พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) (ชําระ-เพ่มิ เตมิ ชวงที่ ๑)
พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศัพท © พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ISBN 974-575-029-8 พมิ พคร้งั ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ จํานวน ๑,๕๐๐ เลม – งานพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลัดสมยั กิตตฺ ิทตฺโต เจาอาวาสพระพิเรนทร พิมพครงั้ ท่ี ๒ (เพ่มิ ศพั ทและปรบั ปรงุ ) พ.ศ. ๒๕๒๗ จํานวน ๙,๔๐๐ เลม พมิ พค ร้งั ที่ ๓ (เพม่ิ ภาคผนวก) พ.ศ. ๒๕๒๘ จาํ นวน ๕,๐๐๐ เลม – พิมพถ วายมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย โดย “ทุนพมิ พพ จนานกุ รมพุทธศาสน” พมิ พครง้ั ท่ี ๔–๙ พ.ศ. ๒๕๓๑–๒๕๔๓ จํานวน ๓๑,๕๐๐ เลม พิมพครงั้ ท่ี ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ (จัดเรยี งพมิ พใ หมด วยระบบคอมพวิ เตอร) ขนาดตวั อักษรธรรมดา ๕,๐๐๐ เลม และขนาดตวั อกั ษรใหญ ๕,๐๐๐ เลม พิมพครั้งท่ี ๑๑ - มีนาคม ๒๕๕๐ (ชําระ-เพ่ิมเตมิ ชวงท่ี ๑) – คณะผศู รทั ธารวมกันจัดพมิ พเ ปน ธรรมทาน จาํ นวน ๕,๐๐๐ เลม พมิ พท่ี
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท © พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ISBN 974-575-029-8 พมิ พครง้ั ที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ จาํ นวน ๑,๕๐๐ เลม – งานพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลัดสมยั กิตฺตทิ ตฺโต เจาอาวาสพระพิเรนทร พิมพคร้ังที่ ๒ (เพ่มิ ศพั ทและปรับปรงุ ) พ.ศ. ๒๕๒๗ จํานวน ๙,๔๐๐ เลม พมิ พค ร้ังที่ ๓ (เพิม่ ภาคผนวก) พ.ศ. ๒๕๒๘ จํานวน ๕,๐๐๐ เลม – พิมพถ วายมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั โดย “ทนุ พิมพพ จนานกุ รมพุทธศาสน” พมิ พครงั้ ที่ ๔–๙ พ.ศ. ๒๕๓๑–๒๕๔๓ จาํ นวน ๓๑,๕๐๐ เลม พิมพครัง้ ที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ (จัดเรยี งพิมพใหมด วยระบบคอมพิวเตอร) ขนาดตัวอักษรธรรมดา ๕,๐๐๐ เลม และขนาดตัวอกั ษรใหญ ๕,๐๐๐ เลม พิมพคร้ังท่ี ๑๑ - มีนาคม ๒๕๕๐ มิถุนายน ๒๕๕๑ (ชําระ-เพิม่ เตมิ ชวงท่ี ๑) – คณะผศู รัทธารวมกันจดั พมิ พเ ปน ธรรมทาน จํานวน ๕,๐๐๐ เลม พมิ พท่ี
บนั ทกึ ในการชําระ-เพม่ิ เติม ชว งท่ี ๑: ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๐ ก) งานในโครงการ แตชะงัก-หาย ยอนหลงั ไปถึง พ.ศ.๒๕๐๖ เม่ือหนังสือ Student’s Thai–Pali–English Dictionary of Buddhist Terms เลมเลก็ ๆ เสรจ็ แลว ผูจดั ทําหนังสอื นี้ กไ็ ดเ รม่ิ งานพจนานกุ รมพระพทุ ธศาสนา งานคางที่ ๑: เริ่มแรก คิดจะทําพจนานุกรมพระพุทธศาสนาเชิงสารานุกรม ฉบับที่คอนขาง สมบูรณเ ลยทเี ดียว มที ัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเขยี นแยกเปน ๒ คอลมั น ซา ย-พากยไ ทย และ ขวา-พากยอังกฤษ เร่ิม ๒๙ ก.ย. ๒๕๐๖ ถึง ๑๒ พ.ย. ๒๕๐๗ จบอักษร “บ” (ยังคางชําระ บางคํา) ตองเขารับงานท่ีมหาจุฬาฯ แลวยงุ กับงานท่นี น่ั จนงานพจนานุกรมชะงกั แลว หยดุ ไปเลย งานคางที่ ๒: เม่ือเหน็ วายากจะมโี อกาสทาํ งานคา งนั้นตอ จงึ คิดใหมว าจะทําฉบับที่มีเพยี งพากย ไทย อยา งยนยอ โดยมีภาษาอังกฤษเฉพาะคาํ แปลศพั ทใ สว งเล็บหอยทายไว แลว เร่มิ งานใน พ.ศ.- --- แตง านที่มหาจฬุ าฯ มาก พอทําจบ “ต” ก็ตองหยุด (ตน ฉบับงานชดุ นี้ท้ังหมดหายไปแลว ) (ระหวางนัน้ ในป ๒๕๑๕ โดยคํานมิ นตของทานเจา คุณเทพกิตติโสภณ ครัง้ ยังเปนพระมหา สมบูรณ สมปฺ ุณฺโณ ตกลงทาํ ประมวลหมวดธรรมออกมาใชก ันไปพลางกอน ทําใหเ กิดพจนานกุ รม พทุ ธศาสตร [ตอ มาเตมิ คาํ วา ประมวลธรรม] เสรจ็ เปน เลม ใน พ.ศ. ๒๕๑๘) งานคางท่ี ๓: ใน พ.ศ.๒๕๑๙ ไปเปนวิทยากรที่ Swarthmore College เมอื่ กลบั มาในป ๒๕๒๑ ตง้ั ใจหยดุ งานอนื่ ทง้ั หมดเพอ่ื จดั ทาํ สารานกุ รมพทุ ธศาสนา โดยเรมิ่ ตน ใหม ทาํ เฉพาะพากยภ าษาไทย มี ภาษาองั กฤษเพยี งคาํ แปลศพั ทใ นวงเลบ็ หอ ยทา ย พอใกลส นิ้ ป ๒๕๒๑ กจ็ บ “ก” รวมได ๑๐๕ หนา กระดาษพมิ พดีด และขึน้ “ข” ไปไดเ ล็กนอ ย แลว หันไปทําคาํ เกยี่ วกับประวตั ิเสร็จไปอีก ๘๐ หนา ตน ป ๒๕๒๒ นน้ั เอง ศาสตราจารย ดร. ระวี ภาวิไล จะพมิ พ พทุ ธธรรม ไดขอเวลาทานเพือ่ เขยี นเพ่มิ เติม แลว การไปบรรยายท่ี Harvard University มาแทรก กวาจะเติมและพิมพเ สรจ็ สน้ิ เวลา ๓ ป งานทาํ พจนานุกรม-สารานกุ รมเปน อันหยดุ ระงับไป จากนนั้ งานดา นอน่ื เพ่มิ ขึ้นตลอดมา ข) งานใหมนอกสาย แตเ สรจ็ : พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท ๑. ยคุ พมิ พระบบเกา ตน ป ๒๕๒๒ นนั้ แหละ เมอ่ื เห็นวาคงไมมีโอกาสฟนงานท่คี า ง ก็นกึ ถึงหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย (สาํ หรบั วชิ าใหมใ นหลกั สตู รนกั ธรรม) ท่มี หาจฬุ าฯ พิมพออกมาใน พ.ศ.๒๕๐๓ ซง่ึ แทบจะยงั ไมทนั ไดเ ผยแพร วิชาใหมน น้ั กถ็ กู ยกเลกิ เสยี จึงพบหนงั สือชุดนั้นเหลอื คา งถูกทอดทงิ้ อยูมากมาย เห็นวา มขี อ มูลพอจะทําเปน พจนานุกรมเบ้อื งตนได อยางนอยหวั ศัพทท่ีมอี ยูก็จะทุน แรงทุนเวลาในการเกบ็ ศพั ทไ ปไดม าก จงึ ตกลงทํางานใหมช ิ้นทีง่ า ยและรวบรดั โดยนาํ หนงั สอื ชดุ นนั้ ทงั้ ๓ เลม รวม ๙ ภาค (ศพั ท น.ธ.ตร–ี โท–เอก ชนั้ ละ ๓ วชิ า จงึ มชี นั้ ละ ๓ ภาค) มาจดั เรยี งเปน
ข พจนานกุ รมเบอื้ งตน เลม เดยี ว พมิ พอ อกมากอ น ในงานพระราชทานเพลงิ ศพทา นอาจารยพ ระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต เรยี กชอื่ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู นกั เรยี น นกั ธรรม (เปลยี่ นเปน ชอ่ื ปจ จบุ นั วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท เมอ่ื พมิ พค รงั้ ท่ี๒ พ.ศ.๒๕๒๗) หนงั สอื ใหมเ ลม นไี้ มเ กยี่ วขอ งกบั งานทที่ าํ มาแลว แตอ ยา งใด งานเกา ทที่ าํ คา งไวท งั้ หมดถกู พกั เกบ็ เฉยไว เพราะในกรณนี ี้ มงุ สาํ หรบั ผเู รยี นขน้ั ตน โดยเฉพาะนกั เรยี นนกั ธรรม ตอ งการเพยี งศพั ท พ้ืนๆ และความหมายสั้นๆ งายๆ จึงคงขอมูลสวนใหญไวตามหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทยนั้น โดยแกไ ขปรับปรุงอธบิ ายเพิ่มหรือเขียนขยายบา งเพียงบางคํา และเตมิ ศัพทนักธรรมทตี่ กหลน และ ศพั ทท ว่ั ไปอนั ควรรูที่ยังไมมี เขามาบาง รวมแลว เปนขอมลู ของเกา กบั ของใหมราวครง่ึ ตอครงึ่ หลังจากพิมพออกมาแลว พจนานุกรมเลมนี้ก็มีชะตากรรมท่ีขึ้นตอระบบการพิมพยุคน้ัน โดยเฉพาะตนแบบซ่ึงอยูในแผน กระดาษท่ตี ายตวั แทบปรบั เปล่ียนอะไรไมไ ดเลย การพิมพครั้ง ตอๆ มา ตองพิมพซํา้ ตามตนแบบเดิม ถา จาํ เปนตองแกไ ข ก็แกไดเพียง ๔–๕ บรรทัด ย่ิงตอมา แผนกระดาษตนแบบก็ผเุ ปอ ย โดยเฉพาะพจนานกุ รมนี้ ตนแบบทีท่ ําข้ึนใหมใ นการพิมพค รัง้ ท่ี ๒ ไดสญู หายไปตั้งแตพมิ พเ สร็จ การพมิ พตอน้ันมาตอ งใชว ิธถี ายภาพจากหนังสอื ที่พิมพครั้งกอ นๆ แตก ระนัน้ พจนานุกรมนี้ยงั มศี พั ทแ ละคาํ อธบิ ายท่ีจะตองเพม่ิ อีกมาก เมื่อแกไขของเดมิ ไม ได พอถงึ ป ๒๕๒๘ จะพิมพครง้ั ที่ ๓ จึงใสส ว นเพ่มิ เขา มาตา งหากตอทายเลมเปน “ภาคผนวก” (มี ศพั ทต ง้ั หรือหัวศัพทเ พม่ิ ๑๒๔ ศัพท รวม ๒๔ หนา) จากนั้นมา ก็ไดแคพ ิมพซ ํ้าเดมิ อยา งเดยี ว ๒. เขาสยู ุคขอมลู คอมพวิ เตอร เมอ่ื เวลาผา นมาถงึ ยคุ คอมพวิ เตอร กม็ องเหน็ ทางวา จะแกไ ข–ปรบั ปรงุ –เพมิ่ เตมิ พจนานกุ รม นไ้ี ด แตก ต็ อ งรอจดุ ตงั้ ตน ใหม คอื พมิ พข อ มลู พจนานกุ รมในเลม หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอร แมจะตองใชเวลาและแรงงานมาก ก็มีทานท่ีสมัครใจเสียสละ ไดพิมพขอมูลหนังสือ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ลงในคอมพวิ เตอร โดยมไิ ดน ดั หมายกนั เทา ทที่ ราบ ๔ ชดุ เรมิ่ ดว ยพระมหาเจมิ สวุ โจ แหง มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ทที่ าํ งานอยหู ลายปจ นเตรยี มขอมลู เสร็จแลวมอบมาใหเ มื่อวนั ท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ แลวก็มชี ุดของผอู ่ืนตามมาอกี ทงั้ ทมี่ ขี อ มลู ในคอมพวิ เตอรแลว ผจู ดั ทาํ เองกไ็ มม เี วลาตรวจ เวลาผา นมาจนกระทง่ั รศ. ดร. สมศลี ฌานวงั ศะ ราชบณั ฑติ (มบี ตุ รหญงิ –ชาย คอื น.ส.ภาวนา ตง้ั แตย งั เปน ด.ญ.ภาวนา ฌานวงั ศะ และนอ งชาย คอื นายปญ ญา ตงั้ แตย งั เปน ด.ช.ปญ ญา ฌานวงั ศะ เปน ผชู ว ยพมิ พข อ มลู ) นอกจาก พิมพข อ มลู หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอรแ ลว ยังชวยรับภาระในการพิสูจนอ กั ษร (ตรวจปรฟู ) ตลอดเลม นอกจากตรวจเองแลว ก็ยังหาพระชว ยตรวจทานอกี ใหแนใ จวาขอ มูลใหมใ นระบบคอมพวิ เตอรน ี้ ตรงกบั ขอมูลเดมิ ในเลมหนังสอื แลว ในทีส่ ุด พจนานุกรมนก้ี พ็ ิมพเ สร็จออกมาใน พ.ศ. ๒๕๔๖ เน่อื งจากผูจดั ทําเองยงั ไมมเี วลาแมแ ตจะตรวจปรฟู พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวล ศพั ท พิมพค รัง้ ที่ ๑๐ ทเ่ี สรจ็ ออกมาใน พ.ศ. ๒๕๔๖ ซงึ่ เปนครั้งแรกท่ีใชขอมูลในระบบคอมพิวเตอร จงึ มหี ลกั การทัว่ ไปวา ใหค งเนอื้ หาไวอ ยา งเดมิ ตามฉบบั เรยี งพมิ พเ กา ยงั ไมป รบั ปรงุ หรอื เพม่ิ เตมิ
ค ค) งานเร่มิ เขาทาง: ชาํ ระ-เพ่ิมเติม ชวงท่ี ๑ ๑. ผานไป ๒๘ ป จึงถึงทชี ําระ-เพิ่มเติม ชว งท่ี ๑ บัดน้ี เวลาผานไป ๒๘ ปแลว นบั แตพมิ พ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ออก มาครัง้ แรก ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ขอมลู สวนใหญในพจนานกุ รมน้นั ยังเปนขอมูลพนื้ ฐานทต่ี ั้งใจวา จะ ชาํ ระ-เพมิ่ เติม แตก ข็ ดั ขอ งตลอดมา ในชว ง ๒๔ ปแ รก ตดิ ขดั ดว ยระบบการพมิ พไ มเ ออ้ื แลว ความบบี คนั้ ดา นเวลากซ็ า้ํ เขา ไป สว น ในชว ง ๔ ปท ชี่ ดิ ใกลน ้ี ทงั้ ทม่ี ขี อ มลู สะดวกใชอ ยใู นคอมพวิ เตอร กต็ ดิ ขดั ดว ยขาดเวลาและโอกาส จนมาถึงขน้ึ ปใ หม ๒๕๕๐ น้ี เมอ่ื หาโอกาสปลกี ตวั จากวดั พอดโี รคทางเดนิ หายใจกาํ เรบิ ขนึ้ อกี คออกั เสบลงไปถงึ สายเสยี ง พดู ยากลาํ บาก ตอ ดว ยกลา มเนอื้ ยดึ สายเสยี งอกั เสบ โรคยดื เยอ้ื เกนิ ๒ เดอื น ไดไ ปพกั รกั ษาตวั ในชนบทนานหนอ ย เปน โอกาสใหไ ดเ รม่ิ งานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ พจนานกุ รม แตใ นขน้ั นี้ เรง ทาํ เฉพาะสว นรบี ดว นและสว นทพี่ บเฉพาะหนา ใหเ สรจ็ ไปชนั้ หนง่ึ กอ น เรยี กวา “งานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชว งที่ ๑” คดิ วา ลลุ ว งไปไดท หี นงึ่ ทปี่ ด งานจดั ใหพ รอ มจะเขา โรงพมิ พไ ดท นั กอ นโรคจะหาย ๒. อะไรมากบั และจะมาตาม การชําระ-เพ่ิมเตมิ ชว งที่ ๑ งานชําระ-เพมิ่ เตมิ น้ี คอื การทาํ ให พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท มคี ณุ สมบตั ิ เตม็ ตามความมุงหมาย เพราะหนังสือท่ีพิมพเร่ือยมานัน้ จัดทําข้นึ อยา งรวบรัดเพื่อพอใชไ ปพลาง กอน เพยี งเปนขอมูลพน้ื ฐานอยางท่ีกลาวแลว (มีบา งบางคําทีม่ โี อกาสขยายความไปกอนแลว ) เนอื่ งจากตระหนักวา จะไมมโี อกาสทํางานชาํ ระ-เพมิ่ เติมอยางตอเน่ืองใหเสร็จสิ้นไปในคราว เดียว จึงกะวาจะแบง งานน้เี ปน ๓ ชวง คอื การชําระ-เพ่ิมเติม ชว งที่ ๑: แกไขปรับปรงุ ขอ ขาดตกบกพรองที่พบเฉพาะหนา โดยเฉพาะ สวนหลงตาท่ีบังเอิญพบ และเพม่ิ เตมิ คําศพั ทและคําอธบิ ายท่รี บี ดว น หรอื บังเอิญนึกได การชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชว งที่ ๒: อา น-ตรวจตลอดเลม เพ่อื จะไดมองเหน็ จุดและแงท่ีจะแกไข- ปรับปรุง-เพม่ิ เติมทั่วท้ังหมด พรอมทงั้ เพิ่มเตมิ คาํ ศพั ท ทง้ั ท่ตี นเองเตรยี มไวสําหรบั งานคางยุคเกา และบนั ทกึ ไวร ะหวา งใชพ จนานกุ รมนี้ และทท่ี า นผใู ชไ ดม นี า้ํ ใจบนั ทกึ คาํ ซง่ึ คน ไมพ บแลว รวบรวมสง มา การชาํ ระ-เพ่ิมเติม ชว งที่ ๓: มงุ ทก่ี ารจดั ระบบ เพอ่ื ใหส ม่าํ เสมอ กลมกลืน เปน แบบแผนอัน เดียวกนั และทั่วกัน เชน จะมคี าํ อา น บอกทมี่ าในคมั ภีร มที ่ีมาหรอื คําเดิมในภาษาบาลีและสนั สกฤต และถา เปน ไปได บอกคาํ แปลภาษาองั กฤษของศพั ทต ง้ั หรอื หวั ศพั ท พรอ มทง้ั แผนทแี่ ละภาพประกอบ อยา งไรกด็ ี เมอ่ื ตกลงยตุ งิ านชว งที่ ๑ วา พอเทา นก้ี อ น (๑๖ ม.ี ค. ๒๕๕๐) พอดไี ดอ า นจดหมาย ของพระมหานิยม สลี สวํ โร (เสนารินทร) ท่ีสง มาตัง้ แต ๑๘ พ.ย. ๒๕๔๗ ก็มองเหน็ วา ทา นแจง คํา ผิด-ตก ท่สี าํ คญั แมจ ะมากแหง กใ็ ชเวลาแกไขไมมาก จงึ ทาํ ใหเสร็จไปดว ยในคราวนี้ รวมเพมิ่ ท่ีแก ไขอกี ราว ๕๐ แหง อีกทัง้ ไดเ หน็ ชัดวา ดว ยฉันทะของทานเอง พระมหานิยมตรวจพจนานกุ รม โดย เทียบกบั เลม เดิมที่เปนตน ฉบบั ไปดว ยน้ี ทา นใชเวลาอา นจรงิ จงั ละเอยี ด จนทาํ ใหค ิดวา ในการ ชําระ-เพิม่ เตมิ ชว งที่ ๒ ทจ่ี ะอา นแบบตรวจปรฟู ตลอดดว ยนัน้ งานสว นนีค้ งเบาลงมาก จะไดมงุ ไป
ง ท่ีงานเพม่ิ เตมิ -ปรบั ปรงุ ทวั่ ไป จงึ ขออนโุ มทนาพระมหานยิ ม สลี สวํ โร ไว ณ ทนี่ ี้ พอจะปด งาน หนั มาดรู ายการศพั ท ๒๘ คาํ ทพี่ ระธรรมรกั ษาแจง มาแต ก.ค.๒๕๒๙ วา ไมพ บ ในพจนานกุ รมฯ เปน ศพั ทใ นอรรถกถาชาดกแทบทงั้ นนั้ เหน็ วา นา จะทาํ ใหเ สรจ็ ไปดว ยเลย จงึ ตดั คาํ นอกขอบเขตออกไป ๖ แลว แถมเองอกี ราว ๒๐ ใชเ วลาคน -เขยี นจนเสรจ็ อกี ๔ วนั (ของพระมหานยิ ม ราว ๕๐ ศพั ท ทา นตรวจใชเ วลามากมาย แตเ พยี งแกค าํ ผดิ -ตก ๖.๔๐ ชม. กเ็ สรจ็ สว นของพระธรรม- รกั ษา แจง ทไ่ี มเ จอ แมน อ ยคาํ แตต อ งเขยี นเพม่ิ ใหม จงึ ใชเ วลามาก) ขออนโุ มทนาพระธรรมรกั ษาดว ย ๓. การชําระ-เพ่ิมเตมิ ชว งท่ี ๑ ทําใหมีความเปล่ยี นแปลงอะไร การชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชว งท่ี ๑ น้ี ไดท ําให พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท มีศัพท ต้ังที่เพ่ิมข้นึ และท่ีมีความเปลย่ี นแปลงราว ๓๑๗ หวั ศัพท (ไมน ับการแกค าํ ผิด-ตก ที่พระมหานพิ นธ ชวยแจงมา อีกราว ๕๐ แหง ) หวั ศพั ท ที่มีการปรับแก และที่เพิ่มใหม มี ตัวอยาง ดังน้ี กัป,กลั ป กริ ิยา กเิ ลสพันหา คงคา คณาจารย เคร่อื งราง ชมุ นุมเทวดา ตัณหา ๑๐๘ ทกั ขิณาบถ นัมมทา บริขาร บุพการ ทีฆนขสูตร ธรรมราชา ธญั ชาติ ปริตร,ปรติ ต ปญญา ๓ พรหมจรรย มานะ ยถากรรม ยมนุ า บพุ นมิ ติ แหง มรรค ปกตัตตะ ปปญจะ สรภู สังคายนา สจั กริ ิยา หนี ยาน อจิรวดี อธษิ ฐาน มหานที ๕ มหายาน มาตรา อาภัพ อายุ อายุสงั ขาร โยนก โวการ (เชน จตโุ วการ) สมานฉนั ท สจั จาธิฏฐาน สีหนาท สุตะ อธษิ ฐานธรรม อภสิ มั พทุ ธคาถา อโศกมหาราช อาสภวิ าจา อตุ ราบถ อุทยาน การชําระ-เพมิ่ เตมิ นี้ ทําให พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท มลี ักษณะคบื เคลื่อน เขา ไปใกลง านคางที่ ๓ ซึ่งไดห ยดุ ลงเมือ่ ใกลส ิน้ ป ๒๕๒๑ เชน คาํ “กัป, กัลป” ในการพมิ พคร้ัง ที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ มคี าํ อธบิ าย ๑๒ บรรทดั แตใ นฉบับชําระ-เพิม่ เตมิ ชวงท่ี ๑ นี้ ขยายเปน ๑๑๓ บรรทดั เมอื่ นําไปเทียบกบั ฉบบั งานคา งท่ี ๓ นัน้ (ในการเขยี นขยายคราวน้ี ไมไดหนั ไปดู งานคา งนน้ั เลย) ปรากฏวา คาํ อธิบายในฉบับชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชวงท่ี ๑ น้ี ยงั สั้นกวา เกาเกอื บคร่งึ หนึ่ง ถา ตอ งการมองใหช ดั วางานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ มีลกั ษณะอยา งไร จะดูไดง ายทคี่ ําตวั อยา งขา งบน นั้น เฉพาะอยา งยงิ่ คําวา กัป, กลั ป; กเิ ลสพันหา ; เครื่องราง; ชาดก; ทักขิณาบถ; นมั มทา; บรขิ าร; ปริตร,ปริตต; มานะ; ยถากรรม; สจั กริ ยิ า; อธิษฐาน; อายุ บดั นี้ งานชาํ ระ-เพมิ่ เตมิ ชว งที่ ๑ ไดเ สร็จส้นิ แลว โดยกาํ หนดเอาเองวาเพยี งเทาน้ี แตงาน ชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชว งที่ ๒ และ ๓ ซึง่ รอขางหนา มมี ากกวา และไมอ าจกําหนดวา จะเสรจ็ เมื่อใด หาก ไมนริ าศ-ไมไ ดโอกาสจากโรค ก็กลาวไดเพยี งวา อยใู นความต้งั ใจทจี่ ะทําตอไป พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๗ มนี าคม ๒๕๕๐
คาํ ปรารภ (ในการพิมพครั้งที่ ๑๐) เมือ่ กลาวถึง พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท หลายทา นนึกถงึ พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม ดว ย โดยเขาใจวาเปนหนังสอื ชดุ ทีม่ ีสองเลมรวมกัน แตแ ทจริงเปน หนังสือที่เกิดขึ้นตาง หากกัน ตางคราวตา งวาระ และมคี วามเปนมาที่ทง้ั ตา งหากจากกัน และตางแบบตา งลักษณะกนั ก. ความเปน มา ชว งท่ี ๑: งานสาํ เร็จ แตขยายไมได พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม เปน หนังสือทค่ี อ ยๆ กอตวั ขนึ้ ทีละนอ ย เรม่ิ จากหนงั สือ Student’s Thai–Pali–English Dictionary of Buddhist Terms เลมเล็กๆ ท่จี ดั ทําเสร็จใน พ.ศ. ๒๕๐๖ ตอแตน้ันก็ไดปรับปรุง–เพ่ิมเติม–ขยายขนาดข้ึนเร่ือยๆ และไดขยายขอบเขตออกไปจนกลายเปนงานท่ีมี ลกั ษณะเปน สารานุกรม เมือ่ เวลาผานไปๆ ก็มองเหน็ วา งานทําสารานกุ รมจะกินเวลายืดเยื้อยาวนานมาก ยง่ิ มงี านอ่ืนแทรกเขา มาบอยๆ กย็ ่งิ ยากทจ่ี ะมองเหน็ ความจบส้ิน ในทีส่ ุดจงึ ตกลงวาควรทาํ พจนานุกรมขนาดยอมๆ ขน้ั พื้นฐาน ออกมากอน และไดร วบรวมคัดเลือกหมวดธรรมมาจัดทาํ คําอธบิ ายขึ้น ซ่งึ ไดบรรจบรวมกับหนังสือเลม เลก็ เดิมท่สี ืบมาแต พ.ศ. ๒๕๐๖ กลายเปน ภาคหนึง่ ๆ ใน ๓ ภาคของหนงั สือทีร่ วมเปนเลม เดียวกนั อันมีชอ่ื วา พจนานุกรมพุทธศาสตร เมือ่ พ.ศ. ๒๕๑๕ กาลลว งมาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๘ พจนานกุ รมพุทธศาสตร ซงึ่ พิมพครงั้ ท่ี ๔ จึงมชี ่อื ปจ จุบนั วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม เพือ่ ใหเ ขา คกู ับพจนานกุ รมอีกเลม หน่ึงท่ีเปลย่ี นจากช่อื เดิมมา เปน พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท ถงึ วาระน้ี พจนานุกรมสองเลม น้จี งึ เสมอื นเปน หนังสือทรี่ วมกนั เปน ชดุ อันเดยี ว พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ท่ีวา นั้น เปนหนงั สอื ท่เี กิดขน้ึ แบบทง้ั เลมฉับพลันทันที โดยแทรกตัวเขา มาใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ระหวางทีง่ านทาํ พจนานกุ รมซ่ึงขยายขอบเขตออกไปจนจะเปนสารานุกรม น้ัน กาํ ลงั ดาํ เนนิ อยู เนื่องจากผูรวบรวมเรียบเรียงเห็นวางานทําสารานุกรม คงจะกินเวลายืดเย้ือไปอีกนาน และ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทที่ าํ เสรจ็ ไปแลว กม็ เี ฉพาะดา นหลกั ธรรมซง่ึ จดั เรยี งตามลาํ ดบั หมวดธรรม ควรจะมี พจนานกุ รมเลม เลก็ ๆ งา ยๆ วาดวยพระพุทธศาสนาทั่วๆ ไป แบบเรียงตามลาํ ดบั อกั ษร ทพ่ี อใชป ระโยชนพ น้ื ๆ สาํ หรบั ผเู ลา เรยี นในขน้ั ตน โดยเฉพาะนกั เรยี นนกั ธรรม ออกมากอ น พรอมน้ันก็พอดีประจวบเหตุผลอีกอยา งหนง่ึ มาหนุน คือ ไดเห็นหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย สาํ หรบั นกั ธรรม ชนั้ ตรี ชน้ั โท และชนั้ เอก ท่ีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั จัดพิมพอ อกมาใน พ.ศ. ๒๕๐๓ เหลืออยูจํานวนมากมาย และดูเหมือนวา ไมมใี ครเอาใจใส หนงั สือ ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ชดุ นน้ั ทาง มจร. จดั พิมพข ้นึ มาเพอ่ื สนองความตอ งการของ นกั เรยี นนักธรรมทจี่ ะตองสอบวิชาใหมซึ่งเพม่ิ เขามาในหลกั สูตร คอื วชิ าภาษาไทย แตแ ทบจะยังไมทนั ไดเผย แพรอ อกไป วชิ าภาษาไทยนน้ั ก็ไดถ ูกยกเลกิ เสยี หนงั สอื ชดุ นัน้ จึงถกู ทอดท้ิง ไดม องเหน็ วา หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย นนั้ ไมค วรจะถกู ทง้ิ ไปเสยี เปลา ถา นาํ มาจดั เรยี งใหมใ นรปู พจนานกุ รม กจ็ ะใชป ระโยชนไ ด อยา งนอ ยศพั ทต งั้ หรอื หวั ศพั ทท ม่ี อี ยกู จ็ ะทนุ แรงทนุ เวลาในการเกบ็ ศพั ทเ ปน อนั มาก
ฉ โดยนยั น้ี กไ็ ดน าํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ชดุ นน้ั ทงั้ ๙ ภาค (ศพั ทส าํ หรบั นกั ธรรมตร–ี โท–เอก ชนั้ ละ ๓ วิชา จงึ มชี ั้นละ ๓ ภาค พิมพรวมเปนชนั้ ละเลม) มาจดั เรยี บเรยี งเปนพจนานุกรมเลม เดยี ว ดงั ไดเลา ไวแ ลวใน “แถลงการจดั ทําหนงั สือ ประกาศพระคณุ ขอบคณุ และอนโุ มทนา (ในการพิมพครัง้ ที่ ๑)” ศพั ทจ ํานวนมากทเี ดยี ว ท่งี า ยๆ พ้นื ๆ และตองการเพียงความหมายสั้นๆ หรือคาํ อธิบายเพยี งเลก็ นอย ไดคงไวต ามเดิมบา ง แกไขปรับปรุงบา ง สว นศัพทท ต่ี องการคาํ อธิบายยาวๆ กเ็ ขยี นขยาย และศัพท สําหรับการเรียนนักธรรมท่ีตกหลนหรอื ศัพททัว่ ไปอันควรรูท่ยี งั ไมม ี ก็เตมิ เขา มา รวมเปน ของเกากับของใหม ประมาณครง่ึ ตอคร่ึง จงึ เกดิ เปน พจนานกุ รม ซง่ึ ในการพมิ พค รงั้ แรก พ.ศ. ๒๕๒๒ เรยี กชอ่ื วา พจนานกุ รม พทุ ธศาสน ฉบับครู นักเรยี น นกั ธรรม ตอมา ในการพมิ พครัง้ ท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๒๗ พจนานุกรมเลมน้ันไดเปลีย่ นมีชอื่ อยางปจ จบุ ันวา พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท คือหนังสอื เลม น้ี เม่ือมีการเผยแพรมากขึ้น ผูขออนุญาตพิมพบางแหงจึงไดนําพจนานุกรมท้ังสองเลมน้ีมาจัดรวมกัน เปน ชุด และลาสุดบางทีถงึ กับทํากลอ งใสร วมกนั แมจะมีประวตั ิแหง การเกิดข้ึนตา งหากกนั แตพจนานกุ รมสองเลม น้กี ็มีลกั ษณะทีเ่ หมอื นกันอยางหนง่ึ คือเปนงานในชวงระหวางที่งานทําพจนานุกรมซ่ึงตอเน่ืองมาแตเดิมและขยายออกไปจนกลายเปนสารานุกรม แสดงอาการวาจะเปนเรื่องยืดเยื้อตอ งรออกี ยาวนาน หลงั จากการพมิ พลงตวั แลว พจนานุกรมสองเลม นก้ี ็มชี ะตากรรมอยา งเดยี วกัน คอื ขึ้นตอระบบการทาํ ตนแบบและการพมิ พย ุคกอนน้ัน ซึ่งตนแบบอยใู นแผน กระดาษทต่ี ายตวั แกไขและขยบั ขยายไดย าก ยง่ิ เปน หนงั สอื ขนาดหนาและมรี ปู แบบซบั ซอน กแ็ ทบปรบั เปล่ยี นอะไรไมไดเ ลย ดวยเหตุนี้ การพมิ พพจนานกุ รมสองเลมน้ันในครงั้ ตอ ๆ มา จึงตองพมิ พซํา้ ตามตนแบบเดมิ ถาจาํ เปน จริงๆ ทีจ่ ะตอ งแกไ ข กแ็ กไดเ พียง ๔–๕ บรรทัด ย่ิงเมือ่ เวลาผา นมานานขน้ึ แผน กระดาษตนแบบทง้ั หมด ก็ผุเปอยหรือสูญหายไป (ตนแบบของ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ซึ่งทําขน้ึ ใหมในการพิมพ ครัง้ ที่ ๒ ไดสญู หายไปตง้ั แตเมื่อการพมิ พครงั้ ท่ี ๒ น้นั เสร็จส้นิ ลง) ทําใหการพิมพต อจากนน้ั ตอ งใชว ิธีถา ย ภาพจากหนังสือท่ีพิมพครั้งกอนๆ ซึ่งจะไดตัวหนังสือที่เลือนลางลงไปเร่อื ยๆ ไดแตรอเวลาที่จะพิมพท ําตน แบบขึ้นใหม โดยจะถือโอกาสเพิ่มเตมิ ดว ยพรอ มกัน อยางไรก็ตาม เนื่องจาก พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท นี้ มีศัพทและคาํ อธบิ ายทจี่ ะเพม่ิ มากมาย เมื่อแกไขตน แบบเดิมไมไ ด ก็จึงใสส ว นเพ่ิมเขา มาตา งหากตอ ทายเลมในการพมิ พคร้ังท่ี ๓ พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยทําเปน “ภาคผนวก” (มศี พั ทต้งั หรือหัวศพั ทเ พ่ิม ๑๒๔ ศัพท รวม ๒๔ หนา ขยายขนาดเลม หนงั สอื เฉพาะตวั พจนานกุ รมแทๆ ขนึ้ เปน ๔๖๖ หนา ) ตอแตน้นั มา ก็พมิ พซํ้าอยา งที่กลา วขา งตน ข. ความเปนมา ชว งที่ ๒: เขา ยคุ ใหม มีฐานทีจ่ ะกาวตอ ระหวา งรอเวลาทีจ่ ะพิมพท ําตนแบบใหม พรอ มกับเขียนเพิม่ เตมิ ซึ่งมองไมเหน็ วาจะมโี อกาสทําไดเ ม่ือ ใด กาลก็ลว งมา จนถงึ ยุคคอมพวิ เตอร ระบบคอมพิวเตอรไดชวยใหการพิมพเจริญกาวหนาอยางมหัศจรรย ซ่ึงแกปญหาสาํ คัญในการทาํ พจนานกุ รมไดท ง้ั หมด โดยเฉพาะ • การพิมพขอ มลู ใหมท ําไดอ ยา งดแี ละคลองสะดวก • รักษาขอมูลใหมน ้นั ไวไดส มบูรณแ ละยืนนาน โดยมคี ณุ ภาพคงเดิม หรือจะปรับใหดยี ง่ิ ขึ้นกไ็ ด
ช • ขอ มลู ใหมท เี่ ก็บไวน นั้ จะแกไ ข–ปรับปรงุ –เพมิ่ เตมิ ทจี่ ุดไหนสว นใด อยางไร และเม่อื ใด กไ็ ดต าม ปรารถนา ถึงตอนน้ี กเ็ ห็นทางทีจ่ ะทําใหงานทําพจนานกุ รมกา วตอ ไป แตก ็ตอ งรอขน้ั ตอนสาํ คญั คอื จุดต้งั ตน คร้งั ใหม ไดแกการพมิ พขอ มลู พจนานุกรมท้ังหมดในเลมหนังสอื ลงในคอมพิวเตอร ซึ่งตองใชเ วลาและแรง งานมากทีเดียว ถามขี อมูลที่พมิ พลงในคอมพวิ เตอรไ วพรอมแลว ถึงจะยังไมมีเวลาท่ีจะแกไ ข–ปรบั ปรงุ –เพ่ิมเติม ก็ อุนใจได เพราะสามารถเกบ็ รอไว มโี อกาสเมอื่ ใด กท็ าํ ไดเม่ือน้ัน แตตองเริ่มขน้ั เตรยี มขอ มูลนัน้ ใหไดกอ น ขณะทีผ่ ูรวบรวมเรียบเรยี งเองพมิ พด ีดไมเปน กบั ทั้งมีงานอ่นื พันตัวนุงนัง ไมไดด ําเนนิ การอันใดใน เรือ่ งนี้ กไ็ ดม ที า นท่มี ใี จรักและทา นที่มองเห็นประโยชน ไดพมิ พขอมลู พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวล ศัพท ท้ังหมดของเลม หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอร ดวยความสมคั รใจของตนเอง โดยมไิ ดนดั หมาย เทาทีท่ ราบ/ เทาทีพ่ บ ๔ ราย เปน ๔ ชดุ คือ ๑. พระมหาเจิม สุวโจ แหงสถาบันวิจัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ไดเ ริ่มจดั ทาํ งานนีต้ ั้งแตระยะ ตน ๆ ของยคุ แหงการพิมพดวยระบบคอมพวิ เตอร ซ่ึงท้ังอปุ กรณแ ละบคุ ลากรดานน้ียังไมพ รง่ั พรอม ใชเ วลา หลายป จนในทสี่ ุด ไดม อบขอมลู ที่เตรียมเสรจ็ แลวแกผ รู วบรวมเรยี บเรียง เมอ่ื วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ขอ มลู ทพี่ ระมหาเจมิ สวุ โจ เตรยี มไวน ้ี ไดจ ดั วางรปู แบบเสรจ็ แลว รอเพยี งงานขน้ั ทจ่ี ะสง เขา โรงพมิ พ รวมทงั้ การตรวจครงั้ สดุ ทา ย นบั วา พรอ มพอสมควร แตผ รู วบรวมเรยี บเรยี งกไ็ มม เี วลาตรวจ เวลากผ็ า นมาเรอื่ ยๆ ๒. รศ. ดร.สมศีล ฌานวังศะ ราชบัณฑติ ไดเตรยี มขอมลู พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท (พรอ มท้งั พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม) โดยบุตรหญิง–ชาย คอื น.ส.ภาวนา ต้ังแตยงั เปน ด.ญ.ภาวนา ฌานวังศะ และนองชาย คอื นายปญ ญา ต้ังแตย งั เปน ด.ช.ปญ ญา ฌานวงั ศะ ไดชวยกนั แบง เบา ภาระดวยการพิมพขอ มลู ทง้ั หมดของเลม หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอร ภายใตก ารดแู ลของ ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ ซ่งึ เปน ผูตรวจความเรยี บรอยและจดั รปู แบบขอมลู น้นั ตามเลมหนงั สืออกี ทีหนง่ึ ๓. พระไตรปฎ ก (ในแผน CD – ระบบคอมพิวเตอร) ฉบบั สมาคมศษิ ยเกา มหาจุฬาลงกรณราช- วิทยาลัย ซ่งึ เสรจ็ ออกเผยแพรในชวงตนของ พ.ศ. ๒๕๔๓ ไดข อบรรจุ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับ ประมวลธรรม และ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ไวในโปรแกรมดวย ผูจ ดั ทาํ จึงไดพิมพข อ มูล ทัง้ หมดของหนงั สอื ทั้งสองเลม นนั้ ลงในคอมพวิ เตอร แตเ นอ่ื งจากเปนขอ มลู สําหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร จึง ไมไดจดั รูปแบบเพือ่ การตพี มิ พอ ยางเลม หนังสือ ๔. พจนานุกรมพทุ ธศาสน (ในแผน CD – ระบบคอมพิวเตอร) รุน ๑.๕ (ในโปรแกรมวา พจนานกุ รม พุทธศาสตร Version <1.2>) พ.ศ. ๒๕๔๔ จดั ทาํ โดยคณะวิศวกรรมศาสตรค อมพวิ เตอร มหาวิทยาลัยรังสิต ซึง่ ก็ไมไดจ ดั รูปแบบเพอื่ การตีพมิ พอ ยางเลม หนังสอื เพราะเปนขอมลู สําหรบั โปรแกรมคอมพวิ เตอร ขอ มลู ทง้ั ๔ ชดุ นี้ ผจู ดั ทาํ ชดุ นน้ั ๆ ไดน าํ ศพั ทต งั้ และคาํ อธบิ ายทง้ั หมดใน “ภาคผนวก” รวม ๒๔ หนา ๑๒๔ ศพั ท ของฉบบั เรยี งพมิ พร ะบบเกา มาแทรกเขา ในเนอ้ื หาหลกั ของเลม ตามลาํ ดบั อกั ษรเสรจ็ เรยี บรอ ยดว ย เมือ่ มีชุดขอมูลใหเลอื ก กแ็ นน อนวาจะตองพจิ ารณาเฉพาะชุดทีจ่ ดั รูปแบบไวแลวเพอ่ื การตพี ิมพอยาง เลม หนงั สือ คอื ชุดที่ ๑ และชดุ ที่ ๒ แตท ัง้ ที่มขี อ มลู นนั้ แลว เวลากผ็ า นไปๆ โดยผูร วบรวมเรยี บเรยี งมไิ ดด าํ เนนิ การใดๆ เพราะวา แมจะมี ขอ มลู ครบทงั้ หมดแลว แตก ็ยงั มีงานสดุ ทายในขนั้ สงโรงพมิ พ โดยเฉพาะการพิสูจนอ ักษร (ตรวจปรฟู ) ตลอด เลม อกี ครัง้ ซึ่งควรเปน ภาระของผูร วบรวมเรยี บเรยี งเอง
ซ ถา จะใหผรู วบรวมเรยี บเรียงพสิ จู นอกั ษรเองอยา งแตกอน การพมิ พคงตองรออีกแรมป หรอื อาจจะ หลายป (ยง่ิ มาบดั นี้ เมอื่ ตาทง้ั สองเปน โรคตอ หนิ เขา อกี กแ็ ทบหมดโอกาส) คงตอ งปลอ ยใหพิมพคร้งั ใหมด ว ยการ ถา ยภาพจากหนงั สือทพ่ี ิมพค รั้งกอ นตอ ไปอีก ค. ความเปนมา ชว งที่ ๓: พมิ พค ร้ังใหม ในระบบใหม การพิมพในระบบใหมคบื หนา เม่ือ ดร.สมศีล ฌานวงั ศะ ชวยรบั ภาระข้ันสุดทายในการจดั ทําตนแบบ ใหพ รอมท่ีจะนาํ เขารับการตพี ิมพในโรงพิมพ ในงานขนั้ สดุ ทา ยน้ี สาํ หรบั พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม ซง่ึ จดั เรยี งใหมด ว ยระบบ คอมพิวเตอร และพมิ พเปน เลม หนงั สือไปแลวเปน ครง้ั แรก เมื่อกลางป พ.ศ. ๒๕๔๕ นนั้ ผูร วบรวมเรยี บเรยี ง ไดอ านตน แบบสดุ ทายกอ นยตุ ิ แตเม่อื มาถึง พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท กเ็ ปน เวลาทผ่ี รู วบรวม เรยี บเรยี งประสบปญ หาจากโรคตามากแลว รวมทง้ั โรคตอ หนิ จึงยกภาระในการตรวจปรูฟ อา นตน แบบแมแต คร้งั ยตุ ใิ ห ดร.สมศีล ฌานวังศะ รบั ดาํ เนนิ การท้ังหมด เพยี งแตเ มอ่ื มขี อ ผดิ แปลกนา สงสยั ทใี่ ด กไ็ ถถ ามปรกึ ษา เปน แตล ะแหง ๆ ไป พอดีวา ผูรับภาระนอกจากมีความละเอียดและทํางานน้ีดวยใจรักแลว ยังเปนผูศึกษาวิจัยเรื่อง พจนานุกรมเปน พเิ ศษอกี ดว ย ยิ่งเม่ือไดค อมพิวเตอรมาเปน เคร่ืองมือ ก็ย่งิ ชวยใหการจดั เรยี งพิมพต น แบบ สามารถดาํ เนินมาจนหนงั สอื เสร็จเปน เลม ในรูปลกั ษณท ี่ปรากฏอยูน ้ี พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท พิมพครัง้ ที่ ๑๐ ซงึ่ เปน ครงั้ แรกทใี่ ชข อมูลอนั ไดเตรยี มข้ึน ใหมด วยระบบการพิมพแบบคอมพวิ เตอรนี้ โดยหลกั การ ไดต กลงวาใหค งเนื้อหาไวอ ยางเดิมตามฉบบั เรยี ง พมิ พระบบเกา ยงั ไมป รบั ปรงุ หรอื เพมิ่ เตมิ เนอื่ งจากผูรวบรวมเรียบเรียงยังไมมีเวลาที่จะดําเนินการกับคํา ศัพทมากมายอันควรเพม่ิ และสง่ิ ทค่ี วรแกไ ขปรบั ปรงุ ตา งๆ ทบ่ี นั ทกึ ไวร ะหวา งเวลาทผี่ า นมา และจะรอกไ็ มม ี กําหนด (จุดเนน หลกั อยูท ี่การไดฐ านขอ มูลในระบบคอมพิวเตอร ซ่งึ ทาํ ใหพ รอ มและสะดวกทจ่ี ะปรบั ปรุงเพิ่ม เตมิ ตอไป) ทงั้ น้ี มขี อ ยกเวน คอื ๑. นาํ ศัพทตัง้ และคาํ อธิบายทั้งหมดใน “ภาคผนวก” ของฉบบั เรียงพิมพร ะบบเกา มาแทรกเขา ไปใน เน้ือหาหลกั ของเลม ตามลําดบั อกั ษรของศพั ทน้นั ๆ (ขอ นเี้ ปน การเปลย่ี นแปลงดานรปู แบบเทา นัน้ สวนเน้อื หา ยังคงเดิม) ๒. เนื่องจากมศี พั ทต ้ัง ๘ คํา ท่ไี ดปรบั ปรุงคําอธิบายไวกอนแลว จงึ นาํ มาใสรวมดว ย พรอ มทั้งถือ โอกาสแกไขเน้ือความผิดพลาด ๒–๓ แหงท่ผี ูใชพจนานกุ รมฉบับนี้ ทง้ั บรรพชติ และคฤหสั ถบางทานไดแ จง เขา มานับแตก ารพมิ พคร้ังกอ นๆ ซึ่งขอขอบคุณ–อนโุ มทนาไว ณ ทน่ี ีด้ วย ๓. มีการปรับปรุงเพ่ิมเติมปลีกยอยที่พบเห็นนึกไดแลวถือโอกาสทําไปดวยระหวางทาํ งานขั้นสุดทาย ในการจดั ทําตนแบบใหพ รอมกอ นจะสง เขา รับการตพี ิมพในโรงพมิ พ กลาวคือ คําอธิบายเล็กนอยในบางแหง ซ่งึ เหน็ วา ควรจะและพอจะใหเสรจ็ ไปไดใ นคราวนี้ เฉพาะอยางย่ิง • ไดป รบั คาํ อธบิ ายคาํ วา ศลิ ปศาสตร และไดน าํ คาํ อธบิ ายการแบง ชว งกาลในพทุ ธประวตั ิ คอื ชดุ ทเู รนทิ าน–อวทิ เู รนทิ าน–สนั ตเิ กนทิ าน ชดุ ปฐมโพธกิ าล–มชั ฌมิ โพธกิ าล–ปจฉมิ โพธิกาล และชดุ ปุริมกาล–อปร กาล มาปรบั รวมกันไวท ศี่ ัพทตั้งวา พทุ ธประวัติ อีกแหง หน่งึ ดวย
ฌ • ไดแ ยกความหมายยอ ยของศพั ทต้งั บางคาํ ออกจากกนั เพื่อใหเ กิดความชดั เจนยิ่งขึน้ (เชน คํา วา พยญั ชนะ) • ไดตดั ศัพทต ั้งบางคาํ ท่เี หน็ วาไมจ าํ เปน ออก (เชน วงศกลุ , เทวรปู นาคปรก) ๔. เนื่องจากเดิมนั้น พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท น้ี จดั ทําขนึ้ โดยมุง เพือ่ ประโยชนข อง ผูเ ลาเรยี นขั้นตน โดยเฉพาะนักธรรมตรี–โท–เอก ถอยคําใดมใี นแบบเรยี นนกั ธรรม กไ็ ดร กั ษาการสะกดตัว โดยคงไวอยา งเดมิ ตามแบบเรยี นเลม น้ันๆ เปนสว นมาก แตใ นการพมิ พต ามระบบใหมค รงั้ นี้ เหน็ วา ควรจะคาํ นงึ ถงึ คนทวั่ ไป ไมจ าํ กดั เฉพาะนกั ธรรม จงึ ตกลง ปรบั การสะกดตวั ของบางศพั ทใ หเ ปน ปจ จบุ นั (เชน ปฤษณา แกเ ปน ปรศิ นา) พรอ มนนั้ ตามทพี่ จนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ใหห ลกั ไวว า คาํ ทเี่ ปน ศพั ทธ รรมบญั ญตั ิ จะเขียน ตามพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน หรือเขยี นเต็มรูปอยา งเดมิ กไ็ ด และในพจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับ ประมวลศพั ท แตเ ดิมมาเขยี นท้ังสองรูป เชน โลกตุ ตรธรรม–โลกตุ รธรรม อรยิ สจั จ– อรยิ สจั สว นในการพมิ พ ตามระบบใหมค รง้ั นี้ ถาคําน้นั อยใู นขอความอธบิ าย ไดปรบั เขียนเปนรูปเดยี วกนั ทง้ั หมด เชน โลกตุ ตรธรรม อริยสจั จ ทั้งน้ี เพือ่ ความสอดคลองกลมกลนื เปนอนั เดียวกนั แตผ อู านจะนําไปเขยี นเองในรปู ทปี่ ระสงคก ็ได ตามคาํ ชีแ้ จงตน เลม ๕. แตเดิมมาหนังสือน้ีมุงเพื่อประโยชนแกผูมีความรูพ้ืนฐานทางธรรมอยูแลว โดยเฉพาะนักเรียน นกั ธรรม ซงึ่ ถอื วารูว ธิ ีอานคําบาลอี ยแู ลว จงึ ไมไดนกึ ถงึ การท่ีจะแสดงวธิ อี านคําบาลีนน้ั ไว แตบ ัดน้ีไดตกลงท่ี จะคํานึงถึงผูใชท ว่ั ไป ดงั นน้ั ในการพมิ พค รงั้ ใหมด ว ยระบบใหมน ้ี จงึ ไดแ สดงวธิ อี า นออกเสยี งศพั ทต งั้ บางคาํ เพอ่ื เกอ้ื กลู แกผู ใชทีย่ ังไมค ุนกบั วิธอี านคําที่มาจากภาษาบาลสี นั สกฤต เชน สมสีสี [สะ-มะ-ส-ี ส]ี , โอมสวาท [โอ-มะ-สะ-วาด] แตเ นื่องจากยงั เปน ทํานองงานแถม จงึ ทําเทา ทน่ี ึกไดหรอื พบเฉพาะหนา อาจมคี าํ ศพั ทท ํานองนอ้ี ยอู กี หลายคํา ทย่ี ังมไิ ดแ สดงวิธอี านออกเสยี งกาํ กบั ไว อยา งไรกต็ าม ในการพมิ พใ หมค รง้ั น้ี ไดแ ทรก “วธิ อี า นคาํ บาล”ี เพม่ิ เขา มาดว ย เพอ่ื ใหผ ใู ชท วั่ ไปทราบ หลกั พน้ื ฐานทพี่ อจะนาํ ไปใชเ ปน แนวทางในการอา นไดด ว ยตนเอง โดย ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ ชว ยรบั ภาระเขยี นมา งานข้นั สดุ ทา ยทีจ่ ะเขา โรงพมิ พมคี วามละเอยี ด ซึง่ ตอ งใชเวลาและเรย่ี วแรงกําลังมาก ประกอบกบั ผู รบั ภาระมีงานอื่นท่ตี องรบั ผดิ ชอบอกี หลายดา น นับจากเริ่มงานขน้ั สุดทา ยน้ี จนตน แบบเสรจ็ เรยี บรอยนาํ สง โรงพมิ พได ก็ใชเ วลาไปหลายเดือน ทั้งนี้เพราะวา งานขั้นสุดทายกอนรับการตีพิมพมิใชเพียงการตรวจความถูกตองของตวั อักษรเทา นนั้ นอกจากอานปรูฟ ตลอดเลม ทวนแลว ทวนอีกหลายเท่ยี วแลว ไดถ ือโอกาสแหงการพมิ พท ่ีเปน การวางรปู แบบ คร้ังใหมและมีคอมพิวเตอรเปนอุปกรณน้ี ตรวจทานจัดการเก่ียวกับความสอดคลองกลมกลืน–สม่ําเสมอ– ครบถวน โดยเฉพาะในเรอื่ งทเ่ี ปน ระบบแบบแผน ใหลงตวั ไวเ ทาทีจ่ ะทาํ ได คือ ก) ความสอดคลองกลมกลืน ทั่วๆ ไป ไมวาจะเปน เคร่อื งหมายวรรคตอน หรือการพิมพค าํ –ขนาด ตวั อกั ษร–รปู ลักษณข องตวั อักษร ทง้ั คาํ ทวั่ ไปและคําทใ่ี ชใ นการอา งอิงและอางโยง (เชน ดู เทียบ คกู ับ ตรงขามกบั ) ไดพ ยายามตรวจและแกไ ขใหสมํ่าเสมอกันทุกแหง ข) ความถกู ตอ งครบถว นทว่ั ถงึ อกี หลายอยา ง ทยี่ งั อาจตกหลน หรอื ขามไปในการพิมพระบบเกา โดยเฉพาะการอา งโยง ไดต รวจสอบเทาทีท่ าํ ได เชน ตรวจดใู หแ นใ จวา ศัพทต ง้ั ทุกคาํ ที่เปนธรรมขอยอย ได อางโยงถึงหมวดธรรมใหญท ่ีธรรมขอ ยอ ยนนั้ แยกออกมา
ญ ค) ระบบการอา งโยง ระหวา งศพั ทต ง้ั ไดจ ดั ปรบั ใหส มา่ํ เสมอชดั เจนและครบถว นยงิ่ ขนึ้ เชน • ไดส ํารวจคําแสดงการอางโยงทมี่ อี ยู ซ่งึ ยตุ ลิ งเปน ๔ คาํ และนอกจากไดป รบั ขนาดและแบบตวั อกั ษรของคาํ แสดงการอา งโยงนั้นใหสมา่ํ เสมอกันทั่วท้งั หมด กลาวคอื ดู เทียบ คกู บั ตรงขามกับ แลว ยังได พยายามวางขอ ยตุ ใิ นการใชคําเหลาน้นั ดวยวาจะใชค าํ ไหนในกรณหี รอื ในขอบเขตใด ในการนี้ พึงทราบวา คาํ ทม่ี กั มาคกู นั และเปน คาํ ตรงขามกนั ดวย ในพจนานกุ รมน้ี ใชคําอา งองิ วา คกู บั หรือ ตรงขามกบั อยางใดอยา งหนึง่ โดยยงั ไมถ อื ขอยุตเิ ด็ดขาดลงไป เชนโลกียธรรม คกู ับ โลกุตตรธรรม, สงั ขตธรรม ตรงขา มกับ อสงั ขตธรรม • ใชก ารอางโยง แทนคาํ อธบิ ายบางตอนทีซ่ ้าํ ซอ นเกนิ จําเปน หรือชวยใหปรบั เปล่ียนคาํ อธบิ ายบาง แหง ใหส้ันลง (เชน ตดั คําอธบิ ายที่ เบญจศีล ออก เนื่องจากซํ้ากบั ศลี ๕ แลว ใชก ารอางโยงแทน) นอกจากนั้น ยังมีงานแทรกซอนบางอยางท่ีใชเวลาเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียวนอกเหนือความคาด หมาย เชน ทกุ ครั้งทมี่ กี ารแกไขขอมลู ซง่ึ ทาํ ใหข อ ความและถอ ยคาํ ขยบั ขยายเลอ่ื นท่ี ตอ งตรวจดคู วามถกู ตอ ง เหมาะสมในการตดั แยกคาํ ทา ยบรรทดั โดยเฉพาะคาํ ศพั ทบ าลสี นั สกฤต เชน ปาฏโิ มกข และคาํ ประสม เชน พระเจา นมสม ถา โมกข เจา หรือ สม เล่อื นแยกออกไปอยตู า งบรรทดั ซง่ึ ทาํ ใหผ ดิ หลกั อกั ขรวธิ กี ารเขยี นคาํ บาลสี นั สกฤต หรอื อาจชวนใหอ า นเขา ใจผิดในกรณคี ําประสม กต็ องพยายามแกไขใหม าอยูในบรรทดั เดยี วกนั ครบทง้ั คํา หรือใชวธิ ใี สเคร่อื งหมาย - (ยติภังค) หากเปน คําบาลีสนั สกฤตท่พี อจะเอื้อใหต ดั แยกได เชน กศุ ล- ธรรม (ดังในตัวอยางนี)้ และการแกไ ขนม้ี กั จะสง ผลกระทบตอคําอ่นื อยูเนอื งๆ ทาํ ใหตอ งตรวจดใู หทั่วซํ้าอกี อน่ึง การแกไขดังกลาว ยังสงผลกระทบตอทอดไปถึงการจัดหนาหนงั สือโดยรวม ซง่ึ พลอยขยับ เขยือ้ นเปล่ียนแปลงไปเน่ืองจากการตดั เพมิ่ หรือเปลีย่ นแปลงขอความน้นั อันจะตองตรวจดแู ละจดั ปรับให ถกู ตอ งลงตวั ดว ยทกุ ครัง้ เชนเดยี วกนั การทงี่ านพิมพ พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท กาวมาจนถงึ ขน้ั สาํ เรจ็ เสรจ็ สน้ิ ในบดั น้ี จงึ หมายถงึ การบาํ เพญ็ อทิ ธบิ าททง้ั ๔ ของ ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ และบตุ รหญงิ –บตุ รชาย คอื น.ส.ภาวนา ฌานวงั ศะ และ นายปญญา ฌานวงั ศะ ซงึ่ ขออนโุ มทนาไว ณ ที่น้ี เปนอยางยง่ิ พรอ มน้ี ขอขอบคณุ พระมหาเจมิ สวุ โจ แหง มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ทไ่ี ดอ ตุ สาหะ วริ ยิ ะเตรยี มฐานขอ มลู คอมพวิ เตอรช ดุ แรกของ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท และมอบใหไว แมจะ เปน ชุดทมี่ ไิ ดนํามาใชในการพิมพคร้ังนี้ กถ็ ือวา พระมหาเจมิ สวุ โจ ไดมีสวนรวมในงานนด้ี ว ย อนง่ึ ระหวา งทแ่ี กไ ขทวนทานเพอื่ เตรยี มตน แบบสาํ หรบั สง โรงพมิ พน ี้ พระครปู ลดั ปฎ กวฒั น (อนิ ศร จินตฺ าปฺโ) และพระภิกษุหลายรูปในวัดญาณเวศกวนั ไดอานปรฟู อีกเท่ียวหนง่ึ ชว ยใหก ารพิสจู นอ ักษรถกู ตอ งเรยี บรอยยง่ิ ขนึ้ จงึ ขอขอบคุณพระครูปลดั ปฎกวัฒนและพระภิกษุทกุ รูปทช่ี ว ยงาน ในโอกาสน้ี กระนน้ั กต็ าม กค็ งยงั มขี อ ผดิ พลาดหลงเหลืออยูบ า ง หากผใู ชทานใดไดพบ กข็ อไดโ ปรดแจงใหทราบดวย เพื่อชว ยให การพมิ พค รั้งตอ ๆ ไปมคี วามสมบูรณย่ิงขนึ้ หวงั วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ทพ่ี มิ พด ว ยระบบใหมค รง้ั นี้ จะเปน อปุ กรณอ นั เกอื้ กลู ตอ การศกึ ษา ทส่ี าํ เรจ็ ประโยชนไ ดด ยี งิ่ ขนึ้ และเปน ปจ จยั หนนุ ใหเ กดิ ธรรมไพบลู ย เพือ่ ประโยชนสุขแกพ หูชน ย่ังยนื นานสืบไป พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๓ กนั ยายน ๒๕๔๖
บันทกึ ของผูเ รยี บเรยี ง (ในการพิมพครัง้ ท่ี ๒ – พ.ศ. ๒๕๒๗) ๑. หนงั สอื นพี้ มิ พค รง้ั แรกเมอื่ พ.ศ. ๒๕๒๒ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต เจา อาวาสวดั พระพิเรนทร มชี อื่ วา พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับครู นกั เรยี น นักธรรม แตใ นการพมิ พคร้งั ท่ี ๒ นี้ ไดเ ปล่ียนชือ่ ใหมวา พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท ท้ังนีเ้ พราะชื่อเดิมยาวเกนิ ไป เรยี กยาก การทม่ี คี าํ สรอยทา ยชอ่ื วา ฉบับประมวลศพั ท ก็เพ่อื ปองกนั ความสับสน โดยทําใหตางออกไปจาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ของผเู รียบเรียงเดยี วกนั ซึง่ มอี ยูกอน พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท เปน พจนานกุ รมซึ่งรวบรวมและอธิบายคําศัพทท ัว่ ไปทุก ประเภททเ่ี ก่ียวกับพระพทุ ธศาสนา เชน หลักธรรม พระวนิ ยั พธิ ีกรรม ประวตั ิบคุ คลสาํ คญั ตํานาน และ วรรณคดีท่สี าํ คญั เปน ตน ตางจาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร (จะขยายชอื่ เปน พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม) ท่มี งุ รวบรวมและอธิบายเฉพาะแตหลกั ธรรมซึ่งเปน สาระสําคญั ของพระพุทธศาสนา ๒. ศพั ทท่ีรวบรวมมาอธิบายในหนังสือนี้ แยกไดเปน ๓ ประเภทใหญๆ คอื ๑) พทุ ธศาสนประวัติ มีพุทธประวตั ิเปน แกน รวมถงึ สาวกประวัติ ประวตั บิ คุ คล สถานท่ี และเหตุ การณส ําคญั ในพระพุทธศาสนา ตลอดจนตํานาน และเร่ืองราวท่มี าในวรรณคดตี างๆ เฉพาะที่คนทัว่ ไปควรรู ๒) ธรรม คอื หลกั คําสอน ทง้ั ทมี่ าในพระไตรปฎก และในคัมภรี ร ุนหลังมีอรรถกถาเปนตน รวมไว เฉพาะท่ศี ึกษาเลาเรยี นกันตามปกติ และเพ่มิ บางหลักทนี่ า สนใจเปนพิเศษ ๓) วนิ ยั หมายถงึ พทุ ธบญั ญตั ทิ ก่ี าํ กบั ความประพฤตแิ ละความเปน อยขู องพระสงฆ และในทน่ี ใ้ี หม ี ความหมายครอบคลมุ ถงึ ขนบธรรมเนยี มประเพณี พธิ กี รรมบางอยา งทไ่ี ดเ ปน เครอื่ งยดึ เหนย่ี วคมุ ประสานสงั คม ของชาวพทุ ธไทยสบื ตอ กนั มา นอกจากนมี้ ศี พั ทเ บด็ เตลด็ เชน คาํ กวซี ง่ึ ผกู ขนึ้ โดยมงุ ความไพเราะ และคาํ ไทยบางคาํ ทไี่ มค นุ แต ปรากฏในแบบเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม ซงึ่ ภกิ ษสุ ามเณรจาํ เปน จะตอ งรคู วามหมาย เปน ตน ๓. หนังสอื นีร้ วมอยใู นโครงการสวนตัว ทจี่ ะขยายปรบั ปรุงกอ นการจัดพมิ พครัง้ ท่ี ๒ และไดเ พมิ่ เตมิ ปรบั ปรงุ ไปบา งแลว บางสว น แตต ามทต่ี งั้ ใจไวก ะวา จะปรบั ปรงุ จรงิ จงั และจดั พมิ พภ ายหลงั พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร (ฉบบั ประมวลธรรม) ครน้ั ดร.สจุ ินต ทังสุบุตร ตดิ ตอ ขอพมิ พเปนธรรมทานในงานพระราชทานเพลงิ ศพบดิ า ผเู ปน บรุ พการี จงึ เปน เหตใุ หก ารพมิ พเ ปลย่ี นลาํ ดบั กลายเปน วา หนงั สอื นจ้ี ะสาํ เรจ็ กอ น โดยเบอื้ งแรกตกลงวา จะ พมิ พไ ปตามฉบบั เดมิ ทส่ี ว นใหญย งั ไมไ ดป รบั ปรงุ แตป ญ หาขอ ยงุ ยากตดิ ขดั ทที่ าํ ใหก ารพมิ พล า ชา ไดก ลายเปน เครอื่ งชวยใหไ ดโ อกาสรบี เรง ระดมงานแทรกเพิ่ม ปรับปรงุ แขงกนั ไปกบั งานแกไขปญหา จนหนังสอื นม้ี เี นอื้ หา เกือบจะครบถวนสมบูรณตามความมุงหมาย นับวาเจาภาพงานน้ีไดมีอุปการะมากตอความสําเร็จของงาน ปรบั ปรงุ หนงั สอื และตอการชวยใหงานเสร็จสนิ้ โดยเรว็ ไมย ืดเยือ้ ตอ ไป อยา งไรกด็ ี มผี ลสบื เนอื่ งบางอยา งทค่ี วรทราบไวด ว ย เพอ่ื ใหร จู กั หนงั สอื นชี้ ดั เจนยงิ่ ขนึ้ เชน ก) ในโครงการปรบั ปรงุ เดมิ มขี อ พจิ ารณาอยา งหนง่ึ วา จะรวมศพั ทท แี่ ปลกในหนงั สอื ปฐมสมโพธกิ ถา และ ใน มหาเวสสนั ดรชาดก เขา ดว ยหรอื ไม การพมิ พท เี่ รง ดว นครง้ั นไี้ ดช ว ยตดั สนิ ขอพิจารณานนั้ ใหยตุ ิลงไดท นั ที คอื เปน อันตอ งตดั ออกไปกอ น แตการไมร วมศัพทในวรรณคดี ๒ เรือ่ งน้นั เขา มากไ็ มท าํ ใหพ จนานกุ รมนเ้ี สยี ความสมบรู ณแ ตอ ยา งใด เพราะศพั ทส ว นมากใน ปฐมสมโพธกิ ถา และ มหาเวสสนั ดรชาดก เปน คํากวีและคํา
ฏ จําพวกตํานาน ซ่งึ มงุ ความไพเราะหรือเปน ความรปู ระกอบ อนั เกินจําเปน สําหรบั การเรยี นรใู นระดับสามัญ วา ที่ จริงศัพทสองประเภทนั้นเทาท่ีมีอยูเดิมในหนังสือน้ีก็นับวามากจนอาจจะทําใหเกิดความสับสนกับศัพทจาํ พวก หลักวชิ าไดอ ยแู ลว สว นความรูท เี่ ปนหลักการของพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณคดี ๒ เร่ืองนั้น กลาวไดวา มอี ยใู นพจนานกุ รมน้ีแลวแทบทั้งหมด ข) การปรับปรุงอยางเรงดวนแขงกับเวลาท่ีบีบรัดทําใหเกิดความลักล่ันขึ้นบางในอัตราสวนของการ อธิบาย คอื บางคําอธิบายขยายใหมย ดื ยาวมาก เชน ไตรปฎก ยาวเกนิ ๑๐ หนา แตบ างคําคงอยอู ยา งเดิมซ่ึง เมือ่ เทยี บกนั แลวกลายเปนสั้นเกินไป เชน ไตรสิกขา ทีอ่ ยใู กลก ันนัน้ เอง และศัพทบ างศพั ทย ังตกหลนหลงตา เชน ไตรทศ, ไตรทพิ ย เปน ตน อยา งไรกต็ าม ขอ บกพรอ งเชน นเ้ี หลอื อยนู อ ยยง่ิ โดยมากเปน สว นทพี่ สิ ดารเกนิ ไปมากกวา จะเปน สว นที่ หยอนหรือขาด และถา รูจกั คน กส็ ามารถหาความหมายทลี่ กึ ละเอยี ดออกไปอกี ได เชน ไตรสกิ ขา กอ็ าจเปด ดคู าํ ยอยตอ ไปอีก คอื อธิศลี สกิ ขา, อธิจิตตสกิ ขา, และ อธิปญ ญาสิกขา สวนคําจาํ พวก ไตรทศ, ไตรทพิ ย กเ็ ปน ก่งึ คํากวี ไมใ ชศพั ทวชิ าการแท เพยี งแตหาความหมายของศัพท ไมตอ งอธิบายดา นหลกั วชิ า อาจปรึกษา พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ได ๔. ความหมายและคาํ อธบิ ายศัพท นอกจากสว นใหญท่ไี ดคน ควารวบรวมและเรียบเรยี งขน้ึ เปน เนอื้ หา เฉพาะของพจนานกุ รมนีแ้ ลว มแี หลง ทค่ี วรทราบอกี คือ ๑) ศัพทจํานวนหน่ึง เกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชานักธรรม ซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบ แผนมคี วามสําคญั มากสาํ หรบั ผเู รยี นและผูสอบในระบบน้นั (โดยมากเปนศพั ทพ ระวินัย และมศี พั ทท างวชิ า ธรรมปนอยบู า ง) ในทนี่ ม้ี กั คดั เอาความหมายและคาํ อธบิ ายในแบบเรยี นมาลงไวด ว ย ๒) ศัพทบ างศพั ท ทีเ่ ห็นวาความหมายและคาํ อธบิ ายในหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ของ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ชัดเจนและใชไ ดด อี ยู ก็คงไวตามน้ัน ๓) ศัพททใี่ ชก นั ในภาษาไทย ซึ่งผูคน มักตองการเพียงความหมายของคําศพั ท ไมมีเรอ่ื งทีต่ องรใู น ทางหลกั วิชามากกวา น้ัน หลายแหงถอื ตาม พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ๔) ในขนั้ สมบรู ณข องพจนานกุ รมนี้ ไดต ง้ั ใจไวว า จะแสดงหลกั ฐานทมี่ าในคมั ภรี ข องเรอ่ื งทเ่ี ปน หลกั วิชาไวทั้งหมดโดยละเอยี ด แตเ พราะตองสงตนฉบับเขาโรงพมิ พท ันทกี อ นแลว จงึ มกี ารแทรกเพมิ่ ปรบั ปรงุ ตาม โอกาสภายหลงั การบอกทม่ี าใหท ว่ั ถงึ จงึ เปน ไปไมไ ด ครนั้ จะแสดงทม่ี าของเรอื่ งทม่ี โี อกาสแทรกเพม่ิ หรอื ปรบั ปรงุ ใหม กจ็ ะทาํ ใหเ กดิ ความลกั ลนั่ ไมส มา่ํ เสมอกนั จงึ งดไวก อ นทง้ั หมด ผใู ชพ จนานกุ รมนจ้ี งึ จะพบหลกั ฐานทมี่ าบา ง กเ็ ฉพาะทเี่ ปน เพยี งขอ ความบอกชอื่ หมวดชอ่ื คมั ภรี อยา งเปน สว นหนง่ึ ของคาํ อธบิ าย ไมม ตี วั เลขบอกเลม ขอ และ หนา ตามระบบการบอกทมี่ าทสี่ มบรู ณ การเพิ่มเติมและปรับปรุงแมจะไดทําอยางรีบเรงแขงกับการพิมพเทาที่โอกาสเปดให แตก็นับวาใกล ความครบถว นสมบูรณ ทําใหเ นอ้ื หาของหนังสือขยายออกไปมากประมาณวาอีก ๑ ใน ๓ ของฉบบั พิมพครั้ง แรก มีศพั ทท ่เี พ่ิมใหมแ ละปรบั ปรุงหลายรอ ยศัพท กระนั้นก็ตาม เมอื่ ถึงโอกาสกจ็ ะมกี ารปรบั ปรุงใหญอกี ครั้ง หน่ึง เพ่อื ใหกลมกลืนสม่าํ เสมอโดยสมบรู ณแ ละเหมาะแกผใู ชประโยชนท กุ ระดับ ตัง้ แตน กั สอนจนถงึ ชาวบา น อนึ่ง ในการเพ่ิมเติมและปรับปรุงนี้ ไดมีทานผูเปนนักสอนนักเผยแพรธรรมชวยบอกแจงศพั ทตก หลน ในการพมิ พครง้ั กอนและเสนอศัพทท ่คี วรเพ่ิมเติมหรอื ปรับปรุงคาํ อธบิ ายหลายศพั ท คอื พระมหาอารยี เขมจาโร วดั ระฆงั โฆสติ าราม รองเลขาธกิ ารมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั บอกแจง มา ๑๔ ศัพท เชน จวี รมรดก,
ฐ ติตถยิ ปก กันตกะ, อนาโรจนา, อโุ ปสถิกภัต เปน ตน คณุ หมออมรา มลิลา เสนอเพิ่มเติม ๒๔ ศัพท เชน จังหัน, จาร, เจริญพร, ตอ ง, ทกุ กฏ, ทพุ ภาสติ , ธิติ, สังฆการี เปนตน และเสนอปรบั ปรุงคาํ ท่ีอธิบายไมชัดเจน อานเขา ใจยาก หรอื ส้ันเกินไป ๒๓ ศพั ท เชน กัปปยภมู ,ิ กุฑวะ, คันโพง, ดาวเคราะห เปน ตน นับวา ไดมีสวน ชว ยเสรมิ ใหห นงั สือสมบูรณยิง่ ข้ึน ในการพิมพท่ีเรงดวนภายในเวลาที่จํากัด ตอหนาปญหาความยุงยากสับสนในกระบวนการพมิ พชว ง ตนทีไ่ มร าบรนื่ นน้ั คุณชุตมิ า ธนะปุระ ไดมีจติ ศรัทธาชวยพิสูจนอ กั ษรสว นหนึง่ (คุณชตุ มิ า และคณุ ยงยทุ ธ ธนะปรุ ะ ไดบรจิ าคทุนทรัพยพ ิมพพจนานุกรมนีแ้ จกเปน ธรรมทานจาํ นวนหนึง่ ดว ย) คณุ พนติ า องั จนั ทรเพ็ญ ไดชวยพสิ จู นอักษรอีกบางสวน และชวยติดตอ ประสานงานทางดา นโรงพมิ พ ทางดานเจาภาพ ชว ยเหลือทาํ ธรุ ะใหล ุลวงไปหลายประการ นับวาเปนผูเก้ือกลู แกง านพมิ พห นังสือครั้งนเ้ี ปนอันมาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท พมิ พเ สรจ็ สนิ้ ในบดั นี้ กอ น พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม ไมย ดื เยอ้ื ยาวนานตอ ไป กเ็ พราะคณะเจา ภาพงานพระราชทานเพลงิ ศพ อาจารยจ ติ ร ทงั สบุ ตุ ร ซง่ึ มี ดร. สจุ นิ ต ทงั สบุ ตุ ร เปน ผตู ดิ ตอ ขอพมิ พ ไดเ พยี รพยายามเรง รดั ตดิ ตามงานมาโดยตลอด และไดส ละทนุ ทรพั ย เปน อนั มากในการผลกั ดนั ใหก ารพมิ พผ า นพน ปญ หาขอ ตดิ ขดั ตา งๆ เปน ฐานใหก ารพมิ พส ว นทจี่ ะเพมิ่ เตมิ เปน ไป ไดโ ดยสะดวกและเสยี คา ใชจ า ยลดนอ ยลง นอกจากน้ี เจา ภาพทขี่ อพมิ พเ ผยแพรอ กี หลายราย กล็ ว นเปน ผมู จี ติ ศรทั ธาจดั พมิ พแ จกเปน ธรรมทาน ทงั้ สนิ้ เจา ภาพทขี่ อพมิ พจ าํ นวนมากทสี่ ดุ คอื มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั แมจ ะพมิ พจ าํ หนา ย มใิ ชพ มิ พแ จก อยา งใหเ ปลา แตก ม็ วี ตั ถปุ ระสงคเ พอื่ นาํ ผลประโยชนไ ปบาํ รงุ การศกึ ษาของพระภกิ ษสุ ามเณร นบั วา เปน การกศุ ล เชน กนั นอกจากน้ี เมอื่ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ขาดแคลนทนุ ทจี่ ะใชใ นการพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ก็ บงั เอญิ ให คณุ หญงิ กระจา งศรี รกั ตะกนษิ ฐ ไดท ราบ จงึ ไดเ ชญิ ชวนญาตมิ ติ รของทา น รว มกนั ตง้ั “กองทนุ พมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร” ขนึ้ กองทนุ นนั้ มจี าํ นวนเงนิ มากจนพอทจ่ี ะใชพ มิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน เลม นดี้ ว ย เปน เครอ่ื งอปุ ถมั ภใ หก ารพมิ พส าํ เรจ็ ลลุ ว งสมหมาย ทาํ ใหม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดพ จนานกุ รมทง้ั สองเลม สาํ หรบั จาํ หนา ยเกบ็ ผลประโยชนโ ดยมติ อ งลงุ ทนุ ลงแรงใดๆ เลย ขออนุโมทนากุศลเจตนา บญุ กริ ยิ า และความอุปถมั ภของทา นผไู ดกลา วนามมาขา งตน ขอทกุ ทา นจง ประสบจตุรพธิ พร เจรญิ งอกงามในธรรมยิ่งๆ ข้ึนไป และขอธรรมทานท่ไี ดร วมกันบาํ เพ็ญนจี้ งเปนเคร่ืองชักนํา มหาชนใหบรรลุประโยชนสุขอนั ชอบธรรมโดยทัว่ กัน พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยตุ โฺ ต) ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๗
ควรทราบกอ น ๑. พจนานกุ รมนี้ เหมาะแกครูและนักเรียนนกั ธรรม มากกวา ผูอน่ื คาํ ศพั ทใ นวชิ านกั ธรรม ซงึ่ การตอบและอธบิ ายตามแบบแผนมคี วามสําคัญมากสําหรับผูเรียนและผูสอบ ในระบบน้นั (โดยมากเปนศพั ทพ ระวนิ ัย) ในที่นีม้ กั คดั เอาความหมายและคําอธบิ ายในแบบเรียนมาลงไวด วย ความหมายและคาํ อธบิ ายหลายแหง เขยี นอยา งคนรกู นั คอื ผมู พี น้ื ความรอู ยบู า งแลว จงึ จะเขา ใจชดั เจนและใชป ระโยชนไ ดเ ตม็ ท่ี อยา งไรกต็ าม วา โดยสว นใหญ คนทว่ั ไปทส่ี นใจทางพระศาสนา กใ็ ชป ระโยชนไ ดเ ปน อยา งดี ๒. ศัพทท่อี ธบิ าย มงุ วิชาธรรม พทุ ธประวตั ิ และวินัย เปน ใหญ ศพั ทท ค่ี วรอธบิ ายในวชิ าทงั้ สามนี้ พยายามใหค รบถว น เทา ทมี่ ใี นแบบเรยี นนกั ธรรม ทง้ั ชน้ั ตรี ชนั้ โท และชนั้ เอก แมว า ในการจดั ทาํ ทเี่ รง ดว นยง่ิ น้ี ยอ มมคี าํ ตกหลน หรอื แทรกไมท นั อยบู า งเปน ธรรมดา อยา งไรกต็ าม ศพั ทเ กยี่ วกบั ศาสนพธิ บี างอยา ง และเรอื่ งทค่ี นทว่ั ไป และนกั ศกึ ษาอน่ื ๆ ควรรู กไ็ ดเ พม่ิ เขา มาอกี มใิ ชน อ ย เชน กรวดนาํ้ , ผา ปา , สงั ฆทาน, อาราธนาศลี , อาราธนาพระปรติ ร, อาราธนาธรรม, วสิ ทุ ธมิ รรค, จกั กวตั ตสิ ตู ร เปน ตน ๓. ลาํ ดบั ศพั ท เรยี งอยา ง พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน เวน ตน ศพั ท มี –ะ คําท่เี ปน ตน ศัพท หรือแมศัพท แมม ีประวสิ รรชนีย ก็เรียงไวกอนคาํ ท่อี าศยั ตน ศพั ทนน้ั เชน เถระ เรยี งไวก อ น เถรวาท; เทวะ เรียงไวกอ น เทวดา, เทวทติ เปน ตน ๔. การสะกดการันต มีปะปนกันหลายอยา ง ใหถอื วา ใชไ ดท ั้งหมด ศพั ทส ว นมาก เกบ็ จากแบบเรยี นนกั ธรรม ซงึ่ เขยี นขนึ้ เมอื่ ศตวรรษลว งแลว แทบทง้ั สน้ิ คอื กอ นมี พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ เปน เวลานาน แบบเรยี นเหลา นน้ั แมเ ขยี นคาํ ศพั ทเ ดยี วกนั ก็ สะกดการนั ตไ มเ หมอื นกนั แตก ถ็ อื วา ถกู ตอ งดว ยกนั อยา งนอ ยตามนยิ มในเวลานนั้ ยงิ่ กวา นนั้ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ยงั เปด โอกาสสาํ หรบั คาํ ทเี่ ปน ธรรมบญั ญตั ใิ หเ ขยี นเตม็ รปู ตามภาษาเดมิ ไดด ว ย ดงั นน้ั พงึ ทราบการสะกดการนั ตไ มค งทใ่ี นหนงั สอื นี้ วา เปน ไปตามแหลง เดมิ ทเ่ี กบ็ ถอ ยคาํ นน้ั ๆ มา หรอื ตามรปู คาํ ทยี่ อมรบั ในทางหลกั ภาษาวา ยกั เยอื้ งไปได ตวั อยา งคาํ เขยี นหลายแบบ เชน กรรมฐาน, กมั มฏั ฐาน; อรยิ สจั จ, อรยิ สจั ; นคิ คหะ, นคิ หะ; ญตั กิ รรม, ญตั ตกิ รรม, ญตั ตกิ มั ม; บรเิ ฉท, ปรเิ ฉท; ธรรมวจิ ยั , ธมั มวจิ ยะ; จลุ ลวรรค, จลุ วรรค, จลุ ลวคั ค เปน ตน ในการพิมพครงั้ ที่ ๑๐ (ระบบคอมพิวเตอร) ไดป รบั การสะกดตวั ของบางศัพทใหเปนปจจุบัน (เชน ปฤษณา แกเปน ปรศิ นา ซึง่ แผลงมาจาก ปรศั นา ในสันสกฤต) และในขอ ความทเี่ ปน คาํ อธบิ ายของหนงั สอื หากคาํ ศพั ทใ ดปรากฏซา้ํ ไดป รบั การสะกดตัวใหเปน อยา งเดยี วกัน อนง่ึ คาํ ศพั ทท มี่ หี ลายรปู เพราะเขยี นไดห ลายอยา ง เชน อรยิ สจั จ, อรยิ สจั ถอื ปฏบิ ตั ดิ งั น้ี • ในคาํ อธบิ ายทกุ แหง เลือกใชรปู ใดรูปหนงึ่ ใหเ ปน อยา งเดยี วเหมอื นกนั หมด เชน ในกรณนี ้ี ใชร ปู อรยิ สจั จ
ฒ • แตที่ศพั ทต้งั อาจมรี ปู อรยิ สจั ดว ย โดยเขยี นรูปทต่ี างๆ เรยี งไวด ว ยกัน เปน “อริยสัจ, อรยิ สจั จ” • อาจยกรปู ทต่ี า งขนึ้ เปน ศพั ทต ง้ั ตา งหากดว ย แตไ มอ ธบิ าย เพยี งอา งองิ ใหด รู ปู ศพั ทท ถี่ อื เปน หลกั ใน พจนานกุ รมนี้ เชน “อรยิ สจั ดู อรยิ สจั จ” • ในบางกรณี ไดช แ้ี จงไวท า ยคาํ อธบิ ายของศพั ทต งั้ ทถ่ี อื เปน หลกั นน้ั วาเขยี นอยา งนนั้ อยา งนกี้ ไ็ ด เชน ทา ยคําอธบิ ายของ “อรยิ สัจจ” มีขอความช้แี จงวา “เขยี น อริยสัจ ก็มี” หรือ “อริยสัจ ก็เขยี น” ในกรณที เ่ี ขยี นศพั ทร ปู แปลก และควรทราบวา พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน เขยี นอยา งไร ไดช ี้ แจงกาํ กบั ไวด ว ยวา พจนานกุ รม เขยี นอยา งนั้นๆ คําวา พจนานกุ รม ในที่นี้ พึงทราบวา หมายถึง พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓, พ.ศ. ๒๕๒๕ และ พ.ศ. ๒๕๔๒ ๕. คําทอี่ า งโยง มคี าํ อธบิ ายในลาํ ดบั อกั ษรของคาํ น้ัน เมือ่ พบคาํ ศัพทท อ่ี า งโยงในคําอธิบายของคาํ อื่น หลังคําทแ่ี สดงการอางโยงคอื ดู เทยี บ คูกับ หรือ ตรงขาม กับ พงึ คน หาความหมายของคาํ ที่อา งโยงนน้ั เพ่มิ เติม ท่ลี าํ ดบั อกั ษรของคาํ น้ันๆ นอกจากน้ี การอา งโยงยงั มใี นคาํ บอกเลขขอ ในหมวดธรรมภายในวงเลบ็ ทา ยคาํ อธบิ ายของศพั ทต า งๆ เชน ทค่ี าํ ทมะ ขา งทา ยมี “(ขอ ๒ ในฆราวาสธรรม ๔)” พงึ ทราบวา คาํ เหลา นน้ั (ในกรณนี ้ี คอื ฆราวาสธรรม) ก็มีคํา อธิบายอยใู นลําดับอักษรของตนๆ ๖. พจนานกุ รมน้ี เปนก่งึ สารานุกรม แตใ หม ลี ักษณะทางวิชาการเพียงเล็กนอ ย คําอธิบายของคําจาํ นวนมากในหนงั สือนี้ มใิ ชแสดงเพยี งความหมายของศัพทหรอื ถอยคาํ เทา นน้ั ยงั ให ความรอู นั พงึ ทราบเกยี่ วกบั เรอ่ื งนนั้ ๆ อกี ดว ย เชน จาํ นวน ขอ ยอ ย ประวตั ยิ อ สถานท่ี และเหตุการณแ วดลอ ม เปนตน เขาลกั ษณะเปนสารานุกรม แตยงั คงช่ือเปนพจนานกุ รมตามความตง้ั ใจเมอ่ื เรมิ่ ทาํ และเปน การจาํ กดั ขอบเขตไว ใหห นงั สอื นยี้ งั แตกตา งจาก สารานกุ รมพทุ ธศาสน ท่จี ัดทาํ คา งอยู เพื่อทราบวา พจนานกุ รมน้มี ีลกั ษณะและขอบเขตอยา งไร พึงคน ดูศพั ทต า งๆ เชน กรวดนา้ํ , จาํ พรรษา, กาลามสตู ร, กาลกิ , สารบี ตุ ร, พทุ ธกจิ , นาลันทา, สันโดษ, ชวี ก, ไตรปฎก, สงั คายนา,ผาปา, ราหุล, วรรค, สังเวช, สังฆราช เปนตน อนงึ่ หนงั สอื นเี้ กดิ ขน้ึ เนอื่ งดว ยเหตกุ ารณจ าํ เพาะหนา เรยี กไดว า เปน งานฉกุ เฉนิ นอกเหนอื ไปจากโครง การที่มอี ยูเ ดมิ แมว า จะอิง สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง ทจี่ ดั ทาํ คา งอยกู จ็ รงิ แตเ พราะเปน งานผดุ ขน้ึ กลาง คนั จงึ ไมไ ดค ดิ วางรปู วางแนวหรอื วางแผนการจดั ทาํ ไวใ หช ดั เจน เนอื้ หาจงึ มคี วามลกั ลนั่ กนั อยบู า ง เชน คาํ ศพั ท ประเภทเดยี วกนั บางคาํ อยตู น เลมอธิบายสั้น บางคาํ อยูตอนปลายเลม อธบิ ายยาวกวา ดงั น้เี ปน ตน นอกจากนั้น เม่ือแรกทาํ คิดเพียงแควาใหสาํ เร็จประโยชนเปนอุปกรณการศึกษาเบ้ืองตนและใหมี ขนาดไมห นานกั (กะไวป ระมาณ ๒๕๐ หนา) เพราะเวลาพิมพก ระชนั้ และกําลงั ทนุ จํากดั จงึ คิดจาํ กดั ไมใ ห หนงั สอื มลี ักษณะทางวิชาการมากนกั เชน คําอธบิ ายศัพทใหม ีเพียงเทา ท่ีควรรโู ดยตรง ไมมีขยายความเชิงวชิ า การ และยังไมบอกท่มี าสาํ หรบั ผูตองการคนควา เพิม่ เติม แมว าบดั น้ี หนังสอื นจี้ ะเปน งานทีบ่ านปลายออกไป แตโดยท่ัวไปยงั รักษาลักษณะจาํ กดั ทางวชิ าการทง้ั สองขอน้ไี ว โดยเฉพาะท่มี าไมไ ดบ อกไวเ ลย อยา งไรกด็ ี ไดตกลงใจวา ในการพมิ พคร้งั ตอๆ ไป เมือ่ มีโอกาส จะเลอื กบอกท่มี าสําหรบั บางเรอื่ ง ตามสมควร
วิธีอานคําบาลี ภาษาบาลเี ปน ภาษาทบ่ี รรจุพระพุทธศาสนาไวอยางครบถวน ผนู ับถอื พระพุทธศาสนาจงึ ควรจะรภู าษา บาลพี อสมควร หรอื อยา งนอยก็ควรจะรูว ธิ ีอานคาํ บาลีใหถ กู ตอ ง ซ่งึ จะเปน พ้ืนฐานในการอา นคาํ ศพั ทธรรม บญั ญตั ิจาํ นวนมาก ทย่ี ืมจากภาษาบาลี (และสนั สกฤต) มาใชใ นภาษาไทย เชน อนปุ พุ พิกถา, ปฏิจจสมุปบาท การเขียนภาษาบาลดี วยอกั ษรไทยและวิธอี าน ๑. รูปสระ เมื่อเขียนภาษาบาลดี ว ยอักษรไทย สระทกุ ตัว (ยกเวน สระ อ) มที งั้ รูป “สระลอย” (คือ สระทไ่ี มมพี ยัญชนะตนประสมอยดู วย) และรปู “สระจม” (คือสระท่มี ีพยัญชนะตนประสมอยดู ว ย) ใหอ อก เสียงสระตามรปู สระนน้ั เชน อาภา [อา-พา], อิสิ [อ-ิ ส]ิ , อตุ ุ [อุ-ตุ] ทัง้ นี้กเ็ ชนเดียวกับในภาษาไทย ขอ พเิ ศษทีแ่ ปลกจากภาษาไทย คอื “สระ อ” จะปรากฏรูปเมอื่ เปนสระลอย และไมป รากฏรปู เม่อื เปนสระจม ใหออกเสยี งเปน [อะ] เชน อมต [อะ-มะ-ตะ] นอกจากนี้ “ตวั อ” ยังใชเ ปนทุนใหสระอน่ื เกาะ เมือ่ สระนัน้ ใชเ ปน สระลอย เชน เอก [เอ-กะ], โอฆ [โอ-คะ] ๒. รปู พยัญชนะ พยัญชนะเมื่อประสมกบั สระใด ก็จะมรี ปู สระนั้นปรากฏอยูดว ย (ยกเวนเม่ือประสม กบั สระ อ) และใหอ อกเสียงพยญั ชนะประสมกับสระน้ัน เชน กรณีย [กะ-ระ-น-ี ยะ] พยญั ชนะท่ีใชโดยไมม ีรูปสระปรากฏอยู และไมม เี ครื่องหมาย ฺ (พนิ ท)ุ กาํ กบั แสดงวาประสมกับ สระ อ และใหออกเสียงพยัญชนะนั้นประสมกบั [อะ] เชน รตน [ระ-ตะ-นะ] สว นพยัญชนะทม่ี ีเคร่ืองหมาย ฺ (พินทุ) กาํ กับ แสดงวา ไมม สี ระใดประสมอยดู ว ย ใหออกเสียงเปนตวั สะกด เชน ธมมฺ [ทาํ -มะ], ปจจฺ ตฺตํ [ปด-จัด-ตงั ] หรือตวั ควบกลา้ํ เชน พฺรหฺม[พร๎ ะ-หม๎ ะ] แลว แตก รณี ในบาง กรณี อาจตอ งออกเสยี งเปน ทงั้ ตวั สะกดและตวั ควบกลา้ํ เชน ตตรฺ [ตดั -ตร๎ ะ], กลยฺ าณ [กนั -ล๎ยา-นะ] อนึ่ง รูป เอยฺย มกั นิยมออกเสยี งตามความสะดวก เปน [ไอ-ยะ] กม็ ี หรือ [เอย-ยะ] ก็มี เชน ทกฺขเิ ณยฺย ออกเสยี งเปน [ทัก-ขิ-ไน-ยะ] หรือ [ทกั -ข-ิ เนย-ยะ] เมื่อยมื เขามาใชในภาษาไทย จึงปรากฏวา มใี ช ทัง้ ๒ รปู คอื ทักขิไณย(บคุ คล) และ ทกั ขิเณยย(บุคคล) ๓. เครือ่ งหมายนคิ หติ เครอื่ งหมาย ํ (นคิ หิต) ตอ งอาศัยสระ และจะปรากฏเฉพาะหลงั สระ อ, อิ หรือ อุ ใหออกเสียงสระนั้นๆ (เปน [อะ], [อิ] หรอื [อุ] แลวแตก รณี) และมี [ง] สะกด เชน อสํ [อัง-สะ], เอวํ [เอ-วัง], กึ [กงิ ], วสิ ุ [ว-ิ สุง] ตวั อยางขอความภาษาบาลีและวิธอี าน มดี ังน้ี สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กุสลสฺสูปสมปฺ ทา [สบั -พะ-ปา-ปด -สะ] [อะ-กะ-ระ-นงั ] [กุ-สะ-ลัด-ส-ู ปะ-สํา-ปะ-ทา] สจติ ฺตปรโิ ยทปนํ เอตํ พทุ ฺธาน สาสนํ [สะ-จดิ -ตะ-ปะ-ร-ิ โย-ทะ-ปะ-นงั ] [เอ-ตงั ] [พดุ -ทา-นะ] [สา-สะ-นัง]
ด การอานคาํ ที่มาจากภาษาบาลี (และสนั สกฤต) หลักพ้ืนฐานดังกลาวขางตนอาจนํามาประยุกตกับการอานคําไทยท่ีมาจากภาษาบาลี (และสันสกฤต) โดยอนโุ ลม แตยงั ตอ งดัดแปลงใหเ ขา กบั รูปคําและวิธีออกเสียงแบบไทยดว ย เชน การออกเสยี งอกั ษรนาํ ในคาํ วา สมทุ ยั [สะ-หมุ-ไท] แทนท่ีจะเปน [สะ-มุ-ไท] นอกจากน้ี หากจะออกเสียงใหถูกตองตามความนิยมในวงการศกึ ษาพระพุทธศาสนา ผูอ านตองมี ความรูเพมิ่ เตมิ วา รูปเดิมของศพั ทค าํ น้ันเปน อยางไร โดยเฉพาะอยา งย่ิง จะตองทราบวา พยัญชนะตวั ใดมี พนิ ทุกํากบั ดว ยหรอื ไม เชน ปเสนทิ มรี ูปเดิมเปน ปเสนทิ จึงตอ งอานวา [ปะ-เส-นะ-ทิ] ไมใ ช [ปะ-เสน-ทิ] แต อนปุ พุ พิกถา มีรปู เดิมเปน อนปุ ุพฺพกิ ถา จงึ ตองอา นวา [อะ-น-ุ ปบุ -พ-ิ กะ-ถา] ไมใ ช [อะ-น-ุ ปุบ-พะ-พ-ิ กะ- ถา] หรือ ปฏิจจสมปุ บาท มรี ูปเดิมเปน ปฏิจฺจสมุปปฺ าท จงึ ตองอา นวา [ปะ-ติด-จะ-สะ-หมบุ -บาด] ไมใ ช [ปะ- ติด-จะ-สะ-หมุบ-ปะ-บาด]
สารบัญ ก จ บนั ทึก (ในการชําระ-เพ่ิมเติม ชว งท่ี ๑) ฎ คําปรารภ (ในการพมิ พค รงั้ ที่ ๑๐) ฑ บนั ทึกของผเู รียบเรยี ง (ในการพมิ พค รั้งที่ ๒ – พ.ศ. ๒๕๒๗) ณ ควรทราบกอ น ๑๕๑ วิธีอา นคาํ บาลี ๑๗๐ ก ๑น ๑๘๔ ข ๓๑ บ ๒๔๖ ค ๓๖ ป ๒๕๐ ฆ ๕๔ ผ ๒๗๕ ง ๕๕ พ ๒๗๕ จ ๕๕ ฟ ๒๙๐ ฉ ๗๕ ภ ๓๒๓ ช ๗๙ ม ๓๓๓ ซ ๘๗ ย ๓๔๕ ฌ ๘๗ ร ๓๔๖ ญ ๘๗ ฤ ๓๕๑ ฎ ๙๑ ล ๓๘๔ ฐ ๙๑ ว ๓๘๙ ด ๙๒ ศ ๔๖๒ ต ๙๖ ส ๔๖๖ ถ ๑๒๐ ห ท ๑๒๑ อ ๕๗๗ ธ ๑๓๙ ๕๗๙ แถลงการจัดทาํ หนงั สอื (ในการพิมพค ร้ังที่ ๑) ๕๘๒ ความเปน มาของพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทนุ พมิ พพ จนานกุ รมพทุ ธศาสน
ก กกุธานที แมนํ้าที่พระอานนททูลเชิญ ตอออกไปถงึ กลางเดอื น ๔); ผา ทีส่ งฆ เสด็จพระพุทธเจา ใหไปเสวยและสรง ชําระพระกาย ในระหวางเดินทางไป ยกมอบใหแกภิกษุรูปหน่ึงนั้นเรียกวา เมืองกสุ ินารา ในวันปรนิ ิพพาน ผา กฐิน (กฐนิ ทุสสะ); สงฆผูประกอบ กฏัตตาวาปนกรรม ดู กตัตตากรรม กฐินกรรมตองมีจํานวนภิกษุอยางนอย กฐนิ ตามศพั ทแ ปลวา “ไมส ะดงึ ” คือไม แบบสําหรับขึงเพอื่ ตัดเยบ็ จีวร; ในทาง ๕ รูป; ระยะเวลาท่ีพระพุทธเจาทรง พระวนิ ัย ใชเปนช่ือเรียกสังฆกรรมอยาง หนงึ่ (ในประเภทญัตติทตุ ยิ กรรม) ที่ อนญุ าตใหป ระกอบกฐนิ กรรมได มเี พยี ง พระพุทธเจาทรงอนุญาตแกสงฆผูจํา พรรษาแลว เพื่อแสดงออกซึ่งความ ๑ เดือนตอจากส้ินสุดการจําพรรษา สามัคคีของภิกษุท่ีไดจําพรรษาอยูรวม เรยี กวา เขตกฐนิ คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คา่ํ กัน โดยใหพวกเธอพรอมใจกันยกมอบ เดอื น ๑๑ ถงึ ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๒ ผาผืนหนึง่ ท่เี กิดข้ึนแกส งฆ ใหแ กภิกษุ รูปใดรูปหนึ่งในหมูพวกเธอ ที่เปนผูมี ภิกษุผูกรานกฐินแลว ยอมได คุณสมบัตสิ มควร แลวภกิ ษรุ ูปนั้นนําผา ท่ีไดรับมอบไปทําเปนจีวร (จะทําเปน อานสิ งส ๕ ประการ (เหมือนอานิสงส อนั ตรวาสก หรอื อุตราสงค หรือสงั ฆาฏิ การจาํ พรรษา; ดูจาํ พรรษา) ยดื ออกไปอกี ก็ได และพวกเธอท้ังหมดจะตองชวย ๔ เดอื น (ตงั้ แตแ รม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๒ ถึง ภิกษุน้นั ทาํ ) ครั้นทําเสร็จแลว ภกิ ษุรปู น้ันแจงใหที่ประชุมสงฆซ่ึงไดมอบผาแก ข้นึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๔) และไดโ อกาสขยาย เธอนน้ั ทราบเพอ่ื อนโุ มทนา เมอื่ สงฆคอื ที่ประชุมแหงภิกษุเหลานั้นอนุโมทนา เขตจวี รกาลออกไปตลอด ๔ เดือนน้ัน แลว ก็ทาํ ใหพ วกเธอไดส ทิ ธิพเิ ศษท่ีจะ คําถวายผา กฐนิ แบบสนั้ วา : “อิมํ, ขยายเขตทําจีวรใหยาวออกไป (เขตทํา จีวรตามปกติ ถงึ กลางเดือน ๑๒ ขยาย สปรวิ าร,ํ กนิ จวี รทสุ สฺ ,ํ สงฆฺ สสฺ ,โอโณ- ชยาม” (วา ๓ จบ) แปลวา “ขาพเจาท้งั หลาย ขอนอ มถวาย ผา กฐนิ จีวรกบั ทั้ง บรวิ ารนี้แกพระสงฆ” แบบยาววา : “อิมํ, ภนฺเต, สปริวาร,ํ กินจีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ, อมิ ํ, สปริวารํ, กนิ ทสุ สฺ ,ํ ปฏคิ ฺคณฺหาตุ, ปฏคิ คฺ เหตฺวา จ,อมิ นิ าทสุ เฺ สน,กนิ ,ํ อตถฺ รต,ุ อมหฺ าก,ํ ทีฆรตฺตํ, หิตาย, สขุ าย” แปลวา “ขา แต
กฐินทาน ๒ กตกิ า พระสงฆผ เู จรญิ ขาพเจา ท้ังหลาย ขอ กตัญูกตเวทิตา ความเปนคนกตัญู นอมถวายผา กฐินจีวร กับทั้งบรวิ ารน้แี ก กตเวที พระสงฆ ขอพระสงฆจงรับผากฐินกับ กตัญูกตเวที ผูรูอปุ การะทท่ี า นทําแลว ท้งั บรวิ ารนี้ ของขาพเจาทง้ั หลาย ครั้น และตอบแทน แยกออกเปน ๒ คือ รับแลว จงกรานกฐินดวยผาน้ี เพื่อ กตัญู รูคุณทาน; กตเวที ตอบแทน ประโยชนและความสุข แกขาพเจาทั้ง หรือสนองคุณทาน; ความกตัญู หลาย สน้ิ กาลนาน เทอญฯ” (เครอื่ ง กตเวทวี า โดยขอบเขต แยกไดเปน ๒ หมาย , ใสไ วเ พอ่ื เปน ทก่ี าํ หนดทจี่ ะกลา ว ระดับ คอื กตญั กู ตเวทีตอบคุ คลผมู ี เปน ตอนๆ ในพิธ)ี ; กถิน กเ็ ขยี น คุณความดีหรืออุปการะตอตนเปนสวน กฐินทาน การทอดกฐนิ , การถวายผา ตัว อยางหนึ่ง กตญั ูกตเวทตี อ บคุ คล กฐิน คอื การท่ีคฤหสั ถผ ูศรทั ธาหรอื แม ผูไดบําเพ็ญคุณประโยชนหรือมีคุณ ภกิ ษุสามเณร นาํ ผาไปถวายแกส งฆผ จู าํ ความดีเก้ือกูลแกสวนรวม เชนที่พระ พรรษาแลว ณ วัดใดวดั หน่ึง เพ่อื ทํา เจาปเสนทิโกศลทรงแสดงความกตัญู เปน ผากฐนิ เรยี กสามัญวา ทอดกฐิน กตเวทีตอพระพุทธเจาโดยฐานท่ีไดทรง (นอกจากผากฐินแลวปจจุบันนิยมมีของ ประกาศธรรมยงั หมชู นใหต ง้ั อยูในกศุ ล- ถวายอื่นๆ อกี ดวยจํานวนมาก เรยี กวา กลั ยาณธรรม เปน ตน อยางหนงึ่ (ขอ บริวารกฐิน) ๒ ในบุคคลหาไดยาก ๒) กฐินัตถารกรรม การกรานกฐิน กตตั ตากรรม กรรมสกั วา ทาํ , กรรมที่ กตญาณ ปรีชากําหนดรูวาไดทํากิจเสร็จ เปน กศุ ลกต็ ามอกุศลกต็ าม สกั แตว า ทํา แลว คือ ทุกข ควรกาํ หนดรู ไดร แู ลว คือไมไดจงใจจะใหเ ปนอยางนน้ั โดยตรง สมุทัย ควรละ ไดละแลว นโิ รธ ควรทาํ หรอื มเี จตนาออนไมช ัดเจน ยอมใหผล ใหแจงไดทําใหแจงแลว มรรค ควร ตอเม่ือไมม ีกรรมอืน่ ทานเปรียบเสมือน เจริญ ไดเจรญิ คือปฏิบตั ิหรอื ทําใหเ กิด คนบา ยงิ ลกู ศร ยอมไมม คี วามหมายจะ แลว (ขอ ๓ ใน ญาณ ๓) ใหถกู ใคร ทําไปโดยไมตงั้ ใจชดั เจน; ดู กตเวทติ า ความเปน คนกตเวท,ี ความ กรรม ๑๒ กตัตตาวาปนกรรม ดู กตัตตากรรม เปน ผสู นองคณุ ทาน กตญั ุตา ความเปนคนกตัญ,ู ความ กติกา (ในคําวา “ขา พเจาถวายตามกตกิ า เปนผูรคู ุณทา น ของสงฆ”) ขอตกลง, ขอบงั คับ, กติกา
กถา ๓ กรรม ของสงฆในกรณีนี้ คือขอท่ีสงฆ ๒ ประเทศหิมพานต พระราชบตุ รและพระ อาวาส มีขอตกลงกันไวว า ลาภเกดิ ใน ราชบตุ รี ของพระเจาโอกกากราช พากัน อาวาสหนง่ึ สงฆอ ีกอาวาสหน่งึ มสี ว นได ไปสรางพระนครใหมในที่อยูของกบิล- รับแจกดวย ทายกกลาวคําถวายวา ดาบส จึงขนานนามพระนครท่ีสรางใหม “ขาพเจา ถวายตามกตกิ าของสงฆ” ลาภ วา กบิลพสั ดุ แปลวา “ทห่ี รือทด่ี ินของ ที่ทายกถวายนั้น ยอ มตกเปน ของภิกษุ กบลิ ดาบส” ผูอยใู นอาวาสที่ทาํ กตกิ ากนั ไวดวย กบิลพัสดุ เมืองหลวงของแควนสักกะ กถา ถอยคํา, เร่อื ง, คาํ กลา ว, คาํ อธิบาย หรอื ศากยะ ที่ไดชือ่ วา กบลิ พสั ดุ เพราะ กถาวัตถุ ถอยคาํ ท่คี วรพูด, เรือ่ งท่ีควร เดมิ เปนทอ่ี ยูข องกบลิ ดาบส บัดน้ีอยใู น นาํ มาสนทนากนั ในหมภู กิ ษุ มี ๑๐ อยา ง เขตประเทศเนปาล คอื ๑. อปั ปจ ฉกถา ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหม ี กปส สี ะ ไมทีท่ ําเปน รปู หวั ลิง ในวนั ท่พี ระ ความปรารถนานอย ๒. สันตุฏฐิกถา พทุ ธเจา จะปรนิ พิ พาน พระอานนทเถระ ถอยคําที่ชักนําใหมีความสันโดษ ๓. ยืนเหนี่ยวไมนี้รองไหเสียใจวาตนยังไม ปวเิ วกกถา ถอ ยคาํ ทชี่ กั นาํ ใหม คี วามสงดั สําเร็จพระอรหัต พระพุทธเจาก็จัก กายสงดั ใจ ๔. อสังสคั คกถา ถอยคาํ ท่ี ปรินิพพานเสยี แลว ชักนําใหไมคลุกคลีดวยหมู ๕. วิริยา- กพฬิงการาหาร ดู กวฬิงการาหาร รัมภกถา ถอยคําทีช่ ักนําใหปรารภความ กรณียะ เรอื่ งทคี่ วรทํา, ขอ ท่พี งึ ทาํ , กจิ เพยี ร ๖. สีลกถา ถอยคาํ ท่ีชักนาํ ใหต ้งั กรมการ เจาพนักงานคณะหน่ึงมีหนาที่ อยใู นศีล ๗. สมาธิกถา ถอยคาํ ท่ีชกั นํา บริหารราชการแผนดินในระดับหน่ึงๆ ใหท าํ จติ ม่ัน ๘. ปญญากถา ถอยคําทชี่ กั เชน กรมการจงั หวัด กรมการอําเภอ นาํ ใหเกดิ ปญญา ๙. วมิ ตุ ตกิ ถา ถอ ยคาํ ท่ี เปนตน ชักนาํ ใหทาํ ใจใหพนจากกิเลสและความ กรมพระสุรัสวดี ชอื่ กรมสมยั โบราณ มี ทุกข ๑๐ วิมุตตญิ าณทัสสนกถา ถอยคํา หนาที่เก่ียวกับการรวบรวมบัญชีเลข ที่ชักนําใหเกิดความรูความเห็นในภาวะ หรือชายฉกรรจ ทห่ี ลุดพน จากกเิ ลสและความทกุ ข กรรโชก ขูเ อาดวยกริ ิยาหรอื วาจาใหกลวั กนิฏฐภคนิ ,ี กนษิ ฐภคนิ ี นองหญิง (แผลงมาจาก กระโชก) กนฏิ ฐภาดา, กนษิ ฐภาดา นอ งชาย กรรณ หู กบิลดาบส ดาบสที่อยูในดงไมสักกะ กรรม การกระทํา หมายถึง การกระทาํ ท่ี
กรรม ๒ ๔ กรรมกรณ ประกอบดวยเจตนา คือ ทาํ ดวยความ อุปปชชเวทนียกรรม กรรมใหผลในภพ จงใจหรอื จงใจทาํ ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม เชน ทจ่ี ะไปเกดิ คอื ในภพหนา ๓. อปราปรยิ - ขุดหลมุ พรางดักคนหรอื สตั วใ หต กลงไป เวทนียกรรม กรรมใหผ ลในภพตอๆ ไป ตาย เปนกรรม แตขุดบอนํ้าไวกินใช ๔. อโหสกิ รรม กรรมเลกิ ใหผ ล หมวด สตั วต กลงไปตายเอง ไมเ ปน กรรม (แต ท่ี ๒ วา โดยกจิ คอื จาํ แนกการใหผ ลตาม ถา รอู ยวู า บอ นาํ้ ทตี่ นขดุ ไวอ ยใู นทซี่ ง่ึ คน หนาท่ี ไดแก ๕. ชนกกรรม กรรมแตง จะพลดั ตกไดง า ย แลว ปลอ ยปละละเลย ใหเกดิ หรือกรรมที่เปนตวั นาํ ไปเกิด ๖. มีคนตกลงไปตาย ก็ไมพนเปน กรรม), อุปต ถมั ภกกรรม กรรมสนับสนนุ คือเขา วาโดยสาระ กรรมก็คือเจตนา หรือ สนับสนุนหรือซ้ําเติมตอจากชนกกรรม ๗. อปุ ปฬ กกรรม กรรมบีบค้นั คอื เขา มา เจตนานัน่ เองเปนกรรม, การกระทาํ ที่ดี บบี คนั้ ผลแหง ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภก- เรียกวา กรรมดี การกระทําทช่ี วั่ เรยี ก วา กรรมชว่ั ; เทียบ กริ ยิ า กรรมนั้นใหแปรเปล่ียนทุเลาเบาลงหรือ กรรม ๒ กรรมจําแนกตามคุณภาพหรือ ส้นั เขา ๘. อปุ ฆาตกกรรม กรรมตัด ตามธรรมท่ีเปน มลู เหตุมี ๒ คอื ๑. รอน คอื กรรมแรงฝา ยตรงขามที่เขาตัด อกุศลกรรม กรรมทเี่ ปน อกศุ ล กรรมชวั่ คือเกิดจากอกุศลมูล ๒. กุศลกรรม รอนการใหผลของกรรมสองอยางน้ันให ขาดหรือหยดุ ไปทีเดยี ว หมวดที่ ๓ วา กรรมทเ่ี ปน กศุ ล กรรมดี คือเกดิ จาก โดยปากทานปริยาย คือจําแนกตาม ลําดบั ความแรงในการใหผ ล ไดแ ก ๙. กุศลมลู ครุกกรรม กรรมหนักใหผ ลกอ น ๑๐. กรรม ๓ กรรมจาํ แนกตามทวารคอื ทางท่ี พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม กรรมทํา ทํากรรม มี ๓ คือ ๑. กายกรรม การ มากหรือกรรมชินใหผลรองลงมา ๑๑. กระทาํ ทางกาย ๒. วจกี รรม การกระทํา อาสนั นกรรม กรรมจวนเจยี น หรอื กรรม ทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทาํ ทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจาํ แนกตามหลกั เกณฑ ใกลต าย ถาไมมีสองขอกอนก็จะใหผล เกย่ี วกับการใหผ ล พระอรรถกถาจารย กอ นอนื่ ๑๒. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตา- วาปนกรรม กรรมสักวา ทํา คอื เจตนา รวบรวมแสดงไว ๑๒ อยา ง คอื หมวดท่ี ๑ วา โดยปากกาล คอื จาํ แนกตามเวลาที่ ออ นหรอื มิใชเจตนาอยา งนน้ั ใหผ ลตอ ใหผ ล ไดแ ก ๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม เม่อื ไมมกี รรมอนื่ ใหผ ล กรรมใหผลในปจจุบันคือในภพนี้ ๒. กรรมกรณ เครอ่ื งลงอาชญา, ของสําหรับ
กรรมการ ๕ กรรมวาท ใชล งโทษ เชน โซ ตรวน ขอ่ื คา เปน ตน กรรมวาจา คําประกาศกิจในทามกลาง กรรมการ บคุ คลในคณะซง่ึ รว มกนั ทาํ งาน สงฆ, การสวดประกาศ แบง เปน ๒ คือ บางอยา งทไี่ ดร บั มอบหมาย ญตั ติ ๑ อนุสาวนา ๑ กรรมกเิ ลส กรรมเครอื่ งเศราหมอง, การ กรรมวาจาจารย พระอาจารยผูสวด กระทําที่เปนเหตุใหเศราหมอง มี ๔ กรรมวาจาประกาศในทามกลางสงฆใน อยา งคอื ๑. ปาณาตบิ าต การทําชวี ิตให การอุปสมบท ตกลวงคือ ฆาฟนสังหารกัน ๒. กรรมวาจาวิบัติ เสียเพราะกรรมวาจา, อทนิ นาทาน ถอื เอาของทเี่ จา ของเขามไิ ด กรรมวาจาบกพรอ งใชไ มไ ด ให คือลักขโมย ๓. กาเมสุมิจฉาจาร กรรมวาจาสมบัติ ความสมบูรณแหง ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ; กรรมวาจา, คาํ สวดประกาศถกู ตอ งใชไ ด ดู คหิ ิวนิ ัย กรรมวาท ผปู ระกาศหลักกรรม หรือผู กรรมฐาน ดู กมั มัฏฐาน ถอื หลกั กรรม เชน ยืนยนั วากรรมคอื กรรมบถ “กรรมอันเปนทาง”, กรรมดี การกระทํามแี ละมผี ลจรงิ วาแตล ะคนมี หรือช่ัวซึ่งแรงถึงขั้นท่ีเปนทางใหเกิดใน กรรมเปนของตนและเปนไปตามกรรม สคุ ติหรอื ทุคติ เชน มุสาวาทคอื เจตนา นัน้ วา การกระทาํ เปนเครอ่ื งตัดสนิ ความ พูดเท็จถึงข้ันทําลายตัดรอนประโยชน ดีเลวสูงทราม (มิใชชาติกําเนิดตัดสิน) ของผูอ่นื จงึ เปน กรรมบถ ถาไมถ ึงขน้ั วาการกระทําเปนเหตุปจจัยใหสําเร็จผล อยางน้ี ก็เปนกรรมเทานั้น ไมเปน (มิใชสําเร็จดวยการออนวอนดลบันดาล กรรมบถ, มีคําอธิบายแบบครอบคลุม หรอื แลวแตโชค) เปนตน ; หลกั การแหง ดว ยวา กรรมทัง้ หลายทวั่ ไป ช่ือวา เปน กรรม, การถอื หลกั กรรม; พระพทุ ธเจา กรรมบถ เพราะเปนทางแหงสุคติและ ตรสั เรยี กพระองคเ อง (อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๗๗/๓๖๙) วา ทรงเปน กรรมวาท (ถอื หลกั หรอื กฎ ทุคติ และเปนทางแหงความสุขความ แหง การกระทาํ ) กริ ยิ วาท (ถือหลักการ อันใหกระทํา) และวิริยวาท (ถือหลัก ทุกขของผูท่ีเกิดในคติน้ันๆ, กรรมบถ แยกเปน กุศลกรรมบถ ๑๐ และ ความเพยี ร); บางทกี ลา วถงึ พระกติ ตคิ ณุ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ กรรมปต ตะ ดู กัมมปต ตะ ของพระพทุ ธเจา (เชน ท.ี ส.ี ๙/๑๘๒/๑๔๗) วา กรรมลักษณะ ดู กัมมลักขณะ ทรงเปนกรรมวาที กริ ยิ วาที (คอื เปน กรรมวัฏฏ ดู กัมมวฏั ฏ กรรมวาท และกริ ยิ วาท นนั่ เอง ตา งกนั
กรรมวาที ๖ กรานกฐนิ เพยี งวา กรรมวาท และกริ ยิ วาท เปนได กระแสความ แนวความ ท้ังคําคุณศัพทของบุคคล และคํานาม กระแสเทศนา แนวเทศนา แสดงหลกั การ สว นกรรมวาที และกริ ยิ - กระหยง (ในคาํ วา “นั่งกระหยง ”) นงั่ วาที เปนคุณศัพทอยางเดยี ว) คุกเขาเอาปลายเทาตั้งลงท่ีพื้น สนเทา กรรมวาที ดู กรรมวาท ท้ังสองรับกน เรียกวา นงั่ กระโหยง ก็ กรรมวิปากญาณ ปรีชาหย่ังรูผลของ ได; บางแหง วาหมายถงึ นั่งยองๆ กรรม แมจ ะมกี รรมตางๆ ใหผลอยูมาก กรานกฐนิ ขึงไมสะดงึ คือเอาผาทจี่ ะเยบ็ มายซับซอน กส็ ามารถแยกแยะลวงรไู ด เปนจีวรเขา ขึงท่ไี มสะดงึ เยบ็ เสรจ็ แลว วาอันใดเปนผลของกรรมใด บอกแกภิกษุท้ังหลายผูรวมใจกันยกผา กรรมสิทธ์ิ ความเปนเจาของทรัพย, ใหใ นนามของสงฆ เพอื่ อนโุ มทนา ภิกษุ สิทธทิ ไี่ ดตามกฎหมาย ผเู ย็บจีวรเชน นนั้ เรยี กวา ผกู ราน กรรมารหะ ดู กมั มารหะ กรรแสง รองได บัดนเ้ี ขยี น กันแสง พิธีทําในบดั นค้ี ือ ภกิ ษุซึ่งจําพรรษา กรวดน้าํ ตง้ั ใจอุทิศบญุ กศุ ลใหแ กผูลว ง ครบสามเดือนในวัดเดียวกัน (ตองมี จาํ นวน ๕ รูปข้นึ ไป) ประชุมกันใน ลับ พรอมไปกับหล่ังรินนํ้าเปนเครื่อง อุโบสถ พรอมใจกันยกผากฐินใหแก หมาย และเปนเครื่องรวมกระแสจิตท่ี ภกิ ษุรูปหนงึ่ ในหมพู วกเธอ ภิกษรุ ปู นนั้ ตั้งใจอุทิศน้นั ใหแ นว แน; เริม่ รนิ นํา้ เมอื่ ทาํ กจิ ต้งั แต ซกั กะ ตัด เยบ็ ยอ มให พระองคห ัวหนาเริ่มสวดยถา รินน้ําหมด เสร็จในวันนั้น ทําพินทุกัปปะอธิษฐาน พรอมกับพระหัวหนา สวดยถาจบ และ เปนจีวรครองผืนใดผืนหน่ึงในไตรจีวร พระท้ังหมดเริ่มสวดพรอ มกัน จากนนั้ แลวบอกแกภิกษุสงฆผูยกผาใหเพ่ือ วางท่ีกรวดน้ําลงแลวประนมมือรับพร อนุโมทนา และภกิ ษนุ ้นั อนโุ มทนาแลว ตอ ไป; คํากรวดน้ําอยา งส้นั วา “อทิ ํ โน เรียกวา กรานกฐิน ถา ผากฐนิ เปนจีวร าตีนํ โหต”ุ แปลวา “ขอสวนบญุ นจี้ ง สําเรจ็ รปู กจิ ที่จะตอง ซกั กะ ตัด เย็บ สําเรจ็ แก ... (ออกชอ่ื ผลู ว งลับ) และ ยอม กไ็ มมี (กราน เปนภาษาเขมร แปลวา “ขงึ ” คือทําใหตึง กฐนิ เปน ญาติท้งั หลายของขา พเจาเถิด” จะตออีก ภาษาบาลี แปลวา “ไมส ะดึง” กราน ก็ไดวา “สขุ ิตา โหนฺตุ าตโย” แปลวา กฐิน ก็คือ “ขึงไมส ะดงึ ” คือเอาผา ท่ีจะ “ขอญาติทง้ั หลายจงเปนสขุ เถดิ ” เย็บเปนจีวรเขาขึงท่ีไมสะดึง) เขียน กระทู หวั ขอ, เคาเงอื่ น
กริยา ๗ กลาป กราลกฐิน บา งกม็ ี อันเปนสวนยอยของรูปธรรมประเภท กรยิ า ในทางไวยากรณ คอื รูปสนั สกฤต น้ันๆ โดยที่องคประกอบท้ังหมดมี ของคาํ วา กิรยิ า “สหวุตต”ิ คือมคี วามเปน ไปรวมกัน ทงั้ กรีษ, กรสี คถู อุจจาระ ข้ี เ กิ ด ขึ้ น ด ว ย กั น พ ร อ ม เ ป น อั น เ ดี ย ว กรณุ า ความสงสารคิดจะชวยใหพ น ทุกข, (เอกุปปาทะ) ท้ังดับดวยกันพรอมเปน ความหวั่นใจ เม่ือเห็นผูอ ่ืนมีทุกข คดิ หา อันเดียว (เอกนิโรธะ) และมีมหาภูตรูป ทางชวยเหลอื ปลดเปล้ืองทกุ ขของเขา; ดู เปนท่ีอ าศัย รว มกันเปนอันเดียว พรหมวิหาร (เอกนิสสยะ); ตามหลักทางอภิธรรม กรุย หลักที่ปกไวเพื่อเปนเคร่ืองหมาย หนว ยรวมรปู ธรรมเลก็ ทส่ี ดุ ทเ่ี ปน หนว ย กําหนดแนวทางหรือระยะทาง ยอยพื้นฐานของรูปธรรมท้ังปวง ไดแก กฤดายคุ , กฤตยคุ ดู กัป สทุ ธฏั ฐกกลาป (หนว ยรวมหมวด ๘ กลาป [กะ-หลาบ] ฟอ น, มัด, กํา, แลง , ลว น) คือกลาปซง่ึ ประกอบดวยอวนิ พิ - กลมุ , หมวด, หนว ยรวม 1. ในการเจรญิ โภครูป ๘ (รปู ธรรมแปดอยา งทม่ี ีอยู วิปสสนา การพิจารณาโดยกลาป คือ ดว ยกันเปน ประจาํ เสมอไป ไมสามารถ พจิ ารณาธรรมอยา งรวมๆ โดยรวมเปน แยกพรากออกจากกันได) อันไดแก หมวด หรอื รวบทงั้ กลุม เชนวา รูปธรรม ปฐวี อาโป เตโช วาโย วัณณะ คันธะ ทัง้ ปวง ไมเ ท่ียง ฌานธรรมเหลา น้ี ไมมี รสะ โอชา แลวก็มีขึน้ มีแลว กไ็ มมี ฯลฯ (มีคาํ เรียกหลายอยา ง เชน กลาปวปิ ส สนา, กลาป คือ หนวยรวมยอยของ กลาปสมั มสนะ, นยวปิ สสนา, สมทุ าย- รูปธรรมท้ังหลาย มีอวินิพโภครูป ๘ มนสิการ) ซึ่งงายกวาการพิจารณาโดย นั้นเปน แกนยนื พ้ืน ถา ไมมีองคป ระกอบ องค หรือโดยแยกรายขอยอย เชน อนื่ รวม ก็เปน หนวยรวมหมวด ๘ ลว น พจิ ารณาองคฌ านตามลาํ ดบั ขอ หรอื เปน เรยี กวาสทุ ธฏั ฐกกลาป (สทุ ธ=ลวน + รายขอ (เรียกวา อนปุ ทธรรมวปิ ส สนา, อฏั ฐก=หมวด ๘ + กลาป=หนว ยรวม) อังคโต-สัมมสนะ) 2. (คําเรยี กเตม็ วา ดังกลาวแลว แตถามีองคประกอบอื่น “รปู กลาป”), หนวยรวมรูปธรรมที่เลก็ ท่ี เขา รว มเพมิ่ ขนึ้ กเ็ ปน กลาปตา งแบบออก สุด, หนวยรวมเล็กที่สุด ซ่ึงมีองค ไป โดยที่กลาปแตละแบบน้นั มีจาํ นวน ประกอบท่ีจําเพาะแนนอนมารวมกันขึ้น องคประกอบรวมอยางเดียวกันเทากัน ตายตวั ถา มอี งคป ระกอบ ๙ ก็เปน
กลา วคาํ อนื่ ๘ กสิกรรม นวก=หมวด ๙, ถา มอี งคป ระกอบ ๑๐ ก็ รปู ๓], วจวี ญิ ญตั ตสิ ทั ทลหตุ าทเิ ตรสก~ เปน ทสก=หมวด ๑๐, ถา มอี งคป ระกอบ ๑๑ ก็เปนเอกาสก=หมวด ๑๑, ถามี [๘+วจวี ญิ ญตั ตริ ปู +สทั ทรปู +วกิ ารรปู องคประกอบ ๑๒ ก็เปนทวาทสก= ๓] ๓. อุตชุ กลาป (กลาปท่ีเกดิ แตอ ตุ ุ) มี หมวด ๑๒, ถา มอี งคป ระกอบ ๑๓ ก็เปน ๔ แบบ ไดแก สทุ ธฏั ฐกกลาป [๘], สทั ท- นวก~ [๘+สทั ทรปู ], ลหตุ าทเิ อกาทสก~ เตรสก=หมวด ๑๓ [๘+วกิ ารรปู ๓], สทั ทลหตุ าททิ วาทสก~ กลาปแยกเปน ๔ ประเภทตาม [๘ + สทั ทรปู + วกิ ารรปู ๓] ๔. อาหารช- สมุฏฐาน คอื ๑. กมั มชกลาป (กลาปท่ี กลาป (กลาปท่ีเกิดแตอ าหาร) มี ๒ แบบ เกิดแตก รรม คอื มกี รรมเปน สมฏุ ฐาน) ไดแ กสทุ ธฏั ฐกกลาป[๘], สทั ทนวก~[๘ มี ๙ แบบ ไดแก จกั ขทุ สกกลาป [๘ + + สัททรูป], ลหุตาทิเอกาทสก~ [๘ + ชีวิตรูป + จกั ขปุ สาทรปู ], โสตทสก~ [๘ วกิ ารรปู ๓]; ดู มหาภูตรปู , อุปาทายรูป, + ชีวิตรูป + โสตปสาทรูป], ฆานทสก~ อวนิ ิพโภครูป [๘ + ชีวติ รูป + ฆานปสาทรปู ], ชวิ หา- กลา วคาํ อนื่ ในประโยควา “เปน ปาจติ ตยิ ะ ทสก~ [๘ + ชวี ติ รูป + ชวิ หาปสาทรปู ], ในเพราะความเปน ผกู ลาวคําอ่นื ” ถูกซกั กายทสก~ [๘ + ชวี ติ รปู + กายปสาทรปู ], อยใู นทามกลางสงฆ ไมปรารถนาจะให อติ ถภี าวทสก~ [๘ + ชีวิตรูป + อิตถี- การตามตรง เอาเรื่องอื่นมาพูดกลบ ภาวรปู ], ปรุ สิ ภาวทสก~ [๘ + ชวี ติ รูป + เกลื่อนเสยี ปุรสิ ภาวรปู ], วตั ถทุ สก~ [๘ + ชวี ติ รูป + กลยี ุค ดู กปั หทยรูป], ชวี ติ นวก~ [๘ + ชวี ิตรูป] ๒. กวฬิงการาหาร อาหารคอื คาํ ขา ว ไดแก จติ ตชกลาป (กลาปทเ่ี กดิ แตจ ติ ) มี ๘ แบบ อาหารทก่ี ลนื กินเขาไปหลอเล้ยี งรางกาย, ไดแ ก สทุ ธฏั ฐกกลาป [๘], สทั ทนวก~ อาหารท่เี ปนวัตถุ (ขอ ๑ ในอาหาร ๔) [๘ + สทั ทรปู ], กายวญิ ญตั ตนิ วก~ [๘ + กษัตรยิ พระเจาแผนดิน, เจา นาย, ชนช้ัน กายวิญญัตติรูป], วจีวิญญัตติสัทท- ปกครอง หรือนกั รบ ทสก~ [๘ + วจวี ญิ ญตั ตริ ปู + สทั ทรปู ], กสาวเภสัช นํ้าฝาดเปนยา, ยาทีท่ าํ จาก ลหุตาทเิ อกาทสก~ [๘ + วกิ ารรปู ๓], น้ําฝาดของพชื เชน น้ําฝาดของสะเดา สัททลหตุ าททิ วาทสก~ [๘ + สทั ทรปู + น้ําฝาดกระดอม นํ้าฝาดบอระเพ็ด วกิ ารรปู ๓], กายวญิ ญตั ตลิ หตุ าท-ิ เปน ตน ทวาทสก~ [๘ + กายวญิ ญตั ตริ ปู + วกิ าร- กสิกรรม การทํานา, การเพาะปลกู
กสิณ ๙ กัณฑกสามเณร กสิณ “ท้ังหมด”, “ทงั้ สนิ้ ”, “ลวน”, วัตถุที่ กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธ์ิดวย เปนอารมณอยางเดียวลวนในการเจริญ หมดสงสยั ในนามรปู คอื กาํ หนดรปู จ จยั กรรมฐาน เชน ถาใชปฐวีคอื ดิน ก็เปน แหง นามรปู ไดว า เพราะอะไรเกดิ นามรปู ปฐวีอยางเดียวลวน ไมมีอยางอื่นปน จงึ เกดิ เพราะอะไรดบั นามรปู จงึ ดบั จึงเรยี กวา “ปฐวีกสิณ”, ตามทเี่ รียนกัน กงั สดาล ระฆงั วงเดอื น บัดนี้ แปลกนั วา วัตถอุ ันจงู ใจ คือ จูง กจั จานโคตร, กจั จายนโคตร ตระกูล ใจใหเขา ไปผูกอย,ู เปนช่อื ของกรรมฐาน พราหมณกัจจานะ หรือกจั จายนะ ที่ใชวัตถุของลวนหรือสีเดียวลวน กัจจายนปุโรหิต ปุโรหิตช่ือกัจจายนะ สาํ หรับเพงเพอ่ื จงู จิตใหเ ปนสมาธิ มี ๑๐ เปนปุโรหิตของพระเจาจัณฑปชโชต อยาง คอื ภูตกสิณ ๔: ๑. ปฐวี ดนิ กรุงอุชเชนี ไดฟง พระธรรมเทศนาของ ๒. อาโป นาํ้ ๓. เตโช ไฟ ๔. วาโย ลม; พระพุทธเจา บรรลุพระอรหัตแลวขอ วรรณกสณิ ๔: ๕. นลี ํ สเี ขยี ว ๖. ปต ํ สี อปุ สมบท มชี อื่ ในพระศาสนาวา พระ เหลอื ง ๗. โลหติ ํ สแี ดง ๘. โอทาตํ สี มหากจั จายนะ พระพุทธเจาทรงยกยอ ง ขาว; และ ๙. อาโลโก แสงสวา ง ๑๐. วาเปนเอตทัคคะในทางอธิบายความ อากาโส ทวี่ า ง ของคาํ ยอ ใหพ สิ ดาร; ดู มหากจั จายนะ กสณิ คุ ฆาฏมิ ากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ กัจฉะ, กจั ฉประเทศ รักแร กหาปณะ ช่ือมาตราเงินในสมัยโบราณ กัญจนา เจาหญิงแหงเทวทหนครเปน ๑ กหาปณะเทากับ ๒๐ มาสก หรือ ๔ พระมเหสีของพระเจาสีหหนุ ผูครอง บาท นครกบิลพัสดุ เปนพระชนนีของพระ กะเทย คนหรือสัตวท่ีไมปรากฏวาเปน เจาสุทโธทนะ เปนพระอัยยิกาของเจา ชายหรือหญงิ ชายสทิ ธตั ถะ กังขาเรวตะ พระมหาสาวกองคหนึ่ง กัณฐกะ ชื่อมาสีขาวที่พระมหาบุรุษทรง เดมิ เปนบตุ รของตระกลู ท่มี ั่งคัง่ ชาวพระ ในวนั ออกผนวช นครสาวัตถี ไดฟงพระธรรมเทศนาท่ี กัณฐชะ อกั ษรเกิดในลาํ คอ คอื อ, อา, พระศาสดาทรงแสดง มีความเล่ือมใส ก, ข, ค, ฆ, ง และ ห ขอบวช ตอมาไดส ําเรจ็ พระอรหตั ไดรบั กัณฑ หมวด, ตอน, สว นของเรื่อง ยกยองจากพระศาสดาวาเปนเอตทัคคะ กัณฑกสามเณร ช่ือสามเณรรูปหนึ่งใน ในทางเปน ผูยนิ ดใี นฌานสมาบัติ คร้ังพุทธกาล ผูกลาวตูพระธรรม
กณั ฑเ ทศน ๑๐ กปั ,กลั ป เปนตนเหตุใหพระพุทธเจาทรงบัญญัติ คร้งั หนึ่ง จนกวาภูเขานน้ั จะสึกหรอสิ้น สิกขาบทที่ ๑๐ แหง สัปปาณกวรรคใน ไป กัปหนึง่ ยาวนานกวาน้ัน; กําหนด ปาจติ ตยิ กณั ฑ และทรงใหส งฆน าสนะ อายุของมนษุ ยหรือสตั วจาํ พวกนนั้ ๆ ใน เธอเสยี เขียนเปน กณั ฏกะ กม็ ี กัณฑเทศน ดู เคร่ืองกัณฑ ยุคน้นั ๆ เรียกเต็มวา ‘อายุกัป’ เชน วา กณั หปกข, กณั หปก ษ “ฝา ยดํา” หมาย ถงึ ขางแรม; กาฬปก ษ กเ็ รยี ก; ตรงขามกบั อายุกัปของคนยุคนี้ ประมาณ ๑๐๐ ป ชณุ หปก ษ หรือ ศกุ ลปกษ กตั ตกิ มาส เดือน ๑๒ ทก่ี ลาวขา งตน น้ัน เปนขอ ควรรูท ่ีพอ กตั ติกา 1. ดาวลูกไก 2. เดือน ๑๒ ตาม จนั ทรคติ ตกในราวปลายเดอื นตลุ าคม แกความเขา ใจทว่ั ไป หากตอ งการทราบ ถึงเดอื นพฤศจิกายน ละเอยี ด พึงศึกษาคตโิ บราณดงั นี้ กัตตกุ มั ยตาฉันทะ ความพอใจคอื ความ เปน ผใู ครเ พอ่ื จะทํา, ความตอ งการทจ่ี ะ กปั มี ๔ อยา ง ไดแ ก ๑. มหากปั กัปใหญ คอื กาํ หนดอายุ ทาํ ไดแ ก ฉนั ทะทเ่ี ปน กลางๆ ดกี ็ได ชั่วก็ ของโลก อันหมายถงึ สกลพภิ พ ๒. อสงไขยกปั กัปอันนบั เวลามไิ ด คือ ได แตโดยท่ัวไปหมายถึงฉันทะท่ีเปน สวนยอ ย ๔ แหง มหากัป ไดแ ก กุศล คอื กุศลฉันทะ หรอื ธรรมฉันทะ ๑) สงั วฏั ฏกปั (เรยี กเตม็ วา สงั วฏั ฏ- อสงไขยกปั ) กปั เสอ่ื ม คอื ระยะกาลท่ี ตา งจากกามฉนั ทะทเี่ ปนแตฝ ายอกศุ ล กนั ดาร อตั คดั , ฝด เคอื ง, หายาก, ลาํ บาก, โลกเสอื่ มลงจนถึงวินาศ แหงแลง, ทางทผี่ านไปยาก ๒) สังวัฏฏฐายีกัป (สังวัฏฏฐายี- กัป, กัลป กาลกาํ หนด, กาํ หนดอายขุ อง โลก, ระยะเวลายาวนานเหลือเกนิ ที่ อสงไขยกปั ) ระยะกาลทีโ่ ลกพนิ าศแลว กําหนดวาโลกคือสกลจกั รวาล ประลยั ทรงอยู ๓) ววิ ฏั ฏกปั (ววิ ฏั ฏอสงไขยกปั ) กปั คร้งั หน่งึ (ศาสนาฮนิ ดวู า เปน วันหนึ่งคนื เจริญ คือ ระยะกาลทโี่ ลกกลับเจริญขึน้ หนงึ่ ของพระพรหม) ทานใหเ ขา ใจดว ย ๔) ววิ ฏั ฏฐายกี ปั (ววิ ฏั ฏฐายอี สงไขย- อุปมาวา เปรยี บเหมือนมภี เู ขาศลิ าลวน กปั ) ระยะกาลทโ่ี ลกเจรญิ แลว ทรงอยู กวา ง ยาว สงู ดา นละ ๑ โยชน ทกุ ๑๐๐ ครบรอบ ๔ อสงไขยกปั นี้ เปน มหากปั ป มีคนนาํ ผาเนื้อละเอยี ดอยางดีมาลูบ หนงึ่ ๓. อันตรกัป กัปในระหวาง ไดแก ระยะกาลที่หมูมนุษยเส่ือมจนสวนใหญ พินาศแลว สวนที่เหลือดีขึ้นเจริญข้ึน
กปั ,กัลป ๑๑ กปั ,กลั ป และมีอายยุ ืนยาวขึน้ จนถึงอสงไขย แลว และพระเจา จกั รพรรดิธรรมราชาดว ย) กลับทรามเสื่อมลง อายุส้ันลงๆ จน ๒. อสุญกปั กปั ไมสูญ หรือกัปไมว า ง เหลือเพียงสิบปแลวพินาศ ครบรอบนี้ เปลา คือ กปั ทีม่ ีพระพุทธเจาอบุ ัติ แยก เปนอันตรกปั หนึ่ง ๖๔ อันตรกัปเชนน้นั เปน ๑ อสงไขยกัป ยอยเปน ๕ ประเภท ไดแก ๔. อายุกัป กาํ หนดอายขุ องสัตวจ าํ พวก ๑) สารกัป (กัปท่ีมีสาระขึ้นมาได น้นั ๆ เชน อายุกปั ของมหาพรหมเทา กับ ๑ อสงไขยกัป โดยมีพระพุทธเจามาอุบตั )ิ คือ กัปท่มี ี โดยท่ัวไป คาํ วา “กัป” ที่มาโดดๆ พระพุทธเจาอบุ ตั พิ ระองคเ ดยี ว มักหมายถงึ มหากปั แตห ลายแหงหมาย ๒) มัณฑกัป (กัปเยยี่ มยอด) คือ ถึงอายุกัป เชนท่ีพระพุทธเจาตรัสวา พระองคไดทรงเจรญิ อิทธิบาท ๔ เปน กปั ทีม่ ีพระพทุ ธเจา อบุ ัติ ๒ พระองค อยา งดแี ลว หากทรงจํานง จะทรงพระ ๓) วรกัป (กัปประเสริฐ) คือ กัปท่ี ชนมอยูตลอดกัปหรือเกินกวากัปก็ได “กปั ” ในทนี่ ี้ หมายถึงอายุกัป คอื จะทรง มพี ระพทุ ธเจาอุบตั ิ ๓ พระองค พระชนมอยูจนครบกําหนดอายุของคน ๔) สารมัณฑกัป (กัปที่มีสาระ ในยคุ นน้ั เตม็ บริบูรณ คือเตม็ ๑๐๐ ป หรอื เกินกวา นน้ั ก็ได เยีย่ มยอดยงิ่ กวากัปกอ น) คือ กัปทมี่ ี ตามคติที่บางคัมภีรประมวลมา พระพุทธเจาอบุ ตั ิ ๔ พระองค บันทกึ ไว พึงทราบวา ตลอดมหากัปนนั้ ๕) ภัทกปั (ภัททกปั หรอื ภทั รกัป พระพุทธเจาจะอุบัติเฉพาะแตในวิวัฏฏ- ฐายีกัป คอื ในระยะกาลท่โี ลกกลบั เจรญิ ก็ได, กปั เจรญิ หรอื กปั ท่ดี ีแท) คือ กปั ข้นึ และกาํ ลังทรงอยู เทา น้นั และกัป เม่ือจําแนกตามการอุบัติของพระพุทธ ท่ีมีพระพทุ ธเจาอบุ ตั ิ ๕ พระองค เจา มี ๒ อยาง ไดแ ก ๑. สญุ กัป กัปสญู หรือกัปวา งเปลา คอื กัปปจจุบนั เปนภทั กปั มพี ระพทุ ธ กปั ทไ่ี มมพี ระพทุ ธเจา อุบตั ิ (รวมทัง้ ไมม ี พระปจเจกพุทธเจา พระพุทธสาวก เจา อุบัติ ๕ พระองค คอื พระกกุสนั ธะ พระโกนาคมน พระกัสสปะ พระโคตมะ ท่ีอบุ ัติแลว และพระเมตไตรยท จ่ี ะอุบตั ิ ตอไป ในศาสนาฮนิ ดู ถือวา ๑ กัป (รูป สันสกฤตเปน กลั ป) อันเปน วันหนึง่ คืน หนงึ่ ของพระพรหม (กลางวนั เปน อทุ ยั กปั คอื กปั รงุ , กลางคนื เปน ขยั กปั คอื กัป มลาย) ต้งั แตโ ลกเริ่มตน ใหมจ นประลยั ไปรอบหนง่ึ นน้ั มี ๒,๐๐๐ มหายคุ แต
กปั ปมาณพ ๑๒ ปเยอกปปฺ ยสฺ ิตา ละมหายคุ ยาว ๔,๓๒๐,๐๐๐ ป โดยแบง หรอื ฉนั ได เชน ขา วสกุ จวี ร รม ยาแดง เปน ๔ ยคุ (จตุยุค, จตุรยคุ ) เริม่ จาก เปนกัปปยะ แตสรุ า เสื้อ กางเกง หมวก ระยะกาลทีม่ นุษยมีศลี ธรรมและรา งกาย น้ําอบ ไมเปนกัปปยะ ส่ิงที่ไมเปน สมบรู ณง ดงาม แลว เสอื่ มทรามลง และ กัปปย ะ เรียกวา อกปั ปย ะ ชว งเวลาของยคุ กส็ นั้ เขา ตามลาํ ดบั คือ กปั ปย การก ผทู าํ ของทสี่ มควรแกส มณะ, ๑. กฤตยุค ยุคที่โลกอันพระพรหม ผูทําหนาท่ีจัดของท่ีสมควรแกภิกษุ สรา งเสร็จแลว มคี วามดงี ามสมบูรณอ ยู บรโิ ภค, ผปู ฏบิ ตั ภิ กิ ษ,ุ ลกู ศษิ ยพ ระ ดงั ลกู เตา ดา น ‘กฤต’ ทม่ี ี ๔ แตม เปน ยคุ กปั ปย กฎุ ี เรอื นเกบ็ ของทเ่ี ปนกัปปย ะ; ดู ดเี ลศิ ๑,๗๒๘,๐๐๐ ป (สตั ยยคุ คอื ยคุ กัปปยภูมิ แหง สจั จะ กเ็ รยี ก; ไทยเรยี ก กฤดายคุ ) กัปปยบรขิ าร เครอื่ งใชส อยทสี่ มควรแก ๒. เตรตายคุ ยุคทม่ี ีความดงี ามถอยลง สมณะ, ของใชทส่ี มควรแกภิกษุ มา ดงั ลกู เตา ดา น ‘เตรตา’ ทมี่ ี ๓ แตม กัปปยภัณฑ ของใชท่ีสมควรแกภิกษุ, ยงั เปน ยคุ ทดี่ ี ๑,๒๙๖,๐๐๐ ป (ไทยเรยี ก สงิ่ ของทส่ี มควรแกส มณะ ไตรดายคุ ) กัปปยภูมิ ทีส่ าํ หรับเกบ็ เสบยี งอาหารของ ๓. ทวาปรยคุ ยุคที่ความดีงามเส่ือม วดั , ครวั วดั มี ๔ อยา ง คอื ๑. อนสุ สาว- ทรามลงไปอกี ดงั ลกู เตา ดา น ‘ทวาปร’ ที่ นนั ติกา กัปปย ภูมทิ ี่ทาํ ดวยการประกาศ มี ๒ แตม เปน ยคุ ทมี่ คี วามดพี อทรงตวั ใหรูกันแตแรกสรางวาจะทําเปนกัปปย- ได ๘๖๔,๐๐๐ ป (ไทยเรยี ก ทวาบรยคุ ) ภมู ิ คอื พอเรม่ิ ยกเสาหรอื ตงั้ ฝากป็ ระกาศ ๔. กลยี คุ ยุคที่เสือ่ มทรามถงึ ท่ีสดุ ดงั ใหไ ดย นิ วา “กปปฺ ย ภมู ึ กโรม” แปลวา ลกู เตา ดา น ‘กล’ิ ทมี่ เี พยี งแตม เดยี ว เปน “เราทง้ั หลายทาํ กปั ปย กฎุ ”ี ๒. โคนสิ าทกิ า ยคุ แหง ความเลวรา ย ๔๓๒,๐๐๐ ป กปั ปย ภมู ิขนาดเล็กเคลอ่ื นที่ได ดุจเปน กปั ปมาณพ ศิษยค นหนงึ่ ในจํานวน ๑๖ ทโ่ี คจอ ม ๓. คหปตกิ า เรอื นของคฤหบดี คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถาม เขาสรา งถวายเปน กปั ปย ภมู ิ ๔. สมั มตกิ า ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย กัปปยภูมทิ ่สี งฆสมมติ ไดแ กก ฎุ ที ่ีสงฆ กัปปาสกิ ะ ผาทาํ ดว ยฝาย คือผาสามัญ เลือกจะใชเปนกัปปยกุฎี แลวสวด กัปปยะ สมควร, ควรแกสมณะท่ีจะ ประกาศดว ยญัตตทิ ตุ ิยกรรม บริโภค, ของที่สมควรแกภกิ ษบุ รโิ ภคใช กปปฺ เ ย อกปปฺ ยสฺิตา อาการทีต่ อง สอย คอื พระพทุ ธเจา อนญุ าตใหภกิ ษุใช อาบตั ิดว ยสาํ คัญวาไมควรในของที่ควร
กปั ปละ ๑๓ กัมมฏั ฐาน กัปปละ ชื่อพราหมณนายบานของหมู กรรมประเภทนน้ั ได แตทานไมไ ดอ อก บานพราหมณหมูหน่ึง ในแขวงกรุง ช่อื ไว และไมอาจจัดเขา ในชื่ออื่นๆ แหง ราชคฤห เปนบดิ าของปป ผลิมาณพ สังฆกรรมประเภทเดยี วกนั เชน การ กมั ปล ละ ชอ่ื นครหลวงแหง แควน ปญ จาละ อปโลกนแ จกอาหารในโรงฉัน เปนกัมม- กัมพล ผาทอดวยขนสัตว เชนสกั หลาด ลักขณะในอปโลกนกรรม, การประกาศ กมั โพชะ แควน หนง่ึ ในบรรดา ๑๖ แควน เริ่มตนระงับอธิกรณดวยติณวัตถารก- แหงชมพูทวีป มีนครหลวงช่ือทวารกะ วินัย เปนกัมมลักขณะในญัตติกรรม, บัดน้ีอยูในประเทศอฟั กานสิ ถาน ญัตตทิ ตุ ิยกรรมท่ีสวดในลาํ ดบั ไปในการ กัมมขันธกะ ช่ือหมวดหน่ึงในคัมภีร ระงบั อธกิ รณด ว ยตณิ วตั ถารกวนิ ยั เปน จลุ ลวรรค พระวนิ ยั ปฎ ก วา ดว ยนคิ หกรรม กัมมลักขณะในญัตติทุติยกรรม, ๕ ประเภท อปุ สมบทและอพั ภานเปน กมั มลกั ขณะใน กัมมชรูป ดูท่ี รปู ๒๘ ญตั ตจิ ตตุ ถกรรม กมั มปต ตะ, กมั มปต ต “ผถู งึ กรรม”, “ผู กมั มวฏั ฏ วนคอื กรรม, วงจรสว นกรรม, เขา กบั กรรม”, ผเู ขา กรรม, ภิกษุผเู ขา หน่งึ ในวฏั ฏะ ๓ แหงปฏิจจสมุปบาท รว มทําสังฆกรรม โดยเปน ปกตัตตะ ประกอบดวยสังขารและกรรมภพ; ดู คือเปนผูมีสิทธิถูกตอง และไมเปน ไตรวัฏฏ กมั มารหะ คือมิใชเปนผซู ่งึ ถกู ที่ประชมุ กมฺมวิปากชา อาพาธา ความเจบ็ ไขเกิด สงฆท าํ กรรม, สงฆท จ่ี ะครบองคป ระชมุ แตว บิ ากแหง กรรม; ดู อาพาธ เชน สังฆกรรมท่ีทําโดยสงฆจตุวรรค กมั มสัทธา ดู สัทธา ตอ งมภี กิ ษคุ รบ ๔ รปู กค็ อื มกี มั มปต ตะ กมั มญั ญตา ความควรแกก ารงาน, ภาวะ ครบ ๔ รูป (สงฆปญจวรรคตองมี ที่ใชการได หรือเหมาะแกการใชงาน, กัมมปตตะครบ ๕ รปู สงฆท ศวรรคตอ ง ความเหมาะงาน มกี มั มปต ตะครบ ๑๐ รปู สงฆว สี ตวิ รรค กมั มัฏฐาน ทีต่ ้ังแหงการงาน, อารมณ ตองมีกัมมปตตะครบ ๒๐ รูป); ดู เปน ท่ตี ้ังแหง การงานของใจ, อบุ ายทาง ปกตตั ตะ, กมั มารหะ กัมมลักขณะ การอันมีลักษณะเปน ใจ, วิธฝี กอบรมจติ ใจและเจรญิ ปญ ญา (นิยมเขียน กรรมฐาน); กัมมฏั ฐาน ๒ (สงั ฆ)กรรมนนั้ ได, กจิ การทมี่ ลี กั ษณะอนั (โดยหลกั ทัว่ ไป) คอื ๑. สมถกัมมฏั ฐาน จัดเขาเปนสังฆกรรมอยางหนึ่งในสังฆ- กรรมฐานเพ่ือการทําจิตใจใหสงบ, วิธี
กมั มัฏฐาน ๔๐ ๑๔ กมั มารหะ ฝกอบรมเจริญจิตใจ ๒. วิปสสนา- อสุภสัญญาก็มาชวยใหโลภะหรือราคะ กัมมัฏฐาน กรรมฐานเพื่อการใหเกิด เขามาครอบงําไมได เพราะจะไมติดใจ ความรแู จง, วธิ ฝี ก อบรมเจริญปญญา; แมแตใ นทิพยารมณ แลว กม็ งุ หนาไปใน กมั มัฏฐาน ๒ (โดยการปฏิบตั )ิ คือ ๑. ปาริหารยิ กรรมฐานของตน; ดู ภาวนา สัพพัตถกกัมมัฏฐาน กรรมฐานท่ีพึง กัมมัฏฐาน ๔๐ คือ ส่ิงที่นิยมใชเปน ตองการในที่ทั้งปวง หรอื พงึ ใชเ ปนฐาน อารมณในการเจริญสมถภาวนา ซึ่งพงึ ของการเจรญิ ภาวนาทกุ อยา ง, กรรมฐาน เลือกใชใหเหมาะกับตน เชนใหตรงกับ ทเี่ ปน ประโยชนใ นทกุ กรณี ไดแ ก เมตตา จรติ มี ๔๐ อยา ง ไดแ ก กสณิ ๑๐ อสภุ ะ มรณสติ และบางทา นวา อสภุ สญั ญาดว ย ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อาหาเร- ๒. ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน กรรมฐานทจี่ ะ ปฏกิ ลู สญั ญา๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน๑ อรปู ๔ ตอ งบรหิ าร (ประจาํ ตวั ) คอื กรรมฐานขอ กัมมสั สกตาญาณ ความรูถ งึ ภาวะทส่ี ัตว หนง่ึ ขอ ใดกต็ าม ทเ่ี ลอื กวา เหมาะกบั ตน ท้ังหลายมีกรรมเปนของตน ทําดีไดดี เชน วา ตรงกบั จรติ แลว หรือกาํ หนดเอา ทําชวั่ ไดชั่ว, จดั เปนปญญาที่ถกู ตอ งใน เปนขอท่ีตนจะปฏิบัติเพื่อกาวสูผลท่ีสูง ระดบั สามัญ (ยังไมเปน อธปิ ญ ญา) และ ขนึ้ ไปๆ แลว ตอ แตน น้ั กจ็ ะตอ งเอาใจใส เปน โลกิยสัมมาทิฏฐ;ิ กมั มัสสกตญาณก็ จัดปรับบําเพ็ญตลอดเวลาเพื่อใหกาว เขยี น, กมั มสั สกตาปญ ญา หรือ กัมมัส- หนา ไปและไดผ ลด,ี ทงั้ นห้ี มายความวา สกตปญ ญา ก็เรียก; ดู สกิ ขา ผปู ฏบิ ตั ทิ กุ คนพงึ ปฏบิ ตั กิ รรมฐานทง้ั ๒ กมั มสั สกตาสทั ธา ความเชื่อวา สตั วมี ขอ เนอื่ งจากสพั พัตถกกมั มฏั ฐานจะชว ย กรรมเปนของตัว ทาํ ดไี ดดี ทาํ ช่ัวไดช ว่ั , เปนพ้ืนเก้ือหนุนตอปาริหาริยกัมมัฏฐาน เปน คาํ ทผี่ กู ขน้ึ ภายหลัง โดยจัดไวในชดุ โดยผูปฏิบัตินั้น พอเริ่มตน ก็เจริญ สัทธา ๔ สวนในพระไตรปฎกและ เมตตาตอประดาภิกษุสงฆและหมูชน คัมภรี ท ัง้ หลาย มแี ต กัมมสั สกตาญาณ; ตลอดถึงเทวดาในถิ่นใกลรอบตัวจนทั่ว ดู กมั มัสสกตาญาณ, สัทธา สรรพสัตว เพ่ือใหมีใจออนโยนตอกัน กมั มารหะ ผคู วรแกกรรม คอื บคุ คลที่ และมีบรรยากาศรมเยน็ เปน มติ ร พรอม ถูกสงฆทํากรรม เชน ภิกษุท่ีสงฆ กนั นนั้ กเ็ จรญิ มรณสติ เพอื่ ใหใ จหา งจาก พิจารณาทาํ ปพพาชนยี กรรม คฤหสั ถท ่ี ทจุ ริตไมคดิ ถึงอเนสนา และกระตุนเรา ถกู สงฆด าํ เนนิ การควํา่ บาตร เปนตน ; ดู ใจใหป ฏิบตั จิ ริงจัง ไมย อ หยอน สวน ปกตัตตะ, กมั มปต ตะ
กลั บก ๑๕ กาม กลั บก ชางตดั ผม, ชางโกนผม กัศมีร แควนหนึ่งของชมพูทวีป ซ่ึง กลั ป ดู กปั ปรากฏช่ือข้ึนในยุคอรรถกถาเปนตนมา กัลปนา 1. ทีห่ รอื สิ่งอื่นซ่ึงเจาของอทุ ิศ โดยมกั เรยี กรวมกบั แควนคันธาระ เปน ผลประโยชนใหแ กวัด 2. สวนบุญที่ผูทาํ “กศั มีรคันธาระ”, ในภาษาไทย บางที อทุ ศิ ใหแกผูต าย เรยี กวา “แคชเมียร”; ดู คันธาระ กัลยาณคุณ คณุ อันบณั ฑิตพงึ นบั , คณุ - กัสสปะ 1. พระนามพระพุทธเจา พระ องคห น่ึงในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๕ 2. สมบัติทด่ี งี าม, คณุ งามความดี กลั ยาณชน คนประพฤตดิ ีงาม, คนดี ชอ่ื ของพระมหากสั สปเถระเมอ่ื เรยี กตาม กลั ยาณธรรม ธรรมอนั ด,ี ธรรมดงี าม, โคตร ทา นมีชื่ออกี อยา งหน่งึ วา ปป ผลิ ธรรมของกัลยาณชน; ดู เบญจธรรม หรือ ปปผลิมาณพ 3. หมายถึงกสั สปะ กัลยาณปุถุชน คนธรรมดาท่ีมีความ สามพน่ี อ ง คอื อรุ เุ วลกสั สปะนทกี สั สปะ ประพฤติดี, ปุถุชนผมู ีคุณธรรมสูง คยากสั สปะ ซึง่ เปน นกั บวชประเภทชฎิล กัลยาณมิตตตา ความมีกัลยาณมิตร, ถอื ลัทธิบูชาไฟ เปนท่ีเคารพนบั ถือของ ความมีเพื่อนเปน คนดี ไมค บคนช่ัว (ขอ ชาวราชคฤห ภายหลงั ไดเ ปน พระอรหนั ต ๓ ในทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถสงั วัตตนกิ ธรรม ๔) พรอมกันท้ังสามพี่นองและบริวารหน่ึง กัลยาณมิตร “มติ รผมู ีคณุ อนั บัณฑติ พงึ พนั ดว ยไดฟ ง เทศนาอาทติ ตปรยิ ายสตู ร นบั ”, เพ่ือนท่ดี ี (คุณสมบตั ิ ดู เพอื่ น) จากพระพทุ ธเจา 4. คาํ เรยี กชอ่ื อยา ง กลั ยาณมติ รธรรม ธรรม คอื คณุ สมบตั ิ สน้ั ๆ หมายถงึ พระกมุ ารกสั สปะ ของกลั ยาณมติ ร; กลั ยาณมิตรธรรม ๗ กัสสปโคตร ตระกลู พราหมณกัสสปะ ดู เพื่อน กัสสปสังยุตต ชื่อเรียกพระสูตรหมวด กัลยาณี นางงาม, หญิงงาม, หญิงท่มี ีคุณ หนึ่ง ในคัมภีรส งั ยตุ ตนกิ าย รวบรวม ธรรมนา นบั ถือ เรื่องเก่ียวกับพระมหากัสสปะไวเปน กัลลวาลมุตตคาม ช่ือหมูบาน อยูใน หมวดหมู แควน มคธ พระโมคคัลลานะอปุ สมบท กาจ รา ย, กลา , เกง ได ๗ วนั ไปทาํ ความเพยี รจนออ นใจ กาพย คํารอยกรองที่แตงทํานองฉันท นั่งโงกงวงอยู พระพุทธเจาเสด็จไป แตไมนยิ มครลุ หเุ หมอื นฉนั ทท ั้งหลาย เทศนาโปรด จนไดสําเร็จพระอรหัตท่ี กาม ความใคร, ความอยาก, ความ หมบู า นน้ี ปรารถนา, ส่ิงท่ีนาปรารถนา นา ใคร,
กามคุณ ๑๖ กาเมสุมจิ ฉาจาร กามมี ๒ คอื ๑.กเิ ลสกาม กิเลสทท่ี ําให หลงใหลหมกมนุ ใน รูป เสยี ง กลน่ิ รส ใคร ๒. วตั ถุกาม วัตถุอนั นา ใคร ไดแก และสัมผัส (ขอ ๓ ในเบญจธรรม) กามคุณ ๕ กามสุข สุขในทางกาม, สุขท่ีเกิดจาก กามคณุ สว นท่นี า ปรารถนานา ใครม ี ๕ กามารมณ อยา ง คอื รูป เสียง กลน่ิ รส และ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให โผฏฐพั พะ (สมั ผสั ทางกาย) ท่ีนา ใครน า พัวพนั หมกมนุ อยใู นกามสุข เปนอยา ง พอใจ หนึ่งในที่สดุ สองขาง คอื กามสุขลั ลิกา- กามฉันท, กามฉันทะ ความพอใจรัก นุโยค ๑ อตั ตกิลมถานโุ ยค ๑ ใครในอารมณที่ชอบใจมีรูปเปนตน, กามสคุ ตภิ ูมิ กามาวจรภมู ิท่เี ปน สุคติ คอื ความพอใจในกามคณุ ท้ัง ๕ คือ รปู มนษุ ยและสวรรค ๖ (จะแปลวา “สุคติ เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ (ขอ ๑ ใน ภูมทิ ่ยี งั เกย่ี วขอ งกับกาม” ก็ได) นิวรณ ๕) กามาทนี พ โทษแหง กาม, ขอ เสยี ของกาม กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม, กามารมณ 1. อารมณท่ีนาใคร นา ความอยากไดกาม (ขอ ๑ ในตัณหา ๓) ปรารถนา หมายถงึ รปู เสยี ง กลนิ่ รส กามภพ ที่เกิดของผูท่ียังเก่ยี วของอยูใน โผฏฐพั พะ ไดแ กก ามคณุ ๕ นนั่ เอง 2. ใน กาม, โลกเปนทอี่ ยูอ าศัยของผูเสพกาม ภาษาไทย มกั หมายถงึ ความรสู กึ ทางกาม ไดแ ก อบายภมู ิ ๔ มนษุ ยโลก และ กามาวจร ซง่ึ ทอ งเทยี่ วไปในกามภพ, ซึง่ สวรรค ๖ ช้ัน ต้งั แตชั้นจาตมุ หาราชิกา เก่ียวของอยกู ับกาม ไดแ ก ขันธ ธาตุ ถึงช้ันปรนิมมติ วสวัตดีรวมเปน ๑๑ ชั้น อายตนะ ทุกสงิ่ ทุกอยา งประดามีทเี่ ปน (ขอ ๑ ในภพ ๓) ไปในกามภพ ต้ังแตอเวจีมหานรกถึง กามราคะ ความกาํ หนดั ดว ยอาํ นาจกเิ ลส- สวรรคช้ันปรนิมมติ วสวัตดี; ดู ภพ, ภูมิ กาม, ความใครกาม (ขอ ๔ ในสงั โยชน กามาสวะ อาสวะคอื กาม, กเิ ลสดองอยใู น ๑๐, ขอ ๑ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระ สันดานทท่ี าํ ใหเกดิ ความใคร; ดู อาสวะ กามุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในกาม อภธิ รรม, ขอ ๑ ในอนสุ ยั ๗) กามสมบัติ สมบตั ิคือกามารมณ, ความ ยึดถือวาเปนของเราหรือจะตองเปนของ ถึงพรอ มดวยกามารมณ เรา จนเปน เหตใุ หเ กดิ รษิ ยาหรอื หวงแหน กามสงั วร ความสาํ รวมในกาม, การรูจ กั ลมุ หลง เขา ใจผิด ทําผิด ยับย้ังควบคุมตนในทางกามารมณไมให กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดใน
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี ๑๗ กายบรหิ าร กามท้ังหลาย, ความผิดประเวณี กายทวารทใ่ี ชท าํ กรรมคอื เคลอื่ นไหวแสดง กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เวนจาก ออกและทาํ การตา งๆ, ในคาํ วา “กายสขุ ” ประพฤติผิดในกาม, เวนการลวง (สขุ ทางกาย) หมายถงึ ทางทวารทง้ั ๕ คอื ประเวณี ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย ซง่ึ คกู บั เจโตสขุ กายกรรม การกระทําทางกาย เชน ฆา หรอื สขุ ทางใจ, ในคาํ วา “กายภาวนา” (การ สัตว ลักทรัพย ประพฤติผิดในกาม พัฒนากาย) หมายถึงอินทรียสังวรคือ หรือเวน จากการฆา สตั ว เวนจากการลัก ความรจู กั ปฏบิ ตั ใิ หไ ดผ ลดใี นการใชต า หู ทรัพยเ ปน ตน จมกู ลนิ้ และกาย ดงั น้ี เปน ตน กาย กอง, หมวดหม,ู ทีร่ วม, ชุมนมุ เชน กายกัมมัญญตา ความควรแกงานแหง สัตวกาย (มวลสัตว) พลกาย (กอง นามกาย, ธรรมชาตทิ ที่ าํ นามกาย คือ กําลังทหาร) รถกาย (กองทหารรถ) เจตสิกทัง้ หลายใหอยใู นภาวะทจี่ ะทาํ งาน ธรรมกาย (ที่รวมหรือท่ีชุมนุมแหง ไดดี (ขอ ๑๔ ในโสภณเจตสิก ๒๕) ธรรม) 1. ทรี่ วมแหง อวยั วะทง้ั หลาย หรอื กายคตาสติ, กายสติ สติที่เปนไปใน ชมุ นมุ แหง รปู ธรรม คอื รา งกาย บางที กาย, สติอันพิจารณากายใหเห็นตาม เรียกเต็มวา รูปกาย 2. ประชุมแหง สภาพทมี่ สี ว นประกอบ ซงึ่ ลว นเปนของ นามธรรม หรอื กองแหง เจตสกิ เชน ในคาํ ไมสะอาด ไมง าม นา รงั เกียจ ทําใหเ กิด วา “กายปส สทั ธ”ิ (ความสงบเยน็ แหง กอง ความรเู ทา ทนั ไมหลงใหลมัวเมา เจตสกิ ) บางทเี รยี กเตม็ วา นามกาย (แตใ น กายทวาร ทวารคือกาย, กายในฐานเปน บางกรณี นามกาย หมายถงึ นามขนั ธห มด ทางทาํ กรรม, ทางกาย ทง้ั ๔ คอื ทง้ั เวทนา สญั ญา สงั ขาร และ กายทุจริต ประพฤติชั่วดวยกาย, วญิ ญาณ หรอื ทงั้ จติ และเจตสกิ ); นอก ประพฤติชัว่ ทางกาย มี ๓ อยางคือ ๑. จากความหมายพนื้ ฐาน ๒ อยา งนแี้ ลว ยงั ปาณาตบิ าต ฆา สตั ว ๒. อทนิ นาทาน มคี วามหมายปลกี ยอ ย และความหมาย ลักทรพั ย ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติ เฉพาะ ตามขอความแวดลอมอกี หลาย ผดิ ในกาม; ดู ทจุ รติ อยา ง เชน ในคาํ วา “กายสมั ผสั ” (สมั ผสั กายบริหาร การรักษารางกายใหเหมาะ ทางกาย) หมายถึงกายอินทรียที่รับรู สมแกค วามเปน สมณะ เชน ไมไ วผ มยาว โผฏฐพั พะคอื สง่ิ ตอ งกาย, ในคาํ วา “กาย เกนิ ไป ไมไ วหนวดเครา ไมไ วเ ล็บยาว ทุจริต” (ทุจริตดวยกาย) หมายถึง ไมผัดหนา ไมแ ตงเครอื่ งประดบั กาย ไม
กายประโยค ๑๘ กายานุปส สนา เปลอื ยกาย เปน ตน โสดาบันขึ้นไปจนถึงผูต้ังอยูในอรหัตต- กายประโยค การประกอบทางกาย, การ มรรค ทเ่ี ปนผมู สี มาธนิ ทรยี แรงกลา ได กระทําทางกาย สัมผสั วโิ มกข ๘ (เมือ่ บรรลอุ รหตั ตผล กายปสสัทธิ ความสงบรํางับแหงนาม- กลายเปน อภุ โตภาควมิ ตุ ); ดู อรยิ บคุ คล๗ กาย, ธรรมชาติทํานามกาย คือ เจตสกิ กายสงั ขาร 1. ปจ จัยปรงุ แตง กาย ไดแก ทง้ั หลายใหสงบเยน็ (ขอ ๘ ในโสภณ- ลมหายใจเขา หายใจออก 2. สภาพท่ี เจตสกิ ๒๕) ปรงุ แตงการกระทาํ ทางกายไดแก กาย- กายปาคุญญตา ความคลองแคลวแหง สัญเจตนา หรือความจงใจทางกาย ซ่งึ นามกาย, ธรรมชาติทํานามกายคือ ทาํ ใหเ กิดกายกรรม เจตสิกทั้งหลาย ใหแคลวคลองวองไว กายสังสัคคะ ความเกี่ยวของดวยกาย, รวดเร็ว (ขอ ๑๖ ในโสภณเจตสิก ๒๕) การเคลาคลึงรางกาย, เปนชื่ออาบัติ กายมุทุตา ความออนโยนแหงนามกาย, สังฆาทิเสสขอที่ ๒ ที่วาภิกษุมีความ ธรรมชาติทํานามกาย คือ เจตสิกท้ัง กําหนัดถึงความเคลาคลึงดวยกายกับ หลายใหน มุ นวลออ นละมุน (ขอ ๑๒ ใน มาตุคาม, การจบั ตอ งกายหญงิ โดยมจี ติ โสภณเจตสิก ๒๕) กาํ หนัด กายลหุตา ความเบาแหงนามกาย, กายสัมผัส สมั ผสั ทางกาย, อาการท่กี าย ธรรมชาติทาํ นามกาย คือกองเจตสิก ให โผฏฐพั พะ และกายวญิ ญาณประจวบกนั เบา (ขอ ๑๐ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) กายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาท่ีเกิดข้ึน กายวิญญัติ ความเคลอื่ นไหวรางกายใหร ู เพราะกายสัมผัส, ความรูสึกท่ีเกิดขึ้น ความหมาย เชน สน่ั ศรี ษะ โบกมอื เพราะการทกี่ าย โผฏฐพั พะ และกาย- ขยบิ ตา ดีดน้วิ เปนตน; เทียบ วจวี ิญญัติ วิญญาณประจวบกัน กายวิญญาณ ความรูที่เกิดขึ้นเพราะ กายสามัคคี ดู สามคั คี โผฏฐัพพะกระทบกาย, โผฏฐัพพะ กายสุจริต ประพฤติชอบดวยกาย, กระทบกาย เกิดความรขู ึน้ (ขอ ๕ ใน ประพฤติชอบทางกาย มี ๓ อยา ง คือ วิญญาณ ๖) เวนจากการฆาสัตว เวนจากการลัก กายสมาจาร ความประพฤติทางกาย ทรัพย เวนจากประพฤติผิดในกาม; ดู กายสักขี “ผเู ปน พยานดวยนามกาย”, “ผู กายทุจรติ , สจุ รติ ประจกั ษกบั ตวั ”, พระอริยบุคคลตง้ั แต กายานุปสสนา สติพิจารณากายเปน
กายกิ สุข ๑๙ กาลามสตู ร อารมณวา กายนี้ก็สักวากาย ไมใชส ตั ว ตามทพี่ ระพุทธเจา ตรสั ไวเ ดิม (อง.ฺ ปจฺ ก. บุคคลตัวตนเราเขา เปนสติปฏฐานขอ ๒๒/๓๖/๔๔) มี กาลทาน ๕ คอื อาคนั ตกุ - หนึง่ ; ดู สตปิ ฏฐาน ทาน (ทานแกผมู าจากตา งถ่นิ ), คมกิ ทาน กายิกสุข สุขทางกาย เชนไดยินเสียง (ทานแกผ ูจ ะไปจากถนิ่ ), คลิ านทาน (ทาน ไพเราะ ลิ้มรสอรอย ถกู ตองสิ่งทอ่ี อน แกผ เู จบ็ ไข) , ทพุ ภกิ ขทาน (ทานในยามมี นุม เปนตน ทุพภกิ ขภัย), และทานคราวขา วใหม มี กายุชุกตา ความซื่อตรงแหงนามกาย, ผลไมใหม จดั ใหแกท านผมู ีศีลเปน ปฐม; ธรรมชาตทิ ที่ าํ นามกายคอื เจตสกิ ทง้ั หลาย ปจ จุบนั นี้ มกั ใชใ นความหมายวา ทานที่ ใหซ อื่ ตรง (ขอ ๑๘ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) ใหไดเฉพาะภายในระยะเวลาที่กําหนด การก ผูกระทํากรรมไดต ามพระวนิ ยั มี ๓ ไมม กี ารใหนอกเวลา หรือนอกเทศกาล คอื สงฆ คณะ และ บคุ คล เชนในการ เชน การถวายผา กฐนิ การถวายผา อาบ ทําอุโบสถ ภิกษุต้ังแตส่ีรูปข้ึนไปเรียก น้าํ ฝน เปนตน ซึง่ ทายกจะถวายไดต าม สงฆ สวดปาฏิโมกขไ ด ภกิ ษุสองหรอื กําหนดเวลาท่ีพระพุทธเจาทรงอนุญาต สามรูป เรียก คณะ ใหบอกความ เทา น้ัน กอ นหรอื เลยเขตกําหนดไป ทาํ บริสุทธิ์ได ภกิ ษุรปู เดยี วเรยี กวา บคุ คล ไมได; ดู ทาน กาลเทศะ เวลาและประเทศ, เวลา และ ใหอธิษฐาน การกสงฆ “สงฆผ กู ระทาํ ” หมายถงึ สงฆ สถานท่ี หมูหนึ่งผูดําเนินการในกิจสําคัญ เชน กาลวิภาค การแจกกาลออกเปนเดือน การสงั คายนา หรอื ในสงั ฆกรรมตา งๆ ปกษ และวัน การงานชอบ ดู สัมมากมั มนั ตะ กาลญั ุตา ความเปน ผรู ูจ ักกาลเวลาอัน กาล เวลา สมควรในการประกอบกจิ นัน้ ๆ เชน รู กาละ เวลา, คราว, คร้งั , หน วาเวลาไหนควรทําอะไร เปนตน (ขอ ๕ กาลกรรณี, กาลกิณี ดู กาฬกรรณี ในสัปปรุ สิ ธรรม ๗) กาลกริ ยิ า “การกระทาํ กาละ”, การตาย, กาลามสตู ร สูตรหนึง่ ในคมั ภรี ติกนิบาต มรณะ อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจาตรัสสอน กาลทาน ทานท่ีใหต ามกาล, ทานท่ใี หได ชนชาวกาลามะแหงเกสปุตตนิคมใน เฉพาะเหตุการณ หรือเปนคร้ังคราวใน แควนโกศล ไมใหเช่ืองมงายไรเ หตผุ ล โอกาสพิเศษ ไมใชใหไดตลอดเวลา, ตามหลัก ๑๐ ขอ คือ อยา ปลงใจเช่อื
กาลกิ ๒๐ กาฬสลิ า ดวยการฟงตามกนั มา, ดวยการถอื สืบๆ ไมเ ปน กาลิก แตนับเขาดว ยโดยปริยาย กันมา, ดว ยการเลาลือ, ดวยการอาง เพราะเปน ของเกยี่ วเนื่องกัน) ตําราหรอื คมั ภีร, ดวยตรรก, ดวยการ กาววาว ฉูดฉาด, หรูหรา, บาดตา อนมุ าน, ดวยการคดิ ตรองตามแนวเหตุ กาสะ ไอ (โรคไอ) ผล, เพราะเขากันไดก ับทฤษฎีของตน, กาสาวะ ผา ยอ มฝาด, ผา เหลอื งสาํ หรบั พระ เพราะมองเห็นรูปลกั ษณะนา เชอ่ื , เพราะ กาสาวพสั ตร ผา ท่ยี อมดว ยรสฝาด, ผา นับถือวาทานสมณะน้ีเปนครูของเรา; ยอมน้ําฝาด, ผา เหลืองสําหรับพระ ตอเม่ือใด พิจารณาเห็นดวยปญญาวา กาสี แควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควนแหง ธรรมเหลา นน้ั เปน อกศุ ล เปน กุศล มี ชมพูทวปี มีนครหลวงชื่อพาราณสี ใน โทษ ไมม ีโทษ เปนตนแลว จงึ ควรละ สมัยพุทธกาล กาสีไดถูกรวมเขาเปน หรือถือปฏบิ ตั ติ ามน้นั เรยี กอกี อยา งวา สว นหน่ึงของแควนโกศลแลว เกสปตุ ติยสตู ร หรอื เกสปุตตสตู ร กาฬกรรณี, กาฬกณั ณี “อันทําใหท ี่ตน กาลิก เนื่องดวยกาล, ขึ้นกบั กาล, ของอนั อาศัยพลอยเปนดังสดี าํ อับมดื ไป”, ตวั จะกลืนกินใหลวงลําคอเขาไปซึ่งพระ กอ อุบาทว, ตัวนาํ เคราะหรา ยหรอื ทาํ ให วินัยบัญญัติใหภิกษุรับเก็บไวและฉันได อับโชค, เสนยี ดจญั ไร, อปั มงคล, บางที ภายในเวลาทก่ี าํ หนด จาํ แนกเปน ๔ อยา ง เพยี้ นเปน กาลกณิ ี; ตรงขามกบั สิริ, ศรี คอื ๑. ยาวกาลิก รับประเคนไวแ ละฉนั กาฬเทวิลดาบส เปนอีกชื่อหน่ึงของ ไดช่ัวเวลาเชาถึงเท่ียงของวันน้ัน เชน อสติ ดาบส; ดู อสติ ดาบส ขา ว ปลา เนื้อ ผกั ผลไม ขนมตา งๆ ๒. กาฬปก ษ “ซีกมืด” หมายถึง ขางแรม; ยามกาลิก รับประเคนไวและฉันไดชั่ว กัณหปก ษ กเ็ รยี ก; ตรงขา มกบั ศกุ ลปก ษ วันหนงึ่ กบั คนื หน่งึ คอื กอนรุงอรณุ ของ หรอื ชณุ หปกษ วนั ใหม ไดแก ปานะ คือ นาํ้ คั้นผลไมท่ี กาฬสิลา สถานที่สําคัญแหงหน่ึงใน ทรงอนุญาต ๓. สัตตาหกาลิก รับ แควน มคธ อยูข า งภเู ขาอิสคิ ลิ ิ พระนคร ประเคนไวแ ลว ฉันไดภ ายในเวลา ๗ วนั ราชคฤห ณ ที่นี้พระพุทธเจาเคยทํา ไดแกเภสัชท้ังหา ๔. ยาวชีวิก รับ นิมิตตโ อภาสแกพระอานนท และเปนท่ี ประเคนแลว ฉันไดตลอดไปไมจํากัด ที่พระโมคคัลลานะถูกคนรายซ่ึงรับจาง เวลา ไดแกของท่ีใชปรุงเปนยา นอก จากพวกเดียรถียไปลอบฆาดวยการทุบ จากกาลกิ ๓ ขอตน (ความจรงิ ยาวชวี กิ ตีจนรางแหลก
กาฬิโคธา ๒๑ กิรยิ า กาฬิโคธา มารดาของพระภัททิยะ กรรม ญตั ติจตุตถกรรม กิจในอริยสัจจ ขอท่ีตองทําในอริยสัจจ กษตั รยิ ศากยวงศ กาฬทุ ายี อาํ มาตยข องพระเจา สทุ โธทนะ ๔ แตล ะอยา ง คือ ปริญญา การกําหนด เปนสหชาติและเปนพระสหายสนิทของ รู เปน กจิ ในทกุ ข ปหานะ การละ เปน พระโพธิสัตวเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว กิจในสมุทัย สัจฉิกิริยา การทําใหแจง พระเจา สทุ โธทนะสง ไปทลู เชญิ พระศาสดา หรือการบรรลุ เปนกิจในนโิ รธ ภาวนา เพือ่ เสดจ็ มากรุงกบิลพสั ดุ กาฬทุ ายีไป การเจริญคือปฏิบัติบําเพ็ญ เปนกิจใน เฝาพระศาสดาท่ีกรุงราชคฤห ไดฟง มรรค พระธรรมเทศนา บรรลพุ ระอรหัตตผล กจิ เบ้ืองตน ในการอุปสมบท หมายถึง อุปสมบทเปนภิกษุแลว ทูลเชิญพระ ใหบรรพชา ถือนิสยั ถอื อปุ ช ฌายะ จน ศาสดาพรอมดวยภิกษุสงฆเสด็จกรุง ถึงถามอันตรายิกธรรมในท่ีประชุมสงฆ กบิลพัสดุ ทานไดรับยกยองวาเปน (คาํ เดิมเปน บุพกจิ ) เอตทคั คะในบรรดาผทู าํ ตระกลู ใหเ ลอื่ มใส กิตติศพั ท เสยี งสรรเสรญิ , เสยี งเลาลือ กําลงั ของพระมหากษตั ริย ดู พละ ความดี กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความเปนผูขยัน กินรว ม ในประโยควา “ภิกษใุ ดรูอ ยู กนิ ชวยเอาใจใสในกิจธุระของเพื่อนภิกษุ รวมก็ดี อยูรวมก็ดี สําเรจ็ การนอนดวย สามเณร (ขอ ๕ ในนาถกรณธรรม ๑๐) กนั กด็ ”ี คบหากนั ในทางใหห รือรับอามิส กจิ จญาณ ปรชี ากาํ หนดรูก ิจทค่ี วรทําใน และคบหากนั ในทางสอนธรรมเรยี นธรรม อรยิ สัจจ ๔ แตละอยาง คอื รวู า ทกุ ข กมิ พิละ เจา ศากยะองคห นึ่ง ออกบวช ควรกาํ หนดรู สมทุ ยั ควรละ นโิ รธ ควร พรอ มกบั พระอนรุ ุทธะ ไดสาํ เร็จอรหัต ทาํ ใหแ จง มรรค ควรเจรญิ คอื ควร และเปน มหาสาวกองคห นง่ึ ในจาํ นวน ๘๐ กิริยวาท ผูถือหลักการอันใหกระทํา, ปฏบิ ตั ิ (ขอ ๒ ในญาณ ๓) กิจจาธิกรณ การงานเปนอธิกรณ คอื หลกั การซ่ึงใหกระทํา; ดู กรรมวาท เรื่องท่ีเกิดข้ึนอันสงฆตอ งจดั ตอ งทําหรอื กิริยวาที ผูถือหลักการอันใหกระทํา; ดู กิจธุระที่สงฆจะพึงทํา; อรรถกถาพระ กรรมวาท วินัยวาหมายถึงกิจอันจะพึงทําดวย กิรยิ า 1. การกระทาํ หมายถึงการกระทาํ ประชุมสงฆ ไดแ ก สังฆกรรมทั้ง ๔ คอื ใดๆ ทก่ี ลาวถงึ อยางกวา งๆ หรืออยา ง อปโลกนกรรม ญตั ติกรรม ญัตตทิ ุติย- เปน กลางๆ ถา เปน “กริ ิยาพิเศษ” คอื
กริ ิยากิตตกะ (กิรยิ ากิตก) ๒๒ กเิ ลส เปนการกระทําซง่ึ เปนไปดวยเจตนาทก่ี อ แฝงอยใู นความรสู กึ นึกคดิ ทาํ ใหจ ิตใจ ใหเกิดวิบาก ก็เรียกวา กรรม, การ ขุนมัวไมบริสุทธ์ิ และเปนเคร่ืองปรุง กระทาํ ซง่ึ เปนไปดว ยเจตนาทไี่ มก อ วบิ าก แตง ความคดิ ใหท าํ กรรมซง่ึ นาํ ไปสปู ญ หา ความยุงยากเดือดรอนและความทุกข; เชน การกระทาํ ของพระอรหนั ต ไมเรียก กเิ ลส ๑๐ (ในบาลเี ดมิ เรยี กวา กเิ ลสวตั ถุ วากรรม แตเปน เพยี งกิรยิ า (พดู ใหส นั้ วา คอื สง่ิ กอ ความเศรา หมอง ๑๐) ไดแ ก เจตนาท่ีกอวิบาก เปนกรรม, เจตนาทไ่ี ม โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา กอ วบิ าก ถา มใิ ชเ ปน วบิ าก กเ็ ปน กริ ยิ า); ดู ถนี ะ อุทธจั จะ อหริ กิ ะ อโนตตปั ปะ; กรรม 2. ในภาษาไทย มักหมายถงึ กเิ ลสพนั หา (กเิ ลส ๑,๕๐๐) เปน คําทม่ี ี อาการแสดงออกทางกายในเชิงมารยาท ใชในคัมภีรรุนหลังจากพระไตรปฎก เร่ิมปรากฏในช้ันอรรถกถา ซ่ึงกลาวไว บางทใี ชค วบคกู นั วา กริ ยิ ามารยาท 3. ใน ทาํ นองเปนตัวอยาง โดยระบชุ ่อื ไวมากที่ สุดเพียง ๓๓๖ อยา ง ตอ มาในคัมภรี ช น้ั ทางไวยากรณ ไดแ กค าํ แสดงอาการหรอื หลงั มาก อยา งธมั มสงั คณอี นฎุ กี า จงึ แสดงวธิ นี บั แบบตา งๆ ใหไ ดค รบจาํ นวน บอกการกระทําของนามหรือสรรพนาม, เชน กเิ ลส ๑๐ อารมณ ๑๕๐ = ๑,๕๐๐ (อารมณ ๑๕๐ ไดแ ก อรปู ธรรม ในไวยากรณไ ทย บางทกี าํ หนดใหใ ชร ปู ๕๗ และรปู รปู ๑๘ รวมเปน ธรรม ๗๕ สนั สกฤตวา กรยิ า แตใ นบาลไี วยากรณ เปน ฝา ยภายใน และฝา ยภายนอก ฝา ย โดยท่ัวไป ใชรปู บาลี คอื กิริยา ละเทา กนั รวมเปน ๑๕๐) กิรยิ ากติ ตกะ (กิรยิ ากิตก) เปนช่อื กริ ยิ า- ศัพทประเภทหน่ึงในภาษาบาลี ใชเปน อนึ่ง ในอรรถกถา ทา นนิยมจาํ แนก กิเลสเปน ๓ ระดับ ตามลาํ ดบั ขน้ั ของ กริ ยิ าสําคัญในประโยคบาง ใชเปนกิริยา การละดว ยสกิ ขา ๓ (เชน วินย.อ.๑/๒๒; ที.อ. ๑/๑๙; สงคฺ ณี อ.๒๓) คอื ๑. วตี กิ กมกเิ ลส ในระหวา งของประโยคบาง และใชเ ปน กิเลสอยางหยาบ ท่ีเปนเหตุใหลวง คณุ บทบาง เชน ปรินิพพฺ โุ ต (ดบั รอบ ละเมิดออกมาทางกายและวาจา เชน แลว) ปพพฺ ชติ วฺ า (บวชแลว) เปน ตน เปน กายทจุ รติ และวจีทจุ รติ ละดว ยศีล กิริยาอาขยาต เปนช่ือกิริยาศัพทป ระเภท (อธศิ ีลสกิ ขา) ๒. ปริยุฏฐานกเิ ลส กเิ ลส หนงึ่ ในภาษาบาลี ใชเปนกริ ยิ าสาํ คญั ใน ประโยค อันแสดงถึงการกระทําของ ประธาน เชน คจฉฺ ติ (ยอ มไป) ปรนิ พิ พฺ ายิ (ดบั รอบแลว ) เปน ตน กิลาโส โรคกลาก กเิ ลส สิ่งทที่ าํ ใจใหเศราหมอง, ความชวั่ ที่
กิเลสกาม ๒๓ กุกกจุ จะ อยางกลางที่พลงุ ขึ้นมาเรารมุ อยใู นจติ ใจ อุปาทาน; ดู ไตรวัฏฏ ดงั เชน นวิ รณ ๕ ในกรณที ่จี ะขมระงับไว กิเลสานุสยั กิเลสจําพวกอนสุ ัย, กเิ ลสท่ี ละดว ยสมาธิ (อธิจติ ตสิกขา) ๓. อนุสย- นอนเนื่องอยูในสนั ดาน จะปรากฏเม่ือ กเิ ลส กิเลสอยา งละเอียดที่นอนเนอื่ งอยู อารมณมายว่ั ยุ เหมือนตะกอนนาํ้ ที่อยู ในสันดานอันยังไมถูกกระตุนใหพลุงข้ึน กนโอง ถาไมมีคนกวนตะกอนก็นอน มา ไดแ กอ นุสยั ๗ ละดวยปญญา (อธิ- เฉยอยู ถา กวนนาํ้ เขา ตะกอนกล็ อยขนึ้ มา ปญญาสกิ ขา); ทั้งนี้ บางแหงทา นแสดง กโิ ลมกะ พงั ผดื ไวโดยอธิบายโยงกับพระไตรปฎก คือ กสี าโคตมี พระเถรีสาํ คญั องคหน่ึง เดิม กลา ววา อธศิ ีลสิกขา ตรัสไวเปนพเิ ศษ เปนธิดาคนยากจนในพระนครสาวัตถี ในพระวินัยปฎกๆ จึงวาดวยการละ แตไดเปนลูกสะใภของเศรษฐีในพระ วีติกกมกเิ ลส, อธิจิตตสกิ ขา ตรัสไวเปน นครน้นั นางมีบุตรชายคนหนึ่ง อยมู า พิเศษในพระสุตตันตปฎ กๆ จงึ วา ดวย ไมน านบุตรชายตาย นางมีความเสียใจ การละปริยฏุ ฐานกเิ ลส, อธปิ ญ ญาสิกขา มาก อุมบุตรที่ตายแลวไปในที่ตางๆ ตรัสไวเปนพิเศษในพระอภิธรรมปฎกๆ เพ่ือหายาแกใหฟน จนไดไปพบพระ จงึ วาดวยการละอนุสยกเิ ลส พุทธเจา พระองคทรงสอนดวยอุบาย กิเลสกาม กเิ ลสเปน เหตใุ คร, กิเลสท่ที ํา และทรงประทานโอวาท นางไดฟงแลว ใหอยาก, เจตสกิ อนั เศราหมอง ชกั ให บรรลุโสดาปตติผล บวชในสํานักนาง ใคร ใหร ัก ใหอ ยากได ไดแกร าคะ ภิกษุณี วนั หนง่ึ นัง่ พิจารณาเปลวประทปี โลภะ อจิ ฉา (อยากได) เปน ตน ท่ีตามอยูในพระอุโบสถ ไดบรรลุพระ กเิ ลสธลุ ี ธลุ คี อื กเิ ลส, ฝนุ ละอองคอื กเิ ลส อรหัต ไดร ับยกยอ งวา เปน เอตทัคคะใน กิเลสมาร มารคือกิเลส, กเิ ลสเปนมาร ทางทรงจวี รเศรา หมอง โดยอาการท่ีเขาครอบงาํ จิตใจ ขัดขวาง กุกกจุ จะ ความรําคาญใจ, ความเดือด ไมใหทําความดี ชักพาใหทําความชั่ว รอนใจ เชน วา ส่งิ ดงี ามท่คี วรทาํ ตนมิ ลางผลาญคุณความดี ทําใหบุคคล ไดทํา สิ่งผดิ พลาดเสยี หายไมดไี มงามที่ ประสบหายนะและความพนิ าศ ไมควรทํา ตนไดท ําแลว, ความยงุ ใจ กิเลสวัฏฏ วนคือกิเลส, วงจรสวนกเิ ลส, กลมุ ใจ กังวลใจ, ความรังเกยี จหรือกิน หน่งึ ในวฏั ฏะ ๓ แหง ปฏจิ จสมปุ บาท แหนงในตนเอง, ความระแวงสงสัย เชน ประกอบดวย อวิชชา ตัณหา และ วา ตนไดท าํ ความผดิ อยางนั้นๆ แลว
กกุ กฺ จุ จฺ ปกตตา ๒๔ กุมารภี ูตา หรือมใิ ช ส่งิ ท่ีตนไดท ําไปแลวอยา งน้นั ๆ หมายถึงผูท่ีไดสมาบัติแลวแตยังไม เปนความผิดขอ นๆ้ี เสียแลว กระมัง ชาํ นาญ อาจเส่ือมได เทยี บ อกุปปธรรม กุกฺกุจฺจปกตตา อาการที่จะตองอาบัติ กมุ มาส ขนมสด คือขนมที่เกบ็ ไวนาน ดวยสงสัยแลว ขืนทาํ ลง เกนิ ไปจะบูด เชน ขนมดวง ขนมครก กุฎี กระทอ มท่ีอยูของนกั บวช เชน พระ ขนมถว ย ขนมตาล เปน ตน พระพทุ ธเจา ภกิ ษุ, เรอื นหรือตึกท่ีอยอู าศัยของพระ หลังจากเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยาก็เสวย ภกิ ษุสามเณร ขา วสุกและกุมมาส กฎุ มพี คนมีทรพั ย, คนม่ังคัง่ กมุ าร เด็ก, เดก็ ชาย, เดก็ หนุม กฏุ กะ เครอ่ื งลาดทใ่ี หญ ชนดิ ทม่ี นี างฟอ น กุมารกัสสปะ พระเถระมหาสาวกองค ๑๖ คนยืนฟอนรําได (เชน พรมปหู อ ง) หน่ึง เปนบุตรธิดาเศรษฐีในพระนคร กุฏฐงั โรคเรื้อน ราชคฤห คลอดเมื่อมารดาบวชเปน กุฏิภัต อาหารท่ีเขาถวายแกภิกษผุ อู ยใู น ภิกษุณีแลว พระเจาปเสนทิโกศลทรง กฎุ อี ันเขาสรา ง เล้ียงเปนโอรสบุญธรรม ทารกน้ันได กฑุ วะ ชื่อมาตราตวง แปลวา “ฟายมือ” นามวา กัสสปะ ภายหลังเรียกกันวา คอื เต็มองุ มือหน่งึ ; ดู มาตรา กุมารกัสสปะ เพราะทานเปนเด็กสามัญ กุณฑธานะ พระเถระผูเปนมหาสาวก แตไดรับการเลีย้ งดอู ยา งราชกมุ าร ทา น องคห นึง่ เปน บุตรพราหมณใ นพระนคร อุปสมบทในสํานักของพระศาสดา ได สาวัตถี เรียนจบไตรเพทตามลัทธิ บรรลุพระอรหัต ไดรบั การยกยอ งจาก พราหมณ ตอมา เมอื่ สูงอายุแลว ไดฟ ง พระบรมศาสดาวาเปนเอตทัคคะในทาง พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา เกิด แสดงธรรมวิจติ ร ความเล่ือมใสจึงบวชในพระพุทธศาสนา กมุ ารี เด็กหญงิ , เด็กรุนสาว, นางสาว ตัง้ แตน ัน้ มา ก็มรี ปู หญงิ คนหนงึ่ ติดตาม กุมารีภูตวรรค ชื่อหมวดในพระวินัย- ตัวตลอดเวลาจนกระท่ังไดบรรลุพระ ปฎก หมายถงึ ตอนอันวา ดวยกมุ ารีภตู า อรหตั รปู นน้ั จงึ หายไป ทา นไดร บั ยกยอ ง คือสามเณรีผูเตรียมจะอุปสมบทเปน จากพระศาสดาวาเปนเอตทัคคะในการ ภิกษุณี มีอยูในปาจิตติยกัณฑ ใน ถอื เอาสลากเปน ปฐม; โกณฑธานะ กว็ า ภกิ ขนุ วี ิภังค กุณฑลเกสี ดู ภทั ทากณุ ฑลเกสา กมุ ารภี ูตา “ผเู ปน นางสาวแลว” หมายถึง กุปปธรรม “ผูมีธรรมท่ียังกําเริบได” สามเณรีที่จะอุปสมบทเปนภิกษุณีเชน ใน
กุรุ ๒๕ กุศล คาํ วา “อฉี นั เปน นางสาว (กมุ ารภี ตู า) ของ กลุ มจั ฉริยะ “ตระหนตี่ ระกูล” ไดแกห วง แมเจาชอ่ื น้ี มอี ายุ ๒๐ ปเต็ม มสี กิ ขา แหนตระกูล ไมยอมใหตระกูลอ่ืนมา อันศึกษาแลว ในธรรม ๖ ประการ ๒ ป เก่ียวดองดวย ถาเปนบรรพชิตก็หวง ขอวฏุ ฐานสมมติตอสงฆเ จาขา” ตระกูลอุปฏฐาก ไมพอใจใหบํารงุ ภิกษุ กุรุ แควน หน่ึงในบรรดา ๑๖ มหาชนบท อื่น; ดู มัจฉรยิ ะ แหง ชมพูทวปี อยแู ถบลุมนา้ํ ยมุนาตอน กลุ สตรี หญงิ มตี ระกลู มคี วามประพฤตดิ ,ี บน ราวมณฑลปญจาบลงมา นครหลวง สตรีท่ีมีคุณความดีสมควรแกตระกูล, ช่ือ อินทปตถ ตง้ั อยู ณ บริเวณเมืองเดลี สตรเี จา บา น กลุ ปุ กะ, กุลปู กะ “ผูเ ขาถึงสกลุ ”, พระท่ี นครหลวงของอินเดยี ปจ จบุ นั กุรุนที ดูโปราณัฏฐกถา, อรรถกถา คุนเคยสนิท ไปมาหาสูประจําของ กลุ ตระกลู , ครอบครวั , วงศ, หมชู นที่ ตระกูล, พระท่ีเขาอุปถัมภและเปนท่ี รวมพงศพันธุเดียวกัน, เผาชน; ใน ปรกึ ษาประจาํ ของครอบครวั ความหมายท่ีขยายออกไป หมายถึงหมู กุเวร ดู จาตุมหาราช, จาตุมหาราชิกา, ชนที่รวมสงั กัด หรอื ขึ้นตอ การปกครอง ปริตร เดียวกนั เชนในคําวา “กลุ บด”ี ซึง่ บางที กศุ ล 1. “สภาวะทเ่ี กย่ี วตดั สลดั ทง้ิ สง่ิ เลว หมายถงึ หัวหนา สถาบันการศกึ ษา รา ยอนั นา รงั เกยี จ”, “ความรทู ที่ าํ ความชวั่ กลุ ทสู ก “ผปู ระทษุ รายตระกลู ” หมายถึง รา ยใหเ บาบาง”, “ธรรมทตี่ ดั ความช่ัวอัน ภิกษุผูประจบคฤหัสถ เอาใจเขาตางๆ เปนดจุ หญา คา”, สภาวะหรอื การกระทาํ ดวยอาการอันผิดวินัย มุงเพื่อใหเขา ท่ฉี ลาด กอปรดว ยปญ ญา หรอื เกดิ จาก ชอบตนเปนสวนตัว เปนเหตุใหเ ขาคลาย ปญ ญา เกอ้ื กลู เออ้ื ตอ สขุ ภาพ ไมเ สยี หาย ศรทั ธาในพระศาสนาและเสอ่ื มจากกศุ ล- ไรโ ทษ ดงี าม เปน บญุ มผี ลเปน สขุ , ธรรม เชนใหของกํานัลเหมือนอยาง ความดี (กศุ ลธรรม), กรรมดี (กศุ ลกรรม) ตามปกติ กศุ ล กบั บญุ เปน คาํ ทใี่ ชแ ทน คฤหสั ถเ ขาทาํ กนั ยอมตวั ใหเ ขาใช เปน ตน กุลธิดา ลูกหญิงผูมีตระกูลมีความ กนั ได แต กศุ ล มคี วามหมายกวา งกวา คอื กศุ ล มที ง้ั โลกยิ ะ (กามาวจร รปู าวจร ประพฤตดิ ี อรปู าวจร) และโลกตุ ตระ สว น บญุ โดย กุลบุตร ลูกชายผูมีตระกูลมีความ ประพฤติดี ทั่วไปใชกับโลกียกุศล ถาจะหมายถึง กุลปสาทกะ ผยู งั ตระกูลใหเ ลือ่ มใส ระดบั โลกตุ ตระ มกั ตอ งมคี าํ ขยายกาํ กบั
กศุ ลกรรม ๒๖ กศุ ลกรรมบถ ไวด ว ย เชน วา “โลกตุ ตรบญุ ”, พดู อกี อยา ง ทาน] ชักจูงแมคนอื่นๆ ใหตง้ั อยใู นพระ หนึ่งวา บุญ มักใชในความหมายทแี่ คบ สทั ธรรม ในพรหมจริยะ) กวา หรอื ใชใ นขนั้ ตน ๆ หมายถงึ ความดที ่ี คาถาน้ี แมจ ะเปนคาํ แนะนําแกเ ทวดา ยงั ประกอบดว ยอปุ ธิ (โอปธกิ ) คอื ยงั เปน ก็ใชไดท่วั ไป คือเปนคําแนะนาํ สาํ หรับผู สภาพปรงุ แตง ทก่ี อ ผลในทางพอกพนู ให ท่จี ะอยเู ปน คฤหัสถว า ในดานแรกหรอื เกดิ สมบตั ิ อนั ไดแ กค วามพรงั่ พรอ ม เชน ดา นหลกั ใหท าํ กศุ ล ท่ีเปน นริ ปู ธิ ซึ่ง รา งกายสวยงามสมบรู ณ และมง่ั มที รพั ย เปนการศึกษาหรือปฏิบัติเพื่อใหไดสาระ สนิ แต กศุ ล ครอบคลมุ หรอื เลยตอ ไป ของชีวิต โดยพัฒนาตนใหเปนอริยชน ถึงนิรูปธิ (ไรอุปธิ) และเนนที่นิรูปธินั้น โดยเฉพาะเปนโสดาบนั จากนน้ั อีกดา น คือมุงทภี่ าวะไรป รงุ แตง ความหลดุ พน หน่งึ ในฐานะเปนอรยิ ชน ก็ทาํ ความดี เปน อสิ ระ โยงไปถงึ นพิ พาน, พดู อยา ง หรือกรรมสรางสรรคตางๆ ที่มีผลใน งายๆ เชนวา บุญ มุงเอาความสะอาด ทางอปุ ธิ เชน ลาภ ยศ สรรเสรญิ และ หมดจดในแงที่สวยงามนาชื่นชม แต ความสุข ซ่งึ เปนไปตามธรรมดาของมนั กศุ ล มงุ ถงึ ความสะอาดหมดจดในแงท ่ี และที่เปนเรื่องสามัญในสังคมคฤหัสถ เปนความบริสุทธ์ิ ไมมีอะไรติดคาง ได ไมเ สยี หาย เพราะเปน ผมู ีคุณความ ปลอดโปรง โลง วา ง เปน อสิ ระ, ขอใหด ู ดีที่เปนหลักประกันใหเกิดแตผลดีทั้ง ตวั อยา งที่ บญุ กบั กศุ ล มาดว ยกนั ใน แกตนเองและแกสังคมแลว; ตรงขามกับ อกศุ ล, เทียบ บุญ, ดู อุปธิ 2. บางแหง (เชน คาถาตอ ไปนี้ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๖๒/๒๙๐) กาเยน กุสล กตฺวา วาจาย กสุ ล พหุ ข.ุ เถร.๒๖/๑๗๐/๒๖๘) กศุ ล หมายถงึ ความ มนสา กสุ ล กตฺวา อปฺปมาณ นิรปู ธึ ฯ เกษม, ความปลอดภัย, สวัสดิภาพ, ตโต โอปธกิ ปุ ฺ กตฺวา ทาเนน ต พหุ ความหวงั ด,ี ความมเี มตตา อฺเปมจเฺจสทธฺ มเฺม พรฺ หฺมจริเย นเิ วสย กุศลกรรม กรรมด,ี กรรมทีเ่ ปน กุศล, (ทานจงทาํ ใหม าก ท้งั ดวยกาย ดว ย การกระทําท่ีดคี อื เกดิ จากกุศลมูล วาจา และดว ยใจ ซง่ึ กศุ ล อันประมาณ กศุ ลกรรมบถ ทางแหง กรรมด,ี ทางทาํ ด,ี มิได [อปั ปมาณ แปลวา มากมาย ก็ได ทางแหงกรรมที่เปนกุศล, กรรมดีอัน เปนโลกตุ ตระ กไ็ ด] อนั ไรอ ปุ ธิ [นริ ูปธ]ิ เปนทางนาํ ไปสูสุคติ มี ๑๐ อยางคอื ก. แตน นั้ ทา นจงทําบญุ อันระคนอปุ ธิ ให กายกรรม ๓ ไดแก ๑. ปาณาติปาตา มาก ดวยทาน แลวจง [บาํ เพ็ญธรรม เวรมณี เวน จากทาํ ลายชวี ติ ๒. อทนิ นา-
กศุ ลธรรม ๒๗ กูฏทนั ตสตู ร ทานา เวรมณี เวน จากถอื เอาของท่ีเขามิ เบียดเบยี น ไดใ ห ๓. กาเมสมุ ิจฉาจารา เวรมณี เวน กสุ าวดี ช่อื เกา ของเมืองกุสนิ ารา นคร จากประพฤตผิ ิดในกาม ข. วจกี รรม ๔ หลวงของแควน มัลละ เมอ่ื ครง้ั เปน ราช- ไดแก ๔. มุสาวาทา เวรมณี เวนจากพดู ธานีของพระเจามหาสุทัศน จักรพรรดิ เทจ็ ๕. ปส ุณาย วาจาย เวรมณี เวนจาก ครง้ั โบราณ พดู สอเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี กุสิ เสนค่นั ดจุ คันนายืนระหวางขณั ฑก ับ เวน จากพดู คําหยาบ ๗. สมั ผปั ปลาปา ขณั ฑของจีวร; เทียบ อฑั ฒกุสิ, ดู จีวร เวรมณี เวน จากพดู เพอ เจอ ค. มโนกรรม กสุ นิ ารา เมืองหลวงแหงหน่ึงของแควน ๓ ไดแ ก ๘. อนภชิ ฌา ไมโ ลภคอยจอ ง มลั ละ (อกี แหง หนงึ่ คอื ปาวา) สมยั พทุ ธ- อยากไดข องเขา ๙. อพยาบาท ไมคดิ กาล กุสินาราเปนเมืองเล็กๆ มีมัลล- รายเบียดเบียนเขา ๑๐. สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ กษัตริยเปนผูปกครอง พระพุทธเจา ชอบตามคลองธรรม; เทยี บ อกศุ ลกรรมบถ, เสด็จดับขันธปรนิ พิ พานท่ีเมอื งนี้ ดู กรรมบถ กฏู ทนั ตสตู ร สตู รหนง่ึ ในคมั ภรี ท ฆี นกิ าย กศุ ลธรรม ธรรมทเ่ี ปน กศุ ล, ธรรมฝา ย สลี ขนั ธวรรค สตุ ตนั ตปฎ ก พระพทุ ธเจา กุศล ธรรมทีด่ ี, ธรรมฝา ยดี ทรงแสดงแกกูฏทันตพราหมณผูกําลัง กุศลบุญจริยา ความประพฤตทิ เ่ี ปนบุญ เตรียมพิธีบูชายัญ วาดวยวิธีบูชายัญ เปน กุศล, การทาํ ความดีอยางฉลาด ตามความหมายในแบบของพระพุทธ- กศุ ลมลู รากเหงา ของกศุ ล, ตน เหตขุ อง ศาสนา ซง่ึ ไมต อ งมกี ารฆา ฟน เบยี ดเบยี น กศุ ล, ตน เหตขุ องความดมี ี ๓ อยา ง คอื สัตว มีแตการเสียสละทําทานและการ ๑. อโลภะ ไมโ ลภ (จาคะ) ๒. อโทสะ ไม ทาํ ความดอี ืน่ ๆ เรมิ่ ดวยการตระเตรียม คดิ ประทษุ รา ย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม พิธโี ดยจดั การบา นเมอื งใหส งบเรยี บรอ ย หลง (ปญ ญา); เทียบ อกุศลมูล กอ นตามธรรมวธิ ี มกี ารสง เสรมิ กสกิ รรม กุศลวตั ร ขอ ปฏิบัตทิ ีด่ ,ี กจิ ทพ่ี ึงทําท่ดี ี พาณชิ ยกรรม สมั มาชีพ และบํารุงสง กศุ ลวิตก ความตริตรกึ ทเ่ี ปน กศุ ล, ความ เสรมิ ขา ราชการทด่ี ี ซงึ่ จะทาํ ใหป ระชาชน นึกคดิ ทีด่ งี ามมี ๓ คือ ๑. เนกขัมมวติ ก ขวนขวายขะมักเขมนในหนาที่การงาน ความตรกึ ปลอดจากกาม ๒. อพยาบาท- ของตนๆ จนบานเมืองมีความเกษม วติ ก ความตรึกปลอดจากพยาบาท ๓. ปลอดภยั พลเมอื งมคี วามสขุ ราชทรพั ย อวิหิงสาวิตก ความตรึกปลอดจากการ บรบิ รู ณด แี ลว จงึ กระทาํ พธิ บี ชู ายญั ดว ย
เกจิ ๒๘ เกจิ การบรจิ าคทรพั ยท าํ ทานเปน ตน ผลของ ใหมๆ ธิดามารไดมาสําแดงอาการย่ัว พระธรรมเทศนาน้ี คอื กฏู ทนั ตพราหมณ ยวนตางๆ ทั้งปรากฏตัวเปนหญิงสาว ลมเลิกพิธีบูชายัญของตน ปลอยสัตว เปนหญิงวยั กลาง และเปนสตรีผูใหญ ท้ังหมด และประกาศตนเปนอุบาสก แตพ ระพทุ ธเจามไิ ดท รงใสพ ระทยั เมอื่ เกจิ “บางพวก” หมายถงึ อาจารยบาง เลาความตอนน้ี พระอรรถกถาจารย พวก (เกจอิ าจารย, ใชวา พระเถระบาง กลาววา “สวนอาจารยบางพวก พวก กม็ บี า ง แตน อยแหง), เปน คําที่ (เกจอิ าจารย) กลาววา พระผูมพี ระภาค กลาวถึงบอยในอรรถกถาท้ังหลาย เจา คร้นั ทรงเหน็ ธิดามารเหลา นัน้ เขา มา กลาวคือ ในเวลาท่ีพระอรรถกถาจารย หาโดยภาวะเปนสตรีผูใหญ จึงทรง อธิบายความและเลาเรอื่ งราวตา งๆ บาง อธิษฐานวา ‘หญิงเหลานี้จงเปนผูมีฟน คร้ังทานก็ยกมติหรือความเห็นของทาน หัก ผมหงอก อยางน้ีๆ’ คําของ ผอู น่ื มาใหด ดู ว ย เมอื่ ไมอ อกชอ่ื เจา ของ เกจอิ าจารยน น้ั ไมค วรเชอื่ ถอื เพราะพระ มตเิ หลา นน้ั กใ็ ชค าํ วา “เกจ”ิ นี้ (ถา ยก ศาสดายอมไมทรงกระทําการอธิษฐาน มติอืน่ มาอกี ตอ จาก “เกจ”ิ ก็คือ “อปเร” อยา งทว่ี า นนั้ แตพ ระผมู พี ระภาคเจา ทรง แตบางทีมีหลายมติ ก็ตองใชคําอื่นอีก ปรารภถึงการละกิเลสของพระองคเอง โดยเฉพาะ “เอเก” หรอื “อเฺ ” กม็ บี า ง) ตรสั วา ‘พวกทา นจงหลกี ไปเถดิ พวก มตขิ องเกจอิ าจารยเ หลา นนั้ ทา นยกมาให ทานเปนเชนไรจึงพากันพยายามอยางนี้ ดูเพราะเปนคําอธิบายที่ตางออกไปบาง ช่ือวากรรมเชนน้ี พวกทานควรกระทํา เพียงเพราะมีแงน าสนใจบาง มีบอยครั้ง เบ้ืองหนาคนท่ียังไมปราศจากราคะ ที่ทานยกมาเพ่ือปฏิเสธหรือชี้แจงความ เปนตน แตตถาคตละราคะ โทสะ โมหะ ผิดพลาด และมีบางท่ีทานยกมาโดย เสยี แลว ’”; ในภาษาไทย เมอื่ ไมน านนกั น้ี แสดงความเห็นชอบ, การอางมติของ คําวา เกจิ หรอื เกจอิ าจารย ไดม คี วาม เกจอิ าจารยอ ยางทวี่ าน้ัน มักมีในกรณี หมายเพี้ยนไปจากเดิมหางไกลมาก อธิบายหลักพระธรรมวินัยท่ีอาจจะยาก กลายเปนหมายถึงพระภิกษุผูมีชื่อเสียง สําหรบั คนทั่วไป หรือเร่ืองทีล่ ึกซง้ึ แต เดนในทางความขลัง (พระขลัง หรือ ในท่ีนี้ จะยกตัวอยา งทเี่ ขาใจงายมาดูสกั อาจารยข ลงั ) หรอื แมก ระทงั่ ในเชงิ ไสย- เร่อื งหนึ่ง ตามความในอรรถกถาชาดก ศาสตร, ขอ เพยี้ นทสี่ าํ คญั คอื ๑) ความ (ชา.อ.๑/๑๒๔) วา เม่อื พระพุทธเจาตรสั รู หมายในทางปญญาและความใสใจใน
เกตุมาลา ๒๙ โกนาคมน การศึกษาหาความรูเก่ียวกับพระธรรม ดงั น้ี วา คาํ ใดคาํ หนง่ึ กเ็ ปน อนั พกั มานตั ตอ วินัยเลือนลางหรือถูกกลบบัง โดยลัทธิ ไปเมอื่ มโี อกาสกใ็ หส มาทานวตั รใหมไ ดอ กี ถือความขลังศักด์ิสิทธ์ิอิทธิฤทธ์ิไสย- เกษม ปลอดภัย, พนภยั , สบายใจ ศาสตร ๒) “เกจ”ิ ซง่ึ เดมิ เปน เพยี งผู เกษมจากโยคธรรม ปลอดภยั จากธรรม แทรกเสรมิ หรอื เปน ตวั ประกอบ กลายมา เครอ่ื งผกู มดั , ปลอดโปรง จากเรอ่ื งทจ่ี ะ เปน ตวั หลกั ๓) “เกจ”ิ ซงึ่ เดมิ เปน คาํ ตอ งถกู เทยี มแอก, พน จากภยั คอื กเิ ลสที่ พหูพจนท่ีไมระบุตัว กลายเปนคําเอก- เปน ตวั การสวมแอก; ดู โยคเกษมธรรม พจนทีใ่ ชเรียกบุคคลผูม ชี ่ือเสียงน้นั ๆ เกสา ผม เกตมุ าลา รศั มซี งึ่ เปลง อยเู หนอื พระเศียร เกินพิกัด เกินกําหนดท่ีจะตองเสียภาษี ของพระพทุ ธเจา อากร เก็บปรวิ าส ดู เก็บวัตร เกียรติยศ ยศคอื เกยี รติ หรือกติ ติคุณ, เก็บมานัต ดู เกบ็ วัตร ความเปนใหญโ ดยเกียรติ; ดู ยศ เก็บวัตร โวหารเรียกวินัยกรรมเกี่ยวกับ แกงได รอยกากบาทหรือขีดเขียนซึ่งคน วฏุ ฐานวิธอี ยางหนึง่ คอื เมอื่ ภกิ ษุตอง ไมร หู นังสือขดี เขียนลงไวเ ปน สาํ คญั ครุกาบัติข้ันสังฆาทิเลสกําลังอยูปริวาส โกฏิ ชือ่ มาตรานบั เทากบั สบิ ลา น ยงั ไมค รบเวลาทปี่ กปด อาบตั ไิ วก ด็ ี กาํ ลงั โกณฑธานะ ดู กุณฑธานะ ประพฤติมานัตยงั ไมครบ ๖ ราตรกี ็ดี โกณฑญั ญะ พราหมณห นมุ ทสี่ ดุ ในบรรดา เม่อื มีเหตุอันสมควร ก็ไมต อ งประพฤติ พราหมณ ๘ คน ผูทํานายลกั ษณะของ ติดตอกันเปนรวดเดียว พึงเขาไปหา สทิ ธตั ถกมุ าร ตอ มาออกบวชตามปฏิบัติ ภิกษุรูปหนึ่ง ทําผาหมเฉวียงบา นั่ง พระสิทธัตถะขณะบําเพ็ญทุกรกิริยา กระหยง ประนมมอื ถาเกบ็ ปริวาส พงึ เปนหัวหนาพระปญจวัคคีย ฟงพระ กลาววา “ปริวาสํ นิกฺขิปามิ” แปลวา ธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร “ขา พเจา เกบ็ ปรวิ าส” หรือวา “วตตฺ ํ นกิ ฺข-ิ แลวไดดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชา ปามิ” แปลวา “ขา พเจา เก็บวัตร” วา คาํ อปุ สมบทเปน ปฐมสาวกของพระพทุ ธเจา ใดคาํ หนง่ึ กเ็ ปน อนั พกั ปรวิ าส; ถา เกบ็ มีช่ือเรียกกันภายหลังวา พระอัญญา- มานตั พงึ กลา ววา “มานตฺตํ นกิ ขฺ ปิ าม”ิ โกณฑัญญะ แปลวา “ขา พเจา เกบ็ มานตั ” หรอื วา “วตตฺ ํ โกธะ ความโกรธ, เคอื ง, ขนุ เคือง นิกขฺ ิปามิ” แปลวา “ขาพเจาเก็บวตั ร” โกนาคมน พระนามพระพุทธเจาองค
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: