์เองและความอ่อนแอของคู่แข่ง ทรงหันความสนใจไป ทางใต้ก่อน โดยกำ�จัดอาณาจักรมอญโบราณท่ีหงสาวดีในปลาย ทศวรรษ 1530 (2073-2082) และก็ไดท้ ้ังความมั่งคง่ั และกำ�ลงั คน จำ�นวนมากจากหงสาวดี ระหวา่ งการรบกบั หงสาวดี พระเจา้ ตะเบงชะเวตยี้ ดึ ครองเชยี ง กราน ในเขตมะละแหมง่ ซงึ่ เป็นเมอื งประเทศราชของสยาม ดังนัน้ พระไชยราชาธิราชแห่งอยุธยาทรงระดมกองทัพและขับไล่กองทัพ พม่าออกจากเมอื งนนั้ ได้ในปลาย พ.ศ. 2081 (1538) ไม่มปี ฏิกิรยิ า ทนั ทที ส่ี �ำ คญั ใดๆ จากพมา่ และพระไชยราชาธริ าชคงทรงคดิ วา่ การ สงครามได้บรรลุเป้าหมายแล้ว เพ่ือเตือนทั้งคู่แข่งท่ีเข้มแข็งและ พันธมติ รทด่ี อ้ื รั้น และหวั เมอื งต่างๆ วา่ จะทรงไม่ลดละท่จี ะจดั การ กับการทา้ ทายอำ�นาจพระองคอ์ ย่างรวดเร็วและมีประสิทธภิ าพ แต่อาจเป็นเพราะพระไชยราชาธิราชทรงเป็นกังวลกับการ ผงาดขนึ้ อยา่ งนา่ กลวั ของมหาอำ�นาจส�ำ คญั ทงั้ สองทศิ ดว้ ย นอกจาก การรวมตัวกันของหงสาวดีและตองอู ภายใต้พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ แล้ว ล้านนากำ�ลังระสำ่�ระสาย และถูกคุกคามให้ตกอยู่ภายใต้การ ควบคุมของชาวไตใหญท่ ่ีเปน็ พันธมิตรอยา่ งหลวมๆ กบั องั วะ หรือ ตกอยู่ภายใต้ล้านช้าง ดังน้นั ในกลางปี พ.ศ. 2088 (1545) พระไชย ราชาธริ าชทรงนำ�ทพั ขึ้นไปทางเหนอื ถึงเชยี งใหม่ และเขา้ ลอ้ มเมอื ง แตไ่ มส่ ามารถจะยดึ ไดแ้ ละตอ้ งสญู เสยี ไพรพ่ ลอยา่ งหนกั ตอ้ งถอยทพั กลบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ยงั ไมท่ นั ทเ่ี สดจ็ ถงึ เมอื งหลวง พระไชยราชาธริ าช ทรงรวบรวมกองทัพขึ้นใหม่ทันที และมุ่งหน้ากลับไปเชียงใหม่อีก 4 | อยุธยาและเพือ่ นบา้ น 137

เพราะได้ข่าวการเสรมิ ก�ำ ลงั ของล้านช้างใหก้ บั กษตั รยิ ์ลา้ นนา หรือ อาจจะเปน็ การเชอ้ื เชญิ จากฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ในตน้ ป ี พ.ศ. 2090 (1547) กองทัพอยุธยาเขา้ ยดึ ล�ำ พนู และจากนั้นเคล่ือนทพั ไปเชียงใหม่ แต่ จำ�เปน็ ตอ้ งถอนทพั กลบั โดยยังไม่ได้ตเี มอื ง ทันทที ี่เสดจ็ กลบั ใกล้จะ ถึงกรุงศรอี ยุธยา พระไชยราชาธริ าชก็สวรรคตเสยี กอ่ น ในเดือนต่อๆ มา อยุธยาดูเหมือนจะก้าวสู่วิกฤตการณ์ใน ลักษณะเดียวกันกับที่ทั้งล้านนาและล้านช้างกำ�ลังเผชิญในขณะนั้น มีการชิงราชสมบัติระหว่างสายเลือดเดียวกัน ในหมู่ชนชั้นนำ�ทาง การเมอื งในเมอื งหลวง พระไชยราชาธริ าชเหลอื พระราชโอรสสองพระ องค์ ทงั้ คกู่ ำ�เนิดแตพ่ ระสนมเอก ท้าวศรสี ุดาจันทร์ และพระอนชุ า ตา่ งมารดา (ของพระไชยราชาธริ าช) คอื พระเฑยี รราชา พระราชโอรส ทมี่ พี ระชนมายุสูงกวา่ คือ พระยอดฟา้ (ครองราชย์ พ.ศ. 2090-91 (1547-48)) ขณะน้นั มีพระชนมายุ 11 พรรษา ถูกยกขึ้นครองราชย์ โดยมีพระมารดาเปน็ ผ้สู ำ�เรจ็ ราชการแผน่ ดิน ขณะทีพ่ ระเฑียรราชา ทรงล้ีภัยจากพายกุ ารเมอื งดว้ ยการออกผนวช ขณะเดยี วกันน้ัน ผู้ ส�ำ เรจ็ ราชการแผน่ ดนิ กก็ �ำ ลงั ลมุ่ หลงขา้ ราชส�ำ นกั ชน้ั ผนู้ อ้ ย จนมพี ระ ธดิ าดว้ ยกนั และพระนางทรงตดั สนิ พระทยั ยกขา้ ราชส�ำ นกั ชน้ั ผนู้ อ้ ย คนนขี้ นึ้ ครองราชย์ ขนุ นางทก่ี ลา้ คดั คา้ นการกระท�ำ เชน่ นขี้ องพระนาง ถูกประหารชีวิต ในท่ีสุดพระแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ส่ังให้วางยาพิษ ยวุ กษตั รยิ ์ คอื พระยอดฟา้ ในเดอื นมถิ นุ ายน พ.ศ. 2091 (1548) และ ยกชรู้ กั ของพระนางขน้ึ ครองราชย์ ในนาม ขนุ วรวงศาธริ าช ซงึ่ ครอง ราชยไ์ ดเ้ พยี งหกสปั ดาห์ กลมุ่ ขนุ นางชน้ั น�ำ กค็ บคดิ กนั ปลงพระชนม์ กษัตริย์พระองค์ใหม่ และอัญเชิญพระเฑียรราชาออกจากอาราม สถาปนาข้ึนเป็นกษตั ริยแ์ หง่ กรุงศรอี ยุธยาในปลายเดือนกรกฎาคม  พ.ศ. 2091 (1548) ทรงได้รับสมญั ญานามวา่ จักรพรรดิ ซ่งึ เป็นค�ำ บาลี-สันสกฤต หมายถึง กษตั รยิ ส์ ากลผูห้ มนุ วงลอ้ กษตั รยิ ์ผ้ทู รง 138 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป

คณุ ธรรมและทรงอำ�นาจ ท�ำ ใหส้ รรพสง่ิ ในโลกหมุนรอบพระองค์ ต่อมาอีกหลายเดือน พม่าตัดสินใจจะทำ�สงครามกับอยุธยา ซง่ึ พมา่ มองวา่ ก�ำ ลงั ตกอยใู่ นภาวะวนุ่ วาย พมา่ รวบรวมกองทพั ขนาด ใหญ่ ซงึ่ อาจมีจ�ำ นวนทหารหลายแสนคน พระเจา้ ตะเบงชะเวตีท้ รง นำ�ทหารมุ่งใต้ไปทางมะตะบัน และจากน้ันข้ามเทือกเขาผ่านด่าน เจดยี ส์ ามองค์ ยาตราผา่ นกาญจนบรุ แี ละสพุ รรณบรุ ี เพอ่ื เขา้ ลอ้ มกรงุ เหมือนยังไม่จบเท่าน้ี กษัตริย์เขมรแห่งกรุงละแวก (ใกล้พนมเปญ ในกัมพูชา) ฉวยโอกาสภายใต้ความวุ่นวายเข้าโจมตีสยามในทาง ตะวนั ออกทป่ี ราจนี บรุ ี เพอื่ ปลน้ สะดมและกวาดตอ้ นผคู้ นไป ในขณะ ที่อยุธยากำ�ลังติดพันศึกกับพม่า พระมหาจักรพรรดิทรงต้านศึก สงครามสน้ั ๆ กบั พมา่ ครงั้ นไี้ ดส้ �ำ เรจ็ ซง่ึ กนิ เวลาเพยี งสองสามเดอื น แรกของ พ.ศ. 2092 (1549) ขณะทีท่ ัพพมา่ ก�ำ ลังล้อมกรุง กษัตรยิ ์ และราชวงศ์ได้ยกทัพออกนอกพระนครเพ่ือตรวจพล ซ่ึงได้เกิด เหตกุ ารณห์ นง่ึ น�ำ โดยพระศรสี รุ โิ ยทยั และพระธดิ า (*ทงั้ สองปลอม พระองค์เป็นชาย และขับช้างทรงเข้าช่วยเหลือพระมหาจักรพรรดิ ซ่ึงเสียทีแก่พระเจ้าแปร จนถูกฟันสิ้นพระชนม์บนคอช้าง) ได้ส่ัน คลอนความตงั้ ใจของพมา่ ทจี่ ะยดึ อยธุ ยา ซงึ่ ตอ่ จากนนั้ กองทพั พมา่ ก็ชะงักไป ด้วยได้ข่าวว่ากองทัพจากพิษณุโลก หัวเมืองทางเหนือ ของอยุธยากำ�ลังจะมาถึง แม้ว่าในระหว่างการถอยทัพ กองกำ�ลัง ของพระเจ้าตะเบงชะเวต้ียังสามารถจับกุมพระราชโอรสองค์โตของ กษตั รยิ ส์ ยาม คอื พระราเมศวร และพระชามาดา (*ลกู เขย) คอื พระ มหาธรรมราชา เจ้าเมอื งพิษณุโลก ต่อมาเชลยศกึ ถกู สง่ ตัวคืนด้วย เงอ่ื นไขทว่ี า่ กองกำ�ลงั ของอยธุ ยาจะไมซ่ มุ่ โจมตกี องทพั พมา่ ทก่ี ำ�ลงั ถอนทัพกลับ พระมหาจักรพรรดิก็ยังทรงมิได้เกิดความรู้สึกปลอดภัยจาก ความส�ำ เรจ็ ทง่ี า่ ยดายเชน่ นี้ และในปตี อ่ ๆ มา ทรงเตรยี มการส�ำ หรบั 4 | อยธุ ยาและเพ่อื นบา้ น 139

สงครามที่พม่าจะเร่ิมขึ้นใหม่อีกครั้งในไม่ช้านี้ อย่างแรกสุดในตอน ตน้  พ.ศ. 2091 (1548) ก�ำ แพงดินเก่าๆ ในเมืองราชธานถี กู รอื้ ถอน และสร้างป้อมปราการด้วยอิฐท่ีแข็งแรงทดแทน ในปีต่อๆ มา ทรง ปรับปรุงกองเรือ เสริมความแข็งแกร่งแก่หัวเมืองท่ีอยู่ในตำ�แหน่ง สำ�คัญทางยุทธศาสตรจ์ ำ�นวนหน่ึง จัดการสายการบงั คบั บัญชาทาง ทหารใหม่ ตรวจสอบการขนึ้ ทะเบยี นไพรห่ ลวง และเตรยี มการคลอ้ ง ช้างเพิ่มขึ้นเพ่ือใช้ในกองทัพ ซ่ึงช้างเปรียบเสมือนรถถังหุ้มเกราะ ของกองทัพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคก่อนสมัยใหม่ ใน พ.ศ.  2098-99 (1555-56) และยังส่งกองกำ�ลังทางบกและทางเรือที่ แข็งแกร่งไปโจมตีเมืองละแวก เพื่อให้เขมรยอมสวามิภักด์ิ ไม่เข้า รุกรานหวั เมอื งทางตะวันออกของอยธุ ยา ความล่าช้าอย่างมากของพม่าในการโจมตีอยุธยาใน พ.ศ.  2092 (1549) มีเหตุไม่ใช่จากความแข็งแกร่งของสยามที่มีเพิ่มข้ึน แต่เป็นเพราะความวุ่นวายภายในพม่า ระหว่างการเสด็จกลับจาก อยุธยา พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ทรงด่ืมจัด และหาความสำ�ราญเกิน ขอบเขต กลายเปน็ คนเอาแตใ่ จและปกครองดว้ ยการใชอ้ ารมณท์ ไ่ี ม่ อยกู่ บั รอ่ งกบั รอย และในทา้ ยทสี่ ดุ ถกู ปลงพระชนมโ์ ดยขา้ ราชส�ำ นกั ชาวมอญ ซ่ึงเป็นพี่เขยของพระองค์ คือ พระเจ้าบุเรงนอง (ครอง ราชย์ พ.ศ. 2094-2124 (1551-81)) พระเจา้ บเุ รงนองสืบราชสมบตั ิ ตอ่ มาดว้ ยความเหนอื่ ยยาก เพราะตอ้ งปราบปรามกบฏหลายครงั้ ใน หม่พู ระญาติ และผรู้ ว่ มมือชาวมอญเปน็ อยา่ งแรก พระเจา้ บุเรงนอง พิสูจน์ว่า ทรงเป็นจอมทัพทบ่ี ัญชาการได้ดีกว่า และก้าวร้าวกว่าที่ พระเจา้ ตะเบงชะเวตเ้ี คยเป็น และพระเจ้าบเุ รงนองส่งกองทพั ขนาด ใหญ่ที่มีวินัยไปตีอังวะใน พ.ศ. 2098 (1555) เพียงเผชิญกับความ ยากล�ำ บากเลก็ นอ้ ยกเ็ อาชนะพมา่ ตอนเหนอื ได้ หลงั จากนนั้ ทรงท�ำ สงครามกบั รฐั ฉานในปลายทศวรรษ 1550 (2093-2102) และไดเ้ มอื ง 140 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

แสนหวีและเชียงตงุ เปน็ เมอื งประเทศราช การยดึ ครองเมอื งเหลา่ น้ี ได้ เปน็ การเพม่ิ พูนยิง่ กวา่ ชอื่ เสียงเกยี รติยศใหแ้ กพ่ ระเจา้ บเุ รงนอง นอกเหนอื จากไดบ้ รรณาการที่มคี ่า และก�ำ ลงั คนทีถ่ ูกกวาดต้อนมา แล้ว ยังทรงยึดครองเมืองสำ�คัญทางยุทธศาสตร์ ทั่วแถบทิศเหนือ ของโลกของคนไท-ไต ซ่ึงเท่ากับเพ่ิมแรงกดดันของพระองค์ต่อ อยธุ ยา เมื่อพระไชยเชษฐาละจากเชียงใหม่ไปเสวยราชย์ท่ีล้านช้าง ใน พ.ศ. 2091 (1548) ลา้ นนาจงึ ตกอยูใ่ นภาวะวุน่ วายภายใน และก็ อย่ใู นสภาพทีอ่ อ่ นแอมาก บรรดาเจ้านายตา่ งแขง่ กันแย่งชงิ บัลลังก์ กองก�ำ ลงั จากลา้ นชา้ งถกู สง่ มาทล่ี า้ นนาเพอื่ จดั ระเบยี บแบบแผนใหม่ และย�้ำ การอา้ งสทิ ธขิ องพระไชยเชษฐาในลา้ นนาใน พ.ศ. 2093 (1550) แตก่ ป็ ระสบความลม้ เหลว เมอื่ พระไชยเชษฐาไดต้ ดั สนิ พระทยั อยา่ ง ลงั เลทจ่ี ะสง่ มอบลา้ นนาใหพ้ ระชายาของพระองคท์ เี่ ชยี งใหมป่ กครอง ใน พ.ศ. 2094 (1551) บรรดาเจา้ นายแห่งอาณาจักรลา้ นนากลับยก เจ้ารัฐฉานแห่งเมืองนาย ผู้เป็นทายาทโดยตรงของพญามังรายข้ึน ครองราชย์ (*คอื พญาเมกฏุ ิ หรือ ทา้ วแม่กุ) ต่อมาพระอนุชาของ พญาเมกฏุ ซิ ง่ึ ปกครองอยทู่ เี่ มอื งนาย พยายามทจี่ ะยดึ ครองดนิ แดน แถบแมโ่ ขงของลา้ นนาดว้ ยความชว่ ยเหลอื ของเมอื งฝาง และใน พ.ศ.  2098 (1555) กย็ ดึ เชยี งรายและเชยี งแสนได้ แมว้ า่ จะถกู ตอ่ ตา้ นจาก ทงั้ กษตั รยิ ล์ า้ นนาและลา้ นชา้ ง เมอื่ เมอื งนายถกู กองทพั ของพระเจา้ บเุ รงนองรุกรานใน พ.ศ. 2100 (1557) นบั แต่แรกเลย กษัตริยล์ ้าน นากไ็ ม่อาจใหค้ วามช่วยเหลอื ตามการร้องขอของเจา้ เมอื งนาย พระ อนชุ าของพระองคไ์ ด้ อยา่ งไรกต็ าม พระเจา้ บเุ รงนองไมอ่ าจทนความ ย่ัวยวนของโอกาสท่ีทรงมี ในขณะท่ีเชียงใหม่กำ�ลังตกอยู่ในภาวะ ออ่ นแอ หลงั จากยดึ ครองเมอื งนายได้ พระเจา้ บเุ รงนองจงึ ยาตราทพั ไปยังเชียงใหม่อย่างรวดเร็ว และยึดเมืองได้โดยปราศจากการต่อสู้ 4 | อยุธยาและเพอ่ื นบ้าน 141

ใดๆ ในวนั ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2101 (1558) พญาเมกุฏิยงั คงได้ครอง บัลลังก์ล้านนาในฐานะเมืองประเทศราชของพม่า โดยมีกองกำ�ลัง ทหารพมา่ ควบคุมอยู่ ความพยายามของพระไชยเชษฐาทจี่ ะฟนื้ ฟสู ถานะของพระองค์ ในลา้ นนา ใน พ.ศ. 2101-02 (1558-59) ตอ้ งหมดสนิ้ ไป ทรงตระหนกั ได้ว่า ขณะน้ีล้านช้างไม่ได้เผชิญหน้ากับล้านนาที่อ่อนแอแล้ว แต่ เปน็ การคงอยขู่ องพมา่ ทท่ี รงอ�ำ นาจในดนิ แดนทางตะวนั ตกของลา้ น ช้าง ความเปน็ อิสระทลี่ ้านนามอี ย่ไู ดส้ ลายไปอย่างรวดเร็ว แรกสุด เม่ือพญาเมกุฏิทรงล้มเหลวในแผนการท่ีจะขับไล่พม่าออกไป จน ทส่ี ดุ ทรงถกู พมา่ ปลดออกจากบลั ลงั กใ์ น พ.ศ. 2107 (1564) และจาก น้ัน ล้านนากลายเป็นเพียงฐานทัพของกองทัพพม่าสำ�หรับการรุก คืบอยุธยาและล้านช้าง พร้อมกับการสิ้นสุดของราชวงศ์มังรายใน  พ.ศ. 2101-07 (1558-64) สมยั หนึง่ ของประวัติศาสตรข์ องกลุ่มคน ไท-ไตทางเหนอื กป็ ดิ ฉากลง นบั จากนลี้ า้ นนากไ็ มเ่ คยฟน้ื ตวั อกี เลย ในตอนนี้ ด้วยสถานะที่แข็งแกร่งของพม่าในทางตอนเหนือ ของอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองสามารถหันมาทำ�สงครามยืดเย้ือกับ พระมหาจักรพรรดิ ท้ังอยุธยาและล้านช้างมองเห็นอันตรายที่เพิ่ม ข้ึนจากการที่พม่ายึดครองล้านนาได้ อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของ อยุธยาและล้านช้างเป็นเชิงต้ังรับมากกว่ารุก พระไชยเชษฐาทรง ตระหนกั วา่ เมอื งหลวงทหี่ ลวงพระบางอยใู่ นสถานะทอ่ี าจเปน็ อนั ตราย ได้ พระไชยเชษฐาจงึ ทรงยา้ ยเมอื งหลวงไปยงั เวยี งจนั ใน พ.ศ. 2106 (1563) แม้ว่าเวียงจันจะอยู่ห่างไกลจากแหล่งทรัพยากรแหล่งใหญ่ แตก่ ็มเี สน้ ทางคมนาคมสดู่ ินแดนแม่น้ำ�โขงตอนกลางไดส้ ะดวกกวา่ และทรงเร่ิมสร้างเมืองให้แข็งแกร่งอย่างรวดเร็วด้วยการก่อกำ�แพง อฐิ พระไชยเชษฐายงั เสนอขอเปน็ ไมตรกี บั อยธุ ยา เพอื่ สรา้ งพนั ธมติ ร ดว้ ยการขออภเิ ษกกบั พระเทพกษตั รี พระราชธดิ าของพระมหาจกั ร 142 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

พรรดิท่ีประสูติแตพ่ ระศรีสุริโยทยั ผู้ทรงเครอื่ งทรงแบบชายออกรบ กับกองก�ำ ลงั พม่าทกี่ �ำ ลงั ล้อมกรงุ ศรอี ยธุ ยา เมอ่ื  พ.ศ. 2092 (1549) พระไชยเชษฐาสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างสมพระเกียรติมากกว่า ทพ่ี ระมหาจกั รพรรดปิ ฏบิ ตั ติ อ่ พระองค์ ดว้ ยการอา้ งวา่ พระเทพกษตั รี ประชวร และกษตั ริยส์ ยามก็พยายามยดั เยยี ด พระแกว้ ฟ้า (*พระ ธดิ าเกิดจากพระสนม) พระภคินขี องพระเทพกษัตรี ให้กับพระไชย เชษฐา ในระหว่างการเปน็ ไมตรดี ว้ ยการเก่ยี วดองกันท่ีละเอียดอ่อน น้ี พมา่ เขา้ รกุ รานสยามอยา่ งรวดเรว็ อกี ครง้ั คราวนขี้ า้ มมาทางเทอื ก เขาตะนาวศรี เพอื่ เขา้ สอู่ าณาจกั รสยามแถวใกลๆ้  ตาก ตเี มอื งตา่ งๆ  ได้อย่างง่ายดาย ได้กองกำ�ลังเสริมจากเชียงใหม่ลงมาตลอดแม่นำ้� ปงิ กองทหารของพระเจา้ บเุ รงนองยดึ หวั เมอื งทางเหนอื ของอาณาจกั ร อยธุ ยาไดอ้ ย่างรวดเรว็ ดว้ ยการใชก้ �ำ ลงั เพยี งเลก็ นอ้ ย และที่สำ�คัญ ยง่ิ กวา่ นน้ั ดเู หมอื นวา่ จะไดร้ บั การสนบั สนนุ จากผทู้ ที่ รงอ�ำ นาจภายใน ฝ่ายสยาม คอื พระมหาธรรมราชา พระมหาอปุ ราช หรือเจ้าเมือง พษิ ณโุ ลก พระมหาธรรมราชาทรงมีชาตกิ �ำ เนิดสูง และมีเครือขา่ ย สายสมั พนั ธท์ ดี่ ี พระมารดาเปน็ พระญาตขิ องพระไชยราชาธริ าช และ พระบิดาเป็นเชื้อสายของกษัตริย์สุโขทัย ในฐานะขุนนางรักษา พระราชวัง พระมหาธรรมราชาไดเ้ ป็นผนู้ �ำ ในการคบคดิ ท่ีจะนำ�พระ มหาจักรพรรดขิ น้ึ ครองบัลลงั กใ์ น พ.ศ. 2091 (1548) จงึ ไดร้ ับรางวัล ด้วยการพระราชทานพระราชธิดาองค์โตของพระมหาจักรพรรดิ กษัตรยิ ์องคใ์ หม่ ใหเ้ สกสมรส และได้รบั บรรดาศกั ด์ิในฐานะเสมือน พระมหาอปุ ราชแหง่ หวั เมอื งทางเหนอื โดยมฐี านอยทู่ พ่ี ษิ ณโุ ลก ดว้ ย การสบื เชอื้ สายราชวงศส์ ุโขทัย และอาจจะดว้ ยความมกั ใหญใ่ ฝส่ ูงท่ี ยังไม่สมหวัง จึงเกิดความกังขากันเกี่ยวกับการยอมอ่อนน้อมของ พระมหาธรรมราชาที่จะตกอยู่ในเง้ือมมือพม่า ครั้งแรกในสงคราม 4 | อยุธยาและเพอ่ื นบา้ น 143

(*เสยี พระศรสี รุ โิ ยทยั ) เมอื่  พ.ศ. 2092 (1549) และในครง้ั น้ี (*สงคราม ชา้ งเผอื ก) พ.ศ. 2107 (1564) การสญู เสียหัวเมืองทางเหนอื ภายใน เวลารวดเรว็ ใหแ้ กพ่ มา่ และเผชญิ หนา้ กบั กองก�ำ ลงั พมา่ ทเี่ หนอื กวา่ อยา่ งมาก พระมหาจกั รพรรดจิ งึ ตอ้ งยอมรบั ขอ้ เรยี กรอ้ งของพระเจา้ บุเรงนองท่ีใหพ้ ระองคถ์ วายสตั ย์เป็นพันธมติ ร และสง่ พระราชโอรส คือ พระราเมศวรเปน็ องค์ประกนั ไม่ว่าพระมหาจักรพรรดิจะไม่พอใจคำ�ทูลขอพระเทพกษัตรี ของพระไชยเชษฐาในปที ่ีผ่านมามากเพียงไร แตต่ อนนท้ี รงยอมรับ และเตรียมการส่งพระเทพกษัตรไี ปยงั เวยี งจัน ด้วยขบวนยศขนาด ใหญแ่ ละทรงเกยี รติ พระมหาธรรมราชาแหง่ พษิ ณโุ ลกรบี เคลอ่ื นไหว อย่างรวดเร็ว เพ่ือท�ำ ลายส่งิ ที่อาจนำ�ไปสูก่ ารเป็นพนั ธมิตรที่ใกลช้ ิด ระหว่างอยุธยากับล้านช้าง พระมหาธรรมราชาจึงส่งข่าวให้พม่ารู้ เสน้ ทางการเดนิ ทางของพระเทพกษตั รี และกองก�ำ ลงั พมา่ ขนาดเลก็ จงึ ซมุ่ โจมตขี บวนของพระเทพกษตั รที เ่ี พชรบรู ณ์ และน�ำ พระนางไป พมา่ พระไชยเชษฐาทั้งอบั อายและเกร้ยี วโกรธ ทรงสง่ กองกำ�ลังไป โจมตีพษิ ณุโลกดว้ ยการสนับสนุนของพระมหาจกั รพรรดิ ท่ที รงเรมิ่ หมดความอดทนตอ่ พระมหาธรรมราชา ผเู้ ปน็ ราชบตุ รเขย และเพราะ ไดร้ บั ค�ำ สญั ญาจากพระไชยเชษฐาทจ่ี ะชว่ ยโจมตพี ระมหาธรรมราชา ด้วย อย่างไรก็ตาม พระมหาธรรมราชาทรงเดินหมากเหนือกว่าทั้ง คู่ ด้วยการเรียกกองทัพพม่ามาช่วย และหลอกศัตรูท้ังสองให้ถอน ทัพ พมา่ จงึ ส่งกองทพั ไปโจมตีเวียงจนั พม่าเข้าลอ้ มเมอื ง และจาก น้ันหักเข้าเมืองได้ แต่พบว่าพระไชยเชษฐาได้เสด็จหนีไป และซุ่ม โจมตีกองกำ�ลังพมา่ และตัดทางลำ�เลยี งเสบยี งในเดอื นตอ่ ๆ มา จน กระทั่งในกลาง พ.ศ. 2108 (1565) พมา่ เลิกตอ่ สู้ และถอนทัพกลบั พม่า โลกของคนไท-ไตในขณะนตี้ กอยใู่ นความวนุ่ วาย พระมหาจกั ร 144 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

พรรดิแห่งราชอาณาจักรอยุธยาได้ถูกหลู่พระเกียรติ ทรงถูกบังคับ ให้ยอมแพต้ ่อพม่า หมดโอกาสที่จะสร้างพนั ธมติ รกบั ล้านชา้ ง และ ยงั ไมส่ ามารถควบคมุ พระมหาธรรมราชาแหง่ พษิ ณโุ ลกได้ กลมุ่ กบฏ มลายจู ากปตั ตานี (*สุลต่านมซุ าฟาร์ ชาฮ) ยังได้เขา้ ยึดพระราชวงั ไดส้ �ำ เรจ็ ชวั่ เวลาสน้ั ๆ หลงั จากความพา่ ยแพข้ องพระมหาจกั รพรรดิ ใน พ.ศ. 2107 (1564) ในปเี ดยี วกนั นน้ั ทเี่ ชยี งใหม่ กษตั รยิ เ์ ชยี งใหม่ (*พญาเมกฏุ )ิ และเจา้ เมอื งเชียงแสน ร่วมกันวางแผนต่อตา้ นพมา่ แต่ถกู จบั ส่งไปพม่าท้งั สองพระองค์ พมา่ แต่งตัง้ ผ้ปู กครององค์ใหม่ คอื พระนางวสิ ทุ ธิเทวี (*เช้ือสายราชวงศม์ งั ราย) (ครองราชย ์ พ.ศ.  2107-2121 (1564-78)) พระนางไร้อ�ำ นาจใดๆ แต่ตกอยใู่ นเง้ือมมือ ของพมา่ ไมส่ ามารถแมก้ ระทง่ั ปอ้ งกนั เมอื งหลวงจากการโจมตีของ กลมุ่ กบฏรฐั ฉานใน พ.ศ. 2109 (1566) ซงึ่ สง่ ผลใหห้ วั เมอื งทางเหนอื ตกอยู่ในภาวะโกลาหลวนุ่ วายและสภาพอดอยากถึงสามปี พระไชย เชษฐาแห่งล้านชา้ ง สูญเสยี นอ้ ยที่สดุ จากฝมี ือพม่า แต่พระองค์กม็ ี อะไรใหเ้ สยี นอ้ ยกวา่ น้ี อยา่ งนอ้ ยเวยี งจนั กร็ อดพน้ จากความพยายาม ของพมา่ ทจี่ ะเขา้ ยดึ ครองครง้ั แรก โดยไมเ่ กดิ ความเสยี หายใหญห่ ลวง พระองคท์ รงเรม่ิ สรา้ งขวญั ก�ำ ลงั ใจใหก้ บั ราษฎร และสรา้ งอตั ลกั ษณ์ ทางการเมือง โดยอปุ ถมั ภ์การก่อสร้างหรือบรู ณะวดั ในพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การสรา้ งพระธาตหุ ลวงทย่ี ง่ิ ใหญใ่ นเวยี งจนั และ บูรณะพระธาตพุ นมอนั เก่าแก่ทางด้านใตข้ องนครพนม ในความพยายามของพระมหาจกั รพรรดทิ จ่ี ะรวบรวมอาณาจกั ร ขณะทเี่ ผชญิ ภัยคกุ คามจากพมา่ ใน พ.ศ. 2111 (1568) พระมหาจกั ร พรรดทิ รงฉวยโอกาสในขณะทพ่ี ระมหาธรรมราชาไปเฝา้ พระเจา้ บเุ รง นองในพมา่ พยายามตเี มอื งเหนอื คนื ทรงเขา้ ยดึ พษิ ณโุ ลกได้ แตไ่ ม่ อาจยึดกำ�แพงเพชรได้ ก็ต้องถอยกลับราชธานี ท้ายท่ีสุดในปลาย  พ.ศ. 2111 (1568) พม่าระดมโจมตอี ยุธยาครงั้ สุดทา้ ย ดว้ ยกองทัพ 4 | อยธุ ยาและเพอื่ นบ้าน 145

ขนาดใหญม่ หาศาล ประกอบดว้ ยแรงงานเกณฑช์ าวมอญ ไตใหญ่ ไตล้ือ ลาว และลา้ นนา พระเจ้าบเุ รงนองยาตรามาถงึ อยธุ ยา ผา่ น ตากและกำ�แพงเพชร สมทบกับกองกำ�ลังของพระมหาธรรมราชา จากหวั เมอื งทางเหนอื ความพยายามของพระมหาจกั รพรรดิ ในการ รวบรวมไพรพ่ ลเพอื่ การปอ้ งกนั พระนครนน้ั ทรงขาดความกระตอื รอื รน้ หรอื อาจทรงขาดความเชื่อมั่นในภาวะผ้นู �ำ ของพระองคเ์ อง ก็ให้ขับพลเมืองนอกเมืองทั้งปวงเข้าพระนคร และไดแ้ ตใ่ นแขวงจงั หวดั ซง่ึ อยใู่ กลพ้ ระนครทงั้ สแี่ ขวง นนั้ ประมาณสว่ นหนง่ึ และซง่ึ มไิ ดเ้ ขา้ มานนั้ ออกอยปู่ า่ เป็นอันมาก อนึ่งพลเมืองเล็กน้อยท้ังปวงมิได้เข้า พระนครและออกอยู่ปา่ มาก ไดแ้ ตต่ ัวเจา้ เมอื งและพล ส�ำ หรบั เจ้าเมอื งน้นั เข้าพระนคร10 พระมหาจักรพรรดิซ่ึงตอนน้ีอยู่ในวัยชรา และขาดกำ�ลังใจ ทรงประชวรและสวรรคตในปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2112 (1569) พระราชโอรส คอื พระมหนิ ทราธริ าชสบื ทอดราชบลั ลงั ก์ ขณะทพ่ี มา่ วางวงลอ้ มทหี่ นาแนน่ รอบเมอื ง พระมหนิ ทราธิราชแสดงใหเ้ หน็ ว่า ทรงเปน็ ผู้นำ�ทีไ่ มม่ คี วามสามารถ ทรงปลอ่ ยใหก้ ารปอ้ งกนั เมืองอยู่ ในมือบรรดาเสนาบดี หลายเดือนหลงั จากฤดแู ล้งผ่านไปอย่างช้าๆ  ขณะทท่ี ั้งสองฝ่ายยิงปนื ใหญเ่ ข้าใสก่ นั และกนั แรกสุดพมา่ ขุดสนาม เพลาะ เพื่อทำ�ทางเข้าสู่คลองที่ขุดรอบกรุง และจากนั้นเร่ิมสร้าง สะพานขา้ มแมน่ �้ำ ดว้ ยการน�ำ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพและการตอ่ ตา้ นทเี่ ดด็ ขาด พวกสยามคงสามารถตา้ นทานพมา่ ไวไ้ ดอ้ กี ปี ในทสี่ ดุ พมา่ กลมุ่ หนึ่งหาทางเข้าสู่ตัวเมืองได้ด้วยเล่ห์กล โดยได้รับความช่วยเหลือ จากขุนนางสยามผทู้ รยศ (*เจา้ พระยาจกั รี)* และกรงุ แตกในวันท่ี 8 146 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

สิงหาคม พ.ศ. 2112 (1569) พระเจ้าบุเรงนองทรงแต่งตั้งพระมหา ธรรมราชาผสู้ วามภิ กั ดเิ์ ปน็ กษตั รยิ อ์ ยธุ ยา อยใู่ นฐานะเมอื งประเทศราช ของพม่า และเดนิ ทางกลับหงสาวดี พร้อมกับพระมหินทราธริ าช ผู้ อับโชค ซงึ่ ได้สวรรคตระหวา่ งการเดินทาง บรรดาคู่แข่งในกลุ่มคนไท-ไตท่ีสำ�คัญของพระเจ้าบุเรงนอง ตอนนม้ี เี พยี งพระไชยเชษฐาเทา่ นน้ั ยงั คงอยใู่ นอ�ำ นาจดว้ ยการรอ้ งขอ จากพระมหินทราธิราชในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2112 (1569) ล้าน ชา้ งไดส้ ง่ กองทพั มาช่วยอยธุ ยา แต่กองทหารเหลา่ น้ีถูกตีแตกพ่าย ในบริเวณลุ่มนำ้�ป่าสัก ที่เพชรบูรณ์ ก่อนที่จะเดินทัพมาถึงอยุธยา ดว้ ยซ�้ำ จากนนั้ พระเจา้ บเุ รงนองทรงสง่ กองก�ำ ลงั ไปโจมตเี วยี งจนั ใน ปลายปนี น้ั แตอ่ กี ครง้ั หนงึ่ ถงึ แมว้ า่ ทพั พมา่ จะยดึ ครองเมอื งเวยี งจนั ไดเ้ ปน็ เวลาสนั้ ๆ แตพ่ ระไชยเชษฐาทรงหลบหนไี ปได้ และทรงตงั้ ทพั ซมุ่ โจมตกี องทพั พมา่ จนเปน็ เหตใุ หพ้ มา่ ตอ้ งถอยทพั ในเดอื นเมษายน  พ.ศ. 2113 (1570) บทบาทอนั แขง็ ขนั ของพระไชยเชษฐาในการเมอื ง ระหวา่ งประเทศของโลกคนไท-ไต เรมิ่ จากการมสี ว่ นรว่ มกบั เชยี งใหม่ ในตอนต้นของรัชสมยั ของพระองค์ จนถงึ การแทรกแซงในสงคราม ระหวา่ งพมา่ และอยธุ ยา ไดท้ �ำ ใหม้ กี ารใชท้ รพั ยากรและก�ำ ลงั คนของ อาณาจกั รลาวอยา่ งมาก นอกจากนก้ี ารยา้ ยเมอื งหลวงของลา้ นชา้ ง จากหลวงพระบางไปเวียงจัน อาจไปกระตุ้นความโกรธข้ึงในเหล่า ผู้นำ�ท้องถิ่น และผู้นำ�เมืองต่างๆ ในท่ีราบลุ่มแม่นำ้�โขงตอนกลาง หน่ึงในน้ันคือ เจ้าเมืองนครพนม ใน พ.ศ. 2113 (1570) ได้ลอ่ พระ ไชยเชษฐาให้รบกับพวกชาวเขาในด้านใต้สดุ ของลาว (*แขวงอัตตะ ปอื ) ซงึ่ ในระหวา่ งการรบน้ี พระองคท์ รงหายตวั ไปเฉยๆ ภาวะเสมอื น สงครามกลางเมอื งเกดิ ตามมา เน่ืองด้วยเรอ่ื งการสืบราชสมบตั ิ ซ่งึ จบลงด้วยการท่ีพม่าเข้ารุกรานเวียงจันอีกคร้ังหน่ึง คราวนี้พม่ายึด ไดท้ งั้ เมอื งและบรรดาเจา้ นาย ใน พ.ศ. 2117 (1574) และทงั้ ผสู้ ถาปนา 4 | อยุธยาและเพอ่ื นบ้าน 147

ตนเองเปน็ กษตั รยิ ์ และรชั ทายาทวยั ทารกของพระไชยเชษฐาถกู น�ำ ไปจองจ�ำ ในพมา่ ตอนนพี้ ระเจา้ บเุ รงนองแหง่ หงสาวดี ทรงมอี �ำ นาจ นบั จากยะไขแ่ ละมณปี รุ ะ ไปจนถงึ พรมแดนเวยี ดนาม อาณาบรเิ วณ แหง่ นเี้ คยมกี ษตั รยิ ถ์ งึ สามพระองค์ ลว้ นสถาปนาตนเปน็ “จกั รพรรดิ ราช” ใน พ.ศ. 2091 (1548) (ทง้ั พระมหาจกั รพรรดิแหง่ อยธุ ยา และ พระไชยเชษฐาแห่งล้านนาและล้านช้าง ซึ่งรวมเมืองดังกล่าวไว้ใน พระนามของพระองค)์ ขณะนเ้ี หลอื เพยี งหนง่ึ พระองคเ์ ทา่ นนั้ คอื พระ เจา้ บเุ รงนองซง่ึ ทรงประสบความส�ำ เรจ็ ในสง่ิ ทจี่ กั รพรรดริ าชพระองค์ อื่นทำ�ล้มเหลว ในการสร้างความเป็นจริงแก่เอกภาพของโลกคน ไท-ไต เอกภาพแห่งจักรวรรดิของพระเจ้าบุเรงนองไม่ใช่สิ่งท่ีชาว สยาม ลาว ไตยวน หรือไตใหญ่อาจจะยอมรับได้ เพราะส่ิงน้ีไม่ สอดคลอ้ งกบั ความรสู้ กึ เรอื่ งอตั ลกั ษณเ์ ฉพาะ ซงึ่ ไดพ้ ฒั นาในอาณาจกั ร ไท-ไตทงั้ หลาย ตลอดสองศตวรรษทผ่ี า่ นมา ในทที่ พี่ ระมหาจกั รพรรดิ และพระไชยเชษฐาได้ต่อสู้ เพื่อความเป็นผู้นำ�ทางจิตใจของเหล่า พลเมืองของพระองค์ แสดงออกผ่านพิธีกรรมทางพุทธศาสนาท่ี เก่ียวข้องกับราษฎร และพยายามที่จะสร้างสถาบันท่ีมีระเบียบ แบบแผน ส�ำ หรบั การใชช้ วี ติ อยา่ งสงบสขุ แตพ่ ระเจา้ บเุ รงนองท�ำ ให้ เกิดเพียงแค่ระเบียบของการบังคับบัญชา และการบังคับให้เชื่อฟัง เพียงหยาบๆ และส�ำ เร็จรูป ซง่ึ เหลา่ ผคู้ นทน่ี �ำ มาเปน็ พวก ทคี่ นไท- ไตมองว่า เป็นทหารต่างชาติที่หยาบช้า ตลอดหลายทศวรรษของ สงคราม พวกพมา่ กอ่ ความทกุ ขเ์ ขญ็ และการท�ำ ลายลา้ งอยา่ งมหาศาล พงศาวดารอยธุ ยาเขยี นบรรยายอยา่ งมชี วี ติ ชวี า ถงึ เรอ่ื งเกยี รตศิ กั ดิ์ ที่ขมข่นื ของสงคราม สมเดจ็ พระเจา้ หงสาวดกี ย็ กพยหุ โยธาทวยหาญ 148 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ออกตงั้ ยงั ทอ้ งทงุ่ ตรงหนา้ ทพั สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ ห่างกันประมาณ ๑๐๐ เสน้ เสดจ็ ยนื พระคชาธารคอย ฤกษ์ จงึ่ ตรสั ใหพ้ ลมา้ ร�ำ ทวนชกั ชงิ กลองกนั ไป ใหเ้ ทา้ เรงิ หนา้ ทพั ฝ่ายพล… เต้นรำ�ร้องเฮฮาเปน็ โกลาหล ฝา่ ยพลดาบดง้ั ดาบสองมอื กร็ �ำ ลอ่ เลยี้ วกนั ไปมา ขณะ น้นั สมเดจ็ พระเจ้าหงสาวดที อดพระเนตรดูบนอากาศ เหน็ พระอาทติ ยแ์ จม่ ดวงหมดเมฆหมอกแลว้ คชฌิ ราช บินนำ�หนา้ ทพั คร้ันเห็นศภุ นมิ ติ ราชฤกษด์ งั นัน้ กใ็ ห้ ล่ันฆ้องชัยอุโฆษแตรสังข์อึงอินทเภรีข้ึนพร้อมกัน ก็ ตรสั ใหข้ บั พลเขา้ โจมทพั สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ ฝา่ ย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิดำ�รัสให้แยกพลเป็นปีกกา พลโยธาทั้งสองฝ่าย บ้างแห่โห่โกลาหล เข้าปะทะ ประจันตแี ยง้ ยุทธ ยิงปนื ระดมศสั ตราธมุ าการตลบไป ท้ังอากาศ พลทั้งสองฝ่ายบ้างตายบ้างลำ�บาก กล้ิง กลาดเกลื่อนท้องทุ่งเป็นอันมาก11 จำ�นวนผ้คู นที่ได้รบั ผลกระทบ และการสญู เสยี ทรัพยส์ ินและ วิถีชีวิตน้ันมีมหาศาล และการเรียกร้องทั้งโดยฝ่ายตั้งรับที่สิ้นหวัง และฝา่ ยยดึ ครองทรี่ กุ หนกั กเ็ ปน็ ภาระใหญห่ ลวง คนจ�ำ นวนมาก เชน่ พวกท่ีหนีเข้าไปในป่าเขา เม่ือรู้ว่าสงครามกำ�ลังมาถึง หรือคนเช่น พระมหาธรรมราชา ผู้ลู่ตามลม ล้วนแต่วางยุทธศาสตร์ขั้นพ้ืนฐาน สำ�หรับตนเอง ในการทำ�อะไรก็ตามที่จำ�เป็นเพื่อใหอ้ ยู่รอด ท�ำ ไมกองทพั ของพระเจา้ บเุ รงนองจงึ ประสบความส�ำ เรจ็ คอ่ น ขา้ งงา่ ยดาย ท�ำ ไมสถาบนั และรฐั ของคนไท-ไตซงึ่ พฒั นามากวา่ สอง ศตวรรษจงึ ลม่ สลายอย่างรวดเร็ว ในบรรดาการสร้างสถาบันของผู้นำ�คนไท-ไตรุ่นแล้วรุ่นเล่า 4 | อยุธยาและเพอื่ นบ้าน 149

กษัตริย์ในกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 16 ยังคงทั้งสถาปนาและสูญเสีย อ�ำ นาจของพระองค์ บนฐานพรี ะมดิ ของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล ในทกุ ชว่ งเวลาทสี่ �ำ คญั ยง่ิ ของประวตั ศิ าสตรส์ มยั นมี้ กี ารแบง่ แยกกนั ภายในชนชนั้ น�ำ ของรฐั ไท-ไต ซง่ึ ดดู กลนื ความแขง็ แกรง่ ของรฐั เหลา่ นี้ ไม่ว่าอยุธยา ล้านนา หรือล้านช้าง ก็ไม่อาจที่จะกระตุ้นให้เกิด ความมนั่ คงในความจงรกั ภกั ดอี ยา่ งกวา้ งขวางตอ่ กษตั รยิ แ์ ละอาณาจกั ร ซึ่งไกลกว่าความผูกพันส่วนตัวรอบกลุ่มคนและฝักฝ่ายที่ก่อตัวขึ้น สายสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความใกลช้ ดิ ทางกายภาพ หรอื การเชอื่ มโยงใน แผนการร่วมที่ถูกผนึกโดยการแต่งงานหรือเครือญาติ หรือการรับ ผดิ ชอบตอ่ กนั กษตั รยิ ป์ กครองผา่ นกลมุ่ สหายคนสนทิ และพนั ธมติ ร ซง่ึ ชว่ ยสนบั สนนุ พระองคใ์ นการขนึ้ ครองบลั ลงั ก์ หรอื ทพี่ ระองคต์ อ้ ง พง่ึ พาในภาวะลอ่ แหลมยามสงครามใกลต้ วั ตวั อยา่ งของความสมั พนั ธ์ เช่นน้ันคือ ระหว่างพระมหาจักรพรรดิและพระมหาธรรมราชาก่อน  พ.ศ. 2107 (1564) หรอื ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพระไชยเชษฐาและพระ ปัญญาแสนสุริน (*พระยาแสนสุรินทร์ลือชัย) ผู้สืบทอดอำ�นาจต่อ จากพระองค์ ในฐานะผูส้ �ำ เร็จราชการของรชั ทายาทวยั ทารก (*พระ หน่อแกว้ กมุ าร) ของพระไชยเชษฐาใน พ.ศ. 2114 (1571) ความเปน็ น�้ำ หนง่ึ ใจเดยี วและภาวะผนู้ �ำ ทปี่ ระสบความส�ำ เรจ็ ของบคุ คลเหลา่ นี้ เทา่ น้นั สามารถควบคุมฝา่ ยต่างๆ ในราชส�ำ นกั และหวั เมอื งได้ สงิ่ ทน่ี ำ�ไปสคู่ วามไรเ้ สถียรภาพของราชสำ�นัก และการเมอื ง แบบราชวงศ์ของอาณาจักรใหญ่ท้ังหลายในศตวรรษเหล่าน้ี คือ ปญั หาทีถ่ าวรเร่ืองการควบคมุ ก�ำ ลังคน การแก้ปญั หานที้ ม่ี กั ทำ�กนั ในล้านนา และล้านช้าง ยังคงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว ระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของ การบริหารราชการน้ี หมายความว่าผู้นำ�ไตยวนและลาวพ่ึงพาเจ้า และผู้ปกครองทอ้ งถิน่ อยา่ งมาก สำ�หรบั การจดั หาแรงงาน ซึ่งเปน็ 150 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

สง่ิ เดยี วทส่ี ามารถปอ้ งกนั รฐั ของพวกตนจากพมา่ ได้ พวกไตใหญไ่ ม่ เคยแก้ปัญหาน้ไี ด้เลย และความพยายามของกษัตรยิ ล์ าวทจี่ ะสยบ เจ้าและผู้ปกครองท้องถ่ินมักจะพบกับความล้มเหลว ในศตวรรษที่ ผา่ นมา กษตั ริยอ์ ยุธยาโดยพระบรมไตรโลกนาถ พยายามจะสร้าง ระบบการควบคมุ ก�ำ ลงั คน ผา่ นการแตง่ ตงั้ ขนุ นางจากเมอื งหลวง ให้ รบั ผดิ ชอบการเกณทไ์ พร่ทงั้ หมด เพอื่ นำ�ไปใชเ้ ปน็ แรงงานและเป็น ทหาร แต่วิถีทางของระบบบริหารราชการสำ�หรับแก้ปัญหาเช่นน้ี สามารถดำ�เนินไปได้ก็ต่อเม่ือกษัตริย์สามารถม่ันใจในความจงรัก ภักดีของขุนนางช้ันสูงได้ท้ังหมด ในตอนต้นของการปกครองของ ราชวงศ์ กลุ่มขุนนางจะประกอบด้วยสหายสนิทและเป็นพันธมิตร ของกษตั รยิ อ์ งคใ์ หม่ แตเ่ มอ่ื ผา่ นไปหลายรชั กาล ความสมั พนั ธส์ ว่ น บุคคลทีใ่ กลช้ ดิ ระหวา่ งขนุ นางที่ทรงอำ�นาจและม่ังค่ัง กับกษตั รยิ ท์ ี่ สืบสายเลือดน้นั ไดส้ ญู เสยี ไปจากท่เี คยมีเมอ่ื เร่มิ ตน้ ไปพอควร จน กระทั่งในที่สุด ฝ่ายหนึ่งหรือมากกว่าน้ันภายในกลุ่มขุนนาง จะ รวบรวมกำ�ลังคนและทรัพยากรท่ีจำ�เป็นเพื่อกำ�จัดกษัตริย์ และเร่ิม ตน้ วงจรใหมด่ ว้ ยราชวงศใ์ หม่ กระบวนการสลายตวั ของความผกู พนั ทางสถาบันเช่นนี้ภายในอยุธยา ได้มาถึงข้ันก้าวหน้าในทศวรรษ 1560 (2103-2112) ในทางปฏิบัติ พระมหาธรรมราชาทรงปกครอง พษิ ณโุ ลกอยา่ งเปน็ อสิ ระ และ “มเี พยี งเหลา่ ผปู้ กครองหวั เมอื ง และ กองทหารสว่ นตวั ของพวกเขาเทา่ นน้ั ” หรอื ขา้ รบั ใชท้ ไี่ ดเ้ ขา้ มาภายใน ก�ำ แพงเมอื งกรงุ ศรอี ยธุ ยา เพอ่ื ปอ้ งกนั เมอื งเปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ยใน พ.ศ.  2112 (1569)12 4 | อยุธยาและเพื่อนบ้าน 151

เชิงอรรถ *.ปีคริสต์ศักราชของการก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาตรงกับ ค.ศ. 1351 เพราะ ระบบครสิ ตศ์ กั ราชนบั การเปลย่ี นศกั ราชใหมใ่ นเดอื นมกราคม ซง่ึ เมอ่ื เทยี บเปน็ พทุ ธศกั ราช โดยใชเ้ ลข 542 บวก นา่ จะเปน็  พ.ศ. 1894 แตท่ ย่ี งั เปน็  พ.ศ. 1893 เพราะก่อน พ.ศ. 2482 สยามนบั การเปล่ียนศกั ราชใหม่ในวนั ท่ี 1 เมษายน ดัง นน้ั เดือนทก่ี อ่ ตั้งกรงุ แมป้ ัจจุบันยงั ไม่มีข้อยุตวิ า่ มีนาคม หรอื เมษายน แต่ก็ ยงั ถอื ว่าอยใู่ นปลายปี พ.ศ. 1893 (บรรณาธิการ) 1. Paul Pelliot, trans., Memoirs sure les coutumes du Cambodge de Tcheou Ta-Kouan, Oeuvres posthumes de Paul Pelliot, vol. 3 (Paris, 1951), pp. 32, 34. 2. Pelliot, Memoirs, p. 30; translation from J. Gilman d’Arcy Paul, Notes on the Customs of Cambodia by Chou Ta-kuan (Bangkok, 1967), p. 37. 3. Richard D. Cushman, trans., The Royal Chronicles of Ayutthaya (Bangkok, 2000), p. 10. ชาวตะวันตกทั้งหมดท่ีเขียนประวัติศาสตรอ์ ยุธยา บันทึกวันเวลาการก่อต้ังอยุธยาท่ี ค.ศ. 1350 เอกสารสยามทั้งหมด ระบุปี จลุ ศกั ราช 712 ปีซ่งึ เรมิ่ วันที่ 28 มนี าคม ค.ศ. 1350 และสน้ิ สดุ ลงวันท่ี 27 มีนาคม ค.ศ. 1351 เทา่ กับป ี จ.ศ. 712 เรม่ิ ในวนั แรม 4 ค่ำ� เดอื น 5 ดงั น้ัน (*ที่ พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาระบวุ นั ก่อต้ังอยุธยาว่า วันขึ้น 6 ค่ำ� เดอื น 5 จ.ศ. 712 น้นั ) วนั ขน้ึ 6 ค่�ำ เดอื น 5 ไม่มใี นปนี น้ั แตม่ าปรากฏวา่ ตรงกับวัน ท่ี 4 มนี าคม ค.ศ. 1351 4. Jeremias van Vliet, The Short History of the Kings of Siam, trans. Leonard Andaya (Bangkok, 1975), p. 61. 5. Ibid. 6. Ibid., p. 63. 7. A.B. Griswold and Prasert na Nagara, “A Declaration of Independence and Its Consequences: Epigraphic and Historical Studies, no. 1,” JSS 56, pt.2 (July 1968): 207-49. 152 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป

8. Chiang Mai Chronicle (2nd ed.), p. 114. 9. G.E. Harvey, History of Burma (London, 1925; reprint, 1967), p. 106. 10. Cushman, Royal Chronicles, p. 60. 11. Ibid., pp. 33-34. 12. Ibid., p. 60. 4 | อยุธยาและเพื่อนบา้ น 153



บทที่ 5 พรา.ศชอ. 2าณ11า2จ-ัก2ร3อ1ย0ุธ(ย1า569-1767) เมอื่ กองทพั พมา่ เขา้ ยดึ และปลน้ สะดม อาณาจกั รส�ำ คญั ทงั้ หมด ของคนไท-ไตระหวา่ ง พ.ศ. 2101-2112 (1558-1569) นนั้ พมา่ ไดท้ งิ้ ให้พ้ืนท่ีจำ�นวนมากต้องร้างผู้คน และไม่นานนัก พ้ืนท่ีเหล่าน้ันก็ ปกคลมุ ดว้ ยไมเ้ ลอื้ ยและวชั พชื เสน้ ทางทเ่ี คยมผี คู้ นสญั จรกลบั มพี ชื พรรณขน้ึ ปกคลมุ ซงึ่ สะทอ้ นถงึ การหยดุ ชะงกั ของสถาบนั ทางสงั คม และวัฒนธรรม อยา่ งไรก็ดี ภายในสองสามทศวรรษ ความเสียหาย ทเี่ กดิ ขนึ้ นก้ี ไ็ ดร้ บั การฟน้ื ฟู และมกี ารวางรากฐานใหมส่ �ำ หรบั ยคุ ทอง แหง่ อ�ำ นาจและความรงุ่ โรจนค์ รง้ั ใหมท่ กี่ �ำ ลงั จะมาถงึ กระนน้ั ในครงั้ น้ีโลกของคนไท-ไตท้ังหมดก็ไม่ได้พัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน โดย เฉพาะอย่างยง่ิ ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 17 ระบบทแ่ี ตกตา่ งระหว่างการ ปกครองทเี่ ปน็ สากลทม่ี ศี นู ยก์ ลางอยทู่ กี่ รงุ ศรอี ยธุ ยา และอาณาจกั ร อน่ื ๆ ทเ่ี ลก็ กวา่ และแควน้ ตา่ งๆ ทอี่ ยภู่ ายในภาคพน้ื ทวปี เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ไดข้ ยายตัวอย่างรวดเร็ว

การจดั ตงั้ กองทหารทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพเปน็ ส่งิ ท่สี �ำ คญั อยา่ งย่งิ ส�ำ หรบั การอยรู่ อด การทา้ ทายอ�ำ นาจของพมา่ นนั้ แขง็ แกรง่ มากพอ ทจี่ ะเรง่ ใหเ้ กดิ การจดั ตงั้ กองทหารอยา่ งรวดเรว็ อกี ทงั้ พมา่ ยงั อยไู่ กล มากพอ และยังไม่ได้เข้าควบคุมดินแดนแถบนี้อย่างต่อเน่ืองด้วย จึงทำ�ให้ท้ังอยุธยาและล้านช้างมีเวลาท่ีจะรวบรวมทรัพยากรที่ กระจดั กระจายอยู่ และพฒั นาความเป็นผนู้ �ำ ขึ้นใหม่ แต่อกี สองรอ้ ย ปีตอ่ มา ในทศวรรษท่ี 1760 (2303-2312) โลกของคนไท-ไตก็ต้อง สญู เสยี แกก่ องทพั พมา่ อกี ครงั้ แตไ่ มใ่ ชเ่ พราะอยธุ ยาและลา้ นชา้ งไม่ พัฒนาตนเอง ตรงกันข้าม ท้ังสองรัฐได้พัฒนาและเติบโตข้ึน และ ผ่านประสบการณ์แห่งยุคทองซ่ึงชนรุ่นหลังจะจดจำ�ด้วยความภาค ภูมิใจ อย่างไรก็ดี ทั้งสองรัฐนี้ก็พัฒนาแตกต่างกัน รัฐท่ีมีลักษณะ เฉพาะในโลกของคนไท-ไต คือ ราชอาณาจักรอยุธยา ซึ่งได้ผ่าน การเปลี่ยนแปลงทางสังคมท่ีทำ�ให้กลุ่มขุนนางมีหลากหลายชาติ ภาษา มากกว่าของลาวและไตยวนที่เคียงคู่กันมา ซึ่งได้ทำ�ให้คน เหล่านเ้ี ป็นแกนกลางของกลมุ่ อิทธพิ ลระดับชาติทเี ดยี ว อยธุ ยา พม่า และชาวตะวันตก ยากทจี่ ะจนิ ตนาการวา่ ประวตั ศิ าสตรข์ องราชอาณาจกั รอยธุ ยา จะคงเป็นเช่นเดิมได้ หากไม่มีพระนเรศวร เพราะทรงเป็นบุคคลท่ี ไม่มีใครเสมอเหมือน ในประวัติศาสตร์ของสยาม ทรงมีความเป็น ผ้นู ำ� เปน็ ผกู้ ลา้ หาญ และมีอุปนสิ ยั เด็ดขาด ทรงประสบความสำ�เร็จ ในพระราชภารกจิ ทต่ี อ้ งอาศยั ความกลา้ หาญ ทค่ี นอนื่ คดิ วา่ เปน็ งาน ทย่ี ากล�ำ บากเกินกวา่ จะท�ำ ได้ ความแตกต่างท่ีพระนเรศวรทรงกระทำ�น้ัน ปรากฏว่าเฉียบ คมยงิ่ กวา่ ผอู้ นื่ เปน็ เวลานานทเี ดยี ว กอ่ นทพ่ี ระองคจ์ ะเขา้ มาในฉาก 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 155

ของราชอาณาจกั รอยธุ ยาทต่ี อ้ งทนทกุ ขท์ รมานมานานกวา่ ทศวรรษ จากความพ่ายแพ้และถูกลบหลู่ เมอ่ื อยธุ ยาเสยี แกพ่ มา่ ใน พ.ศ. 2112 (1569) พมา่ ไดส้ ถาปนา พระมหาธรรมราชา (ครองราชย์ 2112-33 (1569-90)) ขน้ึ เปน็ กษตั รยิ ์ พม่าปล้นสะดมทั่วทั้งพระนคร และกวาดต้อนเชลยนับพันๆ คนทั้ง ไพรแ่ ละผดู้ ไี ปยงั พมา่ เพอ่ื ควบคมุ หวั เมอื งประเทศราชแหง่ ใหมข่ อง ตน พวกพม่าวางใจให้พระมหาธรรมราชาปกครอง และเชื่อมั่นใน กองทหารรักษาการณ์ของพม่าขนาดย่อมกองหน่ึง และคำ�ขู่ว่าจะ ตอบโต้แก้เผ็ดสยามอย่างฉับไวและโหดเหี้ยม ด้วยเหตุท่ีไม่อาจ ป้องกันตนเองได้ อยุธยาจึงต้องตกอยู่ท่ามกลางความเมตตาจาก เพ่ือนบ้านโดยรอบ พวกกัมพูชาถือโอกาสคร้ังแล้วครั้งเล่าจาก สถานการณ์นี้เข้ารุกรานสยามถึง 6 ครั้งในช่วงสองทศวรรษต่อมา (พ.ศ. 2113 (1570), 2118 (1575), 2121 (1578), สองครงั้ ใน พ.ศ. 2125 (1582) และ 2130 (1587) แต่ละครั้งไดก้ วาดต้อนเชลยจากหัวเมอื ง ทางตะวันออก และบริเวณอ่าวไทย จากจันทบุรีไปจนถึงเพชรบุรี กลบั ไปยงั เขตแดนของตน สยามรบั มอื กบั การโจมตนี ด้ี ว้ ยความยาก ล�ำ บากยง่ิ นกั เพราะสยามขาดแคลนก�ำ ลงั คน อาวธุ และสตั วพ์ าหนะ ยิ่งไปกว่านั้น พม่ากย็ งั ได้รอื้ ถอนปอ้ มปราการหลายแห่งของสยาม ออกไปด้วย อย่างไรก็ดี ความเสียหายท่ีสยามได้รับจากกัมพูชาก็ ชว่ ยใหพ้ มา่ ยอมใหส้ ยามปรบั ปรงุ กองทพั และปอ้ มปราการตา่ งๆ ใน  พ.ศ. 2123 (1580) ได้มีการร้ือกำ�แพงเมืองของกรุงศรีอยุธยาและ สร้างขึ้นใหมใ่ หแ้ ขง็ แรงมากกว่าเดมิ จากกระแสแหง่ เหตุการณ์ เป็นทรี่ ูก้ นั วา่ สยามผ่านจุดเปลย่ี น ราวๆ พ.ศ. 2123 (1580) การสรา้ งก�ำ แพงเมืองใหม่ บอกเปน็ นัยถึง ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับพม่า มันแสดงถึงทั้งความแน่วแน่ คร้งั ใหม่ในการสรา้ งความปลอดภยั ให้แก่ตนเอง และสะท้อนให้เหน็ 156 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

ความสามารถในการระดมกำ�ลังคนจำ�นวนมหาศาลมาเป็นแรงงาน และจัดหาเสบยี งท่ีต้องการ ในปตี ่อมา ราชสำ�นกั ก็ตอ้ งเสยี ขวัญกับ กบฏซ่ึงได้รับความนิยมอย่างน่าประหลาดใจ กบฏนำ�โดยผู้ซ่ึงอ้าง วา่ ตนเองเปน็ ผมู้ บี ญุ (*ชอื่ พเิ ชยี ร กบฏครง้ั นรี้ จู้ กั ในชอ่ื กบฏญาณ พเิ ชียร) เกดิ ข้นึ ท่ชี านเมอื ง ระหว่างกรุงศรอี ยธุ ยากับเมอื งลพบุรี ท่ี ซ่ึง สมุหนายก (มหาดไทย) ถูกฆ่าตาย กบฏถูกปราบลงได้โดย บังเอญิ เม่ือ “ชาวต่างชาติ” อาจจะเป็นชาวอนิ เดียหรอื โปรตเุ กสยงิ ปนื ไปถกู หวั หนา้ กบฏ และท�ำ ใหพ้ วกลกู นอ้ งของกบฏหนกี ระจดั กระจาย ไป สองสามเดือนหลังจากน้ัน ชาวสยามก็ต้องอับอายอีกคร้ังจาก ความพา่ ยแพ้ทเี่ พชรบุรี ไปจนถงึ การถกู พวกกมั พูชาเขา้ รกุ รานอีก ครั้ง ท่ามกลางความสับสนนั้นเอง พระนเรศวรได้เริ่มแสดงให้เห็น ถงี ความเปน็ ผนู้ �ำ ในราชอาณาจกั รทขี่ าดผนู้ �ำ มานานถงึ สองทศวรรษ แล้ว พระนเรศวรประสตู เิ มอ่ื  พ.ศ. 2098 (1555) เปน็ พระราชโอรส ในพระมหาธรรมราชา และพระมเหสีเอก ซึ่งเป็นพระราชธิดาของ พระมหาจักรพรรดิ พระนเรศวรเสด็จไปพมา่ ในฐานะตัวประกนั เมอื่   พ.ศ. 2107 (1564) พระองคเ์ สดจ็ กลบั มายงั บา้ นเกดิ เมอื งนอนใน พ.ศ.  2114 (1571) เมือ่ พระเชษฐภคนิ ี (*พระสุพรรณกัลยา) ถกู ส่งตัวไป ถวายพระเจ้าบุเรงนอง แม้ว่าพระนเรศวรซ่ึงขณะนั้นมีพระชนมายุ เพยี ง 16 พรรษา แตพ่ ระราชบิดากไ็ ด้ส่งไปครองเมอื งพิษณโุ ลกซึ่ง อยทู่ างเหนอื ทรงด�ำ รงตำ�แหน่ง อุปราช หรือทายาททเี่ ชือ่ กนั ว่าจะ ครองบลั ลงั กท์ อ่ี ยธุ ยา ตลอดเวลากวา่ หนงึ่ ทศวรรษ ทรงแสดงใหเ้ หน็ ถึงความสามารถของกองทหารของพระองค์ ในการตอ่ สกู้ ับกมั พชู า ในขณะท่ีอยุธยายังตกอยู่ในฐานะเมืองประเทศราชของพม่าอยู่น้ัน ระหวา่ ง พ.ศ. 2124-25 (1581-82) เจา้ ชายหนมุ่ ถกู สง่ ไปยงั หงสาวดี เพื่อเป็นตัวแทนของพระราชบิดา ในการแสดงความจงรักภักดีต่อ 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 157

นันทบุเรง ซึ่งข้ึนครองราชย์ต่อจากบุเรงนอง เมื่อปลาย พ.ศ. 2124 (1581) ต�ำ นานกลา่ ววา่ พระนเรศวรและกองทหารของพระองคไ์ ดร้ ว่ ม เดินทางไปกับกองทัพพม่า เพื่อปราบรัฐฉาน และทรงยึดเมืองได้ ส�ำ เรจ็ ขณะทมี่ หาอปุ ราชาแหง่ พมา่ ไมส่ ามารถปราบได้ ดว้ ยเหตนุ นั้ พระนเรศวรจึงถูกมหาอุปราชาอิจฉาและเกลียดชัง และพระราช พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาหลายฉบับท่ีบันทึกในภายหลังถึงความ ขัดแย้งระหว่างไทย-พม่า ก็ได้บันทึกเร่ืองความเป็นศัตรูและความ เกลยี ดชังระหวา่ งบรุ ุษทัง้ สองไว้อย่างนา่ สนใจยงิ่ ไมน่ านนัก ความสมั พันธร์ ะหว่างหงสาวดีและกรงุ ศรอี ยุธยา กเ็ ลวรา้ ยลง ใน พ.ศ. 2126 (1583) มใี บบอกหลายฉบบั สง่ มารายงาน พระนเรศวรวา่ พมา่ ก�ำ ลงั ท�ำ ถนนมายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยา และในปถี ดั มา พระนเรศวรทรงถูกเรียกตัวให้ไปช่วยนันทบุเรงโจมตีเจ้าเมืองอังวะ ผเู้ ปน็ ศตั รู พระนเรศวรทรงยนิ ยอมเสดจ็ ไปพรอ้ มกบั น�ำ กองทพั จาก เมืองพษิ ณโุ ลกสู่เขตแดนมอญตอนล่างของล�ำ น�ำ้ สาละวนิ ณ ทน่ี น้ั ทรงได้รับแจ้งข่าวว่า พวกพม่าวางแผนท่ีจะซุ่มโจมตีและลอบปลง พระชนม์ พระนเรศวรจงึ ยกทพั กลบั พษิ ณโุ ลก และจากนน้ั ทรงเคลอ่ื น ทพั สกู่ รงุ ศรอี ยธุ ยา นำ�ทหารจ�ำ นวนมากลงมาชว่ ยปอ้ งกนั เมอื งหลวง พระนเรศวรในขณะนี้ถูกต่อต้านจากราชสำ�นักพม่า เม่ือพม่าส่ง กองทพั กองเลก็ ๆ มาเพอ่ื ลงโทษพระองคใ์ น พ.ศ. 2128 (1585) กองทพั พมา่ กถ็ กู ขบั ไลอ่ อกไปอยา่ งงา่ ยดาย พมา่ สง่ กองทพั มายงั อยธุ ยาอกี ใน พ.ศ. 2128-29 (1585-86) และ พ.ศ. 2129-40 (1586-87) แต่ พระนเรศวรทรงต้านทานไว้ได้ท้ังสองคร้ัง ในสงครามคร้ังหลัง ยัง ทรงเอาชนะกองทัพกองเล็กๆ ของกัมพชู าทีเ่ ข้ามาโจมตีด้วย เม่อื ถึงวาระการสง่ กองทหารออกรบทัพจบั ศึกประจ�ำ ปี พมา่ จึงส่งกองทหารเข้าโจมตีอยุธยาในปลาย พ.ศ. 2135 (1592) กองทพั พมา่ น�ำ โดยพระมหาอปุ ราชา ศตั รเู กา่ ของพระนเรศวร เดนิ ทางผา่ น 158 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ดา่ นเจดียส์ ามองค์ เขา้ สู่เมืองกาญจนบรุ ี และมายังเมอื งสพุ รรณบุรี เพอื่ เขา้ สกู่ รงุ ศรอี ยธุ ยาทางทศิ ตะวนั ตก พระนเรศวรทรงน�ำ ทพั ออก จากกรงุ ไปตั้งรับศึก และปะทะกบั กองทพั พม่าท่ีหนองสาหรา่ ย ซึง่ อยหู่ า่ งเมอื งสพุ รรณบรุ ไี ปทางดา้ นตะวนั ตกเฉยี งเหนอื เปน็ ระยะทาง 23 กโิ ลเมตร (14 ไมล)์ สงครามยทุ ธหตั ถเี กดิ ขน้ึ เมอื่ วนั ท่ี 18 มกราคม  พ.ศ. 2135 (1592) ในตอนแรกกองทัพพม่าได้ชัยชนะกองทัพหน้า ของพระนเรศวร และไล่ตีจนถอยร่นมา พระนเรศวรทรงยืนทัพอยู่ ในขณะทีก่ องทพั พมา่ รุกไลก่ องหนา้ ของพระองคจ์ นถอยรน่ มา พระ นเรศวรและพระอนชุ า คอื พระเอกาทศรถในเวลานนั้ ตกอยใู่ นวงลอ้ ม ของชา้ งศกึ และทรงมองเหน็ ชา้ งทรงของพระมหาอปุ ราชาอยแู่ ตไ่ กล พระนเรศวรจึงทรงตะโกนตรัสกับพระมหาอุปราชาว่า “จงออกมา ต่อสู้กันบนหลังช้างเพ่ือเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมืองเถิด”1 ช่วงไม่กี่ อดึ ใจเรอ่ื งราวกจ็ บลง ชา้ งทรงของทงั้ สองตา่ งเขา้ มาชนกนั พระมหา อุปราชาใช้พระแสงของ้าวฟันพระนเรศวรอย่างแรง ขณะนั้นพระ วรกายของพระมหาอปุ ราชา จงึ เอนออกมารบั คมพระแสงของา้ วของ พระนเรศวรพอดี เมื่อพระมหาอปุ ราชาส้ินพระชนม์ กองทัพพมา่ ก็ เสยี กระบวน และลา่ ถอยไปยงั กาญจนบรุ ี กองทพั อยธุ ยารกุ ไลโ่ จมตี ทำ�ให้ทหารพม่าบาดเจ็บอย่างหนกั บัดนีก้ รุงศรีอยุธยาได้อิสรภาพ อันมั่นคงแล้ว และกษัตริย์พม่าในรุ่นต่อไปก็ต้องคอยตั้งรับอยุธยา การสงครามระหวา่ งไทย-พมา่ เปลยี่ นโฉมหนา้ ไปเปน็ ครง้ั แรกในรอบ สามสิบปี หลงั จากสงครามยทุ ธหัตถที หี่ นองสาหรา่ ย พระนเรศวรและ พระเอกาทศรถมคี วามมนั่ พระทยั ทจ่ี ะด�ำ เนนิ พระราชกรณยี กจิ และ พระราโชบายต่อไปในช่วงศตวรรษต่อไป ในคร่ึงศตวรรษแห่งการ สงคราม ยำ้�เน้นถึงอันตราย และโอกาสต่างๆ อันเนื่องมาจาก ต�ำ แหนง่ ท่ตี ้งั ของกรงุ ศรีอยธุ ยา พมา่ รวมหงสาวดี ตองอู และอังวะ 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 159

การบกุ รกุ ของกองทพั พมา่ ใน พ.ศ. 2135-36 (1592-93) 160 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

สงครามยทุ ธหตั ถที หี่ นองสาหรา่ ย ภาพจติ รกรรมในสมยั ครสิ ตศ์ ตวรรษ ท่ี 19 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 161

แลว้ ไดข้ ยายอำ�นาจไปยงั ล้านนา และแม้กระท่ังลา้ นชา้ ง กัมพูชา ก็ ถอื โอกาสเอาเปรยี บกรงุ ศรอี ยธุ ยาทไี่ มอ่ าจชว่ ยตวั เองได้ โดยเขา้ มา รกุ รานทางดา้ นตะวันออกอยู่บ่อยๆ  อยุธยาแวดลอ้ มไปดว้ ยเพ่ือนบา้ นทเ่ี ปน็ ศตั รู ผู้ปกครองของ อยุธยาคอยระวังในการพัฒนากิจการภายในท่ีอาจมีผลต่อความ ปลอดภยั ของตนเอง และมกั จะหาโอกาสทจี่ ะแบง่ แยกเหลา่ ศตั รดู ว้ ย ในช่วงเวลานี้อยุธยามีความเข้มแข็ง ซึ่งอาจส่งผลให้อาณาจักรได้ เปรยี บเหลา่ เพอื่ นบา้ น อยธุ ยายงั คงมคี วามส�ำ คญั ในฐานะศนู ยก์ ลาง การคา้ นานาชาติ สนิ คา้ และก�ำ ไรจากการคา้ ชว่ ยเสรมิ ความมน่ั คงให้ แก่อาณาจักร อยุธยานำ�เข้าปืนไฟจากโปรตุเกส และนำ�เข้าอาวุธ อืน่ ๆ จากญ่ีปุ่น ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 16 และตน้ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17 อยธุ ยามกี องทพั เรอื ทแ่ี ขง็ แกรง่ ทหารในกองทพั อาจจะเกณทม์ าจาก ชาวจาม หลงั จากอาณาจกั รจามปาลม่ สลายตกเปน็ ของเวยี ดนามใน  พ.ศ. 2014 (1471) ก็ได้ และกองเรือของอยธุ ยากไ็ ดแ้ ล่นไปในน่าน นำ้�ของเอเชียตะวันออกด้วย จากการค้านานาชาติได้ก้าวมาสู่การ ทูตและความสามารถทางการเมือง อย่างไรก็ดี หลักฐานต่างๆ ท่ี แสดงใหเ้ หน็ ความแขง็ แกรง่ ทยี่ งั คงหลงเหลอื อยนู่ น้ั แสดงใหเ้ หน็ แต่ เพยี งศกั ยภาพท่ปี ราศจากความรอบรู้ และปราศจากศลิ ปะทางการ ทตู ในการทจ่ี ะเพมิ่ พนู ขอ้ ไดเ้ ปรยี บทอ่ี าจไดร้ บั จากการคา้ นานาชาติ ในตน้ ปี พ.ศ. 2118 (1575) กรุงศรีอยุธยาส่งคณะทูตไปยังจนี เพอ่ื ขอพระราชทานตราประทบั อนั ใหมแ่ ทนอนั เกา่ ซงึ่ ถกู พมา่ ทำ�ลาย ไป จงึ ท�ำ ใหช้ าวจนี ไดร้ วู้ า่ สยามเปน็ อสิ ระจากพมา่ แลว้ ดว้ ยเหตกุ ารณใ์ น  พ.ศ. 2135 (1592) ซ่ึงเป็นฉากท่ีสำ�คัญเป็นพิเศษ (*คือสงคราม ยุทธหัตถี) ซง่ึ บ่งบอกวา่ พระนเรศวรทรงตอ้ งการใหส้ ยามมพี ื้นทีใ่ น โลก ญปี่ ุน่ เรม่ิ ลงมอื ขยายอำ�นาจทางการเมืองดว้ ยการข่มข่พู ่อค้าท่ี ค้าขาย (รวมทง้ั จากสยามด้วย) ท่วั เอเชยี ตะวนั ออก และบุกเข้าไป 162 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook