Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักธรรมโท

Description: นักธรรมโท

Search

Read the Text Version

www.kalyanamitra.org เพื่อไหจำได้ง่ายขึ้น มรรค ๔ ผฺล ๔ นิพพาน ๑ ขึ้อว่า โลกุตรธรรม ส่วนที่เหลือทั้งหมดจัดเป็นโลกิยธรรม นิพพาน๒ ๑. สิอุปาทิเสสนิพพาน ด้บกิเลสยังมีเบญจขันธ์เหลือ ๒. อนปาทิเสส่นิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ นิพพาน;คือ ความํดับสนิทแห่งดัณหา เมื่อดับไปแล้วจะไม่เกิด ขึ้นิอีก กิเลสดับสิ้นไป เมื่อใด เมื่อนั้นแหละจะถึงขึ้งนิพพาน นิพพานมี ๒ ประ๓ท คือ ๑.■สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสยังมีฒญจขันธ์เหลือ หมายถึง การดับกิเลสขฺองพระอรหันตไนขณะที่ท่านยังมีซีวิดอยู่ สามารถเสวย อารมเนที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจทางอินทรีย์ ๔ รับรูสุขทุกข์ได้ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสยงมีเบญจขันธ์เหลือ หรือ เรียกว่า นิพพานเป็น ๒. อนปำทิเสสนิพพาน ดับ่กิเลสิไม่มีฌญจขันธ์เหลือ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันตผู้ประพฤติพรหมจรรย์จบสิ้นและดับขันธ์แล้ว ไม่มีกิจอื่นที่จะด้องทำเพื่อความเป็นผู้ยิ่งไปกว่านี้อิก เป็นผู้หลุดพ้นจฺวก กิเลสทั้งปวง แล่ะเบญจขันธ์ที่เป็นเครื่องเสวยอารม?นของท่านดับสนิท แล้ว หรือเรียกว่า นิพพานตาย บูชา ๒ ๑. อามิสบูชา บูชาด้วยอามิส ๒. ปฏิบตบูชา บูชาด้วยการปฏิบดตาม CE&O

www.kalyanamitra.org บูชา หมายถึง การแสดงความเคารพ ยกยอง น'บถึอ หรือ การทฺาการสักการบูชาตาง่ ๆ ตลอดจนนำมาปฏิบติให้กับตวเองได้ มีอยู่ ๒ วิธี ๑. อามิสบูชา บูชาด้วยอามิสิ หมายถึง.วัตถสิ่งของ ป๋'จจัย ๔ นำ ไปบูชาบุค์คลทควรบูชาเร่}น .ข้าว นํ้า เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นด้น ตลอดจนการปรนนิบติรืบใข้ผูมีพรุ^คุณตอตนด้วยสิ่งของ หรือ แรงกายุขฺองตน ไนที่นี้มุ่งเอาการทำอามิสในพระพทธค่าสนา ด้วยฺการ ถวาย.ป๋'จฺจัย๔ มีจีวร. บิณฑบาต เสนาสนะเภสัชเป็นด้นรวมถึงการ บูชาพระรัตนตรัย ด้วยการบูชาด้วยดอกไมี ธูป เทียน ของหอม เป็นด้น ๒. ปฏิบติบูชา บูชาด้วยการปฏิบิติตาม หมายถึง การยึดท่าน เป็นด้นแบบ โดยการทำดามคำ.แนะนำพรํ่าสอนด้วยคฺวามฺเคารฺพ ไฝ อํวดดื้อ• ถือ^ ด้วยทีฏรูมานะ ปฏิบติตามด้วยความเคารพ ส่วนฺการ ปฏิบิติบูชาในพระพุทธศาสนา คือ การตั้งอกตั้งใจปฏิบิติตามพระธรรม คำ สั่งสอนขอพระพุทธเจ้า โดยสมควรแก่ภาวะหน้าที่ของตน ตามหสักฺ แห่งศีลธรรม คือ การบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา ให้ถึงพร้อม บรรดาการบูชาทั้ง ๒ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องการ ปฏิบิติบูชาว่าเป็นเลิศ .เพราะเป็นเหตุนำความสุขความเจริญมาให้ เป็นการสิบทอดพระพุทธศาสนาอีกด้วย ปฏิสันถาร ๒ ๑, อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยอามิส ๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารโดยธรรม <£๕๑

www.kalyanamitra.org ปฏิสันถาร หมายถึง การต้อนรับด้วยความเต็มใจ เป็นการ แสด่งอัฮยฺาศย'illใจอันดีงามต่อแฃกผู้มาเยอน ด้วยกๆย วาจา ใจ มี ๒ วิธี ๑. อามีสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยอารส(สิ่งของ) หมายถึง เป็นการต้อนรบด้วยสิ่งของเครื่องบริโภค ด้วยอัธยาศัยไมตรีทงดงามให้ สมอับฐานะขอฺงตน เปน เชึ๋[อเ?ญให้ดื่มนา ร้บประทานอาหาร เป็นด้น เมือแขกจะจากไปถึมีของฝ่ากพ่อสมควร เป็นธรรมเนียมของคนไทย เราวิา ใครมาถึงเรีอนชานให้ต้อนริบ \"ยามมาเราดีใจ ยามจากไปเรา ดีดถึง\" ๒. ธมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารโดยธรรม หมายถึง เป็นการ ต้อนริบด้วยกิริยา'ท่าทาง' ใบหน้าที่แปมชื่น เบกบาน ด้วยถึอฺยคำ อักทายที่เหมาะสม เชน ลุกชื่นด้อฺนรับ เชิญให้'นั่งแสดงความเป็น กินเอง เป็นด้น พร้อมด้วยการกล่าวธรร่[มsMฟ้ง แน^สิ๋งที่ดีมี ป่ร่ะโยชน์ เกิดอานีสงสุ อะไรถู่ก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร มีคุณ มีโทษ เป็นด้น์ ปริเยสนา ๒ ๑. อริยปริเยสนา แสวฺงหาอย่างประเสดู ๒. อนริยปริเยสนา แสวงหาอย่างไม่ปฺระเสริฐ ปริเยสนา แปลว่า การแสวงหา การใฝ่หฺาของบุคคลที่'วไปมี อยู่ ๒ ประการ คือ ๑. อริยปริเยสุนา การแสวงหาอย่างประเสดู หมายถึง การ

www.kalyanamitra.org ประกอบอารพเลี้ยงชีวิตถูคต้aงต่าผกฎหมายและศีลธรรม ไม่สร้าง ความเดือดร้อนให้แก่ต่มเองและแก่ผู้อื่น อีกความหมายหนึ่ง หมาย ถึงการแสวงหาคุณธรรมเครื่องเบกิเลสและกองทุก่ข เพราะตนเรนฺ ผู้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ใฝ่แสวงหาธรรมอนุเกษมดือ นพฺพาน. อีนไม่มีสภาพเช่นนั้น ชีอว่า อริยปริ.เยสนา ๒^ อนริยปริเฟสนา การแสวงหาอยางไฝประเส% หมายถึง การประกอบอ่าชีพเลี้ยงชีวิตในทางผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม สร้าง ความเดือดร้อนไห้แก่ตนและบุคคลอื่น การแสวงหาวัตถกาม- ตรง กันข้าม่กับอริยปริเยสนา อนึ่ง สัมมาอาชีวะ เป็นอริยปริ:เฟุสนา มีจฉุาอาชีวะ เป็น อนริยปริเยสนา ปๆพจน์๒ ๑^ ธรรม ๒.วินัย ปาพจน์ แปลว่า ดำ เป็นประธาน หมายถึงพระพุทธพจน์ แทนพระพุทธเจ้า ๑. ธรรม ได้แก่ คำ สอน ที่ม่งขดเกลาจริตของบุคคล ให้มี ความป^ณีตยิ่งขึ้น ดึงคนออกไปจากความทุกฃจากอำนาจขอ่งกิเลส ต่าง ๆ ธรรมะไม่ใช่บทบัญฌตที่จะไปลงโทษผู้ล่วงลฺะเมีด; แต่ว่า บุคคลผู้ประพฤติผิดจากธรรมะจะได้.รับผลเป็นความเดือดร้อนด้วย ตัวของตัวเอง

www.kalyanamitra.org ๒. วิฟ้4i ได้แก่ ฃ้อบัญญติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญtpไว้ และ อภิสมาจาร คือมรรยาทที่ควรแก่การประพฤติปฏิบต1ห้สมศวร คือ เหมาะแก่ฐานะของตน โดยทรงวางไว้เป็นสิกขาบท เพื่อควบคุมการ ประพฤติปฏิบติของพุทธบ ให้ดำเนินไปโนทางที่ถูกด้อง เพื่อเป็น เครื่องบริหารรักษาตนและหมู่คณะ ให้มีระเบียบสมํ่าเสมอกัน ไม่ สับสน มีสัทษณะเหมีอนกับพวงมาสัยที่ร้อยไว้ดีแล้ว รูป ๒ ๑. มหาภูตรูป รูปใหญ่ ๒.อุปาทายรูป รูปอาศย รูป แปลว่า สิงที่เสื่อมสลายไป แปรปรวนไป, สิ่งอะไรก็ตาม ที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สูดดมด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกด้อง ด้วยกาย เหล่านี้รวมเรียกว่า รูป แปงออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ๑. มหาภูตรูป รูปใหญ่ ได้แก่.ธาตุทั้ง ๔ ดิน นํ้า-ไฟ ลม ประชุมกันตั้งขึ้นเป็นกองรูป รูปนี้เป็นรูปใหญ่ เพราะเป็นที่ตั้งอาศัย แห้งรูปยอย ๆ เมีอรูปใหญ่เสื่อมสลายไป รูปย่อยอันอาศัยรูปใหญ่ นนก็พลอยเสื่อมสลายไปด้วย ๒. อุปาทายรูป รูปอาศัย โดยความหมายแล้ว ก็คือสิ่งที่ เกี่ยวเนื่องอยู่กับดิน นํ้า ไฟ ลม นั่นเอง ท่านจาแนกเป็น ๒๙ ประ๓ท คือ: - ^ ปสาทรูป ๙ ได้แก่ จักชุประสาท ๑ โสตประสาท ๑ ฆาน- ประสาท'๑ ชิวหาประสาท ๑ กายประสาท ๑

www.kalyanamitra.org โคจรเป ๔ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏเพพะ ภาวิรูป ๒ ได้แก่ เตลีภาวะ ความเป็นหญิง ๑ ปุริสภาวะ ความเป็นุชาย ๑ :; หทยรูป คอ หัวใจที่ใหสำเร็จความคิด ' เวตรูป หมายเอาความเป็นอยู่ของร็างกาย อาหารรูปหรือโอชารูป . หมฺายถึงลิ่งที่เราได้รับประโยชนจาก อวิหารท็่ซมซาบเขาไปหลอเลี้ยงร่างกาย ปรืจเฉฬ่รูป คอ ชองว่างตาง ๆ ที่มีอยู่ในร่างกาย คิอ ช้อง ว่างระหว่างเซลล์ตาง ๆ ขอฬางกาย - รืญิญิตรูป ๒ ได้แก่ กายวญิญิต อาการที่.กายของบุคคล สัตว เคลิ่อน!หวได้เป็นด้น วิจีวิญ!P อาการที่พูตเปลงออกมาเป็นภาษา ต่าง ๆ ได้ วิการรูป ๓ ได้แก่ ลหุตารูป คือความเบาเคลื่อนไหวอย่าง คลองแคต่วิของร่างกาย มุหุตารูป คือความออนสลวย ก้ม เงย คู้ แขน เหยียตแขน ทาร่างกายไหเปลี่ยนแปลงได้ กัมมัญญาตารูป ๔ คือ อปจยเป ความรูสีกเจริญเติบโตขึ้น ด้วยเหตุ ด้วยป๋จจัย สันตติรูป ความเกิตที่สืบเนื่องกัน ชรตารูป ความครํ่าคํร่วิ อนิจจตา ความเป็นของไมเที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน รวมกันแล้วเป็นรูป ๒๙ คือฺ เป็นมหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๒๔ บางแห่งนิบโคจรฺรูปเพียง ๔ ยกเอาโผฏเพพะประเภทเดียว ออกเสีย จึงเป็น ๒๘ พอดี

www.kalyanamitra.org วิมดดิ ๒ ๑. ฬโดวิมุดด ความหลุดพ้นด้วยอำนาจนฟงใจ ๒.ปัญญาวิมุดดิ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา วิมุดสิ แปลว่า ความหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสแห่งจิต มี ๒ บ้าง ๔ บ้าง คือ ๑. เจโดวิมุดสิ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจ่แห่งใจ การ่แกใจให้ สงบ ผ่องใสเป็นการทำความเพียรทางจิตที่ใช้สสิเป็นหลัก เพึ่อสงบ ระงับนิวรณทั้ง ๔ มีวิธีแก ๔๐ วิธี.คือ กสิน ๑๐ อสุภ ๑9 อนสสติ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตธาตุววัฏฐาน ๑ อัปปมัญญา ๔ อรูป ๔ เมื่อแกจนได้ฌานแล้วจึงเจรฺญวิปัสสนำต่อ จดเป็นเจโตวิมุตติ คุณสมบ้ติ จะได้ คือ บรรลุวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทา ๔ ^ ๒. ปัญญาวิมุดสิ ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา การ แกใจให้เกิตปัญญาใช้ปัญญาพิจารณาเป็นหลัก (ภาวนามยปัญญา) ได้แก่ การพิจารณาขันธ์๔ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนทรีย.๒๒ ให้พิจารณา ตามสภาวธรรมของสามัญญลักษณะ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข เป็น อนตตาและคุณสมบ้ติจะได้ คือบรรลุพร่ะอรหัน่ตเป็นสุขวิปัสิสโก ลังขาร ๒ ๑. อุปาทึนนกลัง่ฃาร ลังฃารมีใจครอง ๒. อนุปาทนนก่ลังขาร้ ลังขารไฝมีใจฺครอง ลังขาร คือสิงที่ปัจลัยปรุงแต่งTOจากธาตุทั้ง ๔ มีติน นํ้า ไฟ ลม มี ๒ อย่าง คือ

www.kalyanamitra.org ๑i อุปาทินนกฐํh3ขาร สังขารมีใจครอง ได้แก่ สิ่งมีชีวิต 'ทั้งหลายประกออด้วยธาตุทั้ง๖ คือ ดิน นํ้าไฟ ลม อากาศ และ วิญญาณ เกาะกมกันเ'ข้า เรียกว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็น พรหม เป็นด้น สังขารเช่นนี้เรียกว่า สังขารมีใจครอง . สามารก่ เคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ตามด้องการ ๒, อ'นุปาทินนกสังขาร สังขารไม่มีใจครอง เมื่อกล่าวโตย สรุป ได้แก่ ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน นํ้า ไฟ ลม ประ'ชุมกันเข้า ส่วนย่อย ๆ เช่น ทิน ดิน ทราย จนใหญ่โตขึ้น เป็นแผ่นดิน ภูเขา ^ ด้นไม้ เป็นด้น ตลอตถึง รถ เรีอ และยานพาห'นะอื่น ๆ นานาชนิต สรุป รวมกันเป็นสังขารเหมีอนกัน คือสังขารที่ไม่มีใจครอง ไม่สามารถ จะเคลื่อนไห'^ไปไหน ๆ ได้ตามลำพงตวเอง . สมาธิ ๒ ๑.อุปจารสมาธิ สมาธิเป็นไปเฉียด ๆ ๒. อปปนาสมาธิ สมาธิอฺนแน่วแ'น่ สมาธิ คือการที่จิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ภายนอก ที่มากระทบจะอยู่นิ่งกับสิ่งใดสิ่งจำแนกเป็น.๒คือ ๑. อุปจารสมาธิ สมาธ1กล้ความสงบเข้าไป จิตของบุคคลคิด ฟ้งซ่วนไปมาในอารมณ์ตาง ๆ แต่พอมาเจริญสมศกรรมฐาน 'พิจารณา ธรรมเป็นอารมณ์ .พอถึงจุดหนึ่ง จิตจะสงบแ'น่วแ'น่อยู่กับอารมณ์ที่ กำ หนด ในช่วงที่จิตส่งบอยู่นน ถึอว่าเป็นอุปจารสมาธิ คือเฉียดใกล้. ความสงบเข้าไปยังไม่ดิ่งลงไปทีเดียวเป็นแต่เฉียดๆ (srAre/

www.kalyanamitra.org ๒. อปปนาสมาธิ คือครามสงบอันนน่าแน ลมลึกลงไปจฺน คัดอารมณฦายนอกไคื คฺวฺามสงบนี้แน่วแน่ไปจนถึงร่ะดมของณฺๆนฺ ถึอวาเข้าขั้นถึงอัปปนๅสมๅธิ จิดตั้งมั่นเฟวแน่ ดิ่งลงไปในอารมฟ้ นั้นไม่กอับกลอก ละเอียดสุขุมยิ่งกว่าอุปจารสมาธิ เรียกอีกอย่าง หํนึ่งว่า จิต่ เป็นเอกัคคตา สุข to ๑. กายิกสุข สุขทางกาย ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ สุข หมายถึง สภาพดิ่ทนได้ง่าย คือ ความสบายกาย สบายใจ มื ๒ อย่าง . ๑..กายิกสุข สุขทางกาย หมายถึง มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มาเบียดเบียน กฺนก็อร่อย นอนก็หํอับ ขับ ถ่ายก็สะดวก ไม่พิกลพิการ สามารลทุางานเลี้ยงข็พได้สะด่วก มีความ สุข \"ดงพุทธพจน์ที่ว่า อโรคุยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภ ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ หมายถึง เมื่อกายสงบ ใจก็มีความ สุข พบเจอแต่เรื่องคื ๆ มีประโยชน์!ม่ทำให้ใจขุ่นมัว หุงดหงิด เช่น ถ้อยคาที่ไพเรุาร^ เป็นด้น จนถึงความสุขทางใจในระคับสูง ร)ุ ขึ้นไป คือ สุขที่เก็ดจากปีติ โสมนัส.4งมีผลมาจากการ?เกกมมัฏฐานจนได้ สุปีที่เกิดจาก ฌาน มรรค ผล จนได้บรมสุข คือนิพพาน \"คังพุทธ พจํน์ที่ว่า นิพพานปรมํ สุข นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง\" g£๕:{ร

www.kalyanamitra.org จ ๑. สามสสุข สุขอิงอามิส lei กามคุณ ๒.ฉริามสสุข สุ่ฟ้ม่สิงอารสิ สิอสิงเนกขัมมะ สุข ในข้อนึ๊มีลักษณะคล้ายกันกับสุข่ ๒ ข้างตน ต่างกันแต่ เพียงจาในสุข๒ข้างตนทานกล่าวลงเฉพาะผลสือควฺามสุขอยางเดียว ล่วน่ในสุฃนี้ท่านทล่าวถึงเหตุของความสุขมีเป็น๒เหมีอนกัน่คอ . '๑. สามีส่สุข สุขรงอามีสนฉ หมายถึงกา\"เที่คนเ^ไล้รูปดี ชุ เสียงพีใพเtis; กลิ่นหอม ชุ ลัมผัสที่ตนพอใจิรัก่ใค่รก็จะเกิดควฺามสุข พระพุทธคาสนาไม่ไล้ปฏิเสธความสุขในระดับนี้ แต่ก็แส่ดงความจริงไว้ ว่า กามนั้น มีสุฃน้อย แต่มีทุกข้มาก ๒. นิรามีสสุข สุขไม่สิงอามีส่ สิงเนกขัมมะ ไล้แก่ ลัทษแแ; ทางุใจของบุคคลในบางเวลาสำหรับคนทั่วไป ที่สามารถไถ่ถอน ความกาหนัดั ความยึดติดในอารม่ณ์ที่ตนใคร่ ปรารถนา พอใจลงไป ไล้ จนทำให้จิตว่างจากความคิดในลักษณะนั้น เป็นสุขโดยไม่ล้อง อาศัยเหยื่อล่อ สุขปลอดโปร่งเพร่าะใจสงบหรือไล้รู้แล้วตามเป็นจริง หกฃ๒ ๑. การกทุกข์ ทุกข์ทางกาย ๒. เจตสิกทุกข์ ทุกข์ทางใจ ทุกข์ คือ สภ่าพที่ทนไล้ย่าก เมื่อถึอเอาความหมายอยาง ง่าย .ชุ ไล้แก่ ความไม่สบาย ความลำบาก ความเดือดร้อินแบ่ง ๙&๙

www.kalyanamitra.org ออกเป็น ๒ คือ ๑. กายิกทุกข ^คือุ ทุกข์ทางกาย คือ การที่กายมีภาวะไม่ปกติ มีโรคเบียดเบียน และ๓รไม่มีทรัพฺยเครื่องอุปคบริโภคใช้สอยอย่าง พ่ร้อมมูล ตลอดถึงความเหน็ดเห่นอยจากการประกอบกิจการงๆน เป็นต้น เรียกว่า ทุกข์ทางกาย ๒. เจตสิกทุกข์ ทุกข์ทางใจ คือ ความเห่อดแห่งํใจ ความพิไร รำ พัน ความเสียใจโทมฒั? การประสบสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความพลัด พรากจากสิ่งเป็นที่รัก ความปรารถนาที่ไม่สมห่วัง เห่ล่านี้เป็นทุกข์ทั้ง สิ้นอนึ่ง ใจที่ลูกฺไฟคือ กิเลส ไต้แก่ราคะ โทํสะ โมห่ะเผาอยู่จัดเป็น เจตสิกทุกข์ ทุกข์ทางใจ ทุกข์ ๒ ๑. อามิสทุกข์ ทุกข์ยิงอารส(คือกามสุข) ๒. นิรามีสทุกข์ ทุกข์ไม่ยิงอามิส(คือยิงเนกชมมะ) ทุกข์ แปลว่า สภาพที่ทนไต้ยาก มี ๒ ประการ คือ s ๑. อามิสทุกข์.ทุกข์ยิงอามิส คือ กามคุณ ๔ ที่งทางโลก ถึอว่าเป็นเครื่องอำนวยความสุข พากันแสวงห่าอย่างขะมฺกเฃม้'แ แท้ที่จริงแล้วสิ่งเห่ล่านี้ เป็นปอเกิดแห่งความทุก่ข์ แต่ถ้าไม่ใช้ บีญญาพิจารณาก็ยากที่จะเห็นสภาวะที่เป็นจริง ฟฺน ความรักเมื่อ แสวงห่าความรักไต้มาแล้ว ความเสียดาย่ต้องเกิดขึ้นทันที เมื่อของ รักจากไป ความโศก ความรํ่าไห่ ความเสียใจก็ประดงขึ้นมา นี่เป็น อามิสทุกข์ ทุกข์ยิงอามิส คือกามคณ <£๖๐

www.kalyanamitra.org to. นิรามิสทุทฃ์ ทุท'Clฟ่อิง9 คืออิงเนกขัมมะ^^ ว่า เใ^กขัมมะคือการออกบวช ได้แก่ กฺๆรฺทาใจ ไมให้ลุแก่ก่เลสกาม่ ไม ติดอยู่ในฺวฅถุกำม ผู้ที่ประกอบด้วยฺคุณธรรมข้อนี้ในพั้เด้นจะด้อฺงได้ร้บ ความทุกข์บ้าง ดวามทุกข์ชนิดนี้.เกิดชื้นในคราวแรก.ๆเท่านั้นขั้นต่อ ไปท็เหือดหายทลายเป็นความสุขออ่างสดชื้น นี้เป็นเรื่องนิรา.มิสทุทข์ ทุกข์ไม่อิงอามิส คือองเนกขัมมะ V สทธิ ๒ ๑. ปริยายสุทธิ หมดจดโดยเอกเทศ ๒. นิปปริยายสุทธิ หมดจดโดย.สิ้นเชิง สุทธิ ได้แก่ ความหมดจด หมายถึง ความบริสุทธิ้ที่เกิดขึ้น ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ท่านจำแนกเป็น ๒ ประการ คือ ๑. ปริยายสุทธิ ความหมดจดโดยเอกเท่ศนั้น คือ หมดจดเป็น บางส่วน การลฺะและการปาเพฺญยังไม่เติมที่, อ่อมไม่สามารถที่จะกำจัด กิเลสเหส่านั้นให้หมดสิ้นได้ เพราะกิเลสมีมากมายและมีหลายประเภท สำ ห^กิเลสออ่างละเอียดที่เรียทว่า สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเคฺรือง ผูกใจสัดว์ มีอยู่ ๑๐ ประการ พระโสดาบฺนมีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิพอ ประมาณ มีป็ญญาพอประมาณุ แสดงว่าเป็นความหมดจดโดยเอกเทศ เพราะท่านล่ะสังโยชน์!ด้เพียง ๓ ข้อ พระสกทาคามี ก็มีสักษณะออ่าง เดียวกันกิบพระโสดาบัน พระอนาคามี มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิบริบูรณ์ มีบัญญาบริบูรณ์ ท่านจึงหมดจดโดฺยเอกเทศล่ะสังโยชน์เบื้องตำได้ ^ ข้อ สังโยชน์เบื้องสูงอุก ๕ ข้อ ยังละไ' ^

www.kalyanamitra.org ๒. นิปปริยายสุทธิ หมดจดโดยเนเ สือสืเลสทั้งปวงถูก จำ กัดใหหมดสิ้นไปโดยไม่เหลือ และพระอรหัตมรรคร่งเป็นมรรด'เบื้อง สูงเท่านั้นจึงจะสามารถกำจัดไดโดยนัยฺนื้ พระอรหันต์ม่ศีลบริบูร่ถเ มี สมาธิบริบูรณ มีป๋ญญาบริบูรณ์ ท่านจึงมีความหมดจดอย่างุสิ้นเธิง ความบฺริสุทิธิ้หมดจดปราศจากเครื่องเศร้าหมองไจเช่นนี้ มีเฉพาะ พุทธบุคคล๓ ประ๓ทเท่านัน คือ ๑. พระสัมมาส้มพุทธเจ้า .๒. พระป๋จเจกพท่ธเจ้า ๓. พระอรหันตสาวก นอกจากนั้นเป็นพวกปริยายสุทธิ คือ หมดจดโดยส่วนหนึ่ง เพือให้เกิดความเข้าใจง่าย พุทธบุคคล ๓ ประเภท ข้อว่า นิปปริยาย- สุทธิ นอกนั้นชื่อว่าปริยายสุทธิ ป่ญหาและเฉลยธรรมวิภาค่หมฺวด๒ ๑.พระเสขะ ผู้ยงต้องศกษา คือสิกษาอ่ะไร ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะ อะไร? สอบ่ ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิลืลสิกขา ๒. อธิจึตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา เพราะเสร็จกิจอนจะต้องท่าแต้ว . ๒.กรรมฐาน๒ มีอะไรบาง มีอธิบายอย่างไร? ตอบ กรรมฐาน ๒ มี ๑. สมถกรรมฐาน ก้รรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ๒. วิปัสสนากรรมฐาน กรรม่ฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา อธิบายว่า สมถกรรมฐานเป็นกรรมฐานเนึ่องด้วยบริกรรมอย่างเดียว (£๖๒

www.kalyanamitra.org ไฝเกี่ยวกับป๋ญญๆ ส่วนวิกัสสนากรรมฐาน;เป็นกรรมรูๆนเนื่องดวย ทสสนะทางใจ ปรารภสภาวฺธรรมและสามัญญลักษณะ ๓. ตจป็ญจกกัมมัฏฐาน ได้แก่อะไรบ้าง จัดเป็นสมถะพรือวิบ้สสนา จงอธิบาย ? ตอบ ได้แก่ เกสา โลมา นฃา ทนด่า และฅโจ เป็นได้ทั้งสมถะและ วิมัสฺสนา ถ้าเฟงกำหนดกังจิตไห้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่ง พิจารณาถึงความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยูใด้ยากและทนอยูไฝได้ ต้องเลี่อมสลายไป!น่ที่สุด หรือให้ เห็นว่าเป็นอนัตตา บังลับมัญาไฝได้ ไมใช่ลัวตน พิจารณาเช่นนี้ เป็นวิบัสสนา ๔.ถาม และกามคุณ มีอธิบายอย่างไร? ดอบ กาม ได้แก่ ความใคร่ ความน่าปรารถนา ความพอใจ แบ่ง เป็นกิเลสกามและวัตถกาม กามคุณ ได้แก่อารุมณฺที่ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มี รูบ่ เลี่ยง กลิ่น รส โผฎเพ่พะ €งเป็นวัตถุกามนั่นเอง ๔.รูป เสืยุงกลิ่น รฺส โผฏฐพพะ ทั้ง๙ นี้ เพราะเหตุไรจิงเรียกว่า กามคุณ? ๑อบ รูป เสิยุง กลิ่น รส โผฏเพพะ เรียกว่ากามคุณ เพราะเป็น กส่มแหงกามและเป็นลิ่งที่ให้เกิดความสุข ความพอใจได้ ๖. ความเห็นว่าเที่ยุงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร มสิในทาง พรุะพัทธศาสนาเป็นเช่นไร่ จงอธิบาย? ตอบ เห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า คนและลัตวัตายแล้ว ช่วะไฝสูญ ต้อง เกิดอีกตอไป หรือเคยเป็นอะไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพ ๙๖๓

www.kalyanamitra.org ฮปไงนั้นไม่เฟรผัน ส่วฺนเห็นว่าข่าดสูญ คือเห็นว่าอัตภาพจุ่ติแล้ว เป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตวตายแล้วขาดสูญไปโดยปรฺะการทั้งปวง พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น มีความเห็นประกอบ ด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่าคนและ สัต่ว์ดายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอปูกับเหตุป๋จจัย ๗.ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความด้บไป เร่ใ^กษณะขอ่งธรรมอะไร สัตว์บุคคลมีสักษณะเช่นนั้นหรือไม่จงอธิบาย? ตอบ่ เป็นสักษณะของสังขดธรร่ม มีลกษณะเช่นนั้น คือ เมื่อสัต่ว์ บุคคล่เกิดมาแล้วก็เป็นความเกิดขึ้น ตอมาก็เจรืญเคืบโตฝานวัย ทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่เมื่อดายก็เป็นความดับไป ๘. สังขตธรรม คืออะไร มีสักษณัะอย่างไร? ตอบ คือธรรมอันป๋จจัยปรุงแดง มี สักษณะคือ)มีความเกิดขึ้น มีความดับไปในที่สุดและเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปร่ากฎ , ๙. บ่ข่ามีเท่าไร่ อะไรบ้าง การบูชาอย่างไหนนับว่าเป็นเลิศ เพราะ • เหตุไร? ตอบ บูชามี ๒ อย่าง คือ อามิสบูชา ๑ และปฏิป๋ตคืบูชา ๑ ปฏิบ้ดติบูชา นับว่าเป็นเลิศ เพราะพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ นัน'ด้อ่งอาศยมีผู้ปฏิบ้ตดามคำสอ่น ในพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มี ผู้ปฏิบ้คื พระพุทธศาสนาก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ถึงแม้จะมีผู้บูซาด้วย อามิสมากสักเท่าไร ก็ไม่อาจทรงพระพุทธศาสนาไว้ได้■ ๑๐.ปฏิสันถาร คืออะไร จงแสด่งวิธีปฏิสันถารตามความเที่ได้ศึสษ่ๆ มา ? ตอบ คือ การด้อนวับผู้มาเยึอ่นด้วยการ่พูดจาปราศรย หรือด้วย <£๖(2:

www.kalyanamitra.org การรับรองด้วยของต้อนรับตามสมควรด้วยไมตรีจิต ปฏิสันถาร , ที่ได้สิกษามาม ๒ อย่างสิอ . อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจดหาวัตถุสิ่งของ ต้อนรับ เช่น ข้าว นํ้า หรีอที่พก เป็นด้น รัมมปฏิสันถารปฏิสันถารด้วยธรรมได้แก่การแสดงการต้อนรับ ตามความเหมาะสมแก่ผู้มาเยือ่น หรีอการไห้คำแนะนำในสิ่งที่เป็น ประโยชน์ เป็นด้น ๑๑. ปวพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง? ตอบ ได้แก่ พระธรรม และพระวินัย ถ้าแจ่กเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ ๑๒.วิการในอุปาทายรูปมีกึ่อย่าง บอกมาให้ครบ? ตอบ วิการในอุปาทายรูป มี ๓ คือ ลหตารูป ความเบา อธิบายว่า รูปของคนยังเป็นฺ ไม่หนักดุจรูป ของคนตาย๑ มุทุตารูป ความอ่อนสลวย อธิบายว่า รูปยังปกติ มีลวข้อ อาจด้หรีอ เหยียดคล่องแคล่ว ไม่แข็งกระด้างดุจรูปของคนเจ็บคนตายแล้ว ๑ กัมมัญญตารูป ความควรแก่การงาน คือ ความคล่องแคล่ว ๑๒r สักฺษณะในอุปๆทายรูปมีกี่อย่าง อะไรบ้าง ตอบมาให้ครบ? ตอบ สักษณะในอุปาทายรูปมี ๔ คือ ๑. อุปจยรูป ความรู้จักเติบโตขึ้น ๒.สันตติรูป ความสืบเนื่องกน เช่น ขนเก่าหลุดร่วงไป ขนใหม่ เกดขึ้นแทน ๓. ชรตารูป ความรู้จักทรุดโทรม <๔๖๕

www.kalyanamitra.org ๔. อนิจจตารูป ครามไฝยั่งยืน '' ๑๔. มหาภูตรูปคืออะไร มีดวามเกี่ยวเนื่องกับอปทายฺรูปอยางไร? ตฺอบ คือ รูปทเป็น่ใหฟฟ็นประธาน อันประออบด้วยธาตุ ๔ได้แก่ ดิน นํ้า ไฟ ลม เป็นที่ตั้งอาศยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกวาอุปาท%รูป เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป อุปทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนนก็ แตกทำลายไปด้วย •. ๑๙.รูปในขันธ์ ๙ แบ่งเป็น ๒ ได้แก่อะไรบ้าง จงอธิบาอมาสั้น ๆ พอเขาไจ? ตอบ ได้แก่ มหาภูตรูปและอุปาทายรูป มหาภูตรูป คือรูปใหญ่ อันได้แก่ ธาตุ ๔ มีดิน•นํ้า ไฟ ลม อุปาทายรูป คือ รูปอาศัย เป็นอาการของมหาภูตรูป เช่น ปรุะสาท ๔ มีจักขุประสาทเป็นด้น โคจร ๔■มีรูปารมณ์เป็นด้น ๑๖. เจไตเมุตตกับบ้ญญาวิมุตติ ต่างกันอย่างไร? ตอบ เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุฌานมาก่อนแล้ว จังบำเฟ้ญวิบ้สสนาต่อ สวนบ้ญฌาวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่าน ผู้ได้บรรลุด้วยลำพังบำเพ็ญวิบ้สสนาล้วน อีก'mหนึ่ง เรียกเจโตวิมุตติ เพราะพ้นจากราคะ เรียกบ้ญญาวิมุตติ ^ เพราะพ้นจากอวิชชา ๑๗.วิมุตติคืบวิ^คข์ ต่างกันอย่างไร สมุจเนท่วิมุตติ มีอธิบายอย่างไร? ตอบ ต่างกันแตโดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจาก ราคะ โทสะโม;หะ ได้เท่ากันโดยอรรถ มีอธิบายว่า ความพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจ s อริยมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป ไม่กอับเกิดอีก . ๑๘. การท่าใจให้นึ่งคือมีอารมเน์เด็ยวจัดเป็นอะไร มีเท่าไร่ อุะไร บ้าง? ๙๖๖

www.kalyanamitra.org ตอบ การทำใฟ้ห้นิ่งมีอารมณเดียวจัดเป็นสมาธิ มี ๒ คือ ๑. อุปจารสมาธิ สมาธิเป็นแดเฉียด ๆ ๒. อัปปนาสมาธิ สมาธิอย่างแน่วแน่ อธิบายว่า สมาธิอันยังไม่ดิ่งลงไปแท้ เป็นแต่จวน ๆ จัดเป็น อุปจารสมาธิ ส่วนสมาธิอันดิ่งลงไปสุขุมกว่าอุปจ่ารสมาธิ จัดเป็นเอปปพสมจ่ธิ (£๖6/

www.kalyanamitra.org ติกะ คือหมวด ๓ อกศลวดก ๓ ๑. กามวตก ความนึกคดหมกมุ่นอยู่ในกามคุณ ๒.พยาบาทวิตก ครุ่นคิดอาฆาตพยาบาท ๓.วิหิงสาวิตก คิดหาทางผียตเมียพาอ?ทามเดือดร้อนนก'ผ้อื่น อกุศลวิตก หมายถึง ความตรึกนึกคิดไปในทางไม่ดืไม'งาม เป็นอกุศลจิต มี ๓ อย่าง ๑. กามวิตก ความนึกคิดหมกมุ่นอยู่ในกามคุณ หมายถึง y ความกำหนัดยินดีเป็นตัวกระตุ้นทำให้คิดใน\"รูป เสิยง กลิ่น รส เป็นต้น เกิดความโลภ เพงเล็งของผู้อื่น ทำ ให้เกิดความดิ้นรนอยาก ไต้มา อาจ่ทำให้ละเมิดดีลข้อ ๓ ไต้ จะกำจัดกามวิตกไต้ ต้องเจฺรึญ อสุภสัญญา นละสทารสันโดษ ดือ ยินดืในคุ่ครองของตน ๒. พยาบาทวิตก ครุ่นคิดอาฆาตพยาบาท หมายถึง คิด ทำ ลายล้างผลาญผู้อื่นอันมีโทสะเป็นเหตุ หากไม่อับยั้งก็จะเป็นเหตุให้ ทำ ความชัวต่าง ๆ เช่น ก่อการทะเลาะวิวาท ทำ ร้ายฺร่าง่กาย จนถึงกำร. ฆ่าฟันกันไต้ ตังนั้นผู้ที่มักหงุดหงิดง่าย ช่นเคืองง่าย โกรธง่าย ต้องรึบ (£๖Co

www.kalyanamitra.org แก้ไข ด้วยการพิจารณาเห็นโทษเห็นภยของความโmธ่ และหมั่นเจริญ เมตตาอยู่บ่อยๆ ๓. ริห็งสาวิตก คิดหาทางเบียดเบียนก่อความเดือดร้อนแก่ผู้ อื่น หมายถึง การเบียดเบียนทไม่คำนงถึงความทุกขยากลาบาก ของผู้อื่น ขาดความเมตตาปราณIนจิตใจ เป็นการคิดหาความสุข บนความทุกฃผู้อื่น จะแก้ไขตรงนื้!ด้ด้องมีความกรุณา เอาใจเขามา ไสใจเรา เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด เขากรักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น กุศลวดก ๓ ๑. เนกขัมมวิตก คิดออกจากกาม ๒. อพยาบาทวิดก คิดไนทางไมพยาบาท ๓. อวิห็งสาวิตก ไฝคิดฒุยดเบียนใคร กุศลวิตก หมายถึง การตรึกนึกคิดไนทางที่ดืงาม (ฉลาด ในการคิด) เป็นกุศลจิต มี ๓ อย่าง ๑. เนกขัมม่วิดก คิดออกจากกาม หมายถึง การไมให็จิตตก อยู่ในอำนาจของกิเลสกามและวัตถุ่กาม อํนเป็นเหตุทาให้เดือดร้อน เป็นความทุกข์ทงปวง วิธีที่ดีที่สุด คือ การออกบวชบ่ระพฤดืพรหม จรรย ร่งเป็นการพรากจิตออกจากกามได้ดืที่สุด ๒. อพยาบาทวิดก คิดในทางไม่พยาบาท หมายถึง การ่ นึกคิดแต่เรื่องสร้างสรรคํก่อให้เกิดความสามัคคี มีความรักปรารถนาดี มีความเมตตาต่อผู้อื่น ทำ ได้อย่างนี้จิตใจจะผ่องใสเยือกเย็นแม้มี เรื่องกระทบกระ.ทั่งก็จะระงับได้ง่าย เพราะรู้จักให้อภัยส์งกันและกัน มีจิตเมตตา <£๖๙

www.kalyanamitra.org ๓. อวิหิงสาวิตก ไฝคดเบียดเบียนใคร หม่ายถึง การคิด ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากทุกฃฺ 'คิดแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลให้ใต้รบค!ฐาม สฃฒื่อเขามีทุกข์ ต้วยคิดมีคว่าม่กรุณา อัคคิ ๓ ๑. ราอัคคิ ไฟคือราคะ ๓. โมอัคคิ ไฟคือโมหะ อัคคิ. แปลว่า ไฟ หมายถึง กิเลสภๆยในคิดใจ เป็นไฟเผา คิดใจ์มนุษย์ให้เร่าร้อุน สาม่ารฤเผาไต้ทุกสิ่งทุกอย่าง มี ๓ อย่างคือ ๑. ราอัคคิ ไฟคือราคะ หมายถึง กิเลสที่มีความกำหนัดรักใคร่ ในกามคุณ ๔ เป็นอัวเผาลนคิตใจให้^^งซ่าน หลงมัวเมาอยู่ในกาม เป็น เหคุให้คิดใจเศร้าหมอง เพราะมัวคิดหมกฝนอยู่แต่กามารมณ ราอัคคิ จะอับไต้ดฺว่ยการเจริญอสุภสัญญา ๒. โทสัคคิ ไฟคฺอ่โทสะ หมาย่ถึง กิเลสหี่มีความโกรฺธ คว่าม ขัดเคือง ไม่พอใจ เป็นเหดให้หงุดหงิด ฉุนเคิยว เจ้าอารมณ นุงทาร้าย ผู้ที่ดนไม่พอใจ เป็นการแก้แต้นต่อผู้ที่เข่าทำกิบดนไว้ โทสัคคิ;จะอับไต้ ต้วยการเจริญเมดดาพรหมวิหาร และ อัปปมัญญาภาวนา ๓.โม่อัคคิ ไฟคือโม่หะ หมายถึง กิเลสที่มีความสุมหลงไม่เ จริง เห็นผิด่เป็นช่อบ เป็นเหดุให้หลงผดกํอให้คิดเศร้าหม่องจนถึงกบ ไม่ร้ว่าอะไรบุญ อฟ้,รบาป เป็นต้น ย่อมเผาคิดใจให้เร่าร้อน ฟะนันั โมอัคคิ จะอับไต้ต้วยการเจริญสมาธอยู่เป็นประจำจนมีความ่เห็นัห็ถูก QETG/O

www.kalyanamitra.org ตอง{ส้มJ4าทิฏแกิด) . ; ^ อต&ะ หรือฟ่?ะโยชน (๓ ๑. ทิฏเธัมมิภัตถะ ปรฟ้อช'iflนภพนี้ ๒. ส้มปรกยิภัตถะ ประโยช'ifi'แภพหน้า ๓. ปรมัตถะ ประโยชน้อย่างยอดคอพระน้พพาร:เ. ภัตถะ หมายถึง; ประโยชน์ .ผล'ที่ยุ่งรรมายหรือจุดหมายที่ พระพทธเจ้าทรงแสูดงธรรมสั่งสอุนชุฑธมรืษ้ห, เพอใ'ท้ใด้รบประโย'ชน มี ๓ ประการ คือ ๑. 'ทิฏฐธัมรภัตถะ ประโยช'lH'แภพนี้ ได้แก่ ประโยชน์ที่ ' บุคคลจะ'พึงได้!นปัจจุบัน ที่งเป็นที่ด้องการของบุคคล'ทั้ง'หลาย คือ ความสุขจากการใ'ห้ทา'แ จากการรักษาศีล จากการ'สั่งสมาธิ ความ สุช่จากการุ่มีทรัพย ความสุขจากการจ่ายทรัพย ความสุขุที่ไฝต้อง เป็นหนี้ ความสุขจากการ'ทำงานที่ไฝมีโทษ ความสุขเ'ช่นนี้ จะมีไต้ ต้องประกอบ.ด้วยความขยัน มีการเก็บรักษาทรัพย์ที่ได้มา คบเพื่อน ที่ดี .เสัยงรวิตตามฐา'แะจัดเป็นประโยชน์!นบัจจุบัน ๒. ส้มปรายภัตถะ ประโยชน์!ร่เภพหน้า ได้แก่ ผลบุญที่เรา ไต้สั่งสมไว้ในชฺาตินี้ด้วยกๆรใหุ้ทาน รักษๆคืล และสั่งสมาธิเจริญ ภาวนา เป็นด้น-แป็นหลักประภันชีวิตในภพหน้า ว่าเมื่อเราละโลกนี้ ไปแล้วก็มีสุคติโลกสวรรคเป็นที่ไปอย่างแน่นอน จะสำเร็จได้ด้วยธรรม ๔ ประการ คือ ถึงพร้อมด้วยสรทธา ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วย การบริจาคและถึงพร้อมด้รย่บัญ่ญา ๙๙๑.

www.kalyanamitra.org ๓. ปรมตถะ ประโยชน์อย่างยิ่ง ได้แก่ พระนิพพาน รุ่ง หมายถึงการํดับกิเลสมีราคะ โทสะ โมหะ เป็นด้น อันเป็นเหตุให้ เกิดความร้อนใจทั้งปวง ปรมัตถะนี้เป็นประโยชน์อันสูงสุดที่ผูปฏิป๋ต ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะพึงได้ อธิปเตยยะ ๓ ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒;โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ๓.ธมมาธิปเตยยะ ค่วามมีธรรมเป็นใหญ่ อธิปเตยยะ หมายถึง ความเป็นใหญ่ เป็นความด้องการมี อำ นาจ ๓ ประ๓ท ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ หมายถึง การยึด ตนเองเป็นใหญ่นึกถึงประโยชน์ที่ตนจะได้ร้บ เช่น เกียรติยศ รุ่อเถึยง คิวามมีหน้ามีตา เป็นเหตุให้เป็นคmห็นแก่ดัวได้ เป็นด้นอย่างนี้เม่ดี ถ้าจะให้ดีด้องปรารภตนว่า เราขัดสนในชาตินี้ คงจะเป็นเพราะว่า เรา ไม่ได้ทำทานทำบุญกุศลในชาติที่แล้วเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลยเราเริ่มทำ บุญเลยดีกว่า ปรารภตนอย่างนี้ เพื่อจะได้ประสบสุขในภพหน้า ๒. โลกาธิปเตยยะความมีโลกเป็นใหญ่หมายถึงการถึอเอา ความติดเห็นของคนส่วนมากเป็นประมาณ ทำ ตามกระแสสังคมนิยม เช่น เราไม่อยากจะทำบุญ แต่เมื่อคนส่วใ4มาก หรือเพื่อนว่วมงานเขา ทำ อันหมด ค^ไม่ทำก็เกรงว่าจะถูกคำหนิติเตียน ก็เลยทำตามเขาไป อย่างนั้น การทำเซนนี้ก็เป็นเหมีอนดาบสองคมได้ คือ ถ้าเถึยงส่วน (ร:๙๒

www.kalyanamitra.org ใหฌมรจ่^กผูมีศีลมืธรร่มก็เป็นคุณํแก่เรท แต่ถ้าตรงก็นข้ามก็เป็นโทษ แก่เราได้ ^/ ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ครามมีฐรรมเป็นใหญ่ หมายถึง การ กระทำที่ยึดหลักธรรม หลักการตลอดถึงวิธีการที่ถูกด้อง มีเหตมีผล เป็นใหญ่ ประกอบด้วยป๋'ญญาทำดีเพื่อความดีจริง ๆ ไม่ยึดถึอตาม คนข้างมาก หรือความปรารถนาของตนที่ไม่ถู่กด้อง การยึดธรรม เป็นใหญ่นี้ประเสริฐที่สุดฺ เพราะมุ่งประโยชนสุ'ขในส่วนเดียว ก่อให้ เกิดความยุติธรรม อนุตตริยะ ๓ ๑.ทัสสนานุตตริยะ ความเห็นลันยอตเยี่ยม เร่. ปฏิปทานุตดฺริยะ การปฏิบตลันยอตเยี่ยม ๓.วิมุตตานุตตริยะ การพ้นลันยอตเยี่ยม อนุดตริยะ แปลว่า ภาวะลันยอดเยี่ยม สิ่งที่ยอดเยี่ยมหรือ ■คุณธรรมที่ยอดเยี่ยม จำ แนกไว้เป็น ๓ ประการ คือ .๑. ฑัสสนานุตตริยะ ความเห็นลันยอดเยี่ยม ได้แก่ การเห็น ธรรมที่เป็นความรู้ความเห็นระดั่บญาณที่เกิดพึ้ภายในใจของบุคคล ด้วยการนั่งสมาธิการปฏิบด อย่างที่ทรงแสดงว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้ นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต แม้การเห็นพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ก็ชื่อว่าเป็นการเห็นอย่างยอดเยี่ยม ๒.ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิ^ลันยอตเยี่ยม ได้แก่ การปฏิบติ ในไตรสิกขาทั้ง ๓ มีการสำรวมระวังในศีล การปฏิบติพัฒนาจิตให้ aie/en

www.kalyanamitra.org ปริสุ่ฑสัจากนิว่รณทั้งหลาย เป็นต้น และกฺารปเบสิเซฺนนี้ ถือว่าเป็น ยอดกว่าการปฏิบสิทั้งหลาย ๓. วิมุตตานตต่ริยะ การฟ้นอนยอดเยี่ยม ไต้แก่ การพัน จากกิเลสอาสวะอยางเด็ดฃาด่ เป็นอกุปปธรรฺม คือไมกลับมากำเริบ อีกเพราะการปฏปัสินี้น อภิสงฃาร ๓ ๑.ปุญญาภิลังฃาร อภิลังขารคือบุญ ๒. อปุญญาภิลังขาร อภิลังขาร คือบาป ๓. อเนญชาภิลังขาร อภิลังขาร คืออเนญชา อภิลังขาร หมายถืง สภาพที่ปรุงแต่ง ผลแหงการกระทำ ขอฺงบุคคล มี ๓ ปริะการิ คือ ๑. ปุญญาภิลังขาร อภิลังขาร คือบุญ ไต้แก่ สภาพที่ปรุงแต่ง ฝ่ายคื คือผลบุญที่เกิดจากการไททาน รักษาคืล และนี้งสฺมาธิเจริญ ภาวนา เป็นต้น ที่เราไต้ส์ง์สมฺไว้ไนภพชาสิต่าง ๆ หรือไนชาดนี้ส่งผล ไนชาสินี้ ปรุงแต่งไหเรารวย มีร่างกายที่แข็งแรง และมีป๋ญญ่าที่ .เฉลยวนลาด ไมีมีอุปสรรคไนการดาเนนข็วิต ไนชาติหน้าส่งผลไหเกิด ในอุคติภูมีมีสวรรต้เป็นต้น ๒. อปุญญาภิลังขาร อภิลังฃาร คือบาป ไต้แก่ ส่ฦาพที่ปรุง แต่งฝ่ายชั่วคือผลบาปที่เราไต้ทำไว1นภพชาติต่าง ๆ หรือไนชาตินี้ส่ง ผลไห!นชาตินี้เกิดมาจน เพราะไม่ไหทาน โรคภัย่ต่าง ๆ เบียดเบียน เพราะไม่รักษาคืล มีปัญญาไม่เฉลียวฉลาด เพราะไม่นั่งสมาธิ เป็นต้น (sre/or

www.kalyanamitra.org ในชาติหน้าส่งผลให้เกิดในทุคติภูมิ มนรก ฟ้นต้น ca. อเนฌชากิสังขาร อกิสังฃฺารคือเนญชา ได้แก่ ความไม หวั่นไหว เป็นสภาพปรุงแต่งภพที่มั่นคง ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็น อรูปวจร. ๔ หมายเอาภาวะจิตที่แน้นอนุมั่นคงด้วยพลังสมาธิ จาก จตุตถฌานไปจนบรรลุอรูปฌาน ๔ ฌ่านุใดฌานหนึ่ง อ่าสวะ ๓ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม tei. ภวาสวะ อาสวะคือ่ภฬ tn. อวชชาสวะ อาสฺวะคือจิซชา อาสวะ แปลว่า กิเลสเครึ๋องหมกดองอยู่ภายในจิตสันดาน ชองสัตว์ ■และไหล่รมร}านไปย้อมจิต ■เมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ มี ๓ ประการ คือ •- . ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ได้แก่ ความใคร่ ความก่าหนัดฺ ยินดในรูป เสิยง กลิ่นรสโผ่ฏ่ฐฟพะ•■ที่ใจของตนกำหนดว่า น่าใคร่ น่าปรารสนาน่าพอใจ ^ ๒. ภวาสวะ อ่าสวะคือภพ ได้แก่ ความร่นชมยินดี ความ กำ หนัดยินดีพอใจอยูใน่รูปภพและอรูปภพ ความติดใจในฌานสมาบด ๓. อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้ตามความ เป็นจริงของลิ่งนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไร ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔ อาสวะทั้ง ๓ นี้ พระ'พุทธเจ้า พระอร'ค'นุต ท่านละชาดด้วย อาสวักขยญาณฺ คือญาณที่ทำให้อาสวะหมดสิ้นไป <£0๕

www.kalyanamitra.org กรรม ๓ ๑ กายกรรม กรรมทาทางกาย ๒.วเกรรม กรรมทำทางวาจา ๓. มโนกรรม กรรมทำทางใจ กรรม หมายถึง การกระทำ ในที่นื้Iช้เป็นคํๆกลาง ๆ หมาย ถึงส่วนดีก็ได้ ส่วนชั่วก็ได้ ถ้าทำดีก็เป็นกุศลกรรม ถ้าทำไม่ด้ ก็เป็น อกุศลกรรม กรรมชั่ว มี ๓ อย่าง คือ ๑.กายกรรม กรรมทำทางกาย ถ้าเป็นกรรมดี/ก็เป็นกายสุจริต มีไม่ฆ่าสืตว์ ไม่ล้กทรฺพย ไม่ประพ่กุดีผิดํในกาม ถ้าเป็นกรรมชั่ว ก็เป็น กายทุจริต มีฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ประพฤติผิตในกาม ๒. วจีกรรม กรรมทำทางวาจา ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดี ก็เป็น วจีสุจริต มีไม่พูดเท็จ ไม่พูด่ส่อเสียด ไม่พูดคาหยาบ; ไม่พูดเพ้อเจ้อ ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชัว ก็เป็นวจีทุจริต มีพูตเท็จ พูดส่อเสียต่ พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ. ๓. มโนกรรม กรรมทำทางใจ ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดีท็เป็น มโนสุจริต มีไมโลภอยากได้ของคนอื่น' ไม่พ่ยาบาทปองร้อยคนอื่น เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว .ก็เป็นมโนทุจริต มีโลภอยากได้ของคนอื่น พยาบาทปองร้ายคนอื่น เห็นผิต่จากทำนอง คลองธรร๙ ทวาร ๓ ๑. กายทวาร ทวาร คือ กาย (Te/b

www.kalyanamitra.org ๒,วจีทวาร ทวาร คือ วาจา ๓. มโน่ทวาร ทวารคือ ใจ - ทวาร แปลว่า ชอง หรือ ทางอ่อภ อันฟ็นที่มาแห่งความดี หรือความชว ก็ได้ท่านจำแนกไว้เป็น ๓ทางคือ ฉ่^กายทวาร ทวารคือก่าย ได้แก่ การกระทำทางกาย เชน การ่ฆ่าสตว้ การลกทรัพย การประพฤติฝ็คในกาม จัดเป็นกายกรรม ใ^ห่คนอนท่า จัดเป็นวจีทวาร ก่ายทวารนี้ ถาแสดงออกในด้านดีก็ เป็นกุศลกรรม ๒. วจีทวาร ทวารคอวาจา ได้แก่ การแสดงออกทางฺวฺาจา เช่น พดโกหฺก่ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพอเจ้อ จัดเป็นวจีทวาร ถ้ว่ทำ ก่ายวิการ เช่น พอักร้บ หรือสั่นศรษะ จัดเป็นกายทวาร วจีทวาร นี้ถาแสดงออกในด้านดี ก็จัดเป็นกุศลกรรม ๓, มโนทวาร ทวารคือใจ ได้แก่ ความดีดทางใจ เช่น ดีดโลภ อยากได้ของคนอื่น ดีดพยาบาทปองร้อยคนอื่น เห็นผิดตามทำนอง คลองธรรม จัดเป็นมโนทวาร มโนทวารนี้ถ้าแสดงออกในด้านดี ก็จัด เป็นกุศลกรรม ญาณ ๓ ๑. อดีสังสญาณ ญ่าณในส่วนอดีต ๒. อนาคดังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต ๓.ป๋จจุปอันนังสญาณ ญาณในส่วน!โจจุบัน <zr๙๙

www.kalyanamitra.org ญๆณ คอ ความเพรือป๋ญญา ร่งเกิคเนภายในเตใจของ บุคคล สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจเงในิสิ่งเหล่านี้ ตามความเป็นจริง ทั้งในอดีตอนาคตป้จจุบันท่านจัคไวเป็น๓ประการ คือ ภพก่อน ชาติก่อน ตนเคยมีฐานะอยางไร ประสบความสุฐ! ความ ทุกขอย่างไร ต่อจากนั้นไค้เกิคไนภพในชาตินนอย่างไร เป็นต้น ๒. อนาคตงสญาณ ญาณในล่วนอนาคต ไต้แก่ บัญฌา ความรู้ที่เกิดขึ้น สามารถบอกเหตุ คือ การกระทำในบัจจุบัน และ สามารถคาดหมายผลที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตไต้ว่า เมื่อทำอย่างนี้ ผลที่ไต้รับต้องเป็นอย่างนี้เป็นต้น ๓. บัจจุปบันน้งสญาณ ญาณในล่วนบัจจุบัน ไต้แก่ บัญญา ความรู้ที่เกิดขึ้นในขถk;นั้น ๆ ว่า ควรทำอย่างไร เมื่อเกิดเหตุถฺารณขึ้น ในทันทีทันใด แม้แต่ความรู้ที่บังเกิดขึ้นในนามรูป กิสามารถรู้เท่าทัน นวมรูปว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุก่ข เปลี่ยนแปลงไป.เป็นธรร้มดา และ เกมารถปล่อยวางความยึดติดImทมรูป&เสียได.เป็นค้น ผาณ ๓ ๑. ส์จจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจสันควรทำ ๓.กดญาณ ปรีชาหยั่งเกิจสันุทำแล้ว ญาณ หมายสิง บัญญาหยั่งร้ในฺสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็น จริงในอริยสัจ ๔ ขึ้งเกิดขึ้นในจิตของผู้เติมเปียมบรีบุรณต้วยคืล

www.kalyanamitra.org สมา! ฟ้ญญๆ เป็ใฟ้ญญาเแจ้งที่ทำเใหเรใ^ระพุทธเจ้า มี ๓ ประการ(อริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ) ๑. สัจจญาณ ปริชาหยั่ง!อริยสัจ คือ ป๋ญญาที่กำหนด!ว่า ทุกข์ คือ ความไฝสบายกาย ไมสบายใจ เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก ปัญญาที่กำหนด!ว่า ส์มทย คือ กามตณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นเหตุใฟ้เกิด้ทุกข์จริง ปัญญาที่กำหนด!ว่า นิโรธคือ ตับตัณหา ๓ ได้โดยสิ้นเชิง ปัญญาที่กำหนด!ว่า ม่รรค คือ ปฏบติตามม่รรศมีองค ๘ แนวทางให้ถึงความตับทุกข์ได้จริง ' ๒.กจจญาณปริชาหยั่ง!กจอันควรทำ คือ ปัญญา!ถึจอนควรทำ เว่าทุกข์เป็นธรรมช่าตัที่ควรกำหนด! ปัญญา!กิจอันควรทำ!ว่าสมุทํยเป็นสภาพที่ควรละ ปัญญา!กิจอันควรทำ รู้ว่านิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ปัญญาเกิจอันิควรทำ รูว่ามรรค เป็นธรรมชุาตที่ควรทำให้ เกิดชื้น ๓.กดญาณ ปริชาหยั่ง!กิจอันทำแลว คือ ปัญญา!กิจอันทำแลว!ว่าทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนิด้เ เราก็!แล้ว ปัญญ่า!กิจอันทำแลว รูว่าสทุ่ทํยเป็นสภาพที่ควรละ เราก็ ^ v ,V ล เว ปัญญารูกิจอันทำแล้ว รู้ว่านิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง เรา ก็ทำ ให้แจ้งแล้ว <2*6/๙

www.kalyanamitra.org ปัญญารู้กิจอันทำแล้ว รู้วามรรฺคเป็นฮรรมชาติที่ควรทำใหเกิด เราก็ทำให้เกิดแล้ว ตณหา ๓ . ๑. กามตัณหา ความอยากในกามคุณ ๒. ภวตัณหา ความอยากในภพ ๓. วิภวตัณหา ความอยากพ้นฺไปจากภิพ . ตัณหา หมายถึง ความทฺะยานอยาก ดิ้นรน แสวงหา เป็น คฺวามอยากเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงความรุนแรง มี;๓ อย่าง ๑. กฺามตัณหา คุวามอยากในกามคุณ หมายถึง คุวามอยาก เนกามทซกชวนให้รกเคร่ เห้ยนด ไห้พวพน ลุ่มหลง ทำ ให้ติดอยูเน กามภพ ๑๑ ภูมิ ได้แก่ สวรรค,๖ ชัน้ มนุษฺย ๑ อบายภูมิ ,๔ ที่งยัง่ ด้องเสพกามอยู่ ๒. ภวตัณหา ความอยากในภพ หมายถึง อยากมีอยากเป็น ตามใจด้องการ เซ่น อยากมีอำนาจ มีชื่อเสียง มีฐานะดี ๆ เป็นด้น รวมถึงการดีดอยู่ในฌานสมาบติที่ทำให้เกิดในรูปภพ และอรูปภพ เป็น ความยินุดีที่ประกอบด้วย สัสสตทิฏเ ความเห็นว่าเที่ยง ๓. วิภวตัณหา ความอยากพ้นไปจากภพ หมาย่ถึง ความไฝ อยากในภพ ไม่อยากเป็นนั้นเป็นนี้ ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ กับสิ่งที่มี อยู่ เบื่อหน่ายเป็นความอยากไปจากภพที่ประกอบด้วย อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ (ตายแล้วไม่เกิด) (£CSO

www.kalyanamitra.org รV ■5 ทิฏเ ๓ ^ ๑. อกิริยทิฏฐ ความฺเห็นว่าไฝเป็นอันทำ ๒. อเหดุกทิฏเความเห็นว่าสรรพสิงไฝมีเหตุไฝมีป๋จจย ๓.นัตถิกฑิฏเ ดวามเห็นว่าไฝมี ทิฏเ ได้แก่ ความเห็น ความเห็นในที่นี้ ได้แก่ ความเห็นผิด ที๋เรียกว่า มิจฉาทฎเ มี ๓ ประการ คือ ๑. อกิริยทิฏเ ความเห็นว่าไฝเป็นอันทำ เป็นความเห็นของ ทานปูรณกัสสปะ ปฏิเสธการกระทำต่าง ๆ ไฝว่าจะเป็นการทำความ ดีหรือความชั่ว แม้วิญญาณเองก็อย่เฉย ๆ ไม่รับรู้การกระทำนั้น ๆ ดังนั้นเมื่อกรรมดี หรือกรรมชั่วไม่มีแล้ว ผลจากกรรมดี หรือผล จากกรรมชั่วทเรืยกว่า บุญ บาป จึงไฝมีด้ว่ย ๒. อเหดุกทิฏเ ความเห็นว่าสรรพสิงไม่มีเหตุไม่มีป๋'จจย เป็น ความเห็นของท่านมักขสิโคสาล ทิฏเนี้แสดงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ของคนคนนั้นไม่ว่าจะเป็นคว,ามสุข. ความทุกข ความบรืสุทธิ้ ล้วน เกิดฺขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุปัจจัย ๓. นัดสิกทิฏเ .ความเห็นว่า ไม่มี เป็นความเห็นของท่าน อชีตเกฺสกมพลที่เป็นการปฏิเสธทั้งเหตุทงผล โดยสรุปว่า บุญ บาป การกระทำ ผลของการกระทำไม่มี โลกหน้าไม่มี สัตว์ทั้งหลายสิ้น สดลงที่ความตาย เทพ ผ ๑. สมมติเทพ เทวดาโดยส่มมติ <£€พ็โ๑

www.kalyanamitra.org ๒. อุปป๋ตติเทพ เทวดาโดยกํวเนิด ๓.วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ้ เทพ หมายถึง ผู้ประเสริฐ ผู้ที่อยูในฐานะส่งสุดกว่าบุคคลอื่น โดยชาติ โดยคุณธรรมและความดี ร่งท่านแบ่งออกเป็น ๓ ชั้นด้วย กฺน คือ ๑. สมมติเทพ เทวดาโดยสุมมติ ได้แก่ บุคคลผู้มีชาติตระถูล สูง มีคุณธรรมความดีมาก ซึ่งได้รับยกย่องไว้ในสถานะสูงสุดของทาง บ้านเมีอง หมายถึง พระราชามหากษตริย พระราชโอรส พระราชฺธิดา เป็นด้น ๒. อุปบ้ตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่ บุคํคลที่ได้บำเพ็ญ คุณงามความดี มีการรักษาคล เจริญภาวนา เป็นด้น คุณธรรมความดี ที่ได้บำเพ็ญมา นำ ไปให้บงเกิดในสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง เช่น เป็น ไ\" . ะ 3^' . ภุมมเทวดา รุกขเทวดา อากาสเทวดา และเทวดา ๖ ซ้น รวมทัง รูป พรหม ๑๖ชั้แอรูปพรหม๔ชั้น ๓. วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ้ ได้แก่ บุคคฺลที่ท่า ตนให้บริสุทธิ๋หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย จนํบรรลุ พระอฺรทัต มี ๓ ประ๓ท มีพระสมมาส้มพุทธเจ้า พระป๋จเจกพุทธเจ้า พระอรหนตสาวก ธรรมนิยาม ผ ๑. สังขารทั้งปวง ไฝเที่ยง ๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ ๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัดดา GETCSte

www.kalyanamitra.org ธรรมนยาม แปลว่า ความฟ้นไปอันแน่น;อนโดยธรรมดา หรือ เป็นกฎธรรมชาติที่ต้องเป็นเซ่นนั้นแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น ทานจำแนกไว้เป็น ๓ ประการ คือ. ๑. สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารในที่นี้ ไต้แก สภาพที่ป๋'จจัย ปรุงแต่งทั้งที่มีใจครองและไม่มีใจครอง มีการเกิดขึ้นในเบื้อฺงต้น มี ความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีความแตกสลายไปในที่สุด ๒. สังขารทั้3ปวงเป็นทกฃ์ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดมาจากเหตุป๋'จจัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยลำพังตนเอง มีองค์ประกอบ มเหตุป๋'จจัยเป็นอัน มาก สร้างให้เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก ทั้งประกอบด้วยความ เดอดร้อนนานาประการ เป็นสภาพที่ทนอยู่ไต้ยาก ๓. ธรรมทั้งปวงเป็นอนัดดา ธรรมทั้งหลายนั้น ท่านหมายเอา สังขารและกิสังขาร สังขารคือส่วนของโลก กิสังขารคือส่วนของพระ นั้พพาน ทั้งสังขารและกิสังขารกิเป็นธรรม ดงนั้น จึงทรงแสดงว่าธรรม ทั้งปว้งเป็นอนัตตา เพราะธรรมทั้งหลายนั้นไม่อยูในอำนาจของใคร ส่วนกิสังขารที่เป็นนิพพานนั้น . เพราะนิพพานกิจัดว่าเป็นอนัตตาไมใซ่ ตัวตน แต่เป็นของมั่นคง ไม่แปรผัน และไม่ประกอบด้วยทุกข์ ตังนั้น สังขารในแง่ของโลก .จึงเป็นข่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ส่วนกิสังขาร คือ พระนิพพาน เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอนัตตา เพราะว่างจากตัmหา จากกิเลสนานาประการ นิมิต๓ ๑. ปริอัมมนิมิต นิมิตในบริกรรม ๒. อุคคหนิมิต นิมิตุติดดา ๓. ปฏิฦาคนิมิต นิมิตเทียบเคียง (£00๓

www.kalyanamitra.org นิรต แปลวา เครึ๋องหมาย เครื่องfไาหนด ที่สำ หรบเพ่ง มี ๓ อย่าง ๑. ปริกัมมนิมิต นิมิตในบริกรรม ห่รือเครื่องหมายสำหรับ เพ่งเซ่นเพ่งปฐวีกสิณ แล้วบริกรรมว่าปฐวีๆ . ๒. อุคคหนิมิต นิมิตสิตตา หมายถึงเครื่องหมายที่กำหนด ได้หลังจากเพ่งบริกรรมนิมิต โดยไม่ด้องอาศัยนิมิตเดิม และไฝด้อง บริกรรม หลับตานึกนิมิตได้เหมีอนกับลืมตาเห็น ๓. ปฏิภาคนิมิต .นิมิตเทียบเคียง หมายถึงเครื่องหมายที่ กำ หนตได้ในใจอย่างละเอียดลึก'เง ปรากฏชัดใสสว่าง สามารถย่อ ให้เล็กลงหรือขยายให้ใหญ่ขุนได้ นิมิต ๒ อย่าง คีอ บริกรรมนิมิต และอุคคหนิมิต ได้ที่วไปใน กัมมัฏฐานทุกอย่าง สํวนปฏิภาค^ตนั้นได้เฉพาะในกัมมัฏฐาน ๒๒ อย่าง คีอ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายคตาสสิ ๑ อานาปานสสิ ๑ ภาวนา ๓ . ๑. ปริกัมมภาวนา ภาวนาในบริกรรม ๒. อุปจารภาวนา ภาวนาเป็นอุปจาร ๓. อัปปนาภาวนา ภาวนาเป็นอัปปนา ภาว่นา แปลว่า การอบรม การบำเพ็ญ การเจริญ การ ทำ ให้มีให้เป็นขุน มี ๓ อย่าง ๑. ปริกัมมภาวนา ภาวนาในบริกรรม หมายถึงการสำรวม จิตนึกถึงอารมณ์กัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง เซ่น นึกถึงพระพุทธรูป <£<ร<£

www.kalyanamitra.org แล้วทำบริกรรมภาวนาในใจวำ พุทโธ ๆ เป็นต้น ๒. อุปจารภาวนา ภาวนาเป็นอุปจาร หมายถึงภาวนาจวน จะสงบนิ่งอย่างแท้จริง หลับตาลืมตานิมิตปรากฏชัด ๓. ลัปปนาภาวนา ภาวนาเป็นอัปปนา หมายถึงภาวนา อย่างแนบแน่น จิตุใจสงบนิ่งเป็นหนิ่ง ปราศจากนิวรณ์ ภาวนา ๓ อย่างคือ บริกรรมภาวนา ได้ทั่วไปในลัมมิฏฐาน ทุกอย่าง ส่วนอุปจารภาวนา นนได้เฉพาะในกัมมัฏฐาน ๑๐ อิย่าง คือ พุทธานุสสติ ธมมานุสสติ ลังฆานุสสติ สลานุสสติ จาคานุสสติ เหวตานุสฺสติ มรณัสสติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏิกลสัญญา จตุ- ธาตุววัตถาน ส่วนอปปนาภาวนานั้นได้เฉพาะในกัมมัฏฐาน ๓๐ อย่าง คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายลตาสติ ๑ อานาปานสติ ๑ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ ปริญญา ร) ๑. ญาตปริญญา กำ หนดรู้ด้วยการรู้ ๒. คืรณปริญญา กำ หนดรู้ด้วยการพิจารณา ๓.ปหานปริญญา กำ หนดรู้ด้จยการละเสิย ปริญญา หมายถึง ความรู้รอบหริอดวามรอบรู้ การทำความ เข้าใจโดยครบถ้วน ท่านแสดงไว้ ๓ ประการ คือ ๑. ญาตปริญญา กำ หนดรู้ด้วยการรู้ หมายถึง การกำหนดรู้ ชันธ์ ๔;ประการ ว่ามีอะไรบ้าง มีลักษณะอย่างไร ชันธ์แต่ละชันธมี (ร:(ร๕

www.kalyanamitra.org องคประกอบอ่ย่างไรบ้าง เป็นต้น ๒. ต้รณปริญญา fไาหนด!ด้วยการพิจารณา หมายถึง การ พิจารณา โดยสามัญลักษณะ คือ ทำ ความ!จักสิ่งนน พิจารณาเห็น .โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข เป็นอนฺตดา ๓.ปหานปริญญา กำ หนด!ด้วยการละเสิย หมาย่ถึง กำ หนด! ถึงขุนละไต้ โดยตัดทางมิไห้ฉันทราคะเกิดขึ้นในสิ่งนั้น คือ!ว่าสิ่งนั้น เป็นอนิจจัง ทุกขัง.อฉัตดาแล้ว ละนิจจสัญญา เป็นต้น ในสิ่งนั้น ปริญญา ๓ นั้ จัดเป็นโลกิยะ มีขันธ ๔ เป็นอาร่มณ์ ปหาน ๓ ๑. ดตังคปหาน การละชั่วคราว ๒. ริกขัมภนปหาน การละด้วยการสะกดไว้ ๓. สมุจเฉทปหาน การละด้วยตัดขาด ปหาน หมายถึง การละตัณหา การกำจัดกิเลส กำ จัดฺบาป อกุศลธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข ท่านจัดแบงไว้เป็น่ GP ประการ คือ ๑. ดตังคปหาน การละชั่3คราว ได้แก่ การละกิเลสและบาป ธรรมของสามัญชน ละไต้เป็นพัก ๆ เซ่น เมื่อเกิดความโกรธ สามารถ บรรเทาไต้ด้วยการเจริญเมดตา เมื่อมีความตระหนี่ สามารถบรรเทาไต้ ด้วยการให้ แต่การละตังกล่าวนี้ ย่อมเป็นไปเพียงชั่วคราวเท่านั้นิ ๒. ริกขัมกนปหาน การละด้วยการสะกฺดไว้ ไต้แก่ การละ ของบุคคล ผู้ไต้โลกิยฌาน่ ดราบใดที่องค์ฌานยังไม่เสิ่อ่ม กิเลส (ETGSb

www.kalyanamitra.org เหล่:ไ^niยงสงบอยู่ เมื่อ่อง^านเสิอมลสทเกิดขื้นมาอก เปรียบ' เหมือนศลาทื่ทับหญ้าไว้ \"หญ้านั้นกิไฝงอก ต่อเมื่อยกสิลาออกหญ้ากิ งอกอีกได้ฉะ\"^' en. สมจเฉทปหาน การล่ะด้วยการตดขาด ได้แก่ การละ ด้วยอริยมรรคของพระอริยบุคคล ^'พุระอริยบุคคลนั้น เมื่อได้บรรลุ อริยมรรค แม้\"ชั้นใดกิตาม ยอมเป็นการละกิเลสได้เด็ดขาด และ กิเลสนั้นไมสามารถเกิดขึ้นได้อีก ปาฏิหาริยะ ๓ ๑. อิทธิปาฏิหาริย่ะ แสดงฤทธิ้ได้เป็นอัศจรรย์ . ๒. อาเทสนาปาฎิหาริยะ ทายใจด้กใจได้เป็นอัศจรรย์ ๓;อ\"นุสาส\"นีปาฐหาริยะ คำ สอนเป็นอัศจรรย์ ปๆฏหาริยะ หมายถึง การแสดงฤทธได้เป็นอัศจรรย์ มืใช วิสัยของมนุษ'ย์ธรรมดาทจะทาได้ เป็นวิสัยของพระอริยบุคคลจันถึง ระดับได้ฌานฺสมาบด อภิญญา วิชชา เป็นด้น เกิดขึ้นได้ ๓ อย่าง ๑* อิทธิปาฏหาริยะแสดงฤทธิ้ได้เป็นอัศจรรย์ หมายถึง การแสดงฤทธ เ'ขน.เหาะไปในอากาศ ดุจนกได้ ดำ ลงไปในแผ่นสิน ดุจปลาดำนํ้า เสินบนผิว\"นั้!ได้ ดุจเสินบนแผ่นสิน เป็\"นด้น ๒. อาเทสนาปาฏิหาริยะ ทๆย่ใจดักใจได้เป็นอัศจรรย์ หมายถึง การทายใจได้เป็นอัศจรรย์ คือ ทราบความนึกสิดของบุคคลอื่นฺ รวม ถึง จริต อุปนิสัย บารมื เป็นด้น ๓. อนุสาสนึปาฏิหาริยะ คำ ส่อนเป็นอัศจรรย์หมายถึง การ

www.kalyanamitra.org สอนด้วยความ! จริงสอนอย่างมีเหตุมีผล สอนให้ได้ผลจริงตอผู้นำ ไปปฏิป๋ติโดยไม่เลือกสถานที่ เวลา พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ว่า เป็นยอด เพราะสามารถช่วยให้บุคคลได้ริบประโยชน์จากคำสอนอย่าง แห้จริง ปีฎก ๓ ๑. พระวินัยป็ฎก หมวดพระวินัย ๒.พระสุดดันดป็ฏก หมวดพระสูดร ผ. พระอภธรรมป็ฎก หมวดพระอภิธรรม ปีฎ่ก หมายถึง ดัมภิร์ที่รวบรวมคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่ง มีทั้งหมํด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ดังที่พระพุทธองค์ได้ดริ'สกับ พระอานนท์ว่า \"ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราแสดงและ บัญิญ้ติแล้วแก'เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของพวก เธอ\"แปงเป็น ๓ หมวด ๑. พรรวินัยปีฎก หมวดพรรวินัย หมายถึง พระวินัยซึ่งเป็นที่ .รวมสิขาบท ระเบียบแบบแผนที่พระพุทธองค์บัญญติไว้ให้พุทธบริษ้ฑ ได้ปฏิบติดาม เพื่อความเป็นระเบียบเรีย่บร้อยของหมู่คณะ พร้อมทั้งมี การปริบโทษตามที่กระทำ คือ หนักบ้าง เบาบ้าง เหมีอนกฎหมายทาง โลกเช่นฺกัน เป็นเหตุให้ภิกษุมีศีลาจารวัดรที่งดงามน่าเลื่อมใส วิธีการ บัญญ้ติพระวินัย มี ๔ อย่าง ๑. เหตุเกิดขึ้นแล้วประชุมสงฟ้ <£<ร<!ร

www.kalyanamitra.org ๒.ถามภิกษุผู้โเอเหตุ ๓. ชี้โทษฺของการกระทำผิดและอานิสงส์ของการกระทำถูก ๔. ปรับอาบตหนักบ้าง เบาบ้าง พระวินัยปิฎกนี้มีอยู่ ๕ คัมภีร์ เล่มที่ ๑-๘ เท่ากับ ๘ เล่ม มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ (มหาวิกังค ภิกษุณีวิกังคั มหาวรรค จุลวรรค ปริวาร) ๒. พระสุตตันตปิฎก หมวดพระสูตร หมายถึง พระสูตรที่รวม เอาพระธรรมเทศนาการบรรยายธรรมและเรื่องราวต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ในที่ต่าง ๆ เข้าเป็นหมวดหมู่.(จัดเป็นบุคคลาธิษฐาน) เหตุ ที่ปรารภมี ๔ ประการ คือ ทูลถาม ๑ เภิดเรื่องชี้น ๑ ทรงดำริ ๑ ตามอัธยาศัย ๑ พระสุดคันดปิฎกมีอยู่ ๔ นิกาย คือ ทีฆนิกาย มชณีมนิกาย สังยุตดนิกาย อังคุตดรนิกาย ฃุททกนิกาย เล่มที่ ๙ - ๓๓ เท่ากับ ๒๔ เล่ม มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ ๓. พระอภิธรรมปิฎก หมวดพระอภิธรรม หมายถึง พระ อภิธรรมเป็นการประมวลหลกธรรม คำ บรรยาย ในรูปหลักธรรมล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับเหตุการณี สถานที่ บุคคล เน้นเฉพาะปรมัตถธรรม ได้แก จิต ๘๙/๑๒๑ เจตสิก ๔๒ รูป ๒๘ นิพพาน ๑ พระอภิธรรม ปิฎกนี้มีมีอยู่ ๗ คัมภีร์ คือ ธัมมลังคณี •วิกังคํ ธาตุกถา ปุคคลบัญญติ กถาวัตถุ ยมกบ้ฏฐาน เล่มที่ ๓๔- ๔๔ เท่ากับ ๑๑ เล่ม มี ๔๒,๐๐๐■พระธรรมขันธ์ พุทธจรยา ๓ ๑.โลกัตถจริยา ทริงประพฤติประโยชน์แก่ชาวโลก (ร:<ร๙

www.kalyanamitra.org ๒.ญาดัดถจริยา ทรงประพฤติประโยชน์ต่อห^ระญาดิ ๓.พุทธัดถจริยา ทรงประพฤติปร่ะโยชน์โดยฐานะความเป็น พระพุทธเจ้า พุทธจริยา หมายถึง พระจริยาวัดรชองพระดัมมาดัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงประพฤติ หรือทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อเวไนยยสัตวั ทุกหมู่เหล่า มี ๓ อย่าง ๑. โลกัดถจ่ริยา ทรงประพฤติประโยชน์แก่ชาวโลก หมายถึง ทรงอาศัยพระมหากรุณาเสด็จไปโปรดชาวโลก คือ ทรงแผ่พระญาณ ตรวจดูสัตว์โลกทุกเช้าคา ผู้ไตปรากฏในข่ายพระญาณ ก็จะเสด็จไป โปรตผู้นั้นโตยไม่เลือกชั้นวรรณะ ๒. ญาดัดถจริยา ทรงประพฤติประโยชน์ต่อหมู่พระญาติ หมายถึง การอนุเคราะหด้วยการแสตงธรรมให้กับพระประยูรญาติ ทังสองฝ่าย ให้ได้บรรลุธรรมตามสมควรแก่บุญบารมีของแต่ละท่าน ทีได้สังสมมา และได้ทรงโปรตพุทธมารตาให้ได้บรรลุธรรมเป็น พระโสตาบันที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โปรดพุทธป็ตาจนได้บรรลุธรรม เป็นพระอรทันค์ การเสด็จไปห้ามพระญาติฝ่ายศากยะและโกลิยะผู้ วิวาทกันด้วยแย่งนํ้าเช้านา ๓. พุทธัดถจริยา ทรง่ประพฤติประโยชน์โดยฐานะความเป็น พระพุทธเจ้า หมายถึง ทรงได้บำเพ็ญพุทธก็จ ๕ ประการ เป็น ประจำโดยไม่ขาด ดังนี้ ๑. ยามเช้า เสด็จออกบณฑบาด ๒. ยามเย็น ทรงแสฺดฺงพระธรรมเทศนา (ร:๙๐

www.kalyanamitra.org ๓.พลบคํ่า ทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ๔. ยามดึก ทรงตอบป๋ญหาให้แก่เทวดาที่ทูลถาม ๔. เช้ามืด ทรงดรวจดูสัดว์โลกที่จะเสด็จไปโปรด พร้อมทั้งทรงบญญสิวนัยชนเพื่อบริหารหมู่สาวกให้ประพฤติ เรียบร้อยดีงามจนประติษฐานศาสนาของพร่ะองค์ให้ยั่งยืนตราบเท่า ทุกวันนี้ ดีวยการจารีกคำสอนไว้ในพระไตรปิฎก ๔๔ เล่ม ภพ ๓ ๑. กามภพ ภพที่ฟ้นกามาวจร ๒.รูปภพ ภพที่เป็นรูปาวจร ๓.อรูปภพ ภพที่เป็นอรูปาวจร ภพ หมายถึง โลกสันฟ้นที่อยู่ของหมู่สัตว์ทังหลาย ทียงต้อง่ เกิดในภพนั้น ๆ ด้วยผลแห่งบุญ ที่แต่ละคนได้กระท่าเอาไว้ มี ๓ ประการ คือ ๑, กามภพ หมายถึง ภพที่สัตว์ที่งอุบสิบังเกิตในสภานทีนัน ยังเสพกามอยู่ ยังมืกาม ยังมีกิน ยังมีนอน ยังมีความกลัวอยู่ ท่าน จำ แนกออกไปเป็น ๑๑ ชั้นด้วยกัน คือ ๑. นิรยะ นรก ๒. ติรัจฉานโยนิ กำ เนิดสัตว์เดียรฉานต่าง ๆ ๓.ปิดติวิสัย ภูมืชองเปรด ๔.อสุรกาย พวกอสุรกายทั้งหลาย ๔.มนุษยโลก โลกสันเป็นที่อาศัยอยู่ของมนุษย์ทั้งหลาย (ร:๙๑

www.kalyanamitra.org .๖. จาตุมหาราชิกา เทวดาชั้นจาตุมหาราช ๗. ดาวสิงสา สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๘. ยามา สวรรค์ชั้นยาม ๙.- ตุสิตา สวรรค์ชั้นตุสิด ๑๐. นิมมานรดี สวรรค์ชั้นนิมมานรดี ๑๑.ปรนิมมดวสวัดดี สวรรค์ชั้นปรนิมมิดวสวัดดี ๒. รูปภพ หมายถึง ภูมิที่เป็นรูปาวจร ท่านผู้เกิดในภพ เหล่านี้ ตามปกติก็เรียกว่า พรหม เพราะเกิดขึ้นด้วยผลแห่งการ ปฺฏิบติพัฒนาจิตใจจนได้บรรลุรูปฌาน เป็ใ4ภพที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย กามคณ แติจะอยู่ด้วยปีติ ความลุขอนเป็นผลแห่งความสงบกิเลส ท่านแปงตามลำดับของฌานที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุ ๑. เกิดด้วยผลของปฐมฌาน ดีอ ปาริสัชชะ ปุโรห่ดา มหาพรหมา ๒. เกิดด้วยภูมิของทุติยฌานและดสิยฌาน ดีอ ปริดดฺาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ผ. เกิดด้วยภูมิของดสิยฌาน เรียกว่าดสิยฌานภูมิอันเป็น ผลของจตุตถฌาน คือ ปริดตสุภา อัปปมาณสา สุภกิณหา ๔. เกิดด้วยจตุตถฌานภูมิ หรือปีญจมฌานภูมิอันเป็นผลของ ปี'ญจมฌานกุศล คือ เวหัปผลา ๔. คือ อสัญญีอัตตา ที่เรียกว่า พรหม่ลูกพัก ซึ่งมีเฉพาะ ส่วนของรูปขันธ์ไม่มีนามขันธ์ ๖. เป็นรูปที่อยู่ของพระอนาคามี เรียกว่า สุทธาวาส พระอนา-. คามีเกิดแตกต่างกันนันก็เพรา^าผลของอินทรีย์ทั้ง ๔ คือ สัทธินทรีย์ ร:๙๒

www.kalyanamitra.org วิริยินทรีย์ .สตินทรีย์ สมาธินทรีย ป๋ญญินทรีย์ ที่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ได้แก.อวิหา อตฺปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา s เป็นที่อย่ของท่านผู้บรีสุทธิ๋หมดจด เรียกชื่อว่า อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ๓.อรูปภพ หมายถึง ภพเป็นที่อย่ของท่านผู้ได้บรรลุอรูปฌาน แปงออกเป็น ๔ ขั้นคือ ๑. อากาสานัญจายตนภพ ๒. วิญญานัญจายตนภพ ๓. อากิญจัญญายตนภพ ๔i เนวสัญญานาสัญญายต่นภ่พ ๑. มนุษยโลก โสกที่เราอาศัยอยู่นี้ ๒. เทวโล'ก สวรรค์ข๙ั้^นกาม.าวจร ๖ -ขั้นะ ๓.พรหมโลก สวรรค์ชนรูปพรหม ๑๖ ชัน โลก หมายถึง สิงที่มีความแตกสลายไปเป็นธรรมตา คำ ว่า โลกในที่นี้ หมายถึง สถานที่อยู่ของสัตวโลกทั้งหลาย มี ๓ ประการ คือ ๑. มนุษยโลก คือ โลกที่เป็นผืนแผ่นดิน อันเป็นที่อาศัยอยู่ ของหมู่มนุษย์ หรีอโลกมนุษย์เรานี่เอง ๒. เทวโลก คือ ที่อยู่ของเทวดาทั้ง ๖ ขั้น ชื่งอังเกี่ยวของ เพลิดเพลินกำหนัดยินดีอย่ในกามคณ £๙๓

www.kalyanamitra.org ๓.พรห่มโลก คือ สวรรคพั้รูปพรหม ๑๖ ชัน้ และอรูปพรหม ๔ ชั้น พรหมนั้นเกิดขึ้นด้วยกำลังของฌานคือรูปฌานฺ และอรูปฌาน โลก ๓ ๑. ลังฃารโลก โลกคือลังขาร ๒. ลัดวโลก โลกคือหมู่ลัดว์ ๓.โอกาสโลก โลกคือแผ่นดิน โลก หมายถึง สิงที่ด้องแตกสลายทำลายไป มี ๓ ประการ คือ ๑. ลังฃารโลก หมายเอา. สภ่าวฺธรรมที่ตกอยู่ภายใด้เงื่อนไข ของธรรมชาติหรือภายใด้เงื่อนไขของเหตุปัจจัย เช่น.ขันธ์ ทั้ง ๙ คือ รูป เวทนา สัญญา ลังขาร และวิญญาณ แต่ละอย่างนั้น ถึชื่อ ว่าโลก แม้แต่สิ่งทั้งหลาย เช่น ภูเขา ด้นไม้ ก่อนอิฐ ก้อนหิน กิอยู่ ในกลุ่มของพวกลังขารโลก ๒. ลัตวโลก คือ สิ่งที่มีวิญญาณทั้งหลาย จะเป็นคน เป็น ลัตว เป็นมนุษยหรืออมนุษยกิตาม สรุปรวมเรืยกว่า เป็นลัตวโลก ทั้งหมต เพราะยั่งด้องตกอยู่ภายได้เงื่อนไขของธรรมชาติ มีความ เกิตขึ้น ตั้งอยู่และแตกสลายไปในที่สุต ๓. โอกาสโลก คือแผ่นดินหรือตวงตาวทั้งหลายอนเป็นที่ อาศัยอยู่ของลัตวในภพในภูมีนั้นๆ วิฏฏะวน๓ ๑. กิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส <£๙(ร:

www.kalyanamitra.org ๒. กัมมวัฏฏะ วนคือกัรรฝ ๓.วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก วัฏฏะ แปลว่า วน หมายกึง ก่ารฺเวียนว่ายตายเกิดของ สรรพสัตว์ทงหลาย ดุจล้อรถหมุนเวียนไปอย่างไม่มีที่เนสุด จนกว่าจะ บรรลุพระอรหันต เมึ่อนั้นการเวีย่นว่ายตายเกิดจึงยุติลง มี ๓ อย่าง ๑. กิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส หมายกึง การหมุนเวียนเป็น วงจรของกิเลสร่งประกอบด้วย อวิชชา ติณหา อุปาทาน ทำ ไห หมูสัตว์ด้องหมุนเวียนอยู่ในโลกทั้ง ๓ ไม่สามารถสสัดออกจากภพ ได้ ด้องเกิด แก่ เจ็บ ดาย อยู่เรื่อยไป ไม่รู้จับจบสิ้น ๒. กัมมวัฏฏะ วนคือกรรม หมายกึง เมื่อมีกิเลสย่อมเป็นเหดุ ให้สร้างกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ ถ้ามีกิเลสมาก ย่อมทำกรรมชั่ว ได้มาก .มีกิเลสน้อยกิทำความชั่วน้อย ดังนั้น กรรมจงเกิดขึ้น เพราะแรงผสักดันของกิเลส ๓, วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก หมายกึง ผลของการกระทำ อันเป็นเหดุให้เกิดใใพไพต่าง ๆ ถ้าเป็นกรรมดี ผลที่ได้ร้บเป็นความสุข ถ้าเป็นกรรมชั่ว ผลที่ได้รับเป็นความทุกข ดังนั้นเมื่อกิเลสเกิดขึ้นย่อมผสักดันให้ม่นุษย์ไปสร้างกรรม เมื่อ มนุษย์สร้างกรรมแล้วย่อมได้รับผลของการกระทำต่อ ๆ ไปไม่รู้จบ วิชชา ๓ ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้จักระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ รู้จักกำหนดจุติและอุบต 0:๙^:

www.kalyanamitra.org ๓. อาสวักขยญาณ เจักทำอาสวะให้สินไป วิช่ชา คือ ความรู้แจ้ง ความรู้วิเศษ มี ๓ ประการ คือ ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกซาติไศ้ ได้แก่ การ เกิดขอฺงพระองค์และของสัตวัอื่นที่ผ่านmฒาในอดีตกาล โดยไม่อาจจะ นับประมาณได้ว่า พระองค์ได้เคยเกิดมากี่ชาติแล้ว ๒. จุตูปปาตญาณ คือ รู้จักกำหนดจุติและเกิดข£)งสัตว์ทั้ง หลายในโลกนั้น คนเกิดมาแตกต่างกัน ทั้งด้านรูปร่าง หน้าตา สถานะ ผิวพรรณ พื้นเพ อัธยาศัย ระดับสติป๋ญฌา เกิดชึ้แมาจากกรรมที่ บุคคลเหลานั้นได้กระทำเอาไวัIนชาตินั้น ๆ กรรมเป็นดัวจำแนกแบ่ง แยกให้คนเลว ให้ประณีต่ แตกต่างกัน ๓. อาสวักขยญาณ คือ พระญาณที่ทำอาสวะให้หมดไปสิ้น ไป อาสวะ. เป็นชื่อของกิเลสที่หมักหมมอยู่ภายในจิตใจของบุคคล สะสมข้ามภพข้ามชาติมาเป็นเวลาที่นับไม่ได้ ทรงรู้แจ้งแทงตลอด ในอริยสัจทั้ง ๔ คือ รู้ทุกฃ รู้ปอเกิดแหงทุกข์ ทางดับทุกขและข้อ ปฏิบติให้ถึงความดับทุกข์จึงสามารถที่าอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ วิโมกข์ ๓ ๑. สุญญตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นเป็นของว่างเปล่า ๒. อนิมีตต่วิโมกข์ หลุดพ้นด้วยไม่ถือเอานิมิต ๓. อัปปณิหิตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยการไม่ทำความปรารถนา วิโมกข์ คือ ความที่จิดหลุดพ้นจากกิเลส วิโมกข์ท่านมักใช1น สักษณะของจิตที่หลุดพ้นจากอำนาจกิเลสด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ <£๙๖

www.kalyanamitra.org มี.๓ ประการ คือ ๑. สุญญตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นความเป็นของว่างเปล่า แห่งสัตวและสังขารทั้งหลาย ด้วยการพิจารณาเห็นว่าสัตวและสังขาร ทั้งหลายเป็นอนัตตา คือ ไฝอยู่ในอำนาจของใคร เมื่อแยกย่อยออก ไปแล้วเป็นของว่างเปล่า ไฝมีใครเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จ่ริง เมื่อเกิต การรู้เห็นเช่นนี้ ย่อมถ่ายถอนห็ฏฐิคาหะ คือความยึตถือด้ๅยอำนาจ ทิฏฐิว่า นั้นเป็นตัวตนของเราลงไปได้ ๒. อํนิมิตดวิโมกข์ จิตหลุตพ้นจากอำนาจของกิเลสด้วยไฝถือ นิมิตคือ การหลุตพ้นแห่งจิต ด้วยการกำหนตพิจารณาขันธ ๕ เป็นด้น จนเกิตป๋ญญา รู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ ๔ ว่า เป็นของไฝเทียงแท้แน่นอน เมื่อเกิตขึ้นแล้ว ย่อมมีความเสื่อมไปเปลี่ยนแปลงไป ดำ รงอยู่ได้เพียง ชั่วคราว จิตย่อมหลุตพ้นจากกิเลสด้วยการฺเห็นอนิจจตา คือความไฝ เที่ยงแห่งฃนธ์ ๙ ผ.อัปปณิหิต่วิโมกข์ คือจิตที่หลุตพ้นจากอำนาจของกิเลสด้วย การไฝทำความปรารถนา คือห่านที่ยกนามรูปขึ้นมาพิจารณาจนเกิด ป๋'ญญาเห็นว่า นามรูปเป็นทุกขตา คือเป็นทุกข์ เมื่อเห็นเช่นนันแล้ว ถอนความปรารถนาในนามรูปเสียได้ จิตที่หลุตพ้นในการพิจารณาเช่น นี้ เรียกว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ สมาธิ ๓ ๑. สุญญตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาเห็นความว่าง ๒. อนิมิตตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีนิมิต ๓. อัปปณิหิตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาธรรมไฝมีความตัง ปรารถนา <£๙Gf

www.kalyanamitra.org สมาธิ คือ อาการที่จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ที่งลักษณะของ สมาธินั้นมีความประณตขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ จนถึงสมาธิในวิปัสสนา คือความเห็นอย่างแจ่มแจ้ง มี ๓ ประการ คือ ๑. สุญญตสมาธิ. คือ สมาธิลันกำหนดพิจารณาเห็นนามรูป วาเป็นของว่างเปล่า ได้แกการตามเห็นนามรูปเป็นอนตตา เพราะ ความไม่เป็นไปในอำนาจ เป็นด้น .^ ๒. อนิมิตตสมาธิ คือ สมาธิลันพิจารณาธรรม ได้แก่นามรูปว่า เป็นสิ่งหานิมิตคือเครื่องกำหนดหมายไม่ได้ เพราะความเป็นอนิจจฺตามี ความเกิดขึ้นแล้วเสิ่อมสลายไป เป็นด้น ๓. ลัปปณิห็ตสมาธิ สมาธิลันกำหนดพิจารณาธรรม จนเกิด ความเห็นว่า ไม่มีอะไรน่าปรารถนา เพราะทุกขเท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกขเท่านั้นดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจาก ทุกข์ไม่มีอะไรดับ คือวิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยการพิจารณา นามรูปว่า เป็นทุกขดา วเวก ๓ ๑. กายวิเวก สงัดกาย ๒. จิตตวิเวก สงัดจิต ๓. อุปธิวิเวก สงั่ดจากกิเลส ^ วิเวก แปลว่า ความสงบ หรีอคว'ไม่สงัด ท่านแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑. กายวิเวก หมายถึง การที่บุคคลปลีกดนออกจากหมู่ ช:๙(ร

www.kalyanamitra.org หาคพสงบสงัด โดยเข้าไปอาศ'ยอยูในุสถานที่ต่าง ๆ ร่งห่างไกลผู้คน หรือไฝมีใครรบกวน อาการ กาย วาจา สงบด้วยการรักษาศีล จนเป็นผู้ สมบูรณ์ด้วยศีลฺและมารยาทที่ดีงาม ก็จ้ดเป็นความสงัดทางกาย ๒: จิตตวิเวก หมายถึง การทาใจของตนให้มีความสงบโดย เฉพาะอัยางยิ่ง ศี!รให้สงบจากรวรณ์ทั้ง ๔ ประการ ความสงบจาก นวรณ์จิะเกิต่ขึ้น ด้วยการเจรืญสมลกรรมฐ่านจนบรรลุรูปฌานทั้ง ๔ ๓. อุปธิวิเวก สงัดจากอุปธิคือ่กิเลส อุปธินนุ ได้แก กรร่3^กับ ความสงบจากอุปธิอย่างแท้จรืง สังขดล้กษณะ ๓ ๑. อุปปาโท ป๋ฌฌายติ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๒.วโย ป๋ญญายติ ความดีบปรากฎ ๓.เดัสสะ อัญญถึดดัง ป็ญญายดิ เมื่อดั้งอยู่ความแปรปรากฏ สังขตลักษณะ ดีอลักษณะที่เกิดขึ้นเพราะ!โจจัยปรุงแต่ง มีสิ่ง ที่ให้ลังเกดเห็นได้ ๓ ประการ คือ ๑. อุปปาโท ป๋ญญายสิ ความเกิดปรากฏ ได้แก่ การปรากฏ เป็นรูปร่างของสรรพสิ่งและสรรพลัดวิ ที่แท้จริงเป็นุการรวมดัวกินของ ธาตุต่าง ๆ จากจุดเล็ก ๆ ที่มารวมดัวกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ทุกสิ่งจึง มิได้เกิดขึ้นเองลอยๆ ๒. วโย ป๋ฌญายสิ ความเสื่อมสลายปรากฏ หมายความว่า <2:๙๙