www.kalyanamitra.org สรรพสิ่งและสรรพสัตวที่เกิดอุบตมาในโลก ด้วยการปรุงแส่งของ เหตุป๋จจัยดังกลาวในที่สดจะด้องแตกทำลาย สลายไปในทีสุด ๓. รูดัสสะ อญฌถัดดัง ป๋ญญายติ เมื่อดำรงอยู่ความแปร ปรากฏคือ สรรพสิ่ง สรรพสัตฺว์ ที่เกิดขึ้นขณะที่ดำรงอยู่ปรากฏเป็น รูปร่างอยู่ จะมีการฟลี่ยนแปลงอยู่ดลอดเวลา เชน เด็กออกมาจาก ท้องมารดา จากทารกเป็นเด็ก หนุ่มสาว'ผู้ใหญ คนแก่ เป็นด้น ไม่มี สิ่งใดที่สามารถอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวน สังขาร ๓ ๑. กายสังขาร สภาพถันแส่งกาย ๒. วจีสังขาร สภาพถันแต่งวาจา ๓. จีตตสังขาร สภาพถันแต่งจิต. s สังขาร แปลว่า •สภาพปรุงแต่ง หม่ายถึงธรรมถันมีเจดนาเป็น ประธานถันปรุงแต่งการกระทำ สิ่งที่ปรุงแต่งการกระทำ ๓ ประการ คือ ๑.กายสังขารสภาพปรุงแต่งกิาย มีความหมายฺไป ๒ทาง คือ ปรุงแต่งหรือปรนเปรอกายให้ดำรงอยู่ได้ คือลมฺหายใจเข้า ลม หาย่ใจออก ๒.วจีสังขาร สภาพปรุงแต่งวาจา หมายถึง วิตก วิจาร เพราะ ตริแล้วดรองแล้วจึงพูด ไม่เชุน'นั้นวาจานั้นจักไม่เป็นภาษา เฟน ดำ ของคนละเมอหรือของคนเพ้อ ๓. จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร สภาพที่ปรุงแต่การกระทำ ทางใจ สัญญากับเวทนา ได้ซื่อว่าจิดดสังขาร เพราะย้อมจีดให้มี ประการต่าง ๆ ตุจนํ้าย้อมถันจับผ้า. &๐๐
www.kalyanamitra.org สัทธรรม ๓ ๑. ปริย้ตสัทธรรม ได้แก่คำสั่งสอน ๒.ปฏิบตสัทธรรม ได้แก่การปฏิฟ้ต ๓.ปฏิเวธ่สัทธ่รรม ได้แก่ม่รรต ผล นิพพาน สัทธรรม บางครั้งบางคราว เรียกว่า ศาสนาบ้าง เรียกว่า พระธรรมวิฟ้^บ้าง เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ คือคำสอนของพระศาสดา ที่ประกอบด้วยองค ๙ บ้าง และในตอนหลังเรียกว่าพระไตรปิฎก มี ๓ ประการ คือ ๑. ปริยตสัทธรรม ได้แก่ คำ สั่งสอนทั้งหมดที่ปรากฏใน พระวินัย พระสูดรและพระอภิธรรม เป็นเรีองทีจะด้องศึกษาให้รู้ เข้าใจ จนสามารถแทงตลอดคำสอนเหล่านั้น ๒. ปฏิฟ้ดสัทธรรม ได้แก่ การน์าคำสั่งและคำสอนเหล่านั้น นั่นเองมาลงมอประพฤติปฏิบ้ต เชนการสำรวมระวังดามสิกขาบทที พระพุทธเจ้าทรงบัญญ้ติไว้ เพือละสิงทีเป็นบาปเป็นอกุศลทังหลาย มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นด้น ๓. ปฏิเวธสัทธรรม ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน กล่าวคือ เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะได้รับผลทีเกิดขึ้นจากการบ่ฏิทัติใ'^^ ทีส^ หลั่นทันไปจน่ถึงผลสูงสุดคือการบรรลุมรรศ ผล เป็นพระอริยบุคคล ในทางพระพุทธศาสนาเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่านิพพาน สมบัด ๓ ๑. มนุษยสมบัติ สมบัติในมนุษย์ ร:๐๑
www.kalyanamitra.org ๒. สวรรค์สมบด สมบตในฺสวรรค์ ๓. นิพพานสมบด สมบด ค์ฮพระนิพพาน่ สมบด แปลว่า ความสิงพร้อม หรือความสุมบรณ์ มี ๓ ประกฺาร คือ ๑. มนุษยสมบ้ต คือความสิงพร้อม ความสมบูรmlนฐาใ4ะ ของมนุษย์ เซน สมบูรณ์ด้วยป๋จจัย ๔ มีผ้านุ่งผ้าห่ม อาหาร ที่อยู่ อาศ'ยและยารักษาโรค เป็น่ด้น ๒. สวรรค์สมบด คือสมบดในสวรรค์ สมบ้ตในสวรรค์นั้น ท่านได้แสดงสิงทิพยสมบด มีวิมานมีเครื่องประดับตกแต่ง บริษ้ห่ บริวาร สมบูรณ์ด้วยอายุ วรรณะ มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีความสุข กาย สุขใจ เหนือความสุขที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ ๓. นิพพานสมบดได้แก่สมบฺตคือพระนิพพาน เป็นความสุข ที่เกิดจากการบรรสุนิพพาน เป็นบรมสุข เพราะไม่มีทุกข์เข้าเจือปน และเป็นความสุขที่เที่ยงแท้แนินอน ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เป็นสมบติ ที่สูงสุด ตามหลักของพระพุทธศาสนา สิกขา ๓ ๑. อธิสิสสิกขา การศึกษาเรื่องศีลยิ่ง ๒. อธิจืดดสิกขา การศึก^เรื่องจืดยิ่ง ๓. อธิ!โญญาสิกขา การศึกษาเรื่องป๋ญญายิ่ง สิกขา หมายสิง ปฏิปทาที่ตั้งไว้เพื่อการศึกษา ไตรสิกขา (&:๐๒
www.kalyanamitra.org เป็นเครื่องมือ?เกหัด กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยดีงามมื ๓ อย่าง ๑. อรสืลสิกขา การศึกชาเรื่องศีลยิ่ง หมายถึง การ?เกฝน และปฐบติตนให้เรียบร้อยทั้งทางกาย วาจา ให้บรีสุทธิ้บรีบูรณ์ตาม หลกศีล ๒^ อรจิตตสิกขาการ่ศึกษาเรื่องจิตยิ่งหมายถึงการ?เกอบรม จิตให้ตั้งมนเป็นสมาร ได้แก การบำเพ็ญสมถกัมมัฏฐานสามารถกำจัต กิเลสอย่างกลางได้(นิวรณ์ธรรม ๔) ๓. อรป้ญญาสิกขา การศึกชาเรื่องป๋ญญายิ่ง หมายถึง การ ?เกอบรมตนให้เกิตมัญฌาอย่างแจ่มแจ้ง ได้แก่ การบำเพ็ญรีมัสสนา- กัมมัฏฐาน จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต สิกขา-๓ ประการนี้ ดีองทำให้บรีสุทธิ้บรีบูรณ์ด้วยอรียมรรค มีองค์ ๘ โดยจิตสิกขา ๓ ลงในมรรคมีองค์ ๘ สังนี้ ๑. สัมมาทฏฐ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์เข้าใน อรปัญญาสิกขา ๒. สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์เข้าใน อรสีลสิกขา ๓. สัมมาสติ สัมมาสมาร สง,เคราะห์เข้าใน- อรจิตตสิกขา ๓ ๑. เอกพ็ชี ผู้มืพ็ช คือ อัตภาพเดียว ๒.โกลังโกละ ผู้ไปจากตระถูลส่ตระกูล ๓.สัตดกขดตุปรมะ ผู้จะไปเกิดในภพอีก ๗ ครั้งเป็นอย่างมาก <3:๐๓
www.kalyanamitra.org พระโสดาบน เ!!เนพระอริยบุคคลระดับแรก แปลว่า ณู้ฃ้าถึง กระแสพระนิพพาน ใช้เรียกฟานที่บรรลุโสดาป๋ตติผลแล้ว ท่านเหล่า นี้จะต้องบรรลุนิพพานในที่สุด ท่านแปงออกเป็น ๓ ประการ คือ ๑. เอกพีชี คือท่านผู้มีอัตภาพอีกครั้งเดียว หมายความว่า หลังจากต้องตายไปแล้ว ท่านจะเกิดในเทวดา หรีอ มนุษยอีกชาดี เดียว แล้วจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต้เช้าพระนิพพานในชาดีนี้น ๒. โกลังโกละแปลว่าจากตระกูลสู่ตระกูล คือต้องเกิดอีก ๒ - ๓ ชาดี .คาว่าโกละในที่นี้ท่านหมายถึงภพที่จะต้องไปเกิด พระโสดาบันประ๓ทนี้จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต้ในชาดีที่ ๒ หรีอ ที่ ๓ เป็นอย่างมากแล้วเช้าพระนิพพานในชาดีนฺน ๓. ลัดดักขดตุปรมะ ท่านผู้ต้องท่องเที่ยวในลังสารวัฏกว่า ■๓ ชาดีแต่ไม่เกิน ๗ ชๆดีแล้วจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เช้า พระนิพพานในชาดีนั้น ปัญหาและเฉลยธรรมวภาค หมวด ๓ ๑. อกุศลริดก ๓ มีโทษอย่างไร แกดวยริธีอย่างไร? ตอบ กามวิตก ทำ ใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาดีดอยู่ใน กามสมป๋ดี พยาบาทวิตก ทำ ให้เดีอดร้อนกระวนกระวายใจ ดีดทำร้ายผู้อื่น วิหิงสาวิตก ย่อมครอุปงำจิต ให้ดีดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเหินแก่ ประโยชน์ ส่วนดัว กามวิตก แก้ต้วยการเจริญกายคดาสดีและอสุภกัมมัฏฐาน พยาบาทวิตก แก้ต้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร ๕00:
www.kalyanamitra.org วิหิงสาวิตก แล้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหi^uละโยนิโสผ'เ^การ ๒. กุศลวิตกมีเทาไร บอกมาให้ครบ? .ตอบกุศลวิตกมี๓ คือ ๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม ๒. อ่พยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท ๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดํเบียน ๓. พระพฑธเจ้าทรงอปมากิเลสุเหลาไหนว่ามีลักษณะเหมีอนกับไฟ ที่ทรงอุปมาเช่นนั้น เพราะเหตุไร ? ตอบ กิเลสเหล่านื้ คือ ราคะ โทสะโมหะ เพราะเมือกิเลสทัง ๓ กฺองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิตขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผา ก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ๔.ความฟ้นใหญใครก็ชอบ พระพุทธศาสนาได้วางหลักนี้!ว้อย่างไร? ตอบ ความเป็นใหญ่พระพุทธศาสนาได้วางหลักไว้เป็น ๓ คือ ๑. อัตตาธิปเตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ ๒.โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ๓. ธัมม่าธฺปเตยยะ ความมีธรรมเป็นให่ญ่ ๕. อนุดดริยะมีอะไรบาง ความพ้นจากกิเลสอาสวะเป็นอกุปปธรรม ลัดเป็นอนุดตริยะอย่างไหน? ตอบอนุตตริยะ มี ๓คือ - ๑. ทัสสนานุตตริยะ ความเหินอันเยี่ยม- ๒. ปฏิปทานุตตริยะ ความปฏิบีตอันเยี่ยม ๓.วิมุตตานุตตริยะ ความพ้นอันเยี่ยม ความพ้นจากกิเลสอาสวะเป็นอกุปปธรรม ลัดเป็นวิมุตตานุตตริยะ ๕๐๕
www.kalyanamitra.org ๖. กรรมและทวาร สิออะไร อภิชฌาฟ้นกรรมใดและเกิดทางทวาร .ใดบ้างจงอธิบาย ? ตอบ กรรม คือ การกระทำ ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม อภิชฌา ความอยากได้ เปี14มโนกรรมได้อย่างเดียํว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น มีดวามอยากได้แล้วลูบคลำพ'สดุที่ อยากได้นั้น แดใฝมีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้แล้ว ปนว่า ทำ อย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ ๗..กิจจญาณ คืออะไร เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร? 'ดอบ คือ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขเป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัย เป็นธรรมชาติที่ควรละ ทุกขนิโรธเป็นธรรมชฺาติที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินิปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด ๘. อาสวกฃยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สินมีอธิบายอย่างไร? ดอบ มีอธิบายอย่างนั้ รู้ชัด่ดามจริงว่า นั้ทุกข นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรํธคามินิปฏิปทา เหส่านี้อาสวะ นี้เหดุเกิด อาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอฺาสวะ เมื่อรู้เห็น อย่างนี้ จิดพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ๙.ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง? ดอบ ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ๓. กดญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ๐๖
www.kalyanamitra.org ๑๐.ปาฏิหาริย์ ๓ มีอะไรบ้าง อยางไหน(.ป็นอศจรรย์ที่สุด? ตอบ มีอิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ้เป็นอัศจรรย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ อนุสาสรปาฏิหาริย์ คำ สอนเป็นอัศจรรย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นอัศจรรย์ที่สุด ๑๑. คำ ว่าปีฎก แปลว่าอะไร ป็ฎกในทางธรรมมีกี่อย่างอะไรบ้าง? ตอบ คำ ว่า ปีฎก แปลว่า กระจาดหรึอตะกร้า ปีฎกในฺทางธรรม มี ๓ คือ พระวิฟ้^ปีฎก ๑ พระสุดดันตปีฎก ๑ พระอภิธรรมปีฎก ๑ ๑๒.ป็ฏก'๓ ได้แก่อะไรบ้าง แต่ละป็ฏก ว่าด้วยเรื่องอะไร? ตอบ ได้แก่พระวิใร^ปีฏกพระสุดดันตปีฏก และพระอภิธรรมปีฏก พระวิ'&!ปิฏก ว่าด้วยเรื่องกฎระเบียบข้อบังดับที่นำความประพฤติ ให้สมํ่าเสมอกัน หรือเป็นเครื่องบริหารคณะ พระสุดดันดปีฏก ว่าด้วยคำสอนยกบุคคลเป็นที่ดั้ง พระอภิธรรมปีฏก ว่าด้วยคำสอนยกธรรมล้วน ๆ ไม่เจือด้วยสัดว์ หรือบุคคลเป็นที่ดั้ง ๑๓.•พุทธจริยามีเท่าไร อะไรบ้าง ตอบมาไห้ครบ? ตอบ พุทธจริยามี ๓ คือ - ๑. โลกัดถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก ๒. ญาดัดถจริยา ทรงปร่ะพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติ หรือ โดยฐานเป็นพระญาติ ๓. พุทธัตถจริยา ทรงประพฤติเป็'นุประโยช'น์โดยฐานเป็น พระพทธเจ้า droe/
www.kalyanamitra.org ๑๔. พระพุทธเจ้าทรงประพฤสิประโยชน์Iดย^นเป็นพระพุทธเจ้าท เรียกว่า พุทธัตถจริยา คือทรงประพฤตอย่างไร่? ตอบ ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศ พระศาสนาให้บริษัททั้งคฤหสถ และบรรพชิต รู้ทั่วถึงธรรมตาม ภูมิชั้น และทรงษัญ^สิกขาบทอันเป็นอาทิพรหมจรรย์และ, อภิสมาจาร ./ ๑๔.ภพกับภูมิต่างกนอย่างไร มีอย่างละเท่าไร? ตอบ ภพ ห่มายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมูสัตว์ มี ๓ ภูมิ หมายถึงภาวะอันประณีต่ขี้นไปเป็นm ๆ.แห่งจิตและเจตสิกมี ๔. ๑๖.วฏฎะ ๓ คืออะไรบ้าง สัมพันธ์กันอย่างไร? ตอบ ว้ฏฏะมี ๓ คือ ๑. ภิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส ๒. กัมมวัฏฏะ วนคือกรรม ๓.วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก สัมพันธ์กันอย่างนี้ คือ กิเลสเมื่อเกิตขึ้นแล้วทำกรรม ครั้นทำกรรม แล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบากแล้ว กิเลสก็เกิต ขึ้นอีก ทำ กรรมอีก วนไปอย่างนี้จนกว่าพระอรหัตมรรคจะตัตกิเลส ให้ขาตลงได้ ๑๗.วิโมกข์คืออะไรมีอะไรบ้าง? ตอบ คือ ความพ้นจากํกิเลส มี สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิทิตวิโมกข์ ๑๘. สังขาร ๓ คืออะไรบ้าง? ตอบ สังขาร ๓ คือ ๕:o<ร
www.kalyanamitra.org ๑. กายสังขาร สภาพอันแตงกาย ๒. วจีสังขาร สภาพอันแต่งวาจา ๓. จีตตสังขาร สภาพอันแต่งจิต ๑๙. ที๋ชึ่อว่าสังขารเช่นนั้น เพราะอะไร? ตอบ ลมอัสสาสะป๋สสาสะ ได้ชื่อว่า กายสังขาร เพราะปรนปรือ กายโฟ้เป็นอยู่ วิตกและวิจาร ได้ชื่อว่า วจีสังขาร เพราะตริตรองแล้ว พูด ไม่เช่นนั้นจกไม่เป็นภาษา สัญญาอับเวทนา ได้ซือว่า จิตต- สังขารเพราะเป็นเครื่องยังจิตให้ตังอยู่ได้ย้อมจิตให้มีประการต่าง ๆ ๒๐.พระโสดาบน ๓ ได้แกใครบ้าง ? ๒๔๓๙ ตอบ พระโสดาบัน ๓ คือ เอกฺพีชี ๑ โกลังโกลฺะ ๑ สัตตักขัตคุ- ปรมะ ๑ ๒๑. คำ ว่า พระโสดาบัน และสัดตักขดดุปรมะ มีอรบายอย่างไร? ดอบ พระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอริยผลขันแรก สัตตักขัดคุปรมะ คือพระโสดาบันผู้จฺะเกฺดอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ๕:0๙
www.kalyanamitra.org จดฺดกะ คือหมวด ๔ อบาย ๔ นรก ๑. นิรยะ กำ เนิดสัตว์เดรฺจฉานิ ๒. ตรัจฉานโยนิ ภมิแห่งเปรต ๓. ปีดดิวิสัย พวกอสูร ๔. อสุรกาย อบาย แปลว่า เสิอม หรือหาความเจริญไฝไต เป็นสถานที่ รองรับการเกิดของอดีตมนุษย์ทีได้ทำบาปไว้ในสมยเป็นมนุษย์แบ่ง ออกเป็น ๔ คือ ๑. นิรยะ นรก ภูมิเป็นที่ลงโทษผู้ทำบาป สัตว์ตายแล้วเกิด ในสถานที่นั้นด้วยผลของอกุศลกรรม มีนายนิรยบาลเป็นผู้ลงโทษ ต่าง ๆ ให้ประสบความทุกฃ ความเร่าร้อน ด้วยประการต่าง ๆ หพัไบ้าง เบาบ้าง ตามแรงของบาปกรรมที่ตนได้กรฺะทำไว้ มีกรรมชั่วเป็น อาหารและเป็นอยู่ได้เพราะผลกรรม ๒. ติรัจฉานโยนิ กำ เนิดสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานจัดเป็น อบายประเภทหนึ่ง เพราะไม่มีภูมิเป็นที่อยู่โดยลำพังตนเอง ด้อง ๔๑๐
www.kalyanamitra.org อาศัยมนุษยโลกเป็นที่อยู่ สัตวเดรัจฉานได้ชื่อว่าเป็นอบาย คือ หา ความเจริญไม่ได้ ไม่สามารถพัฒนาไห้มีดวามก้าวหน้า ๓. ปีตตวิสัย ภูมิแห่งเปรต เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เรียกว่า เปตโลก แปลว่า โลกแห่งเปรต แสดงถึงสภิาพชีวิตที่ประสบความ ทุกข ความอดอยาก หิวโหยของพวกเปรต- หมายเอาจำพวกที่ทำ บาปมีโทษไม่ถึงตกนรก แต่มีรูปร่างไม่สมประกอบได้รับความอดอยาก เดือดร้อนในความเป็นอยู่ของตน ภูมิแห่งเปรตท่านแสดงไว้ ๔ ชน้ด คือ ๑. ชน้ดรูปร่างไม่สมประกอบ ^ผอมอดโซ ๒. ชนิดรูปร่าง วิการ เช่น กายเป็นอย่างมนุษย์ แด่ศีรษะเป็นอย่างสัดว้เดรัจฉาน เช่น เป็นกาบ้าง เป็นสุกรบ้าง ๓. ชนิดรูปร่างฟ้กลเสวยกรรมกรณ์ อยู่ดามลำพังด้วยอำนาจบาปกรรม ๔. ชนิดรูปร่างมนุษย์ปกดิ แม้ เป็นผู้เสวยกรรมกรณ์ แต่ก็มีวิมานเป็นที่อยู่ที่เรียกว่า เวมานิกเปรต เป็นด้น เปรตเหล่านี้มีกรรมและผลทานที่ญาติมิตรผู้ยังเป็นอยู่ใน โลกนี้บริจาคอุทิศส่งไปให้เป็นอาหาร ๔. อสุรกาย พวกอสุรกาย พวกอสูร หมายถึงชีวิตชนิดหนึ่ง เป็นอทิสสมานกาย คือ บุคคลไม่สามารถมองเหินได้ด้วยดา เป็น 2/ '' ๘.ะเ จำ พวกผีปีศาจทีบางครังบางคราว ก็มีการหลอกหลอนคน ดังนันจึง มีส่วนหนึ่งที่อยู่ในโลกนี้และมีอยู่ในโลกอื่น ๆ ที่ท่านใชีคำว่า'ปรโลก\" อบ้สเสนธรรม ๔ ๑. พิจารณาแล้วเสพขอ่งอย่างหนึ่ง ๒. พิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่ง ๓. พิจารณาแล้วเว้นฃอง่อย่างหนึ่ง
www.kalyanamitra.org ๔. พิ*จารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง อป๋สเสนธรรม หมายถึง ธรรมดุจพนักฟัง เป็นปฐปทาเพื่อ ความเจริญ เป็นเหตุให้อกุศลที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป กุศลที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป มี ๔อย่าง ๑. ฟัจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง หมายถึง ก่อนที่จะกินจะ ใช้สิ่งของต่าง ๆจะคบคนและหลักธรรมที่นำมาปฏิป๋ติควรฟัจารณา ก่อนเพื่อไมให้หลงมัวเมา มี ๓ อย่าง ๑.๑ ก่อนที่จะใช้สอย บริโภคป็จจฺย ๔ ต้องพิจารณาเสิย ก่อนเพื่อไมให้เพ่สิด.เพสิน ๑.๒ ถ้าเป็นบุคคล ก็ต้องเลือกคบฺคนดีมีศีลมีธรรม ๑.๓ ถ้าเป็นธรรมะ ก็ต้องเลือกหลักธรรมที่นำไปใช้1นชีวิต ประจำวนไต้จริงๆ ๒. พิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่ง หมายถึง การที่เรา ไต้พบกับสื่งที่ไม่น่าปรารถนา เช่น ประสบกับความหนาว ร้อน หิว กระหาย ถูกถ้อยคำเลืยดแทํง เป็นต้น' ย่อมพิจารณารู้จักช่ม และ อดทนให้ไต้ ๓. พิจารณ่าแล้วเว้นของอย่างหนึ่ง หมายถึง การที่เราจะ เว้นในสิ่งที่เราไต้เช้าไปพบเจอ ต้องพิจารณา เว้น ไม่เสฺพในสิ่งที่จะ มีผลเป็นความทุกข์ เดือดร้อนต่อดนเองใ14ภายหลัง หักห้ามใจไม่ ให้ไปเกี่ยวช้องกับสิ่งที่เป็นเหตุนำมาชีงคฺวฺามฒียหาย ๔. พิจารณาแล้วบรรเทา ของอย่างหนึ่ง หมายถึง การบรรเทา สิ่งที่มีโทษ เป็นอันตราย.ศีดจะก่อให้เกิดฺความเสียหายแก่ตน สิ่งที่ &:๑๒
www.kalyanamitra.org ไฟ่สืที่ยังอยู่ในจิตใจควรจะต้องบรรเทาลงไปเรื่อย ๆ จนสามารถบำบัด ขจิตให้หมดสิ้นไป ๑. เมตตา ความร้กใครที่ปราศจากราคะ ๒. กรุณา ความส่งสาร ©.มุทิตา ความพลอยยินดี ๔. อเบกขา ความวางเฉย ยัปปมญญา หมายถึง การภาวนาอันมีรํโตว์หาประมาณมไต้ เป็นอารมณ์ เป็นการแผ่บุญกุศล หรือความปรารถนาดีที่ไฝเจาะจง ตัวผูร้บ ไมมีการกาหนดเขตแตน โดยแผ่ให้กับสรรพอัตว์ทุกหมู่เหล่า มี ๔ อยาง ๑. เมตตา ความรกใคร่ที่ปราศจากราคะ หมายถึง การแผ่ เมตตาจิตไปต้วยความรักใคร่ที่ไม่มความกำหนัดเจือปน โดยมีความ ปรารถนาดีต่อผู้อื่นเป็นที่ตั้ง ขยายออกไปโดยไม่มีขอบเขตในสรรพสัตว ทุกหมู่เหล่า ผู้ที่เจริญเมตตาภาวนาเซ่นนี้ ย่อมกำจัดพยาบาทไต้ ๒. กรุณา ความสงสาร หมายถึง การแผ่ความสงสาร์ ความ หวั่นใจ คิดซ่วยให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข เมื๋อไต้พบเห็นและไต้รับ ความลำบาก. ก็รู้สิกเห็นอกเห็นใจ ไม่มีความรู้สิกเหยียดหยามซํ้า เคิม จืงมีจิตคิดซ่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข ผู้ที่เจริญกรุณา ภาวนาเซ่นนี้ ย่อมกำจัดริห็งส่า ความเบียดเบยนไต้ ๓. มุทิตา ความพลอยยินดี •หมายถึง การร่นชม ความ รโ๑๓
www.kalyanamitra.org พลอยยินดีโนเมื่อผู้อื่นได้ดี แสดงถึงความชื่นซมยินดี บันเทิงใจ พร้อม ที่จะสนับสนุนส่งเสริมทุกเมื่อ ผู้ที่เจริญมุทิตาภาวนาเช่นนี้ ย่อมกำจด อรดี และความริษยาได้ ๔. อุเบกขา ความวางเฉย หมายถึง การวางตนเรนกลาง ความวางเฉย ไม่เอนเอียงเข้าไปด้วยความไม่ชอบ หรือชอบก็ตาม ควรใช้สดีบัญญาพิจารณาเหตุผล ด้วยความยุดีธรรม ไม่เสียใจ เมื่อคน ที่เรารักพบกับความวิบต ไม่ดีใจเมื่อคนที่เราชอบพบกับความพินาศ พึงวางใจให้เป็นกลางด้วยความรู้สึกว่า สัตวทั้งปวงย่อมเป็นผู้รับผลของ กรรมที่ตนได้ทำมา ผู้ที่เจริญอุเบกขาภาวนา ย่อมกำจัดปฏิฆะ คือ ความขัดเคืองหงุดหงิตด้วยอำนาจโทสะซึ่งเกิดจากอนิฏฐารมณ์ที่ กระทบกระทั่งฺ ส่งผลให้เกิดความโกรธ คํวามพยาบาท เป็นด้น กัปปมญญา คือ การภาวนากันมีสัตว์หาประมาณมิไดุ้ ได้แก่ การแผ่โดยไม่เจาะจงหมู่นั้นหมู่นี้ แต่แผ่ไปโดยไม่จำกัดทุกหมู่เหล่า ไม่มีประมาณ . พรหมฺวิหาร คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม ได้แก่ การ แผ่โดยเจาะจงหมู่นั้นหมู่นี้ อรห'นส์ ๔ ผู้เจริญวิบัสสนาล้วน ๑. สกขวิบัสสโก ผู้ได้วิชชาสาม ผู้ได้อภิญญาหก ๓. ฉฬภิญโญ ผู้ถึงปฏิสัมภิทา ๔. ๔๑(ร:
www.kalyanamitra.org อรหันต์ หมาย!,อาท่านยู้สินกิเลสแล้ว เป็นอเสฃบุคคล่ ผู้ ไมต้องศึกษา เพ่ราะเข้าถึงความบริสุทธึ๋สิ๊นเชิงแล้ว ท่านจำแนกไว้ ๔ ประเภท คือ ๑. สุกฃวิป๋สสโก ผู้เจริญวิป๋'สสนาล้วน หรือเรียกชื่ออีกอย่าง่ หนึ่งว้า พระอรหันต์ป๋ญญาวิมุตติ คือท่านเจริญแตวป็สสนากรรมฐาน อย่างเดียว จนบรรลุอรหัต ๒. เตริชโช ผู้ไต้วิชชาสาม พระอรหันต์ประเภทนี้ได้สำเร็จ เป็นพระอรหันต์ด้วยทรงคุณคือวิชชา ๓ มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นด้น หลุดพ้นด้วยอำนาจเจโตวิมุตติ ๓. ฉฬกิญโญ ผู้ไต้อภิญญา ๖ พระอรหันต์ประเภทนี้ ได้ สำ เร็จพระอรหันต์ด้วยทรงคุณคือ อภิญญา ๖ มีอิทธิวิธีเป็นด้น หลุด พ้นด้วยอำนาจแห่งใจ เรียกว้า เจโตวิมุตติ ๔. ปฏิสัมภิหัปป็ตโต ผู้ถึงปฏิสัมภิทา พระอรหันต์ประเภทนี้ ได้สำเร็จพระอรหันต์ด้วยทรงคุณ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ มีอัตถปฏิสัมภิทา เป็นด้น พระอริยบุคคล ๔ ผู้เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ๑. พระโสดาบน ผู้จะม่าเกิดอกครั้งเดียว ๒.พระสกทาคามี ผู้ไฝมาส่โลกนี้อีก ๓. พระอนาคามี ผู้ไกลจากกิเลส ๔. พระอรหันต์ พระอริยบุคคล คือ บุคคลผู้ประเสริฐ โด.ยการจำแนกตาม ๕๑๕
www.kalyanamitra.org ลำ ดับของการละกิเลส มี ๔ จำ พวก ๑. พระโสดาบัน ผู้เข้าสิงกระแสแห่งพระนิพพาน หมายสิง ผู้ที่เข้าสิงกระแสแห่งพระนิพพาน มี ๓ จำ พวก ๑.๑เอกพีชี ผู้มีพืชคือเกิดอีกเพียงครั้งเสียว . ๑.๒.โกลังโกละ คือ ผู้ไปจากตระกูลสู่ตระกูล เกิตอีก ๒-๓ ชาติ ๑.๓ ลัตดักขัตตุปรมะ ผู้มีภพ ๗ เป็นอยางยิ่ง คือ จะด้อง เกิตอีก ๔ ชาติขึ้นไป•แต่ไม่เกิน ๗ ชาติ พระโสตาบันละลังโยชน์ ได้ ๓ อย่างฺคือ ๑. ลักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นเหตุ่ให้สิอดัวถอตน ๒.วิจิกิจฉา ความลังเลสงลัยไม่แนใจกับปฏิปทาที่ปฏิบติอยู่ ๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นในศีลพรตโตยลักว่าทำ ตามๆกันไปอย่างงมงาย ๒. พระสกทาคามี ผู้จะมาเกิดอีกครั้รเสียว หมายสิง ผู้จะ มาเกิดอีกครั้งเสียว คือ เมื่อตายแล้วจะไปบังเกิดในเทวโลกแล้วจะ กลับมาเกิดในมนุษย์อีกครั้งหนึ่งกิจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหนต พระสกทาคามีละลังโยชน์1ด้ ๓ อย่างเหมือนกับพระโสดาบัน และลดความรุนแรงของ ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงได้ ๓.พระอนาคามี ผู้ไม่มาสู่โลกนี้อีก หมายถง หลังจากตาย ไปแล้ว จะไปบังเกิดในพรหมโลกชนสุทธาวาส ๕ ชั้น ได้แก่ อวิหา อดัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษP และจะบรรลุเป็นพระอรหนตไน พรหมโลกชั้นสุทธาวาสนั้นเอง ตามกำลังอ่อนแก่ของอี.นทรีย์ทั้ง ๔ พระอนาคามีละลังโยชน์1ด้ ๙ อย่าง คือ ลักกายทิฏเ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ๕๑๖
www.kalyanamitra.org กไมราคะ คือ ความกำหนัดในถาม ติดใจรสของกามคุณ ปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งทางใจ หรือ ความหงุดหฺงิด ขดเคืองใจ ๔. พระอรหันต์ ผู้ไกลจากกิเลส หมายถึง เป็นผู้หักกงกำ แห่งสังสารวัฏ . เป็นผู้ควรแก่การบูชาไม่ต้องเวียนว่ายดายเกิดอีก พระอรหันต์ละสังโยซฟ้;ต้ ๑๐ อย่าง. คือ สังโยชน์เบื้องตํ่า ๔ คือ, สักกายทิฏฐ วิจิกิจฉา •สิสัพพต ปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ เรืยกว่า โอวัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้อง่สูง ๙ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เรืยกว่า อุทธั่มภาคืย่สังโยชน์ มความหมายดังนี้ รูปราคะ คือ ความติดใจในอารมณที่เป็นรูปฌาน อรูปราคะ คือ ความติดใจในอารมณ์ที่เป็นอรูปฌาน หรือติด อยู่ในอรูปภพ มารเะ คือ ความส์าดัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี้ อุทธัจจะ คือ ความ'พุงซ่านรำคาญใจ ติดไปเรื่อย ๆ หา สาระไม่ไต้ อวิชชา คือ ความไม่ร้จริง อริยวงศ์๔ ๑. สันโดนด้วยจิวร่ดามมีดามเกิด ๒.สันโดนด้วยบณฑบาดดามมีดามเกิด ๓. ๔. ยินดีในการเจริญกดลและในการละอกดล 0/ 4* ๔๑๙
www.kalyanamitra.org อริยวงศ์ คือ ปฏิปทาของพระอริยบุคคล เนสมณะ ทาน จำ แนกเป็น ๔ ประก'!ร อาศัยหลักการประพฤติปฏิป๋ต คือ ลันโดษ ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะตามมีตามได้ และยินดีในการเจริญ กุศล คือ เพิ่มพูนความดี และยินดีในการละอกุศล คือ บรรเทา ความชั่วลงไป ในทางพระพุทธศาสนานั้นยกย่องลันโตษ คือความยินดีใน บิ'จจัยตามมีตามได้เป็นการยินดีตามกำลังของตน เป็นความยินดีใน สิ่งที่ตนได้มา และยินดีตามเหมาะตามควรแก่ฐานะของตน ก่อให้ เกิตผลเป็นการแสวงหาบิ'จจัย ๔ ในทางที่ชอบที่ควร แมีจะได้บิ'จจัย ๔ ที่พิเศษอย่างไรก็ตามถาเป็นการได้มาในทางที่ไม่ชอบไมควร ทานผู้ ประพฤติตามอริยวงศ์จะไม่รับบิ'จลัยเหลานั้น อรูป ๔ ๑, อากาสานัญจายตนะ ๒, ริญญาณัญจายตนะ ๓, อาก็ญลัญญายตนะ ๔, เนวสัญญานาสัญญายดนะ คำ ว่า อรูป แปลว่า ไม่มีรูป ถ้าเป็นร่อแห่งฌานเรียกว่า อรูปณาน ถ้าเป็นร่อแห่งภพเรียกว่า อรูปภพ อรูปฌาน แปลว่า ฌานไม่มีรูป หมายความว่า ฌานประเภทนี้มีได้ยตเหนี่ยวรูปเป็น อารมณ์ คือ ไม่ทำไว้ในใจถึงปฏิภาคนิมิต่ ร่งเป็นอารมณ์ของรูป ฌาน อรปฌานนี้นั้นห่านแสตงไว้ ๔ ประการ คือ ๕๑(ร
www.kalyanamitra.org ๑. อากาสานัญจายดนะ ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ ๒.วิญญานัญจายตนะ ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ ผ. อากิฌจัญญายต!เะ ยึดหน่วงเอาความไม่มีอะไรเหลืออยู่ น้อยหนึ่งเป็นอารมณ์ หมายความว่า เกือบไม่มีอะไรเป็นอารมณ์เลย . ๔. เนวสืญญานาสัญญายตนะ ยึดหน่วงเอารูปที่ ๓ อันมี สัญญาเวทนาและสัมปยุดธรรมทั้งสิ้น ละเอียดและประณีด มีอยู่ เหมีอนไม่มี จนเป็นผู้มีสัญญาคือ ความรู้สึกตัวก็ไม่ใช่ เป็นผู้หา a/' aU เจ • อรูปฌาน่ ๔ นี้ ประณ์ดไปกว่าอันโดยลำตับ อรูปภพนั้นมี ๔ ชั้น คือ ๑. อากาสานัญจายตนภพ เป็นที่บังเกืดของทานผู้ได้บรรลุ อรูปฌาน ข้อที่ ๑ ๒. วิญญาณัญจายตนภ่พ่ เป็นที่บังเกืดของผู้ที่บรรลุอรูปฌาน ข้อที่ ๒ ๓. อากิญสัญญายตนภพ เป็นที่บังเกิดของผู้ที่บ่รรลุอรูป ฌาน ข้อที่ ๓ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เป็นที่บังเกิดของท่านผู้ที่ บรรลุอรูปฌาน ข้อที่ ๔ อวิชชา ๔ ๑. ทุกเข อัญญาณ์ง ไม่รู1นทุกฃ ๒. ทุกขสมุทเย อัญญาผัง ไม่รู1นทุกขสมุทัย ๓. ทุกฃน้โรเ® อัญญาณัง ไม่รู1นทุกขนิโรธ (ร:๑๙
www.kalyanamitra.org ๔. ทุกฃนิโรธคามินิยา ปฏิปทายะ อัญญาณัง ไฝเIนทุกขนิโรธคามินิปฏิปทา คำ ว่า อวิชชา แปลว่า ความไม่เแจ้ง ท่านแสดงไว้ ๔ อย่างคือ ๑. ไม่ร1นทุกข์ ได้แก่ไม่รู้ว่า เบญจขันธ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกข์ เพราะชาติ ความเกิด เพราะ ชรา ความแก่ และเพราะมรณะ ความตาย ๒. ไม่รู้โนทุกขสมุทัย ได้แก่ ไม่รู้ตัณหา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ทั้งไม่รู้ว่าตัณหา ๓ ประการ นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ย่างไร ๓. ไม่รู1นทุกขนิโรธ ได้แก่.ไม่รู้ความตับทุกข์ กล่าวคือตัณหา รงเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ๔. ไม่รู้โนทุกฃนิโรธคามินิปฏิปทา ได้แก่ ไม่รู้ทางที่ให้ถึง ความตับทุกข์ ได้แก่ องค์อริยมรรค ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาข์โว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อาหาร ๔ ๑. กว?^งการาหาร อาหารคือคำข้าว ๒.ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ ๓. มโนสัญเจด่นาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา ๔.วิญญาณาหาร อาหารคือฺวิญญาณ Srbo
www.kalyanamitra.org อาหาร แปลว่า สิ่งที่นำผลมา โดยทำหฺน้าที่คาจุนรูปธรรม และนามธรรมให้ดำรงอยู่ และเจริญเติบโต หมายเอาสิ่งหล่อเลี้ยง กายใจ ของคน สัตว่ให้ดำร่งอยู่และเจริญสืบต่อไป ท่านเรียกว่า อาหาร แบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. กว?โงการาหาร อาหารคือคำข้าว ได้แก่อาหารที่คนทั่วไป บริโภคกันอยู่ทุกวัน มีข้าวสุกเป็นด้น พร้อมทั้งกับข้าวคาวหวานทุก ชนิต อาหารเหล่านื้ นำ ผลมาให้ ๓ อย่าง คือ บรรเทาความหิวเก่า ป็องกันความหิวใหม่ ทำ ให้ร่างกายมีกำลัง ๒. ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ หมายเอาการกระทบกันระหว่าง อายตนะภายในกับอายตนะภายนอก และวิญญาณ เป็นป๋จจัยนำผล คือ เวทนา เป็นด้นมา ได้ในพระบาลีว่า \"ผสฺสปจฺจยา เวทนา\" แปล ว่า \"เวทนาย่อมเกิดมี เพราะผัสสะเป็นป๋จจัย\" ๓. มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา หมายเอา ความจงใจหรีอความตั้งใจในการทำ พูด หรีอคืตในสิ่งใตก็เป็นมโนสัญ- เจตนาหารในการทำ พูด คิดนั้น ๆ ที่งเป็นป๋จจัยนำผลคือกรรมมาให้ ๔. วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ ดำ ว่า วิญญาณนั้น ท่านแก้เป็น ๒ อย่าง คือ ๑. วิญญาณธาตุ หมายถึงธาตุรู้ เพราะวิญญาณธาตุมี จึงได้ มาผสมกับธาตุไม่รู้ คือ ดิน นํ้า ลมไฟ อากาศ ๒.วิญญาณขันธ หมายเอาวิญญาณ ๖ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และ มโนวิญญาณ เกิดขึ้นเพราะอายตนะภายใน กับอายตนะภายนอก กระทบกันจึงเกิดเวทนา ๔๒๑
www.kalyanamitra.org อปาทาน ๔ ดวามยึดมั่นถือมั่นในํกาม ความยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจทิฏเ ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในดีลพรด ๒. ทิฏจุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในวาทะว่าดน ๓. ถืลัพพดุปาทาน ๔. อํตดวาทุปาทาน อุปาทาน แปลว่า ความยึดมั่นถือมั่น เปีนชื่อของกิเลสกลุ่ม หนึ่ง ที่แสดงออกมาในลักษณะยึดมั่นถือมั่น ด้วยอำนาจของกิเลส แปงออกเป็น ๔ ประ๓ท คือ ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในกาม คือการที่จิตเข้าไป ยึดถือในวัตถุกามทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏรูพฺพะ อันตน กำ หนดว่า น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ หมกมุ่นอยู่ว่ามั่นของฺเรา จนเป็นเหตุให้เกิดรสสา หรือหึงหวง ทุกข์ภัยต่าง ๆ ก็เกิดตามมา ๒. ทิฏจุปาทาน ความยึดมั่นด้วยอำนาจทิฏฐ คือคว่ามเห็น ผิด เช่น ยึดถือในลัทธิธรรมเนียม ความเชื่อถือต่าง ๆ ขาดป๋'ญญา เครื่องพิจารณาเหตุผล เช่น ยึดถือว่า การทำดีทำชั่วไม่มี ความสุข่ ความทุกข์ไม่เกิดมาจากเหตุอะไรทั้งนั้น ไม่มีบุญบาป มารดาป็ดา ไม่มีบุฌคุณเป็นด้น จนเป็นเหตุเถืยงภันทะเลาะกัน ๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในศีลพรต หมายเอา ข้อปฏิป๋ตที่ประพฤดีมาจนชินด้วยเข้าใจว่า ขลัง คักดี'สทชั่ ถูกต้อง เช่น ธรรมเนียมหรือพิธีกรรมบางอย่างที่ถือฤกษ์ ทิศ และวันดีไม่ดี ตลอดจนข้อวัฅรที่งมงาย เช่นการทำตนเสียนแบบสุนัขบ้าง โคบ้าง โดยเข้าใจว่าไต้บุญ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า &๒๒
www.kalyanamitra.org ๔. อัตุตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในวาทะว่าตน หมายถึงยึดถือ ในทำนองแปงเป็นเราเป็นเขา จนถืงการยึดถือว่ามีตัวตนทีเทียงแท้ อยู่ อุปาทานเหล่านี้เกิดเพราะตัณหา และเพราะตัณหาเป็นป๋จจัยให้ เกิดภพชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส โดยลำตับ เพราะฉะนั้น ถ้าละตัณหาเสิยได้ ทุกข์ทั้งปวงก็ตับสิน อุปาทานฃอนี้จะตับสิ้นเพราะอรหดผลเกิดขึ้นเท่านั้น โอฆะ ๔ โอฆะคือกาม ๑. กาโมฆะ โอฆะคือภพ ๒. ภโวํฆะ โอฆะคือทีฏเ ๓. ฑฏโฐฆะ โอฆะคืออริชชา ๔. อริชโชฆะ โอฆะ หมายถึง กิเลสเป็นดุจห้วงนํ้า ท่วมทบ พัดหาสัตว1ห้ พสัดตกลงไปสู่ความพินาศ ๔ ประการ ๑. กาโมฆะ โอฆะคือกาม หมายถึง กิเลสดุจห้วงนํ้าคือกาม ได้แก่ ความรักใคร่ที่เกิดขึ้นเพราะดำริถึงวัตถุกามมี รูป เสียง เป็นด้น ที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ พอใจ ๒. ภโวฆะ โอฆะคือภพ หมายถึง กิเลสดุจห้วงนํ้าคือ ภพ ได้แก่ ความรักใครในภพ ยังมีความพอใจ ติดใจ ลุ่มหลงอยู่ในภพ ทั้ง ๓ กามภพ รูปภพ อรูปภพ . ๓. ทีฏโฐฆะ โอฆะคือทีฏเ หมายถึง กิเลสเป็นดุจห้วงนํ้า คือ ทีฏเ มีความเห็นผิด เช่น เห็นว่าทานที่ให้แล้ว ไม่มีผิล การ ๔๒๓
www.kalyanamitra.org บูชาบุคคลทีควรบูชา ไฝมีผล เป็นต้น เป็นเหตุให้ปฏิเสธเรื่องบาป บุญ คณโทษฺ นรฺท สวรรค สามารถทำความชั่วไต้ทุถอย่างฺ ๔. อวิชโชฆะ โอฆะคืออวิชชา หมายถง กิเลสดุจห้วงนาคือ อวิชชา €งแปลว่า ความไม่รู้ เป็นเหตุไม่ให้รู้ทุกข เหตุไห้เกิดทุกขุ ความดับทุกข และข้อปฏิบตให้ถึงความดับทุกข รวมถึงความไม่รู้ อดีต ไม่รู้อนาคต ไม่รู้อดีตและไม่รู้อนาคต ไม่!!นปํฏิจจสมปปบาท เรียกว่า อ'วิชชา ๘ กิจในอริยสัจ ๔ ๑. ปริญญา กำ หนดเทุกขสัจ ๒.ปหานะ ละสมุทํยสัจ ๓.สัจรกรณะ ทำ ให้แจ้งนิโรธสัจ ๔. ภาวนา ทำ มรรคสัจให้เกิด กิจในอริยสัจ หมายถึง หนิาที่อ้นจะต้องทำในอ่ริยสัจ ให้ถึง พร้อม ๔ ประการ ๑. ปริญญา กำ หนดเทุกขสัจ หมายถึง ศึกษาให้รู้และเข้าใจ ตามสภาพที่เป็นจริง เช่น รู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ และ ความตายกิเป็นทุกข์ อีกทังความเศร้าโศก ความเสียใจ ความพลด พรากจากสิ่งที่เป็นที่รัถกิเป็นทุกข์ ๒. ปหานะ ละสมุทัยสัจ หมายถึง กำ จัดดัณหาทั้ง ๓ ให้หมด สิ้นไป เพราะถ้าดัณหายังไม่ถูกทำลาย ทุกข์กิยังมีอยู่รํ่าไปไม่รู้จบ ๓,. สัจรกรณะ ทำ ให้แจ้งนิโรธสัจ หมายถึง พระนิพพานเป็น กิจทีควรทำให้แจ้ง กล่าวคือ เมื่อละดัณํหาอ้นเป็นกิจที่ควรละไต้แล้ว Srte(r
www.kalyanamitra.org จึงจะเข้าสิงพระนิพพานได้ ๔. ภาวนา. ทำ มรรคลํโจให้เกิด หมายสิง การปฏิบฺตตาม อริยมรรคมีองค์ ๘ ส์งเป็นมรรควิธีที่ประเสริฐสำหรับดับทุกข์เป็นกิจ ที่จะด้องปฏิ!เตให้เกิดขึ้นจนบรรลุสิงจุดหมายสูงสุด คือ นิพพาน ฌาน ๔ ๑.ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ ๒.;ทุคืยฌาน ฌา'แที่ ๒ ๓. ตติยฌาน ฌานที่ ผ ๔.จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ ฌาน แปลว่า การเฟง มีความหมาย ๒ ระดับ คือ ๑. อารัมมณูปนิชฌาน เพ่งดูอุารมณที่เป็นเครื่องดังสติกำหนด ระลึก ได้แก่ ส:มาป๋ติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ๒. ลักขณูปนิชฌาน เพ่งลักษณะ ได้แก่ วิป๋'สสนา เพราะ พินิจลังขๆรโดยไตรลักษณ์ ได้แก่ มรรค เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนา นั้นให้สำเร็จ ได้แก่ ผฺล เพราะเพ่งนิพพานยันมีลักษณะเป็นสุ่ญญดะ อนิมิตดะ ยัปปณิหิดะอยางหนึ่ง เพราะเห็นลักษณะอันเป็นลัจจภาวะ ของนิพพานอย่างหนึ่ง.คือ ๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอยัคคดา ยังมีตรึกขึ้งเรียกว่า วิตก และยังมีดรองขึ้งเรียกว่า วิจาร เหมือน อารมณ์แห่งจึดของคนสามัญ แดไม่ประกอบด้วยกิเลสกามและ อกุศลธรรม มีปีติคือความอิ่มใจ สุขคือความสบายใจเกิดแต่วิเวกคือ ความสงบ จิดมีอารมณ์เป็นหนึ่งลงไป ขึ้งเรียกว่า เอกคคตา ๕๒๕
www.kalyanamitra.org ๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๓,คือ ปีติ สุข เอกคฺคตา ๓.ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา ๔. จตุตถฌานฺ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา และเอก'คํคตา ฌานทั้ง ๔ นี้ จัดเป็นรูปฌาน หรือรูปสมาบติ เพราะมีรูป ธรรมเป็นอารมณฺ ได้แก่ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ เป็นด้น ทักขิณาวิสุทธิ ๔ ๑.ทักขิณาบางอย่างบ่เสุทพhamยกเIตใฝม่รสุทwhยปฏิค^ ๒.ทักขิณาบางอย่างปรืสุทธิ๋^ยปฏิคาหกแตใม่ม่รสุทwhยman ๓. ทักขิณาบางอย่างไม่บรืสุทฬงฝ็ายทายกและฝายปฏิคาหก ๔. ทักขิณาบางอย่างบรืสุทธิ๋ทั้งฝายทายกและฝ่ายปฏิคาหก ทักขิณา แปลว่า สิงของที่ทาบุญ เรืยกว่า ทักขิณาทาน ทายก หมายถึงท่านที่บริจาควัต.ถุสิ่งของทำบุญ ปฏิคาหก หมายถึง ผู้วับสิ่งของที่ทายกมอบให้ จัดเป็น ๔ ประ๓ท คือ ๑. ทักขิณาบางอย่างปริสุทธิ๋fhยmanแตไม่ปริสุทธิ๋fhยปฏิคาหก ได้ผลบุญเพียงกึ่งเดียว เหมือนหว่านพีซุพันธดีลงบนพื้นนาที่ไม่ดี ๒. ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ้ฝายปฏิคาหกแต่ไม่บริสุทธฺฝาย man ได้ผลบุญเพียงกึ่งเดียวเช่นนั้น เหมือนพีชไม่ดีหว่านลงในนาดี ๓. ทักขิณาบางอย่างไม่บริสุทธิ๋ทั้งฝายทายกและฝายปฏิคา หกทั้ง ได้ผลบุญน้อยมาก เหมือนพีชไม่ดีหว่านลงในนาไม่ดี ' ๔. ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ๋ทั้งฝายทายกุและฝายปฏิคาหก ทักขิณามีผลานิสงส์มากได้ผลบุญมาก เหมือนหว่านพีชทันธฺดีลงใน พื้นนาที่อดมฉะนั้น ^^๒๖
www.kalyanamitra.org ธรรมสมาทาน ๔ ๑. ธรรมสมาทานบางอิย่างให้ทุกฟ้.น!โจจุบนและมีทุกข์เป็น วิบากต่อไป ' ๒. ธรรมสมาทานบางอย่างให้ทุกข์ใน!โจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบาก ผ. ธรรมสมาทานบางอย่างให้สุขในบัจจุบันแต่มีทุกข์เป็นวิบาก ๔. ธรรมสมาทานบางอย่างให้สุขในบัจจุบันแสะมีสุขเป็!ฅิบาก ต่อไป คำ ว่า ธรรมสมาทาน ได้แก่ ความประพฤติ การกระทำ กรรฺมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง จัดเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. ธรรมสมาทานบางอย่างให้ทุกข์ในบัจจุบันและมีทุกข์เป็น วิบากต่อไป ทำ อกุศลกรรมบถ ด้วยการแนใจ.ได้เสวยทุกข์โทมนัส เช่น คบคนพาล ถูกหลอกให้ไปปล้นเอาทรัพยของคนอื่น แม้ไม่ สมัครใจทำแต่หลวมตัวเสืยแล้ว ด้องจำใจทำ ๒. ธรรมสมาทานบางอย่างให้ทุกข์ในบัจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบาก ต่อไป ทำ กุศลกรรมบถด้วยความยากลำบาก เช่น ช่วยชีวิตผู้อื่น โดยฝ่าอันตราย อาทิช่วยคนตกนํ้า - ๓. ธรรมสมาทานบางอย่างให้สุขในบัจจบันแต่มีทุกข์เป็นวิบาก ต่อไป ทำ อกุศลกรรมบถด้วยความพอใจ ได้เสวยสุขโสมนัส เช่น คนหากินโดยทางมิจฉาชีพ หาทรัพย์ได้คล่อง เช่น รับของโจร รับ สินบน เป็นด้น SrtoGf/
www.kalyanamitra.org ๔. ธรรมสมาทานบางอย่างให้สุฟ้นฝัจจุบันและมีสุข(รนวิบาก ต่อไป่ ทำ กุศลกรรมบถดวยความพอใจ ได้เสวยสุขํโสมนส เช่น คนมี ทรัพยจ่ายทร้พยของตนเพื่อเกื้อกูลผู้อื่นได้ความเบิกบานใจ เป็นด้น บริษัท ๔ ๒. ภิกษุณ ๔. อุบาสิกา ๑. ภกษุ ๓. อุบาสก 9 บ่ริษัท หมายถึง พุทธบริษ้ท ๔ ที่ยอมรบนบถือพระพุทธศาสนา และพระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้พุทธบริษฑ ๔ ปกป็องดูแล สืบทอด อายุพระพุทธศาสนา มี ๔ ได้แก่ ๑. ภิกษุ คือ ผู้ที่เห็นภิยในสิงสารวัฏเป็นคำเรียกร่อของนัก บวชชายในพระพุทธศาสนาเทำนั้น และด้องมีคณสมบิติตามพุทธบัญ^ ดังนี้ เป็นชายแท้ มีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป ไม่เป็นคนวบิต เช่น ถูกตอน แปลงเพศ เป็นด้น ไม่เคยทำความผิดร้ายแรง เช่น ฆาบิดามารดา เป็นด้น ไม่เคยทำความผิดเสืยหายอย่างหนักในพระพุทธศาสนา เช่น เคํยเป็นภิกษุด้องอาบิตปาราชิกมาก่อน เป็นด้น ๒. ภิกษุณ คือ นักบวชหญงในพระพุทธศาสนา ต่างจาก ภิกษุดังนี้ ด้องรักษาศีล ๖ ข้อเป็นเวลา ๒ ปี ที่เรียกว่า สิกขมานา เข้าบวชในสงฆ์สองฝ่าย คือ ในสำนักของภิกษุก่อน แล้วจึงบวชใน สำ นักของภิกษุณีในภายหลัง เมื่อบวชแล้วด้องรักษาศีล ๓๑๑ ข้อ ๓. อุบาสก ๔. อุบาสิกา คือ ชายหญิงผู้เข้าไปนั้งใกล้พระรัตนตรัย ห็รีอ ๔๒0?
www.kalyanamitra.org ผู้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนาผู้น้อมรับเอาพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งตลอด ชีวิต ต้องรักษาศีล ๔ อย่างเคร่งครัด อีกทั้งคุณสมบตที่อุบาสก อุบาสิกาต้องมีศีอ มีศรัทธา มีศีล ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ไฝแสวงหา เขตบุญนอกพระพุทธศาสนา ทำ บุญแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น บริษัท ๔ ๒. พราหมณ์ ๑.iQa กนดริย์ ๔. สมณะ ๓. คฤหบดี,คหบดี บริร?ท อีกอย่างหนึ่ง หมายถึง หมู่คณะทั่ว ^ ไปในสมี'ย พุทธกาลหรือชุมชนตามลำดับสังคม มี ๔ กลุมดังนี้ ๑. กฟ้ตริย หมายถึง พระเจ้าแผ่นดีนผู้ปกคครองไพร่ฟ้า ประชาราษฎร ทรงทั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม เป็นที่ยอมรับยกย่อง ของมหาชน ๒. พราหมณ์ หมายถึง พราหมณ์ที่ทำหน้าที่สอนศาสนาใน ลัทธิของตน{ชาวฮินดู) เชื่อว่าพราหมณ์เทียบเท่ากับกษตริย์ เพราะ สิบสายม่าจากพราหมณ์ ๓. คฤหบดี คหบดี หมายถึง ชุมซนของคฤหัสถ์ผู้ที่มีฐานะ ดี มั่นคง มีธุรกิจเป็นของตนเอง เป็นต้น ๔. สมณะ หมายถึง ผู้สงบต้วยกาย วาจา ใจ ไต้แก่ ชุมชน แท่งสมณะมีนักบวช นักพรต ผู้สงบต้วยกาย วาจา ใจ ถ้าหมายถึง นั้กบวชในพระพุทธศาสนา ก็คอ พระภิกษุสงฆ์ ทั้งที่เป็นสมมติสงฆ์ และอริยสงฆ์ ๕:๒๙
www.kalyanamitra.org บุ่คดล ๔ ๑. อุคฆฐตญฌู ผู้เธรรมสืทานเพียงยก์หวช้อขึ้นแสดง ๒.วิปจิดัญผู ผู้เธรรมต่อ่เมื่อขยายความแล้ว ๓. เนยยะ ผู้พอแนะนำไล้ ๔.ปทปรมะ . ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง บุคคล หมายถึง การจำแนกบุคคลตามสติปีฌญาและอุปนิสัย ที่สามารถจะรู้ธรรมไล้ข้าหรือเร็ว โดยจำแนกได้ ๔ ทลุม ๑. อุคฆฏิตัฌฌู ผู้รู้ธรรมที่ท่านเพียงยกหวข้อขึ้นแสดง หมาย ถึง ผู้มีป๋'ญญๆมาถมีบารมีธรรมที่ได้สั่งสมมามาก เพียงแค่ยกหัวข้อ. ขึ้นแสดงก็สามารถบรรลุธรรมได้ทันที เปรียบเหมีอนดอกบัวที่อยู่เหนือ นํ้า พอได้รับแสงพระอฺาทิตุย์ก็จะบานได้ ๒.วิปจิสัณฌ ผู้รู้ธรรมต่อเมื่อขยายความแล้ว หมายถึง ผู้ อาจรู้ธรรมได้ต่อเมื่อท่านได้อธิบายหัวข้อธรรมแจกแจง ยกตัวอย่างฺ อุปมาอุปไมยให้ฟ้งก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ เปรียุ,บุเหมือนดอกบัวที่ อยู่เสมอนํ้าอีก ๑-๒ วัน พอถูกแสงพระอาทิดย์ก็จะบานได้ ๓. เนยยะ ผู้พอแนะนำไล้ หมายถึง ผู้ได้สั่งสมบุญบารมีมา น้อยุด้อ;งคอยชี้แจง แนะนำ สั่>3สอุนอยู่บ่อย ๆ ด้วยุวิธีการอบรม |1กฝนไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถเข้าใจได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใน นํ้า อีกไม่ข้าไม่นานก็จะขึ้นพ้นนํ้า พอพระอาทิดย่ถูกล้องก็จะบานได้ ๔. ปทปุรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง หมายถึง บุคคลที่ขฺาด บารมีธรรม แมีว่าจะได้ฟังธรรมมาก ; ทรงจำไว้มาก สอนธรรมก็ มาก แต่ก็ไม่อาจรู้ธรรมในชาตินั้นได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใน ๔๓๐
www.kalyanamitra.org โคลนตม มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาบานได้ยากย่อมเป็นภักษาขฐง่ปลา และเต่า ปฏิปทา ๔ ๑. ทุก่ขาปฏิปทา ทนธกภิญญา ปฏิบตลำบาก ทั้ง!ได้ช้า ๒. ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบตลำบาก แด่!ได้เร็ว :๓. สุขาปฏิปทา ทันธาภญญา ปฏิบดสะดวก แด่!ได้ช้า ๙.สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาปฏิบดสะดวกด้วย ทั้ง!!ด้เร็วด้3ย ปฏิปทา หมายกึง การประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมพิเศษ ของพุทธบริษททั้งหลาย มีความยากง่ายแดกด่างกันอยู่ จำ แนก เป็น๔ประการคือ ''๑. ภักษุบางพวก ในการปฏิบติได้รบคฺาามลำบาก ทั้งได้ บรัรลุฬรมพิเศษก็ช้า - - • '^ ๒. ภักษุบางพวก: ในการปฏิบัติได้รับความลำบาก แต่ได้ บรรลุธรรมีพิเศษเร็ว ^ ะ / ': ' : ^ - ' . ๓. ภิกษุบางพวก ในการปฏิบัติได้รับความสะดวก แต่ได้ บรรลุธรรมพิเศษช้า :๔. . ภิกใ^างพวก ในการปฏิบัติได้^วามสะดวก ทั้3ได้ บรรลุธรรมพิเศษเร็ว คำ ว่า ซีวิดสมสืสิ นั้น ได้แถ่ ท่านที่บาเพ็ญความเพียร สำ เร็จพร้อมกับดับขันธ์ . ๙๓๑
www.kalyanamitra.org ปฏิส้มภิทา ๔ ๑. อัตถปฏิสัมภิทา ป็ฌญาแดกฉานในอรรถ ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแดกฉานในธรรม ๓. นิรุตตปฏิสัมภิทา ปัญญาแดกฉานในนรุดต ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแดกฉานในปฏิภาณ ปฏิสัมภิทา แปลว่า ปัญญาสันแดกฉาน เป็นคุณสมบติของ พระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทา มี ๔ ประ๓ท คือ ๑. สัดถปฏิสัมภิทา ปัญญาแดกฉานในอรรถ ได้แก่ ความ รอบรู้แตกฉานในเนื้อหาของธรรมะ .อธิบายความย่อโดยพิสดาร หรือ ความเข้าใจที่สามารถคาดกาลข้างหน้าถึงผลสันจักมีด้วยอำนาจ อนาคตังสญาณ ๒. สัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานใ%เธรรม ได้แก่ ความ เข้าใจแล้วถึอเอาความแห่งอรรถาธิบายนั้น ๆ ตั้งเป็นกระทู้ขี้นได้ หรือ ความเข้าใจสามารถสาวหาสาเหตุในหนหลังด้วยอำนาจอตีตังสญาณ ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแดกฉานในนิรุตติ ได้แก่ ความ เข้าใจไข้ถ้อยคำให้คนเข้าใจดลอดถึงรู้ภาษๆต่างประเทศุ สามารถ ชักนำให้นิยมดามคำพูดได้ ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแดกฉานในปฏิภาณ ได้แก่ มี ไหวพรืบปฏิภาณดีแก้ไขเหตุการณ์ที่เภิดฃึ้นเฉพาะหน้าได้ดี กล่าว.สั้น ๆ ว่าเข้าใจพูด เข้าใจทำ นับเข้าในปัจจุปปันนังสญาณ &๓๒
www.kalyanamitra.org ภูมิ ๔ ๑. กามาวจรภูมิ ชั้นท่องเที่ยวอยู่ในกาม ๒.รูปาวจรภูมิ ชั้นท่องเที่ยวอยู่ในรูป ๓. อรูปาวจรภูมิ ชั้นท่องเที่ยวอยู่ในอ่รูป ๔.โลกุตตรภูมิ ชั้แพ้นจากโลก คำ วา ภูมิ ในที่นี้หมายถงที่เกิดและที่อยู่ชอง่สิงมิชีวิตทั้งหลาย แปงออกเป็น ๔ ภูมิ คือ ๑..กามาวจรภูมิ ภูมิที่ส้ตวยังเกี่ยวข้องในทางกามอยู่ ได้แก่ อบาย่ภูมิ ๔ คือ นรก กำ เนิดสิตว์ดิรัจฉาน ภูมิแห่งเปรต อสุรกาย มนุษยโลก และสวรรค ๖ ชั้น ๒. รูปาวจรภูมิ เป็นภูมิของรูปพรหม พวกนึ้โม่มีการเสพกาม เกิดขึ้นด้วยอำนาจรูปฌรนที่ได้บรรลุในชาดิที่เป็นมนุษย์ มี ๑๖ ชัน้ ๓. อรูปาวจ่รภูมิ เป็นภูมิขอ่งอรูปพรหม พวกนี้ไฝมีการ เสพกาม เกิดขึ้นด้วยอำนาจอรูปฌานที่ได้บรรลุในชาดิที่เป็นมนุษย์ มี ๔ ชั้น ๔.โลกุตตรภูมิ เป็นระดิบจิตที่เหนือโลกของพระอริยบุคคล ๔ ประ๓ท มรรค ๔ ๒. สกทาคามิมรรค ๔. อรห'ตมรรค ๑. โสดา!โตดิมรรค่ ๓. อนาคามิมรรค ร:๓๓
www.kalyanamitra.org .มรรค หมายถึง ญาณที่ทำให้ละสังโยชน!ณ้ด็ดขาด หรือ ลำ ดับขนของการบรรลุธรรมแต่ละชั้นฺที่ละสังโยชน์ ๑^๐ ได้ มี ๔. ประ๓ท ๑. โสดาป็ตสิมรรค; หมายถึง มรรค (เหตุ) อันทำให้ถึงกระแส พระนิพพานเป็นครั้งแรกที่งจะทำให้เป็นพระโสดาบัน เป็นเหตุให้ละ สังโยชน์1ด้ ๓ คือ สักกายทิฏเ วิจิกิจฉา สีสัพฺพตปรามาส ๒. สกทาคามีมรรค หมายถึง มรรค (เหตุ) อันทำให้เป็น พระสกทาคามี ผู้จะกลับมาเกิดอีกครั้งเดียว เป็นเหตุให้ละลังใยชุน์1ด้ ๓ เหมีอนกับโสดาบัดดีมีรรค และยังลดความ^แรงของราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงได้ ๓. อนาคามีมรรค หมายถึง มรรค (เหตุ) อันทำให้เป็น พระ;อนาคามี ผู้จะไมกลบมาเกิดในโสกมนุษย์อีกแล้ว เป็นเหตุให้ละ สังโยชน์เบื้องดาได้ ๕ คือ สักกายทิฏเ วิจิกิจฉา สีสัพพตปรามาส ถามราคะ; ปฏิฆะ แยกว่า โอร้มภาคืยสัน์ยชน์r -:r ๔. อรหฺตมรรค, หมายถึง มรรค (เหตุ),.อันทำให้ถึงความ เป็นพระอรหันต คือ เป็นผู้ละกิเลส และบาปธรรมทั้งปวง เป็นผู้ บริสทธิ้ด้วยกายฺ วาจาใจ;.เป็นเหตุให้ละสังโยชน์!ด้ทั้ง;.๑๐:,คือ - สังโยชน์เบื้องตา ๙ ได้แก่ สักกายทิฏฐ วิจิกิจฉา สีr สัพพตปรำมาส กามราคะ ปฏิฆะ เรียกว่า โอรัมภาคืยสังโยชน์ - สังโยชน์เบื้องสูง ๔ ได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ฬยฺกว่า อฑธัมภาคืยสังโยชน์ ๔๓(ร:
www.kalyanamitra.org ผล ๔ ๒. สกทาคามิผล- ๔. อรหัตผล ๑. โสดาป็ตสิผล ๓.อนาคามิผล ผล หมายถึง อานิสงสัที่สิบเนื่องจากการละสังโยชน!ดดวย มรรค หรือประโยชน์ที่พึงจะได้รบ หมายถึง อานิสงส์แห่งญาณที่ พระอริยบุคคลพึงได้รับหลังจากที่กำจัดสังโยชน์โด้ตามลาดับชั้น มี ๔ ระด้บเหมีอนกํน ๑. โสดาป๋ตติผล หมายถึง ผลแห่งการเข้าถึงกระแสแห่ง พระนิพพาน ผู้ได้บรรลุผลในชั้นนี้จะเป็นพระโสดาบัน จะไม่ตกตํ่า ไม่มี การตกไปในอบายภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสูรกาย สัตว์ดิริจฉาน อย่างแน่นอน ผู้ที่ได้บรรลุธร่รมชั้นนี้ เรียกว่า พระโสดาบัน .๒. สกทาคามิผล หมายถึง ผลอันพระสกทาคามีจะพึงได้รบ คือ มาเกิดในโลกมนุษย์อีกเพียงชาติเดียวก็บรรลุพระอรหันต ผู้ที่ได้ บรรลุธรรมชั้นนี้ เรียกว่า พระสกทาคามี . ๓. อนาคามิผล หมายถึง ผลอันพระอนาคามีจะพึงได้รับ คือ ไม่กลับมฺาเกิดในกามาวจรภูมิอีก(๑๑ ภูมิ)จะบรรลุอรหัตผลใน สุทธาวาสพรหมโลก ๔ ชั้น่ นั่นเอง ผู้ได้บรรลุธรรมชั้นนี้ เรียกว่า พระอนาคามี .* ๔. อรหัดผล.หมายถึง ผลอันพระอรหันตจะพึงได้ริบ คือ เมื่อ บรรลุพระอรหันต์แล้วไม่ด้องถึอปฏิสนธิอีก เป็นการสิ้14ภพสิ้นชาติ ข้ามพ้นลังสารวัฏแล้ว ผู้ได้บรรลุธรรมชั้นนี้ เรียกว่า พระอรหันต์. . ท่านเปรียบเทียบ สังโยชน์ มรรค ผล ไว้ดังนี้ ๔๓(ร:
www.kalyanamitra.org ส์งโยชน์ เปรียบเหมือนโรคที่อยูอาศยในร่างกาย มรรค เปรียบเหมือนการรักษาโรคให้หาย ผล เปรียบเหมือนความสุขสบายอันเกิดจากการหายโรค โยนิ คอ กำ เนิด ๔ ๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ ๒/อัณฑชะ เกิดในไข่ ๓. สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ๙.โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น โยนิ หมายถึง การบงเกิด่ของสัดว์โลก ทั้งที่เป็นมนุษย์นละ สัตว์ติรัจฉาน มื ๔ ประ๓ท คือ ๑. ชลาพชะ เกิดในครรภ์ ได้แก่ สัตว์ที่ถือปฏิสนธิและเจรีญ เติบโต เมื่อถึงกำหนดเวลาก็คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา เช่น มนุษย์และสัตว์ติรัจฉานบางประเภท ๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ ได้แก่ สัตว์ที่ถือกำเนิดในฟองไข่แล้ว ฟักออกมาเป็นตัว เช่น สัตว์มืปีก เต่า จระเข้ จิ้งจก นก เป็นด้น ๓. สังเสทชฺะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่ สัตว์ที่เกิดจากเขึ้อรา ของสกปรก ซากสัตว์เน่า เช่น เขึ้อไวรัสบางอย่าง เชื้อโรค หนอน นานาชนิด เป็นด้น ๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ได้แก่ สัตว์ที่เกิดโดยผุดขึ้นมา เติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยไฝด้องผ่านการเป็นทารก เมื่อตายก็ไม่ทอดทิ้ง สรีระไว้ ได้แก่ สัตว์นรก เทวดา รูปพรหม และอรูปพรหม ๙๓๖
www.kalyanamitra.org วรรณะ ๔ ๑. กช้ตริย์ ๒. พราหมณ์ ๓. แพศย์ ๔. ศทร วรรณะ หมายถึง ชนพในสังคมอนเดีย ที่กำ หนดด้วยชาด กำ ณิดดามหสักศาสนาพราหมณ์ มี ๔ ประเภท คือ ๑. กษตริย์ หมายถึง ชน'^ปกครองและนักรบที่มีหน้าที่ดูแล รักษาความมั่นคงของชาติ เพอทำให้การบริหารบ้านเมืองเป็นไปโดย ความเรียบร้อย ๒. พราหมณ์ หมายถึง ชนชั้นที่มีหน้าที่ศึกษาตำราทาง พิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อจะปลูกฝังความเชื่อถึอเกี่ยวกับลัทธิที่ตนเชื่อว่า เป็นสิ่งศักดิ๋สิทธิ้ ควรแก่การบูชากราบไหว้ ๓. แพศย์ หมายถึง ชนชั้นที่มีการศึกษาหาข้อมลที่ประกอบ อาชีพในํด้านธุรกิจค้าขายและกสิกรรม ชนชั้นนี้ถึอว่าเป็นกำลังสำกัญ ในการช่วยกันพิฒนาประเทศกันได้ชื่อว่าเป็นกระดูกลันหลังของชาติ ๔. ศูทร หมายถึง ชนชั้นตํ่า รับจ้างทำงานทั่ว ๆ ไป เป็น กรรมกรหาเข้ากินคํ่าเป็นที่รังเกียจขอ่งคนวรรณะสูง ชนชั้นนี้ การ ทำ งานจะค้อง่ใช้กำลังกายมากกว่ากำลังสติบ้ญญา วบต ๔ ๑. สีลฺริบ้ต ความวิบ้ดแห่งศีล ๔๓๙
www.kalyanamitra.org ๒. อา^ารวิปัด ความวิปัตแห่งอาจาระ ๓. ทิฎเวิปัต ความวิปัตแห่งทิฏเ ๔. อารววิปัด ความวิปัตแห่งอาชีวะ วิปัต หมายถึง ความรดพลาด ความเสิยหาย ความบกพร่อง ความใช้การไม่ได้ มี ๔ อย่าง ๑. สีลวิปัด ความวิปัดแห่งสืล หมายถึงการประพฤติปฏิป้ต ของบุคคลผู้สมาทานศีลแล้ว มีความย่อหย่อนไม่ประพฤติปฏิปัติตาม หล้กของศีล ถ้าเป็นพระภิกษุศีอด้องอาบติปาราชิก หรือสังฆาทิเสส ถึอว่าเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง ๒. อาจารวิปัติ ความวิปัติแห่งอาจาระ หมายถึง ควฺาม ประพฤติหรือมารยาทที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณร มีความประพฤติไม่เหมาะสมดังกล่าว ก็จะเป็นที่ตงแห่งความเสื่อม ขาดค่วามเชื่อถือจากบุคคลอื่น ๓. ทิฏฐวิปัติ ความวิปัดแห่งทิฎเ หมายถึงความเห็นที่คลาด เคสื่อนไปจากเติม คือ มีความเห็นที่ขัดแย้งต่อความเป็นจรืง เช่น เห็นว่าการทำบุญไม่ได้บุญ การที่าบาปไม่ได้บาป ปฏิเสธเรื่องนรก สวรรคและนิพพาน ๔. อาชีววิปัด ความวิปัติแห่งอาชีวฺะ หมายถึง การหาเลี้ยง ชีพในทางที่ฝึด เรืยกว่ามิจฉาชีพ ได้แก่ การแสวงหาปัจจัยสื่เครื่อง เลี้ยงชีพ เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ในสั3คสฺ๒เต่เป็นการแสวงหาในทาง ที่ฝ็ด สร้างความเดีอดร้อน ให้แก่ตนเองและผู้อื่น ๔๓c;?
www.kalyanamitra.org เวสารัชชญาณ ๔ เวสาร้ชชญาณ หมายถึง พระญำณอ้น(ปีนเหตุให้ทรงมีความ กล้าหาญ่ แกล้วกล้า ไมีครั่นคร้าม มี ๔ฟระการ คือ ๑. สัมมาล้มพุทธปฏึญญา ทรงมีความแกล้วกล้า ปฏิญญาว่า พระองคเป็นสัมมาสัมพทธะ ไม่มีใครคัดค้านธรรมะที่พระองค์ตรัสร้ แล้ว ๒. ฃีณาสวปฏิญญา ทรงมีความแกล้วกล้า เพราะไม่มีใคร อาจทักห้วงว่าที่พระองค์ปฏิญญาว่า เป็นอรทันตขีณาสพแต่อาสวะ ยังไม่สิ้น ๓. สันต่รายิกธรรมวาทะ ทรงมีความแกล้วกล้า เพราะไม่มี ใครอาจทักห้วงไค้ว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสว่า สามารถทำสันตราย แก่ผู้ปฏิบต แต่ธรรมเหล่านั้นไม่อาจทำสันตรายไค้จริง ๔. นิยยานิกธรรมเทศนา ทรงมีความแกล้วกล้า เพราะไม่มี ใคร■อาจทักห้วงไค้ว่า ธรรมที่พระองค์ตรั่สว่า สามารถอำนวยประโยชน์ แก่ผูปฏิบต แต่ธรรมเหล่านั้น ไม่สามารํถอำนวยประโยชน์โค้อย่าง แทจรง ป๋ญหาและเฉลยธรรมวิภาค หมวด ๔ ๑. อบาย ไค้แก่อะไร มีอะไรบ้าง ? ตอบ ไค้แก่ ภูมิ กำ เนิดหรือพวก สันหาความเจริญมิไค้ มี นิรยะ คือนรก ติรัจฉานโยนิ คือกำเนิดติรัจฉาน ปิตติวิสัย คือภูมิแห่งเปรด อสุรกาย คือพวกอสุรร ๔๓๙
www.kalyanamitra.org ๒. เมตตา กับ ปราณี มีความหมายต่างกัน หรือเหมือนกันอยางไร และอย่างไหนเป็นสิงกำจั๋ดอกศลธรรมอะไร? ตอบ เมตตา หมายถึงความรักใครืหรือฺปรารถนาดี ปราณี หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจาก ความทุกขเข้า ลักษณะแห่งกรุณา เมตตา กำ จัดโทสะและพยาบาท ปราณี กำ จัดวิหิงสา ๓.พรหมวิหารกับกัปปมีญญา ต่างกันอย่างไร อย่างไหนเป็นปฏิปทา โตยตรงของภิกษุในพระธรร่มวินัยนี้ ? ตอบ ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ แผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไมเจาะจงตัว ก็ดี แต่ยังจำกัดหมู่นั้นหฝูนี้ จัดเป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่ . เจาะจงไม่จำกัด จัดเป็นกัปปมัญญา กัปปมฌญาเป็นปฏิปทา ของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ๔.พร่ะอริยบุคคล ๙ ได้แก่ใครบ้าง พระโสดาบันละลังโยชนอะไร ได้บ้าง ? ตอบ ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต พระโสดาบันละลังโยชน1ด้ ๓ คือ ลักกายหิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพดปรามาส ๔.คำว่า อาหารได้แก่อะไร มีกฺอย่าง อะไรบ้าง? ตอบ คำ ว่า อาหาร ได้แก่ บัจจัยที่นัาผลมา มี ๔ อย่างคือ ๑. กวพ้'งการาห่าร อาหารคือคำข้าว ๒. ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ ๓. มโนลัญเจดนาหาร อาหารคือมโนลัญเจดนา ๕(ร:๐
www.kalyanamitra.org ๔;วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญำณ ๖. อาหารชนิดใด จัดฟ้นกรรม? ดอบ.มโนสัญเจตนาหาร หมายเอาคว่ามจงใจเป็นปัจจัยแห่ง การทา พูด คืด fงจัดว่า เป็นกรรม ๗. ฑิฏจุปาทาน และสีลพพตุปาทาน คืออะไรุ ? ดอม ทิฏจุปาทาน คือถือมั่นความฺเห็นผิดด้วยอำนาจห่วฺดึ๊อ จน เป็นเหตุเถืยงกัน .ทะเลาะกัน สีลัพพตุปาทาน คือ ถือมั่น ธ่รรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน ด้วยอำนาจความเชิอว่าขลัง จนเป็นเหตุหวดื้องมงาย ๘. สภาพที่เป็นประดุจกระแสนํ้าท่รุมใจลัดว์ได้ชื่อว่าอะไร มีเท่าไร บอกมาให็ครบ ? ดอบ ได้ชื่อว่าโอฆะ มี ๔ คือ กาโมฆะ โอฆะคือกาม ๑ ภโวฆะ โอฆะคือภพ ๑ ทิฏโฐฆะ โอฆะคือทิฏเ ๑ อวิชโชฆะ โอฆะ คืออวิชชา ๑ . ๙.กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร? ด'อบ ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสนํ้าอันท่วมใจสัตว์ ได้ชื่อ ว่าโยค่ะ เพราะประกอบลัดว์ไว้ใ!เภพ ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็น ส์ภาฟหมักหมมอยู่ในลันดาน ๑๐. กิจในอริยลัจ ๔ มีเท่าไร ดอบมาให้ครบ ? ดอบ กิจในอริยลัจ ๔ มี ๔ อย่าง คือ ปริญญา กำ หนดรู้ทุกขลัจ ๑ ปหาน ละสมุทัยลัจ ๑ ลัจฉิกรณะ ทำ นีโรธให้แจ้ง ๑ ภาวนา ทำ มัคคลัจให้เกิด ๑ ๔<r๑
www.kalyanamitra.org ๑๑. ทักขิณา คืออะไร ทักขิณานั้น จะบริสุทธึ๋หรือไม่บริสุฑ& มีอะไร เป็นเครื่องหมาย? ตอบ คือ ของทำบุญ มีกัลยาณธรรมของทายก หรือปฏคาหก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าบรืสุทธิ้ และมีความเป็น ผู้ทุศีลและอธรรมของทายกหรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น เครื่องหม่ายให้รู้ว่าไม่บริสุทธิ้ ๑๒.นิรุตติปฏิสิโมภิทา และปฏิภาณปฏิกัมภิทา มีอรบ่ายอยางไร? ตอบ มีอธิบายว่า นิรุตติ ได้แก่ ภาษาความเข้าใจรู้จักใช้ถ้อยคำ ให้คนเข้าใจตลอดถึงรู้ภาษาต่างประเทศอาจชกนำให้คนนิยมตาม คำ พูด กล่าวสน ๆ ว่า เข้าใจพูดจตเป็น่นึ่รุตติปฏิสมภทา ปฏิภาณ ได้แก่ ความมีไหวพริบเข้าใจและทำให้เหมาะส่มในทันทํในเมื่อมี เหตุเกิด่ขึ้นโดยฉุกเฉิน จัดเป็น ปฏิภาณปฏิสื'มภิทา ๑๓.ภพกับภูมีต่างกันอย่างไร? มอย่างละเท่าไร? ตอบ ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยูต่างชั้นแห่งหม่สัดว่ มี ๓ ภูม หมายถึงภาวะอันประณีต่ขึ้นไปเป็นm ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ๑๙.โยนิ คืออะไร มีอะไรบ้าง เทวดาและสัตว์นรก จัตอยู่ในโยนิไหน? ตอบ คือ กำ เนิด มี ชลาพุชะ เกดในครรภ์ อัณฑชะ เกิดในไข่ สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น เทวดาและสัตว์ นรกจัดอยูในโอปปาติกะ &'<£๒
www.kalyanamitra.org ปัญจกร ฟิอ่หมวด ๙ อนุปพพิกถา ๔ จ <1 ๑.ทานกถา การพรรณนาคุณของการให้ทาน ๒. สีลกถา การพรรณนาคุณของการรักษาศีล ผ. สัคคกถา การพรรณนาคุณเรื่องสวรรค์ ๔. กามาทืนวกถา การพรรณนาโทษของกาม ๔. เนกขัมมานิสังสกถา การพรรณนาถึงอานิสงส์ของการ ออกบวช อนุปุพพิกถา หมายถึง เทศนาที่แสดงไปดามลำดับ เพื่อฟอก อัธยาศัยของสัตว1ห้หมดจดเป็นขั้น ๆ จากง่ายไปหายากเพื่อเตรียมจิด ของผู้ฟ้'งไห้พร้อมที่จะรับฟังธรรมขั้นสูง ๆ คือ อริสัจ ๔ มี ๔ ประการ ๑. ทานกถา คือ กฺารพรรณนาคุณของการไห้ทานและอานิสงส์ ของการไห้ทานว่าเป็นเหตุไห้ได้รับความสุข เป็นที่รักของชนหมู่มาก เป็นปอเกิดแหงโภคสมบติทั้งปวง ๒. สิลกถา คือ การพรรณนาคุณของการํรักษาศีล.และอานิสงส์ ของการรักษาศีล ว่าผู้ที่มีคืลฺยอมไม่ประสบความเดือดร้อนไจจาก ที่ไหน ๆ เพราะการมีศีลเหมีอนมีอาภรณ์ห่อทุ้มกายอันประเสริฐ ๔<£๓
www.kalyanamitra.org ๓. สัคคกถา คือ การพรรณนาคุณเรื่องสวรรค์ว่าเป็นที่เพียบ พรื่อมฺไปด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์มีแต่สิงที่น่ารื่นเริงบันเทิงใจที่งเป็น ภูมีอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นผลที่ได้จากการให้ทาน รักษาศีล ๔. กามาทินวกถา คือ การพรรณนาโท่ษของกามว่า แม้จะ เป็นความสุขแต่ก็มีดวามทุกข์เจือปน ไม่จืรังยั่งยืน มีคุณน้อย แต่มี โทษมากเพราะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ . ๔. เนกขัมมานิสังสกถา คือ การพรรณนาถึงอานิสงส์ของการ ออกบวช ว่าเป็นทางปลอดโปร่งจากสิ่งที่ยั่วยวนใจจากกามคุณต่าง ๆ' กามคุณ ๔ ๑. รูป ๒. เสิยง ๓. กลิน ๙. รส ๙.โผฏฐพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ กามคุณ แปลว่า ส่วนที่น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ มี ๔ อย่างคือ . . ๑. รูป คือสิ่งที่บุคคลสามารถเห็นได้ด้วยด่า หรือบางครั้งบาง คราวเป็นรูปที่ไกล รูปที่ละเอียด รูป่ที่ประณีต . ๒. เสียง คือสิ่งที่บุคคลได้ยินด้วยหู ๓. กลิ่น คือสิ่งที่บุคคลรับเมาด้วยจมูก คือประสาทในการ รับรู้ทางจมูก Srarcsr
www.kalyanamitra.org ๔.รส คือสิงที่บุคคลรับรู้ด้วยประสาทลิ้น ๔. โผฏเพพะ คือสิงที่บุคคลรู้ด้วยการสัมผัสหรือถูกด้องสิง เหล่านั้นทางประสาทคือกาย กามฺคุณ ๙ นี้ บางแหงท่านเรืยกว่ารัตถุกามก็มี บางแห่ง เรืยกว่ามารก็มี เพราะเป็นเครื่อฺงล่อใจให้ติด เหมือนเหยื่ออันเบ็ด เกี่ยวไว้ล่อให้ปลากิน จักชุ ๔ จักขุ ได้แก่ดวงตา ๙ ประการ.คือ ๑. ผังสจักขุ จักษุคือดวงตาสาผัญ ๒. ฑิพพจักขุ จักษุคือดาทิพย์ ๓. ปัญญาจักขุ . จักษุคือพระปัญญา ๔. พุทธจักขุ จักษุแห่งพระพุทธเจ้า * ๔. สผันตจักขุ จักษุรอบคอบ จักษุ ในความหมายทั่วไป หมายถึงอรัยวะสำหรับดูรู่ป แต่ ในที่นี้หมายเอาคุณสมปัติพิเศษของพระพุทธเจ้า ทำ ให้พระองค์ทรง เห็นสรรพสิ่งดามความเป็นจรืง ๑. ผังสจักขุ จักษุคือดวงดาสาผัญ พระพุทธเจ้าทรงมีพระ- เนดรแจ่มใส พระเนดรเห็นใกล้ไกลเห็นได้ว่องไว ๒. ทิพพจักขุ จักษุคือดาทิพย์ พระพุทธเจ้าทรงทอดพระ- เนดรเห็นการเกิด การตายของสัดว์ทั้งหลาย และความแดกต่างแห่ง รูปร่าง ฐานะ สติปัญญา เป็นด้น ว่าเป็นเพราะกรรมอะไร ๓. ปัญญาจักขุ จักษุคือพระปัญญา พระพุทธเจ้า ทรงทราบ ๕(ร:๕
www.kalyanamitra.org ธรรมเป็นเหตุนำสัตว[ห้ออถจากสังสาร่ทุกขโดยการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการ่ ด้วยพระปัญญาอัน่บริสุทธิ้ ๔. พุทธจักชุ จักษุแห่งพระพุทธิเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเห็น อุปนิสัย บารมี อาสวะ ของสัตว์ทั้งหลายที่ต่างสัน เชน มีอุปนิสัย หย่าบ ปานกลาง ประณต เป็นด้น แล้วทรงแสดงธรรมเหมาะแก พื้นฐานทางสติปัญญาของคนเหล่านน ๕. สมันตจักชุ จักษุรอบคอบ พระพุทธเจ้า ทรงบรรลุพระ- สัพใรญฌุตญาณ ทำ ให้ทรงทราบสิงทั้งปวงตามความจริงของสิ่งเหล่าน ธรรมขันธ์ ๔ ๑. สิลขันธ์ หมวดศีล ๒. สมาธิขันธ์ หมวดสมาธิ ๓. ปัญญาขันธ์ หมวดปัญญา ๔.วิมุตติขันธ์ หมวดวิมุตติ ๕.วAิมุตตAิญาณทั0ส<'่-.ส.นขันธ0์* หมวดวิมุตติญาณทสสนะ ธรรมขันธ์ แปลว่า กองแห่งธรรม หรือหมวดแห่งธรรม จำ แนกเป็น ๕ คือ ๑. สิลขันธ์ หมวดศีล ได้แก่ธรรมมีลักษณะอย่างเดียวสัน จะพึงสงเคราะห์เข้าหมวดสันได้ จัดเป็นขันธ์หนึ่ง เช่น อินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย โภชเนมัตตัญฌตา ความเป็นผู้เจักประมาณใน โภชนะ เป็นไปในสักษณะอันเดียวสันสับศีล ^ ๒. สมาธิขันธ์ หมวดสมาธิ. ได้แก่, ธรรมมีสักษณะอย่าง ๕๔๖
www.kalyanamitra.org เดียวฺกันกับสมาธิ จะพึงสงเคราะห์เข้าห่มวดกันได้ เชน ซาครฺยานุโยคุ ประกอบความเพึยรุและกายคตาสติ ตั้งสติกำห่นดไปในกาย- เป็น ตัวอย่าง . ๓. ปัญญาชนธ ห่มว่ดป็ญญา ได้แกํ ธรรมรลักษณะอย่าง เด้ยวกันกับปัญญา จะพึงสงเคราะห์เข้าห่ม่วดกันได้ เช่น ธรรมวิจยะ ความสอดส่องธรรม และกัมมัส่สกตาญาณ ปัญญา.หยั่งรู้ความที่ สตวมีกรรมเป็นของตนเป็นตัวอย่าง ' ๔. วิมุตติขันธ์ หมวดวิมุตติ ได้แก่ ธรรมมีลักษณะอย่าง เดียวกันกับวิมุตติ อันจะพึงสงเครา^ห์เข้าหมวดกันได้ เช่น ปหาน การละ และลัจฉิกิริยา การกระทำให้แจ้ง เป็นตัวอย่าง . ๔.วิมุตติญาณทสสนขันธ์ หมวดวิมุตติญาณทัสสนะ ได้แก่ ธรรมมีลักษณะอย่างเดียวกันกับวิมุตติญาณทัสสนะ อันจะพึงสงเคราะห์ เข้าหมวดกันได้ เช่น ฌาณทัสสนะ โลกตตระ เป็นตัวอย่าง ปีติ ความอิ่มใจ ๔ ปีติอย่างนฺอยฺ ๑. ชุททกาปีติ ปีติชั่วขณะ ๒. ฃ่ณกาปีติ ปีติเป็นพัก ๆ ๓. โอกกันติกาปีติ ปีติอย่างโลดโผน ๔. อุพเพงคาปีติ ^ ปีติซาบซ่าน ๔. ผรณาปีติ ;ปีติ แปลว่า ความอิ่มใจ เป็นผลที่เกิดมาจากเหตุอย่างใด อย่างหนึ่ง แดในที่นี้ท่านหมายเอาไปในทางผลที่เกิด.มาจากบำเพ็ญ (Srorcy
www.kalyanamitra.org กรรมฐาน ความปรากฏของปีติในขณะทำกรรมฐาน มี ๕ อย่าง คือ ๑. ขุททกาปีติ ปีติอย่างน้อย ข้อนี้ท่านกล่าวว่า เมื่อเกิดขึ้น ทำ ให้ขนชัน ทำ ให้นํ้าตาไหล ๒. ขfรกาปีติ ปีติชวขณะ ข้อนี้ได้แก?เติที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ ป่าเพ็ณเพียรทางใจ นั่งสมาธิพิจารณาอยู่ ปีติชนิดนี้ย่อมเกิดขึ้น ทำ ให้ รู้สึกเสืยวแปลบ ๆ เปรียบเหมีอนฟ้าแลบ ๓.โอกกินติกาปีติปีติเป็นพ'ก ๆปีติชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นทำ ให้เราชัซ่าแรงกว่าเสึยวแปลบ ๆ เปรียบเหมีอนคลื่นกระทบฝัง ๔. อุพเพงดาปีติ ปีติอย่างโลดโผน ปีติชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นย่อม ทำ ใจให้ฟู แสดงอาการหรีอทำการบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เปล่ง คำ พูดอุทาน หรือรู้สึกตัวเบาลอยขึ้นบนอากาศเป็นด้น ๔.ผรณาปีติ ปีติจทบซ่าน ปีติชนิดนี้เกิดขึ้นทำให้รู้สึกซาบซ่าน ทวสรรพางค์กาย มีความสุขกาย สุขใจ มัจฉริยะ ๔ ๑. อาวาสมัจฉริยะ ความตระหนี่ที่อยู่ ๒. กุลมัจฉริยะ. ความตระหนี่สกุลฺ ๓. ลาภมัจฉริยะ ความตระหนี่ลาภ ๔,วัณณมัจฉริยะ ความตระหนี่วรรณะ ๔. ธัมมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม มัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ เสึยตาย หวงแหน เป็นกิเลสที่ ทำ ให้กลายเป็นคนตระหนี่ เห็นแก่ตัว มี ๔ ประการ ๕๔
www.kalyanamitra.org ๑. อาวาสฟ้จฉริยะ คือ ความตระหนี่ที่อยู่หวงแหนทีอยู่อาศยฺ เช่น บ้าน ที่ดิน สถานที่ต่าง ๆ เป็นต้น ไฝอยากให้คนอืนพวกอืน เขามาอาศัยปะปนอยู่ต้วย ๒.กุลมัจฉริยะคือ ความตระหนี่สกุลหวงแหนสกุลของตน ไม่อยากให้พวกอื่นมาเกี่ยวดองเป็นญาดิต้วย ตลอดจนการหวงแหน สกุลผู้เป็นอุบ้ฏรูากของตน - ๓..ลาภมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ลาภผลประโยชน์หรือ ทรัพย์สมป๋ฅสิ่งของของตนไม่อยากแปงบ้นให้กับผู้อื่น หวงแหนไม่ ยอมให้ใคร แม้หฝูญาตก็ไม่อนุเคราะหให้สมกับฐานะของตน ๔. วัณณมัจฉริยะ คือ ความต.ระหฺนีวรรณะ ทังที่เป็นผิว พรรณวรรณะ รูปร่างหน้าตา ไม่อยากให้ใครมีผิวพรรณฺดีเหมือนตน ๔. ธัมมมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ธรรม หวงวิชาความรู้ ศิลปะวิทยาที่ตนมือยู่ ไม่สอนให้ผู้อืนรู้ตามต้วย เกรงว่าเขาจะประสบ ความสำเร็จเกินหน้าเกินตาหรือรู้เท่าทันตน มาร ๔ ๑. ฃนธมาร มารคือเบญจขันธ์ ๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๓. อภิสงขารมาร มารคืออภิสังขาร ๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ ๔. เทวปุดตมาร มารคือ่เทวบุดร มาร หมายถึง ผู้ทำ ให้ดาย คือ ขัดขวางมืให้มีโอกาสทำความ ๔๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 706
Pages: