Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักธรรมโท

Description: นักธรรมโท

Search

Read the Text Version

www.kalyanamitra.org หม่วดที่ ๒ เร่ยวกับบิณฑบาต ๓. ปีณฑปาดกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตฟ้นวัตร หม่ายถืง การไฝวับอติเรกลาภอย่างฺอื่น ถือการฉันเฉพาะอ่าหารที่ได้จ่ากการ บิณฑบาตเท่านั้น คำ สมาท่านวาดังนี้ \"อติเรกลาภํ ปฏิฤขิปาบิ, ปีณฑปาติกงฺคํ สมาทิยาบิ\" แปลว่า ข้าพเจ้างดอติเรกลาภ สมาทานองค์แห่งท่านผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๔. สปทานจารกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตไปตามแกวเป็น วัตร หมายถืง การเตินบิณฑบาตไปต่ามลำดับ ตามแถว หรือตาม แนวข้ายหรือขวา ไม่วับข้ามแถว,ข้ามฟากตรงกันข้าม คำ สมาทาน ว่าดังนี้ \"โลลุปฺปจารํ ปฏิกฃิปาบิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาฑิยาบิ\" แปลว่า ข้าพเจ้า งดการเทียวไปตามใจอยาก สมาทานองค์ของผู้ถือ การเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร ๔. เอกาสนิกังคะ ถือการนั่งฉันครั้งเติย่วเป็นวัตร หมายถืง ฉันวันละควังเดียว หรือมื้อเดียวเท่านั้น ถ้าลุกจากอาสนะแล้วจะไม่ ฉันอาหารอีก คำ สมาท่านว่าดังนี้\"นานาสนโกซน ปฏิทซิปาบิ, เอกา- สนิกงฺคํ สมาทียาบิ\" เฝลว่า ข้าพเจ้างดการฉันต่างอาสนะสมาทาน องค์ของผู้นั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร ๖. กัตตฺป็ณฑฺกังคะ คือการฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร หมายถึง การฉันอาหารในบาตรนั่นเอง ไม่ด้องใช้ภาชนะอย่างอื่ใ^ก คำ สมาท่าน ว่าดังนี้ \"ทุติยภาชนปฏกฺซิปาบิ,ปตตป็{นฑิก่งฺคํสมาทียาบิ\"แปลว่า ข้าพเจ้างดภาชแะทีสอง สมาทานองค์แห่งผู้ถือการฉันเฉพาะในบาตร เป็นวัตร ๗. ขลุบิจฉากัตติกังคะ ถือการไม่รบกัตรที่เขานำมาถวาย ๖๔๐

www.kalyanamitra.org ภายหิล้งฟ้นวัตร หมายถึงว่า ในขณะเมื่อฟานตั้งใจลงมือฉันแล้ว แม้จะมืคนนาอาหารอยางดีมาถวาย ท่านก็จะไมรับอีก คำ สมาทาน ว่าดังมื่เ \"อสิริตุตโกชน ปฐฦฃปามื, ขลุปจฺฉาภตฺสิกงฺคํ สมาทิยาร\" แปสว่า ข้าพเจ้างดเว้นโภชนะอันเหเอเฟิอเสิย สมาทานองค์ชองผู้ ถึอการห้ามภัตอันเขานำมาถวายในภายหอังเป็นวัตร หมวดที่ ๓ เกี่ยวภับเสนาสนะ ๘. อารัญญภังคะ ถึอการอยู่ป๋าเป็นวัตร หมายถึง การพัก อาศยหรืออยู่ปฏิบตธรรมในป้าหรือบรัเวณฟ้า และจะต้องอยู่ห่าง จากคนอย่างน้อย ๒๙ เส้น หรือ ๔๐๐ ชั่วธินู คำ สมาทานว่าดังนี้ \"คามนุตเสนาสนํ ปฏิกฃิปามิ, อารญฌิกงฺคํ สมาทิยามิ\" แปลว่า ข้าพเจ้างดเว้นเสนาสนะชาวบ้านเสีย สมาทานองค์ของผู้ถึอการอยู่ ป้าเป็นวัตร ๙. รุกขมูสิภังคะ ถึอการอยู่โคนไม้เป็นวัต% หมายถึง การ พักอาดัอปฏิบสิธรรมอยู่ตามโคนไม้เท่านั้น จะไม่เข้าไปอยูในกุฏิวิหาร แม้ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไรก็ตาม คำ สมาทานว่าดังนี้ \"นนุนํ ปฏิฤฃิปามิ, รุฦขมูลิกงคํ สมาทิยามิ\" แปลว่า ข้าพเจ้างดเว้นที่มุง ที่บัง สมาทานองค์ของผู้ถึอการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ๑๐. อัพโภกาสิภังคะ ถึอการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร หมายถึง การไม่เข้าไปสู่ที่มุงที่บัง ไม่ว่าใต้ต้นไม้ ในถํ้าเป็นต้น คำ สมาทานว่า ดังนี้ \"ฉนุนฌจ รุกฺฃมูลฌฺจ ปฏิฤขิปามิ, อพฺโภก่าสิกงฺคํ สมาทิยามิ\" แปลว่า ข้าพเจ้างดเว้นุที่มุงที่บังและโคนไม้ สมาทานุองค์แห่งผู้ถึอ การอยูไนที่แจ้งเป็นวัตร ๖๙๑

www.kalyanamitra.org ๑๑. โสสานิกฺงคะ ถือการอยฟ้า^าเป็นวัตร หมายสืฟ้การอยู่ เพาะในป่าช้าเทา& ไฝอยู่ในที่อื่นอีก อำ สมาทานว่าดังนี้ \"อสุ สาน ปฏิฦฃปามิ, โสสานกงฺอํสมาทิย่ามิ,\" แปลว่า ข้าพเจ้างดต้น ส่ถๅนที่ไมไซ่ป่าข้าเสีย สมาทานองค์ของผู้สือการอยู่ในป่าข้าฟ้นวัตฺร ๑๒. ยถาสัน]ทดกงคะ ถือการอยู่ในเสนาส'นะแล้วแอํเขาจะ จ้ดใ'พ หมายถืง การยินดีในเสนาสนะที่เขาจัดให้ ไม่ว่าจะเลวหรือ ประณีตอย่างไรก็ยินดีไปตามนั้น อำ สมาทานว่าดังนี้ \"เสนาส'น- โลสุปฺป็ ปฏิฤขิปามิ, ย่ถาสนถดิกงฺคํ สมา'ทิยามิ\" แปลว่า ข้าพเจ้า งดต้นดวามอยากเอาแต่ใจในเสนาส^เะเสีย สมาทานองค์ของ^อยู่ ในเสนาส'นะสันท่านจัดให้อย่างไรเป็นวัตร หมวดที่ ๔ เกี่ยวกับความเ'พียร ๑». เนสัชชิกังคะ .ถือการนั่งเป็นวัตร หมายถึง การอยู่ด้วย อิริยาบถ ๓ คือ การยืน การเดิน การนั่ง เว้นการนอน แม้แต่ เอนกายก็ไม่ทำ อำ สมาทานว่าดังนี้ \"เสยยํ ปฏิถฃิปามิ, เนสชุข้กงฺคํ สมา'ดิยามิ\"แปฺลว่า ข้าพเจ้างดเว้นอิริยาบถนอน สมาทานองค์ของ ผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ธุตงควัตรนี้ มีส่วน'ช่วยให้เก็ตความมักห้อย่สันโตษยินดีที่สงัต่ ช่วยเพิ่ม:พูนอริยมรรค คือ ศีล สมาธิ ป๋'ญสุเา: วิมุต่ดิ วิมุตดิญาณ- 'กัสสนะให้สูงขึ้น. ' ป้ญหาและเฉ่ลยธรรมวิภาค หมวด ๑๓ ๑. อย่างไรเรืยกว่า ธดงค์? ๖&๒

www.kalyanamitra.org ตอบ วัตตจริยาพิเศษ นัฌญ้ตฺฃึ้นดวุยหมุายจะให้เป็นอุบายขจัด- กิเลส ๒. ธดงค์มีกี่หมวด บอกมาให้ครบ? ตอบ ธุดงคม ๔ หมวด หมวดที่๑ปฏิสังยุดด้วยจีวร หมวดที่ ๒,ปฏิสังยุดด้วยปีณฑฺบาด, หมวดที่ ๓ ปฏิสังยุตด้วยเสนาสนะ หมวดที่ ๔ ปฏิสังุยุดด้วยความเพียร ๓. ธุตงควัตต์ นำ ผู้ปฏิบ้ตให้ได้ผลอย่างไรบาง จงเขียนคำสมาทาน 'ของผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรแาดู ? ตอบ ธดงควัดร นำ ผู้ปฏิบตโหฺน่าเลอม่ใส เพราะทำให้ผู้มกิจจีาเป็น. ตองทำไมประมาท มีความส้งวรอดทน มีความตั้งใจและมีสัจจะ ในการแกิฝนตนเป็นพิเศษ ทำ ศีลให้บริสุท่ธ และจิดเป็นํส่มาธได้' ง่าย เห็นทุกข์อันเป็นสักษณะของขันธ1ด้ง่าย มีแต่จะได้บรรลุผลิ ที่พุนร\"พุทธคาสนาในเมื่อปฏบิติไมีผิด่ห็สักส คำ ฝมาทานธุดงต์ข์อ๓ว่า อสิเริกลาภปฏิเาขีฟ้าร/ปีณฺฑปาศีกงฺคํ สมาห็ยาม ; ๔. คำ ว่า\"วัตร'ไนธุด#วัตริหมายถืงอะไร ผู้ถือธุดงคข์อเตจีวริอังคํะ อย่างเครง์มีริธีฟ้ฐบิสิอ่ย่าง่ไริ? ตอบ หมายถืง ขอปฏิบิตพิเคษิอยางหนึ่ง ตามแดใครจะสมัครถือ บัญ.^ขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลา■กิเลส และเป็นไป เพื่อความมักน้อยสันโดษ มีริธีปฏิบิติอย่างนี้ใช้เฉพาะไตรจีวรของ ^ตน1ทำนี้น แม้จะซักห็รือจะย้อมอันตรวาสกย่อมใช้อุดตราสง่คนุง ๖๕๓

www.kalyanamitra.org ๔.ธุดงค์ฃ้อที่๑ มี สมาทานว่าอย่างไร? ตอบ คำ สมาทาน ธุดงค์ข้อที่ ๑ คหปติจีวรํ ปฎิกขปามี ป๋สุถูสิกงฺคํ สมาทิยามี ๖. ข้อใดของป๋จจัย ๔ ไฝมีในธุดงค์? ดอม ข้อยารักษาโรค ๗.การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อ!,ดยว่เป็นรัดร ที่เรียกกันทั่วไป ว่า\"ฉันเอกา\"จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน? ตอบ จัดเข้าในข้อ เอกาสรกังคะ คือถือนั่งฉัน อาสนะเดียว เป็นรัตร ๘. อารัญญิกังคธุดงค์ คือ การถือปฏิบตอย่างไร? ตอบ คือ การถืออย่ป้าเป็นรัดร หมายถึง การพักอาศัยปฏิบติธรรม อยู่ในป้า หรือบริเวณป้าและจะต้องห่างจากบานคนอย่างน้อย ๒๔ เส้น หรือ ๔๐๐ ชั่วธนู ๙. ธุดงค์ที่กักษุถือได้มีกำหนดเฉพาะกาลฺคือข้อใด เพราะเหตุใด? ตอบ ข้อ รุกขมูสิกังคะ และ อัพโภกาสิกังคะ ธุดงค์ ๒ ข้อนี้ 'ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษาเพราะในพรรษากักษุด้องถือ เสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยประจำตามพระวินัยนิยม ๑๐. เนสัชชิกังดะ หมายถืง องค์แห่งกักษุผู้ประพฤติเช่นไร? ตอบ เนสชรกังคะ หมายถืง องค์แห่งภิกษุผู้ถืงการอยู่ด้วย อริยาบถ ๓ คือ การยืน การเติน การนั่ง เว้นการนอน แม้แต่ เอนกายภิไม่ทา ๑๑.อัดดภิลมถานุโยค กับ การบำเพ็ญธุดงครัตรต่างกทำตว่ให้ลำบาก ด้3ยกัน มีข้อสำศัญต่างกันอย่างไร ทั้งโดยเหตุที่ปรารภและผ้ลที่ได้? ๖๔(f

www.kalyanamitra.org ตอบ มีข้อสำคัญต่างกัน คือ อัดตกิลมถานุโยค ย่อมทรมานตน ให้ลำบาก เพื่อให้บาปกรรมหมดไปเพราะการทรมานนั้น หรือเพื่อ บูชาพระเป็นเจ้า พระองคทราบแล้ว จงทรงโปรดได้ประสบผลที่ ปรารถนา และผลที่ได้ก็บาปธรรมไม่หมด เพราะกิเลสยังไม่ได้ละ และพระเป็นเจาก็ไม่มีคัวดนที่จะประสาทผล หรือให้พรดามปรารถนา นบว่าเป็นอกิริยทิฏฐ สํว่นการบำเพ็ญธุดงควัดรนั้นไม่ทรมานตน จนเกินไปกว่ามัชฌิมาปฏิปทา บัญญ้ตฃึ้นหมายจะ ให้เป็นอุบาย ขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ผลคือการรักษา คืลให้บริสุทธิ้ได้ง่าย จิตขึ้นสู่สมาธิเรืว ถ้าปฏิบํตเคร่งครัดไม่ถอย หสัง ก็จะสำเร็จโลกุตรธรรมเร็ว เชน พระมหากัสสปเถระเป็น ตัวอย่าง ๖๕๕

www.kalyanamitra.org ป็ณณรสกะ คือหมวด ๑๙ จรณะ @๕ หมวดที่ ๑ ๑. สีลสัม!!ทา ถึงพร้อมด้วยศีล ๒. อินทริยสังวร สำ รวมอินทรีย์ ๓.โทชณมัตตัญฌุตา เดวามพอดีในการกินอาหาร ๙.ชาดรียานุโยค ประกอบดวามเพียรของผู้ตี่นอยู่ หมวดที่ ๒ ๔. สัทธา ดวามเชื่อ ๖. หิรี ดวามละอายแก่ใจ ๗.โอตตัปปะ ดวามเกรงกสัวผิด ๘.พาหุสัจจะ ดวามเป็นผู้ใด้ฟังมาก คือ ได้รบศีกษามามาก ๙. วิรียะ ดวามเพียร . ๑๐. สต ดวามระลึกได้ ๑๑. ปัญญา ดวามรอ.บเ หมวดที่ ๓ ๑๒.ปฐมฌาน ฌานที่หนึ่ง ๖๙๖

www.kalyanamitra.org ๑๓. ทุดยผาน ผานที่สอง ๑๔. ดดิยผาน ผานที่สาม ๑๔. จตุตถผาน ผานที๋สิ จรณะ แปลว่า ความประพฤติ มรรยาท ปฏิปทาข้อปฏิฃต อันฟ้นทางบรรลุวิชชา เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธคุณข้อว่า ชา- จรณสมฺปนโน\" วิชชา คือ ความรู จรณะ คือ ความประพฤติ เป็น หลักพิจารณาหรือตัดสินความดีของบุคคลอย่างสำคัญประการหนึ่ง จรณะนั้นท่านจำแนกไว้ ๑๔ ประการ คือ ๑. สิลลัมปทา ความสิงพร้อมด้วยศีล คือ ความประพฤติ ถูกต้องดีงาม มีมารยาทเรืยบร้อย สำ รวมในพระปาฏิโมกข้ ประพฤติ เคร่งครัดในสิกขาบททั้งหลาย ๒. อนทรืยลังวร ความสำรวมอนทรืย์ คือ การสำรวมดา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เกิดกำหนดขัดเคืองลุ่มหลงมัวเมาในอินทรืย่ เหส่านั้น ๓.โภชเนมัดตัญฌุตา ความรู้จกประมาณในการบรืโภค คือ บรืโภคเพื่อขจัดความหิว ไม่ทานมากเกินไป บริโภคพอไข้ร่างกาย มีกำ ลังประกอบการงานได้ ปฏิบติธรรมได้ ๔. ชาคริยานุ่โยค ประกอบความเพียรของผู้ดีนอคู่ คือ ไม่ เหินแก่นอนมากเกินไป ไม่ยอมให้ความงวงนอนเข้าครอบงำชำระจิต ให้ปราศจากนิวรณ์ ด้วยการนั่งสมาธิ เตินจงกรม เป็นด้น ๔. ลัทธา ความเร่อ คือ ความเร่อไม่หวันไหวในพระรัตนตรัย เร่อในความมีอคู่ของกรรม เร่อผลของกรรม เชือว่าลัดวฺมีกรรมเป็น bdrey

www.kalyanamitra.org ของตนเอง เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า^ เป็นต้น ๖. หิริ ความละอาจแก่ใจ คือ ละอายใจในการทำบาปทั้งใน ที่ลับ ทั้งในที่แจ้ง ทั้งที่เป็นวจีทุจริต มโนทุจริตและกายทุจริต ๗. โอตตัปปะ ความเกฺรงกลัว คือ ความสะดุ้งกลัวตอบาป ก่ลัวต้อความชว่ กลัวต่อความทุจริต เป็นต้น เปรียบเหมือนคนกลัว อสรพิษราย ยอมถอยห่างหลีกหนีไปฉันใด่ คนผู้มืโอตตัปปะ ยอม ถอยห่างหลีกหนีจากความชั่วฉันนั้น ๘. พาหสัจจะ ความเป็นผู้ไต้ฟังมาก คือ ไต้รับการศึกษาม่า มาก ไต้ยินไต้ฟัง์มามาก ทรงจำหัวข้อสำตัญไต้มาก พิจารณาและ แทงตลอดถึงป๋ญหาด้วยป้ญญาของตนเองไต้ พหสุตมืองค์ ๕ คือ ๑. พหสฺสุตา ไต้ยินไต้ฟังมาก - ^ ๒. ธตา ทรงจำไต้ . ' ๓. วจสา ปริจีตา ท่องไว้ต้วยวาจา ๔. มนสานุเปกขิตา เอาใจจตจ่อ ๔. ทิดูฐิยา สุปฏิวิทุธา ขบด้วยทิฏฐ' ๙. วิริยะ ความเพียร คือ .ความขยันหมั่นเพียรทั้งที่เป็นไป ทางกายและทางจีต เพียรละบาปอกุศลและเพียรทำกุศลใหิเกดขึ้น ต้ว่ยความบากบนไม่ต้อถอย . ๑๐. สติ ความระลึกได คือ สามารถระลึกถึงเรื่องที่ทำ คำ ที่พูด ทั้งในขณะก่อนทำ หลัง์ทำ ก่อนพูด หลังพูด ก่อนคิด หลังคิด ทั้งยังใข้สติยับยั้งกิเลสบางอย่างมืตัณหา เป็นต้น ไมไห้เกิดท่วมหับ จิต่ใจไต้ .: , .- ๖duCS

www.kalyanamitra.org ๑๑. ป๋ญญา ความรอบ! คือ ความรอบ!!นกองสังขารตาม ความเป็นจริง รู้เหตุป๋จจัยแห่งความเกิดดับของสังขาร สามารถ ทำ ลายกิเลสทำตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ๑๒. ฌาน ฌานที่ ๑ มีองค ๕ คือวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกิคคตา i ๑๓. ทุติยฌฺาน ฌานที่;๒ มีองคื ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา ๑๔.ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองคื ๒ คือ สุข เอกัคคตา ๑๔.จตุตกฌาน ฌานที่ ๔ มีองฺคื ๒ คือ อุฒกขา เอกคคุตา จรณะทั้ง ๑๔ ประการนี้ ในบาลีห่านว่าเป็นเสขปฏิปทา คือ ฃ้อปฏิบสิสันเป็นทางดำเนินของพระเสขะ ป้ญหาและเฉลยธรรมวิภาค หมวค ๑๔ จงแสตุงวิชชาและจรณะ:ฬยางไห่นมีเท่าไร อะไรบ้าง^ ตอบ วิชชา ๓ ก็มี ๘ ก็มี วิชชา ๓ นั้น คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑ จุตูปปาตญาณ ๑ อาสวักขยญาณ ๑ วิชชา ๘ นั้น คือ วิปัสสนาญาณ ๑ มโนมยิทธิ ๑ อิทธิวิธี ๑ ทิพพโสต ๑ เจโตปริยญาณ ๑ ปุพเพนิวาสานุสสติ ๑ ทิพพจักขุ.๑ อาสวักขยญาณ ๑ จรณะ ๑๔ นั้น ดือ หมวดที่ ๑ ลีลสัมปทา ๑ อินทรียสังวร ๑ โภชเนมัตดัญฌุตา ๑ ชาคริยานุโยค ๒ หมวดที่ ๒ สัทธา ๑ หิริ ๑ โอตดัปปะ ๑ หาหุสัจจะ ๑ วิริยะ ๑ ๖๔๙

www.kalyanamitra.org สติ ๑ ป๋ญญา ๑ หมวดที่ ๓ ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ๒.โภชณมดติญผุดา ในจรผะ «^๙ มีอธิบายอย่างไร? ดอบ โภชเม'ตติญฌุตา มีอธิบายว่า คว่ามเป็นผู้รู้จักประมาณใน การบริโภคอาหารแต่พอควร ไม่มากไม่น้อยพิจารณาแล้วจึงบริโภค อาหารและเพ่งประโยซนอนจักเกิตแต่อาหารนั้น ๓.พาหุสัจจะมีองค์เทาไรดอบมาให้ครบ? ตอบ พาหุสัจจะมีองค์ ๔ คือ ๑. พหุสฺสุตา ได้ยิน่ได้พิ'งมาก ๒. ธตา ทรงจำได้ ๓. วจสา ปริจึตา ท่องไว้ด้วยวาจา ๔. มนสานุเปกขิตา เอาใจจดจ่อ ๕. ทิฎจิยา สปฏิริทธา ขบด้ว่ยทฏเ

www.kalyanamitra.org ๖๖๑

www.kalyanamitra.org เรียงความแท้กระทู้ธรรม ๖๖๒

www.kalyanamitra.org เรียงความแกกระทู้ธรรม วิชาเรียงคุวามแก้กระทู้ธรรม วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมเป็นวิชาที่มีหลักการ เป็นเรื่อง ของความงฺามในPารพภาษา จึงเป็นวิชาที่นักเรียนจะต้องศึกษา และ แกฝนให้มีประสบการณ์มากพอสมควรจึงจะมีความรู้ ความชำนาญใน การใช้สำนวนภาษาที่ไพุเราะและเหม.าะสม ลันจะทำให้เรียงความดี น่าอ่าน ความหมายของคำว่า \"เรียงความแก้กระทู้ธรรม\" คำ ว่า \"เรียงความแก้กระทู้ธรรม\" ตัดบทเป็นเรียงความ/แก้/ กระทู้ธรรม /ารียงความ^' หมายถึง การกล่าวพรรณนๆเนื้อความหรีอ อธิบายเนื้อความแล้วนำเอาเนื้อความมาต่อเชื่อมกัน โดยลำตับหน้า หลังให้ผู้อ่านไต้อ่านรู้เรื่อง \"แก้\" หมายถึง การตอบหรือภารเฉลยให้ตรงอุดของคำถาม นั้น หรีอการเป็ดเผยสิ่งที่ปกปีดออกมุาให้เห็น \"กระทู้ธรรม\" หมายถึง ป๋ญหาหรีอคำฤามที่เกี่ยวกับธรรมะ ๖๖๓

www.kalyanamitra.org ทำ ไมจึงต้องเรียนวิชากระทูธรรม การเรียนวิชานี้จำฟ็นอย่างยิ่ง เพราะการเรียนวิชานี้เป็นการ แสดงออกร่งทัศนคติของแตละบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพโดยทางการ เขียน อันเป็นการแสดงออกแทนคำพูดถือเป็นการสร้างบุคลากรใหมใน ด้านการเป็นนักพูด นักเขียน ในวงการพระพุทธศาสนาในโอกาสต่อไป ประโยชนี้ของวิชากระทู้ธรรม ๑. เป็นการแสดงออกร่งทัศนคํติชองต่นเอง ๒. เป็นการแสดงออกร่งความรู้เกี่ยวทับธรรม่ะ ๓. เป็นการแสดงออกร่งวาทะและสำนวนของผู้ที่ได้รบการศึกฺษา ๔; เป็นการถ่ายทอดวิชาการไปสู่อีกคนหนึ่งให้รู้และเข้าใจความ ๙. เป็นการพัฒนาด้านความรู้และป๋ญญาของตนให้กาวหนัา อยู่เ!สมอ ๖. เป็นการสร้างบุคลากรในด้านศาสนาขนพื้นฐาน ซึ่งกลาย มาเป็นผ้เผยแผ่ศาสนาตอไป ประฬทข1อฃองงกกรระะททู้ธธรรรม กกรระะท1ู้ธ่รรมของศึกษาชั้นตรี-โท-เอก นั้นแปงอ&กเป็น ๔ ประเภทI คือ ๑. พุทธภารต เป็นดำรัสของพระพุทธเจ้าโดยตรง ๒. สาวกภา^ เป็นคำพูดของพระสาวก มี ๒ ประเภท คือ เถรคาถา(พระภิกษุ) และเถ่รีคาถา(พระภิกษุณี) ๓. เทวดาภารต เป็นคำพูดของเทวดา ๖๖ร:

www.kalyanamitra.org ๔. อิเภารต เป็นคำพูดของพวกฤๅษี ภาษิตทั้ง ๔ ประ๓ทนี้รว่มเป็นคำกลาง ๆ ว่า ''ธรรมภาษิต\" คือ เป็นคำพูดที่ประกอบด้ว่ยธรรมะนั่นเอง ธรรม ๒ ประ๓ท ๑. ภระทู้ธรรมที่เป็นบุครุ๒ร!รดู่าน หมายถึง กระทู้ธรรมที่ อ้างบุคคลเป็นที่ตั้ง หรือยกเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกบบุคคลขึ้นมากล่าว เพอให้เข้าใจในธรรมะนั้น เช่น กัมํมุนา วัตตะตี โลโถ สัตว์โลกย่อม เป็นไปตามกรรม เป็นต้น ฯ; . ๒. กระทู้ธรรมที่เป็นธรรมาธิษฐาน หมายถึง กระทู้ธรรมที่ อ้างธรรมะโตยตรงเป็นที่ตั้ง ไฟอ้างบุคคลคือยกเอาธรรมล้วน ๆ ขึ้น กล่าว เช่น ปะมาโท ม้จจุโน ปะทัง ความประมาทเป็นหนทางแพ่ง^ ความตาย :หรือ ทุกโข ปาป๋'สละ อุจจะโย ภารสั่งสมบาป เป็นเหตุ ^เาความทุกข้มาlห้ ฯ '1 t ใ^รงสร้างของกระทู้ธรร่ม ๑. กระทู้ตั้ง คือ กระทู้ธรรมที่เป็นป๋'ญหาที่ยกขึ้นมาก่อน สำ หรบให้แต่งแก้ เช่น สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ธินาติ การให้ ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง ๒. คำ นำ คือ คำ ขึ้นต้นหรือคำขึ้แจงก่อนจะแต่งต่อไป กล่าว คือ เมื่อยกคาถาบทตั้งไว้แล้ว เวลาจะแต่งต้องขึ้นอารมภบทก่อนว่า \"บัดนี้จักไต้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ไต้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและประพฤติปฏิบุตของสาธุชนทู้Lคร่ บไป\" ,.:: . ๖๖!ร:

www.kalyanamitra.org ๓. เนื้อเรื่อง ต้องมีเนื้อหาสาระสำคัญ ลำ คับเนื้อหาสาระให้ ต่อเนื่องกนเป็นเหตุเป็นผล เมื่ออธิบายเนื้อเรื่องมาพอสมควรก็นำ เอาข้อธรรม(กระทู้ธรรม) มาอ้างรบรองไว้เป็นหลักฐาน ๔. กระทู้ร้บ หมายถึง การยกเอาธรรมภาษิตขึ้นมารับรอง ให้สมเหตุสมผลกับกระทู้ตั้ง เพราะการแต่งเรียงความนั้นต้องมีกฺร;ชุ้รัน อ้างให้สมจริงกับเนื้อความที่ไต้แต่งไป.มิใช่เขียนไปแบบลอย ๆ ๔. บทสรุป หมายถึง รวบรวมใจความสำคัญของเรื่องที่ไต้ อธิบายมาแต่ต้นแล้วกล่าวสรุปลงสั้น่ ๆ หรีอยอๆ .ให้ไต้ความหมาย ที่ครอบคลุมถึงเนื้อหาที่กล่าวมาทงหมด I แนวทางการบรรย่ายของเรียงความแก้กระทู้ธรรมโดยปกติมี ๔ โวหาร ๑. พรรณาโวหาร โวหารบรรยายให้เกิดความเพสิตเพลิน ๒. บรรยายโวหาร อธิบายแจกแจงกระทู้ธรรมขึ้เหตุผลให้เกิด วิริยะอุดสาหะในการนำไปปฐป๋ติ ๓. เทศนาโวหาร ขึ้แจงแสดงแนะนำให้เห้นผลดีผลเสิยและ สอนให้ละการทำความชั่วทำแดความดี ๔. สาธกโวหาร การยกเรื่องราวต่าง ๆ มาเป็นข้อเปรียบเทียบ อุปมาอุปมัยโดยมีหลักว่า ก. ไม่ยกเรื่องของคนอื่นที่มีขีวิดอยู่ในมัจจุบัน ข. ไม่ยกเรื่องของดนเองมาเป็นข้อเปรียบเทียบ หลักการแต่งกระทู้ ๓ ประการ ๑. การดีความหมายกระทู้ตั้3 ว่าหมายถึงอะไร กว้างแคบแค่

www.kalyanamitra.org ไหน ในกระทู้mเมีความหมายที่ต้องอรบายกี่อย่าง เช่น อดต่า หะเว ชิตัง เสยโย ซนะตนนั้นแล ป่ระเสริฐในกระทู้นี้ต้องมีความหมายตังนี้ ก. คำ ว่า \"ตน\" .คืออะไร ตนในที่นี้1ต้แก่อัตภาพร่างกายที่ สมมติกันว่าเป็นคนได้แก่ กๆยกบจิต . ข. คำ ว่า \"ชนะตน\"ได้แก่อ่^ไรฺ คือ ชนะใจตนเองไม่ไหใจดกอยู่ กับอำนาจกิเลสหรืออารมณ์ฝ่ายตํ่าที่มาชักนาหรือครอบคลุมจิตใจขฺอ่ง ตนเองให้ได้นั่นเอง ถ้าใครชนะจิตใจของตนเองได้ก็ซื่อว่าชุนะตน ค. คำ ว่า \"ประเสริฐ\" แปลว่า ดีกว่า เลิศกว่า เมื่อคนเรา เอาชนะจิตใจของตนเองได้ ซื่อว่าได้รับความชนะที่ประเสริฐกว่าการ ชนะสงคราม หรือตัตรูภายนอก ๒. การขยายความให้ชัดเจน หมายถึง การขยายความให้ ชัตเจนและ:แจ่มแจ้งออกไป เช่น ความชนะใจตนเองคืออะไรก็ขยาย ให้แจ่มแจ้งออกไปว่า ไม่ให้จิตใจของตนเองตกอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส คือ ความโลภ ความโกรธและความหลงซื่งจะเป็นสิ่งสนับสนุน ให้จิตใจตนคืตไปในทางชั่ว ทางบาป ทางทุจริต และที่ว่าประเสริฐ นั้น ก็คือการชนะจิตใจตนเองประเสริฐกว่าอย่างอื่น เพราะการชนะ คนอื่นแม้ ๑๐๐ คน ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการชนะตนเพียงครั้งเดียว ๓. ตั้งเกณฑอ^ายฺ หมายถึง การอธิบายจะต้องมีหลัก เกณฑ์อธิบายถึงผลดีผลเสียซื่งจะเป็นเครื่องซื่ชัดลงไปให้เห็นว่า การ่ชนะภายนอก เช่น ชนะคนตั้ง ๑๐๐ คน นั้นเป็นของไม่แน่นอน ภายหลังอาจจะกลับเป็นคนแพ้ได้ ส่วนการชนะตนเองนั้นเป็นการ ชนะโดยเดีตขาด ชนะแล้วไม่กลับแพ้อีก ๖๖๙

www.kalyanamitra.org การแต่งฑระทู้ธรรม 5 ๒ แบบ คือ - ๑. การแต่งแบบ่ตจง คือ การพรรณนาความไปก่อนแล้วจึง หวนเข้าเส์อหาของศระทู้ธรรมนั้น ๆ กล่าวคือ การแตงกระทู้แบบฺ อธิบาย เริ่มต้นจากจุดอื่น'รงหางไกลใหุ้มีความสมพันธ์เนื่องก้นเข้าไป เป็นขนเป็นตอนก่อนหลงตามลำดับ จนกลมกลืนก้บกระทู้ตงแล้วจึง อธิบายธรรมหรือกระทู้นั้น ยกเหตุอุปมาสาธกและเชื่อมกระทู้อื่นมา รับให้สมก้บข้อความอธิบายนั้น มากหรือน้อยตามกำหนดของ สนามหลวงที่ไต้บังดับไว้โนชั้นนั้น ๆ (นักธรรมตรืไห่, เอก) แล้ว สรุปความ ' ๒. การแต่งแบบตั้งวง คือ การอธิบายความหมายของธรรมะ ก่อนแล้วจึงขยายความออกไป กล่าวคือ การอธิบายตรงจุดธรรมะที่ เป็นกระทู้ตั้ง ต้องมีลืสาหรือว้ารืายรำให้ยืดยาวพอเข้าถึงจุดก็อธิบาย ต่อไปเห่มือนก้บแบบดีวงนั้นเอง ผิดก้นบ้างก็เพราะแบบดีวงต้อง เริ่มจากจุดอื่นเข้ามาเทานั้น การใช้ภาษา ในการเขียนกาษาเรืยงความ ผู้เขียนจะต้องพิถึพิถันการ่ใข้ ภาษาให้มาก ภาษาที่จะใข้ต้องเป็นภาษาเขียนเทานั้แ ไม่เขียนต้วย ภาษาพูด ร่งพอสรุปเพื่อจาว้าย ๆ คือ ๑. ต้องใข้ภาษาเขียนที่ถูกต้อง ๒. ไม่ใข้ภาษาตลาด ภาษาแสลง ภาษาคาผวน ๓. ไม่ใข้ภาษาพื้นเมือง่ หรือํภาษ่าอื่น . ๔. ไม่ใข้ภาษาต่างประเทศปนภาษาไทย ๖๖<ร

www.kalyanamitra.org ตวอย่างของ๓อๆเมภฆฑในการแต่งi๒ร;ทู้':^ !! -'บัดนี้จักไพ้ฬยายขยายคจทมตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องด้น เพื่อเป็นแนวทางแห่งการปุระพฤติปฏิบติแหงสๅธุชนุ ผู้ใค^ธรชุฝสืปติอไปุ\" ' แ: - นี้จักอธุบๅยขยาย!J^ความแห่งกระทู้ธรรมที่^ เป็นอทเทmเพื่อเป็นุแนุ^ทา^นุห่^ภารศึกษาแฤะ;ปฏิบื้^ พท^มฺามกะ ผู้สืก1ฝ่ในธุระที่ง' ๒1ฟระการในศาสนา คือ ค้นถธุระ และวิป็สสธุระอนี้เป็นกิ^ที่จะตภงกระห่าเ^ เพื่อ มุ่งป^กอปตนและผู้อื่นให้ได้ปุระสบสิ่งที่ตนปรารถนา เป็นลา^มติอไปุ ตัวอย่างของสำพูดก่อนกล่าวอ้างสุภารตอื่นมาเชื่อม ๑. สมด้วยภาษิตที่มาใน...... .ความว่า ๒.สมด้วยความแห่งคาถาปุรํะพนธุพูทธภาษิต่ใน............^ .....ความวา ตัวอย่างของสำขึ้นต้น^อนสุรปุ จิ สรุปุความว่า. รวมความว่า.........! .! ปุระมวลความว่า..........,.,.. ๖๖๙

www.kalyanamitra.org แบบฟอร์มการเขียนวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักฺธรรมและธรรมสิกษฺาชั้นโท (กระทู้ตั้ง) ยาทิสํ วปเต พีช ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ. (คำแปลกระทู้ตั้ง) บุคคลหว่านพืชเซ่นใด ยอมได้ผลเซ่นนั้น ผู้ทำ กรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำ กรรมชั่3 ย่อมได้ผลชั้ว. บัดนี้จ้กได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิต ที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องด้น ; เพื่อเป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบ้ตของสาธุชนผู้!ครในธรรมสืบไป อธิบายความ่ว่า ...........1.. ......นี้สมด้วยธรรมภาษิตที่มาใน ความว่า (กระทู้ร้บที่๑) อตตานฌฺเจ ตถา กยิรา ยถฌฺฌมนุสาสติ สุทนฺโต วต ทเมถ อตตา หิ กิร ฑุทฺทโม. (คำแปลกระทู้ร้บที่ ๑)ถ้าสอนผู้อื่นฉันใด พืงทำต!เฉันนั้น ผู้ฝืกตนดีแล้ว ควรสืกผู้อื่น ได้ยินว่าตนแล'ฝึกยาก. อธิบายความว่า .นี้สมด้วยธรรมภาษิตที่มาใน •.. .....ความว่า ๖6/๐

www.kalyanamitra.org (กระดู้รบที่ ๒) สุขกามานิ คูตานิ โย ฑณฺเฑน น หึสติ อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส สภเต สุขํ. (คำเฟสกระทู้ที่ ๒)ส้ตร์เ^หลกยย่อมต้องโฑรศฑมสุฃ ผู้เดแสวงหา?๓มสุธเพื่อตน ไม่เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นนละไปแล้ว ย่อมไต้สุข อธบายความวา. สสุปความว่า. สมด้วยธรรมภาษิตที่ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นว่า (กระคู้ตั้ง) ยาฑิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลยาณการี กลยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ. (คำแปลกระคู้ตั้ง) บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมไต้ผลเช่นนัน ผู้ฑำ กรรมดี ย่อมไต้ผลดี ผู้ทำ กรรมชั่ว ย่อมไต้ผลซัว ดังไต้พรรณนามาด้วยประการฉะนี้ ฯ หมายเหตุ สำ หรับนักธรรมและนักดีกษาชันโท ใช้กระคู้รับ ๒ บท เขียนอย่างน้อย ๓ หน้ากระดาษ เว้นบรรทัด ๖๙๑

www.kalyanamitra.org ตัวอยางเรียงุควๆม่กระทู้iffรรมพั้โฑ ยาฑิสํ วปเต พีช ตาทสํ ลภเต ผ่ลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาijfไ. บุคคลหว่านพืชเช่นใด . ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำ กรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำ กรุรมซํ่ว. ย่อมฺได้ผฺลฺชํ่ว์ ฯ บัดนี้จักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ .ณ เบื้องด้น เพื่อเป็นแนวทางแหงการประพฤติปฏิบ้ติของสาธุชนผู้Iครในธรรมสืบไป อ่ธิบายความว่า เกษตรกรผู้ปรารถนาอยากได้ถั่ว เขาย่อมหาเมล็ด พันธุถั่วมาเพาะปลูก เพราะเขารู้แน่ชัดว่าเมื่อปลูกถั่วย่อม่ได้ถั่ว เมื่อปลูกงา ย่อมได้ผลเป็นงา ความดีและความชั่วก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่ทำ ค่วามดีย่อมได้เบ ผลดี สํวนผู้ที่ทำกรรม่ชั่วย่อมได้ร้บผลชั่วอย่างแนนอน ทางแหงความดีอนี้เป็น ทางที่นำไปลู่สุคติเรียกว่า กุศลกรรมบท มี ๑๐ ประการคอ ๑.,เว้นจากทารุฆ่าลํชุว์ ,^ , , ^ ๒. เว้นจากการเกท^ย์ -- ๓. เว้นจากการประพฤติผิดในทาม ๔. เว้แรเาทการพดเทจ .ข ๔. เว้นจากการพูดส่อเสียิด^ ๖. เว้นจากการพูดคำหยาบ . ๗. เว้นจากการพรด้เเพ้อเจ้อ ๘. เว้นจากความโลภอยากได้ของเขา ๙. เว้นจากการคิดร้าฤพยาบาทเบยฺดเบียนเขา s ๑๐. เหนชอบตามคลองธรรม เมื่อละความชั่วแล้วก็พึงทำความดีด้วยการให้ทาน รักษาศีล และ เจริญภาวนา ส่วนผู้ที่ทำความชั่วนั้นคือผู้ไม่ประพฤติกุศลกรรมบท ไม่รักษาศีล ๖๙๒

www.kalyanamitra.org ให้บริสุทธึ๋บริบูรณ์ บางคนเข้าใจว่าฑาดีแล้วไมไดฺดี หรือทำชั่วแล้วไม่เห็นว่าจะ ได้ร้บผลชั่วตอบแทน เนื่องจากบาปยังไม่ส่งผล และยังมีบุญเก่าด้มครองอยู่ แต่เมื่อถึงคราวที่บาปส่งผลเขาย่อมได้ร้บความทุกข้ ความเดือดร้อนทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า นี้สมด้วยธรร่มภานดที่มาในฃุททกนกาย ธรรมบท ความว่า มธุวา มฌฺญดื พาโล ยาว ปาป๋ น ปจฺจดื ยทา จ ปจฺจติ ปาป๋ อถ ทุกฃํ นิคจฺฉฺนฺติ. ตราบเท่าที่บาปยังไมให็ผล คนเขลายังเข้าใจฺว่ามีรสหวาน แต่เมื่อบาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบบุกข์เมื่อนั้นฯ อธิบายความว่า คนที่ทำคว่าม่ชั่ว ไม่ว่าจะเป็นความชั่วทางกายก็ดื หรือความชั่3ทางวาจาก็ดื หรือความชั่วทางใจก็ดื หำ กผลชั่วยังไม่ปรากฏให้ เห็น คนที่เขลาเบาป๋'ญญา หรือมีมีจฉฺาทิฏฐิ เห็นผิดไปจากคลองธรรม อาจจะ เข้าใจว่าทำชั่วแล้วไม่ได้ชั่ว บางครั้งยังฺคิดว่าทำชั่3แล้วได้ผลดื เซ่น ฉ้อโกงผู้อืน แล้วได้ทเพย์มาไข้สอยอย่างสะดวกสบาย ทำ ให้เข้าใจผิดว่าทำชั่วแล้วได้ผลดื นั่นเป็นเพราะว่าบาปยังไม่ส่งผล แต่เมื่อบาปส่งผลเขาอาจจะถูกจับได้ว่าฉ้อโกง -ผิถึนเขามา ด้องริบโทษตามกฎหมายบ้านเมือง แม้เมื่อละโลกไปแล้วเขาย่อม ไปสู่ทุคติ ผู้ที่ทำ ความชั่วย่อมประสบทุกข้และเดือดร้อน ผู้มีบ้ญญาจึงฺหมั่นทำ ความดืด้วยการให้ทาน ริกษาศีล และเจริญภาวนา ม้ที่ตั้งมั่นในศีลย่อมมีความ ลุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า นี้สมด้วยธรรมภารตที่มาในขุทกนิกาย เถรค่าถา ความว่า ถึลํ รก.เขยย เมธาวี ปดฺถยาโน ตุโย สุเข ปส่สํ วีตุติลาภผฺจ ฟจฺจ สคเค ปโมทนํ. ผู้มีบ้ญญาเมื่อปรารถนาสุข ๓ อย่าง คือ ความสรรเสริญ ความได้ทริพย์ และความละไปบนเทิงในสวรรค์กห็งริกษๆศีล ฯ อธิบายความว่า ศีลเป็นเบื้องด้น เป็นที่ตั้งและเป็นบ่อเกิดแห่งกุคล และความดืทังมวล ผู้มีบ้ญญาปรารถนาให้ชืวิตมีความสุข ด้องริกษาศีลให้ ๖๙๓

www.kalyanamitra.org บริสุm อย่างฟ้อยต้องมีนิจศีล หรือศีล ๔ไต้แก่ ศีลข้อที่ ๑ เว้นจากการฟาสัตวต้'ดชีวิต ศีลข้อที่ ๒ เว้นจากการลักทรืพย ศีลข้อที่ ๓ เว้นจากประพฤติผิดในกาม ศีลข้อที่ ๔.เว้นจากการพูดเท็จ : ศีลข้อที่.๔ เว้นจากการดื่มสุราและเมเย - ส่วนผู้ที่ปรารถน่ามรรคและผลให้ยิ่งขึ้น พึงรักษาศีลในระดับที่สูงขึ้น คือ ศีล ๘ สำ หร้บอุบาสกและอุบาสิกา ศีล ๑๐ สำ ห้รบสามเถเร หรือศีล ๒๒๗ สำ หร้บพระภิกษุ ผู้รักษาศีล;ย่อมไต้ร้บอานิสงส์อย่างฟ้อย ๓ ประการ คือ่ เป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไป เป็นผู้ที่มีทร้พย์ และเข้าถึงพระนิพพาน ดังนั้น ผู้ที่ ปรารถนาสุข ๓■อย่างคือ ความสรรเสริญ ๑ ความไต้ทร้พย์ ๑และความละไป บนเทิงในสวรรค์ ๑ พึงรักษาศีล - สรุปความว่า เมื่อไต้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วควรตั้งใจทำความดี. ละเว้นความชั่วทั้งปวง สั่งสมบุญบารมีด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจ่ริญํ ภาวนา การทำความดีย่อมไต้รบผลดีแนินอน ถ้าทำความชั่ว ย่อมไต้ผลชั่ว เซ่นกัน อุปมาเหมีอนเกษตรกรผู้ปลูกถั่วย่อมไต้ผลเป็นถั่ว ผู้ที่ปลูกงาย่อมไต้ ผลเป็นงา หรือปลูกพึชชนิดใดย่อมไต้ผลเซ่นนั้น นี้สมต้วยธรรมภาษิตที่ได้ สิฃิตไว้ ณ เบื้องด้นนั้นว่า ยาท็สํ วปเต พึชํ ดาท็สํ ลภเต ผลํ กแยาณการื ถลฺยาณํ . ปฺาปการื จ ปาปกํ. .บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเซ่นนั้น ผู้ทำ กรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำ กรรมชั่3 ย่อมได้ผลชั่3ฯ :.. มีอรรถาธิบายดังได้พรรณนามาด้วยประการฉุะนี้ฯ ๖๗(T

www.kalyanamitra.org พุทธศาสนสุภาษต ๑. อัดตวรรค คอ หมวดตน . ๑. อตฺตฺานฌเจ ตถา กยิรา ยถฌฌมนสาสติ สุทนฺโต วต ทเมถ อตตฺา หิ กิร ทุทฺทโม. ถ้าสอนผู้อื่นฉันใด พึงทำตนฉันนั้น ผู้รกตนดีแล้ว ควรรก ผู้อื่น ได้ยินว่าตนแลร่กยาก ขททกนิกาย ธรรมบท ๒. อติตานเมว ป่จม ปฎิรูเป นิเวส์เย่ อถฌฺฌมานุสาเสยย นิ กลิสฺเส่ยฺยปณฺ^โต. บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมคว่รกอน สอน่ผู้อืนภายหอัง่ จึงไมมัว่หมอง. ขุททกนิกาย ธรรมบท ๒. อัปปมาทวรรค คือ หมวดไม่ประมาท ๓. อ!!ปมดฺโต ปม่ตฺเตส , สุตฺเตสุ' พหุซาคโร : น, ; ^ ขททถุนิกาย ธรรมบท . - v .-f - i ;',.;<^.^อุฎ^ไน3โต , สติมโต.; สุจิกมมสส การีโน สฌฺฌตุสุส: จธมม^โน .^;เฟปมคตสุส ยโสภิวฺจฺใฒติ. ยศย่อมเจริญ แก่ผู้มีความหมั่น มีสต มีการงานสะอาด - ใคร่ครวญแล้วทำ ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท. ^ ขททกนกาย ธรรมบท ๖6/4:

www.kalyanamitra.org ๓. กัมมวรรค สิอ หมวดกรรม ๔. อติสีตํ อติอุณฺหํ อติสายมิทํ อหุ อิติ วิสุสฎ^มมนเต อตุถา อ่จฺเจนติ มาณัเว. ประโยชน์ทั้งหลายปอมล่วงเลยคนผู้ทอดทิ้งการ^าน ด้วยํอ้างว่า หนาวนัก ร้อนนัก เย็นเสียแ.ล้ว. ทีฆน์กาย ปาฏิกวรรค ๖. ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต. ผลํ กลยาณการี กลยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ. บุคฺคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำ กรรมติ ย่อม ได้ผลติ ผู้ทำ กรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว. สังยุตดนิกาย สคาถวรรค ๗. สเจ ปุพฺเพกตเหตุ สุขทกฺขํ นิคจฉติ โปราณกํ กตํ ปาป๋ ตเมโส จเต: อถเ. , ถ้าประสพสุขทุกช์ เพราะบุญบาปฺที่ทำไว้ก่อนเป็นเหตุ ร่อว่า เปลื้องบาปเก่าที่ทำไว้ ดุจเปลื้องหนี้ฉ่ะนั้น. ชุททกนิกาย ชาดก ป๋ญญาสนิบาต ๘. สุขกามานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน น หึสติ อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส ลภเต สุนํ สัตว้ทั้รหลายย่อมด้องการความสุข ผู้โดแสวงหาสุขเพื่อ่ตนไม่ เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นั้นละไป!,เลั่ว ย่อ่มได้สุข. ชุททกฺนิกาย ธรรม่บท ๖๗๖

www.kalyanamitra.org ๔. กิเลสวรรค คือ หมวดกิเลส ไ^ i ๙. กามา กฏกา อาสีวิสูปมา เยธุ มุจฺฉิตา พาลา เต ทีฆรตฺตํ นิรเย • สมปฺปิตา หฌณนฺเต ทุกฺขิตา. กามทั้งหลายเป็นของเผ็ดร้อน เหมือนงูพิษ เป็นที่คนโงหมกมุ่น เขาต้องแออัตทุกฃยากอยูในนรกตลอดกาลนาน. ขุททกนิกาย เถรีคาถา ๑๐. ปรวชุชานุปสุสิสฺส นิจฺจํ อุชุณานสฌฌิโน อาสวา ตสฺส วฑฒนฺติ อารา โส อาสวกขยา. คนที่เห็นแต่โทษผู้อื่น คอย่แต่เพ่งโทษนั้น อาสวะกิเพิ่มพูน เขายังไกลจากความสินอาสวะ. ชุททกนิกาย ธรรมบท ๑๑. ยา กาจิมา ทุคุคติโย อฺสฺมื โลเก ปรมหิ จ อวิชุชามูลกา สพฺพา อิจฉาโลภสมุสฺสยา. ทุคติในโลกนี้และโลกหน้า ล้วนมือวิชชาเป็นราก มือิจฉาและ โลภเป็นลำต้น. 'i น .; i ; ขุททกนิกาย อิติวุฅ่ตถ่ะ'; ๑๒. โล^ โทโส■จ โมโห จ - ปุรีสํ ปาปเจตสิ ห็สนฺติ อตฺตสมภตา ตจ์สิารํจ สมผ์สิ. ;^ โลภะ'โทสะ:โมฺหะ เกิดจากตัวเอง ย่อมเบียดเบียนผู้มืโจชั่ว ดุจชุยใฝ่ฆ่าต้นไฝฉะนั้แ' ' ''น ขุททกนิกาย อิติวุตดกะ ๖6/6/

www.kalyanamitra.org ๙. ขนสิวรรค คือ หมวดอดทน ๑๓.อตฺตโนป็ ปเรสฌฺจ อตฺถาวโห ว ขนฺสิโก สคฺคโมฤฃคมํ มคฺคํ อารุฬฺโห โหสิ ขนฺติโก. ผู้มีขันติ ร่อว่านำประโยชน์มาให้ทั้งแก่ตนทั้งแก่ผู้อื่น ผู้มีขันติ ร่อว่าเป็นผู้ขึ้นสู่ทางไปสวรรค์และนิพพาน. 1 สวดมนค์ฉบับหลวง ๑๔..ขนฺติโก เมตฺตฺวา ลาภี ยสสฺสี: สุขสีลวา ป็โย เทวม!{สฺสานํ มนาโป โหติ ขนฺติโก. ผู้มีขันตินับว่ามีเมตตา มีลาภ มียศ และมีสุฃเสมอ ผู้มีขันติ เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย. สวดมนค์ฉบับหลวง ๑๔. สีลฺสมาธิคุณานํ ขนฺติ ปธานการณํ สพฺเพ!!.ภุสสา ธมมา ขนฺตฺยาเยววฑฺฒใ4ติ เต. . ขันติเป็นประธาน เป็นเหตุแห่งคุณคือศีลและสมาธิ ภุศล j ธรรมทั้งปวงย่อมเจริญ เพราะขันติเท่านั้น; สวดมนค์ฉบับหลวง ๖. จิดดวรรค คือ หมวดจิต ฟ- ๑๖..อนวฎจิตจิตฺตสฺส i , ะ , , - สทฺธมมิ;'อวิชานโตฟั ปริปฺลวปสาทสฺส ปฌุฌา^น-;!รปูรฺติ;.'i- - เมื่อมีจิตไม่มั่น่คง ^ไม่รู้พระสัทธรรม มีความเลื่อมใสเลื่อนลอย บัญญาย่อมไม่บริบูรณ์.. ชททกนิกาย ธรรมบท Wc«

www.kalyanamitra.org ๑ฟ้.อานาปานสสติ ยสฺส . อปริปณฺณา อภาวิตา กาโยปี อิฌฺชิโต โหติ จิตตมฺปี โหติ อิฌฺiติ. . สติกำหนดลมหายใจเข้าออก อัน^ดไม่อบรมให้บริบูรณ์ ทั้ง กายทั้3จิตของผู้นั้นก็หวั่นไหว. .ชุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ๑๘. อานาปานสสติ ยสุส ..ปริปณณา สุภาวิตา กาโยปี อนิฌฺซิโต โหติ: /จิ^มปี,,โหติ อนิฌข้ติ. สติกำหนดลมหายใจเข้าออก อันผู้ใดอบรมบริบูรณ์ดีแล้ว ทั้ง กายทั้งจิดของผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว. ชุททกฺนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ๑๙,บูรงฺคมํ เอภจร; อสุรีรํ คหาสยํ. เย จิตฺติ สฌฌเมฺสุสุนดี . ^กฺขนติ มฺารพนุธนา. ผู้ใดจักสำรวมจดที่ไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถํ้า (คือกาย) เฐฺนที่อาศัย -ผู้นั้นจักพ้นจากเครื่องผูกของมารได้. ชุททกนกาย ธรรมบท ๒๐.ผนุทนํ จปลํ จิตติ ทุรกขํ ทนุนิวารยํ อุชุ กโรติ เมธาวี : อุสุภฺาโรว เตชนํ., คนมีป้'ญญาทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก -ให้ตรงได้ เหมือนช่างศรทำลูกศรให้ตรงฺได้ฉะนั้น. ชุททกนิกาย ธฺรรมบท ๒๑. ยถา อคารํ ทุจฉนุนํ วุฎจี สมติวิชุฌติ. เอวํ อภาวิติ จิตฺติ ราโค สมติวิซฺฌติ. ๖๙๙

www.kalyanamitra.org ฝนยอมรั่วรดเรือน่ที่มุงไฝดีฉันใด ราคะย่อมรั่วรดจิดที่โม่ได้ อบรมฉ้นm. ชุททกนิกาย ธรรมบท ๒๒; เสโล ยถา เอกฆโน วาเดน น สมีรติ เอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมีฌฺชนฺติ ปณฺฑิดา. ภูเขาหนแทงทึบ ไม่สนสะเทึอนเพราะลมฉันใด บ'ณฑิตย่อมไม่ หวั่นไหวในนินทาและสรรเสรืสุ/ฉันนั้น. ขททกนิกาย ธรรมบท ๗. ทานวรรค คอ หมวดทาน ๒๓. อคฺคสฺมี ทานํ ททตํ อคฺค ปุณฌํ ปวฑฺฒติ อคฺคํ อายุ่ จ วณฺโณ จ ยโส กิตุติ สุข พลิ. เร่อให้ทึาน่ในวัตถุอน่เลศ บุญอ้นเลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และกีาลังอ้นเลิศ กีเจริญ. ชุทท่กนิกาย อิติวุดตกร ๒๔. อดคทายี วรทายี เสฎจทายี จ โย นโร ททึฆฆายุ ยยิสลิวา โเหหตติ ยตฺถ ยดฺถูบบชฺชด. ผู1ห้สิ่ง่ที่เลิศ ให้ลิงที่ดี ให้ลิงที่ประเสริฐ ยอมเป็นผมีอายุยีน มียศในภพที่ดนเกีด. อ้งคุดดรนิกาย ปัญจกนิบาด ๒๔. ยถา วาริวหา ปรา ปริปูเรนฺติ สาครํ เอวเมว อึโด ทึนฺนิ เปตานํ อุปกปปติ.

www.kalyanamitra.org ห้วงนํ้าที่เต็ม ย่อมยังสาครให้เต็มได้ฉันใด ทานที่ให้แดโลกนี้ ย่อมสำเร็จแก่ผู้ละไปแล้วฉันนั้น. ; \\ ขุฑํทกนิกาย ชุททกปาฐะ ๒๖.โส จ ลพฺพทโท•โหติ โยฺ ททาติ อุปสฺสย่ / อมตนท่โท จ ^ โทติ; ]๒ ธมนมนสาสติ. ^ ให้ที่ฟักอาศัย ผู้นั้นชื่อุว่า[ห้สิ่งทงปว?? ผู้Iดสอนธรรม ผู้นั้นร่อว่าให้อมตะ. , , ; สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๘. ธัมมวรร.กุ คือ หมวดธรรม ๒๗. อธมมํ ปฏิปนนสส ^ โย ธนมมนุสาสติ ^ ตสุ่สฺ เจ วจนํ ถย่รา นโส คจฺเฉฺยย ทุคคตี. ผู้ใดสอนธรรม่แกคนปฏบ้ติไมลู่ก ล้าเขาทาตามคำของผู้นั้น จะไม่ไปส่ทคติ. ขททกนิกาย ชาดก สัฏฐินิบาต •I ๒๘.ขตุติยา พุราหุมณา เวสฺสำ สุทุทา จณฺฑาลปุกกุสา อิธ ธนม่ จร็ตุ่วาน ภรนุติ ติทิเว สมา. กษตริย พ่ราห้ม# แพุทยั^ ศูทร ศัณฑาล 'แลร่;คํนิงานชั้นตํ่า ประพุฤติธรรมในโล่กนี้แล้ว่ ย่อมเป็นิผู้เสํม่อกันในิสวรรค์ชั้แไตรทิพยั. ขททกนกาย ธรรมบท ๒๙.นภฌฺจ ทูเร ปจวี จ 'ทูเร ปาริ: สมุททสฺสํ ตทาทุ ทูเร V ^ ตโต . ทเว ทูริตริ วทนฺติ. ^ L สตฌฺจ ธนโม อสตฌฺจ ราช. ^CoO

www.kalyanamitra.org เขากล่าวว่า ฟ้ากับดินไกลกัน และฝังทะเลก็ไกลกัน แต่ธรรม ของสัตบุรุษกับของอสัตบุรุษไกลกันฮ่งกว่านั้น. ' ขททกนิกาย ชาดก อสิดินิบาต '๓๐.นิกกหา นิลลปา ธีรา อถทฺธา สุสมาหิตา เต เว ธม.เม วิรูหนฺดิ สมฺมาสมฺพุทุธเทสิเต. พู้นเคดโก่ง ไม่พูดเพ้อ มีปรีชา ไม่หยิ่ง มีใจมนคงนั้นแล ย่อมงดงามในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว. อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ๓๑. เย จ โข สม.มทกฺขาเต ธม.เม ธม.มานุว่ตฺดิโน เต ชนา ปารเมสุสนฺดิ มจ.จุเธย.ย่ สุทุตฺตรี. ชนเหล่าใตประพฤดิธรรม ในธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว ชนเหล่านั้น จักข้ามแดนมฤตยูที่ข้ามได้ยาก. ขททกนิกาย ธรรมบท ๓๒.โย อิจุเฉ ทิพ.พโภคฌจ ทิพฺพ่มายํ ยสํ สุขํ ปาปานิ ปริวชุเชตฺวา ดิวิธํ ธมฺมฺมาจเร. พู้ใดป ถนๆโภคทรัพย อายุ ยศ,; สุข อันเป็นทิพยพู้นั้น พึงงดเว้นบาปทั้งjwสาย ,แล้วประพุฤดิสุจฺรุตธรรม 6ท^ อย่าง. . . , ขุททกนิก่าย ชาดก มหานิเทส ๙. ปกิณณกวรรค คือ.หมวดเบดเตสิด ๓๓. อกฺโกจฺฉิ มิ .อวธิ มิ อข้นิ มิ อหาสิ เม เย จ ตํ อุปนย.หนฺดิ เวรี เตสํ น สม.มดิ. ๖C«๒

www.kalyanamitra.org •_ ผู้ใด ผูกอาฆาตว่า เขาได้ด่าเรา ได้ฆ่าเรา ได้ซนะเรา ได้ลัก ของของเรา ดังนี้ เวรของผู้นั้นย่อมไฝระงับ. - ขุฑทกนิกาย ธรรมบท ๓๔. อกฺโกจฺนิ มํ อวริ มํ อiนิ มํ อหาสิ เม เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตลูปสมมติ. ผู้1ดไม่ผูกอาฆ^ตว่า เขาได้ด่าเร่า เขาได้ฆ่าเรา ได้ชนะเรา ได้ลักของของเรา ดังนี้ เวรของผู้นั้นย่อมระงับ. ขุททกนิกาย ธรรมบท ๓๔..นกขตฺตํ ปฏิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจจคา อตฺโถ อตฺถสฺส นกขตฺตํ กึ ก่ริสฺสนฺติ ตารกา. ปร่ะโยชฟ้ใด้ลวงเลยคนเขลาผู้มัวถือฤกษอ่ย่ ประโยชุนเป็นฤกษ์ ของประชน์ ตวงดาวจัก่ทำอะไรไดั ขุททกป็ฦาย ชาดก เอกนิบาต ๓๖.ปฌจ กามคณา โลเก มโนฉฎจา ปเวทิตา เอตฺถ ฉใ4ทํ วิราชิตวา เอวํ ทุก.ขา ปมุจ.จติ. กามคุณ ๔ในโลก มีใจเป็นที่ ๖ อันทำนชี้แจงไว้แล้ว บุคคล คลายความพอใจในกามคุณนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ได้อยางนี้ ลังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๓๗. ปรทุกฺขูปธาเนน โย อตตโน สุขมีจฉติ เวรสํสคคสํสฎโจ เวรา โส น ^มุจจติ. ผู้ใด ด้องการสุขเพื่อตน ด้วยกฺารก่อทุกข์แก่ผู้อื่น ผู้นัน้ ชื่อว่า .พ9พันไปด้วยเวร ย่อมไม่พ้นจากเวร. ขุททกนิกาย ธรรมบท ๖0^๓

www.kalyanamitra.org ' ๓๘.พหูนํ วต อตฺถาย อุปปชฺชนฺติ ตถาคฅา อิตถนํ ปุริสานฌฺจ เย เต .สาสุนการกา. . - พระตถาคตเจ้าย่อมเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก คือ สตรีและบุรุษผู้ทำตามคาสอน. ขุททกนิกาย: เถรคาถา ๓๙. เย จ่ กาหนฺสิ โอวาทํ นรา ทุทเธน เหสิต โสตถึ ปรํ คมิสุสนฺติ วลาเหเนว วาณิชา. คนใต จักทำตามโอวาทที่ผู้รู้แสดงแล้ว คนนั้นจักถึงฝั3ที่สวัสดี เหมือนพ่อค้าถึงฝังที่สวัสดีเพราะม้าวลาหก. ขททกนิกาย.ชาตก ทุกนิบาต ๔๐. เย วฑฒมปจายนต สรรเสรีญ ชาติหน้าก็ไปดี. ขุททกบิกาย ชาตก เอกนิบาต ๔๑. รูปา สททา คนฺธา รสา ผสุสา .ธมมา จ เกวลา เอตํ โสุกามืสํโฆรํ เอตุถ โลโก วมจฉิโต. รูป เสิยง กสุน รส ฝัสสะ และธรรมารม้ณินั้น ล้พป็น โลกามืสอนร้ายกาจ สตวโลกหมกมุ่นอยูในอารมณิเหล่านั้ สังยุตตนิกาย สุคาถวรรค ๑๐. ปัญญาวรรค คือ หมวดปัญญา ๔๒^ อปฺปสุสุตายํ ปุรีโส พสิวทฺโทํว. ^รีต มํสานิ ตสุส.วฑฺฒนุต ปฌฺฌา ตสุสน'วฑฒต. ๖๔or

www.kalyanamitra.org *' s คTlนผู้สดiับนอยนี้ ย่อผแกใป;เหนือนวัวแก่'- 'อ้วนแตเนื้อ' แต่ ป๋ญญาไม่เจริญ. ,: - ขุททกนิกาย ธรรมบท ๔๓.สิวเตวาปี สปุปฌ&ซ อปี วิฅตปริกขย่า : ปฌฺฌาย จ อลาเภน ริตตว่าปี น สิวติ. ถึงสินทรพย ผูนิฟ้ญ่ญาก็เป็นออูใต้ แต่อับฟ้ฌญาแนืนืหร้พย ก็เป็นอยู่ไฝไต้. ขุททกนิกาย เถรคาถา ๔๔.ปฌฺฌวา พุทฺธิสมปนโน '■ ^ วิธานว่เโกวิโท > ;s กาลฌฌ สมยฌฌ-'จ: .ส ราชวสตึ วเส. ผู้มีป๋ญญา ถึงพร้อมด้วยความรู้ ฉล่าตุในวิธีจัดการงาน ร้กาลและร้สมัย เขาพึงอยฺในราชการไต้. , r : : ;7iขุททกฬฺ^าย ชาดก มหานิบาต ๔๔;มตฺตาสุขปริจฺจาคา i/ :' เส เจ วิปุลํ สุข.' / ' จเช มตตาสุขํ ธีโร สมปสสํ วิปุลํ สุขํ น - ถ้าพึงเห็นสุขอันไพบูลย์ เพราะยอมเสียสละสุขส่วนน้อย ผู้มี มัญญาเสีงเห็นสุขอันไพบูลย์ ก็ควรสละสุขส่วนน้อยเสีย. ^ \" ขุททฺกนิกาย : ธรรมบท /๔๖.;ยสํ ลทฺธานทุ่ฝเมfei i i i' อนตุถํr รติ อฅฺต!น อตฺตโนจ ปเรสญจ i หึสาย..ปีฏิปซชติ. •๖6?๔

www.kalyanamitra.org คนมีป้ญญาทรัาม ได้ยศแล้วย่อมประพฤติสิ่งที่ไฝเป็นประโยชน์ แก่ตน ย่อมปฐบ้ติเพื่อเบียดเบียนที่งตนและผู้อื่น. . . ขุทททบีกวร^ดก เอกนิบาด ๔๗.โย จ วสสสตํ ซีเว ทุปฺปฌฺโฌ อสมาหิโด เอกาหํ สิวิตํ เสยฺโย ปฌฺฌวนฺดสฺส ฌายิโน. ผู้โดมีป๋'ญญาทราม มีโจไฝมั่นคง พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี ส่วนผู้มี ป๋ญญาเพ่งพินิจ มีชีวิดอยู่เพึยงวันเดียว ดีกว่า. ชุททกนิกาย ธรรมบท ๑๑. ปมาทวรรค คอ หมวดประมาท ๔๘.พหุมฺปี เจ สหดภาสมาโน น ดฤกโร โหติ นโร ปมตฺโด โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ - น ภาควา สามฌฌสฺส โหติ. . หากกล่าวพุทธพจน์โด้มาก แต่เป็นคนประมาท ไฝทำดาม พุทธพจํน์นั้น ก็ไฝมีส่วนแห่งสามัญญผล เหมีอนคนเลี้ยงโค คอยนับ โคให้ผู้อื่นฉะนั้น. ฃุททกนิกาย ธรรมบท ๔๙. ยฌหิ ก็จฺจํ ดทปวิทุธํ อกิจจํ ปน กยีรติ อุนฺนฬๅนํ ปมตฺดานํ เดสํ วฑฒนฺติ อาสวา. คนทอดทิ้งกิจที่ควรทำ ไปทำกิจที่ไฝควรทำ เมื่อเขาถือตัว มัวประมาท อาสวะย่อมเจริญ. ขททกนิกาย ธรรมบท ๖Cร๖

www.kalyanamitra.org ๔๐.โยจ ปุพฺเพ ปมซฺfตฺวา ปจุฉา โส นปฺปมชฺชติ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภๆ.มุตุโต ว จนฺทมา. เมื่อก่อนประมาท ภายหลังไม่ประมาท เขาร่อว่ายังโลก^'รสวาง เหมือนพระจันทร์พนจากเมฆหมอกฉะm . มัชฌิมนิกาย มัชฌิมป้ณณฺาสก์ ๑๒.ปาปวรรค คือ หมฺวดบาป ๔๑. อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ ปาปการี อุภยตถ โสจติ โส โสจติ โส วิหฌฺฌติ ทิสฺท กมมกิสิฎจมตฺตโน. ผู้ทำ บาป ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก ร่อว่า . เศร้าโศกในโลกทั้งสอง เขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึง เศร้าโศกและเดือดร้อน. ขุททกนิกาย ธรรมบท ๔๒.'อุทํพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปี ปูรติ อาปูรติ พาโล ปาปสุส โถกํ โถก!! อาจินํ. แม้หมือนํ้ายังเดืมด้วยหยาดนํ้าฉันใด คนเขลาสั่งสมบาปแม้ทีลร น้อยุ ๆ ก็เดืมด้วยบาปฉันนั้น. ฃุททกนิกาย ธรรมบท ๔๓. เอก่ ธมม่ อดืตสฺส มุสาวาทิสฺส ซนฺตุ่โน วิติณุ่ณปรโลกสุส ■นตถปาป๋อการิยํ. คนพูดเห็จ ล่วงลัดยธรรมเสียอย่างหนึ่ง ไม่คำนึงถึงโลกหน้า จะไม่พึง่ทาบาปเป็นอันไม่มื. ขททกนิกายฺ ธรรมบท ๖csey

www.kalyanamitra.org ๔๔,ฟๆณแหิ- เ^ วโณ นาสฺส เรยย ฟาณินา:' วิสํ นาพฺพลเ'วิสฆนฺ1จติ ' นตณิ ปาป๋ อลุพฺพโต. ' \"ถาฝามือ!ฝมีแ;ผล' ก็พึงนำยา ไปด้วยฝ่ามือ!ด้ • ยาพิษ^มเข้า ฝ่ามือไม่มืแผลไม่ได้ฉันใด บาปยอมไม่มืแก่ผู้ไม่ทำฉันนั้น. -s : ฃุททกนิกาย ธรรมบท ๔๔.โย จ สเมติ ปาปๅนิ ' อณลูลานิ สพฺพโส - สมิตตุตา'ห:ปาปานํ 's สมโณติ ปรุจจติ, . ผู้!ตระงับบาปนฺอยใหญ์ได้โดยประการทั้งปวง!-.ท่านเรียกผู้นั้น ว่าสมณะ เพราะเป็นผู้ระงับบาปทั้งหลายุได้. : : ชุททกนิาายุ .ธรรมบท ๔๖.วาณิโช่ว ภยํ มคฺคํ อปฺปสตุโถ มหทธโน วิสํ ซีวิตุกาโมว . ปาปานิ ปริวชฺชเย. ควรงดเว้นบาปเสียุ ,เหมือนพ่อด้ามืพวกฺน้อยุ มีทรพยุมวก เว้นหนทางทุมีถัย และเหมือนผู้รัก^ตุ -เว้นยาพิษฺเสีย นะนั้น ชุททกนิกายุ .ธรรมบท ๑๓. ปุดคลวรรค คือ .หมวดบุคคล ๔๗.อจจยํ เทสยนฺตีนํ โย เจนปฏิคณฺหติ . โตุปุนฺตุโร โทสครุ .สเวรํ ปฏมุจจตุ. เมื่อเขฺาขอโทบ' ฤา^ดมืความขุ่นเคือง โกรธจัด พยอมร้บ ผู้นั้ฬื่อฺว่าหมกเวร^ สังยุตุตนิบาย สคาถวรรด ๖GoCb

www.kalyanamitra.org ๔๘. อสุภาย จิตฺตํ ภาเวหิ เอกคคํ สุสมาหิตํ สติ กายคตา ตฺยตถ นิพฺพทฺาพหโล ภว. จงอบรมจิตให้แน่วแน่มั่นคงด้วยอสุภสัญญา จงมีสติMuกาย จงมีความเบื่อหน่ายมาก สังขารทั้งปวง). สังยตตนึกาย สคาถวรรค ๔๙. เอวํ กิจฉาภโต โปโส ปีตุ อปริจารโก ปีตริ มีจฺฉา จ่ริตฺวาน นิรยํ โส อุปปชฺชติ. ผู้ที่(มารดา)บิดาเลี้ยงมาโดยยากอยางนี้ ไฝบำรุง (มารดฺา) บิดา ประพฤติผิดใน (มารดา) บิดา ย่อมเข้าถึงนรก. . ฃททกนิกาย ชาดก สัดดตินิบาด ๖๐. เอวํ พุทฺธํ สรนฺดานํ ธมุม สง.ฆฌจ ภิกฺขฺโว ภยํ วา ฉมุกิดตฺตํ วา โลมหโส น เหสุสติ. ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลระลึกถึงพระพทธ พระธรรม แสะ พระสงฆ์ อยู่อย่างนี้ความกล้า ความครํ่นคร้าม ขนพองสยองเกล้าจักไม่มี. สังยุดดนิกาย สคาถวรรค ๖๑.กาเม ติฑ.รา กามรดา กาเมํสุ อธิมุจ.ฉิดา นรา ปาปานิ กตฺวาน อุปฺปชฺชนฺติ ทุคคติ. นรชน่ผู้กำหนัดในกาม ยินดีในกาม หมกมุ่นในกาม ทำ บาป ทั้งหลาย ย่อมเข้าถึงทุคติ. ขุททกนิกาย ชาดก สัฏเนิบาด ๖๒. คาเม วา ยทิวารฌฺเฌ นินฺเน วา ยทิวา ถเล ยตฺถ อรหนุโด วิรนุติ ตํ ภูมีรามเณย.ยกํ. ๖07๙

www.kalyanamitra.org พระอ่รหนตทั้งหลาย่ อยูในที่ใด่ ^ คือบ้านก็ตาม 'ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นนย่อมเป็นภูมิน่ารื่พ.รมย. ' ชุ้ททกนิกาย ธรรมบท ๖๓. ซาติถทฺโธ ธนถ่ทฺโธ โคตฺตถทโธ จ โย นโร สฌฺฌาตึ อติมฌฺเฌติ ตํ ปราภวโต มุขํ.\" คนใด หยิ่งเพราะชาต หยิ่งเพราะทรัพย หยิ่งเพราะสกุล ย่อม ดูหมิ่นญาติของตน ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งความเสื่อมของคนนั้น. ชุททกรกาย สุตตนิบาต ๖๔. เติชวาปี ห่ นโร รจกฃโณ สฤกโต พหุชนสฺส ปูชิโต นารีนํ วสงคโต น ภาสติ \" หุนท อุปหโตวิ จ%๓มา. ถุงเป็นคนมีเดช มีป่ญญาเฉียบแหลม อันคนเป็นอันิมากสัฤการบูชา อยูในอานาจของสตรีเสียแล้ว ย่อมไม่รุงเรือง เห่มีอนพระจันทร์ถูก พระราหูบังฉะนั้น. ขุททกนิกาย ชาดก อสีตินิบาต ๖๔.ธีโร \"พเค อธิคมม สงุคณฺห่าติ จ ณาตเก เตน โส กิดต ปปโปต เปจจ สคฺเค ปโมทติ. ผู้มีปรีชาได้โภคะแล้ว ย่อมสงเคราะห์หมู่ญาติ เพราะการ สงเคราะห์นั้น เขาย่อมได้เกียรติ ละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค. ขททกนิกาย ชาดก ฉักกนิบาต ๖๙๐

www.kalyanamitra.org ๖๖.น ปณุ่ฑตฺา อตตสุขสส เหลุ ปาปานิ กมฺมานิ สมาจรนติ . .. ทุกฺเขน ผุฎจา .ขลิตาปี สนฺตา ฉนฺทา จ โทสา น ซหนฺติ ธม.มํ. บัณฑิต ย่อมไม่ประพฤติกรรมชั่ว เพราะเหตุแห่งสุขเพื่อตน สัตบุรุษอันทุกข์ถูกต้อง แม้พลาดพลั้งไป ก็ไม่ยอมละธรรม เพราะ ฉันทาคติและโทสาคติ. ^- i / V J ; ซาตก็ฏฐกถา ๖๗.นหิ สพฺเพสุ จาเนสุ ปุริโส โหติ ปณุฑิโต สิตุถีปี ปณุ่ฑิตา •โหติ ต.ถ ตติถ่ วิจฤขณา. บุรุษจะเป็นบัณฑิตในิพื่ทั้งปวงก็หาไม่ แม้สติรีก็เป็นิบัณฑิตมี บัญญาเ&บแหลม่ในที่นั้น ๆ ได้เหมีอนอัน. ฃุททกนิกาย ชาดก อัฏฐกนิฃาต ๖๘. นินฺทาย นปปเวเธยย นอุณฺณเมย่ยปสํสิโตภิก.ขุ '' • โลอั•สห่ มจุ^เยน ' โกชั่•ฟสุณย่รุจปนุเทฟ้^^ ภิกฟ้ม่ควรหวฺน1ห่วเพราะนินทา ไตรปสร่รเส์รญ s ก็ไม่ควร '' เหม1จ พื่งบรรเทาความโลภกบความตระหนี่ ความโกรธ'และความ ส่อเสียดเสีย. ' ขุททก็นิกาย พุ!ตนิบาต ๖๙^ ปณุฑิโตตฺ สมฌุฌ่าพุ ๓พุ!ริย อธืฎพต ^ อถาปี เมถุเน ยุตโต มนุโทว ปริก็สฺสติ^ .๖๙๑

www.kalyanamitra.org ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบ'ณฑิต ส่วน คนโง่ฝักใฝ่โนเมชุน ย่อมเศร้าหมอุง. ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ๗๐. มธุวา มฌฺฌตี พาโล ยาว ปาป๋ น ปจจติ ยทา จ ปจฺจตี ปาป๋ อถ ทุกขํ นิคจฉติ. . ตราบเท่าที่บาปกังไมให้ผล คนเขลากังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่ บา!นิห้ผลเมื่อใต คนเขลาย่อมประสบทุกข้เมื่อmเ. ฃุททกนิกาย ธฺรรมบท ๗๑. ยํ อุสสุกกา สงฆรนุติ อลกขิกา พทุ รนํ สิปปวนฺโต อสิปฺปา วา. ลฦขิกา ตฺานิ ภุณฺชเร. คนไม่มีบุญ มีติลป๋หรือไม่มีศิลป๋ก็ตาม ขวนขวายรวบรวม ท^ยIตไว้ได้เป็นกันมาก ส่วนคนมีบุญย่อมบริโภคทรพย์เหส่านั้น. ชุททกนิกาย ชาตก ติกนิบาต ๗๒. ยสฺส ปาป๋ กตํ กมฺมํ กุสเลน ปีถียติ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภา ม?!โตว จนฺทิมา. ผู้ใตทำ.กรรมชั่วแล้ว ละเสิยได้ด้วยกรรมดี ผู้นั้นย่อมกังโลกนี้ ให้สว่าง ,เหมีอนพ^จันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้^. มัชฺฌิมนี้กายมัชณิมป๋'ณณาสก์ ๗๓. ยสุส รุกขสฺส ฉายาย นิสิเทยย สเยยฺย วา น ตสฺส สาขํ ภฌฺเชยุย มิตตทุพุ^ หิ ปาปโก. บุคคลนั้งหรือนอนที่ร่มเงาด้นไม้ใต ไม่ควรหักกิ่งด้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษรายมีตร เป็นั้คนเลวทราม. ขุททกนิกาย ชาตก มหานิบาต ๖๙๒

www.kalyanamitra.org ๗๔.โยน หนฺติ น ฆาเตติ ■น สินาติ น ซาปเย •เมตุ่ต่โส สพฺพภูตานํ เวรนฺตสฺส น เกนจิ. ^ดไม่ฆาเอง ไมให้ผู้อื่นฆ่า ไมชนะเอง ไมให้ผู้อื่นซนะ ผู้นั้น ซื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง และไม่มีเวรกับใคร ๆ. อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต . ๗๙.โย มาตร ปีตรํ วา มจฺโจ ธม.เมน โปสติ อิเธว นํ ปสํสนฺติ เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ. ผู้Iดเลี้ยงมารตาบิดาโดฺยธรรม บัณฑิตยฺอมสรรเสริญผู้นั้นใน โลกนี๊ เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทงใitสวรรค์. ซททกนิกาย ซาดก มหานิบาต ๗๖.โย หเว อิณมาทาย ภุฌุซมาโน ปลายติ นหิ เต อิณมตฺถีติ ติ ซฌ.ฌา วสโล อิติ. ผู้ใต กู้หนี้เขามากินมาใสิแล้วหลบหนิ!ป ด้วยปฏิเสธว่าหนี้ของ ท่านไม่มี พึงรู้ผู้นั้นว่าเบินคนเลว. ขุท่ทกนิกาย สุติตนิบาต ๗๗โย่ โหติ พฺย่ตฺโต จ วิสารโท จ ^ พหุสฺสุโตธมมธโรจ โหติ ธมฺมสฺส โคต อนุธมฺมจารี ส ตาทิโส วจฺจติ สง.ฆโสภโณ. ผู้ใดเบินคนฉลาด แกลั่ว์กล้า เป็นผู้ฟ้งมาก ทรงธรรม และ ประพฤติธรรมสมคว่ริแก่ธรรม คนเซ่นนั้นท่านเรีย่ก่ว่า ยงหมูให้งดงาม. องคตตรนกาย จตกกนบาต ๖๙๓

www.kalyanamitra.org ๗,๘. สเจ ภายถ:ทุอฺข่สฺส s สเจ โร ทุฤขมปฺป็.ย - มา กตฺถ ปาปกํ.กมมํ อาวี วา. ยทิ วา รโห. ถ้าทานกถวทุกข์ ถ้าท่านไมรกทุกข์ ก็อฺย่าทำบฺาปกรรมทั้งใน ที่แจงทั้งในที่ลับ. ขุททกนิกาย อุทาน ๗๙. สารตฺตา กามฺโถฺเคสุ คิทฺฮา กาเมสุ มุจนิตา อสิสุารํ น พุชุญนฺสิ มจฉา ฃิปป๋ว โอฑฺฑิตํ. ผู้สิดใจในการบฺเfrlคกาม ยินดีหมกฝนในกามทั้งหลาย ย่อมไม่รู้ สึกที่งความถลำตัว เหมือนปลาถลันเข้าลอบํที่เขาตักไ^ม่รู้สึกตัว ฉะนน. ลังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๑๔. ปุฌญวรรค คือ หมวดบุญ <๙๐. อธนนฺทสิ เปจจนนทสิ กตปุฌฺโฌฺ อุภยตถ นนทสิ ปุฌฌํ เม กตนสิ นนทสิ . ภิยโย นนทสิ สุคดี คโต. ผู้ทำ บุญแล้ว ย่อมยินดีในโลกนี้ ตายแล้ว ย่อมยินดี ซื่อว่า ย่อมยินดีในโลฺกทั้งสอง เขาย่อมยินดีว่าเราทำบุญไว้แล้ว ไปสู่สุคสิ ย่อมยินดียิ่งขน ฃุททุกนิกาย ธรรมบท ๘๑. อิธ โมทสิ เปจจ โมทสิ กตปุฌโฌ อุภยตฺถ โมทสิ โส โมทสิ โส ปโมทุสิ ท่สวา ทุมมวฺสุทธิมตฺตโน. ผู้ทำ บุญแสุ้ว ย่อมบันเทิงใน'^กนี้ ละไปแล้ว ย่อมบันเทิง ซื่อว่าย่อมบันเทิงในี้โลกทั้งสฺอง . เขาเห็นความบริสุทธแหงกรรมของ ตนแลว! ย่อมบนเที่งiJrไtเทย. ชุททกนิกาย ธรรมบท ๖.๙รุ:

www.kalyanamitra.org •๘๒. ปุฌฺฌฌเจ ปริโส กยิรา กยิราเถน ปุนปปนํ ตมฺหิ ฉใ4ทํ กยิราถ สุโข ปุญฌสฺส อุจจโย. ถ้าบุรุษจะพึงทำบุญ ควรทำบุญนั้นปอย ๆ คว่รทำความพอใจ ในบุญนั้น การสั่งสมบุญนำความสุขมาให. ^ ^ ชุททกนิกาย ธรรมบท ๘๓. มาวมฌฺเฌถ ปุฌฌสฺส น มตฺตํ อาคมิสสติ อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกมฺโภปี ปูรติ อาปูรติ ธีโร ปุฌฺฌสฺส โถกํ โถก'ปี อาจินํ. ไมควรดูหมิ่นต่อบุญว่า มีประมาณน้อย จักไม่มาถึง แม้ หม้อนํ้าย่อมเต็มได้ด้วยหยาดนั้าที่ตก ฉันใฬ ผู้มีป้ญญาสั่งสมบุญ แม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มได้ด้วยบุญ ฉันนั้น. ขุททกนิกาย ธรรมบท ๑๕. ม้จจุวรรค คือ หมวดความตาย ๘๔. อจจยนฺติ อโหรตุตา รวิต่ อุปรุชฺฌติ อายุ รยติ มจุจานํ กุนฺนทีนํว โอทกํ. ' ' วันคืนย่อมล่วงไป ซีวิตุย่อมหมตเข้าไป อายุของสัตว์ย่อม สิ้นไป เหมีอนนํ้าแหงแม่นํ้าน้อย ๆฉะนั้น. จังยุตตนิกาย สคาถวรรค ๘๕.ทหรา จ มหใ4ตา จ เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา สพุเพ มจจวสํ ยนติ สพฺเพ มจจปร่ายนา. ทั้ง,เต็ก ทั้งผู้!หฟ ทั้งเขลา ทั้ง่ณ่1าต ล้วนไปสูอำนาจแห่ง ความตาย ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า. ขุททกนิกาย สตตนิบาต ๖๙๕

www.kalyanamitra.org ๘๖,น อนฺตสิถเข น สมุทฺทมชฺเฌ น ปพพตาน วิวรํ ปวีสํ นวิชชตีโสชฺคติปปเท!ส ยตฺร่ฎเตํ นปปสเหยย,มจฺจ. ; จะอยูในอากาศ อยู่กลางสมทร เข้าไปสู่หลืบเขา ก็ไม่พ้นจาก มฤตยูได้ ประเทศคือดิน,แดนที่มฤตยูจะไม่รุกรานผู้อยู่ ไม่มี. ^ ขททกนกาย ธรรมบท ๘๗.ยถา วาริวโห ปโร วเหุ รุกเข ปกูลเซ เอวํ ชราย มรเฤเน วุยฺหนเต สพพปาณิโน. หุ้วงนํ้าที่เต็มฝัง พึงพัดตนไม้ซึ่งฺเก็ดที่ตลิ่งไปฉนใด สัตว์มี ชีวิตทั้งปวง ย่อมถูกความแก่และความตายพัดไปฉันนั้น. ขุ่ททกนิกาย ชาดก มหานิบาต ๑๖. วาจาวรรค คือ หมวดวาจา ๘๘. กลยาณิเมว มฌเจยูย นหิ มุฌเจยย ปาปีก่ - โมกโข กลยๆณิยา สาธุ มุตวา ,ตปปดิ ปาปีกํ. พึงเปลงวาจางามเทานั้น ไม่พึงเปล่งวาจาชั่วเลย การเปล่งวาจา งามยังประโยชใ3ไห้สำเร็จ คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน. ขุททกนิกาย. ชาดก เอกนิบาต ๘๙. ตเมว วาจํ ภาเสยย ยายตตานํ น ตาปฺเย ปเร จ น วิหึเสยฺย .สา เว วาจา สูภาสิตา, บุคคลพึงกล่าวฺวาจาที่ไม่เป็นเหตุยังตนให้เดือ่ดร้อน และไม่เป็น เหตุเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นแล เป็นสุภาษิต. . ขุททกนิกาย สูตตนิบาต ๖G<๖

www.kalyanamitra.org ๙๐. ^าสิเวุลํ ปภาเสยฺย น ตุณหี สพฺพทา สยา อวิกิณุณํ มิตํ. วาจํ ปุตุเต, กาเล อุทีริเย. , .ไมควรพูดจmกินฺกาล 4มควรนิ่งเสมอไป เมื่อถึงเวลา ก็ควรพูด พอปรรมาฌ่, ไม่ใ^!!!อ; r ; '. ขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาด ๙^ปียวาจเมว ภาเสยย ยุา :วาจา ปฏินนทฺดา ย อมาทายฺ ปฺาปานิ ปเรสํ . ภาสเด ปีย. :I : คจุร่กล่าววาจาที่นารักอันผู้ฟ้งยินิดเท่านั้น เพราะคนดีไม่นิาพา คำ ชั๋วของผู้อื่นแล้ว กล่าวแต่คำไพเราะ.'; s ;,. ขุ่ททกนิกาย สตดนิบาด ๙๒. ยฌหิ กยิรา ฅฌห วเท ยํ น ภยิรา นตํ .วเท . อกโรนตํ ภาสมานิ . .ปริชานนิติ .ปณฑิดา. •มคคลคำสิ่ง่ใด :ควรพูดสิ่ง\"] •ไม่ทำสิ่ง่!ด: ไม่ควรพูดสิ่งาm ารัณฑิดย่อมกำหนดรู้คนที่ไม่ทำ ไดแต่พูด.- .. . ;: i t ขุททกนิกาย เถรคาถา ๑๗. วริยวรรค คือ หมวดความเพียร : - ๙๓.อปุปเกนปี เมธาวี . ปาภชุ่)น วีจกขโณ . สมุฎจาฟติ ;อดตานิ • อณํ อ่คฺคืว สมธมํ. V ผู้มีปี'ญญาเฉลียวฉลาด. ย่อมดั้งดนได้ด้วย่ตินทุนแม้น้อย เหมือนคนกํอไฟน้อยขึ้นฉะ'นั้น. ,. r .\" 'ขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต

www.kalyanamitra.org ๙๔.อโม# ทิวสํ กร่รา อปฺเปน พทุเกน วา ยยํ วิวหเต รตติ ตทูนนุตสฺส ซีวิตํ. ควรทำวินคืนไมใหเปลาจากประโยชน์น้อยหรือม่าก เพราะ วิ'นคืนผ่านบุคคลใดไป ซีวิตของบุคคลนั้น ย่อมพร่องจากประโยชน์นั้น. ขุททกนิกาย เถรคากา ๙๔. อุฎจาตา กม่มเธย.เยสุ อป.ปมตุโต วิธานวา สม กป.เปติ ซีวิตํ สม.ภตํ อนุรฤขติ. ผู้ขยันในหน้าพี่รงาน ไฝประมาท เข้าใจจัดการ เลี้ยงซีวิดพอ สมควร จึงรักษาทวิพยที่หามาได้. ยังคุตดรนิก่าย ยัฏฐกนิบาต . ๙๖.โย จ วสฺสสตํ ซีเว กุลีโต หีนวีวิโย เอกาหํ ซีวิตํ เสยฺโย วิวิยํ อารภโต ทฬฺหํ. ผู้เกียจคร้าน มีความเพียรเลว พีงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี ส่วนผู้ ปรารภความเพียรมั่นคง มีซีวิตอยู่เพียงรันเดียว กีประเสวิฐกว่า. _^ ชุททกนกาย ธรรมบท ๑๘. สัทธาวรรค คือ หมวดศรัทธก ๙๗.เอโกปี สทฺโธ เมธาวี อสฺสท.ธา^^ จ ฌ้าตินิ ธม.มฎโจ ลีลส่ม.ปนุโน โหติ อต.ถาย พ่นุธุนิ ผู้มีศ่วิทธา มีป๋'ญญา ตั้งในธรรม ถึงพร้อมด้วยคืล แม้คน เดียว ย่อมเป็นประโยชน์แก่ญาติและพวกพ้องผู้ไม่มีศวิทธา. ขททกนิกาย เถรคาถา ๒๖/๓๐๖ ๖๔0»

www.kalyanamitra.org ; - ๙pis สีเลน สมปนฺโน ยโสโภคสม!!ป็โต ยํ ยํ ปเทสํ ภชุติ - คฺตฺถ ตตฺเถว ปขิโต. ; ผู้มีศสิาธา ประกอบด้วยศีล เพียบพร้อมด้วยยศและโกคะ จะ ไปสู่ถิ่นใด ๆ ก็มีคนบูชาในถิ่นนั้น ๆ. ขฑทกนิกาย ธรรมบท ๙๙. เยฺ นํ ททนฺติ สทราย วฺป^ปสนเนน เจตสา ตเมว อนฺนํ ภชติ อสมึ โลเก ปรมฺนิ จ. คนไดมโจผ่องไส ไหขาวด้วยศสิารา คนนนย่อมใดขาว .ทง ไนโลกนี้ ทงไนโลกหน้าเหมือนก้น. สังยุต่ดนิกาย สคาถวรรค ๑๙. สิลวรรค ด้อ หมวดศีล ๑๐๐.£ลท สีล ปติฎจา จ กลุย่าณานฌฺจ่ มาตุกํ ปมุขํ สพพรมมานํ ดสุมา สีลํ วิโสรเย. ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องด้น เป็นมารดาของกัลยาณรรรมทั้งหลาย เป็นประมขของรรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น ควรชำระศีลไห้บริสุทธิ้. . ชุททกนิกาย เถรคาถา ๑๐๑.กวถเณฌจ อก#ฌจ ทุสุสีโล เ ลภเด นโร วณฺณํ กิตติ ปสํสฌจ สทา ลภติ สีลวา. คนผู้ทุศีลย่อมได้ร้บความติเตียนและความเสียชื่อเสียง ส่วนผู้มื ศีล ย่อมได้ร้บชื่อเสียง'และความยกย่องสรรเสริญทุกเมึ๋อ. ขุททกนิกาย เถรคาถา ๑๐๒. อิเรว กิตติ ลภติ เปจจ ส่คฺเค จ สุมโน สพฺพตุถ สุมโน่ ธีโร สีเลสุ สุสมานิโด. ๖๙๙