ยงั เกาหลี (*สมยั ราชวงศโ์ ซซอ็ น) ในกลางปี พ.ศ. 2135 (1592) พระ นเรศวรทรงรับทราบสิ่งที่เกิดข้ึน นอกจากจะทรงเตรียมพร้อมเพ่ือ รบั มอื กบั พมา่ และกมั พชู าซง่ึ เขา้ มาโจมตสี ยามใน พ.ศ. 2130 (1587) แลว้ พระองคย์ งั ทรงส่งคณะทูตไปยังจนี ในเดอื นตลุ าคม พ.ศ. 2135 (1592) เพอ่ื เสนอวา่ จะสง่ กองทพั เรอื สยามเขา้ ตอ่ ตา้ นญปี่ นุ่ ขอ้ เสนอ น้ีมีความหมาย พระนเรศวรทรงเข้าพระทัยความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ และทรงต้องการรกั ษาความสมดุลแหง่ อำ�นาจเพอ่ื เปิดการ ค้านานาชาติ และทรงเข้าใจถึงอำ�นาจของจีนในระบบรัฐของเอเชีย ในที่สุดจีนปฏิเสธข้อเสนอของพระองค์ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2135 (*นบั ศกั ราชแบบเกา่ 1593) แตใ่ นชว่ งเวลานน้ั พระนเรศวร ทรงเอาชนะพมา่ ในการรบทห่ี นองสาหรา่ ย และทรงเริม่ ยึดหัวเมอื ง ชายทะเลของกมั พชู าและพมา่ มาไดส้ ำ�เรจ็ แลว้ ตลอดทศวรรษทเ่ี หลอื พระองค์ยังคงรบกับพม่าต่อไป มีการเดินทัพไปตีเมืองหงสาวดีใน ตอนกลางทศวรรษ และตเี มอื งตองอใู นระหวา่ ง พ.ศ. 2142-43 (1599- 1600) และทรงไดล้ า้ นนามาอยภู่ ายใตอ้ �ำ นาจของอยธุ ยาใน พ.ศ. 2141 (1598) หลงั การสวรรคตของนนั ทบเุ รงใน พ.ศ. 2142 (1599) การรวม ตัวกันของพม่าก็พังพาบลง เม่ือกษัตริย์องค์ใหม่ของอังวะ ทรงต้ัง พระทัยจะฟ้ืนฟูอำ�นาจของพม่าในรัฐฉาน พระนเรศวรก็ทรงชิงตัด หน้าดว้ ยการยกกองทพั เขา้ ไปยังบรเิ วณนนั้ แต่เมื่อไปถงึ เมืองหาง ซงึ่ ตง้ั อยหู่ า่ งจากเมอื งฝางไปทางตะวนั ตกเฉยี งเหนอื สามสบิ กโิ ลเมตร พระองคก์ ท็ รงประชวรและสวรรคต เมอื่ วนั ท่ี 25 เมษายน พ.ศ. 2148 (1605) เม่อื พระชนมายไุ ด้ 50 พรรษา พระเอกาทศรถ พระอนุชาของพระนเรศวรขึน้ ครองราชยต์ อ่ มา ในราชอาณาจกั รแหง่ อ�ำ นาจน้ี เวลานร้ี าชอาณาจกั รแหง่ นมี้ นั่ คง พลเมืองเพิ่มพูนมากข้ึน ด้วยมาจากชาวมอญ และกัมพูชา ท้ังท่ี อพยพเขา้ มาและถกู จบั เปน็ เชลย การคา้ ตา่ งประเทศของราชอาณาจกั ร 5 | ราชอาณาจักรอยธุ ยา 163
รุ่งเรืองข้ึน เนื่องมาจากความสัมพันธ์อันดีกับโปรตุเกส สเปนที่ ฟลิ ิปปนิ ส์ (พระนเรศวรทรงทำ�สญั ญาไมตรกี บั สเปน เมื่อ พ.ศ. 2141 (1598)) จนี ญ่ีปุน่ และรวิ กวิ ในชว่ งเวลานี้ บริเวณอ่าวเบงกอลมี เมืองท่าทสี่ �ำ คัญ คอื ตะนาวศรแี ละทวาย ซง่ึ ราชอาณาจักรอยุธยา ไดอ้ ้างสทิ ธเ์ิ ขา้ ครอบครองอกี คร้งั หน่งึ พมา่ ประสบปัญหาภายในจงึ ไมม่ าคกุ คามอยธุ ยาอกี สว่ นอาณาจกั รกมั พชู ากก็ �ำ ลงั วนุ่ วาย กลา่ ว โดยสรปุ ราชอาณาจกั รอยุธยาฟน้ื ฟูอำ�นาจอนั ยง่ิ ใหญ่ทางการเมอื ง และเศรษฐกิจข้ึนมาได้แล้ว พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ท่ี บันทึกเรื่องราวในช่วงเวลานี้สรุปไว้ว่า พระนเรศวรทรงฟ้ืนราช อาณาจักรอยุธยาบนสมรภูมิรบโดยลำ�พัง เป็นที่แน่นอนว่า ความ เป็นผู้นำ�ของพระองค์ถูกสร้างข้ึนบนฐานรากอันกว้างขวาง พระ นเรศวรทรงเปน็ เชอ้ื สายของราชวงศส์ โุ ขทยั อนั เกา่ แก่ ทรงเขา้ พระทยั ในเอกภาพของสยามภายในโครงขา่ ยทกี่ วา้ งขวางกวา่ ทรงเขา้ พระทยั การรักษาเกียรติภูมิแห่งราชอาณาจักรอยุธยา เหนือหัวเมืองอื่นๆ ทรงกระตุ้นการค้าของอยุธยาอย่างกระตือรือร้น และทรงจัดระบบ แรงงานของราชอาณาจักร การมองการณ์ไกลของพระองค์ ทักษะ เก่ียวกับรัฐ และความเป็นรัฐบุรุษของพระองค์ ถูกทำ�ให้เกิดความ สมดลุ ผา่ นพระอจั ฉรยิ ภาพดา้ นการทหาร และความตง้ั ใจอนั เดด็ เดยี่ ว กลา้ หาญ ซ่ึงพระองคส์ ามารถสรา้ งความมั่นคงใหอ้ ยุธยาได้ ความ ส�ำ เรจ็ แหง่ พระราโชบายของพระองคล์ ว้ นขน้ึ อยกู่ บั สงิ่ เหลา่ น้ี คณุ สมบตั ิ เหล่านี้ทำ�ใหท้ รงได้รบั สมัญญานาม “มหาราช”เพียงพระองค์เดียว ในบรรดากษัตรยิ ห์ ้าราชวงศข์ องราชอาณาจกั รอยุธยา หลังการสวรรคตของพระนเรศวร ประวัติศาสตร์ของราช อาณาจักรอยุธยาในคริสต์ศตวรรษท่ี 17 มีลักษณะโดดเด่นอยู่ 2 ประการคอื พฒั นาการดา้ นสถาบนั ซง่ึ ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ไดเ้ สอื่ มลง และ การเพ่ิมความสัมพันธ์กับอำ�นาจจากยุโรป เนื่องจากพัฒนาการทั้ง 164 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป
สองประการนี้ดำ�เนินควบคู่กันไป จนนำ�ไปสู่จุดสูงสุดคือ การเกิด เหตกุ ารณก์ ารปฏวิ ตั ทิ ยี่ ง่ิ ใหญใ่ น พ.ศ. 2231 (1688) เราสามารถเหน็ ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจในสยามสมัยใหม่ยุค แรกๆ ไดช้ ดั เจนข้นึ จากเหตกุ ารณน์ ี้ ส่ิงที่น่าสังเกตเป็นพิเศษก็คือ การสืบราชสมบัติทั้งหมดของ กษัตริย์อยุธยาในคริสต์ศตวรรษท่ี 17 และ 18 น้ันไม่ปกติ และใน หลายๆ กรณี หากไมเ่ ปน็ การชิงราชย์อยา่ งลับๆ กเ็ ปน็ การแยง่ ราช สมบัติอย่างจงใจ ทำ�ไมส่ิงนี้จึงเป็นกรณีศึกษา และส่ิงที่เกิดข้ึนน้ี สะทอ้ นอะไร การสบื ราชสมบตั ขิ องพระเอกาทศรถตอ่ จากพระนเรศวร ไมม่ ปี ัญหาใดๆ เกดิ ขน้ึ เพราะพระองค์และพระเชษฐาปกครองบ้าน เมอื งรว่ มกันมาถึงสิบหา้ ปี และแมว้ ่าท้งั สองพระองค์จะประทับหา่ ง จากเมอื งหลวงถงึ 650 กิโลเมตร เม่ือพระนเรศวรสวรรคต ก็ไมม่ ี เหตกุ ารณท์ จี่ ะมผี อู้ นื่ พยายามชงิ ราชบลั ลงั ก์ อยา่ งไรกด็ ี หลงั จากนนั้ เหตุการณ์ได้เปลยี่ นไป รัชกาลของพระเอกาทศรถนั้นส้ัน เราทราบว่าทรงมีพระ ราชโอรสอยา่ งนอ้ ย 4 พระองค์ สองพระองคป์ ระสตู แิ ตพ่ ระมเหสี คอื เจ้าฟ้าสุทัศน์และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ ซึ่งทรงมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ มากกว่าพระองค์ทองและพระศรีศิลป์ ซึ่งประสูติแต่พระสนม พระ เอกาทศรถทรงตงั้ เจา้ ฟา้ สทุ ศั นเ์ ปน็ รชั ทายาท แตข่ นุ นางในกลมุ่ ทหาร รบั จา้ งชาวญปี่ นุ่ และพอ่ คา้ ในราชส�ำ นกั ไดป้ รกั ปร�ำ วา่ เจา้ ฟา้ สทุ ศั น์ วางแผนกบฏ พระราชบดิ าจงึ สงั่ ประหารชวี ติ เสยี กอ่ นทพ่ี ระราชบดิ า จะสวรรคตไมน่ าน เหตกุ ารณน์ ค้ี งเกดิ ขน้ึ ระหวา่ งเดอื นตลุ าคม พ.ศ. 2153 (1610) ถงึ เดอื นพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2154 (1611) พระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาส่วนใหญบ่ นั ทกึ ไว้วา่ พระศรเี สาวภาคยข์ ้ึนครองราชย์ ต่อจากพระเอกาทศรถ หลังจากนั้นหนึ่งปีกับอีกสองเดือน ก็ถูก ประหารชีวิตโดยพระภิกษุพิมลธรรม ผู้ขึ้นครองราชย์ (ราว พ.ศ. 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 165
2154-71 (1611-28)) สถาปนาเปน็ พระอนิ ทราชา หรอื พระเจา้ ทรงธรรม (กษตั รยิ ผ์ เู้ ทย่ี งธรรม) อยา่ งไรกด็ ี ชาวตา่ งชาตทิ เ่ี ขา้ มายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยา หลังเหตุการณ์เหล่าน้ีไม่นาน ยืนยันว่าพระเจ้าทรงธรรมเป็นพระ โอรสของพระเอกาทศรถท่ีประสูติแต่พระสนม และครองราชย์ต่อ จากพระราชบิดาเลย พวกเขาไม่ได้เอ่ยถึงพระศรีเสาวภาคย์ เรา ยอมรับความเป็นอิสระของหลักฐานต่างชาติ และพิจารณาการสืบ ราชสมบัติคร้ังน้ีว่าเป็นไปอย่างปกติ อย่างไรก็ตาม จงอย่าลืมการ สน้ิ พระชนมก์ ่อนถงึ เวลาของเจ้าฟา้ สุทัศน์ วิกฤตการณ์การสืบราชสมบัติครั้งต่อไปมาถึงเม่ือสิ้นรัชกาล พระเจา้ ทรงธรรมอนั ยาวนาน พระองคไ์ มไ่ ดส้ ถาปนารชั ทายาทอยา่ ง แนช่ ดั แตเ่ ปน็ ทร่ี กู้ นั ทว่ั ไปวา่ พระอนชุ าคอื พระศรศี ลิ ป์ จะเปน็ ผสู้ บื ราชบลั ลงั กต์ อ่ จากพระองค์ อยา่ งไรกต็ าม พระยาศรวี รวงศ์ ผซู้ งึ่ เปน็ ญาตขิ องพระเจา้ ทรงธรรมเปน็ ผสู้ นบั สนนุ พระราชโอรสองคใ์ หญข่ อง พระเจ้าทรงธรรมคือ พระเชษฐา ข้ึนเป็นผู้ชิงราชสมบัติ และเมื่อ พระเจ้าทรงธรรมสวรรคตในปลาย พ.ศ. 2171 (1628) พระยาศรี วรวงคก์ ส็ นบั สนนุ ใหพ้ ระเชษฐาซงึ่ มพี ระชนมายุ 15 พรรษาขนึ้ ครอง ราชยต์ อ่ จากพระราชบดิ า อบุ ายของพระยาศรวี รวงศท์ ำ�ใหพ้ ระเชษฐา ขน้ึ ครองราชย์ได้ คือ เมอื่ วนั ที่ 13 ธนั วาคม พระศรศี ิลป์และผเู้ รยี ก รอ้ งสทิ ธใิ์ นราชบลั ลงั กค์ นอนื่ ๆ ถกู พระยาศรวี รวงศ์ (หรอื ศรสี รุ ยิ วงศ)์ ก�ำ จัด จากนัน้ เขาไดเ้ ขา้ รบั ต�ำ แหน่งสมหุ กลาโหม (ฝ่ายทหาร) ไม่ นานนกั พระยาศรวี รวงศก์ ไ็ ดก้ �ำ จดั ทง้ั พระเชษฐา (ในเดอื นสงิ หาคม พ.ศ. 2172 (1629)) และ (ในเดอื นกนั ยายน) พระอาทิตยวงศ์ พระ อนชุ าของพระเชษฐา ผขู้ น้ึ ครองราชยต์ อ่ จากพระเชษฐา ในทสี่ ดุ พระ ยาศรีวรวงศ์จึงขึ้นครองราชย์เสียเอง พระนามท่ีรู้จักกันทั่วไปก็คือ พระเจ้าปราสาททอง พระมหากษัตริย์แห่งพระราชวังท่ีเป็นทอง พระเจ้าปราสาททองครองราชย์นานยี่สิบเจ็ดปี ทรงถูกถือว่าเป็นผู้ 166 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป
แยง่ ราชสมบัติ จากการทอ่ี ้างสิทธใิ์ นราชบลั ลังก์ทงั้ ๆ ที่แทบจะไม่มี สิทธิ์เลย แม้ว่าจะมีเร่ืองเล่าเรื่องหนึ่งที่อ้างว่า พระราชมารดาของ พระเจ้าปราสาททอง เป็นน้องสาวของพระราชมารดาของพระเจ้า ทรงธรรม และเร่ืองที่น่าสงสัยอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า พระองค์ทรงเป็น พระราชโอรสลบั ของพระเอกาทศรถ อ�ำ นาจทท่ี �ำ ใหพ้ ระองคส์ ามารถ กระทำ�การอย่างไรค้ วามปรานี และพยายามชิงราชบัลลังก์ได้นั้น ก็ คอื ต�ำ แหนง่ สมุหกลาโหม อคั รมหาเสนาบดฝี ่ายการทหาร และการ อุปถัมภ์ และควบคมุ ไพร่พล ท่ีต�ำ แหนง่ นี้ใหโ้ อกาสแก่พระองค์ การ ต่อต้านที่เข้มแข็งท่ีสุดที่พระเจ้าปราสาททองต้องเผชิญน้ันมาจาก กลมุ่ ทหารอาสาชาวญปี่ นุ่ ของราชส�ำ นกั น�ำ โดยยามาดา นางามาซะ พระยาศรวี รวงศจ์ งึ สง่ ยามาดาออกไปใหพ้ น้ ทาง เหน็ ไดช้ ดั วา่ เรอื่ งนี้ เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก ยามาดา นางามาซะถูกส่งไปปราบกบฏท่ี เมืองนครศรีธรรมราช อย่างไรก็ดี เป็นท่ีสังเกตอีกครั้งถึงบทบาท ของชาวตา่ งชาติในการแย่งชิงราชสมบัติ การชงิ ราชสมบตั เิ กดิ ขน้ึ อกี ครง้ั หลงั จากพระเจา้ ปราสาททอง สวรรคตในเดอื นสงิ หาคม พ.ศ. 2199 (1656) เชน่ ทเ่ี คยเปน็ มา ระหวา่ ง พ.ศ. 2171-72 (1628-29) ภายในเวลาเพยี งสองเดอื นเศษๆ มกี ษตั รยิ ์ ถงึ สามพระองค์ขึน้ ครองราชย์ท่ีกรุงศรอี ยุธยา องคแ์ รก คือ เจา้ ฟา้ ไชย พระราชโอรสองคใ์ หญ่ของพระเจ้าปราสาททอง ทรงนำ�ทหาร ถอื อาวธุ เขา้ ยดึ ราชบลั ลงั ก์ และขนึ้ ครองราชย2์ ตอ่ จากนน้ั พระอนชุ า ของพระองคค์ อื เจา้ ฟา้ นารายณ์ ถอดพระองคอ์ อก และสถาปนาพระ อนชุ าของพระเจา้ ปราสาททอง คอื พระศรสี ธุ รรมราชาขนึ้ ครองราชย์ ในทส่ี ดุ แทบจะไม่ถงึ สิบสัปดาหต์ ่อมา เจ้าฟา้ นารายณช์ งิ ราชสมบัติ คนื มาใหพ้ ระองคเ์ องในวนั ท่ี 26 ตลุ าคม พ.ศ. 2199 (1656) สถานการณ์ รฐั ประหารของเจา้ ฟา้ นารายณย์ งุ่ ยากมาก จอรจ์ ไวนลั สมธิ (George Vinal Smith) ระบุว่าเจา้ ฟ้านารายณท์ รงขอใหพ้ วกดัตช์ช่วยเหลือ 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 167
ในต้นเดอื นสิงหาคม และจากนัน้ เขาไดเ้ ขยี นไว้วา่ “ในเดอื นตลุ าคม เจ้าฟ้านารายณ์ก็ได้เคลื่อนกำ�ลังพล ด้วยความช่วยเหลือของผู้ สนบั สนนุ และของลกู ครง่ึ ญป่ี นุ่ -ไทย แขกตานี และอาจมพี วกมสุ ลมิ เปอร์เซียดว้ ย”3 จากขอ้ เขยี นของเปอรเ์ ซยี ในอกี 30 ปตี ่อมา อา้ งถึง บทบาทสำ�คัญของพวกท่เี ปน็ ชาติเดียวกับตน และกลา่ วว่าส่ิงแรกๆ ทีพ่ ระนารายณท์ รงทำ�หลงั จากขึ้นเปน็ กษตั รยิ ์กค็ อื การแตง่ ตั้งชาว เปอรเ์ ซยี คนหนงึ่ เปน็ อคั รมหาเสนาบดขี องพระองค4์ เปน็ อกี ครง้ั หนงึ่ ทเี่ ปน็ นยั สะทอ้ นถงึ ความเกย่ี วขอ้ งทางการเมอื งของชาวตา่ งชาตวิ า่ มีความเขม้ ข้นเพยี งใด ในทสี่ ดุ กม็ าถงึ เหตกุ ารณ์ “ปฏวิ ตั ”ิ พ.ศ. 2231 (1688) อนั โดง่ ดงั ของกรงุ ศรอี ยธุ ยา ซง่ึ เกดิ พรอ้ มกบั การสวรรคตของพระนารายณ์ โดยจะไมล่ งไปสรู่ ายละเอยี ดในเรอื่ งนี้ เราตอ้ งการตง้ั ขอ้ สงั เกตเพยี ง วา่ แรงผลกั ดนั หลักของความร่วมมือในการสถาปนาพระเพทราชา ข้ึนเป็นกษัตริย์มาจากการต่อต้านนักแสวงโชคชาวกรีก ผู้ซ่ึงได้รับ ตำ�แหน่งอัครมหาเสนาบดี (*สมุหนายก) ซ่ึงโดยตำ�แหน่งแล้ว เกยี่ วขอ้ งกบั ชาวตา่ งชาติ การคา้ ตา่ งชาติ และโลกภายนอกนอ้ ยทสี่ ดุ วิกฤตการณ์เร่ืองการสืบราชสมบัติท่ีเกิดขึ้นต่อเนื่องกันถึงส่ี คร้ังนี้ นำ�ไปสู่ข้อสังเกตบางประการเรื่องการสืบราชสมบัติของกรุง ศรีอยธุ ยาในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 ประการท่ีหนง่ึ เรอื่ งอ�ำ นาจสูงสุด ของสถาบนั กษตั รยิ ใ์ นชว่ งเวลานย้ี งั คงเปน็ เรอื่ งของตวั บคุ คลมากกวา่ สถาบนั กษัตริยป์ ราศจากอำ�นาจในการแต่งตั้งผสู้ บื ทอดราชสมบัติ และอ�ำ นาจท่เี ขม้ แขง็ กลับส�ำ คญั กวา่ สายโลหิต ตำ�แหนง่ กษัตรยิ น์ นั้ มคี า่ มากพอทจ่ี ะชว่ งชงิ มากกวา่ แตก่ อ่ น พระนเรศวรทรงท�ำ ใหเ้ มอื ง หลวงเขม้ แขง็ ขนึ้ จากการไดค้ วบคมุ หวั เมอื ง และพระเอกาทศรถทรง รเิ รม่ิ การขยายการคา้ กบั ตา่ งประเทศมากขนึ้ อยา่ งชดั เจน ซง่ึ ชว่ ยสง่ เสริมความมงั่ คั่งและอำ�นาจของกษัตรยิ ์ การพฒั นาเหลา่ นน้ี ำ�ความ 168 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป
ไร้เสถียรภาพในระดับใหม่เข้ามา โดยการลดอำ�นาจของผู้ปกครอง หวั เมอื ง และการสลายอ�ำ นาจของบางราชวงศท์ ปี่ กครองหวั เมอื งได้ เกือบหมด และโดยการควบคุมกำ�ลังคนของหัวเมืองโดยตรง พระ นเรศวรและพระเอกาทศรถทรงแก้ไขความอ่อนแอของกองทหารที่ กอ่ นหนา้ นน้ี �ำ ความลม่ สลายมาสรู่ าชอาณาจกั ร อยา่ งไรกต็ าม หนว่ ย งานหลักในการควบคุมก�ำ ลังคน คือ กลาโหมและมหาดไทย ไดร้ ับ ประโยชนจ์ ากการพฒั นาเหลา่ นม้ี ากกวา่ กรมอน่ื ๆ ในการบรหิ ารสว่ น กลาง การท่ีกรมกลาโหมมีอ�ำ นาจมากเป็นพเิ ศษ เห็นไดจ้ ากการชิง ราชสมบตั ขิ องพระยาศรวี รวงศแ์ หง่ กรมกลาโหมใน พ.ศ. 2171 (1628) บรรดากษัตริย์ทรงเผชิญความยากลำ�บากในการควบคุมหัว เมือง และการรักษากำ�ลังอำ�นาจของกองทัพมาโดยตลอด ในช่วง แรกน้ี การจดั หาทหารรกั ษาพระองคจ์ ากชาวตา่ งชาตทิ อี่ ยนู่ อกระบบ การเกณท์แรงงานของอยุธยา ก็นับเป็นหนึ่งในความพยายามน้ัน แนน่ อน การกระท�ำ น้ีอาจสง่ ผลตรงขา้ มกบั ทต่ี ้ังใจ ดงั เชน่ ท่ีเกดิ ขนึ้ กับกรณีท่ีชาวญี่ปุ่นท่ีเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการถอดเจ้าฟ้าสุทัศน์ ในราวๆ พ.ศ. 2153 (1610) และจากการทคี่ นเหล่าน้อี ยูฝ่ า่ ยตรงข้าม กบั พระเจ้าปราสาททอง พระเจ้าปราสาททองทรงพยายามควบคุม อ�ำ นาจของขนุ นาง โดยแบง่ การควบคมุ หวั เมอื งระหวา่ งกรมกลาโหม และมหาดไทย ให้กรมกลาโหมดูแลหวั เมืองฝ่ายใต้ ส่วนมหาดไทย ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ การกระทำ�น้ีอย่างน้อยที่สุดก็ได้แบ่งการ ควบคมุ แรงงานระหวา่ งสองกรม ในขณะทก่ี รมทส่ี ามยงั คงดแู ลเรอ่ื ง ทะเบยี นของไพรพ่ ลทเี่ ปน็ ของสว่ นกลางใหพ้ รอ้ มสำ�หรบั การเกณฑ์ ตลอดชว่ งเวลาน้ี บรรดากษตั รยิ ์พยายามสร้างเสริมพระราชอำ�นาจ โดยผกู สมั พนั ธก์ บั พวกทม่ี อี �ำ นาจควบคมุ แรงงาน โดยการสรา้ งความ ม่ังคั่งแบบใหม่ ผ่านการควบคุมสินค้าและการค้า กล่าวได้ว่า ผู้ ปกครองราชอาณาจกั รอยธุ ยาหลายพระองคเ์ รมิ่ ด�ำ เนนิ นโยบายใหม่ 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 169
ได้จ้างชาวต่างชาติให้ทำ�การค้าต่างประเทศเพ่ือพระองค์ หรือไม่ก็ จ้างผู้ที่มีทักษะด้านการค้ามาใช้ในกรณีที่จำ�เป็น ในฐานะที่กษัตริย์ เปน็ หวั หนา้ รฐั บาล ไดน้ �ำ สยามเขา้ เกยี่ วพนั กบั โลกทก่ี วา้ งขน้ึ อยา่ งไร ก็ตาม การจ้างชาวตา่ งชาติ อย่างเชน่ การจ้างทหารรบั จ้าง กท็ �ำ ให้ เกิดความซบั ซ้อนด้านการเมืองในช่วงเวลานั้น ในบรรดาชาวต่างชาติเหล่านี้ มพี ่นี อ้ งคู่หนึ่งเปน็ เช้ือสายของ ครอบครวั ชาวเปอรเ์ ซยี ทเ่ี ดนิ ทางมาจากอา่ วเปอรเ์ ซยี ใน พ.ศ. 2145 (1602) ตอ่ มาไมน่ านกไ็ ด้ภรรยาชาวสยาม คนพี่ช่อื เฉกอะหมดั ได้ รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากรม (*กรมท่าขวา) ในกรมพระคลัง (เป็นกรมทำ�หน้าที่ด้านการคลังและการต่างประเทศรวมกัน) ซ่ึง กรมท่าขวาดูแลกิจการค้า กับพ่อค้าชาวมุสลิมจากหมู่เกาะอินเดีย และตะวันออกใกล้ ในช่วงตน้ รชั กาลพระเจ้าทรงธรรม เฉกอะหมดั ไดร้ บั แตง่ ตงั้ ใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ เสนาบดกี รมพระคลงั แตใ่ นปลายรชั กาล กไ็ ดเ้ ลอื่ นเปน็ สมหุ นายก มบี รรดาศกั ดเิ์ ปน็ เจา้ พระยา ราว พ.ศ. 2173 (1630) ลกู ชายคนโตได้สบื ทอดต�ำ แหนง่ ตอ่ มา ซง่ึ ก็คือ เจ้าพระยา อภัยราชา (ชื่น) ผู้ซ่ึงดำ�รงตำ�แหน่งเดียวกันน้ันมาจน พ.ศ. 2213 (1670) ลูกชายคนโตของชน่ื คือ เจ้าพระยาช�ำ นาญภกั ดี (สมบุญ) ก็ได้สืบทอดตำ�แหนง่ นเี้ ชน่ กัน การสืบทอดอ�ำ นาจในกรมมหาดไทย ของตระกลู นีช้ ะงกั ลงเพยี งครั้งเดยี วใน พ.ศ. 2228 (1685) เมือ่ พระ นารายณท์ รงแตง่ ต้ังนักแสวงโชคชาวกรกี คือ คอนสแตนตนิ ฟอล คอน ใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ นนั้ มฮู มั หมดั สะอดิ นอ้ งชายของเฉกอะหมดั ก็ได้สรา้ งครอบครัวท่ีมีอ�ำ นาจแบบเดียวกัน และโดยเฉพาะอยา่ งย่ิง ลกู ชายของมฮู มั หมดั สะอดิ คอื อกา ฮมั หมดั แอสตาราบาดี มอี �ำ นาจ สงู มาก ในชว่ งตน้ รชั กาลพระนารายณ์ เราสังเกตได้ว่า จากนั้น การ สร้างความสมดุลของชาวต่างชาติในกรมมหาดไทย และกรมพระ คลัง ด้วยแหล่งสินค้า และการค้านานาชาติของพวกเขา สามารถ 170 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
คานอำ�นาจการควบคุมแรงงานของขุนนางช้ันสูงกลุ่มเดิมๆ ในกรม กลาโหม ดงั นนั้ คนนอกเหลา่ นจ้ี งึ ไมเ่ พยี งแตส่ ามารถขนึ้ มาสตู่ �ำ แหนง่ สูงอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังเป็นการหย่ังรากสายสกุลของข้าราช สำ�นกั ซง่ึ ผูกขาดต�ำ แหนง่ ของรัฐบางต�ำ แหน่งเอาไว้ และมบี ทบาท ทางการเมอื งอยา่ งโดดเดน่ ลกู หลานของคนกลมุ่ นไี้ ดส้ บื ทอดต�ำ แหนง่ เหลา่ นน้ั มาจนถงึ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 กลา่ วกนั วา่ พระเอกาทศรถ “ทรงนยิ มชมชอบคนแปลกหนา้ และชาวตา่ งชาตอิ ยา่ งมาก” และทรงมคี วามสนพระทยั เปน็ พเิ ศษใน “การเพ่ิมพูนพระราชสมบตั ิ” ด้วยการรบั คำ�แนะน�ำ เร่อื งระบบภาษี แบบใหม่ๆ 5 นโยบายแบบน้ีไม่แปลก ราชอาณาจักรยากจนลง เนื่องจากทำ�สงครามเป็นเวลาหลายทศวรรษ และมีพลเมืองที่ไม่ สามารถแบกรบั คา่ ฟนื้ ฟบู า้ นเมอื งทส่ี งู มากได้ ในเวลาอนั สงบสขุ และ เวลาที่พระราชอำ�นาจม่ันคงแล้ว พระเอกาทศรถทรงสร้างความ สมั พนั ธก์ บั อ�ำ นาจตา่ งๆ จากตา่ งชาติ และทรงหวงั ทจี่ ะปรบั ปรงุ การ ค้านานาชาตใิ นราชอาณาจักรของพระองค์ การใหค้ วามส�ำ คญั กบั ความสมั พนั ธก์ บั ตา่ งชาติ เปน็ เวลากวา่ 25 ปีต่อมานั้น เน่ืองจากทรงพิจารณาความสำ�คัญด้านเศรษฐกิจ มากกวา่ ดา้ นการเมอื ง พระเอกาทศรถจงึ ทรงตอ้ นรบั เรอื ของฮอลนั ดา ล�ำ แรกทม่ี าถงึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา และทรงสง่ คณะทตู จากสยามคณะแรก ไปยงั ยโุ รป คอื ไปยงั ฮอลนั ดาใน พ.ศ. 2151 (1608) (และอกี คณะหนง่ึ ไปยังเมืองกัวของโปรตุเกสใน พ.ศ. 2149 (1606) สยามกังวลกับ อทิ ธพิ ลของโปรตเุ กสในอา่ วเบงกอล และทชี่ ายฝง่ั ของพมา่ เปน็ พเิ ศษ เพราะอทิ ธพิ ลของโปรตเุ กสคกุ คามการคา้ ของสยามทเี่ มอื งทา่ ชายฝง่ั ตะนาวศรี เมื่อถึงรัชกาลพระเจ้าทรงธรรมถึงกับให้ชาวฮอลันดา มาสร้างป้อมท่ีเมืองมะริด และร่วมมือกันกับกรุงศรีอยุธยาเพ่ือต่อ ตา้ นชาวโปรตเุ กส แตช่ าวฮอลนั ดาสนใจจะใชอ้ ยธุ ยาและปตั ตานเี ปน็ 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 171
ฐานในการเข้าไปสู่การค้ากับจีนและญ่ีปุ่นมากกว่า เรือของบริษัท อนิ เดยี ตะวนั ออกขององั กฤษ มาถึงกรงุ ศรีอยุธยาครั้งแรกเมอื่ พ.ศ. 2155 (1612) และในไมช่ า้ กไ็ ดต้ ง้ั สถานกี ารคา้ (คลงั สนิ คา้ ) ทอ่ี ยธุ ยา และปตั ตานี อยา่ งไรกต็ าม ชาวองั กฤษไมอ่ าจแขง่ ขนั กบั ชาวฮอลนั ดา ได้ และจึงได้ถอนตัวจากสยามไปเมอื่ พ.ศ. 2166 (1623) แม้กระน้นั ชาวฮอลนั ดากย็ งั ผดิ หวงั ในการกลบั มาคา้ กบั สยามอกี หลายครง้ั และ มีคร้ังหนงึ่ ในทศวรรษ 1620 (2163-2172) ท่ชี าวฮอลนั ดาตดั สนิ ใจ ถอนตัวออกไปท้ังหมด การค้าของชาวเอเชียที่นำ�โดยชาวจีนและ ชาวมุสลิมต่างชาติได้พัฒนาไปอย่างเห็นได้ชัด และได้จัดการและ เปลี่ยนแปลงทั้งการค้าต่างประเทศที่เป็นส่วนรวมและส่วนตัวของ ขุนนางอยธุ ยา (ขนุ นางส่วนมากไม่จ�ำ แนกระหว่างสองเรื่องน้ี) ในชว่ งตน้ รชั กาลพระเจา้ ปราสาททอง สภาพการณไ์ ดเ้ ปลยี่ น ไป เกิดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างอยุธยากับชาวฮอลันดา เพราะ พ่อค้าฮอลันดาเกิดความต้องการสินค้าส่งออกจากอยุธยาเพิ่มข้ึน โดยเฉพาะหนังกวาง ซึ่งญี่ปุ่นต้องการเป็นจำ�นวนมาก พ่อค้าชาว ฮอลนั ดาและพอ่ คา้ ชาวเอเชยี อน่ื ๆ ตอ้ งการหนงั สตั วไ์ ปขายท�ำ ก�ำ ไร ในญี่ปุ่น เพ่ือซ้ือสินค้าญ่ีปุ่น เม่ือชาวญ่ีปุ่นเปิดประเทศสู่การค้า นานาชาติอีกคร้ังใน พ.ศ. 2176 (1633) มูลค่าของการส่งออกหนัง กวางของอยุธยาเพ่ิมสูงขึ้น ยังมีความต้องการสินค้าจำ�พวกข้าว เครื่องเทศ และสินค้าของป่าต่างๆ ของสยามจำ�นวนมาก เช่น ไม้ ฝาง ไมห้ อม คร่งั และกำ�ยาน ในเรอื เที่ยวกลับ สยามนำ�เขา้ ผา้ ของ อนิ เดยี สนิ คา้ หรหู ราตา่ งๆ ปนื ไฟ โลหะ และโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ โลหะ เงนิ ในเวลาสว่ นใหญข่ องศตวรรษน้ี ชาวสยามสามารถจัดการการ คา้ นานาชาตทิ ม่ี คี วามซบั ซอ้ นนไ้ี ดเ้ อง และกม็ กี ารใชพ้ อ่ คา้ ชาวเอเชยี เช่น ชาวจีน และลูกคร่ึงจีน-สยาม บวกกับพวกมุสลิมจากอินเดีย และตะวันตกไกล อยา่ งไรกด็ ี มีหนา้ ท่ีตา่ งหากบางอยา่ งทเี่ กย่ี วข้อง 172 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป
กบั ผลประโยชนท์ างเศรษฐกจิ ทตี่ อ้ งมอบหมายใหล้ กู เรอื ชาวจนี หรอื ลูกคร่ึงจีน-สยามทำ�ในเรือหลวง เพ่ือเดินทางไปค้าขายกับจีนและ ญป่ี ุ่น และผลประโยชนท์ ีไ่ ดจ้ ากการเชื้อเชญิ ชาวยโุ รปให้เข้าร่วมใน การคา้ ดว้ ย การกระท�ำ นสี้ ามารถกระตนุ้ การแขง่ ขนั ท�ำ ใหร้ าคาสนิ คา้ ออกของสยามสูงข้ึน และยงั ชว่ ยกระตุน้ ความต้องการสินคา้ ดว้ ย แตน่ บั จากทศวรรษ 1630 (2173-2182) เปน็ ตน้ ไป ดว้ ยเหตผุ ล ทางการเมอื ง พระเจา้ ปราสาททองจงึ ทรงสนบั สนนุ ชาวฮอลนั ดา สง่ิ เหลา่ นโ้ี ดยหลกั ๆ แลว้ เกยี่ วขอ้ งกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอยธุ ยา กบั รัฐต่างๆ บนคาบสมุทรมลายู โดยเฉพาะอย่างย่ิง ปัตตานีและ นครศรธี รรมราช เมอื งนครฯ ไดเ้ ขา้ มาเปน็ หวั เมอื งของสยามอยแู่ ลว้ ราวหนง่ึ ศตวรรษหรอื กอ่ นหนา้ นน้ั ปกครองโดยเจา้ เมอื งทเ่ี มอื งหลวง ส่งลงไป และเปน็ แหล่งก�ำ ลังคนเพือ่ เกณท์มาทำ�สงครามกับพม่าใน ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16 อย่างไรกต็ าม ความมงั่ ค่ังทางเศรษฐกจิ อย่างมากมายของเมืองนครฯ ก็ได้ส่งเสริมให้เมืองนครฯ มีบทบาท สำ�คัญเป็นเอกเทศในการค้านานาชาติด้วย และความห่างไกลจาก เมืองหลวงก็ทำ�ให้กษัตริย์ท่ีกรุงศรีอยุธยาควบคุมเมืองนี้อย่างเข้ม งวดไดย้ าก เมอื่ พระเจา้ ปราสาททองสง่ ยามาดา นางามาซะไปปราบ กบฏที่เมืองนครฯ ใน พ.ศ. 2172 (1629) ไม่นานนักราษฎรท่ีนั่นก็ ก่อกบฏตอ่ ตา้ นยามาดา และจากนัน้ ก็ต่อตา้ นการชงิ ราชสมบัติของ พระเจา้ ปราสาททอง ด้วยหลายๆ เหตผุ ลของตนเอง ปัตตานี อาณาจักรหน่ึงของ ชาวมลายู ที่เป็นหัวเมืองประเทศราชของอยุธยาก็ได้ก่อกบฏโดย รว่ มมอื กบั ชาวโปรตเุ กส ปตั ตานโี จมตพี ทั ลงุ และนครศรธี รรมราชใน พ.ศ. 2173 (1630) ไมน่ านนัก สงขลาก็ท�ำ ศึกกับปัตตานีในลกั ษณะ เดียวกัน เร่อื งเลวร้ายลงไปอกี เมือ่ ชาวญ่ีปุน่ ท่ีพระเจ้าปราสาททอง ขบั ไลอ่ อกไปจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาไดห้ นั ไปชว่ ยกมั พชู าโจมตสี ยาม และ 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 173
ขณะนนั้ พมา่ กก็ �ำ ลงั คกุ คามชายแดนดา้ นตะวนั ตกของอยธุ ยา กษตั รยิ ์ ขอกำ�ลังทหารจากชาวฮอลันดามาช่วย โดยจะทรงให้สิทธิพิเศษ ทางการค้าเป็นเคร่ืองตอบแทน น่ันคือ ทรงให้สิทธิผูกขาดการซื้อ หนังกวางเพ่ือส่งออก และยินยอมทำ�สัญญาให้ฮอลันดาซ้ือไม้ฝาง ก่อนหน้าการเจรจาไดข้ ้อสรุปใน พ.ศ. 2177 (1634) อยุธยาสามารถ ควบคุมเมืองนครฯ มาอยู่ภายใต้การปกครองได้ และยังเป็นกังวล อย่างมากในเร่ืองของปัตตานี และกัมพูชา เรือรบลำ�เล็กของชาว ฮอลนั ดาทส่ี ง่ มาชว่ ยอยธุ ยารบกบั ปตั ตานใี นกลางป ี พ.ศ. 2177 (1634) นนั้ มาถงึ ชา้ เกนิ กวา่ จะชว่ ยสยามพน้ จากความพา่ ยแพไ้ ด้ แตก่ ษตั รยิ ์ ก็พอพระทัยในความช่วยเหลือของชาวฮอลันดา และยังคงเห็นค่า ของมิตรภาพกับชาวฮอลันดา ในขณะที่กับอีกวิกฤตการณ์หรืออีก เหตุการณ์หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในอีกสองสามทศวรรษต่อมา กลับทำ�ให้ ความสัมพนั ธข์ องกษัตรยิ ์กับชาวตา่ งชาติกลายเป็นเรือ่ งใหญ่โต เชน่ เดยี วกนั ความสมั พนั ธก์ บั ชาวฮอลนั ดา กม็ ชี ว่ งขาขนึ้ และ ขาลง เช่นเมอื่ พ.ศ. 2179 (1636) ชาวฮอลนั ดาไปเปิดสถานกี ารคา้ ในกัมพูชา และทำ�ใหช้ าวสยามไม่พอใจ หรอื ใน พ.ศ. 2187 (1644) ชาวฮอลันดาเสนอตัวช่วยสยามต่อต้านกัมพูชา หรือระหว่าง พ.ศ. 2190-98 (1647-55) ชาวฮอลันดาชว่ ยอยุธยาปราบกบฏสงขลา ใน รัชกาลพระเจ้าปราสาททองน้ัน เปน็ ชว่ งเวลาทไ่ี ด้เห็นชาวฮอลนั ดา เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในอยุธยา พระเจ้าปราสาททองทรงแบ่งผล ประโยชน์จำ�นวนมากให้ชาวฮอลันดา การค้าของฮอลันดามีความ สำ�คัญมากและกำ�ลังเติบโตข้ึน และไม่ว่าจะมองจากทางใดโดย ธรรมชาตแิ ลว้ ราชอาณาจกั รอยธุ ยาเปน็ ศนู ยร์ วมแหง่ เสถยี รภาพใน อา่ วสยาม พระเจา้ ปราสาททองทรงรสู้ กึ โดดเดยี่ วและถกู คกุ คามจาก อาณาจกั รใกล้เคยี งและหัวเมืองประเทศราช และจากโปรตุเกสด้วย และทรงตอ้ งการอ�ำ นาจทางเรอื มากขนึ้ กวา่ ทพ่ี ระองคส์ ามารถรวบรวม 174 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป
ได้ ดเู หมอื นวา่ จะทรงรสู้ กึ วา่ การรว่ มมอื ของชาวฮอลนั ดานน้ั เกดิ ขนึ้ เพราะแรงจงู ใจทางเศรษฐกจิ อยา่ งมาก ดงั นน้ั พระองคจ์ ะทรงควบคมุ ชาวฮอลันดาได้จากการแบ่งสันปันส่วน การให้สิทธิพิเศษทางการ ค้าแก่พวกฮอลนั ดานั่นเอง สถานการณเ์ ปลยี่ นแปลงอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ในรชั กาลพระนารายณ์ (พ.ศ. 2199-2231 (1656-88)) เมอื่ เกดิ ปญั หาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ชาวฮอลันดากบั อยุธยาข้ึน และเกิดปญั หากับอ�ำ นาจอ่ืนๆ อีกหลาย แห่งดว้ ย พฒั นาการต่างๆ ในชว่ งเวลานี้ซบั ซอ้ น เก่ยี วพันกับหลาย ฝ่าย และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำ�นวนมาก แม้ว่าสำ�หรับนัก ประวัติศาสตร์หลายคน ความสำ�เร็จอันโดดเด่นของรัชกาลพระ นารายณจ์ ะเกย่ี วขอ้ งกบั อ�ำ นาจจากตา่ งชาติ ทนี่ า่ สงั เกต คอื ฝรง่ั เศส แตก่ ม็ เี หตุผลท่จี ะแยง้ วา่ ปัญหาภายในก็มีความส�ำ คัญ อยา่ งน้อยๆ กใ็ นระดบั เทา่ กนั ในทส่ี ดุ ระดบั ตวั บคุ คลและกลมุ่ ตา่ งๆ ในทอ้ งถน่ิ ก็ เขา้ ด�ำ เนนิ นโยบายตา่ งๆ และกระท�ำ การเพอ่ื ปอ้ งกนั หรอื ด�ำ เนนิ การ เพ่อื ผลประโยชน์ของตนเอง เมอ่ื พจิ ารณาถงึ เหตกุ ารณเ์ มอ่ื เรม่ิ รชั กาล หลงั จากการสวรรคต ของพระเจ้าปราสาททอง พระนารายณท์ รงขอใหช้ าวฮอลันดาชว่ ย ในการขึน้ ครองราชย์ แต่ไมเ่ ป็นผลสำ�เรจ็ สองสามเดือนต่อมา ทรง ขึน้ ครองราชย์ด้วยความช่วยเหลือของ “พวกญป่ี ุ่น-ไทย แขกตานี และบางทีอาจเป็นพวกมสุ ลิมเปอรเ์ ซีย”6 ด้วย พระนารายณท์ รงใช้ เวลาส่วนมากในทศวรรษถัดมาทำ�สงครามกับล้านนาและพม่า ใน พ.ศ. 2205 (1662) แมว้ า่ จะทรงชนะเมาะตะมะ ยา่ งกงุ้ หงสาวดี และ ดินแดนโดยรอบ แต่สงครามครั้งนี้จำ�เป็นต้องดึงแหล่งแรงงานและ เงนิ และบางทอี าจพวั พนั กบั ขนุ นางทตี่ า่ งไปจากเดมิ และพวั พนั กบั หัวเมือง มากกว่าพวกทหารรับจ้างท่ีไปรบทางใต้เมื่อรัชกาลก่อน เพ่ือจัดหาเงินในการทำ�สงครามเหล่าน้ี พระคลังชาวเปอร์เซียของ 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 175
พระองค์ได้ริเริ่มเปล่ียนแปลงวิธีการทำ�การค้ากับต่างประเทศของ สยามเสียใหม่ ปลายป ี พ.ศ. 2205 (1662) ราชสำ�นกั กำ�หนดการค้า ผูกขาดของหลวงกับการค้าทุกประเภท ซ่ึงหมายความว่าสินค้าที่ กำ�หนดไว้แล้วว่าเป็นสินค้าส่งออก จะต้องถูกขายให้แก่ราชสำ�นัก กอ่ น ทงั้ ๆ ท่ฮี อลนั ดาไดผ้ ูกขาดหนังสัตว์ไปแลว้ ยิง่ ไปกว่าน้ัน พระ นารายณ์ทรงเร่ิมส่งเรือสำ�เภาของหลวงออกไปค้ากับญี่ปุ่นอีกคร้ัง หน่งึ ฐานะของชาวฮอลนั ดานนั้ เลวลง และพวกเขาไดป้ ดิ กจิ การคา้ ในกรุงศรีอยุธยาไปเมื่อต้นปี พ.ศ. 2206 (1663) หลังจากน้ัน พระ นารายณ์ทรงตระหนักว่า ทรงทำ�มากเกินไป จะเป็นเร่อื งอันตรายท่ี จะบาดหมางกับชาวฮอลนั ดา และราชอาณาจักรก็จะสูญเสยี การคา้ ที่มีมูลค่าสูง ดังน้นั พระองคจ์ งึ ทรงสง่ คณะทูตไปชวา เพอ่ื เจรจากนั อกี ครง้ั ถงึ ความสมั พนั ธข์ องทง้ั สองชาติ ดว้ ยสญั ญาไมตร ี พ.ศ. 2207 (1664) ชาวฮอลันดากลบั มายงั กรุงศรีอยุธยาอกี ด้วยสัญญาทีจ่ ะให้ ผลประโยชนเ์ หมอื นเดมิ ดว้ ยการใหส้ ทิ ธผิ กู ขาดการสง่ ออกหนงั สตั ว์ และการยินยอมในส่ิงใหม่ คือให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ซ่ึงชาว ฮอลันดาที่ทำ�ผิดกฎหมายสยาม จะได้รับสิทธิในการตัดสินคดีโดย ใชก้ ฎหมายของตนเองและขน้ึ ศาลของตนเอง ส�ำ หรบั ประโยชนจ์ าก ชาวฮอลันดาน้ัน ชาวฮอลันดาแสดงเจตนาดีที่จะช่วยเหลือเรือของ สยามทปี่ ระสบปญั หาการคา้ ในอา่ วเบงกอล และใหค้ วามมนั่ ใจวา่ จะ ไดร้ บั สนิ คา้ ของชาวยโุ รป และความชว่ ยเหลอื จากชา่ งฝมี อื ชาวยโุ รป ทง้ั พระนารายณแ์ ละฮอลนั ดาตา่ งไมป่ รารถนาใหช้ าวฮอลนั ดาเขา้ มา ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของสยาม และก็ไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นข้ึนเลยใน ศตวรรษทีเ่ หลือของกรงุ ศรอี ยธุ ยา เนอื่ งจากราชส�ำ นกั ของพระนารายณม์ คี วามมน่ั คงมาอกี สอง สามทศวรรษ เศรษฐกิจของราชอาณาจกั รจึงรุง่ เรือง อย่างไรก็ดี ผล 176 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป
กำ�ไรจากการเติบโตทางเศรษฐกจิ มิได้ถูกแบ่งปนั ภายในหมู่ขุนนาง ชั้นสูง การแข่งขันน้ันเข้มข้นมากขึ้นเพราะเรือหลวงของสยามน้ัน มีกิจกรรมการค้าในทะเลจีนใต้และอ่าวเบงกอลอย่างสมำ่�เสมอ ซึ่ง เมือ่ เรือของชาวอังกฤษ (พ.ศ. 2204 (1661)) ชาวเดนมารก์ (พ.ศ. 2163 (1620)) และบรษิ ทั อนิ เดยี ตะวนั ออกของฝรงั่ เศส เขา้ มาท�ำ การ ค้ากับอยุธยา และยังมีการค้าของพวกเอกชน ซึ่งมีท้ังเรือของชาว ยโุ รป และชาวเอเชีย เร่ิมเขา้ มาเทยี บทา่ ท่ีกรงุ ศรีอยธุ ยา และเมือง ทา่ อื่นๆ ของสยามเปน็ ประจำ� รวมทัง้ ตะนาวศรี มะรดิ เมืองนครฯ และปตั ตานี นคี่ อื สภาพทางเศรษฐกจิ ซง่ึ บรษิ ทั การคา้ ขนาดใหญข่ อง ชาวยโุ รปที่มรี ายจา่ ยค่าโสหุย้ สงู และต้องการผลก�ำ ไรอย่างงาม ไม่ อาจประสบความส�ำ เรจ็ ในการแขง่ ขนั อยา่ งเทา่ เทยี มกนั ทง้ั การผกู ขาด ของหลวงและการแขง่ ขนั กบั พวกพอ่ คา้ เอกชน ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั ชมุ ชน ชาวตา่ งชาตใิ นสยาม หรอื ทแี่ นน่ อนกวา่ นนั้ พวกชาวตา่ งชาตทิ อ่ี าศยั อยู่หรือผสมกลมกลืนไปกับชาวสยาม คนเหล่านี้อาศัยอยู่มาหลาย ช่ัวอายุคน คนกลุ่มน้ีสามารถทำ�กำ�ไรจากการติดต่อกับนานาชาติ และจากความรใู้ นสภาพแวดลอ้ มทางการคา้ ใหมๆ่ ภายใตส้ ภาวการณ์ เช่นนี้ ไม่มีบริษัทของชาวยุโรปบริษัทใดเลยที่เจริญรุ่งเรืองในช่วง ทศวรรษ 1680 (2223-2232) ระหวา่ ง พ.ศ. 2223-2231 (1680-1688) เกดิ พฒั นาการอยา่ ง นา่ ทง่ึ ในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งราชส�ำ นกั อยธุ ยากบั ราชส�ำ นกั ฝรง่ั เศส ของพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 จุดเริ่มต้นของเร่ืองน้ีต้องขอบคุณนักแสวง โชคชาวกรกี คอื คอนสแตนตนิ ฟอลคอน (พ.ศ. 2190-2231 (1647- 1688)) ฟอลคอนนั้นใช้ชีวิตออกท่องเท่ียวพเนจรตั้งแต่ยังเยาว์วัย มาในเรือของพอ่ ค้าชาวองั กฤษ รวมทั้งใชช้ วี ติ ในกรงุ ลอนดอนระยะ หนงึ่ และมายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยากบั เรอื ของบรษิ ทั อนิ เดยี ตะวนั ออกของ องั กฤษ เมอื่ พ.ศ. 2221 (1678) ภายในสองปี เขาเรยี นรกู้ ารพดู ภาษา 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 177
พระนารายณ์ทรงร่วมสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาร่วมกับคณะ บาทหลวงเยซูอติ ชาวฝรง่ั เศส และขนุ นางสยาม ใน พ.ศ. 2228 (1685) ภาพ เขียนของ ซี เวอเมอเลน ในบันทกึ ของบาทหลวงตาชารด์ เรอ่ื ง จดหมายเหตุ การเดินทางสู่สยามของบาทหลวงเยซูอติ ...(ปารีส พ.ศ. 2229 (1686)) 178 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป
ของชาวสยามอย่างคล่องแคล่ว ฟอลคอนทำ�ตนให้เป็นท่ีชอบพอ ด้วยการเขา้ มารับใชพ้ ระคลัง มีต�ำ แหน่งเป็นลา่ มและนักบญั ชี และ เขายงั อาจจะน�ำ คณะทตู และผแู้ ทนการคา้ ของชาวสยามไปยงั เปอรเ์ ซยี ใน พ.ศ. 2223 (1680) เขาข้ึนสตู่ �ำ แหนง่ สงู อย่างรวดเร็ว ดว้ ยความ ชว่ ยเหลอื ของหลายๆ คน เขาเปน็ ปรปกั ษก์ บั บรษิ ทั ของฮอลนั ดาและ องั กฤษ โดยเขาเขา้ ขา้ งพวกพอ่ คา้ เอกชน จงึ ไมส่ ง่ เสรมิ ผลก�ำ ไรของ บริษัท เขายังข่มขู่ชุมชนการค้ามุสลิมผู้ซ่ึงมีอิทธิพลกับพระคลังมา ยาวนาน เขาแสดงให้เหน็ ว่าพ่อค้าเหล่านไี้ ม่วา่ จะเปน็ แขกเปอร์เซยี แขกมลายู และแขกอินเดีย น้ันปลอมแปลงบัญชีการเงิน และเขา กลา่ วหาวา่ คนเหลา่ นพี้ ยายามจะทำ�ใหร้ าชอาณาจกั รเปลย่ี นศาสนา เป็นอิสลาม พระนารายณ์ทรงชอบเขามากและทรงเชื่อการให้คำ� แนะนำ�ของเขา ความรเิ รม่ิ ของพระนารายณใ์ นการตดิ ตอ่ กบั ฝรง่ั เศสนนั้ เกดิ ขึ้นมากอ่ นทีฟ่ อลคอนจะมาถงึ กรุงศรอี ยุธยา และดเู หมอื นวา่ จะเกดิ ขนึ้ จากความตอ้ งการท�ำ ใหร้ าชอาณาจกั รของพระองคเ์ ปน็ ทรี่ จู้ กั และ ยอมรบั ในตา่ งประเทศ จะเห็นได้จากทรงส่งคณะทูตไปยงั เปอรเ์ ซยี กอลคอนดาในอนิ เดยี และไปยงั จนี รวมทง้ั สง่ ไปยงั รฐั เพอ่ื นบา้ นใกล้ เคยี งอกี หลายแหง่ คณะบาทหลวงเยซอู ติ ชาวฝรงั่ เศสเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐาน ในกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2205 (1662) ได้ช่วยเหลือราชสำ�นักใน ด้านการช่าง เช่น การออกแบบ และก่อสร้างป้อมปราการ และ พระราชวังต่างๆ พระนารายณ์ทรงตอบแทนด้วยการอนุญาตให้ เผยแผศ่ าสนาครสิ ต์ และใหต้ งั้ โรงเรยี นสอนศาสนาขนึ้ ในเมอื งหลวง ได้ ใน พ.ศ. 2216 (1673) คณะทูตจากศาสนจกั รฝร่งั เศสไดน้ ำ�พระ ราชสาสนจ์ ากพระสนั ตะปาปาคลเี มนตท์ ่ี 9 และจากพระเจ้าหลุยสท์ ่ี 14 แห่งฝร่งั เศสมาถวาย และนเี่ องทท่ี ำ�ใหใ้ นท่ีสุดพระนารายณ์ทรง ตอบแทนด้วยการส่งคณะทูตไปยังฝร่ังเศส เม่ือปลายปี พ.ศ. 2223 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 179
(1680) แมว้ า่ คณะทตู ชดุ แรกของพระนารายณจ์ ะหายสาบสญู ไปกลาง ทะเล พวกฝรง่ั เศสกไ็ ดส้ ง่ คณะผแู้ ทนการคา้ ชดุ เลก็ มายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ใน พ.ศ. 2225 (1682) คณะผแู้ ทนชดุ นน้ี �ำ โดยเมอรซ์ เิ ออรป์ ลั ลไู ดร้ บั การตอ้ นรบั อย่างเตม็ ใจจากราชส�ำ นกั โดยฟอลคอน ผู้ซงึ่ ขณะนไ้ี ด้ ท�ำ หนา้ ทพี่ ระคลงั และหลงั จากนน้ั ไมน่ านกไ็ ดข้ น้ึ สตู่ �ำ แหนง่ สงู สดุ ใน ฝา่ ยพลเรอื น คอื ตำ�แหนง่ สมุหนายก ฟอลคอนผ้ซู ่งึ เพิง่ จะเปลี่ยน มานบั ถอื ศาสนาครสิ ตน์ กิ ายคาทอลกิ โดยพวกบาทหลวงเยซอู ติ ฟอล คอนท�ำ หนา้ ทล่ี า่ มของเมอรซ์ เิ ออรป์ ลั ลู และอยา่ งรวดเรว็ กไ็ ดพ้ สิ จู น์ ตัวเองว่ารักษาผลประโยชน์ให้พวกฝร่ังเศส และบาทหลวงเยซูอิต สว่ นมากมกั เชอื่ กนั วา่ ฟอลคอนตนื่ เตน้ กบั ความคดิ ทจ่ี ะเปลยี่ นศาสนา ใหพ้ ระนารายณ์ และชาวสยามหนั มานบั ถือศาสนาคริสต์ เน่อื งจาก จดุ มงุ่ หมายนย้ี ากทจี่ ะสมั ฤทธผ์ิ ล ในการทจี่ ะเปลยี่ นกษตั รยิ แ์ ละราช อาณาจักรท่ีนับถือพระพุทธศาสนา และเน่ืองจากฟอลคอนไม่อาจ ทำ�เช่นน้นั ได้อย่างเปิดเผย ดังนัน้ เขาจึงใช้วิธีการสนทนาเก่ียวกับ ปรชั ญากับพระนารายณ์ เขายวั่ แหย่กษตั รยิ ์ให้ทดสอบเหตุผลท่ีเขา เชื่อในศาสนาคริสต์ และกระตุ้นให้พระองค์โต้ประเด็นเร่ืองคำ�สอน ของชาวพุทธกับพระชั้นนำ�และผู้มีความรู้ในราชสำ�นัก ฟอลคอน ชักจงู บาทหลวงเยซูอิต และบางทกี ต็ ัวเขาเอง ให้เช่ือวา่ มีความเป็น ไปไดจ้ รงิ ในการเปลย่ี นศาสนาของพระนารายณ์ ฟอลคอนรดู้ วี า่ ผล ทางการเมืองท่ีจะเกดิ ขึน้ ต่อจากน้จี ะรุนแรง พระนารายณอ์ าจจะถกู ถอดออกจากตำ�แหน่งและอาจจะมีการชักชวนให้อำ�นาจจากต่าง ชาตอิ น่ื ๆ เขา้ มาชว่ ยเหลอื ในการน้ี เขาจงึ ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธ์ อนั แนน่ แฟน้ ระหวา่ งสยามกบั ฝรั่งเศส โดยใหเ้ ป็นพนั ธมิตรกนั คณะทตู สยามชดุ ทสี่ องถกู สง่ ไปยงั ฝรง่ั เศสใน พ.ศ. 2227 (1684) เพ่ือขอให้ส่งคณะทูตฝร่ังเศสมายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อเป็นพันธมิตร 180 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป
กนั คณะทตู ฝรง่ั เศสทส่ี ง่ มาใน พ.ศ. 2228-29 (1685-86) น�ำ โดยเชอ วาลเิ อร์ เดอ โชมองตน์ น้ั มจี ดุ มงุ่ หมายหลกั ในการเปลยี่ นศาสนาแด่ พระนารายณ์ (มีการแขง่ ขันกับคณะทูตจากชาหส์ ุลัยมาน แห่งราช วงศซ์ าฟาวดิ (พ.ศ. 2209-37 (1666-94)) ของเปอรเ์ ซยี ซงึ่ เขา้ มายงั กรุงศรีอยุธยาในเวลาเดียวกัน เพ่ือให้พระนารายณ์ทรงเปล่ียนมา นับถือศาสนาอิสลาม) ผลจากการเจรจาในครั้งน้ี คอื สญั ญาไมตรีที่ อนญุ าตใหฝ้ รง่ั เศสไดร้ บั สมั ปทานการคา้ เชน่ เดยี วกบั ทช่ี าวฮอลนั ดา และพวกอน่ื ๆ ไดร้ บั รวมทงั้ ไดส้ ทิ ธใิ นการตง้ั กองทหารทเ่ี มอื งสงขลา พระนารายณน์ น้ั ดเู หมอื นวา่ จะทรงเสรมิ การปอ้ งกนั ดนิ แดนคาบสมทุ ร เพราะไดเ้ กดิ กบฏขน้ึ ซ�้ำ ๆ และเกดิ สงครามซงึ่ พวั พนั กบั ชาวฮอลนั ดา โดยทว่ั ไปพระนารายณท์ รงไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ กษตั รยิ ท์ มี่ อี �ำ นาจ “เตม็ ” ไม่ใชเ่ ป็นเพยี งผูม้ ีอ�ำ นาจในนาม ในขณะทคี่ ณะทตู สยามอกี ชดุ หนงึ่ อยทู่ ฝี่ รง่ั เศสใน พ.ศ. 2229- 30 (1686-87) น้ัน ในสยามได้เกิดวิกฤตการณ์ข้ึนสองเหตุการณ์ เหตุการณ์แรก ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2229 (1686) ขณะที่พระ นารายณแ์ ละฟอลคอนอยทู่ พี่ ระราชวงั ฤดรู อ้ นทเ่ี มอื งลพบรุ ี กลมุ่ แขก มักกะสันในเมืองหลวงได้วางแผนเพ่ือถอดพระนารายณ์ออกจาก ตำ�แหน่ง คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มน้ีเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยา เนอื่ งจากถกู ชาวฮอลนั ดาขบั ไลอ่ อกมา จากทที่ �ำ การคา้ ของตนบรเิ วณ ทะเลชวา พวกเขาจึงต่อต้านฮอลันดาอย่างเข้มแข็ง เจ้าชายชาว มักกะสันเป็นผู้วางแผนสมคบคิดในคร้ังนี้ โดยมีพวกเจ้าชายจาม หลายคนเขา้ ร่วมด้วย พวกเขาวางแผนจะเผากรุงศรอี ยธุ ยา และยก พระอนชุ าองคใ์ ดองคห์ นง่ึ ของพระนารายณข์ นึ้ ครองราชยแ์ ทน และ จะให้พระองค์เปลี่ยนศาสนาเปน็ มสุ ลิม แผนของพวกแขกมกั กะสนั เกดิ รวั่ มาเขา้ หขู องฟอลคอน จงึ จดั กองทหารไปลอ้ มและปราบชมุ ชน พวกมกั กะสนั ทก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยาไดใ้ นเดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2229 (1686) 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 181
ต่อมาฟอลคอนได้ประจบประแจงพระนารายณ์ ในขณะที่หัวหน้า พวกศตั รขู องฟอลคอน คอื พระเพทราชาซงึ่ ในขณะนนั้ ไดว้ า่ ราชการ ในกรมชา้ ง ได้โอกาสท�ำ ให้พระอนชุ าของพระนารายณ์เสื่อมเสียชือ่ เสยี ง เพอื่ ท�ำ ลายโอกาสทจ่ี ะไดค้ รองราชยส์ มบตั ติ อ่ จากพระนารายณ์ เหตุการณท์ ี่สอง ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2230 (1687) ได้ เกดิ ฆาตกรรมหมทู่ เ่ี มอื งมะรดิ ชาวองั กฤษ 60 คนถกู ฆา่ ทเี่ มอื งมะรดิ ซ่งึ เป็นเมอื งท่าทชี่ ายฝั่งทะเลตะนาวศรี จุดเรมิ่ ต้นของเร่อื งนีเ้ กดิ ข้ึน เน่ืองจากความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ พอ่ คา้ เอกชนชาวองั กฤษ โดยเฉพาะพวกทค่ี า้ ขายบรเิ วณอา่ วเบงกอล ฟอลคอน และราชส�ำ นกั สยาม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบรษิ ัทกบั ฟอล คอนและชาวสยามได้เลวร้ายลงมาช่วงหนึ่งแล้ว การจัดการธุรกิจ การคา้ ของบรษิ ทั ในกรงุ ศรอี ยธุ ยานนั้ แยล่ งและขาดทนุ มาตลอด ฟอล คอน แทนทจ่ี ะชว่ ยบริษัท กลบั ให้พวกพ่อค้าเอกชนชาวอังกฤษท�ำ กจิ การใหส้ ยาม แมแ้ ตก่ ารตดิ อาวธุ ใหค้ นเหลา่ นเี้ พอื่ ปราบปรามพวก แขกมักกะสัน และมอบหมายให้เรือของพ่อค้าเอกชนชาวอังกฤษ เปน็ กองเรอื รบเพอื่ โจมตกี องเรอื ของอาณาจกั รกอลคอนดาในอนิ เดยี ใต้ เน่อื งจากบริษทั พยายามดำ�รงความสมั พันธ์อันดกี บั กอลคอนดา จงึ ถอื วา่ กองเรอื รบเป็นเรอื โจรสลดั และใน พ.ศ. 2229 (1686) กอล คอนดากไ็ ดท้ �ำ สงครามกบั สยาม ค�ำ ประกาศเจตนารมณข์ ององั กฤษ มาถึงสยาม และราชสำ�นักก็เพ่มิ ความระแวดระวังและสงสัยอังกฤษ ฟอลคอนได้มอบหมายให้เพ่ือนเก่าชาวอังกฤษสองคน คือริชาร์ด เบอรน์ าบี และ แซมมวล ไวท์ ไปปกครองมะรดิ จากทน่ี น่ั เอง ทพี่ วก เขาจัดกองเรอื รบและรวบรวมทรัพย์สนิ เรอ่ื งราวมาถงึ จดุ สงู สดุ เมอ่ื ในเดอื นเมษายน พ.ศ. 2231 (*นบั ศกั ราชแบบเกา่ 1687) บรษิ ทั อนิ เดยี ตะวนั ออกขององั กฤษเรยี กรอ้ ง ค่าเสียหายจำ�นวน 65,000 ปอนด์จากพระนารายณ์ และขู่ว่าจะ 182 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป
ตอบโต้เรือของชาวสยามและบริวาร และจะปิดล้อมเมืองมะริด ใน เดอื นมถิ นุ ายน เรอื รบเคลอื่ นทเี่ รว็ ขนาดเลก็ ของบรษิ ทั สองล�ำ มาจอด ท่ีเมืองมะริด เพื่อบังคับให้ทำ�ตาม เบอร์นาบีและไวท์เกรงว่าจะถูก กลา่ วหาจากราชส�ำ นกั องั กฤษวา่ เปน็ โจรสลดั ทงั้ สองไดจ้ ดั งานเลยี้ ง อย่างใจปำ้� เพ่ือเอาชนะใจของผู้บังคับการของบริษัท จึงเป็นที่น่า สงสัยว่าชาวอังกฤษอาจเข้าร่วมในกองทัพและจะเข้ายึดเมือง ผู้มี อ�ำ นาจในเมอื งมะรดิ ชาวสยามจงึ เปดิ ฉากยงิ เรอื รบในวนั ท่ี 14 มถิ นุ ายน (* พ.ศ. 2231) และสงั หารหมชู่ าวองั กฤษทกุ ๆ คนทพ่ี วกเขาพบ เดอื น ตอ่ มาพระนารายณป์ ระกาศสงครามกบั บรษิ ทั อนิ เดยี ตะวนั ออกของ อังกฤษ และมอบเมืองมะริดให้อยใู่ นความดูแลของฝรง่ั เศสและกอง ทหารฝรงั่ เศสกองเลก็ ๆ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2231 (1687) คณะทูตฝรั่งเศสคณะ ใหญจ่ ากฝรงั่ เศสไดเ้ ดนิ ทางมาถงึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา น�ำ โดย โคลด์ เซเบเรต์ ดู บุลเลย์ ผู้อำ�นวยการบริษัทอินเดียตะวันออกของฝร่ังเศส และ ซมิ อง เดอ ลา ลแู บร์ ทีเ่ ขา้ มาพร้อมเรอื รบขนาดใหญ่หกล�ำ พรอ้ ม ดว้ ยกองทหารหา้ รอ้ ยนาย และบาทหลวงเยซอู ติ ทมี่ คี วามหลากหลาย ทัง้ นักการทูตและชา่ งฝมี อื ชาวฝรง่ั เศสไดต้ ัดสินใจแลว้ วา่ จะตง้ั กอง ทหารที่เมอื งบางกอกมากกวา่ ท่สี งขลา เพือ่ จะไดอ้ ยใู่ นต�ำ แหนง่ ทีด่ ี กว่า ในการควบคุมการค้าของราชอาณาจักรไว้ได้ พวกเขายนิ ดีใน โอกาสท่จี ะไดส้ ง่ กองทหารส่วนหน่งึ ไปประจ�ำ ยงั เมอื งมะรดิ ซงึ่ อาจ จะช่วยให้ชาวฝร่ังเศสได้เปรียบท่ีอ่าวเบงกอล การเจรจาของคณะ ทูตกับฟอลคอนนั้นยุ่งยากและยืดเยื้อ คณะทูตตกใจท่ีได้พบว่า ฟอลคอนไม่สนับสนุนความหวังของพวกเขาในการเปลี่ยนพระ นารายณ์ ให้มานบั ถือครสิ ต์ศาสนาเสยี แลว้ สญั ญาไมตรฉี บบั ใหมท่ ี่ คณะทตู ไดข้ อ้ สรปุ ในวันที่ 11 ธนั วาคม พ.ศ. 2231 (1687) น้ัน แตก ตา่ งเพียงเล็กน้อยกับสัญญาทางการคา้ เมอ่ื พ.ศ. 2228 (1685)ไมม่ ี 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 183
การกำ�หนดสถานะของกองทหารฝร่ังเศสที่บางกอกและมะริด ไม่ นานนกั ผแู้ ทนชาวฝรง่ั เศสกเ็ ดนิ ทางกลบั ลา ลแู บร์ หนง่ึ ในคณะทตู ชุดน้ีได้เขียนบันทึกเก่ียวกับสยามในศตวรรษท่ี 17 น่าเช่ือถือมาก ทส่ี ุด ต่อมา ความสัมพันธร์ ะหวา่ งฝร่งั เศสกับสยามกเ็ สือ่ มลงอย่าง รวดเร็ว ภายในไมก่ เี่ ดอื น สยามกเ็ ผชญิ กบั ความเปลย่ี นแปลงครงั้ ใหญ่ อย่างกะทันหัน ซ่ึงเรียกกันในสมัยน้ีว่า “การปฏิวัติ” ซ่ึงเป็นเรื่อง เก่ียวกบั อ�ำ นาจและการใชอ้ �ำ นาจ ผูน้ �ำ ซง่ึ มชี ือ่ เสียงทีส่ ดุ ท่ีเก่ียวขอ้ ง กบั เหตกุ ารณน์ ี้ คอื พระเพทราชาและลกู ชาย คอื หลวงสรศกั ดิ์ พระ เพทราชาน้นั มกี �ำ เนิดมาจากบ้านนอก คอื หม่บู า้ นพลูหลวงในเมอื ง สพุ รรณบรุ ี และมคี วามเกย่ี วพนั ทางสายเลอื ดอยบู่ า้ งกบั กษตั รยิ พ์ ระ องคก์ อ่ นๆ อยา่ งไรกต็ าม พระเพทราชาไดข้ น้ึ สอู่ �ำ นาจเนอื่ งจากความ จรงิ ทว่ี า่ มารดาของพระองคไ์ ดเ้ ปน็ แมน่ มของพระนารายณ์ และพระ เพทราชากบั พระนารายณจ์ งึ ถกู เลยี้ งดมู าดว้ ยกนั ราวกบั เปน็ พน่ี อ้ ง กนั จากตำ�แหน่งเจ้ากรมชา้ ง พระเพทราชาไดแ้ สดงความเป็นผูน้ ำ� ทางการทหาร และแสดงความกล้าหาญในสงครามช่วงต้นรัชกาล และก็มีสิทธิจากความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระนารายณ์ นับจาก ทศวรรษ 1680 (2223-2232) พระเพทราชาแสดงตัวออกมาชดั เจน วา่ เปน็ ผนู้ �ำ ขนุ นางทเ่ี ปน็ ฝา่ ยตรงขา้ มกบั ฟอลคอน และประสบความ ส�ำ เรจ็ มากกวา่ ขนุ นางอน่ื ๆ ในราชส�ำ นกั ทสี่ ามารถรกั ษาผลประโยชน์ ของตนเองเอาไว้ได้ โดยไม่ต้องขัดแย้งกับความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ระหว่างฟอลคอนกับพระเจา้ แผน่ ดิน ซงึ่ เร่อื งน้ีได้ท�ำ ลายขนุ นางคน อื่นมาเสียมากแล้ว หลวงสรศักด์ิ ลูกชายของพระเพทราชา อาจจะมีความทะเยอทะยานมากกว่าและโหดเห้ียมกว่าพ่อของเขา แม้ว่าแรงบันดาลใจและการกระทำ�ของเขาจะยังไม่ปรากฏให้เห็น อย่างชดั เจนก็ตาม ตน้ ป ี พ.ศ. 2231 (*นับศกั ราชแบบเก่า 1688) คน 184 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป
เหล่าน้ีได้เร่ิมต้นแผนการขจัดฟอลคอน และยึดอำ�นาจจากพระ นารายณ์ซ่งึ ใกล้จะสวรรคต ความรู้สึกต่อตา้ นชาวต่างชาติและตอ่ ตา้ นชาวฝร่ังเศสมมี าก ขึน้ อยา่ งที่ผ้คู นเห็นกัน ขุนนางท่มี ีอ�ำ นาจสงู สดุ ของกษัตริย์เป็นชาว กรกี ซึง่ แตง่ งานกบั หญงิ ชาวญป่ี ุ่นที่นับถือศาสนาคริสต์ และมีชีวิต อยู่อย่างชาวยุโรป แวดล้อมด้วยนักบวชฝร่ังเศสและพ่อค้าอังกฤษ ฟอลคอนดจู ะพถิ พี ถิ นั ตอ่ ผลประโยชนข์ องชาวตา่ งชาตแิ ละชาวครสิ ต์ มากกว่าผลประโยชน์ของกษัตริย์เสียอีก อีกทั้งความหย่ิงยโสและ การมักมากในกามของทหารฝร่งั เศสท�ำ ให้หลายคนโกรธแค้น พระ สงฆแ์ ละฆราวาสรสู้ กึ สงสยั ในความเตบิ โตอยา่ งโดดเดน่ ของพระชาว ครสิ ต์ ชมุ ชนการคา้ ชาวตา่ งชาตหิ ลายแหง่ ตอ้ งเดอื ดรอ้ นจากนโยบาย ของฟอลคอนท่ีให้ประโยชน์ต่อพ่อค้าเอกชนชาวอังกฤษ และพวก เขาคิดกนั วา่ คอื บรษิ ทั เหตผุ ลทกุ อยา่ งทพ่ี ิจารณามาน้ี อาจเปน็ เชอ้ื เพลิงท่กี ระพอื ใหค้ วามเกลียดชงั ชาวต่างชาติระเบดิ ขึน้ แต่สิ่งทีเ่ กิด ขนึ้ จริงๆ ยงั คงเปน็ เร่ืองซับซอ้ น ในเดอื นมีนาคม พ.ศ. 2231 (*นับศักราชแบบเก่า 1688) พระ นารายณป์ ระชวรหนกั ซงึ่ ทกุ คนรดู้ วี า่ ทรงเปน็ โรครา้ ยแรงทจ่ี ะสวรรคต ได้ ผมู้ สี ทิ ธใิ์ นราชบลั ลงั กก์ ค็ อื พระอนชุ าสองพระองค์ คอื เจา้ ฟา้ อภยั ทศ และเจา้ ฟา้ นอ้ ย และบตุ รบญุ ธรรมอกี คนหนง่ึ คอื หมอ่ มปยี ์ พระ เพทราชาและหลวงสรศกั ดิน์ ้ันประนีประนอมกับท้งั สามฝา่ ย ตอ่ มา พระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ช้ีให้เห็นว่า เจา้ ฟ้าทง้ั สองพระองค์มี สว่ นพวั พนั กบั การกบฏของแขกมกั กะสนั และท�ำ ใหเ้ หน็ วา่ หมอ่ มปยี ์ เป็นผ้ทู ูลใสร่ า้ ยเจา้ ฟ้าทงั้ สองกบั พระนารายณ์ เพราะหวังจะได้ราช สมบตั ิ เมอื่ ขนุ นางชนั้ ผนู้ �ำ เกลย้ี กลอ่ มพระนารายณซ์ ง่ึ ก�ำ ลงั ประชวร ให้ตั้งพระเพทราชาเป็นผู้สำ�เร็จราชการ พระเพทราชาจึงจัดการ สงั หารหมอ่ มปยี ์ ตอ่ มาไดจ้ บั กมุ ฟอลคอนในขอ้ หากบฏ และประหาร 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 185
ชวี ติ ฟอลคอนทนั ที ในวนั ท่ี 5 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2231 (1688) เดือนตอ่ มา ในทนั ทที พี่ ระนารายณส์ วรรคตในวนั ท่ี 11 มถิ นุ ายน หลวงสรศกั ด์ิ ก็สังหารเจ้าฟ้าอภัยทศและเจ้าฟ้าน้อย ถึงแม้ว่าพระเพทราชาหวัง จะยุติความเป็นผู้ช่วงชิงบัลลังก์ จนถึงตอนนี้ทรงไม่มีทางเลือกอีก แล้ว และต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ กองทหารชาวฝร่ังเศสท่ีรักษาป้อมที่ เมืองบางกอก ซึ่งในตอนน้ีถูกทหารสยามยึดไว้ได้แล้ว ในที่สุดได้ ตกลงยอมออกจากอาณาจักร ทย่ี งั อย่กู ็คือ บาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่ ถูกขงั คุก และชาวครสิ ต์ท่ถี กู ปฏบิ ัตอิ ย่างโหดร้าย อยา่ งไรกด็ ี ราช สำ�นักใหม่ไม่ได้ต่อต้านชาวต่างชาติหรือต่อต้านชาวคริสต์อย่างไม่ ลมื หลู มื ตา ชาวองั กฤษยงั คงอยใู่ นอยธุ ยาไดอ้ ยา่ งอสิ ระ และพระเพท ราชาทรงท�ำ สญั ญาไมตรฉี บบั ใหมก่ บั ชาวฮอลนั ดาในเดอื นมถิ นุ ายน ไมน่ านนกั พวกบาทหลวงฝรง่ั เศสกเ็ ปน็ อสิ ระ และประกอบกจิ กรรม ทางศาสนาไดเ้ หมือนแต่กอ่ น เหตกุ ารณ์การปฏิวัต ิ พ.ศ. 2231 (1688) ในกรงุ ศรอี ยุธยานัน้ จะปะทุขึ้นอย่างแน่นอน เน่ืองจากความรู้สึกเกลียดชังชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การขยายขอบเขตการระดมพลของพระเพทราชา นนั้ ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากหลายกลมุ่ ทม่ี เี ปา้ หมายเดยี วกนั เชน่ จาก พระสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนาและขนุ นางชน้ั ผนู้ อ้ ย อยา่ งไรกต็ าม ผนู้ �ำ การกอ่ การหลายคนทรี่ ว่ มมอื กนั เคลอ่ื นไหวนนั้ มาจากความขดั แยง้ ทางภูมิปญั ญาที่มากกวา่ เพียงเรือ่ งของอำ�นาจ พวกเขามีความกลวั ศาสนาครสิ ต์ แมภ้ ายในหนง่ึ ศตวรรษประสบความส�ำ เรจ็ ในการเปลย่ี น ศาสนาชาวสยามไดน้ อ้ ยกวา่ หยบิ มอื เสยี อกี ไมน่ อ้ ยไปกวา่ ความกลวั ว่าปัจเจกชนสองสามคนจะมีอิทธิพลอย่างไม่สมควร ต่อวัฒนธรรม และอารยธรรมของสงั คมของพวกเขาเสยี อกี พวกเขารสู้ กึ ผดิ หวงั ตอ่ การใช้อำ�นาจอย่างผิดๆ ของทั้งกษัตริย์และขุนนางผู้มีอำ�นาจสูง ที่ ไปเข้าข้างบุคคลและกลุ่มคนท่ีไม่มีความจงรักภักดีอย่างย่ังยืนต่อ 186 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป
สยาม และบางคนอาจจะเช่อื ด้วยว่า อยุธยาไดถ้ ล�ำ ลึกสหู่ ้วงนำ้�แหง่ อ�ำ นาจอนั ยง่ิ ใหญท่ างการเมอื งทมี่ ดื มนและอนั ตรายมากเกนิ ไปแลว้ พวกเขาอาจจะร้สู กึ สบายใจมากกวา่ ท่ีจะอยู่ในโลกที่มีการคา้ และมี ความสมั พนั ธก์ บั นานาชาตใิ นขนาดเลก็ และเรยี บงา่ ย พวกเขาไมไ่ ด้ ต้องการปฏิเสธโลกภายนอก แต่พวกเขาต้องการจัดการในระดับที่ ควบคมุ ได้ และบางทอี าจตอ้ งการรักษาจารตี ประเพณไี ว้ด้วย ลา้ นนาในห้วงแห่งความวนุ่ วาย การเปรยี บเทยี บประวตั ศิ าสตรอ์ ยธุ ยาในชว่ ง พ.ศ. 2112-2231 (1569-1688) กับประวัติศาสตร์ล้านนาในช่วงเวลาเดียวกัน เป็น ตวั อยา่ งอนั ดใี นการชใ้ี หเ้ หน็ ความแตกตา่ งกนั ในโลกของคนไท-ไต รฐั “ลาว” ทง้ั สองคอื ลา้ นนาและลา้ นชา้ ง ยงั คงเหมอื นกนั ในโครงสรา้ ง ทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่แตกต่างกันในสภาพทางการเมอื ง ลา้ น นากลายเป็นรฐั ทอี่ อ่ นแอภายใตบ้ ังคับของพมา่ ทมี่ อี ำ�นาจเหนือกว่า ในขณะทลี่ า้ นชา้ งไดฟ้ นื้ ฟอู สิ รภาพของตน และเขา้ สยู่ คุ ทองแหง่ ความ มง่ั คงั่ ร่�ำ รวยและความเรอื งรองทางวฒั นธรรม ราชวงศ์มังรายหมดส้ินลงอย่างส้ินเชิง เมื่อเชียงใหม่ตกเป็น ของพมา่ ใน พ.ศ. 2101 (1558) และมีการขับไล่ผปู้ กครองท่ไี รอ้ �ำ นาจ ออกจากบัลลงั ก์ (*พญาเมกุฏิ) ใน พ.ศ. 2107 (1564) หลงั จากนนั้ พมา่ กแ็ ตง่ ตง้ั ผปู้ กครองคนใหมซ่ งึ่ กลายเปน็ หนุ่ เชดิ ทเี่ คราะหร์ า้ ยของ พม่า (*คือ พระนางวสิ ทุ ธเิ ทวี เชอื้ สายราชวงศม์ ังราย และไดถ้ วาย ตวั เปน็ ชายาของพระเจา้ บเุ รงนอง) นายทหารและขนุ นางพมา่ ถกู สง่ มาควบคมุ เมอื งส�ำ คญั ๆ อน่ื ๆ ในลา้ นนา ในชว่ งนนั้ ลา้ นนาถกู เกณฑ์ ท้ังกำ�ลังทหารและเสบียงเข้าร่วมทำ�ศึกต่อต้านกรุงศรีอยุธยา จวบ จนเกือบสิ้นศตวรรษนี้ วัฏจักรท่ีโหดร้ายน้ีก็เริ่มสิ้นสุด เมื่อการต่อ 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 187
ต้านพม่าเรม่ิ ตน้ ขนึ้ ใน พ.ศ. 2138 (1595) กษตั รยิ แ์ ห่งล้านช้างรว่ ม มือกับเจ้าแห่งน่านเพื่อขับไล่พม่า แต่ไม่ประสบผลสำ�เร็จ อย่างไร ก็ตาม ถึงเวลาแล้ว ในระหว่างกลางทศวรรษ 1590 (2133-2142) พระนเรศวรเขา้ โจมตดี นิ แดนหงสาวดเี กอื บจะทกุ ปี และพระเจา้ นนั ท บุเรงแห่งพม่าก็เผชิญกับการก่อกบฏภายในอยู่ด้วย และยังมีการ ทา้ ทายจากรัฐอาระกัน (*ยะไข)่ ทอ่ี ยู่ข้างเคียง อีกทงั้ จากนกั แสวง โชคชาวโปรตเุ กสใน พ.ศ. 2142 (1599) เมอื่ พระเจา้ นนั ทบเุ รงสวรรคต ในปนี น้ั พมา่ ทเ่ี คยรวมตวั กนั ไดก้ แ็ ตกออกเปน็ เสย่ี งๆ เกอื บจะทง้ั หมด เจ้าชายพม่าท่ีปกครองเชียงใหม่ (*มังนรธาช่อโอรสของพระนาง วิสุทธิเทวีกับบุเรงนอง) ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากพม่าเลย (*เพราะราชวงศต์ องอแู ตกสายกนั ) ดงั นนั้ เมอ่ื ลา้ นชา้ งบกุ เขา้ มาใน ลา้ นนา และยดึ เชียงแสน เจ้าชายไมม่ ที างเลือก นอกจากขอความ ชว่ ยเหลอื ไปยังสยาม โดยเสนอให้ลา้ นนาอย่ภู ายใตอ้ ำ�นาจของพระ นเรศวร พระนเรศวรทรงพอพระทยั และทรงสง่ กองทพั ไปยดึ เชยี งแสน กลบั คนื มา และแตง่ ตง้ั ขนุ นางลาวเปน็ ตวั แทนของชาวสยามปกครอง ทีเ่ ชยี งแสน สถานการณ์ซ่ึงไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ อำ�นาจของอยุธยา เหนือเจ้าชายพม่าท่ีปกครองล้านนาอยู่นั้นจบส้ินลงราวกว่าหนึ่ง ทศวรรษ หลงั จากนน้ั เมอ่ื พมา่ อา้ งสทิ ธใ์ิ นการควบคมุ ดนิ แดนลา้ นนา ข้ึนใหม่ พม่าค่อนข้างจะทำ�ได้ง่ายๆ บางทีอาจเพราะเกิดความขัด แยง้ อย่างรนุ แรงในหม่ผู นู้ �ำ ของสังคมลา้ นนา ฝา่ ยเหนือถกู แบ่งออก เป็นเมอื งเล็กๆ มากมาย ล้วนแข่งขนั และไม่วางใจต่อกนั ยง่ิ ไปกวา่ นั้น เชียงใหม่ก็อยู่ภายใต้เจ้าชายพม่าท่ีถูกโดดเดี่ยวและแทบจะไม่ สามารถใชอ้ �ำ นาจความเปน็ ผนู้ �ำ ของตนไดเ้ ลย เนอ่ื งจากเจา้ ชายพมา่ ส้ินพระชนม์ใน พ.ศ. 2150 (1607) และหลงั จากน้นั พระโอรส 3 องค์ ของพระองคก์ ผ็ ลัดกันขึ้นครองราชย์ พระโอรสองคเ์ ลก็ (*พระช้อย) 188 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป
ปกครองใน พ.ศ. 2156 (1613) พระเจา้ อนอคเปตลนุ (Anaukpetlun) ทรงปลดเจา้ เมอื งเชยี งแสนไดอ้ ยา่ งเรยี บรอ้ ย และตง้ั คนของพระองค์ ไปปกครองท่ีเมืองน้ัน และจากน้ัน ใน พ.ศ. 2157 (1614) ทรงบุก โจมตีเชยี งใหม่ พมา่ ยดึ หวั เมืองเหนอื ได้อีกคร้งั หน่ึง แต่กป็ ล่อยให้ ลา้ นนาแบง่ ออกเป็นเมอื งเลก็ เมืองนอ้ ยเช่นเดิม การปกครองลา้ นนาเชน่ นด้ี �ำ รงเรอ่ื ยมาจนกลางทศวรรษ 1620 (2163-2172) เมื่อเกิดกบฏในเมืองนา่ น เชยี งของ และเชยี งรุ่ง พม่า จึงส่งกองทัพเข้ามาในพื้นท่ี นำ�โดยเจ้าชายชาวพม่าซึ่งเป็นผู้ดูแล เมอื งเหนอื ทง้ั หมด (*ตลนุ มนิ ) ใน พ.ศ. 2174 (1631) ผปู้ กครองเมอื ง เชยี งใหม่ (*พระญาพลเสกิ ซ้าย) ประกาศอสิ รภาพตอ่ พมา่ และเขา้ ยดึ เมอื งเชยี งแสน พมา่ จงึ แกเ้ ผด็ ดว้ ยการแตง่ ตงั้ พญาหลวงทพิ เนตร เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้าเมืองประเทศราชอีก ตอ่ ไป การปกครองท่เี ครง่ ครัดแบบใหม่เกดิ ขนึ้ ในภมู ภิ าคนี้ และใน เวลาไมก่ ที่ ศวรรษน้ี พงศาวดารกบ็ นั ทกึ เพยี งการเปลยี่ นตวั ผปู้ กครอง จากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกคนได้รับการสนับสนุน จากกองทพั พมา่ หรอื ไมก่ ถ็ กู เนรเทศไปเกบ็ ตวั ทก่ี รงุ องั วะ ซง่ึ เปน็ การ จดั การกบั ผกู้ ระด้างกระเด่ืองทปี่ ระสบความสำ�เรจ็ ดีนัก ต่อมาใน พ.ศ. 2203 (1660) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง รุนแรง หลงั จากท่ีกองทัพจีนบกุ เข้ามาทางตอนเหนือของพม่า เพื่อ ตามหาจกั รพรรดโิ หยง่ หล่ี ซงึ่ เปน็ จกั รพรรดอิ งคส์ ดุ ทา้ ยของราชวงศห์ มงิ และถูกเนรเทศ เพียงชว่ งตน้ ศตวรรษ ผปู้ กครองเมืองเชียงใหมก่ ลัว การรกุ รานของจีน และหมดหวงั ทีจ่ ะขอความช่วยเหลอื จากพม่า ท่ี หมดกำ�ลังสู้รบกับจีน จึงร้องขอให้อยุธยาช่วยป้องกันเมืองของตน พระนารายณ์จึงส่งกองทัพข้ึนไปทางเหนือในปลายปี พ.ศ. 2203 (1660) แต่เมื่อกองทัพไปถึง ฝ่ายเชียงใหม่รู้ว่าพวกจีนถอนทัพไป จากพมา่ แลว้ จงึ ถอนก�ำ ลงั ของตนออกจากกองทพั ของสยาม กองทพั 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 189
ของพระนารายณเ์ ขา้ โจมตลี �ำ ปางตอ่ ไป แตไ่ มส่ ามารถตเี ชยี งใหมไ่ ด้ และทรงยกทพั กลบั ไปในตน้ ป ี พ.ศ. 2204 (1661) ปตี อ่ มา พระนารายณ์ ส่งกองทัพใหญก่ วา่ เดมิ น�ำ โดยแมท่ ัพทดี่ ีทส่ี ดุ ขนึ้ ไปโจมตีเชยี งใหม่ ศกึ ครั้งน้ตี ไี ด้ท้ังลำ�ปางและเชียงใหม่ และยดึ ของมีคา่ มากมาย รวม ทั้งพระพทุ ธสหิ งิ ค์อนั เลอื่ งช่ือ ตอ่ มาไมน่ าน กองทพั สยามก็ถกู กอง ทหารพมา่ ขบั ไลอ่ อกไปจากเมอื ง จากจดุ นเ้ี ปน็ ตน้ ไป พมา่ เผชญิ กบั ความยากลำ�บากในการปกครองล้านนา เจ้าชายพม่าถูกส่งมาเป็น อปุ ราชของหวั เมอื งลา้ นนาทเ่ี ชยี งใหมต่ ามปกติ และราวครงึ่ ศตวรรษ ทไี่ ตยวน และไตลอื้ ไตใหญ่ และชาวเขาเผา่ ตา่ งๆ เปน็ ทกุ ขอ์ ยอู่ ยา่ งๆ เงยี บๆ กับระบบการปกครองอันแสนบีบค้ัน ถกู เรียกเก็บภาษอี ยา่ ง สาหสั และบอ่ ยครง้ั ยงั ถกู เกณฑไ์ ปเปน็ ทหารในกองทพั พมา่ ทอ่ี ยหู่ า่ ง ไกลจากบา้ นเกดิ ของพวกเขาดว้ ย สำ�หรบั กรงุ ศรอี ยธุ ยาในศตวรรษ นี้ หรือประมาณน้ัน ถกู กองทัพใหญ่ของพมา่ บุกโจมตเี ป็นคร้งั แรก ในทศวรรษ 1560 (2103-2112) ซง่ึ เป็นช่วงเวลาแหง่ การฟน้ื ฟู แหง่ การพฒั นาทางเศรษฐกจิ และความหลากหลายทางการเมอื ง ส�ำ หรบั ล้านนาช่วงเวลาน้ี เป็นห้วงเวลาแห่งความทุกข์ระทม เกิดสงคราม บอ่ ยครั้ง เมืองและหมู่บา้ นรา้ งผคู้ นอยู่บอ่ ยๆ ครอบครัวของชาวไต ยวนถกู บงั คบั ใหเ้ ดนิ ทางขา้ มภเู ขาไปยงั เมอื งหนง่ึ หรอื อกี เมอื งหนงึ่ หรือแม้แต่ไปยังพม่า ตำ�นานของเมืองเล็กเมืองน้อยที่ยังหลงเหลือ อยู่กล่าวถึงการพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว และการ แตกแยกของราชวงศ์ท่ปี กครองในทอ้ งถิ่น สถานการณท์ ่เี ฉพาะผทู้ ี่ ฉวยโอกาสมากทส่ี ดุ เทา่ นนั้ จงึ จะคงมอี �ำ นาจอยไู่ ด้ ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษ ท่ี 18 หัวเมอื งทางเหนือแตกแยก เพราะความเปน็ ผนู้ ำ�ที่จะรวบรวม ดนิ แดนมนี อ้ ยกวา่ ในหลายๆ ศตวรรษกอ่ น และมรดกทางวฒั นธรรม ทเ่ี ขม้ แขง็ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ความรงุ่ เรอื งอยา่ งในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16 ก็ถูกละเลย 190 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป
ท่ามกลางผู้ท่ียังเหลืออยู่ ในช่วงศตวรรษนั้น ชาวไตยวนที่ เหลือเป็นศัตรูกัน และมักทำ�สงครามกันบ่อยๆ ไตยวนมักตกเป็น เหยื่อของเพ่ือนบ้านท่ีเป็นศัตรู หรือไม่ก็เพ่ือนบ้านท่ีทะเยอทะยาน และยิ่งชาวไตยวนแตกสามัคคีกันยาวนานข้ึน โอกาสที่จะกลับมา รวมตวั กันกย็ ่ิงยากมากขึน้ ดเู หมือนวา่ ชาวไตยวนจะมีจ�ำ นวนน้อย ลง ยากจนลง และเป็นชุมชนท่คี อ่ นขา้ งจะถกู โดดเดีย่ วอยใู่ นหบุ เขา สงู รมิ แมน่ ้ำ�ดา้ นใน ผู้คนในภูมิภาคนี้ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษนี้ยังถูกปกครอง โดยผปู้ กครองทพ่ี มา่ แตง่ ตงั้ มา เพราะเชยี งใหมพ่ ยายามจะกอู้ สิ รภาพ คืนมา ระหว่างช่วงเวลาน้ี ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของสังคม ล้านนา มากกว่าอำ�นาจของพม่าท่ีลดลงในภูมิภาคน้ี และความ สามารถของผูป้ กครองทีม่ ีความพิเศษทจี่ อ้ งหาโอกาสของตน ใน พ.ศ. 2270 (1727) เทพสิงห์ ชาวลาวบ้านนอกทอี่ าศยั อยู่ (*เมืองยวม) นอกเมืองเชียงใหม่ (มีสมัครพรรคพวกจำ�นวนมากที่ ยกยอ่ งเขาเปน็ ผมู้ บี ญุ ซง่ึ มอี �ำ นาจเหนอื ธรรมชาติ เทพสงิ หเ์ รมิ่ แขง็ ข้อต่อเจ้าเมอื งชาวพม่า (*มังแรนรา่ ) จากนั้นก็เขา้ เมืองมาและลอบ สงั หารเจา้ เมอื งเสยี แตเ่ ทพสงิ หก์ ป็ กครองเมอื งอยไู่ ดเ้ พยี งเดอื นเดยี ว หรือราวๆ น้ัน ก่อนท่ีชาวพม่าท่ียังเหลืออยู่ในท้องถ่ินนั้นจะได้รับ ความช่วยเหลือจากพญากมลน้อย (*กมลราชหรือเจ้ารัตนกำ�พล) เจา้ ชายชาวไตลอ้ื เมอื งเชยี งรงุ่ ซง่ึ มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งในโลกของ ชาวลาวมานาน และได้เป็นกษัตริย์เมืองหลวงพระบางในช่วงเวลา สนั้ ๆ พมา่ และกมลนอ้ ยถอดเทพสงิ หอ์ อก และกมลนอ้ ยไดค้ รองราชย์ ที่เมืองเชียงใหม่ ในพระนามพระเจ้าองค์คำ� (พ.ศ. 2270-2302 (1727-59)) หลายฝ่ายพยายามปลดพระเจา้ องคค์ ำ�ออก ครั้งแรกโดยเจา้ แห่งน่าน ในปีต่อมาโดยกองทัพพม่า แต่พระเจ้าองค์คำ�ทรงขับไล่ 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 191
พวกพมา่ ออกไป โดยไดร้ บั การสนับสนนุ จากขนุ นางและราษฎรใน ทอ้ งถิ่น ซึ่งเหน็ ว่าพระองค์ทรงเปน็ ผู้นำ�ทมี่ คี วามสามารถในการรบ ตอ่ ตา้ นพมา่ อยา่ งไรกด็ ี เชยี งใหมท่ ที่ รงปกครองนนั้ ยงั อยภู่ ายใตเ้ งา แหง่ ราชวงศม์ งั รายแหง่ ลา้ นนา พมา่ ยงั คงมกี ำ�ลงั เขม้ แขง็ ทเี่ ชยี งแสน โดยมแี พร่ น่าน พะเยา ล�ำ ปาง ฝาง สาด เชียงของ และเถนิ เปน็ เมืองบริวาร จริงๆ แล้ว พระองค์คำ�จึงทรงควบคุมได้เพียงหุบเขา แม่นำ้�ปิงรอบๆ เชียงใหม่เท่านั้น เป็นที่ม่ันเล็กๆ ในการต้านการ รกุ ของกองทัพพมา่ จนกระทั่งพมา่ เริ่มแตกแยกในทศวรรษท่ี 1740 (2283-2292) จงั หวะนเี้ ปน็ ไปตามเหตกุ ารณใ์ นพมา่ เนอ่ื งจากมอญ แห่งหงสาวดีได้รบั อิสรภาพในทศวรรษ 1740 (2283-2292) และทำ� สงครามกบั ชาวพมา่ ทอี่ งั วะ พระเจา้ องคค์ �ำ ประกาศตวั สนบั สนนุ เจา้ เมืองหงสาวดี (*สมิงทอกวย) โดยยกธิดาให้เป็นชายา และเมื่อ องั วะพา่ ยแพใ้ น พ.ศ. 2294 (1751) ในปถี ดั มาชาตพิ นั ธตุ์ า่ งๆ ทอ่ี าศยั อยู่ในบริเวณเชยี งแสนก็แข็งข้อ ซ่ึงรวมท้งั ไตล้อื เขนิ และพวกชาว เขาเผ่าอื่นๆ ด้วย เมือ่ พระเจา้ องค์คำ�สวรรคตในปลายปี พ.ศ. 2302 (1759) ก็ได้เกิดลางร้ายหลายอย่างข้ึน เป็นสัญญาณบอกเหตุไม่ เฉพาะตอ่ เชยี งใหม่ และหวั เมอื งเหนอื แตบ่ อกตอ่ โลกของคนไท-ไต ทง้ั หมดถงึ การคกุ คามอนั ปา่ เถอื่ น และอกี ไมน่ าน แมแ้ ตร่ าชอาณาจกั ร อยธุ ยากไ็ ม่อาจต้านการโจมตีอยา่ ง “สายฟา้ ผา่ ของพมา่ ” ไปได้ ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 18 ท้ังลา้ นนาและล้านชา้ งไม่ อาจเทียบเทียมความแข็งแกร่งกับกรุงศรีอยุธยาได้เลย สิ่งท่ีราช อาณาจกั รอยธุ ยามคี อื สง่ิ ทพี่ นี่ อ้ งไตยวนและลาวขาด กค็ อื กลมุ่ ชนชนั้ นำ�ท่มี ีทั้งอำ�นาจและความมัง่ ค่ัง ขนุ นางราชสำ�นกั ที่มสี ายตระกูลฝัง รากลึกอย่กู ับกรงุ ศรีอยธุ ยา ทั้งโดยวฒั นธรรมและคุณคา่ และการมี สว่ นในผลประโยชน์ทางเศรษฐกจิ และการเมือง ต่อการรวมตวั และ อิสรภาพของราชอาณาจกั รทัง้ หมด ค�ำ วา่ “ขนุ นาง” ไมไ่ ด้หมายถึง 192 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
กลมุ่ ราชวงศท์ ส่ี บื เชอื้ สายกนั มา แตห่ มายถงึ กลมุ่ คนในสงั คมทร่ี บั ใช้ รัฐหรือกษัตริย์ เป็นเวลานานต่อเนื่องกัน ระบบราชการของกรุง ศรอี ยธุ ยาซบั ซอ้ นกวา่ ของอาณาจกั รลาว มคี วามแตกตา่ งและมคี วาม เฉพาะตัวในระดับสูงกว่า ราชสำ�นักสามารถให้ความเป็นอยู่ที่มี มาตรฐานสงู แกพ่ วกขนุ นาง โดยใหส้ ทิ ธพิ เิ ศษจากการควบคมุ แรงงาน ไพร่ และการเสยี ภาษขี องไพรใ่ นรปู สนิ คา้ และยงั ไดร้ บั สว่ นแบง่ จาก รายได้ท่ีราชสำ�นักสยามได้รับจากการค้านานาชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ กรงุ ศรอี ยธุ ยาจงึ พฒั นาไดส้ งู กวา่ และเขม้ แขง็ กวา่ และดว้ ยการตดิ ตอ่ กับนานาชาติ ทำ�ให้เป็นเมืองนานาชาติได้มากกว่า ดังนั้น กรุง ศรีอยธุ ยาจงึ ไปได้ไกลกวา่ เมอื งเพอ่ื นบ้านในการฟ้นื ฟูอย่างรวดเร็ว จากการจู่โจมอย่างดุเดือดของกองทัพพม่า ในครั้งต่อไปหลังจาก กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 18 และพร้อมท่ีจะขยายอาณาเขตเข้าไปยัง ล้านนาและลา้ นชา้ งดว้ ย อยุธยา : ทีม่ าแหง่ ความแขง็ แกรง่ และไร้เสถยี รภาพ ราชอาณาจักรอยุธยาในสมัยของพระเพทราชา ดูไปแล้วก็ คล้ายๆ กับเพ่ือนบ้านทางเหนือ พงศาวดารบันทึกเรื่องราวเอาไว้ คลา้ ยกบั ล้านนาและลา้ นชา้ งในเวลาชว่ งเดียวกนั มีแตเ่ ร่อื งของการ ทะเลาะเบาะแวง้ ของคนในราชวงศ์ การแยง่ ชงิ ราชสมบตั ิ และความ รงุ่ เรอื งของกองทพั เราพบผคู้ นทม่ี ชี อ่ื หลากหลาย และมกี ารรายงาน ถงึ เรอื่ งทน่ี า่ เกรงขาม เรอื่ งการจบั ชา้ งเผอื ก หรอื เรอ่ื งการบรจิ าคทาน และการก่อสรา้ ง ท่ีแสดงถึงศรัทธาทางศาสนาของกษัตรยิ ์ อย่างไร ก็ดี นักวิชาการในปัจจุบันได้เริ่มศึกษาพัฒนาการท่ีลึกลงไปกว่าท่ี เกิดขึ้นเพียงผิวหน้า ตามการบันทึกในพงศาวดาร พัฒนาการท่ีมี ผลอยา่ งใหญห่ ลวงตอ่ ความเจรญิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ระหวา่ งสยามกบั เพอื่ น 5 | ราชอาณาจกั รอยุธยา 193
บ้านทางเหนือ พระเพทราชาข้ึนครองราชย์ใน พ.ศ. 2231 (1688) ในฐานะ ผู้แยง่ ชงิ บัลลงั ก์ เกือบตลอด 80 ปีทร่ี าชวงศข์ องพระองค์ปกครอง พระเพทราชาและเช้ือสายล้วนถูกหลอนด้วยความจริงดังกล่าวน้ี พระเพทราชาเองทรงรู้สึกไม่ม่ันคงเพยี งพอ จึงนำ�พระราชธิดาและ พระขนิษฐภคินีของพระนารายณ์มาเป็นพระมเหสี เช่นนี้เป็นการ อาศยั อ�ำ นาจของพระนารายณ์ และเพอื่ ใหม้ นั่ พระทยั วา่ พระราชโอรส ธดิ าทเ่ี กดิ จากพระมเหสที ง้ั สองจะมสี ายเลอื ดกษตั รยิ ์ พระเพทราชา ทรงแตง่ ตง้ั ผทู้ สี่ นบั สนนุ ใหพ้ ระองคข์ น้ึ ครองราชยไ์ ดเ้ ปน็ เจา้ ทรงกรม พระโอรสของพระองค์ คือ หลวงสรศักดิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระอปุ ราช ประทบั อยทู่ วี่ งั หนา้ ซง่ึ ตามปกตเิ ปน็ กรมส�ำ หรบั เจา้ นาย ทส่ี บื ตอ่ ราชบลั ลังก์ และพระโอรสอกี สองพระองค์ ได้รบั แตง่ ตง้ั เปน็ วังหลงั นโยบายของพระเพทราชาก็คือการสร้างสถาบนั กษัตรยิ ์ให้ มีอำ�นาจควบคุมแรงงาน เพื่อคานอำ�นาจของขุนนางท้ังส่วนกลาง และหวั เมอื ง อยา่ งไรกต็ าม หลวงสรศกั ดไ์ิ มพ่ อพระทยั กบั สถานการณ์ น้ี และอิจฉาเจ้าทรงกรมที่เป็นศัตรูของพระองค์ และภายในหน่ึงปี ก็วางแผนสังหารเจ้าทั้งสองพระองค์น้ันเสีย การกระทำ�ของหลวง สรศกั ดิ์เป็นการลดอำ�นาจของเจ้าทรงกรมลงมา เหลือเพยี งกษัตริย์ กบั พระอุปราชเทา่ นั้นทมี่ ีสทิ ธิ์ในราชสมบตั ิ อีกสองสามปีต่อมา เป็นห้วงเวลาแห่งอันตราย สำ�หรับทั้ง สองพระองค์ เกดิ การกบฏครงั้ สำ�คญั ทสี่ ุดท่ีน�ำ โดย ธรรมเถยี ร ข้า รบั ใช้พระอนชุ าของพระนารายณ์ คอื เจา้ ฟา้ อภยั ท่ีถกู หลวงสรศกั ด์ิ ประหารไปเมื่อปีก่อน ธรรมเถียรเกือบยึดราชบัลลังก์ได้สำ�เร็จใน พ.ศ. 2233 (1690) นอกจากน้ัน อีกสามปีต่อมา ก็เกิดปัญหาการ ปราบเจา้ เมอื งนครราชสมี าและนครศรธี รรมราช ทงั้ สองเมอื งปฏเิ สธ ไม่ยอมรับพระเพทราชาเป็นกษัตริย์ มีการส่งกองทหารหลายกอง 194 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป
ไปปราบปรามสองเมืองนี้ กษัตรยิ แ์ ละพระอปุ ราชทรงขู่สำ�ทับเหลา่ ขนุ นางอยา่ งเฉียบขาด หากแมท่ ัพทส่ี ่งไปไม่สามารถยดึ เมืองไดจ้ ะ ถูกประหารชีวิต ดังน้ันไม่นานกบฏก็ถูกปราบได้ สำ�หรับเมือง นครราชสมี า ต่อมาในระหวา่ ง พ.ศ. 2241-43 (1698-1700) ก็เกดิ กบฏอกี ครัง้ หนึ่ง เม่อื ผมู้ บี ุญ คอื บญุ กว้าง ก่อกบฏข้นึ ที่นน่ั นาน กวา่ หน่ึงปี บญุ กว้างอา้ งตวั วา่ เปน็ พระอนชุ าของพระนารายณ์ ส่ิงท่ี เกิดพร้อมๆ กันไปก็คือการกบฏของไพร่และการกบฏตามหัวเมือง ท�ำ ใหใ้ นรชั กาลพระเพทราชา มกี ารเกณฑ์คนเพอื่ การสงครามมาก ขน้ึ พระองคอ์ าจจะใชโ้ อกาสนใ้ี นการก�ำ จดั ขนุ นางทย่ี งั จงรกั ภกั ดตี อ่ พระนารายณ์ และโดยการเกณฑค์ นมาเปน็ ทหารจากหวั เมอื งทเี่ กดิ กบฏมากท่ีสุด พระองค์จึงทรงจัดการควบคุมสถานการณ์ท่ีอาจจะ กอ่ ให้เกิดกบฏได้ นอกจากหลวงสรศักดิ์ พระเพทราชาทรงมีพระราชโอรสอีก สององคท์ ปี่ ระสตู แิ ตพ่ ระมเหสที งั้ สอง คอื เจา้ พระขวญั (ประสตู ิ พ.ศ. 2234 (1691)) และตรสั นอ้ ย (ประสตู ิ พ.ศ. 2237 (1694)) ผู้ซึ่งพระ ราชมารดาเป็นพระขนิษฐภคินี และพระราชธิดาของพระนารายณ์ ตามล�ำ ดับ เม่ือพระราชโอรสทงั้ สองทรงเจริญวยั ขนึ้ หลวงสรศักด์ิก็ ยิ่งเกรงว่า ท้ังสองอาจจะได้ครองราชย์ต่อจากกษัตริย์แทนตนเอง ดังน้ัน เม่ือพระเพทราชาประชวรในต้นปี พ.ศ. 2246 (1703) หลวงสรศกั ดจิ์ งึ รบี จดั การฆา่ พระขวญั เสยี พระเพทราชาพโิ รธอยา่ ง มาก และตรสั จากในพระแทน่ กอ่ นทจ่ี ะสวรรคตวา่ ทรงยกราชบลั ลงั ก์ ใหห้ ลานของพระองคค์ อื เจา้ ฟา้ พชิ ยั สรุ นิ ทรข์ น้ึ ครองราชยต์ อ่ แตเ่ จา้ ฟา้ พระองคน์ ไี้ มก่ ลา้ พอทจี่ ะรบั จงึ ยกราชบลั ลงั กใ์ หห้ ลวงสรศกั ด์ิ ซงึ่ ข้นึ ครองราชย์แทน ทรงพระนามวา่ พระสรุ ิเยนทราธิบดี แต่เป็นที่ รจู้ กั กันดใี นนามของ “พระเจา้ เสือ” ซ่งึ แนเ่ หลือเกินวา่ พระนามน้ี สะทอ้ นความโหดรา้ ย ความกระหายเลอื ด ซงึ่ ไดท้ รงกระท�ำ มาตลอด 5 | ราชอาณาจักรอยธุ ยา 195
สองทศวรรษทผ่ี า่ นมาเพอื่ จะไดข้ น้ึ ครองราชย์ หากรชั กาลของพระเจา้ เสอื จะเกิดสันตสิ ขุ มากกว่ารชั สมัยของพระราชบดิ า นั่นกเ็ พราะทรง คกุ คามผทู้ า้ ทายอ�ำ นาจทกุ คนจนสยบได้ ตง้ั แตเ่ มอื่ ครง้ั ทรงมอี �ำ นาจ อย่เู บอื้ งหลังราชบัลลังก์ในรชั กาลพระเพทราชาแลว้ ใน พ.ศ. 2246 (1703) เมอ่ื ทรงขน้ึ ครองราชยแ์ ลว้ ทรงตง้ั พระราชโอรสสองพระองค์ เป็นอุปราช แต่ก็ไม่เคยไว้วางใจในทั้งสองเลย และมักจะสั่งเฆี่ยน โบยท้ังสองพระองคด์ ว้ ย แนน่ อนวา่ มไี ม่ก่ีคนทเี่ สียใจ เมอื่ พระองค์ สวรรคตใน พ.ศ. 2252 (1709) พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระองค์ คอื เจ้าฟา้ เพชรได้ข้นึ ครองราชย์ตอ่ มา โดยไม่มีการแยง่ ชงิ บลั ลังก์ เจ้าฟ้าเพชรข้ึนครองราชย์ทรงพระนามว่า พระภูมินทราชา แต่พระนามที่คนท่ัวไปรู้จักดีคือ พระเจ้าท้ายสระ (ความหมายคือ “ท้ายของสระ” ซึ่งหมายถึงสระที่ล้อมรอบพระราชวังอยู่) รัชกาล ของพระองค์ยืนยาวและสงบสุข เน่ืองจากเม่ือมาถึงเวลาน้ี ได้เกิด เสถียรภาพทางการเมืองในราชอาณาจักรแล้ว อย่างไรก็ดี ได้เกิด พฒั นาการท่สี ำ�คญั ขึ้นสองประการ ซงึ่ มีผลทสี่ �ำ คัญในระยะยาว ประการแรก พระเจา้ ทา้ ยสระเขา้ ไปพวั พนั กบั กมั พชู ามากขนึ้ ในรชั กาลนกี้ มั พชู าไดต้ กเปน็ ประเทศราชของอยธุ ยา สยามเขา้ พวั พนั กับกัมพูชาเน่ืองจากมีเจ้ากรุงกัมพูชาถูกศัตรูซ่ึงได้รับการหนุนหลัง จากเวียดนามเนรเทศออกจากอาณาจักรใน พ.ศ. 2253 (1710) ซ่ึง เป็นจุดเร่ิมต้นท่ีทำ�ให้ชาวเวียดนามเข้าไปพัวพันในดินแดนกัมพูชา ใน พ.ศ. 2263 (1720) กองทพั เรอื ขนาดใหญข่ องสยามน�ำ โดยพระยา พระคลัง และกองทพั บกนำ�โดยสมหุ นายก (พระยาจักรี) พยายาม ท่ีจะสถาปนาพระเจ้าธรรมราชา (*นกั เสด็จองอมิ่ ) ใหค้ รองบลั ลังก์ กมั พชู าอกี ครง้ั หนงึ่ แตท่ �ำ ไมส่ �ำ เรจ็ แตน่ กั เสดจ็ องอม่ิ ตกลงทจ่ี ะถวาย บรรณาการในฐานะประเทศราชต่อกรุงศรอี ยุธยา ในศตวรรษต่อไป เรือ่ งราวเช่นน้ีได้เกิดขึ้นอีกบอ่ ยๆ 196 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
ประการทสี่ อง รชั กาลของพระเจา้ ทา้ ยสระเปน็ ชว่ งเวลาทกี่ าร ค้ากับจีนเพ่ิมปริมาณมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งข้าวออกของสยาม แน่นอนว่าการค้ากับจีนนี้บางส่วนเกิดจากพ้ืนฐานที่อยุธยาเคยค้า กบั จนี มากอ่ น แมว้ า่ มนั จะเกดิ ขนึ้ ภายใตค้ วามเขม้ งวดของราชส�ำ นกั จนี ในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 17 และตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 18 แตใ่ นระยะ หลังการค้าของสยามกับจีน และญ่ีปุ่น ซึ่งแรกทีเดียวทำ�โดยชาว ฮอลนั ดานนั้ กลบั ตกอยใู่ นมอื ของพอ่ คา้ เอกชนชาวจนี ผซู้ ง่ึ มาท�ำ การ คา้ ในนามการคา้ ของหลวง และเขา้ มารบั ราชการในกรงุ ศรอี ยธุ ยา ท่ี เด่นเปน็ พเิ ศษ คอื เสนาบดกี รมพระคลังสมยั พระเจ้าท้ายสระ ผู้ซึ่ง มคี วามโดดเดน่ ในราชส�ำ นกั มาตง้ั แตร่ ชั กาลพระเจา้ เสอื เปน็ ชาวจนี ผมู้ บี ทบาทส�ำ คญั ในการรวบรวมชมุ ชนชาวจนี ใหเ้ ขา้ มามสี ว่ นในดา้ น เศรษฐกิจและสังคมในเมืองหลวง พระคลังผู้น้ีเป็นผู้มีชื่อเสียงใน บรรดาชาวจนี ทง้ั หมด ใน พ.ศ. 2270 (1727) ราชส�ำ นกั จนี เกอื บเปดิ เมอื งทา่ ทางใตข้ องจนี ทั้งหมด เพ่ือขนสง่ ขา้ วท่ีมาจากสยาม การคา้ เริม่ รุ่งเรอื ง และใครกต็ ามท่ไี ด้เขา้ ไปมีส่วนลว้ นม่ังคั่งรำ�่ รวย รวมทง้ั ราชส�ำ นกั สยามและตวั พระคลังดว้ ย จุดเปล่ียนในประวัติศาสตร์อยุธยาระหว่างช่วงเวลาน้ีมาถึง เมอื่ พระเจา้ ทา้ ยสระสวรรคตในเดอื นมกราคม พ.ศ. 2375 (*นบั ศกั ราช แบบเกา่ 1733) เกดิ การแยง่ ชงิ ราชสมบตั ิ ซง่ึ สง่ ผลกระทบตอ่ โครงสรา้ ง ทางการเมืองและเศรษฐกิจของราชอาณาจักร ตลอดรัชกาลของ พระเจ้าท้ายสระ ทรงได้รับความจงรักภักดีจากพระอนุชาแท้ๆ คือ เจา้ ฟา้ พร ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ อปุ ราช พระเจา้ ทา้ ยสระทรงมพี ระราชโอรส 3 พระองค์ คือ เจ้าฟา้ นเรนทร์ เจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศวร์ ซ่ึง ประสตู แิ ตพ่ ระมเหสอี งคเ์ ดยี วของพระองค์ เมอ่ื พระองคใ์ กลจ้ ะสวรรคต นนั้ ทรงเลอื กเจา้ ฟา้ อภยั ใหค้ รองราชยส์ มบตั ติ อ่ จากพระองค์ ในขณะ นั้นเจ้าฟ้านเรนทร์ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา และ 5 | ราชอาณาจักรอยธุ ยา 197
ไมต่ อ้ งการแยง่ ชงิ ราชสมบตั ิ แตฝ่ า่ ยอน่ื ๆ เตรยี มก�ำ ลงั ทหารเพอ่ื แยง่ ราชสมบัติกัน เมื่อพระเจ้าท้ายสระสวรรคต เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้า ปรเมศวร์ ยดึ พระราชวงั หลวงเปน็ ฐานทมี่ น่ั และไดร้ บั การสนบั สนนุ จากขนุ นางชนั้ น�ำ ทงั้ หมด โดยเฉพาะจากพระคลงั ชาวจนี คนนนั้ สว่ น ดา้ นตะวันออกของพระราชวัง ซง่ึ ไมไ่ กลกันนัก คือทีต่ ้งั ของวงั หนา้ ฝ่ายพระอุปราช โดยการสนบั สนนุ จากขนุ นางของพระองคเ์ อง ทรง รวบรวมก�ำ ลังทหารได้ประมาณ 400 คนเพือ่ ต่อสกู้ ับทหารราวสอง หมนื่ หรอื สามหมน่ื คนของพระราชวงั หลวง เมอื่ เกดิ การสรู้ บกนั ทหาร ของพระอปุ ราชใกลจ้ ะพา่ ยแพอ้ ยแู่ ลว้ จนเมอื่ ขนุ นางผนู้ �ำ ของฝา่ ยวงั หนา้ คอื ขนุ ช�ำ นาญชาญณรงค์ (อ)ู่ อาสาออกรบ ไดเ้ ขา้ โจมตกี องทพั หลวงไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และจับผ้นู ำ�กองทัพหลวงได้ ท่ีเหลอื จึงหนีไป พระอปุ ราชและขนุ ช�ำ นาญฯ จงึ ยดึ พระราชวงั หลวงได้ และเจา้ ฟา้ พร ไดข้ นึ้ ครองราชย์ ทรงพระนามวา่ พระเจา้ ทรงธรรม หรอื บรมธรรมกิ ราช อย่างไรก็ตาม ทรงเป็นท่ีรู้จักกันมากกว่าในนาม พระเจ้าบรมโกศ ซึ่งหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินในพระบรมโกศ (ซ่ึงกำ�ลังรอการถวาย พระเพลงิ ) เพราะวา่ ทรงเปน็ กษตั ริย์แหง่ กรุงศรีอยุธยาองค์สุดท้าย ท่ไี ด้มพี ระราชพธิ นี ้นั นอกจากประสบการณข์ องพระเจา้ บรมโกศในฐานะพระอปุ ราช และผู้ต่อสู้เพ่ือราชบัลลังก์ และบางทีก็สะท้อนถึงภาพของกษัตริย์ องคแ์ รกๆ ของราชวงศน์ ้ี พระเจา้ บรมโกศทรงท�ำ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง ทางการเมอื งของรฐั สง่ิ แรกทที่ รงท�ำ เมอ่ื เกดิ ปญั หาดลุ อ�ำ นาจระหวา่ ง กษตั รยิ -์ เชอื้ พระวงศ์ กบั อ�ำ นาจของขนุ นางสว่ นกลาง ใน พ.ศ. 2276 (1733) และเหตกุ ารณก์ อ่ นหนา้ นห้ี ลายครง้ั ในราชอาณาจกั รเกดิ การ แขง่ ขนั ทางการเมอื งอยา่ งสงู เพอ่ื แยง่ ชงิ ราชสมบตั ิ ผลทเี่ กดิ ขน้ึ เสมอ ก็คือการแย่งชิงแรงงานของรัฐ เพราะพ้ืนฐานของการปกครองของ สว่ นกลาง คือ การควบคมุ แรงงาน เสนาบดขี องหนว่ ยงานหลัก คือ 198 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป
มหาดไทย และกลาโหม ตามปกติได้คุมกองทัพและกำ�ลังทหาร จ�ำ นวนมาก นบั จากรัชกาลพระเจา้ ปราสาททองเปน็ ตน้ มา เสนาบดี ทงั้ สองต�ำ แหนง่ ได้แบง่ สรรอ�ำ นาจกนั ปกครองหัวเมือง ดังนนั้ อยา่ ง นอ้ ยจากรชั กาลพระเพทราชา และกษตั รยิ อ์ งคอ์ น่ื ในราชวงศบ์ า้ นพลู หลวง ได้พยายามสร้างอ�ำ นาจอิสระ คือ เจา้ ทรงกรม ซ่งึ หนา้ ท่หี ลกั กค็ อื การใหเ้ จา้ ชายสองสามพระองคท์ มี่ สี ทิ ธใิ นราชบลั ลงั กไ์ ดค้ วบคมุ แรงงาน นอกจากทรงกรมในระบบราชการ อยา่ งไรก็ดี พระเจา้ บรม โกศทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งท่ีเคยปฏิบัติกันมาเสียใหม่ บรรพบุรุษของ พระองค์ทรงแต่งต้ังเจ้าทรงกรมเพียงไม่ก่ีพระองค์ โดยเฉล่ียมีสาม พระองค์ในแต่ละรัชกาล แต่ละพระองคไ์ ด้ควบคุมกำ�ลงั คนมากกว่า หน่ึงพันคน พระเจ้าบรมโกศจึงทรงตั้งกรมขนาดเล็กข้ึนอีกกว่าสิบ สามกรม ดังนั้น ไม่มีเจ้าฟ้าองค์ใดที่สามารถชิงราชบัลลังก์ได้ด้วย พระองคเ์ อง ขณะท่ีเจ้าฟา้ หลายองคร์ ่วมมือกันถ่วงดลุ กรมของพวก ขุนนางได้ การเปล่ียนแปลงน้ชี ่วยให้การสบื สนั ตติวงศ์เปน็ ไปอย่าง ราบร่ืนขึ้น แต่ก็ได้ก่อให้เกิดความแตกแยกในการควบคุมกำ�ลังคน ของรฐั จุดเปล่ียนในประวัติศาสตร์อยุธยาประการที่สอง เกิดจาก สถานการณ์ของความขัดแย้งในการขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2276 (1733) อย่างท่ีเราได้เหน็ ขนุ นางชน้ั น�ำ หลายๆ คน รวมท้ังพระคลัง (*ชาวจีน) เข้าข้างเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศวร์ ท่ีเป็นฝ่ายตรง ขา้ มกับพระอุปราช (*เจา้ ฟ้าพร) มีเพยี งพระยากลาโหม คอื พระยา ราชสงคราม ที่ยังคงวางตัวเป็นกลาง แม้ว่าพระยาราชสงครามจะ เป็นศัตรูของพระอุปราชมาเป็นเวลานาน เมื่อพระอุปราชได้ครอง ราชย์เป็นพระเจ้าบรมโกศ ทรงใหป้ ระหารชีวิตเหลา่ ผู้สนบั สนนุ เจา้ ฟ้าฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด และทรงพระราชทานรางวัลแด่ผู้ที่ช่วยให้ พระองคป์ ระสบความส�ำ เรจ็ คนส�ำ คญั ทสี่ ดุ คอื ขนุ ช�ำ นาญชาญณรงค์ 5 | ราชอาณาจักรอยธุ ยา 199
ผซู้ งึ่ ไดเ้ ล่อื นขน้ึ เป็นเจ้าพระยาชำ�นาญบรริ ักษ์ และทรงมอบใหด้ แู ล กรมพระคลัง ขณะที่หลวงชเสนนายก ได้เลอ่ื นเปน็ เจา้ พระยาอภยั มนตรี และมอบใหด้ แู ลกรมมหาดไทย พระยาราชสงครามไดว้ า่ การ กรมกลาโหม อย่างไรกด็ ี พระเจ้าบรมโกศทรงจดั การปรบั ระบบการ ควบคมุ หวั เมอื งของกรมทงั้ สามเสยี ใหม่ ทรงยกหวั เมอื งฝา่ ยใตท้ เี่ คย อยู่ภายใต้กรมกลาโหมให้แก่กรมพระคลัง บางทีสาเหตุสำ�คัญของ เรื่องน้ีอาจจะเกิดจากเรื่องการเมืองก็ได้ หลังจากพระคลังคนเก่าท่ี เขา้ ขา้ งเจา้ ฟา้ เหลา่ นน้ั ถกู ถอดออกจากต�ำ แหนง่ ความเปน็ กลางของ พระยาราชสงครามทำ�ให้เขาได้ตำ�แหน่ง แม้ว่ากษัตริย์จะไม่ทรง เตม็ ใจนกั กต็ าม แตใ่ นขณะเดยี วกนั กษตั รยิ อ์ าจจะทรงพอพระทยั ที่ เจา้ พระยาช�ำ นาญบรริ กั ษไ์ ดค้ วบคมุ แรงงานในหวั เมอื งฝา่ ยใตท้ สี่ �ำ คญั มาก ไมว่ า่ อยา่ งไรไดเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ อ�ำ นาจของสว่ นกลาง เจา้ กรม กลาโหมแม้ว่าจะไม่ได้ควบคุมหัวเมืองใต้ แต่ก็ยังคงมีอำ�นาจมาก จากการได้ควบคมุ ทหาร ชมุ ชนชาวจีนทีเ่ ข้มแขง็ กไ็ ดส้ ญู เสียผนู้ �ำ ที่ เคยรับตำ�แหน่งสูงสุดถึงพระคลัง ผู้เคยเป็นปากเป็นเสียงให้กับตน ไปเสียแลว้ การแต่งตั้งเจ้าพระยาชำ�นาญบริรักษ์ (อู่) (พ.ศ. 2229-96 (1686-1753)) ไดท้ �ำ ใหอ้ �ำ นาจของตระกลู ขนุ นางของสยามอกี ตระกลู หน่ึงมน่ั คงขน้ึ นอกเหนอื จากตระกูลขุนนางชาวเปอร์เซยี ตระกลู น้ี มอี ำ�นาจมาตัง้ แต่รัชกาลพระเจา้ ทรงธรรม เจา้ พระยาชำ�นาญฯ เปน็ ลูกชายของเจ้าเมืองพิษณุโลก ซึ่งมีบรรพบุรุษสืบเชื้อสายมาจาก พราหมณ์ชาวอินเดีย ซ่ึงเข้ามายังสยามในรัชกาลพระเจ้าปราสาท ทอง และท�ำ หนา้ ทปี่ ระกอบพระราชพธิ ขี องราชส�ำ นกั ในครสิ ตศ์ ตวรรษ ท่ี 17 น้องชายของบิดาของท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เปน็ เจ้าพระยามหาสมบตั ิ (ฝน) ต�ำ แหน่งนบี้ อกใหท้ ราบว่า ท่านอาจจะ เป็นพระคลงั ก็ได้ อาจจะได้เป็นกอ่ นพระคลงั ชาวจีนผูไ้ มท่ ราบชอื่ ผู้ 200 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
นน้ั หรอื ทเ่ี ปน็ ไปไดม้ ากกวา่ กค็ อื ไดเ้ ปน็ หลงั เจา้ พระยาช�ำ นาญฯ นอ้ ง ชายของเจา้ พระยาช�ำ นาญทงั้ สองคนกไ็ ดบ้ รรดาศกั ดเ์ิ ปน็ เจา้ พระยา เชน่ เดยี วกบั ญาตขิ องทา่ นสองคน และลกู ชายอกี สามคน ลกู สาวของ ทา่ นคนหนง่ึ ได้สมรสกบั พระคลัง ในรัชกาลสดุ ท้ายของสมยั อยุธยา ท่ีน่าแปลกใจท่ีสุด เมื่อเจ้ากรมมหาดไทยถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. 2285 (1742) สวา่ ง บตุ รชายของเจา้ พระยาช�ำ นาญฯ ไดร้ บั ต�ำ แหนง่ น้ัน และได้บรรดาศักด์ิเป็นเจ้าพระยาราชภักดี (ส่วนตำ�แหน่งเดิม ของเขาตกแก่น้องชายคนเลก็ คอื อรณุ ใน พ.ศ. 2300 (1757)) ดัง นน้ั ในปลายรชั กาลพระเจ้าบรมโกศ เราพบภาพอนั นา่ ตน่ื เต้นเปน็ พิเศษในกรมที่สำ�คัญท่ีสุดสองกรม จากท้ังหมดสามกรมที่บังคับ บัญชาโดยคนจากสายตระกูลเดียวกัน เราจะพบกบั สมาชิกของสาย ตระกูลนี้อีกคร้ัง และเพ่ือความสะดวกเราจะกล่าวถึงพวกเขาในช่ือ ครอบครวั พราหมณ์ คนในรนุ่ หลงั ๆ มกั มองยอ้ นกลบั ไปในรชั กาลพระเจา้ บรมโกศ วา่ เปน็ ยคุ ทอง เปน็ แบบอยา่ งทอ่ี ยากใหเ้ กดิ อกี มหี ลายเรอื่ งในรชั กาล พระเจ้าบรมโกศที่เข้ากันกับความคิดที่สืบต่อๆ มา คือ เรื่อง ทศพิธราชธรรมของกษัตริย์ และพระเจ้าบรมโกศก็ได้รับสรรเสริญ เช่นน้ัน เพราะประการแรก ทรงสนับสนุนพระพุทธศาสนา บางที รชั กาลของพระองคอ์ าจถกู จดจ�ำ มากทส่ี ดุ จากเหตกุ ารณก์ ารสง่ คณะ สมณทตู ไปยงั อาณาจกั รในกรงุ แคนดี (*สริ วิ ฒั นขนั ธะปรุ ะ) ใน (ศร)ี ลงั กาใน พ.ศ. 2294 (1751) คณะทตู จากลงั กามาถึงและทูลขอคณะ สงฆจ์ ากสยามไปชว่ ยฟื้นฟูพุทธศาสนานกิ ายลังกาวงศ์ ซึง่ เส่ือมไป ภายใตก้ ารปกครองของชาวโปรตเุ กสและชาวฮอลนั ดา จากนน้ั คณะ สงฆ์ชาวสยามสิบแปดรูปก็เดินทางไปยังเมืองแคนดี เพื่อบวชใหม่ ใหแ้ กส่ งฆน์ กิ ายลงั กาวงศ์ และไดต้ ง้ั พทุ ธศาสนานกิ ายสยามวงศข์ น้ึ ในศรลี งั กา ทตู คณะทส่ี องไดเ้ ดนิ ทางไปยงั แคนดใี น พ.ศ. 2298 (1755) 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 201
ความหมายโดยนยั ของเหตกุ ารณเ์ หลา่ นก้ี ค็ อื เปน็ เวลาหลายศตวรรษ มาแลว้ ทช่ี าวสยามถอื วา่ ศรลี งั กาคอื ศนู ยก์ ลางของพระพทุ ธศาสนา ที่สำ�คัญที่สุด การแลกเปลี่ยนครั้งน้ีไม่ได้แฝงความหมายว่าบัดน้ี สยามไดต้ �ำ แหนง่ น้นั มาแล้วล่ะหรอื ประการทสี่ อง บดั นอ้ี ยธุ ยาไดก้ ลายเปน็ ราชอาณาจกั รส�ำ คญั ในความสมั พนั ธก์ ับเพอ่ื นบ้านอกี ครั้ง ใน พ.ศ. 2280 (1737) เจ้าฟา้ ชาวกมั พูชาสามองค์ (รวมท้งั พระเจ้าธรรมราชาอดีตกษตั ริย)์ ผู้ซง่ึ ล้ภี ยั อยู่ในกรุงศรีอยุธยา ในท่สี ุดกไ็ ด้รบั อนุญาตใหต้ ัง้ กองทพั ท่เี ขต เมอื งนครราชสมี า ท�ำ ใหเ้ จา้ กมั พชู าเหลา่ นโ้ี คน่ กษตั รยิ ท์ กี่ �ำ ลงั ปกครอง อยู่ในกัมพูชาลงได้ และต้ังให้พระเจ้าธรรมราชาข้ึนเป็นกษัตริย์อีก ครง้ั (เป็นครงั้ ทส่ี าม !) ใน พ.ศ. 2281 (1738) อกี คร้งั ใน พ.ศ. 2292 (1749) สยามเขา้ แทรกแซงในกมั พูชา เพ่ือช่วยถอดกษตั ริย์ทพ่ี วก เวียดนามหนุนหลังออกจากราชบลั ลังก์ และกท็ �ำ สำ�เร็จอกี ครง้ั ในเวลาเดยี วกนั กรงุ ศรอี ยธุ ยากเ็ รมิ่ ความสมั พนั ธก์ บั พมา่ ใหม่ อกี ครงั้ หลงั จากไมม่ คี วามสมั พนั ธก์ นั มาเลยนบั ศตวรรษ การกระท�ำ นี้ เกิดขึ้นจากการที่ราชวงศ์ตองอูตอนปลายค่อยๆ เสื่อมลง เพราะ พระเจ้าอังวะทรงล้มเหลวในการต่อสู้กับการโจมตีของกองทัพมณี ปุระอย่างรุนแรง หลายครั้งตลอดทศวรรษ 1730 (2273-2282) อาณาจักรชาวมอญริมฝ่ังทะเลก็ได้ก่อการกบฏข้ึน จนในท่ีสุด รัฐ มอญท่ีเมืองหงสาวดีก็ได้อิสรภาพใน พ.ศ. 2283 (1740) ชาวมอญ ในหงสาวดไี ดห้ ลบหนเี ขา้ มาสกู่ รงุ ศรอี ยธุ ยา และอยา่ งทรี่ กู้ นั พระเจา้ บรมโกศทรงช่วยเหลือผู้อพยพเหล่าน้ี จนกระทั่งพระเจ้าอังวะต้อง ส่งคณะทูตมายังกรุงศรอี ยุธยาใน พ.ศ. 2287 (1744) วัตถุประสงค์ ที่แท้จริงอาจจะไม่ตอ้ งการให้อยุธยาใหค้ วามชว่ ยเหลอื แก่ชาวมอญ ท่ีหงสาวดี เร่ืองนี้มีความเป็นไปได้น้อย เน่ืองจากในศตวรรษก่อน หน้านี้ จำ�นวนของผู้อพยพชาวมอญได้เข้ามาช่วยลดจำ�นวนการ 202 ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป
ขาดแคลนแรงงานของอยุธยาไปได้ กษัตรยิ ส์ ยามมไิ ดป้ รารถนาจะ กระตนุ้ ให้เกดิ การกอ่ ตั้งรัฐมอญอสิ ระ ซ่งึ อาจใหค้ วามจงจักภกั ดตี ่อ อยุธยา พระเจ้าบรมโกศทรงส่งคณะทูตไปยังกรุงอังวะเป็นการ ตอบแทนใน พ.ศ. 2288 (1745) และตง้ั แตน่ นั้ มากท็ รงเฝา้ สงั เกตการณ์ บรเิ วณชายแดนอยา่ งระมดั ระวงั เมอ่ื พระเจา้ สมงิ ทอพทุ ธเกต (ครอง ราชย ์ พ.ศ. 2283-90 (1740-47)) แหง่ หงสาวดถี กู ปลดจากต�ำ แหนง่ และหลบหนเี ขา้ มายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยาใน พ.ศ. 2293 (1750) ทรงถกู จบั และในทส่ี ดุ กถ็ ูกสง่ ไปยังจนี ในตอนปลายรัชกาล อยุธยามิได้เผชิญกับการคุกคามจาก ภายนอกทหี่ นกั หนว่ ง และกไ็ มม่ กี ารเผชญิ หนา้ ทางทหาร อยา่ งไรก็ ดี มีฉากท่ีตึงเครียดด้านการเมืองภายในราชอาณาจักรซึ่งเป็นลาง ไมด่ ีตอ่ ความม่ันคงในอนาคต ส่ิงเหล่านี้เร่ิมข้ึนในตอนต้นรัชกาลและรุนแรงขึ้นเร่ือยๆ และ กลายเป็นเร่ืองที่ต้องจัดการด่วน เม่ือพระเจ้าบรมโกศทรงประชวร ครั้งแรกใน พ.ศ. 2277 (1734) ขณะท่ีเสด็จออกจากพระนครไปล่า สตั ว์ ก�ำ ลงั ของชาวจนี ราวสามรอ้ ยคนไดบ้ กุ พระราชวงั ทก่ี รงุ ศรอี ยธุ ยา บางทีเร่ืองนี้อาจจะเป็นเพราะชาวจีนต้องการโต้ตอบการสูญเสีย อิทธิพลของพระคลงั (*ชาวจนี ) ก็ได้ พวกกบฏถกู ตแี ตกพา่ ย และ หลายคนถกู ประหารชวี ติ ปตี อ่ มาพระราชโอรสองคห์ นง่ึ ของพระเจา้ บรมโกศทรงพัวพันกับการพยายามสังหารพระนัดดา คือ เจ้าฟ้า นเรนทร์ ผซู้ งึ่ ยงั ครองเพศสมณะมาตงั้ แต ่ พ.ศ. 2276 (1733) แตก่ ไ็ ร้ ผล ตอ่ มาใน พ.ศ. 2289 (1746) ผู้มีบญุ อีกคนหนึ่งเริม่ ปรากฏตัวขน้ึ ทเ่ี มอื งลพบรุ ี กระนน้ั ยงั มคี วามแตกแยกภายในเกดิ ขน้ึ อยา่ งหนกั นบั จาก พ.ศ. 2296 (1753) เปน็ ต้นไป ในเวลานนั้ พระเจา้ บรมโกศทรง ครองราชย์มาแล้วย่สี บิ ปี และทรงมพี ระชนมายุถึง 73 พรรษา ใน ช่วงส้ันๆ เป็นเวลาสองปีมีการเคล่ือนย้ายกำ�ลังเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 203
ชดั ในระดบั บนของสังคมอยุธยา โดยพระอปุ ราช คือ เจ้าฟ้าเสนา พทิ กั ษ์ พระราชโอรสพระองคใ์ หญใ่ นพระเจา้ บรมโกศทรงรว่ มมอื กบั พนี่ อ้ งรว่ มพระราชบดิ าอกี สององคซ์ งึ่ ประสตู แิ ตพ่ ระมเหสี เพอ่ื ควบคมุ มใิ หพ้ นี่ อ้ งร่วมพระราชบดิ าเดียวกนั อกี สามพระองค์ ซ่ึงประสูติจาก พระสนม แสดงความมักใหญ่ใฝ่สงู เพราะเจ้าฟ้าสามพระองค์นีท้ รง ขยายกรมของพระองค์กันอย่างลับๆ เลื่อนตำ�แหน่งขุนนางในกรม และเกณฑไ์ พรพ่ ลเพม่ิ เมอ่ื กรมขนุ เสนาพทิ กั ษจ์ บั ขนุ นางบางคนใน กรมเหลา่ นัน้ มาเฆ่ยี นโบย กลมุ่ ขนุ นางของเจ้าทง้ั สามก็แก้แคน้ ดว้ ย การเปดิ เผยวา่ กรมขนุ เสนาพทิ กั ษม์ สี มั พนั ธเ์ ชงิ ชสู้ าวกบั มเหสหี นงึ่ ในสามองคข์ องพระราชบดิ า กรมขนุ เสนาพทิ กั ษท์ รงสารภาพความ ผดิ พระองคแ์ ละหญงิ ผนู้ นั้ ถกู โบยจนตาย ดงั นน้ั ใน พ.ศ. 2298 (1755) เน่ืองจากการสิ้นพระชนม์ของพระอุปราช จึงเกิดปัญหาต่อมาเรื่อง การสืบราชสมบตั ิ ในชว่ งเวลาเดยี วกนั นั้น ได้มกี ารเปลย่ี นตำ�แหนง่ ของขุนนาง คนส�ำ คญั หลายคน เจา้ พระยาช�ำ นาญฯ (อ)ู่ ถงึ แกอ่ สญั กรรมใน พ.ศ. 2296 (1753) ตำ�แหนง่ พระคลังได้ถกู สง่ ต่อไปยงั ขนุ นางเช้ือสายจนี ผหู้ นงึ่ คอื เจา้ พระยาพระคลงั (ฉมิ ) ผซู้ งึ่ สมรสกบั ธดิ าของเจา้ พระยา ช�ำ นาญฯ ใน พ.ศ. 2298 (1755) ขนุ นางต�ำ แหนง่ กลาโหมและมหาดไทย ถึงแก่อสัญกรรมท้งั สองคน บันทกึ ในพงศาวดารท่ีมีอยไู่ ม่แนช่ ัด แต่ ดเู หมอื นวา่ ต�ำ แหนง่ กลาโหมไดต้ กแกเ่ จา้ พระยาเพชรพชิ ยั (ชยั ) ซงึ่ เป็นเช้อื สายตระกูลชาวเปอร์เซยี และต�ำ แหน่งมหาดไทยทเี่ คยเป็น ของครอบครวั ตระกลู พราหมณก์ ไ็ ปตกแกค่ นนอก เมอ่ื พจิ ารณาจาก จ�ำ นวนชอ่ื ต�ำ แหนง่ ทรี่ ว่ มมอื กบั เสนาบดชี นั้ ผใู้ หญ่ ในทศวรรษสดุ ทา้ ย ของอยธุ ยา (2301-2310) จะเหน็ ไดว้ า่ เกดิ การแขง่ ขนั อยา่ งมโหฬาร และเกิดการแย่งชิงอำ�นาจในระหว่างสายตระกูลที่ต้องการขยาย อ�ำ นาจในการบรหิ ารสว่ นกลาง แมว้ า่ การตอ่ สกู้ นั ภายในกลมุ่ เหลา่ น้ี 204 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป
จะมีฐานท่ีสำ�คัญอยู่ท่ีกิจกรรมการค้าต่างประเทศ แต่การควบคุม ก�ำ ลังคนกเ็ ปน็ สงิ่ ทยี่ งั คงส�ำ คญั เสมอ กลุม่ ที่โดดเดน่ คือ กลมุ่ ชาวจนี ทม่ี เี จา้ พระยาพระคลงั (ฉมิ ) เปน็ ตวั แทน และสายตระกลู ชาวเปอรเ์ ซยี ซ่ึงยังคงครองพ้ืนท่ีในกรมพระคลัง (กรมท่าขวา) ที่ต้องติดต่อกับ พอ่ คา้ ชาวมสุ ลิม ในการแข่งขันน้ี ทุกฝ่าย ไมว่ ่าเจา้ หรือขุนนางต่าง กม็ ีสว่ นเขา้ ร่วมด้วยกันท้งั สิน้ สัญญาณของอุปสรรคได้เกิดขึ้นมาต้ังแต่ต้นรัชกาลพระเจ้า บรมโกศ เมอื่ เจา้ พระยาราชภกั ดี (สวา่ ง) ไดร้ บั แตง่ ตงั้ ใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ สมุหนายกใน พ.ศ. 2285 (1742) เขาพบว่าการขึ้นทะเบียนกำ�ลัง คนในหัวเมืองด้านเหนือท่ีติดกับเมืองหลวงนั้นไม่พอเพียงอย่างยิ่ง ขนุ นางของเขารบั ผดิ ชอบการขนึ้ ทะเบยี นก�ำ ลงั คนในเมอื งวเิ ศษชยั ชาญ สพุ รรณบรุ ี นครชยั ศรี พรหมบรุ ี อนิ ทรบ์ รุ ี สงิ หบ์ รุ ี ชยั นาท มโนรมย์ อุทัยธานี และนครสวรรค์ และ “ได้ไพร่กลับมาเป็นหลายหมื่น”7 อยา่ งไรก็ตาม ไม่ต้องสงสยั เลยวา่ น่ีเปน็ การสง่ สญั ญาณเตอื น ไมใ่ ช่ การแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้น ตลอดศตวรรษมีพระราชกำ�หนดท่ีออกมา ซ�ำ้ ๆ และพระบรมราชโองการทกี่ ลา่ วถงึ การขาดแคลนก�ำ ลงั คนของ ราชสำ�นักหลายคร้ัง เป็นที่แน่ชัดว่าไพร่จำ�นวนมากที่ถูกเกณฑ์ แรงงานประจำ�ปี ได้หนีหน้าที่ของตน บางคนก็หลีกเลี่ยงการลง ทะเบยี นอยา่ งตรงไปตรงมา อกี หลายคนกข็ อไปเขา้ อยภู่ ายใตค้ วาม คมุ้ ครองของพวกเจา้ หรือไมก่ พ็ วกขนุ นาง ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั เน่อื งจาก ราชส�ำ นกั สนใจสง่ เสรมิ สนิ คา้ สง่ ออก ไพรจ่ �ำ นวนมากจงึ ไดร้ บั อนญุ าต ให้จา่ ยเงินแทนการถูกเกณฑแ์ รงงานได้ ทัง้ โดยการตกลงอยา่ งเปน็ ทางการจากราชสำ�นัก และอย่างไม่เป็นทางการกับขุนนางจำ�นวน มาก ปญั หาน้ใี หญ่ขนาดไหน กอ็ ย่างที่ อคนิ รพพี ัฒน์ เขยี นไว้ได้ ครอบคลมุ เรอ่ื งนแี้ ลว้ แนน่ อนวา่ ในปลายรชั กาลพระเจา้ บรมโกศ ได้ เกดิ การขาดแคลนก�ำ ลงั คนอยา่ งหนกั ในกรงุ ศรอี ยธุ ยา ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั 5 | ราชอาณาจักรอยธุ ยา 205
การควบคมุ ก�ำ ลงั คนทมี่ อี ยกู่ ก็ ระจดั กระจายอยตู่ ามกรมเลก็ กรมนอ้ ย ท้งั หลาย และก�ำ ลงั คนท่ีสำ�คญั จากหัวเมืองฝา่ ยใต้กอ็ ยภู่ ายใตค้ วาม ควบคมุ ของพระคลงั ซงึ่ กรมพระคลงั นนั้ เกย่ี วขอ้ งกบั การคา้ มากกวา่ การบรหิ ารหัวเมอื ง หลงั การส้นิ พระชนม์ของกรมขนุ เสนาพิทักษ์ พระอปุ ราช ใน พ.ศ. 2298 (1755) ตำ�แหน่งวังหน้าได้ว่างลง จนกระท่ังอัครมหา เสนาบดีท้ังสามกรมได้หนุนให้พระเจ้าบรมโกศทรงแต่งต้ังเจ้าฟ้า อุทมุ พรขน้ึ เป็นอปุ ราชใน พ.ศ. 2300 (1757) บนพระแท่นที่ประทับ ตอนสวรรคต พระเจ้าบรมโกศได้ทรงย้ำ�อกี ครง้ั หนึ่งว่าทรงตอ้ งการ ให้เจ้าฟ้าอุทุมพรครองบัลลังก์ต่อจากพระองค์ โดยไม่ได้สนใจการ อ้างสิทธิ์ของพระเชษฐา คือ เจ้าฟ้าอนุรักษ์มนตรี แต่ก็เหมือนกับ หลายๆ คร้ังที่ผ่านมา การข้ึนครองราชย์เป็นไปตามที่พระเจ้า แผน่ ดนิ ทรงปรารถนา พระเจา้ บรมโกศสวรรคตเมอื่ วนั ท่ี 13 เมษายน พ.ศ. 2301 (1758) เจ้าฟ้าชั้นนำ�สามพระองค์นั้นทรงรวมกำ�ลังกัน และนำ�อาวุธจากคลังสรรพาวุธมาใช้เป็นเคร่ืองมือคัดค้านการขึ้น ครองราชยข์ องเจา้ ฟา้ อุทุมพร แต่เจา้ ฟ้าอุทมุ พรไดร้ ับการสนับสนุน จากขุนนางชั้นผู้ใหญ่และพระสงฆ์สมณศักด์ิสูง จึงลงมือก่อน และ ประหารชวี ติ เหล่าเจา้ ฟ้าทง้ั สามนัน้ ได้ เจ้าฟา้ อทุ มุ พรข้นึ ครองราชย์ ในชว่ งปลายเดือนนน้ั แตเ่ จ้าฟ้าอนรุ กั ษม์ นตรีพระเชษฐายังประทับ อยู่ในพระราชวังหลวง พระเจ้าอุทุมพรไม่ต้องการเป็นปรปักษ์กับ พระเชษฐาและหลงั จากขนึ้ ครองราชยไ์ ดเ้ พยี งสบิ วนั กส็ ละราชสมบตั ิ ใหแ้ กพ่ ระเชษฐา ผซู้ ง่ึ ขนึ้ ครองราชยเ์ ปน็ สมเดจ็ พระบรมราชา (พ.ศ. 2301-2310 (1758-1767)) แตท่ รงเปน็ ทร่ี จู้ กั ในนาม สมเดจ็ พระทน่ี งั่ สรุ ยิ ามรนิ ทร์ (*หรอื พระเจา้ เอกทศั น)์ ซงึ่ เปน็ พระนามตามทปี่ ระทบั ของพระองค์น่นั เอง (*พระท่ีนั่งสรุ ิยาสนอ์ มรินทร์) ลางรา้ ยทบ่ี งั เกดิ ในรชั กาลนี้ เปน็ เพยี งคลนื่ ลกู แรกในทา่ มกลาง 206 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
ทะเลบ้า สมเด็จพระสุริยามรินทร์ทรงไม่ไว้วางพระทัยขุนนางชั้น ผใู้ หญ่ เพราะทรงเห็นวา่ นิยมในพระอนุชามากกว่า ทีจ่ ริงแล้ว กลุม่ ขนุ นางน�ำ โดยสมุหกลาโหมได้วางแผนเม่อื พ.ศ. 2302 (1759) เพื่อ ปลดพระองค์ออกจากตำ�แหน่ง และให้เจ้าฟ้าอุทุมพรกลับข้ึนครอง ราชย์อีกครั้งหนงึ่ ดังนนั้ จงึ ไมน่ ่าประหลาดใจทกี่ ษัตริยจ์ ะไม่ได้รับ ความร่วมมือจากขุนนาง ในปีถัดมา เมื่อราชอาณาจักรเกิดศึกกับ พมา่ อนั น�ำ มาซง่ึ ความหายนะ ภายในเจด็ ปคี วามขดั แยง้ นจี้ ะท�ำ ลาย ลา้ งโลกของคนไท-ไตทง้ั หมด และน�ำ ไปสจู่ ุดจบของราชอาณาจกั ร อยธุ ยาอันโบราณ พม่าและโลกของคนไท-ไต หากอาณาจักรพม่าข้ึนอยู่กับความเมตตาของพวกมณีปุระ และพวกมอญในทศวรรษ 1740 (2283-2292) แล้วสถานการณ์ท่ี ตรงกันข้ามก็น่าจะกลายเป็นจริงในทศวรรษ 1750 (2293-2302) หลงั การพนิ าศของอาณาจกั รเกา่ อยา่ งทเ่ี คยเกดิ ขนึ้ มากอ่ นในศตวรรษ ท่ี 16 การฟนื้ ตวั ของพมา่ นนั้ ใชม้ าตรการแขง็ กรา้ วเพอ่ื รกุ รานอาณาจกั ร เพอื่ นบ้าน ซึง่ ทำ�ใหเ้ พ่อื นบ้านทุกแหง่ หวัน่ เกรง ปลายทศวรรษ 1740 (2283-2292) อาณาจักรมอญแห่ง หงสาวดี ท่ีฟื้นฟูข้ึนมาได้เปรียบอังวะท่ีดูเหมือนไร้อำ�นาจ ในการ เผชิญหน้ากับการโจมตีของพวกมณีปุระและพวกไตใหญ่ และใน เดือนเมษายน พ.ศ. 2295 (1752) ชาวมอญประสบความสำ�เร็จใน การยดึ เมอื งหลวง และราชวงศต์ องอยู คุ หลงั กส็ นิ้ สดุ ลง อยา่ งไรกต็ าม เกอื บจะในทนั ทนี นั้ พวกพมา่ ในเขตชนบททอ่ี ยทู่ างทศิ ตะวนั ตกเฉยี ง เหนอื ของกรงุ องั วะไดร้ วมตวั กนั ตอ่ ตา้ น โดยมบี คุ คลผหู้ นง่ึ ทมี่ อี �ำ นาจ และเปน็ ศนู ยก์ ลางในการดงึ ดดู คนอน่ื ๆ ใหเ้ ขา้ รว่ ม เขารวบรวมก�ำ ลงั 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 207
คนอย่างรวดเร็ว เพ่ือต่อต้านชาวมอญ กลางปีนั้นเป็นต้นไป เขาได้ รับการยอมรับกันทั่วไปในนาม พระเจ้าอลองพญา ทรงเริ่มฟื้นฟู อาณาจกั รองั วะและยดึ เมอื งทางใตก้ ลบั คนื มา โดยยดึ หงสาวดไี ดใ้ น พ.ศ. 2300 (1757) ไมน่ านหลงั จากนนั้ กห็ นั มาสนใจสยาม มคี �ำ อธบิ าย มากมายต่อการกระทำ�ของพระเจ้าอลองพญา เกือบจะในทันทีท่ี สยามได้รับผู้อพยพชาวมอญจากสงครามแก้เผ็ดของพม่าใน พ.ศ. 2297 (1754) พระเจา้ อลองพญาทรงเกรงวา่ ด้วยการสนบั สนนุ จาก กรุงศรอี ยธุ ยา จะช่วยให้อาณาจกั รหงสาวดฟี นื้ ตัวได้ มีการถกเถยี ง เหมือนกันว่าจำ�นวนพลเมืองพม่าลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะการทำ� ศึกสงครามในเวลานั้น พระเจ้าอลองพญาจึงทำ�สงครามเพื่อท่ีจะ เพ่มิ พนู จำ�นวนก�ำ ลงั คน มกี ารถกเถยี งกันอีกว่า การนำ�กองทพั เข้า โจมตีรัฐใหญ่ๆ ในภูมิภาคนี้ได้สำ�เร็จเป็นการรับรองฐานะความเป็น รฐั ของอังวะ ท�ำ ให้รฐั บรรณาการเปน็ รอ้ ยๆ แหง่ ของอังวะไมก่ ลา้ ลุก ข้นึ ท้าทายอำ�นาจของอังวะทม่ี อี �ำ นาจเหนอื ตน ในที่สดุ กอ็ าจจะคาด เดาแบบงา่ ยๆ วา่ พระเจ้าอลองพญา ซงึ่ เห็นได้ชดั ว่าเปน็ ผู้ปกครอง ทคี่ อ่ นขา้ งชอบใชค้ วามรนุ แรง ทง้ั ยงั ขาดประสบการณใ์ นการปกครอง และการทตู กค็ งด�ำ เนนิ การในส่ิงทที่ รงเหน็ มาแต่ต้นแลว้ ว่า จะเป็น ส่ิงท่ีทรงทำ�ได้ดีท่ีสุด น่ันคือ การนำ�กองทัพเข้าสู่สงคราม พระเจ้า อลองพญาอาจทรงมคี วามทะเยอทะยานทอ่ี ยากจะเปน็ เชน่ ผยู้ งิ่ ใหญ่ ในต�ำ นานทป่ี รากฏในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16 วา่ มกี ษตั รยิ น์ กั รบชาวพมา่ ผู้ย่ิงใหญ่หลายพระองค์ ผู้สามารถลดฐานะของอาณาจักรอยุธยา ลา้ นนา และล้านช้าง ใหเ้ ปน็ รัฐบรรณาการของพม่าได้ ต้นป ี พ.ศ. 2303 (1760) พระเจ้าอลองพญาทรงนำ�กองทัพมี ชยั ชนะเหนอื เมาะตะมะ ทวาย และตะนาวศรี และทรงขา้ มคาบสมทุ ร มายังเมืองกุย เพชรบุรี และราชบุรี ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2303 (1760) กองทัพพมา่ เข้าลอ้ มกรงุ ศรอี ยุธยา สยามไมไ่ ด้เตรียมพร้อม 208 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป
มาก่อน กษัตริย์สยามทรงให้แต่งกองทัพท่ีเล็กเกินไปออกป้องกัน เมอื ง และกระจายกำ�ลงั พลมากเกนิ ไป การโอบลอ้ มของพมา่ อาจจะ ประสบความส�ำ เรจ็ หากปนื กระบอกหนง่ึ ของพมา่ ไมร่ ะเบดิ จนท�ำ ให้ พระเจ้าอลองพญาทรงบาดเจ็บ และทำ�ให้กองทัพพม่าต้องล่าถอย พระเจา้ อลองพญาสวรรคตระหว่างทางเสด็จกลับพมา่ ผขู้ น้ึ ครองราชยต์ อ่ จากพระเจา้ อลองพญาในทนั ทกี ค็ อื นองดอว์ จี (Naungdawgyi) (*พระเจ้ามังลอก) (ครองราชย ์ พ.ศ. 2303-06 (1760-63)) หลงั จากทท่ี รงปราบปรามการทา้ ทายอ�ำ นาจภายในราช สำ�นกั เปน็ คร้งั แรกได้แลว้ ทรงเอาชนะเชยี งใหม่ได้ ท่ีเชียงใหม่ เจ้า จันทร์ข้ึนครองราชย์ ต่อจากพระเจ้าองค์คำ�พระราชบิดา ใน พ.ศ. 2302 (1759) และไมน่ านนกั เจา้ จนั ทรก์ ถ็ กู ดงึ เขา้ มารว่ มในเรอ่ื งเดอื ด ร้อนนี้ ผลจากการทพ่ี ม่าได้ยกทัพไปโจมตีเมืองตา่ งๆ จึงทำ�ให้กอง ทหารรักษาการณ์ของพม่าทีเ่ ชียงแสนถูกท้าทายอ�ำ นาจ และมกี าร กอ่ กบฏเกดิ ขน้ึ ทกุ แหง่ หน เจา้ จนั ทรเ์ อง บางทอี าจจะเปน็ เพราะทรง เป็นคนนอก (*เชือ้ สายไตล้อื จากเชยี งร่งุ ) ในทส่ี ดุ จึงถกู เจา้ เชื้อสาย ลา้ นนา (*เจ้าขี้หดุ ) โคน่ อ�ำ นาจใน พ.ศ. 2304 (1761) จากน้นั ในตน้ ปี พ.ศ. 2306 (1763) กองทัพอันใหญ่มโหฬารของพม่าก็เข้าล้อม เชยี งใหม่ และหลงั จากนนั้ อกี หกเดอื นกย็ ดึ เมอื งเชยี งใหมแ่ ละลำ�พนู ได้ ผู้ครองเชียงใหม่ในชว่ งน้ี คือ นายพลชาวพม่า จนกระท่ังอกี ปี กว่าๆ ถัดมา นายพลชาวพม่าคนน้ีก็ถูกชาวเมืองก่อกบฏถอดออก จากต�ำ แหนง่ กษตั รยิ ์ พมา่ ตอบโตด้ ว้ ยการสง่ กองทพั ทม่ี แี สนยานภุ าพ มาก ในตน้ รชั กาลพระเจา้ มงั ระแหง่ องั วะ (ครองราชย ์ พ.ศ. 2306-19 (1763-76)) มกี �ำ ลงั ทหารถงึ สามแสนนาย สว่ นใหญเ่ ปน็ ชาวไตใหญ่ ทน่ี �ำ โดยเจา้ ไตใหญ่ และบงั คบั บญั ชาโดยนายพลเนเมยี วสหี บดี บกุ เข้าล้านนาสองทาง กองทัพแรกล่วงหน้าไปยังเชียงรายและลุ่มนำ้� โขงตอนบน สว่ นอกี ทางหนงึ่ ตงั้ อยทู่ เี่ ชยี งใหม่ ภายในเวลาไมก่ เี่ ดอื น 5 | ราชอาณาจกั รอยธุ ยา 209
กองทพั ของเนเมยี วสหี บดกี ไ็ ดช้ ยั ชนะเหนอื ลา้ นนาโบราณ ดงั เชน่ ที่ พงศาวดารพมา่ บนั ทกึ เอาไวว้ า่ “จากนน้ั ไดช้ ยั ชนะเหนอื ผคู้ นใน 57 เมืองของเชยี งใหม่ซ่ึงอวดดไี ม่ยอมอ่อนนอ้ ม ไม่มีอุปสรรคใดๆ และ ทกุ อย่างกร็ าบเรยี บดจุ พน้ื นำ้�”8 หลวงพระบางคอื เปา้ ตอ่ ไป บางทเี พราะการกระตนุ้ ของพระเจา้ สิริบุญสารแห่งเวียงจัน ซ่ึงส่งพระราชสาสน์ไปยังพระเจ้ามังระ เสนอให้ความช่วยเหลือในการต่อสู้กับศัตรูของพระองค์ (*คือ หลวงพระบาง) ในปลายป ี พ.ศ. 2307 (1764) กองทพั ของเนเมียว สหี บดี เรม่ิ ออกเดนิ ทางจากทมี่ นั่ ทเี่ มอื งนา่ น ซงึ่ เขาตง้ั ทพั รอใหห้ มด ฤดฝู นกอ่ น จากเดอื นมนี าคม พ.ศ. 2307 (*นบั ศกั ราชแบบเกา่ 1765) เนเมียวสีหบดียึดเมืองหลวงพระบางได้และจับเจ้าโสติกากุมารเป็น ตวั ประกนั เพอ่ื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื พมา่ และสวามภิ กั ดต์ อ่ พมา่ ในภาย หน้า กล่าวกันว่ากองทัพเวียงจันให้ความช่วยเหลือพม่าในการเข้า ยดึ เมืองหลวงพระบาง ดงั น้ัน จงึ เพ่มิ เช้อื แหง่ ความเป็นศัตรูของท้ัง สองราชอาณาจักรมากขน้ึ ในท่ีสุด กองทัพพม่าเรม่ิ ตน้ รวบรวมก�ำ ลังพลเพ่ือทำ�ลายล้าง กรงุ ศรอี ยธุ ยาครง้ั สดุ ทา้ ย กองทพั ทางเหนอื น�ำ ทพั โดยเนเมยี วสหี บดี ยกมาจากลำ�ปาง ท่ีซ่ึงมาตั้งทัพรอให้หมดฤดูฝนเมื่อ พ.ศ. 2308 (1765) กองทพั ของไตใหญแ่ ตแ่ รกเรม่ิ นน้ั ไดก้ �ำ ลงั คนเพม่ิ จ�ำ นวนขนึ้ อีก จากกำ�ลังคนของล้านนาและล้านช้าง แต่ละกองทัพนำ�โดยเจ้า เมอื งทอ้ งถน่ิ และกษตั รยิ ์ ในปลายเดอื นมถิ นุ ายน พ.ศ. 2308 (1765) กองทพั เหลา่ นไี้ ดย้ กลงมาทางใต้ ผา่ นพษิ ณโุ ลก พชิ ยั พจิ ติ ร นครสวรรค์ และอา่ งทอง ในขณะทก่ี องทพั ทางดา้ นใตบ้ ญั ชาการโดยมงั มหานรธา เรมิ่ ออกเดนิ ทางจากเมอื งทวาย ในปลายเดอื นกนั ยายน และมงุ่ มายงั ชมุ พร และเพชรบรุ ี เพอ่ื ไปรวมกับกองทัพเลก็ อีกกองหน่ึง ซึง่ ข้าม เข้ามายังสยามผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อยึดเมืองราชบุรีและ 210 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป
สพุ รรณบรุ ี ในเดอื นกุมภาพันธ ์ พ.ศ. 2309 (1766) กองทพั ใหญท่ งั้ สองกองทพั ของพมา่ กม็ ารวมกนั ทช่ี านกรงุ ศรอี ยธุ ยา และลอ้ มเมอื ง เอาไว้ ในการต้านทานการบุกโจมตีคร้ังใหญ่น้ี การรับมือของพวก สยามเป็นไปอยา่ งลา่ ช้า และไม่ประสานงานกัน ดูเหมือนว่า สมเด็จ พระทนี่ งั่ สรุ ยิ ามรนิ ทร์ จะทรงอนญุ าตใหก้ องทพั พกั ผอ่ นหลงั สงคราม พ.ศ. 2303 (1760) พระองค์ทรงสนองตอบการขอความช่วยเหลือ จากเชยี งใหมใ่ น พ.ศ. 2306 (1763) ดว้ ยการสง่ กองทพั กองเลก็ ๆ ขน้ึ ไปทางเหนอื และกองทพั กไ็ ปถงึ ชา้ เกนิ ไปจงึ ไมไ่ ดต้ อ่ สกู้ บั พมา่ หาก จะมโี อกาสสดุ ทา้ ยส�ำ หรบั การตอบโตท้ ปี่ ระสบผลส�ำ เรจ็ กค็ อื ในชว่ ง ป ี พ.ศ. 2307-08 (1764-65) เมอ่ื พมา่ พชิ ติ หวั เมอื งเหนอื ไดแ้ ลว้ และ มุ่งเข้าจู่โจมกรุงศรีอยุธยาอย่างเต็มท่ี แต่สมเด็จพระที่นั่ง สุริยามรินทร์กลับทรงปล่อยโอกาสให้หลุดไปโดยไม่ได้ทำ�อะไรเลย ผลกค็ อื เมอ่ื การโจมตคี รง้ั สดุ ทา้ ยเกดิ ขนึ้ ในครงึ่ หลงั ของป ี พ.ศ. 2308 (1765) ชาวสยามไมไ่ ดเ้ ตรยี มพรอ้ ม ถกู ตดั ความชว่ ยเหลอื ทเี่ ปน็ ไป ไดจ้ ากทางเหนือ และถูกบังคบั ใหต้ อ้ งรับศกึ พมา่ ถงึ สองทางในเวลา เดียวกัน พม่าเผชิญการต้านทานแบบพอเป็นพิธีจากกองทัพของ หลายๆ หวั เมอื ง การตา้ นทานกองทพั พมา่ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพมากทสี่ ดุ ในตอนตน้ ของสงครามครงั้ นมี้ าจากหมบู่ า้ นเลก็ ๆ ทบ่ี างระจนั ซง่ึ อยู่ ทางตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของกรงุ ศรอี ยธุ ยา ทซี่ ง่ึ กองทพั ของเนเมยี ว สหี บดตี อ้ งเสยี เวลาอยถู่ งึ 5 เดอื น สองสามเดอื นตอ่ มา กองทพั ใหญ่ ซ่ึงมีกำ�ลังคนหกหม่ืนคนได้ถูกส่งออกไปจากกรุง เพ่ือมารบกับมัง มหานรธาก่อน แต่กองทัพน้ีก็พ่ายแพ้กองกำ�ลังขนาดเล็กของพม่า และลา่ ถอยกลบั กรงุ ไป แถบหวั เมอื งทวั่ ไปหลายแหง่ ผนู้ �ำ อาจรวบรวม กองทหารและก่อกวนทัพพม่าผู้บุกรุกได้เพียงไม่กี่วัน แต่ความ พยายามของพวกเขากไ็ ร้ประโยชน์ และไมน่ านพม่าก็โอบลอ้ มรอบ 5 | ราชอาณาจักรอยุธยา 211
กรุงศรอี ยุธยาได้ สมเด็จพระท่ีน่ังสุริยามรินทร์ต้องทรงหวังเช่นเดียวกับที่ บรรพบุรุษเคยทำ�มาก่อน นั่นคือ เริ่มถึงฤดูฝนและนำ้�จะไหลหลาก ท่วมท่ีราบภาคกลางอันกว้างใหญ่ ซึ่งจะกดดันให้กองทัพพม่าต้อง ลา่ ถอยไป อยา่ งไรกด็ ี พมา่ กต็ ระหนกั กบั เรอื่ งนแ้ี ละเตรยี มพนู ดนิ ขน้ึ สูง เตรียมเรอื ให้พรอ้ มใช้งาน ตอนปลายปี พ.ศ. 2309 (1766) เจ้า เมอื งเพชรบรุ แี ละเจา้ เมอื งตาก (*พระยาตากสนิ ) น�ำ กองทพั เรอื ออก จากกรุงเข้าต่อสู้กับพม่า แต่เจ้าเมืองเพชรบุรีตายในที่รบ และการ โจมตไี มเ่ ปน็ ผล เจา้ เมอื งตากผมู้ คี วามสามารถและใฝส่ งู ถกู กลา่ วหา อยา่ งไมเ่ ปน็ ธรรมวา่ น�ำ กองทพั ลม้ เหลว และถกู ขดั ขวางความพยายาม อย่างแข็งขันท่ีจะลุกข้ึนตอบโต้พม่า เมื่อโชคชะตาของกรุงริบหร่ีลง เจ้าเมอื งตากก็แอบหนีออกจากกรุงไปพรอ้ มกับลกู น้องราวสองสาม ร้อยคน และมุ่งหน้าไปทางตะวันออก ราวกับว่าความอดอยากที่มี เพม่ิ มากขนึ้ และโรคระบาดทร่ี นุ แรงมากขน้ึ เทา่ นน้ั ยงั ไมเ่ พยี งพอ ยงั เกดิ เพลิงไหม้ขึน้ ในพระนครในต้นปี พ.ศ. 2310 (1767) ไฟเผาบ้าน เรือนวอดวายไปนับหมื่นหลัง เมื่อเห็นว่าฝ่ายของพระองค์เพลี่ยง พล�้ำ สมเดจ็ พระทน่ี ั่งสุรยิ ามรนิ ทรท์ รงเสนอว่าจะยอมแพ้ และยอม เป็นรัฐบรรณาการของกษัตรยิ ์พมา่ แตพ่ มา่ ไม่ตกลง เว้นเสียแต่ว่า กรงุ ศรอี ยธุ ยาจะยอมแพโ้ ดยไมม่ เี งอ่ื นไข ในทส่ี ดุ พมา่ โหมโจมตกี รงุ อย่างดุเดือด ในวันท่ี 7 เมษายน พ.ศ. 2310 (1767) กำ�แพงเมอื งพงั ทลายลงได้ในทส่ี ุด และพมา่ เขา้ ยึดเมืองหลวงอันเกา่ แกแ่ ห่งนี้ได้ พมา่ ท�ำ การอยา่ งน่ากลัวในกรงุ ศรีอยุธยา จนกลายเปน็ เมือง รา้ ง พวกพมา่ เข้าแย่งชงิ ปล้นสะดมสิ่งของ ขโมยทรพั ยส์ นิ และนำ� เชลยนบั หมนื่ ๆ คนกลบั ไปยงั พมา่ พวกพมา่ จดุ ไฟเผาทกุ อยา่ ง รวม ทง้ั องคพ์ ระพทุ ธรูปเพ่อื ลอกทองท่ีหมุ้ องคพ์ ระ กล่าวกันวา่ สมเด็จ พระทนี่ ง่ั สรุ ยิ ามรนิ ทรท์ รงหนอี อกจากเมอื งดว้ ยเรอื ลำ�เลก็ ๆ และทรง 212 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 687
Pages: