Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย

Published by History Channel, 2021-02-06 09:55:55

Description: ประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

ดินแดนของสยามที่สญู เสยี ไปในชว่ ง พ.ศ. 2328-2452 (1785-1901) 1. สลุ ต่านแห่งไทรบรุ ี ยอมยกดินแดนใหอ้ งั กฤษเช่าเม่อื  พ.ศ. 2328-2343 (1785-1800) 2. ดนิ แดนกมั พชู า ตกอย่ใู ตอ้ ารักขาของฝรัง่ เศส ตามสนธสิ ญั ญาฝร่งั เศส-สยาม พ.ศ. 2410 (1867) 3. ดินแดนไตด�ำ (ไตเมือง) ท่ฝี รง่ั เศสได้ไปเมอื่  พ.ศ. 2431 (1888) 4. ดนิ แดนฝั่งตะวันออกของแม่นำ�้ โขง ทต่ี ้องยกให้ฝรัง่ เศสตามสนธสิ ัญญาฝร่ังเศส-สยาม พ.ศ. 2436 (1893) 5. ดนิ แดนทางฝง่ั ตะวนั ตกของแม่น้ำ�โขง ท่ีตอ้ งยกให้ฝร่ังเศสตามสนธสิ ัญญาฝรงั่ เศส-สยาม พ.ศ. 2447 (1904) 6. จังหวัดในเขตกัมพูชาตะวันตกทตี่ อ้ งยกใหฝ้ รั่งเศสตามสนธิสญั ญาฝร่ังเศส-สยาม พ.ศ. 2450 (1907) 7. หวั เมืองมลายทู ต่ี อ้ งยกใหอ้ งั กฤษตามสนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม พ.ศ. 2452 (1909) 7 | พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ ฯ 361

ไว้ใจความสามารถของรัฐบาลสยามที่จะรบั รองความปลอดภยั และ จัดการสาธารณูปโภคในบ้านเมืองน้ีแต่พอควร และความสามารถ ของสยามในการปกป้องสิทธิของมหาอำ�นาจตะวันตกตามท่ีระบุไว้ ในสนธิสัญญา เหตุที่ข้อสันนิษฐานน้ีได้รับการยอมรับอย่างชัดเจน ในนโยบายทั้งของอังกฤษและฝร่ังเศสในตอนช่วงเปลี่ยนศตวรรษ เปน็ ส่วนสนบั สนุนโดยตรงใหแ้ ก่ความสำ�เรจ็ ของการปฏริ ูปทเี่ รมิ่ ต้น ในชว่ งกลางทศวรรษ 1880 (2423-2432) และไดม้ กี ารประกาศอยา่ ง เป็นทางการ เมื่อ พ.ศ. 2435 (1892) ท่ีน่าเย้ยหยันก็คือ แง่มุมท่ี ประสบความส�ำ เรจ็ มากท่สี ุดในการทำ�ประเทศใหท้ นั สมัยน้ี เป็นผล มาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ไดค้ าดคิดมากอ่ น เมื่อส่ิงใหม่ น้ันเรม่ิ ต้นข้นึ เมื่อ พ.ศ. 2431 (1888) เมื่อใกล้ถึงศตวรรษใหม่ กระทรวงมหาดไทยแบบใหม่ก็เริ่ม สรา้ งรฐั ชาตขิ น้ึ ในราชอาณาจกั รสยามโบราณ ลว่ งเลยมาจนถงึ เดอื น มีนาคม พ.ศ. 2435 (1892) เจ้าพระยารัตนบดินทร์ (บุญรอด กัลยาณมติ ร) ได้รบั มอบหมายใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ เสนาบดมี หาดไทย ตอ่ ไป หากแตร่ บั ผดิ ชอบเพยี งหวั เมอื งทางเหนอื ตราบจนกระทง่ั ถงึ ช่วงเวลาท่ีมีการถ่ายโอนอำ�นาจของกลาโหม จากหัวเมืองทางใต้ และหัวเมืองทางตะวันตกมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของมหาดไทย แต่ เจา้ พระยารตั นบดนิ ทรไ์ ดล้ ม้ ปว่ ยกะทนั หนั จ�ำ เปน็ จะตอ้ งใหผ้ อู้ น่ื มา รับหน้าที่แทน ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจท่ีน่าประหลาดใจอย่าง ยิง่ ในช่วงเวลานน้ั เมือ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวฯ โปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระเจา้ นอ้ งยาเธออกี พระองคห์ นงึ่ คอื กรมหมน่ื ด�ำ รงราชานภุ าพ (*พระองคเ์ จ้าดิศวรกมุ าร) พ.ศ. 2405-2486 (1862-1943) ซง่ึ ขณะ น้ันมีพระชนม์เพียง 30 พรรษา และทรงดำ�รงตำ�แหน่งอธิบดีกรม ศึกษาธิการมารบั ต�ำ แหนง่ น้แี ทน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทรง ตระหนกั เปน็ อยา่ งดวี า่ ก�ำ ลงั ท�ำ อะไรอยู่ กรมหมน่ื ด�ำ รงฯ ทรงจดั การ 362 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

งานในความรบั ผิดชอบใหมน่ ใี้ นลักษณะทค่ี งจะสรา้ งความตระหนก ใหแ้ กบ่ รรดาผู้ใตบ้ งั คับบัญชา ไมน่ านนกั คนจ�ำ นวนหน่งึ ต้องไปอยู่ ในตำ�แหน่งอื่น กรมหม่ืนดำ�รงฯ ได้ออกเสด็จตรวจราชการในหัว เมอื งทางเหนอื ทรงศกึ ษาวธิ กี ารตา่ งๆ ในการบรหิ ารจดั การ และตอ่ มาได้ทรงเร่ิมดำ�เนินการโครงการในการรวมศูนย์อำ�นาจเข้าสู่ส่วน กลาง และจดั การปฏริ ปู อยา่ งกวา้ งขวาง ซงึ่ สามารถเคลอ่ื นไหวผลกั ดันได้ ใน พ.ศ. 2437 (1894) เมอื่ ไดร้ บั โอนอ�ำ นาจการจัดการในหวั เมืองทางใต้และตะวนั ตกมาจากกลาโหม ระบบท่ีเรียกว่า เทศาภิบาล ซ่ึงเริ่มจัดการเป็นคร้ังแรกท่ี นครราชสีมา (โคราช) เมื่อ พ.ศ. 2436 (1893) นน้ั กรมหมื่นด�ำ รงฯ ได้จัดกลุ่มเมืองต่างๆ ให้อยู่ในหน่วยการบริหารเพียงหน่วยเดียว (มณฑล “วงรอบ”) อยู่ภายใตก้ ารปกครองของขา้ หลวงเทศาภบิ าล ผปู้ กครองทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั ขา้ หลวงตา่ งพระองคส์ �ำ เรจ็ ราชการ ในสมัยกอ่ นหนา้ นน้ั ท่ีปกครองเชียงใหม่ หัวเมืองอสี าน และภูเก็ต โดยใหอ้ �ำ นาจแกข่ า้ หลวงเทศาภบิ าลเหนอื กวา่ ผปู้ กครองในหวั เมอื ง ทก่ี งึ่ สบื ทอดอ�ำ นาจมา ขา้ หลวงฯ เรมิ่ เขา้ ควบคมุ รายรบั และรายจา่ ย ในทอ้ งถ่ิน มกี ารสรา้ งศาลากลางว่าการในเมอื งต่างๆ เร่ิมนำ�หนว่ ย งานต�ำ รวจแบบใหมเ่ ขา้ มาใช้ และควบคมุ การฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวง กบั ความไมย่ ตุ ิธรรมตา่ งๆ ขนุ นางอาวโุ สบางคนขอลาออกจากราชการ ไป และบางคนกถ็ กู รวมเขา้ ไปในระบบใหม่ ทงั้ หมดไดร้ บั การสนบั สนนุ ใหส้ ง่ บตุ รชายไปเรยี นหนงั สอื ในกรงุ เทพฯ เพอ่ื ทว่ี า่ พวกเขาจะไดส้ บื ต่ออาชีพของตระกูล (แต่ไปปกครองเมืองอื่น) ในไม่ช้า บรรดา ข้าราชการท่ีได้รับการฝึกฝนจากระบบโรงเรียนก็เร่ิมมีอิทธิพลใน ระบบราชการสว่ นท้องถ่นิ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในระดับอ�ำ เภอ การ รวมศูนย์อำ�นาจอย่างรวดเร็วและน่าท่ึงน้ี ทำ�ให้เงินได้แผ่นดินเพ่ิม ขนึ้ เปน็ สองเทา่ มกี ารใชก้ ฎหมายในลกั ษณะใหม่ มกี ารขยายขอบเขต 7 | พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ ฯ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ 363

ของบรกิ ารทางสงั คมของรฐั มากขนึ้ และท�ำ ใหเ้ กดิ ความมนั่ คงในชวี ติ และทรัพย์สนิ มากขนึ้ อย่างท่ีไม่เคยรจู้ ักกนั มากอ่ นในเขตท้องถ่นิ กรมหมนื่ ด�ำ รงฯ ทรงสามารถทจี่ ะจดั ระบบการปกครองในหวั เมืองได้สำ�เร็จ ส่วนหน่ึงก็โดยการล้มเลิกหลักการของการแบ่งงาน ตามหน้าท่ี อย่างที่ได้กำ�หนดไว้ในการบริหารราชการ เม่ือมีการ ปฏริ ูปในช่วงตน้ ระหว่าง พ.ศ. 2431-35 (1888-92) เพราะวา่ ระบบ เทศาภบิ าลทพี่ ระองคต์ ง้ั ขน้ึ ในหวั เมอื งมจี �ำ นวนขา้ ราชการนอ้ ยทสี่ ดุ เท่าท่ีจะสามารถจัดหาได้ (ทรงขาดแคลนกำ�ลังคนอยู่นานถึงสอง ทศวรรษ) และเพราะวา่ บรรดากระทรวงทตี่ งั้ ขน้ึ มาใหมๆ่  ไมส่ ามารถ จะจัดการกับงานในหัวเมืองได้ หากปราศจากความช่วยเหลือของ มหาดไทย กรมหมนื่ ด�ำ รงฯ จงึ ทรงมอบหมายหนา้ ทต่ี า่ งๆ อยา่ งเปน็ ทางการให้เปน็ หน้าทขี่ องกระทรวงอนื่ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง เม่อื ทรง จัดตั้งสำ�นักงานจัดเก็บเงินได้หัวเมืองเพื่อจัดเก็บภาษีอากรในหัว เมอื ง ซงึ่ ทถ่ี กู ตอ้ งแลว้ ตอ้ งเปน็ งานของกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ ในช่วงเวลาน้ี มีกรมต่างๆ จำ�นวนมากจากกระทรวงอ่ืนๆ ตั้งข้ึนใน กระทรวงมหาดไทย เช่น กรมโยธาธิการ กรมคลอง (*ในรชั กาลที่ 6 เปลย่ี นชอ่ื เปน็ กรมทดน�ำ้ ในรชั กาลท่ี 7 เปลย่ี นเปน็ กรมชลประทาน) และกรมพยาบาล เพียงเพราะสามารถจะไว้วางใจได้ว่า กรมหม่ืน ด�ำ รงฯ จะท�ำ ใหห้ นว่ ยงานเหลา่ นนั้ สามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี ดโ้ ดยทนั ที นอกจากนี้ กรมหมืน่ ด�ำ รงฯ ยังทรงมบี ทบาทสำ�คัญในการริเริ่มการ ศึกษาสมัยใหม่ และวางกฎระเบียบพระสงฆ์ในหัวเมือง กรมหม่ืน ด�ำ รงฯ ทรงเป็นผูท้ ท่ี �ำ งานโดยไมร่ จู้ ักเหน็ดเหน่ือย หลักแหลม ลึก ซง้ึ และตรงไปตรงมา มที กั ษะในการบรหิ ารอยา่ งดเี ยยี่ ม เมอื่ พจิ ารณา จากคนในรนุ่ เดยี วกนั พระเจา้ แผน่ ดนิ จงึ ทรงปลอ่ ยใหก้ รมหมนื่ ด�ำ รงฯ ดำ�เนินการไปได้เลย และมักจะทรงปรึกษาเร่ืองราชการท่ีอยู่นอก เหนือความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยด้วย 364 ประวัติศาสตร์ไทยฉบบั สังเขป

เสนาบดที ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพมากเทา่ กบั กรมหมนื่ ด�ำ รงฯ ทเี่ สนา บดอี นื่ ๆ ตอ้ งแขง่ ขนั เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ งนิ งบประมาณและไดร้ บั ความสนใจ มอี ยไู่ มม่ ากนกั กระทรวงพระคลงั มหาสมบตั มิ ที ปี่ รกึ ษาชาวองั กฤษ ทม่ี คี วามคดิ แบบอนรุ กั ษนยิ ม กเ็ ปน็ ผทู้ ส่ี ามารถจดั ระบบงบประมาณ ใหม้ าเขา้ สู่ส่วนกลางไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และสามารถหลกี เล่ยี ง เงินกู้ลอยตัวในตลาดเงินของยุโรปมาได้นานหลายปี เพราะฉะน้ัน สัดส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ได้ในขณะน้ัน จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่สำ�คัญมาก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การกอ่ สรา้ งทางรถไฟ เพอ่ื ขยายเสน้ ทางคมนาคม อย่างรวดเร็วไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ทางรถไฟไปถึง นครราชสีมาเมอ่ื  พ.ศ. 2443 (1900)) และภาคเหนือ ซ่ึงเป็นพื้นทีท่ ่ี ไดร้ บั การพจิ ารณาในประเดน็ ความมนั่ คงวา่ ส�ำ คญั เทา่ ๆ กบั เรอื่ งทาง เศรษฐกจิ และการบรหิ ารจดั การ การจดั กระทรวงยตุ ธิ รรมแบบใหม่ ดูจะยังอ่อนแรงอยู่ระยะหน่ึง จนกระท่ังพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักด์ิ (พ.ศ. 2417-2463 (1874-1920)) ซงึ่ เปน็ พระราชโอรสรนุ่ แรกทเี่ สดจ็ ไปทรงศกึ ษาตอ่ ในยโุ รปไดก้ ลบั มารบั ผดิ ชอบ พระองคเ์ จา้ รพฯี ทรง เริ่มต้นปรับปรุงกฎหมายสยามให้สอดคล้องกับกฎหมายตะวันตก อย่างกระฉับกระเฉง โดยร่วมมือกันกับนักกฎหมายชาวเบลเยียม และฝรั่งเศสท่ียึดแบบอย่างกฎหมายนโปเลียน นับเป็นนโยบายที่ สรา้ งความพงึ พอใจใหก้ บั รฐั บาลสยาม ทป่ี รารถนาจะดงึ อ�ำ นาจดา้ น กฎหมายเข้าสู่ส่วนกลาง เพื่อตอบโต้การวินิจฉัยของฝร่ังเศสท่ีว่า ระบบกฎหมายสยาม “ป่าเถื่อน” การปฏิรูปด้านการทหารดำ�เนิน การเป็นรูปเป็นร่างได้ช้ากว่ามาก แต่แก่นของกองทัพสมัยใหม่ก็ ปรากฏขนึ้ ในชว่ งตน้ ศตวรรษ และการเกณฑท์ หารทวั่ ไปกไ็ ดเ้ รม่ิ ตน้ ข้ึนตั้งแต่ พ.ศ. 2445 (1902) เมื่อถึง พ.ศ. 2448 (1905) โครงการ ปฏิรูปเรื่องนี้ได้ดำ�เนินการไปจนถึงจุดท่ีสามารถยกเลิกระบบการ เกณท์แรงงานท่ีเป็นหลักสำ�คัญทางเศรษฐกิจของระบบเก่ามาเป็น 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ ฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าฯ 365

เวลานานลงได้ แลว้ แทนทด่ี ว้ ยระบบการเรยี กเกบ็ เงนิ รชั ชปู การและ ระบบการเกณฑท์ หารซึ่งจ�ำ กดั มากย่ิงขน้ึ เวลานั่นเองท่ีเป็นแรงกดดันท่ีเข้ามาปะทะสยามอย่างรุนแรง ที่สุดในช่วงนี้ จนต้องปรับรูปแบบของการปฏิรูปให้เป็นการ ประนีประนอม ชาวตะวันตกเรียกร้องให้มีสิ่งอำ�นวยความสะดวก และความปลอดภยั อยา่ งรวดเรว็ ดงั นน้ั จงึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งรบี เรง่ ใหม้ กี าร บริหารสมัยใหม่ และการจัดหาสิ่งอำ�นวยความสะดวก อย่างน้อย ที่สดุ เทา่ ที่จ�ำ เป็น เปน็ ตน้ วา่ ระบบการคมนาคมขนสง่ การสอื่ สาร กฎหมายเกย่ี วกบั นติ กิ รรมสญั ญา และในเวลาเดยี วกนั เนอ่ื งจากการ ปรบั เปล่ยี นสยามใหท้ นั สมยั ได้ถูกถว่ งเวลาไปนาน อันเนือ่ งมาจาก ความยุ่งยากทางการเมือง โครงการปฏิรูปจึงกองทับถมกันเป็นตั้ง สูง ในเมอ่ื ยังไมส่ ามารถพฒั นาวธิ ีการทจี่ ะจดั การกบั โครงการนั้นได้ ความต้องการที่สำ�คัญมากที่สุดในการบริหารจัดการเมื่อ ทศวรรษ 1890 (2433-2442) คือ ผูม้ กี ารศกึ ษาสำ�หรับท�ำ งานด้าน ราชการพลเรือน ที่พอจะมีความเข้าใจถึงการเปล่ียนแปลงต่างๆ ท่ี รฐั บาลก�ำ ลงั พยายามจะรเิ รมิ่ ขนึ้ แนล่ ะวา่ โรงเรยี นเพง่ิ จะเรมิ่ ตน้ เมอื่ กลางทศวรรษ 1880 (2423-2432) เทา่ นน้ั แตก่ วา่ จะไดร้ บั การตอบ สนองอยา่ งกวา้ งขวางทวั่ ไปกเ็ นน่ิ นานไปมาก จนถงึ ประมาณทศวรรษ 1890 ดังนั้น ข้อพิสูจน์สำ�คัญของกรมหมื่นดำ�รงฯ เรื่องการปรับใช้ ระบบเทศาภบิ าลกค็ อื ทรงตอ้ งจดั หาคนไปปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ น 18 มณฑล เพียงเทา่ นั้น แทนท่จี ะหาคนมากกว่าร้อย ในทำ�นองเดียวกนั ความ ขาดแคลนผู้มีการศึกษาเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนากระทรวง ตา่ งๆ เปน็ สว่ นใหญไ่ มใ่ หด้ �ำ เนนิ ไปไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยเฉพาะอยา่ ง ยิ่ง เมือ่ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐเป็นองคก์ รใหม่ ยังเปน็ ที่เข้าใจของ ผู้คนน้อยมาก หน่วยงานเหล่านั้นจึงไม่ดึงดูดความทะเยอทะยาน ของคนร่นุ หนุ่มๆ  366 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป

งานคง่ั คา้ งทท่ี �ำ ไมส่ �ำ เรจ็ ของการปฏริ ปู มปี รมิ าณมหาศาลมาก จนกระทง่ั งบประมาณแผ่นดิน ทแ่ี มจ้ ะเพ่ิมขึน้ อีกสองเท่า และ สาม เทา่ จากการทม่ี หาดไทยไดล้ งแรงไปในหวั เมือง แตก่ ็ไมอ่ าจท�ำ ตาม ขอ้ เรยี กรอ้ งทงั้ หมดทม่ี อี ยบู่ นรายรบั อนั จ�ำ กดั ได้ เงนิ ทคี่ วรจะตอ้ งใช้ ไปกบั ความตอ้ งการโดยทนั ที คอื การจดั การปกครองหวั เมอื ง กองทพั และทางรถไฟสายตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ในขณะทก่ี ระทรวงอน่ื ๆ ตอ้ ง ขาดแคลนเงนิ ทนุ ขอ้ เสนอแนะมากมายจากบรรดาทป่ี รกึ ษาชาวตา่ ง ประเทศทีไ่ ดใ้ ห้แก่ตวั แทนของรัฐบาลไม่ได้ชว่ ยอะไรเลย และแต่ละ กระทรวงกม็ ที ปี่ รกึ ษาชาวตา่ งประเทศเปน็ จ�ำ นวนมาก ซงึ่ ตอ้ งพยายาม สรา้ งสมดลุ ดา้ นเชอ้ื ชาตขิ องทปี่ รกึ ษาเหลา่ นน้ั อยา่ งระมดั ระวงั มแี นว โนม้ วา่ ผู้มปี ระสบการณก์ ารทำ�งานในท้องถนิ่ ก็ไม่มีความรอบรู้ และ ไมอ่ าจปฏบิ ตั กิ ารไดเ้ มอ่ื สยามมคี วามตอ้ งการอยา่ งรบี ดว่ น ยกตวั อยา่ ง เช่น ที่ปรึกษาด้านการเงินและการศึกษา ต่างคะย้ันคะยอให้สร้าง โรงเรยี นแบบอีตนั กบั แฮร์โรว์ และเตอื นใหร้ ะวงั อนั ตรายตา่ งๆ ท่ีได้ รับจากการให้การศึกษามากจนเกินไป ในขณะท่ีกรมหมื่นดำ�รงฯ ทรงพยายามอยา่ งแทบจะส้นิ หวงั ที่จะหาคนเขา้ มาทำ�งาน เปน็ ปลดั อำ�เภอ พนกั งานบญั ชี นายต�ำ รวจ และพนักงานพมิ พด์ ดี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงตระหนกั รเู้ ชน่ เดยี วกับคนอ่นื ๆ เกีย่ วกับความขดั แยง้ ที่ปรากฏในสถานการณ์ของ บา้ นเมือง เม่อื ถงึ ทศวรรษ 1890 (2433-2442) ทรงรู้วา่ ชาวยโุ รป ก�ำ ลงั เรยี กรอ้ งอะไรอยู่ และแนวคดิ ทอี่ ยเู่ บอื้ งหลงั ขอ้ เรยี กรอ้ งนน้ั มกั จะเปน็ การตัดสินท่ีแสดงการดหู มน่ิ ราชอาณาจักรของพระองค์ ทรง ตระหนักดีว่า หากพิจารณาจากคำ�จำ�กัดความของชาวยุโรปเกี่ยว กบั ความเปน็ สมยั ใหมแ่ ลว้ บา้ นเมอื งของพระองคค์ วรจะตอ้ งพฒั นา และมักจะทรงร้สู ึกสิ้นหวังกบั การประนีประนอม ทงั้ ทจ่ี �ำ เปน็ ตอ้ งทำ� สน้ิ หวงั กับงานที่ต้องทง้ิ ไป ท้งั ทยี่ งั ทำ�ไมเ่ สรจ็ และความไม่สมบูรณ์ 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ ฯ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ 367

แบบของระบบทไ่ี ดพ้ ฒั นาไปแลว้ การเสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ แรกใน  พ.ศ. 2440 (1897) ท�ำ ใหท้ รงเหน็ ความผดิ ปกตใิ นความทนั สมยั ของ ชาวยโุ รป การยดึ มน่ั กบั ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ใิ นทอ้ งถน่ิ อยา่ งไมม่ เี หตผุ ล ตลอดจนวิถีชีวิตของชาวยุโรปท่ีฟุ้งเฟ้อ และไม่เท่าเทียมกันอย่าง เห็นได้ชัดเจน (พระองค์ได้เสด็จไปเยือนย่านอีสต์เอ็นด์ของกรุง ลอนดอน “ยา่ นซงึ่ คนยากจนอาศยั อย”ู่ และเสดจ็ กลบั ไปทอดพระเนตร ย่านนอ้ี ีกเปน็ คร้ังทสี่ อง นบั เป็นการแทรกเข้ามาในก�ำ หนดการเดิน ทางของพระองค์) พระองคเ์ สดจ็ กลบั ไปยงั พระนครอยา่ งสดชน่ื เตม็ ใจทจ่ี ะยอมรบั การประนีประนอมตา่ งๆ ทีจ่ �ำ เปน็ และเชอ่ื มนั่ ในประโยชน์ของการ ประนปี ระนอม ที่จะรักษาคุณคา่ ท่ีดที สี่ ุดของอารยธรรมสยามใหค้ ง อยู่ตลอดไป ภายในโครงสรา้ งท่หี ยิบยืมมา ทรงกล่าววา่ “ขา้ มั่นใจ ว่าไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างการได้มา (ซึ่ง ความรู้ (สมัยใหม่) ของชาวยุโรป) กับการธำ�รงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของเรา ใน ฐานะชาติเอเชียที่ไม่ขึ้นกับใคร”7 หลังจากน้ัน พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงดำ�เนินการเพื่อสนับสนุนให้พระสงฆ์ในศาสนา พทุ ธไดม้ บี ทบาทในการจดั การศกึ ษาสมยั ใหมไ่ ด้ อยา่ งทไี่ มท่ รงรสู้ กึ ว่าผิดหรือไม่ซ่ือสัตย์ ท้ังน้ีเพ่ือปรับระบบการสอนให้พอเหมาะกับ ความตอ้ งการของสยาม ยงิ่ กวา่ ความตอ้ งการขององั กฤษหรอื ฝรงั่ เศส และเพอ่ื ยอมรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ บางสงิ่ บางอยา่ งจะตอ้ งเกดิ ขนึ้ อยา่ ง แตกต่างกันไปในสยาม เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในท้ายท่ีสุด แล้ว น่ีก็คือสยาม รัฐบาลอาจถูกปรับเปล่ียน เพ่ือให้ทำ�หน้าท่ีใหม่ โดยไม่ได้ทำ�ลายฐานะหรือวัฒนธรรมท่ีได้แสดงออก สถาบันต่างๆ  แบบจารตี อยา่ งเชน่ พระสงฆใ์ นพทุ ธศาสนา ระบบการบรหิ ารราชการ หวั เมอื งแบบเกา่ และสถาบนั พระมหากษตั รยิ เ์ อง การจะปรบั เอนไป ยงั ปลายทางใหม่ โดยไมจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งลอกเลยี นแบบแผนของสถาบัน 368 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

ตา่ งๆ ของตะวนั ตก เนอื่ งจากสาระส�ำ คญั ไมไ่ ดแ้ ตกตา่ งกนั ไปนกั กบั แนวคดิ ต่างๆ ในอารยธรรมของชาวสยามทีเ่ ป็นชาวพุทธ สยามใน พ.ศ. 2453 (1910) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ในวนั ท่ี 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 (1910) นั้น ทัว่ ทั้งราชอาณาจักรตา่ ง เกดิ ความตน่ื ตระหนก พระองคท์ รงครองราชยอ์ ยู่นานถึง 42 ปี จน ไม่มีคนนึกถึงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น บรรดาข้าราชสำ�นักวิตก กังวลอยู่นานหลายคืน และพยายามจะค้นหาเรื่องการพระบรมศพ และการไว้ทุกข์ท่ีถูกลืมเลือนไปนานแล้ว และไม่ได้บันทึกไว้อย่าง สมบรู ณ์ ผคู้ นจ�ำ นวนมากร�่ำ ไหอ้ ยา่ งไมอ่ าย ทกุ หนทกุ แหง่ มคี นแตง่ กายไวท้ กุ ขแ์ ละโกนผม ขา่ วการสวรรคตแพรไ่ ปถงึ ทกุ ซอกทกุ มมุ ท่ี หา่ งไกลในราชอาณาจกั ร แลว้ ปฏกิ ริ ยิ าตอ่ ขา่ วนไ้ี ดถ้ กู แตง่ แตม้ ดว้ ย ความภาคภมู ใิ จ ในผลสำ�เร็จของพระเจ้าอยูห่ ัวต่อบา้ นเมอื ง รวมท้ัง ความหวาดกลวั และความไมแ่ น่ใจว่าต่อไปจะเกิดอะไรขน้ึ ถ้าใน พ.ศ. 2453 (1910) สยามยังไม่ทันเป็นชาติสมัยใหม่ อย่างนอ้ ยท่ีสุดในตอนน้ัน กเ็ ป็นชาตทิ ก่ี ำ�ลังปรับตวั ใหเ้ ป็นสมยั ใหม่ ไดอ้ ย่างมั่นคง ในความเป็นจรงิ แลว้ การเผชญิ หน้ากับการคกุ คาม ของต่างชาติ และการต่อต้านที่เกิดข้ึนภายในราชอาณาจักรไม่ใช่ เร่ืองเล็กน้อย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง โครงสร้างใหม่สำ�หรับรัฐอย่างมีพลังคึกคักที่จะปรับตัวไปสู่การ เปลยี่ นแปลง อยา่ งไรกต็ าม สยามในรปู โฉมใหมก่ ม็ ใิ ชส่ ยามเมอื่  พ.ศ.  2393 (1850) หรอื ประเทศไทยใน พ.ศ. 2493 (1950) สยามใน พ.ศ. 2453 (1910) มรี ปู รา่ งลกั ษณะเหมอื นกบั แผนที่ ในปจั จบุ นั มเี ขตแดนก�ำ หนดไวเ้ รยี บรอ้ ยทกุ ดา้ น และมปี รมิ าณสตี า่ ง 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ ฯ และพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าฯ 369

กันอยา่ งเล็กน้อย เหมาะสมทีจ่ ะแยกสยามออกจากอาณานคิ มของ อังกฤษในพม่ากับมลายู ที่มีเขตแดนอยู่ทางทิศตะวันตกกับทิศใต้ และแยกจากอาณานคิ มของฝรงั่ เศสในอนิ โดจนี ทางทศิ ตะวนั ออก สงิ่ ทห่ี ายไป คือ การแบง่ วงอำ�นาจของเมอื งหลวงเป็นการปกครองหวั เมืองห้าวงในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ถูกแทนท่ีด้วยอำ�นาจเพียงแห่ง เดียว คือ ระบบการควบคุมอำ�นาจเข้าสู่ศูนย์กลางของราชสำ�นักท่ี กรงุ เทพฯ และระบบราชการ กษตั รยิ แ์ หง่ หลวงพระบาง พระเจา้ สกั รนิ ทรฤทธ์ิ (*เจา้ ค�ำ สกุ ) (ครองราชย์ พ.ศ. 2437-2447 (1894-1904)) และพระเจา้ มหาชวี ติ ศรสี วา่ งวงศ์ (ครองราชย ์ พ.ศ. 2447-2502 (1904-59)) ยงั คงปกครอง หวั เมืองเพยี งขนาดหยบิ มอื เดยี วทางดา้ นตะวันออกเฉยี งเหนือของ ลาว ซง่ึ ตอนนลี้ าวสว่ นใหญอ่ ยใู่ ตก้ ารควบคมุ ดแู ลของผสู้ �ำ เรจ็ ราชการ ชาวฝรั่งเศส แทนท่ีจะเป็นข้าหลวงต่างพระองค์จากกรุงเทพฯ เจ้า จำ�ปาสกั ในลาวใต้ (*ต�ำ แหน่ง) ราชดนัย (*พระนามว่า เจา้ ยุตธิ รรม ธร (หยยุ ณ จ�ำ ปาสกั )) ครองราชย์ พ.ศ. 2443-77 (1900-34) ถกู ฝรั่งเศสลดฐานะเป็นผู้ว่าราชการนครจำ�ปาสักที่สูงกว่าขุนนางท้อง ถน่ิ เพยี งเลก็ นอ้ ย ดินแดนของพระองค์และพ้ืนท่ที างตอนกลางของ ท่ีราบลุ่มแม่นำ้�โขงทั้งหมด ท่ีเคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร เวยี งจนั เกา่ ตอนนอี้ ยภู่ ายใตก้ ารบรหิ ารจดั การของขา้ ราชการฝรง่ั เศส ที่ควบคุมดูแลและใหค้ ำ�ปรึกษาระบบราชการ ท่ีปฏบิ ัติการโดยหนอ่ เน้ือเชื้อสายของตระกูลขุนนางท้องถิ่น และเสมียนชาวฝร่ังเศสกับ ชาวเวียดนาม ดินแดนท่ีอยู่ใต้อำ�นาจของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ในกมั พชู าตะวนั ตก ถกู สง่ มอบคนื ใหพ้ ระเจา้ แผน่ ดนิ กมั พชู า ไปปกครอง และกลายไปเป็นรฐั ในอารกั ขาของฝรัง่ เศส ในรัฐมลายู บรรดาสลุ ตา่ นกถ็ กู ถา่ ยโอนไปเปน็ อาณานคิ มขององั กฤษทลี ะแหง่ ๆ  ใน พ.ศ. 2452 (1909) โดยขึ้นอยู่กับข้าหลวงใหญ่ในสิงคโปร์ และ 370 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

ยอมรบั ใหช้ าวองั กฤษเป็น “ทป่ี รึกษา” แม้ว่าสุลต่านแหง่ ไทรบรุ ีจะ ตกเปน็ อาณานคิ มชา้ ไปจนถงึ  พ.ศ. 2466 (1923) เมอ่ื ถงึ ตอนนนั้ หวั เมอื งมลายทู งั้ หมดกไ็ ดห้ ลดุ ไปจากราชอาณาจกั รสยาม และในครสิ ต์ ศตวรรษที่ 20 ก็มีการพัฒนาไปในแนวทางท่ตี า่ งกัน คงไมน่ า่ ประหลาดใจแตอ่ ยา่ งใดทเี่ กดิ การจลาจลขน้ึ ในดนิ แดน หัวเมืองประเทศราชทั้งหมดที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร สยาม เมอ่ื ตน้ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 สิง่ ท่คี วรตั้งข้อสังเกตไวก้ ค็ อื ดนิ แดนเหล่าน้ันควรจะต้องทำ�อย่างนั้นในเวลาเดียวกัน และในท้ัง 3 เหตกุ ารณ์ อยา่ งนอ้ ยกต็ อ้ งมสี ามญั ชนมสี ว่ นรว่ มดว้ ยกบั ผนู้ �ำ ของตน ปีที่คับขันจริงๆ คือ พ.ศ. 2445 (1902) ในตอนนั้น การปฏิรูปการ บรหิ ารราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ ของกรมหลวงด�ำ รงราชานภุ าพ (ไดเ้ ลอ่ื น ยศเมอื่  พ.ศ. 2442 (1899) ไดม้ ีการปรบั เปลี่ยนใหเ้ ข้มงวดขนึ้ และ ได้กวาดล้างระบบเก่าในหัวเมอื งตา่ งๆ ไปอย่างรวดเร็ว ข้าราชการ จากกรุงเทพฯ (*ท่ีส่งไปปกครองหัวเมือง) เป็นหนุ่มชาวเมืองอายุ น้อย มกี ารศกึ ษา มคี วามเชื่อมนั่ แตง่ กายดี เมอ่ื ออกไปท�ำ งานนอก ศูนย์กลางของมณฑล ได้ใช้ทัศนะของตนโจมตีส่ิงที่พวกเขาเห็นว่า เป็นส่ิงเลวร้าย แล้วข่มเหงตระกูลผู้ปกครองท้องถ่ินในภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคใต้ ทจี่ รงิ แลว้ กเ็ คยมคี วามชวั่ รา้ ย และการใชอ้ ำ�นาจในทางท่ผี ิดอย่แู ล้ว จริงๆ แล้ว ตระกูลผปู้ กครอง ในหวั เมอื งร�่ำ รวยมง่ั คง่ั จากหยาดเหงอ่ื ของไพร่ และมเี พยี งผลประโยชน์ สว่ นนอ้ ยเทา่ นนั้ ทพี่ วกเขาเกบ็ ไดถ้ กู สง่ ตอ่ ขนึ้ ไปตามล�ำ ดบั ชน้ั จนถงึ เมอื งหลวง เพอื่ ทจี่ ะแจกจา่ ยผลประโยชนอ์ กี ตอ่ หนง่ึ (หรอื เพอื่ ท�ำ ให้ กลุ่มชนชั้นสูงอื่นๆ ม่ังคั่ง) จากมุมมองของข้าราชการกระทรวง มหาดไทยท่ีมีศีลธรรมและมีเหตุมีผลน้ัน ระบบเก่าไร้ประสิทธิภาพ และเสียเปล่า แต่ระบบเก่าก็คือระบบเก่าที่ใช้หาประโยชน์ส่วนตน อยา่ งทเี่ คยเปน็ มา เพราะท�ำ ใหเ้ กดิ โครงสรา้ งสงั คมในทอ้ งถนิ่ บนพนื้ 7 | พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ ฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ 371

ฐานทพี่ วกไพรร่ วู้ า่ จะคาดหวงั อะไรได้ และท�ำ ใหพ้ วกเขามคี วามรสู้ กึ ถึงเอกลักษณ์ มีความรู้สึกผูกพันกับบ้านและวัฒนธรรมในท้องถิ่น ของตน กบฏทเ่ี กดิ ขนึ้ ใน พ.ศ. 2445 (1902) ทง้ั 3 แหง่ มลี กั ษณะแตก ตา่ งกนั แตล่ ะแหง่ เปน็ ตวั แทนเงอื่ นไขเฉพาะของทอ้ งถนิ่ ในแบบฉบบั ของตนเอง ในหัวเมืองทั้งเจ็ดของรัฐปัตตานีโบราณทางภาคใต้น้ัน เจา้ เมอื งทอ้ งถน่ิ ตอ่ ตา้ นการถา่ ยโอนอ�ำ นาจในการจดั การรายไดข้ อง พวกตนไปสู่การควบคุมของสยาม และการแต่งตั้งข้าราชการจาก กรงุ เทพฯ มาดำ�รงต�ำ แหน่งสำ�คญั ในการบริหารของพวกเขา เต็งกู อับดลุ การ์เดร์ กามารดุ ดิน (*พระยาวชิ ติ ภกั ดีศรีสรุ วังษารัตนาเขต ประเทศราช) รายาแหง่ ปตั ตานอี งคส์ ดุ ทา้ ย ถงึ กบั ขอความคมุ้ ครอง จากองั กฤษในทนั ที หลงั จากทส่ี ยามจบั กมุ ตวั เขาและน�ำ ตวั ไปกกั ขงั ไกลถงึ พษิ ณโุ ลก (*นานถงึ 2 ปี 9 เดอื น) เมอื่ ปราศจากรายาปตั ตานี รายาในหัวเมืองอ่ืนๆ ก็ยอมรับในอำ�นาจของสยาม อย่างน้อยก็ช่ัว ระยะเวลาหนงึ่ เกอื บจะในชว่ งเวลาเดยี วกนั คอื ชว่ งเดอื นแรกๆ ของ  พ.ศ. 2445 (1902) ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เกดิ เหตกุ ารณท์ มี่ กั จะเรียกกันว่า “กบฏผ้มู ีบญุ ” (*ฝา่ ยผู้ปกครองเรยี กว่า กบฏผบี ญุ ) เปน็ ขบวนการเคลอ่ื นไหวทไี่ ดร้ บั ความนยิ มและแผข่ ยายไปทวั่ เมอื ง อุบลราชธานี ข้ามแมน่ �ำ้ โขงไปยังประเทศลาวดว้ ย การเคล่ือนไหว นนี้ �ำ โดยชนเผา่ อะลกั จากเขตสาละวนั ในลาวใต้ ทอ่ี า้ งวา่ ตนมอี �ำ นาจ เหนือธรรมชาติ หรอื ค�ำ ในพุทธศาสนาเรียกว่า ผูม้ บี ญุ มคี ำ�ท�ำ นาย แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่งว่า “วันส้ินโลกอย่างท่ี พวกเรารู้” ใกล้เข้ามาแล้ว และว่า ก้อนกรวดจะกลายเป็นเงินเป็น ทอง และเงนิ ทองจะกลายเปน็ กอ้ นกรวด น�ำ้ เตา้ และฟกั ทองจะกลาย เป็นช้างเป็นม้า ควายและหมูจะกลายเป็นยักษ์กินคน ท้าวธรรมิก ราชจะลงมาปกครองโลก8 372 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

“ท้าวธรรมิกราช” ปรากฏตัวท่ีเมืองเขมรัฐทางฝ่ังตรงข้าม แม่นำ้�โขง และได้เรียกเกณฑ์ผู้คนมากกว่าพันคนที่หลงเชื่อและถือ อาวธุ มาเขา้ รว่ ม ขา้ ราชการสยามพรอ้ มกองทพั ไดเ้ ขา้ บดขยฝ้ี า่ ยกบฏ ไปไดใ้ นไม่ช้า เย้ยหยนั การกบฏวา่ เป็นการเชอื่ ถือโชคลางของพวก ชาวบา้ นทไี่ รก้ ารศกึ ษา แตก่ ารกบฏเปน็ ยง่ิ ไปกวา่ นนั้ ในเวลาไมน่ าน นกั พวกกบฏได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากสมาชกิ ในตระกลู ผปู้ กครองเกา่ แกใ่ นภมู ภิ าคนนั้ และดเู หมอื นวา่ จะไดแ้ สดงความรสู้ กึ อยา่ งแพร่หลายไปวา่ ระบบเศรษฐกจิ การเมอื งและสังคมแบบเก่า กำ�ลังล่มสลายลง และกำ�ลังจะถูกแทนท่ีโดยระบบใหม่ที่ตอนนั้นยัง ไม่ชัดเจนนัก แตเ่ ปน็ ทแี่ นน่ อนวา่ ยังมคี วามเปน็ “ตา่ งชาติ” อยู่ เหตุการณ์ที่เหมือนกันมากนี้เกิดขึ้นในภาคเหนือ เมื่อกลาง ปพี .ศ 2445 (1902) ดว้ ยเชน่ กนั ณ ทนี่ นั้ เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ในนาม กบฏ เงี้ยวเมืองแพร่ เพราะว่าในตอนต้นเป็นการก่อจลาจลของผู้อพยพ จากรัฐฉานเป็นหลัก เงี้ยวหรือไตใหญ่ท่ีอพยพจากพม่ามายังเมือง แพร่ เพื่อทำ�งานในป่าไม้และเหมืองอัญมณี พวกเงี้ยวหรือไตใหญ่ จ�ำ นวนหลายรอ้ ยคนเขา้ โจมตสี ถานทท่ี �ำ การราชการหลายแหง่ และ บังคับให้ข้าราชการสยามออกไปจากเมืองแพร่ จากน้ันพวกเขาก็ เคล่อื นพลต่อไปยังล�ำ ปาง พวกกบฏไว้ชีวติ ชนชัน้ ผู้ปกครองในทอ้ ง ถ่ิน (*เจา้ หลวงเมอื งแพร)่ กบั ราษฎร แตส่ ังหารชาวสยาม เมื่อการ ลุกฮอื ถกู ปราบให้สงบราบคาบ หลังจากที่ก่อการมาแลว้ 6 สปั ดาห์ ไดม้ กี ารไตส่ วนหาสาเหตุ ซงึ่ ไดร้ บั การเปดิ เผยวา่ พวกกบฏไดร้ บั การ สนบั สนนุ ทง้ั จากชนชน้ั ผปู้ กครองในทอ้ งถน่ิ ซงึ่ ไมพ่ อใจทช่ี าวสยาม ไดย้ ดึ เอาสทิ ธพิ เิ ศษตามจารตี ของพวกเขาไป และไดร้ บั การสนบั สนนุ จากราษฎรทไี่ มพ่ อใจการขม่ เหงของขา้ ราชการ (อยา่ งเชน่ การเกบ็ ภาษแี ทนการเรยี กเกณฑแ์ รงงาน ในขณะทย่ี งั ตอ้ งการแรงงานเกณฑ์ จากไพร่อยู่) 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าฯ 373

อนั ทจ่ี รงิ การเปลยี่ นแปลงทง้ั หลายเกดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ จรงิ ๆ  และไมน่ า่ ประหลาดใจแตอ่ ยา่ งใดทม่ี กี ารตอ่ ตา้ นการเปลย่ี นแปลงนน้ั ในพนื้ ทที่ ง้ั สามแหง่ ไมน่ อ้ ยไปกวา่ ทแี่ หง่ ไหน (ทร่ี ฐั บาลลว่ งล�ำ้ เขา้ ไป ในวถิ ชี นบททเี่ กดิ ขน้ึ มาในเวลาหลงั จากนน้ั กต็ าม) ระบอบการเมอื ง เศรษฐกิจและสังคมแบบเก่ากำ�ลังถูกตัดรากถอนโคนลงไป ตระกูล ผู้ปกครองเก่ากำ�ลังจะถูกปลด พวกเขาถูกยกเลิกบำ�เหน็จบำ�นาญ หรอื อาจถกู ตดั เงนิ ไดอ้ อกไปเฉยๆ หรอื ถกู ควบคมุ มากขน้ึ โดยระบบ การบญั ชแี บบใหม่ บรรดาบตุ รของพวกเขาถกู ชกั น�ำ ใหเ้ ขา้ ไปสรู่ ะบบ โรงเรยี นเพอ่ื เป็นขา้ ราชการในอ�ำ เภอ และตอ่ มาก็ถูกย้ายไปประจำ� ในจังหวัดท่ีอยู่ห่างไกล และระบบความสัมพันธ์แบบมูลนาย-ไพร่ แบบเก่าท่ีเคยผูกพันสังคมท้องถ่ินเข้าด้วยกันก็ถูกทำ�ให้แตกสลาย ไปโดยงา่ ย ผนู้ �ำ ในทอ้ งถนิ่ ไมอ่ าจจะปกปอ้ งคมุ้ ครองญาตพิ น่ี อ้ งและ บริวาร เมื่อมคี ดีความทเ่ี กี่ยวข้องกับกฎหมายได้ และเมื่อมกี ารเลิก ระบบการเรียกเกณฑแ์ รงงาน ใน พ.ศ. 2448 (1905) พวกเขากไ็ มม่ ี พนื้ ฐานทเ่ี คยมใี นการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ราษฎรในทอ้ งถนิ่ อกี ดงั นัน้ บรรดาตระกูลผู้ปกครองท้องถน่ิ แบบเกา่ จึงถูกกวดขนั อยา่ งเข้ม งวด หากยังผกู ตดิ กบั บริบททางสังคมแบบจารีตของเขา สถานการณ์เดียวกัน เมอ่ื มองจากข้างล่างขึน้ ไปข้างบนก็ยง่ิ ซับซ้อนและแพร่กระจายออกไป จากการสำ�รวจสำ�มะโนประชากร ครงั้ แรกท่ีรัฐบาลได้จดั ท�ำ ขึ้นในช่วงนนั้ ดูเหมอื นว่าสยามทง้ั หมดจะ มีประมาณสามหมื่นหมู่บ้าน ซึ่งดูเหมือนจะมีปริมาณมากกว่าท่ีได้ เคยสำ�รวจเมอื่ 20-30 ปีกอ่ นมากนกั ออกจะเป็นการยาก หากจะ จนิ ตนาการถงึ เรอื่ งนใ้ี นปจั จบุ นั แตบ่ รเิ วณทร่ี าบภาคกลางของสยาม ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 19 อยู่ห่างไกลจากคำ�ว่า มีการตั้ง ถ่นิ ฐานอย่างหนาแนน่ แบบในปจั จบุ ัน บริเวณรอบๆ กรงุ เทพฯ ยัง คงมีปา่ อยใู่ กล้ๆ ในช่วงหลงั ของศตวรรษ และแมก้ ระทั่งชว่ งสุดท้าย 374 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ของศตวรรษ กย็ ังคงมีช้างป่าและเสอื ดาวเดนิ ทอ่ มๆ ออกหากนิ อยู่ ในเขตชานเมอื งเปน็ ระยะไกลออกไปถงึ 20-30 ไมล์ การเคลื่อนไหวของประชากรจำ�นวนมากท่ีเกี่ยวข้องกับการ เปดิ พน้ื ทใี่ หมเ่ พอื่ การปลกู ขา้ ว สง่ิ ทที่ �ำ ใหเ้ รอื่ งนเ้ี ปน็ ไปไดแ้ ละสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ 2 สงิ่ ขนึ้ มา สงิ่ แรกกค็ อื การเปดิ ประเทศสวู่ งจรการคา้ ระหวา่ ง ประเทศอยา่ งเตม็ ท่ี อนั เนอ่ื งมาจากการท�ำ สนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ ท�ำ ให้ เศรษฐกิจของสยามวางพื้นฐานอยู่ท่ีเรื่องการปลูกข้าว เพื่อเลี้ยงดู เมืองต่างๆ ในเอเชียท่ีขาดแคลนข้าวเป็นหลัก (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนิ เดยี และจนี ) ปรมิ าณการสง่ ออกขา้ วจากสยามโดยเฉลยี่ ตอ่ ปเี พม่ิ ขน้ึ จากเคยต�่ำ กวา่ หนง่ึ ลา้ นเกวยี น (หนง่ึ เกวยี นเทา่ กบั 60 กโิ ลกรมั ) ตอ่ ปีในช่วงปลายทศวรรษ 1850 (2393-2402) เพ่ิมขึน้ ถงึ มากกวา่ 11 ลา้ นเกวยี นตอ่ ปใี นชว่ งใกลจ้ ะเปลยี่ นศตวรรษ และในเวลาเดยี วกนั ราคาเฉล่ียต่อเกวียนมีมูลค่าสูงเป็นสองเท่า และพื้นท่ีทำ�การปลูก ขา้ วไดเ้ พิม่ ข้ึนจาก 5.8 ลา้ นไร่ไปเป็นมากกว่า 9 ล้านไร9่ การเติบโต น้ีเป็นผลสำ�เร็จมาจากการตัดสินใจร่วมกันของชาวนานับพันๆ  ครอบครวั ทไี่ ดข้ ยายพน้ื ทด่ี นิ ในการเพาะปลกู หรอื หกั รา้ งถางพงกน่ สร้างที่ดนิ ใหม่ หรอื ปรับเปลย่ี นวิธกี ารท�ำ เกษตรกรรมมากยิ่งข้นึ เหตุทพี่ วกเขาสามารถท�ำ เช่นน้นั ได้ ก็ต้องพจิ ารณาส่ิงทสี่ อง ของเรา นน่ั คอื ประชากรมอี สิ ระมากกวา่ ทเ่ี คยเปน็ มา เมอื่ ครง่ึ ศตวรรษ ก่อนหน้าน้ี ในสมัยรัชกาลท่ี 5 เม่ือมีการเลิกทาสและการควบคุม ทาสสนิ ไถ่ให้รดั กมุ ข้นึ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมอื่ มีการเลิกระบบการ เรยี กเกณฑแ์ รงงาน ใน พ.ศ. 2448 (1905) (แมว้ า่ ในบางพนื้ ทจ่ี ะเลกิ ไดช้ า้ กวา่ นน้ั ) สายสมั พนั ธท์ ผี่ กู มดั คนในชนบทใหเ้ ขา้ กบั การปกครอง ของชนชั้นสูง และชนชั้นนำ�ผู้ปกครองในท้องถ่ินได้ลดลงไปอย่าง มาก ตอนนพ้ี วกเขาเสยี เงนิ ภาษรี ชั ชปู การใหก้ บั ทางราชการ เปน็ การ แลกเปลี่ยนกับการถูกเรยี กเกณฑ์แรงงาน ภายใตเ้ งอื่ นไขเหล่าน้จี ึง 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าฯ 375

เป็นเหตุผลอันดีที่ชาวนานับพันๆ ครอบครัวจะได้ปลูกข้าวเพ่ือขาย ในตลาดไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี เพราะในสมยั กอ่ นท�ำ ไดเ้ พยี งบางเวลาเทา่ นนั้ (เน่ืองจากต้องถกู เรียกเกณฑแ์ รงงาน) การเปลยี่ นแปลงอยา่ งมากมายเกดิ ขนึ้ ตามมาจากการพฒั นา เหลา่ น้ี ประชากรในชนบทมจี �ำ นวนมากขน้ึ และกระจายกนั ตง้ั ถน่ิ ฐาน ดูเหมือนว่ามีลักษณะไม่เหมือนกับผู้คนรุ่นก่อนตรงที่อพยพเคล่ือน ยา้ ยไดม้ ากกวา่ เมอื่ ชนชน้ั น�ำ ทอ้ งถนิ่ ควบคมุ หมบู่ า้ นไดน้ อ้ ยลง ตอน นบี้ รรดาหมบู่ า้ นจงึ มคี ณุ คา่ ยง่ิ ขน้ึ ตอ่ การเขา้ มาปกครองของขา้ ราชการ จากเมอื งหลวง เมอื่ ถงึ ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 การปฏริ ปู ประเทศให้ ทันสมัยของรัฐบาลได้พยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวเมืองมา ตั้งแต่ ทศวรรษ 1870 (2413-2422) ไดม้ ากยิ่งข้ึน รฐั บาลได้ลว่ งลำ้� แทรกแซงเขา้ ไปในวถิ ชี วี ติ ของหมบู่ า้ นมากยง่ิ ขนึ้ เรมิ่ มกี ารตง้ั สถานี พลตระเวน (ต�ำ รวจ) ตามหวั เมอื ง ตง้ั ขา้ ราชการในอ�ำ เภอ การตตี รา ปศุสตั ว์ การออกโฉนดทด่ี นิ และการเกณฑ์ทหาร งานหตั ถกรรมใน หมู่บา้ นหายไป หรือตายไปอยา่ งส้ินเชิง เมือ่ ผู้คนซ้ือสนิ ค้าอุปโภค บริโภคท่นี ำ�เข้าจากต่างประเทศ อยา่ งเชน่ ผ้า และ เครอ่ื งมือเคร่ือง ใช้ต่างๆ แทนที่จะทำ�ข้ึนใช้เอง การเปล่ียนแปลงโครงสร้างทาง เศรษฐกจิ ปรากฏมากยง่ิ ขน้ึ ตามหมบู่ า้ นในชนบท เมอื่ บางคนมงั่ คง่ั ขนึ้ จากการท�ำ ไรน่ า ขณะทบี่ างคนไมไ่ ดร้ �ำ่ รวยขนึ้ เลย ทดี่ นิ กม็ มี ลู คา่ มากขนึ้ ด้วยเช่นกัน ดังตัวอย่างทีบ่ รรดาเอกชนเจ้าของกจิ การ ซงึ่ มี เงนิ ลงทนุ ไดร้ ว่ มมอื กบั เจา้ นายจดั การพฒั นาระบบคลอง (*ชลประทาน) ขนาดมหึมา ในบริเวณรังสิต ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของ กรงุ เทพฯ ท�ำ ใหท้ ดี่ ินบรเิ วณน้ันมนี ้�ำ หลอ่ เลย้ี งไปถงึ เปน็ อยา่ งดี ใน ไม่ช้าราคาที่ดินจึงค่อยๆ ขยับสูงข้ึน และมีผู้ถือครองที่ดินเพื่อการ เพาะปลกู เพม่ิ มากขน้ึ ดว้ ย และเทา่ ทส่ี ามารถวดั ไดน้ นั้ มาตรฐานการ ดำ�รงชีวติ ของชาวชนบทในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ดขี น้ึ ดว้ ย แต่เมือ่ เอา 376 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

ความเปน็ จรงิ ของชวี ติ ทย่ี ากล�ำ บากของชาวนามาคดิ รวมเปน็ คา่ เฉลย่ี ในทางสถิตดิ ้วยแล้ว ก็พบได้วา่ มาตรฐานการดำ�รงชีวติ ของชาวนา ก็ยงั ไม่ดีนกั 10 แน่นอนว่า มุมมองท่ีน่าวิจารณ์มากท่ีสุดเกี่ยวกับความ เปล่ียนแปลงในสังคมชนบทสมัยรชั กาลท่ี 5 นั้น ก็เป็นกรณีทขี่ น้ึ กับ ทศั นะของแตล่ ะบคุ คล นนั่ คอื สง่ิ ทกี่ �ำ ลงั เกดิ ขน้ึ ในจติ ใจของผคู้ น ซงึ่ ในทน่ี ี้ เราอาจพจิ ารณาได้จาก 3 สิง่ นั่นคอื ศาสนา การศึกษา และ ความเปน็ พลเมอื ง ซง่ึ แนน่ อนวา่ ทง้ั หมดทกุ สง่ิ มคี วามเกยี่ วโยงถงึ กนั อยา่ งย่ิง การปฏิรูปพระพุทธศาสนาของธรรมยุติกนิกาย ที่พระวชิร ญาณภกิ ขุ (เจา้ ฟา้ มงกฎุ ฯ) ไดส้ ถาปนาขน้ึ ในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษ ท่ี 19 มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อศาสนาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นกิ ายนม้ี คี วามเปน็ ปญั ญาชนและเขม้ งวดเรอ่ื งธรรมวนิ ยั มากกวา่ และเนน้ พธิ ีกรรมนอ้ ยกวา่ (*มหานิกาย) ทงั้ ยงั เน้นหนกั ในเรอ่ื งของ การศึกษา ไมเ่ ฉพาะแตข่ องพระภกิ ษุสามเณรเท่านั้น แตร่ วมไปถงึ การศึกษาของฆราวาสด้วย ภายใต้การนำ�อย่างเข้มแข็งเปี่ยมด้วย พลงั ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (พ.ศ.  2403-2464 (1860-1921) ซึ่งเป็นผู้นำ�ของนิกายน้ี (*ทรงเป็นเจ้า คณะ รองคณะธรรมยุติกนิกาย) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และตอ่ มาทรงด�ำ รงพระอิสริยศกั ด์ิเปน็ สมเด็จพระสังฆราช ประมุข ของศาสนาพุทธทกุ นิกายในสยาม ธรรมยตุ กิ นิกายได้ขยายออกไป สชู่ นบทอย่างมีประสทิ ธภิ าพ วดั ธรรมยตุ ิกลายเปน็ วดั ทไี่ ด้รับความ นิยมมากข้ึนอย่างแปลกหูแปลกตา แม้แต่ในภูมิภาคท่ียากจนที่สุด ในราชอาณาจกั ร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมณฑลอบุ ลราชธานี ทาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และนครศรธี รรมราช ทางภาคใต้ อยา่ งไร กต็ าม อทิ ธพิ ลของธรรมยตุ กิ นกิ ายมมี ากมายยงิ่ กวา่ จ�ำ นวนวดั สมเดจ็ 7 | พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าฯ และพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ ฯ 377

พระมหาสมณเจ้าฯ ทรงได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากราช ส�ำ นกั ไดท้ รงจดั การปรบั ปรงุ โครงสรา้ งและปฏริ ปู พทุ ธศาสนาในทกุ แง่ทุกมุม เม่ือใกล้จะเปลี่ยนศตวรรษ ทรงแต่งต้ังตัวแทนผู้สำ�เร็จ ราชการทางฝ่ายสงฆ์ไปท่ัวทุกภูมิภาคของประเทศ สำ�รวจวัดและ โรงเรยี นในหัวเมือง และทรงจดั แบง่ ลำ�ดบั สมณศกั ดขิ์ องสงฆข์ ึ้นมา ใหม่ ด้วยช่องทางต่างๆ ในการคมนาคมสื่อสารท่ีถูกเปิดออกอย่าง คลอ่ งตวั ขน้ึ ท�ำ ใหแ้ นวความคดิ พธิ กี รรม ต�ำ ราและศาสนกจิ สามารถ แผ่ผ่านไปได้ และเอ้ือให้เกิดการปฏิรูปทางพุทธศาสนาท่ีเป็นแบบ อย่างเดียวกัน และเป็นศาสนาพุทธสำ�หรับราชอาณาจักร ดังนั้น พุทธศาสนาที่ถูกทำ�ให้เป็นสถาบันจึงสามารถลงเข้าไปในหมู่บ้าน ต่างๆ และกลายเป็นเครื่องมือสำ�คัญในการทำ�ให้ราชอาณาจักรมี ความเป็นอันหนงึ่ อันเดยี วกัน ในเวลาเดยี วกนั กบั ทสี่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทรงเขา้ ถงึ วดั ในหมบู่ า้ นไดแ้ ลว้ นนั้ ใน พ.ศ. 2441 (1898) ยงั ทรงสนบั สนนุ ใหม้ กี าร ตงั้ โรงเรยี นขนึ้ ในหมบู่ า้ น นบั เปน็ เวลาหลายรอ้ ยปมี าแลว้ ทก่ี ารศกึ ษา ข้ันพ้ืนฐานอันเป็นหน้าท่ีหลักของวัดในหมู่บ้านมีวัตถุประสงค์เพื่อ สอนให้อ่านออกเขียนได้ และวางรากฐานอยู่บนแนวความคิดทาง ศาสนา อยา่ งไรกต็ าม การศกึ ษาเชน่ ทวี่ า่ นม้ี ศี นู ยก์ ลางหลกั อยทู่ คี่ วาม สมั พนั ธร์ ะหวา่ งพระกบั ลกู ศษิ ยท์ สี่ อดคลอ้ งกบั เนอื้ หาของการศกึ ษา หรอื ไมก่ ข็ น้ึ อยกู่ บั ความสามารถและความปรารถนาของนกั เรยี นกบั ครแู ตล่ ะคน ไมม่ รี ะบบระเบยี บและไมม่ คี ณุ ภาพส�ำ หรบั ฆราวาสมาก นัก โรงเรยี นแบบใหม่ท่เี กิดข้นึ ณ จดุ เปลยี่ นแห่งศตวรรษ ใช้ต�ำ รา เรยี นและโครงสรา้ งการเรยี นการสอนทเ่ี ปน็ มาตรฐานเดยี วกนั พฒั นา โดยกระทรวงธรรมการในกรุงเทพฯ โรงเรียนแบบใหม่นี้แนะนำ�ให้ นกั เรยี นในชนบทไดร้ จู้ กั ไมเ่ พยี งแตห่ ลกั พน้ื ฐานในการรหู้ นงั สอื ผา่ น ภาษา และตัวอกั ษรทมี่ มี าตรฐาน (ซง่ึ ตอ่ มาเรยี กกนั ว่า “ภาษาไทย 378 ประวัติศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

กรุงเทพฯ”) แทนท่ีจะเป็นภาษาถิ่น และตัวอักษรพื้นเมือง แต่ยัง แนะน�ำ ใหน้ กั เรยี นไดร้ จู้ กั วทิ ยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตรแ์ บบตะวนั ตก ทที่ นั สมยั อกี ดว้ ย (พงึ ตง้ั ขอ้ สงั เกตดว้ ยวา่ คณะสงฆช์ าวพทุ ธในพมา่ ของอังกฤษต่อต้านหลักสูตรน้ีแบบกัดไม่ปล่อยทีเดียว ความแตก ต่างกันคงเป็นท่ีความพยายามของสยามที่จะแสดงให้เห็นศักด์ิศรี และอำ�นาจของผู้ปกครองชาวสยาม และรัฐบาลท่ีมีอำ�นาจมากพอ เพียง จนทำ�ให้เกิดการเปล่ียนแปลงตัวอักษรที่ใช้ในเอกสารทาง ศาสนาที่ส�ำ คญั ทสี่ ดุ ซ่ึงเคยเขยี นเป็นอักษรเขมร (ขอม) ไปเปน็ ตวั อักษรภาษาไทย) ขณะท่ีคนรุ่นหนุ่มสาวในชนบท ท้ังเด็กชายและ เด็กหญิงเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนแบบใหม่ท่ีตั้งอยู่ในวัดของท้องถ่ิน การหลอ่ หลอมพวกเขาใหเ้ ปน็ สงั คมทมี่ เี อกภาพจงึ เรม่ิ ตน้ ขนึ้ ในชว่ ง ทศวรรษสดุ ทา้ ยของรชั กาลที่ 5 ทรงตดั สนิ พระทยั ประกาศใช้ โครงการ การศึกษาของราชอาณาจกั ร แม้ว่าจะตอ้ งใช้เวลาในการทดลองอกี หลายสบิ ปี กวา่ ทก่ี ารตดั สนิ ใจทเี่ รยี กไดว้ า่ เปน็ การปฏวิ ตั นิ จ้ี ะสมั ฤทธิ ผล ด้วยการเปลี่ยนแปลงการศึกษาและศาสนาเหล่าน้ี จึงเกิด พฒั นาการของความรสู้ กึ ถงึ ความเปน็ พลเมอื งแบบใหมข่ นึ้ เมอ่ื ความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ปรากฏข้ึนถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึกน้ันก็ผุดข้ึนมา เองโดยธรรมชาติ จากประสบการณท์ างการศกึ ษาและประเพณที าง ศาสนาทมี่ อี ยรู่ ว่ มกนั ทงั้ สองอยา่ งนที้ �ำ ใหเ้ กดิ วธิ กี ารแบบใหมใ่ นการ ติดต่อสื่อสารทางสังคม วิธีการเหล่าน้ันทำ�ให้สังคมเร่ิมตระหนักถึง เอกลกั ษณข์ องตน บรรดาโรงเรยี น วดั และการตดิ ตอ่ กบั ขา้ ราชการ ของรัฐบาล ท้ังหมดน้ีช่วยเสริมแนวคิดที่ว่า ทุกคนท่ีอาศัยอยู่ใน ประเทศสยามเป็นข้าของพระเจ้าแผ่นดินเพียงพระองค์เดียว เป็น สมาชกิ ขององคก์ รทางการเมอื งเพยี งองคก์ รเดยี ว ในเวลานนั้ ความ คดิ เหลา่ นถ้ี กู น�ำ เสนอเบอ้ื งตน้ ในรปู ศพั ทท์ แี่ สดงถงึ ล�ำ ดบั ชนั้ เปรยี บ 7 | พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ ฯ และพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าฯ 379

ได้กับระบบความสัมพันธ์ของมูลนาย-ไพร่แบบเก่าท่ีแพร่กระจาย ในสังคมแบบจารีต ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศสยาม รวมถึงผู้ท่ี ไมใ่ ชช่ าวสยาม อีกจ�ำ นวนนับไม่ถ้วนอยา่ งที่เราได้เหน็ ตอนน้กี ็เป็น ไพรใ่ นสังกดั มูลนายเดียวกัน คือ พระเจ้าแผน่ ดิน พันธะผูกพนั ธะท่ี ครง้ั หนงึ่ เคยตอ้ งใหก้ บั มลู นาย ปจั จบุ นั กต็ อ้ งมาใหก้ บั พระเจา้ แผน่ ดนิ ไม่ว่าความจงรักภักดี การเคารพเชื่อฟัง การจ่ายภาษี การเรียก เกณฑแ์ รงงาน การศกึ ษา ความประพฤตทิ เี่ หมาะสม ในทางกลบั กนั สิ่งท่ีพระเจ้าแผ่นดินต้องให้กับพวกเขา ได้แก่ ความม่ันคง ความ คุ้มครอง ความยตุ ธิ รรม ความเมตตากรณุ า ความช่วยเหลือในยาม ทตี่ อ้ งการ การเปน็ แบบอยา่ งทางจรยิ ธรรมและอน่ื ๆ ในแงห่ นง่ึ ความ คดิ พนื้ ฐานนี้ คอื การประนปี ระนอมระหวา่ งแนวคดิ เกา่ เรอื่ ง “คนใน บงั คับ” ทีเ่ ป็นสื่อกลางระหว่างกษตั รยิ ก์ บั ราษฎร และแนวคิดสมัย ใหม่เร่ือง “พลเมือง” แนวคิดน้ีได้รวมเอาองค์ประกอบของทั้งสอง เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั และยงั รวมเอาความขดั แยง้ ทฝี่ งั ตดิ อยใู่ นทง้ั สองแนวคดิ เขา้ ดว้ ยกันดว้ ย จึงยงั คงสร้างความกงั วลทางประวัตศิ าสตร์ในภาย หลงั ส่ิงที่เกิดข้ึนพร้อมกับความเปล่ียนแปลงภายในสังคมสยาม สมัยรชั กาลที่ 5 ก็คือ ความเปล่ียนแปลงส�ำ คญั ท่ีเกดิ ขึน้ ทีย่ อดบน ของสงั คม คอื ปรมิ าณชาวจนี ทเ่ี พมิ่ ขนึ้ อยา่ งไมน่ า่ เชอ่ื การประมาณ การที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่า ชนกลุ่มน้อยชาวจีนได้เพ่ิมปริมาณข้ึนจาก จ�ำ นวนประมาณ 230,000 คน เมอ่ื  พ.ศ. 2368 (1825) ไปเปน็ 300,000 คน ใน พ.ศ. 2393 (1850) และ 792,000 คน ใน พ.ศ. 2453 (1910) อัตราส่วนของชาวจีนต่อประชากรทั้งหมดเพ่ิมขึ้นจากสัดส่วนน้อย กวา่ รอ้ ยละ 5 ไปเปน็ รอ้ ยละ 9 ในจ�ำ นวนน้ี ปรมิ าณทมี่ ากทส่ี ดุ (บางที อาจจะมากกว่า 2 ใน 3) ตั้งถ่ินฐานอยู่ตามเมืองต่างๆ ท่ีรายล้อม กรงุ เทพฯ และท่บี ริเวณปากอา่ วสยาม เม่อื ชาวจีนมาถงึ แล้ว พวก 380 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

เขาสว่ นมากได้ละท้ิงความยากจน และความโกลาหลอลหม่านของ ชนบททางตอนใตข้ องจนี เพยี งเพื่อแสวงหาชีวิตท่ดี ยี ่ิงข้นึ ในสยาม พวกเขาทำ�งานในภาคเศรษฐกจิ เน้นดา้ นการตลาดของสยาม เชน่ เป็นแรงงานรับจ้างในท่าเรือและโรงสีข้าว เป็นแรงงานเกษตรในไร่ ออ้ ยในระยะแรก แล้วต่อมากอ็ ยูใ่ นชุมชนชาวสวน ทางทศิ ตะวันตก ของกรงุ เทพฯ เปน็ เสมยี น และกลุ แี บกของในระบบการคา้ ปลกี และ เปน็ กรรมกรขนของท่ีทา่ เรอื กบั เป็นคนเรอื ในตอนแรก พวกเขาไป ทำ�งานใหก้ ับชาวจีนอน่ื ๆ เสมอ รฐั บาลไดจ้ า้ งแรงงานชาวจนี มาท�ำ งานตา่ งๆ มากขนึ้ เชน่ การ ขดุ คลอง แทนทจี่ ะใชแ้ รงงานเกณฑจ์ ากชาวสยามทไ่ี มค่ อ่ ยเตม็ ใจท�ำ นกั บางทอี าจจะเปน็ เพราะวา่ ผอู้ พยพชาวจนี เขา้ มาอยมู่ ากขนึ้ และ คนจำ�นวนหน่ึงอาจเข้ามาทำ�งานให้รัฐบาล ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวจีนได้ประสมประสานเขา้ มาเปน็ ส่วนหนง่ึ ของสงั คม ในอัตรา ที่สูงมาก ผู้อพยพชาวจีนส่วนใหญ่เป็นชายโสดอายุน้อย และส่วน ใหญ่ได้ภรรยาเป็นคนในท้องถิ่น เด็กลูกคร่ึงชาวจีนโตขึ้นมาโดยมี ภาษาสยามเปน็ ภาษาแม่ และการประสมประสานก็เกดิ ขึน้ โดยง่าย คนวัยเยาว์เหล่าน้ีอยู่ในหมู่คนกลุ่มแรกที่ได้มีโอกาสทางการศึกษา ทเี่ ปิดขนึ้ ในช่วงทศวรรษ 1880 (2423-2432) อย่างพงึ พอใจ และ พวกเขาก็ได้เข้าไปเป็นตัวแทนกลุ่มเล็กๆ อยู่ในระบบราชการ เม่ือ ถึงช่วงเปล่ียนศตวรรษ อย่างไรก็ตาม ลักษณะเด่นท่ีสำ�คัญของ ชนกลุ่มน้อยชาวจีนและลูกครึ่งจีนก็คือ พวกเขามีจำ�นวนมากกว่า ชาวเมือง (แม้กระท่ังชาวกรุงเทพฯ) และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ ชดิ กบั ธุรกจิ ของชาวตะวันตก พวกเขามบี ทบาทโดดเดน่ อยูใ่ นภาค เศรษฐกจิ อนั ทนั สมยั ของสยาม ในเศรษฐกจิ สง่ ออกขา้ วทข่ี ยายตวั ในชว่ งปลายครสิ ตศ์ ตวรรษ ที่ 19 ชาวนาทอ้ งถนิ่ ไดม้ งุ่ สบื ตอ่ อาชพี ปลกู ขา้ ว อาชพี ของบรรพบรุ ษุ 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าฯ 381

ของพวกเขาซง่ึ เปน็ อาชพี ทเ่ี ขารจู้ กั ดที สี่ ดุ พวกเขามคี วามปรารถนา นอ้ ยมากทจี่ ะท�ำ งานใหก้ บั ผอู้ นื่ โดยไดร้ บั คา่ จา้ งต�ำ่ อยา่ งนา่ ตกใจ และ ต้องทำ�งานเป็นเวลาตามนาฬิกา และพวกเขาก็กังวลใจที่จะต้องใช้ ชวี ติ อยใู่ นเมอื งทพ่ี วกเขาไมค่ นุ้ เคยและรสู้ กึ แปลกแยก เปน็ เมอื งทม่ี ี แตช่ าวจนี ทป่ี ระกอบอาชพี ทพ่ี วกเขาไมค่ นุ้ เคย หากเปน็ คนรนุ่ หนมุ่ ชาวสยามท่ีมีความทะเยอทะยานก็จะวางแผนที่จะเข้ารับราชการ หรอื บวชเปน็ พระสงฆ์ อนั เปน็ การด�ำ เนนิ ชวี ติ ตามแบบจารตี เดมิ ดงั นน้ั ชาวจนี คอื ผทู้ ส่ี รา้ งภาคสว่ นสมยั ใหมใ่ นเศรษฐกจิ ของสยามอยา่ ง ชัดเจน พวกเขาทำ�หน้าท่ีขุดคลอง สร้างทางรถไฟ และก่อสร้าง ทที่ �ำ การรฐั บาลแบบใหม่ ตกึ แถว และสะพานในกรุงเทพฯ พวกเขา ได้พัฒนาสถาบัน และกิจการทจี่ ำ�เป็นที่ท�ำ ให้ระบบเศษฐกิจส่งออก ข้าวด�ำ เนนิ ตอ่ ไปได้ ทงั้ โดยการดำ�เนินการเอง และการเปน็ ลกู จา้ ง ในกจิ การของชาวตะวนั ตก โดยท�ำ งานในธนาคาร โกดงั สนิ คา้ กจิ การ คา้ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ทงั้ ในการคา้ ปลกี และคา้ สง่ โรงสขี า้ ว สายการเดนิ เรอื ที่นำ�ข้าวเข้ามายังพระนคร และแม้แต่การเป็นนายหน้าเดินทางไป ในชนบท เพอ่ื ซอ้ื ขา้ วทเี่ หลอื จากการบรโิ ภคของชาวนา เพอ่ื สง่ ออก ไปขายยังฮอ่ งกง หรอื กัลกัตตา หรือสงิ คโปรใ์ นท้ายทส่ี ดุ ต้ังแตช่ ่วง ต้นสมัยอยุธยา ชาวจนี เปน็ ชมุ ชนทท่ี รงอิทธิพลในสยาม แต่อ�ำ นาจ ของพวกเขาถูกควบคุมอย่างใกลช้ ดิ โดยรัฐ คือ ระบบมูลนาย-ไพร่ ในชว่ งตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 สายสมั พนั ธน์ อ้ี อ่ นแอลง สว่ นหนงึ่ เปน็ เพราะการสรา้ งระบบราชการของรฐั ทไ่ี มใ่ หค้ วามส�ำ คญั กบั ตวั บคุ คล และอกี สว่ นหนงึ่ เปน็ เพราะชมุ ชนชาวจนี มขี นาดใหญม่ ากขนึ้ และได้ แยกออกจากสังคม เม่ือการประสมกลมกลืนกันได้อ่อนแรงลง นับ แตช่ ว่ งตน้ ศตวรรษ สตรชี าวจนี ไดอ้ พยพเขา้ มายงั สยามมากขนึ้ และ แตง่ งานกบั ชายชาวจีน ลกู ๆ ของพวกเขาเปน็ คนจีน ไม่ใชค่ นสยาม ดังน้ัน เม่อื พิจารณาในแงม่ มุ ทางสังคมแลว้ จงึ มีประเทศสยามอยา่ ง 382 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

นอ้ ย 2 แห่ง ใน พ.ศ. 2453 (1910) (*แห่งหน่งึ ส�ำ หรับคนสยาม อีก แห่งสำ�หรบั คนจนี ) ประเทศสยามแห่งท่ี 3 น้ัน เป็นไปได้ว่าหมายถึงระบบ ขา้ ราชการแบบใหมท่ พี่ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และ บรรดาพระอนุชาได้สร้างขึ้น เป็นสถาบันท่ีแตกต่างอย่างมากจาก ระบบขุนนางแบบเก่าที่เคยเป็นมาเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน หรืออย่าง น้อยกเ็ ม่อื 25 ปกี อ่ น ในตอนนบี้ รรดาตระกลู ขุนนางในสมยั รชั กาล ที่ 4 หมดความส�ำ คญั ลงไปแลว้ บรรดาสมาชกิ ในตระกลู จ�ำ นวนมาก ยงั คงปฏบิ ตั งิ านในตำ�แหนง่ หนา้ ทที่ างราชการอยู่ แตพ่ วกเขาอยรู่ อด ในฐานะของตนมากกว่าท่ีจะเป็นสมาชิกของกลุ่มตระกูลและบริวาร อันท่จี ริง บางคนในตระกูลท่ีทรงอ�ำ นาจทสี่ ุดและเกา่ แกท่ ี่สดุ อาจจะ เสียฐานท่ีมั่นไปแล้วอย่างมากในช่วงปลายศตวรรษก่อน เพราะ ต�ำ แหนง่ ของพวกเขายงั คงมน่ั คงอยู่ พวกเขาจงึ สง่ บตุ รหลานไปเรยี น ในโรงเรยี นสมยั ใหมช่ า้ เพราะคดิ วา่ การศกึ ษาเชน่ นน้ั ไมจ่ ำ�เปน็ อะไร เม่ือมีงานรออยู่ในกรมของลุง/อา หรือกระทรวงของพ่อ ในช่วงปี ทา้ ยๆ ของศตวรรษกอ่ น บรรดาครอบครัวขา้ ราชการช้นั ผนู้ อ้ ยอาจ จะเข้าไปอยู่ในระบบราชการได้มากกว่า เม่ือเทียบกับตระกูลจีน- สยามทมี่ อี �ำ นาจทางเศรษฐกจิ ซงึ่ กระตนุ้ ใหพ้ วกเขาไดป้ ระสมประสาน เขา้ ไปอยใู่ นสงั คมสยามไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ อยา่ งไรกต็ าม การเปลยี่ นแปลง ประการเดียวทสี่ ำ�คญั ทส่ี ดุ ในองค์ประกอบของระบบข้าราชการ มา พรอ้ มกบั บทบาทอนั แขง็ ขนั อยา่ งทไี่ มเ่ คยปรากฏมากอ่ น ของบรรดา พระราชวงศ์ บรรดาพระอนุชา และพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกลา้ ฯไดเ้ ปน็ กลมุ่ คนสว่ นใหญใ่ นคณะเสนาบดี ตลอดจน ส้ินรัชสมัย ข้าราชการระดับสูงจำ�นวนมากก็ยังเป็นบรรดาพระราช นดั ดาและพระปนดั ดาของพระมหากษตั รยิ ์ พระราชโอรสทรงมอี �ำ นาจ มาก อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ในกองทพั บก และกองทพั เรอื สง่ิ นไี้ มใ่ ชอ่ บุ ตั เิ หตุ 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าฯ 383

แต่เป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคาด การณ์วา่ กองทัพจะตอ้ งมีบทบาทเพ่ิมข้ึนในการดำ�รงอย่ขู องรฐั พระเจ้าแผ่นดินทรงมอบหมายให้ระบบราชการมีบทบาท ส�ำ คญั ในการสรา้ งความเปลยี่ นแปลงทวี่ ดั ไดต้ ามมาตรฐานตะวนั ตก ดงั นนั้ จงึ จ�ำ เปน็ จะตอ้ งสรา้ งคนหนมุ่ ทไี่ มเ่ พยี งแตจ่ ะเขา้ ใจมาตรฐาน เหลา่ นเี้ ทา่ นนั้ หากแตจ่ ะตอ้ งคนุ้ กบั ศพั ทแ์ สงของตะวนั ตก ผา่ นการ ศึกษาสมัยใหม่ แน่นอนว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระปรีชาสามารถ ยง่ิ กวา่ บรรดาบดิ าทง้ั หลายสว่ นมากทจี่ ะจดั ใหพ้ ระราชวงศท์ เี่ ปน็ ชาย ไดร้ บั การศกึ ษาสมยั ใหมท่ ดี่ ที ส่ี ดุ พระราชโอรสเกอื บทง้ั หมดและพระ ราชนดั ดาจ�ำ นวนมากจงึ ถกู สง่ ไปศกึ ษาในยโุ รป และความไดเ้ ปรยี บ ของพวกเขาทมี่ ตี อ่ ผอู้ นื่ ทง้ั ทางดา้ นสงั คมและการศกึ ษา ทำ�ใหพ้ วก เขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำ�งานในระบบราชการ อย่างที่มีคน เพียงสว่ นนอ้ ยในรุ่นของเขาจะแข่งขันได้ อย่างไรกต็ าม ในปีท้ายๆ  ของศตวรรษ กระทรวงและกรมหลายแหง่ ในกรงุ เทพฯ เรม่ิ รบั สามญั ชนเขา้ มาท�ำ งาน และมคี นอนื่ ๆ ถกู สง่ ไปตา่ งประเทศเพอื่ ฝกึ งาน ไป โรงเรียนป่าไม้ของอังกฤษท่ีอินเดีย หรือไปยังวิทยาลัยฝึกหัดครูท่ี ถนนโบโรหใ์ นอังกฤษ หรอื โรงเรียนทหารขององั กฤษ และเยอรมนี เป็นต้น คนอืน่ ๆ ไปศึกษาในโรงเรียนเฉพาะด้านตามความต้องการ ของแต่ละกระทรวง รวมท้ังสถาบันการศึกษาของกองทัพที่มี ประสทิ ธภิ าพและมขี นาดใหญ่ ในบรรดาชอ่ งทางทหี่ ลากหลายทง้ั หมด น้ีเน้นยำ้�เร่ืองการสรา้ งบุคลากรที่ขึน้ อย่กู ับคุณสมบัติทางการศึกษา ตามรูปแบบของตะวันตกอย่างเป็นทางการ และมาตรฐานการจ้าง คนเหล่าน้ันเองที่เป็นเครื่องกำ�หนดลักษณะของปัญญาชน ในช่วง ตน้ คริสต์ศตวรรษท่ี 20 มากกว่าสิง่ ใดท้งั หมด ความสามารถของกรงุ เทพฯ ในการเปลยี่ นแปลงองคป์ ระกอบ ของระบบราชการอยา่ งสนิ้ เชงิ สว่ นใหญม่ าจากขอ้ เทจ็ จรงิ ทวี่ า่ ตอ้ ง 384 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสงั เขป

มีการจัดหาคนเพื่อปฏิบัติหน้าท่ีใหม่ในองค์กรแบบใหม่ ระบบการ บริหารราชการหัวเมืองแบบเก่า เป็นตัวอย่างว่าเคยประกอบด้วย ผคู้ นในท้องถ่ินเป็นสว่ นใหญ่ โดยมีตระกูลผูป้ กครองในทอ้ งถน่ิ เปน็ ผคู้ วบคมุ อยู่ แตใ่ นระบบการบรหิ ารราชการหวั เมอื งแบบใหม่ ทกี่ รม หลวงดำ�รงราชานุภาพเป็นบุคคลแรกท่ีได้เสริมเข้าไปในเมืองต่างๆ  ดว้ ยเหตดุ งั นน้ั คนหนมุ่ จงึ เขา้ ไปท�ำ งานในระบบบรหิ ารจดั การมณฑล แบบใหมก่ อ่ น และเพยี งเพอ่ื ทจี่ ะกา้ วเขา้ สตู่ �ำ แหนง่ ขา้ หลวงผปู้ กครอง หวั เมอื ง และขา้ ราชการในหวั เมอื งในเวลาตอ่ มา เมอ่ื ถงึ ตอนน้ี อ�ำ นาจ หนา้ ทีแ่ ละสิทธพิ ิเศษของการดำ�รงต�ำ แหนง่ หน้าที่แบบจารตี ก็เสื่อม ถอยไป ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ หนา้ ทก่ี ารงานทจี่ �ำ เพาะตา่ งๆ (อยา่ งเชน่ กรม โยธาธิการ กรมคลอง (*กรมชลประทาน) กรมไปรษณีย์โทรเลข) และการสถาปนากองทหารใหมท่ มี่ ขี นาดใหญก่ เ็ ปน็ เรอื่ งใหมท่ ง้ั หมด หรอื เกอื บทง้ั หมดทจี่ ะตอ้ งแขง่ ขนั กบั ผลประโยชนท์ ไ่ี มเ่ คยมใี นระบบ เกา่ ดังนน้ั ในขณะทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัวทรง สร้างระบบข้าราชการใหม่ ก�ำ หนดต�ำ แหนง่ หน้าท่ี และทำ�ให้เป็นที่ น่าสนใจต่อบรรดาลูกหลานของชนชั้นสูงกลุ่มเก่าน้ัน ระบบเก่าก็ คอ่ ยๆ เส่อื มสลายไป สง่ิ ทที่ �ำ ใหค้ วามตอ่ เนอ่ื งของระบบราชการนเี้ ปน็ ไปไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพก็คือ ระดับการควบคุมรัฐบาลจากศูนย์กลาง ซ่ึงเป็น สิ่งที่กษัตริย์ทรงสร้างข้ึน ในการเร่ิมพระราชด�ำ ริในทศวรรษ 1880 (2423-2432) นน้ั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ไม่ได้ ท�ำ แตเ่ พยี งแคส่ รา้ งความเปน็ หนุ้ สว่ นกนั ระหวา่ งราชส�ำ นกั กบั บรรดา เสนาบดี เหมอื นในสมยั รชั กาลท่ี 1 เทา่ น้ัน แตย่ งั ทรงสถาปนาพระ ราชอำ�นาจเหนือคณะเสนาบดีท้ังหมดขึ้นมาอีกคร้ังหนึ่ง โดยการ ท�ำ ใหล้ �ำ ดบั ชน้ั ทางสงั คมแบบเกา่ ตอ้ งแตกสลายไป แลว้ สรา้ งสง่ิ ใหม่ ขน้ึ มา แมว้ ่าทรงตง้ั ขอ้ สังเกตอย่บู ่อยๆ ในหลายแห่ง แตใ่ นรชั สมัย 7 | พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าฯ 385

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ก็สามารถทำ�ถงึ ข้ัน “การ ปฏิวัติจากเบ้ืองบน” ไว้ในโครงการปรับเปลี่ยนประเทศให้ทันสมัย ในความรู้สึกที่แท้จริง ท่ีว่าเป็นการปฏิรูปจากเบื้องบนของรัชกาล ท่ี 5 นนั้ อยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั สมดลุ ทางการเมอื งและ สังคมในทศวรรษ 1850 (2393-2402) และ 1860 (2403-2412) ชนชั้นสูงกลุ่มนั้นมีอำ�นาจน้อยมากที่จะสลัดอำ�นาจของขุนนาง ตระกูลใหญ่ๆ เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ขึ้นเป็นพระเจ้า แผ่นดิน ก็ยังไม่อาจทำ�ให้เกิดความทันสมัยได้ ทรงไม่อาจนำ�ไปสู่ หนทางทจ่ี ะท�ำ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงขน้ั พนื้ ฐานได้ และเปน็ การท�ำ เพื่อเห็นแก่ตระกูลผู้นำ�และเสนาบดีที่คอยสนับสนุน และจัดการใน เร่ืองนโยบายของรัฐ ทรงทำ�ได้เพียงเปล่ียนตัวบุคคลของพระองค์ เข้าไปรับตำ�แหน่งในทุกกระทรวงที่สำ�คัญของรัฐ อันเป็นกลยุทธ์ท่ี สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศใ์ ชเ้ ปน็ ผลส�ำ เรจ็ มาแลว้ ในรชั กาล ที่ 4 และตน้ รชั กาลที่ 5 พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงเลอื กผปู้ ราศจากต�ำ แหนง่ และอำ�นาจท่ตี อ้ งพ่ึงพิงผใู้ ดมาทำ�งาน จึงทรงสามารถที่จะสนับสนนุ ระบบราชการไปตามความปรารถนาของพระองคไ์ ด้ และดว้ ยบคุ คล เหลา่ นี้ กจ็ ะสามารถสรา้ งเอกภาพและนโยบายทต่ี ดิ ตอ่ กนั ไดเ้ รอื่ งได้ ราว ทจี่ ะท�ำ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ไปไดท้ จ่ี ะท�ำ ใหเ้ กดิ ขอ้ ผกู มดั ทบ่ี งั คบั ได้ อย่างต่อเนือ่ งทีจ่ ะปฏิรูปไดเ้ หมือนเช่นทเ่ี คยเปน็ มา พระราชอำ�นาจ ในการแตง่ ตงั้ บคุ คลเปน็ อาวธุ ทสี่ ำ�คญั ทสี่ ดุ เพยี งสง่ิ เดยี วของพระองค์ และพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าฯ ทรงใชอ้ ำ�นาจนรี้ ว่ มกบั ความ ช�ำ นาญทที่ �ำ ใหส้ �ำ เรจ็ บรบิ รู ณ์ พระเจา้ แผน่ ดนิ อาจแตง่ ตง้ั เจา้ นายบาง พระองค์ อยา่ งกรมหม่ืนเทวะวงศฯ์ และกรมหลวงดำ�รงฯ แลว้ ทรง ลืมไปได้เลย เพราะทรงเชื่อมั่นว่า เจ้านายเหล่าน้ันจะทำ�งานให้ พระองค์และประเทศชาติได้ดี แต่เสนาบดีอื่นๆ เปล่ียนมือกันบ่อย มาก พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระเจ้าน้องยาเธอมากพอท่ีจะทรงแต่ง 386 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป

ตงั้ ใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ และปลดออกจากต�ำ แหนง่ ไดต้ ามความปรารถนา เพื่อให้เจ้านายเหล่านั้นทรงแข่งขันกันเอง เพื่อความก้าวหน้าและ เพื่อให้เปน็ ท่โี ปรดปราน บรรดาเสนาบดีภายใตร้ ะบอบเกา่ มักจะรบั ราชการในตำ�แหน่งไปจนตลอดชีวิต แต่บรรดาเจ้านายไม่มีโอกาส เชน่ นน้ั ในรชั กาลที่ 5 พระราชวงศท์ ม่ี ยี ศศกั ดสิ์ งู สดุ หลายๆ พระองค์ มักจำ�ต้องเปล่ยี นต�ำ แหน่งหนา้ ท่ีอย่างหลากหลาย ไม่บอ่ ยคร้งั นักที่ ถกู บงั คบั ใหต้ อ้ งขอลาออกจากราชการโดยเรว็ หลงั จากทท่ี ำ�ผลงาน ไม่ดีมาอย่างต่อเน่ือง ในตำ�แหน่งที่มีความสำ�คัญน้อยลงมาเร่ือยๆ  แมว้ า่ พระเจา้ แผน่ ดนิ จะทรงกงั วลอยมู่ ากเกยี่ วกบั อนาคตของครอบครวั ของพระองค์ และทรงหวังว่าพระราชโอรสจะทรงสามารถดำ�รง ตำ�แหน่งสำ�คัญๆ ในรัฐได้ พระองค์ได้ทรงกระทำ�มากยิ่งไปกว่านั้น เพอ่ื ความส�ำ เรจ็ ของการท�ำ ประเทศให้ทนั สมยั และเหตผุ ลของการ อยรู่ อดของบา้ นเมอื ง พระองคไ์ ดท้ รงกระท�ำ ใหบ้ รรดาสมาชกิ ในพระ ราชวงศ์ทรงทราบโดยกระจ่างแจ้งแล้วว่า ส่ิงอื่นท่ีเหลือจะต้อง เท่าเทียมกัน พระองค์อาจจะแต่งต้ังเจ้านายหรือคนจาก “ตระกูล ทด่ี ี” ก็ได้ แต่ตำ�แหน่งน้นั จะเป็นของบุคคลที่มคี ุณสมบัติดีเลิศทส่ี ุด กอ่ น ไมว่ า่ พน้ื เพทางสงั คมของเขาจะเปน็ อยา่ งไรกต็ าม การก�ำ หนด บรรทัดฐานอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ในท่ีสุดแล้ว ได้นำ�มาซ่ึงอำ�นาจ ของกลุ่มคนท่ีได้ปฏิบัติตนไปตามหลักการเลือกสรรโดยคุณธรรม และไม่วา่ ในเวลาตอ่ มา ระบบนจี้ ะแปดเปือ้ นไปอยา่ งไร แตก่ ก็ ลาย เป็นโครงสรา้ งของรัฐไปอยา่ งถาวร ไดม้ กี ารก�ำ หนดเรอื่ งการบรหิ ารจดั การเพอื่ รบั ประกนั วา่ สว่ น กลางจะควบคมุ ไดอ้ ยา่ งใกลช้ ดิ อยา่ งไรกต็ าม เนอื่ งจากพระเจา้ แผน่ ดนิ มไิ ดท้ รงมอบหมายอ�ำ นาจในการตดั สนิ ใจจ�ำ นวนมากของพระองค์ ดงั นน้ั ในทา้ ยทสี่ ดุ เรอื่ งสว่ นใหญจ่ งึ ตกเปน็ ภาระของพระเจา้ แผน่ ดนิ ท่ีจะต้องทรงอุทิศพระองค์ แม้แต่ความอดทนที่จะยืนหยัดต่อสู้ของ 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ ฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าฯ 387

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมหาสมาคม ที่ พระราชวงั ในพระนครศรอี ยุธยา 388 ประวตั ิศาสตร์ไทยฉบับสังเขป

พระองคเ์ อง พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ ไดท้ รงงานอยา่ งหนกั หนว่ ง ในการทำ�หนา้ ท่ีบรหิ ารตา่ งๆ ทรงเขียนจดหมายวันละหลาย รอ้ ยฉบบั แลว้ ทรงตดั สนิ ใจ บางครงั้ กด็ ว้ ยพระองคเ์ อง บางครง้ั กท็ รง ไดร้ บั ค�ำ ปรกึ ษาจากบรรดาเสนาบดี ในเรอ่ื งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ตามรปู แบบ การเขียนจดหมายที่เคยใช้เพ่ือลงนาม หรือในเร่ืองใหญ่ๆ อย่าง นโยบายทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั ฝรงั่ เศส เมอ่ื ทรงมปี ญั หาดา้ นสขุ ภาพ เหมอื น กบั เม่อื หลายเดือนทเี่ กิดวิกฤตการณ์สยาม-ฝร่ังเศส ใน พ.ศ. 2436 (1893 /ร.ศ. 112) ก็ทรงเลกิ วา่ ราชการไปช่ัวคราว รัฐบาลกลางกต็ ก อยใู่ นภาวะโกลาหลวนุ่ วาย อยา่ งไรกต็ าม ในชว่ งปลายทศวรษ 1890 (2433-2442) กท็ รงมคี วามมน่ั ใจในความสามารถของบรรดาเสนาบดี ของพระองค์ จนมอบหมายเรอ่ื งการบรหิ ารราชการไวใ้ นมอื ของพวก เขา และเสดจ็ พระราชด�ำ เนินไปยุโรป พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ ทรงสรา้ งมากกว่าวิธีการ ที่เปน็ ทางการแบบใหม่ ทีจ่ ะทำ�กจิ การสาธารณประโยชนใ์ ห้เป็นผล สำ�เร็จ โดยการปรับรูปโฉมของระบบราชการใหม่ ระบบขา้ ราชการ ตามจารตี ประเพณี เคยเปน็ องคก์ รหลกั ในโครงสรา้ งทางสงั คม เพราะ วา่ คนทอ้ งถน่ิ ทไี่ มใ่ ชช่ าวไรช่ าวนาท�ำ งานอยภู่ ายในระบบขา้ ราชการ ความเชย่ี วชาญด้านอาชพี และการจำ�แนกทางสังคมที่มาพร้อมกบั การทำ�ให้เป็นสมัยใหม่อย่างรวดเร็ว เกิดข้ึนภายในรูปแบบการจัด ลำ�ดับข้ันทางสังคมแบบจารีต และยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของ ราชส�ำ นัก ในความหมายนี้ สงั คมท้ังหมดมแี นวโนม้ ท่จี ะถูกควบคุม ไปสจู่ กั รกลแหง่ ความเปลยี่ นแปลงทก่ี รงุ เทพฯ รฐั บาลยงั คงมอี �ำ นาจ ท่ีจะสั่งให้บรรดานายทหารยิงปืน ส่ังให้ครูสอนหนังสือ สั่งให้ปลูก หนองฝจี ากววั และใหว้ างทางรถไฟ รฐั บาลไดพ้ ร�ำ่ สอนเรอ่ื งคณุ ธรรม สมัยใหม่ และสนับสนุนให้ผู้คนได้รับทักษะสมัยใหม่ผ่านระบบการ ศกึ ษา และการจัดการคณะสงฆ์ ราชส�ำ นกั สามารถสนับสนุนคุณคา่ 7 | พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ ฯ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ฯ 389

และพฤติกรรมที่เห็นว่าดีต่อประเทศ โดยการกำ�หนดคุณสมบัติใน การรับคนเข้ารับราชการอย่างแท้จริงในทุกสาขา ท้ังยังมีอำ�นาจใน การเลอ่ื นขั้นหรอื ไลอ่ อกได้อย่างเท่าเทยี มกนั ด้วย อยา่ งไรกต็ าม ในการปฏบิ ตั ดิ งั กลา่ ว ราชส�ำ นกั และพระราชวงศ์ ต้องก้าวออกมาอยนู่ อกรม่ เงาของพระราชวงั ท่แี ยกตวั อย่างสันโดษ แลว้ ปรากฏตวั ใหส้ าธารณชนเหน็ ไดอ้ ยา่ งแจม่ แจง้ การปฏบิ ตั ติ นและ ความคิดเห็นของพวกเขาปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ทุกวัน ความ ตง้ั ใจของพระเจา้ แผ่นดนิ และแม้กระท่ังความเตม็ ใจของพระองคท์ ่ี ได้ตรัสกับข้าแผ่นดินโดยตรง ปรากฏเป็นพระราชดำ�รัสที่เป็นลาย ลกั ษณ์ และกระแสพระราชด�ำ รสั ในทา่ มกลางทช่ี มุ นมุ ในงานพระราช พธิ ี เปน็ สงิ่ ทพ่ี ดั พาเอาบรรดาขา้ ราชส�ำ นกั ซงึ่ เปน็ เสมอื นเมฆทขี่ วาง กน้ั กษตั รยิ พ์ ระองคก์ อ่ นๆ ออกไปจากการตรวจสอบและสงั เกตการณ์ ของสาธารณชน ระดบั สงู สดุ ทพี่ ระมหากษตั รยิ จ์ ะปรากฏพระองคใ์ น ทส่ี าธารณะถูกกำ�หนดไว้กับรัฐ สังคม และความสำ�เรจ็ หรอื ความ ลม้ เหลวของนโยบายของทางราชการ ทปี่ รบั ใหไ้ ปสกู่ ารประสบความ ส�ำ เรจ็ ในการปรบั เปลยี่ นประเทศใหเ้ ปน็ สมยั ใหมท่ ถี่ กู ผลกั ดนั ไปขา้ ง หน้าอย่างรุนแรง การปรับเปล่ยี นนี้ทำ�ให้สถาบนั กษตั ริยต์ อ้ งตกอยู่ ในอันตรายมากย่ิงข้ึนจากการถูกสาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์ และ แสดงความไมพ่ อใจ ในสถานการณท์ พี่ ลงั การขบั เคลอ่ื นไปขา้ งหนา้ ตอ้ งสะดุดลง 390 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบับสังเขป

เชงิ อรรถ 1. ขา้ พเจ้ารสู้ ึกเปน็ หน้บี ญุ คณุ Noel Battye ผูท้ ำ�ให้ขา้ พเจา้ สนใจข้อมลู น้ี ทไี่ ดม้ าจากหอจดหมายเหตขุ องมชิ ชนั นารอี เมรกิ นั American missionary archives 2. Wong Lin Ken, “The Trade of Singapore, 1819-1869,” Journal of Malayan Branch, Royal Asiatic Society 33, no.4 (Dec. 1960) : 278; and James C. Ingram, Economic Change in Thailand 1850-1970 (Stanford, 1971) , pp. 332-35. 3. พระราชหตั ถเลขาในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ลงวนั ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404 (1861) พระราชทานไปยังประธานาธิบดีแฟรงกลิน เพียรซ์ แหง่ สหรฐั อเมรกิ า King Mongkut to U.S. President Franklin Pierce, 14 Feb. 1861; in Abbot Low Moffat, Mongkut, the King of Siam (Ithaca, 1961) , p. 89. 4. Chula, Lords of Life, p. 261. 5. Ibid., p. 263. 6. Straits Time (Singapore), 16 May 1957. 7. Bangkok Times, 26 Jan. 1898. 8. John B. Murdoch, “The 1901-1902 ‘Holy Man’s’ Rebellion,” JSS 62, pt.1 (Jan. 1974) : 57. 9. Ingram, Economic Change, p. 38. 10. Lauriston Sharp and Lucien M. Hanks, Bang Chan: Social History of a Rural Community in Thailand (Ithaca, 1978). 7 | พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ ฯ และพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ ฯ 391



บทท่ี 8 พก�ำ.ศเน. ิด24ล5ัท3ธ-ิช2า4ต7ิน5ยิ ม(1ช9น1ช0้ัน-น19ำ�32) หากจะกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงท�ำ ใหร้ าชอาณาจกั รสยามเปน็ สยามใหม่ กอ็ าจกลา่ วไดว้ า่ สมเดจ็ พระราชโอรสสองพระองคท์ ที่ รงครองราชยส์ บื ตอ่ มาสองรชั กาล เปน็ ผู้สถาปนาราชอาณาจกั รสยามข้ึนเป็นชาติ ช่วงรชั กาลท่ี 5 นัน้ เป็น สมยั ที่สถาบันหลกั ต่างๆ ไดแ้ ก่ สถาบันกษัตริย์ กองทพั และระบบ ราชการถกู ปรับปรงุ สรา้ งเสรมิ ใหท้ ันสมัยและเข้มแข็ง แม้วา่ สถาบัน กษตั รยิ แ์ ละระบบราชการจะมอี ยใู่ นสงั คมไทยมาชา้ นานหลายรอ้ ยปี แลว้ แตม่ าในชว่ งรชั กาลนเ้ี องทสี่ ถาบนั ดงั กลา่ วมอี �ำ นาจเขม้ แขง็ ขนึ้ กว่าสมยั ใด เพื่อใหส้ ยามรอดพ้นจากเงอ้ื มมือของการลา่ อาณานคิ ม ในรชั กาลน้ี สถาบนั กษตั รยิ ม์ คี วามเปน็ สมบรู ณาญาสทิ ธย์ิ ง่ิ กวา่ สมยั ใดในอดตี เมอ่ื พระเจา้ แผน่ ดนิ สามารถแสดงพระราชอ�ำ นาจไดอ้ ยา่ ง เต็มที่ผ่านระบบราชการที่อยู่ในอาณัติของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น สภาวการณ์ทางการเมืองในชว่ งรชั กาลท่ี 4 และชว่ งต้นรชั กาลที่ 5

ท�ำ ใหช้ นชน้ั น�ำ กลมุ่ เลก็ ๆ เขา้ คมุ อ�ำ นาจทางการเมอื ง และการบรหิ าร รัฐกิจในชว่ งปลายรัชกาลท่ี 5 ดงั ปรากฏว่า สมาชิกเสนาบดีสภาใน  พ.ศ. 2440 (1910) นน้ั เกอื บทงั้ หมดเปน็ สมาชกิ ในพระราชวงศ์ โดย เฉพาะพระเจา้ น้องยาเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอทงั้ ส้นิ อาจกลา่ วไดว้ า่ การพฒั นาสยามใหท้ นั สมยั ในรชั กาลท่ี 5 เปน็ ตัวอย่างของการพัฒนาท่ีไม่สม่ำ�เสมอ กลุ่มสังคมแต่ละกลุ่มเข้าสู่ ความเปน็ สมยั ใหมใ่ นอตั ราความเรว็ ทแ่ี ตกตา่ งกนั กลมุ่ พระบรมวงศา นุวงศ์ปรับเข้าสู่สมัยใหม่เร็วกว่ากลุ่มอ่ืน ด้วยมีโอกาสในการศึกษา แผนใหม่ โดยเฉพาะการไปเรียนเมอื งนอก ตามมาด้วยกล่มุ ขุนนาง ในระบบราชการสมยั ใหม่ ซงึ่ ไดร้ บั การศกึ ษาสมยั ใหม่ ตามหลงั กลมุ่ พระบรมวงศานุวงศ์ราวสิบปีหรือมากกว่าน้ัน ยังผลให้สมาชิกชั้น แนวหนา้ ของกลมุ่ ขนุ นางสามารถไตเ่ ตา้ ขน้ึ ไปตามชว่ งชนั้ ทางสงั คม ไดโ้ ดยล�ำ ดับในช่วงปลายรชั กาลที่ 5 ทิ้งกลมุ่ อน่ื ๆ ในสังคมไว้เบื้อง หลงั ความแตกตา่ งในการศึกษา ฐานะ ชีวติ ความเปน็ อยู่ การรบั รู้ โลกภายนอก หรอื แมแ้ ตภ่ าษา ท�ำ ใหเ้ กดิ ชอ่ งวา่ งทางสงั คม ระหวา่ ง ชนชน้ั น�ำ ทม่ี กี ารศกึ ษากบั ราษฎรสว่ นใหญ่ ชอ่ งวา่ งนข้ี ยายกวา้ งใหญ่ ขน้ึ กวา่ สมัยใดในชว่ งปลายรชั กาลท่ี 5 มขี อ้ สงั เกตสองประการตอ่ ลกั ษณะประวตั ศิ าสตรใ์ นชว่ งรชั กาล ที่ 6 และรัชกาลที่ 7 หรอื ช่วงเวลาตง้ั แต่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เสดจ็ สวรรคตใน พ.ศ. 2453 (1910) จนถงึ การปฏิวัตลิ ้มล้างระบอบ สมบูรณาสิทธิราชย์ใน พ.ศ. 2475 (1932) ประการแรก พระบาท สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (ครองราชย ์ พ.ศ. 2453-68 (1910- 25)) ทรงมีบทบาทอย่างมากในการท�ำ ใหร้ าชอาณาจักรของสมเดจ็ พระบรมชนกนาถมชี วี ติ มกี ารตระหนกั รถู้ งึ ความเปน็ ชาติ อยา่ งนอ้ ย กใ็ นหมู่ชนชน้ั นำ� ประการท่ีสอง ในช่วงเวลาน้เี อง กลุ่มชนช้นั นำ�ซึ่ง มิใช่กลุ่มเจ้าสามารถวิ่งตามทันกลุ่มเจ้า มีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน 8 | กำ�เนิดลัทธชิ าตนิ ยิ มชนชนั้ นำ� 393

และมอี ดุ มการณท์ างการเมอื ง โดยเฉพาะชนชนั้ น�ำ ฝา่ ยทหาร ซง่ึ เรา จะไดเ้ หน็ กนั ตอ่ ไป อยา่ งไรกด็ ี ราษฎรธรรมดาสามญั สว่ นใหญ่ กย็ งั คงล้าหลงั หา่ งไกลจากชนช้นั นำ�อย่มู าก พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ ัวกบั ชาติไทย หากรัชกาลท่ี 5 เสด็จสวรรคตก่อนหน้าน้ันสามสิบปี (*คือ  พ.ศ. 2423 (1880)) การสืบราชสมบัตคิ งยงุ่ ยากวนุ่ วาย อาจมีการ นองเลอื ด เกดิ สงครามกลางเมอื ง การแทรกแซงจากตา่ งชาติ จนถงึ ข้นั ทสี่ ยามตอ้ งสญู เสียอิสรภาพได้ อยา่ งไรก็ดี เมื่อเสดจ็ สวรรคตใน  พ.ศ. 2453 (1910) น้นั สยามไดเ้ ลิกใช้ระบบการสืบราชสมบตั ิแบบ โบราณ และรบั เอาวธิ แี บบตะวนั ตกในการก�ำ หนดตวั รชั ทายาทผสู้ บื ราชสมบตั ไิ วล้ ว่ งหนา้ แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงรอจนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมหม่ืนบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคตไปแล้วปีหน่ึง แล้วจึงทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูก ยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าพระองค์น้ัน ส้นิ พระชนมใ์ น พ.ศ. 2437 (1894) พระชันษาได้ 17 พรรษา ในปีถดั มา รชั กาลท่ี 5 จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้ามหา วชิราวุธ สมเด็จพระราชโอรสพระองค์แรกในสมเด็จพระนางเจ้า เสาวภาผอ่ งศรี พระบรมราชเทวี (*ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2424 (1881)) ขนึ้ เปน็ สยามมกฎุ ราชกมุ ารแทน ขณะนน้ั สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ เสด็จประทับอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ ทรงศึกษาเล่าเรียนกับพระ อาจารย์ และตอ่ มาทรงศกึ ษาวิชาการทหารบก ท่ีโรงเรยี นนายร้อย แซนเฮสิ ต์ ตลอดจนวชิ าประวตั ศิ าสตร์ และกฎหมายทมี่ หาวทิ ยาลยั ออกซฟอรด์ จนเสดจ็ นวิ ตั พิ ระนครใน พ.ศ. 2445 (1903) เสดจ็ ประทบั 394 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสังเขป

ณ วงั ส่วนพระองค์ มีขา้ ราชบรพิ ารพรั่งพร้อม ทรงใชเ้ วลาอยู่ 7 ปี เพลดิ เพลนิ ไปในทางวรรณคดี และการบรหิ ารราชส�ำ นกั ของพระองค์ เอง ทงั้ นท้ี รงด�ำ รงต�ำ แหนง่ ผสู้ �ำ เรจ็ ราชการแผน่ ดนิ ในคราวทร่ี ชั กาล ที่ 5 เสดจ็ ประพาสทวปี ยโุ รปครงั้ ที่ 2 ใน พ.ศ. 2450 (1907) สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ จงึ ทรงมเี วลาถงึ 15 ปใี นการเรยี นรพู้ ระราชานกุ จิ ซ่ึงมีพระมหากษัตริย์สยามไม่กี่พระองค์นักที่ได้ทรงมีโอกาสเช่นนี้ วอลเตอร์ เอฟ เวลล่า นิยามพระองค์ไว้ว่า ทรงเป็นสุภาพบุรุษ วิคตอเรียน แต่อันที่จริงแล้ว ทรงเป็นสุภาพบุรุษเอ็ดวอร์เดียน (Edwardian) มากกว่า1 เช่นเดียวกับสมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงท�ำ พธิ บี รมราชาภเิ ษกสองครงั้ ครง้ั แรก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 (1910) เป็นพระราชพิธอี ยา่ งย่อ ประหยัด ทว่าการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชคร้ังที่ 2 ใน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2454 (1911) นั้น จัดงานเฉลิมฉลองอย่าง อลงั การถงึ 13 วนั มเี จา้ นายและตวั แทนประมขุ ตา่ งชาตถิ งึ 14 ประเทศ เขา้ รว่ ม รวมทงั้ มกฎุ ราชกมุ ารญป่ี นุ่ ดว้ ย สนิ้ พระราชทรพั ยถ์ งึ 5 ลา้ น บาท หรอื รอ้ ยละ 8 ของงบประมาณแผน่ ดนิ ในปนี น้ั การใชจ้ า่ ยอยา่ ง ฟมุ่ เฟอื ยจึงเปน็ ลกั ษณะเด่นของรัชสมยั นี้สืบมาจนสิ้นรัชกาล แม้ว่าจะได้ทรงตระเตรียมพระองค์มานานหลายปี ทว่าเม่ือ ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์น้ันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯก็มิได้ ทรงเปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลายหรอื นยิ มนบั ถอื ทงั้ ยงั ทรงขาดเครอื ขา่ ยทาง สังคมท่ีจักสนับสนุนพระองค์ในการต่างๆ ขณะที่คณะเสนาบดีและ สงั คมสยามกต็ กอยใู่ นอ�ำ นาจของกลมุ่ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอและพระเจา้ พี่ยาเธอ ซ่ึงโดยมากดำ�รงตำ�แหน่งสำ�คัญๆ ทางราชการ ท้ังทหาร และพลเรอื น ในชว่ งตน้ รชั กาล กษตั รยิ พ์ ระองคใ์ หมจ่ งึ ทรงระมดั ระวงั ไม่เปล่ียนแปลงการบริหารรฐั กจิ ให้ผดิ แผกไปจากเดิมมากนกั แต่ก็ 8 | กำ�เนดิ ลัทธชิ าตินิยมชนช้นั นำ� 395

ทรงเรง่ สรา้ งสมฐานก�ำ ลงั ของผทู้ ส่ี นบั สนนุ พระองคต์ อ่ ไปในภายหนา้ วิธีการท่ีทรงใช้เป็นลักษณะของยุคสมัยใหม่ และการมีพื้นฐานการ ศึกษาในภาคพื้นทวีปยุโรปของพระองค์ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.  2454 (1911) ทรงสถาปนาหน่วยงานทางทหารขึน้ สองหนว่ ย หนว่ ย งานแรก ไดแ้ ก่ กรมทหารรกั ษาวงั สงั กดั กระทรวงวงั ซง่ึ สรา้ งความ ไม่พอใจอย่างมากให้แก่กองทัพในบังคับบัญชาของสมเด็จพระเจ้า พีย่ าเธอ เจา้ ฟ้าบรพิ ัตรสุขุมพันธุ์ หน่วยงานท่สี องได้แก่ กองเสอื ป่า ซง่ึ เปน็ กองกำ�ลงั กึ่งทหาร ทม่ี าจากสมาชกิ ทวั่ ประเทศ มีหน้าทีห่ ลัก เพื่อปกปอ้ ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ”์ ใหพ้ น้ ภยั ศตั รหู มู่มาร ท้ังภายในและภายนอกประเทศ และเพื่อส่งเสริมความเป็นน้ำ�หน่ึง ใจเดียวกนั ในชาติ ดังท่ีรชั กาลที่ 6 มีพระบรมราชาธิบายไว้ มีความ ตอนหน่ึงว่า : การทต่ี ั้งเสอื ปา่ ขน้ึ กด็ ้วยความมุง่ หมายจะให้ ราษฎรทว่ั กนั รสู้ กึ วา่ ความจงรกั ภกั ดตี อ่ ผดู้ �ำ รงรฐั สมี า อาณาจักรโดยต้องตามนิติธรรมประเพณีประการ 1 ความรกั ชาตบิ า้ นเมอื ง และนบั ถอื พระศาสนาประการ 1 ความสามัคคีในคณะ และไม่ทำ�ลายซึ่งกันและกัน ประการ 1 ทงั้ 3 ประการนเ้ี ปนมลู รากแหง่ ความมน่ั คง จะทำ�ให้ชาตเิ ราด�ำ รงอยเู่ ปนไทยไดส้ มนาม 2 ด้วยการรับสมาชิกจำ�นวนมาก (*เข้ากองเสือป่า) จากกลุ่ม ขา้ ราชการพลเรอื น (คา่ สมาชกิ แรกเขา้ นน้ั สงู เปน็ อปุ สรรคทสี่ กดั กน้ั ชนชน้ั ลา่ ง) แลว้ จดั ล�ำ ดบั ชนั้ ยศใหม่ โดยมไิ ดค้ �ำ นงึ ถงึ ต�ำ แหนง่ หนา้ ท่ี ทางราชการ รชั กาลที่ 6 จึงทรงสามารถสร้างหน่วยงานใหม่ ทีห่ ลุด พ้นจากกรอบอันเข้มงวดของระบบราชการ มีสมาชิกที่นิยมนับถือ 396 ประวัตศิ าสตร์ไทยฉบบั สงั เขป

เชือ่ มน่ั ในองคพ์ ระประมุข ในพระราชปณิธาน และในพระราชนยิ ม พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯทรงเห็นวา่ มคี วามจ�ำ เป็นอยา่ งยง่ิ ทจี่ กั ตอ้ งชกั จงู ราษฎรทง้ั มวล โดยเฉพาะพวกชนชนั้ นำ�ทอ่ี ยกู่ นั แบบ ต่างคนต่างอย่ใู นหนา้ ทีร่ าชการของแต่ละคน ให้มาประกอบกิจร่วม กัน เพอ่ื ส่งเสรมิ ความร้สู กึ รักชาติ ความพรอ้ มรบ ความจงรักภักดี ต่อองค์พระมหากษัตริย์และประเทศชาติ เสือป่าทำ�ให้รัชกาลที่ 6 ทรงสามารถสร้างอิทธิพลอำ�นาจบางประการเหนือราษฎรได้ ใน ลักษณะท่ีรัฐราชการในระบอบกษัตริย์มิสามารถกระทำ�ได้ ในช่วง ตน้  พ.ศ. 2454 (*นบั ศกั ราชแบบเกา่ 1912) เสอื ปา่ มสี มาชกิ ถงึ ประมาณ 4,000 คน ท้ังยังมีกองลูกเสือเปน็ สมาชิกรนุ่ เยาว์ที่ยนื หยัดตอ่ มาได้ ชา้ นานกว่าเสอื ปา่ มาก ในวนั ท่ี 29 กมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. 2454 (*นบั ศกั ราชแบบเกา่ 1912) ขณะท่รี ชั กาลที่ 6 ทรงซอ้ มรบเสอื ป่าอยู่ ณ พระราชวังสนามจนั ทร์ จังหวัดนครปฐมอยู่น้ัน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ ภวู นาถ ต�ำ แหนง่ เสนาธกิ ารทหารบก ทเ่ี สนาบดกี ระทรวงยทุ ธนาธกิ าร ได้ประทับรถไฟขบวนพิเศษจากกรุงเทพฯ มาเฝ้าทูลละอองธุลี พระบาท ถวายรายงานว่า มีทหารชั้นผู้น้อยกลุ่มหนึ่ง สมคบกัน วางแผนประทษุ รา้ ยองคพ์ ระประมขุ ในชว่ งสองวนั ตอ่ มา มกี ารจบั กมุ กลุ่มคนทมี่ ีมลู ความผดิ ในคดนี ้ี เป็นชายหน่มุ 92 คน (*มีหัวหน้าชอ่ื รอ้ ยเอกขนุ ทวยหาญพทิ กั ษ์ หรอื เหลง็ ศรจี นั ทร์ ต�ำ แหนง่ นายแพทย์ ประจำ�โรงเรียนนายร้อยทหารบก) โดยมากอายุย่ีสิบต้นๆ และรับ ราชการทหารในระดบั นายรอ้ ย เปน็ เพอื่ นรว่ มรนุ่ โรงเรยี นนายรอ้ ยท่ี ส�ำ เรจ็ การศกึ ษาใน พ.ศ. 2452 (1909) และมจี �ำ นวนมากทเ่ี ปน็ ลกู จนี บางคนมคี วามไมพ่ อใจในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯเปน็ สว่ น ตัวมาช้านานหลายปี ต่อมาความไม่พอใจนั้นได้กลายร่างไปเป็น แนวอุดมการณ์ที่ไม่ชัดเจนนัก แต่มุ่งไปในทางต่อต้านระบอบ 8 | ก�ำ เนิดลัทธิชาตนิ ยิ มชนชัน้ น�ำ 397

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู ัว เสดจ็ ประทบั ยืนบนเรอื ประพาส 398 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบับสงั เขป

สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ คนกลมุ่ นต้ี ามทนั กระแสความตน่ื ตวั ทางการ เมืองในสมัยน้ัน โดยเฉพาะการปฏิวัติเก๊กเหม็งในประเทศจีน เม่ือ (*วันท่ี 10) เดือนตลุ าคม พ.ศ. 2454 (*1911) พวกเขาคิดว่า สยาม นน้ั ล้าหลงั ทง้ั ยังเตม็ ไปด้วยความอยุตธิ รรม ฉอ้ ฉล และเสอ่ื มโทรม ในทางศีลธรรม พวกเขาเช่ือว่าระบอบการปกครองท่ีใช้กันอยู่นั้น เปน็ มลู เหตขุ องความเสอ่ื มถอยทงั้ ปวงน้ี นอกจากนน้ั พวกเขายงั คดิ ว่ารัชกาลท่ี 6 และกองเสือป่าของพระองค์ทำ�ให้กองทัพมีสถานะ เสอื่ มถอยลงอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ยงั ความไมพ่ อใจอยา่ งยงิ่ ใหแ้ กก่ ลมุ่ คน หน่มุ เหลา่ น้ี คณะผู้ก่อการ (*ซึ่งต่อมาเรียกกลุ่มตนว่า คณะปฏิวัต ิ ร.ศ.  130) ไมไ่ ดต้ กลงกนั ไว้ชัดเจนนักวา่ จะด�ำ เนินการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองอย่างไร สองกลุ่มเห็นว่าควรใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยกลุ่มหน่ึงเห็นว่า ควรทูลเชิญสม เดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ จกั รพงษภ์ วู นาถขนึ้ เปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ แทน ขณะทอี่ กี กลุ่มเห็นว่า ควรทูลเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์มากกว่า ส่วนกลุ่มท่ีสามเห็นว่าควรใช้ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ โดยมีพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักด์ิ (*กรมหม่ืนราชบุรีดิเรกฤทธิ์) เป็น ประธานาธิบดี คณะผู้ก่อการเห็นว่าควรมกี ารปฏิรปู นโยบายของรัฐ คร้ังใหญ่ โดยเฉพาะอย่างย่ิง มุ่งส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการศึกษาอยา่ งเร่งดว่ น อย่างไรก็ดี พวกเขาได้ประชุมกันเพียง 12 ครงั้ ยงั วางแผนการไปไดไ้ มเ่ ทา่ ไรนกั กถ็ กู จบั กมุ เสยี กอ่ นระหวา่ ง วนั ท่ี 1 – 2 มีนาคม พ.ศ. 2454 (ร.ศ. 130) (*ฝา่ ยรัฐบาลเรียกคน กลุ่มน้ีว่า สมาคมก่อการกำ�เริบ) สองเดือนต่อมา ภายหลังจากท่ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ลดหย่อนผ่อนโทษโดย ฐานกรุณาหน่ึงช้ันฐานโทษต่อคนกลุ่มนี้แล้ว มีคำ�พิพากษาให้พวก กบฏสามคน (*คอื รอ้ ยเอกทวยหาญพทิ กั ษ์ รอ้ ยโทจรญู ณ บางชา้ ง 8 | กำ�เนดิ ลัทธชิ าตนิ ยิ มชนชั้นนำ� 399

และรอ้ ยตรีเจือ ศลิ าอาสน์) รบั โทษจำ�คุกตลอดชีวติ (*ลดจากฐาน โทษชนั้ 1 ประหารชวี ติ ) สบิ สองคนรบั โทษจำ�คกุ ยส่ี บิ ปี สว่ นทเ่ี หลอื ใหร้ อลงอาญา เมอ่ื มองยอ้ นไป กบฏร.ศ. 130 นน้ั อาจดเู ปน็ เรอ่ื งเลก็ นอ้ ย แต่ ในสมัยนัน้ เปน็ เหตุใหญ่โตยง่ิ นัก เหตุการณ์ในครง้ั นัน้ มใิ ชเ่ รือ่ งเจ้า นายพี่นอ้ งชงิ ดชี งิ เด่นหรอื ชงิ ราชสมบตั กิ ัน แตเ่ ปน็ การวางแผนการ ทางทหารโดยคนนอกราชวงศ์ เป็นสามัญชนคนหนุ่มที่ไม่เคยมีมา ก่อนในประวัติศาสตร์ชาติสยาม เป็นสัญลักษณ์ของอรุณรุ่งแห่ง การเมอื งชนิดใหมท่ ี่กว้างขวางออกไปในระดบั ชาติ ทงั้ ยังเร่ิมชช้ี ่อง ทางในการปฏริ ปู อยา่ งรนุ แรง ตลอดจนการเปลยี่ นแปลงระบอบการ ปกครอง หากแต่ยังไม่ชัดเจนนกั กต็ าม แมค้ วามเรือ่ งกบฏน้จี ะมิได้ เผยแพรไ่ ปโดยทนั ที แตข่ า่ วการวางแผนและการจบั กมุ กแ็ พรส่ ะพดั ไปทวั่ พระนครอย่างรวดเร็ว พรอ้ มๆ กบั เสยี งวิพากษว์ จิ ารณต์ ่อทั้ง พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวและรฐั บาล แผนการกบฏ อุดมการณ์ เบอื้ งหลงั ตลอดจนปฏกิ ริ ยิ าทตี่ ามมา ลว้ นเปน็ เรอ่ื งทท่ี า้ ทายพระบาท สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯเปน็ อยา่ งมาก ผลกั ดนั พระองคอ์ ยา่ งรวดเรว็ ให้ต้องทรงบรหิ ารราชการแผ่นดินอย่างเข้มแข็ง และใกล้ชดิ มากยงิ่ ขน้ึ ตลอดชว่ ง พ.ศ. 2454-55 (1912) รชั กาลท่ี 6 ทรงเปลยี่ นแปลง หนว่ ยงานราชการ ทงั้ ยงั เปลยี่ นตวั เสนาบดแี ละขนุ นางบางสว่ น เพอ่ื ตอบสนองต่อประเด็นท่ีกลุ่มกบฏ ร.ศ. 130 หยิบยกขึ้นมา ทรงนำ� พระเจา้ พยี่ าเธอ พระองคเ์ จา้ รพพี ฒั นศกั ดก์ิ ลบั เขา้ มาในคณะรฐั บาล เปน็ เสนาบดกี ระทรวงเกษตราธกิ าร ทรงเลกิ กระทรวงโยธาธกิ ารเสยี ตงั้ กระทรวงคมนาคมขึ้นแทน มหี น้าทีด่ แู ลการรถไฟ ถนนหนทาง และไปรษณีย์โทรเลข โดยมีเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (หม่อม ราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) เป็นเสนาบดี ทรงรื้อฟื้นให้มีกระทรวง 400 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

มรุ ธาธรขนึ้ มาใหม่ โดยมสี มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระ นรศิ รานวุ ดั ตวิ งศเ์ ปน็ เสนาบดี และทรงเรยี กหมอ่ มเจา้ บวรเดช กฤดา กร ซง่ึ เปน็ พระสหายสว่ นพระองค์ และทรงรบั ราชการเปน็ ทตู อยตู่ า่ ง ประเทศ ให้กลับเข้ามารับราชการในกองทัพ เพ่ือกำ�กับดูแลกอง ทหาร โดยเฉพาะในสว่ นทก่ี ลมุ่ กบฏ ร.ศ. 130 วจิ ารณโ์ จมตมี ากทสี่ ดุ นอกจากน้ียังทรงตั้งเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (หม่อม ราชวงศ์ลบ สุทัศน)์ ซ่ึงทรงนบั เป็นพระสหายสนทิ เกา่ แก่ ให้ด�ำ รง ต�ำ แหน่งเสนาบดกี ระทรวงยตุ ธิ รรมอีกดว้ ย การแต่งต้ังเสนาบดีเหล่าน้ีถูกมองว่าเป็นความพยายามของ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าฯ ทีจ่ ะทรงมบี ทบาทโดยตรง ในการ ปกครองแผน่ ดนิ มากยง่ิ ขนึ้ แตใ่ นขณะเดยี วกนั กอ็ าจมองไดว้ า่ เปน็ จุดเร่ิมต้นของการลดบทบาทของกลุ่มเจ้านายให้น้อยลงในคณะ เสนาบดี และเมื่อเวลาผ่านไป ก็ย่ิงมีเจ้านายดำ�รงตำ�แหน่งในคณะ เสนาบดีน้อยลงเร่ือยๆ จนท่ีสุดเหลือแต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมรุ ธา ธร พระเจ้าพย่ี าเธอ กรมพระจนั ทบรุ ีนฤนาถ เสนาบดีกระทรวงพระ คลงั มหาสมบตั ิ และพระเจา้ พย่ี าเธอ พระองคเ์ จา้ รพพี ฒั นศกั ดิ์ เสนาบดี กระทรวงเกษตราธิการเท่าน้ัน เสนาบดีในตำ�แหน่งอื่นๆ ล้วนเป็น เชอื้ พระวงศช์ น้ั หมอ่ มราชวงศ์ ซงึ่ โดยมากอาศยั ทรพั ยส์ มบตั ขิ องวงศ์ สกลุ และสถานะอนั สงู ท�ำ ใหไ้ ดร้ บั การศกึ ษาในทวปี ยโุ รปมากอ่ นแลว้ เพอื่ ลบลา้ งขอ้ ครหาทวี่ า่ ทรงใชจ้ า่ ยเงนิ อยา่ งฟมุ่ เฟอื ย และหา วิธีบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน เพื่อ รองรบั การพฒั นาในอนาคต ในเดอื นมนี าคม พ.ศ. 2454 รชั กาลที่ 6 โปรดฯ ใหต้ งั้ คณะกรรมการตรวจรายรบั รายจา่ ยเงนิ แผน่ ดนิ ประกอบ ด้วย ขา้ ราชการกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ 2 คน และท่ีปรึกษา 8 | กำ�เนดิ ลทั ธิชาตินยิ มชนชัน้ น�ำ 401

ชาวต่างประเทศ 3 คน เพ่อื สรา้ งความเช่อื ม่ันใหแ้ กว่ งการการเงนิ นานาชาติ ที่น่าจะเริ่มวิตกกังวลกับการที่งบประมาณของรัฐบาล สยามใน พ.ศ. 2454-55 (1911-12) ขาดดลุ ไปถึงสองล้านบาท คณะ กรรมการน้ีผลักดันให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติมีอำ�นาจในการ จดั สรร และควบคมุ ดแู ลการใชง้ บประมาณแผน่ ดนิ มากยงิ่ ขนึ้ จนถงึ   พ.ศ. 2456 (1913) รายไดข้ องรฐั จึงกลับมามากกวา่ รายจา่ ยอีกครงั้ หน่งึ แตเ่ รอื่ งทร่ี ชั กาลที่ 6 ทรงกระท�ำ เพอ่ื ตอบโตก้ ารทา้ ทายของกบฏ  ร.ศ. 130 ทท่ี รงพลงั ท่ีสุด และสืบเนือ่ งมาจนสนิ้ รัชกาลนนั้ คอื สงิ่ ท่ี ทุกวันนี้เรียกกันว่า การประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเช่ือ พระ ปรีชาญาณในทางวรรณศิลป์ ตลอดจนพระราชนิยมในศิลปะการ ละครในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯนั้น เป็นท่ีรู้กันมาช้านาน แล้ว แม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีความสน พระทยั ในดา้ นเดยี วกนั หากทรงแสดงพระราชนยิ มนน้ั เปน็ การสว่ น พระองค์ เพอ่ื ความบนั เทงิ ในหมพู่ ระบรมวงศานวุ งศอ์ นั สนทิ เทา่ นน้ั ตา่ งไปจากรัชกาลท่ี 6 ซง่ึ ทรงเหน็ วา่ ศลิ ปะนนั้ คอื ชวี ติ ท้งั ยังเป็น เครอ่ื งมอื ในการรอ้ ยรดั ทวยราษฎรใ์ หม้ วี สิ ยั ทศั นร์ ว่ มกนั ในการพฒั นา โลกน้ใี หด้ ีขึ้นกว่าท่เี ป็นอยู่ เม่อื ยังทรงดำ�รงตำ�แหน่งมกฎุ ราชกุมาร ทรงตง้ั ทวปี ญั ญาสโมสร ขนึ้ ในราชส�ำ นกั มกี ารจดั พมิ พว์ ารสาร และ จัดแสดงละครที่ส่งเสริมค่านิยม ตลอดจนแบบแผนความประพฤติ สมยั ใหม่ และเม่อื เสดจ็ ข้ึนครองราชย์แล้ว กท็ รงพระวิริยะอตุ สาหะ ในการเหล่านี้มากย่ิงขึ้นไปกว่าเดิม โดยมีพระบารมี และพระราช อ�ำ นาจในฐานะพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวชว่ ยเก้อื หนนุ ตลอดชว่ งเวลาสบิ หา้ ปเี ศษแหง่ การครองราชย์ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ มพี ระราชนพิ นธเ์ ผยแพรผ่ ่านส่ิงพิมพ์หลากหลาย รปู แบบ ทั้งวารสาร นิตยสาร หนงั สอื พมิ พ์ ตลอดจนบทละคร โดย 402 ประวตั ศิ าสตร์ไทยฉบบั สังเขป

ใช้พระนามแฝงมากมายน่าพิศวง ท้ังยังมิได้ทรงละท้ิงวรรณศิลป์ อยา่ งไทยประเพณี โดยทรงพระราชนพิ นธบ์ ทละครเรอื่ ง รามเกยี รต์ิ ตอนหนงึ่ ตามแบบอยา่ งที่พระเจา้ แผ่นดินในรัชกาลก่อนๆ ทรงวาง ไว้ นอกจากน้ียังทรงแปลละครภาษาสันสกฤตจากฉบับท่ีแปลเป็น ภาษาอังกฤษแล้วให้เป็นภาษาไทย ทรงพระราชนิพนธ์งานศึกษา วิเคราะห์วรรณคดีแบบไทยประเพณี ทรงนำ�รูปแบบการประพันธ์ บทละครพูดแบบตะวันตกมาสู่วงวรรณศิลป์สยาม อีกทั้งยังทรงยก ระดบั งานประพนั ธแ์ บบรอ้ ยแกว้ โดยเฉพาะความเรยี งวา่ ดว้ ยการเมอื ง การปกครองใหม้ ศี ลิ ปรสอกี ดว้ ย ดว้ ยผลงานพระราชนพิ นธอ์ นั หลาก หลายน้ี พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯทรงย�ำ้ แนวความคดิ ทส่ี �ำ คญั ประการหนง่ึ คอื ความเปน็ สมยั ใหม่ โดยมงุ่ สง่ เสรมิ หรอื แมแ้ ตว่ งิ วอน ใหช้ าวสยามมพี ฤตกิ รรมและวถิ ชี วี ติ อยา่ งเดยี วกบั ผคู้ นทที่ นั สมยั ใน โลกตะวนั ตก ทรงรเิ รม่ิ ขนานนามสกลุ และพระราชทานนามสกลุ นบั ร้อยๆ ให้แก่ตระกูลต่างๆ ทรงเปล่ียนรูปแบบธงสยามจากรูปช้าง เผอื กบนพ้นื แดง เปน็ ธงไตรรงค์สีแดง ขาว และน�ำ้ เงิน ทรงรเิ รม่ิ ให้ มวี ันหยุดราชการ ไดแ้ ก่วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) และวนั จกั รี (6 เมษายน) ทรงส่งเสริมกีฬาท่ีเล่นเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะฟุตบอล ทรงสง่ เสรมิ สถานภาพของสตรี โดยสนบั สนนุ ใหผ้ หู้ ญงิ พบปะสงั สรรค์ กบั ผชู้ าย ทง้ั ยงั ทรงสง่ เสรมิ การมผี วั เดยี วเมยี เดยี วแทนคตนิ ยิ มการ มหี ลายเมียอนั เปน็ ท่ีแพรห่ ลายมาชา้ นาน ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั รัชกาลท่ี 6 ยงั ทรงสง่ เสรมิ การศกึ ษาแผนใหม่ โดยทรงรเิ รมิ่ สถาปนาจฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัยข้ึนใน พ.ศ. 2459 (1916) เพ่ือเป็นพระบรมราชานุ สาวรียเ์ ฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระบรมชนกนาถ และใน พ.ศ. 2464 (1921) ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา มีผลให้เด็กชายหญิงท้ังปวงท่ีมีอายุระหว่าง 7 ถึง 14 ปีต้องเรียน หนงั สอื (แมว้ า่ ในระยะแรก กฎหมายนม้ี ผี ลบงั คบั ใชเ้ พยี งรอ้ ยละ 45 8 | กำ�เนิดลทั ธิชาตนิ ยิ มชนช้ันน�ำ 403

ของพนื้ ทีร่ าชอาณาจักรสยามก็ตาม) แนวพระราชด�ำ ริวา่ ด้วย “ชาตไิ ทย” ในพระบาทสมเดจ็ พระ มงกฎุ เกลา้ ฯ เปน็ สารตั ถะสำ�คญั ทอี่ ยเู่ บอ้ื งหลงั พระราชกรณยี กจิ ทงั้ หลายเหล่านี้ บ้างก็นับแนวพระราชดำ�ริน้ีว่าเป็นแนวความคิด “ชาตนิ ยิ ม” ในแบบของรชั กาลที่ 6 ซงึ่ เราควรแยกแยะใหเ้ หน็ ความ แตกต่าง แนวพระราชดำ�ริว่าด้วยเรื่องชาติน้ันมีองค์ประกอบหลาย สว่ น ทเี่ ราอาจเรยี กไดว้ า่ ชาตนิ ยิ ม ทรงเหน็ วา่ ชาตนิ น้ั เปรยี บประดจุ องค์กรท่ีประกอบขึ้นด้วยผู้คนที่มีเอกลักษณ์และมีจุดประสงค์ร่วม กนั โดยมุ่งประโยชน์สว่ นรวมยงิ่ กวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน ชาตจิ งึ เป็น จุดรวมหลกั ของท้ังเอกลกั ษณ์ส่วนบคุ คลและเอกลกั ษณก์ ลุ่ม ชาติ จงึ มคี า่ ย่งิ ชพี จนคนในชาติสามารถสละชีพใหไ้ ด้ รัชกาลที่ 6 ทรง เล็งเห็นว่า ควรวางกรอบพฤติกรรมและค่านิยมของพลเมืองไปใน ทางท่ียังประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ฉะน้ันบุคคลพึงประกอบกิจ ของตนไปในทางทส่ี ง่ เสรมิ ผลประโยชนข์ องประเทศ นอกจากประเดน็ เร่ืองการป้องกันประเทศ และการทำ�ให้สยามเสมอภาคกับนานา ประเทศ (โดยเฉพาะการยกเลิกสนธิสัญญาท่ีไม่เป็นธรรมท่ียังคง จำ�กัดสยามมใิ หม้ ีอิสรภาพทางการศาล) แลว้ พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าฯ ยังทรงสนับสนุนแนวความคิดเรื่องชาตินิยมในทาง เศรษฐกจิ คอื การปลดแอกเศรษฐกจิ ของชาตสิ ยามจากการควบคมุ ของต่างชาติ และการจำ�กัดอิทธพิ ลของชาวจีนท่ีครอบงำ�เศรษฐกิจ ภายในประเทศ (ในเรอื่ งนท้ี รงพระราชนพิ นธบ์ ทความเรอื่ ง “ยวิ แหง่ บรุ พทศิ ” ซงึ่ ใชถ้ ้อยคำ�อันรุนแรง ปลุกเรา้ ให้ชาวสยามมีบทบาทใน เศรษฐกจิ ของประเทศใหม้ ากยง่ิ ขน้ึ พระราชนพิ นธน์ ไ้ี ดร้ บั แนวความ คิดบางประการจากการต่อต้านชาวยิวในทวปี ยโุ รปในช่วงต้นครสิ ต์ ศตวรรษที่ 20) อย่างไรก็ตาม ส�ำ หรับประเดน็ ทางการเมืองท่ีส�ำ คัญ ท่ีสุด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯกลับทรงมิได้มีความเป็น 404 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยฉบบั สงั เขป

ชาตนิ ยิ ม ในนยิ ามตามความหมายทเ่ี ครง่ ครดั ขอ้ ตา่ งนอ้ี าจดลู ะเอยี ด อ่อน ทวา่ มีความสำ�คญั ยิง่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯทรงเผยแพรค่ �ำ วา่ ชาตไิ ทย ให้ใช้กันแพร่หลาย ชาติไทยตามแนวพระราชดำ�ริน้ันตั้งอยู่บนองค์ ประกอบพนื้ ฐานสามประการ คอื “ชาติ – ศาสนา – พระมหากษตั รยิ ”์ องคส์ ามอนั มหศั จรรยน์ เี้ กยี่ วพนั กนั อยา่ งแนบแนน่ ลกึ ซงึ้ ความภกั ดี ตอ่ องคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหนง่ึ ยอ่ มหมายถงึ ความจงรกั ตอ่ ทงั้ องคส์ าม ในทางกลับกัน การทรยศ ขัดขนื หรือลบหลู่องค์ประกอบ ใดองค์ประกอบหนึง่ ย่อมหมายถึงการดูหมน่ิ ท้ังองค์สามเชน่ กัน (มี การใช้ตรรกะที่ดูชาญฉลาดแต่ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพื่อให้พวก ชนกลุ่มน้อยมุสลิมและคริสเตียนในสยามมีความจงรักภักดีต่อชาติ – ศาสนา – พระมหากษัตริย์ เฉกเช่นชาวสยามพุทธ) นยิ ามของค�ำ วา่ ชาติ ในรปู แบบทว่ี า่ มานี้ มขี อ้ บกพรอ่ งฉกรรจ์ อยปู่ ระการหนงึ่ ซงึ่ เปน็ เครอ่ื งบอ่ นท�ำ ลายตวั มนั เอง กลา่ วคอื โครงสรา้ ง ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ทรงสถาปนาขน้ึ เพอ่ื รองรบั ความ เป็นชาติน้ันมีลักษณะท่ีลดหลั่นเป็นลำ�ดับช้ันอย่างมาก โดยอาศัย ความจงรกั ภกั ดตี อ่ อ�ำ นาจเบอ้ื งบนเหนอื ขน้ึ ไปเปน็ ชน้ั ๆ ในนามแหง่ องคส์ ามทย่ี อดสดุ แหง่ สงั คม อยา่ งไรกด็ ี เราไดเ้ หน็ กนั มาแลว้ วา่ การ เชอ่ื มโยงสถาบนั กษตั รยิ ก์ บั การปฏริ ปู เปลย่ี นแปลงบางประการ ตลอด จนการสร้างสิทธิธรรมให้สถาบันกษัตริย์มีบทบาทนำ�ในการปฏิรูป ประเทศใหท้ นั สมยั ตอ้ งอาศยั ความส�ำ เรจ็ และความกา้ วหนา้ ของการ ปฏริ ปู เหลา่ นี้ และเมอ่ื การท�ำ สยามใหท้ นั สมยั มไิ ดด้ �ำ เนนิ ไปไดร้ วดเรว็ ทันใจราษฎร หรือเม่ือองค์พระประมุขมิได้ทรงบำ�เพ็ญพระราช กรณียกิจไปในทางท่ีราษฎรคาดหวังไว้ ความพยายามในฝ่ายของ ราษฎรทจี่ ะสรา้ งประโยชนใ์ หแ้ ก่ประเทศชาติ ก็อาจท�ำ ใหเ้ กิดความ ขัดแย้งกันกับทั้งโครงสร้างการบริหารราชการ และสถาบันกษัตริย์ 8 | กำ�เนดิ ลทั ธิชาตนิ ิยมชนช้นั น�ำ 405

รชั กาลท่ี 6 ทรงสนบั สนนุ ใหร้ าษฎรขยายเครอื ขา่ ยทางสงั คม ใหเ้ รยี น รทู้ จ่ี ะสมาคมกับคนอน่ื อย่างเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งชัน้ วรรณะ และให้ รู้จักวิธีหาข้อสรุปในเรื่องส่วนรวมท่ีสำ�คัญๆ โดยการตกลงกันอย่าง เอกฉันท์โดยอาศยั เสียงข้างมาก จงึ ทรงสนับสนุนใหต้ ้ังสมาคมและ สโมสรตา่ งๆ ใหม้ กี ารเลือกตัง้ นายก อุปนายก ตลอดจนเลขาธิการ ของสมาคมและสโมสรเหล่าน้นั นอกจากนี้ ยังทรงกระต้นุ ให้มีการ ถกเถียงและอภิปราย ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และในการประชุมใน สถานทส่ี าธารณะ กจิ กรรมทง้ั ปวงนจี้ กั เสรมิ สรา้ งใหเ้ กดิ เจตนารมณ์ และเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขแห่งชาตินั้นเอง อย่างไรก็ดี ในครั้ง นนั้ รัชกาลที่ 6 มไิ ดท้ รงตระหนกั วา่ เป็นไปไม่ไดท้ ีพ่ ระองคเ์ องและ ผสู้ บื ทอดราชบลั ลงั กจ์ ะสามารถสง่ เสรมิ การเปลย่ี นแปลงในทกุ ๆ เรอื่ ง แต่ยกเว้นเฉพาะสถาบนั การเมืองการปกครอง จวบเท่ากัลปาวสาน ฉะนน้ั เมอ่ื “ชาต”ิ ตามนยิ ามในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯนนั้ ไมเ่ ปดิ โอกาสใหม้ กี ารแสดงเจตนารมณท์ างการเมอื งโดยเสรี โดยไม่ แบ่งชนั้ วรรณะ เพ่อื ใหเ้ กิดกิจกรรมทางการเมืองท่ีเสมอภาคกนั จงึ ไมอ่ าจนบั ได้ว่าเป็น “ชาตินิยม” เสียทีเดยี ว อยา่ งไรก็ตาม แนน่ อนว่า ชาติ เป็นเรอ่ื งหมกมุ่นหลกั ของรชั สมยั ดังสะท้อนออกมาในทางดา้ นกิจการทางทหาร อย่างท่ปี รากฏ อยบู่ ่อยๆ แมใ้ นทุกวนั นี้ ในชนั้ ต้นนั้น พวกชนชนั้ นำ�เริ่มออกอาการ ก่อน ในการซ้ือเคร่ืองแบบหรูหราและยุทธภัณฑ์พิสดาร เพ่ือใช้ใน การซ้อมรบเสือป่า ส่วนรุ่นลูกก็เข้าร่วมในกองลูกเสือที่โรงเรียน มี การตอกยำ�้ อยเู่ สมอวา่ ยงั คงมภี ยันตรายใหญ่หลวง เม่ือสยามยังคง สญู เสยี ดนิ แดนใหแ้ กน่ กั ลา่ อาณานคิ มจากโลกตะวนั ตกไปโดยลำ�ดบั จนครง้ั ลา่ สดุ คอื ใน พ.ศ. 2452 (1909) นเ้ี อง พวกเขาจงึ ยงั วติ กกงั วล วา่ องั กฤษและฝรง่ั เศสจะยงั ไมย่ ตุ เิ พยี งแคน่ น้ั จงึ มกี ารรอ้ งขออยเู่ สมอ ใหส้ ละชพี เพอ่ื ชาติ เมอ่ื ถงึ คราวจ�ำ เปน็ และเมอ่ื เกดิ สงครามโลกครงั้ 406 ประวัตศิ าสตรไ์ ทยฉบบั สังเขป

ท่ี 1 ขน้ึ ใน พ.ศ. 2457 (1914) ในชน้ั ตน้ สยามไดป้ ระกาศตวั เปน็ กลาง แม้ว่าองค์พระประมุขจะทรงเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่ แต่ความ รู้สึกว่าสยามมีภยันตรายทางการทหาร ก็มิได้ลดน้อยถอยลงไป พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จงึ ตงั้ พระทยั ขยายแสนยานภุ าพของกอง ทพั โดยการจดั หาเรอื รบหลวงทที่ นั สมยั ใหแ้ กร่ าชนาวสี ยาม ทรงตง้ั ราชนาวสี มาคมแห่งกรงุ สยามข้นึ เพือ่ หาเงนิ ซือ้ เรือรบหลวง (*เรอื หลวงพระร่วง) โดยมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันคร้ังมโหฬาร ขณะเดยี วกนั เมอื่ สงครามในภาคพนื้ ยโุ รปด�ำ เนนิ ไป ความสนใจและ ความนิยมในการทหารก็ทวีสูงข้ึน ทั้งหนังสือพิมพ์และรัฐบาลเร่ิม แสดงความรสู้ ึกเขา้ ข้างฝา่ ยสมั พนั ธมติ รชดั เจนมากยงิ่ ข้ึน ในทสี่ ดุ ใน พ.ศ. 2460 (1917) เมอื่ สหรฐั อเมรกิ าเขา้ รว่ มสงคราม และฝา่ ยสมั พนั ธมติ รพยายามหาแนวรว่ มจากชาตทิ ว่ี างตวั เปน็ กลาง มากยงิ่ ขน้ึ ทางราชส�ำ นกั สยามจงึ เกดิ วติ กกงั วลวา่ หากฝา่ ยสมั พนั ธมติ ร ชนะสงครามแล้ว อาจจะนำ�ประเด็นเรื่องการท่ีสยามประกาศตน เป็นกลางมาใชจ้ ดั การกับประเทศสยามไม่ทางใดก็ทางหนึง่ และถา้ สยามตดั สนิ ใจเขา้ รว่ มกบั ฝา่ ยสมั พนั ธมติ รเสยี ตงั้ แตบ่ ดั นี้ กอ็ าจเปน็ แรงผลักดันเพ่ิมนำ้�หนักให้สยามสามารถเลิกสนธิสัญญาท่ีไม่เป็น ธรรมตา่ งๆ ได้ ในท่ีสดุ ในวันท่ี 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 (1917) รัฐบาลสยามจึงประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำ�นาจกลาง โดยอ้าง ถงึ ความจ�ำ เปน็ ทางศลี ธรรม และเพอื่ เสรมิ สรา้ งภาพลกั ษณข์ องสยาม ใหม่ ประเทศสยามจึงส่งกองทหาร 1,300 นาย ประกอบดว้ ยหน่วย พยาบาล หนว่ ยบนิ และกองยานยนตก์ บั ชา่ งเครอื่ ง ออกเดนิ ทางไป ยงั ประเทศฝรงั่ เศสในเดอื นมถิ ุนายน พ.ศ. 2416 (1918) ซ่งึ นับไดว้ า่ เปน็ การตดั สนิ ใจอนั ชาญฉลาดยง่ิ (จากภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี ง ใต้ มเี พยี งเวยี ดนามอกี ประเทศเดยี วทไี่ ดเ้ ขา้ รว่ มในการมหาสงคราม ครง้ั นน้ั โดยสง่ คนญวน 200,000 คนไปเป็นกุลใี นประเทศฝร่ังเศส) 8 | ก�ำ เนิดลัทธชิ าตินิยมชนช้นั น�ำ 407

แมจ้ ะประกาศอยา่ งเปน็ ทางการวา่ เขา้ รว่ มสงครามโลกครง้ั ที่ 1 โดยเหตุผลทางศีลธรรม เพ่ือชัยชนะของ “สิทธิธรรม” และ “อารยธรรม” ของโลกตะวันตก แต่รัฐบาลสยามอาศัยการเข้าร่วม มหาสงครามครง้ั นน้ั มงุ่ เสาะหาผลประโยชนใ์ นทางการเมอื ง ทง้ั เพอ่ื ชะลอการพง่ึ พาประเทศมหาอำ�นาจอยา่ งองั กฤษซง่ึ ทวมี ากขน้ึ เรอ่ื ยๆ  และเพ่ือกำ�หนดจุดยืนท่ีสยามสามารถใช้ในการต่อรองยกเลิกสนธิ สญั ญาทไ่ี มเ่ ปน็ ธรรมเสยี เพราะการเขา้ รว่ มสงคราม สยามจงึ ไดเ้ ขา้ ร่วมในการประชุมสันติภาพท่ีแวร์ซายส์ คณะผู้แทนจากสยามได้ พยายามชักจูงท่ีประชุมอย่างหนักเพ่ือให้ได้รับอำ�นาจอิสระในการ จดั เกบ็ ภาษอี ากรคนื มา และยกเลกิ สทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขต ตลอด จนข้อจำ�กัดต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในการพิจารณาคดีตามระบบกฎหมาย ของสยาม เพราะสนธสิ ญั ญาเหลา่ นนั้ (*สนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ เมอื่  พ.ศ.  2398 (1855)) ความพยายามในครั้งนั้นไม่ประสบผล เพราะคณะ ผู้แทนชาติสัมพันธมิตรมัวพะวงกับเร่ืองอ่ืนๆ มากกว่า ฉะน้ันคณะ ผแู้ ทนสยาม น�ำ โดยพระองคเ์ จา้ จรญู ศกั ดิ์ กฤดากร อคั รราชทตู สยาม ประจ�ำ กรงุ ปารสี จงึ พยายามคดิ หายทุ ธวธิ ใี นการตอ่ รอง และก�ำ หนด กระบวนการดำ�เนินงานเบ้ืองหลัง เพื่อร่วมกันลบล้างสิทธิที่ชาติ มหาอ�ำ นาจตะวันตกได้มาโดยสนธสิ ญั ญาทไี่ มช่ อบธรรมนนั้ กระบวนการแกไ้ ขในครง้ั นน้ั ยากล�ำ บากและกนิ เวลายาวนาน ตั้งแต่ พ.ศ. 2463-69 (1920-26) ผ่านเสนาบดีกระทรวงการต่าง ประเทศไปถงึ สองสมยั เพราะสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา เทวะวงศ์วโรปการส้นิ พระชนมใ์ น พ.ศ. 2466 (1923) พระโอรส คอื พระวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนเทววงศ์วโรทัย ทรงรับตำ�แหน่งเสนาบดี กระทรวงการต่างประเทศต่อ และดูแลเรื่องน้ีแทน โดยมีที่ปรึกษา ชาวอเมรกิ นั สองทา่ น คอื เอลดอน เจมส์ และ (ตง้ั แต ่ พ.ศ. 2467(1924)) ฟรานซสิ บี.แซยร์ (บตุ รเขยของประธานาธบิ ดวี ูดโรว์ วิลสัน) สหรฐั 408 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยฉบับสงั เขป

อเมริกาจึงเป็นประเทศแรกที่ยอมรับข้อเรียกร้องต่างๆ ของสยาม จนมีการลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2463 (1920) เป็นจุดเรมิ่ ต้นทที่ �ำ ทา่ วา่ จะดี แต่การเจรจาต่อรองดำ�เนินไป อยา่ งล่าช้า เพราะชาติมหาอำ�นาจท้ังหลายตา่ งรอดูท่าทีกนั และกนั อยวู่ า่ จะยอมแกไ้ ขสนธสิ ญั ญามากนอ้ ยเพยี งไร จนในทส่ี ดุ แซยรต์ อ้ ง เขา้ มาจดั การ น�ำ คณะผแู้ ทนชาวสยามเดนิ ทางไปทวั่ ทวปี ยโุ รป เจรจา ต่อรองไปทีละชาติๆ จนในท่ีสุดประเทศฝร่ังเศสก็ยอมตกลงแก้ไข สนธิสัญญาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2467 (*นับศักราชแบบเก่า 1925) ตามมาดว้ ยองั กฤษในเดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2468 (1925) และ ภายในหนง่ึ ปหี ลงั จากนน้ั ประเทศมหาอำ�นาจอนื่ ๆ กแ็ กไ้ ขสนธสิ ญั ญา ในลักษณะเดยี วกัน สนธสิ ญั ญาใหมท่ สี่ �ำ คญั ยง่ิ นม้ี ปี ระเดน็ หลกั สองประการ ประการ แรก ว่าดว้ ยเรอื่ งสทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขต ก�ำ หนดให้ชาวตา่ งชาติ ตอ้ งอยภู่ ายใตเ้ ขตอ�ำ นาจทางการศาลและกฎหมายของสยาม เมอื่ มี การประกาศใช้ประมวลกฎหมายใหม่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว กงสุล ต่างชาติสามารถอ้างสิทธิในการเลือกใช้กระบวนการยุติธรรมของ ประเทศตน ส�ำ หรับคดคี วามทคี่ นในบังคับของตนเปน็ จ�ำ เลยไดเ้ ปน็ เวลาอีกเพียงห้าปีเท่าน้ัน ประการที่สอง เมื่อการแก้ไขสนธิสัญญา ในช่วง พ.ศ. 2463-69 (1920-26) ลุล่วงไปแล้ว สยามจักได้รับ อสิ รภาพในการเกบ็ ภาษอี ากรโดยสมบรู ณ์ เวน้ เพยี งบางกรณเี ทา่ นน้ั เชน่ ในกรณขี ององั กฤษ ทสี่ ยามสามารถเกบ็ ภาษขี าเขา้ ส�ำ หรบั สนิ คา้ ประเภทผา้ ฝา้ ย เหลก็ กล้า และเครอ่ื งจกั ร ได้เพียงร้อยละ 5 เปน็ ระยะเวลาสบิ ปี ในทีส่ ุด การต่อสู้อนั ยาวนานก็ยุตลิ ง โดยสยามเปน็ ฝ่ายชนะ และไดร้ ับอ�ำ นาจอธิปไตยคนื มาโดยสมบรู ณ์ อยา่ งไรกด็ ี ปญั หาวา่ ใครควรเปน็ ผบู้ รหิ ารอ�ำ นาจอธปิ ไตยนน้ั และบรหิ ารอยา่ งไร กท็ วคี วามส�ำ คญั มากยง่ิ ขน้ึ ทกุ ขณะ ไดเ้ กดิ กรณี 8 | ก�ำ เนดิ ลัทธชิ าตินยิ มชนชัน้ นำ� 409


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook