Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว 4.3 ผนวก ก ถึง ข(1)

(4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว 4.3 ผนวก ก ถึง ข(1)

Published by agenda.ebook, 2020-09-03 06:03:05

Description: (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว 4.3 ผนวก ก ถึง ข(1) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 29 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันที่ 10 กันยายน 2563

Search

Read the Text Version

เรอื่ งทคี่ ณะกรรมาธิการ พจิ ารณาเสร็จแลว้ คร้งั ท่ี 29 (สมยั สามญั ประจาปคี รั้งท่ีหน่ึง) วันที่ 10 กนั ยายน 2563 ระเบียบวาระท่ี 4.3 ภาคผนวก ก ถึง ข (๑)









สารบญั หนา้ ๑. ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ในคณะอนุกรรมาธิการ ๑ ๒. ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ ๑ ๓. หน่วยงานทคี่ ณะอนุกรรมาธิการเชิญมาชแ้ี จง ๒ ๔. การดาเนนิ การของคณะอนกุ รรมาธกิ าร ๓ ๕. กรอบการพิจารณาศกึ ษาของคณะอนุกรรมาธิการ ๓ ๖. ผลการพิจารณาศึกษารัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ๔ และพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญ สว่ นท่ี ๑ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑ บททัว่ ไป และหมวด ๒ พระมหากษตั ริย์ ๕ ส่วนที่ ๒ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๓ สิทธแิ ละเสรภี าพของปวงชนชาวไทย ๖ บทสรปุ ๑๖ ส่วนที่ ๓ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ๒๕ บทสรปุ ๒๗ ส่วนที่ ๔ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๕ หน้าท่ขี องรฐั ๓๐ บทสรุป ๓๖ ส่วนที่ ๕ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรฐั ๓๙ บทสรปุ ๔๓ ส่วนที่ ๖ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๗ รัฐสภา ๔๗ บทสรปุ ๖๐ ส่วนท่ี ๗ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๘ คณะรฐั มนตรี ๖๓ บทสรปุ ๖๘ สว่ นที่ ๘ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๙ การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ๗๑ บทสรุป ๗๔ ส่วนที่ ๙ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๑๐ ศาล ๗๖ บทสรปุ ๘๓ สว่ นที่ ๑๐ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๑๑ ศาลรฐั ธรรมนญู ๘๕ บทสรปุ ๘๘ ส่วนท่ี ๑๑ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๑๒ องคก์ รอิสระ ๙๑ บทสรุป ๙๔ สว่ นท่ี ๑๒ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑๓ องค์กรอยั การ ๙๗

สารบญั หนา้ ส่วนท่ี ๑๓ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑๔ การปกครองส่วนท้องถ่นิ ๙๘ บทสรุป ๑๐๒ ๑๐๕ สว่ นท่ี ๑๔ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑๕ การแกไ้ ขเพิ่มเตมิ รัฐธรรมนญู ๑๑๗ บทสรปุ ๑๒๐ ๑๓๒ สว่ นที่ ๑๕ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑๖ การปฏริ ูปประเทศ ๑๓๕ บทสรปุ ๑๔๐ ๑๔๓ สว่ นท่ี ๑๖ ผลการพิจารณาศึกษาบทเฉพาะกาล บทสรปุ ๑๕๐ ๑๕๕ ส่วนที่ ๑๗ ผลการพิจารณาศึกษาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าดว้ ยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑๖๔ บทสรุป ๑๖๙ ส่วนท่ี ๑๘ ผลการพจิ ารณาศึกษาพระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญ ๑๗๖ วา่ ดว้ ยการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๘๑ บทสรปุ ๑๘๔ ส่วนท่ี ๑๙ ผลการพจิ ารณาศึกษาพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๐ บทสรปุ สว่ นท่ี ๒๐ ผลการพจิ ารณาศึกษาพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการไดม้ าซ่ึงสมาชกิ วุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๑ บทสรปุ ภาคผนวก - รา่ งแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (รายมาตรา ๑๒ มาตรา) เสนอโดย นายไพบูลย์ นติ ติ ะวนั ประธานคณะอนุกรรมาธิการ - รา่ งแกไ้ ขเพิ่มเตมิ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (มาตรา ๒๕๖) เสนอโดย รองศาสตราจารย์โภคนิ พลกลุ ทป่ี รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ - รา่ งแกไ้ ขเพ่ิมเติมรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา ๒๗๒) เสนอโดย รองศาสตราจารย์โภคนิ พลกลุ ทปี่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ - ร่างแกไ้ ขเพิ่มเติมรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา ๒๕๖) เสนอโดย นายประยุทธ์ ศริ พิ านิชย์ ทปี่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ

รายงานของคณะอนกุ รรมาธิการศึกษาวเิ คราะห์บทบัญญัตริ ัฐธรรมนญู พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น ในคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั พิจารณาศกึ ษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพมิ่ เติม รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ----------------------------- ตามท่ีท่ปี ระชมุ คณะกรรมาธิการวสิ ามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ คร้ังท่ี ๒ เมื่อวันศุกร์ท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ ได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น โดยมีหน้าท่ีและอานาจศึกษาและวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญ และกฎหมายอ่ืน เพื่อประกอบการพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไข เพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ น้ัน บัดนี้ คณะอนุกรรมาธกิ ารไดด้ าเนนิ การแล้ว ปรากฏผลดังนี้ ๑. ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ในคณะอนกุ รรมาธกิ าร (๑) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการ (๒) รองศาสตราจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ (๓) นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ (๔) นายสิระ เจนจาคะ เป็นโฆษกคณะอนุกรรมาธิการ (๕) นายภราดร ปริศนานันทกุล เป็นโฆษกคณะอนุกรรมาธิการ (๖) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นโฆษกคณะอนุกรรมาธิการ (๗) รองศาสตราจารย์รงค์ บุญสวยขวัญ เป็นอนุกรรมาธิการ (๘) นายทศพล เพ็งส้ม เป็นอนุกรรมาธิการ (๙) นายจตุพร เจริญเช้ือ เป็นอนุกรรมาธิการ (๑๐) นายนิกร จานง เป็นเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ ๒. ทปี่ รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ (๑) นายประยทุ ธ์ ศิริพานชิ ย์ (๒) นายเทพไท เสนพงศ์ (๓) รองศาสตราจารย์โภคนิ พลกลุ (๔) นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรกั ษ์ (๕) ผูช้ ่วยศาสตราจารยบ์ ณั ฑิต จนั ทรโ์ รจนกิจ (๖) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา (๗) นายกฤช เออื้ วงศ์ (๘) นายชานาญ จันทร์เรอื ง (๙) นายศุภชัย ใจสมุทร

๒ (๑๐) รองศาสตราจารยช์ ศู ักด์ิ ศิรนิ ลิ (๑๑) ผ้ชู ่วยศาสตราจารยว์ ชิ ชกุ ร นาคธน (๑๒) ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ รอ้ ยตารวจเอก วิเชียร ตนั ศริ ิคงคล (๑๓) นางสาวทิพานนั ศริ ชิ นะ (๑๔) นายพนัส ทัศนียานนท์ (๑๕) นายนิติธร ล้าเหลอื (๑๖) นายเสรี เยาวะ (๑๗) นายสรุ พัศ ประภาพร (๑๘) รองศาสตราจารย์วีระศกั ดิ์ เครอื เทพ (๑๙) นายยืนหยดั ใจสมทุ ร (๒๐) นายคมสัน โพธิ์คง (๒๑) นางสาวศริ ิวัลยา คชาธาร (๒๒) รองศาสตราจารยย์ ุทธพร อิสรชยั (๒๓) นางสาวชมพูนุท ต้ังถาวร (๒๔) นายสหัสชัย อนันตเมฆ ๓. หนว่ ยงานทีค่ ณะอนกุ รรมาธิการเชิญมาชแี้ จง - สานกั งานคณะกรรมการการเลือกตงั้ (๑) นายแสวง บญุ มี รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตง้ั (๒) นายเมธา ศิราพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลอื กตงั้ (๓) นายสมพล พรผล ผอู้ านวยการสานักกิจการพรรคการเมอื ง (๔) ร้อยตารวจเอก ชนนิ ทร์ นอ้ ยเลก็ ผ้อู านวยการสานกั กฎหมายและคดี (๕) นายกิตติพล พยคั ฆเดชาพนั รองผอู้ านวยการสานกั กิจการพรรคการเมือง (๖) นางสาวสงา่ ทาทอง รองผู้อานวยการสานกั บรหิ ารการเลอื กตั้ง และการออกเสียงประชามติ ๒ (๗) นายอมร รชั ตงั กูร ผอู้ านวยการฝา่ ยระบบฐานข้อมลู สมาชกิ พรรคการเมือง สานกั กจิ การพรรคการเมือง (๘) นายโชคดี ดว้ งแปน้ ผู้อานวยการฝ่ายมาตรการทางปกครอง สานักกิจการพรรคการเมอื ง (๙) นายสุรเดช สขุ สลุ าภ พนักงานการเลอื กตง้ั ชานาญการ (๑๐) นายกิตตกิ ร บูรณสิทธิเวช พนักงานสบื สวนและไตส่ วนปฏบิ ตั กิ าร (๑๑) นายดริ ายุ จันทรค์ า นติ กิ รปฏิบัตกิ าร

๓ ๔. การดาเนนิ การของคณะอนุกรรมาธกิ าร คณะอนุกรรมาธิการได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู และกฎหมายอน่ื จานวน ๑๘ คร้งั ครั้งที่ ๑ วนั พธุ ท่ี ๒๒ มกราคม ๒๕๖๓ ครง้ั ที่ ๒ วันพุธท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ ครัง้ ที่ ๓ วันพธุ ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๔ วันพธุ ท่ี ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๕ วนั พุธท่ี ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๖ วันพุธที่ ๔ มนี าคม ๒๕๖๓ ครงั้ ที่ ๗ วันพุธท่ี ๑๑ มนี าคม ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๘ วนั พธุ ท่ี ๑๐ มิถนุ ายน ๒๕๖๓ คร้ังที่ ๙ วันพธุ ท่ี ๑๗ มถิ นุ ายน ๒๕๖๓ ครงั้ ท่ี ๑๐ วันพุธที่ ๒๔ มถิ ุนายน ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๑๑ วนั พุธท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๑๒ วันพุธท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครัง้ ท่ี ๑๓ วนั ศุกร์ท่ี ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๑๔ วันพธุ ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๑๕ วนั พธุ ท่ี ๕ สงิ หาคม ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๑๖ วันศกุ รท์ ่ี ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๑๗ วันพุธที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๑๘ วันพุธที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ๕. กรอบการพจิ ารณาศึกษาของคณะอนุกรรมาธกิ าร คณะอนุกรรมาธิการกาหนดกรอบการพิจารณาศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญ และกฎหมายอ่นื โดยดาเนินการประมวลปัญหาทีเ่ กดิ ขึน้ จากการบงั คบั ใช้ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนญู และกฎหมายอ่ืน การศึกษาวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบที่จะเกิดข้ึนจากการบังคับใช้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอ่ืน นอกจากน้ัน ในกรณีท่ีมีความจาเป็นที่ต้องมีการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น คณะอนุกรรมาธิการจะนาเสนอหลักการท่ีควรมีการแก้ไขเพิ่มเติม จากแหลง่ ขอ้ มูลดงั ต่อไปนี้ (๑) ญตั ติของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรท่เี สนอใหม้ ีการตั้งคณะกรรมาธกิ าร ทัง้ ๖ ฉบบั (๒) ประเดน็ การอภิปรายของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรในช้นั การพิจารณาญัตติ (๓) ประเด็นการอภิปรายของที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพม่ิ เตมิ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (๔) ประเด็นการอภิปรายของที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติ รัฐธรรมนญู พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ และกฎหมายอน่ื

๔ ๖. ผลการพิจารณาศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู คณะอนุกรรมาธิการได้ดาเนินการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น โดยผลการพิจารณาศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ และพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญ จานวน ๔ ฉบบั โดยแบง่ ออกเป็น ๒๐ สว่ น ดังน้ี สว่ นท่ี ๑ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑ บทท่ัวไป และหมวด ๒ พระมหากษตั รยิ ์ ส่วนท่ี ๒ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๓ สิทธิและเสรภี าพของปวงชนชาวไทย ส่วนท่ี ๓ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๔ หน้าท่ีของปวงชนชาวไทย สว่ นที่ ๔ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๕ หน้าทข่ี องรฐั ส่วนท่ี ๕ ผลการพจิ ารณาศกึ ษาหมวด ๖ แนวนโยบายแหง่ รัฐ ส่วนท่ี ๖ ผลการพิจารณาศกึ ษาหมวด ๗ รฐั สภา ส่วนท่ี ๗ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๘ คณะรัฐมนตรี สว่ นท่ี ๘ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๙ การขัดกนั แห่งผลประโยชน์ สว่ นท่ี ๙ ผลการพิจารณาศกึ ษาหมวด ๑๐ ศาล ส่วนท่ี ๑๐ ผลการพจิ ารณาศกึ ษาหมวด ๑๑ ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนท่ี ๑๑ ผลการพจิ ารณาศกึ ษาหมวด ๑๒ องคก์ รอิสระ สว่ นที่ ๑๒ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑๓ องค์กรอัยการ สว่ นที่ ๑๓ ผลการพจิ ารณาศึกษาหมวด ๑๔ การปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ส่วนท่ี ๑๔ ผลการพิจารณาศกึ ษาหมวด ๑๕ การแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ รฐั ธรรมนญู ส่วนท่ี ๑๕ ผลการพิจารณาศึกษาหมวด ๑๖ การปฏริ ูปประเทศ สว่ นท่ี ๑๖ ผลการพจิ ารณาศึกษาบทเฉพาะกาล ส่วนท่ี ๑๗ ผลการพิจารณาศึกษาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่วนท่ี ๑๘ ผลการพิจารณาศึกษาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑ ส่วนที่ ๑๙ ผลการพิจารณาศึกษาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการ การเลือกตัง้ พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่วนที่ ๒๐ ผลการพิจารณาศึกษาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มา ซง่ึ สมาชิกวฒุ สิ ภา พ.ศ. ๒๕๖๑

๕ สว่ นท่ี ๑ ผลการพิจารณาศกึ ษา หมวด ๑ บทท่วั ไป และหมวด ๒ พระมหากษตั ริย์ หมวด ๑ บทท่ัวไป คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในหมวด ๑ บทท่ัวไป เหน็ ว่ามคี วามเหมาะสมแล้ว หมวด ๒ พระมหากษตั ริย์ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ในหมวด ๒ พระมหากษัตรยิ ์ เห็นว่ามีความเหมาะสมแลว้

๖ ส่วนที่ ๒ ผลการพิจารณาศึกษา หมวด ๓ สทิ ธแิ ละเสรภี าพของปวงชนชาวไทย ท่ีประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้อภิปรายแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขเพ่ิมเติม รัฐธรรมนญู หมวด ๓ สทิ ธแิ ละเสรีภาพของปวงชนชาวไทย โดยมีสาระสาคัญ ดังน้ี ๑. ประเดน็ การพจิ ารณาบทบญั ญัตมิ าตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ ความเหน็ ของนายไพบลู ย์ นิตติ ะวัน ประธานคณะอนกุ รรมาธิการ เห็นว่าคงความในวรรคสองของมาตรา ๒๕ ความว่า “สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ หรือให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรา กฎหมายนั้นขึ้นใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ” เป็นการบญั ญัติให้ บุคคลหรือชมุ ชน ใช้สทิ ธิตามรฐั ธรรมนูญได้แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายขึ้น ซึ่งดกี ว่ารฐั ธรรมนูญ ฉบบั ก่อน ๆ ดังนน้ั เหน็ ว่าควรคงไว้ ความเหน็ ของนายนิกร จานง เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ บทบัญญัติในมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่งน้ัน มีการใช้ถ้อยคาที่ไม่เหมาะสม เน่ืองจากนาเรื่องความ มั่นคงของรัฐมาเก่ียวข้องกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จึงเสนอให้ตัดคาว่า “เป็นอันตรายต่อความมั่นคง ของรัฐ ความสงบเรียบร้อย” ออก เน่ืองจากอาจถูกนาไปตีความในลักษณะที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนได้ แต่ควรคงคาว่า “ศีลธรรมอันดี” ไว้ เน่ืองจากเป็นถ้อยคาที่ถูกกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ ซ่ึงจะทาให้บทบัญญัติในมาตรา ๒๕ วรรคหน่ึง บัญญัติวา่ “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากท่ีบัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะใน รฐั ธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมสี ิทธแิ ละเสรีภาพ ท่ีจะทาการน้ันได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าท่ีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่าน้ัน ไมก่ ระทบกระเทอื นต่อศีลธรรมอนั ดีของประชาชน และไมล่ ะเมดิ สทิ ธิหรือเสรภี าพของบคุ คลอ่ืน” ความเห็นของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นติ สิ ิริ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ เห็นด้วยกับการแก้ไขเพ่ิมเติมบทบัญญัติในมาตรา ๒๕ วรรคหน่ึง โดยให้ตัดถ้อยคาที่ไม่จาเป็น และอาจก่อให้เกิดปัญหาในการตีความออก และเสนอให้ตัดข้อความว่า “หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน” ออก เน่ืองจากอาจถูกนาไปตีความอย่างกว้างขวาง ซงึ่ ส่งผลกระทบต่อสทิ ธิและเสรภี าพของประชาชนได้ ซ่งึ จะทาใหบ้ ทบัญญตั ิในมาตรา ๒๕ วรรคหนง่ึ บัญญัติวา่ “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญ แล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่ น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ ที่จะทาการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าท่ีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้น ไม่กระทบกระเทอื นและไมล่ ะเมดิ สทิ ธิหรอื เสรภี าพของบุคคลอื่น” นอกจากนี้ เห็นว่าในเมื่อมาตรา ๒๕ วรรคหน่ึงบัญญัติข้ึนต้นว่า “...การใดที่มิได้ห้ามหรือจากัดไว้ ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอ่ืน บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพท่ีจะทาการนั้นได้และได้รับความคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญ” ดังนั้น หากต้องการจากัดสิทธิเสรีภาพในเร่ืองใด ก็ควรตรากฎหมายท่ีเกี่ยวกับเร่ืองน้ัน เป็นการเฉพาะ

๗ ความเห็นของนายยนื หยดั ใจสมทุ ร ทีป่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร เสนอให้ตัดถ้อยคาในมาตรา ๒๕ วรรคแรกออก กล่าวคือ ตัดข้อความว่า “หรือเป็นอันตราย ต่อความม่ันคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” เนื่องจากเป็นการใช้ถ้อยคา ที่ไม่จาเป็น ซึง่ จะทาให้บทบัญญตั ใิ นมาตรา ๒๕ วรรคหนงึ่ บญั ญตั ิวา่ “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะ ในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอ่ืน บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ ที่จะทาการน้ันได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้น ไม่กระทบกระเทือนและไม่ละเมิดสทิ ธหิ รือเสรีภาพของบคุ คลอนื่ ” ความเห็นของนายพนัส ทัศนยี านนท์ ทป่ี รึกษาคณะอนุกรรมาธกิ าร เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา ๒๕ และเสนอให้ตัดความว่า “ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เช่นว่าน้ันไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอ่ืน” ในมาตรา ๒๕ ออก เนื่องจากหากคงความดังกล่าวไว้ ก็อาจมีผลทาให้ข้อยกเว้นเปลี่ยนเป็นหลักกฎหมาย ซ่ึงสิทธิและเสรีภาพท่ีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละเร่ือง มีความตา่ งกันบางเรื่องอาจจากดั การใช้สิทธแิ ละเสรภี าพได้ด้วยเหตผุ ลบางประการ เช่น เพือ่ ความม่นั คงแหง่ รัฐ หรือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่สิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนในบางเรื่อง เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ควรมีข้อจากัดหรือข้อยกเว้นในการใช้สิทธิเสรีภาพนนั้ ได้ ซึ่งจะทาให้ บทบญั ญัติในมาตรา ๒๕ วรรคหนึง่ บญั ญตั ิว่า “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากท่ีบัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะ ในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดท่ีมิได้ห้ามหรือจากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและ เสรีภาพท่ีจะทาการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เช่นวา่ นน้ั ไม่กระทบกระเทอื นและไม่ละเมดิ สทิ ธหิ รอื เสรีภาพของบุคคลอ่นื ” ความเหน็ ของนายคมสนั โพธ์คิ ง ที่ปรึกษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร บทบัญญัติในมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นการนาหลักการของ มาตรา ๒๘ และ มาตรา ๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ ตามลาดับ มาบัญญัติไว้ แต่รูปแบบในการบัญญัติเน้ือหาในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีความแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ กล่าวคือ บทบัญญัติในมาตรา ๒๕ มีลักษณะการบัญญัติ เหมือนการรับรองสิทธิเสรีภาพในกฎหมายเอกชน ซึ่งส่ือความหมายไปในทางท่ีว่าสิทธิเสรีภพของประชาชน จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีกฎหมายรับรองเท่าน้ัน ท้ังท่ีสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์เป็นสิทธิข้ันพ้ืนฐานตามธรรมชาติท่ีมีอยู่ ก่อนท่ีจะมีรัฐธรรมนูญ ในขณะที่การบัญญัติในมาตรา ๒๘ และ มาตรา ๒๙ ของรัฐธรรมนูญฉบับก่อนน้ันจะมีการ กาหนดไว้อย่างชัดเจนกว่าด้วย ดังน้ัน จึงควรปรับปรุงบทบัญญัติในมาตรา ๒๕ และ มาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญ ฉบับปจั จุบันใหม้ เี น้ือหาเชน่ เดยี วกับรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ คือ “การจากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลท่ีรัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทามิได้เว้นแต่โดยอาศัย อานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญน้ีกาหนดไว้และเท่าท่ีจาเป็น และจะ กระทบกระเทือนสาระสาคญั แหง่ สทิ ธิและเสรภี าพนัน้ มิได้

๘ กฎหมายตามวรรคหนึง่ ต้องมีผลใช้บงั คับเป็นการท่ัวไป และไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแกก่ รณีใดกรณี หน่ึงหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ท้ังต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญท่ีให้อานาจในการตรา กฎหมายนนั้ ด้วย บทบัญญัติในวรรคหนึ่งและวรรคสองให้นามาใช้บังคับกับกฎท่ีออกโดยอาศัยอานาจ ตามบทบญั ญัติแห่งกฎหมายดว้ ยโดยอนโุ ลม” ๒. ประเดน็ การพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๒๗ วรรคสอง ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิตสิ ริ ิ รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร ความในวรรคหนึง่ และวรรคสาม ของมาตรา ๒๗ ได้กาหนดเรอื่ งความเสมอภาคไวค้ รอบคลุม แล้ว การคงความในวรรคสองซ่ึงบัญญัติว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” ไว้ กลับจะกลายเป็นประเด็น ให้เกดิ การถกเถียงเร่อื งความเท่าเทยี มทางเพศ จึงควรตดั ความในวรรคสองของมาตรา ๒๗ ออก ความเหน็ ของนายพนัส ทศั นยี านนท์ ทปี่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ เห็นด้วยกบั การแก้ไขเพม่ิ เติมมาตรา ๒๗ ให้ครอบคลุมถึงเร่ืองเพศสภาพด้วย และเห็นวา่ วิธีแก้ไข ทดี่ ีทส่ี ุดคือตดั ความวา่ “ชายและหญงิ มสี ิทธิเทา่ เทียมกนั ” ในวรรคสองออกทั้งวรรค ๓. ประเด็นการพจิ ารณาบทบัญญตั ิมาตรา ๒๙ ความเห็นของนายไพบลู ย์ นิติตะวนั ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร เห็นว่าบทบัญญัติในมาตรา ๒๙ มีความครบถ้วนแล้ว ประเด็นเก่ียวกับการได้รับความ ช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวช่ัวคราว อาจไม่จาเป็นต้องนามาบัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๙ เน่อื งจากในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้บญั ญตั ิไวแ้ ลว้ ในหมวดหน้าทข่ี องรฐั ความเหน็ ของนายสุรพัศ ประภาพร ท่ปี รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมความในวรรคสาม ของมาตรา ๒๙ โดยเห็นว่าเพ่ือให้เกิดความสมบูรณ์ ควรนาความในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ (๔) และ (๗) ซง่ึ บญั ญตั ิวา่ มาตรา ๔๐ (๔) และ (๗) “บคุ คลยอ่ มมีสิทธิในกระบวนการยตุ ิธรรม ดังต่อไปน้ี (๔) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จาเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดีมีสิทธิได้รับการ ปฏิบตั ทิ ่เี หมาะสมในการดาเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมท้ังสิทธใิ นการไดร้ ับการสอบสวนอยา่ งถกู ต้อง รวดเรว็ เป็นธรรม และการไม่ใหถ้ ้อยคาเป็นปฏปิ ักษ์ตอ่ ตนเอง (๗) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตาม สมควร การได้รับความชว่ ยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวช่ัวคราว” มาเพิ่มในมาตรา ๒๙ วรรคสาม ซึ่งจะทาใหม้ าตรา ๒๙ วรรคสาม บัญญตั ิว่า “ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ท่ีถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบ พยานหลักฐานตามสมควร การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความ ชว่ ยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปลอ่ ยตัวช่วั คราว”

๙ ความเหน็ ของนายพนัส ทศั นยี านนท์ ท่ปี รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ เห็นด้วยกับการนาความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ (๔) และ (๗) มาเพ่ิมในวรรคสามของมาตรา ๒๙ โดยเฉพาะเรือ่ งการได้รับความช่วยเหลือในทางคดี จากทนายความ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ซ่ึงสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยมีความสาคัญกว่า หน้าท่ีของรัฐ จึงควรเพ่ิมเรื่องดังกล่าวไว้ในมาตรา ๒๙ หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยด้วย ท้ังน้ี สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนก็เป็นหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว ดังนั้น การจะกาหนดเรื่องการได้รับ ความชว่ ยเหลือในทางคดีจากทนายความไวใ้ นหมวดหน้าท่ขี องรฐั ด้วยก็สามารถกระทาได้ ความเห็นของนายนกิ ร จานง เลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธิการ เห็ น ด้ ว ย กั บ ก า ร น า เ รื่ อ ง ก า รไ ด้ รั บ ค ว า ม ช่ ว ย เ ห ลื อ ใ น ท าง ค ดี จ า ก ท น า ย ค ว า ม ม า บั ญ ญั ติ ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เพราะการได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ เปน็ สิทธิ และสิทธเิ ปน็ เร่อื งหลัก ซง่ึ ตอ้ งมีสทิ ธิกอ่ นหนา้ ที่จงึ จะตามมา ความเห็นของนายเสรี เยาวะ ที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์นอกจากนาความในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ (๔) และ (๗) มาเพ่ิมในวรรคสามของมาตรา ๒๙ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ แล้ว ควรคานึงถึงความปลอดภัยของพยานด้วย โดยเสนอใหเ้ พ่มิ ความในวรรคสามของมาตรา ๒๙ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ เป็นดงั น้ี “ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีท่ีถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐาน ตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวช่ัวคราว ทั้งนี้ โดยคานงึ ถึงความปลอดภัยของพยานดว้ ย” ความเห็นของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยตารวจเอก วิเชียร ตันศิริคงคล ที่ปรึกษา คณะอนุกรรมาธกิ าร มาตรา ๒๙ เป็นเร่ืองสิทธิของบุคคลในคดีอาญา ซึ่งได้นาหลักการของมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มากาหนดไว้ โดยบทบัญญัติ ดังกล่าว บญั ญัติว่า มาตรา ๓๙ “บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทาการอันกฎหมายท่ีใช้อยู่ในเวลาท่ีกระทานั้น บัญญัติเป็นความผิดและกาหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กาหนดไว้ในกฎหมาย ทใ่ี ช้อยู่ในเวลาท่กี ระทาความผดิ มิได้ ในคดีอาญา ตอ้ งสันนิษฐานไว้ก่อนวา่ ผตู้ อ้ งหาหรอื จาเลยไมม่ ีความผดิ ก่อนมีคาพิพากษาอันถึงท่ีสุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น เสมือนเปน็ ผกู้ ระทาความผิดมิได้” มาตรา ๔๐ “บุคคลยอ่ มมสี ทิ ธิในกระบวนการยุติธรรม ดงั ต่อไปนี้ (๑) สิทธเิ ข้าถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรมได้โดยงา่ ย สะดวก รวดเรว็ และท่ัวถึง (๒) สิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานเร่ือง การได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอ

๑๐ ข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้พิพากษาหรือตุลาการ การได้รับการพิจารณา โดยผู้พิพากษาหรือตุลาการท่ีน่ังพิจารณาคดีครบองค์คณะ และการได้รับทราบเหตุผลประกอบคาวินิจฉัย คาพิพากษา หรอื คาสง่ั (๓) บคุ คลย่อมมสี ทิ ธิท่จี ะให้คดีของตนไดร้ บั การพิจารณาอยา่ งถกู ต้อง รวดเร็ว และเปน็ ธรรม (๔) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จาเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดีมีสิทธิ ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดาเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมท้ังสิทธิในการได้รับการสอบสวน อยา่ งถูกตอ้ ง รวดเรว็ เป็นธรรม และการไมใ่ ห้ถอ้ ยคาเปน็ ปฏิปักษต์ ่อตนเอง (๕) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จาเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จาเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายท่ีจาเป็น ให้เปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ (๖) เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สงู อายุ หรือผพู้ ิการหรือทุพพลภาพ ย่อมมสี ทิ ธิได้รับความค้มุ ครองใน การดาเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดี ทเ่ี กีย่ วกับความรนุ แรงทางเพศ (๗) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ท่ีถูกต้องรวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบ พยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัว ชวั่ คราว (๘) ในคดีแพง่ บคุ คลมีสิทธิได้รบั ความช่วยเหลือทางกฎหมายอยา่ งเหมาะสมจากรฐั ” ทีส่ าคัญ จากการรับฟังความเห็นจากประชาชนแลว้ เห็นวา่ ประชาชนสว่ นใหญ่จะเหน็ ด้วยกับ หลักการในบทบัญญตั ิของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงควรแก้ไขมาตรา ๒๙ ของ รัฐธรรมนูญ ให้มีเนื้อหาเช่นเดียวกับมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ดงั กล่าวมากกว่า ความเห็นของนายทศพล เพ็งส้ม อนกุ รรมาธกิ าร บทบัญญัติการสันนิษฐานความผิดของผู้ต้องหาหรือจาเลยในคดีอาญาโดยอาศัยสถานะของ บคุ คลเป็นเงื่อนไขมิใช่การสันนิษฐานจากข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบความผิด จกั กระทามิได้เท่ากับเป็นการ ผลักภาระการพิสูจน์ความผิด ท่ังที่เป็นของโจทก์ไปเป็นของจาเลยหรือผู้ต้องหา เท่ากับเป็นการกระทา ท่ีไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมในระบบกล่าวหาในคดีอาญา เพราะต้องเป็นเร่ืองที่โจทก์ต้องพิสูจน์ความผิด ของจาเลย มิใชใ่ ห้จาเลยหรอื ผ้ตู ้องหาพสิ จู น์ตนเอง ๔. ประเดน็ การพิจารณาบทบญั ญัติมาตรา ๓๑ ความเห็นของศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชยั เกษม นติ สิ ริ ิ รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร ในการร่างรัฐธรรมนูญอาจมีความเห็นว่าบางศาสนา หรือบางคาสอนอาจสร้างความเช่ือ ท่ีขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือในบางกรณีการตีความคาสั่งสอนของศาสนาท่ีผิดเพ้ียนไปอาจทาให้เกิด ความไม่สงบได้เชน่ กัน ดังนั้น บทบญั ญัติในมาตรา ๓๑ เหมาะสมแล้ว

๑๑ ความเห็นของนายพนัส ทัศนยี านนท์ ที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ ในต่างประเทศจะมีการอ้างศาสนาบางนิกาย หรือบางลัทธิ ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อย ดังน้ัน บางศาสนาจึงอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุม ควรมีการ ปรับปรุงถ้อยคาให้สอดคล้องกับรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ทมี่ ีการบญั ญัติในเร่ือง นกิ ายของศาสนา หรอื ลทั ธินยิ มในทางศาสนาด้วย ความเห็นของนายเสรี เยาวะ ทป่ี รึกษาคณะอนุกรรมาธิการ เห็นด้วยกับการปรับปรุงถ้อยคาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ท่ีมีการบญั ญัติในเร่อื งนิกายของศาสนา หรอื ลทั ธินิยมในทางศาสนา ความเห็นของนายนกิ ร จานง เลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธิการ มาตรา ๓๑ ซึ่งเป็นเรื่องเสรีภาพในการถือศาสนา เสนอให้ตัดความว่า“ไม่เป็นอันตราย ต่อความปลอดภัยของรัฐ” ออก เนื่องจากการนับถือศาสนาไม่มีเหตุที่จะทาให้เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย ของรัฐ และเปน็ ถ้อยคาที่ไม่เหมาะสม ท่ีสาคัญ ในรัฐธรรมนูญฉบับทผี่ ่านมาก็ไม่มกี ารใช้ถ้อยคาในลกั ษณะเชน่ น้ี มาก่อน ซง่ึ จะทาใหบ้ ทบญั ญตั มิ าตรา ๓๑ บญั ญตั ิวา่ “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบ พิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าท่ีของปวงชนชาวไทยและไม่ขัดต่อความสงบ เรียบร้อยหรอื ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน” ความเห็นของนายยืนหยดั ใจสมุทร ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ มาตรา ๓๑ บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพ ในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลกั ศาสนาของตน แตต่ อ้ งไม่เป็นปฏิปักษ์ตอ่ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ” เม่ือเป็นเสรีภาพในการนับถอื ศาสนาก็ไมค่ วรกาหนดความว่า “แต่ต้องไม่เป็นปฏิปกั ษ์ต่อหน้าท่ีของปวงชนชาว ไทยไม่เปน็ อันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขดั ตอ่ ความสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอันดีของประชาชน” ดงั นั้น จงึ เสนอใหต้ ดั ความดงั กลา่ วออก ซง่ึ จะทาใหบ้ ทบญั ญตั มิ าตรา ๓๑ บัญญตั ิว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรื อประกอบ พธิ กี รรมตามหลกั ศาสนาของตน” ๕. ประเดน็ การพิจารณาบทบญั ญัตมิ าตรา ๓๗ วรรคแรก ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชัยเกษม นติ สิ ิริ รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ ความว่า “สืบมรดก” และ “รับมรดก” ในเชิงความหมายแล้วไม่มีความแตกต่างกัน จึงเห็นวา่ ไมม่ คี วามจาเปน็ ในการท่ีจะต้องแก้ไขเพิม่ เติมความดงั กล่าว ความเหน็ ของนายนกิ ร จานง เลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธกิ าร ความว่า “รับมรดก” เป็นสิทธิในการรับในเชิงรูปธรรม ส่วน “สืบทอด” เป็นการรับ ท้งั ในเชิงนามธรรม และรูปธรรม

๑๒ ความเห็นของนายยืนหยดั ใจสมทุ ร ท่ีปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ มาตรา ๓๗ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินและการสืบมรดก” เห็นว่าควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมความว่า “สืบมรดก” เป็นความว่า “รับมรดก” เพ่ือให้สอดคล้องกับประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทีม่ กี ารกาหนดเร่อื งการรบั มรดกไว้แลว้ ซงึ่ จะทาให้มาตรา ๓๗ วรรคแรก บญั ญตั ิวา่ “บุคคลย่อมมสี ทิ ธใิ นทรพั ย์สินและการรบั มรดก” ๖. ประเด็นการพจิ ารณาบทบญั ญัติมาตรา ๓๗ วรรคสาม ความเหน็ ของนายยืนหยดั ใจสมทุ ร ทีป่ รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กาหนด รายละเอียดของการเวนคืนและค่าเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไว้อย่างชัดเจนแล้ว จงึ เห็นว่าอาจไม่จาเป็นตอ้ งแก้ไข มาตรา ๓๗ วรรคสาม ความเหน็ ของนายสรุ สิทธ์ิ นธิ วิ ุฒิวรรักษ์ ทีป่ รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ มาตรา ๓๗ วรรคสาม เป็นเรื่องการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนประสบ ปญั หาในการได้รับเงินค่าเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ล่าช้า และไม่ได้รับค่าเวนคืนในราคาซ้ือขายท่ีแท้จริงตามปกติ ในท้องตลาด แต่จะได้รับเงินค่าเวนคืนตามราคาประเมินในขณะท่ีมีการเวนคืนเท่านั้น จึงควรแก้ไขมาตรา ๓๗ โดยเพิ่มเนื้อหาท่ีเป็นไปตามมาตรา ๔๒ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึง่ บญั ญตั ิว่า “การกาหนดค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งต้องกาหนดให้อย่างเป็นธรรมโดยคานึงถึงราคา ทีซ่ ้ือขายกันตามปกติในท้องตลาด การไดม้ า สภาพและทต่ี ้ังของอสังหาริมทรัพย์ ความเสียหายของผถู้ ูกเวนคืน และประโยชน์ท่ีรัฐและผู้ถูกเวนคนื ได้รบั จากการใช้สอยอสังหาริมทรัพย์ที่ถกู เวนคนื ” ทง้ั นี้ เพื่อให้การกาหนดค่าเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีความเป็นธรรม และทาให้ประชาชนได้รับ ค่าเวนคืนตามราคาซือ้ ขายตามปกตใิ นท้องตลาดท่ีแทจ้ รงิ ดว้ ย ๗. ประเด็นพจิ ารณามาตรา ๔๑ ความเห็นของนายไพบูลย์ นิตติ ะวนั ประธานคณะอนกุ รรมาธิการ เร่ืองการจะตัดคาว่า “ชุมชน” ออกหรือไม่ ควรเสนอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เปน็ ผูพ้ จิ ารณา ความเห็นของนายพนสั ทัศนยี านนท์ ท่ปี รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ เร่ืองสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ดังน้ัน ควรตัดคาว่า “ชุมชน” ในมาตรา ๔๑ ออก โดยอาจนาเรื่องชุมชนไปบัญญัติไว้ในหมวดอื่นในรัฐธรรมนญู เช่น หมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ แตไ่ ม่ควรบัญญัติ ไว้ในหมวดสทิ ธแิ ละเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ซง่ึ จะทาให้มาตรา ๔๑ วรรคแรก บญั ญัติวา่ “บคุ คลย่อมมสี ิทธิ” ความเห็นของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นติ ิสริ ิ รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คาว่า “ชุมชน” ไม่ได้มีบัญญัติไว้ในกฎหมาย และมีการตีความหมายของคาว่า “ชุมชน” แตกต่างกนั ออกไป ท้ังน้ี ชุมชนไม่ได้มีลักษณะเป็นนิติบุคคล จึงอาจมีปัญหาเก่ียวกับการฟ้องคดีได้ เสนอให้ตัด คาว่า “ชมุ ชน” ออก

๑๓ ๘. ประเดน็ พิจารณามาตรา ๔๑ (๓) ความเหน็ ของนายไพบูลย์ นิติตะวนั ประธานคณะอนกุ รรมาธิการ ใน (๓) ของมาตรา ๔๑ กาหนดประเด็นเกี่ยวกับการฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิด เนื่องจากการกระทาหรือการละเว้นการกระทาของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ ท้ังนี้ เห็นว่าประชาชนสามารถท่ีจะฟ้องหน่วยงานของรัฐได้อยู่แล้วตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานของรัฐได้หรือไม่ แต่เป็นเรื่องความสามารถในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและค่าใช้จ่ายในการดาเนินคดี เพื่อแก้ไขปัญหา ดงั กลา่ ว เสนอให้แก้ไขเพ่มิ เติมความใน (๓) ของมาตรา ๔๑ เปน็ ดงั นี้ “(๓) ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเนื่องจากการกระทาหรือการละเว้นการกระทาของ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ และมีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย และการจดั ทนายความให้” ๙. ประเด็นการพจิ ารณาบทบญั ญัติมาตรา ๔๓ วรรคแรก ความเห็นของรองศาสตราจารย์รงค์ บญุ สวยขวญั อนุกรรมาธกิ าร ในประเด็นเรื่องสิทธิชุมชนตามมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญนั้น ยังมีข้อสงสัยว่าชุมชน มีความหมายและขอบเขตเป็นอย่างไร การกาหนดให้ชุมชนมีสิทธิตามมาตรา ๔๓ ในเร่ืองต่าง ๆ จึงอาจทาให้ เกิดปัญหาในเชิงปฏิบัติต่อการท่ีกลุ่มบุคคลใดบุคคลหน่ึงอ้างสิทธิกลุ่มตนเองเพ่ือสนับสนุนความคิดเห็นของ ตนเองหรอื กลมุ่ ตนเอง ท้ังนี้ เห็นว่าสิทธิชุมชน จะต้องเกิดจากความเชื่อร่วมกันของประชาชนในชุมชนด้วย ถ้าหากประชาชนในพ้ืนท่ีไม่มีความเช่ือร่วมกันแล้ว ไม่ควรถือว่าเป็นสิทธิชุมชนซึ่งการกาหนดให้มีสิทธิชุมชน ไว้ในรัฐธรรมนูญ อาจทาให้กลุ่มคนเพียงบางกลุ่มอ้างสิทธิของกลุ่มตนเองว่าเป็นสิทธิชุมชนก็ได้ เช่น การก่อสร้างสะพานในพ้ืนท่ีซ่ึงมีกลุ่มคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการสร้างสะพาน กลุ่มคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ท่ขี ัดแยง้ กนั อาจอา้ งไดว้ ่าสิทธิหรอื ขอ้ เรียกรอ้ งของกลุม่ ตนเองเปน็ สิทธิของชุมชน การกาหนดใหม้ สี ิทธชิ ุมชนใน ลักษณะเชน่ นีจ้ งึ อาจทาให้เกิดปัญหาการอ้างอานาจตามรฐั ธรรมนูญในการให้ความเห็นทแ่ี ตกต่างต่อการพัฒนา พื้นทต่ี ่าง ๆ ได้ ความเห็นของนายไพบูลย์ นิตติ ะวัน ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร รัฐธรรมนูญฉบับน้ีมีการใช้คาว่า “ชุมชน” หลายแห่ง และเห็นว่าก่อนที่จะมีการใช้ถ้อยคาใด ในรัฐธรรมนูญ จะต้องมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางก่อนท่ีจะใช้ถอ้ ยคานน้ั ในรัฐธรรมนูญ ความเหน็ ของนายพนสั ทศั นยี านนท์ ท่ปี รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ คาว่า “ชุมชน” ถูกใช้มาต้ังแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เนื่องจากในช่วงเวลาน้ันมีกระแสให้มีการรับรองเร่ืองสิทธิชุมชนจานวนมาก ประกอบกับสิทธิชุมชุน จะสอดคล้องกบั บริบทของสงั คมไทย จงึ มกี ารรบั รองสทิ ธิชมุ ชนไวใ้ นมาตรา ๔๖ ของรัฐธรรมนญู ฉบบั ดังกล่าว ความเหน็ ของนายคมสนั โพธิค์ ง ทีป่ รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ หลักการในเรื่องสิทธิในการรวมกลุ่มของประชาชน จะมีทั้งการรวมกลุ่มทางธุรกิจ เช่น ห้างห้นุ ส่วน บริษทั และการรวมกลุ่มทางสังคมทั้งที่เป็นสมาคมหรอื มูลนธิ ิต่างๆ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ส่วนสิทธิชุมชนน้ัน ไม่ใช่สิทธิท่ีเกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นเรื่องของสิทธิที่มีอยู่ด้ังเดิมและมีกฎหมาย

๑๔ หลายฉบับท่ีกาหนดรับรองสิทธิชุมชนด้วย ดังน้ัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงมีการรับรองสิทธิชุมชนให้ชัดเจน เพ่ือวางหลักการ ใหม้ กี ารรวมกลุ่มกนั ของประชาชนในพ้ืนที่หรือประชาชนท่มี ถี น่ิ ที่อย่เู ดียวกัน ทั้งน้ี การรวมตัวของประชาชนในพ้ืนท่ีถือเป็นสิทธิชุมชนอย่างหน่ึง และปัจจุบัน ศาลปกครองมีส่วนในการพัฒนาเรื่องสิทธิชุมชนเช่นกัน การศึกษาประเด็นเร่ืองสิทธิชุมชน จึงควรศึกษา คาพิพากษาของศาลปกครองประกอบด้วย ส่วนปัญหาในเร่ืองความชัดเจนของสิทธิชุมชน เห็นว่าอาจไม่ได้ เกดิ จากชมุ ชน แต่เกดิ จากภาครฐั ทไี่ ม่ไดใ้ ห้การรับรองสทิ ธชิ มุ ชนไวอ้ ย่างชัดเจน ความเห็นของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชยั เกษม นติ ิสิริ รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร การรวมตัวกันของชุมชน ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลและไม่สามารถฟ้องคดีได้ ซ่ึงสิทธิดังกล่าว บุคคลสามารถใช้ไดด้ ้วยตนเอง จึงไมค่ วรนาเรื่องสทิ ธิชมุ ชนมากาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ความเห็นของนายพนสั ทศั นยี านนท์ ที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ คาว่า “ชุมชน” ถูกใช้มาต้ังแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เน่ืองจากในช่วงเวลาน้ันมีกระแสให้มีการรับรองเรื่องสิทธิชุมชนจานวนมาก ประกอบกับสิทธิชุมชุน จะสอดคล้องกบั บรบิ ทของสงั คมไทย จึงมีการรบั รองสิทธิชุมชนไวใ้ นมาตรา ๔๖ ของรัฐธรรมนญู ฉบับดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เห็นว่าสิทธิและเสรีภาพ เป็นเรื่องของปัจเจกชนและเป็นสิทธิข้ันพ้ืนฐาน ทร่ี ัฐธรรมนญู กาหนดไว้ จึงไมค่ วรนาสิทธชิ ุมชนมาบัญญตั ิไว้ในหมวด ๓ สทิ ธิและเสรภี าพของปวงชนชาวไทย ๑๐. ประเดน็ การพจิ ารณาบทบัญญัติมาตรา ๔๕ ความเหน็ ของนายนกิ ร จานง เลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธิการ มาตรา ๔๕ กาหนดให้ประชาชนมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองซ่ึงการกาหนด ในลักษณะเช่นน้ีอาจมีผลทาให้ประชาชนสามารถแสดงออกทางเมืองผ่านพรรคการเมืองเท่าน้ัน จึงควรกาหนดให้ ประชาชนมีเสรีภาพทางการเมืองในเชิงปัจเจกบุคคลใหช้ ัดเจนด้วย เพ่ือทาใหป้ ระชาชนมีเสรีภาพทางการเมือง ตั้งแตร่ ะดบั ท้องถ่นิ ไม่จากัดเฉพาะผา่ นการจดั ตั้งพรรคการเมืองหรือการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเท่านั้น นอกจากนี้ เสนอให้ตัดความในวรรคสอง ของมาตรา ๔๕ ออกท้ังวรรค แล้วนาไปบัญญัติไว้ ในหมวดการปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินแทน ความเห็นของนายกฤช เอ้อื วงศ์ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธกิ าร มาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญได้กาหนดเร่ืองเสรีภาพในการรวมกันจัดต้ังเป็นพรรคการเมือง ไว้อย่างชัดเจน แต่ในวรรคสองของมาตรา ๔๕ ซึง่ บัญญตั ิวา่ “กฎหมายตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมือง ซ่ึงต้องกาหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ในการกาหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกต้ัง และกาหนดมาตรการให้สามารถดาเนินการโดยอิสระ ไม่ถูกครอบงาหรือชี้นาโดยบุคคลซ่ึงมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น รวมท้ังมาตรการกากับดูแล มใิ หส้ มาชกิ ของพรรคการเมอื งกระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ัติตามกฎหมายเก่ียวกบั การเลือกต้ัง” จะเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติท่ีกาหนดบังคับให้ต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับ พรรคการเมือง ซ่ึงไม่ควรนามาบัญญัติในหมวด ๓ สิทธิเสรีภาพ ที่สาคัญ การกาหนดให้มีกฎหมายดังกล่าว

๑๕ เป็นเร่ืองที่ต้องกาหนดไว้ในกฎหมายเก่ียวกับพรรคการเมือง ด้วยเหตุน้ี จึงเห็นว่าควรตัดความในวรรคสอง ของมาตรา ๔๕ ออกทั้งวรรค แล้วนาไปบัญญตั ิไวใ้ นกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยพรรคการเมือง ๑๑. ประเดน็ การพจิ ารณาบทบัญญัตมิ าตรา ๔๖ ความเห็นของนายนิกร จานง เลขานุการคณะอนุกรรมาธกิ าร มาตรา ๔๖ เป็นการบัญญัติเร่ืองสิทธิของผู้บริโภคซึ่งถือว่าเป็นเร่ืองที่มีผลกระทบ ต่อประชาชนโดยตรง และเม่ือเป็นเรื่องที่มีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนแล้ว จึงเห็นว่าควรมีการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับสิทธิของผู้บริโภคในมาตรา ๔๖ ด้วย นอกจากน้ี ประชาชนควรมีเสรีภาพ ในการจัดต้งั องค์การเพ่ือการคุ้มครองผู้บรโิ ภคท่เี ป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ในลักษณะเดียวกับที่กาหนดไว้ ในมาตรา ๖๑ วรรคสอง ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ซ่งึ บญั ญัตวิ า่ “ให้มีองค์การเพ่ือการคุ้มครองผู้บริโภคท่ีเป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย ตวั แทนผบู้ รโิ ภค ทาหน้าท่ใี หค้ วามเหน็ เพ่ือประกอบการพจิ ารณาของหน่วยงานของรัฐในการตราและการบงั คับ ใช้กฎหมายและกฎ และให้ความเห็นในการกาหนดมาตรการต่าง ๆ เพ่ือคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบ และรายงานการกระทาหรือละเลยการกระทาอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ท้ังน้ี ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณ ในการดาเนนิ การขององค์การอิสระดงั กล่าวด้วย” ทั้งน้ี องค์การดังกล่าวจะเป็นองค์กรท่ีไม่มีลักษณะเหมือนกับสานักงานคณะกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยจะขอนาเสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑแ์ ละแนวทางการแกไ้ ขเพิ่มเติมรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ๑๒. ประเด็นพิจารณาเก่ยี วกับการถอดถอนผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมือง ความเห็นของนายพนสั ทศั นียานนท์ ทปี่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติเรื่องการถอดถอน ผู้ดารงตาแหน่งต่าง ๆ มีลักษณะเป็นเร่ืองการใช้อานาจไม่ใช้การใช้สิทธิ และเป็นการใช้อานาจของประชาชน ในกรณีท่ีไม่สามารถถอดถอนบุคคลในกระบวนการอ่ืนได้ ดังน้ัน เร่ืองการถอดถอนจึงไม่ควรบัญญัติไว้ ในหมวดสทิ ธแิ ละเสรภี าพของปวงชนชาวไทย ความเห็นของรองศาสตราจารย์สมชยั ศรสี ทุ ธยิ ากร รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ เมือ่ เปรียบเทียบรฐั ธรรมนูญฉบบั ปัจจุบนั กบั รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ พบว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่ได้ บัญญัติให้สิทธิแก่ประชาชนในการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ท้ังน้ี เม่ือพิจารณาแล้วจะเห็นว่า รัฐธรรมนูญกาหนดเร่ืองเสรีภาพในการชุมนุมไว้ในมาตรา ๔๔ และเร่ืองเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง ในมาตรา ๔๕ ดังนั้น ก็ควรกาหนดเร่ืองสิทธิในการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองไว้ในหมวดสิทธิและ เสรภี าพของปวงชนชาวไทยดว้ ย เพื่อให้ประชาชนทราบวา่ ตนมสี ทิ ธิ ท้ังนี้ ในรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้บัญญัติหมวด ๗ การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน ไว้เป็นการเฉพาะ โดยมีการบัญญัติเกี่ยวกับเร่ืองสิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สิทธิในการถอดถอดบุคคลที่ดารงตาแหน่ง ต่าง ๆ และสิทธิในการออกเสียงประชามติ จึงเห็นว่าควรมีการบัญญัติเพิ่มเรื่องสิทธิในการถอดถอน

๑๖ ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองไว้ หรือเพ่ิมหมวด ๗ ท้ังหมวดอย่างในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ กไ็ ด้ ความเหน็ ของนายนกิ ร จานง เลขานุการคณะอนุกรรมาธกิ าร เรือ่ งสทิ ธิในการถอดถอนผ้ดู ารงตาแหน่งทางการเมืองควรมี แต่เหน็ ว่าไม่ควรนามาบญั ญัติไว้ ในหมวดสทิ ธแิ ละเสรภี าพของปวงชนชาวไทย ความเหน็ ของนายชานาญ จันทร์เรือง ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ ควรมีการบัญญัติเรื่องการถอดถอดผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ทั้งนี้เห็นว่า เร่ืองดังกล่าว ควรบญั ญตั ิไว้ในมาตรา ๓ วรรคสอง โดยแก้ไขเพิม่ เติมมาตรา ๓ วรรคสอง ให้มีข้อความดังนี้ “รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิตธิ รรม เพื่อประโยชน์สว่ นรวมของประเทศชาติและความผาสุก ของประชาชนโดยรวมซ่ึงอาจถอดถอนได้โดยประชาชน ทัง้ นี้ ตามทกี่ ฎหมายบัญญัติ” บทสรปุ จากการอภิปรายของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอ่ืน นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ซึ่งประกอบด้วยบทบัญญัติตั้งแต่มาตรา ๒๕ ถึงมาตรา ๒๙ นั้น ได้มีการ อภปิ รายถงึ ประเดน็ ปญั หา และขอ้ เสนอแนะ ดังนี้ ๑. ประเด็นเกีย่ วกับบทบญั ญตั ิมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ บทบัญญัตริ ฐั ธรรมนญู มาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ บัญญตั ิวา่ มาตรา ๒๕ “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากท่ีบัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะใน รฐั ธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรอื จากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอ่ืน บุคคลยอ่ มมีสิทธิและเสรีภาพ ที่จะทาการน้ันได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้น ไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรฐั ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไมล่ ะเมดิ สิทธหิ รอื เสรภี าพของบคุ คลอนื่ สิทธิหรือเสรีภาพใดท่ีรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ หรือให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายน้ันขึ้นใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชน ยอ่ มสามารถใชส้ ิทธิหรอื เสรภี าพนนั้ ไดต้ ามเจตนารมณ์ของรฐั ธรรมนญู บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยก บทบญั ญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพอ่ื ใชส้ ิทธิทางศาลหรอื ยกขน้ึ เปน็ ข้อตอ่ สู้คดีในศาลได้ บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจากการกระทาความผิด อาญาของบคุ คลอื่น ย่อมมีสิทธทิ ี่จะได้รบั การเยียวยาหรือช่วยเหลอื จากรฐั ตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ” มาตรา ๒๖ “การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีท่ีรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลัก

๑๗ นิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักด์ิศรี ความเปน็ มนษุ ยข์ องบุคคลมไิ ด้ รวมทงั้ ตอ้ งระบเุ หตผุ ลความจาเป็นในการจากดั สิทธแิ ละเสรีภาพไว้ดว้ ย กฎหมายตามวรรคหนง่ึ ตอ้ งมผี ลใช้บงั คับเป็นการทว่ั ไป ไม่มุ่งหมายใหใ้ ช้บงั คับแก่กรณีใดกรณี หน่ึงหรือแกบ่ ุคคลใดบคุ คลหนึ่งเป็นการเจาะจง” ๑.๑ ประเดน็ ปัญหา บทบญั ญตั ิมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง มีการใชถ้ อ้ ยคาทไ่ี มเ่ หมาะสม ๑.๒ ขอ้ เสนอแนะ (๑) อนุกรรมาธิการ และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ได้มีข้อเสนอแนะเก่ียวกับ แนวทางในการแกไ้ ขบทบญั ญตั มิ าตรา ๒๕ ดงั นี้ แนวทางท่ี ๑๑ : ปรับแก้ไขถอ้ ยคาในบทบัญญตั ิมาตรา ๒๕ วรรคแรก โดยให้บญั ญัติวา่ “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะใน รัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรอื จากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอ่ืน บุคคลย่อมมสี ิทธิและเสรีภาพ ที่จะทาการน้ันได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าท่ีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่าน้ัน ไมก่ ระทบกระเทอื นตอ่ ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน และไมล่ ะเมิดสิทธิหรอื เสรีภาพของบุคคลอน่ื ” แนวทางท่ี ๒๒ : ปรบั แกไ้ ขถ้อยคาในบทบัญญตั มิ าตรา ๒๕ วรรคแรก โดยให้บัญญตั ิว่า “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากท่ีบัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะใน รัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ ท่ีจะทาการน้ันได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่าน้ัน ไมก่ ระทบกระเทือนและไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบคุ คลอื่น” แนวทางที่ ๓๓ : ปรับแก้บทบัญญัติมาตรา ๒๕ ให้มีข้อความเหมือนรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๘ คอื “การจากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลท่ีรัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทามิได้เว้นแต่โดย อาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพ่ือการท่ีรัฐธรรมนูญนี้กาหนดไว้และเท่าที่จาเป็น และจะ กระทบกระเทือนสาระสาคัญแห่งสิทธแิ ละเสรภี าพนั้นมิได้ กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการท่ัวไป และไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณี ใดกรณีหน่ึงหรือแก่บุคคลใดบุคคลหน่ึงเป็นการเจาะจง ทงั้ ต้องระบุบทบัญญัติแห่งรฐั ธรรมนญู ทใี่ ห้อานาจในการตรา กฎหมายน้นั ด้วย บทบัญญัติในวรรคหนึ่งและวรรคสองให้นามาใช้บังคับกับกฎที่ออกโดยอาศัยอานาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดว้ ยโดยอนโุ ลม” (๒) อนุกรรมาธิการ และท่ีปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ แนวทางในการแกไ้ ขบทบญั ญตั มิ าตรา ๒๖ วรรคสอง ดงั นี้ ๑ ความเหน็ ของนายนิกร จานง ๒ ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิตสิ ริ ิ, นายยืนหยัด ใจสมทุ ร และนายพนสั ทศั นียานนท์ ๓ ความเหน็ ของนายคมสนั โพธิค์ ง

๑๘ “การตรากฎหมายที่มีผลย้อนหลังกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลไม่ว่า ในทางใด ๆ จะกระทามิได้ เวน้ แตใ่ นกรณที เี่ ปน็ คุณ”๔ ๒. ประเด็นเกี่ยวกบั บทบัญญตั ิมาตรา ๒๗ วรรคสอง บทบัญญัติมาตรา ๒๗ วรรคสอง บัญญัติว่า “ชายและหญงิ มสี ิทธิเท่าเทียมกนั ” ๒.๑ ประเด็นปัญหา การบัญญัติขอ้ ความดังกล่าวทาให้เกิดประเด็นถกเถียงกันเรื่องความเท่าเทยี มทางเพศ ๒.๒ ขอ้ เสนอแนะ ตดั ข้อความในมาตรา ๒๗ วรรคสองข้างตน้ ออก๕ ๓. ประเดน็ เกีย่ วกับบทบัญญตั มิ าตรา ๒๙ บทบญั ญัติมาตรา ๒๙ บญั ญตั วิ ่า “บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทาการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาท่ีกระทาน้ัน บัญญัติเป็นความผิดและกาหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะลงแก่บุคคลน้ันจะหนักกว่าโทษท่ีบัญญัติไว้ในกฎหมาย ท่ีใชอ้ ยู่ในเวลาทก่ี ระทาความผิดมไิ ด้ ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจาเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคาพิพากษา อนั ถึงที่สดุ แสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผดิ จะปฏบิ ัตติ ่อบคุ คลนัน้ เสมอื นเปน็ ผกู้ ระทาความผิดมไิ ด้ การควบคมุ หรือคุมขังผู้ตอ้ งหาหรอื จาเลยให้กระทาได้เพยี งเท่าท่จี าเปน็ เพอื่ ป้องกันมิให้มีการ หลบหนี ในคดอี าญา จะบังคับให้บคุ คลใหก้ ารเป็นปฏปิ ักษ์ต่อตนเองมิได้ คาขอประกันผู้ต้องหาหรือจาเลยในคดีอาญาต้องได้รับการพิจารณาและจะเรียกหลักประกัน จนเกนิ ควรแก่กรณมี ไิ ด้ การไม่ใหป้ ระกนั ตอ้ งเปน็ ไปตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ” ๓.๑ ประเด็นปัญหา บทบัญญัติในมาตรา ๒๙ ดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงการคุ้มครองสิทธิของจาเลย บางประการ ๓.๒ ขอ้ เสนอแนะ อนุกรรมาธิการ และท่ีปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ได้มีข้อเสนอแนะเก่ียวกับบทบัญญัติ ดงั กล่าว ดังนี้ แนวทางท่ีหนึ่ง๖ : เพ่ิมสิทธิการมีทนายความ โดยให้บทบัญญัติมาตรา ๒๙ วรรคสาม บัญญัตวิ า่ ๔ ความเหน็ ของรองศาสตราจารยโ์ ภคิน พลกุล ๕ ความเห็นของศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชัยเกษม นิตสิ ิริ และนายพนสั ทัศนียานนท์ ๖ ความเห็นของนายสรุ พศั ประภาพร, นายพนสั ทศั นียานนท์, และนายนกิ ร จานง

๑๙ “ในคดอี าญา ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีท่ีถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐาน ตามสมควร การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดี จากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวช่วั คราว” แนวทางท่ีสอง๗ : นอกจากเพ่มิ เรือ่ งสทิ ธทิ นายความแลว้ ควรเพิ่มเรื่องการคมุ้ ครองพยาน ด้วย โดยทาใหบ้ ทบัญญัตใิ นมาตรา ๒๙ วรรคสาม บัญญตั ิวา่ “ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีทีถ่ ูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐาน ตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวช่ัวคราว ท้ังนี้ โดยคานึงถึงความปลอดภยั ของพยานด้วย” แนวทางที่สาม๘ : แก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๒๙ ให้เหมือนกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ และ มาตรา ๔๐ ดังน้ี “บุคคลไมต่ ้องรับโทษอาญา เว้นแตไ่ ด้กระทาการอันกฎหมายที่ใชอ้ ย่ใู นเวลาทกี่ ระทาน้ัน บัญญัติเป็นความผิดและกาหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษท่ีกาหนดไว้ในกฎหมาย ทใี่ ช้อยู่ในเวลาทก่ี ระทาความผิดมิได้ ในคดีอาญา ตอ้ งสนั นิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ตอ้ งหาหรอื จาเลยไมม่ ีความผดิ ก่อนมีคาพิพากษาอันถึงท่ีสุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น เสมือนเป็นผ้กู ระทาความผดิ มิได้” “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยตุ ิธรรม ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) สิทธเิ ขา้ ถงึ กระบวนการยุติธรรมได้โดยงา่ ย สะดวก รวดเรว็ และทว่ั ถงึ (๒) สิทธิพ้ืนฐานในกระบวนพิจารณา ซ่ึงอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพ้ืนฐานเรื่อง การได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอ ข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้พิพากษาหรือตุลาการ การได้รับการพิจารณา โดยผู้พิพากษาหรือตุลาการท่ีน่ังพิจารณาคดีครบองค์คณะ และการได้รับทราบเหตุผลประกอบคาวินิจฉัย คาพพิ ากษา หรือคาส่งั (๓) บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม (๔) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จาเลย ค่กู รณี ผู้มีสว่ นได้เสยี หรอื พยานในคดีมีสิทธไิ ด้รับ การปฏิบัติที่เหมาะสมในการดาเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวน อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคาเป็นปฏปิ ักษ์ต่อตนเอง (๕) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จาเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จาเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จาเป็น ให้เปน็ ไปตามท่กี ฎหมายบัญญัติ ๗ ความเห็นของนายเสรี เยาวะ ๘ ความเห็นของผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ร้อยตารวจเอก วิเชียร ตันศริ ิคงคล

๒๐ (๖) เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับความ คุ้มครองในการดาเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติท่ีเหมาะสมในคดี ที่เกี่ยวกบั ความรุนแรงทางเพศ (๗) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจาเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ที่ถูกต้องรวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบ พยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัว ช่วั คราว (๘) ในคดีแพง่ บุคคลมีสิทธิไดร้ ับความช่วยเหลือทางกฎหมายอยา่ งเหมาะสมจากรัฐ” ๔. ประเด็นเกีย่ วกบั บทบญั ญตั ิมาตรา ๓๑ บทบญั ญตั ิมาตรา ๓๑ บัญญัติวา่ “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการ ปฏิบัติหรือประกอบ พิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยไม่เป็นอันตรายต่อความ ปลอดภัยของรัฐ และไมข่ ดั ตอ่ ความสงบเรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชน” ๔.๑ ประเดน็ ปัญหา บทบัญญัติในมาตรา ๓๑ มีถ้อยคาบางคาที่ไม่เหมาะสม เช่น การบัญญัติเร่ืองเสรีภาพ ในการนับถือศาสนา แต่กาหนดว่า “ต้องไม่เป็นอันตรายต่อความม่ันคงของรัฐ” อีกท้ังยังไม่ครอบคลุมถึง นกิ าย หรือลทั ธิ ๔.๒ ขอ้ เสนอแนะ อนุกรรมาธกิ าร และที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ แนวทางที่หนึง่ ๙ : ตดั ขอ้ ความที่ไมเ่ หมาะสมออก ซงึ่ จะทาให้มาตรา ๓๑ บญั ญตั ิวา่ “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือ ประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยและไม่ขัดต่อ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศีลธรรมอันดีของประชาชน” แนวทางท่ีสอง๑๐ : ตัดข้อความท่ีไม่เหมาะสมออก ซงึ่ จะทาให้มาตรา ๓๑ บัญญตั ิวา่ “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือ ประกอบพธิ กี รรมตามหลักศาสนาของตน” แนวทางที่สาม๑๑ : ปรับปรุงถ้อยคาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ซึง่ จะครอบคลมุ ถงึ เรอื่ งนิกาย และลทั ธิทางศาสนาด้วย ๙ ความเห็นของนายนกิ ร จานง ๑๐ ความเหน็ ของนายยนื หยดั ใจสมทุ ร ๑๑ ความเห็นของนายพนสั ทัศนียานนท์ และ นายเสรี เยาวะ

๒๑ ๕. ประเดน็ เกยี่ วกับบทบัญญตั ิมาตรา ๓๗ วรรคแรก มาตรา ๓๗ วรรคแรก บญั ญตั วิ า่ “บคุ คลย่อมมสี ทิ ธิในทรัพยส์ นิ และการสบื มรดก” ๕.๑ ประเดน็ ปัญหา การใช้คาว่า “สืบ” อาจไม่สอดคล้องกับถ้อยคาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๖ มรดก ๕.๒ ขอ้ เสนอแนะ ควรใชค้ าว่า “รับมรดก” แทนคาว่า “สบื มรดก”๑๒ ๖. ประเดน็ เกย่ี วกับบทบัญญัตมิ าตรา ๓๗ วรรคสาม มาตรา ๓๗ วรรคสาม บัญญตั ิว่า “การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายที่ตราข้นึ เพือ่ การอันเป็นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศ หรือการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพ่ือประโยชน์สาธารณะอย่างอ่ืน และต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรม ภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของ ตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดาที่ได้รับความเสียหายจากการเวนคืน โดยคานึงถึงประโยชน์สาธารณะผลกระทบ ตอ่ ผูถ้ กู เวนคนื รวมทัง้ ประโยชน์ทผี่ ู้ถกู เวนคืนอาจได้รับจากการเวนคนื นนั้ ” ๖.๑ ประเดน็ ปญั หา บทบัญญัติดังกล่าวไมค่ รอบคลุมถึงเร่ืองการกาหนดค่าเวนคนื เหมือนอย่างในรฐั ธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๖.๒ ข้อเสนอแนะ แก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๓๗ วรรคสาม ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซ่ึงบัญญัติว่า “การกาหนดค่าทดแทนตามวรรคหน่ึงต้องกาหนดให้อย่างเป็นธรรมโดยคานึงถึงราคา ท่ซี ้ือขายกันตามปกติในทอ้ งตลาด การได้มา สภาพและท่ีตั้งของอสังหาริมทรพั ย์ ความเสียหายของผถู้ ูกเวนคืน และประโยชน์ทีร่ ฐั และผถู้ กู เวนคนื ไดร้ ับจากการใชส้ อยอสงั หารมิ ทรัพย์ที่ถกู เวนคนื ”๑๓ ๗. ประเด็นเก่ยี วกับบทบัญญัติมาตรา ๔๑ วรรคแรก บทบญั ญัติมาตรา ๔๑ วรรคแรก บัญญตั ิวา่ “บคุ คลและชุมชนย่อมมสี ทิ ธิ” ๗.๑ ประเดน็ ปัญหา คาวา่ “ชมุ ชน” ไมม่ นี ยิ าม และขอบเขตที่ชัดเจน ๑๒ ความเห็นของนายยนื หยดั ใจสมทุ ร ๑๓ ความเหน็ ของนายสรุ สิทธิ์ นธิ ิวุฒวิ รรกั ษ์

๒๒ ๗.๒ ข้อเสนอแนะ ตัดคาวา่ “ชุมชน” ออก ซงึ่ จะทาให้มาตรา ๔๑ วรรคแรก บัญญัติว่า “บคุ คลย่อมมสี ิทธิ”๑๔ ๘. ประเดน็ เก่ียวกบั มาตรา ๔๑ (๓) บทบัญญตั มิ าตรา ๔๑ (๓) บัญญัตวิ า่ “ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รบั ผิดเนอื่ งจากการกระทาหรือการละเว้นการกระทาของข้าราชการ พนักงาน หรือลกู จ้างของหน่วยงานของรฐั ” ๘.๑ ประเด็นปัญหา บทบัญญัติดังกล่าวกาหนดประเด็นเกี่ยวกับการฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ แต่ปัญหา ท่ีเกิดข้ึนไม่ได้อยู่ที่ประชาชนมีสิทธิฟ้องหรือไม่ หากแต่ปัญหาคือประชาชนจะสามารถเข้าถึงกระบวนการ ยุติธรรมดงั กล่าวไดห้ รอื ไม่ ๘.๒ ข้อเสนอแนะ ขอ้ ให้แกไ้ ขบทบญั ญตั มิ าตรา ๔๑ (๓) ให้มขี อ้ ความ ดังนี้ “(๓) ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเน่ืองจากการกระทาหรือการละเว้นการกระทาของ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ และมีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย และการจดั ทนายความให”้ ๑๕ ๙. ประเด็นการพจิ ารณาบทบญั ญัติมาตรา ๔๓ วรรคแรก มาตรา ๔๓ วรรคแรก บญั ญตั ิวา่ “บคุ คลและชมุ ชนย่อมมสี ทิ ธิ” ๙.๑ ประเดน็ ปญั หา มีการต้ังข้อสังเกตเก่ียวกับความไม่ชัดเจนของคาว่า “ชุมชน” ซึ่งอาจถูกนาไปใช้กล่าว อา้ งโดยคนเพียงคนเดยี ว หรือกลมุ่ เดียวได้ ๙.๒ ข้อเสนอแนะ แนวทางทีห่ นง่ึ ๑๖ : ควรมีการทบทวนการจากัดความและขอบเขตของคาวา่ “ชมุ ชน” แนวทางทส่ี อง๑๗ : ไม่ควรนาเรื่องสทิ ธชิ ุมชน มาบญั ญตั ิไวใ้ นรฐั ธรรมนญู ๑๐. ประเด็นการพจิ ารณาบทบัญญตั ิมาตรา ๔๕ มาตรา ๔๕ บัญญัตวิ ่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมขุ ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ ๑๔ ความเหน็ ของนายพนสั ทัศนยี านนท์ และ ศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชยั เกษม นิตสิ ริ ิ ๑๕ ความเหน็ ของนายไพบลู ย์ นิติตะวนั ๑๖ ความเห็นของนายไพบลู ย์ นิตติ ะวัน และ นายพนสั ทัศนยี านนท์ ๑๗ ความเห็นของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชยั เกษม นติ สิ ริ ิ และนายพนัส ทศั นยี านนท์

๒๓ กฎหมายตามวรรคหนึ่งอยา่ งนอ้ ยตอ้ งมบี ทบัญญัติเก่ียวกับการบรหิ ารพรรคการเมอื ง ซ่ึงตอ้ ง กาหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกาหนด นโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกต้ัง และกาหนดมาตรการให้สามารถดาเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงาหรือ ช้ีนาโดยบุคคลซ่ึงมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองน้ัน รวมทั้งมาตรการกากับดูแลมิให้สมาชิกของ พรรคการเมืองกระทาการอันเปน็ การฝ่าฝนื หรือไมป่ ฏิบัตติ ามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตง้ั ” ๑๐.๑ ประเดน็ ปญั หา การบัญญัติมาตรา ๔๕ อาจมีผลทาให้ประชาชนสามารถแสดงออกทางการเมือง ผ่านพรรคการเมืองเท่าน้ัน ท่ีสาคัญ การบัญญัติให้ต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมืองไม่ควรนามาบัญญัติ ในหมวด ๓ สิทธแิ ละเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ๑๐.๒ ข้อเสนอแนะ แนวทางที่หน่ึง๑๘ : ควรตัดข้อความในวรรคสอง และนาไปบัญญัติในหมวด ๑๔ การปกครองสว่ นท้องถ่ิน แนวทางที่สอง๑๙ : ควรตัดข้อความในวรรคสอง และนาไปบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ ประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยพรรคการเมอื ง ๑๑. ประเดน็ การพจิ ารณาบทบญั ญัตมิ าตรา ๔๖ มาตรา ๔๖ บัญญัติว่า “สทิ ธขิ องผบู้ ริโภคยอ่ มได้รบั ความคมุ้ ครอง บุคคลย่อมมีสทิ ธริ วมกันจดั ตัง้ องค์กรของผบู้ ริโภคเพื่อคุ้มครองและพทิ ักษส์ ิทธิของผ้บู ริโภค องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรท่ีมีความเป็นอิสระเพื่อให้ เกิดพลังในการคมุ้ ครองและพิทักษ์สทิ ธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทงั้ น้ี หลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการ จัดต้ังอานาจในการเป็นตัวแทนของผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐ ให้เป็นไปตามท่ีกฎหมาย บญั ญตั ”ิ ๑๑.๑ ประเด็นปัญหา การบญั ญตั เิ ก่ียวกบั องค์กรของผู้บริโภคยังขาดรายละเอยี ดบางประการ ๑๑.๒ ขอ้ เสนอแนะ ควรบัญญัติมาตรา ๔๖ วรรคสาม ให้มีลักษณะเดียวกับที่บัญญัติในมาตรา ๖๑ วรรคสอง ของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ คอื “ใหม้ ีองค์การเพอื่ การคมุ้ ครองผ้บู ริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย ตวั แทนผ้บู ริโภค ทาหนา้ ที่ให้ความเห็นเพือ่ ประกอบการพจิ ารณาของหน่วยงานของรัฐในการตราและการบงั คับ ใช้กฎหมายและกฎ และให้ความเห็นในการกาหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบ ๑๘ ความเหน็ ของนายนิกร จานง ๑๙ ความเหน็ ของนายกฤช เออื้ วงศ์

๒๔ และรายงานการกระทาหรือละเลยการกระทาอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ท้ังนี้ ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณ ในการดาเนนิ การขององคก์ ารอสิ ระดังกล่าวดว้ ย”๒๐ ๑๒. ประเด็นการปอ้ งกันการรฐั ประหาร ๑๒.๑ ประเดน็ ปัญหา รัฐธรรมนูญของประเทศไทยทั้งในอดีตและฉบับปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติที่เป็น การปอ้ งกนั การรฐั ประหารด้วยการฉีกรฐั ธรรมนูญไวใ้ นรฐั ธรรมนูญแตอ่ ย่างได ๑๒.๒ ขอ้ เสนอแนะ เพ่ิมบทบัญญัตเิ ป็นมาตรา ๔๙/๑ เพอื่ เป็นมาตรการปอ้ งกนั การรัฐประหาร ดงั น้ี “การนิรโทษกรรมการรัฐประหารจะกระทามิได้ ศาลจะวินิจฉัยว่าการรัฐประหารและการกระทาที่เกี่ยวเนื่องเป็นการชอบด้วย รัฐธรรมนูญและกฎหมายมิได้ ให้ถือว่าบทบัญญัติตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง เป็นประเพณีการปกครอง ในระบอบประชาธปิ ไตยทส่ี าคญั ทส่ี ดุ และมผี ลบงั คับใช้ตลอดไป”๒๑ ๑๓. ประเดน็ เกี่ยวกับการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งโดยประชาชน ๑๓.๑ ประเด็นปัญหา รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่บัญญัติให้สิทธิแก่ประชาชนในการถอดถอนผู้ดารง ตาแหนง่ ทางการเมือง ๑๓.๒ ข้อเสนอแนะ แนวทางที่หน่ึง๒๒ : เพ่มิ กาหนดเร่ืองสิทธิในการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งไว้ โดยเพ่มิ เปน็ อกี หมวดตา่ งหากเหมอื นรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ แนวทางท่ีสอง๒๓ : บัญญัติเร่ืองการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองไว้ใน มาตรา ๓ วรรคสอง โดยให้มีข้อความว่า “รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ ให้เปน็ ไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลกั นิตธิ รรม เพ่ือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุก ของประชาชนโดยรวมซ่งึ อาจถอดถอนไดโ้ ดยประชาชน ท้ังนี้ ตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ” ๒๐ ความเห็นของนายนกิ ร จานง ๒๑ ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชัยเกษม นิตสิ ริ ิ และรองศาสตราจารย์โภคิน พลกลุ ๒๒ ความเหน็ ของรองศาสตราจารยส์ มชัย ศรีสุทธิยากร, นายนิกร จานง และ นายพนัส ทศั นียานนท์ ๒๓ ความเหน็ ของนายชานาญ จนั ทรเ์ รอื ง

๒๕ สว่ นที่ ๓ ผลการพิจารณาศกึ ษา หมวด ๔ หนา้ ทข่ี องปวงชนชาวไทย ที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้อภิปรายแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติม รฐั ธรรมนูญ หมวด ๔ หนา้ ที่ของปวงชนชาวไทย โดยมีสาระสาคัญ ดังน้ี ความเห็นของนายไพบูลย์ นติ ิตะวนั ประธานคณะอนกุ รรมาธิการ การบัญญัติหลักการในหมวดว่าด้วยหน้าที่ของปวงชนชาวไทยน้ัน ในช่วงของการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซ่ึงได้มีการ อภิปรายถึงประเด็นสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของปวงชนชาวไทย โดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะน้ันได้มีการเพิ่มหมวดว่าด้วยหน้าท่ีของปวงชนชาวไทย เน่ืองจากในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยหน้าท่ีของปวงชนชาวไทย คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดดังกล่าวจงึ ไดเ้ พิ่มบทบัญญตั วิ ่าด้วยหมวดหน้าท่ขี องปวงชนชาวไทยข้นึ เพื่อให้มีลักษณะเดียวกบั ทเ่ี คยบัญญัติ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้นามาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบบั ปัจจบุ ัน ด้วย สว่ นประเด็นการบัญญตั ิถ้อยคากม็ ีประเด็นถกเถียงกนั ตงั้ แต่ในช้ันการยกร่างรัฐธรรมนูญในชุดที่มี ศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่าควรใช้คาใด เช่น คาว่า “หน้าที่ของพลเมือง” หรือคาวา่ “หน้าที่ของราษฎร” สุดท้ายในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๘ ที่เสนอต่อ สภาปฏิรูปแห่งชาติ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญใช้คาว่า “หน้าที่ของพลเมือง” แต่ปรากฏว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็บัญญัติคาว่า “หน้าท่ีของปวงชนชาวไทย” เช่นเดียวกับท่ีบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ความเห็นของรองศาสตราจารย์สมชัย ศรสี ทุ ธิยากร รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คาว่า “หนา้ ท่ี” ตามทีบ่ ัญญตั ิในหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ น้ัน หมายถึง หน้าที่ (Duty) เป็นส่ิงที่ประชาชนคนไทยในฐานะที่เป็นพลเมืองไทยจะต้องกระทา ซ่ึงเมื่อพิจารณา แล้วเหน็ ว่าหน้าท่ีที่บัญญตั ิในหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นั้น ในบางกรณี ได้กาหนดบทลงโทษหากไม่กระทาตามหน้าท่ี เชน่ การเสียภาษีอากร หรือการไปใช้สิทธิเลือกต้ังหรือการออกเสียง ประชามติ เป็นต้น แต่หน้าท่ีในบางกรณีไม่ได้กาหนดบทลงโทษไว้ เช่น ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และ คมุ้ ครองส่งิ แวดล้อม เปน็ ต้น ดังนั้น ในหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มีประเดน็ ที่ต้องพิจารณาบทบญั ญัติ ว่าการกาหนดให้เรื่องใดเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ควรจะต้องมีบทลงโทษตามกฎหมายกรณีท่ีไม่กระทา ตามหน้าท่ีน้ันด้วย ส่วนการกระทาใดท่ีกาหนดไว้ในหมวด ๔ หน้าท่ีของปวงชนชาวไทย แต่ไม่มีบทลงโทษ ตามกฎหมายในกรณีทไี่ มก่ ระทาตามหน้าท่ีน้นั ควรแก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยตัดบทบญั ญตั ใิ นส่วนน้ันออก คาว่า “บุคคล” ในหมวด ๔ หน้าท่ีของปวงชนชาวไทยนั้นย่อมหมายถึงบุคคลท่ัวไปทุกคนไม่ว่า จะมีอายุเท่าใดก็ตามจะต้องมีหน้าท่ีตามที่กาหนดไว้ในหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทยด้วย แต่บทบัญญัติ ในมาตรา ๕๐ (๗) ในเรื่องหน้าที่ในการออกไปใช้สิทธเิ ลอื กตัง้ หรือลงประชามตินนั้ บุคคลท่ีมสี ิทธใิ นการเลอื กต้ัง หรอื ออกเสียงประชามตจิ ะตอ้ งเป็นผูท้ ่ีมอี ายไุ ม่นอ้ ยกว่าสิบแปดปบี ูรณ์ในวันเลือกตง้ั หรอื วันออกเสียงประชามติ

๒๖ ซึ่งทาให้เกิดบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกัน ดังนั้น ควรมีการพิจารณารายละเอียดบทบัญญัติในหมวด ๔ หน้าท่ี ของปวงชนชาวไทยตอ่ ไป ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชยั เกษม นิตสิ ิริ รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ บทบัญญัติในมาตรา ๕๐ (๗) ที่บัญญัตวิ ่า “ไปใช้สิทธเิ ลือกต้งั หรอื ลงประชามติอย่างอิสระ...” นั้น การบัญญัติคาว่า “ไป” สะท้อนลักษณะการเป็นสิทธิของประชาชนว่าจะไปหรือไม่ไปใช้สิทธิเลือกต้ังก็ได้ และการบัญญัติคาดังกล่าวเป็นการบังคับให้ประชาชนต้องไปใช้สิทธิเลือกต้ัง ซ่ึงขัดต่อหลักการในหมวด ๔ ท่ีกาหนดหลักการในเร่ืองหน้าท่ีของปวงชนชาวไทย ดังนั้น จึงควรตัดคาว่า “ไป” ในมาตรา ๕๐ (๗) ออก นอกจากนั้น มีข้อสังเกตว่าเหตุใดในมาตรา ๕๐ จึงใช้คาว่า “บุคคลมีหน้าที่” เพราะคาว่า “บุคคล” นั้น มิได้หมายถึงเฉพาะประชาชนชาวไทยเท่านั้นแต่อาจหมายความรวมถึงบุคคลท่ีมิใช่ผู้มีสัญชาติไทยด้วย จึงควรแก้ไขโดยใชค้ าวา่ “ปวงชนชาวไทยมีหน้าท่ี” เพ่ือใหส้ อดคล้องกับชื่อหมวดท่ีใช้คาว่า “หน้าทีข่ องปวงชน ชาวไทย” ความเหน็ ของนายเสรี เยาวะ ที่ปรึกษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร สนับสนุนแนวคิดของท่ีประชุมท่ีได้เสนอความเห็นว่าบทบัญญัติในหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชน ชาวไทย จะต้องพิจารณาปรับปรุงบทบัญญัติว่าควรแก้ไขเพ่ิมเติมคาว่า “บุคคล” ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติ ในแต่ละเร่อื ง ความเห็นของนายนกิ ร จานง เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ รูปแบบการบัญญัติเน้ือหาในเรื่องหน้าท่ีของปวงชนชาวไทยท่ีเคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ จะบัญญัติเน้ือหาในหมวดว่าด้วยหนา้ ทข่ี องปวงชนชาวไทยโดยแบ่งออกเปน็ มาตรา ซง่ึ แตกต่างจากการบัญญัติ เนื้อหาในหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซ่ึงบัญญัติเป็นอนุมาตรา ดังน้ัน เห็นว่ารูปแบบการบัญญัติเนื้อหาในหมวดว่าด้วยหน้าท่ีของปวงชนชาวไทยท่ีบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มีรูปแบบการบัญญัติกฎหมายที่ดีและสามารถปฏิบัติได้ อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่ารูปแบบการบัญญัติในหมวด ๔ หนา้ ท่ขี องปวงชนชาวไทยของรฐั ธรรมนูญฉบบั ปจั จุบัน ในมาตรา ๕๐ (๗) ท่ีกาหนดว่า “ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคานึงถึง ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสาคัญ” โดยกาหนดให้การไปใช้สิทธิเลือกต้ังหรือการออกเสียงประชามติ เป็นหน้าท่ีของปวงชนชาวไทยนั้น ไม่เห็นด้วยเนื่องจากในความเป็นจริงการท่ีประชาชนจะออกไปเลือกต้ังหรือ ออกเสียงประชามตินั้น เป็นเรื่องของ “สิทธิ” ของประชาชนโดยแท้ว่าจะออกไปใช้สิทธิเลือกต้ังหรือออกเสียง ประชามติหรือไม่ รัฐไม่มีอานาจในการบังคับประชาชนว่าจะต้องไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งหรือออกเสียง ประชามติ ดังนั้น ไม่เห็นดว้ ยกับการกาหนดให้การไปใชส้ ทิ ธิเลือกตงั้ ของประชาชนเป็นหน้าท่ี แตค่ วรกาหนดให้ เป็นสิทธิ เนื่องจาก สิทธิในการเลือกตั้งเป็นสิทธิโดยเสรีของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะไปใช้สิทธิเลือกต้ัง หรือไมก่ ไ็ ด้ ดังนัน้ การกาหนดใหก้ ารเลอื กตง้ั เปน็ หนา้ ทจ่ี งึ เปน็ การลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ความเห็นของนายพนสั ทัศนียานนท์ ที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ บทบัญญัติในเร่ืองหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เห็นว่าการที่มาตรา ๕๐ ใช้คาว่า “บุคคลมีหน้าท่ี ดังต่อไปนี้” มีความเหมาะสมแล้ว ส่วนการกาหนดบทบัญญัติในแต่ละเรื่อง ตามมาตรา ๕๐ (๑) ถึง (๑๐) น้ัน ก็ต้องเป็นไปตามเง่ือนไขของกฎหมายเฉพาะในแต่ละเรื่องในการกาหนด คุณสมบัติของบุคคลว่าจะมีหน้าที่เมื่อใด เช่น หน้าที่รับราชการทหารก็ต้องเป็นบุคคลที่มี อายุครบ

๒๗ ยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์ก็ต้องเข้ารับการตรวจเลือกเพ่ือเป็นทหาร หรือกรณีบุคคลท่ีมีสิทธิในการเลือกต้ัง หรือออกเสยี งประชามติกต็ อ้ งมีอายคุ รบสบิ แปดปีบริบูรณ์ในวนั เลอื กตัง้ หรอื วนั ออกเสียงประชามติ เป็นตน้ ส่วนประเด็นท่ีว่าควรกาหนดให้การเลือกต้ังเป็นสิทธิหรือเป็นหน้าท่ีนั้น เห็นว่าควรกาหนดให้ การเลอื กตั้งเป็นสทิ ธิ ความเห็นของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ การกาหนดให้การไปใช้สิทธิเลือกต้ังว่าควรเป็นสิทธิหรือเป็นหน้าท่ีน้ันเป็นแนวคิดเร่ิมต้ังแต่ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งกาหนดให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่และหาก ไม่ไปทาหน้าที่จะต้องเสียสิทธิในบางประการเป็นเหตุผลเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกต้ังได้ออกไปใช้สิทธิเลือกต้ัง มากขึ้นแม้จะยังมีการซื้อเสียงก็ตาม แต่ประสิทธิภาพในการซ้ือเสียงเลือกต้ังกลับลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการท่ีรัฐธรรมนูญกาหนดให้การ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งว่าเป็นหน้าที่ จะกอ่ ใหเ้ กิดผลดกี ว่าการกาหนดให้การไปใช้สิทธเิ ลือกตัง้ เป็นสิทธอิ ย่างไร ส่วนบทบัญญัติในหมวด ๔ หน้าท่ีของปวงชนชาวไทยน้ัน การกาหนดให้เป็นหน้าท่ีของปวงชน ชาวไทยบางหน้าที่มีบทกาหนดโทษไว้ในกฎหมายเฉพาะในกรณีที่ไม่กระทาตามหน้าท่ี เช่น มาตรา ๕๐ (๙) บัญญัติว่าต้อง “เสียภาษีอากรตามท่ีกฎหมายบัญญัติ” หากบุคคลใดไม่เสียภาษีก็มีบทลงโทษ เป็นต้น แต่หน้าท่ี ในบางเรื่องเช่น ในมาตรา ๕๐ (๑) ซึ่งบัญญัติว่า “หน้าที่ในการพิทักษร์ ักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือในมาตรา ๕๐ (๘) ซ่ึงบัญญัติว่า “ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองส่ิงแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลาย ทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม” ไม่มีความชัดเจนว่าหากไม่ปฏิบัติหน้าท่ีแล้วจะมีสภาพบังคับ หรอื มาตรการลงโทษอย่างไร ส่วนประเด็นท่ีท่ีประชุมคณะอนุกรรมาธิการอภิปรายแสดงความเห็นว่าบทบัญญัติในมาตรา ๕๐ ควรเปลี่ยนจากคาว่า “บุคคลมีหน้าท่ี” เป็นคาว่า “ปวงชนชาวไทยมีหน้าที่” หรือใช้คาอื่นนั้น ไม่เห็นด้วย เน่ืองจากหน้าท่ีในบางเร่ือง เช่น หน้าท่ีในการรับราชการทหาร ประชาชนมีความเข้าใจกันโดยทั่วไปแล้วว่า “บุคคล” ท่ีมีหน้าที่รับราชการทหารหมายถึงเฉพาะชายไทยที่มีอายุครบยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์ มิได้หมายความ รวมถึงสุภาพสตรีด้วย ซึ่งหากเปลี่ยนจากคาว่า “บุคคล” เป็นคาว่า “ปวงชนชาวไทย” ก็จะหมายความรวมถึง ทุกคนโดยไม่มขี ้อยกเวน้ บทสรุป จากการอภิปรายของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น น้ัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๔ หนา้ ที่ของปวงชนชาวไทย ซ่ึงประกอบดว้ ยบทบญั ญตั ิมาตรา ๕๐ ซ่งึ บัญญตั ิว่า “บคุ คลมีหนา้ ที่ ดังต่อไปน้ี (๑) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ (๒) ป้องกันประเทศ พิทกั ษร์ ักษาเกยี รตภิ มู ิ ผลประโยชนข์ องชาติ และสาธารณสมบตั ิของแผน่ ดิน รวมทั้งใหค้ วามรว่ มมอื ในการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั

๒๘ (๓) ปฏบิ ัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด (๔) เข้ารบั การศกึ ษาอบรมในการศึกษาภาคบงั คับ (๕) รับราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ (๖) เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทาการใดที่อาจก่อให้เกิด ความแตกแยกหรือเกลยี ดชงั ในสงั คม (๗) ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ เป็นสาคัญ (๘) ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองส่ิงแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ รวมท้งั มรดกทางวฒั นธรรม (๙) เสียภาษอี ากรตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ (๑๐) ไมร่ ว่ มมอื หรือสนบั สนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรปู แบบ” โดยได้มีการอภิปรายถงึ ประเดน็ ปญั หา และข้อเสนอแนะ ดังน้ี ๑. ประเด็นเกย่ี วกับคาวา่ “บุคคล” ๑.๑ ประเดน็ ปญั หา การบญั ญัติโดยใช้คาวา่ “บุคคล” น้นั ย่อมรวมถงึ บคุ คลทุกคน ไม่วา่ จะอายุเทา่ ใด หรือมี สัญชาติใด ซ่ึงอาจจะไม่เหมาะสม เน่ืองจากบางหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๐ ข้างต้นน้ัน ถูกจากัด ไม่ได้หมายถึงบคุ คลทุกคน ๑.๒ ขอ้ เสนอแนะ แนวทางทห่ี น่งึ ๒๔ : ปรบั คาวา่ “บคุ คล” ใหส้ อดคล้องกบั บทบัญญตั ใิ นแตล่ ะเร่ือง แนวทางท่ีสอง๒๕ : ควรใช้คาว่า “ปวงชนชาวไทยมีหน้าท.่ี .” แทนคาวา่ “บุคคล” เพ่อื ให้ สอดคลอ้ งกับช่อื หมวด ๒. ประเดน็ เก่ยี วกบั การกาหนดใหก้ ารเลือกตงั้ เปน็ หนา้ ท่ี ๒.๑ ประเดน็ ปญั หา การท่ีรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกาหนดให้การเลือกต้ังเป็นหน้าที่ จึงมีปัญหาว่า เปน็ การลิดรอนสทิ ธเิ สรีภาพของประชาชนหรือไม่ และอาจไม่เหมาะสม ๒.๒ ขอ้ เสนอแนะ แนวทางท่ีหน่ึง๒๖ : ควรกาหนดให้การเลอื กตง้ั เป็นสทิ ธิ แนวทางที่สอง๒๗ : ถ้าหากต้องการให้การเลือกต้ังเป็นหน้าท่ีแล้ว ก็ควรตัดคาว่า “ไป” ในมาตรา ๕๐ (๗) ออก ๒๔ ความเห็นของรองศาสตราจารยส์ มชัย ศรีสุทธยิ ากร และนายเสรี เยาวะ ๒๕ ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชยั เกษม นติ ิสริ ิ ๒๖ ความเหน็ ของนายนกิ ร จานง และนายพนัส ทัศนียานนท์ ๒๗ ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชยั เกษม นติ ิสิริ

๒๙ ๓. ประเดน็ เก่ยี วกับผลทจ่ี ะตอ้ งไดร้ ับถ้าหากไม่ปฏบิ ตั ติ ามหนา้ ทท่ี ีร่ ฐั ธรรมนูญกาหนด ๓.๑ ประเด็นปญั หา รฐั ธรรมนญู กาหนดเร่อื งหนา้ ที่ของรฐั แตไ่ ม่ได้บญั ญัติให้ชัดเจนว่าในกรณีทไ่ี ม่ปฏิบัติตาม หน้าทแ่ี ลว้ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ หน้าทต่ี าม (๑) (๘) และ (๙) จะเกดิ ผลอยา่ งไร หรือจะต้องได้รับโทษอยา่ งไร ๓.๒ ข้อเสนอแนะ ควรมีการทบทวนว่าในกรณีที่มีการบัญญตั ิเร่ืองหนา้ ท่ีไว้ แต่ไม่ปฏิบตั ิตาม ควรจะกาหนด ผลอยา่ งไร๒๘ ๒๘ ความเห็นของนายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา

๓๐ สว่ นที่ ๔ ผลการพจิ ารณาศึกษา หมวด ๕ หน้าท่ขี องรฐั ท่ีประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้อภิปรายแสดงความเห็นเก่ียวกับประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติม รฐั ธรรมนญู หมวด ๕ หน้าทีข่ องรฐั โดยมสี าระสาคัญ ดงั นี้ ๑. ประเดน็ บทบญั ญัตมิ าตรา ๕๑ ความเหน็ ของนายไพบลู ย์ นติ ติ ะวนั ประธานคณะอนกุ รรมาธิการ จากความในรัฐธรรมนูญมาตรา ๕๑ ซึ่งบัญญัติว่า “ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมาย บัญญัติ” หากพิจารณาประกอบมาตรา ๒๕ วรรคสองที่บัญญัติไว้ว่า “สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกาหนด หรือให้เป็นไปตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการที่กฎหมายกาหนด แม้ยังไม่มีการตรา กฎหมายน้ันขึ้นใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพน้ันได้ตามเจตนารมณ์ของ รัฐธรรมนูญ” ดังน้ัน การใช้สิทธิหรือเสรีภาพย่อมสามารถกระทาได้แม้จะยังไม่มีการกาหนดหลักเกณฑ์และ วิธีการท่ีกฎหมายกาหนด ส่วนกรณีท่ีชุมชนฟ้องร้องหน่วยงาน หากไม่สามารถดาเนินการได้ตามมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประชาชนหรือชุมชนสามารถ ดาเนินการตามมาตรา ๔๑ (๓) ประกอบมาตรา ๒๕ วรรคสองได้ ส่วนหลักการตามมาตรา ๒๕ วรรคสองบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เคยมีการบัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ กล่าวคือ มาตรา ๒๕ กาหนดให้สิทธิเสรีภาพ ทรี่ ัฐธรรมนูญรับรองกาหนดให้ตอ้ งเป็นไปตามท่กี ฎหมายบัญญัติน้ัน สามารถมีผลใช้บังคับได้เลย ซึ่งในการร่าง รัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาท่ีจะนาหลักการดังกล่าวมาใช้เช่นกันให้มี ผลบังคับทันที เม่ือมีพิจารณาในหมวดกฎหมายปฏิรูป หรือบทเฉพาะกาลจะเห็นว่าถูกบังคับด้วยเง่ือนเวลา ซง่ึ เป็นการบงั คบั ใหค้ ณะรัฐมนตรีดาเนินการ ความเหน็ ของนายนิกร จานง เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธกิ าร บทบัญญัติในหมวด ๕ หน้าท่ีของรัฐ เปน็ บทบงั คับให้รัฐมีหนา้ ท่ีที่จะต้องกระทาในเรื่องต่าง ๆ ตามที่กาหนดไว้ อย่างไรกต็ าม สิทธิในการฟ้องหน่วยงานของรัฐตามบทบัญญัติในมาตรา ๕๑ ที่บญั ญตั ิความว่า “รวมตลอดทั้งฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้ประชาชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายบัญญัติ” ความมุ่งหมายของการบัญญัติข้อความดังกล่าวมุ่งหมายให้สิทธิ แก่ประชาชนในการฟ้องหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพ่ือให้ประชาชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ดังนั้น จะต้องสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนว่ารัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติรองรับการใช้สิทธิของประชาชนในการฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐท่ีเก่ียวข้องให้ดาเนินการตามหน้าท่ี ที่รัฐธรรมนญู ได้กาหนดไว้ รัฐธรรมนูญมาตรา ๕๑ ถือเป็นเรื่องใหม่ที่มีการนาบัญญัติไว้ในหมวด ๕ หน้าท่ีของรัฐ ซึ่งจะต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิทธิดังกล่าว กรณีถ้อยคาที่บัญญัติไว้ว่า “ตามหลักเกณฑ์และ วิธีการท่ีกฎหมายบัญญัติ” ควรพิจารณาแนวทางของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เท่านั้น ไม่ควรพิจารณาถึงอานาจหน้าที่ของศาลอ่ืน ซ่ึงหากประเด็นใด

๓๑ ทีย่ ังไม่มีความชัดเจน ควรแก้ไขเพ่ิมเติมให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุมสิทธิของประชาชนตามที่มาตรา ๕๑ กาหนดรับรองไว้ โดยประชาชนต้องสามารถฟอ้ งรอ้ งของรัฐได้ทุกกรณี ความเหน็ ของรองศาสตราจารยป์ ิยบุตร แสงกนกกลุ โฆษกคณะอนกุ รรมาธกิ าร หลักการท่ีบัญญัติในมาตรา ๕๑ ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นบทบัญญัติท่ีก่อให้เกิดสิทธิ เรียกร้องในการฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ กรณีที่รัฐไม่สามารถดาเนินการตามหน้าท่ีที่กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ได้ อย่างไรก็ตาม การบัญญัติความว่า “รวมตลอดทั้งฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้อง เพอื่ จัดให้ประชาชน หรือชุมชนไดร้ ับประโยชน์นนั้ ตามหลกั เกณฑ์และวิธกี ารทก่ี ฎหมายบัญญัติ” ทาใหเ้ กิดปัญหาในทางวิธีพิจารณา ความ เน่ืองจากจะต้องมีการพิสูจน์ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้เสียหายจริงหรือไม่ ดังนั้น ประเด็นท่ีต้องพิจารณาคือ จาเป็นต้องบัญญตั ิความว่า “รวมตลอดทั้งฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐที่เก่ียวข้อง เพื่อจัดให้ประชาชนหรือชุมชน ได้รับประโยชน์นั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายบัญญัติ” ไว้ในมาตรา ๕๑ หรือไม่ เนื่องจากสิทธิของ ผ้ฟู ้องคดวี ่าจะสามารถดาเนนิ การฟ้องรอ้ งดาเนินคดีไดห้ รอื ไม่จะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่กฎหมาย บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะด้วย เช่น การฟ้องคดีต่อศาลปกครองสิทธิในการฟ้องคดีจะกว้างกว่าการฟ้องคดี ต่อศาลยุติธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ บทบัญญัติในมาตรา ๕๑ จึงเป็นเพียงการเปิดช่องทางให้ประชาชนมีสิทธิในการ ฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ แต่ศาลจะรับหรือไม่จะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้ เปน็ การเฉพาะประกอบดว้ ย พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔๒ บัญญัติว่า “ความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ี ยงได้” เป็นการเปิดโอกาสให้ศาลมีอานาจตีความเก่ียวกับความเดือดร้อนหรือเสียหาย ซ่ึงบางกรณีตีความอย่างแคบ หรือบางกรณีมีการตีความอย่างกว้าง ไม่สามารถวางแนวทางเก่ียวเรื่องดังกล่าวได้อย่างชัดเจนและส่งผล ต่อการรับฟ้องคดีของศาลปกครอง เน่ืองจากกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองได้รับแนวคิดมาจาก ประเทศฝรั่งเศสที่มีลักษณะเปิดกว้างโดยให้ศาลปกครองเป็นผู้กาหนดหลักเกณฑ์ ประกอบกับประโยชน์ สาธารณะเป็นเรื่องที่รัฐเป็นผู้ดูแล การท่ีประชาชนจะฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐได้ต้องมีการรวมตัวกัน เป็นสมาคม หากจะฟ้องหน่วยงานของรัฐโดยประชาชนคนใดคนหนึ่งเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ มักจะเกิดปัญหาเสมอ ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของศาลยุติธรรมที่กาหนดแนวทางการฟ้องคดีของประชาชน ท่ีถูกกระทบสิทธิไว้อย่างชัดเจน โดยประชาชนที่ถูกกระทบสิทธิถือเป็นผู้เสียหายท่ีมีสิทธิยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลยุตธิ รรมได้ การที่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญไว้ว่า “ท้ังน้ีตามท่ีกฎหมายบัญญัติ” หากยังไม่มีกฎหมาย บัญญัติสิทธิดังกล่าวเกิดข้ึนหรือไม่ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ แก้ไขปัญหา ดังกล่าว โดยกาหนดให้สิทธิท่ีรัฐธรรมนูญรับรองไว้เกิดข้ึนแม้จะยังไม่มีการบัญญัติกฎหมาย ถือว่าสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญเกิดข้ึนแล้ว ซ่ึงในการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญเคยมีแนวคิดท่ีจะนาคาร้องของที่ปรากฏ ในรัฐธรรมนูญของโปรตุเกตหรือลาตินอเมริกามาใช้ คือคาฟ้องแบบ “Omission” เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญ กาหนดให้รัฐสภาออกกฎหมายแต่รัฐสภาไม่ออกกฎหมายตามท่ีรัฐธรรมนูญบัญญัติน้ัน สามารถนาเรื่ อง ไ ป ร้ อ ง ต่ อ ศ า ล รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ใ ห้ ด า เ นิ น ก า ร ใ ห้ รั ฐ ส ภ า ด า เ นิ น ก า ร ต า ม ร ะ ย ะ ท่ี ศ า ล รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ก า ห น ด แตถ่ ้าไมด่ าเนินการก็ไมส่ ามารถมมี าตรการลงโทษแกส่ ภา แตโ่ ดยหลกั สภาก็ดาเนินการ

๓๒ ความเห็นของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ทีป่ รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ ความว่า “เพ่ือจัดให้ประชาชนและชุมชนได้รับประโยชน์น้ันตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ท่ีกฎหมายกาหนด” ในมาตรา ๕๑ ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ควรพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า ข้ันตอนการร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๕๑ ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องการให้ตรากฎหมายที่เก่ียวกับ เร่ืองนี้โดยตรง ซ่ึงอาจจะไม่เก่ียวข้องกับพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแพ่งเท่านั้นหรือไม่ หากต้องการให้ตรากฎหมายขึ้นใหม่ เป็นการเฉพาะและเกี่ยวข้องกับเร่ืองน้ีโดยตรง ได้มีการดาเนินการ หรือมีแนวคิดในการดาเนินการเก่ียวกับ เรอ่ื งนีอ้ ย่างไร ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชยั เกษม นิตสิ ริ ิ รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คาว่า “ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายกาหนด” ในมาตรา ๕๑ ของรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจบุ นั เป็นกรณที ต่ี อ้ งตรากฎหมายเพือ่ มารองรับสทิ ธขิ องประชาชน ซ่ึงทผี่ า่ นมารฐั บาลยงั ไม่ให้ความสาคัญใน การตรากฎหมายเพื่อมารองรับสิทธิของประชาชนเท่าท่ีควร โดยในหมวดหน้าที่ของรัฐได้กาหนดสิทธิของ ประชาชนไว้เป็นจานวนมากแต่ไม่สามารถดาเนินการได้ในทางปฏิบัติ แม้บางเร่ืองมีการตรากฎหมายเพ่ือมา รองรับสิทธิของประชาชน แต่กฎหมายดังกล่าวก็จะจากัดสิทธิของประชาชนเพื่อไม่ให้ฟ้องหน่วยงานของรัฐได้ เช่นเดียวกัน ความเห็นของนายพนัส ทศั นียานนท์ ทีป่ รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ การบัญญัติคาว่า “ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายกาหนด” ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๕๑ มีลักษณะเช่นเดียวกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่กาหนดว่า “ท้ังน้ีตามท่ีกฎหมายบัญญัติ” ซ่ึงกรณีดังกล่าวเคยมี คาพิพากษาของศาลฎีกาพิพากษาในคดีอ่าวมาหยาซ่ึงเป็นคดีส่ิงแวดล้อมด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยกาหนด ไว้ว่าตราบใดท่ียังไม่มีการบัญญัติกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกาหนดย่อมถือว่าสิทธิดังกล่าว ยังไม่มีการรับรอง ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาในการใช้สิทธิของประชาชนในฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับปัญหา ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดยตามหลักกฎหมายของสหรัฐอเมริกากาหนดให้ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะได้รับ ความเสียหายหรือไม่ มีสิทธิท่ีจะฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐได้ทุกคน ซ่ึงเดิมการดาเนินการของรัฐที่อาจกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมกาหนดให้เป็นสิทธิของประชาชนที่จะได้รับทราบข้อมูลก่อนท่ีรัฐจะดาเนินการ แต่รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน ได้กาหนดให้เร่ืองดังกล่าวเป็นหน้าท่ีของโดยมาตรา ๕๘ จะกาหนดให้เร่ืองดังกล่าวเป็นหน้าที่ ของรัฐท่ีจะจัดให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ถ้ารัฐไม่ดาเนินการแล้ว ประชาชน จะใช้สิทธิในการฟอ้ งรอ้ งอยา่ งไร จงึ เหน็ ว่าควรกาหนดหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารเกีย่ วกับเรือ่ งดังกล่าวให้ชัดเจน ความเห็นของผชู้ ่วยศาสตราจารยว์ ชิ ชุกร นาคธน ท่ปี รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ เม่ือพิจารณาพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔๒ ได้กาหนดเง่ือนไขการเป็นผู้เสียหายที่มีอานาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองไว้ ทาให้คดี บางเร่ืองแม้จะเกิดความเสียหายต่อสาธารณะและสังคมส่วนรวม แต่เม่ือมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ศาลกลับมีคาพิพากษาว่าผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้เสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นช่องว่างทางกฎหมายในการปกป้องประโยชน์ สาธารณะ ดังน้ัน หากมีการปรับปรุงหลักการในรัฐธรรมนูญมาตรา ๕๑ หรือการปรับปรุงพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิ ในการฟ้องรอ้ งหนว่ ยงานของรัฐไดง้ า่ ยขน้ึ ก็จะเกิดประโยชนต์ ่อประเทศชาติและประชาชน

๓๓ ในรฐั ธรรมนูญมาตรา ๕๑ คาว่า “ตามหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารทก่ี ฎหมายบัญญัติ” กรณีดังกลา่ ว ต้องตรากฎหมายเพ่ือมารองรับสิทธิของประชาชนหรือไม่ เน่ืองจากสิทธิการฟ้องร้องคดีของประชาชนต่อ หน่วยงานของรัฐตามท่ีกาหนดไว้ในมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี ปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ วางหลักเกณฑ์การเป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องหน่วยของรัฐไว้ค่อนข้างแคบ บางกรณี ไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐได้หรือไม่สามารถฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐได้ หากต้องดาเนินการตรากฎหมายขึ้นใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อให้การใช้สิทธิของประชาชนกระทาได้ง่ายข้นึ ย่อมจะเกิดประโยชนต์ ่อประชาชน เปน็ อย่างมาก ดังนน้ั ควรพิจารณาและดาเนินการในเร่ืองดังกลา่ วใหเ้ กิดความชัดเจน นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้การใช้สิทธิของประชาชนในการฟ้องร้องหน่วยงานเกิดปัญหา ในทางปฏิบัติ อาจจะเพิ่มความในรัฐธรรมนูญมาตรา ๕๑ โดยกาหนดระยะที่ต้องดาเนินการตรากฎหมาย เก่ยี วกบั หลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการในเรอื่ งดังกล่าว โดยกาหนดใหต้ ้องดาเนินการตรากฎหมายภายใน ๒ ปี ๒. ประเด็นบทบญั ญัติมาตรา ๕๔ ความเหน็ ของผชู้ ่วยศาสตราจารย์วิชชกุ ร นาคธน ทีป่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ การกาหนดระยะเวลาการศึกษาของภาครัฐนั้น ย่ิงนานเท่าใดยิ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อเด็กและ เยาวชน เนื่องจากวิวัฒนาการของโลกในปัจจุบนั ท่ีเปลี่ยนแปลงไป การได้รับองค์ความรู้มิได้จากัดอยู่แต่เฉพาะ ในโรงเรียนหรือห้องเรียนเท่านั้น ประกอบการเข้าถึงความรู้ในปัจจุบันสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้ หลายช่องทาง การกาหนดบังคับให้เด็กและเยาวชนจะต้องได้รับการศึกษาเฉพาะในโรงเรียนอาจก่อให้เกิด ผลเสียมากกว่าผลดีแก่ตัวเด็กและเยาวชน ดังน้ัน รัฐธรรมนูญจึงควรบัญญัติเฉพาะหลักการกว้าง ๆ สว่ นรายละเอียดควรนาไปกาหนดไว้ในกฎหมายลาดับรองจงึ จะมีความเหมาะสมมากกวา่ ความเหน็ ของรองศาสตราจารย์สมชัย ศรีสทุ ธยิ ากร รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ ประเด็นเร่ืองการจัดการศึกษาให้แก่เด็กให้ได้รับการศึกษาจนจบการศึกษาภาคบังคับ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายน้ัน ส่วนหนึ่งมาจากการท่ีรัฐไม่มีงบประมาณท่ีเพียงพอในการให้เด็กได้รับการศึกษา ที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับคือสูงกว่าการศึกษาช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หรือเทียบเท่าขึ้นไป ฉะน้ัน การที่ คณะอนุกรรมาธิการเห็นว่าควรขยายระยะเวลาการจัดการศึกษาจากเดิมสิบสองปีเป็นสิบสี่ปีเพื่อให้ครอบคลุม ตั้งแต่การศึกษาก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายน้ัน จะต้องพิจารณาข้อมูลด้วยว่า จะเปน็ การสร้างภาระด้านงบประมาณของประเทศจานวยเท่าใดเปน็ ข้อมูลประกอบการพิจารณาดว้ ย ดังน้ัน เห็นว่ารูปแบบการบัญญัติในมาตรา ๕๔ วรรคหน่ึง ควรแยกการบัญญัติโดยในแต่ละ วรรคจะเป็นการบัญญัติท่ีเกี่ยวกับการศึกษาในแต่ละแบบ เช่น การศึกษาก่อนวัยเรียนจะต้องระบุให้ชัดเจนว่า การศึกษาก่อนวัยเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้ังแต่อายุเท่าใดจนถึงอายุเท่าใด ส่วนการศึกษาภาคบังคับ กค็ วรใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายทบ่ี ัญญัตไิ ว้เปน็ การเฉพาะ เปน็ ตน้ ความเห็นของนายนกิ ร จานง เลขานุการคณะอนุกรรมาธกิ าร การกาหนดหน้าท่ีของรัฐในเรื่องการจัดการศึกษาตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา ๕๔ ซ่ึงบัญญัติว่า “รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียน จนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมคี ุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จา่ ย” นน้ั ถือว่าเป็นแนวคดิ ท่ีดีในเรื่องการกาหนดให้ รัฐมีหน้าท่ีจะต้องสนับสนุนและให้ความสาคัญกับการจัดการศึกษาให้แก่เด็กเล็กก่อนวัยเรียน จนจบการศึกษา

๓๔ ภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่การกาหนดระยะเวลาในการได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตามท่ีบัญญัติในมาตรา ๕๔ น้ัน เร่ิมนับต้ังแต่การศึกษาก่อนวัยเรียนด้วย จึงทาให้การได้รับการศึกษาของเด็ก ไม่ครบถึงการศึกษาภาคบังคับ ดังน้ัน ควรพิจารณาแก้ไขเพ่ิมเติมบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในมาตรา ๕๔ โดยกาหนดให้รฐั ต้องดาเนินการให้เดก็ ทุกคนไดร้ ับการศึกษาเปน็ เวลาสิบสี่ปี ตั้งแตก่ ่อนวัยเรียนจนจบการศึกษา ภาคบังคับ เพอื่ ให้ครอบคลุมการศกึ ษาต้งั แต่กอ่ นวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบงั คับ ควรเขียนให้ชัดเจนว่า รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศกึ ษาเป็นเวลาสิบส่ีปี โดยเด็ก ก่อนวัยเรียนไดร้ ับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และได้รับการศึกษาจนจบการศึกษาภาคบงั คับอย่างมคี ุณภาพ โดยไมเ่ กบ็ คา่ ใช้จ่าย นอกจากนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหาบทบัญญัติในเร่ืองการจัดการศึกษา อาจกาหนดให้ เด็กก่อนวัยเรียนได้รับการสนับสนุนในรูปแบบสวัสดิการ ส่วนการศึกษาภาคบังคับให้ใช้รูปแบบเดียวกับท่ีเคย ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ความเหน็ ของนายไพบูลย์ นติ ติ ะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร บทบัญญัติในเร่ืองการกาหนดหน้าท่ีของรัฐในเรื่องการจัดการศึกษาตามที่บัญญัติใน รฐั ธรรมนูญมาตรา ๕๔ นน้ั ควรแกไ้ ขเปน็ ว่า “รัฐตอ้ งดาเนินการให้เด็กทกุ คนไดร้ ับการศกึ ษา ต้ังแต่กอ่ นวยั เรยี นจนจบการศกึ ษาภาคบังคับ เพื่อให้ครอบคลุมการศึกษาตัง้ แตก่ ่อนวยั เรยี นจนจบการศึกษาภาคบังคบั เปน็ เวลาสิบส่ีป”ี ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชยั เกษม นติ สิ ริ ิ รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร ในกรณีที่นโยบายของภาครัฐกาหนดปรับลดการศึกษาภาคบังคับต่ากว่าการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี ๓ หรือเทยี บเท่า ก็จะทาให้เกิดปัญหาแก่เด็กและเยาวชนในการไดร้ ับการศกึ ษาในอนาคตได้ หลักการในเรื่องการจัดการศึกษา ควรแก้ไขเพ่ิมเติมในลักษณะว่า “รัฐต้องดาเนินการให้ เด็กทุกคนได้รับการศึกษา ต้ังแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ทัง้ น้ี ตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ิ” ความเหน็ ของนายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา ท่ปี รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ การบัญญัติเร่ืองหน้าท่ีของรัฐในการดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยไมเ่ สียค่าใชจ้ ่ายน้ัน ควรพจิ ารณาประเด็นการกาหนดการศกึ ษาภาคบังคับด้วยว่าจะกาหนดไว้เฉพาะการจบ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หรือเทียบเท่าใช่หรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าในอนาคตอาจมีการขยายการศึกษาภาคบังคับให้ สงู กว่าช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ หรอื เทียบเท่า ดงั นั้น จึงไมเ่ ห็นด้วยกับการกาหนดระยะเวลาในการได้รบั การศกึ ษา ภาคบงั คับวา่ จะต้องเป็นระยะเวลาสบิ สองปี แตค่ วรกาหนดหลักการไวแ้ ต่เพียงวา่ “รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รบั การศึกษาตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ อย่างมคี ณุ ภาพโดยไมเ่ ก็บคา่ ใช้จา่ ย” โดยไม่ต้องกาหนดระยะเวลา ท้ังน้ี เพ่ือรองรับการขยายการศึกษาภาคบังคับในอนาคต ท่ีสูงกว่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หรือเทียบเท่า หรือควรเขียนให้ชัดเจนว่า รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคน ได้รับการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบส่ีปี จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการบังคับให้ภาครัฐจะต้องดาเนินการ ให้เด็กได้รบั การศกึ ษาตั้งแต่กอ่ นวยั เรียนจนจบการศึกษาภาคบงั คับเป็นเวลาไมน่ ้อยกว่าสบิ สี่ปี

๓๕ ๓. ประเด็นบทบัญญัติมาตรา ๕๖ ความเห็นของนายนกิ ร จานง เลขานุการคณะอนกุ รรมาธกิ าร บทบัญญัติในเรื่องการจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคข้ันพื้นฐานถือเป็นหน้าที่ของรัฐ ท่ีจะต้องดาเนินการจัดให้มีโครงสร้างหรือโครงข่ายข้ันพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคข้ันพ้ืนฐานของรัฐ อย่างไรก็ตาม การดาเนินการจัดให้มีโครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ของรัฐน้ัน จะต้องดาเนินการภายใต้เง่ือนไขท่ีว่ารัฐกระทาด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธ์ิของเอกชน หรือทาให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดมิได้ หากกรณีท่ีรัฐนาสาธารณูปโภคของรัฐไปให้เอกชน ดาเนินการทางธุรกิจไม่ว่าด้วยประการใด ๆ รัฐต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยคานึงถึง การลงทุนของรัฐ ประโยชน์ที่รัฐและเอกชนจะได้รับและค่าบริการท่ีจะเรียกเก็บจากประชาชนประกอบกัน ดังน้ัน เห็นว่าบทบัญญัติในเร่ืองการจัดหรอื ดาเนนิ การใหม้ ีสาธารณูปโภคข้ันพื้นฐานตามท่ีบัญญัติในมาตรา ๕๖ มีความเหมาะสมแล้ว และเป็นบทบัญญัติท่ีกาหนดหน้าท่ีของรัฐในเร่ืองการจัดหรือดาเนินการให้มี สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้มากกว่าที่เคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ความเห็นของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชยั เกษม นิตสิ ิริ รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร การกาหนดให้รัฐมีหน้าที่จัดให้มีสาธารณูปโภคข้ันพื้นฐาน โดยการบัญญัติว่า “ตามหลักการ พัฒนาอย่างยั่งยืน” อาจมีข้อถกเถียงเก่ียวกับขอบเขตการพัฒนาอย่างย่ังยืน และกรณีโครงสร้างหรือโครงข่าย ข้ันพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคข้ันพ้ืนฐานของรัฐที่กาหนดว่า “รัฐจะกระทาด้วยประการใดให้ตกเป็น กรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทาให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดมิได้” หากพิจารณาการดาเนินกิจการ ของรัฐหลาย ๆ อย่าง แม้รัฐจะเป็นเจ้าของกิจการแต่รัฐได้ทาสัญญาสัมปทานกับเอกชนโดยให้เอกชน เป็นผู้ดาเนินการแทนรัฐ กรณีดังกล่าวยังถือว่ารัฐยังมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการหรือไม่ ควรพิจารณา เรือ่ งดงั กลา่ วใหเ้ กดิ ความชดั เจนเพราะถอื เปน็ เรอื่ งสาคัญ และอาจจะเกิดปญั หาได้ในภายหลัง ความเหน็ ของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ทป่ี รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ การบัญญัติเร่ืองหน้าที่ของรัฐในการจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพ้ืนฐาน ในมาตรา ๕๖ วรรคสอง ท่ีกาหนดว่า “โครงสร้างหรือโครงข่ายข้นั พ้ืนฐานของกิจการสาธารณูปโภคขนั้ พ้ืนฐาน ของรัฐอันจาเป็นต่อการดารงชีวิตของประชาชนหรือเพ่ือความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทาด้วยประการใด ให้ตกเป็นกรรมสิทธ์ิของเอกชนหรือทาให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดมิได้” นั้น คาว่า “โครงสร้าง หรือโครงข่ายข้ันพ้ืนฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ” หมายความรวมถึงโรงไฟฟ้าด้วยหรือไม่ เน่ืองจากปัจจุบันภาครัฐมีกิจการโรงไฟฟ้าเป็นของตนเองและในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ภา คเอกชน สามารถดาเนินกิจการโรงไฟฟ้าได้ด้วย เช่นน้ี จะเป็นการขัดต่อหลักการท่ีบัญญัติในมาตรา ๕๖ หรือไม่ ห รื อ ก า ร ด า เ นิ น ง า น เ ก่ี ย ว กั บ โ ค ร ง ส ร้ า ง ห รื อ โ ค ร ง ข่ า ย ขั้ น พ้ื น ฐ า น ข อ ง กิ จ ก า ร ส า ธ า ร ณู ป โ ภ ค ข้ั น พ้ื น ฐ า น ในบางประเภทที่รัฐไม่สามารถดาเนินการเองได้ จะสามารถอนุญาตให้ภาคเอกชนเข้ามาดาเนินการแทนรัฐ จะสามารถดาเนินการได้หรือไม่ ดังน้ัน เห็นว่าการบัญญัติข้อความตามมาตรา ๕๖ เป็นข้อจากัด เกนิ ความจาเปน็ หรอื ไม่

๓๖ ๔. ประเด็นบทบญั ญัตมิ าตรา ๕๙ ความเหน็ ของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ท่ปี รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ มาตรา ๕๙ กาหนดให้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในความครอบครอง ของหน่วยงานของรัฐท่ีมิใช่ข้อมูลเก่ียวกับความม่ันคงของรัฐหรือเป็นความลับของทางราชการตามท่ีกฎหมาย กาหนด โดยหลักการตามมาตราดังกล่าวกาหนดให้รัฐต้องต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะ ในความครอบครองของหน่วยงานของรัฐ แต่หากมีการตรากฎหมายโดยกาหนดให้ข้อมูลใดเป็นข้อมูลเก่ียวกับ ความม่ันคงของรัฐหรือเป็นความลับของทางราชการจะทาให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสาร สาธารณะดังกล่าวได้ ซ่ึงถือว่าเป็นการจากัดสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสาธารณะ ในความครอบของหน่วยงานของรัฐเป็นอย่างมากหากพิจารณาเปรียบเทียบกับหลักกฎหมายในเร่ืองดังกล่าว กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกา การกาหนดให้ข้อมูลใดเป็นความลับจะกาหนดเง่ือนเวลาของการเป็น ความลับไว้ ถ้าพ้นกาหนดระยะเวลาท่ีกาหนดให้ข้อมูลดังกล่าวเป็นความลับ ข้อมูลดังกล่าวต้ องเปิดเผย เพ่ือให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบได้ เช่น ข้อมูลการสอบสวนการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี เป็นต้น ดังนั้น ควรมีการกาหนดเงื่อนเวลาให้เป็นข้อมูลท่ีเป็นความลับของทางราชการไว้ โดยกาหนดเป็น ระยะเวลา ๒๐ ปี บทสรุป จากการอภิปรายของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น น้ัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๕ หนา้ ทขี่ องรัฐ ซง่ึ ประกอบดว้ ยบทบัญญตั ิมาตรา ๕๑ ถงึ มาตรา ๖๓ ซึ่งมปี ระเด็นปญั หาและข้อเสนอแนะ ดงั นี้ ๑. ประเด็นบทบญั ญตั มิ าตรา ๕๑ มาตรา ๕๑ บัญญัตวิ ่า “การใดท่ีรัฐธรรมนูญบัญญตั ิให้เป็นหน้าที่ของรัฐตามหมวดนี้ ถ้าการน้ันเป็นการทาเพื่อใหเ้ กิด ประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง ย่อมเป็นสิทธิของประชาชนและชุมชนท่ีจะติดตามและเร่งรัดให้รัฐดาเนินการ รวมตลอดทั้งฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐท่ีเก่ียวข้อง เพื่อจัดให้ประชาชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ” ๑.๑ ประเดน็ ปญั หา ในส่วนที่มีการบัญญัติว่า “....ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายบัญญัติ” นั้น ทาให้เกิดคาถามว่าในกรณีท่ียังไม่มีกฎหมายบัญญัติแล้ว ประชาชนจะสามารถใช้สิทธิฟ้องรัฐตามบทบัญญัติ มาตราดงั กล่าวได้หรือไม่ ๑.๒ ขอ้ เสนอแนะ แนวทางที่หนึ่ง๒๙ : มีความเห็นว่า ถ้าหากอ่านประกอบกับมาตรา ๒๕ ซ่ึงรับรอง การใช้สิทธิของประชาชนท่ีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าสามารถใช้สิทธิได้แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ กถ็ ือวา่ ประชาชนย่อมใช้สทิ ธิได้ ๒๙ ความเหน็ ของนายไพบลู ย์ นติ ติ ะวนั และนายนกิ ร จานง

๓๗ แนวทางท่ีสอง๓๐ : ควรมกี ารทบทวนบทบญั ญัตดิ งั กล่าว และกาหนดใหช้ ัดเจน แนวทางท่ีสาม๓๑ : ควรแก้ไขเพ่ิมเติมมาตรา ๕๑ โดยกาหนดให้รัฐต้องดาเนินการ ตรากฎหมายดังกล่าวภายใน ๒ ปี ๒. ประเดน็ บทบัญญตั มิ าตรา ๕๔ มาตรา ๕๔ วรรคแรก บญั ญตั วิ า่ “รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบ การศกึ ษาภาคบงั คบั อยา่ งมีคณุ ภาพโดยไมเ่ กบ็ ค่าใชจ้ ่าย” ๒.๑ ประเด็นปญั หา การกาหนดให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี โดยนับต้ังแต่ก่อนวัยเรียน จนจบการศึกษาน้ัน จะทาให้ไมค่ รอบคลุมถงึ การศกึ ษาภาคบงั คบั ๒.๒ ข้อเสนอแนะ แนวทางท่ีหนึ่ง๓๒ : ควรกาหนดไว้เป็นหลักกว้าง ๆ ไม่ควรกาหนดปี เพราะย่ิงศึกษา ในการศึกษาของภาครัฐนานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะปัจจุบัน ประชาชนสามารถเข้าถึง แหลง่ ความรไู้ ดห้ ลายชอ่ งทาง ไมค่ วรต้องบังคับให้เยาวชนต้องไดร้ บั การศึกษาเฉพาะจากโรงเรยี น แนวทางท่ีสอง๓๓ : ควรบัญญัติให้ชดั เจนแยกตามระดับการศึกษาว่า การศกึ ษาก่อนวยั เรียน ที่รัฐจะจัดให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายน้ันมีก่ีปี เริ่มตั้งแต่อายุเท่าใด ส่วนการศึกษาภาคบังคับก็ให้เป็นไปตาม ท่กี ฎหมายกาหนดไว้ แนวทางท่ีสาม๓๔ : ควรบัญญัติให้ชัดเจนว่า “รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับ การศึกษา ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ เพื่อให้ครอบคลุมการศึกษาตั้งแต่ก่อนวัยเรียน จนจบการศึกษาภาคบงั คบั เป็นเวลาสิบสี่ปี” แนวทางที่สี่๓๕ : ควรบัญญัติไว้เป็นหลักโดยไม่ต้องระบุจานวนปี คือ “รัฐต้องดาเนินการ ใหเ้ ดก็ ทุกคนได้รับการศึกษาตั้งแต่ก่อนวัยเรยี นจนจบการศึกษาภาคบังคบั อย่างมีคุณภาพโดยไมเ่ ก็บคา่ ใชจ้ า่ ย...” ๓. ประเด็นบทบญั ญตั ิมาตรา ๕๖ มาตรา ๕๖ บัญญัตวิ า่ “รัฐต้องจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคข้ันพื้นฐานที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตของ ประชาชนอยา่ งท่ัวถงึ ตามหลกั การพฒั นาอย่างยง่ั ยนื โครงสร้างหรือโครงข่ายข้ันพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคข้ันพ้ืนฐานของรัฐอันจาเป็นต่อ การดารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความม่ันคงของรัฐ รัฐจะกระทาด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธ์ิ ของเอกชนหรือทาให้รัฐเปน็ เจ้าของนอ้ ยกว่าร้อยละห้าสบิ เอ็ดมิได้ ๓๐ ความเห็นของรองศาสตราจารย์ปยิ บตุ ร แสงกนกกลุ และความเหน็ ของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ๓๑ ความเห็นของผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ วชิ ชกุ ร นาคธน ๓๒ ความเห็นของผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ วชิ ชุกร นาคธน ๓๓ ความเห็นของรองศาสตราจารยส์ มชัย ศรสี ทุ ธยิ ากร ๓๔ ความเหน็ ของนายไพบลู ย์ นิติตะวนั และความเห็นของนายนิกร จานง ๓๕ ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พเิ ศษ) ชัยเกษม นติ ิสิริ และความเห็นของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา

๓๘ การจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง รัฐต้องดูแลมิให้มีการ เรยี กเก็บค่าบรกิ ารจนเปน็ ภาระแกป่ ระชาชนเกินสมควร การนาสาธารณูปโภคของรัฐไปให้เอกชนดาเนินการทางธุรกิจไม่ว่าด้วยประการใด ๆ รัฐต้อง ได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยคานึงถึงการลงทุนของรัฐ ประโยชน์ที่รัฐและเอกชนจะได้รับ และค่าบริการทจ่ี ะเรียกเก็บจากประชาชนประกอบกัน” ๓.๑ ประเดน็ ปัญหา การบัญญัติในวรรคสองไม่มีความชัดเจน ว่า “โครงสร้างหรือโครงข่ายข้ันพื้นฐาน ของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพ้ืนฐาน” หมายถึงอะไรบ้าง และคาว่า “ตกเป็นกรรมสิทธ์ิของเอกชน” นั้น หมายความเพียงใด ๓.๒ ขอ้ เสนอแนะ ควรมกี ารทบทวนและบญั ญัตใิ หช้ ัดเจน๓๖ ๔. ประเด็นบทบัญญตั มิ าตรา ๕๙ มาตรา ๕๙ บัญญตั ิว่า “รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐท่ีมิใช่ข้อมูล เกี่ยวกับความม่ันคงของรัฐหรือเป็นความลับของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชน เข้าถงึ ข้อมูลหรอื ขา่ วสารดงั กล่าวไดโ้ ดยสะดวก” ๔.๑ ประเด็นปัญหา บทบัญญัติดังกล่าวขาดการบัญญัติเงื่อนเวลาสาหรับการเปิดเผยข้อมูลท่ีเป็นความลับ ของทางราชการไว้ ๔.๒ ขอ้ เสนอแนะ ควรกาหนดเง่ือนเวลาในการเปิดเผยข้อมูลความลับของทางราชการไว้ โดยกาหนดเป็น ระยะเวลา ๒๐ ปี๓๗ ๓๖ ความเหน็ ของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ และความเห็นของนายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา ๓๗ ความเหน็ ของนายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา

๓๙ ส่วนที่ ๕ ผลการพจิ ารณาศกึ ษา หมวด ๖ แนวนโยบายแหง่ รัฐ ท่ีประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้อภิปรายแสดงความเห็นเก่ียวกับประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนญู หมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ โดยมีสาระสาคัญ ดังนี้ ๑. ประเด็นเก่ยี วกบั การบัญญัติบทบญั ญตั เิ รือ่ งแนวนโยบายแห่งรฐั ความเห็นของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ทปี่ รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ จากความท่ีกาหนดวา่ “เป็นแนวทางให้รัฐดาเนินการตรากฎหมายและกาหนดนโยบายในการ บริหารราชการแผ่นดิน” ซึ่งการใช้ถ้อยคาลักษณะนี้ หมายความว่าบทบัญญัติในหมวดน้ีน้ันเป็นการกาหนด แนวทางการดาเนินงานของรัฐโดยไม่ได้บังคับให้รัฐต้องดาเนินการ และในทางปฏิบัติก็ได้มีการกาหนด รายละเอียดต่าง ๆ ให้รัฐต้องดาเนินการเป็นอย่างมาก ดังน้ัน จึงเห็นวา่ หากจะคงหมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ ไว้น่าจะเป็นเร่ืองท่ีดมี ากกว่าท่ีไม่มกี ารกาหนดไว้ ความเหน็ ของผ้ชู ่วยศาสตราจารย์วิชชกุ ร นาคธน ท่ีปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ การบัญญัติเร่ืองแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐถือเป็นการกาหนดให้รัฐพึงดาเนินการ ตามท่ีกาหนดไว้ในหมวดนี้เฉพาะทีบ่ ัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ จึงเกิดคาถามตามมาว่า เรือ่ งอ่ืนที่ไม่ได้กาหนดไว้ ถือเป็นเรื่องท่ีรัฐไม่ต้องดาเนินการหรือไม่ ประเด็นดังกล่าวควรทาให้เกิดความชัดเจน หรือหากจะตัดหมวดน้ี ทั้งหมดก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาเพราะการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลสามารถดาเนินการตามกฎหมายอื่น หรือนโยบายของแต่ละกระทรวงได้ ความเหน็ ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร เห็นว่าประเด็นที่กาหนดให้รัฐพึงต้องดาเนินการ หากเป็นเร่ืองที่ไม่ได้นามาบัญญัติไว้ใน รฐั ธรรมนญู รัฐจะตอ้ งดาเนนิ การหรือไม่ เป็นประเดน็ ทีค่ วรนาพิจารณาต่อไป ความเหน็ ของรองศาสตราจารย์ปยิ บุตร แสงกนกกุล โฆษกคณะอนุกรรมาธิการ การกาหนดหมวดว่าด้วยนโยบายแห่งรัฐท่ีกาหนดให้รัฐพึงดาเนินการในเร่ืองต่าง ๆ ทาให้เกิด คาถามตามมาว่า หากรัฐไม่ดาเนินการจะมีมาตรการลงโทษรัฐหรือไม่ ซึ่งถ้าต้องการที่จะบังคับให้รัฐ ต้องดาเนินการ ควรนาไปบัญญัติไว้ในหมวด ๕ หน้าท่ีของรัฐ การกาหนดหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านมา เป็นเพียงการกาหนดเพ่ือให้รัฐบาลที่แถลงนโยบายก่อนเข้ารับ ตาแหนง่ ระบวุ า่ นโยบายของรฐั บาลสอดคล้องกับแนวนโยบายแหง่ รัฐเรื่องใด ความเหน็ ของรองศาสตราจารย์สมชัย ศรสี ุทธยิ ากร รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร แนวนโยบายของรัฐเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเป็นผู้ดาเนนิ การ ซ่ึงอาจจะมีท่ีมาจากความตอ้ งการ ของประชาชน หรือการรวบรวมปัญหาของหน่วยงานรัฐเสนอให้รัฐบาลเพื่อตัดสินใจในการดาเนินการ เป็นต้น ซ่ึงนโยบายต้องเป็นส่ิงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยรัฐบาลที่เข้ามาบริหารราชการ แผน่ ดินในแตช่ ว่ งเวลาจะตอ้ งกาหนดนโยบายทเ่ี กิดจากการพิจารณาปัญหาที่เกิดข้นึ ณ ชว่ งเวลานัน้ นอกจากน้ี มีข้อสงั เกตจากถ้อยคาตามรัฐธรรมนญู หมวดน้ที ่ีใช้ถ้อยว่า “รฐั พงึ ” ซึ่งหมายความ ว่ารัฐจะดาเนินการหรือไม่ดาเนินการก็ได้ แต่พระราชบัญญัติการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นกฎหมายท่ีตราข้ึนเพื่อรองรับบทบัญญัติมาตรา ๖๕ กาหนดให้รัฐต้องดาเนินการตามกาหนดระยะเวลา

๔๐ ที่กฎหมายกาหนด หากรัฐไม่ดาเนินการจะมีมาตรการลงโทษ ดังน้ัน จึงเหน็ ว่าควรตัดหมวด ๖ นโยบายของรัฐ ออกท้ังหมด หากเรื่องใดท่ีกาหนดไว้ในหมวดดังกล่าวและมีลักษณะเป็นสิ่งท่ีดีท่ีรัฐจะต้องดาเนินการ กค็ วรนาไปบัญญัตใิ นหมวด ๕ หนา้ ที่ของรัฐ เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสมบรู ณ์ ความเห็นของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชยั เกษม นิตสิ ริ ิ รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร หมวดแนวนโยบายของรัฐไม่ควรนามาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นเร่ืองของ ประชาชนในแต่ละสถานการณ์ โดยสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้พิจารณาและเห็นชอบท่ีจะดาเนินการ และเร่ืองใดท่ีบัญญัติไว้ในหมวดนี้และถือเป็นเรื่องสาคัญก็ควรนาไปบัญญัติไว้ในหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ซ่ึงกาหนดให้รฐั มีหน้าท่ีต้องดาเนินการ ที่สาคัญ สงั เกตจากจากการใช้ถ้อยคาในหมวดน้ี ทีม่ ักใช้คาว่า “รัฐพึง” ย่อมมคี วามหมายว่ารฐั จะดาเนนิ การหรือไมด่ าเนินการก็ได้ จงึ ไมค่ วรนามาบัญญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนญู อย่างไรก็ตาม หากจะคงหมวด ๖ แนวนโยบายของรัฐไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นเดิม ก็ควรบัญญัติไว้ เพียงมาตราเดียว โดยกาหนดว่า “แนวนโยบายแห่งรัฐให้เป็นไปตามนโยบายท่ีรัฐมนตรีกาหนด โดยความเห็นชอบ ของรัฐสภา” ความเห็นของนายนกิ ร จานง เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ แนวนโยบายของรัฐควรให้ประชาชนเป็นผู้กาหนดโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งและ พรรคการเมือง ซึ่งรัฐบาลต้องนามากาหนดเป็นนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการและปัญหาของประชาชนโดยตรง และไม่สามารถกาหนดไว้ล่วงหน้าได้ เน่ืองจากเป็นเรื่องท่ีเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น จึงไม่เห็นด้วยในการนาแนวนโยบายของรัฐมากาหนดไว้ ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนญู ท้งั น้ี หากจะกาหนดแนวนโยบายของรัฐไว้ในรฐั ธรรมนูญ ควรกาหนดในลักษณะเปน็ วสิ ัยทัศน์ ไม่ควรกาหนดรายละเอียดมากเกินไป เพราะจะทาให้เกิดปัญหาในการดาเนินการของรัฐ ท่ีสาคัญ ยุทธศาสตร์ ต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้เพอ่ื ให้สอดคล้องกบั สถานการณ์และเวลา ณ ช่วงนั้นซ่ึงสอดคล้องกบั พระราชบัญญัติ การจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่กาหนดให้สามารถทบทวนยุทธศาสตร์ชาติได้ทุกห้าปี และเห็นว่า การจัดทายุทธศาสตรช์ าติต้องจัดให้มกี ารรับฟงั ความเห็นของประชาชนด้วย ๒. ประเด็นบทบัญญัตมิ าตรา ๖๕ การจดั ทายทุ ธศาสตร์ชาติ ความเห็นของนายนิกร จานง เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ การกาหนดเรื่องการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ ทาให้เกิดการจากัดว่ารัฐต้องดาเนินการพัฒนาประเทศได้เฉพาะที่กาหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติเท่าน้ัน และการนาเรื่องดังกล่าวมากาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญก็ทาให้การแก้ไขกระทาได้ยาก หากต้องการกาหนด เรื่องดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญควรมีลักษณะแบบกว้าง ไม่เคร่งครัดจนเกินไป และสามารถปรับเปล่ียนได้ ตามสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนในช่วงเวลา ณ ขณะนั้น ที่สาคัญ การกาหนดยุทธศาสตร์ชาติควรกาหนด โดยประชาชนไมใ่ ช่โดยบทบัญญัตขิ องรฐั ธรรมนูญ นอกจากนี้ เห็นว่ายุทธศาสตร์ชาติตามที่บัญญัติในมาตรา ๖๕ ของรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นเพียงวิสัยทัศน์ท่ีเป็นกรอบและเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยไม่ได้กาหนดระยะเวลาของ การดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติไว้ ส่วนการกาหนดระยะเวลาท่ีต้องดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ได้กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกระบวนการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ

๔๑ ไม่มีการรับฟังความเห็นของประชาชนและให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และเห็นว่าการจัดทายุทธศาสตร์ ควรต้องดาเนินการภายหลังการปฏิรูปด้านต่าง ๆ ตามหมวด ๑๖ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ซึ่งต้องนาความเห็น ของคณะกรรมการปฏริ ูปประเทศด้านต่าง ๆ มาเปน็ เป็นข้อมูลประกอบการจดั ทายทุ ธศาสตร์ชาติด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดทายุทธศาสตร์ท่ีผ่านมามีการดาเนินจัดทาไปก่อน และหากจะการแก้ไข เพ่ิมเติมยุทธศาสตร์ชาติก็สามารถดาเนินการได้ ตามมาตรา ๑๑ ของพระราชบัญญัติการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกาหนดให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติจัดให้มีการทบทวนยุทธศาสตร์ชาติได้ทุกห้าปี แต่ในกรณีท่ีเกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถดาเนินการตามเป้าหมายหรือยุทธศาสตร์ชาติด้านใดด้านหนึ่งได้ ให้รัฐสภามีอานาจในการแก้ไขได้ทันที ดังน้ัน ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการจัดทายุทธศาสตร์ชาติไม่ได้เกิดจาก บทบัญญัติมาตรา ๖๕ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการดาเนินการเพ่ือให้เป็นไปตาม บทบญั ญัติของมาตรา ๖๕ ความเห็นของนายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา ทป่ี รกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร การกาหนดยุทธศาสตร์ไว้ในรัฐธรรมนูญอาจจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจาก โลกปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่สามารถทราบถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุน้ี การกาหนดให้มียุทธศาสตร์ ๒๐ ปีย่อมจะทาให้การพัฒนาประเทศไม่สามารถดาเนินการให้ทันกับสถานการณ์ ณ ขณะน้ัน ทั้งน้ี แม้ว่าพระราชบัญญัติการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะกาหนดให้สามารถทบทวน ยทุ ธศาสตร์ชาติได้ทกุ หา้ ปี แตก่ ารดาเนินการก็ต้องใช้ระยะเวลาดาเนินการค่อนข้างมาก เหน็ ควรตัดมาตรา ๖๕ ออกทงั้ หมด นอกจากนี้ จากบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๗๐ ที่กาหนดว่า “ให้วุฒิสภาตามมาตรา ๒๖๙ มีหน้าที่และอานาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามหมวด ๖ การปฏริ ปู ประเทศ และการจัดทาและดาเนนิ การตามยทุ ธศาสตรช์ าติ” ซึ่งเป็นบทบัญญัติทก่ี าหนดให้จัดทาและ ดาเนินการตามยทุ ธศาสตร์ชาติ หากมียกเลิกมาตรา ๖๕ ก็ไม่มีผลให้พระราชบญั ญัติการจัดทายทุ ธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต้องสิ้นผลไปด้วย พระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ เพียงแต่สถานะทางกฎหมาย อาจจะลดลง เน่ืองจากบทบัญญัติมาตรา ๖๕ ในรัฐธรรมนูญท่ีบัญญัติรองรับการใช้บังคับพระราชบัญญัติ การจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ถูกยกเลิกไป ซึ่งทาให้การแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชบัญญัติการจัดทา ยุทธศาสตร์ชาติพ.ศ. ๒๕๖๐ ย่อมสามารถดาเนินการได้และจะส่งผลให้การดาเนินการตามพระราชบัญญัติน้ี ถูกยกเลิกไปด้วย ดังนั้น หากมีแก้ไขเพ่ิมเติมบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ ย่อมจะทาให้แก้ไขเพ่ิมเติมพระราช บัญญัติการจัดทาและดาเนินการตามยุ ทธศาสตร์ชาติกระทาได้ง่าย เพราะจะมีสถานะเพียงพระราชบัญญตั ิปกติ ความเห็นของรองศาสตราจารย์ปยิ บตุ ร แสงกนกกุล โฆษกคณะอนกุ รรมาธิการ การกาหนดยุทธศาสตร์เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ ควรให้รัฐบาลท่ีจะเข้ามา บริหารประเทศเป็นผู้กาหนด ไม่จาเป็นต้องกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ย่ิงกว่านั้นการกาหนดไว้เช่นน้ีจะทาให้ รัฐบาลไม่มีอิสระในการบริหารประเทศเพราะรัฐบาลต้องดาเนินการตามแผนงานที่กาหนดไว้ ซึ่งมีเป็นจานวนมาก เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจน แนวนโยบาย แห่งรัฐ หรือหน้าท่ีของรัฐท่ีกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ควรเปิดโอกาสและให้อิสระแก่รัฐบาลที่มาจาก การเลอื กต้ังเป็นผกู้ าหนดนโยบาย จงึ เหน็ วา่ ไมจ่ าเปน็ ท่ตี ้องบญั ญัตมิ าตรา ๖๕ ไว้

๔๒ ความเหน็ ของนายพนสั ทัศนียานนท์ ทป่ี รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ สนับสนนุ ความเห็นทเ่ี สนอให้ตัดมาตรา ๖๕ ออก ความเหน็ ของรองศาสตราจารย์สมชยั ศรสี ุทธิยากร รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร การแก้ไขเพ่ิมเติมหรอื การตัดมาตรา ๖๕ ออกน้ัน อาจจะไม่มีผลต่อการดาเนนิ งานของรัฐบาล เนื่องจากมีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซ่ึงหน่วยงานราชการ ทุกหน่วยงานต้องดาเนินการและถือปฏิบัติตามท่ีพระราชบัญญัติดังกล่าวกาหนด ทั้งในส่วนการจัดแผนพัฒนา การกาหนดนโยบายของรัฐบาล หรือการจัดทาคาของบประมาณ และหากไม่ดาเนินการตามท่ีพระราชบัญญัติ การจัดทายุทธศาสตร์ชาติพ.ศ. ๒๕๖๐ กาหนดไว้ กอ็ าจจะถูกฟ้องร้องและดาเนินคดใี นฐานความผิดละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่ หรือการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดังน้ัน จึงควรจัดทาข้อเสนอแนะโดยการขอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ นอกจากนี้ การทบทวนยุทธศาสตร์ชาติทุกห้าปี ตามมาตรา ๑๑ ของพระราชบัญญัติ การจัดทายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กาหนดให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เป็นผู้มีอานาจแก้ไขเพิ่มเติม ยุทธศาสตร์ชาติเพ่ือให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงโดยบัญญัติว่า “ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนดาเนินการทบทวน” จึงเท่ากับว่าการแก้ไขเพ่ิมเติมยุทธศาสตร์ชาติ จะต้องริเร่ิมจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์ไม่ได้ริเริมโดยรัฐสภา ดังน้ัน หากจะแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๕ ควรเสนอรา่ งแก้ไขเพ่มิ เติมพระราชบัญญตั ิการจัดทายุทธศาสตรช์ าติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ดว้ ย ความเห็นของนายทศพล เพ็งสม้ อนกุ รรมาธกิ าร เป็นการกาหนดแนวทางการพัฒนาประเทศชาติเป็นพิมพ์เขียวของประเทศที่สามารถ ปรับเปล่ียนได้ ๓. ประเด็นบทบญั ญตั ิมาตรา ๗๕ แนวนโยบายแห่งรฐั ดา้ นเศรษฐกจิ ความเห็นของนายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา ท่ปี รกึ ษาคณะอนุกรรมาธิการ จากความที่กาหนดในวรรคสองว่า “รัฐต้องไม่ประกอบกิจการท่ีมีลักษณะเป็นการแข่งขัน กับประชาชน” ทาให้เกิดคาถามว่ากรณีที่หน่วยงานของรัฐ นาสถานท่ีราชการ งบประมาณ ไปดาเนินกิจการ เพ่ือให้บริการแก่ประชาชนโดยได้รับค่าตอบแทน โดยมีลักษณะของการดาเนินการเช่นเดียวกับเอกชน เช่น การนาสถานที่ราชการให้ประชาชนเช่าจัดงาน หรือสร้างสนามกอล์ฟการดาเนินกิจการลักษณะดังกล่าว ของรฐั ถอื ได้ว่าเป็นการประกอบกจิ การท่มี ีลักษณะเปน็ การแข่งขันกบั เอกชนหรือไม่ ๔. ประเด็นบทบัญญัติมาตรา ๗๗ การจัดทาร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ กฎหมาย ความเห็นของนายพงศเ์ ทพ เทพกาญจนา ทปี่ รึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ จากความของมาตรา ๗๗ วรรคสอง บัญญัติว่า “รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ กฎหมายทุกรอบระยะเวลาท่ีกาหนดโดยรับฟังความเห็นของผู้เก่ียวข้องประกอบด้วย” จากการประกาศใช้ บังคับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ควรพิจารณาความคืบหน้าของการดาเนินการเพ่ือให้เป็นไปตามบทบัญญัติ ดงั กลา่ ว

๔๓ ความเหน็ ของนายนิกร จานง เลขานุการคณะอนกุ รรมาธิการ การกาหนดให้ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับรัฐต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชน เป็นหลักการท่ีดี แตใ่ นทางปฏิบตั ิการดาเนินการรับฟังความเห็นในการเสนอกฎหมายโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่มีแนวทางในการรับฟังความเห็นที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ดังนั้น ควรกาหนดแนวทางการรับฟังความเห็น ในการตรากฎหมายของฝา่ ยนิตบิ ญั ญตั ิในฐานะผู้มีหนา้ ทใ่ี นการบัญญัตกิ ฎหมายให้เกิดความชดั เจน ความเหน็ ของนายสรุ สิทธิ์ นธิ ิวฒุ วรรักษ์ ทป่ี รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร มาตรา ๗๗ ในภาพรวมถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทาให้กระบวนการตราพระราชบัญญัติ มีความชัดเจนมากขึ้น ท้ังส่วนของการจัดทากฎหมาย การปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายท่ีไม่จาเป็น หรือเกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยหลักการดังกล่าวได้มีการนาไปบัญญัติในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ การจัดทาร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธ์ิของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่ึงประกาศใช้บังคับแล้ว แต่การดาเนินการเพ่ือให้เป็นตามมาตรา ๗๗ หรือพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทาร่างกฎหมาย และการประเมินผลสัมฤทธ์ิของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ในส่วนการรับฟังความเห็นท่ีกาหนดให้รับฟังความเห็น เฉพาะผู้ท่ีเกี่ยวข้องนั้น กฎหมายบางฉบับมีผู้ที่เก่ียวข้องน้อยมากทาให้ประชาชนท่ีให้ความเห็นมีจานวนน้อย เช่นกัน ดังน้ัน ควรกาหนดรูปแบบการรับฟังความเห็นของประชาชนท่ีแพร่หลาย การตรากฎหมายหลายฉบับ ที่ผ่านมา กาหนดให้การรับฟังความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์เท่าน้ัน ไม่มีการประชุมเพื่อรับฟังความเห็น อยา่ งเปน็ ทางการ ความเห็นของนายพนสั ทศั นียานนท์ ที่ปรึกษาคณะอนกุ รรมาธิการ การกาหนดให้ มีการประเมินผลกระทบจากการออกกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment – RIA) เป็นหลักการท่ีดี แต่ไม่ควรนามากาหนดไว้ในหมวด ๖ แนวนโยบายของรัฐ ควรนาไปบัญญัติไว้ ในหมวด ๗ รฐั สภา ในสว่ นกระบวนการตราพระราชบัญญตั ิ ความเห็นของรองศาสตราจารยป์ ิยบตุ ร แสงกนกกลุ โฆษกคณะอนกุ รรมาธิการ หลักการและเนื้อหาของมาตรา ๗๗ ถือเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์และถือเป็นช่องทางในการ ที่จะยกเลิกกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นจานวนมากที่สร้างภาระให้กับประชาชน และได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติ หลักเกณฑก์ ารจัดทาร่างกฎหมายและการประเมินผลสมั ฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือใช้เป็นหลักเกณฑ์ และแนวทางในการดาเนินการตามท่ีมาตรา ๗๗ กาหนดไว้ จากการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติดังกล่าว ประธานศาลฎีกาได้มีความเห็นท่ีไม่เห็นด้วยกับพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่กาหนดให้ศาลยุติธรรมมีหน้าที่และ อานาจในการตรวจสอบพระราชบัญญัติท่ีไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการสร้างภาระให้กับฝ่ายตุลาการเป็นอย่างมาก ซ่ึงเห็นว่าเป็นเร่อื งทไ่ี ม่เหมาะสมเนื่องจากการทาหนา้ ท่ตี รวจสอบกฎหมายควรเปน็ หน้าท่ีของฝ่ายนติ ิบัญญตั ิ บทสรุป จากการอภิปรายของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอ่ืน น้ัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๖ แนวนโยบายแหง่ รัฐ ซ่งึ ประกอบดว้ ยบทบญั ญตั มิ าตรา ๖๔ ถึงมาตรา ๗๘ นน้ั มผี ้ใู ห้ความเหน็ ถงึ ประเด็นปญั หา และขอ้ เสนอแนะ ดงั น้ี