Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักธรรมโท

Description: นักธรรมโท

Search

Read the Text Version

www.kalyanamitra.org ใช้กุฎีอัน่เค่ยเป็นที่อ์ยู่ของภุกษุมาแล้วสืเด นต่เมื่อใช้เป็นกัปรอกุฎี^ แล้ว ไมควรใช้เป็นทอส่อีก่ ล้าจะกลับใช้เป็นที่อยู่ใหม่ ทต้องเสก่ใช้ เป็นกัปรัยกุฎีเสืย กัปรัยกุฎีชนิดอื่นก็เหมือนกัน ยาวกาลิกที่เก็บไว้ในที่อยู่ที่ใช้ของภิกษุ แม้เป็นของสงฆ์ เป็นอนุโดวุฏฐะแปลว้าอยู่ในภายในหุงต้มในุนื้นเป็นุอันโตรักกะ แปลว้า สุ่กฺในภายใน หุงต้มเอง เป็นสามรักกะแปลว่า ใหสุกเอง แต่ทำเองในนน คงเป็นสามรักกะ ท่านห้าม แต่จะอุ่นของทีคนอืน ทำ สุกแล้วท่านอนุญาด f ' r •, ยามกาลัก ป้าiเะ สือนํ้าสำหรบดื่ม ที่คั้นุออกจากนาลูกไม้ เรียกว้า อ่าม่กาลิก็ แสดงไว้โนบาลั ๘ ชนิด คือ ๑. อมฺพปานํ นํ้ามะม่วง ๒.ชมฺพุปานํ นํ้าชม่ฟ่หรีอนํ้าหว้า ๓.โจจปานํ .นํ้ากล้วยมืเมืด «?. โม่จปานิ น^กล้วยไม่มืเมืด ' - ๔. ม่ธุกปานิ นามะซาง - ๖. มุ่ทฺทิกปานํ นาลูกจันทน์หรอองุ่นิ ๗. สาลุกปานํ นํ้าเงาอุบล ๘. ผารุสกปานิ นํ้ามะปร่างหรีอลิ้นจี่ วิธีทำ ปานะ ปอกหรือคว้านุผลไม้เหส่านี้ที่สุก เอาผาห่อ บด <£๐๐

www.kalyanamitra.org ผ้าให้ตึง อัด่เ^อผลไม้ให้คายนํ้าออกจากผ้า เติมนํ้าลงให้ฬอตึ ประกอบขฺองอื่นเป็นต้นว่านํ้าตาลและเกลือพอเข้ารส ปานะนี้ ให้ใข้ ของสด ห้ามมิให้ต้มต้วยไฟ เป็นของที่อนุปสัมบันทำจึงควรในวิกาล เป็นของอันภิกษทำ มีคติอย่าง,ยา'3กาลก เพราะรับประเคนทั้งผล ของที่ใข้ประกอบ เป็นต้นว่านี้าตาลและเกลือ ห้ามไม่ให้!.อาของที่ รับประเคนไว้ค้างคืนมา ใข้กล่าวโตยใจความว่า ปานะนี้ เฟงเอฺา ของที่อนุปสัมบันทำถวายต้วยของเข่าเอง ยามกาสิกนี้ ล่วงกำหนดคืนหนึ่ง ท่านห้ามไมให้ฉัน ปรบเป็น อาบติทุกกฏ เข้าใจว่า นํ้าผลไม้นั้น มีรสหวานเจึออยู่ด้วย ทั้งแทรก นั้าตาลด้วย ล่วงคืนไปแล้ว มีคติแปรเป็นรสเมากลายฟ้นเมรัย สัดตาหกาลิก เกสัช ๙ อย่าง คือ เนยใส เนยข้น นํ้ามิน นั้าผึ้ง นั้าอ้อย จดเป็นสัตตาหกาลิก ของเหล่านี้ ท่านเรียกว่าเกสัชุ โตยอ่รรถว่า เป็นยาแก้โรคผอมเหลืองหรือกระบัข่ อัน๓f รัตถสำหรีบทำนํ้ามันมี ผ ชนด คือ ๑. เปลวสัตว้มีมังสะเป็นกปปียะ และเปลวสัตว้มีมังสะเป็น อกัปป็ยะ ยกเว้นของมนุษย์ ๒. นํ้ามันที่สกัดออกจาพืชอันมีกำเนิดเป็นยาวกาลิก มีเม็ด งาเป็นตวอย่าง ภิกฬุาเอง มีคติอย่างยาวกฺาลิก ตั้งแต่วิกาลแห่ง รันที่ทำไป ท่านห้ามไม่ให้ฉัน 0โ0๑

www.kalyanamitra.org ๓. นามันที่สกัดจากพืชอัใฒีกำเนิดเป็น้ยาวชีวิก มีเม็ดพรรณ ฝักกาดเป็นตัวอย่าง ท่านอนฌาตให้ภิกษุทาได้เอง . เปลวสตวที่ออกชื่อไ^นบาลี มุ ๙ ชนต คอ ๑. เปลวหมี ' '• ๒. เปลวปลา ๓. เปลวปลาฉลาม ๔. เปลวหมู ๔. เปลวลา•ชื่อว่าเป็นกันทรงอนุญาตทั้ง นํ้ามันนั้น ทรงอ่นุญาตเป็น่พืเศษ เพอรับประเคนมันเปลว แห่งสตวํเจยวไห้เบนนามันเด แต่ไห้รับให้เจยว และไห้กรองเสรจ ในกาลคือเช้าชั่วเที่ยง จึงใช้ได้ ถ้าทำนอกกาลหรือคาบกาล ห้ามุ ไมุ่ให้ฉ้น จดเป็นฺวัตถุแห่งทุกกฏ ทุกกิจการที่ทำในวิกาล ถ้าทำใน วิกา,ลทั้ง ๓ อย่าง เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ :๓ สถาน ทำ ๒ อย่าง เช่นรับในเช้า. เจียวและกรองในบ่าย. . เป็นวัตถุแห่งทุกกฎ ๒ สถาน ถ้าเป็นแต่กรองในวิกาล เป็นวัตถุแห่งทุกกฎสถานเดียว ยาวซีวิก . ของทั้เห้ประกอบเป็นยา นอกจากกาลิก ๓ อย่างนั้น จด เป็นยาวซีวิก มีประเภทแสดงไว้ในบาลี^ตังต่อไปนฺ. ๑. รากไม้ เรียกว่ามูสุ๓สั?f เช่น หลิทฺทํ ขมิ้น สิงคเวรํ ขิง วจํ ว่านนํ้า วจตฺถ ว่านเปราะ อสิวิสํ อดพืด กฏกโรหิณี ข่า ธุสิรํ แฝก ภททมุดตกํ แห้วหมู (ร:0๒

www.kalyanamitra.org ๒. นํ้าฝาด เรียก กสาวเภส้ช เซ่น นิมพกสาโว นาฝาดสะเดา คุฏชกสาโว นํ้าฝาดมูกมัน ปโฏลกสาโว นํ้าฝาดกระดอม หรือมูลกา ปคควกสาโว นํ้าฝาดบอระเพ็ดหรือพญามือเหล็ก นคฺคมาสกสาโว นํ้า ฝาดกระถินพิมาน ๓.ใบไม้ เรียก ป๋ณณ๓สช นิมฺพปณุณํ ใบสะเดา กุฎซปณฺณ ใบมูกมัน;- ปโฎลปณฺณํ ใบกระดอ่ม หรือมูลกา คุลรปณฺณํ ใบ กะเพรา หฺรือแมงลัก กปฺปาล็กปณฺณํ ใบฝืาย ๔. ผล่ไม้ เรียก ผลเภฺลัช เซ่น วลงฺดํ ลูกพิลังกาสา llijผลิ ดี!เล็ มรืจ พริก หรืตฺถิ สมอไทย่ วเภดกํ สมอ่พิเภก อามลกํ นะขาม!เอม โกฎ^ผลํ ผลแหงโกฐ ๔. ยางไม้ เรียก ชตุเภลัช เซ่น หิงฺคํ เป็นยางชนิดหนึงทาน กล่าววาไหลออิกจากดีนหิงคุ ห^คซตุ ยางร่อิเดียวกัน ทานกล่าวว่า เคี่ยวอ่อกจากก้านและใบแหงด้นหิงคุ หิงฺคุลิปาฏกา เป็นยางชื่อเดียวกัน ทานกล่าวว่าเคี่ย่วจากใบหิงคุ หรือเจือของอื่นด้วย ๓ นี้เป็นชนิดมหา- หงคุ ดฦกั เป็นยางไหลออกจากยอดไม้ชนิดฺหนี้ง ตกกปตติ ยางชนิด เดียวกัน ว่าไหลออกจากใบแหงไม้ชนิดนี้น ตฦก่ปณุณิ ย่างชนิด เดียวกัน ว่าเอาใบมาคั่วออกบ้างํ ไหลออกจากก้านบ้าง สชฺชุลสํ กำ ยาน ,\" ' ๖. เกลือ เรียก โลณเกสช เซ่น สามุทฺทิกํ 'เกํลือิแห่งนํ้า ทะเล กาฬโลณํ เกลือดำ (ดีเกลือ) สินฺธวํ เกลือสินเธาว เป็นิเกํลือ เกิดบนดินในที่ดอน เขาเก็บมาหุง มืสีชาว อุฬภท เกลือิที่เขาเอา ดินโป่งมาเคี่ยวทาขึ้น ริลํ เป็นเกลือชนิดหนี้งเขาปรุงสัมภาระดำง ๆ หุงขึ้นมืสีแดงยังรากไม้ นี้าฝาด่ใบไม้ผล่ไม้ยางไม้เกลืออย่าง <ร:๐๓

www.kalyanamitra.org อืนอีกอันไฝสำเร็จอาหาร คือเขาไฝได้ไซ้เป็นอาหาร ไซ้เป็นยาอัด เป็นยาวชีวิกทังนั้น ไนบาลีทรงอนุฌ่าตเภสัชเหล่านี้ ■ลงท้ายว่าต่อฺมี เหตุจึงไหบริโภคได้ เมื่อเหตุไฝมี บริโภคเป็นทุกกฎ กาสิกระคนกน กาลีกบางอย่าง ระคนกับกาลีกอีกบางอย่าง มีกำ หนดให้ ไซ้ได้ชั่วคราวของกาลีกมีคราวสั้น อุทาหรณ์เซ่นยาผง เป็นยาวซฺวิก ไฝกำอัดคราว เอาคลุกกับนั้าผื้งเป็นกระสาย นํ้าผึ้งกำหนด ๗ วน ยานันก็พลอยมีกำหนด ๗ อันไปด้วย เครื่องเทศ เซ่นกระวาน กานพลู ลูกผักซ้ อบเชย เป็นยาวซีริก เขาปรุงกับซ้าวสุกที่หงด้วย กะทิ ก็กลายเป็นยาวกาลีกตาม สัดด่าหกาลีกและยาวซีริกที่รับประเคนแรมคืนไว้แส้ว ท่าน ห้ามมีไห้เอาไปปนกับยาวกาลีก เซ่นจะเอานํ้าดาลุที่รับประเคนแรม คืนไว้แล้วฉันกับขนมครก ท่านห้าม่ไนสัตฅสสิกขนธกะ ว่าด้วยท่า ทุติยสังคายนา อัมภีรจลวรรค ท่านปรับเป็นปาจิตตีย่ เพราะฉันของ เป็นสันนิธิ คือเจือไนนํ้าปานะ ท่านปรับผู้ฉันเพียงทุกกฎ ปัญหาและเฉลยวินัยมข กัณฑ์ที่ ๑๙ ๑.กาลีก คืออะไร มีอะไรบ้าง กาลีกระคนกันมีกำหนดอายุไว้อย่างไร จงยกด่วฺอ่ย่าง ? , ต.อบ ของที่จะพีงกลีนไห้ล่วงลำคอลงไป มีอังนี้ คือ ยาวกาลีก ยามกาลีก สัดด่าหกาลีก และยาวชีวิก กำ หนด่อายุตามฺกาลีกที่ มีอายุสั้นที่ชุดเป็นเกณฑ์ เซ่น เอายาผงที่เป็นยาวซีริกรุ่งไฝจำกัด (Cocr

www.kalyanamitra.org อายุคลุกทับนํ้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิกร่ง่มีกำหนดอายุไว้ ๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์ ๒. จงให้ความหมายของคำว่า กาลกุ ย่าวกาสิก ยามกาลก สัตตฺาห- กาลิกยาวรวก ? ตอบ กาลก คือของที่จะพึงกลืนให้ลวงลำคอลงไป ยาวกๆลืก คือของที่ให้บริโภคไต้ชวคุราว .ตั้งแต่เราถึงเที่ยงวัน ยามกาลืก คือของที่ให้บริโภคไต้ขั่วคราว คือ ๑ วัน ทับ ๑ คืน สัตตาหกาลืกุ คือขอฺงที่ให้บริโภคไต้ชั่วคราว ๗ วัน ยาวพฺ.ก คือของที่ให้บริโภคไต้เสม่อ ไฝจำทัดกาล ๓. ยาวกาลิก ทับ ยาวรวิก ต่างทันอย่างไร? ตอบ ยาวกาลิก คือ ของที่ใรบริ^คเป็นอาหาร.บริ^คได้ชั่วคราว คือ ตั้งแต่เราถึงเที่ยงวัน ไต้แก่ โภชนะ ๙ นมสด นมสม ของขบเคยว เป็นต้น ยาวรวก เป็นของทฺ1ห้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เส่มอไป ไฝมี จำ ทัดเวลา แต่เมื่อมื่เหตุคืงบริโภ^ไต้ ไต้แก่ รากไม นํ้าฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ๔.คำว่า อันโตวุฏฐะอันโตอักกะสามอักกะ หมายถึงอะไร? ตอบ อันโตวุฏฐะ หมายถึงยาวกาลืกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อย่ของตน อันโตอักกะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุหุ่งต้ฝภายในที่อยู่ฃอฺง่ตน สามอักกะ หมายถึงย่าวกาลิกที่ภิกษุทาให้สุกเอง ๙. คำ ต่อไปนี้ อุททิสสมังสะ ปวัตตมังสะ หมายถึงอะไร? ตอบ อุททิสสมังสะ เป็นชื่อเนื้อที่เจาะจง คือเซาฆ่าเพอทำเป็น อาหารถวายพระภิกษุโดยตรง เป็นของต้องห้าม ถ้าฉ้นเป็นอาบต ทุกกฏ (ร:๐๙

www.kalyanamitra.org ปวัดตมังสะ เป็นซื่อเนื้อที่เขาฆ่าเพื่อขายเป็นอาหารของคนพื้น เมือง ทรงอนุญาตให้ฉุนได้ ไม่เป็นอาบต ๖. ภิกษุฉันเนื้อง เนื้อ่มนุษข์ ด้องอาบ้ดอะไร? ตอบ ภิกษุฉัน่เนื้องู ด้องอาบติทุกกฏ ฉันเนื้อมนุษยฺ ด้อง่อาบติ . ถุลลัจจัย ๗. นํ้า&ยเป็นกาลึกอะไร? ตอบ ถ้าเป็นนฺาอ้อยสด จัดเป็นยามกาลก ถ้าเป็นนื้าอ้อยเคี่ยวจนแข้นแข็ง จัดเป็นสดดาหกาลึก่ ๘.ภิกษุบิณฑบาตได้สับปะรดฺแล้ว นามาฉันรวมกับนื้าตาลทราย และเกลือซึ่งร้บประเดนไว้แล้ว ๒ วัน จะด้องอาบิดอะไรหรือไม่? เพราะเหตุไร? ตอบ ด้องอาบิติปาจิดตีย์ เพราะนํ้าดาลทรายุเป็นสัดดาหกาลึก เกลือเป็นยาวซีวิก เมื่อนำมฺาฉันรวมกับสับปะรดซึ่งเป็นยาวกาลิก จึงมืคติเป็นยาวกาลึก ที่าใหด้องอาบิติปาจิตตีย์ เพรฺาะฉันํของ เป็นสันนิธิ ๙.ของเช่นไร ที่ท่านจัดเป็นยาวชีวิก ในบาลืท่านจำแนกประ๓ทไว้ เท่าใด คืออะไร? ตอบ ของที่ใข้ประกอบเป็นยา นอกจากกาลึก 6ท อย่าง .ตีอ ^ ยาวถาลึก ยามกาลึก สัดดาหกาลึก จัดเป็นยาวชีวิก ในบาลีท่าน จำแนกประ๓ทไว้ ๖ อย่าง คือ ๑. ราฑไมื เรียกว้า มูล๓สัช ๒. นํ้าฝาด เรียกว้า ก่สาว๓สัช • ๓.ใบไม้ เรียกว้า บิณณเภสัช ^ (£๐๖

www.kalyanamitra.org ๔. ผลไม้ เรียกว่า ผล๓สัช ๔. ยางไม้ เรียกว่า ชตุเภสัช ๖. เกลือ เรียกว่า โลณ๓สัช ๑๐.อฎฐปานะ คืออะไร ทาอย่างไรควรฉันและไม่ควรฉัน นํ้าแอป(ปีล นํ้าสับปะรด ภิกษุฉันในวิกาลควรห่รีอไม่? ต่อบ นํ้ามะม่วง ๑ นํ้าชมพู่หรีอหว้า ๑ นํ้ากล้วยมีเมล็ด ๑ .นํ้ากล้วยไม่มีเมล็ด ๑ นํ้ามะซาง ๑ นํ้าลูกจันทนหรีอองุ่น ๑ นํ้าเง่าอุบล <๑ นํ้าลิ้นจี่ ๑ นํ้าปาาเะนื้Iห้ใซ้ของสด ห้ามมิให้ต้ม ด้วยไฟ เป็นของที่อนฺปสัมบนทาจึงควรฉันในเวลาวิกาล เป็น. ของทAีภิกษุทOำVไ,ม.่ควรไฉ.ัน เพราะไร.บประเคนทังผ'ลขอไงทiีใvซ้ประกอบ เป็นต้นว่านํ้าตาล ทำ นห้ามไม่ให้ใช้ของที่รับ่ประเคนค้างคืนไว้ นํ้าปานะนี้เป็นยามกาลิกลวงกำหนด ๑คืน ฉันเป็นอาป๋ตทุกกฏ นํ้าแอปเป็ล ล้าทำถูกต้องตามวิธีดังกล่าวแล้วฉันก็ควร ส่วน นํ้าสับปะรดเป็นชนิดมหาผลจึงไม่ควรฉัน ๑๑.นํ้ามะพร้าวอ่อนก็คื นํ้ามะขามก็คื ด่างไม่มีชื่อ่ระบุไว้โนพระบาลี ภิกษุคะฉันเป็นปานะในเวลาวิกาลควรห่รีอไม่ เหตุไรจึงแคลงเด่นนั้น? ตอบ นํ้ามะพร้าวอ่อน ไม่ควร เพราะมะพร้าวเป็นชนิดมหาผล ท่านห้าม ส่วนนี้ามะขาม ล้าทำถูกต้องด้วยวิธีแล้วฉันควรแห้ ที่ แถลงเด่น่นั้น อนุโลมตามมหาปเทส่ ๔ ofocy

www.kalyanamitra.org ทฉเฑที่ ๒๐ ภัณฑฺะตางเจ้าของ ของสงฆ์ ภัณฺฑะที่เขาถวายเปีนสาธารณะแก่หมู่ภิกษ ไม่เฉพาะตัว หรือ ภัณฑะอพิกษุรับก็ดี ปกครอง่หวงห้ามไว้ก็ดี ด้วยความเป็นฃ่อง สาธารณะแก่หมู่ภิกษุ จัดเป็นของสงฆ์มี ๒ ประเภท เรียกโดยชื่อว่า ๑. ลหุภิณฆ์ ของเบา ๒. ครุภิณฑ์ ของหนัก ลหุภัณฑของฺเบา ๑, บิณฑบาต ๒. ๓ส์ช ๓. บรืขารที่จะใช้สำหรืบตัว สือ บาตรุ จีวรุ ปรุะคดเอว เข็ม มืดพบ มืดโกน เป็นด้น ภิกษุผู้มืหน้าที่แจกลหุภักเฑ ลหุภิณฑ์ เป็นของแจกกันได้ มีพระพุทธานุญาตไว้ ให้สงฆ์ (Toe?

www.kalyanamitra.org สมมติภก่1ฒุางรูปไ^ห้เป็น่ผู้ฝ็ทนาที่แจก่ลฺหุภัณฟ้^^^ ทั้งหลาย คือ ๑. ภิทผ้มีหนๆที่แจกสัตตาหาร ตลอดถงฉัjfiมนต์ของทายก แล้วจ่ายให้ไป เรียกสัตดุทเทสกะ ๒.ภิกษุผูมีหน้าที่แจกจีวร เรียกจีวรทาชถะ ๓. ภิกษุผู้มีหน้าที่แจก๓สัชและนรีขฺารเล็กน้อย เรียกอปปมัด รธีเ!.ชุกสชุท้ทเฑ อาหารหรีอจีวรมีมาก พอแจกทั้วสัน ทแจกทั่วกัน มีน้อย ไมีพอทาอย่างนั้น แจกสงมาโดกกำตัน,พรรษฺา หมดฺเพยงใดหยุด เพยงนั้น ได้มาอีกจึงแจกต่อลำตับนั้นลงมา แจกโดยนัยนี้จนฅส,อด, แล้ววนลงไปใหม่ ๓สัชแจกอย่างไร ท่านไม่ได้กล่าวไว้ กันนฺษฐานว่า ๓กัช เป็นกัดดาหกาสิก คงแจกอย่างอาหาร เภกัรป็นยาว0ก ดงเก็บไว้ มีภิกษุเจ็บไข้ลง ต้องการยาชนิดใด คงจ่ายยาชุนดนั้นให้ บรีฃารเล็กน้อยก็เหมีอนกัน ภิกษุใดต้องการของชนิดใด ภิกษุ ผู้แจกนั้นไต้รับ อนุญาตจากสงฆด้วยสมมตินั้นแล้ว อาจจ่ายของชนิด นั้นให้แก่ภิกษุรูปนั้น ครุภัณฑ์ ของหนัก สัณฑะอันไม่ใช่ของสำหรีบฺใช้สินไป เป็นฺของควรรักษาไว้ไต้ นาน เป็นเครื่องใช้1นเสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ดลอดถึง <2โ๐๙

www.kalyanamitra.org กฎีและที่ดิน จัดiSนครุภัณฑ์ เป็นของที่แจกจ่ายกันไฟ้ด้ ให้เก็บรักษา ไว้เป็นของสาธารณะ แม้แจกจ่ายกันก็ไม่เป็นกันแจก พึงเป็นของที่ ต้องคืนหรือเอาสิ่งอื่นใ'รแทน และปรบภิกษุผู้แจกเป็นอาป๋ดิถุลลจจัย ครุภัณฑ์นั้น แสดงไว้ในบาลี ๙ หมวด รวมเป็นของ ๒๔ สิ่งม้รายชื่อดิงนี้ หมวดที่ ๑ พนดินและของปลูกสร้างเป็นอาราม จ่าแ'แกโดย ชื่อเป็นของ ๒ คือ ๑. อาราโม ของปลูกสร้างใแอาราม ตลอดถึงต้นไม้ ๒.อารามวตุ่ถุ ที่ดินพื้นอาราม หมวดที่ ๒ พื้นดินและของปลูกสร้างเป็นวิหาร่ จำ แนกโดย ชื่อเป็น ๒เหมือนกัน คือ ๑. วิหาโร กฎีที่อยู่ ๒.วิหารวดุถุ พื้นที่ปลูกกุฎี หมวดที่๓ของที่tป็น่ดวเส่นาสนะเองจำแแก่โดยชื่อ(ป็น๔คือ ๑. มฌฺโจ เตียง ๒. ป็จํ ดง ๓. ภิลี 'ฟ่ก ๔. พึมุโพหน หมอน หมวดที่ ๔ เครื่องโลหะ ที่ฟันภาชนะและเครื่องมือ จำ แนก โดยชื่อเป็น ๙ คือ ๑.โลหกุม่ภั หม้อโลหะ ๒.โลหภาณกํ อ่างโลหะ <ร:๑0

www.kalyanamitra.org ๓.โลหวารโก กระถางโลหะ ๔.โลหกฏาหํ กะทะโลหะ ๔.วาสิ มีดใหญ่หรือพ่ร้าโต้ ๖. ผรฟิ ขวาน ๗. กุรารื ผึ่งิสำ หร้บถากไม้ ๘. กุทฺทาโล จอบหรือเสียมสำหร้บขุดดิน ๙. นิขาทนํ สว่านสำหร้บเจาะไม้ หมวดที่ ๔ เครื่องสํมภาระสำหร้บทำเสนาสนะและเครื่องใช้ จำ แนกโดยชึ่อ่เปีน ๘ คือ ' ๑. วลฺสี เถาว่ลย เซนหว่าย ๒. เวฬุ ไม้ไฝ ๓.มุฌฺช้ เปีนหญ่า^ดหนึ่ง เฟสว่าหญ้ามุงกระต่าย ๔.ปพพชํ เปีนหญ้าชนิดหนึ่ง แปลว่าหญ้าปล้อง ๔.ดิถเ หญ้าสามัญ ๖. มตฺดิกา ดินเหนียว ๗.ทารุภถเฑ ของทำต้วยไม้ ๘. มตดิกาภณฺฑ ของทำต้วยดินเผ่า (รวม ๔ หมวด เป็นของ ๒๔ สิงต้วยกัน) ว่ธืแจกครุภัณฑ์ ตามธรรมดาครุภัณฑ์แจกจ่ายกันไม่ได้ แต่จะจำหนีายของที่ เลวแลกของที่ดี จำ หนีายของไม่เป็นอุปการะ เพื่อของเป็นอุปการะ อันเป็นครภัณฑ์ด้วยกัน เห็นว่าได้ หรือในสมัยข้าวแพง อดอยาก

www.kalyanamitra.org ท่านอนุญาตให้จาหน่าย.ของที่เลว ๆ เพื่ออาหาร ต้วยปรารถนาจะ อยู่รักษาเสนาสนะที่ดี การจํรหน่ายครุภ'ณฟ้เพื่อประโยชฟ้สง์ฟ้อย่าง ใดอย่างหนึ่ง ดังกล่าวมานึ่เรียก้ว่า ผาสิกรรม ที่กัลปนากจัดเ!!Iน ครุกัณฑ ที่กัลปนา สิอที่นา ที่สวน และที่อย่างอื่นอีก อันทายกผู้ เจ้าของบริจาคไวเพื่อเป็นคุ่าป๋'จุดัยบารุงสงฟ้ เซ่นเรียกในบดนี้ว่า ที่ ธรณืส่งฟ้ ชฺอฺงเจดีย์ ของชนิดนี้ ได้แก่ของที่ทายกถวายเพื่อบูชุาเจดีย์ 1ช่นของ เขาถวายพระแก้วมรกต ของเจดีย์มีริภาคเป็นอย่างไร ท่านหาได้ กล่าวไว้ไม่ นอกจากให้ถือแยกเป็นส่วนเนพ่าะขุอง่เจดีย์หนึ่ง ๆ ดุจ - เดียวกับของสงฟ้หมู่หนึ่ง. ๆ และห้ามรให้น้อมลาภของเจดีย์หนึ่ง ไปเพื่อเจดีย์หนึ่ง ปรับโทษเป็นทุกถฏ ดูเหมือนจะพอเทียบเคียงกัน ได้กับของสงฟ้ ที่จำ แนกเป็นลหุภัณฑและค่รุกัณฑ ส่วนลหุภัณฺฑ เซ่นนํ้ามันใช้ตาม่บูชา ที่เป็นอาหารให้แก่ผู้รักษา: ก็ควร ที่เป็น ครุภัณฑ์ ควรเก็บรักษาไว้หรือทีงจํๆหน่ายเพื่อผาสิกุรรม ถือเอาของ เป็นครุภัณฑ์ด้วยกัน ที่ถาวรกุว่าหรือที่เป็นประโยชน้กุว่า หรือเพื่อ ปฏิสังขรณเจดีย์นั้น หรือถาวรวัตอุเนื่องด้วยเจดีย์นั้น ผลปุระโยชน้ อันเกิดขึ้นในที่กัลปนาพึงรู้โดยนัยอันกล่าวแล้วในของ่สงฟ้ ชอฺงบุคคล ฃอ่งชนิดนี้ ได้แก่ของที่ทายกถวายแก่ภิกษุเป็นส่วนตัว หรือ ภิกษุแสวงหาได้มาและถือเอาเป็นส่วนตัว เ!มัฃองที่ลง่ฟ้แจุกุให้ตฺกุ ..(ร:๑๒

www.kalyanamitra.org เป็นสิทธิแก่ภิกษุแล้ว ชื่อว่าเป็นของบุคคลเหสือนทน ภิกษุผู้เจ้า ของ■มีสิทธิในอันสละหtอแจกไค้ตามชอบใจ มีข้อที่จะทึงร่ะวังแต่ เพียงไม่ทาศรัทธาไทยไหตกเสียเปลา ภิกษุควรฺมีของฟนไรเป็นส่วน ของตนได้ ฟานกส่าวไว้ดังนี้ ของส่วฺม>#3ที่ท^ พญา^ f ๑.พึงเแจ้งในกัfแฑ์ที่ ๑๒เ ที่ว่าด้วยบริขารบฺริโภค ๒.ทรงฺอนุญาตเครื่องโลหะฑั้ฟวง ยกเครื่องประหาร ๓. ทรงอนุญาตเครื่องไม้ทั้งปวง ยกเว้นอฺๆสินทิ บัล!โงก์ บวตรไม้. เขียงเท้าไม้ ๔, เครื่อิงสินทั้งปวง ยกเว้นุเ,ครองเชื่ตเที่ๅออ่างหนึ่งที่ว่าทำ เป็นรูปฝักบัว เข้าใจว่าทำเป็นตุ่ม และกระเบื้องหม้อที่ห้ามุไม่ให้ใช้ แทนบาiตviรd . , ขอ.งอื่นที่ไม่ระบุห้ามุไว้หรือไม่อินุโลมุแก่ของที่ห้ามุ ก็อาจมี ได้เป็นส่วนตนของภิกษุ ของส่วนตวที่ไมุทรงอนุญาต ในฝ่ายของที่ห้ามุไม่ให้มีเป็นส่วนตนนน แสดงไว้ชัตในุบาลี ก็คือ , s - - ' - ๑. เงินทอง ' ๒; เครื่องประหาร ๓. อกัปป็ยบริขาร ๔. การ^ไร่นาและที่สินอยางอื่น (£๑๓

www.kalyanamitra.org ๔. ทาสหญงทาสชาย ๖.สัตว์พาทนะคือ.ช้าง ม้า โค กระบอ ๗. ปศุสัตว์ฟ็นต้นว่า แพะ แกะ ไก่ สุกร ๘. ช้าวเปลือก ๙. ว์ดถุอนามาส เช่นเครื่องประโคม เครื่องมือสักสัตว์ . ของเหล่านี้ไฝควรแก่ภิกษุ รับเป็นอาบตทุกก่ฏ อาบตทุกกฎ ชนิดนี้เรียกว่าบาลืมตตกทุกกฎ แปลว่าอาบตทุกกฎพ้นจากบาลี การปลงบริขาร ภิณฑะของภิกษุก็ดี ของสามเณรก็ดี เจ้าของตายแล้วสงฆ เป็นเจ้าของ คือ่ตกเป็นมรตกของสงฆ (นี้หมายฺความว่าเจ้าของไม่ ได้ปลงบริขาร) ในของเหล่านั้น บาตร จีวร ทรงอนุญาตเพื่อไหแก่ ภิกษุผู้พยาบาลไข้ ของที่เป็นลทุภิณพ้อันเหลีอให้แจกกัน.สามเณร ผู้พ่ยาบาล กพ้ง่ได้รับส่ว่นแจกเสมอภิกษุ ของที่เป็นครุกัณฑ์ให้ตั้ง ไว้เป็นของสงฟ้ การมอบให้ด้วยมีป่ริกัปว่า \"ถ้าตายแล้ว ให้ของเหล่านี้ตก เป็นของผู้นั้น หรีอว่าผู้นั้นจงถือเอาของเหล่านี้เมื่อตายแล้ว\" เช่นนี้ ไม่จดว่ามฺอบให้เป็นสิทธึในเวลายังเป็นอยูต่อมอบให้ด้วยโวหารเป็น ป๋จจุบันกาลไม่มีปริกัปว่า \"ฉันให้บริขารทั้งปวงนี้แก่เธอ\" หรีอระบุ ชื่อพัสดุด้วยก็ตาม จีงเป็นอันให้เป็นสิทธ กัณฑะของภิกษุผู้หลีกไปที่อื่นก็ดี ผู้ลีกแล้วก็ดี เจ้าของทอดทิ้ง ไว้ด้วยไม่ได้หวงห้าม ตกเป็นของสงฟ้ (ZTOCET

www.kalyanamitra.org สักษณะถือวิสาสะในิบาลีมอง่ด์ ๕ คือ ภณฑะของบุคคล คือที่เป็นส่วนตาของภิกษุ ทรงอนุญาตให้ ถือวิสาสะกันได้ แด่การถือวิสาสะนั้น ด้องถูกสักษณะ จึงจะเป็นกัน ถือเอาด้วอุด สักษผะถือวิสาสะมาในบาลี มีองค์ .๕ คฺอ เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๒.,เป็นผู้เคยค่บกันมา «1. ได้พดกันไว้ ๔. กังมีขีวิตอย ,๙.เว่าขอุงนั้นเราถือุJเอาแล้ว เขาจุกพอใจ สักษผะถือวิสาสะในอรรถกถามีองค์ ๓ คือ ในุอรรถกลา รวมองค์ที่๑องค์ที่๒ และองค์ที่๓ อ่ยูใน ข้อเตยุวกัน คง(ป็น ๓ พระมติเห็นสมด้วยอรรถกฤามีองค์ ๓ คือ ๑. รนผู้เคยเห็นกั!เมา ทรือเป็นผู้เคยคบกัน ห่รือได้พตกันไว้ ๒.เว่าถือเอาแล้ว เขาจุกพอใจ ๓. เขากังเป็นอยู่ ปัญหาและเฉลยวินยมข กัณฑ์ที่ ๒๐ ๑. องค์แห่งการถือวิสาสะมีเท่าไร อะไรบ้าง ? ตอบ องค์แห่งการถือวิสาสะมี ๔ คือ ๑. เป็นผ้เคยได้เห็นกันมา ๒. เป็นผ้เคยคบกันมา ๓. ได้พูดกันไว้ ๔. กังมีชีวิตอยู่ ๙. รู้ว่าของ.นั้นเราถือเอาแล้ว เจ้าของจักพอใจ <£๑๕

www.kalyanamitra.org ๒.ภัณฑะเช่นไรที่จัดเป็นของสง่ฆ์ ฟ้าพนดไร้กี่ประเ^เท อะไรราง บณฑบาด กุฎี ที่ดิน จีาร ประคดเอว และเสนาสนะเป็นภณฑะ ปร่ะ๓ทไพน? ตอบ ภัณฑะที่เขาถวายเป็นสาธารณะแกหมู่ภิกษ ไม่เฉพาะตว หรือภัณฑะอันภิก1^บก็ดี ปกครองหวงห้าม่ไว้ก็ดี ฬวยครามเป็น สาธารณะแก่หมู่ภิกษุจัดเป็นของสงฆ กำ หนดไว้ ๒ ประเภทคือ ครุภิณฑ ๑ ลหุภิณฑ ๑ บิณฑบาต จีวร ประคดเอว จัดเป็น ลหุภัณฑ์ กุฎี ที่ดิน และเสนาสนะ จัดเป็นครุภัณ่ฑ์ ๓.ลหุภัณฑ์และครุภัณฑ์ที่เป็น;ขอ่ง่สงฟ้คือของ!ช่ณไรอยางไหน แจกกันไว้ และไม่ได้? ดอบ ลหุภิณฑ์ คือของเบา มีบิ^บาต ๓เขmiiJรืขาร้ที่จรไซ้ ส์าหร้ปตว้ คือ่ บาตร จีว้ร■ปรร่;คดเอว เขม่ มีด้ฬบ มีด้&ไน เป็น ของที่แจ่กกํนโด้ ครุภิณฑ์ คือของห'รก่ ไม่ใช่ขอ#ไหMซ้สiftj เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็นเครื่อง่ใซ้ในเสนาสนะหรือเป็น. ตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน รนข่อง่ที่แจีก่กันไม่ได้ ๔.ในภัณฑะของสงฆ์ ของเช่นไรเป็นครุภัณฑ์? ดอบ ของถาวรเป็นครุภัณฑ ท่านแสดงไว้ ๔ หมวด ตังนี้ หมวดที่ ๑'อาราม อ่ารามวดธุ หมวดที่ ๒ วิหาร วิหารวตถุ หมวดที่ ๓ เครื่องเสนาสนะ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน \" หมวดที่ ๔ เครื่องโลหะ หมีอ่ อ่าง กระถาง กํะทะ มีดใหญหรือ พร้าโด้ ขวานผึ่ง จอบ สว้าน หมวดที่๔เถาวัลย์(ที่ใซ้ผูกเครื่องเรือนเช่นหว้ายุ)ไมีไผ ใบปรือ ๔๑๖

www.kalyanamitra.org ต้นอ้อ แฝก(ที่โ'อ้มุงหลังคาแล.ะกรุฝา) ดินเหนียว('ที่โ'รฉาบฝาและ 'สัน) ของ'ทำต้วยฺไม้ ของทำต้วยดิน่เผา ๕.ของเ'ช่นไร ลัดเป็นครุภ'ณฑ์ แจกจ่ายลันไมโต้ หากภิกษขืนฺแจก จ่ายเข้า จะต้องอาบสิอร/ไร และผ้^คุวรปฏิบสิอย่างไร จึงจุะชอบ ต้วย่วิฟ้ช ? ดอบ ลัณฑะอันไมใ'ชของสำหรฺบไข้สินไป เป็นของควรรักษาไว้ ไต้นาน เช่นเครื่องใข้โนเสนาสนะหรือตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึง . กุฎีและที่ดิน ลัดเป็นครุภัณฑ์ เป็นของแจกจ่ายลันไม่ไต้ หากภิกษุ ขืนแจกต้องอาบสิกุลลัจลัย ผู้รับต้องคืนใ'ห้หรือใข้แทนของฺฟ้แ จึงจ่ะชอบต้วยพระวิ'ลัย ๖. ของเช่นไรบ้าง ที่ภิกษุไม่ควรรบเป็นส่วนตัว และการใ'ต้ชนดไหน ไม่ชอบต้วยพระวิลัย ? ตอบ ของที่ไม่ควรรับเป็นส่วนตัวลัน คือ รูปียะ เงินทอง และของ ที่เป็นวัตถุอนามาส เช่นพวกรัตนะ เครื่องประหาร มีปีนและดาบ เป็นต้น และพวกเรือกสวนไร่นา ลัตว้พาหนะมีโคกระบือเป็นต้น การใ'ต้ที่ไม่ชอบต้วยพระวิลัย คือ โ'ห้ของเคี้ยวของฉันแก่ลักบวช นอกศาสนาต้วยมีอตนเอง ใ'ค้สิงของแก่คฤ'หสถ์เชิงเอาเปรียบเขา เช่นให้น้อยหวังไต้มากเป็นต้น 'ทีท่านลัตเป็นอาการแหงกุลทูสกะ โห้บ้จลัยที่ทำไห้ทายกผู้ถวายเสียศร้ทรา เช่นโห้อนามัฏฐบิณฑบาต แก่คนที่ไม่ควรให้เป็'นตัวอย่าง ๗.บริขารของภิกษุผู้มรณะ บุตรของเธอเป็นคฤ'ตัสถ์มีอย่ เขาจร?ขอริบ เอาไป ทางวัดควรยอมให้ค่รือไม่ ถ้ายอมก็เป็นอันแต้วไปถ้าไมยอ่ม จะให้แกใคร? (£๑6/

www.kalyanamitra.org ตอบ ถาบริขารนั้น บุตรได้รับปลงจากพระ\"ผู้เปีนบิดาโดยชฺอบ่แก่ พร_ะวนย เช่^นนยอมจไหรบเอาVเ| ปiVเI Vด ถyา_บ.ุตรไVIม่Mไดw้vรับปเ^ลง หร4อ1ไVดI.พ้รับ แดคาปลงไม่ถู่กล้กษณะเชนนั้เม่ยอมให้ ส่วนบริขารไม่ยอมให้นั้น ถ้าเธอผู้ถึง้มรณภาพได้ปลงให้แก่ผู้ใดผู้หนี่ง่ จะเปีนภิกษุก็ตาม สามเณรก็ตาม คฤหัสถ้ก็ตาม ด้วยถ้อยคำที่ชอบด้วยพระวินย แถ้ว ควรมอบให้แก่ผู้นั้น ถ้าถึงผู้มรณะไม่ได้ปลงให้แก่ใคฺร หรือ ปลงแต่ไมตองด้วยลักษณะ บริขารนั้นดกเปีนของสงฆ บาตร จีวร ควรให้แก่ผู้พยาบาล ส่วนที่เปีนลหุภิณฑอื่น ๆ สงฆฺแจกกัน ได้ แต่ของที่เปีนครุกัณฑ์ ตั้งไว้เปีนของกลาง หรือที่ไม่เปีนชิ้น เปีนกันจะขายปฏิลังขรณวัดได้อยู่ /-

www.kalyanamitra.org กัณฑที่ ๒๑ วินัยกรรม่ วิธีแสดงอาบต อาบตอ้นภิกษุแกล้งต้องแล้ว ที่แก้ไขไฝไต้คือปาราชิก ผู้ ต้องพึงล่ะเพศภิกษุเสิย หรือล่งฆพึงโก้นๆสนะเสียจากเพศภิกษุ ที่ ยังแก้ไขไต้ ต้องทำคืนต้วยประการในประการหนึ่ง วิธีทำ คืน ครุกาบต งฆาทิเสส ต้องอยูปริวาสกรรม จักไม่กล่าวถึงในเล่ม นี้ จักกล่าวในที่นี้เฉพาะวิธีแสด่งล่ทุกาบ้ต ภิกษุผู้แกล้งต้องอาบคื แล«ปก่ปีดไว้ และถึงอคติ เพราะเทํตุ ตนบ้าง เพรา«เหตุผู้อื่นบ้าง ไต้ชื่อว่าอลัชชี แปลว่า ผู้ไม่มีอาย เหตุดง นั้น อาบ้ติที่ไม่จำจะต้อง ก็อย่าต้อง ที่ต้องแล้วก็ควรทำคืนเสีย การแสดงลทุกาบ้ตนั้น ถคือเปีดเผยโทษของดนแก่ภิกษุอื่น มีวิธีจะพึงทำกล่าวไว้ในบาลีอุโบสถชันธกะคมภิร์มหาวรรคว่า ภกษุ ผ้ต้องอาบ้ตนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรปหนึ่งแล้ว ทำ ผ้าห่มเฉวียงบ่านัง ข 'เข์ กระหย่ง ประณมมีอกล่าวว่า อหํ อาวโส อดุลนุนามํ อาปดุติ อาปนุโนดํ ปภิเทเสมี แปลว่า แน่ะเธอ ฉันต้องอาบ้ตชีอนฉนแสดงอาบ้ตนัน ภิกษุ (ร:๑๙

www.kalyanamitra.org ผู้รบพึงกล่าวว่า ปสฺสสิ แปลว่า เธอเห็นหรือ ภิกษุผู้แสดงพึงกล่าว ว่า อาม ปสฺสาร แปลว่า เออ.ฉ้นเห็น ภิกษุผู้รับพึงกล่าวว่า อายตึ สํวเรยยาสิ แปลว่า เธอพึงสำรวมต่อไป เพึยงเท่านี้ อาบตนั้นได้ชื่อ ว่าแสดงแล้ว. ถ้าสงสัยอยู่ในอาบดบางอย่าง ท่านให้บอกอย่างนี้ อห็ อาวุโส อดฺถนุนามาย อาปดุตยา เวมดิโก ยทา นิพเพ- มสิโก ภวิสํสาร, ตฑาด อาปตสิ ปฏิฦกรืสฺสาร แปลว่า แน่ะเธอ ฉันมีความสงสัย ในอาบ้ดชื่อนี้ สักสินสงสัยเมื่อใด สักท่าคืนอาบ้สิ นั้นเมื่อนั้น ไม่มีคำสำหรับภิกษุผู้รับบอกจะกล่าวว่าอย่างไร. ดามนัย นี้ อาบตนั้นุแสดงในสำนักภิกษุรูปเดียว ภิกษุผู้รับนั้น พึงเลือกเอา ภิกษุผู้ร่วมสังวาส ท่านห้ามไม่ให้แสดงในสำนักภิกษุต่างสังวาสและ .ผู้ถ่กห้ามสังวาส ส่วนในนิสสัคคืยกัณฑ์ คัมภีร์มหาวิภังค์ กล่าวให้เลืยสละสิง ของเป็นนิสสัคคิยะแก่สงฆ์ก็ได้ แก่คณะก็ได้ แก่บุคคลํก็ได้ กล่าววิธื เลืยสละแก่สงฆ์ว่า ให้ภิกษุผู้ด้องนิสสัคสิยะนั้น เข้าไปหาสงฆ์ ท่า ม้าห่มเฉวียงบ่า นั่งกระหย่ง ประณมมีอฺ กล่าวคำเส์ยสละตามแบบ ชื่งท่านวางไว้ โดฺยนัยนี้ การเสียสละท่าแก่สงฆ์ ส่วนการแสดงอาบสิ ท่าในสำนักบุคคล ที่ด้องท่านอกหดถบาสสงฆ์ แต่ได้พบแบบที่ท่าน วางไว้ในอรรถกถา เป็นคำสำหรับสมมสิตน่รับอาป๋สิว่า สุณาด เม ภนุเต'สงุโฆ, อย่ อิดฺถฺนุนุาโม ภิฦฃ อุๆปํดดี สรสิ วิวรสิ อุตฺดานิกโรสิ เทเสสิ, ยท สงฆสฺส ปดตกลฺลํ, อหํ อิดฺถนุนามสส ภิฤชุโน อาปดดี ปฏิดคณเหยุยํ แปลว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ภิกษุฟ้มีชื่อนี้ ผนี้. (£๒๐

www.kalyanamitra.org ระลึก เปีดเผย ทำ ให้ตื้น นสืดงอาบด ถ้าความพร้อมพรังของสงฟ้ ลึงที่แถ้ว ข้าพเจ้าขอรบอาบด ของภิกษุผู้มีข้อนี้ เช่นนี้ อาบตินน แสดงและรับในสำนักสงฟ้ ถือเอาความว่า ทำ ในห้ตถบาสสงฆ ต้องอาบตตัวเดียว ภิกษุตองอาบดีปาจ้ฅตียต้วหนึ่ง เธอแสํดง่ใน่สำนักภิกษุผู้ ช่อนกว่า พุงว่าอย่างนี้ อหํ อาวุโส ปาจุดดียํ อาปดฺดี อาปนัโน ดํ ปฏิเทเสฺมิ ผู้รับพึงว่า ปสฺสถ ภนฺเด ผู้แสดงพึงว่า อาม อาวุโส ปสฺสำม - ผู้ร้บพึงว่า อ่ายฺสิ ภนฺเด สํวเรยฺยาถ แปลโดย'ฝ็&!ดังกลึาวแล้ว ผู้แสดงพึงว่า สาธุ สุสูธุ อาวุโส สํวริสฺสามิ แปลว่า ดีละเธอ ฉนจะทำสำรวมด้วยดี ต้องอาบดีอย่างเดียวกันหลายดัว อาบดีที่ต้องอย่างเดียวกัน เช่น อติเรกจีวรหลายผืนล่วง ๑๐ รัน เป็นนิสดัคดียปาจีดดียะเฉพาะผืน เรียกว่า อาบดีมีรัดณดียวกัน มีชื่อเดียว ประมวลแสดงในคราวเดียวกันไต้ ใข้บทว่า สมฺพหลา แปลว่า มากหลาย ว่าดังนี้ อ่ทํ อาวุโส สมฺพหุลา นัสฺสคฺดียาโย ปาจีตดียาโย อาปฺดตโย อาปนโน ดา ปฏิเทเสํมิ อาบดีเฉพาะ ๒ดัวใข้ เ'กฺว แปลว่า ๒แทนสมฺพหุลา ตั้งแต่ ๓ ดัวขึ้นไปจึงใช้ว่า สมพหุลา (ร:๒๑

www.kalyanamitra.org ต้องอาบตชึ่อเสียวกัน แต่มีวัดถต่างกัน อาบสิชื่อเดียวกัน แต่ต่างเรื่อง เช่นต้องทุกกฎ เพราะไฝ สำ รวมจักษุก็มี เพราะไม่เป็นไข้ทนร่มเข้าบานก็มี เพราะนั่งเบาะ ภายในยัดนุ่นก็มี เช่นนี้ เรียกว่ามีวัตถุต่างต้น ประม่วลแสดงด้วย กันไต้ ใช้บทว่า นานาวตฺถุกาโย แปลว่า มีวัตถุต่างกัน ว่าดังนี้ อหํ อาวุโส สมฺพหุลา นานาวตฺถุกาโย ทุกกฎาโย อาปตฺสิโย อาปนฺโน ดา ปฏิเทเสมี ถ้าล่วง ๒ เรื่อง จำ นวนอาบสิก็ ๒ ใช้ เทุว นานาวดฺถุกาโย จำ นวนอาบสิมากกว่าใช้ สมฺพหุลา นานาวตุ่ถุกาโย เหมีอน กัน อาบตทุพภาสิดแม้วัดถุที่ยกขึ้นกล่าวล้อต่างกัน ท่านว่ากำเนิด เป็นอย่างเดียวกันไม่มีต่างวัตถุ ให้แสดงอย่างแบบอาบฺสิมาก .วัตถุ เดียวกัน สภาคาบ้ต อฯบตวัตถุเดียวกันภิกษุต้องเหมือนกัน เรียกว่า สภาคาบต แปลว่า อาบตมีล่วนเสมอกัน ห้ามไม่ให้แสดง ห้ามไม่ให้วับ ■ให้ แสดงในสำนักภิกษุอื่น ถ้าสงฆต้องสภาคาบสิทั้งนั้น ท่านให้ล่งภิกษุ รูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุอันเหลือจึงแสดงในสำนักเธอ หรีอขอ แสดงกันต่อไป ไต้เช่นนี้เป็นการดี ถ้าไม่ไต้ ถึงวันอุโบสถ ท่านให้ สวดประกาศความข้อนั้นในสงฆ์ ตามแบบอันแสดงไว้แล้ว่ในกัณฆ์ที่ ๑๗ เรื่องอุโบสถ ครั้นสวดประกาศอย่างนั้นแล้ว ทำ อุโบสถไต้ หาก จะมีภิกษุแสดงและวับสภาคาบสิด้วย ท่านยอมว่าอาป๋สินั้นเป็นอัน แสดงแล้ว แต่ปวับทุก^กฎเพราะแสดงแก่ผู้แสดง และปวับ ทุกกฎ เพราะวับแกํผวับ

www.kalyanamitra.org อาป๋ตินั้น ท่านฺให้แสดงโดยควรแก่ซื่อ แก่วัตถุ แก่จำนวน แสดงฝืดซื่อ ใช้ไม่ได้ ฝืดวัตถุและผดจำนวน ขางมากแสดงเป็นน้อย ใช้ไม่ได้ช้างน้อยพลั้งเป็นมาก เช่นอาบติตัวเดียวหรือ๒ตัวแสดง ว่า สมฺพหุลา วัตถุเดียว แสดงว่า นานาวตฺถุกาโย ใช้ได้ อาบติต่าง ซื่อ ไม่ไห้ประมวลแสดงในคราวเดียวกัน อนึ่ง ท่านให้แสดงทีละรูป ห้ามไมให้แสดงพร้อมกันหลายรูปในสำนักภิกษุผู้เดียว ช้อนั้เป็นไม่ ได้อยู่เอง เพราะอาบติที่แสดงย่อมุต่างกัน และท่านห้ามไม่ให้แสดง ในสำนักภิกษุ ๔-๔ รปผ้อย่นอกสีมา นี้แปลว่า จะทำเป็นการสงฆ แสดงแบบใช้คาบาลีไว้สำหรืบภิกษุผู้ไฝรู้บาลี อาบติตัวเดียว ออกซื่อว่า ถุลฺลจฺจยํ อาปตฺดี, Sgfสคฺดียปา- ลีดฺดียํ อาปดุ่ดี, ปาลีดฺดิยํ อาปตฺดี) ทุกกฏํ อาปดฺดี, หรือหุพฺภาสิดํ อาปตฺดี ตามซื่อของอาบติ อาบติหลายตว ออกซื่อว่า ถุลฺลจฺจยาโย อาปตุดีโย',นัสฺสคฺดียาโย ปาลีดฺดียาโย อาปดฺติโย, ปาลีตฺดียาโย อาปดฺดิโย, หุฤกฏาโย อาปดฺดีโย, หุพฺภาสิตาโย อาปตฺติโย ต่อ เทฺว หรือ. สมฺพหุลา เฉพาะอาบติมีวัตถุ เดียว ต่อ นานาวดถุกาโย เฉพาะอาป๋ติมีวัตถุต่างกัน s คำ สำ หรืบผู้แก่กว่าว่า อาวุโส ปสฺสสี สํวเรยฺยาสิ คำ สำ หรืบผู้อ่อนกว่าว่า ภนุเต ปสฺสถ สํวเรยฺยาถ อาบติปาฐเทสนียะ มีคำ แสดงในบาลีปาติโมกข์ไว้ชัดว่า คารยฺหํ อาวุโส ธมุมํ อาปชุช้ อสปฺปายํ ปาฎเทสนีย่ ตํ ปฏิเทเสมิ 0:1ร}๓

www.kalyanamitra.org แปลว่า แน่ะเธอ ฉันต้องแล้วซึ่งธรรมน่าติเตียน ไม่สบาย ควรจะแสดงคืนเสิย ฉันแสดงตีนซึ่งธรรมนั้น ภิกษุผู้ต้องอาบติแล้ว ไม่ยอมรบว่าเป็นอาบติ .เรียกโดยโวหาร วินยว่า ไม่เห็นอาบติ หรือยอมรบว่าเป็นอาบติ แต่ไม่แสดง เรียกว่า ไม่ทำคื•เแทบติ ใน ๒ อย่างนี้ ทรงอนุฌาดให้ส่งฟ้ลงโทษทำอุกเขปนียกร รม ย่กภิกษุนั้นเสืยฺจากสังวาสและรวมภินร่วฺมนอน ภิกษุนั้นไต้ชื่อว่า แปลว่า ผ้อันสงฆ์ยกเสิยแล้ว .ภิกษุใดสมาคมด้วยต้อง ti ปาจิตตีย์ต้วยสิกขาบทที่ ๙ แห่งสัปปาณวรรค แห่งปาจิตติยกฺณฟ้ ต่อ เมื่อภิกษุนั้นยอมเห็นอาบติหรือยอมทำคืนอาบติแล้ว สงฆ์จึงสวด ประกาศระงับกรรมนั้น ยอมให้เข้าหมู่เป็นภิกษุปกติตฺามเติม อธษฐาน บริขารบางอ่ย่างที่ทรงอนุญาตให้มีสำหรบตัวภิกษุ และห้าม ไม่ให้มีของเช่นนั้นเกินจำนวน หรือเกินวันที่กำหนดไว้ บริขารเช่นนี้ ภิกษุจะเอาไว้ใช้สำหริบตัว ต้องอธิษฐาน แปลว่า ตั้งเอาไว้ บริขารที่ ระบุชื่อให้อธิษฐานนั้น คือ ๑. สงฆาฏิ ๒. อันตรวาสก ๓. อดตราสงค์ ๔. บาตร ๔. ผาปูนั่ง ๖. ผ้าปีดแ ๗. ผ้าอาบนํ้าฝน GtlsKsr

www.kalyanamitra.org ๘. ผ้าปนอน ๙. ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดปาก ๑๐. ผ้าใช้ฟ็นบริขาร เช่นผ้ากรองนํ้า ลุงบาดร ย่าม ผ้าห่อ' ของ บริขาร ๗ อย่างข้างต้น อธิษฐานไต้เฉพาะผืนเดียวหรือสิ่ง เดียว นอกจากนี้ ไม่กำจัดจำนวน ส่วนบริขาร ๓ อย่างสุดห้ๆย นอกจากนี้ อธิษฐานไต้ไม่,กำจัดจำนวน คำ อธิษฐ่านบริขารสิ่งเดียว คำ อธิษฐานบริขารสิ่งเดียว แสดงสังฆฺาฏิเป็นตัวอย่างว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฎจามิ แปลว่า เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าส่งฆาฏิผืนนี้ หรือว่า เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าผืนนี้เป็นส่งฆาฏิ อธิษฐานบริขารชื่ออื่นยกบทว่า สงฆาฎึ เสืย เปลี่ยนตามชื่อตังนี้ ๑. อุตฺดราสงฺคํ สำ หริบ จีวร: : ๒, อนดรวาสกํ สบง ๓. ปดฺดํ บาดรฺ ๙. นิสิทนํ ผ้านิสืทนะ C กณฑุปฏิจุฉาทึ ผ้าปีดแ ^ ๖. วสฺสิกสาฏกํ ผ้าอาบนี้าฝน ๗. ปจุจตฺถรณํ ผ้าปนอน ๘. มุขปุฌฺฉนโจสํ ผ้าเช็ดหน้า เช็ดปฺๆก ๙. ปริฦขารโจสํ ผ้าเป็นบริขาร คำ อธิษฐานผ้าหลายผืนควบตัน แสดงผ้าปูนอนเป็นตัวอย่าง <5:๒4:

www.kalyanamitra.org ว่า อิมานิ ปจฺจตฺถรณานิ อธิฎฐานิ แปลว่า เราตั้งเอาไว้ร่งผ้าปูนอน เหล่านี้ หรือว่า เราตั้งเอาไว้€งผ้าเหล่านี้เป็นผ้าปูนอน อธิษฐานผ้า ชื่ออื่น ยกบทว่า ปจุจตฺถรณ่านิ เสีย เปลี่ยนเป็น มุขปุญฉนโจลานิ สำ หรับผ้าเช็ดหน้าเชดปาก ปรืกฺขารโจลานิ สำ หรับผ้าเป็นบริขาร อธิษฐานมี ๒ อย่าง ๑. อธิษฐานสัไ)ยกาย คือ เอามีอจับหรือลูบปริขารที่จะอธิ!^น นั้นทำความผูกไจตามคำ.อธิษฐานข้างต้น - ๒. อธิษฐานต้วยวาจา คือ ลั่นคำอธิษฐานนั้น ไม่ถกของ ต้วยกายก็ไต้ อธิษฐานด้วยวาจา แยกออกไปเป็น ๒ ๑. อธิษฐานในหตถบาส ๒. อธิษฐานนอกหดถบาส ของอยู่ภายใน ๒.ศอกคืบ หรือศอกหนึ่ง ในระหว่างพึงใช้ อธิษฐานในหัตถบาส ลั่นวาจาตามแบบนั้น ของอยู่ฟางพึงใช้อธิษฐานนอกหัตลบาส ลั่นวาจาตามแบบ นั้น แด่เปลี่ยนบทว่า อิมํ เป็น เอดํ เปลี่ยนบท อิม่านิ เป็น เอตานิ แปลว่า นั่น ฟ้จจุทธรถใ เมื่อจะอธิษฐาน ถาบริขารที่กำหนตใหัมีแดลี่งเดยว ของเดม (ร:๒๖

www.kalyanamitra.org มีอยู่ ฟ็นนด่ต้องการจะเปลี่ยนใหม่ ต้องเลิกชองเดึมเสิยก่อน ยกเลิกบริขารเดิมเสิย เรียกว่า ป็จจุ่ทธรณ หรือถอนอธิษฐานมีแบบ วางไว้ แสดงสังฆาฏิเป็นตัวอย่างว่า อมํ สงฺฆาฏิ ปจฺจุทุธรามี แปลว่า เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ยกเลิกบริขารอื่น พึงเปลี่ยนตามชื่อ ถ้าเป็นบริขารที่ใช้นุ่งห่ม พึงย้อมให้ไต้สี และทำพึนทุตาม แบบสันกล่าวแล้วในสิกขาบทที่ ๘ แห่งสุราปานวรรค ในปาจิตดิย- กณฑ์แล้วจึงอธิษฐาน คำ พินทุว่า อิม่ พินฺทุกปป๋ กโรมี แปลว่า เรา ทำ เครื่องหมายต้วยจุตนี้ บริขารที่จะเสียอธิษฐานไปเพราะ!.หตุ ๙ ประการ คือ บริขารสันภิกอธิษฐานโดยชื่อตังกล่าวแล้ว จะเสียอธิษฐาน ไปเพร่าะเหตุ ๙ ประการ ๑. ให้แก่ผ้อื่นเสีย ๒. ถกโจรแย่งธิงเอาไปเสีย ๓. มีดรถือเอาต้วยริสาสะ ๔. เจ้าของหันไปเพื่อความเป็นคนเลว ต้องอาบดปาราชิก หรือไปเช้ารืตเดยรถืย์ทั้งสังเป็นภิกษุ ๔. เจ้าของลาสิกขา ๖. เจ้าของทำกาลกิริยา ๗. เพศกสับ บุรุษเพศกลายเป็นสตรืเพศ ๘. ถอนเสียจากอธิษฐาน ๙. เป็นช่องทะลุ (เฉพาะในไดรจึวรและบาดร) ในเหดุ ๙ ประการนั้น เหดุที่ควรเป็นประมาณมี ๔ คือ (£๒6/

www.kalyanamitra.org ให้แก่ผู้อื่น ๒. ถูกโจรชงเอาไปหรือลักเอาไป ๓. มิตรถือเอาด้วยวิสาสะ ๔. ถอนเสิยจากอรiร!ฐาน ๔. เป็นช่องทะลุ ช่องทะลุในไตรจีวรฺนั้น ท่านวิาเท่าหลังเล็บนิ้วก้อย ทะฟ้หว่ ทีเดียว ไฝมีเส้นด้ายในระหว่าง นับแต่ริมผาเข้าไป ด้านยาว่คืบหนึ่ง ด้านกว้างแห่งผ้านุ่ง.๔ นิ้ว แห่งผ้าห่ม ๘ นิ้ว ซ่องทะลุในบาตรนั้น พอเมีตข้าวฟ่างรอดได้ วิลัป หมายถืง การทำให้เป็นสองเจ้าของ คือการทภิกษุได้ จีวรหรือบาตรมาแล้ว ด้องการจะเก็บไว้เกินเวลาที่พระวินัยกำหนด จีงอนุญาตให้ภิกษุอื่นใข้สอยจีวรหรือบาตรนั้นได้ก้าด้องการ จีวร หรือบาตรนั้นถือว่ามีสองเจ้าของแล้ว คำ วิคปต่อหน้า ในหัตถบาส จีวรฝึนเดียิวว่า อมํ จีวรํ ตุยห วิกปฺเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าวิกัปจีวรฝ็นนิ้แก่ท่าน จีวรหลายผืนว่า อิมานั จีวราน้ แทน สิมํ จีวรํ บาตรใบเดียวว่า อิมํ ปตฺตํ ตุยฺทํ วิกปเปมิ บาตรหลายใบว่า อเม ปตฺเต แทน อิมํ ปตฺคํ นอกหัตลบาสว่า เอุตํแทน อิมํ ว่า เอตานิ แทน อิมานิ ว่า เอเต แทน อิเม ถ้าวิกัปแก่ภิกษุผ้แก่กว่า ใช้บทว่า อายสฺมโต แทน ตุยฺหํ ก็ควร- คำ วิกัปลับหลัง ในหัตถปาส จีวรผืนเดียวว่า เมํ จีวร (ร:๒0?

www.kalyanamitra.org อิฅลนฺนามสฺส.จิกปเป่มิ.เฟ่ลว่า ข้าพเจ้าจิก้ปจีวรผืนนี้แกสหธรรมิกชือนี้ ถ้าวิกัปแก่ภิกษุ ตางว่าชื่ออุตตระ พึงออกชื่อว่า อตตรสส ภิกขุโน่ หรือ อายสุมโด อุดฺดรสฺส แทน เตฺถนน่ามสฺส.โดยสมควรแก่ผู้รับ ออนกว่าหรือแก่กว่า วิกัปจีวรหลายผืน วิกัปบาตรใบเดียว หลายใบ ในหดถ.บาส นอ่กหัตถบาสพึงเทยบตามแมมวกัปต่อ.หน้า คำ ถอนวิกัปจีวรในหัตถบาสว่า จีวรที่วิกัปไว าะบริ!ทดตองขอให้ผู้รับลอนก่อน ไม่ทาอย่าง่ นั้นแส,ะบริโภค ต้อง่อาบดีปาจีติดีย่ดีวย่วิกัปปสิกขาบทนัน คำ ลอน ในหัตลบาส จีวรว่า • สิม่ จีวรํมยหํสน่ตกํ ปริภุญช ว่า วิสชเซหิวา ยถาปจฺจia จา กโรหิ ผู้ถอนออนกว่าว่าอิฟ้ จีวรมยฺหํ สน่ตกํ ปริภุญ่ชถวาวิสขุเชถ วา ยลาปจจยํ วา กโรถ ความเดียวกัน เป็นแต่ใช้แสดงฺเคารพ แปล ว่า จีวร ผืนนี้ของช้าพเจ้า ทานจฺงใช้สอยก็ตาม จ่งสละก็ตาม จงทำ ดามิปจจัยก็ดาม คำ ที่จะพึงใข้เปลียนเ(.ปลงไป ตามชือของก็ดี ตาม จำ นวนของก็ดี ตามฐานที่ของตั้งอยู่ก็ดี พึงเทียบเคียงกับคำวิกัปใน การวิกปจีวรนี้- บาตรที่วิกัปไว้แล้ว ไม่มีกำหนตให้ลอนก่อนจึงบริโภค พึงใช้ เปีน้ของวิกัปเถิดแต่เมื่อจะอธิษฐาน พึงให้ถอนก่อน (ฮ๒๙

www.kalyanamitra.org ป้ญหาและเฉลยวินยมข กัณฑ์ที่ ๒๑ ๑. จะปฏิบดพรรทนฺยอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่า พอดีพองาม? ตอบ ต้องปฏิบดีพระวิ'เฒัโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุต้อง'ทำตนใ'ต้เป็นคใ๘าบาก เพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อัน'รดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อ ธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำฅนใ'ค้เป็นคนเลวทราม จึงจะเรียก ไต้ว่าพอดีพองาม ๒.ในวิน้ยมุขท่านระบุวิ'แยกรรมไว้กี่อย่างอะไรบ้าง? ตอบ ท่านระบุไว้ ๓ อย่าง คือ ๑.การแสฺดงอาบ้ดี ๒.การอธิษฐาน ๓.การวิกัป ๓. การทำวิ'แยกรรมนั้นมีจึากัดบุคคลห่รีอสถาน'กี่บ้างห่รีอไม่ อย่างไร? ตอบ มีจำ กัดบุคคลและสถานที่ไว้ ดังนั้ ๑. แสดงอาป๋ดี ต้องแสดงแก่ผู้ที่เป็นภิกษุต้วยกัน ๒. อธิษฐาน ต้องทำเอง ๓.วิกัป ใ'ค้วิกัปแก่สหธรรมิก'ทั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี รูปใดรูปหนึ่ง 'ต้ามทำในที่มีด แดในสีมา หรือนอกสีมาใ'รไต้ทั้งนั้น ๔. อุกเขปนียกรรม สงฆ์ควรทำแก่ภิกษุผู้ประพฤดีเซ่นไร? ตอบ ควรทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบ้ดีแล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาป๋ดี ที่ เรียกว่า ไม่เ'ศ็นอาบ้ดี หรือยอมรับว่าเป็นอาบ้ดีแต่ไม่แสดง ที่ เรียกว่า ไม่ทำคืนอาบดี ๔. วิ'แยกรรม กับ สิงฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร? ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะ'พึงทำ (£๓๐

www.kalyanamitra.org ตามพระวินย เช่น พินทุ อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกวา วิiSยกรรม กรรมที่ภิกษุครบองค์เป็นสงฆ มีจำ นวนอยางดรตั้งแต้ . ๔ รูปขึ้นไป จะพึงทำเช่นอปโลกนกรรมเป็นต้น เรียกว่า สังฆกรรม ๖. สภาคาฟ้ต คืออาบดเช่นไร? ตอบ คือ อาบติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบท เดียวกน . ๗.อธิษฐาน(บรีขาร)มีกี่อย่างอะไรบ้าง? ตอบ มี ๒ อย่าง คือ ๑. อ่ธิษฐานด้วยกาย คือเอามือลูบบริขารที่จะอธิษฐานนนเข้า ทำ ความผูกใจดามคำอธิษฐาน ๒. อธิษฐานด้วยวาจา คือลั่นคำอธิษฐานนั้น ไมีถูกของด้วยกายก็ไต้ ๘. คำ ว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ผ้าสิงฆาฏิผืนเดิมเก่าขาด ไข้ไม่ได้จะเปลี่ยนใหม่พึงปฏิบ้ตอย่างไร? ตอบ คือ การตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสำหรีบภิกษุเอาไว้ใช้สำหรบตัว (เช่น การตั้งใจใช้จีวรผืนนั้นไมใช้ผืนอื่น) พึงทำพินทุผ้าสังฆาฏิ ผืนใหม่ว่า อิมํ พินทุกปป๋ กโรมิ .เราทำหมายด้วยจุดนี้แล้ว บ้จจุทธรณ์คือยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิมํ สงฺฆาฏฺ ปจฺจุทธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต้อจากนั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ ว่า อิมํ สงฆาฏึ อธิฎrไมิ เราตั้งเอาไว้ขึ้งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ๙. สมณบริขารอะไรบ้างที่อธิษฐานได้ จงจาระไนมาให้หมด? . ตอบ สมณบริขารเหล่านี้ที่อธิษฐานไต้ คือ สังฆาฏิ อุดตราสงค์ อันดรวาสก บาดร ^ท่นะ กัณฑุปฏิจฉาทิ วัสลิกสาฎก บ้จจัดถรณะ มขปญฉนโจละ ปริกขารโจละ 1ร:๓๑

www.kalyanamitra.org ๑๐.วิธีอธษฐานด้วยกายและด้วยวาจานั้น.คืออย่างไร? ตอบ วิธีอธิษฐานด้วยกายนั้น คือ เอาฝ็อจับหรือลูบบริขารที่อธิษฐาน นั้นเข้าแล้ว ทำ ความผูกใจตามคำอธิษฐานนั้น ๆ ส่วนวิธีอธิษฐาน ด้วยวาจานั้น คือ ลั่นคำอธิษฐานนั้น ๆ โดยไม่ถูกต้องของด้วยกาย ข.องนั้นจะอยูในหตถบาสหรือนอกหัตถบาสก็ได้ ๑๑. ผาเช่นไร จัดเป็นบริขารใจละ ต่างกบผ้าที่ควรอธิษฐานอื่น อย่างไร? ตอบ ผ้าที่เป็นบริขารใจละ ได้แก่ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญถึงทับนุ่งห่ม ได้ เช่นผ้ากรองนํ้า ผ้าถุงบาตฺร และย่าม เป็นด้น ส่วนผ้าที่ควร อธิษฐานอย่างอื่น ๆ เป็นของควรนุ่งห่มได้และเป็นของใหญ่ เช่น ไตรจีวร ผ้าปิด?! ผ้าอวบนํ้าฝน ผ้าปที่นอน เป็นด้นต่างทันอย่างนี้ ๑๒.การขาดอธิษฐานเพฺรกะเหตุไรบางและเห่ตุที่ควรเป็นประมาณ มีเท่าไร? ตอบ เพราะเหตุ ๙ ปุระการ คือให้แก่ผู้อื่นเสีย ๑ ลูกใจรชิงเอา ไปเสีย ๑ มิตรถึอเอาใดยวิสาสะ ๑ เจ้าของหันไปเพื่อิความเป็น ค่นเลว ๑ เจ้าของลาสิกขา ๑ เจ้าของทำกาลกิริยาi๑ เพศกล้บ ๑ ถอนเสียจากอธิษฐาน ๑ เป็นช่องทะลุ ๑ ในเหตุ ๙ ประการนั้น เหตุที่ควรเป็นประมาณมีอยู่๔ คือให้แก่ผู้อื่น ๑ ลูกใจรชิงเอาไป หรือลักเอาไป ๑ มิตรถึอเอาด้วยวิสาสะ ๑ ถอนเสียจากอธิษฐาน ๑ เป็นซ่องทะลุ ๑ (£๓๒

www.kalyanamitra.org กณฟ้ฑ ^๒ มหาปฒส ๔ พสดุบางอย่าง ย่อ่มมเฉพาะในบ่างสิน่ และพสดุทีคนรู้จักทา ฃึ้®ด^ย่อมมีหลากหลาย ตามความเจริญแหงศิลปะของมนุษฟ้กิจการ่ ค็เหมีอนกัน ของคนในถิ่นหนึ่ง อาจต่างจากของคนในถิ่นอื่น และอาจ มแปลสุ ๆ โดยลำดับกาล .ตามความนยมอันเปลี่ยนแปล่งไปอยู่ รง คนใฬหลายอันอยู่ต่างถิ่นไปม่าลึงฺกันเข้า ความพบเห็นพัสดุ'ละกิจกา'5 ทั้งกล่ายกัมากเข้า ^ภิก่ษุเกิดในภายหลังพทธกาลย่อมจะได้พบเห็นพัสดุ แล่ะกิจการต่าง ๆนานา จากทีกล่าวไ¥1นพระคัมภีร์ พระศาสดาผู้มี พระญาณเห็นกาล่ไกล ไข้ประทีานแบ่บ่ไว้ เพื่อเป็นหลกแห็งสนนิษฐาน ทั้งในทางธรรมทั้ฟ้.นทางริฟ้ฒ ในที่นี้จักกล่าวเฉพาะในทางวิ'&แบบนี้ เริยกว่ามหาปเทส แปล่ว่า ฃ้อส์ๆหร้บอ้างใหฌ จำ แนกออก!^ป็น ๔ ข้อ M ๑. ลี่ง์ใดไฝไข้ทรงห็ามไว้ว่าไฝควร แต่เข้ากันกับสิงทีเป็น อกัปป็ยะ ชดกันต่อสิงที่เป็นกัปป็ยะ สิงนนไฝควร ๒. สิงใดไฝไข้ทรงห้ามไว้ว่าไฝควร แต่เข้ากันกิบสิ่งที่เป็นกปป็ย« isr^๓

www.kalyanamitra.org ขัดกนต่อสิงที่เป็นอกัปป็ยะ สิงนั้นควร ๓. สิงใดไฝได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกบสิงที่เป็น อกัปป็ยะ.ขัดกันต่อสิงที่เป็นกัปปียะ สิงนั้นไฝควร ๔. สิงใดไฝได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิงที่เป็น กัปปียะ ขัดกันต่อสิงที่เป็นอกัปปียะ สิงนั้นควร จกแสดงตัวอยางที่ลงสันนิษฐานกันไว้แล้วบางประการ ปีนเป็น ของไมใด้ทรงห้ามไว้ว่าไฝควร เพราะในครั้งพุทธกาลยังไฝรู้จักใช้กัน ทั่วไป หรือเฉพาะในชมพูทฺวีป แต่สุรารู้จักใช้กันแล้ว เป็นของที่ทรง ห้ามไว้ สุราถ็ดี ปีนก็ดี เป็นของทำกายประสาทให้มึนเป็นของทำผู้เสพ ให้ติด ด้อง่ทวีจำนวนที่เสพขึ้นเส่มอ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค เป็นเครื่อง ทอนกำสั3แห่งร่างกาย เป็นมูลแห่งความชั่วร้ายต่าง ๆ ดุจเดีย่วกัน เพราะเหดุนั้น ปีนเป็นของเช้ากับสุรา จังฺเป็นของไฆ่ควรภิกษุจุะเสพ เป็นอาจิณ.สุรานั้น แม้เป็นของที่ทรงห้ามก็จริง^แต่แทรกในโภชนาหาร เพื่อแก้คาวหรือให้มึรส ที่ฝุงประโยชน์อย่างอื่น ทรงอนุญาตไว้ว่าควร ปีนที่แทรกยา เช่น ในโคลโรติน- เป็นยาแก้สงห้อง ไฝใช่เป็นของมุ่ง หม่ายส์าหริบเสพโดยฐานเป็นปีน เช่นนั้เช้ากันกับสุราที่เจือในของอื่นที่ ทรงอนุญาตไว้นั้นเป็นของควรเมื่อคราวเจ็บไช้ต้องการใช้เป็นยา ทรง อนุญาตนั้าหวานออกจากอ้อยที่เคี่ยวให้แช้นแล้วเรียกว่าผาณิตไว้ นั้า หวานที่ออกจากพืชอื่น เป็นด้นว่าตาสห่เอมะพร้าว ไฝได้กล่าวถึงใน่ บาลี จัดว่าเป็นของที่ไฝทรงอนุญาตไว้ แต่เป็นของมึรสหวานสำเร็จ ประโยชน์เช่นเดียวกันกับรสหวานแห่งอ้อย ชื่อว่าเป็นของเช้ากันกับรส หวานแห่งอ้อย รสหวานอย่างอื่น่ก็ควรเหม่อนิกับรสหวานแห่งอ้อยนั้น พง--'\"า■ ■ฯ--..! •; , (zrmร:

www.kalyanamitra.org ท!งห้ามไมให้เก็บไว้.ฉันเกิน ๗ วัน. พ้นกำหนดนฺนแล้วเป็น ของไม่ควุร รสหุวานแห่งของอื่น ก็เป็นฺของไม่ควรเหมือนกัน .มหาปเหส.นี้; เป็นหลักสำกัญไนพระวิ.นัย ภิกษเข้าใจุดีแล้วอฺาจ.ปฏบดิ ตนพอเหมาะ- ในเมื่อได้พบพัสดุแล้ะกิจ่การต่าง ๆ อยู่รอบข้าง - . พ^ทธานุญาตพิเศษ ' ข้อที่ทรงบัญญ้สิห้ามไว้ ในบางข้อ ได้ทรงอนุญาตยกเว้นเป็น พเศษไว้ก็มื ไน่ที่นี้ กักไม่ปรารภถึงข้อยกเว้นอนมืกำกับไว้ไนสิกขาบท ทั้งหลาย กักกล่าวเฉพาะที่ทรงอนุญาตเป็นพิเศษแห้ ๆ พิงเห็นดงต่อ .,๕ ๑. ทรงอนุญาต่เฉพาะอาพาธ ยามหาวิกัฏิ ๔ ยู่ตร คูถเถ้า (ไฟ) สิน ทรงอนุญาตแก่ภิกษุผู้ถูกงูกัต แม้ไม่ได้รบประเคนฉันก็ได้ ไม่เป็นอาบสิ นํ้าข้าวใสที่เข้าใจว่าข้าวด้มไม่มืกาก และนํ้าเนี้อด้มที่ กัอ่ฟึเอาหารในวิกาล นาข้าวด้มกับนี้าเนอด้มนึ้Iนบาลีไม่กำหนดซัด ว่าทรงอนุญาดฺในวิกาล แต่รู้ได้โดยนัย V ๒. ทรงอนุญาตเฉพาะบุคคล เซ่นทรงอนุญาตอาหารที่เรออวก ถึงล่โเค่อแล้วกลับเข้าไป แก่ภิกษุ-ผู้มักเรอ์อวก ไม่เป็นอาป๋สิเพราะ วิกาลโกชนสิกขาบท ข้อนี้ควรเป็นกัวอย่างแห่งภิกษุผู้กลีนเลีอดที่ออก ในปากให้ล่วงสำคอเข้าไปโดยไม่รู้กัว ถือกันมาว่า อาบสินี้เป็นอจิตดกะ คราวนี้ก็แสดงถุลลัจกัย เพราะกินเลือดมนุษย์ ถ้าไม่รู้เรื่อง ปร้บอาบสิ ดูจะโหดร้ายเกินไป ภิกษุเจบเป็นแผลในปาก มืนี้าหนองนี้าเอ!อด สมควรจะได้ร้บอนุญาดเป็นพิเศษ (Tcn&r

www.kalyanamitra.org ๓, ท่รงอ่นุฌ'ไตเฉพาะกาล เซ่นทรงอนุญาตใหเจียวมนเปลว ทาเป็นนํ้าฟ้นได!อง แต่ตองทำให้เสร็ทตลอ่ดถึงกรองในกาลเซ่าสึงเทึ่ยง่ ข้อ^นบุพพสิกขาวัณณนา จัดใวันเส่วนทุรงอนุญาตเฉพาะมนเปลว เพ่งความ'ร่า เปลวมนแมแหงสตวัมีเนื้อเป็นอกัปป็ยิะ ก็ทรงอนุญาต^ ๙. ทรงอนุญาตเฉพาะถิ่น เซ่นทรงอนุญาตให้อุปสมบทด้วย สงฆ์ป๋ญจวรรค คือ ๔ รูป ให้อาบนํ้าใด้เป็นนิตย ให้ใช้รองเทาทุนา ๔ ชั้น ร่งเป็นของใทุมฺใต้ในป๋จจันตชนบท ๔. ทรฺงอนุญาตเฉพาะยา เซ่นทรงอนุญาตนํ้ามันเจีอนื้ๆเมา ใม่มาก จนสีกลิ่นรสปรากฏให้ดื่มกินใต้ และทรฺงอนุญาตให้!ช้กระเทียม่ เช้ายาใต้ แต่ห้ามใมให้ฉันเป็นอาหารฺ นื้ควรเป็นตั'3อย่างแห'งของ อย่างอื่นที่บุ่งจะใช้เป็นยา ขออารกขา ปกติของภิกษุ่ใมเป็นโจทก็ฟ้องคฤหัสถ์ในศาลํเกี่ยวกับคดี ต่าง ๆ ใฝแส่หาสาเหตุ่แกน้อยเป็นเครื่องก่อคดีขึ้น พอจะอตใดนื้ง ใต้ก็อดก็นิ่ง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น คือถูกคนอื่นฟ้องก็เป็นจำเลยว่า ความเฟือเปลื้องตน้ เมื่อถูกคฺนอื่นข่มเหงเหลืออดเหลือทน ก็บอก ขออารักขา หรือถูกทำร้าย ใมรู้ว่าใครทำ จะบอกให้ถ้อยคาใวักับ เจีาหน้าที่ก็ใต้ ทุรือของหายแต่ใม่รู้ว่าใครลัก จะบอกตราสินใว้แก่ เขาก็ใต้ ใม่ฝ็โทษในเพราะเหตุ่เหล่านื้ วิบตของภิกษุ ๔ประการ วิป๋ติ ในบาลีจำแนกวิปัติของภิกษุไร้ ๔ ประการ คือ ๙๓๖

www.kalyanamitra.org ๑. fllามเสิยแห่งสืล เรียกร่ๆสิลวิฃต ทานจัดเอกการต้อฺง ปารารุก ทรีอสงฆาทเสส อันเป็นอาบ้ตหนัก ๒. ดว่ามเสียมารย% เรียกว่า(อาจารว่บสิ ฟานจัดเอาการ ต้องลหุกายติตั้งแต่ถลลัจจัอลงมาจน่ถึงทุพกาสิต/ ๓. คว่ามเฟ้นผดธรร่มผิดวนัย เรียกว่าทิฏเวฺบ้ต คว่^ ปรา'ร่ภธรรมว่นัย่ อันผิดจากฃิอ่งคนัอื่น เป็นมู่ลแห่งว่ว่าทาธิกรณุ ■ที๋^ถูก่ดดสินว่าเป็นัผิด ๔. อาบตบางอย่างทึ่ซาขางต้น คว่ามํเสีย่แห่งการเลี้ย่งรพ ชื่ออารว่ว่บด ทานจัดเอาอาบติยางเหลาที่ต้องเพราะเหตุอ่ย่างนั้น ภกษุผูมศลเป็นัที่รัก. เป็น่ลรุซมความละอาย ไครสีกชาในทาง ปฏิบด พึงรกชาตนใฟ้บรีสทธี้จฺากว่ป็ต ๔•ส์ป่ระการอันกลาว่แล้ว่ . ฟ้^จร บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อัแภิกษุไม่ควรไปส เรียกอโคจร ห่าน แสดงไว่ ^ ประฬท ดือ หญิงแพ่สยา ๑ หญิงหฺม้าย ๑ สาว่เทื้อ ๑ ภิกษุญิ ๑. บณเฑาะก์ ๑ ร้านสรา ๑ ๑. หญิงแพศยานั้น- หมายเอาหญิงหาภินไนทางกามทุกชนิ^ ทั่ว่ไปแสดงอาการเปีดเผยก็ดี แสดงอาการรุอนเรผ่.ก็ดี อยู่เป็นโสดตาม ลำ พัง^นกดี อยู่ในหมู่ก็ดี นับเข้าในซื่อหญิงแพศยาทั้งนั้น ภิกษุคบหา ชอบพอสนิทสนมกับหญิงแพศยา ไปมาหาสูกันเนื่อง= ๆ; ย่อมจะเป็นที่ รังเคยจข่องสหธรรมิกต้ว่ยกัน ๒. หญิงหมายนั้น หมายเอาทั้งหญิงมีส่ามีตาย ทั้งหญิงมีส่ามี ร้างคอหย่าจากกัน (รโ๓๙

www.kalyanamitra.org ๓. หญิงเทื้อนั้น :หมายเอาหญิงโสดหาสามีมิได้. อยู่ลำพังตน ภิกษุคบหาสนิทสนมกบหญิง ๒ ประเภทนี้ ไปมาหาสู่ไม่เป็น ภิจจะลํกษณ่ะหรือผิดเวลา ย่อุ่มฺจะเป็นที่รังเกียจ่ฃอฺงสหธรรฺฐกด้วยกัน ทั้งล่อแหลมต่ออันตรายแห่งพรหมจรรย์ด้วย แต่^ร!ว่าเป็นคนไม่ควร คบเสียเลย จะรู้จกกัน หรือไปมาหาสู่กันฺโดยเป็นภิจลักษณะได้อยู่ ๔. ภิกษุณี เป็นพรหมจารืนี.จัดว่าเป็นหญิงโสด แม่เป็น สหธรรมิกด้วยกัน ก็อังสมควรจะคบกันแต่พอดีพองาห พระศาสดา ได้ทรงบัญญิตสิกขาบทเนื่องด้วยการคบภิกษุณี!ว้หลายมาตรา ก็ เพื่อจะได้ตั้งอยู่ไประมาณที่เห่มาะสม ๕.บฺ!ณฑาะก์นั้น หมายเอาบุรุษที่เขาตอนเสียแล้ว ในประเทศ จันเรืยกว่าขันที พวกบณเฑาะกันี้เป็นที่สวาทในหมู่บุรุษ จึงเป็นที่ รังเกียจของพวกภิกษุ พึงเห็นในสิกขาบทลังฆาทีเสสเนื่องด้วยหญิง จัดบัณเฑาะทเป็นรัตถุแห่งถุลลัจจัยในลำดับรองหญิงลงมา ภิกษุผู้ คบหาสนิทสนมกับบัณเฑาะก์ ย่อมเป็นที่รังเกียจของสหธรร้ม่กด้วย กัน่ในทางเล่นสวาท ๖. ร้านสุรานั้น หมายเอาที่ขายสุรา แม้โรงที่กลั่นสุรากนิบ เข้าในชื่อนี้ ภิกษุเข้าไปในร้านสุรา เขาคงเข้าใจว่ามิความ่ด้อุงการ ดื่มิ อันการดื่มสุราย่อมเป็นอุปกิเลสคือมลทีนขอ่งสม่ณะ ย่อมจะ เป็นที่รั3เกียจของผู้ได้เห็นหรือได้รน ร้าน'ผิน โรงล่นอันเป็นของเกิด ขึ้นในภายหลังสงเค่ราะห็เข้าในสถานนี้ จัดเป็นอโคจรของภิกษุ ภิกษุผู้ไปสู่บุคคสก็ดี สถานก็ดี ดังกล่าวแล้ว ด้วยอาการไม่ ดีไม่งาม เป็นที่น่ารังเกิยจ ได้ชื่อว่า โคจรวปนฺโน แปลว่ามิโคจร วิบต ภิกษุผู้เว้นอโคจร ๖ นี้ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือก บุคคล เลือกสํถานอันสมควรไปเป็นกิจจะลักษณะในเวลาอันควรไมไป

www.kalyanamitra.org พรํ่าเพรื่อกลับในเวลา ^ระพฤตตนไมโห้เป็นที่รังเกียจของสหธรรมิก เพราะการไปเที่ยว ไดชื่อว่า โคจรฺสมฺปนฺโน แปลว่าผู้ถึงพร้อมด้วยโคจร เป็นหลักคู่ลับมารยาท ในสีลนิทเทส รฺวมเรียกว่า อาจารโคจรสมฺปนุโน ผู้ถงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เป็นคู่ลับคุ่ณบทว่า สิลสมฺปนุโน ผู้ถงพร้อมด้วยศีล ภกษผู้ถึง่พร้อม.ด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยมารยาท และโคจร ย่อมประดับพระศาสนาให้ร่งฺเรือง ลัณฑ์ที่ ๒๒ ๑. มหาปเทศ๔คืออะไร บอกมาให้ครบ? ตอบ มหาปเทส ๔ คือ %สิ่งใดไม่ได้ทรฺงห้ามไว้ว่า ไม่ควรแด่เข้าลันกีบสิ่งที่ไม่ควร สิ่ง นั้นไม่ควร ๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่า ไม่คฺวุร แด่เข้าลันลันสิ่งที่ควร ขัดลัน ลับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร ,; . .. . ๓. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาติไว้ว่า ควร แด่เข้าลันลับสิ่งที่ไมควร ขัดลันลับสิ่งที่ควร.สิ่งนั้นไม่ควร ๔. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาต่ไว้ว่า ควร แด่เข้าลันลันสิ่งฺที่ควร ขัด ลันลับที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร ๒. มหาปเทสข้อที่ ๒ มิความสำดัญฺในพระวินัยอย่างไร? ตอบ มหาปเทสข้อที่ ๒ มิความสำดัญคือ ภิกษเข้าใจดีแล้ว อาจ ปฏิบติดนพอเหมาะในเมื่อได้พบพัสดุและกิจการต่าง ๆ อยู่รอบข้าง แต่ฉนได้เพราะอะไร? จงตอบให้มิหลัก (£๓๙

www.kalyanamitra.org ๑อบ แม้มิได้ทรงอนุญาตโดเพฺใหฺภิก นได้^ .นาตาลสดเป็นขอ่งมีรสหวาฬาเร็จประ!]ซ่นเชณดืยากบรสหวาน แห่งอ้อย ชื่อว่าเป็นของเข้ากนกบรสหว่านแห่งอ้อยดงมีรฺะบุไว้ใน ผห่าปเทส ๔ ข้อว่าสิงใดไฝได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แตเข้าก้นกบ . • สิ่งเป็นก้ป็ปิยะ ขดก้นต่อสิ่งเป็นอกัปป็ยะ สิ่งนนควร ๔.พระพุทธานุญาตฟ้เศษ^คืออะไรบ้าง ? ตอบ พระพุทธานุญาตพิเศษ คือ ๑. ทรงอนุญาตเฉฬาะอ่าพาธฺ ๒. ทรงอนุญาตเฉพาะบุคคล ๓.ทรงอนุญาตเฉพาะก้าล ๔. ทรงอนุญาติเฉพาะถิ่น ๔.อนุญาตเฉพาะยา ': ๙.ภิกนุคะฉันสิฬด ด้องรบประเดนต่อนฺมีกรณืยยกเว้นเป็นพเศษ อะไร บ้างที่ไฝดอ่งร้บประเดนต่อนก้ฉันได้ ตอบ ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูก่งู่กัด ไห่ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถา แสะดินได้ ๖.ในบาลีจำแนกวิบตของภิกษุไว้กึ่อ่ย่าง อ่ะไ^าง่? ติอบวบ้ตมี๔ คือ ๑. ลีลวิบต ความเลียแห่งศีล ๒. อาจารวิบต ความเสยมารยาท่ ๓. ทิ^บต ความเห่นผิดธร์รมวินย ๔; อาชื่ว่วิบต ความเลียแห่งการเลี้ยงชีพฯ\" i ๗. สมมตขอ่ง่ภิกษุเนทางพ^นยมีเท ? ตอบ สมฟ้ดิของพระภิกษุในทางพระว้นย มี ๔ (£<£0

www.kalyanamitra.org ๑. สิลส่มบ้ติ ๒. อาจารสมบต ๓. ทิฏฐิสมบติ ๔. อารวสมป๋ต ๘.ในวิบด ๔ ภิกษุประพฤตเช่นไร จดเป็นสีลวิบด? ดอบ สีลวิบด ความเสืยหายแห่งศีล ท่านจัดเอาอาการต้องอาบด ปาราชิก หรือสังฆาทิเสสอันเป็นอาบดหนัก ๙.อาจารวิบด คืออะไร? ดอบ อาจารวิบ้ต คือครามเสืย์มรร่ยำห ฑานจัดฺเอาการต้องลหุกาบติ ตั้งแต่ถุลสัจจัยลงมาจนถึงทุพภาสิด ๑๐. อาชิววิบด คืออะไร? ดอบ อาชิววิบติ คือความเสิยหายแห่งการเลยงซีพ ท่านจัดเอาการ ต้องอาบดบางอย่างที่ต้องเพรา«เหดนี้ ๑๑i อโคจรคืออะไร ท่านแสดงไวกี่ป^เภท นอกมาไห้ครบ? ดอบ อโคจรคือ บุคสลก็ดี สัถานที่ก็ดี อันภิกษุไมควรไปสู่ มี ๖ ประเภท-คือ . ^ ๑. ห^mพฬยา' ๒. หญิงห ๓.สาวุ่mอ ^ ๔;^กษุเ3- - ๔. บัณฒาะก์ ๖. ร้านสุรา ๑๒.ภิกษุผู้ได้ชิอัวิาโคจรสัมนันโน ดู้ถึง่พ^มด้วยโคุจรเพราะปฏิปติ อย่างไร? ; ดอบุ เพราะเว้นอโค%\"๖^จะไปหาใครหรือ่จะไปทิไหน เลือกบุคคล เลือกสลาแอ้นสมควรไปเป็นกิจจะสกบลส์!#ว่ลาอุ้นพ^ไม่ไปพรำเพรือ กสับในเวลา ประพฤติตนไม่ให้เป็นทิรังเกียจของเพือนสหธรรมมีก เพราะการไปเที่ยว

www.kalyanamitra.org ธรรมวิภาค A arcETb

www.kalyanamitra.org ทกะ คือหมวด ๒ อรยบลคล ๒ ๑.พระเสขะ พระผู้ย้งค้อ^สิกษๆ ๒.พระอเสขะ พระผู้ไม่ต้องสิกษๆ อรยบุคคล ไต้แก่ บุคคลผู้ประเสริฐสุด €งปราศจากุกิเลสที่ เป็นข้าศึก โดยย่อมี ๒ จำ พวก คือ ๑๙ พระเสขะ พระผู้ย่งต้อง่ศึกษฺา หัมายถึง ผู้ศึกษฺาในเรื่อง ไต่รสิกขา คือ สิลสิกขา จิดดสิกขา และป๋ญญาสิทขาหรือมรรคมี องค์ ๘ มี ๗ จำ พวก คือ พระโสดาป๋ดดิมรรค ๑ พระโสดาป๋ตคืผล ๑ พระสกทาคามีมรรค ๑ พระสกทาคามีผล ๑ พระอนาคามีมรรค ๑ พระอนาคามีผล๑พระอรหัดมรรค๑ ๒. พระอเสขฺะ พระผู้ไม่ต้องศึกชา คือ ท่านทำกิจเพื่อตัว เองจบแล้ว ได้แก่พระอรหัดผล เมื่อกำจัดตัวกิเลสทั้ง ๔ ให้หมดสิ้น ไปจากจิตใจโดยไม่กำเริบอีกต่อไปแล้ว ก็เป็นอันจบสิ้น ท่านจึงไต่ ชื่อว่าอเสขะ พระผู้ไม่ด้องศึกษาอีกต่อไป <£a:a\\

www.kalyanamitra.org พระโสดาฟ้โนละสังโยชน์ ได้ ๓ อย่าง คือ ๑. สักกายฺทิฏฐิ ความเห็นเปีนเหตุให้ถือตัวถือตน ๒.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยไฝแน์Iจตับปฏิปทาที่เราliฏิบสิอยู่ ๓. สีสัพพตปรามาส ควๅมถือมั่นในศีลพรตโดยสักว่าทำ ตาม ๆ กันไปอย่างงมงาย พระส่กุ่ทำคามีล่ะสังโยชน์!ด้ ๓ อย่างเหมือนกับพระโสดาบัน และลดความรุนแรงของ ราคะโทสะ โมหะ ให้เบาบางลงได้ พระอนาคามีสามารถละสังโยชน์เบื้องตํ่าได้ครบทั้ง ii? ฃ้อที่ เรียกว่า โอรัมภาคืยสังโยชน์ คือ ■สกกPห็ฏฐิ วิจิกิจฉา (สีสัพพต- ปรามาส :• • • ไ:^ V กามราคะ คือ ความกำหนัดในกาม ติดใจรสของฺกามคุณ ปฏิฆะ คือ ความกระทํบ์กํร่ะทงฺทางใจ ทํรีอ ความหงุดหงิด พระอรหันต์ ละสังโยชน์เบื้องสูงได้ ที่เรียกว่าฮุทสัมภาคืยสัง โยชน์ ๕คือ : ๑. รูปราคะr ความกำหนัดฐนดีในรูปฐรรมตาง :ๆ - - ' 's ๒, ■อรูปราคะ ความกำหนดในสิงที่เป็นนามธรรม เย่น ความสุ่ข ความกิมเอิบใจ เป็นด้น ^. - ๓. มานะ ความถืฮตัว - ๕; อุทรจจะ ความฟิงซ่านรำคาอุ/!จ ติฝklเรื่อย ต'ุ หาสาระ ๔. อวิชชา ความไม่ร!นอรียสัจ ๕ <r(sr<r

www.kalyanamitra.org ก้มม้^น๒^ n ^ ' i i .- ๑. สมถก้มมฏฐาน ก้มมัฏฐๆนฟ้นอุบายสงบใจ - พฺ^ จิป๋§«สนาก้มม^น ก้๒พํเ)ฐ่านliน่อุบาย่ฬองฟ้ฌญ่า ' ก้มมฏ^น ฟมายถ^ อุบายเป็นเฬ่องอบรมจิตให้สงบ สืย์กวา ภาวนำก้!ด มี่ ๒'วธี • - s ๑^ สนํถก้มม^นํ 1%ฟ้|1^14เป็นอุ่บายสิงบใจ ห้มซชสิง่ การรกใจ่เห้ฟบ ผ่องIสฟึนํก่ารทาศวาม่เพียรทาง ส เพส่งประ^นวรฟ้เฬ ๔' ^ มี่ว^ก ๔๐ วธ คือ กสิน ๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหา- £รบเกูล^ฌา ๑ จตุธาตุววฏฐาน ๑ อัป็ปมญญา ๔ อรูป ๔แสะ คุณสมบตจะได้คือ บรร่ลุวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ปฏสมภิทา ๔ ๒. วิป๋'ส่สนาก้ม่มัฏฐาน ก้ม่มัฏฐานเป็นอุบายเรืองก้อุ!ญา หมาย่ถึง การรกใจให้เภิตก้ญญา^ใ-รป๋ญฌาพิจารณาเป็นหลัก(ภา^นา- มยป๋ญญา)ได้แก่การพิจารณาขนํ|4^ร^.อฺายูตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ให้พิจารณาตามสภาวธรรมของสามัญญลกษณะ คือ ไม่เที่ยง .เป็นชุก่ฃ เป็นอนัตตา ^ะอุฤเสุมพจ^!ใตุ้,ที่อบรรลุพระอรหันตเป็น กาม ๒ ๑. กิเลสกาม กิเลสเป็นเหตุใคร่ ๒.วตถุกาม์ วั๙ถุ่อินนำใคร่

www.kalyanamitra.org กาม หมายถึง ความรักใคร่ ความพอใจ หรือความต้องการ มี ๒ อย่าง ๑. กิเลสกาม ณลสฟืนเหตุใคร่ หมายถึง ณิลสที่อยูในจิตขอ่ง บุคคลเมื่อถูกกิเลสครอบงำแล้วย่อมตกไปสู่อำนาจกิเลส ทำ ให้เกิด ความดิ้นรนอฺยากได เซ่น ราคะ ความกำหนัดยินดี โลภะ ความโลภ อิจฉา ความอยากไต้ อิสสา ความรืษยา อารติ ความไม่ยินดี เปีนต้น กิเลสกามจัดฟืนมาร เพราะฟืนต้นเหตุล้างผลาญความดี ทำ ให้ฟ็ยดน ๒. รัตชุกาม รัตชุอันน่าใคร่ หมายถึง สิงที่น่าใคร่ ชอบใจ ไต้แก กามคุณ ๔ไต้แก่ รูป เสืยง กลิ่น รส โผฏเพพะ สิ่งเหลานี้เป็น ติวยุยงยั่วยุให้เกิดความรืกใคร่ช่อบใจทำให้ลุ่มหลงไปตามอำนาจของสิ่ง ไม่ดี รัตชุกามจัดเป็นปวงแหงมาร เพราะฟืนเค่รี่องผกจิตของผู้ไม่! เทำทันให้ดีดในกามคุณ ทิรเ to ๑. อัสสตทิฏเ ความเห็นว่าเที่ยง ๒. อุจเฉททฏฐ คว่ามเห็น่ว่าขาดสูญ ทฎฐแปลว่า คิวามเห็น เป็นคากลาง ๆ ไม่ดีไม่ชว่ ล้า ต้องการให้ฝ่ายดี ใส่คำว่า สัมมาทิฏเ แปลว่า ความเห็นชอบ ฝ่ายชว ใส่คำว่า มิจฉาทิฏฐ แปลว่าความเห็นผิด ล้าใต้คำว่าทิฏฐเฉย ๆ มัก หมายถึงมิจฉาทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึงสัทธินอกพระพุทธศาสนามี ๒ ประการ คือ ๑. สัสสตทิฏเ ความเห็นว่าเที่ยง เห็นว่า สรรพสิ่งไม่มีความ เปสิ่ยนแปลง เป็นของเที่ยง แปงออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ (ฮ๙๖

www.kalyanamitra.org ๑. เห็นวาคนเราตายจๆกอะไร จะต้องไปเกิดเ!!นอย่างนน ไฝเปลี่ยนแปลง ๒. เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลง เช่นคนจนตายไป , อาจเกิด เปีนคนรวยไต้ เป็นต้น เป็นอย่างนั้นต่อไป ไฝมีการเปลี่ยนแปลง ๒. อุจเฉททิฏเ ความเห็นว่าขาดสูญ แปงออกเป็น ๒ อย่าง คือ ๑. เห็นว่า ชีวิตหลังจากแตกกายทำลายขันธ์แล้ว หรือสรรพ ลงที่มีอยู่ล้วนต้องสูญหายไปทั้งสิ้น ๒. เห็นว่า\"สูญบางอย่างแต่บางอย่างไฝสูญ เทสนว to : ๑. ปุคคลารษฐาน มีบุคคลเป็นที่ตง to.ธัมมาธิษฐาน มีธรรมเป็นที่ตั้ง .เทสฺนา แปลว่า การแสดง หมายถึงการแสดงธรรมซี้แจงให้ รู้จักดี รู้จักชั่ว ชั่งหมายถึงหลักการเทศน๒ อย่าง คือ ๑. ปุคคลาธษฐาน ไต้แก่ การแสดงธรรมหรือบรรยายธรรม หมายถึง การแสดงในลักษณะที่ยกตัวอย่างบุคคล นิทาน เรื่องราว ต่ทง ๆขึ้นมาแสดงแก่ผู้ฟังดุลอุดถึงการแสดงประ.วิสิของบุคคลต่าง ๆ นี้ชีอว่า ปุคคลาธิษฐาน'มีบุคคลเป็นที่ตั้ง (zrorey

www.kalyanamitra.org ๒/ ธัมมทธิ!ดูๆน ไ&ก่ การอธิบายเแจ ^หลกธรรม ชี้ ลักษณะ สุภาวะ กิจ หน้าที่ของธรรมนั้น่ ๆ ตลอดถึงเหตุที่ฟ้มiสจัย่ ให้เกิดธรรม่เหลานั้น่ เซ่น อธิบายลักษณะของหิริความละอายต่อบาป ว่า ได้แก่ อาการละอาย ขยะแขยง รังเกียจต่อบาปอกศัลต่าง ๆ ไม ยอมกระทำบาปอสุศฺล นี้ชื่อว่า ธัมมาธิษฐิๅนฺ มีธรรมเป็นที่ตั้ง ธรรม ๒ ' ๑.ฬูธิรรม่สภาว่ะเร^ ๒. อรูปธรรม สุภาวะไม่ใซ่รูป ธรรม คือ สภาวะที่เป็นอยู่ มีฮยู่จริง มี ๒ อยาง คือ?' s ^ ๑. รูปธรรม สภาว่ะ!รนรูป สภาวะเหลาใดที่บุศัคลรู้ด้ว่ยดา หู จมูก ลิ้น กาย หรือที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐ้พพะ หรือสิ่งที่ เลิ่อมสลายไปเพราะเหตุปัจจัยหรือรูปขันธ์ ในขันธ์ ๔ สภาวะเหลาชี้ซือ ว่า รูปธรรม คือ สภาวะที่ฟ็นรูปั r - ๒. อรูปธรรม สภาวะไ!flซ่รูป ^วนที่เป็นนามนั้น เซ่น ความ รัก เมตตา กรุณา มุทิตา แมแต่มรรค ผล นิพพาน หรือส่วนทีเป็น นามขันธ์ ในขันธ์^๙ ได้แก่>.เวทนา- ลั^า ลังขาร'และเญญาณ จัด่ เป็นอรปธรรม■สภาวะMซ่รปv: ท f \" ฯ ::' f i? / ธfmh ๑. ลั3ฃตธรพ่ ธรรมsfeป็จจัอปรุง ๒. อลังขดธรรม ธรรมอนปัจจัยไม่ได้ปรง

www.kalyanamitra.org ๑. สังฃตธรรม ธรรมอ้นป็จจ้ยปรุง ได้แก่ สิ่งที่เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรุม เกิดจากเหตุป๋จจัยไฟ่สามารถรักษาสภาพเดิมของตน ไว้ได้ ตองแปรปรวนอยู่ทุกขณะ รูปธรรมก็ดิ นามธรรมกิดิ โลกิอ- ธรรมก็ดี ล้วนตกอยู่ในคติแห่งธรรมดา คือ มีความเกิดในเบื้องด้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง และมีความสลายไปในที่สุด ๒* ออ้งขดธรรม ธรรมอ้นป็จเยไม่ได้ปรุง ได้แก่ มรรค่ ผล นิพพาน จดเป็นโลกุตตระ คือ ธรรมอ้นป๋จจัยไม่ได้ปรุงแต่ง เมื่อ เป็นเชนนี้ จึงเป็นสภาวะที่เที่ยง่แท เป็นบรมสุข ว่างจากตัวตน จาก กิเลสตัณหา เพราะเหตุนั้น ห่านจึงแสดงว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ธรรม to ๑.โลกิยธรรม ธรรมอ้นเป็นวิสัยซองโล์ก โลกุตรธรรม ธรรมอ้นพพสัยของโลก ๑.โลกิยธรรม ธรรมสันเป็นวิสัยของโลก ได้แก่ ธรรมหืเป็น กุศล อกุศล และกลาง ๆ คือไม่เป็นกุศลและอกุศล สันเป็นเหตุให้ เกิดบุญบาป ทำ ให้ผู้ประพฤติผู้กระทาประสบความทุกข ความสุข ในชั้นของโลกผู้ที่ประพฤติกุศลธรรมประเภฑ่นี้ ยังด้องบงเกิดใน่ภพ ต่าง ๆไปโดยลาตับจนถึงพรหมโลกชื่อว่าเป็นโลกิยธรรุมทังหมด ๒. โลกุตรธรรม ธรรมสันพ้นวิสัยของชาวโลก ได้แก่ ธรรม ๙ ประการ แบ่งเป็นลู่ได้ ๔ ลู่ คือ ลู่ฑี ๑ โสดาป๋ตติมรรค โสดา- ปัตติผล ลู่ที่ ๒ สกทาคามีมรรค สกทาคามีผล ลู่ที่ ๓ อนาคามี- มรรค อนาคามีผล ลู่ที่ ๔ อรทัดมรรค อรทัดผล รวมนิพพานเข้า อีกหนึ่ง เป็น ๙ เรียกว่า•โลกุตรธรรม <£<£๙