www.kalyanamitra.org พดยสะดวก ห่รือ^ห้บรรลุผลสำเร็จตุๆมที่ตนปรารถนา มี ๙ อย่าง ๑. ขันธมาร มารคือฒฌจขันธ์ หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อํเกิดขึ้นมาแล้วต้องดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นรังแห่ง!รด เมื่อหวิก็ต้องกิน เมื่อกระหายกิต้องฺดื่ม ขันธ์ทั้ง ๔ นี้ย่อมดกอยู่ในกฎแห่งไตรสักษณ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา ไม่ยั่งยืน ๒.กิเลสมารมารคือกิเลสหมายถึง มารัทั้งที่เป็นกิเลสกาม และวัตถุกาม ที่จัดเป็นมารเพราะเมื่อถูกกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำแล้วจะทำไหสัตว์ไต้รับความเดือดร้อน ความสุมหลง ไม่รู้จริงทั้งในป๋จจุบันและในอนาคต ๓. อกิสังุขๆรมาร มารคืออกิสังขาร หมายถึง บาปปรุงแต่ง หรือส่งผลให้เป็นความทุกข์ในบัจจุบันและอนาคต ๔. ม้จจุมาร มารคือมรณะ หมายถึง ความตายทำให้หมด โอกาสทำความดืต่อไป เพราะความตายไม่มีนิมิตหมายเราจะตายเมื่อ ไหร่ไม่รู้ ๔. เฑวปุดตมาร มำ รคือเทวบุดร หมายถึง เทพผู้เป็นมาร ราชาธิราชที่ปกครองแดนมารอยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดื คอฺย ขัดขวางไม่ให้มีโอกาสทำความดื วิญญาณ๔ วิญญาณทางดา ๑. จักขุวิญญาณ วิญญาณทางหู ๒.โสดวิญญาณ วิญญาณทางจมก ๓. ฆานวิญญาณ ๕๕๐
www.kalyanamitra.org ๔.รวหาวิญ์ญาณ วิญญาณทางลิ้น ๔.กายวิญญาณ วิญํญาณทางทาย วิญญาณ แปลว่า ความเวิเศษ'เป็นความรู้อารมณ์ต่าง ๆ ท่าน เรียกกระจายออกไปตามประสาทสัมผัสที่รบรู้อารมณ์ มี ๔ อย่าง ๑. เมื่อเห็นรูปด้วยตา เกิตความรู้นั้นmเมา เรียกว่า จักขุ วิญญาณมีความรู้ทางตา ๒. เมื่อได้ยินเสียงด้วยหู เกิดความรู้ว่าเสียงนั้นเสียงนี้ขึ้นมา เรียกว่า โส์ตวิญญาณ ความรู้ทางหู ๓. เมื่อสูดดมกลิ่น จะเป็นกลิ่นหอม กลิ่นเหมีนก็ตาม ก็รู้ กลิ่นนั้นทางประสาทสัมผัสทางจมูก เรียกว่า ฆานวิญญาณ ความรู้ ทางจมูก ๔. เมื่อลิ้นได้สัมผัสกับรสเปรี้ยว หวาน มน เค็ม อย่างใด อย่างหนึ่งเข้าก็เกิดความรู้ว่าสิ่งนั้นเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ ความรู้ทางลิ้น ๔. เมื่อ่กายไปกระทบกับความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ต่าง ๆ เข้าก็เกิดความรู้ขึ้นมาว่าสิ่งนั้นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นด้น เรียก ว่า ก่ายวิญญาณ คือความรู้ทางกาย ความรู้ที่ผ่านมาทางประสาทสัมผัสทั้งหมดนี้ ลูกบนทึกไว้ใน จิดที่เรียกว่า ความจำ อารมณ์ที่อย่ภา.ยในจิต และความรู้อารมณ์ใน ขณะนั้น เรียกว่า มโนวิญญาณ คือ ความรู้ทางใจ วิมุตติ ๔ ๑. ตกังควิมุตติ พ้นชั่วคราว ๒..วิขมภนวิมตติ พ้นด้วยการสะกดไว้ ๔๔๑
www.kalyanamitra.org ๓. สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยเด็ดขาด ๔.ปฏิป็สสัทรวิมุดติ พ้นด้วยสงบ ๙. นิสสรณวิมุดติ พ้นด้วยออกไป วิมุดติ แปลว่า ความหลดพ้น คือหลดพ้นจากกิเลส มี ๔ อย่าง ๑. ดทังควิมุดติ การทำจิตของตนให้หลุดพ้นจากอำนาจของ กิเลสได้ชั่วคราว เช่น มีเรื่องชวนให้โกรธแต่พิจารณาเห็นโทษของ ความโกรธการทะเลาะ วิวาทกันแล้ว ห้ามใจไม่ทำอะไรตามอำนาจ ของความโกรธที่เกิตขึ้น เป็นต้น ๒.วิกฃัมภนวิมุตติ ความหลุดพ้นต้วยการช่มกิเลสไว้ต้วยกำลัง ฌาน สำ หรับท่านผู้บำเพ็ญกรรมฐาน คือสมถกรรมฐานจนบรรลุฌาน แล้ว องคของฌานจะช่มทับนิวรณ์ ๕ ประการฺเอาไว้อยู่นานตราบ เท่าที่ฌานยงไม่เสื่อม ๓. สมุจเฉทวิมุตติ ความหลุดพ้นต้วยการตัดกิเลสไต้เด็ดขาด ไม่กำเริบอีกต่อไป เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา .กิเลสที่ละ แล้วนั้นไม่กลับมีอิทธิพลเหนือจิตใจของท่านเหล่านั้นอีก ไม่ว่าจะอยู่ ในสภาพแวดล้อมใดกิตาม ๔.ปฏิป๋'สลัทธิวิมุตติ หลุดพ้นต้วยการสงบระงับ คือกิเลสที่ สงบระงับไปแล้วไม่ต้องขวนขวายเพื่อจะละกิเลสต่อํไปอีก เพราะไม่ มีกิเลสที่จะต้องละ ท่านแสดงลักษณะวิมุตติไว้ว่า \"ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ไต้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำไต้ทำเสร็จแล้วกิจอื่นในทำนอง เดียวกันไม่มีอีกต่อไป\" ๔. นิสสรณวิมุตติ พ้นต้วยออกไป เป็นของพระอริยบุคคุลที่
www.kalyanamitra.org ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ดำ รงอยู่ในความสุขเกิดจากพระนิพพาน อันเป็นความสุขอย่างยิ่ง ความหลุดพ้นนี้เป็นความหลุดพ้นทีถาวร ดำ รง่อย่ตลอดกาลนานได้แก่นิพพานสฃนั่นเอ่ง เวท่นา ๔ ๑. สุข ความรู้เกสบายคๅย ๒. ทุกข์ ความรู้สิกไฝสบายกาย ๓.โสมนัส ความรู้เกสบายไจ ๔.โทมนัส ความรู้เกไม่สบายใจ ๔. อุเบกขา ความรู้เกเฉย ๆ เวทนา หมายถึง ความ^รู้อารมณ์หรือความ^กทีมากระทบ เข้า มี ๔ ประการ ๑. สุข คือ ความรู้สึกสบายกาย เพราะมีร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีโรคต่าง ๆ ทางกายมาเบียดเบียน ๒. ทุกข์ คือ ความรู้สึกไม่สบายกาย เพราะมีร่างกายทีไม่ แข็งแรง ออนแอ มีโรคภัย่ที่เกิดขึ้นัทางก่ายเข้ามาเบียดเบียน ๓.โสมนัส คือ ความรู้สึกสบายใจ เพราะได้ประสบอับอารมณ์ ที่ชอบ ที่ถูกใจ ไม่มีเรื่องราวใด ๆที่เป็นความร้อนใจมารบกวน ๔. โทมนัส คือ ค่วามรู้สึกไม่สบายใจ เพราะได้ประสบอับ อารมณ์ที่ไม่น่าชอบใจ มีแต่เรื่องเดือดเนี้อร้อนใจอยู่เนือง ๆ ๔. อุเบกขา ดือ ความรู้สึกเฉย ๆ■เป็นความรู้สึกทางใจทีไม่ แสดงอาการดีใจหรือเสียใจ มีความรู้สึกเฉย ๆ อับอารมณ์ที่เข้ามา กระทบ ๔ร:๓
www.kalyanamitra.org สังฺวร ๔ ๑.สีลสังวร สำ รวมรร?ว้งในศีล ๒. สติสังวร สำ รวมระวังด้วยสติ ๓. ญาณสังวร สำ รวมระวังด้วยญาณ ๔. ขันติสัง่วร สำ รวมระวังด้วยขันติ ๔. วิริยสังวร สำ รวมระวังด้วยความเพียร สังวร หมายถึง ความสำรวมระวังมึให้บาปอกุศลเกิดฃี้นใน .สันดาน พยายามละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว จำ แนกเป็น ๔ ประ๓ท คือ ๑. สิลสังวร สำ รวมระวังในศีล ได้แก่การรักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อยปราศจากโทษ ขึ้งเป็นเหตุทำใจมิให้หวาดหวั่น ที่งเป็นเหตุ ให้สำรวมระวังด้วยกาย วาจา เป็นอุยางดี มิให้ศีลขาด ๒. สติสังวร สำ รวมระวังด้วยสติ คือ เป็นผู้มิสติมิได้พี'นเหืเอน หลงลืม ไม่ประมาทแล้วทำกรรมชั่วหยาบ จึงเห็นเหตุให้สำรวมทาง กาย วาจา และใจโดยตรง จฺะพูดจะคิดอะไรต้องอาศัยสติระลืกถึง การกรฬฺาเหล่านั้น. ๓. ญาณสังวร สำ รวมระวังด้วยญาณ ได้แก่ เป็นผู้รู้จัก เหตุผล รู้จักใช้ป๋'ญญาพิจารณาให้เกิดความรู้เท่าทัน เพื่อมิให้ใจตก ไปฺสู่อำนาจของอารมณ์ต่าง ๆ มิรูปเป็นด้น ๔. ขันติสังวร สำ รวมระวังด้วยขันติ คือ การรักษาปกติภาพ ของตนไว้ในเมื่อถูกกระทบด้วยสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ๔. วิริยสังวร สำ รวมระวังด้วยความเพียร คือมิความเพียร d:Sr<zr
www.kalyanamitra.org ชอบในการงาน เมื่อจิตคิดท้อแท้ตอกิจการก็ใช้ความบากบันฟ็นแรง หนุนโท้กิจการนั้นสำเร็จได้ พยายามทำงานอย่างไม่ลดละและต่อเนื่อง IP จนประสบความสำเร็จ สุทธาวาส ๔ ๑. อวิหา ๒. อดัปปา ๓. สุทสสา ๔. สบัสสิ ๕; อกนิฎรูา สุทธาวาส ๔ ที่มีชื่ออย่างนี้ เพราะป็นที่เกิดแห่งพระอนาคา มี และเป็นที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต ทั้งเป็นทีนิพพานของท่าน ด้วย เพราะพระอนาคามีไม่มาสู่มนุษย์โลกนี้อีก \"อนาคามี\" แปลว่า ผู้ไม่มาสู่โลกนี้อีกต่อไป สำ หรับห่านที่ เป็นพระอนาคามี ถือว่าเป็นผู้ที่บริสุทธิ้หมดจดเป็นพิเศษ ไม่มีกิเลส เป็นเหตุให้กระทำความผิดทางกาย ทางวาจา เพียงแต่ว่ายงละไม่ หมดสิ้นเหมือนพระอรหันต์เห่านั้น ดังนั้นเมื่อห่านตายไปแล้ว ก็เกิด ในพรหมโลกทั้ง ๔ ชั้น ถ้าจะตั้งบัญหาถามว่า อะไรเป็นเหตุแบ่งให้ พระอนาคามีเกิดในสุทธาวาสแตกต่างดัน ช้อนี้ขอเฉลยว่า สิ่งที่ทำ ให้พระอนาคามียังเกิดในพรหมโลกสูงตํ่าไม่เห่าดันนั้น เพราะความ แก่อ่อนแห่งอินทรีย์ของแต่ละห่านเป็นดัวจำแนกออ้กให้ห่านบังเกิดใน พรหมโลกในชั้นที่แตกต่างดัน ๕:๕๕
www.kalyanamitra.org พระอนาคามี ๔ ๑. อันตราปรินิพพายี ท่านผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุ อังไฝอันสิงกึ่ง ๒.อุ่ปอัจจปรินิพพายี ท่านผู้จะปรินิพพานต่อเมื่ออายุพ้นกึ่ง แล้วจวนสิงที่สุด ๓. สอังฃารปรินิพพายี ท่านผู้จะปรินิพพานด้วยต้องใช้ความ เพียร เรี่ยวแรง ๔. ออังฃารปรินิพพายี ท่านผู้จะปรินิพพานด้วยไฝต้องใช้ ความเพียรแก ๔. อุทธังโสโดอกนิฏฐคามี ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไปต่อก- นิฏฐภพ อนาคามี แปลว่า ผู้ไฝมาต่กามภพ คือ มนษอั!ลกนี้ ได้แก่ พระอริยเจ้าที่บังเกิดในพรหมโลก ๔ ชัน้ คือ อริหา อตัปปา สุอัสฺสา สุอัสสี อกนิฏฐา เพราะเป็นภพที่อยู่ของพระอนาคามี ๔ จำ พวก คือ ๑. อันดราปรินิพพายี ได้แก่ ท่านที่เกิดในพรหมโลกชั้น สุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง แล้วเจริญริบัสสุนากรรมฐาน จนบรรลุเป็น พระอรหันต์และนิพพานภายในอฺายุครึ่งแรกในพรหมโลกที่ท่านอุบด ๒. อุปหัจจปรินิพพายี ได้แก่ ท่านที่เกิดในmiสุทธาวาสซ้นใด 'ฒั้หนึ่ง แล้วเจริญริบัสสนากรรมฐาน จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ และ นิพพานเมื่ออายุเลยกึ่ง คืออยู่ในช่วงครึ่งหลังในพรหมโลกที่ท่านอุบต นั้น ๓. สอังขารปรินิพ.พายี คือ ได้แก่ท่านที่เทดในชั้นสุทธาวาส drarb
www.kalyanamitra.org ชั้นใดชั้นหนึ่งแลวเจริญวิฟ้สลนากรริมฐาน โด่ยใช้ความเพียรพยายาม อย่างมากจึงสามารถบรรลุเป็นพระอริหนต และปรินิพพานในภพที ท่านอุบต ๔. อส์งขารปรินิพพายี ได้แก่ท่านที่เกิดในชั้นลุหธาววสชั้น ใดชั้นหนึ่งแล้วเจริญริป๋สสนากรรมฐาน จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ โดยไม่ด้องใช้ความเพียรมากนก และนิพพานไปโดยสะดวกในภพที่ ท่านอุบตนั้น ๔. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ได้แก่ ท่านที่เคลื่อนจากภพที่ เป็นมนุษย์ เทวดา และพรหมอื่น ๆแล้ว บังเกิดในพรหมโลกชั้น ลุทฺธาวาส คือ ชั้นอริหาเป็น&นดบแรกแล้วจึงจุติและอุบฅในชั้น ลุทธาวฺาสไปตามลำดับจนถึงชั้นอกนิฏฐภพ จึงปรินิพพาน โดยไฝ เลื่อนกลับมาสู่ภพดรกว่านั้นอีกเลย บัญหาและเฉลยธรรมริภาค หมวด ๔ ๑. อนุปุพพีกถา หมายถึงอะไร มีเท่าไร บอกมาให้ครบ? ตอบ หมายถึง เทศนาที่แสดงไปโดยลำดับเพื่อฟอกอัธยาศัยของ เวไนยลัตว์ให้หมดจดเป็นชั้นๆไปมี ๔ คือ ทานกถา กล่าวถึงทาน สืลกถา กล่าวถึงศีล ลัคคกถา กล่าวถึงสวรรต์ กามาทีนวกถา กล่าวถึงโทษแห่งกาม เนกขัมมานิลังสกถา กล่าวถึงอานิสงส์แห่งการออกไปจากกาม ๕๕^
www.kalyanamitra.org ๒.ขอทราบว่าจักษุ๔ไรนคุณสมฟ้®ของพระผู้มีภาคเจ้าอย่างไร? ตอบ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทอดพระเนตรเห็น แจ่มใส เห็นได้ไกล เห็นได้ไวด้วยมังสะจักษุ ย่อมทรงเล็ง เห็นหมูสิตว์ผู้เปีนต่าง ๆ กันด้วยอำนาจกรรม ด้วยทิพยจักษุ ย่อม ทรงพิจารณาเห็นไญยธรรม มีอริยสัจเปีนอาทิ ด้วยกัญญาจักษุ ย่อมพิจารณาเห็นอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ ด้วยพุทธจักษุ ย่อม ทรงทราบธรรมทั้งปวง ด้วยสมันตจักษุ คือพระสัพฟ้ญฌุตญาณ ๓.ปีติข้อที่ ๔ มีอธิบายว่าอย่างไร? ตอบ ปีติข้อที่ ๔ คือ อุพเพงคาปีติ ทำ ไห้ใจทุ[นำให้ทิาการอื่น เว้นจากเจตนา เช่น เปล่งคำอุทานเปีนด้น บางทีทำให้กายลอย ไปหรือโลดขึ้นก็มี เช่นปีติที่เกิดขึ้นแก่พระวักกสิได้พิงคำสั่งสอน ของพระบรมศาสดา ๔. มัจฉริยะมีเท่าไร อะไรบ้าง ? ตอบ มัจฉริยะมี ๔ ประการคือ - ๑.อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี่ที่อยู่ ๒. กุลมัจฉริยะ ตระหนี่สกุล ๓. ลาภมัจฉริยะ ตระหนี่ลาภ ๔. วัณณมัจฉริยะ ตระหนี่วรรณะ ๔. ธัมม่มัจฉริยะ ตระหนี่ธรรมะ ๔. ตระหนี่ธรรม หมายความว่าอย่างไร? ตอบ ตระหนี่ธรรุม หมายถึงการหวงธรรม หวงคืลปวิทยาไม่ ปรารถนาจะแสดงหรือปอกแก่ผู้อื่น เกรงว่าเขาจะรู้เท่าตน ๕๕:(ร
www.kalyanamitra.org ๖.มารมีอะไรบ้า*งอกุศลกรรมจัดเป็นมารประ๓ทใด? ดอบ มีดังนี้ ๑. ขันธมาร มารคือบ้ญจขันธ ๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๓, อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร ๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ ๔. เทวปุดตมาร มารคือเทวบุตร อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมาร ๗. มาร คืออะไร เฉพาะอภิสังขารมาร หมายสิงอะไร? ตอบ คือ. สิงที่ล้างผลาญทำลฺายความดี ขักนำให้ทำบาปกรรม ปีดกั้นไฝให้ทำความดี จนสิงปีดกั้นไมให้เข้าใจสรรพสิงตาม ความเป็นจริง หมายสิง อกุศลกรรม ๘. เพราะเหตุใดบ้ญจขันธ์ร่อว่ามาร? ตอบ บ้ญจขันธ์ ได้ร่อว่ามาร เพราะบางทีทำความลำบากให้อัน เป็นเหตุเบื่อหน่าย จนสิงฆ่าดัวตายเสียเองก็มี ๙.ในมาร ๔ มารอะไร ลำ ดัฌที่สุด เพราะเหตุไร? ตอบ กิเลสมารสำคัญที่สุด เพราะตกอยู่ในอำนาจของมันแล้ว มันย่อมผูกรัดไว้บ้าง ย่อมทำให้เสียคนบ้าง เมื่อกิเลสมารไม่มี แล้วมารอื่น ๆ กิไม่เป็นมารสำหรับผู้มีกิเลส ๑๐. มัจจุม่ารได้แก่อะไร ได้ร่อว่าเป็าเมารเพราะเหตุไร? ตอบ ได้แก่ความตาย ร่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสที่จะ ทำ ประโยชนํ1ต .ๆ อีกต่อไป ๕๕๙
www.kalyanamitra.org ๑๑.ในวิมุตติ ๙ วมุ่ด่ดิอย่างไหนร่นโลกิยะ อย่างไฟนร่นโลกุด่ตระ? ตอบ ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยวิมุตติ ส่วน สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิป๋'สลัทธิวิมุตติ และนส่สรณวิมุตติ จัดเป็น โลกุตรวิมุตติ ๑๒.เวyเนา ๓ และเวทนา ๔ไดแก่อะไรบาง จัดกลุ่มเทียบทันอย่างไร? ตอบ เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข เวทนา ๔ ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข โทม่นัส อุเบกขา ในเวทนา ๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็ คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส ในเวทนา ๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ - ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกขฺ1จก็คือ โทมนัส ส่วนในเวทนา ๓ เฉฺย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง่ ๑๓.ลังวรหมายถึงอะไรมีเท่าไรอะไรบฺาง ? ตอบความสำรวมระวังมีให้บาปอกุศลเกิดขึ้นในลันดานพยายาม ละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วมีให้เสื่อมมี ๕ คือ ๑. สีลลังวร สำ รวมด้ว่ยศีล ๒. สติลังวร •สำรวมด้วยสติ. ๓. ญาณลังวร่ สำ รวมด้วยญาณ ๔. ขันติลังวร สำ รวมด้วยขันติ ๔. วิริยลังวร สำ รวมด้วยความเพียร ๑๔. สุทธว่าสมีกี่ชั้น อะไรบ้าง เป็นที่เกิดของใคร ? ตอบ สุทธาว่าสมี ๔ ชั้นคือ ๑. อวิหา ๒ .อตัปปา ๔๖๐
www.kalyanamitra.org ๓. สุทสสา ๔. สทสสี ๔. อกพิฏ่ฐา เรนที่เกิดุของพระอนฺาตาฝ็
www.kalyanamitra.org ฉักกะ คือหมวด ๖ อภิญญา ๖ ๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ้ได้ ๒. ทิพพโสต หูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนตใจผู้อื่น ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๔. ทิพพจักขุ ตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สินไป อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง รู้ชัต ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจาก ■การบำเพ็ญทางจึต มี ๖ อย่าง ๑. อิทธิวิธี ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ้ต่าง ๆ ได้ หมายถึง ความรู้ความสามารถที่จะเหาะเหินเด้นอากาศได้ เดินบนนํ้าและแทรก ลงไปในดินได้ ๒. ทิพพโสต ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์ ห์มายถึง สามารถจะฟัง เสียงที่อยู่ห่างไกลได้เมื่อกำหนดจะฟัง ซึ่งสามัญชนไม่สามารถจะ ได้ยินเสียงนั้นได้ ร:๖๒
www.kalyanamitra.org ๓.; เจโตปริยญาณ, ญาณที่ทำให้กํๆหฺนดใจคนฺอื่นได้ หมายถึง กำ หนดรู้จิตใจของบุคคลอื่นว่าคิดอย่างไร เป็นกุศลหรืออกุศลกำหนดรู้ รายละเอียดภายในจิตใจของบุคคลอื่นทุกระด้บฺชั้น ๔.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณทำให้ระลึกชาติได้ หมายถึง สามารถระลึกถึงชาติหฺนุหฺลังตาง ๆ ได้ ระลึกถึงว่า ตนเองในอดีตที ผ่านมามีรูปรืาง หน้าตา เป็นอย่างไร มีความเป็นอยู่ตลอดถึงทำ อาชีพเกี่ยวกับฺอะไรเป็นกุศลหรืออกุศล ๔. ทีพพจิ'กฃุ ญาณที่ทำให้มีตาทิพย์ หมายถึง สามารถ มองเห็นเหตุการณต่าง ๆ ที่เกิดในสถานที่แห่งหนึงและมองเห็นความ แตกต่างของสัตวทงหลายที่เป็นไ!(ตามกรรมทิตนเองทำไร้ ๖. อาสวกฃยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป หมายถึง เป็น ผลสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติกรรมฐานอย่างแห้จริงจนเกิดญาณ ความรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ อภิฐาน ๖ ๑. ม่าดุฆาต ฆ่ามารดาของตน ๒.ปีตุฆาต ฆ่าบัตาของตน ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔.โลห็ตุปบาท ทำ ร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยงพระโลหิตให้ห้อขึ้น ๔. สังฆ๓ท ยุยงสงฆ1ห้แตกกัน ๖. อัญญสัตถุทเทส ถือศาสดาอื่น อภิฐาน หมายถึง ฐานะอันยิ่งย่วด ฐานะอันหฟ้กและความ ผิตพลาตสถานหนัก มี ๖ อย่าง ๔๖๓
www.kalyanamitra.org ๑. มาตุฆาต ฆามารดาของตน หมายถึง บุคคลที่สามารถ ฆ่าม่ารดาของตน ที่ง่ถึอว่าเป็นผู้ให้ชีวิตและให้ทุกสิ่งทุกอย่างชื่อว่า เป็นการทำกรรมอันหนก คืออนันตริย่กรรม ห้ามสวรรค์ ห้าม นิพพาน มีทุคติเป็นที่หว้ง ๒.ป็ตุฆาต ฆ่าบิดา มีคำ อธิบายเซ่นเดียวอับข้อ ๑ ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันค์ หมายถึงคนที่ฆ่าพระอรหันค์ ผู้ซึ่งมีจิตใจบริสุทธจากอาสวะ ไมใต้คิดร้ายต่อบุคคลใดและเป็นที่นับถึอ ของคนทั่วไป ผู้ที่ฆ่าบุคคลเซ่นนี้ถึอว่า!!ากรรมอันหนักยิ่ง ๔.โลหิตุปบาท ทำ ร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงอังพระโลหิตให้ห้อ ขึ้น หมายถึงคนผู้ทำร้ายพระศาสดา ซึ่งถึอว่าเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่ง ใหญ่คือพระบิ'ญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ่และพระกรุณาคุณ จนถึง พระโลหิตให้ห้อขึ้นถึอว่าทำกรรมอันหนักยิ่ง ๔. สังฆเภท คือ ยุยงสงฆ์ให้แตกอัน หมายถึง ยุ่ยงให้สงฆ์ แยกจากอันเป็นพรรคเป็นพวกคือฝ่ายละ ๔ รูปขึ้นไป ไม่ให้ร่วมทำ สังฆกรรมต่างๆ ๖. อัฌญสัตถุทเทส ถึอศาสดาอื่น หมายถึงพระภิกษุสามเณร ทีหันเหไปนับถึอศาสนาอื่น แต่ตนเองอังถึอเพศบรรพชิตอยู่ ถึอว่า เป็นกรรมอันัหนักเหมีอนอัน จริต ๖ ๒. โทสจริต ๑. ราคจริต ๔. วิตักกจริต ๓. โมหจริต ๖. พทธิจ่ริต ๔. สัทธาจริต ๔๖(T
www.kalyanamitra.org จริต หมายถึง ความประพฤสิ อุปนิสัย พื้นเพของจิตใจ ที่แท้จริงที่ฝังแน่นสิตอยู่ในสันตาน มักแสดงออกมาให้เห็นอยู่เสมอ มี ๖ อย่าง ๑. ราคจริต หมายถึงคนที่มีราคะเป็นปกสิ คือ มีความ ประพฤสิหนักไปทางรักสวยรักงามสิตอยู่ในอารมณที่สวย ๆ งาม ๆ กัมมัฏฐานที่เหมาะแก่คนที่มีราคะเป็นปกติ ได้แก อสุภะกัม- มัฏฐาน ๑๐ และกายคตาสติ ๒. โทสจริต หมายถึง คนที่มีโทสจริตเป็นปกติ-คือ มักจะมี โทสะเกิตขึ้นเสมอ ใจจะร้อน หงุตหงิต มักแสตงออกเบาบ้าง รุนแรงบ้าง กัมมัฏฐานที่เหมาะแก่คนที่มีโทสจริตโมหะเป็นปกติ ได้แก่ พรหมวิหาร ๔ วัณณกสิณ ๔ ๓.โมหจริต หมายถึง คนที่มีโมหเป็นปกติ คือ เขลาไม่กล้า แสตงออก หลงงมงายในการเชื่อ:ข่าวลือ กัมมัฏฐานที่เหมาะแก่คนที่มีโมหจริตและวิตักกจริตเป็น ปกติ ได้แก่ พรหมวิหาร๔ วัณณกสิณ๔ , ๔. วิตกกจริต หมายถึง คนที่มีวิตกเป็นปกติ คือ มีความ คืต^^งซ่าน ชอ่บสร้างวิมานในอากาศ วิตกกังวลจนเกินเหตุ ๙. สัทธาจริต หมายถึง คนที่มีศรัทธาเป็นปกติ คือ มีจิตใจ พร้อมที่จะเชื่อ เลื่อมใส ในสิ่งที่ได้รนได้ฟัง กัมมัฏฐานที่เหมาะแก่คนที่มีสัทธาจริตเป็นปกติ ได้แก่ อนุส- สติ ๖ (พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สงฆ่านุสสติ ลืลานุสสติ จาคานุส- สติ เทวตานุสสติ) ร:๖๔
www.kalyanamitra.org ๖. พทธิจริต หมายถึง คนที่ฝ็ป๋ญญาเป็'M,ปกติ คือพฤติกรรม หนักไปในทางใ'รเหตุผล ใช้ความคิดพิจารณา กัมมัฏฐานที่เหมาะแก่คนที่มี'ตุทธิจริต ได้แก่ อุปสมา'แสสติ มรณา'แสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน ธรรมตุณ ๖ ๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโม ๒. สันทิฎเโท ๓. อกาลโก ๔. เอหิป้สสิโก ๔. โอปนยโก ๖. ป๋จจัตดัง เวทิดัพโพ วิฌฌฟ้ iy SI ธรรมคุณ หมายถึง คุณของพระธรรมซึ่งเป็นหสักเกณฑ์ บุ่งซึ่ร่า อะไรดี อะไรซั๋ว อะไรบญ อะไรบาป อะไรมีประโยชน์ อะไร ไฝมีประโยชน์ ถึอว่าเป็'แกฎแห่งความจริงเป็นสัจจธรรมที่มีคุณคา อยู่ในดัว มีคุณ ๖ อย่าง ๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโฆ คือ พระธรรมอันพระผู้มีพระ ภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว หมายถึง พระธรรมคำสั่งสอนที่พระอง่คตรัสไว้ อย่างถูกด้องฟ็นของจริง ยอมป็องกันผูปฏิป๋ติตามไม่ใ'พ้ต่กไปใน่ที่ ชั่ว ให้ผลตามสมควรแก่ผู้ปฏิบติ ๓ ระดับ ด้วยความไพเราะ'ทั้ง เบื้องด้นด้วยศีล ห่ามกลางด้วยสมาธิ และที่สดด้วยมัญญา ๒. สันทิฏเโก คือ อันผู้บรรลุพึงเห็นเอง หมายถึง ผู้ที่ได้ &๖๖
www.kalyanamitra.org ปฏิบตตามเมื่อได้บรรลุแล้วย่อมเห็นประจักษด้วยใจของตนเอง ไม่ ต้องเชื่อคำของผู้อื่น สามารถพิสูจน!ด้ด้วยตนเอง สำ หรับผู้ที่ไม่ได้ ปฏิบตถึงแม้ว่าจะมีคนมาบอกก็ยังเห็นตาม - ๓. อกาลิโก คือ ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่จำกัดด้วยการ เวลา หมายถึง ผู้ปฏิบตสามารถจะเห็นจริงได้ทุกเวลา ไม่จำเป็น ต้องรอว่าชาติไหนจึงจะได้ปฏบติเมื่อใตก็ได้เมื่อนั้น . ๔^ เอหิป็สสิโก คือ ควรเรียกให้มาดู หมายถึง กล้าห้าทาย ให้คนที่ยังไม่เลื่อมใสมาพิสูจน!ด้ ให้มาตรวจสอบได้ เพราะธรรมนี้ เป็นของจริง ดีจริง ไม่ว่าจะด้านนามธรรม (มรรค ผล) รูปธรรม (วิทยาศาสตร) ,๕;โอปนยิโก คือ น้อมเข้ามาในตัว หมายถึง ควรนี้อมเข้า มาในใจด้วยการปฏิบ้ติตามเพื่อให้มรรค ผล เกิดขึ้นในตน จนได้ บรรลุถึงเป็าหมายสูงสุตคือ พระนิพพาน ๖. ป๋'จจัด่ตัง เวทิตัพโพ วิญ่ฉุเห้ คือ อันวิญฌูซนพึงรู้ได้ เฉพาะตน หมายถึง นักปราชญผู้บรรลุแล้ว ย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เห็นประจักษแก่ตน คนฺอื่นจะรู้ด้วยไม่ได้ คุณของพระธรรมนี้ ย่อมรักษาผู้ปฏิบติตามไม่ให้ตกไปในที่ ชั่วทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ปียรูป - สาดรูป หมวดละหก ๑๐ หมวด ปียรูป คือ ลื่งที่น่าริก สาดรูป คือลื่งที่น่าชื่นใจ มี ๑๐ หมวด แปงเป็นหมวดละ ๖ ตังนี้ ๑. จักขุ โสต ฆานะ ชิวหา กาย มโน(วัตถุ ๖) &๖๙
www.kalyanamitra.org ๒.รูป เสิย่ง กลิ่น รส โผฎเพพะ ธรรมารมณ์(อารมณ์ ๖) ๓. จักขวิญญาณ โสดวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิรหาวิญญาณ •กายวิญญาณ มโนวิญญาณ(วิญญาณ ๖) ๔. จักขุสัมผัส โสดสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส (สัมผัส ๖) ๔. จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสดสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสส รทเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสส- ชาเวทนา(เวทนา ๖) ๖. รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฎ^พ- สัญญา ธัมมสัญญา(สัญญา ๖) ๗. รูปสัญเจดนา สัททสัญเจดนา คันธสัญเจดนา รสสัญเจดนา โผฏเพพสัญเจดนา ธัมมสัญเจดนา(เจดนา ๖) ๘. รูปคัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏเพพ ลณหา ธัมมตัณหา(ตัณหา ๖) ๙. รูปวิดก สัททวิดก คันธวิดก รสวิดก โผฏเพพวิดก ธัมมวิดก(วิตก ๖) ๑๐. รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏเพพวิจาร ธัมมวิจาร(วิจาร ๖) หมวดที่ ๑ คือ อายดนะภายใน ๖ ได้แก่ ตา 'ถู จมก ลิ้น กาย ใจ หมวดที่ ๒ คือ อายดนะภายนอก ๖ ได้แก่ รูป เสียง. กลิ่น รส โผฏฐพพะ ธรรมารมณ์
www.kalyanamitra.org หมวดที่ ๓ คือ วิญญาณ ความรู้สิกที่ต้องอิงอาศัยอายตนะ ภายในที่สามารถ๓ดฃึ้นไต้นั้น เพราะอาศัยอ่ายตนะทั้ง ๒ ประเภท พร้อมกันเข้า หมวดที่ ๔ คือ สัมผัส การอิงอาศัย่อายตนะภายใน สาเหฺตุ ที่เกิดเพราะการประจวบกันเข้าแหงอายตนะทั้ง ๒ ประเภทนั้นกับ วิญญาณ หมวดที่ ๕ คือ เวทนา การเสวยอารมณ์ มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ หรืออาจจะไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลยก็ไต้ เหตุที่เกิดเพราะอาศัยสัมผัส. หมวดที่ ๖ คือ สัญญา การกำหนดร้อิงอาศัยอายตนะภายนอก เหตุที่เกิดเพราะเกิดในลำดับแห่งเวทนา หมวดที่ ๗ คือ สัญเจตนา ความคิดอ่านที่อิงอาศัยอายดนะ ภายนอกเหตุที่เกิดเพราะเกิดในลำดับสัญญา หมวดที่ ๘ คือ ดัณหา การอิงอาศัยอายตนะภายนอก เหตุ เกิดในลำดับ!เห่งสัญเจตนา หมวดที่ ๙ คือ วิตก ความตรืที่อาศัยอายตนะภายนอก เกิด ในลำดับแห่งดัณหา หมวดที่ ๑๐ คือ วิจาร ความดรองที่อิงอาศัยอายตนะภายนอก เหตุเกิดขึ้นลำดับแห่งวิตก สวรรค์ ๖ ชั้น สวรรค์ คือ โลกที่สวยงามของเทวดาผูมีความสุขมี ๖ พั้ ๑. ชั้นจาตุมฺหาราข้กา ๒. ชั้นดาวดึงส์ ร:๖๙
www.kalyanamitra.org ๓. พั้ยามา ๔.ชั้นดุสิต ๔. ชั้นนิมมานรดี ๖. ชั้นปร่นิมมตวสวัตดี ๑. จาดุมหาราชิกา เป็นชั้นที่ตํ่าที่สุดในบรรดาสวรรค์ ๖ ชั้นนั้น ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้ง ๔.องค์ เป็นผู้ดูแลและปกครองคือ - ท้าวธตรฐ รับผิดชอบดูแลในทิศบูรพา(ดะวันออก) - ท้าววิรุฬหก รับผิดชอบดูแลในทิศทักษิณ(ใต้) - ท้าววิรูทักษิ รับผิดชอบดูแลในทิศทัจฉิม(ตะวันตก) - ท้าวกุเวร รับผิดชอบดูแลในทิศอุดร(เหนิอ) ๒. พั้เตาวดีงส์ เป็นที่อยู่ของท้าวสักกเทวราช'คือพระอินทร์ กับเทพผู้จรมาเกิดขึ้น ณ ที่นั้น ๓๓ องค์ ในสวรรค์ชั้นนี้ ไม่มีพวก สัตร์ดิรัจฉาน แต่จะมีพฺวกเทวดากับพวกอสูร ส่วนใหญ่จะต่อเทำ สงครามกันตลอดระหว่างเทวดากับอสูร ผลที่สุดพวกอสูรก็แพ้สงคราม ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ชั้แนี้ท้าวสักกเทวราชจึงไต้สถาปนาดนเองขึ้น ปกครองดลอดไป -๓. ชั้แยามา เป็นที่อยู่ของท้าวสุยามและเป็นผู้ปกครอง ชั้น นี้อยู่แต่ยังไม่พบหสักฐานหรือคำพรรณนาที่กล่าวถึงสวรรค์ชั้นนี้ - ๔. ชั้นดุสิต ถึอว่าเป็นชั้นที่สำคัญมากและเป็นชั้นที่มีความ คักดี้สิทธ โดยมีท้าวสันดุสิตเป็นผู้ปกครองอยู่ ถือว่าเป็นที่เกิดและ เป็นที่อยู่อาคัยของพระโพธิสัตว์และพระพุทธมารดา ตลอดถึงท่านผู้ วิเศษทั้งหลาย ๔6/๐
www.kalyanamitra.org ๙. ชั้นนิมมานรดี เป็นที่อยู่อาศัยของเทวดาทั้งหลายร่งมี ท้าวสุนิมมิตเป็นผู้ปกครอง พวกเทวดาชั้นนี้ถือวาเป็นผู้สมบูรณดวย สรรพสิงทั้งหลาย ปรารถนาสิ่งใด ก็เนรมิดเอาสิ่งนั้นตามปรารถนา ๖. พั้ปรนิมมิตวสวัตดี เป็นที่อยู่อาศัยของท้าวนิมมิตวสวัดดี และตนเองก็เป็นผู้ปกครองในชั้น่นี้ด้วย เทวดาที่อาศัยอยู่ในชั้นนี้ แปลกกว่าเทวดาชั้นอื่น ๆ คือฺด้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ตองเนรมิต ด้วยตนเอง มีพวกเทวดาอื่นมาเนรมิตให้ ป๋ญหาและเฉลยธรรมวิภาค หมวด ๖ ๑. มโนมยทธิ มีอรบายอย่างไร? ตอบ มโนมรทธี มีอธิบายว่าสาม่ารถเนรมิตกาย่อื่นจากกายนี้ได้ เพียงนิกเทานั้น ดุจชัดกาบออกจากฝัก ไม่ว่าคิดท้าสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็สำ เร็จได้ดามความคิดทุกประการ ๒.อัญญสัตถุทเทสดีออ่ะไร หมายถืงผู้ประพฤติเช่นไร ? ตอบ อัญญสัตถุเทส คือศาสนาอื่น หมายถืงก็กษูผู้ไปเขารีต เดยรถืย คือ หันเหไปนับถือศาสนาอื่นทั้งที่ยังถือเพศบรรพชิด อยู่ ด้องห้ามมิให้อุปสมบทอีก ๓. อัฌญัตถุเทสตางจากสังฆ๓ทอย่างไร? ตอบ ต่างกันคืออัญญสัตถุเทสนั้น ละทิ้งศาสนาเติมของตน เปลี่ยน ไปนับถือศาสนาอื่นแต่ไม่ท้าลายพวกเติมของตน ส่วนสังฆเภท /นั้น ยังอยู่ในศาสนาเติมของตนแต่ท้าลายพวกตนเองให้แตกแยก เป็นพรรคเป็นพวก
www.kalyanamitra.org ๔.อภิฐานมีเท่าไร อะไรบ้าง? ตอบ อภิฐานมี ๖ คือ ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๒. ปิตุฆาต่ ฆ่าบิดา ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔.โลหิตุปฺบาท ทำ ร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อ ๔. สังฆ๓ท ยังสงฆ์ให้แตกกัน ๖. ยัญญสัตถุทเทส ถึอศาสดาอื่น ๔. คนที่มีปกติหลงงมงายฟังใครพูดอะไรก็เร่อง่ายไมใคร่ครวญเหตุผล เร่อแล้วถอนยาก จัดว่ามีจริตอะไรพึงแก้อย่างไร? s ตอบ คนที่ปกติหลงงมงายเร่อง่าย จัดเป็นคนมีโมหจริต และพึง แก้ด้วยการเรียนการถาม การฟังและการสนทนาธรรมตามกาล ๖.จริต ๖ได้แก่อะไรบ้าง คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏ- ฐานอะไร? ตอบ ได้แก่ ๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต ๔.วิตักกจริต ๔. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต t พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณหรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ๗..ธรรมคณบทว่า สวากขาโต ภควตา ธม^ แปลว่าอะไร มีอธิบาย อย่างไร ? ตอบ แปลว่าพระธรรมยันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว มีอธิบาย ว่า เราตรัสไม่วิปริต คือตรัสได้จริง เพราะแสดงข้อปฏิบิติโดยลำดับ ๔๙๒
www.kalyanamitra.org กัน ไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดมีทั้งอรรถะ ทังพยัญชนะ บริสุทธิ้บริบูรณสิ้นเซิง ๘.พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคำว่า \"ท้าให้มาพิสูจน์ ได้\" พระธรรมคุณบทนั้น มีอธิบาย ว่าอย่างไร? ตอบ บทว่า เอหิป๋สสิโก มีอธิบายว่า พระธรรมของพระส้มมา- สมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์!ต้ทุกเวลา และสามารถนำไป ประพฤติในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขไต้ ๙. ธรรมที่มีชื่อว่า ปียเป สาตรูป เป็นอย่างไร? ตอบ ธรรมที่มีอายตน.ภายในอายตนภายนอก เป็นต้น ต่อเนือง กันไปจนถึงวิตกวิจารเป็นที่สุตไต้ชื่อว่า ปียรูป สาตรูป เพราะ เป็นสภาวะที่วักที่ชื่นใจต้วยเพ่งอิฏฐารมณเป็นที่ตง เป็นบ่อเกิด แห่งตัณหา ตัณหาเมื่อเกิดย่อมเกิดในธรรมเหล่านื เมีอตับย่อม ตับในธรรมเหล่านี้ ๑๐. ส้ญญา ๖ ได้แก่ ? ตอบ ส้ญญา ๖ ได้แก่ รูปส้ญญ1 ส้ททส้ญญา ตันธส้ญญา รสส้ญญา โผฏฐพพส้ญญา ธุ้มมส้ญญา ๑๑. สวรรค์มีกี่ทั้แ? อะไรบ้าง ? ตอบ มี ๖ ซั้นํ ได้แก่ ๒. ชั้นดาวดึงส ๑. ชั้นจาต่มหาราซิกา ๔. ชันดสิต I; ะ !^ ๓. ชนยามา ๖.ชันปรนิมมีตวสวัติดึ ะ! ^ ๔.ชนนืมมานรดึ ๕eyen
www.kalyanamitra.org สัดดกะคือหมวด๗ อนุสัย ๗ ๑. กามราคะ ๒. ปฏิฆะ ๓. ทฏเ ๔. วิจิกิจฉา ๙. มานะ ๖. ภวราคะ ๗. อวิชชา อนุสัย นั้นเป็นชื่อของกิเลส ๗ จำ พวก ที่ได้ชื่อเช่นนั้นกิ เพราะเป็นกิเลสที่นอนเนึ่องอยูในสันดาน เป็นกิเลสอย่างละเอียด บางทีกิไฝปรากฏออกมา ต่อเมื่อมีอารมณภายนอกมากระทบ จิง เกิดขุ่นมัวเศร้าหมองขึ้น อนุสัย ๗ มีลักษณะดังนี้ ๑. กามราคานุสัย ได้แก่ สิ่งที่มาปรุงแต่งจิต ให้กำหนัด รักใคร่ พอใจในรัดถุกาม มีรูป เสียง กสิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นด้น ๒. ปฏิฆานุสัย ได้แก่ ความหงุดหงิด ไฝพอใจ ขัดเคืองใจ ๙๙<r
www.kalyanamitra.org ในวัตถุกามทั้งหลาย มีรูป เป็นต้น ๓. ทิฏฐานุสัย ไต้แก่ คาามเห็นผิด เช่น เห็นว่า ทำ ดีไม่ไต้ดี มาดาบิดา เป็นผู้ไม่มีบุญคุณ เป็นต้น ๔. วิจิสืจฉานเโย ได้แก่ ความลังเลสงสัย เช่น สงสัยในความ เกิดขึ้นของพระรัดนดรัย ในไดรสิกขา และในกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น ๙.มานานุสัยได้แก่ความถือตัวหยิ่งทะนงดน ลันเนืองมา จากชาติ ดระกูล ทรัพย ตำ แหน่ง เป็นต้น มาแสดงดนว่า เราดีกว่า เขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ก็เป็นมานะเช่นลัน ๖. ภวทคานุสัย ได้แก่ ความกำหนัดในภพ อยากจะเกิดใน ภพต่าง ๆ ต้องการอำนาจ ต้องการความยิ่งใหญ่ เป็นต้น ๗. อวิชชานุสัย ได้แก่ ความไม่รู้แจงเห็นจริงใน่การทำลาย กิเลสตัณหาให้หมดไปจากสันดานของดน การละอนุสัย่นั้น ต้องละด้วยอริยมรรค €งพระอริยบุคคลผู้ ปฏิบิตจนบรรลุอริยมรรคแล้วสามารถละไต้ ตังนี้ พระโสดาบัน ละทิฎฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัยไต้ พระอนาคามี ละกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยไต้ พระอรหันต้ ละอนุสัยไต้ทั้งหมด เมถุนสังโยค๗ เมถุนสังโยค หมายถืง ความประพฤติฑีเก็ยาเนืองต้วยเมถุน ความประพฤติพวฟันลับเมถุน หรือนับเนื่องในเมถุน เมถุนลับ สังโยคต่างลัน เมปีน หมายเอาอาการซ่องเสพ สังโยค หมายถืง <6rc/ar
www.kalyanamitra.org อาการแห่งเม.ถุน มี ๗ ประการ สมณะก็ดี พราหมณก็ดี ต้องเว้น เด็ดขาด ทั้งเมถุนและอาการแห่งเมถุน จึงจะชื่อว่า ประพฤติพรหม- จรรย์บริสุทธิ้ ถ้าเว้นเมถุน แต่ย์งประพฤติหรือประกอบต้วยอาหาร แห่งเมถุนอย่างใดอย่างหนึ่ง พรหมจรรย์ของสมณ่ะและพราหมณ์ เหลานนหาบ่ริสุทธไม่ ชื่อว่าต่าง ชื่อว่าพร้อย ชื่อว่าขาด ชื่อว่าทะลุ มี ๗ ประการ คือ ๑. ยินด็ในการสูบไล้ การประคบ การนวด การอาบนํ้า ของ มาตุคาม แล้วปลื้มใจ ด้วยการบำเรอของมาตุคามนั้น ๒. ไมถงอย่างนั้น แต่อยากเล่นหวหยอกล้อ กระซิกกระซี้ก้'บ มาตุคาม แล้วปลื้มใจด้วยการกระทำนั้น ๓.ไม่ถึงอย่างนั้น แต่เพ่งจ้องดูจักษุซองมาตุคามด้วยจักษุซอง ตนแล้วปลื้มใจด้วยการเล็งแลดูนั้น ๔. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่พอใจในการฟังเล็ยงของมาตุคามตลอด ถึงเสียงหัวเราะ เสียงร้องเพลง เสียงร้องไห้ เป็นด้น แล้วปลื้มใจ ด้วยเสียงนั้น ๔. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่ตามนึกถึงอดีตที่ตนเคยหัวเราะพูดเล่น กับมาตุคาม แล้วปลื้มใจ เมื่อนึกถึงอดีตนั้น ๖. ไม่ถึงอย่างนั้น แต่เห็นคฤหบดี หรือษุดร่คฤหบดี ผู้อิ่มเอิบ พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๔ บำ เรอตนอยู่แล้วปลื้มใจด้วยการบำเรอนั้น ๗.ไม่ถึงอย่างนั้น แต่ประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยตั้งใจ้ปร่ารถนา เพื่อจะได้เป็นเทพเจ้าหรือเทพองค์ไตองค์หนึ่งแล้วปลื้มใจด้วยการ ประพฤติเช่นนั้น ๔๙๖
www.kalyanamitra.org วิญญาณฺเติ ๗ ภูมิฟ้นที่ดั้งแห่งวิญญาณ เรียกวุ'ๆ วิญญาณฐิติ แยกเป็น ๗ ดังนี้ ๑. สัตว์เหล่าหนึ่ง มิกายตางกัน มิสัญญาด่างกัน เช่น พวก มนุษย์ พวกเฑวตาบางหมู่ พวกวินปาติกะ(เปรต)บางหมู่ ๒. สัตว์เหล่าหนึ่ง มิกายด่างกัน มิสัญญาอย่างเติยวกัน เช่น พวกเทพผ้อย่ในจำพวกพรหม ผู้เกิดใ'แภูมิปฐมฌาน . ๓. สัตว์เหล่าหนึ่ง มิกายอย่างเดียวกัน กิสัญญาด่างกัน เช่น พวกเทพอากัสสระ ๔. สัตว์เหล่าหนึ่ง มิกายอย่างเดียวกัน มิสัญ่ญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพสุภกิณหะ ๔. สัตว์เหล่าหนึ่ง ผู้เข้าถึง'ดั้น อากาส์า'แญจายตนะ .๖. สัตว์เหล่าหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้น วิญญาณญจายต'นะ ๗. สัตว์เหล่าหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้น อากิญจัญญายตนะ วิญญาณฐิติ หมายถึง ภูมิเป็นนึ่ดั้งแห่งวิญญาณ ดีอ ชีวิต หสังจากตายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้น ถ้ายังมิกิเลสอยู่ ยังมิก่รรมอยู่ กิเลสกับกรรมกิ'ทำห'น้าที่สร้างปฏิสนธิวิญญาณ ให้ไปถือปฏิสนธิใน กำ เนิดนั้น ๆ แรงกรรมที่บุคคลทำไว้มิความแตกด่างกัน กรรมจึง จำ แนกให้คนสัตว์ไปเกิดใ'แภพภูมิเหล่านั้นด่างกันออกไป *€งท่าน จำ แนกไว้ ๗ ประการด้วยกันดังกล่าวมาแล้วข้างต้น วิสุทธิ ๗ ๑. สืลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล (6rc/e/
www.kalyanamitra.org ๒. จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ๓. ทิฎฐึวิสุทธิ ความหมดจัดแห่งทิฏเ ๔. กงขาวิดรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่อง ข้ามพนความสงสัย ๔. มคคามัคคญาณท'สสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณ เป็นเครื่องว่าทางมิใช่ทาง ๖. ป่ฏิปทาญาณทสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็น เครื่องเห็นท่างปฐบ'ต ๗. ญาณทัสฺสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณฑัสสนะ วิสุทธิ หมายถึง ความบริสุทธี้Iนภารประพฤติพรหมจรรย์ ท เป็นผลมาจากการเจรื่ญวิฟ้'สสนากัมมัฏฐานเพื่อชำระกาย วาจา ใจ รวมถึงป็'ญญาให้บวิสุทธบริบรณ์ หรือเป็นฟ้'จจัยที่ส่งต่อ ๆ กันไปเป็น ชั้แ ๆ เหมือนรถ ๗ ผลัด ส่งให้บุคคลถึงที่หมายอย่างสบายมื ๗ อย่าง ๑. สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งคีล หมายถึง ความบริสุทธิ้ที่ ได้รับุจากการรักษาปริสุทธิศีล ๔ ปาฏิโมกขลังวร อินทรืย์ลังวร อาชีวปริสุทธิ ป๋'จจยป๋'จจเวกขณะ ไมให้ขาดตกบกพร่องเป็นการรักษา ศีลตามลำดับชันของตนให้บรืสุทธิ ๒. จิดดวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต หมายถึง การอบรมจิต ให้สงบตั้งมน อยู่ในอารมณ์ของกัมมัฏฐาน เป็นจิตที่ประกอบด้วย สมาธิทั้ง ๓ ตามลำดับ ๒.๑ ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ เป็นความอิ่มใจที่เกิด จากสมาธิชั่วขณะ
www.kalyanamitra.org ๒.๒ อุปจารสฺมาธิ คือ สมาธิเป็นแต่เฉียด ๆ เป็นสมาธิที่ เกือบแน่วแน่ ระงับนิวรณ ๔ ได้ ๒.๓ อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแน่วแน่เป็นเอกืคคตาจิต มี ความบริสุทธิ้จากนิวรณ์ธรรม เพราะเป็นปทัฏฐานแห่งการเจริญ ริป๋สสนาต่อ ๆ ไป ๓. ฑิฏฐริสุทธิ ความหมดจดแห่งทฏฐิหมายถึง ความเข้าใจ ของรูปธํรรมตามสภาวะตามที่เป็นจริง รู้จักแยกออกเป็นส่วน ๆ แล้ว เห็นตามความเป็นจริง คือ ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ๔. กังขาริดรณริสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่อง ข้ามพ้นความสงสัย หมายถึง ความรู้ที่สามารถกำหนดรู้เหตุเกิด เหตุ ดับ แห่งนามรูปได้จนเป็นเหตุให้สิ้นความสงสัยในนามรูปในสักกาย ทิฎฐิเป็นดัวตนของรูปนามทั้งที่เป็นอดีต ป๋จจุบัน และอนาคต ๔. มัคคานัคคญาณทัสสนริสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณฺเป็น เครื่องว่าทางมึใช่ทาง หมายถึง เมื่อหมดความสงสัยในรูปนามทั้งที่ เป็นอดีต บัจจุบัน .อนาคตแล้วกืตั้งใจพิจารณาให้รู้แน่นอนว่า ทางนี้ ถูก{วิบัสสนาญาณ) ทางนี้ผด(วิบัสสนปกิเลส) ๖. ปฏิปทาญาณทสสนริสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็น เครื่องเห็นทางปฏิ^ หมายถึง ความบริสุทธิ้ขอ^บัญญาที่รู้ทาง ปฏิบตได้อย่างถูกด้อง คือ เมื่อรู้ว่านี้เป็นทางปฏิบ้ตที่ถูก ก็น้อมจิต เข้าส่วิบัสสนาญาณ ยกนามรูปขึ้นเป็นอารมณ์ ด้วยวิบัสสนาญาณ ๙ ในที่สุดย่อมเห็นโลกุตตรธรรม นี้เรียกว่า-•โคตรภูญาณ เป็นหัวต่อ แห่งความเป็นปุถุชนกับความเป็นอริยบคคล ๔๙๙
www.kalyanamitra.org ๗. ญาณฑสสเทสุฑร ความหมดจดแห่งญาณฑัสสนะ หมายถึง ความบริสุ่ทธิ้ของปัญญาทมีนิพพานเป็นอารมณ์ คือ เป็นญาณของ อริ่ยมรรค ๔ (โสดาปัตติมรรค - อ^ดมรรค) เป็น\"เหตุให้ตัดลังโยซน ดามอ1ยมรรดนั้น ๆ ข้อควรจำ สีลวิสุฑ่ธิ ไฝเป็นสมถะและวิปัสสนา เป็นแดเพียงฐานของสมถะ จิดดวิสุทธิ จัดเป็นสมถะ . อีก๔ข้อที่เหลือ จัดเป็นวิปัสสนา ข้อ ๑-๖ เป็นโลกียะ ข้อ ๗ เป็นโลกุดดระ ปัญหาและเฉลยธรรมวิภาค หมวด ๗ ๑. อะไรเรียกว่าอนุลัย เพราะเหตุ่ไรจึงร่อว่าเช่นนั้น? ดอบ กิเลสที่นอนเนื่องอยูในลันดาน เรียกว่าอนุลัย เพราะกิเลส ทั้ง ๗ อยาง ล้วนเป็นกิเลสอย่างละเอียดนอนเนื่องอยู่ในลันดาน นางทีไฝแสดงอาการที่แท้จริงออกมาให้เห้น ต่อเมื่อมีอารมณ์ ภายนอกอย่างใดอย่างหนื่งมายั่วยวนก็แสดงออกมาให้ปรากฏและ ทำ จิดให้ขุ่นมัว เมื่อไฝมีอารมณ์มายั่วยวน ก็นอนสงบนื่งประห่นื่งว่า เป็นผู้ไฝุมีกิเลส จึงได้ร่อว่าอนุลัย ๒. การจ้องดาต่อดากนหญงสาวแล้วร่นใจ จัดเป็นเมกุนลังโยคได้ หรีอไฝ เพราะเหตุไร? ดอบ การจ้องดาต่อดากับหญิงสาวจัดเป็นเมกุนลังโยคได้ เพราะ อาการเช่นนั้นอิงอาลัยกาม drc?o
www.kalyanamitra.org ๓.พรหมจรรย์ของสมณพราหมณ์ผู้ประฬฤสิเช่นไร เรียกว่าเมถุน^ สังโยค ? ตอบ พรหมจรรย์ของผู้ประพฤติเกี่ยวเนื่องกับเมถนคือ่ ไม่เสพ- เมถุน แต่ยังไม่มีอาการพัวพันเมถุนนื่งเรียกว่าเมถุนสังโยค ๔.เมถุนสังโยคข้อที่ ๒ มีโจความว่าอย่างไร? ตอบ เมถุนส้งโยคข้อที่ ๒ มีใจความว่า ชอบรก^เล่นหัวสัพยอก กับมาตุคามแล้วปลื้มใจด้วยการกระทำนั้น ๔. ทำ ไมท่านเปรียบวิสุทธิ ๗ เหมือนรถ ๗ ผสัต? ตอบ เพราะวิสุทธิ ๗ นี้ เป็นปัจจัยส่งต่อกันขึ้นไปเพื่อบรรลุ พระนิพพาน ท่านจึงเปรียบเหมือนรถ ๗ ผลัด ต่างส่งต่อข้งคน ผู้ไปให้ถึงสถานที่ปรารถนา ๖. อะไรจัตเป็นปฏิปทาญาณท่สสนวิสุทธิ? ตอบ วิปัสสนาญาณ ๙ จัดเป็นปฏิทาญาณทัสสนวิสุ่ทธิ ๗. เห็นอย่างไรจัดเป็นทิฏเวิบต ? ตอบ ความเห็นคลาดเคลื่อน ประพฤติตามความเห็นของดิน ผิดธรรมผิดวินัย จัดเป็นทฏฐวิบติ ๘. เห็นอย่างไรจัดเป็นทิฏฐสุทธิ ? ตอบ เห็นนามรูปตามสภาวะที่เป็นจริงอย่างไร รู้จักแยกออกเป็น ส่วน ๆ โดยปัจจัดตลักษณ่ะและยกขึ้นสู้ไตรลักษณ์ คือ อนิจจดา ทุกขดา อนัดตดา โดยสามัญญลักษณ์ เป็นเหตุข่มความเข้าใจ ผิดว่า เป็นลัตว่บุคคลเสียได้ เริ่มดำรงในภูมิแห่งความไม่หลงผิด จัดเป็นทิฏเวิสุทธิ ๕<ร๑
www.kalyanamitra.org ๙.จงอธบาย กังขาวิดรณวิสุทธิมาดู? ตอบ กังขาวิตรณวิสุทธิ อธิบายวิา การกำหนดจับป๋จจัยแหง นามรูปว่า เพราะอะไรเกดขึ้น นามรูปจึงเกิดขึ้น เพราะอะไรดับ นำ มรูป จึงดับจนเป็นเหตุสิ้นความสงสัยในนามรูปทั้งที่เป็นมา แล้วในอดีด ทั้งที่ถำสังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่จะเป็นไปในอนาคต
www.kalyanamitra.org อัฏฐกะ คือหมวด ๘ อรยบคดล ๘ ๑. พระผู้ดั้งอยู่ในโสดาป้ดดิมรรค นละพระผู้ดั้งอยู่ในโสดา- ป้ดติผล ฟ็นดูที่ ๑ ๒.พระผู้ดั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค นละพระผู้ดั้งอยู่ในสกทา- คามิผล เป็นคู่ที่ ๒ ๓. พระผู้ดั้งอยู่ในอนาคามิมรรค นละพระผู้ดั้งอยู่ในอนาคา- มิผล เป็นคู่ที่ ๓ ๔. พระผู้ดั้งอยู่ในอรหัตมรรค นละพระผู้ดั้งอยู่ในอรหัตผล เป็นคู่ที่๔ พระอริยบุคคลทั้ง ๘ นี้ จัดว่าเป็นบุคคลที่ได้รับผลสูงขึ้นไป โดยลำดับ ที่ท่านจัดเป็นมรรคหรือผลนั้น ท่านจำแนกโดยขณะจิด ขณะจิตแ.รกได้บรรลุมรรคก่อนแล้วจึงได้บรรลุผล เพราะมรรคเป็น ทางดำเนินไปสู่ผล ความดั้งตนอยู่ในมรรคเป็นเพียงชั่วขณะมรร์ค จึดเท่านั้น พ้นจากนั้นย่อมดั้งอยู่ในผล เพราะขณะจิตของเรานั้น รวดเร็วมาก ไม่สามารถกำหนดนับได้ทัน เหมือนเราเปีดสวิตช์ไฟ ๓
www.kalyanamitra.org พอเปิดป็บก็สว่างป๋บ แต่ขณะจิตของเรารวดเร็วกว่านั้น. คู่ที่ ๑ พระโสดาบน ฟานผู้ปฏิบดทำให้มีศีลสมบูรณ์ สมาธิ และป๋ญญาสมบูรณ์พอประมาณ ท่านผู้ดำรงอยูในระดับนี้สามารถที่ จะละลังโยชน!ด้ ๓ ประการ คือ ๑. ลักกายทิฏเ ความเห็นว่า เป็นดัวของดน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนาเป็นดัวต่นั้ เป็นต้น ๒. วจิกิจฉา ความสงลัย ความลังเลไม่แนใจ ๓. สิลัพพตปรามาส ความถอมั่นศีลพรดโดยลักทำตาม ๆ กนไปอยางงมงาย เห็นว่าจะบริสทธิหลุดพนไต้ ดวยศีลและวัดรเท่านั้น ต่ที่ ๒ พระสกทาคามี ได้แก่ท่านที่ปฏิบดโดยนัยดังกล่าวมา แล้วนั้นเองสามารถละลังโยชฟ้!ต้ ๓ ประการ พร้อมทั้งทำราคะ โทสะ และโมหะ ให้เบาบางลง คู่ที่ ๓ พระอนาคามี ไต้แก่ ท่านผู้ปฏิบติจนญำณเกิดขึ้นทำให้ ศีล สมาธิ และป๋ฌญาสมบูรณ์อยู่ภายในจิด, เพิ่มการละลังโย่ชน!ต้ อีก ๒ ประการ คือ ๑. กามราคะ ความกำหนัดในกาม หรือความติดใจในกามคณ ๒. ปฏิฆะ ความกรฺะทบกระทั่งใจ หรือความหงุดหงิดขัดเคือง นั่นเอง คู่ที่ ๔ พระอรหนต ได้แก่ ท่านผู้ปฏิบดให้สมบูรณ์1นศีล สมาธิ และปัญญา ป่าเฟ็ญญาณให้เกิดขึ้นเติมที่ในอรืยลัจทั้ง ๔ เพิ่มการละลังโยฺชน!ดอีก ๙ ประการ คือ ๑. รูปราคะ ความปรารถนาในรูปภพ่ ๒. อรูปราคะ คว่าม่ปรารถนาในอรูปภพ &GS<s:
www.kalyanamitra.org ๓..มานร; ความถือตนว่า เป็นนั่น เป็นนี่ ๔. อุฑธ้จจะ ความฟ้งซ่าน ๙. อวิชชา ความหลงไฝรจริง อวิชชา ๘ ๑. ไฝรู้จักทุกข์ ๒.ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์ ๓.ไฝรู้จักการดับทุกข์ ๔.ไฝรู้จักทาง(ข้อปฏิบต)ใหถืงความดับทุกข์ ๙.ไม่รู้จักอดีต ๖.ไฝรู้จักอนาคต .๗. ไฝรู้จักทั้งอดีตทงอนาคต ๘.ไม่เจักปฏิจจสมุปบาท อวิชชา หมายถึง ความไฝรู้แจ้ง ไฝรู้จริง ไนอริยสจ'เป็นตน มี ๘ อย่าง ๑. ไฝรู้จักทุกข์ คือ เหตุที่ทำให้ทุกข์เกิด ได้แก่ ความหนาว ร้อนหิวกระหายจัดเป็นทุกข์จร ผมหงอก ฟันหัก่หูพร่าตามัวจัด เป็นทุกข์ประจำ อีกอย่างหนี่ง การมีสภาพร่างกายไฝครบถ้วน มีโร่ค ภยเบยดเบียน มีอุปสรรคขัดขวางไนการทำความดี จัดเป็นกายิกทุกข์ ทั้งหมดนี้เรียกว่า ทุกข์ทางกาย การสูญเสียซองรัก ของชอบไจเต็มไป ด้วยคว่ามเดือ่ดร้อนเพราะความทุกข์ทางกายมาเบียดเบียน ประสบ อารมณ์ที่ไฝนาชอบใจ ทำ ไห้ไจร้อนกระวนกระวาย ทั้งหมดนี้!รียกว่า ๕!ร:๕
www.kalyanamitra.org ทุกข์ทางใจสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นยอมไฝรู้ทุกขตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่ง ที่ทนได้ยาก • ๒.ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์ หมายถึง ไม่รู้ด้นสายปลายเหตุ ที่ทำ ให้เกิดทุกข์ ส่วนใหญ่มัวแต่โทษว่า สิ่งอื่นหรือผู้อื่น สร้างความ ทุกข์ให้กับตน ไม่ยอมทำความเข้าใจว่า ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เกิด มาจากตัณหา ความทะยานอยากของตนทั้งสิ้น ๓. ไม่รู้จักการตับทุกข์ หมายถึง เมื่อไม่รู้เหตุผลก็ไม่ยอมวับ ว่าตัณหาในจิตใจเป็นตัวให้เกิตทุกข์ จึงไม่รู้ว่า _ หากจะตับทุกข์อย่าง สนิทด้องตับตัณหาเสิยกอน ทุกข์จึงตับ ๔. ไฝรู้จักทาง (ข้อปฏิบต) ให้ถึงความตับทุกข์ หมายถึง ไม่รู้วิธีการตับทุกข์ เพราะไม่รู้ว่า อริยมรรคมีองค ๘ เป็นแนวทางที่ ผู้ปฏิบติตามสามารถตับทุกข์ได้อย่างแห้จริง ๔. ไม่รู้จักอดีต หมายถึง ไม่รู้ว่าที่ตนเองได้วับในมัจจุบันนี้ เซ่น เกิดโรคร้าย เกิดอุบัตเหํตุ ครอบควัวแตกแยก เป็นด้น ว่าเกิด มาจากสาเหตุอะไร เมื่อกรรมตามมาทันในบัจจุบัน จึงไม่รู้จักสืบสาว หาสาเหตุที่ตนได้ทำไว้ นี้เรืยกว่า ไม่รู้จักเหตุ ๖. ไฝรู้จักอนาคต หมายถึง ไม่รู้ว่าความชั่วที่ตนกระทำไว้ ในวันนี้จะมีผลเป็นความทุกข์ในวันข้างหน้า คนกลุ่มนี้ไม่เชื่อเรื่อง ผลของกรรมว่ามีอยู่จริง จึงไม่สามารฤคาดเหตุการณ์ที่จะได้วับใน อนาคตได้ นี้เรืยกว่า ไม่รู้จักผล ๗. ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้3อนาคต หมายถึง ไม่รู้ว่าทุกข์ที่ได้ริบใน บัจจุบันมาจากสาเหตุที่ตนกระทำชั่วมาในอดีต ยังทำความชั่วต่อไป ไม่คิดกลับใจ เพราะถูกความไม่รู้ป็ดบังบัญญาเอาไว้ จึงทำให้ไม่เชื่อ ๕๘๖
www.kalyanamitra.org เรื่องกฎแห่งกรรม ผลที่จะได้รับในอนาคฺตก็เป็นความ่ทุกข์ไม่รู้จัก จบสิน อีกอย่างก็ไม่รู้จักเร่อมโยงเหตุในอดีตและผลในอนาคตให้สืบ เนื่องถึงกัน นี้เรียกว่าไม่รู้จักเหตุไม่รู้จักผล .๘. ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ไม่รู้สภาวะตามความ เป็นจริงว่า เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เนื่องกันไปเหมือนลูกโซ่ ที่เนื่องกันไปเป็นสาย ฉะนี้น ได้แก่ เพราะอวิชชาเป็นุป๋จจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นป๋จจัยจึงมืวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมี นามรูป เป็นด้น ดังนี้นจึงด้องเรียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จบ วิชชา ๘ ๑.วิปัสสนาญาณ ความรู้ที่น้บเขาในวิปัสสนา^ ๒.มโนมยฑธิ ความรู้ที่ทาให้เกิดฤทธิ๋ทางใจ ๓. อีทธิวิธี ความเทาให้แสดงฤทธต่าง ๆ ได้^ ๔. ทิพพโสด ความเที่ทิาให้มี.หทิพข์ ๔. เจโดปริยญาณ ความ่รู้ที่ทำให้กำหนดใจผู้อื๋นได้ ๖. ปุพเพนิวาสานุสสสิ ความรู้ทฺทำให้ระลกชาติได้ ๗. ทิพพจักชุ ความรู้ที่ทำให้มีตาทิพย์ ๘.อาสรักฃยญาณ ความรูที่ทำให้อาสวะสินไปได้ พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงวิชชาไว้หลายหมวด เช่น วิชชา ๓ อภญญา ๖ และวิชา ๘ เป็นด้น เมื่อรวมกันแล้วก็คงเป็นอัน เดียวกันคือเป็นความรู้ที่เหนอสามัญซน เป็นวิชชาของพระพุทธเจ้า บ้าง ของพระสาวกบ้าง ในส่วนนี้จะได้ร่แจงเฉพาะวิชชา ๘ คือ ๕<sef
www.kalyanamitra.org ๑. วิปัสสนาญาณ ได้แก่ ความ่รู้ที่นับเข้าในวิปัสส^า คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขาร คือ นามและรูปโดยไตรสัคษณ์มีความ ต่างกันออกไปเป็นชั้น ๆต่อเนื่องกันเซ่นเห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นด้น ๒. ม่โนมยิทธ ฤท&ทางใจ คือสามารถเนรมิตกายอื่นออก จากกายนี้ได้เพียงแต่นึกเท่านั้น เปรียบเหมือนชักดาบออกจากฝัก คือทำสิ่งหนื่งสิ่งใดก็สามารถสำเร็จได้ตามความคิดทุกประการ ๓. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ้ต่าง ๆ ได้ เซ่น แสดงตนให้เป็นคน หลายคนได้ หายตัว เคินบนนํ้า ดำ ดินไว้ เป็นด้น ๔. ทิพพโสต มืหูทิพย คือ สามารถที่จะพิงเสิยงทิพย หฺรีอ เสียงของมนุษยทั้งใกล้และไกลได้ ที่งสามัญชนไม่สามารถได้ยิน ๔. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น ได้แก่ กำ หนดด้วย ใจของตนแล้วสามารถที่จะทายใจของผู้อื่นได้ว่า คนนี้มใจสะอาดหรือ ไม่และกำสังคิดอะไรอยู จะพูดอย่างไร เขาจึงจะรู้เรื่อง s เมื่อกล่าวดำ กับคนเซ่นนี้จะเก็ดผลอย่างไร เป็นด้น ๖. ปุพเพนิวาสานุสสติ ความรู้ที่สามารถระลึกถึงอัตภาพของ ตนและของผู้อื่นในภาลก่อนได้ คือ สามารถระลึกได้ว่า ในชาติที่ผ่าน มาตนได้เกิดเป็นอะไรบ้าง มืพ่อแม่ มืวิถึชีวิตอยู่อย่างไร เป็นด้น ๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย ได้แก่ สามารถมองเห็นการเกิดของ สัตว้ทั้งหลายที่เป็นไปแดกต่างกันว่า เป็นเพราะกรรมที่แต่ละคนได้ ทำ ไว้ เป็นด้น ๘. อาสวักฃยญาณ ได้แก่ ความรู้ในอริยสัจ ๔ ที่สามารถ ทำ ให้สิ้นอาสวะ ได้โดยสินเชีง
www.kalyanamitra.org วิชชาทั้ง ๘ ประการทกล่าวมานี้ ๗ ประการเบื้องต้น เป็น ฝ่ายโลกิยะ ส่วนข้อที่ ๘ %เป็นฝ่ายโลกตตระอันเป็นเปีาหมายสูงสุดใน พระพุทธ,ศาสนา ร่งการปฏิบตนั้น พระพุทธศาสนามุ่งไปที่อาสวัก- ขยญาณ คือการทำพระนิพพานให้แจ้งนั่นเอง สมาบศ ๘ อรูปฌาน ๔ ๑. อากาสานัญจายตนะ รูปฌาน ๔ ๒. วิญญานัญจายตนะ ๑. ปฐมฌาน ๒. ทุต้ยฌาน ๓. อากิญจัญญายดนะ ๓. ตติยฌานฺ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ๔. จตุตถฌาน สมาบัติ คือ การบรรลุธรรมขั้นสูง สมาบตนี้ มีมาก่อนสมัย พระพุทธเจ้า นักบวชในสมัยนั้นถือว่าเป็นความรู้สูงสุดของตน แต่ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นเพียงทางผ่านเพือก้าวไปสู่มรรคผลนิพพาน เพราะพระองคทรงไต้สมาบติ ๗ ในสำนักของอาพารดาบส ก่าลาม- โคตรและทรงไต้อุกขั้นหนึ่งในสำนักของอุททกดาบส รามบุตร สมำบติ ทั้ง ๘ จึงเป็นผลของการเจริญสมถกรรมฐานไปตามลำดับนั้นเอง ผู้ ที่เจริญสมถภาวนาจนได้รูปฌานแล้วจะเข้าจะออกเมื่อไรก็ทำไต้ องคของฌานนั้นมีค่วามประณีตตามลำดับดังนี้คือ .ปฐมฌานมีองค ๔คือุวิตกวิจารปีติ สุข เอกัคคตา ๑. วิตก คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เชน ยกเอาดวงกสิณมา เป็นอารมณ์สำหรับเพ่ง และเป็นเครื่องชจัดธรรมที่เป็นข้าศึก คือ ๕^๙
www.kalyanamitra.org สืนมิทธนิวรณ์ ความที่จิตหดฺหู่ ๒. วิจาร คือ การประคองจิตให้มั่นอยู่ในอารมณ์ที่เพ่งและ ทำ หน้าที่ขจัดธรรมฝ่ายข้าศึก คือ วิจิคืจฉา ความลังเลสงสัยให้ออก มาจากจิตด้วย ๓. ปีติ ความเอิบอิ่มใจ ในการเพ่งอารมณ์ที่วิตกยกขึ้นสู่ อารมณ์และที่วิจารประคองอารมณ์นั้นไว้ได้ พร้อมทั้งทำหน้าที่ขจัด พยาบาท ความคืตม่งมาดปรารถนาร้ายต่อผู้อิ่น ๔. สุข ความสุขใจ ได้แก่ โสมนัสเวทนา ย่อมมีความสุข สงบกาย สบายใจ เมื่อความสุขเกิดแล้ว จะทำหน้าที่ขจัดอุทธัจจ กกกุจจนิวรณ์คือความฟิงจเาน รำ คาญออกไป ๔. เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์ลันเดียว คือ สงบอยู่ลับ อารมณ์ที่ตนเพ่งเทำนั้น ไม่ส่งใจไปในอารมณ์อิ่น เมื่อเกิดเอลัคคตา จะทำหน้าที่ละกามนันทนิวรณ์1ห้ออกไปจากจิตได้ ทุติยฌาน มีองค ๓ คือ ปีติ สุข และเอลัคคตา โดยละวิตก- และวิจารเสียได้ ตติยฌาน มีองค ๒ คือ สุข ลับ เอลัคคตา ละปีติได้เพิ่มอีก หนึ่งข้อ จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ เมื่อละสุขได้แล้ว จิตก็จะมีแต่ อุเบกขาลับเอลัคคตาเท่านั้น ฌานทั้ง ๔ นั้ ท่านเรียกว่า รูปฌาน ๔ ฌานแต่ละชั้นนั้นมี ความละเอียดประณีตสูงขึ้นตามลำดับแห่งฌานนั้น ๆ อรูปฌาน ๔ คือ ๑. อากาสานัญจายตนะ ผู้ปฐบติล่วงรูปสัญญา คือ กำ หนด 4:๙๐
www.kalyanamitra.org หมายรูปฌานแล้ว มนสิการ คือ ทำ ไว้ในใจว์า อากาศหาที่สุดมิได้ ๆ เข้าถึงอากาสานัญจายตนฌาน. ๒. วิญญานัญจายตนะ ล่วงอากาส่านัญจายตนะแล้วมนสิการ ว่าวิญญาณหาที่สิ้นสุดมิได้ ๆ เข้าถึงวิญญาณัญจายตนฌาน ๓. อากิญจัญญายตนะ' ล่วงวิญญาณญจายตนะแล้ว มนสิการ ว่านิดหนึ่งหน่อยหนึ่งไม่มี ๆ เข้าถึงอากิญจัญญายตนฌาน ๔. เนวสัญญานาสิ'ญญาดนะ ล่วงอากิญจัญญายตนะแล้ว มนสิการว่า สงบหนอ ประณีตหนอ จนเป็นผู้มีสัญญาก็ไมใช่ ไม่มี สัญญาก็ไมใช่ นี้จัดเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สมาษต ๘ ก็คือ รูปฌาน ๔ กับอรูปฌาน ๔ นั้นเอง เป็น ธรร่มวิเศษที่ควรเข้าถึง เพราะเมื่อเข้าสมาบติแล้วจิตจะไม่ถูกรบกวน ด้วยก็เลสอย่างใด s เพราะจิตได้หลุดพ้นจากกิเลสแล้วด้วยด้วยวิกขม กนวิมตสิ คือ การกดทับไว้ด้วยกำลังแห่งฌาน . ป๋ญหานละเฉลยธรรมวิภาค หมวด ๘ ๑. อวิชชา หมายความว่าอย่างไร ? ต่อป อวิชชา หมายความว่า การ่ไม่รู้แจ้งอริยลัจ ๔ ไม่รู้จักอดืต มีรู้จักอนาคต ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท ๒.ในวิชชา ๘ เจโดปริยญาณ มีอธิบายอย่างไร? ตอบ เจโตปริยญาณฺ มีอธิบายว่า กำ หนดด้วยใจของตนแล้วรู้ ได้ร่งใจของบุคคลอื่นอันบริสุทธิ้หรือเศร้าหมองอย่างไร ๓. มโนมยิทธิ มีอธิบายอย่างไร? ตอบ มโนมยิทธิ มีอธิบายว่า'สามารถเนรมิตกายอื่นจากกายนี้ได้ ร:๙๑
www.kalyanamitra.org เพยงนึกเท่านั้น ดุจชักดาบออกจากฝัก ไม่ว่าคิดทำสิ่งหนึงสิ่งใด ก็สำ เร็จได้ตามความคิดทุกประการ ๔,สมาบด๘มีเท่าไรอะไรบ้าง ? - ตอบ สมาบ้ติมี ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ๔. การจดแยกพระอริยบุ่ศคลฺเป็น to บ้าง เป็น ๔ บ้าง เป็น ๘ บ้าง นั้น มีหลักเกณฑ์อย่าง่ไร จงแสดง ? ดอบ การจัดแยกพระอริยบุ?)คลเป็น ๒ มีหลักเกณฑ์ หมายเอา ท่านผู้ยังด้องศึกษาปฏิบสิ เพื่อมรรคผลสูงขึ้นไปพวก ๑ ท่านผู้ เสร็จกิจอันจะด้องทำแล้วพวก ๑ การจัดแยกพระอริยบุคคลเป็น ๔มีหลักเกณฑ์หมายเอาท่านผู้ได้บรรลุอริยผลแล้ว ๔ พวก การจัดแยกพระอริยบุคคลเป็น ๘ มีหลักเกณฑ์หมายเอาท่านผู้ ได้บรรลุอริยมรรค ๔ และท่านผู้ได้บรรลุอริยผล ๔ .- ๖.วชชา ๘ คืออะไรบ้าง จงอธิบายฃอที่ ๔ มาดู? ดอบ คือ วิปัสสนาญาณ ๑.มโนมยิทธิ ๑ อิทธิวิธี ๑ ทิพพโสด ๑ เจโตปริยญาณ ๑ ปุพเพนึวาสานุสสติ ๑ ทิพพจักขุ ๑ อาสวกขยญาณ ๑ สำ หรับข้อที่ ๔ คือเจโตปริยญาณ มีอธิบาย ว่า กำ หนดด้วยไจของตนแล้วรู้ได้ซึ่งใจขอฺงบุคคลอื่นอันบริสุทธิ้ หรือเศร้าหมองอย่างไร ๗. สม่าธิอับสมาบด ต่างกันหรือเหมีอนกนอย่างไร? ดอบ สมาธิความหมายกว้างกว่าสมาบติ คือจิตที่หยั่งลงมั่นใน , อารมณ์อันหนึ่ง ไม่กึงนับว่าฌานก็ดี สมาป๋ตก็ดี เรียกว่า สมาธิ แต่สมาบติหมายเฉพาะรูปฌาน ๔ อรูปฌาน.๔ ที่เป็นสํวนละเอียด ๔๙๒
www.kalyanamitra.org นวกะ คือหมวด ๙ อนุปุพพวิหาร ๙ ธรรม!ร!!น(.ครองอยู่โดยลำสับกัน เรียกอนุปุพพวิหารมี ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนโรธ คือสมาบตที่สับ สัญญาและเวทนาฟ็นธรรมที่ละเอียดเรียกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ท่านผูเข้าสัญญาเวทยิดนโรธจะไฝมีสัญญาและ เวทนาเลย อย่างหสังนี้เรียกว่า นโรธสมาบดได้บ้าง อนุปุพพวิหาร คือ ธรรมเครื่องอยู่ที่ประณีตต่อกันขึ้นไปโดย ลำ สับ ได้แก่สมาบ้ติ ๘ กับสัญญาเวทรตนึโรธ สมาบ้ติ ๘ นั้น ก็คือรูปฌาน ๔ กับอรูปฌาน ๔ €งได้กล่าว ไว้แล้วในสมาป๋ตินั่นเอง ในที่นี้จะไม่กล่าวซํ้าอีก จะแสฺดงเฉพาะข้อ ที่ ๙ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธเท่านั้น สัญญาเวทยิตนิโรธนั้น. คือ สมาบ้ติที่สับสัญญาและเวทนา สุมาบตข้อที่ ๙ นี้ เป็นธรรมพเศษ ขึ้งทำได้เฉพาะพระอนาคามีและ พระอรหันต์ผู้ชำนาญในสมาบ้ติ ๘ ข้างด้นแล้วเท่านัน ในเวลาท่าน เข้านิโรํธสมาบ้ตอยู่ท่านจะสับสัญญา คือ ความจำ และเวทนา คือ ๕๙a\\
www.kalyanamitra.org การเสวยอารมณ ไม่รับรู้เรื่องอ่ะไรเลยตลอดระยะเวลาที่ฟานกำหนดใน ขณะนั้น เวลาเข้าสมาบติแม้ใครจะทำอ'นตรายํแก่ท่านก็ไม่สามารถ กระทำได้ อนุปพพวิหารนี้เรียกอีกอย่างว่า อนุปุพพนิโรธ เพราะเวลา ท่านเข้าสมาบ้ติ จะด้องดับขั้นด้นแต่ละขั้นไปตามลำดับจึงจะเข้าถึง ขั้นสูงไปได้ อนุปุพพวิหารสมาบตินี้ ท่านได้แสดงการเข้าใจว่า จะด้อง เข้าไปจากรูปฌานที่ ๑-๒-๓-๔ ออกจากรูปฌานแล้ว่เข้าอรูปฌาน ตามลำดับไป คือจากอากาสานัญจายตนะ จนถึงเนวสัญญานา- สัญญายตนะ จากนั้นจึงย้อนมาเข้าอรูปฌาน ๔ คือ เนวสัญญานา- สัญญายตนะ จนถึงอากาสานัญจายตนะ และเข้ารูปฌานที่ ๔-๓-๒- ๑ มาตามลำดับ เป็นด้น พุทธคุณ ๙ ๑. อรหัง เป็นพระอรหันต์ ๒. สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ ๓.วิชชาจรณสัมป็นโนฺ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ๔. สดโด เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ๔.โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก ๖. อนุดดโร ปริสหัมมสารถิ เป็นสารถึผู้ฮกบุรุษไม่ม!ดรยิ่งกว่า ๗. สัดถา เทวมนุสสานัง เป็นศาสดาชองเทวดาและมนุษย ทั้งหลาย ๘.พุทโธ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ๔๙ร:
www.kalyanamitra.org ๙. ภควา เป็นผู้!ชคดี ทุทธคุณ หมายถึง คุณของพ่ระพุทธเจ้า ได้แก่ พระนามที่ ตั้งตามลักษณะหรือคุณสมบ้ตพิเศ่ษเฉพาะพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ๑. อรหัง ฟ้นพระอรหันต์ หมายถึง หมดกิเลสไฝด้องเวียน ตายเกิดอีก เพราะทรงเป็นพระอรหันต์ โดยคำแปลดังนี้ ๑.๑ เป็นผู้ไกลจากกิเลส - ๑.๒ เป็นผู้กำจัดศัตรูคือ กิเลฺสด้วยอรหัตมรรค ๑.๓ เป็นผู้หักเสียร่งกงกำแห่งลังสารวัฏ ๑.๔ เป็นผู้ควรแก่ไทยธรรม (ป๋'จจัย ๔) ที่มนุษย์และเทวดา นำ มาบูชา ๑.๔ เป็นผู้ไม่มีที่ลับในการทำบาป ๒. ลัมมาลัมพุทโธ เป็นผู้ตฺรัสเแล้วเอง่โดยชอบ หมายถึง การตรัสรู้อริยลัจ ๔ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รวมถึงการได้ตรัสรู้ ธรรฺมทั้งปวง ทั้งฝ่ายที่ควรรู้ ควรละ ควรทำให้เจริญด้วยป๋ญญาของ ตนเอง ๓. วิชชาจรณลัมป้'นโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ หมายถึง พระองคทรงสมบูรณ์ด้วยความรู้ ได้แก่ วิชชา ๓ วิชชา ๘ \" เป็นํด้น และเพียบพร้อมด้วยข้อรัตรปฏิบติที่งดงุามได้แก่ จรณะ ๑๔ ๔. สุดโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว หมายถึง เป็นความงาม บริสุทfหาโทษมิได้ เหตุที่เสด็จไปดีเพราะ ๔.๑ ไปไม่ขัดขวางตามทางอริยมรรค ๔.๒ ไปสู่สถานที่อันดี ๕๙๕
www.kalyanamitra.org ๔!๓ ไปโดยไม่มีการย้อนกลับมาสู่อำนาจกิเลสเพราะกำจัด ได้โดยเด็ดขาด ๔.๔ ไปเพื่อปรฟ้ยชน์สุขของชาวโลกทั้งมวล ๔.๔ ตรัสแดวาจาที่สมควรในฐานะอันสม่ดวร ๔. โลกวิท เป็นผ้ร้แจังโลก หมายถึง ทรงเข้าใจความเป็น ไฃิ ญิรเ) ไปของโลกตามความเป็นจริง ทั้งความเป็นแดนเกิด ควฺามดับและ อบายบรรลุความดับในโลกทั้ง ๓•ได้แก่ ลังขารโลก ลัตวโลก และ โอกาสโลก ๖. อนุตดโร ปริสทมมสารกิ เป็นสารถึผ้แกบรุษไม่มีใครยิ่ง กว่า หมายถึง ทรง?เกให้ลด ละ เลิก จากกิเลสที่ทาได้ยากอย่างยิ่ง นำ ลัดว!ห้พ้นจากวัฏสงสารได้ด้วย ศีล สมาธิ ป๋ญญา วิมุตติ วิมุดติ- ณาณทัสสนะ เป็นด้น ๗. ลัดถา เทวมนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย หมายถึง เป็นครูผู้คอยพรํ่าสอนชี้แนะทางสว่างเพื่อให้เกิด ความไม่ประมาทด้วยประโยชน์ ๓ ประการ ๗.๑ ที่ฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์!นชาตินี้ ๗.๒ ลัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์!นชาติหน้า ๗.๓. ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน ๘. ทุทโธ เป็นผู้ดึ่น ผู้เป็กบาน หมายถึง ทรงปลุกชาวโลก ให้ตื่นจากความหลับความมัวเมาต่าง ๆ ได้แกํ ๘.๑ เป็นผู้ตื่นแล้ว เพราะตื่นจากกิเลส ดัณหา อวิชชา ๘.๒ เป็นผู้เบิกบาน เพราะเบิกบานจากการตื่นจากกิเลส ทั้งปวง ๔๙๖
www.kalyanamitra.org ๘.๓ เป็นผู้รู้ด้วยการรู้เญยยธรรม ' ๘.๔ เป็นผู้ปลุกชาวโลกใหตื่นจากกเลสตณหาทั้งปวง ๙. ภควา เป็นผู้โซคดี หมายถึง ทรงกำจัดกิเลสอาสวะทั้งปวง ได้ และทรงยังความสุขให้เกิดขึ้นแก่สัตวโลกทั้งมวลด้วยการจำแนก ธรรมทั้งปวง ดามอุปนิสัยของผู้รับกระแสแฟงธรรมเทศนานั้น ๆ ข้อควรจำ พระพุทธคุณ ๙ จัดลงในสมบด ๒ ดังนี้ ข้อ ๑-๔ จัดเป็น อัดดสมป๋ต คือ ประโยชน์ของตน 'ข้อ ๖-๙ จัดเป็น ปรหิดสมบด คือ ประโยชน์แก่ผู้อื่น พระพุทธคุณ ๙ จัดลงในพุทธคุณ ๓ ดังนี้ ข้อ ๑ จัดเป็น วิสุทธิคุณ ข้อ ๒๓๙๘ จัดเป็น ป๋ญญาธิคุณ ข้อ ๔ ๖ ๗ ๙ จัดเป็น กรุณาธิคุณ พุทธคุณ ๙ นี้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นวหรคุณ มานะ ๙ สำ ดัญดัวว่าเลศกว่าเขา สำ ดัฌดัวว่าเสมอเขา. ๑. เป็นผู้เลศกว่าเขา สำ ดัญดัว่ว'าเลวกว่าเขา ๒. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำ ดัญดัวว่าเลิศกว่าเขา ๓.เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำ ดัญดัวว่าเสมอเขา ๔.เป็นผู้เสมอเขา สำ ดัญ่ดัวว่าเลวกว่าเขา ๕. เป็นผู้เสมอเขา สำ ดัฌดัวว่าเลิศกว่าเขา ๖. เป็นผู้เสมอเขา ๗. เป็นผู้เลวกว่าเขา ๙๙๙
www.kalyanamitra.org ๘. เป็นผู้เ,ลวกว่าเขา สำ คัญตัวว่าเสมอเขา ๙. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำ คัญตัวว่าเลวกว่าเขา มานะ แปลว่า.ความถือตน หรือความทะนงตน โดยความหมาย ก็คือการกำหนดเอา ชาติ โคดร สกุล รูป สมบด ทรัพย ศิลปวิทยา การงาน ความเฉลียวฉลาด และเรื่องอื่น ๆ ของดนไปเทียบคนอื่น มากมายด้วยกัน มานะทั้ง ๙ นี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงจัดมานะข้อ ๑ ข้อ ๔ และข้อ ๗ เข้าลักษณะของความทะนงคัว ทำ ให'เป็นคน หยิ่งผยองทำให้ใจกระด้าง แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา เมื่อ เป็นคนหยิ่ง มีความกระด้างเก็ดขึ้นภายในใจ ก็ย่อมใม่เป็นที่พอใจ ของผู้ที่ใด้พบ ใด้เห็น ใด้ยิน ใด้ฟัง ทรงจัดมานะ ข้อ ๒ ข้อ ๔ แสะข้อ ๘ เข้าลักษณะติตนเสมอ เขาในกรณีเช่นนี้ ผู้ที่เลิศกว่าเขา แต่สำคัญว่าเสมอเข้าก็ดี เป็นผู้เสมอ เขาสำคัญคัวว่าเสมอเขาก็ดี หรือเป็นผู้เลวกว่าเขา แต่สำคัญคัวว่า เสมอเขาก็ด็ เป็นเหตให้ตีตนเสมอคนอื่นและเป็นการยกดนข่มท่าน พรโ้อมทัะงสรV้างความดกตำiใ.ห้vเกิดiขนแกํ.ดนเองอ1ีกดI้วย ทรงจัดมานะ ข้อ ๓ ข้อ ๖ และข้อ ๙ เข้าลักษณะของความ ถ่อมคัวคนที่เลิศกว่าเขา .เสมอเขาและเลวกว่าเขา เสมอเขาและเลว กว่าเขา แต่สำคัญคัวว่าเลวกว่าเขา เป็นเหตุทำให้ตนสูญเลียความ เชื่อมั่น ความมั่นใจในคัวเอง จะมื่ความรู้สึกว่าใม่รู้ ใฝใด้ ใม่เป็น ใฝเข้าใจ ใปเสียทุกเรื่อง ทำ ให้ตนตกตํ่าใม่สามารถที่จะฟัฒนาขึ้น ษใด้ ±๙(ร
www.kalyanamitra.org โลกุตรธรรม ๙ ๑. มรรค ๙ ๒. ผล ๔ ๓. นิพพาน ๑ โลกุตตรธรรม คือ ธรรมอันยอดพี่ยมของโลก หรือฺธรรมที่ พ้นวิสัยของโลก ไมใช่ธรรมของปุถุชน แต่เป็นธรรมของพระอริย- บุคคลผู้ปฏิป๋ตเพื่อความหลุดพ้น พ่านแจกออกเป็น ๙ คือ ๑. มรรค ได้แก่ ทๅงเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลหรือญาณที่ ทาให้ละสังโยชฟั1ด้ขาด มี ๔ คือ ๑.๑.โสดาป๋ตติมรรค มรรคอันให้ถึงความเป็นพระโสดาบันเป็น เหตุละสังโยชน1ด้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีสัพพตปรามาส ๑.๒. สกทาคามีมรรค มรรคอันให้ถึงความเป็นพระสกทา- คามีเป็นเหตุละสังโยชน1ด้ ๓ ข้อข้างด้น กับทาราคะ โทสะ และ โมหะให้เบาบางลง ๑.๓.อนาคามีมรรค มรรคอัน่ให้ถึงความเป็นพระอนาคามีเป็น เหตุละสังโยช่นเบื้องตาได้ทั้ง ๕ ๑.๔. อรหัตมรรค มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอรหันต เป็น เหตุล.ะสังโยชน1ด้หมดทั้ง ๑0 ๒. ผล ได้แก่วิบากที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค ที่เป็นผลเกิดเองในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้น ๆมี ๔ คือ ๒.๑.โสดาบัดติผล ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย ๒ ๒.สกทาคามีผล ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย . ๔๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 706
Pages: