www.kalyanamitra.org ตลอดพรรษาอยูตอไปอีกไม่ได้จริง ๆจึงค่อยไป ๙.มีทญงมๆเกลี้ยกลอม หรือมีญาติมารบกวน ส่อด้;)ยทรพย์ จึตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเรืว ลักหน่อยจะเป็นอันตรายแก่ พรหฺมจรรย ไปเลียก็ได้ ๖. สงฟ้,นอาวาสอื่นรวนจะแตกหรือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจ้ะ ห้ามหรือเพื่อจะสมาน ในข้อนี้ ถ้ากลบมาทัน ควรไปด้วยสัตดาหกรณยะ ภิกษุรับนิมนตของชาวบ้านก็ดี หรือนัดกันเองก็ด้ เพื่ออยู่จำ พรรษาในที่ใด ไม่อยู่ในที่นั้น ทำ ให้คลาตเคลึ๋อํนเลีย ด้องปฏิสสว- ทุกกฎ แปลวา ทุกกฎเพราะรับคำ แม้ในการรับคำอ.ย่างอื่นแล้ว ทำ ให้คลาดเคลื่อนก็เหมือนกัน ทำ นปรับเพียงทุกกฎ มือ่ธิบายว่า เพราะเจตนาเดมบริสทธิ้ ฤาจงใจจะทำให้คลาดเคลื่อนมาแค่ด้น ท่านว่าเป็นปาจิตีย เพราะรับเป็นทุกกฎเพราะทำให้คลาด อานิสงส์แฟงการจำพรรษา . ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาตลอ่ดกาลจนได้ปวารณาแล้ว ย่อมได้ อานิสงส์แฟงการจำพรรษา นับแค่รันปาฏิบท คือรันแรม ๑.คํ่า เดือน ๑๑ ไปเดือนหนึ่ง คือ ■- ๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖^ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ ๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบส่าริบ ๓. ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน!ด้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา .๓๔๐
www.kalyanamitra.org ๔.จีวรอันเกดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธฺอ ทั้งได้โอกาสเพื่อจะกรานกฐินและได้รับอานิสงส์ ๔ ข้างด้น นั้นเพิ่มอ่อกฺไปอีก ๔ เดือน ตลอดฤดห่นาว ปัญหาและเฉลยวินัยมข กัณฑ์ที่ ๑๖ ๑. ดืสืที่กาหนดไห้เข้าจี'ไพรรษาในบ่าลีกลาวไว้เท่าไร อะไรบาง? ตอบ กุลาวไว้ ๒ ดือั ๑.\"ใ^กา รัสสูปนายิกา รันเข้าพรรษาด้น ดือรันแรม่ ๑ คา เดือน ๘ ๒.ปัจฉมกา วสสูปนายิก่า รันเข้าพรรษาหลังคือรันแรม๑คา เดือน ๙ ๒.ท่านห้ามไฝให้จีาพรรษาตลอด ๔ เดือนดลอดฤดูฝันนั้น เพราะ เหตุไร? ตอ่บ เพราะด้องการเดือนทายฤดูฝนไว้เป็นจีวรกาล คราวแสวงหา จีวร คราวท่าจีวร เพื่อผลัดผ้าไตรจีวรเดืม ๓.ที่เช่นไรที่ทรงอนุญาต่ให้จีาพรรษา? ตอบ เสนาสนะมุงบงมีบ่านประตูเปีดุปีดได้ ทรงอนุญาตให้จีา พรรษาได้ ๔.สถานที่เช่นไร ไฝทรงอนุญาตให้ภิกษอยู่จีาพรรษา? ตอบ ไม่อนุญาตให้ภกษุอยู่จีาพรรษา ๑. ในกระท่อมผี , ๒.ในร่ม(เช่นกลด้พระธุด้งคหรือกุ่ฎีผ้าเช่น เต็นที่) ๓. ในโพรงไม้ ๔.ในตุ่ม ๔, บ่นิศาคบ่ไม้ ๓๔๑
www.kalyanamitra.org ๔.การอธิ!!^นเข้ๆพรรษา;กัฆฒรปวารณาออกพร^ ๒ นี้ . อย่างไหฬาหนดดายสงฆ์เท่า!1ร4เละกๆหพ์๑เขตอย่างไร? ตอบ การอธิษฐานเข้าพฺรรษาไม่เป็นสังฆฺกรรมจึงไท่กาหนดด้าย สงฆ์ แต่เป็นธรฺร^เนียมปฐ^อธิษฐานเข้าพรรษาพร้อม ๆ กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่าน่ที่ามไม่ให้จำพรรษาในที่ไม่สมอวร เท่านั้น เชน ในโพรงไม้ บนคาคบไม้ ในต่มหรือในกระท่อมผี เป็นด้น และให้กาหนดบรืเวรนอฺาาาสเป็นเขต ส่วนการปวารณา ออกพรรษาเป็นสังฆกรรม กำ หนคด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๙ รูปขึ้นไป และกำหนดให้ทำภายในเขตสีมา ถ้าตํ่ากว่า ๔ รูป ทำ ใฟ้,ห้ปวารณา เป็นการคุรนะ ถ้ารูปเดียวให้อธิษฐานเป็นการบุคคล ๖. การจำพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร จงอธิบายพอเข้าใจ ?( ตอบ การจำพรรษานั้น ในบาลีกล่าว.เพียงให้ทำอาลย คือ ผูกใจ ว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน แต่ในบดนี้มีธรรมเมียมที่ประชุมกันกล่าว คาอธิษฐานพร้อมกันว่าอิมสมึ อาวฺาเส อฺมํ เตมาสํ วสสํ อุเปม แปลความว่า เราเข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓:เดีอน่นี้. ๗. คำ อธิษฐานพรรษาว่าอย่างไร จงเขียนมาดู? ตอบ คำ อธิษฐานพรร ว่า ดีงนี้ อิมสฺมี อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจึา เข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือนนี้ ๘. สตตาหกรรนืยะ และ สี'ตตำหกาลีก มีอธิบากกย่างไร? ตอบ สัตตาหกรรนียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจ จำ เป็นบางอย่าง แต่กสับมาภายใน ๗.วน เรืยกว่าไปด้วยสัตตา- หกรณียะ หรือสัตตาหะ สัตตาหกาลิก คือของที่รับปรร;เคนแถ้ว ๓$:๒
www.kalyanamitra.org เก็บไว้บริโภ่คได้ ๗ วัน ๙. เมื่อเข้!พรรartแด้วทรงอชุ^ๆดไปค้า!5สินทึ่อื่นด้ว้ยก็จอฟ้ ตอบ ไปด้างคืนด้วยกิจต่าง ๆ ได้ คือ ' ๑. ส่หธรรผก่ หรือมารดาบิดาเจ็บไข้rรู้เข้าไฟเพื่อรคษาพยาบาลฺ m ๒. สหธฺรรรกกระสันฺจะสิก ไฟเพื่อ.ระงับได้ - ๓พรก็าสพเกิด1นนบิ1เด้ฬ&%ารข้ร่^ดสงัเ.นเาลา s หาเ งทพพ^ajทร่ะมาฟิเi?ขรฟ้เด้อยู่ ๔.ทายกตองการจะบาเพ็ญส่ศล ส์งคนมารมนต์ ไฟเพื่อฟ้ารง' ศฺงัทธาฃองเขาก็ได้ แส์ด้องคลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่า ไป ด้วยลัดตาหกรณียะ ๑๐.,ในบ่ๆลีท่านแสดงลันตุรายสำหรีบภ็กษุผู้อยู่จำพรรษำไว้อย่างไร? ตอบอันตรายสำหรับภิกษุผู้อผู่จำพรรษาคือ ๑. ถูกลัตว้ร้ายก็ดี โจรก็คื ปิศาจก็ดี เบียดเบียน ๒. เสนาสนะถูกไฟไหฟ้ หรือนาท่วม ๓. ภิยเซนนั้นเกิดขึ้นแก่โคจรคาม ลำ บากด้วยบิณฑบาด ๔. ขดสนด้วยอาหารโดยปกติ ๔. มื่หญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือมีญาติมารบฺก่วนล่อด้วยทร้พย ๖. สงฆในอาวาสอื่นรวนจะแตก ห่รือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจะ หามหรือเพื่อจะสมาน ๑๑. ภิกษุ่อยู่จำพรรษาจนได้ปวารณาแล้ว ย่อมได้อานสงล้อย่างไร บ้าง? ตอบ ย่อมได้อานิสงส์ ๔ ประการ คือ ๓๔๓
www.kalyanamitra.org ๑. เที่ยวไปไฝต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แท่งอเจลกวรรค ■๒. เที่ยวจ่าริกไปไฝต้องถือเอาไตรจีวรไปครบ่สำรับ ๓. ฉันคณโภชนและปรัมปรโสชนโต้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไต้ตามปรารถนา . ๔. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของไต้แกพวกเธอ ทั้งไต้โอกาส เพึ่อจะกรานกฐิน และไต้อวนสงส์๔นั้น ต่อไปอีก ๔ เดือน ๑๒i ภกษุอคู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุใหไปที่อึ่น ติด่ว่าจ่ะกลบมาทน ภ่ายในรันนั้น มิไต้ผูกใจสิต่ตาห่ะไว้แต่มีเหตุขดข้องให้กลับถืง เมื่ออรุณ่ขึ้นเสิยแล้ว เช่นนั้ พรรษาขาดหรอไฝ? ตอบ ถ้าไปต้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปต้วยสัตตาหกรณียะ พรรษา ไฝขาด เพราะอังฺอยูในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจีตติตจะกฺสับ ก็มีอป ถ้าไปต้วยมิใช่ธระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ๓&๔
www.kalyanamitra.org กัณฑ์ที่ «๗ อุโบสถ ปวารณา เป็นชึ๋อของการบำเพ็ญพรต์อย่างหนึ่ง เนึ่องด้วยอด๊อาหาร แปลว่า การเข้าอยู่ ตรงกับการจาสิลaเองชาวพุทธ เป็นธรรมเนียมมีมา ก่อนพุทธกาลฺ ก่า,หนดใหสมาทานในวันพระจันทร์เพ็ญ พระจันทร์ตบ และพระจันทร์กึ่งดวง ที่ตรงกับชื้น ๑๔ คํ่า แรพ:๑๔ คุา หเอ ๑๔;^า และชื้น ๘ คา แรม ๘ คํ่าโดยลำตบ คณสืงฺพุทธกาล,พุระศาสดาทรฺง อนุมตธรรมเนียมนั้น ตวัสให้ใข้วันเ'^นั้น่ เป็นวันประกอบศาสนกิจ ดังนี้ ๑. เป็นวันประชุมฺกันกล่าวธรฺริม ฟังธรรม ๒. เป็นฺวันสมาทานอุโบสฺกฃองคฤหัสถ์ ๓. เป็นวันทำอุโบสถของพระภิกษ ชื้งตฺรงกับวันชื้น ๑๔ คํ่า แรมุ ๑๔ คํ่า หริอ.๑๔ คา.๑๔ วันหรือ ๑๔ วัน ต่อครั้งหนึ่ง ; ๓๔รโ
www.kalyanamitra.org วันฮโนสถิมี ๓ วัน คือ ๑.วัแจาตททเ คือพัแรม๑ คา ๒.วันป้ผณรสิ คือ่วันชึ้น ๑๕ ดํ่านลฺรวันน.รม ๑๙ คํ่า ๓.วันสามัคคื คือวันทึ่ภิคนุผ้นคกก้นปรองดิอฟ็กุน การทคือก้กุนุผู้ทำอุโบสถมี ๓ คือ ๑. สงพ คือภกนุชุมนุมก้นดั้งนด ๔ รูปขึ้นไป ตรัสไหสวด ปาตโมกฃ ๒. คณะ คือภกนุมีเพืยง ๒ รูป ๓ รูป ด่รัสไหบอกความ บรชุก^อง่ด่นแกุกํนและกน ๓.บุคคลคือก้กนุมีรูปเดียว ให้อร น อ่าการ#ทํ^อุโบสถมีไรท คือ ๑; ส่วตปาดโมกข ,๒.บอกปารั^ร คือบอกความปริสทธิ้ ๓. อรษฐาน่ ^ ในฺอาวาสหนึ่ง า ให้มีโรงไวัแฟงหนึ่a เป็นทส่งฆประชุมทำ อุโบสถ กำ หนดให้จุภิกนุไดีไมนอ่ยกวา ๒๑ รูป เมื่อสิงวันกำหนด ให้ประชุมก้นทำในที่นั้น นื้เรยก'วาโรงอุโบสถ ในอ่าวๆสเดียว ห้าม ไฝ!^โเaอุIjfiถมากกวๆหนึ่งฺแหง ใ&ฟงหนึ่ง:อฺแกํอน กฒหสิ® แห่งอื่น ให้เลฺกแห่งเดีมเสีย และห้ามไม่ให้เที่ยวทำอุโบสถตาม บริเวณนั้นๆ . ๓๕๖
www.kalyanamitra.org บุพก่รณ กิจที่จะพึงทำก่อนประชุมสง่ฆ ถึงวนอุโบสถ ใฟ้กิกอุแถระไปโรงอุโบสถก่อนแล้^สงอิก.ษ 1^!^สาย่เห้ทํๆอิจเหล่านื้ถึอ ๑. กวาดโรงอุโฃสล ๒. ตามประทึป ถึhmเนทลายงไฟ้ศา ไฝตองตฺาเฟระพึป ๓. ^8ใ||พนฟ้,t 0^. ตั้งหรอ^อาสนะไว้ พํฟ้ท้เสร็จก่อนประชุมฒฟ้ หรือฺจะ^วารรMผล่ดกนทำไ^ แต่ต้นก็เด้ กิจ๔ อย่างนี้เรืยก บุพพกรเน แปลว่า กรณียะอ้นจะพึง ทำ ก่อน บุพกิจ กิจอ้นจะพึงทำก่อนสวดปาดโมกข์ ๑. นำ ปาริสุทธฃอุ^กษุผู้เจ็บมา อธิบายว่า อิกษเจ็บ อิอยู'ไนสีมาสือในเขตรวมสังวาสไม่อาจ ไปล่ที่ป^ชุมสงฆ ณ โรงอุโบสถ อิกษอื่นรูฟหร่งพึงฆัJมอบปาริสุทธิ ของเฐอ่มาแจ้งแก่สงฆ^ยกว่านำป^สุท่ธิมา to.นำ พันทะของ]เธอมาด้วย อธิบายว่า อิกษุผู้อฟ้นส์มาคือเขตชุมนุม มีสิทธิโนอันจะได้ เข้าประชุมด้วย จะทำอิจ์สงุฟ้เว้นเธอเสีย กิจนั้นไม่เป็นธรรมใข้ไฝ ได้ เว้นแต่จะได้ร้ฆความเนยอมของเธอ ก่ารฺใต้อนุมีคืนี้ &ภว่าใต้ พันทะ ๓. บอกฤต - อธิบายว่า ฤดที่นับอันอยูในพุทธกาล มี ๓ คือ เหมนตฤดู <๓ร;๙
www.kalyanamitra.org ฤดูหนาว ๑ คิมหันฤดู ฤดูร้อน ๑ 9สันตฤดู ฤดูฝน ๑ ๕.นุ้ฆกกษ' อรบาย่ว่า การนับภิกษุนี้ มีประโยชน์จะใหฺร้ว่า ในอาวาสนั้น หรือในจังหวฺดนั้นมีภิกษุเท่าไร กล่าวโดยคว่าม่ก็สือในระยะกึ่งเดือน สำ รว่จบัญชภิกษุกนคราวหนึ่ง เพื่อจฺะได้รู้ว่ามีจานวนเพิ่มขึ้นหรือ ลดลงเท่าไร วิธีนับ ท่านให้เรืยกร่อบ้าง ไล่คะแนนบ้าง ๔. สั่งสํอนนางภิกษุณ . อรบายว่า ข้อนี้1ด้กล่าวแล้วในสิกขาบทที่ ๑ แหงโอวาทวรรค ปาจิตติยกัณฑ ในบัดนี้ ภิกษุณึ!ม่มีแล้ว ภิจนี้ก็เป็นอันไมด้องทำ s กิจ ๔ อยางนี้ เรืยกว่า บุพกิจ แปลว่า ธุระอันจะพึงทำกอน แต่สวดปาติโมกข์ วิธีมอบปาริสุทรให้แกผู้ร้บ วิธีมอบปาริสุทธินั้น ภิกษุผู้เจ็บชำระตนให้ปริสทธิ้จากอาบติ กอนแล้วจึงบอกมอบ แต่ในบาลีหาได้กล่าวถึงไม่ กล่าวแต่เพึยงให้ ทำ ผ้าท่มเฉวียงบ่านั้นนั่งกระหย่งประณมมอ กล่าวกะภิกษุผู้รับนั้น ว่า ปาริสุทฺธี ฑมฺมี, ปาริสุทุธี เม หร, ปารืสุๆธี เม่ อาโรเจหิ แปล ว่า มมมอบความบริสุทขึ้!เองNม ขอท่านจ่งนำความบ่ริสุทธึ๋ชองผม ไป ขอท่านจงฃฺอกความบริสทธิ๋ฃองผม ถ้าผู้บอกอ่อนกว่าผู้รับ ใช้ คำ ว่า หรถ แท่น หร อาโรเจถ แทน อาโรเจหิ ในล่วนคำแปล ใช้คำ ว่า ผม แทน ฉัน ท่านแทน เธอ ฑกเฟง ๓๔0?
www.kalyanamitra.org สำ มอกปาริสุทธิฃอพิก?^ฒุ้ฟ่าริสุทธิมา ฝ่ายภิกษุผู้ร้บปวริสุทธิของภิฑษุไข้ พุงบอกในสงฆจะพงบอก ด้วยสำอปางไร ในบาลีไม่ได้วางแบบไว้ สำ บอกน่าจะว่าอยาง เช่น ภิกษุผู้สูาพาธชื่ออุตตระ แสะแก่กว่าภิกษุผู้นำปาริสุทธิมา บอกว่า อายสฺมา ภนฺเดุ สุดุตโร คลาโน ปริสุท'bs ปฏิชานิ, ปริสุทฺ ดุ ส^์ ธาเรดุ เฟลความว่า ท่านเด้าข้า ท่านอุ่ดุตระอาพาt ฟาน ปฏญสุjาดุนว่าเแนผู้บริสุทธึ๋ขอสงฟ้จงทราบท่านว่า ฟ้นผู้ปริสุทธิ้ แบบ นี้สุมมตว่าภิกษุผู้อาพาธชื่ออุตศระและแก่กว่าผู้นำ ถ้าผู้นำแก่กว่า ไข้ สำ ว่า อุดฺดุโร ภิฤชุ แทน อายสฺมา อุตตโร และใข้สำเรียกอุตดุรภิกษุ ว่า เธอ แทน ท่าน เมื่อนำปาริสุทธิมาแล้วภิกษุไข้ก็เป็นอันได้ทำ ^บอทมอ่ซ่ฉนทะโ ภmil ก็ก่ษุผู้อยูในลีมาคือเข่ตชุมนุมมื่สิทธิในอันจะได้เข้าประชุม จะทำภิจสงฆเว้นเธสุเลีย ภิจ่นี้แ!ม่เป็นธรรมใช้ไม่ได้ เแตจะ ได้รัปความยินยอม่ของเธอ การให้อนุมตนี้ เรียก่ว่าให้ฉนท่k ริธ1ห้ ฉันทํะนี้น ในบ่าลีวางแบบไว้ว่า ภิก่ษุผู้ให้พึงท่าอุต่ตราสุง่คเฉวียงป่า นั่งกฺระหย่งประณมมือ กลาวกะภิกษุรูปหนึ่งว่า ฉนุทํ ทมฺมื, ฉนุทํ เม หร, ฉนฺทํ เม อ่าโริเจหิ แปลว่า ฉันให้ฉันทะของฉัน เรอ่จงนำ ฉันทะของฉันไป เธอจงบอกฉันทะของฉัน น่าจะเห้นว่า ท่านวาง แบบไว้เพื่อกล้าวคำใดสำหนึ่งก็ได้ ถึงมอบปาริสุทธิก็เหมือนกันุ ถ้า ผู้ให้อ่อนกว่าผู้รับ ใช้สำว่า หรถ แทน หร อาโรเจถ แทน อาโรเจหึ ในล้วนสำแปลใช้สำว่า ผมแทน ฉัน่ ท่านแทน เธอ ทุกแท่ง ๓(&โ๙
www.kalyanamitra.org ศา3Jอกฉันทะของภิกธุ า#4ทะมา คำ บอักของกิกุชุเนฺรเ^ะ ไฝMว่างเพฟ®i \"ทาน ผูกขึ้นใ# ต่างว่าภิกษุพู้ใพ้ฉันทะชื่ออุต^แลุะแก้กว่าษอกว่า อายสมา ภนเตฺ อุตุตโร มยฺหํ ฉนุ่ท อ่ทาสิ, ดสส ฉนฺโท มยา อาหโฏj สฺาธุ ภ่นเด สงโฆ ธาเรชุ แปลคว่ามว่า ท่านเจ้าข้า รทนอุตตระ ไดมสบ ^ทะเฟผม ๆ นำ ฉันทะของท่านมาแจ้ว ขอสงส์จฟ้ทราบแบฮนี้ สมมตว่าภิกษุแ,ข้ฉัพ!ะชื่ออุดตระแก่กว่าเนา .ถ้า^แก่กว่าแ^า_ ว่า อุตุตโร ภิคฃุแทน อายสมา อุตุตโร และใข้คำฝ็ยกอุตฅรภิกษุ ว่า ผ่รอ แทน ท่าน คำ บอกฉันทะควบกับปาริสุทธิ บอกฉันทะควบกับปาริสุทธินั้น ดังนั้น อุตุตุโร กนฺเต ภิกฺฃุ สิลาโน มยฺหํ ฉนทญจ ปารสุทุธิฌจ อุทาสิ, ดตุส ตุนฺโท จ ปาริสุทธิ จ มยา อาหฏา, สาธุ ภนเต สงโฆ ธาเรตุ แปลฺว่า ท่านเจ้าข้า อุตุตุรภิกษุอาพาธ ได้มอุบฉันทะและปาริสุทธิแก่ผม ผมนำฉันทะ และปาริสุทธิฃฺอุงเธฺอมาแจ้ว ขอสงฟ้จงทราบ แบบนี้ สมมติว่าภิกษุ ผู้บอกมอบชื่ออุตตระและปอนกว่าผู้นำ ถ้า.ผู้นำอ่อนกว่า ใชคำว่า อายสมา อุตุตุโร แทน อุตุตโร ภิกฃ และไห้คำเรียกอุตตรภิกษุว่า ท่าน.แทน เธอ ได้^ฉัพ!ะข่อุงภิกษุผู้ไฝมาเ^าพ[ะชุม่อุย่างนี้แ^เ สงฆท่าอุโบสถก็ได้ ท่าสังฆกรรมอื่นด้วยก็ได้ ชุเทื่นับกันอฟในษุทขกาล ฤดูที่นับกันอุยู่ในพุทธกาล มี> สิอ ๓๖0
www.kalyanamitra.org ๑V เหรรทแตฤด ฤดูหนาว ๒. คิมหนดฤดู่ ฤดูร้อน cn. กร^รเแฤษ ฑิารฺน้บภิกษุนึ๊ มีปรส์ยจฅรจรเห้เว่า ในอาวาสTO หรื^ ^หเ^TOมีภิกษเทาใร กล่าวfeยทวา!,๓คือ;ใน่ระยะกึ่งเดือนสำรวจ บญ^กฒ&คราวหนึ่ง เพื่อจร ว่าฝ็จำน์วใ^มขื้นห่รือสดสง; เห่าใร วิธีน้บห่าใเห้ ๑. เรียกนึ่อฃฺางฺ ภกษผู้อยูในอาวาสเดียวกันประชุม ควรฺนัฃ ษ jgj ๒. ไล่ค่ะแนนบาง ถ้าภิทษ่ผ้ประชุมอยูตางอาวาส่ แตใน จํงหวัดเดียวกัน ควรนบด้วยวิธีไล่คะแนน 1น?5ดนื้พฌไม่จำก้ด ใ^อยางหนึ่งอย่า#)กึ่ได สุด่แฅจ่ะ สะดวก แต่การนับเรียกชื่อ ใครขาด!ได้ง่าย และการบอกก็บอกแต่ จำ นวนภิก!^เข้าประชุม ไมใด้จำแนกว่าเจ้าอาวาสเห่านั้น อาคันตุกะ- เห่านั้เ ชาระศีลใหฃ่รีสท่รี้โ!อนฟ็งปาสิโมกข์ ภิกษุผู้จะห่าอุโบสถ ต้องชาระตนให่บรีส;ทธิ้จากอาป๋ตที่เป็น เฑสนาคามินี คือแก้ได้ด้วยการแสดง เว่ามีอาบตสิดคัว เข้าฟ้ง ปาดโมกข์ ถูกปร้ฆอาบตทุกกฏ ขณะเมึ่อฟัง นึกขึ้นมาได้ก็ด้องบอก แกภิกษุผนึ่ง์ใกล้ว่า ข้าพเจ้าย้งด้องอาบสิชื่อนั้น ลุกจากฺที่นั้แล้วจ้ถ ๓๖๑
www.kalyanamitra.org แสดง ภกษุทั้งหลายต้องอา!®อย่างเดียวกันฺ ฟานเรียกว่าสภาคามุติ ทานห้าม่ไมใหแสดงต่อกัน หามไมไหรีบของกัน ขืนฟุาท่านปรีบ เปีนทุกกฏทั้งผู้แสดงทั้งผู้รีบ แต่อาบตินั้น ท่านยอมไหเป็นอันแสดง แล้ว- อวบติต่างวัตถุ แม้ชื่อเดียวกัน เซ่นปาจิตตีย์เพราะนอนร่วม กับอนุปสัมบันเกินกาหนด และปาจิตตีย์เพราะสอนธ่รรมแก่อนุปสัมบัน ว่าพร้อมกันเขืา ไม่สัดเป็นสภาคาบติ ต่างรูปต่างแสดงต่าง^ของกัน ไต้ 'ถ้าสงฆคือภกษทั้งปวงต้องสภาคาบติ ท่านไหสวดประกาศในที่ ปรัะชุมแล้วฟ้งปาติโมกข์ไต้ อาป๋ตีที่เป็นวุฏฐานคามินี คือสังฆาทิเสส จะพ้นไต้ด้วยอยู่กรรม ท่านไหบอกไว้แก่ภิกษุแม้รูปหนึ่งว่า ข้าพเจ้า' ต้องอาบติสังฆาทิเสสข้อนั้นๆแล้วฟังปาติโมกข์ก็ไต้ การ่ท่าสังฆอุโปสถ _ ไนที่ปรุะชุมต้องพร้อมดวยองค ๔ ดงต่อไปนี้ ท่านจึงไหทำ สงฆอุโบสถ คือสวดปาติโมกข์ ๑. วันนั้นเป็น ๑๔ คํ่าหรีอ ๑๔ คํ๋า หรีอวันสามคดี อย่าง ไดอย่างหนึ่ง ๒..จำนวนภิกษุผู้ประชุม ๔ รูปเป็นอย่างน้อย เกินกว่านั้น ไข้ได้เธอทั้งหลายเป็นปกตตะ คือเป็นภิกษุโดยปกติ ไม่ต้องปาราขืก หรือถูกสงฆลงอุกเขปนียกรรม แด่ ๒ ประ๓ทนี้ หมายเอา(ป็นที่ ๙ อยู่ไนสงฆ์ คือมีรูปนั้นบรรจบเป็น ๔ จึงไข้ไม่ได้ เธอทั้งหลายํเข้านั่ง ไม่ละหดถบาสแห่งกันและกันสำเร็จเป็นกิริยานั่งประชุม ๓. เธอทั้งหลายไม่ด้องสภาคาบติ แต่ถ้ามีอย่างนั้นท่านไห ภิกษุรูปหนึ่งสวดประกาศว่า สุณาตุ เม ภนฺเด สงโฆ, อยํ สพโพ ๓๖๒
www.kalyanamitra.org สงฺโฆ สภาคํ อาปตฺตี อาปนฺโน, ยฑา อฌฺฝ ภิฤขุ๊ สุทธ อนาปตฺสิกํ ปสฺสิสฺสต,ตฑาตสุสสนฺตเก ดอาปตฺตึปฏกกริสฺสติ.ตังนี้แปลว่า ฟานเจ้าข้า ขอสงฆจิงฟ้งข้า'พเจ้า สงฆ์ทั้งปวงนี้ต้องสภาคาฟ้ติ จัก เห็นภิกร่^นผู้บริสุทธิ้ ไฝส์อาบดเผื่อ่ใด จักทำคืนอาบตนนในสำนฺก เธอเมื่อนน เมื่อไต้สวดประกาศอยางนี้แลว ทำ อุโบสถก็ได้ ๔,บุคคลควรเว้นไฝมีในฟ้'ดลบาส คือไฝไต้อยู่ที่ประชุม บุคคลควรเว้น บุคคลควรเว้นนั้น พึงกำหนดง่าย ๆ ดังนี้ ๑.คนไฝใชภิกษ คือ อนปสํมบัน^กบุณีก็นับเข้าต้วย ๒. เป็นภิกบุอยู่ก่อน แด่ชาดจากความเป็นภิกบุต้วยประการ ใดประการหนึ่งฺ คือ ต้องปาราชิก ไปเข้ารีตเดียรถียทั้งเพศภิกษ ลาสกขาแล้ว ผ. เป็นภิกษ แด่ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนฺยกรรม จำ พวกหลังนี้ ถ้าไฝเป็นที่:๔ ในสงฆ์ไฝเป็นอะไร คำ ประกาศสมมสิตนเองเป็นผูถามวินัย ในคราวป้ร่ะชุมทำอุโปส่ถนี้ ภิกษทั้งหสายถือเอฺาโอกาสสนทนา กันถงพระวินัยในสงฆ์ด้วย แด่ไฝใชพระ'พุทธานุญาดโดยดรง เนึ่อง ต้ว่ยกำรทำอุโบสถ มีเป็นธรรมเนียปว่า จะสินทนากันถืงพระวินัยใน ทามกลางสงฆ์ ทั้งผูถามทั้งผูวลัชนา ต้องไต้รี'บสมมติก่อนประกาศสม- มติตนเองก็ได้ ภกษุอื่นประกาศสมมติให้ก็ได้ เพึยงตั้งญัดติกรรมก็พอ คำ ประกาศสมมติตนเองเป็นผูถามว่าอย่างนี้ สณาต เม ภนฺเด ๓๖๓
www.kalyanamitra.org สงโฆ, ยฟ้ สงฺฆสฺส ปดฺดคลลํ, อฬ อิตุถนนาม วินยํ ปุจฺเ,ฉยฺยํ แปลlin พระสงฆ์m#ไ ฃอจง ฟ้ง^พพเ เทความพร้อมพ^ซอง สงฆ์ถงที่แ^ #ไพKจ้าขอถามพร่รสิ^ส่อผู้มืส์ฮนื้ ชื่ออยฟtเกลุ่าว ออกในที่วา ฮดฺถนฺนามํ ฟน ชื่ออุตตระ แกกวๅ กล่าววำ อายสุมนฺสํ อุตตรํ อ่อนกว่ากล่าววา อุตฺตรํ ภิฦฃุ๊ ถ้าเป็นสัง^เถ่ระ กล่าวว่า อาวโสุ: แหน ภนฺเด่ คำประกาศสมํมสิตนเองเป็นpfชนา คำ ประกาศสมมติตนเองเป็นผูวิสชนาว่าอยางนึ๊ สณาตุ เม ภนเต สุง!ฆ์, ยทิ สุ^ฆสุสุ ปตฺตกลฺลํ, อหํ อด่ถนฺนฺาเมน วนย ปุเ]โจ วสชฺเช่อฺคํ แปลว่า พรุะสงฆ์เจ้าขา ขอจงฟ้งซาพเจ้า, ถ้าคว่ามพร้อม พรุงชองสงฆ์สีงที่แลว, ขฺาพเจ้าอันผูมีชื่อสั ถามถึงวินยแลว่ ขอ วสซนา ถ้าผู้ถามชื่อเรวตะแก่กว่ากล่าวว่า อายสุมตา เรุวเดน อ่อน กว่า กล่าวว่า เรวเดน ภฦฃนา แทน อิตฺถนฺนาเมน ภิกษุอื่นประกาศสมมสิ!ห้เป็นผถามประกอบชื่อแทน ภิกษุอื่นประกาศสมมติให้เป็นผู้ถาม ปร่ะกอบชื่อแทนว่าอย่าง- นี้ สณาตุ เม ภุนฺเด สงฺโฆ, ยท สุงฺฆสุส ปดดกลลํ, อายสมา เรว่โด อายสุมนดํ อุดดรํ วินยํ ปุจเฉยฺย แปลว่า พระสงฆ์เจ้าซา ซอสงฆ์ จงฟังข้าพเจ้า. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ขอทานเรว่ดะ ถามวินัยส่อท่านอดดระ ๓๖GT
www.kalyanamitra.org คาที่สืกษุอื่นสมมสิใmป็นผูวิสัชนาประกอนชื่ฮฺ ไห้เป็นผู้วิสัชนาว่าอยางส์ สุณาต เม. ภ์นฺเด สชุโฆิV ยท สงฆ่สฺส ปดฺดกลฺลํ, อายสฺมา อุดุดโร อายสุมดา เรวเดน วินย ปุฎโร วิสุชฺเชยย แปลว่า พระสงฆ์เจ้าข้า ฯลฯ ขอฟานอุดดระอันท่านเราตะ ถามถึฟ้ฟ้ยแล้าวิสัชนา ธรรมเนยมนี้คงไม่เป็นไปไสืเท่าไรนก ตกมาถึง การสวดปาติโมกข์ ตรัสให้เป็นหน้าที่ของพ่ระเถระMviflj แต่ ถึาyสามารถด้วยประการไตประการหนึ่ง จะเชิญให้ภก!เ^นผู้สามารถ สาดก็ได้ เป็นฺอัพว่ารูปไดรูฟหนึ่รรสวด่ ก็ภกษุผู้สุ่วต&)รร่เลือกเอาผู้ ฉลาด จำ ปาติโมกข์ได้ เข้าไจคำพูดและอักษรถูกจังหวะและชัดเจน และอาจสาดได) ไม่พผู้ฝ็เลืยงแหมเสิยงเค่รือ»#อป่ายเรมหเด กิกษเ สวด: ^จ่รเแไจสาดไห้ชิดเ^ พอ!เษหเดฮน่ถน้ดที่ากน .แกล้งทำ อ้อมแอ้มอุบอิบเสีย ท่านปฆัJเป็นทุกกฏ ไนคำสาด มีที่เปลี่ยนวันแห่งหนึ่ง ล้าวันที่ ๑๕ สาดว่า อร(ชุโปสุโถ ปถเณรโส แปลว่า อุโบสถวันนี้ที่ ๑๙ ล้าวันที่ ๑๔ สวดว่า อร^จาดทุห^ เฟลว่า ร^สถานนี้ฬี่ ๑๔ ล้าเป็น รองดอง สาดว่า อชุชุเปสุโถ สุามทุคี แปลว่า อุ่^สถวัน่นี้ ฟ้นานสามคดี ในปๆสิโมคข์ท่านจัดอุทฒสไว้โดยย่อม ๕ ประการ ไนปาติโมกข์ ท่านจัดหมาดไว้ เรียกว่าอุทเทส โดยย่อมี น้ทานุทเทส ปาราชิกุ่ทเทส สังฆาทิเสสทเทส อนิยตุทเทส ๓๖(&:
www.kalyanamitra.org วตถารทเทส ' จิ ธุทเทสหลังสงคราะห . นฺสุลัศคิยุทเทส . ปาจิตติยุทเทส ปาฏิเทสนียุทเทส เสฃิยุทเทส สมถทเทส โดยพิสดาร/จึงเป็นธุทเทส ๙ นี้สำ หรับฺจะได้รู้จัก ตดดอนสวดปาติโมกข์ เมื่อถึงุคราวที่จิาเป็นุ่ คราวจำเป็นอันเป็นเหตสวดปาติโมกข์ยอHU มี ๒ คือ ๑.ไฝมีภิกษุจำได้จนจบ เซ่นนี้ใหสวดเทาอุฑเทสที่จำได้ ๒. เกิดเหตุฉุกเฉนที่ท่านเรียกวาอันตรายขึ้น ท่านให้สวดย่อ ได้ โดยปกติท่านให้สวดจนจบ เหตุฉุกเฉึนที่เรียกว่าอันตราย เป็นเหตุสวดปาติโมกข์ย่อฺได้ เหตุฉุกเฉินที่เรียกว่าอัน่ดราย เป็นเหตุสวดปาติโมกข์ย่อได้ นั้นท่านแสดงไว้ ๑๐ อย่าง คือ ๑. พระราชาเสเจ่มา เลกสวดปาติโมกข์เที่อจะร้บเสคืจได้ ๒.โจรมาปล้น เลกสวดปาติโมกข์เพื่อหนภย่ได้ ๓.ไฟไหม้ เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อสับไฟหรือเพื่อป็องกนไฟได้ ๔. นั้าหลากมา เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหุนนํ้าได้ ส์วดกลางแจ้ง ฝนตก ภิเหมีอนอัน ๓๖๖
www.kalyanamitra.org ๕.คนมามาก เลกสวดป่าสิโมกmฬึ่อจะรู้เหตุ หรอเพึ่อจะได ทำ ป่ฏเโนถารได้อยู่ ๖.ผีเข้าสืกชุ'เลกสวดป่1สิโมกข์เพื่อฃบฝึได้อยู่ ๗. สัตว์ร้ายม(เอ!รนด้น เข้ามาไนอาราม เสิกสวดป่าสิโมกข์ เพื่อไลสัดว์ได้อยู่ ๘.งูร้ายเลื้อ่ยเข้ามาในที่ชุ่มนม ก็เหมือนกัน ๙. ภึภษุอาพาธโรคร้าย่ชึ้นในที่ชุ่มตุม สัน!รนสันดฺรายแก่ชีวิด เลิกสวดป่าสิโมกข์เพื่อชีวยแก่ไขก็ได้ มืสันเป็นตายในที่นั้น่ก็เหมือนกัน ๑๐. มืสันดรายแก่พรหมจรเย - เช่นมีใครมาเพื่อจบภก!^ qqj., แ!a เลิกสวดป่าสิโมกข์ เพราะความอสหม่านก็ได้ สวดย่อพนท่านวางเฒ!เไว้ดงนี้ วิธีสวด ตัดตอนนื้น ใน ๔ อุทเทสข้างต้น จะยกเลิกไม่สวด ตงแต่อุทเทสใดไป ไหยอตั้งแต่อุทเทสนั้นต้วยสุตบท คำ ย่อนั้น ฟานวางแบบไว้ตังนี้ .ต่างว่าสวดปาราชีถุทเทสจบแล้ว จะย่อ่ตั้งแต่ สังฆาทิเสส พึงสวดว่า ชุ่ดา โข อายสฺมนฺเดหิ เดรส สงุฆาทิเสสา ธมฺมา, สุดา โข อายสฺมนเตุหเหวอนิยตาธมมาฯเป่ฯแล้วลงท้าย. ว่า เอตดกํ ดสุ่ส ภควโด ฯฝฯ ลิกฺซิดพพํ แบบนี้เทียบคำท้ายอุทเทส ว่า อุทฺทีฎรูา โข อายสุมนโต เตรส สงฺฆาทิเสสา ธมฺมา และมี ตัพท้ว่า โข ทุคแห่ง นาจะประกอบว่า สุดา โข อายสุมนเดหึ เดรส สงฺฆาทิเสสา ธมฺมา, ตดลายสุมนเด ปุจฉามื ฯฝฯ เอวเมตํ ธารยามื ตอนอนิยดุทเทสเป็นต้น ก็ประกอบเช่นกัน ถ้าจะสวดเป็นตอนเดยว กัน น่าจะตัดสัพท้ว่าโข และบทว่าอายสมนเดหึ ข้างหสังเสิยคงไว้ ๓๖6/
www.kalyanamitra.org เฟเาง&นี้ สตๆ 1ซ อ่ทยสร ตหิ เฅ5ส สงฆทฟ้เสสา: ธมมา, สุตา เทฺว อนิยตา ธร^มา, ฯฟฯ ตตฺถาย่สฺมนเต ป;อุฉาม ฯฟฯ' ร่อว^ เมตํ ธารยาม เชนนี้ คำ ตอทายจะ&งว่า, อุททิสูธํ โข อิายสฺมนฺโต นิทา'เ^ อุทฑิฏrt จตตาโร ปารา®กา ร่มมา, สุ่ตา เตรส สงุฆานิเสสา จบ จฟ้ชุ้เมือเกิดmต!นุกเฒึ^นทาเต1ฝ คาสจดย่อแบฃพระมติว่าดงนี้ มติขฺองข้าพเจ้าว่า สวดปาร่าชสุทเทสจบแล้ว สวดคํๆทาอมื เดียวกิน อุททิฎ4 โข อายสุมนิโต นิฑานํ, อุทฺฑดูจก จตตาโร ปา รา®กา ธร{มา, สุตา เตรส สุ^ฆาทิเสุสุา ธมมา, ฯฟฯสุดา สตตาr รกรเนสุมถา ธร{มา, เอตตกํ ฯเปฯ สิต่รตพฺพ เชนนี้ เข้าระเบียบไฝ ล้คสํ่น และอาจใ^ด้ในเวลานิกเฉน เมื่อคำล้งสวดอุทเทรนิดควงอยู เหตุฉุกเนินเกิดขึ้น เลิกอุทเทสนั้นกลางุคันได เว้นแตนทานิทเทสต้อง สวดจนจบ และพึงย่นธุทเทสนั้นด้วยุสุตฺบท คำ ลิงสุวดปาติโมกข์ด้างอย่ มืภทษุพวกอึ่ใ4มาลีงเข้า ล้ามาก กว่าภิกษผู้ชุมนุมอยู่ ฟานให้สวดตั้ง.ต้นใหม่ ล้าเท่ากินหรือน้อยกว่า สวนทึ่สวดไปแล้ว กิใด้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟ็งส่วนยง เหุลิอต่อไป ล้าเตยู่!นเนี้องด้นว่า ยงจ้กมืกิกษมาอีก: แต่น้กเสียว่า; ย่างเป็นไร แล้วสวด ท่านปรบอาบัติลสลัจจัย ล้าทำด้วยสะเพรืา, นึกว่ามาเมื่อสวดถึงไหน, ก็จํงฟ้งนั้งแต่นั้น เซ่นนี้ท่านปรับทุกกฏ แต่วิธีปฏิบัติก็เหมือนนัยหนหลง ล้าสุวดจบแล้ว จึงมืกิกษุอื่นมา ผ๖L^
www.kalyanamitra.org แม้มากฦวา 'ไม่ต้องกลับสวดอีก เธอผู้มาใหม่พึงบอกปาริสุทธ1น สำ นักภิกษุผู้สวดผู้ฟ้งปาติโมกข์แล้ว วิธีบอโกปารสุท่ธอุโบสถ ในอาวาสม้ภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป ท่านไมไหสวดปาติโมกข์ มี ๓ รูป'ท่านใน้ทำปาริสุทธีอุโบสิส ดงนึ้ .ประชุมกนในโรงอุโบสถ แล้วรูปหนังสวดปร่ะfไาศต้วยญดติว่า สุถเนฺตุ เม ภนเต อายสฺมนฺดา อซฺชุโปสํโถ ปณฺณร่โส, ยทายร(ม่นฺดานั ปตุดกสุ่สํ, มย อผฺผมผฺฌ ปาริสุทธีอุโปสถํ กเรยุยาม, แปลว่า ท่านทั้งหลายเจาข้า อุโบสถวัน นี้พึ ๑๔ ลัๆความพร้อม'พวัฒองท่านทั้งหลายสิงที่แล้ว เราทํงหลาย พึงทำปาวิสุทธิอุโบสถด้วยกน ถ้าท่านผู้สวดแก่กว่าเพื่อนพึงกลาจว่า อาว่โส แทน ภนฺเต ถ้าวัน่ที่ ๑๔ พึงกลาวว่า จาตุทฺทโส แทน ปณณ่รโส ในสำดับนน ภิกษุผู้เถร« พึงทำผ้าหมเฉวียงบ่า นังกระห่ยง ยกมือประณมบอ่กความบวิสุทธิของตนว่า ปวิสุฑุโธ อทํ อาวุโส; ปวิสุทโธด มํ ธาเรถ ๓ หน แปลว่า ฉนบวิสุทธิ้แล้วเธ่อ ขอเธิอ่ทั้ง หลายจำฉันว่าผู้บวิสุทธิ้แล้ว ภิกษุนอกนี้ ภิพึงทำอย่างนน่ดามลำดับ พรรษา พึงบอกว่า ปวิสุทฺโธ อหํ ภนฺเด, ปวิสุทโธติ มํ ธาเรถ้ แปล ว่าผมบวิสุทธิ้แล้วขอร้บ ขอท่านทั้งหลายจงจำผมว่าผู้บํวิสุฑธิ๋แล้ว. ถ้ามี,๒^ไม่ต้องตั้งญัตติ:เนันแต่บอกปาวิสุทเแก่ลันผู้แก่ บอกว่าปวิสุท^อหํi อาวุโสJ ปวิสุทโธติ .มํ ธาเรหิ ผู้อ่อนบอกว่า ปวิสุทฺโธ อทํ ภ'นุเต, ปวิสุทฺโธติ มํ ธาเรถ รูปละ ๓ จบ ถ้าอย่รปเดียว ท่านใหรอภิกษอื่นจนสิ้นเวลา เ'หนว่าไม่มา แล้ว,ให้อธิษฐานว่า อ'!(ช เม อุโปสโกแปลว่า วันนี้อุโบสถ'ช่องเรา ๓๖๙
www.kalyanamitra.org ตๆมความนิยม ภิกษุจะเลือกทำอุโบสถที่ง่ายกว่าที่ยาก ไม่ ควร เพราะฉะนั้นจึงมีห้ามไว้ว่า ๑. เมื่อถึงวันอุโบสถ อย่าหลืกไปข้างไหนเลืย ๒. ถ้าในอาวาส อาจสวดปาติโมกข์ได้อย่าไปในที่จะไม่ได้ ฟ้งปาติโมกข์ ๓. ในอาวาสไม่มีภิกษุสวดปาติโมกข์ได้ ให้ภิกษุผู้เถระ ส่ง ภิกษุหนุ่มไปเรียนมาจากอื่นโดยพิสดารหรือโดยฺย่อ สุดแล้วแด่จะจำ ได้ ถ้าจัดการเรียนปาติโมกข์มาจากอื่นไมสาเรีจ ห้ามไม่ให้อยู่จำ พรรษาในอาวาสเช่นนั้น ๔. ถ้าอาจไปทำสังฆอุโบสถกับสงฟ้ในอาวาสอื่นได้ อยู่จำ พรรษาในอาวาสเช่นนั้นก็ควร พระสาวกผู้ใหฌในปางก่อน ย่อมเคารพใ!เสังฆอุโบสถ เช่น พระมหากัสสุปะ เดินทางมาเพื่อทำอุโบสถแต่ไกล ต้องข้ามแม่นํ้า ผ้าผ่อนเปียก พระมหากัปปินะ ดำ รีว่า เสร็จกิจฺพระศาสนาแล้วคิด จะ เสิก ไม่ไปเข้าประชุมทำอุโบสถ พระศาสดาตรัสเตือนเพื่อรักษา ธรรมเนียมและให้กายสามัคคี ท่านก็ยอมรับปฏิบดตาม ปวารณา ในวันเพ็ญแห่งเตือนกัดดิกาต้น คีอขึ้น ๑๔ คร เตือน ๑๑ มีพระพุทธานุญาดให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ทำ ปวารณา แทนอุโบสถ -r . กิจเบื้องต้นแห่งปวารณา ก็เหมือนแห่งอุโบสถ เปีนแต่ใน ส่วนบุพกิจ ไม่ต้องนิาปารีสุทธิมา แต่ต้องนำปวารณาของภิกษไข้ ๓๙๐
www.kalyanamitra.org มา คำ มอบให้ปวารณาว่า ปวารณํ ทมมิ, ปวารณ เม หฺร, มมดฺถาย ปวาเรห้ แปลว่า ฉันมอบปวารณาของฉ้น ขอเธอจงนำปวฺารณ่าของ ฉันไป ขอเธอจงปวารณาแทนฉัน นี้เป็นคำของผู้เจ็บที่แก่กว่า ถ้า อ่อนกว่า ใช้คำว่า หรถ แทน หร ใช้คำว่า ปวาเรถ แทน ปวาเรหิ พึงถือเอาคำแปลโดยสมควร, . วันทํๅปวารณา วันปวารณานั้น โดยปกติเป็น ๑. วันขึ้น ๑๔ คํ่า เรียกว่า ปณฺณรสิ ถ้าสงฆ์ยังไฝปวารณา ในวันนั้น เลื่อนวันปวารณาออกไปอีกป็กช์หนึ่ง ๒.วันแรม ๑๔ คํ๋า เรียกว่า จาตุททสิ ๓. วันปรองดฺองกน กจ^งเป็นวันุสามิคสิ การกคือผู้ทำปวารณามี ๓ คือ ปวารณานั้น คือบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อปรารถนา ตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ๑. สงฆ์ คือภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เรียกว่าสิงฆปวารณา ๒.คณะ คือภิกษุ ๔-๓-๒ รูป เรียกคณะปวารณา ๓. บุคคล คือภิกบุฝเดียว เรียกบุคคลปวารณา q qqi จ- อาการที่ทำปวารณามี ๓ คือ ๑. ปวารณาต่อที่ประชุม ๒. ปวารณากันเอง ๓6/๑
www.kalyanamitra.org ๓. ส์งฆปวารณrr ทำ ปวารณาเป็นการสงฆ พึงตั้งญตติประกาศฺเแาสงฆก่อนแล้ว จึงปวารณา ธรรมเนียมวางไว้ ให้ปวารณารูปละ ๓ หน โดยปกติ ถาม เหตุขัดข้อง จะทำอย่างนั้นไม่ตลอดด้วยประการใดประการหนึ่งจะ ปวารณารูปละ ๒ หนหรือ ๑ หน หรือพรรษาเท่ากน ให้ว่าพ่ร้อม่ กันก่ใด้ จะปวารณาอย่างไร พึงประก่าศแก่สงฟ้,ห้รู้ด้ว่ยญัดติก่อน วิธีตั้งญตตินั้น พึงรู้อย่างนั้ ๑. ถ้าจะปวารณา ๓ หน พึงตั้งญัตติว่า สุณาตุ่ เม ภนเด่ สงฺโฆ, อชฺช ปวารณา ปณฺณรสิ,ยท สงฆรเส ปดฺดกฤล้ สงฺโฆเตวฺาจึกํ ปวาเรยุย เฟลว่า ท่านเจ้าข้า ขอ่ส่งฆจงฟ้งข้าพเจ้าปวารณาวันนี้ที่ ๑๕ ถ้าความพร้อมพรั่งชองสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๓ หน นี้ เรืยกว่า เตวาจึกา ฌตุด่ เมื่อตั้งญัดติอย่างนี้แล้ว ด้องปวารณารูปละ ๓ หน จ็ะลดไม่ควร ๒. ถ้าจะปวารณา ๒ หน พึงตั้งญัตติเห่รอนอย่างนั้น แต่ ลงทายว่า สฆ์ฆ เทฺววาจึก่ ปวาเรยฺย แปลว่า สงฆ์พึงปวารณๆ ๒ หน นี้เรืยกว่า เท่วว่าจึกา ฌตุติ เช่นนี้ จะปวารณาเท่านั้นหรือมากกว่าได้ แต่จะลดไม่ควร ๓.ถ้าจะปวารณาหนเดียว พึงตั้งญัตติลงท้ายว่า สงฺโฆฺ เอกวุา- จึกํ ปวาเรยฺย แปลว่า สงฆ์พึงปวารณาหนเดียว นี้รืยกว่า เอกวาจึกา ฌตฺติ เช่นนี้ปวารณาหนเดียวหรือมากกว่าได้หงนั้น แตผู้พรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกันได้ ๓๑๒
www.kalyanamitra.org ๔. ถ้าจะจัดภิกษุมีพรรษาเท่ากัน ให้ปวารณาพร้อ่มกัน พึง่ดั้ง ญัตติลงท้ายว่า สงโฆ สมานจสฺสิก ปวาเรยย แปลว่า สงฟ้พงปวารณำ Tมีพร่รษๆเท,่า1กัน น๕เรZียกวโ่า สมานวสฺสิJกาตฺไติโ เ7ช่iนนน ภrิกษุIมีพLรรษๆ เท่ากัน ปวารณาพร้อมกัน ๓ หน๒หน หนเดียวได้ทั้งนั้น วิรีดั้งญัตติ ๔ แบษ่ข้างด้นนี้ ระบุประการ ๔: ถ้าจะไฝระบุประการ พงดั้งครอบ่ทั้วไป ลงท้ายเพียงว่า สงฺโรj ฟวาเรฺยุ่ย แปล้ว่า สง่ฆพีงปว่ารณ่า นี้เรียกว่า สฺพฺพสงฺคาห- กาตฺติ เช่นนี้ จะปวารณากี่หนก็ได้ แต่ท่านห้ามไมให้ผู้มีพรรษาเท่า กัน ปวารณาพร้อมกัน แต่เห็นว่า ควรจะได้ กันตราย ๑๐ อยาง โตยที่สุตทายกมาทำบุญ หรือมีธรรม^ สวนะอปจนสว่าง ท่านให้ถือฟินเหตข้ดข้องได้ คำ ปวารณา ครั้งดั้งญัตติแถ้ว ภิกษุดูเถระ พีง่ทำ ผ้าหมเฉวียฬา นั่งกระ- หยงประณมมือ กส่าวปวารณาต่อส่งฟ้ว่า ส่งฺฆ อาวุโส ปวาเรมี fiqเฐน วา สุเดน วา ปริสงฺกาย วา, วทํนตุ ฟ้ อายสฺมนโด อนุกมฺป้ อุปาทาย, ปสฺสนุโต ปฏฦกริสุ่สามี, ทุติยมุปี อาวุโส ฯเปฯ ดติยมฺป็ อาวุโสสงฺฆํปวาเรรฯเปฯปฎฦกริสฺสารแปลว่าเธอฉันปวารณา ต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟ้งก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทํง หลายจงอาศฺยความกรุณา ว่ากส่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย ฉัน ปวารณาต่อสงฆ์ครั้งที่ ๒ ฯลฯ ครั้งที่ ๓ ฯลฯจักทำคืนเสีย ภิกษุ นอกนี้พีงปวารณาตามลำดุ้บพรรษาทีละรูป เว้นไว้แต่คราวให้ผู้มี พรรษาเท่ากันปวารณาพร้อมกัน โตยนัยนั้นเปลี่ยนใข้คำว่า ภนุเต ๓6/๓
www.kalyanamitra.org แทน อาวุโส เท่านั้น ในคราวที่มีนำปวารณาของภิกษ^นมา ผู้นํๆ.น่าจะปวๅรณๆ แทนเธอ: เมื่อถึงลำด้'บของเธอ เซ่นตัวอย่างดังนี้ อายgfมา ภนฺเต อุตฺตโร่ สิลาโน สงฺฆํ ปวาเรสิ ฑิดู่เฐน วา สุ่เตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ ตํ อายสุมนโต อนุกมฺป๋ อุปาทาย, ปสุสนุโติ ปฏิฤกริสุสติ, ทุติยมุปี ภนฺเต ฯเปฯ ตติยมุปี'ภนฺเต อายสุมา อุดฺตโร่สิลาโน สงฺฆํ ปวาเรติ ฯเปฯ ปฏิฦกริสุสติ แปลว่า ท่านเจ้าข้า ท่านอุตตระอาพาธ ปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ติ ด้วยสงสัยกสิ ขอ ท่านทงหลายจงอาตัยความกรุณาว่ากลาวท่าน ท่านเห็นอยู่ จักสิน คำ เสีย, ท่านอุตตระอาพาธ ปวารณาต่อสงฆ์ครั้งที่ (0 ฯลฯ ครั้งที่ ๓ ฯลฯ จักท่าสินเสีย ถ้าผู้นำแก่กว่ากล่าวว่า อุตฺตโร กุนฺเตํ ภิฦฃุ แทน อายสุมา ภนฺเต อุตฺตโร ถ้าชื่ออื่น ก็พึงเปลี่ยนไปตามชื่อ และ พึงถือเอ่าความเข้าใจโดยสมควรแก่รูปความ ถ้าในชุมนุมนั้น มีภิกษุผู้ไม่อาจปวารณาได้เพราะพรุรษาขาด หรือแม้อุปสมบทภายหลังแต่วันเข้าพรร!fไ และมีจำนวนไม่มากกว่า ภิกษุผู้อาจปวารณา แม้มีจำนวนถึง ,๔ รูป ท่านให้บอกปาริสุทธิ เมื่อ ภิกษุนอกนี้ปTIรณาเสร็จแล้ว ถ้ามีจำนวนมากกว่า ท่านให้สวดปาติโมกข์ เมื่อจบฺแล้วจึงให้ภิกษุนอกนี้ปวารณาในสำนักเธอทั้งหลาย ห้ามไมให้ ดั้งญัดติท่าเป็นการสงฆ์การคณะทั้ง๒ อย่างในวันเดียวกน เหตุเป็นเครื่องยก่ฃึ้นอ้างในการเลื่อนปวาร่ณา วันปวารณานั้น จะเลื่อนกระดั้นใน ๓ เดือนแต่วันเข้าพรรษา เข้ามาหาได้ไม่ จะเลื่อนออกไปอีกป๋กษ์หนึ่งหรืออีกเดือนหนึ่งได้อยู่ ๓๙(T
www.kalyanamitra.org ถ้าจะเลื่อนต้องประกาศให้สงฆ์รู้เหตุแล้วทำอุโบสถในวันนั้น เมื่อ่ถึง่ วันกาหนดจึงทำปวารณา เหตุเป็นเครื่องยกขึ้นอ้างในการเลื่อนปวารณา นั้นกล่าวไว้ในบาลีดังนี้ ' : ๑. มีภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาดวยด้วยหมายจะดัดต้าน ผู้นั้นผู้นี้ ทำ ให้เกิดอธิกรเนขึ้นอย่างหนึ่ง ๒. อยู่ด้วยดันเป็นผาสุก ปวารณาแล้วตางจะจากดันจาริก ไปเลียอย่างหนึ่ง - - ในบัดนี้ ไฝมีสงฆ์หมูไหนจะเลื่อน จึงแสดงแต้โดยสังเขปพอ รู้เต้า . . คณะปวารณา ในอาวาสมีภิ่กษุแอยกวา ๕รูป ท่านห้ามไมให้ทำสังฆปวารณา ถ้ามี ๔ รูปหรือ ๓ รูป พึงประชุมัดันแล้ว รูปหนึ่งตั้งญัตติว่า สุณนตุ เม อายสฺมนฺโด, อชฺช ปวารณา ปณฺณ่รลี, ยทายสุมนุดานํ ปดฺตกลฺฟิ, มยํ อ่ฌฌมญฌํ ปวาเรยฺย่ามแปลว่า ทานเจ้าข้า ท่านทั้งหลายจงฟัง ข้าพเจ้า ปวารณาวันนี้ที่ ๑๔ ถ้าศวามพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่ แล้ว, เราทั้งห่ลายพึงปวารณาดันเกิด ถ้า ๓ รูปว่า อาย่สุมนุดา แทน อวยสุมนุโต คำ ปวารฌก ;• รูปหนึ่งประกาศตั้งญัตติแล้วพึงกล่าวปวารณาดามลำดับ พรรษา มีน้อยรูปพึงปวารณ่ารูปละ ๓ หน คำ ปวารณาว่า อหํ อาวุโส อายสุมนุเดปวาเรมีฯเปฯปฏิฦกริสุสุามี.ทุติยมป็อาวุโส ฟฯ
www.kalyanamitra.org ตติยม่ปี อาวุโส อายสม่นฺเต*ปว'แรผิ ฯเปฯ ปฏิกกริสุสาม นฺสำ หรัษุ่ รูปแก่ รูปอ่อนว่า สนฺเต แทน อาวุโส ล้ามีแต่ ๒ รูปไม่ล้องตั้งญ้ตติ พึงกล่าวคำปวารณาว่าอฺหํอาวุโสอายสฺมนฺตํ ปวาเรมี ฯเปฯวทต มํ อายสฺมา ฮนุก14ป๋ อปาทาย, ปสฺสนุโต ปฏิฦก่|glสามี นี้เรียกว่า คณะปวารณา บุคคลปวารณา มีรูปเดียวท่านให้ตระเตรียมที่ทางและคอยภกษุอื่นจนสิน เวลา เห็นไม่มาแล้วให้อธิษฐานว่า อชฺช เม ปวารณา แปลว่า ปวารณาของเราวันนี้ นี้เรียกว่า บุคคลปวารณา ป๋ฌหาและเฉลยMยบุฃ ทัณฑ์ที่ ๑๗ ๑. วันเช่นไรภิกชพึงประชุมทันฺสฺวตพระปาฏิโมกข์? ตอบ วันพระจันทรีเพ็ญ(ดีถีขึ้น ๑๔ คา) วันพระจันทรดับ;(ดีถี .แรมฺ ๑๔ คา หรีอ ๑๔ แท่งเดีอนขาด)แล.ะวันสามัคคี เป็นวัน ที่^กฺษุพึงประชุมกันสวดพระปาติโมกข์ . . ๒,,ผู้ทำ และอาการที่ท่า ในการทำอุโบ่สถ;มีอะไรบ้าง? ตอบ ผู้ทำ มี ๓ คือ สงฆ์ คณะ และบุคคล อาการที่ทำมี.๓ คือ : สวดปาติโมกข์ บอกความบริสุทธิ้ และอธิษฺฐาน ๓.ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรีอ ๑ รูป . เมื่อกึงวันอุโบสถ,พึงปฏิฟ้ตอย่างไร? ;ต่อบ ๔ รูป พึงประชมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์ snvรูป พึงประชุมกันทำปารีสทธิอุโนุ่ลถ ดังนี้ป^ชุมกันในโรงอุ]^ลก ๓๙๖
www.kalyanamitra.org แล้วรูปหนึ่งสวดประศาสญัตติจบแล้วแต่ละรูปพึงบ่อภค'ฑมบริสุฑธ ข่องต่น V '๒ รูป ไผต้องตั้งญัตติ;ฟ้งบอกความบ่ริสุทธิ้แก่ก้นและถัน ๑ รูป พึงอธิษฐาน ๔.ในถๆรt?hอุโบสถฃอง่ทถษุ การส่วตปาติ!ผกข.การบอกคร่าม่ บริสุทธิ้และการอธิษฐาน ทรงให้ทำได้โนกรณีใด ? ตอบในกรณีที่ภิกษุปรรชุมถันตั้งแต่ ๔รูปขึ้นไป ตรสให้สวดปาติโมกข์ ถ้ามีเพึยง ๓ รูป.๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความนรีสุทธิ้ ของตนแก่,ถันและถัน ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล ให้อธิษ่ฐานใจ คือติดว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา ๔.การทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจันทร์เพึญและ พระจันทร์ดบแล้ร่ ยงทรงอนุญาตให้ทำได้ในวันใดอีก อุโบสถ เช่นนั้นเรียกว่าอะไร่? ตอบ ในวันที่ภิกษุผู้แดกถันปรองดองถัน่ไต้ เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ ๖. อุโบสถฟ็นชื่อข่องอะไร? ตอบ อุโบสถเป็นชื่อฺข่องการปาเพ็ญพรตอย่างหนึ่งเนื่องต้วยการ อดอาหาร แปลว่าการเข้าอยู่เป็นธรรมเนี้ยมมาแต่ก่อน•พระทุทรเจ้า ไต้ทรงอนุมีติธรรมเนียมดง์ถลาวและร้บสํ่งให้เป็นวันประก^บ่ค่าสพิจ ๗. การกคือภิกษุผู้ทำอุโบสถมี ๓ คืออะไรบ่วง? < 'ตอบการกผู้ทำอุเโบ;สถิเทคือุ;ส์งฟ้คณะ และบุคคล;^ ร: . ๘.บุพกรณี และบุพกิจ ในการทำอุโบ่สลต่างถันอย่างไร ในวัด ; ที่ผีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ จะต้องทำบุพกรณีและบุพกิจ หรีอไฝ เพราะเหตไร? ; rr- erve/cf/
www.kalyanamitra.org ตอบ บุพกรณ์ คือ•ภรณียะอันจะพึงกระทำไหเสร็จriอนประชุม สงฆ์ ส่วนบุพกิจเป็นธุระอันจะพึงกระทำก่อนแต่สวดปาสิโมกข บุพกรณ์นั้นเป็นกรณียะจะต้องทำ เพราะต้องไปประชุมกินตฺามกิจ •ส่วนบุพกิจนั้นไมต้องทำ เพราะภิกษุ ๓ รูป ไม่ต้องสวดปาสิโมกข์ ๙.กิจอันสงฆ์จะพึงทำก่อนสวดปาสิโมกข์มีกี่อย่าง?อะไรบ้าง ? ตุอบ มี ๙ อย่างคือ ๑. กวาดโรงอุโบสถ. ๒. ดามประทีป ๓. ปูอาสนะ ๔. ตั้งนํ้าฉันนํ้าใช้ ๔.นำ ปาริสุทธิของภิกษุผู้เจ็บไช้มา ๖.นำ ฉนทะของเธอมาต้วย '๗.บอกฤดู ๘.นับภิกษุ ๙. สั่งสอนนางภิกษุณี ๑๐.ธุระอันจะพึงกระทำก่อนสวดพระปาสิโมกข์ เรียiกว่าอะไร มีเท่าไร อะไรและภิกษุอาจต้องอาบ้ตถุลลัจจัยด้วยเรื่องอะไรไต้บ้าง ? ดอบ เรียกว่าบุพกิจมี๔ อย่างคือ ๑. การให้ปาริสุทธิ ๒. การให้และนำฉันทะมา ๓.การบอกฤดู ๕. การ'นบภิกษุ ๔; การสั่3สอนภิกษุ ^ ในเรื่องที่ว่า รูอยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทำอุโบฺสถดวยอีก่ แต่'นึกเสียว่าช่างเป็นไร่ แต้วสวด ปรับอาบสิดุล่อัจจัย s . ๑๑. อุโบสถ เป็นชื่อชองอะไร ภิกษุประชุมกนเพึยง ผ รูป จะสวด ปาสิโมกข์ไต้หรือไม่ เพราะ๓ดุไร? ; ตอบ อุโบสถ เป็นชื่อของการปาเพึญพรตอย่างหนึ่ง:แปสว่า การ เช้าอยู่ ดรงกับการจำศีลของเรา ภิกษุ ๓ รูป ประชุมสวดปาสิ^กข์ ๓๙0?
www.kalyanamitra.org ไม่ได.4พราะยังไม่ครบองส์สงฟ้เป็นเพียงคณะ ตรัสไห้บอกความ บรัสุทธิ้แก่กันและกันเป็นไซ้ได้ ๑๒.การตั้งญัตติกรรม ในเวลาทำอุ่โบ่สถ มีคาวา ปตฺตกลฺลํ แปลว่า ความพรั่งพร้อมกันหมายความว่าอย่างไร? ตอบ หมายความว่า การทำอุโบสถกรรมนั้น ต้องประกอบด้วย องํค ๔ คอ ๑. วันนั้น เป็นรันอุโบสถที่ ๑๔หรือ ๑๔หรือวันสามัคคี วันใด วันหนึ่ง ๒. ภิกษุประชุมครบองคประชุม ๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบฅิ ๔:บุคคลที่ควรเว้นไม่มีในที่ประชุม ๑๓. เหตุฉกเฉินเป็นเหตุสวดปาติโมกข์ย่อได้มีกี่อย่างอะไรบ้าง? ตอบ เหตุฉุกเฉินมี ๑๐ อย่าง คีอ •๑. พระราชาเสด็จมา เลิกสวดเพอรับเสด็จ ๒.โจรปล้น เลิกสวดเพื่อหนีภัย ๓. ๔. นํ้าหลากมา ๔.คนมามาก ๖. ผีเซ้าภิกษุ ๗. สัตว์ร้าย มีเสือ เป็นด้น เข้ามาในอาราม ๘.งูเลื้อยเข้ามาในที่ชุมชน • ๙. ภิกษุอาพาธโรคภัย ๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ ๓๙๙
www.kalyanamitra.org ๑๔. สงฟ้ฟืวดปาติโมกข์อยู่ภิกษุอื่นมาลีง หเอมาลีงฌื่อสาดจบฟล้ว พึงปฏิบตอย่างไร? ตอบ พึงปฏิบติอย่างนึ๊■คือ ลีาภิกษุมาใหฝมากกว่าภิก่ษุทุประซม กันอยู่ ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไป แล้วกแล้วกันไป ให้ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่ต่อไป ถ้า มาเมื่อสวดจบแล้ว แม้มากกว่า กไม่ต้องสวดซํ้าอีก ให้ภิกษุที่มา ใหม่บอกปารืสุทธิในสำนักภิกษุผู้สวดผู้ฟังปาติโมกข์แล้ว\" ๑๔. คำ บอกปาริสุทธิว่าอย่างไร? ตอบ ว่าดังนี้ สำ หริบผู้แก่พรรษากว่าว่า ปริสุทุโธ อหํ อาวุโส ปริสุทุโธติ ธาเรหิ ว่า ๓ หน ^ สำ หรับผู้อ่อนพรรษากว่าว่า ปริสุ่ท่โธ อหํวาmด ปริสุทุโธติ ธาเรถ ว่า ๓ หน ๑๖.ภิกษุ๑ รูป ๒,๓,๔j๔^ รูป เมื่อถึงรันปวารณาพึงปฏบติอย่างไร? ตอบ .เมือถึงรันIปวารณาพึง--ปIฏิบดอย่!างน^ี ^คื_อ ๑.ภิกmปเดียวพึงอธิษฐานว่า \"อชชเมปวารณา\" แปลว่า OOI dfi ปวารณาของฉันรันนี้ ๒. ภิกษุ ๒-๓-๔ รป พึงทำคณะปวารณา จ ขิ ๓. ภิกษุ ๔ รูปขึ้นไป พึงทำสังฆปวารณา ๑๗.รันaiวารณฺา และอาการที่กระทำปวารณา มีกี่อย่าง อะไรบ้าง? ตอบ รันปวารณามี ๓ คือ จาตุทุทลื ที่ ๑๔ คํ่า ๑ ป๋ณณรสี ที่ ๑๔ คํ่า สามัคคี รันที่ภิกษุสงฟ้พร้อมเพรืยงกัน ๑ อาการที่กระทำมี ๓ คือ ปวารณาต่อที่ประชุม ๑ ปวารณากันเอฺง ๑'อธิษฐานใจ ๑ encso
www.kalyanamitra.org ๑๘.ปวา[รณา คืออะไร มีพระพุทธานุญาดให้ภิกษุเช่นไรทาปวารณา Mr 1^- ... ตอบ คือ กๆรบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตถเตอน ว่ากล่าวตนได้ มีพ^พุทธๆนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วน ไตรมาสทาปวารณาแทนอุโบสถ ๑๙.ในว่ดหนึ่งมีภิกษุจำพรรษา ๔ รูป เมอถงว้นปว่ารณาออกพรรษา พึงทำอยางไร ถ้ามีภิกษุอาคันตุกะสัดฺตาหะมาสมทบอีก ๔ รูป จะพึงปฏิฃตฺอย่างไร? ตอบ ในว้นมหาป■วาร่ณาพึงทำคณะปร่ารณา โตยรูปหนึ่งทั้ง้ญตติ แลวกล่าวปวารณาตามลำดับพรรษา ถ้ามีพระภิกษุอาคันตุกะสัตตาหะ มาเพื่มอีก่ ๔ รูป พึงทำปวารณาเป็นสังฆปวารณาแล้วกล่าวปวารณา ตามล่าด้บพรรษา . ๒0.การตงญัตติในสังรเปวารณามีถี่อย่าง อะไรบ้าง? V .ไดอบ;มี ๔อย่างคือ^ ๑. เตวาจิกาญัตติ ๒. เทววาจิกาญัตติ ๓.เอกวาจิกาญัตติ ๔. สมานวัสสิกาญัตติ .๔. สัพพสังคาหิกาญัตติ ๒๑. สังฆปวารณา คืออะไร? ตอบ คือ ปวารณาเป็นการสงฆ มีภิกษุประชุมตั้งแต่ ๔ รูปขื้นไป ๒๒. เหตุที่ทำให้เลื่อนปวารณาได้มีกี่อย่าง อะไรบ้าง? ตอบ มี ๒ อย่าง คือ ๑. ภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย ด้วยหมายจะคัตด้านผู้นัน ผ้นี้ ทำ ให้เภิตอธิกรณ์ขึ้น ๓0?๑
www.kalyanamitra.org ๒. อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ปวารณาแล้วต่างจะจากกันจาริกไปเสืย ๒๓. อีก ๗ วันจะถึงวันปวารณา ภกษุทำสัตตาหกรณียะไปปวารณา ที่วัตอื่น เธอจะไตเบอานิสงส์การจำพรรษาหริอไม่ เพราะเหตุไร? ตอบ ได้วับอานิสงส์การจำพรรษาเหมือนกัน เพราะวันสุดท้าย แห่งวันจำพรรษาตกอยู่ในวันที่ ๗ในที่อื่นปงให้กสับใน ๗ วันนั้น เพรๅะยังไม่สิ้นกำหนดวันจำพรรํษา ๒๔.ในอาวาสแห่งหนึ่งมืภิกษุจำพรรษาแรก ๔ รูป พรรษาหสัง ๒ รูป เมื่อถึงวันปวารณาแรก เพ็ญเดือน ๑๑ และวันปวารณาหสัง เพ็ญเดือน๑๒ เธอทั้ง ๖รูปนั้นจะปฏิบตอย่างไร? ตอบ เมื่อถึงวันปวารณาแรก พึงประชุมกันทั้ง ๖ รูปแล้ว ตั้ง สังฆญัตติ ภิกษุผู้จำพรรษาแรก ๔ รูปพึงปวารณา เมื่อเสร็จแล้ว ภิกษุอีก ๒ รูปพึงทำปาริสุทธิอุโบสถ ในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น เมื่อถึงวันปวารณาหลัง พึงประชุมกัน ๖ รูป เซนเดียวกันแล้วภิกษุ ผู้จำ พรรษาแรก ๔ รูป พึงตั้งญัตติสวดปาติโมกข์ เมื่อจบแล้ว ภิกษุ ๒ รูป พึงปวารณาในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น ๓0>๒
www.kalyanamitra.org ก้ณฑท ๑4 อปปถกิริยา อุปปถกรยา ในกัณฑนี้จักแสดงการ่ทานอกรีตนอกรอยของสมณะ ที่เรียก ไว้ว่า อุปฺปถmยาจาแนกออณ!!เน ๓ประเภทคือ ๑. อนาจาร คือความประพฤติไม่คืไฝงาม และการเล่นม ประการตางๆ ๒.ปาปสมาจาร คือความประพฤติเลวทราม ๓. อเนสนา คือการเลี้ยงชีพไม่สมฺควร อพกจารแยกออฤฟ้น ๓ ประเภทคือ . 0 ๑. การเล่นด่างอย่าง ๒. การร้อยดอกไม้ ๓. การเรียนติรีจดานวิชา : การฟนคืางอย่างมี ๔ คือ ฯ . ๑. เล่นอย่างเคืกแสดงไว้ในบาลี เล่นของ เช่น เล่นเรือน ๓Cรโ๓
www.kalyanamitra.org น้อย ๆ รถน้อย ๆ เรือน้อย ๆ ธนูน้อย ๆ เล่นการ. เซ่น เล่นตวง ทราย ผิวปาก เลียนคนตาบอด คนง่อย เป็นต้น ๒. เล่นคะนอง แสดงไว้ในบาลี เซ่น หกคะเมน ปลํ้ากัน ชก กัน ขว้างปาอะไรเล่น วิ่งเปรี้ยว ๓. เล่นพนัน คือมีไต้มีเลีย มีชนะมีแพ้ มีถูกมีผิด แสดงไว้ ในบาลี เซ่นหมากรุก หมากไหว หมากแยก สกา ขลุบหรือคลี .เล่นทายกัน ๔. เล่นป็ยี่ป็ยำ คือ ทำ ความเลียหายให้แก่ผู้อื่น ในบาลีแสดง ตัวอย่างไว้ เซ่นจุดป้าเล่น ๔..(ล่นอึงคะนึง ในบาลีแสดงตัวอย่างไว้ เซ่นแสดงธรรมต้วย เลียงขับกันยาว การสวดพระธรรมและการ.เทคุนาตลกคะนองนับเข้าใน ข้อนี้ การเล่นตังว่ามานี้ ที่ไม่มีปรับโทษสูงกว่าปรับเป็นอาบดทุกุ กฎเสมอกน : การร้อยดอกไม้ การร้อยดอกไม้ ทำ นกัห้ามุ' มีการร้เ)ยํดอกไม้ให้ก'ลสตรื ภายหลังกลายมาเป็นธรรมเนียม การร้อ!เดอก่ไม้ที่าให้หลากหลาย ชนึด ในบาลีเรืยกว่าปุปผวิก้ต มี ๖ ชนิด ดง่นี้ s ^ ๑. คฺนฺสิมํ ร้อยตรืง ไต้แก่ด่ย่กไม้ที่เรืย่กว่ๆรัะเฃยบ่ เขาเอา ดอกมะลิเป็นต้น เลียบ,เข้าในระหว่างใบดองกันเจียนไว้ แล้วดรืงให้ ติดกันโดยรอบ แล้วร้อยประสมเข้ากับอย่างอื่นิเป็นิพพ เซ่มุ;พ้วก่ล่ ชั้น้เป็มุตัวอย่าง เอาดอกไม้ลีตาง ๆ ดรืงบนพื้นใบตัอ่งเป็นลายที่ ;๓
www.kalyanamitra.org เรียกว่า แบบสีสำหรับทำพวง กลิ่นสี ก็นับเข้าในชนิดนี้ ๒. โคปฺผิมํ ร้อยควบหรือร้อยคุม ได้แกดอกไม้ที่ร้อยเป็นสาย. ๆ แล้วควบหรือคุมเข้าเป็นพวง เช่นพวงอุบะ สำ หรับห้อยปลายภู หรือสำหรับห้อยตามสำพง และพวงภู่สาย เป็นตัวอย่าง ๓. เวธิฝ ร้อยแทงห่รือร้อยเสีย่ม ได้แกดอกไม้ที่ร้อยสวมดอก เช่นสายแห่งอุบะ หรือพวงมาลยบางอย่าง เช่นพวงมาลัยดอกปีบ และดอกกรรณิการ้ และได้แก่ดอกไม้ที่ไข้เสียบไม้ เช่นพุ่มดอกพุทธ- ชาติ พุ่มดอกบานเย็น เป็นตัวอย่าง ๔. เวถิมํ ร้อยพนห่รือร้อยผูก ได้แก่ช่อดอกไม้และกลุ่มดอกไม้ ที่เขาเอาไม้เสียบก้านดอกไม้แล้วเอาด้าย่พันหรือผูกทำชื้น ๔. ปุรืมํ ร้อยวง ได้แก่ดอกไม้ที่ร้อยสวมดอก หรือร้อย่แทง ก้านเป็นสาย แล้วผูกเข้าเป็นวง นี้คือุพวงมาลัย ๖. วายิมํ ร้อยกรอง ได้แก่ดอกไม้ที่ร้อยลักเป็นดาเป็นผืน นี้ เรียกว่าดาช่าย ปุปผวิก้ติ ๖ เหล่านี้ ปุปผวิก้ติบางอย่าง สำ เร็จด้วยอาการ อย่างเดียว เช่นพุ่มดอกไม้บานเย็นไข้เสียบเห่านั้น บางอย่างสำเร็จด้วย อาการกว่าอย่างเดียว เช่นพวงมาลัย ไข้ร้อยแทงแล้ววงเข้าเป็นพวง สิรัจฉานวิชาท่านแยกประ๓ฑไว้ ๔ คือ ติรัจฉานวิชา แปลว่าวิชาที่ขวาง คือความเที่ขวางทางมรรคผล นิพพาน จกแสดงพอเห็นฟ้นทาง ปฏิบติพอดีพองามตังนี้ ๑. ความร้ไนการทำเสน่ห์ เพื่อไห้ชายนั้นหญิงนี้รักกัน่ ๒. ความร้1นการทำไห้ผ้นั้นผ้นี้ถึงความวิบ้ติ aic?&:
www.kalyanamitra.org ๓. ความรู!นทางใช้ภูตผีอวดฤทธิ้เดชตาง ๆ - ๔.ความ^นทางทำนายทายทัก เช่นเหวยว่าจะออกอะไร ๔. ความเอันจะนำให้หลงงมงาย เช่นหุงปรอทให้มีอิทรฤทธิ้ หุงเงินหรือทองแตงให้เป็นทอ่ง เหล่านี้จัดเป็นดิรัจฉานวิชาได้ เพราะเป็นความรู้ที่เขาสงสัย ว่าลวงหรือหลง ไมใช่.ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้ หัดเพื่อจะลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย ปาปสม่ๆจาร การสมคบกับคฤหัสถ์ ด้วยการส่มาคมอันมิชอบ ที่ทำ นเรียก บุคคลผู้ทำว่า ผู้ประทุษร้ายสกุล โดยอธิบายอันกล่าวแล้วในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๓ มีประเภท ดังนี้ ๑. ให้ของกำนํลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทำ แสดงไว้ในบาลี ว่าให้ดอกไม้และผลไม้เป็นด้น ๒. ทำ สวนดอกไม้ไว้ ตลอดถึงร้อยดอกไม้เพื่อบำเรอเขา ๓. แสดงอาการประจบเขา เมื่อเข้าไปในสกุล เช่นหุเดประจ๋อ ประแจ๋และอุ้มลูกเขา ๔. ยอมดัวลงให้เขาใช้สอยไปนั่นไปโน่น ทำ อย่างนั้นอย่าง นี้นอกจากกิจพระศาสนา แต่จะรับธุระเขาในทางกิจพระศาสนา เช่นุ่เขา จะบริจาคทาน ช่วยนิมนตพระให้ เขาจะฟ้'งธรรม นิมนต์พระ เทศน!ห้ ไม่มีโทษ การตดสอ่ยห้อยต่ามุเขาไปข้างไหน จัดเข้าในข้อนี้ ธุระของ มารดาบิดา คนเตรียมบวช เรียกว่า ป๋ณฑุปลาส และไวยาวัจกรของตน แม้นอกจากการพระศาสนา ทำ นอนุญาต แม้อย่างนั้นควรเลือกแต่
www.kalyanamitra.org กิจอ้นควร ' ๔. รบ!รนหมอ่ร้กษาไข้ฬ็บฃองคนในสกุล คือฟ้นหมอสำหร้บ บ้านพึงรู้ในที่นี้ว่า หมายเอาการยอมตัวให้เขาใช1นทางหนึง ๖. รบของฝากของเขาอ้นไม่สมควร เซ่นรับของโจรและรับ ของต้องห้าม การรับของฝากนี้ ท่านห้ามด้วยประการทังปวง เพึอ จะไม่ต้องผูกตนด้วยความเป็นผู้ต้องสนองงานเพราะของนั้น เมื่อ เพ่งเฉพาะเป็นปาปสมาจาร ควรจะเป็นของที่กล่าวแล้ว ปาปสมาจาร ตังว่ามานี้ ที่ไม่มีปฉัเโทษสูงกว่า ปฌัเป็นอาบ้ต ทุกกฏเสมอกน นอกจากนั้น เป็นฐานที่สงฆ์จะทำกรรมลงโทษอีก ๓ สถาน คือ ๑. ตำ หนโทษ ที่เรียกว่า ตัชชนียกรรม ๒.ถอดยศ คือถอดจ่ากความเป็นผู้โหญ่ เรียกว่า นิยสกรรม ๓.ซบเสืยจากรัด เรียกว่า บ้พพาซนียกรรม สถานใดสถานหนึ่ง อีกฺอย่างหนึ่ง เนึ่องด้วยการรุกรานหรีฮตัตรอนคฤทัสถ์มีประเภท ตังนี้ ๑. ขวนขวายเพื่อตัดลาภของเขา ๒. ขวนขวายเพื่อความเสือมเสิยแหงเขา ๓.ขวนขวายเพื่อเขาอย่ไม่ได้ ด้องออกจากถิ่นฐาน ๔. ด่าว่าเปรียบเปรยเขา ๔. ยุยงให้เขาแดกกัน ๖.พูดกดเขาให้เป็นคนเลว คือพูดวาจาหยาบต่อเขา เช่น เรียกอ้าย เรียกอี ฃึ้นมีง ขึ้นถู ที่ถือเป็นคำเลวในกาลนี้ ๗.ให้ปฏิญญากันเป็นธรรมแกเขาแล้ว ไม่ทำให้สมจ่ริง ๓076/
www.kalyanamitra.org ความประฟฤติเลวทรามเห็นปานน นอกจากปรับฐาป๋สิตาม วัตถุ เป็นฐานที่สงฆ์จะลงโทษด้วยปฏิสารณียกรรม คือ ให้หวนระลึกถึง ความผด และขอขมาคฤหัส์ส์ผู้ที่ตนรุกรานหรือตัดรอน . ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ย่อมไฝทอดตน!ป็นคนสนิทของ สถุล โดยฐานฟ็นคนเลว อีกฝ็ายหนึ่งไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดง เมดดาจิด ประพฤสิพอคืพองาม ยงความเลื่อมไสผัJถึอของเขาไห้เกด ไนตน เรืยกว่า ถุลปสามโก พระศาสดาทรงยกย่องพระกาฬุทายี ว่า เป็นเอตทัคคะไนทางนี้ คว่รที่ภิกษุไนภายหลังจะถึอเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นศรืของพระศาสนา อเนสนา อเนสนา คือ การแสวงหาการเลี้ยงชีพไนทางไม่สมควร มี ๒ อุย่าง คือ ๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ท่านแสดงไว้ ไนบาลึ เซ่น ภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรมโดยตรงหรือโดยอ้อม และชัก สื่อไนระหว่างชายกับหญิง เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงชีพ ๒. การแสวงหาเป็นป็ณณัดสิวัชชะ มีโทษทางพระบัญญิด ท่านแสดงไว้ไนบาลี ด้วยท่าวิญญิสิ คือ ออกปากขอของต่อคนที่ไม่ ควรข่อ หรือไนเวลาที่ไม่ควรขอ การแสวงหาที่ท่านห้ามอีกบางประการ ๑. ท่าวิญญิสิ คือ ออกปากขอของต่อคนที่ไม่ควรขอฺ ห่รือไน เวลาที่ไม่ควรขอ คฤทัสถึผู้มิไซ่ญาติ มิไซ่ปวารณา ไนเวลาปกติเป็น encscs
www.kalyanamitra.org คนไม่ควรขอ ในเวลามีจีวรหายหรือถูกชิง ขอเขาได้เฉพาะพอ.นุ่ง ห่ม ในเวลาอาพาธ ขอโภชนะและเภสัชเขาได้ เสนาส%เะปัจจัย ใน สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๖ ดูเหมีอนท่านให้ขอได้ แตให้ตั้งอยู่ใน ความเป็นผู้รู้ประมาณ ขอในเวลาที่ไม่ควรนั้น คือขอต่อคฤหัสถเซ่น นั้นในเวลาปกติที่ไม่ได้ทรงอนญาต สหธรรมีก คือภิกษสามเณร และ คฤหัสถ์ผู้เป็นมารดาบิดา ญาติ และผู้ปวารณาขอได้ ไม่เป็นวิญเP ๒. แสวฺงหาลาภด้วยลาฦ คือ หาไนเชิงไห้ข่องน้อย ห่มาย เอาตอบแทนมาก . ๓. ใช้จ่ายร่อยะ ได้แก่การลงทุนหาผลประโยชน์ เช่นทำการ ค้าขายเป็นต'วอย่าง ๔.หากนไนทางทำเวชกรรม คือการหมอ ๔. การทำปริตร ได้แก่การทำนํ้ามนตสายสิญจน์ เสกเป่า ต่าง ๆ ท่านห้ามไว้เหมือนกัน ท่านอนุญาตแก่สวดปริตรนี้เป็นการ ในภายหสัง ยังไม่พบในบฺาสี ควรทำได้ควรทำเพียงไร พีงรู้โดยนัย อันกล่าวแล้วในเวชกรรมนั้นข้างหน้า ในอรรถกถาอนุญาตให้ทำยาเฉพาะแก่คนเหล่านี้ ๑. สหธรรมิก ๒. มารตาบิดา ๓. คนอุปั'ฏฐากมารตาบิดา ๔. ไวยาวจกรของตน ๕. คนปั'ณฑุปลาส .๖. ญาติขอฺงตน ๓C?๙
www.kalyanamitra.org ๗. คนจรเข้ามาในวัด เจ็บไข้มาก่อนกตาม เจ็บลงในวัดก็ตาม ทำ ยาให้เขาได้ แต่อย่าหวังอุปการะตอบ เวชกรรมที่ต้องห้าม ควรจะฝ่อนลงมา ดงต่อไปนี้ ๑. เวชกรรมที่ห้ามไว้ในวินีตวัตถุ แห่งตติยปาราชิกสิกขาบท โตยปวับเป็นอาป็ตทุกกฏนั้น คือทำในทางนอกรีตนอกรอย เช่นปรุง ยาเกี่ยวกับให้มีบุตรไมให้มีบุตร อีกอย่างหนึ่ง ผู้ทำ ไม่สันทัด รู้เล็ก ๆ น้อยๆก็วับวักษาเขาวางยาผิดๆถูกๆ ๒. เวชก่รรฺมที่ห้ามโดยความเป็นปาปสมาจาร ในวิภังคแห่ง สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๓ นั้น คือการทอดตนลงให้สถุลเขาใข้ ใน การวักษาไข้เจ็บของคนในสถุล ดุจเคืย่วกับยอมให้เขาใช้ไปข้างไหน นี้ ผิดจากการที่เขาเชิญให้วักษา ๓. เวชกรรมที่ห้ามโดยความเป็นอเนสนา■ในอรรถกถาทั้งหฺลาย นั้น คือการวักษาโรคเรียกเอาขวัญข้าว ค่ายา ค่าวักษๆ เป็นการหาผล หาประโยชน ภิกษุผู้เลี้ยงชีพไม่ละเมิดธรรมเนียมของภิกษุ ได้ปัจจัยมา โดยธรรม พึงรู้จักบริโภคปัจจัยอันควร อย่าทำศวัทธาไทย คือของที่ เขาถวายด้วยศวัทธาให้ดกเล็ยเปล่า วับของที่เขาถวายเพื่อเกื้อกูล แก่พระศาสนามาแล้ว ไม่บริโภค ให้เสียแก่คฤหัสถ์เพื่อสงเคราะห้ เขา ทำ ให้ทายกผู้บริจาคเสียศวัทธา เรียกว่าทำครุทธาไทยให้ดกเสีย เปล่า ท่านแสดงอนามัฏฐป็ณฑบาดเป็นตัวอย่าง โภชนะที่ได้มาอัง ไม่ได้หยิบไว้ฉัน เรียกอนามัฏฐบิณฺฑฺบาต ท่านห้ามไม่ให้แก่คฤหัสถ์ อื่น นอกจากมารตาบตา ล่วนมารตาบิตานั้นเป็!เภาระของภิกษุจะ ๓๙๐
www.kalyanamitra.org ต้องเลี้ยง ท่านอนุญาตเพื่อให้ได้ สมัณจีวรก็เหมือนกัน ให้แก่ มารดาบิดาก็ได้. อย่าพึงเข้าใจข้อนี้ว่า ท่านสอนให้ดระหนี่ ได้อะไรมาให้เก็บไว้ ดังนี้ เข้าใจอย่างนี้Iม่ถูก การให้เจีอจานแก่สหธรรมิกด้วยกัน เป็นการ สมควร ให้แก่คฤหัสถ์ผู้ทำงานวัดหรืองานของดน โดยเป็นค่าเลี้ยง หรือค่าแรง หรือน้อมของที่ได้มาเพื่อประโยชนอย่างหนึ่ง ที่ไม่เสียไป เปล่าควรอยู่ ป๋ญหาและเฉลยวันยมข กัณฑ์ที่ ๑๘ ๑. อุปฺปถก็ริยาคืออะไร มีเท่าไร อะไรบ้าง? ตอบ.อุปปถกิรยา คือ การประพฤตินอกรืดนอกกรอยของสมณะ มี ๓ คือ ๑. อนาจาร ความปรํะพฤติไม่คืไม่งาม่มีประการค่าง ๆ ๒. ปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ๓. อเนสนา ความเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ๒. ความประพฤติต่อไปนี้ จดเข้าในอุปปถ่กิริยาข้อไหน ชอบเล่น คะนองร้องรำทำเพลงชอบด่าว่าเสียดสีเปรืยบเปรยเขา ยุยง ให้เขาแตกกัน? ตอบ จัดเข้าในข้ออนาจาร ความประพฤติไม่ดีไม่งาม จัดเข้าในข้อปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ๓.ติรัจฉานวัชาคืออะไรบ้าง? ตอบ ติริจฉานวัชา คือ ๑. ความร้ในการทำเสน่ห์ เพื่อให้ชายหญิงรักกัน ๓๙๑
www.kalyanamitra.org ๒. ความรู้โนการทำผู้นั้นผู้นื้Iห้ถึงฺความวิบต ๓. ความรู้โน่ทางใช้ภูตผีออกฤทธิ้เดชต่าง ๆ ๔. ความรู้ในทางทำนายทายทํก เช่นรู้ว่าหวยจะออกอะไร ๔. ความรู1นอันจะทำให้หลงงมงาย เช่นหุงปรอทให้มีอิทธิฤทธิ้ ๔. ความllนการทำเสน่ใ?1ห้ชายหญิงรักก้น จัดเป็นดิรัจฉานวิชา เพราะเหตุไร? ตอบ เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ และเป็น ความรู้ที่ทำให้ เขาสงสยว่าลวง ทำ ให้เขาหลงงมงาย ไมใช่ความรู้ จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียนเป็นผู้หัดเพื่อลวง หรีอเป็นผู้หลง งมงาย ๔. ดิรัจฉานวิชาไม่ดือย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไร้ ไมให้บอก ไม่ให้เรียน? ตอบ เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรีอหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้หัดเพื่อจะลวงหรีอเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอก ไม่ให้เรียน ๖.ภิกษุได้ร่อว่า กุลปสาทโก ผู้ยังตระกลให้เลื่อมใส เพราะมีปฏปรท อย่างไร? ตอบ เพราะมีปฏิปทาอย่างนั้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุล โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่าง หนึ่ง ไม่รกรานตัดรอนเขาแสดงเมตตาจึตต่อเขา ประพฤติพอดื ตอบ เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบ ๓๙๒
www.kalyanamitra.org เขาด้วยกิริยาทำตนอฝางคฤหัสถ• ยอมตน'1ห้เขาใชสฺอยหรือด้วย อาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยฺด้วยหวังได้มาก ๘. อเนสนาคืออะไรมีอฟ้.รบ้าง? ตอฃ.อเนสนา คือกิริยาทแสวงหาเลี้aงชีพในทางไฝสมควร แสดงโดยเด้ามี ๒ คือ ๑. การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ๒. การแสวงหาเป็นป๋ณณตติวฺชชะ มีโทฺษทางพรฺะบัญญ้ต ๙.ภิกยุประพฤติอเนสนๆอย่างไร เงด้องอาบ้ตปาราชิก สงฆาทิเสส ปาจิตตีย์ ? ตอบ การแสวงหารายได้ด้วยโจร่กรรม ด้วยอวดอุดตริมนุสสธรรม เป็นวัตถุแห่งปาราชิก ด้วยชักสื่อให้ชายหญงเป็นผัวเมียกัน เป็น วัตถุแห่ง่สังฆาทืเสส ด้วยการขอโภชนะอ้นประณีตมากันเองทั้ง ที่ไม่อาพาธ เป็นวัต่ถุแห่งปาจิตตีย์ ' ๑๐: การทำวิญญ้สิคือการทำอย่างไร จัดเข้าในอุปปถกิริยาประ๓ท ไหน? ตอบ การทำวิญญ้สิ คือ การออกปากขอของต่อบุคลลที่ไม่ควร ขอ หรีอในเวลาที่ไม่ควรขอ เซ่น ขอต่อคฤหัส่ย์ที่ไมใช่ญาติ ไม่ใช่- ปวารณา ขอในยามปกเที่มีได้ทรงอนุญาต เป็นด้น จัดเข้าใน - .อุปปถกิริยาประเภทอเนสน่า ๑๑: การแสวงหาเซ่นไรจัดเป็นโลกวัชซะ มีโทษทางโลก เซ่นไรจัด เป็นบ้ณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบ้ฌญ้สิ? ตอบ การแสวงหาในทางบาป เซ่นทำโจรกรรมและหลอกลวงให้ เขาเชื่อถือ และในทางที่โลกเขาดหมิ่น จัดเป็นโลกวัชชะ การ ๓๙๓
www.kalyanamitra.org แสวง่หาในทางผิดธรรมเ&มของภิกษุ แริเไม่มีโทษแก่คนพวกอื่น จัดเป็นป็ณณตฺติวัชชะ ๑๒.ภิกษุไฝสังวรในอุปปถภิริยาควรให้สงฆ์ลงโทษสถานไรบ้าง ? ตอบ ภิกษุไม่สังวรในอุปปถภิริยา ควรให้สงฆ์ลงโทษ ๔ ประการ คอ ^ ๑. ตัชชนียกรรม ตำ หนิโทษ ๒. นิยสกรรม. ถอดยศ คือถอดความเป็นใหญ่หรือลดตำแหน่ง • ๓; ปัพพาชนียกรรม ขับไล่ออกเสืยจากวัด ๔. ปฏิสารณียกรรม ให้หวนระลึกถึงความผิดและชอชมาคฤหัสถ์ ที่ตนรุกรานหรือตดรอน อย่างใดอย่างหนึ่ง ดามโทษานุโทษ เพื่อ จะได้สังวรสืบไป ๑๓. อนามัฏฐบิณฑบาตคืออะไร ในพระวินัยห้ามไว้อย่างไร? ตอบ คือบิณฑบาตหรือโภชนะที่ได้มายงไฝได้หยิบไว้ฉัน ในพัระ วินัย ห้ามให้อนามัฏฐบิณฑบาตแก่คฤหัสถ์อื่น นอกจากมารดาบิดา ส่วนมารดาบิดานั้น เป็นภาระที่พระภิกษุจะด้องเลี้ยง ทรงอนุญาต เพื่อให้ได้ ๑๔. ภิกษุปร่ะพฤตเชนไรเรืยกว้าทำศรฑธาไทยให้ดกไป ? ตอบ ภิกษุวับของที่เชาถวาย เพื่อเกื้อกูลแก่พระศาสนาแล้ว ไม่ บริโภค แต่กลับน่าไปให้แก่คฤหัสถ์เสืย ทำ ให้ผู้บริจาคเสื่อมศวัทฮา เช่นนี้เรืยกว่า-ทำศวัทราไทยให้ตกไป(ยกเว้น อนามัฏฐบิณฑบาต - ทรงอนุญาตพิเศษให้แก่มารดาบิดาได้) ๓๙or
www.kalyanamitra.org กัณฑ์ที่ ๑๙ ทาสิก ๔ กาสิก ของที่จะพึงกลืนใหล่วฺงลํ;)คอลงไป ท่านเรียกว่ากาลืก เพราะ ฟ็นของที่กำหนดให้ใช้ชั่วคราวจำแนกเป็น ๔อย่าง , ๑. ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน เรียก ยาวกาลืก ๒. ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว คือวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เรียก ยามกาลืก , ๓.ของที่ให้บริโภคได้ชั่3คราวคือ๗ วัน เรียกสตตาหกาลืก ๔.ของที่ให้บริ&ไคได้แสมอไป ไม่มีจำกัตกาล เรียกยาวซีริก ซื่อว่ากาลกนน คงเพงเอาของ รท อย่างข้างตน จะกล่าวให้ สิ้นเชิง จึงยกเอาขฺองที่ไม่ได้จัดเป็นกาสิกมากล่าวด้วย เรียกว่ายาว- ชีริก แปลว่า ขอํงที่บรโภคได้ตลอดชริต จึงรวมได้ชนิดเป็น ๔ , ยาวกาลิก ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหารได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ๓๙ร:
www.kalyanamitra.org จัดเบนยาวกาลิก มี ๒ อย่าง คือ คือ ๑. โภชนะทั้ง ๔ นมสด นมส้ม ก็จัดเข้าในโภชนะ ในที่อื่น จากโภชนะ ๔ ๒. ขาทนียะ ของขบเคี้ยว คือผลใม้และเง่า มีมีนเป็นด้น โภชนะทั้a ๔ อย่าง คือ ๑; ข้าวสุกที่ทุงจากธัญญชาดิทั้งหลาย. ๒. ขนมกุมมาสเป็นของทำด้วยแป็งหรือด้วยถั่วงา มีอันจะ บูดเมื่อล่วงคืนนส้ว ๓. อัดดุ คือขนมแห้ง่ เป็นของไมบูด ๔. ปลา ๔. เคี้อ พชที่ใชเร^ชนะพ^, มี ๒ ซนด ' พืชที่ใข้เป็นมูลแฟงโภชนะนั้น เป็น ๒ ชนิด่ เรืยก!บุพพณท^ อปรืล^ ๑. ธัญญซาด คอพืชมื่กํ่าเนั้ดเป็นข้าวทุกชนดฺ ชึ่อื่วาบุพพณณะ โดยอรรถวาเป็นของจะพงก็นก่อน ๒. ถั่วต่างซินดแล^า^^า ^รณณะ^ยอร่^าเป็นั้ชอง จะพืงก็นในภายหอัง พืช ๒ อย่างนี้ เป็นมลแห่งข้าวสุก และขนม ๒ อย่าง ๓๙๖
www.kalyanamitra.org บุพพัณณชาตินั้นแสฺดงไว้Iนบทสื ๗ ช่นิด สือ ๑. สาลี ข้าวสาลี ๒. วีหิ ข้าวจ้าว ๓. ยโว ข้าวเหนียว ': y.โค:ธโ3:4 ข้าวละบุาน ๔.กงฺคุ ข้าวฟ่าง ๖. ว?โก ลูคเคือย ๗. กุทรูสโก หญ้ากับแก้ เนื้อที่ห้ามโดยกำเนิดมี ๑๐ คือ ๑. เนื้อมนุษย ๒. เนื้อข้าง - ':6ท. เนื้อม้า , ๔.,^^สูพั! - ;^ เนื้องู ๖,,เนื้อคีหะ ๗. เนื้อเลีอโคร่ง ๘. เนื้อเสือหลีอง ๙. เนื้อหมี ๑๐. เนื้อเสือดาา เนื้อมนุษย เป็นวัตถุแห่งกุลลัจจ้ย, เนื้อนอกนั้น เป็นวัตถุ แห่งทุกกฏ เนื้อรงนอกจาก่ทุ?ะบุซื่อุไว้นื้ แต่หากเป็น่ของดิบ ก็ห้าม r แม้เนื้อที่เป็นุกัฟ่ป็ยะ!ดยฺกำเนีด, แล3{ทำให้สุกแลว แค่^^^ ของที่เขาฆ่าสัตว์ลงเพื่อเอาเนื้อทำโภชนะถวายภิกษุหรอุสามเณุร เนื้อรmดนื้ -เรียกว่าท อุฑทสัสมีงสะ แปลว่า เนื้อเจาะจง (เป็นของที่ ห้ามเหมีอนกัน เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ. ^ น.- ' ลีวนเนื้อแทํงสัตว์ที่เขาฆ่า โพื่อเอามีงสะขาย(ป็นอาหา?ของคน พื้นเมือง เรียกว่า ปวัดดมีงสะ เฟลิว่า เนื้อมือยแล้วหรีอเขาฆ่าสัตว์เอา มีงสะ ทำ โภชนะจำเพาะบางคนหรือบางพวก นอกจากสหธรรมิก หรือ จำ เพาะตวเขาเอง ไม่ร่อ่ว่า!ป็นอุฑทิสสมีงสะ เขาเอาเนื้อเชนุ่นั้นแตง โภชนะถวาย มีนไดินเป็นอาบติ m แดิสำคัญว่า ๓๙๙
www.kalyanamitra.org เป็นของเช่นนั้น หรือสงฺสัยอยู่ฉัน ต้องทุกกฎ เนื้ออันบริสุทรโดยส่วน ๓ คือ ๑. ภิกษุไฝไต้เห็น ๒. ไฝไต้ยิน ผ. ไฝไต้สงส่ยว่าเขาฆ่าเฉพาะ ฉันไฝมีโทษ ของขบเคี้ยว ของขบเคี้ยวขนดที่มีเมีดแสะเง่า อาจเพาะและปลูกให้งอก ขึ้นไต้ ทรงอนุญาดให้อนุปสัมบันทำให้เป็นกัปปียะ ต้ว่ยวิธีเหล่านี้ ๑. ต้วยเอาไฟจี้ ๒. ต้วยเอามีดกรีด ๓. ต้วยเอาเล็บจก สวนพืชที่ยังอ่อนหรือเป็นของปล้อนเมีดออกไต้ ไฝต้องทำ เป็นกัปปียะ จะให้เขาที่าเป็นกัปปียะ ท่านแนะนำให้พูดว่า \"จงทำให้ เป็นกัปปียะ\" ภิกษุผู้จะเดินทาง ทรงอนุญาตให้แสวงหาเสบียงเดินทางไต้ คือ ข้าวสาร ถั่ว เกลือ นํ้าอ้อย นั้ามัน และเนย ฅาม่ต้องการและ ทรงอนุญาดให้ภิกษุยินดีของอันเป็นกัปปียะ ที่กัปปิยการกจับจ่าย มาต้วิยเงินทองร่งมีผู้มอบไว้กัปปิยการก.' s ทรงอนุญาตmJปียภูมี ๔ \\' เมื่อทรงอนุญาตเพือแสวงหาเสบียงเดินทางไต้แล้ว ก็เป็นํ ๓๙c?
www.kalyanamitra.org ทางที่จะทรงอนุญาตเสบียงวดด้วยเหมือนกัน ฃ้อนี้พึงสันนิษฐาน เห็นในการที่ทรงอนุญาต กัปป็ยภูมื ๔ เพื่อเป็นที่เก็บของเช่นนั้นุ กัปปียภูมื ๔ นั้น โดยที่อ คือ อุสสาวนันติก่า ๑ โคนิสาทิกา ๑ คหปสิกา ๑ สัมมสิกา ๑. ๑. อุสสาวน้นสิกา แปลว่า กัปปียภูมิที่ประกาศให้ไ.ด้ยินกันุ ได้แก่กุฎีที่ภิกษุทั้งหลายตั้งใจจะให้เป็นกัปปี^กฎี . เรือนที่เก็บของ เป็นกัปปียะ คือเรือนครัวมาแต่แรก เมื่อขณะทำช่วยกันยกเสา หรือ .ช่วยกันตั้งฝาทีแรก ร้องประกาศว่า กปฺปียกุฎี กโรม แปลว่า เราทั้ง หลายทำกัปปียกุฎี ๓ หน ๒.โคนิสาทีกา แปลว่า กัปปียภูมิดุจเป็นที่โคจ่อม ท่านอธิบาย ว่า ได้แก่สถานที่อันไม่ได้ล้อม แจกออกเป็น ๒ ๑. กำ หนดเอาวดที่ไม่ได้ล้อฺม เรืยกอารามโคนิสาทีกา ๒.กำ หนดเอากุฎีที่ไม่ได้ล้อมเรียกวิหารโคนิสาทีกา ท่านอธิบายดังนี้ หมายความว่าเป็นสถานที่โคเข้าได้ ยังไม่ สันนิษฐานแน่ลงไปว่า ได้แก่กัปปิยภูมิเช่นไร เห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า ได้แก่เรือนครัวน้อย ๆ ที่ไม่ได้ป๋'กเสาตั้งอยู่กับพื้นสินดังฝาบนคาน ยกเลื่อนจากที่ได้ เป็นโคนิสาทีกาได้ ผ. คหปสิกา แปลว่า เรือนของคฤหบดี ได้แก่เรือนของ คฤห'สถ ไม่ใช่ที่อยู่ที่ใข้ของภิกษุ ท่านอธิบายว่า กุฎีที่คฤหัสถเขา ทำ ถวาย เพื่อให้เป็นกัปปิยกุฎี จัตเข้าในกัปปิยภูมิชื่อนี้ด้วย ๔. สัมมสิกา แปลว่า กัปปิยภูมิที่สงฟ้สมมสิ ได้แก่กุฎีที สงฆเลือกจะไข้เป็นกัปปิยกุฎี แล้วสวดประกาศด้วยญัตสิทุสิยกรรม ในบาลื แนะให้เลือกกุฎีอันอยู่ในที่สุดเขต ก็คือจะให้เป็นที่ลี้สับ จะ ๓๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 706
Pages: